Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธประวัติ

Description: พุทธประวัติ

Search

Read the Text Version

อย่างดีเสียอีก ดํโงนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับบุพการี ทั้งหลาย ที่จะต้องเอาใจใส่ในเรื่องการปลูกฝังนิสัยดีๆ ให้แก่บุตร และเหล่าศิษย์ ในเรื่องความรับผิดชอบของตน มิฉะนั้นสังคมก็จะ ต้องสับสนวุ่นวายต้วยปัญหาการดำรงชีวิต และปัญหาการ กระทบกระทั้งกันอย่างไม่มีทางแก่ไข ต้งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทั้ว โลกในปัจจุบัน การปลูกฝังนิสัยดีๆ จำ เป็นต้องเรื่มจากการดำรงชีวิตใน ครอบครัว โตยมีพ่อแม่ผู้ปกครองทำหน้าที่ฟ้กนิสัยต่างๆ ให้แก่ บุตรของตน ตั้งแต่ถือกำเนิตมาในทุกเรื่อง อย่างมีกฎระเบียบ เคร่งครัตชัตเจน ถูกต้องเหมาะสม เพราะถ้าขาตระเบียบวิน้ยแล้ว ก็จะเป็นการเพาะนิสัยไม่ดีให้แก่ทารก เช่น ถ้าปล่อยให้ทารก นอนจมอยู่กับอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นเวลานานทุกๆ รัน ย่อมจะ เป็นการเพาะนิสัยสกปรกให้แก่ทารก ซึ่งจะติตเป็นนิสัยมักง่าย เอาแต่ใจไม่มีเหตุผล และจะติตนิสัยไปจนเป็น^หญ่ เป็นต้น กิจกรรมต่างๆ ในบัาน ไม่ว่าจะเป็นงานบัานหรีองาน อาชีพในครอบครัว คือ บทปึกนิสัยอย่างวิเศษสำหรับบุตรธิตาตัง แต่เยาว์รัย กล่าวคือขณะที่พ่อแม่ทำกิจกรรมต่างๆ ในบัาน ก็ควร เรียกบุตรให้เข้ามาลงมีอทำร่วมกับพ่อแม่ต้วย พร้อมกันนั้นพ่อ แม่ก็ต้องคอยดูแลแนะนำ ควบคุม สงสอนเพิ่มเติมความรู้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมให้แก่บุตรต้วย ถ้าบุตรทำผิดพลาดก็ต้องชี้แนะ ตักเดีอนทันทีไม่ปล่อยผ่าน การกระทำเช่นนี้ นอกจากบุตรจะไต้เรียนรู้การทำงานต่างๆ ต้วยความมั่นใจแล้ว ยังเป็นการเพาะนิสัยดีๆ อีกหลายอย่าง เช่น ททรปรรวัต๊ aijuการส์นฟูศท!nรมโลก ^ ๓๗ ^ นฑฑึ่ Q ปัญทๆประรำชวํคของซาวโลก www.kalyanamitra.org

นิสัยช่างสังเกต นิสัยรอบคอบ นิสัยละเอียด นิสัยอดทน และที่ สำ คัญยิ่งคือ ไฝเกียจคร้านในการทำงานต่าง ๆ ซึ่งนิสัยเหล่านี้จะ เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาสติปัญญาของบุดรต่อไปในอนาคด นิสัยดีๆ เหล่านี้ถ้าบุดรไม่ได้รับการปลูกฝังเป็นอย่างดีตั้ง แต่เยาว์จัยจากทางบ้าน พวกเขาก็จะคุ้นกับนิสัยไม่ดีด้วยประการ ทังปวง เมื่อไปโรงเรียนก็จะเป็นภาระให้ครูบาอาจารย์ด้องคอย ดามแกไข ซึ่งยากที่จะประสบผลสำเร็จ ทำ นองเดียวกับการแกั ปัญหาสิ่งเสพติด เพราะเสพจนคุ้นเป็นนิสัยแล้ว บรรดาครูบา อาจารย์ในปัจจุบ้น จึงด้องผจญกับปัญหาพฤติกรรมเลวร้าย ต่างๆ ของเหล่านักเรียนน้กศึกษาด้งปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่าง ๆ เรื่อยมา อนึ่ง นิสัยดีๆ ที่ได้รับการปลูกฝังมาจากทางบ้านจะพัฒนา ขึ้นอย่างรวดเร็ว กว้างขวางเมื่อเยาวชนได้เรียนรูวิชาการต่างๆ ใน สถาบ้นการศึกษา ซึ่งจะส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จในการศึกษา และการประกอบอาชีพต่อไปในอนาคด ถ้าผู้คนในสังคมต่างเป็น เช่นนัน ปัญหาการดำรงชีวิดและปัญหาการกระทบกระทั่งกัน ย่อมไม่เกิดขึ้น บุคคลที่เกิดมายากจนฃ้นแคันด้วยวิบากกรรมเก่า ถ้าได้ รับการ'รกนิสัยดีๆ ตั้งแต่เยาว์วัยมาจากทางบ้าน ก็อาจสามารถ ประสบความสำเร็จในชีวิดถึงขั้นเป็นเศรษฐีได้ ด้งมีเรื่องปรากฏ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาอยู่หลายเรื่องเช่น คนฉลาดตั้งต้วได้® ซึ่ง มีเรื่องราวโดยย่อด้งนี้ • ^ ® จุลลกเศรษฐี : ชุ.ชา.อ.(ไทย)๕๕/๑๘๓-๑๙๖ ททรปรราค ฉบับการสืนฟูสิรธรรมโฝ็ก ๓๘ บทฑึ๋ 0ป็ญทาประจำชวิตของขาวโทท www.kalyanamitra.org

ณกรุงพาราณสี วันหนึ่งจุลลกเศรษฐืเห็นหนูตายตัวหนึ่งใน ระหว่างทาง จึงรำพึงออกมาว่า คนที่มีปัญญาอาจเอาหนูตัวนึ่ไป กระทำการเลี้ยงดูภรรยาและประกอบการงานได้ จูฟ้นเตวาสิกชายหนุ่มยากจนคนหนึ่งได้ยินคำรำพึงเช่นนั้น จึงนำหนูตายไปขายที่ตลาดเพื่อเป็นอาหารแมว ได้ทรัพย์มา ๑ กากณึก® เขาจึงนำไปชื้อนํ้าอ้อย เอาหม้อใบหนึ่งด้กนั้าเต็ม ครั้น เห็นกลุ่มคนเก็บตอกไม้กลับจากสวน เขาจึงแจกนํ้าอ้อยให้ชิม คนละนิตหน่อย แลัวให้ดื่มนํ้า ๑ กระบวย คนกลุ่มนั้นตอบแทน เขาด้วยตอกไม้คนละ ๑ กำ มือ เขาจึงเอาตอกไม้ทั้งหมตไปขาย วันรุ่งชื้น เขาชื้อนํ้าอ้อยได้มากชื้น นำ ไปยังสวนตอกไม้ พร้อมทั้งนํ้าดื่มเต็มหม้อ แลัวกระทำด้งเช่นวันก่อน ในวันนั้นเขา ได้ทรัพย์ ๘ กหาปณะ วันหนึ่งเกิตพายุจัดและมีฝนกระหนึ่ารุนแรง ทำ ให้กิ่งและ ใบไมืในพระราชอุทยานห้กลงมาเป็นอ้นมาก สุดปัญญาที่คนเฝืา พระราชอุทยานจะขนไปทิ้ง ชายหนุ่มจึงเข้าไปขันอาสาขนให้ โดย มีเงื่อนไขว่าสิ่งที่ขนออกไปด้องเป็นของเขาทั้งหมด เมื่อคนเฝืา พระราชอุทยานตกลง ชายหนุ่มก็ใข้อุบายแจกนั้าฟรีให้แก่เต็กๆ ที่สนามเต็กเล่น แลัวชวนไปขนกิ่งไม้และใบไม้ทังหมดมากองไวัที่ ประดูอุทยานในเวลาเพึยงครู่เดียว ในวันนั้นเอง ช่างหม้อหลวง ซึ่งเที่ยวหาหืเนเพื่อเผาภาชนะดินของหลวงก็เหมากิ่งไม้และใบไม้ ไปทั้งหมดในราคา ๑๖ กหาปณะ เขาจึงมีเงินทั้งหมด ๒๔ กหาปณะ ® กากณึก (กา-กะ-หนึก เป็นชื่อมาตราเงินอย่างตรที่สุด มีค่าเท่ากับ ชิ้นเนื้อที่กา คาบไปได้) ทุฑธประวัตํ ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโลก ๓®' บ*'*'0ปัญทาประจำชวิตของชาวโลก www.kalyanamitra.org

ความอุ่นใจจากเงิน ๒๔ กหาปณะ ทำ ให้ชายหนุ่มเกิด แนวคิดใหม่โดยนำตุ่มนํ้าดื่มไปตั้งไวในที่ไม่ไกลจากประตูพระนคร เพื่อบริการคนหาบหญ้า ๕๐๐ คน เป็นการผูกส้มพันธไมตรีกับ คนเหล่านั้น ขณะเดียวกันเขาก็จะผูกมิตรสนิทสนมกับคนทำงาน ทั้งทางบกและทางนั้า วันหนึ่งคนทำงานทางบกบอกเขาว่า วันรุ่งขึ้นจะมีพ่อค้า ม้าพาม้า ๕๐๐ ตัวมาสู่นครนี้ เขาจึงออกปากขอหญ้าเพียงคนละ ๑ กำ จากคนหาบหญ้าทั้ง ๕๐๐ แล้วขอร้องว่า ถ้าเขายังขายหญ้าที่ เป็นกรรมสิทธึ๋ของเขาไม่ไตัคนหาบหญ้าก็อย่าเพิ่งขายหญ้าของตนๆ คนหาบหญ้าทั้งหมตก็ยินดีนำหญ้ามากองไวัที่ประตูบ้านของเขารวม ๕๐๐ กำ ครั้นเมื่อพ่อค้าม้ามาถึงนคร ไม่สามารถหาอาหารสำหรับ ม้าไค้จึงค้องมาขึ้อหญ้าของชายหนุ่มทั้งหมด แล้วจ่ายเงินให้๑,๐๐๐ กหาปณะ ต่อมาอีก ๒-๓ วัน เขาก็รูขาวจากเพื่อนใหม่ที่ทำงานทางนั้า ว่า มีเรีอใหญ่มาจอตเทียบท่าแล้ว เขาจึงจ่ายเงิน ๘ กหาปณะ เพื่อเช่ารถ แล้วพาพรรคพวกขึ้นรถไปสู่ท่าเรีอค้วยท่าทางภูมิฐาน จ่ายค่าม้ตจำสินค้าทั้งหมตด้วยแหวนหนึ่งวงแก่นายเรีอ ครั้นเมื่อ มีพ่อค้าประมาณ ๑๐๐ คน มุ่งมาชื้อสินค้า นายเรีอก็แจ้งว่าจูพ้น เตวาสิกให้ม้ตจำไวัแล้ว พ่อค้าแต่ละคนจึงค้องจ่ายทรัพย์คนละพัน เพื่อขอมีหุ้นส่วนเรีอกับชายหนุ่ม และอีกคนละพัน เพื่อขอเบิก สินค้าในเรีอในวันนั้นเองชายหนุ่มก็ไค้ครอบครองทรัพย์ถึงสองแสน ด้วยความกค้ญฌูรู้คุณผู้มีพระคุณ ชายหนุ่มจึงแปงทรัพย์ครึ่ง หนึ่งไปมอบให้จุลสกเศรษฐี ซึ่งรู้สึกชื่นชมและประหลาตใจมากที่ ไทฺเฑรปรรวัผํ ฉบับกาวส์นฟูสืลธใ[รมโลก ๔๐ นทที่ « ปัญหาประจารวิดของชาวโลก www.kalyanamitra.org

เขาได้ทรัพย์มากมายภายใน ๔ เดือนเท่านั้น ครั้นเมื่อชกถามได้ ความจริงแล้ว ก็ทำ ให้ท่านเศรษฐีตระหนักในอ้จฉริยภาพของชาย หนุ่มอย่างยิ่ง จึงยกธิดาสาวให้อยู่ครองเรือนกับเขา เมื่อเศรษฐี ล่วงล้มไปแล้วจูฬันเตวาสิกก็ได้รับตำแหน่งเศรษฐีในนครนั้น เมื่อตรัสพระธรรมเทศนาจบพระพุทธองค็ได้ตรัสคาถาว่า \"บุคคลผู้มีฟ้ญญารู้จักใคร่ครวญ ย่อมตั้งตน ได้ด้วยทรัพย์อันเป็นด้นทุน แม้มีประมาณน้อย เหมีอน คนก่อไฟกองน้อยให้เป็นกองใหญ่ ฉะนั้น\" ถ้าจะถามว่าคนยากไรัเช่นชายหนุ่ม ไปแสวงหาปัญญามา จากไหน จึงรู้จักใคร่ครวญ รู้จักผูกล้มพ้นธไมตรืกับผู้คนในสังคม โตยไม่มีการกระทบกระทั่งกับผใด อีกทั้งมีความกด้ฌญรัคณผ้มี qj ^ ขข ชุ ชุเ พระคุณ คำ ตอบที่ตรงประเด็นก็คือ แม้เขาจะเกิดมายากจนข้นแค้น แต่เพราะได้รับบท'ฝึกจากการทำกิจกรรมประจำวันในครอบครัว หรือสิ่งแวดล้อมของผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ เขาจึงสามารถพ้ฒนานิสัย ช่างคิดใคร่ครวญ ช่างสังเกตพิจารณาว่าสิ่งใดถูกหรือผิด ดืหรือชั่ว ควรหรือไม่ควร ซึ่งยังผลให้จิตใจของเขาบริสุทธฝองใส กิเลสใน ใจออกฤทธิ้รุนแรงไม่ได้ จึงเป็นคนมีนิสัยละเอียด ไม่หยาบกระด้าง ไม่มักง่าย รู้จักประมาณในเรื่องต่างๆ สิ่งเหล่านี้เองที่หล่อหลอม จิตใจของเขาให้มีปัญญาสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตอย่าง งดงาม ททรปรราต ฉบับการส์นฟูสืลธรามโรก ^ a \"ปัญทาประจำขีวิตของชาวโรก 0 ^ Of www.kalyanamitra.org

