สุสฺสูส ลภเต ปญฺญ : ฟังด้วยดยี ่อมได้ปัญญา ปัญญา ความรู้ อาจแยกได้ ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ รู้หลกั วชิ าและรู้หลกั ความประพฤติ มนุษย์ เป็นสตั วโ์ ลกท่ีมีปัญญา มีความรู้ท้งั สองอยา่ งได้ ปัญญาน้นั เกิดไดห้ ลายทาง และทางที่เกิดได้ มากที่สุดทางหน่ึง คือ การฟัง ในการฟังควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี • ตอ้ งเลือกคนที่เราจะฟัง • ไม่ควรมีอคติต่อผพู้ ดู • ตอ้ งมีสมาธิ • รู้จกั แยกแยะ การฟังอยา่ งมีสติยอ่ มก่อใหเ้ กิดปัญญา
๕หน่วยการเรียนรู้ที่ หน้าทชี่ าวพุทธและมารยาทชาวพุทธ พระพทุ ธศาสนามีส่วนช่วยจรรโลงสงั คมไทยมาจนถึงกระทง่ั ปัจจุบนั แสดงใหเ้ ห็นวา่ พระพทุ ธศาสนาไดห้ ยง่ั รากลึกลงในวถิ ีชีวติ ของคนไทย ดงั น้นั ในฐานะชาวพทุ ธที่ดีจึงควรช่วยกนั ทานุบารุงพระพทุ ธศาสนา ใหเ้ จริญมนั่ คงยง่ิ ข้ึนไป หมนั่ ศึกษาหาความรู้ ปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม และประเพณี พิธีกรรมทางศาสนา เผยแผแ่ ละปกป้องพระศาสนา ตลอดจนเรียนรู้มารยาทที่ดี งามของชาวพทุ ธ เพ่ือสืบทอดพระพทุ ธศาสนาต่อไป
๑. หน้าทข่ี องพระภิกษุในการปฏบิ ัตติ ามหลกั พระธรรมวินัย และจริยาวตั รอย่างเหมาะสม การศึกษา การศึกษา หมายถึง การเรียนพระพทุ ธวจนะ สมยั ก่อนใชว้ ธิ ี ท่องจา เรียกวา่ “มุขปาฐะ” ถ่ายทอดสืบต่อกนั มา ต่อมามีการเรียก ประชุม “สงั คายนา” (ร้อยกรองหรือสวดสอบทานกนั ) เพอื่ ความ ถูกตอ้ งสมบูรณ์ยงิ่ ข้ึน พระพทุ ธวจนะเป็นจานวนมากจึงถูกถ่ายทอดผา่ นระบบ ท่องจา ทาใหค้ าสอนของพระพทุ ธเจา้ สืบทอดมากวา่ ๒,๐๐๐ ปี การศึกษาเล่าเรียนพระพทุ ธวจนะน้ีต่อมา เรียกวา่ “คนั ถธุระ” (หนา้ ที่ดา้ นการเรียนพระคมั ภีร์) เป็นการเรียนรู้วชิ าเพือ่ เก้ือกลู และ สนบั สนุนการปฏิบตั ิธรรมใหเ้ กิดผลดี
การปฏบิ ัติ ภาระหนา้ ท่ีน้ีเรียกตามศพั ทศ์ าสนาวา่ “วปิ ัสสนาธุระ” (หนา้ ท่ีปฏิบตั ิเพื่อความเห็นแจง้ ) หมายถึง การฝึกฝนอบรมจิตให้ เป็นสมาธิและใหม้ ีพลงั เพอื่ นาไปใชใ้ นการข่มหรือกาจดั กิเลส คือ ความเศร้าหมองแห่งจิตและใหเ้ กิดความรู้แจง้ เห็นจริง การปฏิบตั ิตามทฤษฎีท่ีไดศ้ ึกษามาขา้ งตน้ น้ี กเ็ พอ่ื การ ดบั ทุกขเ์ ป็นข้นั ๆ จนถึงความดบั ทุกขโ์ ดยสิ้นเชิง
