Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรสังคมศึกษาปี ปรับปรุง 2563 โรงเรียนทับโพธิ์พัฒนวิทย์ -1

หลักสูตรสังคมศึกษาปี ปรับปรุง 2563 โรงเรียนทับโพธิ์พัฒนวิทย์ -1

Published by weeradech.mapaet, 2021-08-04 15:45:14

Description: หลักสูตรสังคมศึกษาปี ปรับปรุง 2563 โรงเรียนทับโพธิ์พัฒนวิทย์ -1

Keywords: หลักสูตรสังคม,ศึกษา

Search

Read the Text Version

หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรียนทบั โพธ์พิ ัฒนวทิ ย์ 201 สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 เขา้ ใจและสามารถบรหิ ารจดั การทรัพยากรในการผลติ และการบรโิ ภค การใช้ ทรัพยากร ทม่ี อี ยู่จำกัดได้อย่างมปี ระสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมท้งั เข้าใจหลกั การของ เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการดำรงชวี ิตอย่างมดี ลุ ยภาพ ชัน้ ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.1 1. อธบิ ายความหมายและความสำคัญของ ➢ ความหมายและความสำคัญของเศรษฐศาสตร์ เบอื้ งตน้ เศรษฐศาสตร์ ➢ ความหมายของคำวา่ ทรัพยากรมีจำกัดกับ ความ ต้องการมีไม่จำกัด ความขาดแคลน การเลือก และคา่ เสยี โอกาส 2. วิเคราะหค์ ่านยิ มและพฤติกรรมการ ➢ ความหมายและความสำคัญของการบรโิ ภคอยา่ ง บรโิ ภคของคนในสงั คมซ่ึงสง่ ผลต่อ มีประสทิ ธิภาพ เศรษฐกจิ ของชุมชนและประเทศ ➢ หลกั การในการบริโภคท่ีดี ➢ ปจั จัยที่มอี ทิ ธิพลตอ่ พฤติกรรมการบรโิ ภค ➢ คา่ นยิ มและพฤติกรรมของการบรโิ ภคของคนใน สังคมปจั จุบัน รวมท้งั ผลดีและผลเสียของพฤติกรรม ดงั กล่าว 3. อธบิ ายความเป็นมาหลักการและ ➢ ความหมายและความเป็นมาของปรชั ญาของ ความสำคญั ของปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงต่อสังคมไทย เศรษฐกิจพอเพียง ➢ ความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง และหลักการ ทรงงานของพระบาทสมเด็จ พระ เจา้ อย่หู วั รวมทั้งโครงการตามพระราชดำริ ➢ หลักการของเศรษฐกิจพอเพยี ง ➢ การประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการ ดำรงชวี ติ ➢ ความสำคัญ คณุ ค่าและประโยชน์ของปรชั ญา ของเศรษฐกจิ พอเพียงต่อสังคมไทย

หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ฒั นวทิ ย์ 202 ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.2 1. วิเคราะหป์ จั จัยทีม่ ีผลต่อการลงทนุ และ ➢ ความหมายและความสำคัญของการลงทนุ และ การออมต่อระบบเศรษฐกจิ การออม ➢ การบรหิ ารจดั การเงนิ ออมและการลงทนุ ภาค ครวั เรือน ➢ ปจั จยั ของการลงทุนและการออมคือ อัตรา ดอกเบ้ยี รวมทั้งปัจจยั อื่น ๆ เชน่ ค่าของเงิน เทคโนโลยี การคาดเดาเก่ยี วกับอนาคต ➢ ปัญหาของการลงทุนและการออมในสังคมไทย 2. อธิบายปัจจยั การผลติ สนิ ค้าและบริการ ➢ ความหมาย ความสำคัญ และหลักการผลิตสินค้า และปัจจัยทมี่ ีอิทธิพลต่อการผลติ สินค้า และบรกิ ารอย่างมีประสทิ ธภิ าพ และบริการ ➢ สำรวจการผลติ สนิ คา้ ในท้องถิ่น ว่ามีการผลติ อะไรบ้าง ใชว้ ธิ ีการผลติ อยา่ งไร มีปญั หาด้าน 3. เสนอแนวทางการพฒั นาการผลติ ใน ใดบ้าง ท้องถ่นิ ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ➢ มกี ารนำเทคโนโลยอี ะไรมาใช้ทีม่ ีผลตอ่ การ ผลิตสินคา้ และบริการ ➢ นำหลักการผลติ มาวเิ คราะห์การผลติ สนิ ค้าและ บริการในท้องถิ่นทง้ั ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม ➢หลกั การและเป้าหมายปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง ➢ สำรวจและวิเคราะห์ปัญหาการผลติ สนิ ค้าและ บริการในท้องถน่ิ ➢ ประยุกตใ์ ชป้ รชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการ ผลติ สนิ ค้าและบริการในท้องถิ่น

หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรียนทบั โพธิ์พัฒนวทิ ย์ 203 ชนั้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4. อภิปรายแนวทางการคมุ้ ครองสทิ ธิของ ➢ การรกั ษาและค้มุ ครองสทิ ธปิ ระโยชนข์ อง ผบู้ รโิ ภค ตนเองในฐานะผบู้ ริโภค ➢ กฎหมายคุม้ ครองสทิ ธิผุ้บริโภคและหน่วยงานท่ี เกีย่ วข้อง ➢ การดำเนินกจิ กรรมพิทกั ษ์สทิ ธิและผลประโยชน์ ตามกฎหมายในฐานะผบู้ รโิ ภค ➢ แนวทางการปกป้องสิทธิของผ้บู รโิ ภค ม.3 1. อธบิ ายกลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ ➢ ความหมายและประเภทของตลาด ➢ ความหมายและตวั อย่างของอปุ สงคแ์ ละอปุ ทาน ➢ ความหมายและความสำคัญของกลไกราคาและ การกำหนดราคาในระบบเศรษฐกจิ ➢ หลกั การปรับและเปลีย่ นแปลงราคาสินค้าและ บรกิ าร 2. มีส่วนร่วมในการแก้ไขปญั หาและ ➢สำรวจสภาพปัจจุบันปญั หาท้องถ่นิ ท้ังทางด้าน พฒั นาท้องถนิ่ ตามปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง สงั คม เศรษฐกจิ และส่งิ แวดล้อม ➢ วิเคราะห์ปัญหาของท้องถ่ินโดยใช้ปรัชญาของ 3. วเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหวา่ งแนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพียงกับระบบสหกรณ์ เศรษฐกจิ พอเพียง ➢ แนวทางการแกไ้ ขและพัฒนาท้องถิ่นตามปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพียง ➢ แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี งกับการพัฒนาใน ระดบั ตา่ ง ๆ ➢ หลักการสำคัญของระบบสหกรณ์ ➢ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างแนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพียง กับหลกั การและระบบของสหกรณ์เพ่ือประยกุ ต์ใชใ้ น การพัฒนาเศรษฐกิจชมุ ชน

หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรียนทบั โพธพิ์ ฒั นวทิ ย์ 204 ชัน้ ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.4–ม.6 1. อภปิ รายการกำหนดราคาและคา่ จ้าง ➢ ระบบเศรษฐกิจของโลกในปจั จบุ ัน ผลดแี ละ ในระบบเศรษฐกจิ ผลเสยี ของระบบเศรษฐกจิ แบบต่างๆ ➢ ตลาดและประเภทของตลาด ข้อดีและ 2. ตระหนักถงึ ความสำคญั ของปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงทมี่ ีต่อเศรษฐกจิ ข้อเสียของตลาดประเภทต่าง ๆ สังคมของประเทศ ➢ การกำหนดราคาตามอปุ สงค์ และอปุ ทาน การกำหนดราคาในเชิงกลยุทธท์ มี่ ใี นสังคมไทย 3. ตระหนกั ถึงความสำคัญของระบบ ➢ การกำหนดค่าจ้าง กฎหมายทเ่ี กยี่ วข้องและ สหกรณ์ในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดบั อัตราคา่ จา้ งแรงงานในสังคมไทย ชุมชนและประเทศ ➢ บทบาทของรฐั ในการแทรกแซงราคา และการ ควบคุมราคาเพื่อการแจกจา่ ย และจัดสรรในทาง 4. วิเคราะหป์ ญั หาทางเศรษฐกจิ เศรษฐกจิ ในชมุ ชนและเสนอแนวทางแกไ้ ข ➢ การประยกุ ต์ใชเ้ ศรษฐกจิ พอเพยี ง ในการดำเนินชีวิตของตนเอง และครอบครวั ➢ การประยุกต์ใชเ้ ศรษฐกจิ พอเพยี งใน ภาค เกษตร อุตสาหกรรม การคา้ และบรกิ าร ➢ ปัญหาการพฒั นาประเทศท่ีผา่ นมา โดยการศึกษา วเิ คราะห์แผนพฒั นาเศรษฐกิจ และสังคมฉบับที่ผ่าน มา ➢ การพัฒนาประเทศที่นำปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมาใช้ ในการวางแผนพฒั นาเศรษฐกิจ และ สังคมฉบบั ปจั จบุ ัน ➢ววิ ฒั นาการของสหกรณ์ใน ประเทศไทย ➢ ความหมายความสำคญั และหลกั การของระบบ สหกรณ์ ➢ตัวอย่างและประเภทของสหกรณใ์ นประเทศไทย ➢ ความสำคัญของระบบสหกรณ์ในการพัฒนา เศรษฐกจิ ในชมุ ชนและประเทศ ➢ ปัญหาทางเศรษฐกิจในชมุ ชน ➢ แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน ➢ ตัวอยา่ งของการรวมกลมุ่ ทป่ี ระสบความสำเร็จใน การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของชมุ ชน

หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรียนทบั โพธพิ์ ัฒนวทิ ย์ 205 สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.2 เขา้ ใจระบบและสถาบนั ทางเศรษฐกิจตา่ ง ๆ ความสัมพนั ธ์ทางเศรษฐกจิ และความ จำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกจิ ในสังคมโลก ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. วิเคราะหบ์ ทบาทหนา้ ทแ่ี ละความ ➢ความหมาย ประเภท และความสำคญั ของสถาบนั แตกต่างของสถาบนั การเงินแตล่ ะประเภท การเงินทีม่ ีตอ่ ระบบเศรษฐกจิ ➢ บทบาทหนา้ ทแี่ ละความสำคัญของธนาคารกลาง และธนาคารกลาง ➢ การหารายได้ รายจา่ ย การออม การลงทุน ซึ่ง แสดงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลติ ผ้บู ริโภค และ สถาบนั การเงิน 2. ยกตวั อย่างที่สะท้อนใหเ้ ห็นการพง่ึ พา ➢ ยกตัวอยา่ งทีส่ ะท้อนให้เห็นการพ่งึ พาอาศยั กัน อาศยั กัน และการแข่งขันกนั ทางเศรษฐกิจ และกัน การแข่งขนั กันทางเศรษฐกจิ ในประเทศ ในประเทศ ➢ ปญั หาเศรษฐกิจในชุมชน ประเทศ และเสนอแนว ทางแก้ไข 3. ระบุปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อการกำหนด อุป ➢ ความหมายและกฎอุปสงค์ อุปทาน ➢ ปัจจยั ท่มี อี ทิ ธิพลตอ่ การกำหนดอปุ สงค์และ สงค์และอปุ ทาน อุปทาน 4. อภิปรายผลของการมกี ฎหมายเก่ยี วกับ ➢ ความหมายและความสำคัญของทรัพยส์ นิ ทาง ปัญญา ทรพั ย์สนิ ทางปัญญา ➢ กฎหมายทเ่ี กยี่ วกับการคุ้มครองทรัพยส์ ินทาง ปญั ญาพอสงั เขป ➢ ตวั อยา่ งการละเมดิ แหง่ ทรัพย์สนิ ทางปัญญาแตล่ ะ ประเภท ม.2 1. อภปิ รายระบบเศรษฐกิจแบบตา่ งๆ ➢ ระบบเศรษฐกิจแบบต่างๆ 2. ยกตวั อยา่ งทสี่ ะท้อนใหเ้ ห็น ➢ หลักการและผลกระทบการพึ่งพาอาศยั กัน และ การพง่ึ พาอาศยั กัน และการแขง่ ขันกนั การแขง่ ขนั กนั ทางเศรษฐกจิ ในภมู ิภาคเอเชยี ทางเศรษฐกจิ ในภูมภิ าคเอเชีย 3. วิเคราะหก์ ารกระจายของทรัพยากร ➢ การกระจายของทรพั ยากรในโลกท่สี ่งผลตอ่ ในโลกท่สี ่งผลตอ่ ความสัมพันธท์ าง ความสมั พันธ์ทางเศรษฐกจิ ระหวา่ งประเทศ เชน่ เศรษฐกจิ ระหว่างประเทศ นำ้ มัน ป่าไม้ ทองคำ ถ่านหิน แร่ เปน็ ต้น 4. วิเคราะห์การแขง่ ขนั ทางการคา้ ➢ การแขง่ ขันทางการคา้ ในประเทศและตา่ งประเทศ ในประเทศและตา่ งประเทศส่งผลต่อ คุณภาพสินค้า ปรมิ าณการผลิต และ ราคาสินคา้

หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรียนทบั โพธิ์พฒั นวทิ ย์ 206 ช้นั ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.3 1. อธบิ ายบทบาทหนา้ ท่ีของรัฐบาลใน ➢ บทบาทหน้าที่ของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศใน ระบบเศรษฐกจิ ด้านตา่ ง ๆ ➢ บทบาทและกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ของรฐั บาล เช่นการผลติ สินคา้ และบริการสาธารณะท่ีเอกชนไม่ ดำเนินการ เชน่ ไฟฟา้ ถนน โรงเรยี น  บทบาทการเกบ็ ภาษีเพื่อพัฒนาประเทศ ของรัฐในระดับต่าง ๆ  บทบาทการแทรกแซงราคาและ การควบคุมราคาเพือ่ การแจกจ่ายและการจัดสรร ในทางเศรษฐกิจ ➢ บทบาทอน่ื ของรฐั บาลในระบบเศรษฐกจิ ใน สังคมไทย 2. แสดงความคดิ เหน็ ต่อนโยบาย และ ➢ นโยบาย และกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ของรฐั บาล กิจกรรมทาง เศรษฐกิจของรฐั บาลทีม่ ตี อ่ บคุ คล กลุ่มคน และประเทศชาติ 3. อภิปรายบทบาทความสำคัญของ ➢ บทบาทความสำคัญของการรวมกลุม่ ทาง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศ เศรษฐกิจระหวา่ งประเทศ ➢ ลักษณะของการรวมกล่มุ ทางเศรษฐกจิ ➢ กลุม่ ทางเศรษฐกจิ ในภมู ภิ าคต่างๆ 4. อภปิ รายผลกระทบท่ีเกดิ จากภาวะ ➢ ผลกระทบท่ีเกดิ จากภาวะเงินเฟ้อ เงินฝดื เงินเฟ้อ เงนิ ฝืด ความหมายสาเหตุและแนวทางแกไ้ ขภาวะเงินเฟ้อ เงนิ ฝดื 5. วิเคราะหผ์ ลเสยี จากการว่างงาน และ ➢ สภาพและสาเหตปุ ญั หาการว่างงาน แนวทางแกป้ ัญหา ➢ ผลกระทบจากปัญหาการวา่ งงาน ➢ แนวทางการแก้ไขปญั หาการวา่ งงาน 6. วิเคราะห์สาเหตุและวิธกี ารกีดกนั ทาง ➢ การคา้ และการลงทนุ ระหว่างประเทศ การคา้ ในการค้าระหวา่ งประเทศ ➢ สาเหตุและวธิ กี ารกดี กันทางการคา้ ในการค้า ระหว่างประเทศ

หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธ์ิพฒั นวทิ ย์ 207 ช้ัน ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.4-6 1. อธบิ ายบทบาทของรฐั บาลด้านนโยบาย ➢ บทบาทของนโยบายการเงนิ และการคลงั ของ การเงิน การคลังในการพฒั นาเศรษฐกจิ รัฐบาลในดา้ น ของประเทศ  การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกจิ  การสรา้ งการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ  การรกั ษาดุลการค้าระหว่างประเทศ  การแทรกแซงราคาและการควบคมุ ราคา➢ รายรบั และรายจ่ายของรฐั ท่ีมีผลตอ่ งบประมาณ หนสี้ าธารณะ การพัฒนาทางเศรษฐกิจและ คุณภาพชีวิตของประชาชน  นโยบายการเกบ็ ภาษปี ระเภทตา่ ง ๆ และการใชจ้ า่ ยของรัฐ  แนวทางการแก้ปัญหาการวา่ งงาน ➢ ความหมาย สาเหตุ และผลกระทบทเ่ี กดิ จาก ภาวะทางเศรษฐกจิ เช่น เงนิ เฟ้อ เงนิ ฝืด ➢ ตวั ชวี้ ดั ความเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ เช่น GDP , GNP รายได้เฉลย่ี ตอ่ บุคคล ➢ แนวทางการแก้ปัญหาของนโยบายการเงนิ การคลัง 2. วิเคราะห์ผลกระทบของการเปิดเสรี ➢ ววิ ฒั นาการของการเปดิ เสรีทางเศรษฐกจิ ในยุค ทางเศรษฐกิจในยคุ โลกาภวิ ตั น์ที่มีผลตอ่ โลกาภวิ ัตน์ของไทย สงั คมไทย ➢ ปจั จัยทางเศรษฐกจิ ท่มี ีผลต่อการเปิดเสรที าง เศรษฐกจิ ของประเทศ ➢ ผลกระทบของการเปดิ เสรที างเศรษฐกจิ ของ ประเทศท่มี ตี ่อภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาค การค้าและบรกิ าร ➢ การคา้ และการลงทุนระหวา่ งประเทศ ➢ บทบาทขององค์กรระหวา่ งประเทศในเวทีการเงิน โลกที่มผี ลกับประเทศไทย

หลักสตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรียนทับโพธ์พิ ฒั นวทิ ย์ 208 ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง 3. วเิ คราะหผ์ ลดี ผลเสียของความร่วมมอื ➢ แนวคิดพืน้ ฐานที่เกยี่ วขอ้ งกับการค้าระหว่างประเทศ ทางเศรษฐกจิ ระหวา่ งประเทศในรปู แบบ ➢ บทบาทขององค์การความรว่ มมือทางเศรษฐกจิ ที่ ตา่ ง ๆ สำคัญในภูมภิ าคตา่ ง ๆ ของโลก เช่น WTO , NAFTA , EU , IMF , ADB , OPEC , FTA , APECในระดบั ตา่ ง ๆ เขตสเ่ี หล่ียมเศรษฐกิจ ➢ ปจั จัยตา่ ง ๆ ที่นำไปสูก่ ารพง่ึ พา การแข่งขันการ ขดั แย้ง และการประสานประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ➢ ตวั อย่างเหตุการณ์ทน่ี ำไปสกู่ ารพึงพาทาง เศรษฐกิจ ➢ ผลกระทบจากการดำเนนิ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระหวา่ งประเทศ ➢ ปัจจยั ตา่ ง ๆ ที่นำไปสู่การพึ่งพาการแขง่ ขนั การ ขัดแยง้ และการประสารประโยชนท์ างเศรษฐกิจ วิธกี ารกดี กนั ทางการค้าในการคา้ ระหว่างประเทศ สาระท่ี 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เขา้ ใจความหมาย ความสำคญั ของเวลา และยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์ สามารถใช้ วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตรม์ าวเิ คราะห์เหตุการณต์ ่าง ๆ อยา่ งเป็นระบบ ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.1 1. วิเคราะหค์ วามสำคัญของเวลาใน  ตัวอย่างการใชเ้ วลา ช่วงเวลาและยุคสมยั การศึกษาประวัติศาสตร์ ทีป่ รากฏในเอกสารประวตั ิศาสตรไ์ ทย  ความสำคญั ของเวลา และช่วงเวลาสำหรบั การศึกษาประวตั ศิ าสตร์  ความสมั พนั ธ์และความสำคัญของอดตี ท่ีมี ตอ่ ปัจจุบันและอนาคต 2. เทียบศกั ราชตามระบบตา่ งๆท่ีใช้ศกึ ษา  ทมี่ าของศกั ราชทปี่ รากฏในเอกสาร ประวตั ิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ได้แก่ จ.ศ. / ม.ศ. /ร. ศ./ พ.ศ. / ค.ศ. และ ฮ.ศ.  วธิ กี ารเทียบศักราชตา่ งๆ และตัวอยา่ ง การเทยี บ  ตัวอยา่ งการใชศ้ กั ราชต่าง ๆ ท่ีปรากฏใน เอกสารประวัตศิ าสตร์ไทย

หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรียนทับโพธิ์พฒั นวทิ ย์ 209 ช้นั ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง 3. นำวิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์มาใชศ้ กึ ษา  ความหมายและความสำคญั ของประวัตศิ าสตร์ เหตกุ ารณท์ างประวตั ิศาสตร์ และวธิ กี ารทางประวัติศาสตร์ท่ีมีความ สัมพนั ธ์เชือ่ มโยงกัน  ตวั อยา่ งหลกั ฐานในการศึกษาประวัตศิ าสตร์ ไทยสมัยสุโขทยั ท้ังหลกั ฐานชนั้ ต้น และ หลักฐานช้ันรอง ( เชือ่ มโยงกับ มฐ. ส 4.3) เช่น ข้อความ ในศิลาจารึก สมัยสโุ ขทยั เป็นต้น  นำวิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์ไปใช้ศกึ ษา เร่ืองราวของประวัติศาสตร์ไทยทม่ี ีอยู่ใน ท้องถนิ่ ตนเองในสมยั ใดก็ได้ (สมัยก่อน ประวตั ศิ าสตร์ สมยั ก่อนสุโขทยั สมัยสุโขทัย สมัยอยธุ ยา สมัยธนบุรี สมยั รัตนโกสนิ ทร์ ) และเหตุการณส์ ำคัญใน สมยั สโุ ขทัย ม.2 1. ประเมินความนา่ เช่ือถือของหลักฐาน  วธิ กี ารประเมนิ ความนา่ เชือ่ ถอื ของ ทางประวัตศิ าสตรใ์ นลกั ษณะต่าง ๆ หลักฐานทางประวตั ิศาสตรใ์ นลักษณะ ต่าง ๆ อยา่ งงา่ ย ๆ เชน่ การศึกษาภมู ิหลงั ของ ผูท้ ำ หรอื ผูเ้ กี่ยวข้อง สาเหตุ ชว่ งระยะเวลา รูปลักษณ์ของหลกั ฐานทาง ประวัติศาสตร์ เปน็ ต้น  ตัวอย่างการประเมนิ ความนา่ เช่ือถือของ หลักฐานทางประวตั ิศาสตรไ์ ทยที่อยู่ ในทอ้ งถนิ่ ของตนเอง หรือหลักฐาน สมัยอยธุ ยา ( เชื่อมโยงกับ มฐ. ส 4.3 ) 2. วเิ คราะห์ความแตกต่างระหวา่ งความจรงิ  ตวั อยา่ งการวเิ คราะห์ข้อมูลจากเอกสาร กับข้อเท็จจรงิ ของเหตุการณ์ทาง ตา่ ง ๆ ในสมัยอยุธยา และธนบรุ ี ประวตั ศิ าสตร์ ( เช่อื มโยงกบั มฐ. ส 4.3 ) เช่น ข้อความ 3. เหน็ ความสำคญั ของการตีความหลักฐาน บางตอน ในพระราชพงศาวดารอยธุ ยา / ทางประวตั ศิ าสตร์ทนี่ ่าเชือ่ ถือ จดหมายเหตชุ าวตา่ งชาติ

หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธ์ิพัฒนวทิ ย์ 210 ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.3 1. วิเคราะหเ์ รือ่ งราวเหตุการณส์ ำคัญทาง  ตวั อยา่ งการตคี วามข้อมูลจากหลักฐานที่ ประวตั ศิ าสตรไ์ ด้อยา่ งมเี หตผุ ลตามวธิ กี าร ทางประวัติศาสตร์ แสดงเหตกุ ารณส์ ำคญั ในสมัยอยธุ ยาและ 2. ใช้วิธีการทางประวัตศิ าสตรใ์ นการศึกษา เร่อื งราวตา่ ง ๆ ทตี่ นสนใจ ธนบุรี ม.4 –ม. 6 1. ตระหนักถงึ ความสำคัญของเวลาและ  การแยกแยะระหว่างข้อมลู กบั ความคิดเหน็ ยคุ สมัยทางประวัตศิ าสตร์ท่ีแสดงถึงการ เปล่ียนแปลงของมนุษยชาติ รวมทัง้ ความจรงิ กับข้อเท็จจริงจากหลกั ฐาน 2. สรา้ งองค์ความรู้ใหม่ทางประวัตศิ าสตร์ ทางประวัตศิ าสตร์ โดยใชว้ ิธกี ารทางประวัติศาสตรอ์ ย่างเปน็ ระบบ  ความสำคัญของการวิเคราะหข์ ้อมูล และ การตคี วามทางประวตั ิศาสตร์  ขั้นตอนของวธิ กี ารทางประวัติศาสตร์ สำหรับการศกึ ษาเหตกุ ารณ์ทางประวตั ิศาสตร์ท่ี เกิดขึ้นในท้องถ่นิ ตนเอง  วเิ คราะหเ์ หตุการณ์สำคัญในสมัย รตั นโกสนิ ทร์ โดยใช้วิธกี ารทางประวตั ศิ าสตร์  นำวธิ กี ารทางประวตั ิศาสตรม์ าใช้ใน การศกึ ษาเร่ืองราวทเ่ี กยี่ วข้องกับตนเอง ครอบครวั และทอ้ งถิ่นของตน  เวลาและยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์ที่ ปรากฏในหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ไทยและ ประวัติศาสตรส์ ากล  ตัวอย่างเวลาและยคุ สมัยทาง ประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษยท์ ม่ี ปี รากฏใน หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ (เชอ่ื มโยงกับ มฐ. ส 4.3)  ความสำคญั ของเวลาและยคุ สมัยทาง ประวตั ศิ าสตร์  ข้นั ตอนของวธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์ โดย นำเสนอตัวอย่างทลี ะขน้ั ตอนอยา่ งชดั เจน  คณุ ค่าและประโยชนข์ องวิธีการทาง ประวตั ศิ าสตร์ที่มีตอ่ การศึกษาทาง ประวตั ศิ าสตร์  ผลการศกึ ษาหรือโครงงานทาง ประวัติศาสตร์

หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิ์พฒั นวิทย์ 211 สาระที่ 4 ประวตั ิศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.2 เขา้ ใจพัฒนาการของมนุษยชาตจิ ากอดีตจนถงึ ปจั จุบนั ในด้านความสัมพันธแ์ ละ การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อยา่ งต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสำคัญและสามารถ วิเคราะหผ์ ลกระทบทเี่ กิดขึ้น ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.1 1. อธบิ ายพฒั นาการทางสังคม เศรษฐกจิ และ  ทต่ี งั้ และสภาพทางภูมศิ าสตร์ของประเทศ การเมืองของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชยี ต่าง ๆ ในภูมภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ท่ีมผี ลตอ่ พัฒนาการทางดา้ นต่างๆ  พฒั นาการทางสังคม เศรษฐกจิ และ การเมืองของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ 2. ระบคุ วามสำคญั ของแหลง่ อารยธรรมใน  ที่ตั้งและความสำคญั ของแหล่งอารยธรรม ภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชน่ แหล่งมรดกโลกในประเทศตา่ ง ๆของเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้  อทิ ธพิ ลของอารยธรรมโบราณในดินแดน ไทยท่ีมีต่อพัฒนาการของสังคมไทยใน ปจั จบุ ัน ม.2 1. อธิบายพฒั นาการทางสังคม เศรษฐกิจ  ทต่ี ้ังและสภาพทางภมู ศิ าสตรข์ องภมู ิภาค และการเมืองของภมู ภิ าคเอเชยี ต่างๆในทวีปเอเชีย (ยกเว้นเอเชียตะวนั ออก เฉยี งใต)้ ที่มีผลตอ่ พัฒนาการโดยสังเขป  พฒั นาการทางสงั คม เศรษฐกจิ และ การเมืองของภูมภิ าคเอเชยี (ยกเวน้ เอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้)  ทต่ี ั้งและความสำคัญของแหลง่ อารยธรรม 2. ระบคุ วามสำคัญของแหลง่ อารยธรรม โบราณในภูมิภาคเอเชีย เช่น แหลง่ มรดก โลกในประเทศตา่ งๆ ในภมู ิภาคเอเชีย  อิทธพิ ลของอารยธรรมโบราณทมี่ ีต่อ ภมู ภิ าคเอเชยี ในปจั จุบัน

หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธิพ์ ฒั นวทิ ย์ 212 ชัน้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.3 1. อธิบายพฒั นาการทางสังคม เศรษฐกจิ  ที่ตง้ั และสภาพทางภูมศิ าสตรข์ องภูมภิ าค และการเมอื งของภูมิภาคตา่ งๆ ในโลก ตา่ งๆของโลก (ยกเว้นเอเชีย) ท่ีมผี ลต่อ โดยสังเขป พัฒนาการโดยสังเขป  พฒั นาการทางสงั คม เศรษฐกจิ และการเมือง 2. วเิ คราะหผ์ ลของการเปล่ียนแปลงที่ ของภมู ภิ าคตา่ งๆของโลก (ยกเวน้ เอเชีย) นำไปสคู่ วามร่วมมือ และความขดั แยง้ ใน ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20 ตลอดจนความ โดยสังเขป พยายามในการขจัดปญั หาความขดั แยง้  อิทธพิ ลของอารยธรรมตะวนั ตกทมี่ ผี ลต่อ พัฒนาการและการเปล่ยี นแปลงของสงั คมโลก  ความรว่ มมอื และความขดั แยง้ ใน ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 เชน่ สงครามโลกครง้ั ที่ 1 คร้ังที่ 2 สงครามเยน็ องค์การความร่วมมือ ระหวา่ งประเทศ ม.4-ม.6 1.วิเคราะหอ์ ิทธิพลของอารยธรรรม  อารยธรรมของโลกยุคโบราณ ไดแ้ ก่ อารย โบราณ และการตดิ ต่อระหวา่ งโลก ธรรมลมุ่ แมน่ ำ้ ไทกรีส-ยูเฟรตีส ไนล์ ฮวงโห ตะวันออกกับโลกตะวนั ตกทีม่ ีผลตอ่ สินธุ และอารยธรรมกรกี -โรมัน พัฒนาการและการเปลยี่ นแปลงของโลก  การติดตอ่ ระหว่างโลกตะวนั ออกกับโลก 2. วเิ คราะหเ์ หตุการณส์ ำคญั ต่างๆทีส่ ง่ ผล ตะวนั ตก และอทิ ธิพลทางวัฒนธรรมที่มตี อ่ กัน ต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกจิ และกัน และการเมือง เข้าสโู่ ลกสมัยปัจจุบัน  เหตุการณ์สำคญั ต่างๆทีส่ ่งผลต่อการ เปล่ียนแปลงของโลกในปจั จบุ ัน เช่นระบอบ ฟวิ ดัส การฟืน้ ฟู ศลิ ปวทิ ยาการสงครามครู เสด การสำรวจทางทะเล การปฏิรปู ศาสนา การปฏวิ ตั ิทาง 3. วเิ คราะห์ผลกระทบของการขยาย วทิ ยาศาสตร์ การปฏวิ ัตอิ ตุ สาหกรรม อทิ ธพิ ลของประเทศในยโุ รปไปยงั ทวปี จกั รวรรดินิยม ลัทธชิ าตนิ ยิ ม เปน็ ตน้ อเมริกา แอฟริกาและเอเชยี  ความรว่ มมอื และความขัดแยง้ ของมนุษยชาติ ในโลก 4. วิเคราะหส์ ถานการณข์ องโลกใน  สถานการณ์สำคญั ของโลกในครสิ ต์ศตวรรษที่ คริสต์ศตวรรษที่ 21 21 เช่น - เหตกุ ารณ์ 11 กันยายน 2001 (Nine Eleven ) - การขาดแคลนทรพั ยากร - การก่อการร้าย - ความขดั แย้งทางศาสนา ฯลฯ

หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธ์ิพฒั นวิทย์ 213 สาระท่ี 4 ประวตั ศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 4.3 เขา้ ใจความเป็นมาของชาติไทย วฒั นธรรม ภมู ิปัญญาไทย มคี วามรกั ความภูมิใจและ ธำรงความเปน็ ไทย ชน้ั ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.1 1. อธิบายเรือ่ งราวทางประวัติศาสตร์  สมยั กอ่ นประวัตศิ าสตรใ์ นดินแดนไทย สมยั กอ่ นสุโขทยั ในดนิ แดนไทย โดยสงั เขป โดยสงั เขป  รัฐโบราณในดินแดนไทย เชน่ ศรวี ิชยั ตามพร 2. วเิ คราะหพ์ ฒั นาการของอาณาจักร ลิงค์ ทวารวดี เป็นต้น สโุ ขทยั ในดา้ นต่าง ๆ  รัฐไทย ในดินแดนไทย เช่น ล้านนา นครศรธี รรมราช สพุ รรณภูมิ เปน็ ต้น 3. วเิ คราะหอ์ ทิ ธิพลของวัฒนธรรม และ  การสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั และ ปัจจยั ท่ี ภูมปิ ัญญาไทยสมัยสโุ ขทัยและสังคมไทย เก่ยี วขอ้ ง (ปจั จัยภายในและ ปัจจยั ภายนอก )  พัฒนาการของอาณาจักรสโุ ขทัย ในดา้ น ในปจั จุบนั การเมืองการปกครอง เศรษฐกจิ สงั คม และ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ  วัฒนธรรมสมยั สโุ ขทัย เชน่ ภาษาไทย วรรณกรรม ประเพณีสำคัญ ศลิ ปกรรมไทย  ภูมิปญั ญาไทยในสมยั สโุ ขทัย เช่น การชลประทาน เครื่องสงั คมโลก  ความเสอื่ มของอาณาจักรสโุ ขทัย ม.2 1. วิเคราะห์พฒั นาการของอาณาจกั ร  การสถาปนาอาณาจกั รอยธุ ยา อยุธยา และธนบรุ ใี นด้านตา่ งๆ  ปจั จัยท่ีส่งผลต่อความเจรญิ ร่งุ เรอื งของ 2. วเิ คราะห์ปัจจัยทสี่ ่งผลตอ่ ความม่นั คง อาณาจักรอยธุ ยา และความเจริญรุ่งเรอื งของอาณาจักร  พฒั นาการของอาณาจักรอยธุ ยาในดา้ น อยุธยา การเมืองการปกครอง สังคม เศรษฐกิจ และ 3. ระบุภมู ปิ ัญญาและวัฒนธรรมไทย ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศ สมัยอยุธยาและธนบุรี และอิทธิพลของ  การเสยี กรงุ ศรอี ยุธยาคร้ังที่ 1 และ การกู้ ภูมปิ ญั ญาดงั กล่าว ต่อการพัฒนาชาติ เอกราช ไทยในยุคตอ่ มา  ภมู ิปญั ญาและวัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยา เช่น การควบคมุ กำลงั คน และศิลปวฒั นธรรม  การเสยี กรุงศรอี ยุธยาครั้งท่ี 2 การกู้ เอกราช และการสถาปนาอาณาจักรธนบุรี  ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยสมยั ธนบุรี

หลกั สตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพ์ิ ฒั นวิทย์ 214 ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง  วีรกรรมของบรรพบุรุษไทย ผลงาน ของบุคคลสำคญั ของไทยและตา่ งชาติ ท่มี สี ่วนสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย ม.3 1. วเิ คราะห์พัฒนาการของไทย  การสถาปนากรุงเทพมหานครเปน็ ราชธานขี อง สมัยรตั นโกสนิ ทรใ์ นดา้ นต่างๆ ไทย 2. วิเคราะหป์ ัจจัยท่ีสง่ ผลตอ่ ความมัน่ คง  ปจั จยั ท่สี ่งผลต่อความมัน่ คงและ และความเจรญิ รุ่งเรอื งของไทยในสมยั ความเจริญร่งุ เรืองของไทยในสมยั รตั นโกสินทร์ รัตนโกสินทร์  บทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์ 3.วเิ คราะห์ภมู ปิ ญั ญาและวัฒนธรรม จกั รีในการสร้างสรรค์ความเจริญและความ ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ และอิทธพิ ลต่อ มั่นคงของชาติ  พัฒนาการของไทยในสมัยรตั นโกสินทร์ การพัฒนาชาติไทย 4.วเิ คราะหบ์ ทบาทของไทยในสมยั ทางดา้ นการเมือง การปกครอง สังคม ประชาธิปไตย เศรษฐกจิ และความสมั พันธ์ระหว่างประเทศ ตามชว่ งสมยั ตา่ งๆ  เหตุการณส์ ำคญั สมยั รตั นโกสินทรท์ ่มี ี ผลต่อการพัฒนาชาติไทย เชน่ การทำ สนธสิ ัญญาเบาวร์ ิงในสมยั รัชกาลท่ี 4 การ ปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 การเข้าร่วม สงครามโลกครง้ั ท่ี 1 และครงั้ ท่ี 2 โดยวิเคราะห์ สาเหตุปจั จัย และผลของเหตุการณ์ต่าง ๆ  ภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมไทยในสมัย รตั นโกสนิ ทร์  บทบาทของไทยตงั้ แตเ่ ปล่ยี นแปลง การปกครองจนถงึ ปัจจุบนั ในสังคมโลก ม.4 – ม.6 1.วเิ คราะหป์ ระเดน็ สำคัญของ  ประเดน็ สำคัญของประวตั ิศาสตร์ไทย เช่น ประวัติศาสตร์ไทย แนวคิดเก่ยี วกับความเป็นมาของชาตไิ ทย 2. วเิ คราะห์ความสำคัญของสถาบนั อาณาจักรโบราณในดนิ แดนไทย และอิทธพิ ล พระมหากษัตริย์ตอ่ ชาติไทย ทม่ี ตี ่อสังคมไทย ปจั จัยทมี่ ีผลต่อการสถาปนา 3. วเิ คราะห์ปจั จัยท่ีส่งเสริมความ อาณาจักรไทยในช่วงเวลาต่างๆ สาเหตุและ สรา้ งสรรค์ภมู ปิ ญั ญาไทย และ ผลของการปฏริ ูป ฯลฯ วัฒนธรรมไทย ซึ่งมผี ลตอ่ สงั คมไทยใน  บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริย์ในการ พัฒนาชาติไทยในดา้ นตา่ งๆ เช่น การปอ้ งกนั ยุคปัจจบุ ัน 4. วเิ คราะห์ผลงานของบุคคลสำคัญทั้ง และรกั ษาเอกราชของชาติ การสร้างสรรค์ วฒั นธรรมไทย ชาวไทยและตา่ งประเทศ ท่มี ีสว่ น

หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรียนทับโพธพิ์ ฒั นวทิ ย์ 215 ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง สร้างสรรคว์ ฒั นธรรมไทย และ  อทิ ธพิ ลของวัฒนธรรมตะวนั ตก และตะวันออก ประวัติศาสตรไ์ ทย ท่มี ตี อ่ สงั คมไทย  ผลงานของบุคคลสำคญั ทั้งชาวไทยและ ต่างประเทศ ทีม่ ีสว่ นสรา้ งสรรค์ วฒั นธรรมไทย และประวตั ิศาสตรไ์ ทย  ปัจจยั ท่ีสง่ เสรมิ ความสรา้ งสรรค์ภูมปิ ญั ญาไทย และวฒั นธรรมไทย ซ่ึงมผี ลต่อสังคมไทยในยคุ ปจั จบุ นั 5. วางแผนกำหนดแนวทางและการมี  สภาพแวดลอ้ มทีม่ ผี ลต่อการสรา้ งสรรคภ์ มู ิ สว่ นรว่ มการอนรุ กั ษ์ภมู ิปัญญาไทยและ ปญั ญาและวฒั นธรรมไทย วฒั นธรรมไทย  วิถชี ีวิตของคนไทยในสมัยต่างๆ  การสืบทอดและเปล่ยี นแปลงของวฒั นธรรม ไทย  แนวทางการอนรุ ักษ์ภมู ิปัญญาและวัฒนธรรม ไทยและการมสี ว่ นรว่ มในการอนรุ ักษ์  วธิ ีการมสี ว่ นรว่ มอนุรักษภ์ มู ปิ ัญญาและ วัฒนธรรมไทย

หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรียนทับโพธ์พิ ัฒนวิทย์ 216 สาระท่ี 5 ภมู ศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสมั พันธ์ของสรรพสิง่ ซ่งึ มีผลตอ่ กนั ใช้แผน ทแ่ี ละเครื่องมอื ทางภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปขอ้ มูลตามกระบวนการทางภมู ศิ าสตร์ลอด จนใช้ภมู สิ ารสนเทศอย่างมีประสทิ ธภิ าพ ชัน้ ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.1 1. วเิ คราะหล์ ักษณะทางกายภาพ  ท่ีตัง้ ขนาด และอาณาเขตของ ของทวีปเอเชีย ทวปี ออสเตรเลยี ทวีปเอเชีย ทวีปออสเตรเลีย และ และโอเชียเนีย โดยใชเ้ ครื่องมือ ทาง โอเชยี เนีย ภูมศิ าสตรส์ ืบคน้ ข้อมูล  การใช้เคร่อื งมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนที่ รปู ถา่ ยทางอากาศ ภาพจากดาวเทยี มในการสืบค้น ลักษณะทางกายภาพของทวีปเอเชีย ทวปี ออสเตรเลีย และโอเชยี เนีย 2. อธิบายพิกดั ภมู ิศาสตร์ (ละติจูด  พกิ ัดภมู ิศาสตร์ (ละติจดู และลองจิจูด) และลองจจิ ดู ) เสน้ แบง่ เวลา และ  เส้นแบ่งเวลา เปรยี บเทยี บวนั เวลาของโลก  เปรียบเทียบวนั เวลาของโลก 3. วิเคราะหส์ าเหตุการเกิดภัยพิบตั ิ  สาเหตุการเกิดภยั พบิ ัตแิ ละผลกระทบในทวปี เอเชีย และผลกระทบในทวปี เอเชยี ทวปี ทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ออสเตรเลีย และโอเชยี เนีย ม.2 1. วิเคราะห์ลกั ษณะทางกายภาพ  ทต่ี ั้ง ขนาด และอาณาเขตของทวีปยโุ รป และทวปี ของทวีปยโุ รป และทวปี แอฟริกา แอฟริกา โดยใช้เครื่องมือทางภูมศิ าสตรส์ ืบคน้  การใชเ้ คร่อื งมือทางภมู ิศาสตร์ ข้อมูล เชน่ แผนท่ี รปู ถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทียมใน การสืบค้น ลักษณะทางกายภาพของทวีปยโุ รป และทวีปแอฟริกา 2. อธบิ ายมาตราสว่ น ทิศ และ  การแปลความหมาย มาตราสว่ น ทศิ และสัญลักษณ์ สัญลักษณ์ ในแผนที่ 3. วเิ คราะห์สาเหตุการเกดิ ภัยพบิ ัติ สาเหตกุ ารเกิดภยั พบิ ัติและ และผลกระทบในทวีปยโุ รป และ ผลกระทบในทวปี ยโุ รป และทวปี ทวีปแอฟริกา แอฟริกา

หลักสตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธ์ิพัฒนวิทย์ 217 ชัน้ ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.3 1. วิเคราะห์ลกั ษณะทางกายภาพ  ท่ตี ง้ั ขนาด และอาณาเขตของทวีปอเมริกาเหนอื และทวปี อเมริกาใต้ ของทวปี อเมริกาเหนือ และทวีป  การเลอื กใชแ้ ผนท่ีเฉพาะเรื่องและเคร่อื งมือทาง อเมริกาใต้ โดยเลือกใชแ้ ผนที่เฉพาะ ภมู ศิ าสตรส์ ืบคน้ ข้อมูล ลักษณะทางกายภาพของ เร่อื งและเคร่อื งมือทางภมู ิศาสตร์ ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้ สบื คน้ ขอ้ มูล สาเหตกุ ารเกดิ ภยั พบิ ตั แิ ละผลกระทบในทวปี 2. วเิ คราะห์สาเหตุการเกดิ ภยั พิบัตแิ ละ อเมริกาเหนือและทวปี อเมริกาใต้ ผลกระทบในทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้  การเปล่ียนแปลงทางกายภาพ ม.4 – ม.6 1. วเิ คราะห์การเปลยี่ นแปลงทาง (ประกอบดว้ ย 1. ธรณีภาค กายภาพในประเทศไทยและภูมิภาค 2. บรรยากาศภาค 3. อุทกภาค4. ชวี ภาค) ของ ตา่ งๆ ของโลก ซึ่งได้รับอทิ ธิพลจาก พื้นทใ่ี นประเทศไทยและภมู ิภาคต่างๆ ของโลก ซ่งึ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ไดร้ ับอิทธพิ ลจากปัจจยั ทางภูมศิ าสตร์  การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพ 2. วเิ คราะหล์ ักษณะทางกายภาพ ทส่ี ง่ ผลต่อภูมปิ ระเทศ ภมู ิอากาศ ซ่งึ ทาใหเ้ กิดปัญหาและภยั พบิ ัติ และทรัพยากรธรรมชาติ ทางธรรมชาตใิ นประเทศไทยและ  ปญั หาทางกายภาพและภัยพิบัติ ภูมภิ าคต่างๆ ของโลก ทางธรรมชาติในประเทศ 3. ใช้แผนที่และเครื่องมือทาง และภูมิภาคต่างๆ ของโลก ภมู ศิ าสตรใ์ นการคน้ หา วิเคราะห์ และสรุปขอ้ มูลตามกระบวนการ  แผนที่และองค์ประกอบ ทางภมู ิศาสตร์ และนำภูมสิ ารสนเทศ  การอ่านแผนท่ีเฉพาะเร่ือง มาใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวนั  การแปลความหมายรปู ถ่ายทางอากาศ และภาพ จากดาวเทียม  การนำภมู สิ ารสนเทศไปใช้ในชวี ติ ประจำวัน

หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพ์ิ ัฒนวทิ ย์ 218 สาระที่ 5 ภูมศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่างมนุษยก์ ับสงิ่ แวดลอ้ มทางกายภาพทีก่ ่อใหเ้ กดิ การสรา้ งสรรค์วถิ ี การดำเนินชีวิต มจี ิตสำนึกและมสี ่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร และสง่ิ แวดล้อมเพือ่ การพฒั นาทีย่ ัง่ ยนื ชนั้ ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง  ทำเลทต่ี ้งั ของกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และสังคม ม.1 1. สำรวจและระบทุ ำเลท่ตี ้ังของ เช่นพนื้ ทเี่ พาะปลกู และเลยี้ งสัตว์ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คม แหลง่ ประมง การกระจายของภาษาและศาสนาใน ในทวปี เอเชีย ทวีปออสเตรเลีย และ ทวปี เอเชีย ทวปี ออสเตรเลยี และโอเชียเนีย โอเชยี เนยี 2. วเิ คราะห์ปจั จยั ทางกายภาพและ  ปจั จยั ทางกายภาพและปัจจยั ทางสังคมท่ีส่งผล ปัจจยั ทางสังคมที่มีผลตอ่ ทำเลทตี่ ้ัง ต่อการเปลีย่ นแปลงโครงสรา้ งทาง ของกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คม ประชากร ส่ิงแวดล้อม เศรษฐกิจสังคมและ ในทวีปเอเชีย ทวีปออสเตรเลีย วฒั นธรรมในทวีปเอเชยี ทวีปออสเตรเลีย และโอ และโอเชยี เนยี เชียเนีย 3. สบื ค้น อภิปรายประเด็นปัญหา ประเด็นปัญหาจากปฏสิ ัมพันธร์ ะหว่าง จากปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างส่ิงแวดล้อม สิง่ แวดล้อมทางกายภาพกับมนษุ ยท์ ี่เกิดข้นึ ในทวปี ทางกายภาพกบั มนุษยท์ เี่ กิดข้ึน เอเชยี ทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ในทวปี เอเชีย ทวปี ออสเตรเลีย และโอเชยี เนยี 4. วเิ คราะหแ์ นวทางการจดั การภัย  แนวทางการจัดการภยั พิบัติและการจัดการ พิบตั ิและการจดั การทรัพยากรและ จดั การทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อมในทวปี เอเชีย สง่ิ แวดล้อมในทวปี เอเชีย ทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ทวปี ออสเตรเลีย และโอเชยี เนยี ที่ยง่ั ยนื ท่ีย่งั ยืน ม.2 1. สำรวจและระบทุ ำเลที่ตั้งของ ทำเลที่ตงั้ ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และสังคม เชน่ พ้ืนท่ีเพาะปลกู และเลยี้ งสัตว์ แหลง่ ประมง ในทวีปยุโรป และทวปี แอฟริกา การกระจายของภาษา และศาสนาในทวีปยุโรป 2. วิเคราะหป์ ัจจยั ทางกายภาพ และทวีปแอฟริกา และปัจจัยทางสังคมท่ีมีผลตอ่ ทำเล ท่ตี ง้ั ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและ  ปจั จยั ทางกายภาพและปัจจัย สังคมในทวีปยุโรป และทวปี แอฟริกา ทางสังคมท่สี ่งผลตอ่ การเปล่ียนแปลง โครงสรา้ งทางประชากร ส่งิ แวดล้อม เศรษฐกจิ สงั คมและวัฒนธรรม ในทวปี ยโุ รป และทวปี แอฟรกิ า

หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรียนทับโพธ์ิพฒั นวิทย์ 219 ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 3. สบื ค้น อภปิ รายประเดน็ ปัญหา  ประเดน็ ปญั หาจากปฏสิ มั พันธ์ระหวา่ ง จากปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างสิง่ แวดลอ้ ม สิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพกับมนษุ ยท์ ่เี กิดข้นึ ในทวปี ทางกายภาพกับมนุษย์ที่เกิดขึ้น ยุโรป และทวปี แอฟริกา ในทวีปยุโรป และทวีปแอฟริกา 4. วเิ คราะหแ์ นวทางการจัดการภยั แนวทางการจดั การภัยพบิ ตั ิและการจัดการ พิบตั ิและการจัดการทรัพยากรและ ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมในทวีปยุโรป และทวีป สงิ่ แวดล้อมในทวีปยโุ รป แอฟริกาทยี่ ่ังยืน และทวีปแอฟริกาที่ย่งั ยนื ม.3 1. สำรวจและระบุทำเลที่ต้ังของ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คมในทวีป  ทำเลทต่ี ง้ั ของกิจกรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คม อเมรกิ าเหนอื และทวปี อเมรกิ าใต้ เชน่ พ้นื ทเ่ี พาะปลกู และ เล้ียงสัตว์ แหลง่ ประมง การกระจายของภาษาและ ศาสนาในทวปี อเมริกาเหนือ และ ทวปี อเมรกิ าใต้ 2. วเิ คราะห์ปจั จยั ทางกายภาพและ  ปจั จัยทางกายภาพและปจั จัยทางสงั คมทสี่ ่งผล ปจั จยั ทางสังคมทีม่ ผี ลตอ่ ทำเลทต่ี ง้ั ตอ่ การเปลีย่ นแปลงโครงสรา้ ง ของกจิ กรรมทางเศรษฐกิจและสงั คม ทางประชากร สงิ่ แวดลอ้ ม เศรษฐกิจ ในทวีปอเมริกาเหนือ และทวีป สังคมและวฒั นธรรมในทวีปอเมริกา อเมริกาใต้ เหนอื และทวีปอเมริกาใต้ 3. สบื คน้ อภิปรายประเด็นปัญหา  ประเดน็ ปัญหาจากปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่าง จากปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่งิ แวดลอ้ ม สง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพกับมนษุ ย์ท่เี กิดขน้ึ ในทวปี ทางกายภาพกบั มนษุ ยท์ ีเ่ กิดขึ้น อเมริกาเหนอื และทวีปอเมริกาใต้ ในทวีปอเมริกาเหนือ และทวีป อเมริกาใต้ 4. วิเคราะห์แนวทางการจัดการ  แนวทางการจดั การภัยพบิ ัติและการจัดการ ภยั พิบัติและการจัดการทรัพยากร ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อมในทวปี อเมริกาเหนือ และส่ิงแวดลอ้ มในทวีปอเมริกาเหนอื และทวปี อเมริกาใต้ท่ยี ่ังยนื และทวีปอเมรกิ าใต้ ท่ียงั่ ยนื 5. ระบุความร่วมมือระหว่างประเทศ ท่ี  เป้าหมายการพัฒนาท่ยี งั่ ยืนของโลก มผี ลต่อการจัดการทรัพยากรและ  ความร่วมมอื ระหวา่ งประเทศที่มผี ลต่อการ สิ่งแวดล้อม จัดการทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม

หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธิ์พฒั นวทิ ย์ 220 ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.4 –ม.6 1. วิเคราะหป์ ฏสิ มั พันธ์ระหวา่ ง  ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งสิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพกับ สงิ่ แวดล้อมทางกายภาพกับกิจกรรมของ มนษุ ยใ์ นการสร้างสรรค์วิถี วถิ ีการดาเนนิ ชวี ิตภายใตก้ ระแสโลกาภิวตั น์ ได้แก่ การดำเนนิ ชีวติ ของท้องถ่นิ ท้ังใน  ประชากรและการตง้ั ถ่นิ ฐาน(การกระจายและ ประเทศไทยและภูมภิ าคตา่ งๆ ของโลกและเห็นความสำคญั ของ การเปล่ียนแปลงประชากร ชมุ ชนเมอื งและชนบท สงิ่ แวดล้อมทมี่ ีผลต่อการดำรงชีวิต และการกลายเปน็ เมือง ของมนุษย์  การกระจายตวั ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 2. วิเคราะหส์ ถานการณ์ สาเหตุ และผลกระทบของการเปลยี่ นแปลง (เกษตรกรรม อุตสาหกรรมการผลิต การบรกิ าร ด้านทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม ของประเทศไทยและภูมิภาคต่างๆ ของ และการท่องเทีย่ ว) โลก  สถานการณ์การเปลย่ี นแปลงด้าน 3. ระบมุ าตรการป้องกันและแกไ้ ข ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมไดแ้ ก่ การ ปัญหา กฎหมายและนโยบายดา้ น ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม เปลย่ี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศความเสื่อมโทรมของ บทบาทขององค์การทเี่ ก่ยี วข้อง และ สง่ิ แวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ และภยั การประสานความร่วมมือทงั้ ในประเทศ และระหว่างประเทศ พบิ ัติ  สาเหตุ และผลกระทบของการเปล่ียนแปลง 4. วิเคราะหแ์ นวทางและมีสว่ นร่วม ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ด้านทรพั ยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอ้ มของ และสง่ิ แวดล้อมเพ่ือการพฒั นา ประเทศไทย และภูมภิ าคตา่ งๆ ของโลก ทย่ี ่ังยืน  การจัดการภยั พบิ ตั ิ  มาตรการป้องกนั และแก้ไขปญั หา ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มในประเทศ และระหว่างประเทศ ตามแนวทาง การพฒั นาที่ยง่ั ยนื ความมนั่ คงของมนษุ ย์ และ การบริโภคอย่างรับผิดชอบ  กฎหมายและนโยบายด้านทรพั ยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ มท้งั ในประเทศและระหว่าง ประเทศ  บทบาทขององค์การ และการ ประสานความรว่ มมือทั้งในประเทศ และระหวา่ งประเทศ  แนวทางการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม  การมสี ว่ นร่วมในการแก้ปัญหาและการดำเนิน ชีวิตตามแนวทางการจดั การทรัพยากรและ ส่ิงแวดลอ้ มเพ่ือการพัฒนาทีย่ ั่งยนื

หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธ์ิพฒั นวทิ ย์ 221 อภธิ านศพั ท์ กตญั ญกู ตเวที ผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแลว้ และตอบแทน แยกออกเป็น ๒ ข้อ ๑. กตัญญู รคู้ ุณทา่ น ๒. กตเวทตี อบแทนหรือสนองคุณทา่ น ความกตัญญูกตเวทีวา่ โดยขอบเขต แยกได้ เป็น ๒ ระดบั คือ ๒.๑ กตญั ญูกตเวทตี ่อบคุ คลผู้มีคุณความดหี รอื อปุ การะต่อตนเป็นสว่ นตัว ๒.๒ กตญั ญูกตเวทีต่อ บุคคลผู้ไดบ้ ำเพญ็ คณุ ประโยชน์หรือมีคุณความดี เกอ้ื กลู แก่ส่วนรว่ ม (พ.ศ. หน้า ๒-๓) กตัญญกู ตเวทีต่ออาจารย์ / โรงเรยี น ในฐานะท่เี ปน็ ศษิ ย์ พึงแสดงความเคารพนับถืออาจารย์ ผู้ เปรยี บเสมือนทิศเบื้องขวา ดังน้ี ๑. ลูกตอ้ นรบั แสดงความเคารพ ๒. เขา้ ไปหา เพื่อบำรงุ รับ ใช้ ปรึกษา ซักถาม รบั คำแนะนำ เปน็ ต้น ๓. ฟังดว้ ยดี ฟังเปน็ ร้จู ักฟงั ใหเ้ กิดปัญญา ๔. ปรนนบิ ัติ ช่วยบรกิ าร ๕. เรยี นศิลปวทิ ยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจังถือเปน็ กจิ สำคญั ดว้ ยดี กรรม การกระทำ หมายถงึ การกระทำทป่ี ระกอบดว้ ยเจตนา คือ ทำดว้ ยความจงใจ ประกอบด้วยความ จงใจหรอื จงใจทำดกี ต็ าม ช่วั กต็ าม เชน่ ขุดหลมุ พรางดักคนหรือสัตว์ในตกลงไปตายเปน็ กรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กนิ ไวใ้ ช้ สตั ว์ตกลงไปตายเองไม่เปน็ กรรม (แตถ่ า้ รู้อย่วู ่าบ่อน้ำท่ีตนขุดไว้อยู่ในท่ีซง่ึ คนจะพลดั ตกได้ง่ายแลว้ ปลอ่ ยปละละเลย มคี นตกลงไปก็ไมพ่ ้นกรรม) การกระทำที่ดีเรยี กว่า “กรรมด”ี ท่ชี ว่ั เรยี กวา่ “กรรมช่ัว” (พ.ศ. หน้า ๔) กรรม ๒ กรรมจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมทเี่ ป็นมูลเหตุมี ๒ คอื ๑. อกศุ ลกรรม กรรมที่เปน็ อกุศล กรรมชั่ว คือเกดิ จากอกุศลมลู ๒. กุศลกรรม กรรมท่เี ปน็ กศุ ล กรรมดี คอื กรรมทเี่ กดิ จากกุศลมูล กรรม ๓ กรรมจำแนกตามทวารคือทางทก่ี รรมมี ๓ คือ ๓. กายกรรม การกระทำทางกาย ๒. วจกี รรม การกระทำทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทำทางใจ กรรม ๑๒ กรรมจำแนกตามหลักเกณฑ์เกีย่ วกบั การให้ผล มี ๑๒ อย่าง คือ หมวดที่ ๑ วา่ ดว้ ยปากกาล คือจำแนกตามเวลาท่ีใหผ้ ล ได้แก่ ๑. ทิฏฐธิ รรมเวทนยี กรรม กรรมท่ี ให้ผลในปัจจุบัน คอื ในภพน้ี ๒. อุปัชชเวทนยี กรรม กรรมทใี่ ห้ผลในภาพที่จะไปเกิด คือ ในภพหน้า ๓. อปราบปริเวทนียกรรม กรรมทใ่ี ห้ผลในภพต่อ ๆ ไป ๔. อโหสกิ รรม กรรมเลกิ ใหผ้ ล หมวดท่ี ๒ ว่าโดยกิจ คือการใหผ้ ลตามหนา้ ท่ี ได้แก่ ๕. ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด หรอื กรรมท่ี เป็นตัวนำไปเกดิ ๖. อปุ ัตถัมภกกรรม กรรมสนบั สนุน คือ เข้าสนับสนนุ หรอื ซำ้ เติมต่อจากชนก กรรม ๗. อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคน้ั คือเข้ามาบีบค้นั ผลแห่งชนกกรรม และอปุ ตั ถัมภกกรรมน้นั ให้ แปรเปล่ยี นทเุ ลาเบาลงหรือสั้นเข้า ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือ กรรมแรงฝ่ายตรงข้ามที่ เขา้ ตัดรอนใหผ้ ลของกรรมสองอยา่ งนั้นขาดหรอื หยดุ ไปทเี ดียว .................................................................. กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร การจัดสาระการเรยี นรพู้ ระพุทธศาสนา กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคม ศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์คุรสภาลาดพร้าว ,ครั้งท่ี ๒ ๒๕๔๖ . *หมายเหตุ พ.ศ. หมายถึง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท์ ; พ.ธ. หมายถึง พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมาวลธรรม พมิ พ์ครั้งท่ี ๙ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต) กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ,๒๕๔๓. หมวดท่ี ๓ วา่ โดยปานทานปริยาย คือจำแนกตามลำดับความแรงในการให้ผล ได้แก่ ๙. ครุกรรม กรรมหนัก ให้ผลก่อน ๑๐. พหลุ กรรม หรือ อาจิณกรรม กรรทท่ี ำมากหรือกรรมชินให้ผล

หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรียนทับโพธ์พิ ฒั นวทิ ย์ 222 รองลงมา ๑๑. อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ถา้ ไม่มีสองข้อกอ่ นก็จะให้ผลก่อน อ่ืน ๑๒. กตตั ตากรรม หรอื กตัตตาวาปนกรรม กรรมสกั วา่ ทำ คือเจตนาอ่อน หรือมใิ ช่ เจตนาอยา่ งนัน้ ใหผ้ ลต่อเมื่อไม่มกี รรมอน่ื จะให้ผล (พ.ศ. หน้า ๕) กรรมฐาน ท่ตี ั้งแห่งการงาน อารมณเ์ ป็นทต่ี ั้งแห่งการงานของใจ อุบายทางใจ วธิ ฝี กึ อบรมจิต มี ๒ ประเภท คอื สมถกรรมฐาน คือ อุบายสงบใจ วิปัสสนากรรมฐาน อบุ ายเรอื งปัญญา (พ.ศ. หนา้ ๑๐) กลุ จริ ฏั ตธรรม ๔ ธรรมสำหรบั ดำรงความมั่นคงของตระกูลให้ยั่งยืน เหตุท่ที ำใหต้ ระกลู มัง่ คงั่ ต้งั อยู่ได้นาน (พ.ธ. หน้า ๑๓๔) ๑. นฏั ฐคเวสนา คือ ของหายของหมด รจู้ ักหามาไว้ ๒. ชิณณปฏิสังขรณา คอื ของ เก่าของชำรดุ รจู้ ักบรู ณะซ่อมแซม ๓. ปรมิ ติ ปานโภชนา คือ รู้จักประมาณในการกินการใช้ ๔. อธปิ ัจจสลี วนั ตสถาปนา คอื ตงั้ ผมู้ ศี ลี ธรรมเปน็ พ่อบ้านแมเ่ รือน (พ.ธ. หนา้ ๑๓๔) กุศล บุญ ความดี ฉลาด ส่งิ ท่ีดี กรรมดี (พ.ศ. หน้า ๒๑) กุศลกรรม กรรมดี กรรมทเ่ี ป็นกศุ ล การกระทำทีด่ คี ือเกดิ จากกุศลมูล (พ.ศ. หน้า ๒๑) กุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแหง่ กรรมดี ทางทำดี กรรมดีอนั เป็นทางนำไปสูส่ คุ ติมี ๑๐ อย่างได้แก่ ก. กายกรรม ๓ (ทางกาย) ๑. ปาณาตปิ าตา เวรมณี เวน้ จากการทำลายชีวติ ๒. อทินนาทานา เวรมณี เวน้ จากถือเอาของทเี่ ขามไิ ดใ้ ห้ ๓. กาเมสุมจิ ฉาจารา เวรมณี เวน้ จากประพฤตผิ ิดใน กาม ข. วจีกรรม ๔ (ทางวาจา) ได้แก่ ๔. มุสาวาทา เวรมณี เวน้ จากพดู เท็จ ๕. ปสิ ุณายวาจาย เวรมณี เวน้ จากพดู ส่อเสียด ๖. ผรสุ าย วาจาย เวรมณี เวน้ จากพูดคำหยาบ ๗. สมั ผปั ปลาปา เวรมณี เว้นจากพดู เพอ้ เจ้อ ค. มโนกรรม ๓ (ทางใจ) ๘. อนภิชฌา ไมโ่ ลกคอยจ้องอยากไดข้ องเขา ๙. อพยาบาท ไมค่ ิดรา้ ย เบยี ดเบยี นเขา ๑๐. สัมมาทิฏฐิ เหน็ ชอบตามคลองธรรม (พ.ศ. หนา้ ๒๑) กศุ ลมลู รากเหง้าของกุศล ต้นเหตุของกศุ ล ตน้ เหตุของความดี ๓ อย่าง ๑. อโลภะ ไมโ่ ลภ (จาคะ) ๒. อโท สะ ไม่คิดประทษุ ร้าย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม่หลง (ปัญญา) (พ.ศ. หน้า ๒๒) กุศลวิตก ความตรึกทเี่ ปน็ กุศล ความนกึ คดิ ท่ีดงี าม ๓ คือ ๑. เนกขมั มวติ ก ความตรกึ ปลอดจากกาม ๒. อพยาบาทวิตก ความตรกึ ปลอดจากพยาบาท ๓. อวหิ สิ าวติ ก ความตรึกปลอดจากการ เบียดเบยี น (พ.ศ. หน้า ๒๒) โกศล ๓ ความฉลาด ความเช่ียวชาญ มี ๓ อย่าง ๑. อายโกศล คอื ความฉลาดในความเจรญิ รอบรู้ทาง เจรญิ และเหตุของความเจริญ ๒. อปายโกศล คือ ความฉลาดในความเสื่อม รอบรู้ทางเสื่อมและ เหตขุ องความเสอ่ื ม ๓. อปุ ายโกศล คือ ความฉลาดในอุบาย รอบรู้วธิ แี กไ้ ขเหตุการณ์และวิธีท่ีจะ ทำให้สำเรจ็ ทงั้ ในการปอ้ งกนั ความเสื่อมและในการสรา้ งความเจริญ (พ.ศ. หน้า ๒๔)

หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรียนทับโพธ์ิพฒั นวทิ ย์ 223 ขนั ธ์ กอง พวก หมวด หมู่ ลำตวั หมวดหนึ่ง ๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทง้ั หมดท่แี บ่งออกเป็นห้ากอง ได้แก่ รูปขันธ์ คอื กองรปู เวทนาขนั ธ์ คือ กองเวทนา สัญญาขันธ์ คอื กองสญั ญา สังขารขันธ์ คอื กองสงั ขาร วญิ ญาณขนั ธ์ คือ กองวิญญาณ เรียกรวมวา่ เบญจขนั ธ์ (พ.ศ. หน้า ๒๖ - ๒๗) คารวธรรม ๖ ธรรม คือ ความเคารพ การถือเปน็ สิง่ สำคัญที่จะพึงใสใ่ จและปฏบิ ตั ิดว้ ย ความเอ้ือเฟ้ือ หรือโดยความหนักแน่นจริงจังมี ๖ ประการ คือ ๑. สตั ถคุ ารวตา ความเคารพในพระศาสดา หรือ พุทธคารวตา ความเคารพในพระพุทธเจา้ ๒. ธัมมคารวตา ความเคารพในพระธรรม ๓. สงั ฆ คารวตา ความเคารพในพระสงฆ์ ๔. สิกขาคารวตา ความเคารพในการศกึ ษา ๕. อปั ปมาท คารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท ๖. ปฏสิ นั ถารคารวตา ความเคารพในการปฏสิ นั ถาร (พ.ธ. หนา้ ๒๒๑) คหิ ิสุข (กามโภคสี ขุ ๔) สุขของคฤหสั ถ์ สุขของชาวบ้าน สุขท่ชี าวบ้านควรพยายามเข้าถึงใหไ้ ดส้ มำ่ เสมอ สุขอันชอบธรรมทผี่ ้คู รองเรือนควรมี ๔ ประการ ๑. อัตถิสุข สุขเกิดจากความมีทรัพย์ ๒. โภคสขุ สุขเกดิ จากการใชจ้ า่ ยทรัพย์ ๓. อนณสุข สขุ เกดิ จากความไมเ่ ป็นหนี้ ๔. อนวัชชสุข สุขเกดิ จาก ความประพฤติไม่มโี ทษ (ไม่บกพร่องเสียหายท้งั ทางกาย วาจา และใจ) (พ.ธ. หนา้ ๑๗๓) ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมสำหรับฆราวาส ธรรมสำหรบั การครองเรือน หลกั การครองชีวติ ของคฤหสั ถ์ ๔ ประการ ได้แก่ ๑. สัจจะ คือ ความจริง ซ่ือตรง ซ่ือสัตย์ จริงใจ พดู จรงิ ทำจรงิ ๒. ทมะ คือ การฝกึ ฝน การข่มใจ ฝึกนสิ ยั ปรบั ตัว รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหดั ดดั นสิ ัย แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรงุ ตนให้เจริญก้าวหน้าดว้ ยสติปัญญา ๓. ขนั ติ คอื ความอดทน ตงั้ หน้าทำหนา้ ท่ีการงาน ด้วยความขยนั หมนั่ เพียร เข้มแขง็ ทนทาน ไมห่ วนั่ ไหว มนั่ ในจุดหมาย ไม่ท้อถอย ๔. จาคะ คือ เสยี สละ สละกิเลส สละความสุขสบาย และผลประโยชน์ส่วนตนได้ ใจกว้าง พรอ้ มทีจ่ ะรับฟัง ความทุกข์ ความคิดเห็นและความต้องการของผอู้ นื่ พรอ้ มทจ่ี ะร่วมมือช่วยเหลือ เอื้อเฟือ้ เผ่ือแผ่ ไมค่ บั แคบเหน็ แกต่ วั หรอื เอาแตใ่ จตัว (พ.ธ. หนา้ ๔๓) จิต ธรรมชาติทรี่ ู้อารมณ์ สภาพท่ีนกึ คิด ความคดิ ใจ ตามหลักฝา่ ยอภิธรรม จำแนกจิตเป็น ๘๙ แบง่ โดยชาตเิ ป็นอกศุ ลจิต ๑๒ กุศลจติ ๒๑ วิปากจติ ๓๖ และกิรยิ าจติ ๘ (พ.ศ. หน้า ๔๓) เจตสิก ธรรมท่ีประกอบกบั จติ อาการหรือคุณสมบัตติ า่ ง ๆ ของจติ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปัญญาเปน็ ต้น มี ๕๒ อย่าง จดั เป็นอัญญสมานาเจตสิก ๑๓ อกุศลเจตสิก ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕ (พ.ศ. หน้า ๔๙) ฉันทะ ๑. ความพอใจ ความชอบใจ ความยินดี ความต้องการ ความรักใครใ่ นส่ิงนนั้ ๆ ๒. ความยินยอม ความยอมให้ท่ีประชุมทำกิจน้ัน ๆ ในเม่อื ตนมิไดร้ ว่ มอย่ดู ้วย เป็นธรรมเนียมของภิกษุท่ีอยู่ในวดั ซ่ึงมี สีมารวมกัน มสี ิทธทิ ่จี ะเข้าประชุมทำกิจของสงฆ์ เว้นแต่ภิกษุน้นั อาพาธ จะเขา้ รว่ มประชุมดว้ ย ไม่ได้ ก็มอบฉันทะคือ แสดงความยนิ ยอมใหส้ งฆ์ทำกิจนั้น ๆ ได้ (พ.ศ. หน้า ๕๒) ฌาน การเพ่ง การเพ่งพนิ ิจด้วยจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่ มี ๒ ประเภท คือ ๑. รูปฌาน ๒. อรูปฌาน (พ.ศ. หน้า ๖๐) ฌานสมบตั ิ การบรรลฌุ าน การเข้าฌาน (พุทธธรรม หน้า ๙๖๔) ดรณุ ธรรม ธรรมท่ีเปน็ หนทางแหง่ ความสำเรจ็ คือ ข้อปฏิบัติทเี่ ปน็ ดจุ ประตชู ัยอันเปิดออกไปสู่ความสุข ความเจริญก้าวหนา้ แห่งชีวติ ๖ ประการ คอื ๑. อาโรคยะ คือ รักษาสขุ ภาพดี มิให้มีโรคทั้งจิต

หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพิ์ ัฒนวิทย์ 224 และกาย ๒. ศลี คอื มีระเบียบวินัย ไม่กอ่ เวรภัยแกส่ ังคม ๓. พุทธานมุ ัติ คอื ได้คนดเี ปน็ แบบอย่าง ศกึ ษาเยี่ยงนยิ มแบบอยา่ งของมหาบุรษุ พุทธชน ๔. สุตะ คือ ตั้งเรียนรู้ใหจ้ ริง เลา่ เรียน คน้ ควา้ ใหร้ ูเ้ ช่ยี วชาญใฝส่ ดับเหตุการณใ์ ห้รเู้ ท่าทัน ๕. ธรรมานวุ ตั ิ คือ ทำแต่ส่ิงท่ีถูกต้องดีงาม ดำรงม่นั ในสุจริต ท้ังชวี ติ และงานดำเนินตามธรรม ๖. อลีนตา คือ มีความขยันหมน่ั เพียร มี กำลังใจแข็งกลา้ ไม่ท้อแทเ้ ฉอ่ื ยชา เพียรก้าวหน้าเรอื่ ยไป (ธรรมนญู ชีวิต บทท่ี ๑๕ คนสบื ตระกลู ข้อ ก. หนา้ ๕๕) หมายเหตุ หลักธรรมข้อนเี้ รียกชื่ออีกย่างหนึง่ ว่า “วฒั นมุข” ตรงคำบาลีว่า “อตั ถทวาร” ประตูแหง่ ประโยชน์ ตัณหา (๑) ความทะยานอยาก ความดนิ รน ความปรารถนา ความแส่หา มี ๓ คือ ๑. กามตณั หา ความ ทะยานอยากในกาม อยากได้อารมณ์อันน่ารักน่าใคร่ ๒. ภวตณั หา ความทะยานอยากในภพ อยาก เป็นน่นั เปน็ นี่ ๓. วภิ วตัณหา ความทะยานอยากในวภิ พ อยากไม่เปน็ น่นั ไม่เป็นน่ี อยากพรากพ้น ดับสูญ ไปเสีย ตนั หา (๒) ธิดามารนางหน่ึงใน ๓ นาง ท่ีอาสาพระยามารผู้เป็นบดิ า เข้าไปประโลมพระพุทธเจ้าด้วยอาการ ตา่ ง ๆ ในสมยั ทพ่ี ระองคป์ ระทับอยู่ท่ตี ้นอชปาลนโิ ครธ ภายหลังตรสั รูใ้ หม่ ๆ (อีก ๒ นางคือ อรดี กับราคา) (พ.ศ. หนา้ ๗๒) ไตรลกั ษณ์ ลักษณะสาม คือ ความไมเ่ ทีย่ ง ความเปน็ ทุกข์ ความไมใ่ ช่ตวั ตน ๑. อนิจจตา (ความเปน็ ของไม่เที่ยง) ๒. ทุกขตา (ความเปน็ ทุกข์) ๓. อนตั ตา (ความเป็นของไม่ใช่ตน) (พ.ศ. หน้า ๑๐๔) ไตรสิกขา สกิ ขาสาม ขอ้ ปฏิบัติทีต่ อ้ งศึกษา ๓ อย่าง คือ ๑. อธศิ ลี สกิ ขา หมายถึง สิกขา คือ ศีลอันย่ิง ๒. อธิจิตตสกิ ขา หมายถึง สิกขา คือ จติ อนั ยงิ่ ๓. อธิปญั ญาสิกขา หมายถึง สกิ ขา คือ ปญั ญา อันยิ่ง เรียกกนั ง่าย ๆ วา่ ศลี สมาธิ ปัญญา (พ.ศ. หน้า ๘๗) ทศพิธราชธรรม ๑๐ ธรรม สำหรบั พระเจ้าแผน่ ดิน คุณสมบตั ิของนักปกครองท่ดี ี สามารถปกครองแผน่ ดิน โดยธรรม และยงั ประโยชน์สขุ ใหเ้ กดิ แกป่ ระชาชน จนเกิดความช่นื ชมยินดี มี ๑๐ ประการ คอื ๑. ทาน การให้ทรพั ย์สนิ สงิ่ ของ ๒. ศีล ประพฤติดีงาม ๓. ปรจิ จาคะ ความเสียสละ ๔. อาชชวะ ความซ่ือตรง ๕. มทั ทวะ ความอ่อนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช เผากิเลสตณั หา ไม่หมกมุน่ ใน ความสุขสำราญ ๗. อักโกธะความไม่กรว้ิ โกรธ ๘. อวิหงิ สา ความไมข่ ่มเหงเบยี ดเบยี น ๙. ขนั ติ ความอดทนเข้มแขง็ ไม่ท้อถอย ๑๐. อวโิ รธนะ ความไมค่ ลาดธรรม (พ.ศ. หนา้ ๒๕๐) ทฏิ ธัมมิกัตถสังวตั ตนกิ ธรรม ๔ ธรรมที่เปน็ ไปเพื่อประโยชนใ์ นปจั จุบนั คอื ประโยชนส์ ขุ สามญั ทีม่ องเหน็ กันในชาตนิ ้ี ท่คี นทว่ั ไปปรารถนา เชน่ ทรพั ย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เปน็ ตน้ มี ๔ ประการ คือ ๑.อฏุ ฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหม่นั ๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา ๓. กัลยาณมิตตตา ความมเี พ่ือนเปน็ คนดี ๔. สมชวี ติ า การเลย้ี งชีพตามสมควรแก่กำลังทรัพยท์ ่ี หาได้ (พ.ศ. หนา้ ๙๕) ทุกข์ ๑. สภาพท่ที นอยู่ไดย้ าก สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบค้ันด้วยความเกิดขนึ้ และดบั สลาย เนอื่ งจากตอ้ งไปตามเหตุปจั จยั ทไ่ี ม่ขึน้ ต่อตวั มนั เอง ๒. สภาพท่ที นได้ยาก ความรู้สึกไมส่ บาย ได้แก่ ทุกขเวทนา (พ.ศ. หน้า ๙๙)

หลักสตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ฒั นวิทย์ 225 ทุกรกริ ยิ า กริ ยิ าท่ที ำไดย้ าก การทำความเพียรอันยากทใี่ คร ๆ จะทำได้ เชน่ การบำเพ็ญเพียรเพ่ือบรรลุ ธรรมวิเศษ ดว้ ยวิธที รมานตนต่าง ๆ เชน่ กล้ันลมอสั สาสะ (ลมหายใจเข้า) ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) และอดอาหาร เป็นต้น (พ.ศ. หน้า ๑๐๐) ทจุ รติ ๓ ความประพฤตไิ ม่ดี ประพฤติช่ัว ๓ ทาง ได้แก่ ๑. กายทจุ รติ ประพฤตชิ ่ัวทางกาย ๒. วจที จุ รติ ประพฤติชว่ั ทางวาจา ๓. มโนทจุ รติ ประพฤตชิ ่วั ทางใจ (พ.ศ. หนา้ ๑๐๐) เทวทตู ๔ ทูตของยมเทพ ส่ือแจ้งข่าวของมฤตยู สัญญาณท่ีเตือนใหร้ ะลึกถึงคตธิ รรมดาของชีวิต มีใหม้ คี วาม ประมาท ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ๓ อย่างแรกเรียกเทวทูต สว่ นสมณะเรยี กรวม เปน็ เทวทูตไปด้วยโดยปรยิ ายเพราะมาในหมวดเดียวกนั แต่ในบาลที ่านเรียกว่านิมิต ๔ ไม่ไดเ้ รียก เทวทตู (พ.ศ. หนา้ ๑๐๒) ธาตู ๔ ส่งิ ทที่ รงภาวะของม้ันอยเู่ องตามธรรมดาของเหตุปจจยั ไดแ้ ก่ ๑. ปฐวีธาตุ หมายถึง สภาวะท่ีแผไ่ ป หรอื กนิ เนื้อที่ เรยี กช่อื สามญั ว่า ธาตุเข้มแข็งหรือธาตุดนิ ๒. อาโปธาตุ หมายถงึ สภาวะทเ่ี อิบอาบ ดดู ซึม เรยี กสามญั วา่ ธาตุเหลว หรอื ธาตุน้ำ ๓. เตโชธาตุ หมายถึง สภาวะที่ทำใหร้ ้อน เรียกสามัญ ว่า ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ หมายถึง สภาวะทีท่ ำให้เคล่ือนไหว เรียกสามัญว่า ธาตุลม (พ.ศ. หน้า ๑๑๓) นาม ธรรมท่ีรจู้ ักกันดว้ ยช่ือ กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเร่ืองของจิตใจ ส่ิงท่ีไมม่ รี ูปร่าง ไมม่ ีรูปแต่น้อมมาเป็น อารมณ์ของจติ ได้ (พ.ศ. หน้า ๑๒๐) นิยาม ๕ กำหนดอนั แนน่ อน ความเป็นไปอนั มีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ๑. อุตุนิยาม (กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติตา่ ง ๆ โดยเฉพาะ ดนิ น้ำ อากาศ และฤดูกาล อนั เปน็ สง่ิ แวดล้อมสำหรับมนุษย)์ ๒. พีชนยิ าม (กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกับการสืบพนั ธุ์ มพี นั ธุกรรมเป็นต้น) ๓. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาติเกยี่ วกบั การทำงานของจติ ) ๔. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกีย่ วกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ กระบวนการให้ผลของการกระทำ) ๕. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาตเิ ก่ียวกบั ความสัมพันธ์และอาการทเ่ี ปน็ เหตุ เปน็ ผลแกก่ ันแหง่ สิ่งท้ังหลาย (พ.ธ. หน้า ๑๙๔) นิวรณ์ ๕ สง่ิ ทกี่ ั้นจติ ไม่ให้ก้าวหนา้ ในคุณธรรม ธรรมท่ีก้ันจติ ไมใ่ ห้บรรลุคุณความดี อกุศลธรรมที่ทำจติ ให้ เศร้าหมองและทำปญั ญาใหอ้ ่อนกำลงั ๑. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม ความต้องการกามคุณ) ๒. พยาบาท (ความคดิ ร้าย ความขัดเคืองแคน้ ใจ) ๓. ถีนมทิ ธะ (ความหดหู่และเซื่องซมึ ) ๔. อทุ ธัจจ กกุ กจุ จะ (คามฟุ้งซา่ นและรอ้ นใจ ความกระวนกระวายกลมุ้ กังวล) ๕. วิจกิ จิ ฉา (ความลังเลสงสยั ) (พ.ธ. หน้า ๑๙๕) นิโรธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาไดส้ ้นิ เชงิ ภาวะปลอดทุกข์ เพราะไม่มีทุกข์ทจ่ี ะเกิดขึน้ ได้ หมายถึง พระนพิ พาน (พ.ศ. หนา้ ๑๒๗) บารมี คุณความดีท่ีบำเพญ็ อย่างยง่ิ ยวด เพื่อบรรลุจดุ หมายอันสงู ย่งิ มี ๑๐ คือ ทาน ศลี เนกขัมมะ ปญั ญา วริ ิยะ ขันติ สจั จะ อธษิ ฐาน เมตตา อุเบกขา (พ.ศ. หนา้ ๑๓๖) บญุ กิรยิ าวตั ถุ ๓ ทต่ี ้ังแห่งการทำบุญ เร่อื งท่จี ัดเป็นการทำความดี หลักการทำความดี ทางความดีมี ๓ ประการ คือ ๑. ทานมยั คือทำบญุ ด้วยการใหป้ ันสิง่ ของ ๒. ศลี มยั คอื ทำบุญดว้ ยการรกั ษาศีล หรือประพฤตดิ ีมีระเบยี บวนิ ยั ๓. ภาวนมัย คือ ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝกึ อบรมจิตใจ (พ.ธ. หน้า ๑๐๙)

หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิ์พฒั นวทิ ย์ 226 บุญกิรยิ าวตั ถุ ๑๐ ท่ีต้งั แหง่ การทำบุญ ทางความดี ๑. ทานมยั คอื ทำบญุ ดว้ ยการให้ปันสงิ่ ของ ๒. สีลมัย คอื ทำบุญด้วยการรกั ษาศีล หรือประพฤตดิ ี ๓. ภาวนมยั คือ ทำบุญด้วยการเจรญิ ภาวนา คือ ฝึกอบรมจติ ใจ ๔. อปจายนมัย คือ ทบญุ ดว้ ยการประพฤติออ่ นน้อมถ่อมตน ๕. เวยยาวจั จมยั คอื ทำบญุ ดว้ ยการชว่ ยขวนขวาย รบั ใช้ ๖. ปตั ตทิ านมยั คอื ทำบุญดว้ ยการเฉล่ยี ส่วนแหง่ ความดี ให้แกผ่ ู้อ่ืน ๗. ปัตตานโุ มทนามยั คือ ทำบุญด้วยการยินดีในความดขี องผู้อนื่ ๘. ธมั มัสสวน มยั คือ ทำบุญด้วยการฟงั ธรรม ศกึ ษาหาความรู้ ๙. ธัมมเทสนามัย คือทำบุญดว้ ยการส่งั สอนธรรม ให้ความรู้ ๑๐. ทฏิ ฐชุ ุกรรม คือ ทำบุญดว้ ยการทำความเหน็ ให้ตรง (พ.ธ. หนา้ ๑๑๐) บพุ นมิ ิตของมัชฌิมาปฏิปทา บพุ นมิ ิต แปลวา่ ส่ิงท่เี ปน็ เครื่องหมายหรือส่ิงบ่งบอกล่วงหน้า พระพุทธองค์ ตรสั เปรียบเทียบว่า ก่อนทด่ี วงอาทิตยจ์ ะขึ้น ย่อมมีแสงเงินแสงทองปรากฏใหเ้ หน็ ก่อนฉันใด กอ่ นท่ีอรยิ มรรคซง่ึ เป็นข้อปฏิบตั สิ ำคัญในพระพุทธศาสนาจะเกิดขน้ึ กม็ ีธรรมบางประการปรากฏ ขน้ึ กอ่ น เหมือนแสงเงินแสงทองฉันนน้ั องค์ประกอบของธรรมดงั กล่าว หรือบุพนิมติ แห่ง มัชฌมิ าปฏิปทา ได้แก่ ๑. กัลปย์ าณมติ ตตา ความมีกัลยาณมิตร ๒. สีลสมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยศีล มี วินยั มีความเปน็ ระเบียบในชีวติ ของตนและในการอยู่รว่ มในสังคม ๓. ฉนั ทสัมปทา ถึงพรอ้ มดว้ ย ฉันทะ พอใจใฝร่ กั ในปัญญา สจั ธรรม ในจรยิ ธรรม ใฝร่ ูใ้ นความจริงและใฝ่ทำความดี ๔. อัตต สมั ปทา ความถึงพร้อมดว้ ยการท่จี ะฝกึ ฝน พฒั นาตนเอง เห็นความสำคัญของการทีจ่ ะต้องฝึกตน ๕. ทิฏฐสิ ปั ทา ความถงึ พร้อมดว้ ยทฏิ ฐิ ยึดถอื เชอ่ื ถือในหลักการ และมคี วามเห็นความเข้าใจ พื้นฐานทีม่ องส่งิ ทั้งหลายตามเหตปุ ัจจัย ๖. อัปปมาทสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยความไม่ประมาท มี ความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เห็นคณุ คา่ ของกาลเวลา เห็นความเปลยี่ นแปลงเป็นส่ิง กระตุ้นเตือนใหเ้ รง่ รัดการคน้ หาใหเ้ ขาถึงความจรงิ หรือในการทำชีวิตทดี่ ีงามให้สำเรจ็ ๗. โยนิโส มนสกิ าร รจู้ ดั คดิ พจิ ารณา มองสิ่งทง้ั หลายใหไ้ ด้ความร้แู ละไดป้ ระโยชนท์ ีจ่ ะเอามาใช้พัฒนาตนเอง ยงิ่ ๆ ขึ้นไป (แสงเงนิ แสงทองของชวี ติ ที่ ดีงาม: พระธรรมปฎิ ก) (ป.อ. ปยุตฺโต) เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ ความดี ๕ อย่าง ท่ีควรประพฤติคูก่ นั ไปกับการรักษาเบญจศลี ตามลำดับข้อ ดงั น้ี ๑. เมตตากรณุ า ๒. สัมมาอาชีวะ ๓. กามสังวร (สำรวมในกาม) ๔. สจั จะ ๕. สตสิ มั ปชญั ญะ (พ.ศ. หน้า ๑๔๐ – ๑๔๑) เบญจศลี ศลี ๕ เว้นฆ่าสตั ว์ เว้นลักทรัพย์ เว้นประพฤติผิดในกาม เวน้ พูดปด เวน้ ของเมา (พ.ศ. หนา้ ๑๔๑) ปฐมเทศนา เทศนาคร้ังแรก หมายถงึ ธัมมจกั รกัปปวตั ตนสูตรท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวคั คยี ใ์ น วนั ขนึ้ ๑๕ คำ่ เดือน ๘ หลงั จากวนั ตรสั รูส้ องเดือน ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี (พ.ศ. หน้า ๑๔๗) ปฏจิ จสมุปบาท สภาพอาศัยปัจจยั เกิดข้ึน การท่สี ิง่ ทั้งหลายอาศัยกนั จึงมีขึ้น การที่ทุกข์เกดิ ข้นึ เพราะอาศยั ปจั จยั ต่อเนื่องกนั มา (พ.ศ. หน้า ๑๔๓) ปริยัติ พุทธพจนอ์ ันจะพึงเล่าเรียน สง่ิ ที่ควรเลา่ เรียน การเลา่ เรียนพระธรรมวนิ ัย (พ.ศ. หน้า ๑๔๕) ปธาน ๔ ความเพยี ร ๔ อย่าง ได้แก่ ๑. สังวรปธาน คือ การเพียรระวังหรือเพยี รปิดกั้น (ยบั ย้ังบาปอกุศลธรรม ที่ยงั ไม่เกดิ ไมใ่ ห้เกิดขึ้น) ๒. ปหานปธาน คือ เพยี รละบาปอกุศลที่เกิดข้นึ แลว้ ๓. ภาวนาปธาน คือ เพียรเจริญ หรือทำกศุ ลธรรมท่ียงั ไมเ่ กิดให้เกิดข้ึน ๔. อนรุ ักขนาปธาน คอื เพียรรักษากุศลธรรมท่ี เกิดขึ้นแลว้ ไมใ่ ห้เสอื่ มไปและทำให้เพิ่มไพบูลย์ (พ.ศ. หน้า ๑๔๙)

หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรียนทับโพธิ์พัฒนวิทย์ 227 ปปัญจธรรม ๓ กิเลสเคร่ืองเนิ่นชา้ กเิ ลสทเ่ี ปน็ ตวั การทำให้คิดปรงุ แต่งยึดเย้ือพิสดาร ทำให้เขาหา่ งออกไป จากความเปน็ จริงง่าย ๆ เปิดเผย ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ และขัดขวางไม่ให้เข้าถึงความจริง หรือทำ ให้ ไม่อาจแก้ปญั หาอย่างถูกทางตรงไปตรงมา มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. ตัณหา (ความทะยานอยาก ความปรารถนาทีจ่ ะบำรุงบำเรอ ปรนเปรอตน ความยากได้อยากเอา) ๒. ทฏิ ฐิ (ความคดิ เห็น ความ เชอื่ ถือ ลักธิ ทฤษฎี อุดมการณ์ต่าง ๆ ทย่ี ดึ ถือไว้โดยงมงายหรือโดยอาการเชิดชูวา่ อย่างน้ีเท่าน้นั จริง อย่างอ่นื เท็จทั้งน้ัน เป็นต้น ทำใหป้ ดิ ตัวแคบ ไม่ยอมรับฟังใคร ตัดโอกาสทีจ่ ะเจริญปัญญา หรอื คิด เตลดิ ไปข้างเดียว ตลอดจนเป็นเหตุแหง่ การเบียดเบยี นบีบคั้นผอู้ ืน่ ท่ีไมถ่ ืออยา่ งตน ความยึดติดใน ทฤษฎี ฯลฯ คือความคดิ เหน็ เป็นความจริง) ๓. มานะ (ความถือตวั ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นน่ี ถือสูง ถือต่ำ ยงิ่ ใหญ่ เท่าเทียมหรือด้อยกว่าผู้อ่ืน ความอยากเดน่ อยากยกชูตนให้ย่ิงใหญ)่ (พ.ธ. หน้า ๑๑๑) ปฏเิ วธ เข้าใจตลอด แทงตลอด ตรสั รู้ รู้ทะลุปรุโปร่ง ลลุ ว่ งด้วยการปฏบิ ัติ (พ.ศ. หนา้ ๑๔๕) ปฏเิ วธสทั ธรรม สทั ธรรม คือ ผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลดุ ้วยการปฏิบตั ิได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน (พ.ธ. หน้า ๑๒๕) ปัญญา ๓ ความรอบรู้ เข้าใจ รซู้ ้งึ มี ๓ อย่าง คือ ๑. สตุ มยปญั ญา (ปัญญาเกิดแต่การสดับการเลา่ เร่อื ง) ๒. จินตามนปัญญา (ปญั ญาเกดิ แตก่ ารคิด การพจิ ารณาหาเหตุผล) ๓. ภาวนามยปัญญา (ปญั ญาเกดิ แตก่ ารฝกึ อบรมลงมอื ปฏิบตั ิ) (พ.ธ. หนา้ ๑๑๓) ปญั ญาวุฒธิ รรม ธรรมเปน็ เครื่องเจริญปญั ญา คุณธรรมท่ีก่อให้เกิดความเจริญงอกงามแห่งปัญญา ๑. สปั ปุริสสงั เสวะ คบหาสัตบุรษุ เสวนาท่านผู้ทรง ๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟงั สัทธรรม เอาใจใส่ เล่าเรยี น หาความรู้จรงิ ๓. โยนโิ สมนสิการ ทำในใจโดยแยบคาย คดิ หาเหตุผลโดยถูกวธิ ี ๔. ธมั มานุธัมม ปฏิบตั ิ ปฏบิ ัติธรรมถูกต้องตามหลัก คือ ใหส้ อดคล้องพอดี ขอบเขตความหมาย และวัตถุประสงค์ท่ี สัมพนั ธ์กับธรรมข้ออน่ื ๆ นำส่ิงที่ไดเ้ ล่าเรียนและตรติ รองเห็นแลว้ ไปใช้ปฏบิ ตั ิให้ถูกต้องตามความมุ่ง หมายของสง่ิ นั้น ๆ (พ.ธ. หน้า ๑๖๒ – ๑๖๓) ปาปณิกธรรม ๓ หลกั พ่อค้า องค์คุณของพ่อค้ามี ๓ อย่าง คือ ๑ จักขุมา ตาดี (รจู้ ักสนิ ค้า) ดูของเป็น สามารถคำนวณราคา กะทุน เกง็ กำไร แม่นยำ ๒. วธิ ูโร จัดเจนธุรกจิ (รแู้ หลง่ ซื้อขาย รูค้ วาม เคลื่อนไหวความต้องการของตลาด สามารถในการจัดซ้ือจดั จำหนา่ ย รูใ้ จและร้จู ักเอาใจลูกค้า) ๓. นิสสยสัมปนั โน พร้อมด้วยแหลง่ ทนุ อาศยั (เป็นที่เชือ่ ถือไวว้ างในในหมู่แหล่งทุนใหญ่ ๆ หาเงนิ มา ลงทุนหรือดำเนนิ กิจการโดยง่าย ๆ) (พ.ธ. หน้า ๑๑๔) ผสั สะ หรือ สมั ผสั การถูกต้อง การกระทบ ความประจวบกนั แห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วญิ ญาณ มี ๖ คือ ๑. จกั ขสุ มั ผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รปู + จักขุ - วิญญาณ) ๒. โสต สมั ผัส (ความกระทบทางหู คือ หู + เสยี ง + โสตวิญญาณ) ๓. ฆานสมั ผัส (ความกระทบทางจมกู คือ จมูก + กล่ิน + ฆานวญิ ญาณ) ๔. ชวิ หาสมั ผสั (ความกระทบทางลน้ิ คือ ลิ้น + รส + ชิวหาวญิ ญาณ) ๕. กายสมั ผัส (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ) ๖. มโนสมั ผสั (ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ) (พ.ธ. หน้า ๒๓๓) ผวู้ เิ ศษ หมายถึง ผู้สำเร็จ ผ้มู ีวิทยากร (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕) พระธรรม คำสงั่ สอนของพระพุทธเจา้ ท้ังหลักความจรงิ และหลกั ความประพฤติ (พ.ศ. หน้า ๑๘๓)

หลักสตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพ์ิ ัฒนวทิ ย์ 228 พระอนุพุทธะ ผู้ตรสั รู้ตาม คือ ตรสั รดู้ ว้ ยได้สดับเล่าเรยี นและปฏบิ ตั ิตามท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงสอน (พ.ศ. หน้า ๓๗๔) พระปจั เจกพุทธะ พระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง ซ่ึงตรสั รู้เฉพาะตวั มไิ ดส้ ัง่ สอนผู้อืน่ (พ.ศ. หน้า ๑๖๒) พระพทุ ธคุณ ๙ คุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ไดแ้ ก่ อรหํ เปน็ ผู้ไกลจากกิเลส ๒. สมมฺ าสัมฺพุทโฺ ธ เปน็ ผู้ตรสั ร้ชู อบได้โดยพระองค์เอง ๓. วชิ ฺชาจรณสมปฺ นฺโน เปน็ ผ้ถู ึงพร้อมด้วยวิชชาและ จรณะ ๔. สคุ โต เปน็ ผเู้ สดจ็ ไปแลว้ ดว้ ยดี ๕. โลกวิทู เป็นผูร้ ูโ้ ลกอย่างแจม่ แจง้ ๖. อนุตฺตโร ปรุ ิสทมฺมสารถิ เป็นผู้สามารถฝึกบรุ ุษทสี่ มควรฝึกได้อย่างไมม่ ีใครย่งิ กว่า ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นครูผูส้ อนเทวดา และมนษุ ย์ท้ังหลาย ๘. พุทฺโธ เปน็ ผู้รู้ ผู้ต่นื ผู้เบิกบาน ๙. ภควา เป็นผมู้ โี ชค มคี วามเจรญิ จำแนก ธรรมสัง่ สอนสตั ว์ (พ.ศ. หน้า ๑๙๑) พระพทุ ธเจ้า ผูต้ รัสรู้โดยชอบแล้วสอนผู้อ่ืนให้รู้ตาม ท่านผรู้ ู้ดี รู้ชอบดว้ ยตนเองก่อนแล้ว สอนประชมุ ชนให้ ประพฤติชอบดว้ ยกาย วาจา ใจ (พ.ศ. หนา้ ๑๘๓) พระภกิ ษุ ชายผ้ไู ด้อปุ สมบทแลว้ ชายท่บี วชเป็นพระ พระผู้ชาย แปลตามรูปศพั ทว์ ่า ผขู้ อหรอื ผู้มองเหน็ ภัย ในสงั ขารหรอื ผ้ทู ำลายกิเลส ดูบริษัท ๔ สหธรรมิก บรรพชิต อปุ สมั บัน ภิกษสุ าวกรูปแรก ได้แก่ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ (พ.ศ. หนา้ ๒๐๔) พระรัตนตรยั รตั นะ ๓ แกว้ อันประเสริฐ หรือสิ่งลำ้ ค่า ๓ ประการ หลักท่ีเคารพบชู าสูงสดุ ของ พุทธศาสนกิ ชน ๓ อยา่ ง คอื ๑ พระพุทธเจา้ (พระผู้ตรัสรู้เอง และสอนให้ผอู้ น่ื รูต้ าม) ๒.พระธรรม (คำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ทงั้ หลักความจริงและหลักความประพฤติ) ๓. พระสงฆ์ (หมู่สาวกผู้ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า) (พ.ธ.หนา้ ๑๑๖) พระสงฆ์ หมชู่ นท่ฟี งั คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแลว้ ปฏบิ ัติชอบตามพระธรรมวินัย หมสู่ าวกของ พระพุทธเจ้า (พ.ศ. หน้า ๑๘๕) พระสมั มาสมั พุทธเจา้ หมายถงึ ท่านผ้ตู รัสรู้เอง และสอนผู้อน่ื ใหร้ ตู้ าม (พ.ศ. หนา้ ๑๘๙) พระอนพุ ุทธะ หมายถึง ผู้ตรัสรตู้ าม คือ ตรสั รูดว้ ยไดส้ ดับเล่าเรยี นและปฏบิ ัติตามทพ่ี ระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอน ได้แก่ พระอรหนั ต์สาวกทั้งหลาย (พ.ศ. หน้า ๓๗๔) พระอรยิ บุคคล หมายถงึ บคุ คลผ้เู ป็นอรยิ ะ ท่านผู้บรรลุธรรมวเิ ศษ มโี สดาปัตติผล เปน็ ต้น มี ๔ คือ ๑. พระโสดาบนั ๒. พระสกทาคามี (หรือสกิทาคามี) ๓. พระอนาคามี ๔. พระอรหนั ต์ แบง่ พิสดารเป็น ๘ คือ พระผูต้ ั้งอย่ใู นโสดาปัตติมรรค และพระผตู้ ัง้ อยู่ในโสดาปตั ติผลคู่ ๑ พระผตู้ ้ังอยใู่ นสกทาคามมิ รรค และพระผูต้ ั้งอยู่ในสกทาคามีผลคู่ ๑ พระผ้ตู ัง้ อยใู่ นอนาคามิมรรค และพระผู้ต้ังอยูใ่ นอนาคามิผลคู่ ๑ พระผตู้ ้งั อย่ใู นอรหตั ตมรรค และพระผตู้ ้ังอยู่ในอรหัตตผลคู่ ๑ (พ.ศ. หน้า ๓๘๖) พราหมณ์ หมายถึง คนวรรณะหน่ึงใน ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ; พราหมณ์เปน็ วรรณะนักบวชและเปน็ เจ้าพธิ ี ถอื ตนว่าเป็นวรรณะสงู สดุ เกิดจากปากพระพรหม (พ.ศ. หนา้ ๑๘๕)

หลกั สตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธ์พิ ฒั นวิทย์ 229 พละ ๔ กำลัง พละ ๔ คอื ธรรมอันเป็นพลงั ทำให้ดำเนินชวี ติ ด้วยความมน่ั ใจ ไม่ตอ้ งหวาดหวน่ั ภัยต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ๑. ปัญญาพละ กำลังคือปญั ญา ๒. วริ ยิ พละ กำลงั คือความเพยี ร ๓. อนวชั ชพละ กำลงั คือ การกระทำที่ไม่มีโทษ ๔. สังคหพละ กำลังการสังเคราะห์ คือ เกื้อกูลอยรู่ ่วมกับผู้อ่ืนไดด้ ี (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖) พละ ๕ พละ กำลัง พละ ๕ คือ ธรรมอันเปน็ กำลัง ซ่ึงเป็นเครอ่ื งเก้ือหนุนแก่อริยมรรค จัดอยู่ในจำพวก โพธปิ ักขิยธรรม มี ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖) พทุ ธกิจ ๕ พระพุทธองค์ทรงบำเพญ็ พทุ ธกิจ ๕ ประการ คือ ๑. ปุพฺพณเฺ ห ปิณฺฑปาตญจฺ ตอนเชา้ เสดจ็ ออกบณิ ฑบาต เพื่อโปรดสัตว์ โดยการสนทนาธรรมหรือการแสดงหลักธรรมใหเ้ ข้าใจ ๒. สายณฺเห ธมมฺ เทสนํ ตอนเย็น แสดงธรรมแก่ประชาชนทมี่ าเฝ้าบรเิ วณทป่ี ระทับ ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ตอนค่ำ แสดงโอวาทแก่พระสงฆ์ ๔. อฑฒฺ รตฺเต เทวปญหฺ นํ ตอนเท่ียงคนื ทรงตอบปัญหาแกพ่ วก เทวดา ๕. ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วโิ ลกนํ ตอนเช้ามืด จวนสว่าง ทรงตรวจพิจารณาสตั ว์ โลกว่าผใู้ ดมอี ุปนสิ ยั ที่จะบรรลธุ รรมได้ (พ.ศ. หน้า ๑๘๙ - ๑๙๐) พทุ ธคณุ คุณของพระพุทธเจ้า คือ ๑. ปญํ ญาคุณ (พระคุณ คือ ปญั ญา) ๒. วิสุทธคิ ณุ (พระคณุ คอื ความ บริสุทธ)์ิ ๓. กรุณาคุณ (พระคุณ คือ พระมหากรุณา) (พ.ศ. หนา้ ๑๙๑) ภพ โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์ ภาวะชวี ิตของสตั ว์ มี ๓ คือ ๑. กามภพ ภพของผูย้ ังเสวยกามคุณ ๒. รูปภพ ภพของผู้เข้าถงึ รูปฌาน ๓. อรูปภพ ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาน (พ.ศ. หน้า ๑๙๘) ภาวนา ๔ การเจริญ การทำให้มีขึน้ การฝึกอบรม การพฒั นา แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ได้แก่ ๑. กายภาวนา ๒. สลี ภาวนา ๓. จิตตภาวนา ๔. ปญั ญาภาวนา (พ.ธ. หน้า ๘๑ – ๘๒) ภมู ิ ๓๑ ๑.พนื้ เพ พน้ื ชั้น ท่ดี ิน แผ่นดิน ๒. ชัน้ แหง่ จิต ระดับจิตใจ ระดับชีวิต มี ๓๑ ภูมิ ได้แก่ อบายภูมิ ๔ (ภมู ทิ ่ปี ราศจากความเจริญ) - นิรยะ (นรก) – ตริ ัจฉานโยนิ (กำเนดิ ดริ จั ฉาน) – ปิต ตวิ ิสยั (แดนเปรต) - อสุรกาย (พวกอสรู ) กามสคุ ตภิ ูมิ ๗ (กามาวจรภูมทิ เ่ี ป็นสุคติ ภมู ทิ ่ีเป็น สคุ ติซึง่ ยังเกยี่ วข้องกบั กาม) - มนุษย์ (ชาวมนุษย์) – จาตุมหาราชิกา (สวรรคช์ ั้นทที่ ้าวมหาราช ๔ ปกครอง) - ดาวดงึ ส์ (แดนแห่งเทพ ๓๓ มที า้ วสกั กะเป็นใหญ)่ -ยามา (แดนแห่งเทพผู้ ปราศจากความทกุ ข)์ - ดุสติ (แดนแห่งผ้เู อบิ อิ่มดว้ ยสริ ิสมบัติของตน) - นมิ มานรดี (แดนแหง่ เทพผยู้ ินดีในการเนรมติ ) - ปรนมิ มติ วสวัตตี (แดนแหง่ เทพผู้ยงั อำนาจให้เปน็ ไปในสมบัตทิ ผ่ี ู้อ่นื นิรมิตให้) (พ.ธ. หนา้ ๓๑๖-๓๑๗) โภคอาทิยะ ๕ ประโยชน์ท่ีควรถอื เอาจากโภคทรัพย์ ในการที่จะมีหรือเหตุผลในการทจ่ี ะมหี รอื ครอบครองโภค ทรัพย์ ๑. เล้ียงตัว มารดา บิดา บตุ ร ภรรยา และคนในปกครองทัง้ หลายให้เปน็ สขุ ๒. บำรุงมติ ร สหายและร่วมกิจกรรมการงานใหเ้ ป็นสุข ๓. ใช้ป้องกนั ภยนั ตราย ๔. ทำพลี คือ ญาติพลี สงเคราะห์ ญาติ อติถิพลี ต้อนรบั แขก ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศใหผ้ ลู้ ว่ งลับ ราชพลี บำรุงราชการ เสยี ภาษี เทว ตาพลี สกั การะบำรงุ สิ่งที่เชื่อถือ ๕. อปุ ถมั ภ์บำรงุ สมณพราหมณ์ ผูป้ ระพฤตชิ อบ (พ.ธ. หน้า ๒๐๒ - ๒๐๓) มงคล สิ่งทที่ ำให้มโี ชคดตี ามหลกั พระพุทธศาสนา หมายถึง ธรรมทนี่ ำมาซ่ึงความสขุ ความเจริญ มงคล ๓๘ ประการ หรือ เรียกเต็มวา่ อุดมมงคล (มงคลอนั สูงสดุ ) ๓๘ ประการ (ดรู ายละเอียดมงคล สูตร) (พ.ศ. หนา้ ๒๑๑)

หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธ์พิ ัฒนวทิ ย์ 230 มิจฉาวณิชชา ๕ การคา้ ขายทผ่ี ิดศีลธรรมไม่ชอบธรรม มี ๕ ประการ คือ ๑. สตั ถวณชิ ชา คา้ อาวุธ ๒. สตั ตวณชิ ชา ค้ามนุษย์ ๓. มังสวณิชชา เล้ียงสัตว์ไวข้ ายเน้ือ ๔. มชั ชวณิชชา ค้าขายน้ำเมา ๕. วิสวณิชชา ค้าขายยาพิษ (พ.ศ. หนา้ ๒๓๓) มรรคมอี งค์ ๘ ขอ้ ปฏิบตั ใิ ห้ถงึ ความดับทุกข์ เรยี กเต็มวา่ “อริยอฏั ฐังคิกมรรค” ได้แก่ ๑. สัมมาทฎิ ฐิ เหน็ ชอบ ๒. สมั มาสงั กปั ปะ ดำริชอบ ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔. สมั มากัมมันตะ ทำการ ชอบ ๕. สัมมาอาชวี ะ เลี้ยงชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ ๗.สมั มาสติ ระลกึ ชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ตัง้ จติ ม่ันชอบ (พ.ศ. หนา้ ๒๑๕) มจิ ฉตั ตะ ๑๐ ภาวะทผ่ี ิด ความเป็นส่ิงทผ่ี ดิ ได้แก่ ๑. มิจฉทิฏฐิ (เหน็ ผดิ ได้แก่ ความเหน็ ผิดจากคลองธรรม ตามหลกั กุศลกรรมบถ และความเหน็ ทไี่ มน่ ำไปสูค่ วามพน้ ทุกข์) ๒. มจิ ฉาสังกปั ปะ (ดำริผดิ ได้แก่ ความดำริท่เี ปน็ อกุศลท้ังหลาย ตรงขา้ มจากสัมมาสงั กปั ปะ) ๓. มจิ ฉาวาจา (วาจาผดิ ไดแ้ ก่ วจี ทุจริต ๔) ๔. มิจฉากัมมนั ตะ (กระทำผดิ ไดแ้ ก่ กายทจุ ริต ๓) ๕. มจิ ฉาอาชีวะ (เล้ียงชีพผิด ไดแ้ ก่ เลยี้ งชีพในทางทุจรติ ) ๖. มิจฉาวายามะ (พยายามผิด ได้แก่ ความเพยี รตรงข้ามกบั สมั มาวายามะ) ๗. มิจฉาสติ (ระลึกผิด ได้แก่ ความระลกึ ถึงเร่ืองราวทล่ี ว่ งแล้ว เชน่ ระลกึ ถึงการไดท้ รัพย์ การได้ยศ เป็นต้น ในทางอกุศล อนั จัดเป็นสติเทยี ม) เป็นเหตชุ ักนำใจใหเ้ กิด กเิ ลส มีโลภะ มานะ อสสา มัจฉรยิ ะ เป็นต้น ๘. มจิ ฉาสมาธิ (ตั้งใจผิด ไดแ้ ก่ ต้ังจติ เพ่งเลง็ จดจ่อ ปักใจแนว่ แน่ในกามราคะพยาบาท เป็นต้น หรอื เจริญสมาธิแลว้ หลงเพลนิ ตดิ หมกมุ่น ตลอดจน นำไปใชผ้ ิดทาง ไม่เปน็ ไปเพ่ือญาณทัสสนะ และความหลุดพน้ ) ๙. มจิ ฉาญาณ (รผู้ ดิ ได้แก่ ความ หลงผิดท่ีแสดงออกในการคิดอบุ ายทำความชัว่ และในการพิจารณาทบทวน ว่าความชั่วนน้ั ๆ ตน กระทำได้อยา่ งดีแลว้ เป็นต้น) ๑๐. มจิ ฉาวิมุตติ (พ้นผดิ ได้แก่ ยังไม่ถงึ วิมุตติ สำคัญวา่ ถึงวิมตุ ติ หรือสำคัญผดิ ในสิง่ ทีม่ ิใช่วมิ ุตติ) (พ.ธ. หน้า ๓๒๒) มิตรปฏริ ปู คนเทยี มมิตร มติ รเทยี ม มิใชม่ ิตรแท้ มี ๔ พวก ไดแ้ ก่ ๑. คนปอกลอก มีลักษณะ ๔ คือ ๑.๑ คิดเอาได้ฝ่ายเดยี ว ๑.๒ ยอมเสยี แตน่ อ้ ย โดยหวงั จะเอาใหม้ าก ๑.๓ ตัวเองมภี ยั จึงมาทำกิจของเพ่ือน ๑.๔ คบเพอ่ื นเพราะ เห็นแก่ประโยชนข์ องตวั ๒. คนดีแต่พดู มลี ักษณะ ๔ คอื ๒.๑ ดีแตย่ กเรื่องทีผ่ า่ นมาแลว้ มาปราศรยั ๒.๒ ดแี ต่ อา้ งสิ่งท่ียังมดี ี แต่อ้างสิง่ ท่ยี งั ไม่มีมาปราศรัย ๒.๓ สงเคราะห์ด้วยส่งิ ที่ไร้ประโยชน์ ๒.๔ เมอ่ื เพ่อื นมกี ิจอา้ งแต่เหตุขัดข้อง ๓. คนหวั ประจบมลี กั ษณะ ๔ คอื ๓.๑ จะทำช่วั ก็คลอ้ ยตาม ๓.๒ จะทำดีกค็ ล้อยตาม ๓.๓ ตอ่ หน้าสรรเสริญ ๓.๔ ลบั หลงั นินทา ๔. คนชวนฉิบหายมีลกั ษณะ ๔ ๔.๑ คอยเป็นเพ่ือนด่มื นำ้ เมา ๔.๒ คอยเป็นเพ่ือนเที่ยว กลางคนื ๔.๓ คอยเป็นเพ่ือนเท่ยี วดูการเลน่ ๔.๔ คอยเป็นเพื่อนไปเล่นการพนนั (พ.ธ. หน้า ๑๕๔ – ๑๕๕) มติ รนำ้ ใจ ๑. เพื่อนมที ุกขพ์ ลอยทุกขด์ ้วย ๒. เพอ่ื นมีสุขพลอยดีใจ ๓. เขาตเิ ตียนเพ่อื น ชว่ ยยบั ยั้ง แก้ไขให้ ๔. เขาสรรเสรญิ เพ่ือน ชว่ ยพดู เสริมสนับสนนุ (พ.ศ. หน้า ๒๓๔)

หลักสตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรียนทับโพธพิ์ ัฒนวทิ ย์ 231 รูป ๑. สง่ิ ท่ีต้องสลายไปเพราะปัจจยั ตา่ ง ๆ อันขดั แยง้ สง่ิ ท่ีเป็นรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะอาการของมัน สว่ น ร่างกาย จำแนกเปน็ ๒๘ คอื มหาภูตรปู หรือธาตุ ๔ และอุปาทายรปู ๒. อารมณ์ทีร่ ้ไู ด้ด้วยจักษุ สง่ิ ท่ีปรากฏแก่ตา ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรอื อายตนะภายนอก ๓. ลักษณนามใชเ้ รยี กพระภิกษุ สามเณร เช่น ภกิ ษรุ ูปหน่งึ (พ.ศ. หน้า ๒๕๓) วฏั ฏะ ๓ หรอื ไตรวัฎฎ์ การวนเวียน การเวียนเกิด เวียนตาย การเวยี นว่ายตายเกดิ ความเวียนเกิด หรอื วนเวยี นด้วยอำนาจกเิ ลส กรรม และวบิ าก เชน่ กิเลสเกดิ ขึ้นแล้วใหท้ ำกรรม เม่ือทำกรรมแลว้ ยอ่ ม ได้ผลของกรรม เมื่อไดร้ ับผลของกรรมแลว้ กเิ ลสกเ็ กิดอีกแล้ว ทำกรรมแลว้ เสวยผลกรรม หมนุ เวยี นต่อไป (พ.ธ. หนา้ ๒๖๖) วาสนา อาการกายวาจา ทเี่ ป็นลักษณะพเิ ศษของบุคคล ซึง่ เกดิ จากกเิ ลสบางอย่าง และไดส้ งั่ สมอบรมมา เปน็ เวลานานจนเคยชินติดเป็นพน้ื ประจำตัว แม้จะละกเิ ลสน้นั ไดแ้ ลว้ แตก่ ็อาจจะละอาการกาย วาจาท่เี คยชนิ ไม่ได้ เช่น คำพูดตดิ ปาก อาการเดนิ ท่ีเร็วหรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นตน้ ทา่ นขยายความ วา่ วาสนา ที่เปน็ กศุ ลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอพั ยากฤต คือ เปน็ กลาง ๆ ไม่ดไี ม่ชว่ั ก็มี ทเ่ี ปน็ กศุ ล กับอัพยากฤตน้นั ไมต่ ้องละ แต่ทีเ่ ปน็ อกศุ ลซึ่งควรจะละนน้ั แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนทีจ่ ะเปน็ เหตุ ให้เขา้ ถึงอบายกับส่วนทีเ่ ปน็ เหตุใหเ้ กิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลก ๆ ตา่ ง ๆ ส่วนแรก พระอรหนั ต์ทุกองค์ละได้ แตส่ ่วนหลงั พระพุทธเจ้าเทา่ นนั้ ละได้ พระอรหนั ตอ์ ืน่ ละไมไ่ ด้ จงึ มคี ำกล่าว ว่าพระพุทธเจ้าเทา่ นัน้ ละกเิ ลสทัง้ หมดได้ พร้อมท้งั วาสนา; ในภาษาไทย คำวา่ วาสนามคี วามหมาย เพี้ยนไป กลายเปน็ อำนาจบญุ เกา่ หรอื กุศลท่ที ำใหไ้ ด้รับลาภยศ (ไม่มีใน พ.ศ. ฉบับที่พมิ พ์เปน็ เลม่ แต่ค้นไดจ้ ากแผ่นซดี ีรอม พ.ศ. ของสมาคมศิษย์เกา่ มหาจฬุ าฯ) วิตก ความตรึก ตริ กายยกจติ ขน้ึ สูอ่ ารมณ์ การคิด ความดำริ “ไทยใชว้ ่าเปน็ ห่วงกงั วล” แบ่งออกเป็นกุศล วิตก ๓ และอกุศลวิตก ๓ (พ.ศ. หนา้ ๒๗๓) วบิ ตั ิ ๔ ความบกพร่องแห่งองค์ประกอบตา่ ง ๆ ซ่ึงไม่อำนวยแกก่ ารท่ีกรรมดีจะปรากฏผล แตก่ ลบั เปดิ ช่อง ให้กรรมชั่วแสดงผล พูดสนั้ ๆ วา่ สว่ นประกอบบกพร่อง เปิดชอ่ งให้กรรมชว่ั วิบัติมี ๔ คือ ๑. คติ วบิ ัติ วบิ ัติแห่งคติ หรือคติเสยี คอื เกดิ อยู่ในภพ ภูมิ ถ่ิน ประเทศ สภาพแวดลอ้ มท่ีไมเ่ หมาะ ไม่ เกอื้ กลู ทางดำเนินชีวติ ถนิ่ ที่ไปไม่อำนวย ๒. อปุ ธวิ ิบัติ วิบัตแิ หง่ ร่างกาย หรือ รูปกายเสยี เชน่ ร่างกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไม่สวยงาม กริ ยิ าท่าทางน่าเกลียด ไมช่ วนชมตลอดจนสุขภาพท่ีไมด่ ี เจ็บป่วย มีโรคมาก ๓. กาลวิบัติ วิบัตแิ หง่ กาลหรอื หรือกาลเสยี คือเกิดอยูใ่ นยุคสมยั ทบ่ี ้านเมอื งมี ภยั พิบัติไม่สงบเรียบร้อย ผู้ปกครองไมด่ ี สังคมเส่อื มจากศีลธรรม มากดว้ ยการเบียดเบียน ยกย่อง คนชวั่ บบี คน้ั คนดี ตลอดจนทำอะไรไม่ถูกาลเวลา ไม่ถูกจังหวะ ๔. ปโยควิบตั ิ วบิ ัติแหง่ การ ประกอบ หรอื กิจการเสีย เชน่ ฝกั ใฝ่ในกิจการหรือเร่อื งราวทผี่ ดิ ทำการไมต่ รงตามความถนัด ความสามารถ ใชค้ วามเพียร ไม่ถูกตอ้ ง ทำการครง่ึ ๆ กลาง ๆ เปน็ ต้น (พ.ธ. หน้า ๑๖๐- ๑๖๑) วปิ ัสสนาญาณ ๙ ญาณในวปิ สั สนา ญาณทน่ี บั เขา้ ในวิปัสสนา เป็นความรทู้ ที่ ำให้เกิดความเห็นแจง้ เขา้ ใจ สภาวะของสิง่ ทั้งหลายตามเป็นจริง ไดแ้ ก่ ๑. อทุ ยัพพยานปุ สั สนาณาณ คอื ญาณอันตามเห็น ความเกิดและดับของเบญจขันธ์ ๒. ภังคานุปัสสนาญาณ คอื ญาณอนั ตามเหน็ ความสลาย เมอ่ื เกิดดับก็คำนึงเดน่ ชัด ในสว่ นดบั ของสังขารทงั้ หลาย ต้องแตกสลายทงั้ หมด ๓. ภยตูปัฏฐาน ญาณ คือ ณาณอันมองเหน็ สงั ขาร ปรากฏเป็นของนา่ กลัว ๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ คือ ญาณ

หลักสตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพิ์ ฒั นวทิ ย์ 232 อนั คำนงึ เหน็ โทษของสงั ขารทั้งหลาย ว่าเปน็ โทษบกพร่องเปน็ ทกุ ข์ ๕. นพิ พิทานปุ สั สนาญาณ คอื ญาณอนั คำนงึ เหน็ ความหนา่ ยของสงั ขาร ไม่เพลินเพลิน ติดใจ ๖. มญุ จิตกุ มั ยตาญาณ คอื ญาณอนั คำนึงดว้ ย ใคร่พน้ ไปเสยี คือ หนา่ ยสังขารทัง้ หลาย ปรารถนาทีจ่ ะพ้นไปเสีย ๗. ปฏิสังขานปุ ัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงพจิ ารณาหาทาง เม่ือต้องการจะพ้นไปเสีย เพอื่ มองหา อุบายจะปลดเปลื้องออกไป ๘. สังขารุเปกขาณาณ คือ ญาณอนั เปน็ ไปโดยความเป็นกลาง ตอ่ สงั ขาร คือ พิจารณาสงั ขารไมย่ นิ ดยี ินร้ายในสังขารทง้ั หลาย ๙. สจั จานโุ ลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ คือ ณาณอนั เป็นไปโดยอนุโลกแกก่ ารหยง่ั รู้อริยสจั แลว้ แลว้ มรรคญาณใหส้ ำเรจ็ ความ เปน็ อรยิ บุคคลตอ่ ไป (พ.ศ. หน้า ๒๗๖ – ๒๗๗) วมิ ตุ ติ ๕ ความหลุดพ้น ภาวะไรก้ ิเลส และไมม่ ีทกุ ข์ มี ๕ ประการ คือ ๑. วกิ ขมั ภนวมิ ตุ ติ ดับโดยขม่ ไว้ คอื ดับกเิ ลส ๒. ตทงั ควิมตุ ติ ดบั กเิ ลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับธรรมทต่ี รงกันข้าม ๓. สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ ดับดว้ ยตัดขาด ดบั กิเลสเสร็จสิน้ เด็ดขาด ๔. ปฏิปสั สัทธวิ มิ ตุ ติ ดับด้วยสงบระงบั โดยอาศัย โลกุตตรมรรคดบั กเิ ลส ๕. นิสรณวิมตุ ติ ดับด้วยสงบระงบั คอื อาศยั โลกตุ ตรธรรมดบั กิเลส เด็ดขาดเสรจ็ สิน้ (พ.ธ. หนา้ ๑๙๔) โลกบาลธรรม ธรรมค้มุ ครองโลก ได้แก่ ปกครองควบคุมใจมนุษย์ไว้ให้อยูใ่ นความดี มใิ ห้ละเมดิ ศีลธรรม และใหอ้ ยู่กันด้วยความเรียบร้อยสงบสุข ไม่เดอื ดรอ้ นสับสนวุ่นวาย มี ๒ อยา่ งได้แก่ ๑. หิริ ความอายบาป ละอายใจตอ่ การทำความช่ัว ๒. โอตตปั ปะ ความกลวั บาปเกรงกลวั ตอ่ ความชวั่ และผลของกรรมชว่ั (พ.ศ. หน้า ๒๖๐) ฤาษี หมายถงึ ผแู้ สวงธรรม ไดแ้ ก่ นักบวชนอกพระศาสนาซงึ่ อยใู่ นป่า ชีไพร ผแู้ ตง่ คมั ภีร์พระเวท (พ.ศ. หน้า ๒๕๖) สตปิ ฏั ฐาน ๔ ที่ตง้ั ของสติ การต้ังสติกำหนดพิจารณาส่งิ ทัง้ หลายให้รเู้ ห็นตามความเป็นจริง คือ ตามส่งิ นน้ั ๆ มนั เปน็ ของมนั เอง มี ๔ ประการ คือ ๑. กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน (การตงั้ สติกำหนดพจิ ารณากายใหร้ ูเ้ หน็ ตามเป็นจริงว่า เป็นแตเ่ พยี ง กาย ไม่ใช่สตั ว์บุคคล ตวั ตนเราเขา) ท่านจำแนกวธิ ีปฏบิ ตั ิได้หลายอยา่ ง คือ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ ๑ อิริยาบถ กำหนดรู้ทันอริ ยิ าบถ ๑) สัมปชญั ญะ สร้างสัมปชญั ญะในการ กระทำความเคลื่อนไหวทุกอย่าง ๑) ปฏิกูลมนสิการ พจิ ารณาส่วนประกอบอันไมส่ ะอาดทั้งหลาย ทป่ี ระชมุ เข้าเป็นรา่ งกายน้ี ๑) ธาตมุ นสกิ าร พิจารณาเหน็ ร่างกายของตน โดยสักว่าเปน็ ธาตุแตล่ ะ อย่างๆ ๒. เวทนานุปสั สาสตปิ ัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนาใหร้ ้เู ห็นตามเปน็ จรงิ วา่ เป็นแต่ เพียงเวทนา ไมใ่ ช่สตั ว์บุคคลตวั ตนเราเขา) คือ มีสตริ ูช้ ดั เวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทกุ ข์ก็ดี เฉย ๆ ก็ดี ท้งั ทเี่ ปน็ สามสิ และเปน็ นริ ามิสตามท่ีเปน็ ไปอยู่ขณะน้ัน ๆ ๓. จิตตานปุ ัสสนาสตปิ ฏั ฐาน (การตง้ั สติกำหนดพจิ ารณาจิต ให้รูเ้ ห็นตามเป็นจรงิ ว่าเป็นแตเ่ พียง จิต ไม่ใช่สตั วบ์ คุ คลตัวตนเราเขา) คือ มีสตริ ู้ชัดจติ ของตนที่มรี าคะ ไม่มรี าคะ มโี ทสะ ไม่มีโทสะ มโี มหะ ไม่มโี มหะ เศรา้ หมองหรอื ผ่องแผว้ ฟุง้ ซา่ นหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ อยา่ งไร ๆ ตามทเ่ี ป็นไป อยู่ในขณะนนั้ ๆ ๔. ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพจิ ารณาธรรม ให้ร้เู หน็ ตามเป็นจรงิ ว่า เป็นแต่ เพียงธรรม ไม่ใช่สตั วบ์ ุคคลตัวตนของเรา) คือ มสี ติรูช้ ัดธรรมทัง้ หลาย ไดแ้ ก่ นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕

หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธ์พิ ฒั นวิทย์ 233 อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อรยิ สัจ ๔ ว่าคอื อะไร เปน็ อยา่ งไร มใี นตนหรือไม่ เกิดข้นึ เจรญิ บริบูรณแ์ ละดบั ได้อย่างไร เป็นต้น ตามที่เป็นจริงของมนั อย่างน้ัน ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๕) สมณะ หมายถงึ ผ้สู งบ หมายถึงนกั บวชทั่วไป แต่ในพระพุทธศาสนา ทา่ นใหค้ วามหมายจำเพาะ หมายถงึ ผูร้ ะดบั บาป ได้แก่ พระอริยบุคคล และผูป้ ฏิบัตเิ พ่อื ระงบั บาป ไดแ้ ก่ ผู้ปฏบิ ตั ธิ รรมเพ่อื เป็น พระอริยบุคคล (พ.ศ. หนา้ ๒๙๙) สมบัติ ๔ คือ ความเพยี บพรอ้ มสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งช่วยเสรมิ สง่ อำนวยโอกาสให้กรรมดี ปรากฏผล และไมเ่ ปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล มี ๔ อย่าง คือ ๑. คตสิ มบัติ สมบตั ิแห่งคติ ถึง พร้อมด้วยคติ หรือคติให้ คือ เกดิ อยู่ในภพ ภมู ิ ถ่ิน ประเทศที่เจริญ เหมาะหรือเก้ือกลู ตลอดจน ในระยะส้นั คือ ดำเนนิ ชีวติ หรือไปในถนิ่ ที่อำนวย ๒. อุปธิสมบตั ิ สมบตั ิแหง่ รา่ งกาย ถงึ พร้อมดว้ ย ร่างกาย คือมีรูปรา่ งสวย ร่างกายสง่างาม หนา้ ตาท่าทางดี น่ารัก น่านยิ มเล่ือมใส สุขภาพดี แข็งแรง ๓. กาลสมบตั ิ สมบตั ิแหง่ กาล ถึงพร้อมด้วยกาลหรือกาลให้ คอื เกิดอยใู่ นสมัยท่ีบา้ นเมืองมีความ สงบสขุ ผู้ปกครองดี ผคู้ นมีคุณธรรมยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริมคนช่วั ตลอดจนในระยะเวลาส้นั คอื ทำอะไรถูกกาลเวลา ถกู จงั หวะ ๔. ปโยคสมบตั ิ สมบตั ิแห่งการประกอบ ถึงพร้อมดว้ ยการ ประกอบกจิ หรอื กิจการให้ เชน่ ทำเร่ืองตรงกับทเี่ ขาต้องการ ทำกจิ ตรงกบั ความถนัด ความสามารถของตน ทำการถงึ ขนาดถูกหลกั ครบถ้วน ตามเกณฑห์ รอื เต็มอัตรา ไม่ใช่ทำครึง่ ๆ กลาง ๆ หรอื เหยาะแหยะ หรือไม่ถูกเรื่องกัน ร้จู ักจัดทำ รูจ้ ักดำเนนิ การ (พ.ธ. หน้า ๑๖๑ – ๑๖๒) สมาบตั ิ ภาวะสงบประณีตซ่ึงพงึ่ เขา้ ถึง; สมาบตั มิ หี ลายอย่าง เช่น ณานสมบตั ิ ผลสมาบตั ิ อนปุ ุพพวหิ าร สมาบัติ (พ.ศ. หนา้ ๓๐๓) สติ ความระลกึ ได้ นึกได้ ความไม่เผลอ การคมุ ใจได้กบั กจิ หรือคุมจิตใจไว้กับส่ิงท่ีเกย่ี วขอ้ ง จำการ ทีทำและคำพดู แมน้ านได้ (พ.ศ. หนา้ ๓๒๗) สังฆคุณ ๙ คุณของพระสงฆ์ ๑. พระสงฆ์สาวกของพระผมู้ ีพระภาคเปน็ ผปู้ ฏบิ ัตดิ ี ๒. เปน็ ผ้ปู ฏิบตั ติ รง ๓. เป็นผู้ปฏบิ ัติถูกทาง ๔. เปน็ ผปู้ ฏิบตั สิ มควร ๕. เป็นผู้ควรแกก่ ารคำนบั คอื ควรกบั ของท่ีเขา นำมาถวาย ๖. เป็นผู้ควรแกก่ ารตอนรับ ๗. เปน็ ผคู้ วรแก่ทักษิณา ควรแก่ของทำบุญ ๘. เป็นผู้ ควรแกก่ ารกระทำอัญชลี ควรแก่การกราบไหว้ ๙. เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก เปน็ แหล่ง ปลูกฝงั และเผยแพรค่ วามดีท่ียอดเยยี่ มของโลก(พ.ธ. หน้า ๒๖๕-๒๖๖) สงั เวชนยี สถาน สถานทีต่ ัง้ แห่งความสงั เวช ท่ีทใ่ี ห้เกดิ ความสงั เวช มี ๔ คือ ๑. ที่พระพุทธเจ้าประสตู ิ คือ อุทยานลมุ พนิ ี ปจั จุบนั เรียกลุมพนิ หี รอื รุมมินเด (Lumbini หรือ Rummindei) ๒. ทพี่ ระพุทธเจา้ ตรสั รู้ คอื ควงโพธ์ิ ที่ตำบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรือ Bodh – Gaya) ๓. ทพี่ ระพุทธเจา้ แสดงปฐมเทศนา คือป่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันเรยี กสารนาถ ๔. ท่ี พระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพาน คือท่ีสาลวโนทยาน เมอื งกุสนิ ารา หรอื กุสินคร บดั นีเ้ รียกกาเซีย (Kasia หรอื Kusinagara) (พ.ศ. หน้า ๓๑๗) สนั โดษ ความยินดี ความพอใจ ยินดดี ้วยปัจจยั ๔ คอื ผา้ นงุ่ ห่ม อาหารทนี่ อนทีน่ ั่ง และยาตามมตี ามได้ ยินดีของของตน การมีความสุข ความพอใจด้วยเครื่องเลยี้ งชพี ทห่ี ามาไดด้ ้วยเพยี รพยายามอนั ชอบธรรมของตน ไม่โลภ ไม่ริษยาใคร (พ.ศ. หน้า ๓๒๔) สันโดษ ๓ ๑. ยถาลาภสนั โดษ ยนิ ดีตามที่ได้ คือ ได้สงิ่ ใดมาด้วยความเพียรของตน ก็พอใจด้วยสิ่งน้ัน ไมไ่ ดเ้ ดือดร้อนเพราะของท่ไี ม่ได้ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของคนอ่ืนไม่ริษยาเขา ๒. ยถาพลสันโดษ คอื

หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรียนทับโพธ์ิพฒั นวิทย์ 234 ยนิ ดีตามกำลงั คอื พอใจเพียงแค่พอแกก่ ำลงั รา่ งกาย สุขภาพ และขอบเขตการใช้สอยของตน ของ ท่เี กนิ กำลังกไ็ มห่ วงแหนเสยี ดายไม่เกบ็ ไวใ้ หเ้ สียเปล่า หรือฝืนใชใ้ หเ้ ป็นโทษแก่ตน ๓. ยถาสารุปป สันโดษ ยนิ ดตี ามสมควร คือ พอใจตามทีส่ มควร คือ พอใจตามท่ีสมควรแกภ่ าวะฐานะแนวทาง ชวี ิต และจุดหมายแห่งการบำเพ็ญกจิ ของตน เชน่ ภกิ ษพุ อใจแต่องอนั เหมาะกบั สมณภาวะ หรอื ไดข้ องใชท้ ่ีไม่เหมาะสมกับตนแต่จะมีประโยชน์แกผ่ ู้อน่ื ก็นำไปมอบให้แกเ่ ขา เป็นต้น (พ.ศ. หน้า ๓๒๔) สัทธรรม ๓ ธรรมอนั ดี ธรรมท่แี ท้ ธรรมของสตั บุรษุ หลกั หรอื แก่นศาสนา มี ๓ ประการ ได้แก่ ๑. ปรยิ ัตสิ ัทธรรม (สทั ธรรมคอื คำส่ังสอนอันจะต้องเล่าเรียน ไดแ้ ก่ พุทธพจน์) ๒. ปฏิบัติสัทธรรม (สัทธรรมคอื สิ่งพงึ ปฏบิ ัติ ได้แก่ ไตรสกิ ขา คือ ศลี สมาธิ ปญั ญา) ๓. ปฏิเวธสัทธรรม (สัทธรรมคือผลอันจะพึงเขา้ ถึง หรอื บรรลดุ ้วยการปฏิบตั ิ ได้แก่ มรรค ผล และนพิ พาน (พ.ธ. หนา้ ๑๒๕) สปั ปรุ ิสธรรม ๗ ธรรมของสัตบุรษุ ธรรมท่ที ำใหเ้ ปน็ สัตบุรษุ คณุ สมบตั ิของคนดี ธรรมของผ้ดู ี ๑. ธมั มญั ญตุ า คอื ความรูจ้ ักเหตุ คอื รู้หลักความจรงิ ๒. อัตถัญญตุ า คือ ความร้จู ักผล คือรู้ ความ มุง่ หมาย ๓. อตั ตัญญตุ า คือ ความรจู้ กั ตน คือ รู้วา่ เราน้ันว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลงั ความรู้ ความสามารถ ความถนดั และคณุ ธรรม เปน็ ต้น ๔. มตั ตัญญตุ า คือ ความรจู้ กั ประมาณ คือ ความพอดี ๕. กาลญั ญุตา คือ ความรจู้ ักกาล คือ รู้จกั กาลเวลาอันเหมาะสม ๖. ปริสัญญุตา คอื ความรจู้ กั บริษัทคือรู้จักชมุ ชนและรู้จักทปี่ ระชุม ๗. ปคุ คลัญญุตา หรือ ปคุ คลปโรปรัญญุตา คือ ความรู้จกั บุคคล คอื ความแตกต่างแห่งบุคคล (พ.ธ. หนา้ ๒๔๔) สัมปชัญญะ ความรู้ตัวท่วั พร้อม ความรูต้ ระหนัก ความรชู้ ดั เขา้ ใจชดั ซึ่งส่ิงนึกได้ มักมาคู่กบั สติ (พ.ศ. หน้า ๒๔๔) สาราณยี ธรรม ๖ ธรรมเป็นทต่ี ้งั แห่งความให้ระลึกถงึ ธรรมเปน็ เหตใุ ห้ระลึกถึงกัน หลักการอย่รู ว่ มกนั เรียกอีกอยา่ งวา่ “สาราณยี ธรรม” ๑. เมตตากายกรรม มเี มตตากายกรรมท้ังตอ่ หน้าและลบั หลงั ๒. เมตตาวจีกรรม มเี มตตาวจกี รรมทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๓. เมตตา มโนกรรม มีเมตตา มโนกรรมทง้ั ต่อหนา้ และลับหลัง ๔. สาธารณโภคี แบ่งปันส่งิ ของทไ่ี ด้มาไมห่ วง แหน ใชผ้ เู้ ดยี ว ๕. สลี สามัญญตา มคี วามประพฤตริ ่วมกนั ในข้อท่ีเป็นหลักการสำคัญทจ่ี ะนำไปสคู่ วามหลุดพน้ สน้ิ ทกุ ขห์ รือขจัดปญั หา ๖.ทิฏฐิสามัญญตา มคี วามเหน็ ชอบดีงาม เชน่ เดียวกับหมู่คณะ (พ.ธ. หน้า ๒๓๓-๒๓๕) สขุ ๒ ความสบาย ความสำราญ มี ๒ อยา่ ง ได้แก่ ๑. กายกิ สุข สุขทางกาย ๒. เจตสกิ สุข สขุ ทางใจ อีก หมวดหน่ึงมี ๒ คอื ๑. สามิสสุข สขุ อิงอามิส คือ อาศยั กามคณุ ๒. นริ ามสิ สุข สุขไม่อิงอามสิ คอื อิงเนกขัมมะ (พ.ศ. หน้า ๓๔๓) ศรัทธา ความเชอื่ ความเชื่อถือ ความเชื่อมน่ั ในส่งิ ทด่ี งี าม (พ.ศ. หน้า ๒๙๐) ศรทั ธา ๔ ความเช่ือทีป่ ระกอบด้วยเหตุผล ๔ ประการคือ ๑. กัมมสทั ธา (เชอื่ กรรม เชื่อว่ากรรมมีอย่จู รงิ คอื เช่ือว่าเมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คอื จงใจทำทง้ั ท่รี ู้ ยอ่ มเป็นกรรม คือ เป็นความช่ัว ความดี มี ขึ้น ในตน เป็นเหตปุ จั จยั กอ่ ให้เกดิ ผลดผี ลรา้ ยสบื เน่ืองตอ่ ไป การกระทำไม่วา่ งเปล่า และ เชอ่ื วา่ ผลท่ีต้องการจะสำเรจ็ ได้ด้วยการกระทำ มใิ ช่ด้วยอ้อนวอนหรอื นอนคอยโชค เป็นต้น ๒. วิ ปากสทั ธา (เชือ่ วิบาก เชื่อผลของกรรม เชือ่ วา่ ผลของกรรมมีจริง คอื เชอ่ื วา่ กรรมทีส่ ำเรจ็ ต้องมีผล

หลกั สตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรียนทับโพธ์ิพฒั นวิทย์ 235 และผลต้อง มีเหตุ ผลดเี กิดจากกรรมดี และผลชว่ั เกิดจากกรรมชัว่ ๓. กัมมสั สกตาสัทธา (ความ เชอ่ื ท่สี ตั วม์ กี รรมเป็นของตน เชื่อว่าแตล่ ะคนเป็นเจ้าของจะต้องรับผิดชอบเสวยวิบากเปน็ ไปตาม กรรมของตน ๔. ตถาคตโพธิสทั ธา (เชอื่ ความตรสั รขู้ องพระพุทธเจ้า ม่นั ใจในองค์พระตถาคตวา่ ทรงเปน็ พระสมั มาสัมพุทธะ ทรงพระคุณท้งั ๙ ประการ ตรัสธรรม บญั ญัตวิ ินยั ไวด้ ว้ ยดี ทรงเป็น ผ้นู ำทางทแ่ี สดงให้เห็นวา่ มนษุ ย์ คอื เราทุกคนน้ี หากฝึกตนด้วยดกี ส็ ามารถเข้าถงึ ภมู ธิ รรมสูงสุด บรสิ ทุ ธิห์ ลดุ พน้ ไดด้ ังทีพ่ ระองค์ได้ทรงบำเพ็ญไว้ (พ.ธ. หน้า ๑๖๔) สงเคราะห์ การช่วยเหลอื การเอ้อื เฟือ้ เกื้อกลู (พ.ศ. หน้า ๒๒๘) สังคหวตั ถุ ๔ เรอื่ งสงเคราะหก์ ัน คณุ ธรรมเป็นเคร่อื งยดึ เหน่ยี วใจของผ้อู ื่นไวไ้ ด้ หลกั การสงเคราะห์ คือ ช่วยเหลือกันยึดเหน่ียวใจกันไว้ และเปน็ เครื่องเกาะกุมประสานโลก ได้แก่ สังคมแห่งหม่สู ตั ว์ไว้ ดจุ สลกั เกาะยึดรถท่ีกำลังแลน่ ไปให้คงเป็นรถ และว่ิงแล่นไปไดม้ ี ๔ อยา่ งคอื ๑. ทาน การแบ่งปัน เอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่กัน ๒. ปยิ วาจา พูดจานา่ รัก น่านยิ มนับถือ ๓. อตั ถจรยิ า บำเพญ็ ประโยชน์ ๔.สมานัตตนา ความมตี นเสมอ คือ ทำตวั ใหเ้ ข้ากนั ได้ เชน่ ไม่ถือตัว ร่วมสขุ รว่ มทุกข์กัน เป็นตน้ (พ.ศ. หน้า ๓๑๐) สัมมัตตะ ความเป็นถูก ภาวะทถ่ี ูก มี ๑๐ อยา่ ง ๘ ข้อต้น ตรงกับองคม์ รรคทงั้ ๘ ข้อ เพ่ิม ๒ ข้อท้าย คือ ๙. สมั มาญาณ รู้ชอบได้แกผ่ ลญาณ และปัจจเวกขณญาณ ๑๐. สมั มาวมิ ุตติ พน้ ชอบได้แก่ อรหัตตผลวมิ ุตติ; เรียกอีกอย่าง อเสขธรรม ๑๐ (พ.ศ. หน้า ๓๒๙) สจุ รติ ๓ ความประพฤติดี ประพฤติชอบตามคลองธรรม มี ๓ คอื ๑. กายสุจรติ ประพฤติชอบทางกาย ๒. วจีสุจริต ประพฤติชอบทางวาจา ๓. มโนสุจรติ ประพฤตชิ อบทางใจ (พ.ศ. หน้า ๓๔๕) หริ ิ ความละอายต่อการทำชั่ว (พ.ศ. หน้า ๓๕๕) อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งอกุศลกรรม ทางความชัว่ กรรมช่วั อนั เปน็ ทางนำไปสคู่ วามเสือ่ ม ความทุกข์ หรอื ทคุ ติ ๑. ปาณาตบิ าต การทำชีวติ ใหต้ กล่วง ๒. อทนิ นาทาน การถือเอาของท่เี ขามิได้ให้ โดย อาการขโมย ลักทรัพย์ ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤติผดิ ทางกาม ๔. มุสาวาท การพูดเท็จ ๕. ปิสุณวาจา วาจาส่อเสียด ๖. ผรสุ วาจา วาจาหยาบ ๗. สัมผปั ปลาปะ พูดเพ้อเจอ้ ๘. อภชิ ฌา เพง่ เล็งอยากได้ของเขา ๙. พยาบาท คดิ รา้ ยผู้อน่ื ๑๐. มิจฉาทิฏฐิ เหน็ ผดิ จากคลองธรรม (พ.ธ. หน้า ๒๗๙, ๓๐๙) อกศุ ลมูล ๓ รากเหงา้ ของอกุศล ต้นตอของความช่วั มี ๓ คอื ๑. โลภะ (ความอยากได)้ ๒. โทสะ (ความคิดประทุษรา้ ย) ๓. โมหะ (ความหลง) ๘ (พ.ธ. หน้า ๘๙) อคติ ๔ ฐานะอนั ไม่พึงถงึ ทางความประพฤติที่ผิด ความไม่เท่ยี งธรรม ความลำเอียง มี ๔ อย่างคือ ๑. ฉนั ทาคติ (ลำเอยี งเพราะชอบ) ๒. โทสาคติ (ลำเอยี งเพราะชงั ) ๓. โมหาคติ (ลำเอยี งเพราะ หลง พลาดผดิ เพราะเขลา) ๔. ภยาคติ (ลำเอยี งเพราะกลัว) (พ.ธ. หน้า ๑๗๔) อนตั ตา ไมใ่ ช่อัตตา ไมใ่ ช่ตัวตน (พ.ศ. หน้า ๓๖๖) อบายมขุ ชอ่ งทางของความเส่ือม เหตเุ คร่ืองฉบิ หาย เหตุย่อยยับแหง่ โภคทรัพย์ ทางแห่งความพนิ าศ (พ.ศ. หน้า ๓๗๗) อบายมุข ๔ ๑. อิตถธี ุตตะ (เปน็ นกั เลงหญงิ นกั เท่ยี วผหู้ ญิง) ๒. สุราธุตตะ (เป็นนักเลงสรุ า นักด่มื ) ๓. อักขธุตตะ (เปน็ นกั การพนัน) ๔. ปาปมิตตะ (คบคนช่ัว) (พ.ศ. หนา้ ๓๗๗)

หลักสตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ัฒนวทิ ย์ 236 อบายมุข ๖ ๑. ตดิ สรุ าและของมนึ เมา ๑.๑ ทรพั ย์หมดไป ๆ เหน็ ชดั ๆ ๑.๒ ก่อการทะเลาะวิวาท ๑.๓ เปน็ บอ่ เกิดแห่งโรค ๑.๔ เสยี เกียรติ เสียช่อื เสียง ๑.๕ ทำใหไ้ ม่รู้อาย ๑.๖ ทอนกำลงั ปญั ญา ๒. ชอบเท่ียวกลางคนื มีโทษ ๖ อยา่ งคือ ๒.๑ ชือ่ วา่ ไมร่ ักษาตน ๒.๒ ชื่อว่าไม่รกั ษาลูกเมีย ๒.๓ ชอ่ื วา่ ไม่รกั ษาทรัพยส์ มบัติ ๒.๔ เป็นท่ีระแวงสงสยั ๒.๕ เป็นเป้าใหเ้ ขาใสค่ วามหรือข่าวลอื ๒.๖ เป็นทม่ี าของเรื่องเดือดร้อนเป็นอนั มาก ๓. ชอบเทย่ี วดูการละเลน่ มโี ทษ โดยการงานเสอื่ ม เสยี เพราะมใี จกังวลคอยคดิ จ้อง กบั เสียเวลาเมื่อไปดูส่งิ นน้ั ๆ ท้งั ๖ กรณี คอื ๓.๑ รำที่ไหนไปท่ี น่ัน ๓.๒ – ๓.๓ ขบั รอ้ ง ดนตรี เสภา เพลงเถดิ เทงิ ท่ีไหนไปทนี่ นั่ ๔. ตดิ การพนัน มีโทษ ๖ คอื ๔.๑ เมือ่ ชนะย่อมกอ่ เวร ๔.๒ เมื่อแพ้กเ็ สียดายทรพั ย์ท่ีเสียไป ๔.๓ ทรัพยห์ มดไป ๆ เห็นชัด ๆ ๔.๔ เขา้ ทีป่ ระชมุ เขาไมเ่ ช่ือถือถ้อยคำ ๔.๕ เป็นท่ีหมนิ่ ประมาทของเพ่ือนฝูง ๔.๖ ไมเ่ ป็นที่ พึงประสงค์ของผู้ทจี่ ะหาคู่ครองให้ลกู ของเขา เพราะเห็นวา่ จะเลี้ยงลกู เมียไม่ได้ ๕. คบคนช่ัว มโี ทษโดยนำใหก้ ลายเปน็ คนช่ัวอยา่ งที่ตนคบท้งั ๖ ประเภท คือ ได้เพ่ือนท่จี ะนำใหก้ ลายเป็น ๕.๑ นักการพนนั ๕.๒ นักเลงหญงิ ๕.๓ นักเลงเหลา้ ๕.๔ นักลวงของปลอม ๕.๕ นกั หลอกลวง ๕.๖ นักเลงหวั ไม้ ๖. เกียจคร้านการงาน มโี ทษโดยทำให้ยกเหตุตา่ ง ๆ เป็นขอ้ อา้ ง ผิดเพี้ยน ไม่ทำการงานโภคะใหม่กไ็ มเ่ กิด โภคะทม่ี ีอยกู่ ห็ มดสน้ิ ไป คือ ให้อา้ งไปทง้ั ๖ กรณวี า่ ๖.๑ – ๖.๖ หนาวนกั รอ้ นนัก เยน็ ไปแล้ว ยังเช้านัก หิวนัก อม่ิ นกั แล้วไมท่ ำการงาน (พ.ธ. หนา้ ๑๗๖ – ๑๗๘) อปริหานยิ ธรรม ๗ ธรรมอนั ไมเ่ ป็นที่ต้ังแห่งความเสอ่ื ม เป็นไปเพื่อความเจริญฝา่ ยเดียวมี ๗ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. หมนั่ ประชมุ กันเนืองนิตย์ ๒. พรอ้ มเพรียงกันประชุม พร้อมเพรยี งกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกจิ กรรมที่พงึ ทำ ๓. ไม่บญั ญัตสิ งิ่ ทมี่ ิได้บัญญัตไิ ว้ (อนั ขดั ต่อหลักการเดิม) ๔. ทา่ นเหล่าใดเปน็ ผใู้ หญ่ ควรเคารพนับถือท่านเหล่านน้ั ๕. บรรดากุลสตรี กุลกุมารีท้งั หลาย ใหอ้ ยู่ ดีโดยมิถกู ข่มเหง หรือฉุดครา่ ขืนใจ ๖. เคารพสักการบชู า เจดียห์ รืออนุสาวรียป์ ระจำชาติ ๗. จดั ให้ความอารักขา ค้มุ ครอง ปอ้ งกนั อนั ชอบธรรมแก่พระอรหนั ตท์ ั้งหลาย (รวมถึงพระภิกษุ ผู้ ปฏิบตั ดิ ี ปฏิบัติชอบดว้ ย) (พ.ธ. หนา้ ๒๔๖ – ๒๔๗) อธปิ ไตย ๓ ความเปน็ ใหญ่ มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. อตั ตาธปิ ไตย ความมตี นเป็นใหญ่ ถอื ตนเป็นใหญ่ กระทำ การดว้ ยปรารภตนเป็นประมาณ ๒. โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ ถือโลกเปน็ ใหญ่ กระทำ การด้วยปรารภนยิ มของโลกเป็นประมาณ ๓. ธัมมาธิปไตย ความมธี รรมเปน็ ใหญ่ ถือธรรมเป็น ใหญ,่ กระทำการดว้ ยปรารภความถกู ตอ้ ง เปน็ จรงิ สมควรตามธรรมเป็นประมาณ (พ.ธ. หนา้ ๑๒๗-๑๒๘) อริยสัจ ๔ ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ ความจริงท่ีทำให้ผ้เู ข้าถึงกลายเป็นอรยิ ะมี ๔ คือ ๑. ทุกข์ (ความทุกข์ สภาพท่ีทนได้ยาก สภาวะท่บี บี ค้นั ขัดแย้ง บกพร่อง ขาดแกน่ สารและความ เทีย่ งแท้ ไม่ให้ความพึงพอใจแทจ้ ริง ไดแ้ ก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับส่งิ อันไม่เป็นทรี่ ัก การพลัดพรากจากส่งิ ทีร่ ัก ความปรารถนาไม่สมหวัง โดยย่อวา่ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทกุ ข์ ๒. ทกุ ขสมทุ ัย (เหตเุ กิดแห่งทุกข์ สาเหตุใหท้ ุกขเ์ กิด ได้แก่ ตัณหา ๓ คือ กามตณั หา ภวตณั หา และ วิภวตณั หา) กำจดั อวชิ ชา สำรอกตัณหา ส้ินแล้ว ไม่ถูกย้อม ไม่ตดิ ขัด หลุดพ้น สงบ ปลอด โปรง่ เปน็ อสิ ระ คือ นพิ พาน)

หลกั สตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพ์ิ ัฒนวิทย์ 237 ๓. ทกุ ขนิโรธ (ความดับทกุ ข์ ไดแ้ ก่ ภาวะทต่ี ัณหาดบั สน้ิ ไป ภาวะที่เขา้ ถึงเม่อื กำจดั อวิชชา สำรอกตัณหาสิ้นแล้ว ไม่ถูกย้อม ไมต่ ดิ ข้อง หลุดพ้น สงบ เปน็ อสิ ระ คือ นพิ พาน) ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ปฏิปทาท่นี ำไปสู่ความดบั แหง่ ทกุ ข์ ข้อปฏิบตั ใิ ห้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ อริยอฏั ฐังคิกมรรค หรอื เรยี กอีกอย่างหน่งึ วา่ มัชฌิมปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ นี้ สรปุ ลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา) (พ.ธ. หนา้ ๑๘๑) อรยิ อัฏฐคิกมรรค ทางสายกลาง มรรคมอี งค์ ๘ (ศีล สมาธิ ปัญญา) (พ.ธ. หน้า ๑๖๕) อญั ญาณุเบกขา เป็นอเุ บกขาฝา่ ยวิบตั ิ หมายถงึ ความไม่รู้เรอ่ื ง เฉยไม่รูเ้ ร่ือง เฉยโง่ เฉยเมย (พ.ธ. หนา้ ๑๒๖) อัตตา ตัวตน อาตมัน ปุถชุ นย่อมยึดม่ันมองเห็นขันธ์ ๕ อย่างใดอยา่ งหนึ่ง หรือท้ังหมดเปน็ อัตตา หรอื ยดึ ถือวา่ มีอัตตา เนื่องดว้ ยขันธ์ (พ.ศ. หน้า ๓๙๘) อตั ถะ เรือ่ งราว ความหมาย ความมุ่งหมาย ประโยชน์ มี ๒ ระดับ คือ ๑. ทฏิ ฐิธมั มกิ ัตถะ ประโยชนใ์ น ชวี ิตนีห้ รอื ประโยชนใ์ นปจั จุบัน เป็นท่มี งุ่ หมายกนั ในโลกนี้ ได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสรญิ รวมถงึ การแสวงหาสงิ่ เหลา่ น้มี าโดยทางทีช่ อบธรรม ๒. สัมปรายกิ ัตถะ ประโยชนเ์ บือ้ งหน้า หรอื ประโยชนท์ ีล่ ้ำลกึ กวา่ ทีจ่ ะมองเห็นกันเฉพาะหน้า เปน็ จดุ หมายขั้นสูงข้ึนไป เปน็ หลกั ประกนั ชีวติ เม่ือละจากโลกน้ไี ป ๓. ปรมัตถะ ประโยชนส์ ูงสดุ หรอื ประโยชน์ทเ่ี ปน็ สาระแทจ้ ริงของชวี ติ เป็น จุดหมายสูงสดุ หรอื ท่ีหมายข้นั สุดทา้ ย คอื พระนิพพาน อกี ประการหนง่ึ หมายถึง ๑. อัตตัตถะ ประโยชน์ตน ๒. ปรัตถะ ประโยชน์ผูอ้ ืน่ ๓. อภุ ยัตถะ ประโยชนท์ งั้ สองฝ่าย (พ.ธ. หน้า ๑๓๑ – ๑๓๒) อายตนะ ท่ตี ่อ เครอ่ื งติดต่อ แดนต่อความรู้ เครื่องรู้ และส่งิ ที่ถูกรู้ เช่น ตาเป็นเครื่องรู้ รปู เปน็ สงิ่ ทร่ี ู้ หูเปน็ เคร่ืองรู้ เสียงเป็นสง่ ท่รี ู้ เปน็ ต้น จดั เปน็ ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. อาตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ๒. อายตนะภายนอก หมายถึง เคร่อื งต่อภายนอก ส่งิ ที่ถูกรู้ มี ๖ คือ ๒.๑ รปู คอื รปู ๒.๒ สัท ทะ คือ เสยี ง ๒.๓ คันธะ คอื กลนิ่ ๒.๔ รส คอื รส ๒.๕ โผฏฐพั พะ คือ สงิ่ ต้องกาย ๒.๖ ธัมมะ หมายถงึ ธรรมารมย์ คอื อารมณ์ทเ่ี กดิ กบั ใจ หรอื สง่ิ ทใ่ี จรู้ อารมณ์ ๖ กเ็ รยี ก (พ.ศ. หน้า ๔๑๑) อายตนะภายใน เครอื่ งต่อภายใน เครื่องรับรู้ มี ๖ คอื ๑. จักขุ คอื ตา ๒. โสตะ คือ หู ๓. ฆา นะ คอื จมูก ๔. ชิวหา คือ ลน้ิ ๕. กาย คอื กาย ๖. มโน คือ อนิ ทรีย์ ๖ กเ็ รียก (พ.ศ.หน้า ๔๑๑) อริยวัฑฒิ ๕ ความเจริญอย่างประเสรฐิ หลกั ความเจริญของอารยชน มี ๕ คือ ๑. ศรัทธา ความเชอ่ื ความม่ันใจในพระรัตนตรัย ในหลักแหง่ ความจริง ความดีอันมีเหตุผล ๒.ศีลความประพฤตดิ ี มี วินยั เลย้ี งชพี สจุ รติ ๓. สตุ ะ การเล่าเรยี น สดบั ฟัง ศกึ ษาหาความรู้ ๔. จาคะ การเผ่ือแผ่ เสยี สละ เออื้ เฟ้อื มีน้ำใจชว่ ยเหลือ ใจกวา้ ง พร้อมทีจ่ ะรับฟังและรว่ มมือ ไม่คบั แคบ เอาแตต่ วั ๕. ปัญญา ความรอบรู้ รคู้ ิด รู้พจิ ารณา เข้าใจเหตุผล รู้จักโลกและชีวติ ตามความเปน็ จริง (พ.ธ. หนา้ ๒๑๓) อทิ ธบิ าท ๔ คุณเครื่องให้ถึงความสำเรจ็ คณุ ธรรมทีน่ ำไปสู่ความสำเรจ็ แหง่ ผลทม่ี งุ่ หมาย มี ๔ ประการ คอื

หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรียนทบั โพธพ์ิ ฒั นวทิ ย์ 238 ๑. ฉนั ทะ ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทำใฝ่ใจรักจะทำสิง่ นัน้ อยเู่ สมอแลว้ ปรารถนาจะทำ ให้ไดผ้ ลดยี ิ่ง ๆ ขึ้นไป ๒. วิริยะ ความเพยี ร คอื ขยันหมั่นประกอบสิ่งน้นั ด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธรุ ะไม่ ทอ้ ถอย ๓. จติ ตะ ความคดิ คือ ตงั้ จติ รับรใู้ นสิง่ ท่ีทำและทำสง่ิ นัน้ ด้วยความคดิ เอาจติ ฝักใฝไ่ ม่ปล่อยใจให้ ฟงุ้ ซา่ นเล่ือนลอย ๔. วิมงั สา ความไตร่ตรอง หรือทดลอง คอื หม่นั ใช้ปัญญาพิจารณา ใครค่ รวญ ตรวจตราหา เหตุผล และตรวจสอบขอ้ ย่ิงหย่อนในสิง่ ที่ทำนั้น มกี ารวางแผน วัดผลคิดค้นวิธแี กไ้ ขปรับปรุง ตัวอยา่ งเช่น ผทู้ ำงานทั่ว ๆ ไปอาจจำส้นั ๆ วา่ รักงาน สงู้ าน ใส่ใจงาน และทำงานด้วยปญั ญา เป็นต้น (พ.ธ. หน้า ๑๘๖-๑๘๗) อุบาสกธรรม ๗ ธรรมที่เปน็ ไปเพอื่ ความเจริญของอบุ าสก ๑. ไมข่ าดการเย่ยี มเยือนพบปะพระภิกษุ ๒. ไม่ละเลยการฟังธรรม ๓. ศกึ ษาในอธิศลี ๔. มีความเลื่อมใสอยา่ งมากในพระภกิ ษุทุกระดบั ๕. ไม่ฟังธรรมดว้ ยตงั้ ใจจะคอยเพง่ โทษตเิ ตียน ๖. ไมแ่ สวงหาบุญนอกหลักคำสอนใน พระพทุ ธศาสนา ๗. กระทำการสนับสนุน คอื ขวนขวายในการอุปถัมภบ์ ำรุงพระพทุ ธศาสนา (พ.ธ. หนา้ ๒๑๙ – ๒๒๐) อุบาสกธรรม ๕ สมบัตขิ องอุบาสก ๕ คอื ๑. มีศรัทธรา ๒. มศี ีลบรสิ ุทธ์ิ ๓. ไม่ถอื มงคลต่นื ขา่ ว เชื่อ กรรม ไมเ่ ชื่อมงคลคอื มุ่งหวงั ผลจากการกระทำ และการงานมใิ ช่จากโชคลาภ และสิง่ ท่ีต่ืนกนั ว่า ขลงั ศกั ดสิ์ ิทธิ์ ๔. ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพทุ ธศาสนา ๕. ขวนขวายในการอปุ ถัมภบ์ ำรงุ พระพทุ ธศาสนา (พ.ศ. หน้า ๓๐๐) อบุ าสกธรรม ๗ ผูใ้ กลช้ ิดพระศาสนาอยา่ งแท้จรงิ ควรตั้งตนอยใู่ นธรรมทีเ่ ป็นไปเพอ่ื ความเจรญิ ของ อบุ าสก มี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ไมข่ าดการเยย่ี มเยือนพบปะพระภิกษุ ๒. ไมล่ ะเลยการฟังธรรม ๓. ศึกษาในอธศิ ีล คือ ฝึกอบรมตนใหก้ ้าวหน้าในการปฏบิ ัติรักษาศลี ขัน้ สูงขนึ้ ไป ๔. พรั่งพร้อม ดว้ ยความเล่ือมใส ในพระภิกษทุ ัง้ หลายทง้ั ทีเ่ ป็นเถระ นวกะ และปนู กลาง ๕. ฟังธรรมโดยความ ตัง้ ใจ มิใช่ มาจับผิด ๖. ไม่แสวงหาทักขิไณยภายนอก หลกั คำสอนน้ี คอื ไมแ่ สวงหาเขตบญุ นอก หลักพระพุทธศาสนา ๗. กระทำความสนบั สนุนในพระพุทธศาสนานี้ คือ เอาใจใส่ทำนุบำรงุ และ ช่วยกจิ กรรม (ธรรมนูญชวี ติ , หน้า ๗๐ – ๗๐) อเุ บกขา มี ๒ ความหมายคือ ๑. ความวางใจเป็นกลาง ไม่เองเอียงดว้ ยชอบหรอื ชงั ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียนิ รา้ ย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกดิ ขน้ึ โดยสมควรแก่เหตุและรูว้ ่าพงึ ปฏิบตั ิต่อไป ตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุนัน้ ๒. ความรสู้ ึกเฉย ๆ ไม่สขุ ไมท่ ุกข์ เรยี กเต็มว่าอุเบกขาเวทนา (อทุกขมสุข) (พ.ศ. หน้า ๔๒๖ – ๔๒๗) อปุ าทาน ๔ ความยดึ ม่ัน ความถอื มน่ั ดว้ ยอำนาจกเิ ลส ความยึดติดอันเนือ่ งมาแตต่ ัณหา ผกู พันเอาตัวตน เปน็ ท่ีต้งั ๑. กามุปาทาน ความยดึ ม่ันในกาม คือ รูป เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐพั พะทนี่ ่าใคร่ นา่ พอใจ ๒. ทฏิ ฐุปาทาน ความยึดมน่ั ในทิฏฐหิ รอื ทฤษฎี คือ ความเห็น ลทั ธิ หรือหลกั คำสอนต่าง ๆ ๓. สลี พั พตุปาทาน ความยึดมั่นในศลี และพรต คือ หลกั ความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบวธิ ี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลทั ธพิ ิธีต่าง ๆ กัน ไปอย่างงมงายหรือโดยนยิ มวา่ ขลัง ว่า

หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธิ์พัฒนวิทย์ 239 ศักด์ิสิทธ์ิ มิได้เปน็ ไปด้วยความรู้ ความเข้าใจตามหลกั ความสมั พันธ์แหง่ เหตแุ ละผล ๔. อัตตาวาทุ ปาทาน ความยึดมน่ั ในวาทะวา่ ตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญ หมายอยใู่ นภายในว่ามตี ัวตน ท่ีจะ ได้ จะมี จะเป็น จะสญู สลาย ถกู บบี คนั้ ทำลายหรือเป็นเจา้ ของ เปน็ นายบงั คบั บัญชาสง่ิ ตา่ ง ๆ ได้ไมม่ องเหน็ สภาวะของสง่ิ ทั้งปวง อันรวมท้ังตวั ตนว่าเปน็ แต่เพยี งส่งิ ทปี่ ระชุมประกอบกันเขา้ เปน็ ไปตามเหตุปัจจัยท้งั หลายท่มี าสมั พนั ธ์กันล้วน ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๘๗) อุปนิสยั ๔ ธรรมท่พี ่ึงพงิ หรือธรรมชว่ ยอดุ หนนุ ๑. สงขฺ าเยกํ ปฏเิ สวติ พิจารณาแล้วจงึ ใชส้ อยปัจจยั ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสชั เปน็ ต้น ทีจ่ ำเป็นจะตอ้ งเก่ยี วข้องและมีประโยชน์ ๒. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ พจิ ารณาแลว้ อดกลั้นได้แก่ อนฏิ ฐารมณ์ ต่าง ๆ มีหนาวรอ้ น และ ทกุ ขเวทนา เปน็ ต้น ๓. สงฺขาเยกํ ปริวชฺเชติ พจิ ารณาส่ิงทเี่ ปน็ โทษ กอ่ อนั ตรายแก่รา่ งกาย และ จติ ใจแล้ว หลกี เวน้ ๔. สงฺขาเยกํ ปฏิวโิ นเทติ พจิ ารณาสง่ิ ทีเ่ ป็นโทษ กอ่ อนั ตรายเกิดขนึ้ แล้ว เช่น อกศุ ลวติ ก มกี ามวติ ก พยาบาทวิตก และวิหงิ สาวติ ก และความชั่วรา้ ยท้ังหลาย แล้วพจิ ารณาแกไ้ ข บำบัดหรือขจัดใหส้ ้ินไป (พ.ธ. หน้า ๑๗๙) โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ต่อความชวั่ (พ.ศ. หน้า ๔๓๙) โอวาท คำกลา่ วสอน คำแนะนำ คำตักเตือน โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ คอื ๑. เวน้ จากทจุ ริต คือ ประพฤตชิ ัว่ ดว้ ยกาย วาจา ใจ (ไมท่ ำชั่วทงั้ ปวง) ๒.ประกอบสุจริต คอื ประพฤตชิ อบด้วยกาย วาจา ใจ (ทำแตค่ วามดี) ๓. ทำใจของตนใหห้ มดจดจากเคร่ืองเศรา้ หมอง โลภ โกรธ หลง เป็น ต้น (ทำจติ ของตนใหส้ ะอาดบรสิ ุทธ์)ิ (พ.ศ. หนา้ ๔๔๐) สงั คมศาสตร์ การศึกษาความสมั พนั ธ์ของมนุษย์ โดยใชก้ ระบวนการวทิ ยาศาสตร์ สงั คมศึกษา การเรียนร้เู พื่อพัฒนาตนใหอ้ ยู่รว่ มในสงั คมได้อยา่ งมีคุณภาพ คณุ ธรรม(virtue) และจริยธรรรม(moral or morality or ethics) คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงาม ความดี จรยิ ธรรมมคี วามหมายเชน่ เดียวกบั ศลี ธรรม หมายถึง ธรรมที่เปน็ ข้อประพฤติกรรมปฏิบตั ิความ ประพฤตหิ รือหนา้ ทีท่ ่ีชอบ ท่ีควรปฏบิ ตั ใิ นการครองชวี ิต ดงั น้นั คุณธรรมจรยิ ธรรม จงึ หมายถงึ สภาพคุณงามความดีที่ประพฤตปิ ฏิบัตหิ รือหนา้ ที่ที่ควรปฏิบัตใิ นการครองชวี ิต หรอื คุณธรรมตาม กรอบจริยธรรม ส่วนศีลธรรมและจรยิ ธรรม มคี วามหมายใกล้เคยี งกนั คณุ ธรรมจะมีความหมายที่ เนน้ สภาพ ลักษณะ หรอื คุณสมบตั ิทแ่ี สดงออกถึงความดงี าม ส่วนจรยิ ธรรม มคี วามหมายเน้นที่ ความประพฤติหรือการปฏบิ ตั ิท่ีดีงาม เป็นท่ยี อมรบั ของสังคม นกั วชิ าการมกั ใชค้ ำท้งั สองคำนี้ใน ความหมายนัยเดียวกันและมักใช้คำสองคำดังกล่าวควบคู่กันไป เปน็ คำวา่ คณุ ธรรมจริยธรรม ซ่ึงรวมความหมายของคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม นัน่ คือมคี วามหมายเน้นทัง้ สภาพ ลักษณะหรือ คณุ สมบตั ิ และความประพฤติอันดีงาม เป็นที่ยอมรับของสังคม (โครงการเรง่ สร้างคณุ ลักษณะทด่ี ขี องเด็กและเยาวชนไทย ศูนย์คณุ ธรรม หนา้ ๑๑ -๑๒) การเมอื ง ความร้เู ก่ียวกับความสมั พนั ธร์ ะหว่างอำนาจในการจัดระเบียบสังคมเพอื่ ประโยชน์และความ สงบสุขของสงั คม มีความสัมพนั ธต์ ่อกนั โดยรวมท้ังหมดในส่วนหนึง่ ของชีวติ ในพ้ืนท่หี นงึ่ ที่เกีย่ วข้อง กบั อำนาจ อำนาจชอบธรรม หรอื อทิ ธิพล และมีความสามารถในการดำเนนิ การได้ ข้อมูล สง่ิ ทไ่ี ด้รบั รูแ้ ละยงั ไม่มีการจัดประมวลให้เป็นระบบ เมื่อจัดระบบแล้วเรยี กวา่ สารสนเทศ ค่านิยม การกำหนดคุณคา่ และพฒั นาจนเปน็ บคุ ลกิ ภาพประจำตัว

หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ฒั นวทิ ย์ 240 คณุ ค่า ลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ เช่น ความดี ความงาม ความดเี ป็นคุณคา่ ของจรยิ ธรรม ความงามเป็น คุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ ส่ิงทีต่ อบสนองความต้องการได้เปน็ ส่งิ ที่มคี ุณค่า คุณค่าเป็นสง่ิ เปล่ยี นแปลงได้ คุณค่าเปล่ยี นไปได้ตามเวลา และคุณคา่ มกั เปล่ยี นแปลงไปตามววิ ัฒนาการของ ความเจริญ บทบาท การกระทำที่สังคมคาดหวงั ตามสถานภาพที่บคุ คลครองอยู่ หน้าท่ี เปน็ ความรับผิดชอบทางศลี ธรรมของปัจเจกชนซ่ึงสังคมยอมรบั สถานภาพ ตำแหน่งท่ีแต่ละคนครองอยใู่ นสถานทหี่ นึ่ง ในช่วงเวลาหน่งึ บรรทัดฐาน ข้อตกลงของสังคมที่กำหนดให้สมาชกิ ประพฤติ ปฏิบตั ิ บางทีเรยี กปทสั ถาน สามารถใช้ บรรทดั ฐานของสังคม (social norms) เป็นมาตรฐานความประพฤติในทางจริยธรรมได้ ซ่ึงแยก ออกเป็น ก. วถิ ปี ระชา (folkways) ได้แก่ แบบแผนพฤตกิ รรมในชวี ติ ประจำวนั ที่สงั คมยอมรบั และ ไดป้ ระพฤตปิ ฏิบัตสิ บื ต่อกนั มา มักเกย่ี วข้องกับเร่ืองการดำเนินชีวิต และในสว่ นท่ีเกี่ยวข้องกบั จริยธรรมจะไมม่ ีกฎเกณฑ์เคร่งครดั แน่นอนตายตัว ข. กฎศลี ธรรมหรอื จารีต (mores) เปน็ มาตรฐานความประพฤตขิ องสงั คมที่มีการกำหนด เกีย่ วกบั จริยธรรมท่ีเข้มข้ึน ในกรณมี ีผ้ฝู ่าฝนื อาจมกี ารลงโทษ แม้ว่าในบางครงั้ จะไม่มกี ารเขียนไว้ เปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรก็ตาม เช่น การลวนลามสตรีในชนบท ตอ้ งลงโทษด้วยการเสียผี ค. กฎหมาย (law) เป็นมาตรฐานความประพฤติทรี่ ฐั กำหนดใหส้ มาชิกของรฐั พึงปฏิบัตหิ รอื ละเว้นการปฏิบัติ และกำหนดวิธกี ารปฏบิ ตั ิการลงโทษสำหรับผ้ฝู ่าฝืน สิทธิ ข้อเรียกร้องของปจั เจกชนซ่งึ สังคมยอมรับ สิทธิทางศีลธรรม เปน็ ข้อเรยี กรอ้ งทางศีลธรรมของปัจเจกชนซ่งึ สงั คมยอมรบั ประเพณี เป็นความประพฤติของคนหม่หู น่งึ อยู่ในท่แี ห่งหน่งึ ถือเปน็ แบบแผนกันมาอย่างเดียวกันและ สบื กันมานาน ประเพณี คอื กจิ กรรมที่มรี ูปแบบของชมุ ชนหรือสงั คมหน่งึ ที่จดั ข้นึ มาด้วยจุดประสงค์ใด จุดประสงค์หน่งึ และกำหนดการจัดกิจกรรมในชว่ งเวลาแนน่ อนสมำ่ เสมอ กจิ กรรทเ่ี ปน็ ประเพณี อาจมองได้อีกประการหนึ่งวา่ เป็นแบบแผนการปฏบิ ตั ิของกลุ่มเฉพาะหรือทางศาสนา ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนษุ ยชน (Universal Declaration of Human Rights sinv UDHR) คอื การ ประกาศเจตนารมณ์ ในการร่วมมือระหวา่ งประเทศที่มคี วามสำคัญในการวางกรอบเบ้ืองต้น เกี่ยวกบั สทิ ธิมนุษยชนและเป็นเอกสารหลักดา้ นสิทธมิ นุษยชนฉบับแรก ซึง่ ทป่ี ระชมุ สมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ ใหก้ ารรับรองตามข้อมตทิ ี่ ๒๑๗ A (III) เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๑ โดย ประเทศไทยออกเสยี งสนนั สนุน วฒั นธรรม และภมู ิปญั ญาไทย เป็นการศึกษา วิเคราะห์เกี่ยวกับวฒั นธรรมและภูมิปัญญาในเรื่องเกยี่ วกบั ความเป็นมา ปจั จยั พน้ื ฐานและผลกระทบจากภายนอกที่มีอิทธพิ ลตอ่ การสร้างสรรคว์ ฒั นธรรม ไทย วัฒนธรรมท้องถิน่ ภูมปิ ัญญาไทย รวมทั้งวัฒนธรรมและภูมปิ ัญญาของมนุษยชาตโิ ลก ความสำคัญ และผลกระทบที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชวี ติ ของคนไทยและมนุษยชาติ ตง้ั แตอ่ ดีตถึง ปจั จุบนั สัมมาชพี การประกอบอาชพี สจุ รติ และเหมาะสมในสงั คม

หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรียนทับโพธิ์พัฒนวิทย์ 241 ประสทิ ธิภาพ ความสามารถในการทำงานจนสำเรจ็ หรือผลการกระทำที่ได้ผลออกมาดีกว่าเดมิ รวมทงั้ การใชท้ รัพยากรตา่ งๆ อยา่ งคุ้มค่า โดยไม่ใหเ้ กดิ ความสูญเปลา่ หรอื ความสูญเสยี ทรัพยาการต่างๆ พจิ ารณาไดจ้ ากเวลา แรงงาน วตั ถดุ บิ เครือ่ งจักร ปริมาณและคุณภาพ ฯลฯ ประสิทธิผล ระดบั ความสำเรจ็ ของวตั ถปุ ระสงค์ หรอื ผลสำเรจ็ ของงาน สนิ คา้ หมายความวา่ ส่ิงของท่ีสามารถซอื้ ขาย แลกเปลย่ี น หรือโอนกนั ได้ ไม่วา่ จะเกิดโดยธรรมชาตหิ รอื เปน็ ผลติ ผลทางการเกษตร รวมตลอดถึงผลิตภัณฑท์ างหตั ถกรรมและอตุ สาหกรรม ภูมปิ ญั ญา สว่ นหน่ึงของประเพณี หรอื เป็นกิจกรรมเฉพาะตัวกไ็ ด้ เชน่ พิธถี วายสังฆทาน พิธีบวชนาค พธิ ีบวชลกู แกว้ พธิ ีขอฝน พิธไี หว้ครู พิธีแตง่ งาน มนษุ ยชาติ การเกิดเปน็ มนุษย์มาจาก มนุษย์ = ผู้มจี ติ ใจสูง กับชาติ = เกิด โดยปกตหิ มายถึง มนุษย์ทั่ว ๆ ไป มรรยาท พฤติกรรมที่สังคมกำหนดว่าควรประพฤตเิ ป็นวัฒนธรรม วัดจากความเหมาะสมและไม่ เหมาะสม ระบบ การนำส่วนตา่ ง ๆ มาปรับเรียงต่อใหท้ ำงานประสานตอ่ เน่ืองกนั จนดูเปน็ ส่ิงเดียวกัน กระบวนการ กรรมวธิ หี รือลำดบั การกระทำซึง่ ดำเนินการต่อเน่ืองกนั ไปจนสำเร็จลง ณ ระดับหนงึ่ วเิ คราะห์ การแยกแยะให้เหน็ คณุ ลกั ษณะของแต่ละองค์ประกอบ เศรษฐกิจ ความรเู้ กี่ยวกับการกิน การอยู่ของมนษุ ย์ในสังคม วา่ ด้วยทรพั ยากรท่มี จี ำกัดการผลติ การกระจายผลผลติ และการบรโิ ภค สหกรณ์ แปลวา่ การทำงานร่วมกัน การทำงานรว่ มกันน้ลี กึ ซงึ้ มาก เพราะว่าต้องร่วมมือกันในทุกดา้ น ทั้ง ในดา้ นงานท่ีทำด้วยรา่ งกาย ทั้งในดา้ นงานทีท่ ำด้วยสมอง และงานการทท่ี ำดว้ ยใจ ทุกอย่างน้ขี าด ไมไ่ ด้ต้องพร้อม (พระราชดำรัสพระราชทานแกผ่ นู้ ำสหกรณ์การเกษตร สหกรณน์ ิคมและสหกรณ์ ประมงทั่วประเทศ ณ ศาลาดุสิตดาลยั ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖) ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา หมายถึง ผลงานอนั เกดิ จากการประดิษฐค์ ิดค้น หรือสร้างสรรค์ของมนษุ ย์ ซึง่ เนน้ ทผ่ี ลผลติ ของสตปิ ญั ญาและความชำนาญ โดยไมค่ ำนงึ ถึงชนดิ ของการสรา้ งสรรคห์ รือวธิ ีในการ แสดงออก ทรัพย์สินทางปัญญา อาจเป็นสิง่ ทีจ่ ับต้องได้ เชน่ สนิ ค้า ต่าง ๆ หรือ เปน็ สงิ่ ท่ีจบั ตอ้ ง ไม่ได้ เช่น บรกิ าร แนวความคดิ กรรมวิธีและทฤษฎตี ่าง ๆ เป็นตน้ ทรัพย์สนิ ทางปญั ญามี ๒ ประเภท ทรพั ย์สินทางอุตสาหกรรม (Industrial property) และลิขสทิ ธิ์ (Copyright) ๑. ทรพั ย์สินทางอุตสาหกรรม มสี ิทธบิ ัตร แบบผงั ภมู ขิ องวงจรรวม เคร่อื งหมายการคา้ ความลบั ทางการค้า ช่อื ทางการค้า สง่ิ บง่ ช้ีทางภูมิศาสตร์ สง่ิ บ่งชท้ี างภูมิศาสตร์ หมายความว่า ชือ่ สัญลกั ษณ์ หรือส่งิ อืน่ ใดที่ใชเ้ รียกหรือใช้แทนแหล่ง ภมู ิศาสตร์ และทีสามารถบง่ บอกว่าสนิ คา้ ทเ่ี กดิ จากแหลง่ ภูมศิ าสตรน์ น้ั เป็น สินค้าท่ีมคี ุณภาพ ชอ่ื เสยี ง หรอื คุณลักษณะเฉพาะของแหลง่ ภมู ิศาสตรด์ ังกลา่ ว ๒. ลขิ สิทธ์ิ คือ งานหรือความคิดสร้างสรรคใ์ นสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม งานภาพยนตร์ หรอื งานอ่ืนใดในแผนกวรณคดี หรือแผนกศิลปะ แผนกวิทยาศาสตร์ ลขิ สิทธยิ์ ัง รวมทงั้ สิทธิขา้ งเคียง (Neighbouring Right) เหตุ ภาวะเงื่อนไขทีจ่ ำเปน็ ที่ทำให้ส่งิ หน่ึงเกิดข้ึนตามมา เรยี กว่า ผล เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณท์ ีเ่ กิดขนึ้

หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรียนทับโพธพิ์ ัฒนวทิ ย์ 242 อำนาจ ความสามารถในการบบี บงั คับใหส้ ง่ิ หนง่ึ (คนหนึง่ ...) กระทำตามที่ปรารถนา อิทธิพล อำนาจบงั คับที่ก่อให้เกิดความสำเรจ็ ในสิง่ ใดส่ิงหน่ึง เอกลกั ษณ์ ลกั ษณะท่มี คี วามเปน็ หนงึ่ เดียว ไม่มที ใ่ี ดเหมือน ตำนาน เปน็ เรื่องเลา่ ต่อกันมาและถูกบันทึกขึน้ ภายหลัง พงศาวดาร คือ การบนั ทึกเหตกุ ารณท์ ่เี กิดขึน้ ตามลำดบั เวลา ซงึ่ ส่วนใหญจ่ ะเป็นเรอ่ื งราวทกี่ ับ พระมหากษัตรยิ ์ และราชสำนัก อดีต คือ เวลาทลี่ ว่ งมาแล้ว ความสำคัญของอดตี คอื อดตี จะครอบงำความคดิ และความรู้ของเราอย่าง กว้างขวางลึกซ้ึง อดตี ทเี่ กย่ี วข้องกบั กลมุ่ คน/ความสำคัญทมี่ ีตอ่ เหตกุ ารณแ์ ละกลุ่มคนจะถูกนำมา เช่อื มโยงเข้าด้วยกัน นกั ประวตั ิศาสตร์ เป็นผู้บันทึกเหตุการณท์ เ่ี กิดขึ้น ผู้สรา้ งประวตั ิศาสตร์ข้ึนจากหลักฐานประเภทตา่ ง ๆ ตามจุดมุง่ หมายและวิธกี ารคดิ ซึ่งงานเขยี นอาจนำไปสู่การเป็นวิชาประวตั ิศาสตรไ์ ด้ในท่ีสุด ความมุ่งหมายในการเขียนประวัตศิ าสตร์ - นกั ประวตั ศิ าสตร์รุ่นเก่า มุ่งสู่การรวมชาต/ิ รบั ใช้การเมือง - นักประวัตศิ าสตร์ร่นุ ใหม่ มุ่งท่จี ะหาความจริง (truth) จากอดตี และตีความโดยปราศจากอคติ (bias) หลักฐานประเภท ตา่ ง ๆ จะใหข้ ้อเท็จจริงบางประการ ซง่ึ จะนำไปสูค่ วามจริงในท่ีสดุ โดยมวี ธิ กี ารแบ่ง ประเภทของหลักฐานหลายแบบ เชน่ หลกั ฐานสมัยกอ่ นประวตั ิศาสตร์และหลักฐานสมยั ประวตั ศิ าสตร์แบบหนง่ึ หลักฐานประเภทลายลกั ษณ์อักษรและหลกั ฐานท่ีไมใ่ ชล่ ายลักษณ์แบบ หน่ึง หรือหลักฐานชั้นต้นและหลักฐานชั้นรอง (หรอื หลักฐานช้ันที่หนึ่ง ชน้ั ที่สอง ชั้นท่สี าม) อกี แบบหนึ่ง หลกั ฐานทจ่ี ะถกู ประเมินวา่ น่าเช่อื ถือทสี่ ุด คือ หลกั ฐานที่เกิดรว่ มสมัยหรือเกิดโดยผู้ ที่รู้เหน็ เหตกุ ารณ์นั้น ๆ แตก่ ระนั้นนกั ประวัติศาสตร์ก็จะต้องวเิ คราะหท์ ั้งภายในและภายนอกก่อน ด้วยเช่นกัน เนื่องจากผทู้ ่ีอย่รู ่วมสมยั ก็ย่อมมีจุดมุ่งหมายส่วนตวั ในการบนั ทึก ซ่งึ อาจทำให้เลอื ก บันทึกเฉพาะเร่ืองบางเรอื่ งเท่านน้ั อคติ คือ ความลำเอียง ไมต่ รงตามความเปน็ จริง เปน็ ธรรมชาตขิ องมนุษย์ทกุ คน ซ่ึงผ้ทู ี่เป็นนัก ประวตั ิศาสตรจ์ ะต้องตระหนักและควบคมุ ให้ได้ ความเป็นกลาง คือ การมองด้วยปราศจากความร้สู ึกอคตจิ ะเกดิ ขึน้ ไดห้ ากเข้าใจธรรมชาติของหลกั ฐาน แต่ละประเภท เขา้ ใจปรชั ญาและวธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์ เขา้ ใจจุดมงุ่ หมายของผู้เรียน ผบู้ ันทกึ ประวตั ิศาสตร์ (นน่ั คือ เข้าใจวา่ บันทกึ เพื่ออะไร เพราะเหตุใด) ความจริงแท้ (real truth) คือ ความจรงิ ท่คี งอยูแ่ น่นอนนิรนั ดร์ เปน็ จดุ หมายสงู สุดทนี่ กั ประวัติศาสตร์ มงุ่ แสวงหาซงึ่ จะต้องอาศัยความเข้าใจและความจรงิ ท่ีอยู่เบ้ืองหลงั การเกดิ พฤติกรรมและ เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ (ทมี่ นุษยเ์ ป็นผ้สู ร้าง) ซ่งึ การแสวงหาความจริงแท้ ต้องอาศัยความสมบรู ณข์ อง หลักฐานและกระบวนการทางประวตั ิศาสตร์ทลี่ ะเอียด ถ่ถี ว้ น กนิ เวลายาวนาน แตน่ ี้คอื ภาระหนา้ ท่ี ของนักประวตั ศิ าสตร์ ผสู้ อนวิชาประวตั ศิ าสตร์ คือ ผู้นำความรู้ทางประวตั ิศาสตร์มาพัฒนาให้ผเู้ รยี นเกดิ ความรู้ เจตคตแิ ละ ทักษะในการใช้กระบวนการวิทยาศาสตรใ์ นการแสวงหาความจรงิ และความจริงแทจ้ ะต้องศึกษา ผลงานของนักประวัติศาสตร์และเลือกเนื้อหาประวตั ศิ าสตร์ทเี่ หมาะสมกบั วัยของผ้เู รยี น โดยต้อง เปน็ ไปตามจดุ ประสงค์ของหลักสูตรและสอดคลอ้ งธรรมชาตขิ องประวัตศิ าสตร์

หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพ์ิ ฒั นวทิ ย์ 243 เวลาและยคุ สมัยทางประวตั ิศาสตร์ เป็นการศกึ ษาเรื่องการนับเวลา และการแบง่ ช่วงเวลาตามระบบ ตา่ ง ๆ ทง้ั แบบไทย สากล ศักราชที่สำคญั ๆ ในภูมภิ าคต่าง ๆ ของโลก และการแบง่ ยุคสมยั ทาง ประวัติศาสตร์ ทั้งนเี้ พ่อื ให้ผู้เรยี นมีทักษะพ้ืนฐานสำหรับการศกึ ษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สามารถเข้าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตรท์ ่สี มั พันธ์กบั อดตี ปจั จุบนั และอนาคต ตระหนักถงึ ความสำคญั ในความต่อเนอื่ งของเวลา อิทธิพลและความสำคญั ของเวลาทีม่ ตี ่อวถิ ีการดำเนินชวี ติ ของมนุษย์ วิธีการทางประวตั ิศาสตร์ หมายถึงกระบวนการในการแสวงหาข้อเท็จจริงทางประวัตศิ าสตร์ ซ่งึ เกิดจากวธิ ี วจิ ัยเอกสารและหลักฐานประกอบอื่นๆ เพื่อให้ไดม้ าซง่ึ องค์ความรู้ใหมท่ างประวตั ิศาสตร์บน พื้นฐานของความเปน็ เหตเุ ป็นผล และการวเิ คราะห์เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ อย่างเป็นระบบ ประกอบดว้ ยข้นั ตอนตอ่ ไปน้ี หน่งึ การกำหนดเปา้ หมายหรอื ประเดน็ คำถามท่ตี ้องการศึกษา แสวงหาคำตอบดว้ ยเหตุ และผล (ศึกษาอะไร ชว่ งเวลาไหน สมัยใด และเพราะเหตุใด) สอง การคน้ หาและรวบรวมหลักฐานประเภทตา่ ง ๆ ท้ังทีเ่ ปน็ ลายลักษณ์อกั ษร และไมเ่ ป็นลาย ลักษณ์อักษร ซ่งึ ได้แก่ วัตถโุ บราณ รอ่ งรอยถิ่นท่ีอยู่อาศยั หรือการดำเนนิ ชวี ติ สาม การวเิ คราะห์หลักฐาน (การตรวจสอบ การประเมนิ ความน่าเช่ือถือ การประเมินคุณค่าของ หลกั ฐาน) การตคี วามหลักฐานอยา่ งเป็นเหตุเป็นผล มีความเปน็ กลาง และปราศจากอคติ ส่ี การสรปุ ขอ้ เท็จจริงเพ่ือตอบคำถาม ดว้ ยการเลือกสรรข้อเทจ็ จริงจากหลักฐานอย่างเครง่ ครัด โดยไม่ใช้คา่ นิยมของตนเองไปตดั สนิ พฤติกรรมของคนในอดีต โดยพยายามเข้าใจความคิดของคน ในยคุ น้ันหรอื นำตัวเข้าไปอยูใ่ นยุคสมัยท่ตี นศึกษา หา้ การนำเสนอเร่อื งที่ศึกษาและอธิบายได้อยา่ งสมเหตสุ มผล โดยใช้ภาษาทีเ่ ข้าใจงา่ ย มีความ ต่อเนอื่ ง นา่ สนใจ ตลอดจนมีการอา้ งอิงขอ้ เท็จจรงิ เพ่ือให้ไดง้ านทางประวัติศาสตร์ท่ีมีคุณคา่ และ มคี วามหมาย พัฒนาการของมนุษยชาตจิ ากอดตี ถึงปัจจุบนั เป็นการศึกษาเร่ืองราวของสงั คม มนุษย์ในบรบิ ทของ เวลาและสถานที่ โดยท่วั ไปจะแยกเรอ่ื งศึกษาออกเปน็ ดา้ นต่าง ๆ ไดแ้ ก่ การเมืองการปกครอง เศรษฐกจิ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยกำหนดขอบเขต การศึกษาในกลุ่มสงั คม มนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ในท้องถิ่น/ประเทศ/ภูมิภาค/โลก โดยมุ่งศึกษาวา่ สงั คมนั้น ๆ ไดเ้ ปล่ยี นแปลงหรอื พัฒนาตามลำดับเวลาได้อย่างไร เพราะเหตใุ ด จึงเกิดความ เปลยี่ นแปลงมปี ัจจัยใดบ้าง ท้ังทางด้านภูมิศาสตร์และปัจจัยแวดลอ้ มทางสังคม ที่มีผลตอ่ พฒั นาการหรือการสรา้ งสรรค์วฒั นธรรม และผลกระทบของการสรา้ งสรรคข์ องมนุษยใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ เป็นอย่างไร ทั้งนี้เพ่ือให้เขา้ ใจอดีตของสังคมมนุษย์ในมิติของเวลาและความต่อเนื่อง ภมู ิศาสตร์ เป็นคำที่มาจากภาษากรีก (Geography) หมายถึงการพรรณนาลักษณะของโลกเป็นศาสตร์ ทางพ้นื ที่ เปน็ ความร้ทู ว่ี า่ ด้วยปฏสิ ัมพันธ์ของสง่ิ ตา่ ง ๆ ในขอบเขตหนง่ึ ลักษณะทางกายภาพ ของภูมิศาสตร์ หมายถึง ลกั ษณะท่มี องเหน็ เป็นรปู ร่าง รปู ทรง โดยสามารถ มองเห็นและวเิ คราะห์ไปถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ท่ีเกดิ ข้นึ ในสภาพแวดลอ้ มต่าง ๆ ซึ่ง เก่ียวข้องกับลักษณะของธรณีสัณฐานวทิ ยาภมู ิอากาศวทิ ยา ภมู ศิ าสตร์ดนิ ชวี ภูมศิ าสตร์พืช ภมู ศิ าสตร์สัตว์ ภมู ศิ าสตรส์ ่ิงแวดลอ้ มต่าง ๆ เปน็ ตน้

หลักสตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพ์ิ ฒั นวิทย์ 244 ปฏิสัมพันธร์ ะหว่างกัน หมายถงึ วิธีการศึกษา หรือวธิ ีการวเิ คราะห์ พิจารณาสำหรับศาสตร์ทาง ภมู ศิ าสตร์ได้ใช้สำหรับการศกึ ษาพจิ ารณา คิดวเิ คราะห์ สงั เคราะหถ์ ึงสง่ิ ต่าง ๆ ที่มผี ลต่อกนั ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับมนุษย์ (Environment) ทางกายภาพ ด้วยวธิ กี ารศึกษา พิจารณาถึง ความแตกต่าง ความเหมือนระหว่างพ้นื ทหี่ นึ่งๆ กบั อกี พน้ื ที่หนึ่ง หรือระหวา่ งภมู ภิ าคหนึ่งกบั ภมู ิภาคหน่ึง โดยพยายามอธิบายถงึ ความแตกต่าง ความเหมอื น รูปแบบของภูมภิ าค และ พยายามขดี เสน้ สมมุติ แบ่งภมู ภิ าคเพ่ือพจิ ารณาวิเคราะห์ ดสู ัมพันธภาพของภมู ภิ าคเหล่านน้ั วา่ เป็นอยา่ งไร ภมู ิศาสตร์ คอื ภาพปฏสิ มั พันธ์ของธรรมชาติ มนษุ ย์ และวฒั นธรรม รูปแบบตา่ ง ๆ ถ้าพิจารณาเฉพาะปจั จัยทางธรรมชาติ จะเป็นภมู ิศาสตร์กายภาพ (Physical Geography) ถ้าพจิ ารณาเฉพาะปจั จัยที่เกี่ยวขอ้ งกบั มนษุ ย์ เช่น ประชากร วถิ ชี วี ติ ศาสนา ความเชอ่ื การ เดนิ ทาง การอพยพจะเปน็ ภมู ิศาสตรม์ นษุ ย์ (Human Geography) ถ้าพิจารณาเฉพาะปจั จยั ที่เป็นสงิ่ ทีม่ นุษยส์ ร้างขน้ึ เชน่ การต้ังถิ่นฐาน การคมนามคม การคา้ การเมือง จะเป็นภูมศิ าสตร์วัฒนธรรม (Cultural Geography) ภูมอิ ากาศ คือ ภาพปฏสิ มั พันธข์ ององคป์ ระกอบอุตนุ ยิ มวิทยา รูปแบบต่าง ๆ เช่น ภูมิอากาศ แบบร้อน ชื้น ภูมิอากาศแบบอบอนุ่ ช้นื ภมู ิอากาศแบบร้อนแหง้ แลง้ ฯลฯ ภมู ิประเทศ คือ ภาพปฏสิ ัมพนั ธข์ ององคป์ ระกอบแผน่ ดิน เช่น หิน ดิน ความต่างระดับ ทำใหเ้ กดิ ภาพลกั ษณะรูปแบบตา่ ง ๆ เชน่ พ้นื ท่ีแบบภูเขา พนื้ ที่ระบบลาด เชิงเขา พ้นื ที่ราบ พื้นทีล่ ุม่ ฯลฯ ภูมพิ ฤกษ์ คือ ภาพปฏิสัมพนั ธข์ องพชื พรรณ อากาศ ภูมปิ ระเทศ ดิน สัตวป์ ่า ในรปู แบบตา่ ง ๆ เช่น ป่า ดิบ ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ปา่ ท่งุ หญา้ ฯลฯ ภูมธิ รณี คอื ภาพปฏสิ มั พันธข์ องแร่ หนิ โครงสรา้ งทางธรณี ทำใหเ้ กิดรปู แบบทางธรณีชนดิ ต่าง ๆ เชน่ ภูเขาแบบทบตวั ภูเขาแบบยกตัว ทร่ี าบนำ้ ท่วมถึง ชายฝั่งแบบยบุ ตวั ฯลฯ ภูมิปฐพี คอื ภาพปฏิสัมพันธ์ของแร่ หิน ภมู ิประเทศลกั ษณะอากาศ พชื พรรณ ทำให้เกิดดนิ รูปแบบ ต่าง ๆ เช่น แดนดนิ ดำ มอดนิ แดง ดินทรายจดั ดินกรด ดินเคม็ ดนิ พรุ ฯลฯ ภูมิอุทก คือ ภาพปฏสิ มั พันธ์ของแผ่นดิน ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ภมู ธิ รณี พชื พรรณ ทำให้เกดิ รูปแบบ แหล่งน้ำชนดิ ต่าง ๆ เชน่ แมน่ ้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บงึ ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร นำ้ ใตด้ นิ นำ้ บาดาล ฯลฯ ภูมิดารา คือ ภาพปฏิสมั พันธ์ของดวงดาว กล่มุ ดาว เวลา การเคลอ่ื นการโคจรของ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ทำให้เกิดรปู แบบปรากฏการณ์ต่าง ๆ เชน่ การเกิดกลางวันกลางคนื ข้างขึ้น-ข้างแรม สรุ ยิ ปุ ราคา ตะวนั อ้อมเหนือ ตะวนั อ้อมใต้ ฯลฯ ภยั พิบัติ เหตุการณ์ทกี่ ่อใหเ้ กดิ ความเสียหายและสูญเสียอยา่ งรนุ แรง เกิดข้ึนจากภยั ธรรมชาตแิ ละกระทำ ของมนษุ ย์ จนชุมชนหรือสังคมที่เผชญิ ปญั หาไม่อาจรับมอื เชน่ ดนิ ถล่ม สึนามิ ไฟป่า ฯลฯ แหลง่ ภมู ศิ าสตร์ หมายความว่า พืน้ ทขี่ องประเทศ เขต ภมู ภิ าคและทอ้ งถิ่น และใหห้ มายความรวมถงึ ทะเล ทะเลสาบ แมน่ ำ้ ลำนำ้ เกาะ ภูเขา หรือพนื้ ที่อน่ื ทำนองเดียวกันดว้ ย เทคนคิ ทางภูมศิ าสตร์ หมายถงึ แผนท่ี แผนภมู ิ แผนภาพ และกราฟ ภายถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายจาก ดาวเทียม เทคโนโลยีภมู สิ ารสนเทศ สือ่ ทสี่ ามารถค้นข้อมูลทางภูมศิ าสตร์ได้

หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรียนทบั โพธพิ์ ัฒนวทิ ย์ 245 มติ ทิ างพื้นท่ี หมายถงึ การวิเคราะห์ พิจารณาในเรื่องขององค์ประกอบทางภูมศิ าสตร์ทเี่ กย่ี วข้องกบั เวลา สถานท่ี ปัจจัยแวดล้อม และการกระจายของพืน้ ที่ในรูปแบบตา่ ง ๆ ทัง้ ความกว้าง ยาว สูง ตามขอบเขตทกี่ ำหนด หรือสมมตุ ิพ้นื ทีข่ ึน้ มาพจิ ารณา การศึกษารูปแบบทางพ้นื ที่ หมายถึง การศึกษาเร่ืองราวเกยี่ วกบั พนื้ ท่หี รือมิติทางพ้ืนทข่ี อง สงั คม มนุษย์ ท่ตี ัง้ ถนิ่ ฐานอยู่ มีการใชแ้ ละกำหนดหนว่ ยเชิงพนื้ ที่ ท่ีชัดเจน มีการอาศัยเสน้ ที่เราสมมุตขิ ึ้น อาศัยหน่วยต่าง ๆ ขึ้นมากำหนดขอบเขต ซ่ึงมอี งค์ประกอบลกั ษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม การเมอื ง และลกั ษณะทางพฒั นาการของมนษุ ยท์ ี่เด่นชัด สอดคล้องกันเป็น พ้นื ฐานในการศึกษา แสวงหาข้อมลู ภมู ศิ าสตรก์ ายภาพ หมายถึง ศาสตร์ท่ศี ึกษาเร่ืองเกี่ยวกับระบบธรรมชาติ ถึงความเปน็ มา ความ เปลยี่ นแปลง และพฒั นาการไปตามยคุ สมัย โดยมีขอบเขตที่กล่าวถึง ลกั ษณะภมู ิประเทศ ลกั ษณะ ภูมิอากาศ ภูมิปฐพี (ดนิ ) ภูมอิ ากาศ (ลมฟ้าอากาศ บรรยากาศ) และภูมพิ ฤกษ์ (พืชพรรณ ปา่ ไม้ ธรรมชาติ) รวมทงั้ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาติ การเปลีย่ นแปลงของธรรมชาติทม่ี ผี ลต่อ ชวี ิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ สิ่งแวดล้อม ส่งิ ท่ีอยู่รอบ ๆ สงิ่ ใดส่งิ หน่งึ และมอี ิทธพิ ลต่อสง่ิ น้นั อาทิ อากาศ นำ้ ดิน ต้นไม้ สตั ว์ ซงึ่ สามารถถูกทำลายได้โดยการขาดความระมัดระวงั ส่งิ แวดล้อมทางภายภาพ หมายถงึ ทุกสงิ่ ทกุ อย่าง ยกเวน้ ตัวมนุษย์และผลงาน และมนษุ ย์ สง่ิ แวดล้อม ทางกายภาพ ไดแ้ ก่ ภมู อิ ากาศ ดนิ พชื พรรณ สัตวป์ ่า ธรณีสัณฐาน (ภเู ขาและทร่ี าบ) บรรยากาศ มหาสมุทร แร่ธาตุ และน้ำ อนรุ ักษ์ การรักษา จดั การ ดูแลทรพั ยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม หรอื การรักษาปอ้ งกันบางส่งิ ไม่ให้ เปล่ยี นแปลง สูญหายหรอื ถูกทำลาย ภูมิศาสตร์มนุษย์ และส่ิงแวดลอ้ ม หมายถงึ ศาสตรท์ ่ศี ึกษาเรื่องราวเกยี่ วกับมนุษย์ วิถีชีวติ และ ความเปน็ อยู่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสงั คม สงิ่ แวดล้อมด้านสังคมทงั้ ในเมืองและท้องถิ่น การเปลี่ยนแปลงทางสงิ่ แวดล้อม สาเหตุและผลกระทบทมี่ ีตอ่ มนษุ ย์ ปัญหาและแนวทางแกป้ ญั หา ทางสังคม กรอบทางพน้ื ท่ี (Spatial Framework) หมายถึง การวางข้อกำหนดหรือขอบเขตของพ้ืนทใ่ี นการศึกษาเรื่องใด เรื่องหนงึ่ หรือแบบรปู แบบกระจายของสง่ิ ตา่ ง ๆ บนผิวโลกส่วนใดสว่ นหนึง่ เพ่ือใหเ้ ราเข้าใจลักษณะ โลกของมนุษย์ดขี ้ึน เชน่ การกำหนดให้มนุษย์ และวฒั นธรรมของมนุษยด์ ีขึน้ เช่น การกำหนดใหม้ นุษย์ และวัฒนธรรมของมนุษย์กรอบพ้นื ท่ีของโลกที่มีลักษณะเป็นภูมิภาค ประเทศ จงั หวดั เมือง ชมุ ชน ท้องถนิ่ ฯลฯ สำหรับการวเิ คราะห์ หรอื ศึกษาองค์ประกอบใดองคป์ ระกอบหนึง่ เฉพาะเรื่อง รูปแบบทางพน้ื ท่ี (Spatial Form) หมายถงึ ข้อเท็จจริง เครือ่ งมือ หรือวธิ ีการ โดยเฉพาะกลุม่ ของ ขอ้ มูลท่ีไดม้ า เปน็ ตน้ ว่า ความสมั พนั ธ์ทางพน้ื ท่ีแบบรูปแบบของการกระจาย การกระทำระหว่าง กนั เครื่องมือทใี่ ช้ ได้แก่ แผนท่ี ภาพถ่าย ฯลฯ พ้นื ทีห่ รอื ระวางท(ี่ Space) หมายถึง ขอบเขตทางพื้นที่ในการวเิ คราะห์ทางภมู ิศาสตร์ เปน็ การศึกษา พื้นทีใ่ นมิติต่าง ๆ ตามระวางท่ี (Spatiak study) ทีก่ ำหนดข้นึ มีขอบเขตชดั เจน อาจจะมีการ กำหนดเป็นเขตบริเวณ สถานที่ นำมติ ิของความกวา้ ง ความลึก ความสูง ความยาว รวมทั้งมติ ิทาง

หลักสตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพ์ิ ฒั นวิทย์ 246 เวลา ในเขตพื้นที่ต่าง ๆ ตามที่เรากำหนด ขอบเขตระหวา่ งที่ ด้วยเครื่องมือ เสน้ สมมติและเทคนิค ทางภมู ศิ าสตร์ต่าง ๆ เช่น แผนท่ี ภาพถ่าย ฯลฯ อาจจะจำแนกเป็นเขต ภมู ภิ าค ประเทศ จงั หวัด เมือง ชมุ ชน ท้องถ่นิ ฯลฯ ท่ีเฉพาะเจาะจงไป มีการพิจารณา วเิ คราะหถ์ ึงการกระจายและ สมั พนั ธภาพของมนุษย์บนผวิ โลก และลักษณะทางพ้ืนท่ขี องการตงั้ ถนิ่ ฐานของมนุษย์ และการทใ่ี ช้ ประโยชนจ์ ากพน้ื โลก สัมพนั ธ์จากถนิ่ ฐานของมนุษย์ และการทใ่ี ช้ประโยชน์จากพ้ืนโลก สมั พนั ธภาพระหว่างสังคมมนุษย์กับสงิ่ แวดลอ้ มทางกายภาพ ซ่ึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษา ความแตกตา่ งเชงิ พ้ืนที่ (Area difference) มติ ิสมั พันธเ์ ชงิ ทำเลทีต่ ั้ง หมายถึง การศกึ ษาความแตกต่างหรือความเหมอื นกนั ของสังคมมนุษย์ในแต่ ละสถานท่ี ในฐานะทค่ี วามแตกต่างและเหมือนกนั น้นั อาจมีความเก่ียวเนือ่ งกบั ความแตกต่างและ ความเหมือนกันในส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางวฒั นธรรม ทางการเมือง และการศกึ ษาภูมิทัศน์ทีแ่ ตกต่างกันในเร่ืององค์ประกอบ ปัจจัย ตลอดจนแบบรูปการกระจายของ มนษุ ย์บนพน้ื โลก และการที่มนุษยใ์ ช้ประโยชนจ์ ากพ้นื โลก เหตุไรมนุษย์จึงใชป้ ระโยชน์จากพื้น โลก แตกตา่ งกันในสถานท่ีตา่ งกัน และในเวลาที่ต่างกัน มผี ลกระทบอยา่ งไร ภาวะประชากร รายละเอยี ดข้อเทจ็ จรงิ เกี่ยวกบั ประชากรในเร่อื งสำคัญ 3 ด้าน คือขนาดประชากร การกระจายตวั เชิงพนื้ ท่ี และองคป์ ระกอบของประชากร ขนาดของประชากร จำนวนประชากรท้งั หมดของเขตพน้ื ทห่ี นึง่ พน้ื ท่ี ณ เวลาที่กล่าวถึง การกระจายตัวเชิงพ้นื ท่ี การที่ประชากรกระจายตัวกันอยู่ในส่วนตา่ งๆ ของพ้ืนทีห่ นึ่งพ้ืนที่ ณ เวลาท่ี กล่าวถึง องค์ประกอบของประชากร ลกั ษณะตา่ ง ๆ ที่มสี ่วนผลกั ดนั ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงขนาดหรอื จำนวน ประชากร องค์ประกอบของประชากรเป็นดัชนีอย่างหน่งึ ทช่ี ้ีให้เหน็ ถงึ คุณภาพของประชากร องค์ประกอบประชากรทส่ี ำคัญ ได้แก่ เพศ อายุ การศกึ ษา อาชีพ การสมรส การเปลี่ยนแปลงประชากร องค์ประกอบสำคัญทท่ี ำใหเ้ กดิ กรเปล่ยี นแปลงประชากร คอื การเกิด การ ตาย และการย้ายถ่ิน

หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธ์พิ ฒั นวิทย์ 247 คณะกรรมการผจู้ ดั ทำ ช่ือ-นามสกุล นายวีรเดช มะแพทย์ ตำแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู ำนาญการพิเศษ วุฒกิ ารศกึ ษา ปริญญาตรี ศาสนศาสตรบณั ฑติ (ศน.บ.) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชอื่ -นามสกุล นายสงกรานต์ พนั คลัง ตำแหนง่ พเี่ ล้ยี งเดก็ พิการเรียนร่วม วุฒกิ ารศกึ ษา ปริญญาตรี รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต (รป.บ.) ผูช้ ว่ ยหัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิ์พฒั นวิทย์ 248