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวกับส้ฑธิวิหาริก (ลูกสิษย') ของ พระมหากัสสปเถระ''ที่น่าพิจารณาเปีนอย่างยิ่ง กล่าวคือ มีภิกษุ ๒ รูป ซึ่งทำหน้าที่อุปัฏฐากพระเถระซึ่ง อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ภิกษุ๒ รูปนี้รูปหนึ่งกระทำวัตรโดยเคารพ แต่อีกรูปหนึ่งมีนิสัยตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เช่น กล่าวร้ายภิกษุอีกรูป หนึ่งบ้างกล่าวเท็จบ้างใส่ร้ายพระเถระแก่^นบ้างเมื่อพระเถระทราบ จึงต้องตักเตือนอบรมอย่เสมอ ทำ ให้ภิกษรปนี้สะสมความโกรธ ฆ รฃ์ แค้นพระเถระมากขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่ง เมื่อพระเถระไปส่บ้านญาติโยม ส่วนภิกษุรปนั้น ขพ ชุ <11 พักอยู่ในวิหาร จึงจุดไฟเผาบรรณศาลาของพระเถระ สิ่งใดที่ไฟ ไม่ไหม้ก็ใชไม้พลองทุบทำลายจนเสียหายแล้วหนีไป แทํที่จริงวัตถุประสงค์ของการบวชเป็นบรรพชิดใน พระพุทธศาสนา ก็คือการแกหัดข้ดเกลาอบรมทั้งกายและใจให้ บริสุทขึ้สะอาด เพื่อบรรลุมรรคผลไปดามลำตับ มีนิพพานเป็นที่สุด ซึ่งคำสอนและวิธีปฏิบ้ติเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ตังกล่าว มีเฉพาะ ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่มีในล้ทธิศาสนาอื่นๆ ตังนั้น ชาย ใดก็ดามที่ไดโอกาสบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ต้อง ถือว่าเป็นผูโชคดีเป็นอย่างมาก และผู้ที่เป็นสัทธิวิหาริกของพระ มหากัสสปเถระรูปนี้ ต้องถือว่ามีโชค ๒ ชั้น เพราะไดโอกาสเป็น อุปัฏฐากของพระเถระผู้เป็นพระอรห้นดสาวก ที่ทรงคุณวิเศษ โดดเต่นมากรูปหนึ่งในเรื่องวัตรปฏิบ้ติต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขุ.ธ.อ.('[ทย) ๔๑/๔๖/๑๗๔-๑๘๑ พุทธปรรวัติ ฉบับกา'รส้นฟูศลธรรมโลก <ite บทที a ปัญหาประจำชวิตของซาวโลก www.kalyanamitra.org

เรื่องธุดงควัตร ย่อมสามารถปลูกฝังอบรมคุณธรรมให้แก่ศิษย์ได้ เป็นอย่างดี การที่ภิกษุรปนี้มีพฤติกรรมเลวร้ายถึงขั้นไม่สามารถรักษา Qy แม้เพียงศีล ๕ ได้ครบบริบูรณ์ มิหนำชํ้ายังกล้าประพฤติเนรคุณ ต่อพระอรห้นต์ ซึ่งตนจะด้องประสบวิบากกรรมถึงขั้นตกนรกอเวจี ย่อมฟ้องว่าการอบรมที่ท่านได้รับตลอตเวลาที่ท่านเป็นพระภิกษุนั้น มิได้ขัตเกลาให้ธาตุในด้วของท่านบริสุทธขึ้นแม้แต่น้อย ท่านจึงมี นิล้ยหยาบกระด้างด้วยอำ นาจของกิเลส ซึ่งมีอิทธิพลมากขึ้น เรื่อยๆ ตามวัย เพราะไม่เคยได้รับการ'ฝืกห้ดข้ตเกลาจากพ่อแม่ ตั้งแต่เยาว์วัย ด้งนั้น จึงเป็นการจำ เป็นอย่างยิ่งสำ หรับพ่อแม่ผู้ปกครอง ทั้งหลายที่จะด้องปลูกฝังนิสัยที่ดีงามทุกๆ ด้าน ให้แก่บุตรหลาน ของตนตั้งแต่เยาว์วัย โตยด้องไม่ศิตหวังจะให้ครูบาอาจารย์ที่ โรงเรียนเป็นผู้เริ่มการปลูกฝัง เพราะถ้าปล่อยให้เด็กๆ เติบโตขึ้น จนถึงวัยเรียนโตยไม่ได้รับการปลูกฝังนิสัยที่ดีงาม พวกเขาก็จะ เสพด้นกับนิสัยเลวร้ายต่างๆ จนยากที่ครูบาอาจารย์จะแก่ไขได้ ยิ่งกว่านั้น นอกจากการสอบหน้งสือแล้ว ครูบาอาจารย์ทุกคนต่าง ด้องมีภาระหน้าที่มากมายในแต่ละวันๆ ย่อมยากที่จะมีเวลามา แกัปัญหาเด็กเหลือขอ จึงจำใจปล่อยผ่านไป ผลก็คือเด็กๆ เหลือขอ เหล่านั้น นอกจากตนจะด้องประสบปัญหาทั้ง ๓ ประการด้งกล่าว ตลอดชีวิตแล้ว ยังจะเป็นด้นแบบแห่งนิสัยเลวร้ายให้แก่บุตร หลานของตนและผู้คนในสังคม จนกลายเป็นปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และการเมีอง อย่างยากที่จะแก่ไขได้ ฬุฑรปรรวั<ติ ฉบับการฟ้นฟูศีลธรรมโลก 0โ๓ บททึ่0ปัญหาประจ่ารวิตของจาวโลก \"<'''^ B www.kalyanamitra.org

สำ หรับแนวทางการแก้ปัญหาทั้ง ๓ ประการนั้น สิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูอาจารย์จะต้องรู้ก็คือ การแก้ปัญหาในทาง ปฎิบติ แปงเป็น ๒ ระต้ม ไต้แก่ ๑) การแก้ปัญหาในระดับสิวิตประจำวัน ๒) การแก้ปัญหาในระดับถอนรากถอนโคน แนวทางที่กล่าวมาในบทที่ ๑ นี้ เป็นการแก้ปัญหาในระดับ ชีวิตประจำวัน คือมุ่งการตั้งหลักฐานให้เป็นปีกแผ่นเท่านั้น เพราะ เมื่อควบคุมปัญหาไต้แล้ว เราก็จะมีเวลาเหลือพอในการศึกษา แนวทางแก้ปัญหาในระต้บที่เด็ดขาดยิ่งๆ ขี้นไป มิฉะนั้น หาก ปล่อยเรื้อรังเอาไว้ ย่อมเปรียบเหมีอนการเลี้ยงเชื้อโรคร้ายให้ เดรียมพร้อมลุกลามชื้นมาคร่าชีวิดได็ใหม่ในภายหลัง ส่วนการแก้ปัญหาประจำชีวิดทั้ง ๓ ประการ แบบถอน รากถอนโคนนั้นในเบื้องต้นมีหลักสำคัญว่า \"ปัญหานี้เกิดขึ้นในที่ใด ดัองดับดันเหตุแห่งปัญหาใน ที่นั้น\" เนื่องจากปัญหาประจำชีวิดทั้ง ๓ ประการ เกิดชื้นจากใน คัวมนุษย์ การคับต้นเหตุให้หมดสิ้นไป จึงต้องคับจากในคัวมนุษย์ เช่นก้น ต้งนั้น แนวทางสำคัญในการศึกษาหาความรู้เพื่อแก้ ปัญหาระดับถอนรากถอนโคนนี้จึงมีอยู่ว่า พทรปา[รวัผิ ฉบับกาาฟ้นฟูศลธรรมโลก ๔๔ บฑที๋ Q ปัญทาประจำขวดของขาวโลก www.kalyanamitra.org

๑) เราต้องรู้จ้กองค์ประกอบความเบนมนุษย์ของ ตนเองให้ช้ดเจน ไอ) เราต้องสืกษาประวัติและแนวทางปฏิบัติของผู้ที่ ทำ ไต้ต้วยตนเอง ทั้งนี้เพราะจะไดไม่ต้องเสียเวลาลองผิด ลองถูกมากนัก ๓) เราต้องสิกษาประวัติของผู้ที่สิกษาและปฏิบัติตาม คำ สอนของท่านผู้นั้นมาไต้ เพื่อตรวจสอบว่าความสำเร็จ ของการแก้บัญหานั้น ไม่ไต้ผูกขาดเฉพาะผู้!ดผู้หนึ่งเท่านัน แต่เป็นสากลสำหรับทุกคน ๔) เมื่อสิกษาจนครบก้วนดีแล้ว จึงลงมือปฏิบัติให้ถูก ต้องตามวิธีการของท่านผู้นั้นต้วยตนเอง จากการศึกษาตามแนวทางดังกล่าวนี้ พบว่าบุคคลที่รู้จัก ตนเองอย่างชัดเจน และสามารถกำจัตปัญหาประจำชีวิตทั้งสาม ไดัอย่างถอนรากถอนโคนนั้น มีเพียงท่านเดียว นั้นคือ \"พระล้มมา ล้มพุทธเจ้า พระบรมศาสดาเอกของชาวโลก\" โตยในหนังสือ เล่มนี้ ได้รวบรวมความรู้ของพระองค์ท่านมาเรียบเรียงให้เกิด ความเข้าใจง่ายๆ ในภาคปฏิบัติไว้แล้ว จึงขอให้ท่านผู้อ่านได้ ศึกษาแนวทางแก้ปัญหาประจำชีวิตทั้ง ๓ ประการ ในระดับถอน รากถอนโคน จากบทที่ ๒ และ ๓ ของหนังสือเล่มนี้ต่อไป ทุฑธประวัติ ฉบับการฟินฟูศลธร■รมโลก ๔๕ ฆฑที่0ป๋ญพาประจาชวิตของซาวโสก ^ s ร tgr www.kalyanamitra.org

บฑที่ ๒ มารู้จักตนเองกันเถอ ความสำคัญของมนุษย์ พวกเราทั้งหลายพึงภาคภูมิใจเถิดที่ได้กำ''นิตม'าฟ้น3Jนุษย์ ไม่ว่าจะถือกำเนิดในตระกูลสูงหรือตำ มังมีศรืสุข หรอยากจน ข้นแด้นมีรูปร่างลักษณะสง่างามหรือบกพร่องด้ายด้ภษ^อับ่ด้ค^^ หรือพิกลพิการไปบาง ก็ถือว่าเป็น ผู้มีโชค ทังสิน จะต่างกันอยู่บาง ก็ตรงที่โชคดีมาก หรือน้อยเท่านั้น ทั้งนี้เพราะโลกมนุษย์เป็นสถาน ที่แห่งเดียว ที่มนุษย์จะมีโอกาสลังสมคุณความดีหรือบุญถุคถ ตลอดชีวิต ซึ่งหาไม่ไดในภพภูมิอื่น อีกทั้งร่างกายของมนุษย์ยัง ทุฑธประวัติ ฉบับการส์นฟูสืรธรรมโลก ^ <£๗ ^ ม*•กี๋ •= มารู้จักตนเองกันเทอะ \"V ^ ej www.kalyanamitra.org

เหมาะแก่การสั่งสมความดีทุกชนิด คือใช้ทำความดีได้ทุกรูปแบบ จึงก่อเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้0นเต็มที่ และได้บุญมๆกที่สุด ตัวอย่างเช่นการเลียงดูบิดามารดๆ มนุษย์สามารทปรนนิบิต็ ดูแลได้ตั้งแต่ป้อนข้าวปลาอาหารให้ท่าน นวดเฟ้นบรรเทาความ เมื่อยล้าให้ท่าน เพาพยาบาลรักษาในยามท่านเจ็บไขได้ป่วย ช่วย เหลอกิจการงานของท่าน พาท่านไปทำบุญปฎิบํ[ดีธรรมที่รัด หรืa แม้แต่ในยามที่ท่านหล้บดาลาโลกนี๋ไปแล้ว ก็ยังใช้กายมนุษย์นี้ ทำ บุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่านได้เกด้วย ในขณะที่ร่างกายของสัดว็โลกชนิดอื่นๆ นอกจากใช้สั่งลม ความดีได้ยากแล้ว สัตว์ส่วนใหญ่ยังดำรงชีวิตด้วยทารช่มเหว เบียดเบียนเข่นฆ่าพวกเดียวกัน รวมกระทั้งรุมทำรัๅยพ่aแม่ของ ม้นเองที่แก่ชรา เพื่อแย่งดำแหน่งจ่าผู้ง เป็นด้น ด้งนัน การถือกำเนิดในรูปกายของสัฟิว์ปีน,ที่ไม'ใช่มนุษย์ ย่อมยากที่จะมีโปีกาสสั่งสมบุญกุดล มิหนำช่ายังอาจตอง สั่งสมบาปปีกุศลได้ง่ายปีกด้วย เพราะเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า การได้รูปกายเป็นมนุษย์นั้น ล้าด้ญยึ๋งกว่าทุกสิงในโลกนี้มนุษย์จึงด้องรูจ็'กใช้รูปกายขฏวมนุษย์ นี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชีวิตของดนเองและเพื่อนร่วมโลก จึงจะสมแก่ความเป็นผู้'มีโชคมหาศาลเหนือสัตวโลกชนิดอื่นๆ ด้งนั้น การศึกษาเรื่องดนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งของ มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ หากใครยังไม่ได้ศึกษา โดยเฉพาะความรู้ เรื่องมนุษย์ที่ปรากฏในดำสอนของพระพุทธศาลนา ย่อมยากที่จะ ดำ เนินชีวิตของตนให้ลมคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ได้ฎย่างลมบูร£^ ทุทธประวัติ ฉบับการพื่นฟูศีลธรรมโลก ๔๘ บทที่ ๒ มารู้จักคนเองกันเทอะ www.kalyanamitra.org