คุณค่าและประโยชน์ทไี่ ด้จากการปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรม สามารถควบคุมกาย วาจา ใหเ้ รียบร้อย งดเวน้ จากขอ้ หา้ มท่ีพระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิไวไ้ ด้ สามารถฝึกฝนจิตใจของตนเองใหม้ ีสมาธิอนั แน่วแน่จนจิตสงบ สามารถขจดั ส่ิงมวั หมองออกจากใจได้ ก่อใหเ้ กิดปัญญาที่เกิดจากการฝึกปฏิบตั ิน้นั ท้งั ยงั เขา้ ใจโลกและชีวติ อยา่ งแจ่มแจง้ จนสามารถปล่อยวางจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ใหล้ ดลงจนกระทงั่ หมดไปโดยสิ้นเชิง
การส่ังสอนและเผยแผ่พระธรรม การสงั่ สอนและเผยแผพ่ ระธรรมเป็น การทาประโยชน์แก่สงั คม หมายถึง การทา ประโยชน์แก่ชาวบา้ นผไู้ ดอ้ นุเคราะห์ ช่วยเหลือพระสงฆด์ ว้ ยปัจจยั ๔ หรืออีกนยั หน่ึง คือ การทาประโยชน์ แก่ชาวโลกท้งั มวล พระสงฆม์ ีหนา้ ท่ีสง่ั สอนและเผยแผพ่ ระธรรมใหแ้ ก่ ประชาชน
หน้าทขี่ องพระสงฆ์ในด้านการสั่งสอนและการเผยแผ่ธรรมแก่ประชาชน ในพระไตรปิ ฎกเล่มท่ี ๑๑ พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รัสถึงหนา้ ท่ีของพระสงฆใ์ นดา้ นการสง่ั สอน และการเผยแผธ่ รรมแก่ประชาชนไว้ ๖ ประการ
ความสาคญั ของการเผยแผ่คาสอนของพระพทุ ธเจ้า
๒. มารยาทชาวพทุ ธ การปฏิบัติตนต่อพระภิกษุในงานศาสนพธิ ีที่บ้าน การอาราธนาพระสงฆม์ าเจริญพระพทุ ธมนต์ งานมงคลนิยมนิมนตพ์ ระจานวน ๕ รูป ๗ รูป หรือ ๙ รูป • เมื่อพระมาถึงควรรับรองท่านดว้ ยอธั ยาศยั ไมตรี • นิมนตพ์ ระสงฆใ์ หน้ งั่ ที่สมควรท่ีจดั ไว้ • ถวายของรับรอง เช่น น้าดื่มหรือน้าผลไม้ ไม่ควรถวายหมากพลู บุหร่ีอนั เป็นส่ิงเสพติด • ถา้ ยงั ไม่ถึงเวลาประกอบพธิ ี เจา้ ภาพควรอยู่ ร่วมสนทนากบั ท่านตามสมควร • เม่ือเสร็จพธิ ี ควรเดินตามไปส่งท่านจนพน้ ชาวพุทธพึงปฏิบตั ิต่อพระสงฆใ์ นงานศาสนพิธี บริเวณงานหรือไปส่งถึงวดั ดว้ ยความเคารพ
การสนทนากบั พระภกิ ษุตามฐานะ • ควรพดู จาอยา่ งไพเราะ ไม่กระโชกโฮกฮาก เสียดสี แดกดนั • ใชค้ าพดู ใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมแก่สถานภาพของ ตนเองและพระสงฆ์ • ไม่ลอ้ เลน่ กบั พระสงฆ์ หรือพดู ตลกโปกฮา • เม่ือพดู กบั พระผใู้ หญ่ควรพนมมือพดู กบั ท่าน ทุกคร้ัง • ไม่ชวนพระสงฆพ์ ดู คุยเร่ืองที่ไม่เหมาะสม • เวลาพดู ถึงพระสงฆล์ บั หลงั พงึ พดู ดว้ ยความ บุคคลพึงสนทนากบั พระสงฆด์ ว้ ยความสารวม ปรารถนาดี • เวลาพดู กบั พระสงฆจ์ ะตอ้ งใชส้ รรพนามให้ เหมาะสม