ความหมายคำว่ามนุษย์ ในพระพุทธศาสนา คำ ว่า มนุษย์ มีรากศัพท์มาจากภาษา สันสกฤต แปลว่า ผู้มีใจสูง คือมี ใจสูง และใจใส กว่าสัตว์ทั้งหลาย ในโลก ทั้งนี้เพราะเคยรักษาศีล ๕ และปฏิบัติกุศลกรรมบถ ๑๐ มามากในอดีตชาติ ธรรมะทั้ง ๒ หมวตนี้ มีอานิสงส์ส่งผลให้ (๑)ได้เกิดเป็นมนุษย์(๒)มีใจใสสะอาต(๓)มีธรรมสัญญา คือมี ใจระลึกนึกถึงธรรมอยู่เสมอ อันเป็นเหตุให้เกิดปัญญารู้จักเลือกคิด เลือกพูด เลือกทำ เฉพาะสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่จะก่อให้เกิดเป็นกุศล นี้ คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีใจสูง ในขณะที่สัตว์อื่นมีใจกำหนดรู้และ ระลึกนึกได้เฉพาะเรื่องกิน(อาหารสัญญา) เรื่องกาม (กามสัญญา) และเรื่องกสัวดาย(มรณสัญญา)เท่านั้น แต่ขาดธรรมสัญญา เนื่องจากมีธรรมสัญญานี้เอง มนุษย์จึงสามารถรู้ตาม ความเป็นจริงว่า สิงใดดีหริอชั่ว สิงใดเป็นบุญหรือบาป สิง ใดควรหรือใม่ควร สิงใดมีคุณหรือโทษ สิงใดมีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ สิงใดเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือส่วนรวม สิงใดเป็นประโยชน์ต่อสิวิตในโลกนีและโลกหน้า แล้วเลือกทำ เฉพาะสิ่งที่ดีและมีประโยชน์Iห้สมบูรถโที่สุด ตั้งใจหลีกเลี่ยงการ กระทำสิ่งชั่วร้าย และไม่มีประโยชน์ทุกๆ อย่าง เหล่านี้คือคุณสมบด ที่ถึอว่าเป็นความสำศัญของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่จะ ด้องศึกษาให้ลึกซึ้งถ่องแทํยิ่งๆ ขึ้นไป 1||ฑรประาด๊ นบับการส์นฟูสิลธT5มโลก ^ - มาเจักคนเองกัน๓อะ พ -'^ ' V www.kalyanamitra.org

องค์ประกอบของมนษย์ มนษย์ ประกอบ ด้วย ภาพที่ ๑ แสดงองค์ประกอบของมนุษร! การจะรู้จักตัวเองได้ถูกต้อง เราต้องรู้ก่อนว่า องค์ประกอบ ของมนุษย็ในเบื้องต้นนั้นมีอยู่ ๒ ส่วน คือ ๑) ร่างกาย หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า กาย ไอ) ใจ (คำว่า ใจ มาจากคำว่า มโนนิยมใช้กันโดยทั่วไปใน ภาษาไทย แต่ในภาษาบาลี ท่านนิยมเรียกว่า จิตบ้าง วิญญาณบ้าง) โดยสรุปในเบื้องต้นนั้ คือ มนุษย์ประกอบต้วย กาย กับ ใจ ซึ่งทั่งสองส่วนนี้ มีธรรมชาติและคุณสมบ้ติแตกต่างกันมาก จำ เป็นต้องศึกษาให้เช้าใจการทำงานของทั่งสองส่วนนี้ก่อน จึงจะ เป็นพืนฐานในการศึกษาถึงองค์ประกอบเบื้องลึกของมนุษย์ที่มี ความสำกัญยิ่งใหญ่ต่อชีวิดของมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ต่อไป พุทธประวัผ๊ ฉบับการฟ้นฟูศลธรรมโลก ๕๐ บทที่ ๒ มารู้จักตนเองกันเทอะ www.kalyanamitra.org

องค์ประกอบของกาย กายของมนุษย์และลํโตว์อื่นรวมทั้งโลกและวัตถุต่าง ๆในโลกนี ล้วนประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน นำ ไฟ ลม ผสมเข้าด้วยกัน เมื่อ ธาตุแต่ละชนิดผสมกันได้สัดส่วนที่พอเหมาะเป็นสิ่งใด ก็จะเกิด เป็นสิ่งนั้นๆ ขึ้นมา เช่น ในกรณีที่มารดาตั้งครรภ์ ธาตุทั้ง ๔ ชนิด ของมารดา เมื่อผสมรวมกันในสัดส่วนที่พอเหมาะจะเป็นกระดูก ก็จะเกิดเป็นกระดูกของทารกขึ้นมา หรือถ้าพ่อเหมาะจะเป็นปอด ตับ ม้าม ได ก็จะเกิดเป็นอวัยวะของทารกส่วนนั้นๆ ขึ้นมา หรือหสัง จากเด็กคลอดออกมาแล้ว เมื่อธาตุ ๔ ในตัวของทารก มีสัดส่วน พอเหมาะจะเป็นฟัน เด็กก็จะมีฟันใหม่งอกขึ้นมา เป็นด้น การแปงธาตุในโลกนี้ บุคคลแต่ละกลุ่มอาชีพต่างมีวิธีแปง ธาตุเพื่อประโยชน์สำหรับงานของดนแดกต่างกันออกไป เช่น นัก โลหะวิทยา ก็แปงธาตุเพื่อประโยชน์ในด้านการอุดสาหกรรม เภสัชกรก็แปงธาตุเพื่อประโยชน์Iนด้านการป้องกันรักษาโรค นัก วิทยาคาสดร์ก็แปงธาตุแยกย่อยออกไปมากมายสำหรับการ ศึกษาด้นควัาด้านเคมีอย่างละเอียดลออ ส่วนในพระพุทธศาสนานั้น แปงธาตุโดยมีวัดถุประสงค์เพื่อการศึกษาอบรมด้านดิลธรรม หรือ ด้านจิตใจโดยเฉพาะ สำ หรับธาตุอันเป็นองค์ประกอบของกายนั้น ในพระพุทธ ศาสนาจัดเป็นธาตุหยาบ มีศัพท์เรืยกว่า มหาภูตรูป แปงออกเป็น ๔ชนิด ด้งนี้ ๑) ธาตุดิน หมายถึง ส่วนที่มีปกติเป็นของแข็ง ซึ่งมีอยู่ ภายในกายมาตั้งแต่เกิด ธาตุดินแสดงอาการออกมาให้เห็นในรูป ทุทธปรรวัติ ฉบับการฟ็นฟูสืรธ\"ทมโลก ๕® บ*'พี'0 นารู้จักคนเองกันเลอะ www.kalyanamitra.org

ของอวัยวะและส่วนประกอบต่างๆ ของกาย มีอยู่ ๒0 ชนิด เรียกว่า ธาตุดินมีอาการ๒๐ ได้แก่ ผมขน เล็บ ฟันหน้ง เนื้อ เอ็นกระดูก เยื่อในกระดูก มันสมอง มัามหัวใจ ด้บพังผืดไดปอดไส์ใหญ่ไส้เล็ก อาหารเก่าอาหารใหม่หรีอสิ่งอื่นใดก็ดามในกายที่มีลักษณะแข้นแข็ง ใฮ) ธาตุนำ หมายถึง ส่วนที่มีปกติเป็นของเหลว ซึ่งมีอยู่ ภายในกายตั้งแต่เกิด ธาตุนํ้าแสดงอาการออกมาใหัเห็นในรูป ของส่วนประกอบของอวัยวะและกาย มีอยู่ ๑๒ ชนิด เรียกว่า ธาตุ นำ มีอาการ ๑๒ ได้แก่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น เปลวมัน ไขมัน นํ้าตา นํ้าลาย นํ้ามูก มูตร หรีอสิ่งอื่นใดก็ดามภายในกายที่ มีลักษณะเอิบอาบ ๓) ธาตุไฟหมายถึงส่วนที่มีปกติเป็นความร้อนความอบอุ่น ซึ่งมีอยู่ภายในกายตั้งแต่เกิดธาตุไฟแสดงอาการออกมาให้เห็นใน๔ ลักษณะเรียกว่า ธาตุไฟมีอาการ๔ได้แก่ไฟที่ทำกายให้อบอุ่นไฟ ที่ทำ กายให้ทรุดโทรม ไฟที่ทำกายให้กระวนกระวาย ไฟที่ทำให้ อาหารย่อยหรีอสิ่งอื่นใดก็ตามภายในกายที่มีลักษณะร้อน ๔) ธาตุลมหมายถึงส่วนที่มีปกติเป็นความโปร่งเบาพัดไหว ซึ่งมีอยู่ภายในกายตั้งแต่เกิดธาตุลมแสดงอาการออกมาให้เห็นในb ลักษณะ เรียกว่า ธาตุลมมีอาการ ๖ ได้แก่ ลมพัดฃื้นเบื้องบน ลม พัดลงเบื้องล่าง ลมในท้อง ลมในไส้ ลมซ่านไปดามตัว ลมหายใจ หรีอสิ่งอื่นใดก็ตามภายในกายที่มีลักษณะพัดผ้นเคร่งตึง ฬุฑรปรรวัด๊ ฉบับทารส์นฟูคลธรรมโรก ๕๒ บฑที่ b มารุจกตนเองกันณอะ www.kalyanamitra.org

กายเป็นเพียงที่ประชุมของธาตุ ๔ จากคำอธิบายเรื่องธาตุ ๔ หรือ มหาภูตรูป ๔ จะเห็นได้ว่า กายของมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม มีภาวะเป็นเพียงองค์ประกอบที่ เกิดจากการผสมรวมกันระหว่างธาตุทัง ๔ โดยธาตุดินมีอาการ ๒๐ รวมกับธาตุนํ้ามีอาการ ๑๒ รวมกับธาตุไฟมีอาการ ๔ และรวม กับธาตุลมมีอาการ ๖ ซึ่งรวมทั้งหมดเท่ากับธาตุ ๔ มีอาการ ๔๒ ประกอบชื้นเป็นกายมนุษย์ที่ยังไม่มีชีวิตจิตใจ ด้งนั้น กายมนุษย์ (หรือสัตว์ก็ตาม) จึงเป็นเพียงที่ประชุมของธาตุ ๔ เท่านั้น โดยมีสถานะเป็นเพียงของกลาง ๆ ในโลกนี คือยังไม่ดึ ไม่ชัว ไม่ยิ่งใหญ่ ไม่ตาทรามใด ๆ ทังสิน เพราะยังไม่มีดวามคิด ไม่มีดวามเป็นตัวตน ไม่มีดวามเป็นเราหรือเขา และที่สำตัญ คือยังหาไตัมีชีวิตไม่ กำ เนิดของกายและสภาพความเป็นอยู่ การประชุมรวมกันของมหาภูตรูป๔จนเกิดเป็นกายมนุษย์นี้ ไม่สามารถเกิดชื้นและดำรงอยู่ไดิโดยอัดโนมัดิ แต่ด้องมีเหตุ ปัจจัยส่งเสริมสนับสนุนด้งนี้คือ ๑. ต้องมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด หมายความว่า การ ประชุมรวมกันของธาตุ ๔ ให้เป็นกายมนุษย์นี้ ไม่สามารถเกิดชื้น ได้เองลอยๆด้องมีบิดาและมารดาเป็นผู1ห้กำเนิด ในพระพุทธศาสนากล่าวว่า การกำเนิดบุตรนัน ด้องมีองค์ ประกอบอยู่ ๓ ประการ ได้แก่ ๑) มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน ทุทธประวัต ฉบับการฟ้นฟูสืส!rรรมโลก ๕๓ บฑที่ ๖ มาเจทตนเองกันเถอะ <9 '^ 9 www.kalyanamitra.org

๒) มารดามีระดูในช่วงนั้น และ ๓) มีกายปฏิสนธิวิญญาณของผู้ มาเกิดเป็นบุตร ดังนัน ดัวยองค์ประกอบดังกล่าวนี้ แม้ความ ก้าวหน้าทางการแพทย็ในปัจจุบ้น ซึ่งมีกรรมวิธีที่เรียกก้นว่า ผลิตเด็กหลอดแก้วได้ ก็ยังดัองอาดัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด เช่นก้น ๒. ต้องอาศัยธาตุ ๔จากภายนอก เช่น จากอาหารต่างๆ ลมแสงแดด และนำ มาหล่อเลี้ยงตลอดเวลากายจึงเจริญเติบโตขึ้นได้ ๓. ธาตุ ๔ ฑ้งภายในและภายนอก ต่างย้งไม่สะอาด บริสุทธจึงมีดวามแตกกระจัตกระจายไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นรังของ โรค เป็นของว่างเปล่า เป็นของไม่ใช่ตนเป็นธรรมตา ดังนั้น กาย ของแต่ละคนจึงล้วนอยู่ในสภาพที่ดัองประสบปัญหๆหลากหลาย แดกต่างก้นออกไป ๔. กายมนุษย์นี้เป็นเพียงของกลาง ๆไม่ดีและไม่ชั่ว แต่ ก็เป็นอุปกรณ์สำดัญยิ่งใหใจได้อาศัยใช้ทำความดีและคๆๆมชั่ๆได้ อย่างมหาศาลดลอดชีวิต ด้งน้น บัณฑิดผู้มีปัญญาทั้งหลาย จึงเอาใจใส่ดูแลร่างกาย ของตนให้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ เพื่อถนอมไว้ใช้ สร้างเฉพาะแต่คุณความดีหรีอบุญกุศลให้!ด้มๆกที่สุต ตั้งแต่ใน ขณะที่อยู่ในวัยแข็งแรง โดยไม่ผัดวันประก้นพรุ่ง เพราะระลึกอยู่ เสมอว่า วันหนึ่ง กายมนุษย์นี้จะด้องแดกดับไปตามกาลเวลา ความดายซึ่งไม่มีนิมิตหมายล่วงหน้า กำ ลังรอเราอยู่ดลอดเวลา จะนั้งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ หายใจทิ้งเปล่าไปวันๆ โดยไม่สร้างบุญ กุศลนั้นไม่ได้ ทุทธประว้ตฉบับการส์นฟูคีลธรรมโลก ๕๔ บทที๋๖นารู้จักตนเองกัน๓อะ www.kalyanamitra.org

เหตุที่ฑำให้รูปกายมนุษย์ต่างจากสัตว์อื่น ๆ ตามธรรมดาบิดามารดาที่เป็นมนุษย์ ย่อมให้กำเนิดบุดรที่ มีรูปกายเป็นมนุษย์ด้วยกัน แต่เคยมีปรากฏอยู่บ้างเหมีอนกัน ที่ บิดามารดาบางคู่ให้กำเนิดบุตรที่มีรูปกายเป็นดิรัจฉาน ซึ่งเป็น ส่วนน้อย และจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ การที่รูปกายของมนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์อื่นๆ มี สาเหตุสำคัญ คือ สมัยที่เคยเกิดเป็นมนุษย็ในชาดินั้นๆ ได้ตั้งใจ ประพฤดิดีปฏิบ้ดิชอบตามหสักกุศลกรรมบถ ๑0 อันประกอบ ด้วยกรรมดี ๓ ทาง คือ ๑) กรรมดีทางกาย หรือ กายกรรมสุจริต ๓ ได้แก่ - ละการฆ่าการเบียตเบียน^น สัตว์อื่น ทั้งไม่ชักชวน ในการฆ่าเปียตเบียน มีความเมตตากรุณาช่วยเหลือเกื้อกูล^น - ละการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ทั้งไม่ชักชวนในการ เอารัดเอาเปรียบมีความเคารพกรรมสิทธี้ในทรัพย์สินของ^น - ละการประพฤติผิดในกาม ไม่ล่วงละเมิดประเพณี การมีคู่ครอง ทั้งไม่ชักชวนในการประพฤติผิดในกาม มีความ เคารพให้เกียรติคนในครอบครัวของผู้อื่น ไอ) กรรมดีทางวาจา หรือ วจีกรรมสุจริต ๔ได้แก่ - ละการพูดเท็จ ไม่ยอมกล่าวเท็จ ทั้งไม่ชักชวน^น พูดเท็จ เพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น หรือเพราะเห็นแก่ผล ประโยชน์โด ๆ ymธประวัต๊ ฉบับการฟินฟูศีลธรรมโลก ^ มารู้จักอนเองกันเทอะ www.kalyanamitra.org

- ละการพูดส่อเสียด ทั้งไม่ชักชวนผู้อื่นพูดส่อเสียด แต่ช่วยสมานคนที่แดกร้าวกัน ชอบกล่าวถ้อยคำที่ส่งเสริมความ สามัคคีกัน - ละเว้นการพูดคำหยาบ ทั้งไม่ชักชวนผู้อื่นพูด คำ หยาบ พูดแต่คำไพเราะอ่อนหวาน และให้กำลังใจกัน - ละการพูดเพ้อเจ้อนินทา ทั้งไม่ชักชวนผู้อื่นพูด เพ้อเจ้อนินทาพดแต่คำจริงมีเหตผลถกกาลเทศะ รข สำ หรับกายกรรมสุจริด ๓ และการไม่พูดเท็จอันเป็นหAนง ในวจีกรรมสุจริด ๔ นั้น ก็คีอ ศีล ๔ข้อแรกในศีล ๕ นั้นเอง ๓) กรรมดีทางใจ หรือมโนกรรมสุจริต ๓ ได้แก่ - ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของ^น - ไม่คิดพยาบาทปองร้ายผ้อื่น ปรารถนาให้ผ้คน และลัดว้กังหลายมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข - มีความเห็นชอบ ชึ่งมีศัพท์ทางธรรมว่า สัมมาฑิฏฐิ แปงออกเป็น๑๐ ประการได้แก่ มีความเห็นชอบว่าการทำทานมีผลดี ผลวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วมีจริงเป็นด้น เนื่องจากกุศลกรรมบถ ๑๐ มิได้กล่าวถึงสาระสำคัญของ ศีลชัอที่ ๕ ในศีล ๕ ซึ่งได้แก่ เว้นจากการดื่มนั้าเมา อันเป็นที่ตั้ง แห่งความประมาท ด้งนั้น ท่านจึงได้กล่าวว่าการรักษาศีล ๕ และ การปฏิบัติกุศลกรรมบถ ๑๐ คือเหตุปัจอัยแห่งการได้มาซึ่งรูป พุฑรปรราฬิ ฉบับทารส์นฟูสิลธรรมโลก ^ ๕๖ ^ บฑที่ 10 มารู้จักตนIองกันIทอะ www.kalyanamitra.org

กายมนุษย์ ชึ่งมีคุณสมบํโติพิเศษกว่าสัตว์อื่นๆ และเหมาะสมต่อ การทำความดีเป็นอย่างยิ่ง คุณสมบัติพิเศษของกายมนุษย์ กายของสัตว์อื่นๆ ในโลกนี้ต่างก็ประกอบขึ้นจากธาตุ ๔ เช่น เดียวก็บมนุษย์แต่กายของมนุษย์มีลักษณะพิเศษกว่าสัตว์อื่นๆสังนี้ คือ ๑. ขณะที่ยืนและเดิน กายมนุษย์จะตั้งตรง เพราะสามารถ ควบคุมกระดูกสันหลังให้ตั้งฉากกับพื้นโลกไดีจึงสามารถเคลื่อนไหา ได้คล่องแคล่วว่องไว และมั่นคงสมด้ว ส่วนสัตว์อื่นๆ ล้วนมีกระดูก สันหลังอยู่ในแนวนอนหรือแนวขวาง ซึ่งขนานกับพื้นโลก การ เคลื่อนไหวจึงไม่มั่นคงเหมือนมนุษย์ ไอ. ขณะที่นั่ง กายมนุษย์จะตังตรง และนั่งไตันาน ครัน เมื่อนั่งเจริญสมาธิภาวนาจึงสามารถหาศูนย์กลางกายได้ง่าย ๓. ขณะที่นอนกายมนุษย์สามารถนอนราบไตัฑั้งหงาย ควๆ หรือตะแคง จึงทำให้พักผ่อนได้เต็มที ผิดกับสัตว์บางชนิด ที่ด้องยืนหลับ เช่น ม้า เป็นด้น ๔. รูปร่าง ขนาด และสัดส่วนของอวัยวะในกายมนุษย์ ล้วนเหมาะสมแก่การประกอบการงานเลึยงรวิต และทำคุณ ความดิฑกประเภท ทุทธประวัติ amiการส์นฟูสืลธรรมโลก - มารุ้จกดนเองกันเทอ www.kalyanamitra.org

การทีกายมนุษย์มีลักษณะพิเศษเหนือสัตว์อื่นๆ ลังกล่าว แลัวนื มิใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไดโดยง่าย หรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทว่ามีเหตุปัจจัยมาจากการบำเพ็ญคุณความดีหรือบุญกุศลของ เจัาลัวมาก่อนถือกำเนิดเป็นมนุษย็ไนชาตินี้ทั้งสิ้น ลังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าสลดใจอย่างยิ่ง ถ้าใครจะใช้กาย มนุษย์ของดนอย่างถล่มทลาย ลัวยการน่าร่างกายไปประกอบบาป อกุศล ลัวยการทำผิดศีลต่างๆ และการจมอยู่ถ้บอบายมุข ธรรมชาติของใจ ใจเป็นธาตุชนิดหนึ่งที่เป็นสิกหนึ่งองค์ประกอบเบึ่องต้น ของมนุษย์ ทำ ให้กายมนุษย์มีช้วิตขึ้นมา แต่เป็นธาตุละเสิยด จึงมีคุณสมบัติแดกต่างจากมหากูดรูป ๔ ซึ่งเป็นธาตุหยาบโดย สิ้นเชิง และมีธรรมชาติลังนี้ ๑. ไม่สามารถมองเห็นไต้ต้วยตาเปล่าไม่สามารถจับต้อง ไลัเหมีอนมหากูดรูป ๔ แต่เราสามารถมองเห็นใจไต้ลัวยดาทิพย์ หรือทิพยจักษุ ๖. ใจเป็นธาตุรู้ จึงทำให้คนเรารู้เรื่องราวต่างๆ ไต้ เช่น รู้ ธรรมะ รู้หนังสือ รู้จักเพื่อน รู้จักดีใจและเสืยใจ รู้จักรักและช้ง รู้จักกลัวและกล้า รู้จักเหตุและผล รู้จักหาความรู้เพื่มเติม ฯลฯ ๓. ใจสิงสถิตอยู่ในกายของคนและสัตว์ที่ยังมีสิวิต และ สิงสถิตอยู่ต้งแต่ถือกำเนิตมา ถ้าคนหรือลัดว์นั้นดาย ย่อม ทุทธประวัติ ฉบับการฟินฟูสิลธรรมโลก ๕๘ บทฑี๋ to มารู้จักดนเองmนถอะ www.kalyanamitra.org

หมายความว่าใจได้ละทิ้งร่างนั้นไปแล้ว เพื่อแสวงหาที่อยู่หรือที่ เกิดใหม่ ร่างที่ถูกใจทอดทิ้งไปแล้วนั้นจึงกลายเปีนศพ ๔. มีศัพใfใบฌญัติที่หมายถึงใจอยู่หลายคำ เช่นจิดจิดใจ มโน หทัย ฤทัย ฤดี วิญญาณ เป็นด้น ๕. ใจไฝใช่ธรรม และธรรมก็ไม่ใช่ใจ แต่ใจย่อมดีงาม เพราะมีธรรมประจำใจ ๖. ใจที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว ย่อมทำให้บุคคลสามารถมอง เห็นสภาวการณ์ต่าง ๆ ได้ชัดเจน ถูกด้อง เช่นเดียวกับการที่คน ตาดีทุกคนสามารถมองเห็น กุ้ง หอย ปู ปลา และกรวด ทราย ที่ อยู่ภายใด้นํ้าใสบริสุทธึ๋ไม่ขุ่นมัวได้ชัดเจนถูกด้องไม่ผิดเพี้ยน ๗. ใจที่เศร้าหมองขุ่นมัว ย่อมแก็ไฃให้ผ่องใสได้ด้วย การเจริญสมาธิภาวนา ๘. ใจที่ได้รับการแกอบรมด้วยการเจริญภาวนาแล้ว ย่อม ควรแก่การงาน อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ ย่อมนำสุข มาให้ ๙. ระบบการร้บรู้ของใจ เริยกว่า วิญญาณ คือ ความ รู้แจ้ง (ความรู้แจ้งอารมณ์) หมายถึงความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะ ภายใน(ดา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)กระทบกับอายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์)จึงทำให้เกิดการเห็น การไดยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งที่กายสัมผัส รู้ความนึกคิด การรับรู้ทั้ง ๖ ประการนี้ เรืยกว่า วิญญาณ ทุทธประวัติ ฉบับการฟ้นฟูศีลธรรมโลก - a ^มารู้จักตนเองกันเทอะ www.kalyanamitra.org

คำ ว่า วิญญาณ ผู้คนโดยทั่วไปมักเข้าใจว่า หมายถึงภูตผี ปีศาจ หรือสิ่งที่ล่องลอยออกจากร่างกายของคนที่ตายไปแล้ว แต่ ในพระพุทธศาสนา วิญญาณหมายถึง การรับรู้ของใจ อนึ่ง โตยเหตุที่ใจหรือวิญญาณมีอำนาจในการรู้ ในทาง ธรรมจึงเรืยกใจอีกอย่างหนึ่งว่า วิญญาณธาตุ คือ ธาตุรั นึ่คือ 0/ 0/ q l|^ คุณลักษณะพิเศษของใจ ซึ่งมีเหนือธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุลม ธาตุไฟ หรือ มหาภตรป ๔ •น <น อย่างไรก็ตาม ใจหรือวิญญาณธาตุจะอยู่ลอยๆ ตามลำพัง ไม่ได้ จำ เป็นต้องอาศัยอยู่ในกาย จึงทำให้กายมีรวิตดำเนิน ต่อไปไต้ เป็นธาตุละเอียด มีอำ นาจในการร้บรู้ ไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่า อยู่ในกายมนุษย์ทมีมีวิด ดั้งแด'เกิด ภาพที่ ๒ แสดงธรรมชาติของใจ ทุฑธประวัติ ฉบับการฟ้นฟูสืล![ทมโรท ^ ๖๐ ^ ฆทที่ ๖ มารู้จกรนเองกันเทอะ www.kalyanamitra.org

คุณสมบัติของใจ สิ่งที่น่าประหลาดมาก ก็คือมนุษย์ทุกคนมีใจ และอยู่ก็บใจ ของตนเองมาดลอดชีวิตตั้งแต่เกิด แต่กลับไม่รู้จักใจตัวเอง ไม่เคย เห็นใจตัวเอง ยกเว้นผู้ที่มีญาณทัสสนวิสุทธิเท่านั้น จึงมอง เห็นใจของตนเองได้ การที่มนุษย์มองเห็นใจได้ยาก และไม่อาจเห็นได้ด้วยดา เปล่านั้น เราจึงควรศึกษาคุณสมบตที่สำคัญของใจอย่างน้อย ๑๓ ประการที่มีปันทึกไว้เฉพาะในพระพุทธศาสนา อธิบายโดยย่อด้งนี้ ๑. ใจไฝใช่กาย(อสรีรํ)หมายความว่าใจไม่มีสรีระ หรีอรูป ร่างเหมีอนอย่างกาย ผู้ที่มองเห็นรูปพรรณลันฐานของใจได้ จึง จำ เป็นด้อง?เกสมาธิจนกระทั่งใจหยุดใจนิ่ง เข้าถึงกายในกาย จากนั้นย่อมสามารถเห็นใจของตนเองว่า มีลักษณะเป็นดวงกลม ใสสว่าง อยู่ในกายของตน โอ. ใจเกิดขึ้นได้ทีละดวง(เอกจรํ)ธรรมชาติของใจเป็นดวง กลมใส คล้ายลูกโป่งฟองสบู่ที่เด็กๆ เป่าเล่น ตามธรรมดาลูกโป่ง ฟองสบู่ลอยอยู่ได้ลักครู่ก็แดก ดวงใจของเราก็เช่นกัน แต่ทว่า แดกง่ายและเร็วกว่าลูกโป่งฟองสบู่เสียอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อจิต ดวงเก่าแดกด้บไป่แล้ว จิตดวงใหม่จึงเกิดขึ้นอีกหนึ่งดวง ครั้นเมื่อ จิตดวง ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ แดกด้บไป่อีก ก็จะมีจิตดวงใหม่เกิดขึ้น แทนอีกหนึ่งดวง โดยเหตุนี้ ถึงแม้ดวงจิตจะเกิด-ด้บ เกิด-ด้บ อย่างต่อเนึ่อง แต่ดวงจิตก็จะปรากฏครั้งละหนึ่งดวงเท่านั้น มิได้ ต่อกันเป็นสายด้งเช่นพวงมาลัยดอกมะลิ แต่มีลักษณะทำนอง เดียวกับนั้าหยดทีละหยดๆ ทุฑธประวัติ ฉบับการฟ้นฟูสิล!โรรมโลก a ^ มาเจักลนเองกันเทอะ พ s '' อ' www.kalyanamitra.org