การใช้คาพดู กบั พระภกิ ษุตามฐานะ
การแต่งกายในพธิ ีต่างๆ การแต่งกายเม่ือไปพบพระที่วดั หรือนิมนตพ์ ระมาท่ีบา้ น • ควรแต่งกายใหส้ ะอาดซ่ึงไม่ เก่ียวกบั ความเก่า ความใหม่ เส้ือผา้ ควรซกั รีด ใหเ้ รียบร้อย รองเทา้ กข็ ดั ใหด้ ูเงางาม • แต่งกายใหส้ ุภาพเรียบร้อย การแต่งกายในพิธีต่างๆ ตอ้ งคานึงถึงความ สุภาพสตรีควรแต่งกายใหร้ ัดกมุ เช่น ไม่นุ่ง สะอาด สุภาพเรียบร้อย และถูกกาลเทศะ กระโปรงส้นั จนเกินไป ไม่ใส่เส้ือผา้ รัดรูป จนเกินไป
๓. หน้าทช่ี าวพุทธ การปฏิบตั ิตนเป็นชาวพทุ ธที่ดีตามหลกั ทิศ ๖ เป็นการปฏิบตั ิตนต่อบุคคลประเภท ต่างๆ ท่ีเราตอ้ งเกี่ยวขอ้ งสมั พนั ธท์ างสงั คมดุจทิศที่อยรู่ อบทิศ ซ่ึงมีอยู่ ๖ ทิศ เรียกวา่ “ทิศ ๖”
การปฏบิ ัตติ นเป็ นชาวพทุ ธทด่ี ตี ามหลกั ทิศ ๖ (ทศิ เบื้องขวา) การปฏบิ ตั ิตนต่อครู อาจารย์
การปฏบิ ตั ิตนต่อศิษย์
การปฏบิ ัตติ นตามพทุ ธปณธิ าน ๔ พุทธปณธิ าน คือ ความต้งั พระทยั ของพระพทุ ธเจา้ โดยเมื่อพระองคบ์ รรลุพระ สมั มาสมั โพธิญาณใหม่ๆ มีพญามารนามวา่ “วสวตั ตี” ไดม้ าทูลอาราธนาใหเ้ สดจ็ ดบั ขนั ธ์ ปรินิพพาน พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ ตราบใดท่ีพระพทุ ธศาสนายงั ไม่มน่ั คงแพร่หลาย พระองค์ จะไม่เสดจ็ ดบั ขนั ธป์ รินิพพาน พระองคจ์ ะดบั ขนั ธ์ปรินิพพานเมื่อพทุ ธบริษทั ท้งั ๔ (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) มีคุณสมบตั ิ ดงั น้ี
การปฏิบตั ติ นตามพทุ ธปณธิ าน ๔
การแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ พทุ ธมามกะ แปลวา่ ผนู้ บั ถือพระพทุ ธเจา้ เป็นของตน คือ นบั ถือ พระพทุ ธศาสนาอยา่ งแทจ้ ริง ไม่ละทิ้งนน่ั เอง สถานท่ีทาพิธีควรเป็นพระอุโบสถ ถา้ มิใช่พระอุโบสถ สถานท่ี ทาพธิ ีควรมีส่ิงต่างๆ ดงั น้ี
วธิ ีแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ
คากล่าวแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ
การเข้าร่วมพธิ ีกรรมทางพระพุทธศาสนา องคป์ ระกอบในการจดั พธิ ีกรรมทางพระพทุ ธศาสนาที่ถูกตอ้ ง ๑. ถูกตอ้ งตามหลกั ศาสนา ๒. ประหยดั ๓. คานึงถึงประโยชน์ ๔. ไม่ขดั กบั ประเพณีนิยม
การศึกษาเรียนรู้องค์ประกอบของพระพทุ ธศาสนาเพื่อปฏบิ ัติและเผยแผ่ องค์ประกอบ ๓ ประการของพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์