คุณสมป้ตข้อที ๒ นีเอง เป็นเหตุใหใจคิดได้ทีละเรื่องเดียว ไม่สามารถคิดทีละหลายเรื่องพร้อมๆ กันได้ แม้กระนั้นก็คิดแต่ละ เรื่องได้อย่างรวดเร็ว ที่สำ คัญคือ เราสามารถเลือกคิดเฉพาะสิงที่ ตองการคิดได้ ด้งนัน ถ้าเรามีดุณธรรมประจำใจ เราย่อมจะ เลือกคิดเฉพาะสิงที่ดีงาม และเป็นประโยชน์ สิงใดที่เป็น โทษหรือไร้สาระ เราก็สามารถตัดทิ้งไปได้ โดยสรุปก็คือ ทุกคนมีสิทธึจะเลือกคิดมีสิทธึ๋ที่จะเป็นตัว ของตัวเอง หากด้องการจะเป็นไม่มีใครสามารถปิดกั้นความคิดของ เราได้ ไม่ว่าเขาจะมีอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม ๓. ใจด้องอาตัยกายที่ประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ เป็น ที่พักพิงเสมือนบ้านที่อยู่อาตัย นับตั้งแต่วันที่คนเราคลอด ออกมาจากครรภ์มารดา (คุหาสยํ) ที่สำ คัญคือ ใจจะด้องสถิตอยู่ ในกายนั้ใปตลอดชีวิต ไม่สามารถโยกย้ายไปอาคัยอยู่ในกายของ ผู้อื่นได้ ด้งเช่นการโยกย้ายบ้าน ไม่ว่าเราจะพอใจรูปกายของเรา หรือไม่ก็ตาม เพราะฉะนั้น รูปกายมนุษย์ที่เราได้มาตั้งแต่กำเนิด ไม่ว่า จะหล่อเหลา กัปล้กษถ!เ แข็งแรง หรืออ่อนแออย่างไรก็ตาม เรา จำ เป็นด้องไข้อย่างระมัดระวัง ไม่ประมาท และเอาใจใส่ดูแลรักษา อย่างดีที่สุด เพื่อถนอมเอาไว้สำหรับการสร้างบุญบารมีต่อไปนานๆ ทั้งนี้ด้องไม่คิดอิจฉาริษยา คนที่มีร่างกายสวยงาม แข็งแรง สมบูรณ์กว่าเรา เพราะนั้นเป็นผลบุญที่เขาสั่งสมมาแต่ชาติปาง ก่อนรวมทั้งปัจจุบ้นชาติด้วย ทุฑธป■ระวัติ ฉบับการฉัน■ฟูศีลธรรมโลก ๖๒ ^ มฑฑึ๋ ๒ มารู้จัทคนเองกันเทอะ www.kalyanamitra.org

อนึ่ง ผู้ที่มีปมด้อยเรื่องรูปกายในชาตินี้ ก็ด้องยอมรับ สภาพด้วยความอดทน ขณะเดียวกันก็ด้องเร่งพากเพียรสั่งสม บุญกุศลให้มากที่สุด เพื่อจะได้เป็นคนรูปร่างหน้าดาดี และอาจได้ ลักษณะมหาบุรุษหลายๆ ประการในภพชาติต่อไป ๔. ใจสามารถเที่ยวไปรับรู้ รูป เสิยง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ คืออายตนะภายนอก ๖ ได้ แม้อยู่ในที่ไกลๆ (ทูรง.คมํ) หมายความว่า ตัวเราแม้อยู่ที่บ้านของเราเอง แต่ใจ ของเรานั้นสามารถแล่นไป หรือเที่ยวไปรับรู้อารมณ์หรืออายดนะ ภายนอก ๖ ด้งกล่าว ซึ่งอยู่ในที่ไกลๆ ได้ โดยไม่ด้องเดินทางไป ยังที่อยู่ของอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า แสงเดินทางเร็วถึง ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที และแสงจากดวงอาทิดย์เดินทางมาถึงโลกของเรา ใช้เวลา ๘ นาที แต่การส่งใจไปและกลับระหว่างตัวเราและดวง อาทิดย็ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว เพราะเหตุที่ใจสามารถแล่นไปรับรู้เรื่องภายนอกกายได้ ไกลและเร็วไวมากด้งกล่าว จึงสามารถช่วยให้บุคคลที่เจริญสมถ ภาวนาและวิปัสสนาภาวนาถึงขั้นบรรลุญาณทัสสนวิสุทธิ สามารถรู้เห็นเรื่องจักรวาลต่างๆ ตลอดจนนรก สวรรค์และนิพพาน ดามความเป็นจริงได้ ๕. ใจเห็นได้แสนยาก (สุทุท.ทสํ) หมายความว่า ใจเป็น ธาตุที่ละเอียดอ่อนมาก ผู้คนโดยทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้ ยิ่ง กว่านั้นใจยังถูกกิเลสแทรกซึม ห่อหุ้ม เคลือบไว่อีกด้วย เราจึงรู้ใด้ พุฑรประวัติ ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโลก ^ ๖๓ ^ บททึ๋ b มารู้จักดนเองกัน๓อะ www.kalyanamitra.org

เฉพาะอาการของใจต่อเมื่อเราเจริญสมาธิภาวนาจนกระทั่งใจหยุดนิ่ง สนิทอยู่ภายในกายได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน หรือถาวร ย่อมสามารถเห็นใจตนเองได้ พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงอาศัยทิพยจักษุอันเกิดจากการ เจริญภาวนาของพระองค์มาหลายภพหลายชาติ ไปตรวจสอบ พระทัยของพระองค์ ทำ ให้ทรงสามารถเห็นพระทัยได้ชัดเจน และ อาศัยธรรมจักขุเห็นกิเลสที่แทรกอยู่ในพระทัย มานับภพนับชาติ ไม่ถ้วน ในที่สุดก็ทรงสามารกำจัดกิเลสเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปได้ โดยสิ้นเชิงเมื่อวันตรัสรู้ หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงสามารถเห็น ทั่งพระทัยของพระองค์เอง และใจชองสัตวโลกทั่งหลายได้อย่าง ง่ายดาย ครั้นแล้วด้วยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ พระองค์ก็ทรง ทุ่มเทเวลาดลอดพระชนม์ชิพ พรั้าสอนชี้แนะพุทธสาวกทั่งหลาย ให้หมดกิเลสด้งเช่นพระองค์ด้วย ๖. ใจละเอียดและเร็วที่สุด (สุนิปุณํ, ลหุตา) หมายความ ว่า ใจย่อมเกิดและดับได้เร็วมาก ชั่วเวลาเพียงดัดนิ้วมือ คือ เวลา ชั่วงอนิ้วมือและดีดออกเท่านั้น ใจของเราก็มืการเกิดและด้บ ถึง แสนโกฏิขณะ คือหนึ่งดัานๆ ครั้ง บุคคลที่ขาดประสบการถnน การเจริญสมาธิภาวนาชนิดเอาชีวิดเป็นเดิมพัน ย่อมไม่สามารถรู้ เท่าทันใจของดน และความจริงของชีวิดว่า ใจมืการเกิดและด้บ อยู่ทุกอนุวินาที ไฟฟ้ากระแสสดับที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก กระแสไฟฟ้าจะวิ่ง สดับกดับไปกดับมาระหว่างขั้วลบและขั้วบวกทำให้มืการดับแดัวเกิด เกิดแดัวดับ ๕๐-๖๐ ครั้งต่อวินาที แต่ดาของมนุษย์เราก็ไม่ พุฑฮประวัติฉบับการทั่นฟูฅลธรรมโลก ๖๔ บทที่ to มารู้จักตนเองกนเถอะ 0 ^ ปี www.kalyanamitra.org

สามารถมองเห็นอาการเกิดและดับของกระแสไฟฟ้าได้ จึงมอง เห็นว่ากระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนสายนํ้า ไม่มีสะดุด ไม่มีขาดดอน อาการที่ใจแต่ละดวงของคนเราเกิดแล้วดับแต่ละครั้ง ก็คือ การดายของเรานั่นเอง แต่เพราะเหดุที่การเกิดและดับของใจคน เรารวดเร็วถึงแสนโกฏิขณะต่อล้ดนิ้วมีอเดียว จึงทำให้ชาวโลก มองไม่ออกว่า ดนเองนั้นมีการดายและการเกิดอยู่ทุกขณะจิด จึง หลงประมาทว่าตนจะมีอายุยืนต่อไปอีกเท่านั้นเท่านี้ปี พระสัมมาล้มพุทธเจ้าได้ทรงเตือนสติชาวโลกว่า รวิดนี้สั้นนัก และความตายไม่มึนิมิตหมาย บุคคลที่มิ กิเลสหนาฟ้ญญาหยาบ จึงไม่มิโอกาสรู้ล่วงหนัาได้เลยว่า ความตายจะมาถึงด้วเมื่อใด® ๗. ใจข่มได้ยาก (ทุนุนิคคหํ)หมายความว่า หากใจใครคิด เดลิดเปิดเปิงอยู่ก้บเรื่องใดที่ตนชอบพอใจ หรือสนใจอย่างจริงจัง ถึงกับดกอยู่ในสักษณะห้วปักหัวปา ไม่เลิกรา ย่อมยากที่จะดึงใจ ให้กสับมาอยู่ในอำนาจของตนได้อีกในระยะเวลาสั้นๆ ถ้าเรื่องนั้น เป็นเรื่องดีก็ดีไป แต่ถ้าเป็นเรื่องร้ายก็นับว่าอันดรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น เราจึงต้องระวังป้องกันรักษาใจไว่ให้ดี โดย แกควบคุมใจตั้งแต่ตื่นนอนดอนเช้าจนกระทั่งเข้านอนดอนกลางคืน ให้เกิดเป็นนิสัยรักษาใจให้เกาะเกี่ยวอยู่ในเรื่องบุญกุศล ซึ่ง โบราณไดให้หสักปฏิป้ติง่ายๆไวั๓ ข้อ คือ ®> สัลลสูตร ะ ชุ.สู.(ไทย)๒๕/๕๘๐/๖๔๑ พุทธประวัต๊ ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโลก ๖๕ บททึ๋ ๖ มารูจักตนเองกันเถอะ www.kalyanamitra.org

เช้าใดยังไม่ไดให้ทานเช้านั้นอย่าเพิ่งกินช้าว วันใดยังไม่ได้สมาทานรักษ'าสีล วันนั้นอย่าเพิ่ง ออกจากบ้าน คืนใดยังไม่ได้สวดมนตไหว้พระ และทำสมาธิ คืน นั้นอย่าเพิ่งนอน โดยสรุป คือ ต้องควบคุมใจให้อยู่ในอู่แห่งทะเลบุญภายใน ต้วตลอดเวลา ๘. ใจชอบดิ้นรน(ผนฺทนํ)หมายความว่า ใจไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบดิ้นรนไปคิดเรื่องต่างๆตลอดเวลาโดยเฉพาะเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผ้ส และธรรมารมณ์ทั้งหลาย ที่ไร้แก่นสาร ไร้ประโยชน์ อันเป็นเหตุโห่ใจไม่มีสมาธิในการฟังและการศึกษาเล่าเรียน ๙. ใจกวัดแกว่งและกลับกลอก (จปล่)หมายความว่า ใจ ของคนเราชอบคิดจับจด ไม่ดำรงอยู่ในอารมณ์เดียว มีลักษณะ เหมีอนลิงที่ชอบกระโดดไปเกาะกิ่งไม้กิ่งโน้นกิ่งนี้ไม่มีเวลาหยุดนิ่ง ใจคนนั้นกวัดแกว่งยิ่งกว่าลิงเสียอีก คือคิดเรื่องแรกยังไม่ทันจบ ก็เปลี่ยนไปคิดเรื่องที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เรื่อยไป ไม่จบลักเรื่องเดียว ใจจึงขาดประสิทธิภาพในการคิด วิธีเดียวที่จะทำให่ใจมีประสิทธิ ภาพในการคิด คือการแกเจริญสมาธิภาวนาเพื่อให่ใจสงบ และมี ความสุข ๑๐.ใจรักษาได้ยาก (ทุรกข)หมายความว่า ใจตั้งมั่นอยู่ใน อารมณ์เดียวไต้ยาก ตุจเดียวทับการจับเด็กไร้เดียงสาให้นั้งนิ่งๆ อยู่ ณที่เดิมนานๆ ฉะนั้น ททรปรรวัคิ ฉบับการฟ้นฟูศลธnilโลก ^ ๖๖ ^ บฑที่ to มารู้จักดนIองกันเถอะ www.kalyanamitra.org

อย่างไรก็ตาม คนเราควรพยายามแกตนให้มีใจตั้งมั่นอยู่ ในอารมณ์เดียว ที่เรียกว่า สมาธิ ให้!ด้ เพราะสมาธิสามารถช่วยให้ ใช้ปัญญาที่มีอยู่ได้เต็มที่ ขณะเดียวก็นก็สามารถก่อให้เกิตปัญญา ใหม่ที่ยังไม่เกิด ยิ่งกว่านั้นการเจริญสมาธิภาวนายังเป็นทางมา แห่งบุญกุศลอีกด้วย ๑๑.ใจห้ามได้ยาก(ทุนฺนิวารยํ)หมายความว่าหากใจเคยชิน กับการคิตเรื่องใตเรื่องหนึ่งแล้ว ย่อมยากที่จะห้ามไม่ให้คิตเรื่อง นั้นหรีอคิตเช่นนั้นอีก ใจที่คุ้นอยู่กับความคิตในเรื่องที่ไม่ดี ย่อม ยากที่จะเปลี่ยนมาคิตเรื่องดีๆ ได้ ด้งนั้น คนเราด้องไม่ทำอะไรตาม ใจตัว เพราะจะกลายเป็นคนขาตวินัยไปตลอดชีวิต และกลายเป็นคน ติดนิสัยไม่ดีต่างๆที่เกิดตามมาจากการขาดวินัยไปตลอดชีวิตจนยาก จะแก่ไข ด้งเช่น กรณีของคนติดเหล้า ติดบุหรื่ ติดยาเสพติด เป็นด้น ๑๒.ใจมีความสว่าง (ปภสฺสรํ) หมายความว่า ใจของคน เรานั้น มีธรรมชาติใสสว่าง เมื่อยังไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจกิเลส ที่ช่อนอยู่ในใจ ซึ่งถูกกระคุ้นด้วยอารมณ์ภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ความจริงเกี่ยวกับความสว่างของใจนี้ เราสังเกตได้จาก ทารกแรกคลอดจากครรภ์มารดา ทั้งๆที่ทารกยังลืมดาไดไม่เต็มที่นัก แต่เพราะความสว่างของใจนึ่เอง ที่ทำ ให้ทารกสามารถจำหนัา มารดาของตนได้ ทว่าน่าเสียดาย เมื่อทารกนัอยโดวันโดคืนขื้น สภาพแวดล้อมต่างๆ ทำ ให้เต็กเรื่มโกรธเป็น เรื่มหวงแหนของกิน ของเล่นของตน เรื่มอิจฉาริษยาคนอื่น กิเลสเหล่านี้เอง ทำ ให้ ความสว่างของใจจางหายไป ทุฑธประวัตํ ฉบับการฟ้นฟูศลธรรนโลก ^ ^ ^ นารู้จักทพองกันเทอะ www.kalyanamitra.org

ครั้นเมื่อเด็กเติบโตขึ้น อายุมากขึ้น มีภาระเกี่ยวข้องกับ เรื่องราวและปัญหาต่างๆ มากมาย ความสว่างของใจตั้งแต่วัน ลืมตามาดูโลกก็อันตรธานไปสิ้น มีแต่ความมีดเข้ามาปกคลุม จิตใจแทน อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนามีวิธีขจัดความมีต อย่างทรงประสิทธิภาพยิ่งนัก นั่นคือการปฏิปัตบุญกิริยาวัตถุ ๓ ซึ่งประกอบด้วยการทำทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา จนเป็นนิสัยประจำใจ ๑๓.ใจนั้นแกได้ (ทนฺตํ) หมายความว่า ใจนั้นแกได็ไม่มีที่ สิ้นสุด ซึ่งนับว่าเป็นคุณวิเศษของใจที่น่ายินดียิ่ง คุณสมบตของใจ ข้อนี้เอง ที่เอื้อให้บุคคลสามารถพัฒนาตนได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ ว่าจะเกิดมายากดีมีจนอย่างไร ขอเพียงให้ใด้มีโอกาสพบครูดีจริง เทำนั้น ด้งกรณี โจรองคุลิมาล ซึ่งแม้จะเป็นโจรใจคออำมหิต แต่องคุลิมาลก็สามารถพัฒนาตนจนสามารถบรรลุอรห้ตผล เป็น พระอรห้นตสาวกองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา ส่วนประกอบของใจ ถึงแม่ใจเป็นธาตุละเอียดมาก ไม่สามารถมองเหินได้ด้วยตา ของคนเรา (ม้งสจักขุ/ตาเนี้อ) แต่ก็สามารถมองเหินได้ด้วยตาทิพย์ (ทิพพจักขุ) ซึ่งทำให้ทราบว่าใจนั้น ประกอบด้วยเนี้อใจที่มี สักษณะเป็นดวงกลมใสเรียงช้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ ตามลำด้บความ ใสบริสุทธ คือจากเนี้อใจชั้นนอกเข้าไปสู่ชั้นใน จากเนี้อใจหยาบ ไปหาละเอียด และจากตวงกลมใหญ่ไปหาเล็กตามลำด้บ ๔ ชั้น ด้งภาพต่อไปนี้ เแทรปรราฅ๊ ฉบบกา'รฟ้นฟูสืลธ'ทมโลก ๖{ร บทฑี๋ ๖ มารู้จักตนเองทนเทอะ www.kalyanamitra.org

กลิน ธรรมารมณ์ ภาพที่ ๓ แสดงส่วนประกอบของใจ เนื้อใจชั้นที่ ๑ เรียกว่า ดวงเห็น เป็นดวงกลมใสบริสุทธี้อยู่ วงนอกสุดมีขนาดโตเท่ากับเบาตาของผู้เป็นเจ้าของในดวงเห็นมีธาตุ สำ คัญเรียกว่า ธาตุเห็น ซึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ซึ่งผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ แล้วเปลี่ยนสัญญาณต่างๆ เหล่านั้น ส่งมายังตวงเห็นให้เกิตเป็น ภาพขึ้นภายใน เนื้อใจชั้นที่ไฮ เรียกว่า ดวงจำ เป็นดวงกลมใสบริสุทธิ้ซ้อน อยู่ภายในกัดจากดวงเห็นแต่มีความใสละเอียดกว่า มีขนาดโตเท่ากับ ตาขาวของผู้เป็นเจ้าของในดวงจำมีธาตุสำคัญเรียกว่า ธาตุจำ ซึ่ง ทำ หน้าที่บันทึกเวทนาขันธ์ และภาพที่ดวงเห็นส่งมาให้ เป็นการ ทำ หน้าที่ด้านรีบรูของจิตเท่านั้น ททรป'!รวัติ ฉบับการฟ้นฟศลธใรมโลก ๖๙ บ*!กี่ ๖ มาเจักตนIองกันเถอะ ๙» ^ 9. a www.kalyanamitra.org

เนือใจชันที่ ๓ เรียกว่า ดวงคิด เป็นดวงกลมใสบริสุทธ ละเอียดกว่า ดวงจำ ช้อนอยู่ภายในถัดจากดวงจำ มีขนาดโต เท่าถับตาดำของผู้เป็นเจ้าของในดวงคิดมีธาตุสำคัญเรียกว่า ธาตุคิด ซึ่งมีหน้าที่นำข้อมูลต่าง ๆมาคิดปรุงแต่งเป็นเรื่องราวต่าง ๆ เนื้อใจชื้นที่ ๔ เรียกว่า ดวงรู้ เป็นดวงกลมใสบริสุฑธิ้ที่สุด ช้อนอยู่ภายในดวงคิด มีขนาดโตเท่ากับแววดาของผู้เป็นเจ้าของ ในดวงรู้มีธาตุสำคัญเรียกว่า ธาตุรู้ มีหน้าที่รับรู้ตามที่ดวงคิด ปรุงแต่งแล้วส่งมาให้ อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ดวงใจของคนเรานั้น มีลักษณะกลม ประกอบด้วยเนื้อใจเป็นดวงกลมใสบรีสุทธี้เรียงช้อนถันอยู่ ๔ ดวง (ด้งในภาพ) ดวงใจของแต่ละคน มีขนาดโดยรอบ โดเท่ากับเบ้าตา ของผู้เป็นเจ้าของ กลไกการทำงานของใจ เนื่องจากคนเราเกิดมาพร้อมกับอวิชชา คิอความไม่รู้นับตั้ง แต่ไม่รู้ว่าก่อนเกิดเรามาจากไหน เมื่อเกิดมาแล้วจะมีชีวิดอยู่ต่อ ไปได้นานเท่าใด จะตายที่ไหน ตายอย่างไร ฯลฯ เราต่างได้เรียน รู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับสภาพชีวิตภายหลังจากการเกิตของเราทั้งสิ้น สิ่งที่ฑำหน้าที่รู้ทุกอย่างก็คือ ใจของเรา มิใช่สมอง ด้งที่ เข้าใจกันโดยทั้วไป ด้งนั้น เรื่องที่คนเราจำเป็นด้องรีบเรียนรู้เป็น อันด้บแรกก็คือ กลไกการทำงานของใจ เพราะเป็นกระบวนการ สำ คัญยิ่งที่ทำให้คนเราสามารถเรียนรู้เรื่องต่างๆได้อย่างกจ้างขวาง ทุทธประวัด ฉบบการฟ้นฟูศลธรรมโลก ^ ๗๐ ^ บททึ๋ to มาเจกตน๓งกัน๓อะ www.kalyanamitra.org

ยิ่งมีความรู้เกี่ยวกับกลไกการทำงานของใจอย่างถูกต้องได้มาก และเร็วเท่าใด ก็จะเป็นการเพิ่มพูนทั้งสติและปัญญาให้แก่ตนเอง ไต้มากขึ้นและไวขื้นเท่านั้น กลไกการท่างานของใจ สามารถแบ่งออกไต้เป็น ๔ ขั้นตอน ตามส่วนบ่ระกอบของใจ ทั้ง ๔ตวง อย่างต่อเนื่องกันตามลำต้บ ต้งนี้ ขั้นตอนที่ ๑ การทำงานของดวงเห็น ๑.๑)การทำงานของใจประสานกับตา เมื่อ รูป หรือวัตถุกระทบตา ประสาทตาในลูกนัยน์ตา ก็ส่งสัญญาณภาพของวัตถุนั้นไปยังดวงเห็น ตวงเห็นก็รับสัญญาณ ภาพนั้นไวั(ขณะนี้มีแต่เพียงสัญญาณยังไม่มีภาพ) ธาตุเห็น ที่อยู่ในดวงเห็นจะท่าหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณภาพ นั้นให้เป็นภาพวัตถุที่ประสาทตาส่งมาให้ทันทีเป็นผลให้ดวงเห็นเกิด การเห็นภาพวัตถุขึ้นภายใน นั้นคือเห็นด้วยใจ ไม่ใช่เห็นด้วยตา ดังที่เราเข้าใจกัน เมื่อบุคคลไต้เห็นภาพวัตถุนั้น ย่อมจะเกิดความรู้สึกอย่าง ใตอย่างหนื่งใน๓ อย่างต่อไบ่นี้คือ เป็นสุข เป็นทุกข์หรือไม่สุขไฝ ทุกข์คือเฉยๆ ความรู้สึกเหล่านี้มีศัพท์ทางธรรมว่า เวทนาขันธ์ การท่างานของดวงเห็น เกี่ยวกับการเห็น อาจแสดงด้วยภาพ ต่อไบ่นี้ ทุทธประวัด ฉบบการฟ้นฟุศลธรรมโรท e, a ^ฆารุจกตนเoonuinos www.kalyanamitra.org

กระทบ ■> ตา ประสาทตา ใจเห็นภาพ ดวงเหน + เปลี่ย^ ความร้สิก เป็นภาพ ทุกฃ ไม่สุขไม่ทุกข์ ภาพที่ ๔ แสดงเวทนาขันธ์เกิดจากการทำงานของดวงเห็น: การเห็น ๑.ไอ) การทำงานของใจประสานกับหู เมื่อเสียงกระทบหู ประสาทหูในช่องหู ก็รับสัญญาณ เสียงนั้น แล้วส่งไปให้ดวงเห็นทันที ธาตุเห็น ที่อยู่ในดวงเห็น จะทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณเสียง นั้น ให้เป็นภาพของรัตถุที่เป็นต้นกำเนิดของเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว ยังผลให้ตวงเห็น เกิดการเห็นภาพรัตธุควบคู่กับการได้ยินเสียง ที่เกิดจากวัตถุนั้นพรัอมกัน นั้นคือ ใจ ทำ หน้าที่ใต้ยินเสียงทางหู นั้นคือ ได้ยินเสียงด้วยใจ ไม่ใช่หู ต้งที่เราเข้าใจกัน การไต้ยินเสียงกับการไต้เห็นภาพของวัตถุอันเป็นต้นกำเนิด ของเสียงพร้อมๆ กันนั้น ย่อมทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกอย่าง Yjnธป1ะวัติ ฉบับการฟ้นฟูคล!TJ'รมโลก ๗๒ บฑฑึ๋ to มารู้จักตนIองnuinอ: www.kalyanamitra.org

ใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่างต่อไปนี้ คือ เป็นลุ[ข เป็นทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ (เฉยๆ)ความรูสึกเหล่านี้เรียกว่า เวทนาขันธ์ การทำงานของดวงเห็นเกี่ยวกับการไดยิน อาจแสดงได้ด้วย ภาพต่อไปนี้ กระทบ ประสาทห ใจเหนภาพ ดวงเหน ได้ยินเสิยง เปลยน ความรู้สีก เฟ้นภาพ -ทุกฃิ -ไม่สุขไฝทุกข์ ภาพที่ ๕ แสดงเวทนาขันธ์เกิดจากการทำงานของดวงเห็น การได้ยิน ๑.๓) การทำงานของใจประสานกับจมูก เมื่อกลิ่นกระทบจมูก ประสาทจมูกในช่องจมูก ก็รับ สัญญาณกลิ่นนั้น แล้วส่งไปให้ดวงเห็นทันที ธาตุเห็น ที่อยู่ในดวงเห็น จะทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณ กลิ่นนั้นให้เป็นภาพของวัตถุที่เป็นกำเนิดของกลิ่นนั้นอย่างรวดเรีา ยังผลให้ดวงเห็นเกิดการเห็นภาพวัตถุควบฺคู่กับการใด้กลิ่นของ วัดถนั้น พรัอมกัน ทุทธประวัด ฉบับการฟ้นฟูศลธรรมโลก ๗๓ ^ บกท to มารู้จักตน!องกันเถอะ www.kalyanamitra.org