พระพทุ ธเจ้า อาจแนะนาผอู้ ื่นใหร้ ู้จกั ความจริงเบ้ืองตน้ เก่ียวกบั พระพทุ ธเจา้ วา่ “พระองคป์ ระสูติเป็นคนธรรมดามีเน้ือหนงั มงั สาเหมือนคนทว่ั ไป แต่กเ็ หนือกวา่ คนธรรมดาที่พระปัญญายอดเยย่ี ม สามารถตรัสรู้ความจริงดว้ ยพระองคเ์ อง แลว้ นามา สง่ั สอนแก่มวลมนุษย์ พระองคเ์ ป็นผสู้ ถาปนาพระพทุ ธศาสนาเมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ปี ”
พระธรรม อาจแนะนาหลกั คาสอนพ้นื ฐานของพระศาสนาวา่ “เบญจศีลและเบญจธรรม ท่ีสูงข้ึนไปกเ็ ช่นหลกั อริยสจั ๔ หรืออธิบายหลกั ธรรมต่างๆ ท่ีสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ไดง้ ่าย เช่น อิทธิบาท ๔ เป็นหลกั ธรรมแห่งความสาเร็จ พรหมวหิ าร ๔ เป็นหลกั ธรรมที่สอนใหม้ ี ความเมตตากรุณาต่อคนอื่น เป็นตน้ ”
พระสงฆ์ อาจเขา้ ไปในวดั และแนะนาให้ รู้จกั เก่ียวกบั พระสงฆว์ า่ “พระสงฆผ์ สู้ ละโลก ออกบวชเพื่อ ศึกษาและปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม แลว้ นา หลกั ธรรมมาเผยแผแ่ ก่ชาวบา้ น พระสงฆเ์ ป็นผปู้ ฏิบตั ิชอบเพื่อเป็น ตวั อยา่ งท่ีดีแก่คนทว่ั ไป”
ข้อควรระวงั ในการแนะนาให้คนทไ่ี ม่รู้จกั พระพุทธศาสนา • ไม่ควรใชค้ าหรือแสดงกิริยาท่ีจะเป็นเชิงดูหมิ่นศาสนาของผอู้ ื่น • เราพดู ไดว้ า่ ศาสนาของเราดีอยา่ งไร แต่อยา่ ไปกา้ วร้าววา่ ของเขาไม่ดีอยา่ งไร • ไม่ควรพดู ในลกั ษณะที่ชวนใหเ้ ขามานบั ถือศาสนาเรา นอกจากวา่ เขาจะแสดง ความสนใจและพดู เองวา่ อยากจะรู้และอยากจะเห็นมากข้ึน เรากอ็ าจช่วยอธิบายเขาได้
การศึกษาการรวมตัวขององค์กรชาวพทุ ธ การรวมตวั ขององคก์ รชาวพทุ ธ นอกจากการรวมตวั ในรูปสถาบนั คือ เป็นพทุ ธบริษทั ๔ แลว้ ผนู้ บั ถือพระพทุ ธศาสนาในประเทศต่างๆ ยงั มีการรวมตวั กนั เป็นองคก์ รต่างๆ เพ่ือสืบทอดและเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ ชมรม สมาคม องค์การ
ชมรม ชมรมเกิดจากการรวบรวมสมาชิก ที่มีความสนใจในแนวเดียวกนั ต้งั ชมรมข้ึน เพ่อื ศึกษาและปฏิบตั ิธรรม ไม่มีการจด ทะเบียน เช่น ชมรมพทุ ธศาสตร์ธรรมศาสตร์ ชมรมพทุ ธศาสตร์จุฬาฯ เป็นตน้ ชมรมพทุ ธศาสตร์ เป็นองคก์ รชาวพุทธที่ต้งั ข้ึนเพ่ือ สืบทอดและเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา
สมาคม สมาคมเป็นองคก์ รชาวพทุ ธท่ี จดทะเบียนเป็นสมาคม มีวตั ถุประสงคเ์ พื่อ ศึกษาและเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา เช่น พทุ ธ สมาคม สมาคมบาลีปกรณ์ เป็นตน้ พทุ ธสมาคมจดั ต้งั ข้ึนเพ่ือศึกษาและเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนา
องค์การ องคก์ รชาวพทุ ธอีกรูปแบบหน่ึง เช่น องคก์ ารพทุ ธศาสนิกสมั พนั ธ์แห่ง โลก เป็นองคก์ ารทางศาสนาพทุ ธระหวา่ งประเทศ เพ่อื ใหต้ วั แทนพระพทุ ธศาสนา จากนิกายและประเทศต่างๆ ไดม้ ีโอกาสมาประชุมปรึกษาหารือการพระศาสนา ร่วมกนั เป็นตน้
การปลูกจิตสานึกในด้านการบารุงรักษาวดั และพทุ ธสถานให้เกดิ ประโยชน์ วดั เป็นศูนยก์ ลางของชุมชนในดา้ น สถาปัตยกรรม จติ รกรรม และ ต่างๆ สมยั ก่อนวดั เป็นศูนยก์ ลางทางการศึกษา ประติมากรรม ไดร้ ับการสร้างสรรคข์ ้ึนดว้ ย เป็นแหล่งกาเนิด รักษา สืบทอด พฒั นา หรือ แรงบนั ดาลใจ เพ่อื แสดงถึงความศรัทธาใน สนบั สนุนศิลปะและดนตรี และเป็นศูนยก์ ลาง พระพทุ ธศาสนา และเป็นสื่อถ่ายทอด ของกิจกรรมท้งั หลายในชุมชน หลกั ธรรม ทาใหเ้ กิดศาสนสถานและศิลปะ แขนงต่างๆ จากวสั ดุและฝีมือช่างที่ดีที่สุด
คุณค่าของวดั และพทุ ธสถาน วดั และพทุ ธสถานมีคุณค่าทาง ศิลปวฒั นธรรม มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ และ เป็นศูนยร์ วมน้าใจของชาวพทุ ธ ทาใหเ้ กิด ความหวงแหนในพระพทุ ธศาสนา เราจึงควรบารุงวดั และพทุ ธสถาน แต่ตอ้ งไม่เกินกาลงั ไม่หลงกบั เปลือกจนลืม แก่นแทข้ องพระพทุ ธศาสนา คือ ศาสนธรรม ชาวพทุ ธที่ดีควรทานุบารุงวดั ซ่ึงเป็นศูนยก์ ลางของ ชุมชน
๖หน่วยการเรียนรู้ที่ วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนพธิ ี วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนพธิ ี มีหลกั ปฏิบตั ิที่เป็น เอกลกั ษณ์และมีวฒั นธรรมไทยเขา้ ไปผสมอยดู่ ว้ ย แมว้ ฒั นธรรมทาง พระพทุ ธศาสนาจะมิใช่แก่นแทข้ องศาสนาเหมือนศาสนธรรม แต่กม็ ีส่วนโอบอุม้ ใหศ้ าสนธรรมเป็นที่ประจกั ษแ์ ก่สายตาของคนทวั่ ไป อนั เป็นส่วนสาคญั ยงิ่ ท่ีทาให้ ผทู้ ่ีพบเห็นนอ้ มนาไปใชใ้ นการประพฤติปฏิบตั ิ เราจึงควรศึกษาเก่ียวกบั การปฏิบตั ิตนในวนั สาคญั และศาสนพิธีทาง พระพทุ ธศาสนา เพ่อื นาไปปฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ งและเหมาะสม ซ่ึงถือเป็ นมรดกท่ีมีค่า ยง่ิ ของชาติใหด้ ารงอยตู่ ลอดไป