นั่นคือ ใจ ทำ หน้าที่ไดกลิ่นทางจมูก นั่นคือ ได้กลิ่นด้วยใจ ไม่ใช่จมูก ดังที่เราเข้าใจกัน การไดักลิ่นกับการไดัเห็นภาพของวัตถุอันเป็นดันกำเนิด ของกลิ่นไปพร้อมกันนั่น ย่อมทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกอย่าง ใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่างต่อไปนี้ คือ เป็นสุข เป็นทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ (เฉยๆ)ความรูสึกเหล่านี้เรียกว่า เวทนาขันธ์ การทำงานของดวงเห็นเกี่ยวกับการไดักลิ่น อาจแสดงไดั ดัวยภาพต่อไปนี้ กลิ่น —02ะ!พ-^จมก ประสาฑจมก ใจเหนภาพ ดวงเหน ความร เปลยน —— -ทุกชิ เป็นภาพ -ไม่สุชิไม่ทุกช่ ภาพที่๖ แสดงเวทนาข้นธ์เกิดจากการทำงานของดวงเห็น ะ การไดักลิ่น ๑.๔) การทำงานของใจประสานกับลิ้น เมื่อรสกระทบลิ้น ประสาทลิ้นตรงกลางแผ่นลิ้น ก็ร้บ สัญญาณรสนั้น แล้วส่งไปให้ดวงเห็นกันที ทุทธป\"ระวัต ฉบับกา\"รฟ้นฟ่ศลธรรมโลก ๗๔ ษฑที๋ to มาเจักตนเองกัน๓อะ www.kalyanamitra.org

ธาตุเห็น ที่อยู่ในดวงเห็นจะทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณรสนัน ให้เป็นภาพของวัตถุที่เป็นต้นกำเนิดของรสนั้นอย่างรวดเร็า ยังผล ให้ดวงเห็น เกิดการเห็นภาพวัตถุควบคู่กับการไต้สิมรสของวัตถุ นัน้ พร้อมๆ กัน นั้นคือ ใจทำหน้าที่ลิ้มรสทางลิ้น นั้นคือ ไต้ลิ้มรสต้วยใจ ไม่ใช่ลิ้น ต้งที่เราเข้าใจกัน การไดลิ้มรสกับการไต้เห็นภาพของวัตถุอันเป็นต้นกำเนิดของ รสพร้อมๆกันนั้นย่อมทำให้บุคคลเกิดความรูสึกอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่างต่อไปนี้ คือ เป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ (เฉยๆ) ความรูสึกเหล่านี้เรียกว่า เวทนาขันธ์ การทำงานของดวงเห็นเกี่ยวกับการไดลิ้มรสอาจแสดงไต้ต้วย ภาพต่อไปนี้ รส \"ระท^ > ลิ้น \\ ประสาฑลิน /^^ห็นภาพ^\\ (ดวงเห็น) [ ไต้ลิ้มรส j \\ความรู้สิก/ •ทุกข ร.^ เปลี่ยน •ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นภาพ ภาพที่ ๗ แสดงเวทนาขันธ์เกิดจากการทำงานของดวงเห็น: การไดลิ้มรส ทุฑธประวัค ฉนบการฟ้นฟูสิลธรรมโลก บฑที๋ to มารู้จักลนเองทัพทอะ www.kalyanamitra.org

๑.๕) การทำงานของใจประสานกับกาย เมื่อโผฏฐัพพะ (สิ่งที่ถูกต้องกาย เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง) กระทบกาย ประสาทกายในกายก็ร้บสัญญาณโผฏฐัพพะนั้น แล้ว ส่งไปให้ดวงเห็นทันที ธาตุเห็น ที่อยู่ในดวงเห็น จะทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณ โผฏฐัพพะนั้น ให้เป็นภาพของวัตถุที่เป็นต้นกำเนิดของโผฏฐัพพะ นั้นอย่างรวดเร็วยังผลให้ดวงเห็นเกิดการเห็นภาพวัตถุควบคู่กับ การได้สัมผ้สวัตถุนั้นพร้อมๆ กัน นั้นคือ ใจทำหน้าที่สัมผัสโผฏฐัพพะ นั้นคือ ได้สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยใจ ไม่ใช่กาย ต้งที่เราเข้าใจ กัน การไต้สัมผัสกับการไต้เห็นภาพของวัดถุอ้นเป็นต้นกำเนิด ของโผฏฐัพพะ พร้อมๆ กันนั้น ย่อมทำให้บุคคลเกิดความรู้สึก อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่างต่อไปนี้คือ เป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์(เฉยๆ)ความรูสึกเหล่านี้เรียกว่า เวทนาขันธ์ การทำงานของดวงเห็นเกี่ยวกับการไต้สัมผัสอาจแสดงไต้ต้วย ภาพต่อไปนี้ ทฑรปา!รวัติ ฉบับการส์นฟูสืลธรรมโลก ^ ๗๖ ^ บทที่ b มาเจทตนIองกันIนอะ www.kalyanamitra.org

— > กาย ใจเหนภาพ ประสาทกาย ได้สัมผ้ส ดวงเหน ความรู้สิก เปลี่ยน เป็นภาพ ภาพที่ ๘ แสดงเวทนาขันธ์เกิดจากการทำงานของดวงเห็น การได้สัมผัส ๑.๖)การทำงานของใจขณะรับรรร3Jารมณ เมื่อธรรมารมณ์ (ความคิดหรือสิ่งที่ใจนึกคิด)กระทบใจ ใจ ก็รับสัญญาณของความคิดนั้นแล้วส่งไปให้ดาง''ห็บ>ทํ'นที ธาตุเห็น ที่อยู่ในดวงเห็น จะทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณ ธรรมารมณ์นั้น ให้เป็นความรู้เห็นอย่างรวดเร็ว ยังผลให้ดวงเห็น สามารถเห็นทั้งความคิดที่ใจคิดขึ้นเอง และภาพอันเกิดจากความ คิดนั้น ธรรมารมณ์ หรือความคิดและภาพ อันเกิดจากความคิดที่ ปรากฎในดวงเห็น ย่อมทำให้บุคคลเกิดความรูสึกอย่างใดอย่างหนึ่ง ใน ๓ อย่างต่อไปนี้ คือ เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ (เฉยๆ)ความรูสึกเหล่านี้เรืยกว่า เวทนาขันธ์ ทุฑธประวด ฉบบการฟ้นฟูศีลธรรมโลก ๗๗ ^ มารู้อักคนเองกนเถอ: www.kalyanamitra.org

การทำงานของดวงเห็นเกี่ยวกับธรรมารมณ์ อาจแสดงได้ ด้วยภาพต่อไปนี้ ธรรมารมณ์ > ใจ ^ „ สญญาณจากเจ ธรรมๆรมณ ดวงเหน ^าณเปล^ เป็นภาพ ภาพที่ ๙ แสดงเวทนาขันธ์ เกิดจากการทำงานของดวงเห็น ธรรมารมณ์ เกี่ยวกับเรื่องการทำงานของดวงเห็นที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อาจสรุปได้ว่า การที่คนเราที่งยังมืสิวิดอยู่ สามารถมองเห็นรูป หรือสิงต่างๆ สามารถได้ยินเสียงต่างๆ พร้อมทั้งเห็นภาพ ของสิงด้นกำเนิดเสียงเหล่านัน สามารถได้กลิ่นต่าง ๆ พร้อม ทั้งเห็นภาพของวัตถุด้นกำเนิดกลิ่นเหล่านั้น สามารถได้ลิ่ม รสต่าง ๆ พร้อมทังเห็นภาพของวัตถุด้นกำเนิดรสเหล่านั้น สามารถสัมผัสลิ่งต่าง ๆ พร้อมทังเห็นภาพของโผฏฐัพพะ เหล่านัน สามารถเห็นความคิดต่าง ๆ ของตนเอง พร้อมทั้ง เห็นภาพของความคิดเหล่านั้น ก็เพราะมีใจทำหน้าที่ด้งกล่าว ใเแฑรป1รว้ด ฉบบทา\"!ฟ็นฟูศลรT!มTan ๗๘ บฑฑี๋ to มารุ้จทดนlaonumor « ■'^ ๆเ www.kalyanamitra.org

ด้วยดวงเห็น หาใช่เป็นการทำหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ คือ ตา หู จมูก ลิน้ และกาย ด้งที่เข้าใจกันโดยทั่วไปไฝ สิ่งเหล่านี้อาจพิสูจน์ได้ด้วยวิธีง่ายๆ โดยสังเกตดูคนที่ ตายแล้ว แม้อวัยวะต่างๆ ด้งกล่าว ยังอยู่ครบล้วน อีกทังมิได้ พิกลพิการประการหนึ่งประการใต แต่ก็ไม่สามารถทำหน้าที่ ด้งกล่าวได้เลย ขั้นตอนที่ ใฮ การทำงานของดวงจำ ดวงเห็นส่งเวทนาขันธ็ไปให้ดวงจำหรือเนี้อใจชั้นที่๒ ตวง จำ ก็รับเวทนาขันธ์นั้นไว้ทันที ธาตุจำ ซึ่งอยู่ในตวงจำ ก็ทำ หน้าที่บันทีกเวทนาขันธ็ไวิใน ตวงจำคือบันทีกทั้งภาพและความรู้สึกที่มีต่อภาพที่ถูกบันทึกนั้น เวทนาขันธ์ ที่ถูกบันทึกไว้นี้จะกลายเป็นความจำที่ถูกเก็บ ไวิในตวงจำ และมีศัพท์ทางธรรมว่า สัญญาขันธ์ ด้งนั้น สัญญาขันธ์ จึงหมายถึง ความจำเกี่ยวกับรูปที่ เดยเห็น เสิยงที่เดยได้ยิน กลิ่นที่เคยสูดดม รสที่เดยลิม โผฏฐัพพะที่เคยสัมผัสแตะด้อง และธรรมารมณ์ที่ใจคิด ซึ่งถูก บันทึกไว้พร้อมทั้งความรู้สึกที่บุคคลมีต่อสิ่งเหล่าน้นว่า เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งทั้งหมตนี้ก็คือ ความจำของบุคคล อันเกิตจากประสบการถnนชีวิต และจะกลายเป็นขัอมูลในการคีต ต่อไป การทำงานของตวงจำ อาจแสตงได้ด้วยภาพด้งต่อไปนี้ ทุทธประวัต ฉบับการฟ้นฟูสืลธทมโลก ^ ๗of ^ น\"ทึ๋ to มาเรํก«น1องกันเถอะ www.kalyanamitra.org

e เวทนาข้นธ์ — ^ J ►(ภาพ + ความร้สีก) ดวงจำ ขณะที่ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ่มรส ได้ส้มผ้ส นึกคิด บันทึกเวทนาข้นธ์ไว้เป็นข้อมูลอยู่ในความทรงจำ ภาพที่ ๑๐ แสดงสัญญาขันธ์เกิดจากการทำงานของดวงจำ ขั้นตอนที่ ๓ การทำงานของดวงคิด ดวงจำ ส่งสัญญาขันธ์หรือข้อมูลต่างๆ ที่บันทึกไวใปให้ ดวงคิด หรือเนื้อใจชั้นที่ ๓ดวงคิดก็รับข้อมูลนั้นไว้ทันทึ ธาตุคิดซึ่งอยู่ในดวงคิดจึงนำข้อมูลที่รับไว้มาคิดปรุงแต่ง เป็นเรื่องราวต่าง ๆ นานา การคิดปรุงแต่งนี้ อาจเป็นการคิดใน ทางดี เรียกว่า กุศล หรีอทางชั่ว เรียกว่า อกุศล หรีอทางไม่ดี ไม่ชั่ว เรืยกว่า อพยากฤต ก็ได้การคิดปรุงแต่งทึเกิดขึ้นในดวงคิดนี ท่านเรืยกว่า สังขารขันธ์ ถ้าคิดในทางดี ก็เป็นกรรมดีทางใจ บุญก็เกิดฑ้นฑึ ถาคิดในทางขัว ก็เป็นกรรมขัวทางใจ บาปก็เกิดฑันทึ ทท&ปรรวัดี ฉบับการส์นฟูศลธรรมโลก ๘๐ บทฑึ๋ to มารู้จักตนเองกันเทอร , t, www.kalyanamitra.org

ถ้าคิดในทางไฝดีไม่ชั่ว ก็เป็นกรรมทั้งไม่ดีและไม่ชั่ว บุญบาปใด ๆ ก็ไม่เกิด® 0 สัญ าขันธ์ ^การทำงานของความคิดอาจแสดงไว้ด้วยภาพดังต่อไปนี้ (ภาพ+ความรู้สิก) ►((ดวง^คด\\] นำ ข้อมูลในความทรงจำ y มาคิดปรุงแต่ง - ทางดี ะ คุศล s ทางชั่ว ะ อกศล s ทางไม่ดีไม่ชั่ว ะ อ้พยากฤต ภาพที่ ๑๑ แสดงสังขารขันธ์เกิดจากการทำงานของดวงคิด ขันตอนที ๔ การทำงานของดวงรู้ ดวงคิด ส่งสังขารขันธ์ หรือความคิดที่ปรุงแต่ง ซึ่งไดั ประเมินเรียบร้อยแล้วว่าดีหรือชั่วหรือไม่ดีไม่ชั่วไปให้ดวงรู้คือเนี้อใจ ชั้นในสุด ธาตุร ซึ่งอย่ในดวงร'จะทำหน้าที่ร้บร้ดามที่ดวงคิดส่งมาให้ จ่นิ <น <น ฆิ ® ถ้าคิดในทางไม่ดีไม่ชั่ว มุ่งหมายเอาการเกิดขึ้นของจิตขณะเป็นวิบากเท่านั้น จึง ไม่จ้ดเป็นดีเป็นชั่ว เพราะเป็นผลของกรรม และความคิดของพระอรหันต์ก็ไม่จัด เป็นดีชั่ว เป็นเพียงกิริยาของจิต เพราะท่านปราศจากอวิชชา อันเป็นปัจจัยใหัเกิด บาปบุญ (อกุสลาภิสังขาร กุสลาภิสังขาร) พุทธประวัค ฉบับการส์นฟูสืลธรรมโลก ^ รร® ^ บทที่ to มารู้จักตนเองกันเถอะ www.kalyanamitra.org