๑. ประวตั แิ ละการปฏิบัตติ นในวันสาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา วนั วสิ าขบูชา • วนั วสิ าขบูชา เป็นวนั คลา้ ยวนั ประสูติ วนั ตรัสรู้ และ วนั ปรินิพพานของพระพทุ ธเจา้ • วนั วสิ าขบูชา ตรงกบั วนั เพญ็ เดือน ๖ ของทุกปี • พทุ ธศาสนิกชนทว่ั โลกมีการประกอบพธิ ีกรรมเพ่ือ นอ้ มระลึกถึงสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
การเฉลมิ ฉลองวนั วสิ าขบูชาในประเทศไทย สมยั สุโขทยั มีหลกั ฐานในตานานกล่าวไวว้ า่ “อนั พระนครสุโขทยั ราชธานี ถึงวนั วสิ าขะนกั ขตั ฤกษค์ ร้ังใด กส็ วา่ ง ไสวดว้ ยแสงประทีปเทียน ดว้ ยไมเ้ พลิง และสลา้ งสลอนไปดว้ ยธงชายและธงผา้ ไสวไปดว้ ยพพู่ วงดวงดอกไมก้ รองร้อAยหอ้ ยแขวน หอมตลบไปดว้ ยกล่ินสุคนธรส รวยร่ืน เสนาะสาเนียงเสียงพณิ พาทยฆ์ อ้ งกลองท้งั ทิวาราตรี มหาชนชายหญิงพา กนั มากระทากองกศุ ล เหมือนจะเผยซ่ึงทวารพมิ านฟ้าทุกช่อช้นั ” คากล่าวน้ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ ในสมยั สุโขทยั มีการเฉลิมฉลองวนั วสิ าขบูชา กนั อยา่ งสนุกสนานเอิกเกริก
สมยั อยุธยา ไม่มีหลกั ฐานวา่ ในสมยั อยธุ ยาไดม้ ีการเฉลิมฉลองวนั วสิ าขบูชา กนั อยา่ งไร A
การเฉลมิ ฉลองวนั วสิ าขบูชาในสมยั รัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ี ๑ ไม่ปรากฏชดั เจนวา่ พิธีวิสาขบูชาไดท้ ากนั เป็นแบบแผนอยา่ งไร รัชกาลที่ ๒ ทรงพระราชประสงคท์ ี่จะฟ้ื นฟปู ระเพณีวิสาขบูชา จึงทรงโปรดให้ จดั เป็นพระราชประเพณีใหญ่ติดตอ่ กนั เป็นเวลา ๓ วนั รัชกาลที่ ๓ ทรงจดั ใหม้ ีเทศนป์ ฐมสมโพธิกถาในวนั วสิ าขบูชา ซ่ึงปัจจุบนั น้ียงั คง ใชเ้ ทศนก์ นั อยู่ เน้ือความกลา่ วถึงเร่ืองราวของพระพทุ ธเจา้ ต้งั แต่ประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน รัชกาลที่ ๔ ทรงเกณฑใ์ หพ้ ระบรมวงศานุวงศแ์ ละขา้ ราชการต้งั โตะ๊ เครื่องบูชา รอบระเบียงพระอุโบสถวดั พระแกว้ จนเกิดการเล่นเคร่ืองโตะ๊ ลายครามข้ึนมา รัชกาลท่ี ๕ ทรงโปรดใหพ้ ระบรมวงศานุวงศแ์ ละขา้ ราชการฝ่ ายในเดินเวียนเทียน และสวดมนตท์ ี่พระพทุ ธรัตนสถาน ในรัชกาลต่อๆ มากไ็ ดม้ ีการพระราชพิธีเนื่องในวนั วิสาขบูชาเช่นเดียวกบั ในรัชกาลก่อนๆ
วนั วสิ าขบูชา : วนั สาคญั สากลนานาชาติ • ในการประชุม International Buddhist Conference ณ กรุงโคลมั โบ พ.ศ. ๒๕๔๑ ผแู้ ทนจากประเทศท่ีนบั ถือพระพทุ ธศาสนา ไดต้ กลงกนั ท่ีจะเสนอใหส้ มชั ชา สหประชาชาติรับรองขอ้ มติประกาศใหว้ นั วสิ าขบูชาเป็นวนั หยดุ ของสหประชาชาติ • วนั วสิ าขบูชาไดร้ ับการยอมรับจากสหประชาชาติใหเ้ ป็นวนั สาคญั สากลนานาชาติ (International Day) เน่ืองจากตระหนกั วา่ พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาท่ีเก่าแกท่ ี่สุด ศาสนาหน่ึงของโลก ซ่ึงไดห้ ล่อหลอมจิตวญิ ญาณของมวลมนุษยชาติมาเป็นเวลานาน กวา่ ๒,๕๐๐ ปี ตามแนวทางสนั ติภาพ จึงสมควรไดร้ ับยกยอ่ งกนั ทวั่ โลก • ประเทศไทยไดท้ าหนา้ ท่ีเป็นผจู้ ดั งานเฉลิมฉลองวนั วสิ าขบชู า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗ ณ สานกั งานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยใชช้ ่ืองานวา่ “วนั วสิ าขบูชาวนั สาคญั สากลของสหประชาชาติ”
การปฏิบตั ติ นในวันสาคญั ทางศาสนา เวลาเช้า • พทุ ธศาสนิกชนจะไปทาบุญตกั บาตรที่วดั และฟังธรรม เวลากลางวนั • ร่วมกนั บาเพญ็ สาธารณประโยชน์ เช่น บริจาคโลหิต พฒั นาวดั หรือบริจาคทรัพยเ์ พอ่ื การกศุ ล เป็นตน้ เวลาคา่ • นาดอกไมธ้ ูปเทียนไปที่วดั เพื่อร่วมประกอบพธิ ีเวยี นเทียนรอบ พระอุโบสถ เสร็จแลว้ ทาวตั รสวดมนตฟ์ ังเทศน์
Vesak Day • คาวา่ “วสิ าขะ” เป็นภาษาบาลี แปลวา่ “เดือน ๖” ภาษาสนั สกฤตเรียกวา่ “ไวศาขะ” • วสิ าขบูชา คือ การบูชาในเดือนหก ชาวศรีลงั กา เรียกวา่ “เวสคั ” หรือ “วสี คั ” (Vesak) สหประชาชาติใชค้ าวา่ “Vesak” ตามชาวศรีลงั กา ซ่ึงไดม้ ี การเฉลิมฉลองวนั วสิ าขบูชามานานแลว้ ก่อนประเทศไทย • สาหรับประเทศในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ จะเฉลิมฉลองวนั วสิ าขบูชาใน วนั เพญ็ กลางเดือนหก แต่ในประเทศที่นบั ถือพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน เช่น ญ่ีป่ ุน ไดก้ าหนดใหว้ นั วสิ าขบูชาตรงกบั วนั ที่ ๘ เมษายนของทุกปี และ พระพทุ ธศาสนาบางนิกายในบางประเทศกไ็ ม่ไดก้ าหนดวนั ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระพทุ ธเจา้ เป็นวนั เดียวกนั ดว้ ย
การปฏบิ ตั ิตนในวนั วสิ าขบูชา • นาดอกไม้ ธูปเทียนไปบูชาตามวดั รอบแรก นึกถึง พระพุทธคุณ และร่วมกนั กล่าวคาบูชาพระตาม รอบสอง นึกถึง พระธรรมคุณ ผนู้ า เม่ือจบคาบูชาพระแลว้ กเ็ ดิน รอบสาม นึกถึง พระสงั ฆคุณ เวยี นขวาประทกั ษิณพระสถปู หรือ พระปฏิมา ๓ รอบ เรียกวา่ “เดินเวยี นเทียน” • ฟังพระสวดมนตแ์ ละฟังเทศน์ใน พระอุโบสถ เร่ืองที่พระเทศน์จะ เป็นเร่ืองเกี่ยวกบั ประวตั ิของ พระพทุ ธเจา้