ถ้าดวงคิดปรุงแต่งด้วยความคิดอันเป็นกุศลหรือทางดี ท จะก่อให้เกิดการรู้ที่เป็นเรื่องกุศล หรือเรื่องความดี พร้อมถ้นนั้น พลังงานบริสุทธี้ชนิดหนึ่งก็เกิดขึ้น พลังงานบริสุทธชนิดนี้เรืยกว่า บุญ พลังบุญนี้สามารถกำจัดกิเลสและนำความสุขความเจริญต่างๆ มาไหได้ ถ้าดวงคิดปรุงแต่งด้วยความคิดอันเป็นอกุศลหรือทางชั่วก็ จะก่อให้เกิดการรูทเป็นเรื่องอกุศล หรือเรื่องความชั่วพร้อมถ้นนั้น พลังงานไม่บริสุทขึ้ มีแต่ความสกปรก หยาบคายร้ายกาจชนิด หนึ่งก็เกิดขึ้น พลังงานไม่บริสุทธิ้ชนิดนี้เรืยกว่า บาป พลังบาปนี้ สามารถสนับสนุนส่งเสริมกิเลสให้แพร่ระบาดห่อหุ้มบีบคั้นใจให้ เกิดทุกข็โทษต่างๆ นานาได้ ถ้าดวงคิดปรุงแต่งด้วยความคิดอันเป็นอัพยากฤตหรือทาง ไม่ดีไม่ชั่ว(วิบากจิต)พลังงานที่ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาปก็จะเกิดขึ้น พร้อมๆ อัน พลังงานที่เป็นกลางๆ ชนิดนี้ย่อมสนับสนุนส่งเสริม ให้เกิดความคิดดีหรือชั่วต่อไป ความรู้ทั้งที่เป็นกุศล อกุศล และอัพยากฤต เหล่านี้เรืยกว่า วิญญาณขันธ์ เมื่อกระบวนการทำงานของดวงเห็นดวงจำดวงคิด ดวงรู้เกิด ขึ้นติดต่ออันดามลำดับจนครบแล้ว ก็จะก่อให้เกิดความรู้ขึ้นที่ใจ ท่านจึงเรืยกว่า การรู้อารมณ์ของใจ การทำงานของดวงรู้อาจแสดงได้ด้วยภาพที่ ๑๒ ทุฑรป-รรวัดิ ฉบับกา'รส์นฟูสืลธรรมโลก ๘๒ ฃฑที่ to มารู้จักคนเองกันเถอะ www.kalyanamitra.org

ดวงคิด ส้งฃารฃันธ์ เลฺอกรูวา / T ร ,คิดปรุงแด่งข้อมล ดี-ชั่ว-กลาง ๆ ทางดี ทางชั่ว ทางไมดีไมํชั่ว L 1 l1 กรรมดี กรรมชั่ว กรรมไม่ดีไม่ชั่ว 1 ดวงร ■< ไม่เกิดบุญบาป ภาพที่ ๑๒แสดงวิญญาณขันธ์เกิดจากการทำงานของดวงรู้ สิงที่ต้องรู้เกี่ยวกับการรู้อารมณ์ เนื่องจากการรู้อารมณ์ของใจเกิดจากการถูกส่งต่อเป็นทอดๆ ไปตามลำดับ จาก ดวงเห็น ชึ่งมีขนาดโดที่สุด คือเท่าเบ้าตา ไปสู่ ดวงจำ ซึ่งมีขนาดรองลงมา คือเท่าตาขาว จาก ดวงจำไปสู่ ดวงคิด ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าดวงจำ คือเท่า ตาดำ และจาก ดวงคิด ไปสู่ ดวงรู้ ซึ่งมีขนาตเล็กจิ๋ว คือเท่า แววตา ดังนั้น ความรู้อารมณ์ของใจจึงแคบลงๆ เรื่อยๆ ตามลำดับ จากขั้นดวงเห็นจนถึงขั้นสุดท้ายในดวงรู้ เป็นเหตุให้ความรู้ที่ได้ รับมักวิปริตผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ทำ นองเดียวกับการส่ง าเแฑรปรรวัฬิ ฉบับกา'!ฟ็นฟูศลDรรมโan ๘๓ นฑที๋ ๒ มารู้จัก®นเองกันเทอะ www.kalyanamitra.org

ข่าวสารด้วยการบอกต่อกันปากต่อปาก กว่าข้อมูลจากคนแรกจะ ไปถึงคนสุดท้าย ย่อมมีโอกาสขาดตกบกพร่อง และผิดเพี้ยนได้มาก ทั้งนี้เพราะคนเราแต่ละคนล้วนแตกต่างกันทั้งด้านความรู้ ท้ศนคติ และสติปัญญา ความรู้อารมณ์ของใจนี้ท่านเรียกว่า รู้ด้วยวิญญาณ เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถทำสมาธิได้ดีพอที่จะสามารถ ขยายดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด และดวงรู้ให็ใดขึ้นมากๆ และแต่ละ ดวงมีขนาดโตเท่ากัน ความรู้อารมณ์ของใจก็จะขยายกว้างไกล ออกไปเป็นเงาดามตัว ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเห็นและรู้ตรงดาม ความเป็นจริง ดามธรรมชาติของสิ่งต่างๆ การรู้อารมณ์ของใจใน ลักษณะนี้ ท่านเรียกว่า รู้ด้วยญาณ ซึ่งเป็นการรู้เห็นที่เกิดขึ้นในใจ ของ พระอริยเจ้า และ พระอรหันต์ทั้งหลาย อนึ่ง สำ หรับการเห็นของบุคคลโดยทั้วไป ถ้าการเห็นที่เกิด ขึ้นในดวงเห็นเป็นไปอย่างชัดเจนย่อมส่งผลให้การจำ การคิด และ การรู้ถูกด้องตรงตามความเป็นจริงแต่ถ้าการเห็นในดวงเห็นเกิด ความผิดพลาดคลาดเคลื่อนในเบื้องด้นแล้ว การจำ การคิด และการรู้ ย่อมผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นเหตุให้บุคคลเกิดความ เข้าใจผิดได้อย่างอเนกอนันต์ สาเหตุที่ทำให้การเห็นในดวงเห็นไม่ชัดเจน การที่การเห็นที่เกิดขึ้นภายในดวงเห็นไม่ชัดเจน มีสาเหตุ สำ คัญอยู่ ๓ ประการคือ พุทธปรรวัคิ ฉบับการฟ้นฟศีลธรรมโลก ๘๔ ม*'ที 1» มารู้ร้'ทตนเองกันเคอะ www.kalyanamitra.org

๑. อารมณ์ต่าง ๆ คือ รูป เสียง กลิ่นรสโผฏฐัพพะ หรือ ธรรมารมณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเรา อยู่ในลักษณะหรือ สภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น ใกล้เกินไป ไกลเกินไป มืดเกินไป สว่าง เกินไป ดังเกินไป ค่อยเกินไป ร้อนน้อยเกินไป เย็นน้อยเกินไป เป็นดัน สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว ย่อมทำให้การกระทบกัน ระหว่าง ดา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์ ไม่เป็นไปดามปรกติ ซึ่งจะมีผลให้การ เห็นภายในดวงเห็นไม่ชัดเจนและคลาดเคลื่อนไปจากควาบเป็นจริง ใอ. ความผิดปรกติของสุขภาพกาย แปงออกเป็น ไอ.๑ ความเสือมสุขภาพกายอย่างกะทันท้น เพราะ เหตุอันใดอันหนึ่งดามธรรมชาติ เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดฟัน เป็นไชัอย่างกะทันห้น ฯลฯ รวมที่งการเมาสุรายาเสพติดทั้งหลาย อันเป็นเหตุให้ หู ดา จมูก ลิ้น กาย ใจ ดลอดจนสุขภาพร่างกาย ของบุคคลเสื่อมคุณภาพทันทีชั่วขณะ จึงทำงานผิดปรกติชั่วคราว คือขณะมีนเมาเท่านั้น ไอ.ไอ ความเสือมสุขภาพกายอย่างถาวร เช่น การ ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ดลอดจนการติดยาเสพติดเรื้อรังจนร่างกาย ทรุดโทรม เป็นดัน อันเป็นเหตุให้ดา หู จมูก ลิ้นกายใจทำงานผิดปรกติ จึงทำให้การเห็นในดวงเห็นผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความจริง ๓. ความผิดปรกติของสุขภาพใจของบุคคล เช่น ขณะ กำ ลังเกิดความโลภจัด โกรธจัด หรือหลงจัด เป็นดัน บุคคลที่ กำ ลังดกอยู่ใดัอำนาจกิเลสดังกล่าว การทำงานของ ดา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ย่อมผิดปรกติ จึงทำให้การเห็นในดวงเห็นผิดพลาด คลาดเคลื่อนไปจากความจริง ทุฑธประวัติ ฉบับการฟ้นฟูศีลธรรมโลก a มารู้จักคนเองกันเถอะ www.kalyanamitra.org

สัตรูตัวร้ายของมนุษย์ มนุษย์เราอาจจะเปลี่ยนสภาพจากความเป็นผู้มีใจสูงและ ใจใสไปได้เหมือนกัน ถ้าธรรมสัญญาย่อหย่อน หรืออันตรธานไป จากจิตใจเพราะถูกทำลายด้วยอำนาจกิเลสให้ตายไปจากคุณความดี ด้งนั้น จึงเป็นการจำเป็นสำหรับทุกคน ที่จะด้องศึกษาให้รู้ชัด เกี่ยว กับเรื่อง กิเลสซึ่งเป็นศัตรูด้วร้ายของมนุษย์เรา กิเลสคืออะไร กิเลส แปลว่า สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง สกปรก เปรอะเปีอน กิเลส เป็นธาตุชนิตหนึ่งซึ่งฝังด้วเกาะติตอยู่ในใจสัตวโลกทุก ชนิตไม่เว้นแม้เทวตาและพรหม เป็นธาตุที่ละเอียดมาก สกปรกมาก เหนียวแน่นมาก มือำ นาจทำลายและทำร้ายใจให้เดีอตร้อนเป็น ทุกข์อย่างมหาศาลไม่มืสิ่งใดมาเฑียบเทียมได้ กิเลส มีอำ นาจในการย้อม เคลือบ ห่อหุ้ม บีบคั้นใจ ฯลฯ ซึ่ง ปกติใสสะอาดให้สกปรก ดำ มืด เศร้าหมองได้ และยากที่จะกำจัด ออกไป กิเลส แฝงด้วเกาะติดอยู่ในใจอย่างเหนียวแน่น ตั้งแต่คนเรา อยู่ในครรภ์มารดา เช่นเดียวกับเชื้อโรคทั้งหลาย ที่แฝงด้วอยู่ใน ยีนและโครโมโซม ขณะที่เชื้อโรคกังหลายต่างปอนทำลายร่างกาย คนเราให้อ่อนแอ ป่วยไชั กิเลสก็บีบคั้นใจคนเราให้คิดชื้ว พูดชื้ว และทำชั่ว ก่อบาปอกุศลอยู่เสมอ อันเป็นเหตุให้ด้องประสบความ ทุกข์และความเดือดร้อนดลอดชีวิต พฑ&ป'รรว้ติ ฉบับการสินฟูสืลธรรมโลก t» a ^มารู้จักรพองทนเทอะ www.kalyanamitra.org

เชื้อโรคไดโอกาสทำลายเรา ขณะที่สุขภาพร่างกายของ เราอ่อนแอ แต่กิเลสไดโอกาสทำลายเราขณะที่ใจเราเผลอสติ วิธีการทำลายของกิเลสนั้นมีมากมายหลายอย่างมีทั้งการย้อมการทา การเคลือบ การห่อหุ้ม การซึมซาบ การหมักดอง การบีบคั้น ฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน จนกระทั้งใจสกปรก ขุ่นมัว เศร้าหมอง ปวดร้าว และทุกข์ทรมาน อันเป็นเหตุให้ ประสิทธิภาพในการเห็น การจำ การคิด และการรู้ เสียไป อังผลให้ บุคคลเห็นผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นการเป็ดโอกาสให้ อายตนะภายนอก คือรูป เสียง กลิ่นรสสัมผัสและธรรมารมณ์เข้า มากระตุ้นกิเลสที่แอบแฝงเกาะแน่นอยู่ในใจให้กำเริบออกฤทชื้บีบ บังคับใจให้คิดร้าย พูดร้าย และกระทำการชั่วร้ายต่างๆ ได้ ซึ่ง บางกรณีอาจถึงขั้นกระทำผิดกฎหมาย ด้องถูกลงโทษลงทัณฑ์ เปลี่ยนสถานภาพจากคนดีไปเป็นนักโทษ อาชญากร ฆาตกร ด้องมีชีวิตอยู่อย่างระทมทุกข์ทั้งตนเองครอบคร้วและญาติพี่นัองโตย ไฝมีโอกาสทราบเลยว่าความทุกข์เหล่านั้นล้วนมีด้นกำเนิดมาจาก อำ นาจเลวร้ายของกิเลสที่สิงอยู่ในใจตน กิเลส สามารถติดตามทำลายล้างผลาญใจคนเราให้เป็นทุกข์ อย่างต่อเนึ่องดลอดชีวิต ดามธรรมดาเมื่อคนเราตายกลายเป็นศพ ครั้นถูกนำไปเผาหรือฝังแล้วเชื้อโรคในร่างกายก็ตายตามกายไปด้วย ส่วนใจของผู้ตายพร้อมด้วยกายละเอียด''ก็จะไปแสวงหาที่เกิตใหม่ ® กายละเอียด ในภาษาบาลีใช้คำว่า \"ดนฺธพุโพ\" คือ คันธัพพสัตว์ แปลว่า สัตว์ผู้จะ พึงไปเกิดมาเกด ภาษาทางนักปฎิบ้ติสมาธิภาวนาจนเห็นภพภูมิต่างๆ ได้แล้วเรียก ว่า \"กายไปเกิดมาเกิด\" เปีนกายทิพย์ชนิดหนึ่งที่จะมาปฏิสนธิในครรภ์ ด้งใน มหาด้ณหาสังขยสูดรกล่าวว่า \"เมื่อใดมารดาปีดารยู่ร่วมทัน ๑ มารดามีระดู ๑ และ 1|{ฑรประาฬํ ฉบับการฟ้นฟูสิล!mมโลก to ^ มาฬุกดนเองกันเถอะ www.kalyanamitra.org