ประเพณที น่ี ิยมปฏิบตั ใิ นวนั วสิ าขบูชา
วนั ธรรมสวนะและเทศกาลสาคญั บางคร้ังเรียกวนั พระเป็น ๒ อยา่ ง คือ วนั ธรรมสวนะ • วนั พระเลก็ ไดแ้ ก่ วนั ข้ึนและ วนั ธรรมสวนะ หมายถึง วนั กาหนด วนั แรม ๘ ค่า ประชุมฟังธรรม หรือเรียกวา่ “วนั พระ” ซ่ึงกาหนดไวเ้ ดือนละ ๔ วนั ไดแ้ ก่ • วนั พระใหญ่ ไดแ้ ก่ วนั ข้ึน ๑๕ ค่า • วนั ข้ึน ๘ ค่า และวนั แรม ๑๔ ค่า (ในเดือนขาด) • วนั ข้ึน ๑๕ ค่า หรือ ๑๕ ค่า (ในเดือนเตม็ ) • วนั แรม ๘ ค่า • วนั แรม ๑๔ ค่า หรือ ๑๕ ค่า
การปฏิบตั ใิ นวนั ธรรมสวนะ
หลกั ทคี่ วรปฏบิ ัตใิ นการฟังธรรม
ผลของการฟังธรรม
วนั เข้าพรรษา • วนั เขา้ พรรษา คือ วนั ที่พระสงฆอ์ ธิษฐานวา่ จะอยปู่ ระจาในอาวาสตลอด ๓ เดือน โดยไม่ไปแรมคืนในที่อ่ืน ตรงกบั วนั แรม ๑ ค่า เดือน ๘ คือ วนั ถดั จากวนั อาสาฬหบูชา ถา้ ปี ใดมีอธิกมาสกเ็ ล่ือนเป็นวนั แรม ๑ ค่า เดือน ๘ หลงั • พทุ ธศาสนิกชนชาวไทยไดเ้ ริ่มบาเพญ็ กศุ ลเนื่องในเทศกาลเขา้ พรรษามาต้งั แต่ สมยั สุโขทยั ดงั ขอ้ ความในศิลาจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชวา่ “พอ่ ขนุ รามคาแหงเจา้ เมืองสุโขทยั น้ี ท้งั ชาวแม่ชาวเจา้ ท้งั ท่วยปั่วท่วยนาง ลูก เจา้ ลูกขนุ ท้งั สิ้นท้งั หลายท้งั หญิงท้งั ชาย ฝงู ท่วยมีศรัทธาในพทุ ธศาสน์ มกั ทรงศีลเม่ือ พรรษาทุกคน”
กจิ สาคญั ทพ่ี ทุ ธศาสนิกชนบาเพญ็ ในวนั เข้าพรรษา
ประเพณแี ห่เทยี นพรรษา • ประเพณีแห่เทียนพรรษาเกิดจากความจาเป็นท่ีใน สมยั ก่อนยงั ไม่มีไฟฟ้าใช้ เมื่อพระสงฆม์ าจาพรรษา รวมกนั มากๆ กจ็ าเป็นตอ้ งปฏิบตั ิสมณกิจ เช่น ทาวตั ร สวดมนตต์ อนเชา้ มืดและตอนพลบค่า ศึกษาพระปริยตั ิ ธรรม ซ่ึงเป็นกิจกรรมท่ีตอ้ งการแสงสวา่ ง โดยเฉพาะ เทียนที่พระสงฆจ์ ุดบูชาพระรัตนตรัยตอ้ งสวา่ ง • พทุ ธศาสนิกชนจึงนิยมหล่อเทียนตน้ ใหญ่ไปถวาย พระภิกษุในวดั ใกลๆ้ บา้ นเป็นพทุ ธบูชา เพ่ือให้ สามารถจุดอยไู่ ดต้ ลอดเวลา ๓ เดือน เทียนดงั กล่าว เรียกวา่ “เทียนจานาพรรษา” โดยมีขบวนแห่กนั อยา่ ง สนุกสนาน เรียกวา่ “ประเพณีแห่เทียนจานาพรรษา”
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274