Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนา ม.3

พระพุทธศาสนา ม.3

Published by sunisa.sombunma, 2020-05-02 10:15:41

Description: พระพุทธศาสนา ม.3

Search

Read the Text Version

วธิ ีกาหนดลมหายใจตามหลกั อานาปานสติ 11 22 33 44 55 11 22 33 44 55 66 ๑. ใหน้ บั ลมหายใจเขา้ ออก การนบั อาจ 11 22 33 44 55 66 77 ทาเป็นข้นั ตอนตามลาดบั คือ นบั เป็น 11 22 33 44 55 66 77 88 คู่ๆ ไป เช่น หายใจเขา้ นบั ๑ หายใจ 11 22 33 44 55 66 77 88 99 ออกนบั ๑ โดยกาหนดเป็นชุดๆ 11 22 33 44 55 66 77 88 99 10 10 ๒. ใหก้ าหนดเฉยๆ ไม่ตอ้ งนบั เช่น เวลาหายใจเขา้ หายใจออก ไม่วา่ ยาวหรือส้นั ใหก้ าหนดรู้วา่ หายใจเขา้ หายใจออกยาวหรือส้นั ๓. ใหส้ งั เกตอาการพองและยบุ ของทอ้ ง ขณะหายใจเขา้ หายใจออก และภาวนาในใจวา่ “ยบุ หนอพองหนอ” ๔. ใหภ้ าวนาในใจวา่ “พทุ -โธ” ขณะหายใจเขา้ ออก คือ ขณะหายใจเขา้ ภาวนาวา่ “พทุ ” ขณะหายใจออกภาวนาวา่ “โธ” หรือหายใจเขา้ วา่ “พทุ โธ” หายใจออกวา่ “พทุ โธ”

๓. การเจริญปัญญาโดยการคิดแบบโยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการ คือ การศึกษาที่เกิดจากมนุษยร์ ู้จกั คิดวเิ คราะห์ วจิ ารณ์อยา่ ง รอบคอบรอบดา้ น ทาใหเ้ กิดปัญญาแตกฉาน การคิดแบบโยนิโสมนสิการมี ๑๐ วธิ ี คือ

คดิ แบบสืบสาวเหตุปัจจัย พระพทุ ธองคส์ อนใหม้ องวา่ ปรากฏการณ์บางอยา่ งท่ีเกิดข้ึนมิใช่เกิดเพราะเหตุเพียง อยา่ งเดียว ดูใหด้ ีแลว้ จะเห็นวา่ ปัจจยั หรือเง่ือนไขอ่ืนๆ กม็ ีส่วนดว้ ย เช่น “ถา้ ถามวา่ ตน้ ไมเ้ จริญเติบโตเพราะอะไร ถา้ ตอบวา่ ตน้ ไมต้ น้ น้ีเจริญเติบโตกเ็ พราะ เมลด็ ตน้ ไมต้ น้ น้ีมาจากเมลด็ เพราะฉะน้นั เมลด็ จึงเป็นสาเหตุทาใหม้ ีตน้ ไมต้ น้ น้ี ตอบ แบบน้ีกถ็ ูก แต่ถูกส่วนเดียว ถา้ จะใหถ้ ูกครบถว้ นตอ้ งตอบวา่ เมลด็ เป็นเพียงเง่ือนไขหน่ึง แต่ยงั มีปัจจยั อื่นอีกที่ช่วยใหต้ น้ ไมต้ น้ น้ีเจริญงอกงามได้ เช่น ดิน ป๋ ุย น้า อุณหภูมิ การดูแล เอาใจใส่ของคน เป็นตน้ ”

นิทานชาดก คนเล้ียงลิงสง่ั ใหห้ วั หนา้ ลิงพาลิงบริวารรดน้าตน้ ไมท้ ่ีตนพ่งึ ปลูกใหม่ใหด้ ว้ ยขณะที่ ตนไม่อยู่ หวั หนา้ ลิงจึงพาบริวารรดน้าตน้ ไมท้ ุกวนั โดยสง่ั ใหถ้ อนตน้ ไมน้ ้นั ข้ึนมาดูหลงั จาก รดน้าลงไปวา่ รากชุ่มน้าหรือยงั ถา้ ยงั กใ็ หใ้ ส่ลงในดินใหม่แลว้ รดน้าซ้า ลิงท้งั หลายกถ็ อน-ใส่ ถอน-ใส่ อยา่ งน้ีทุกคร้ังท่ีรดน้าตน้ ไม้ เมื่อเจา้ ของกลบั มา หวั หนา้ ลิงไปรายงานวา่ ไดท้ าตามท่ี นายสงั่ ทุกประการ เจา้ ของเดินไปดูสวนเห็นแลว้ แทบเป็นลม เพราะตน้ ไมท้ ี่พ่ึงปลูกใหม่ๆ เฉาตายหมด หวั หนา้ ลิงและบริวารลิงน้นั คิดต้ืนๆ โดยไม่คิดวา่ ยงั มีวธิ ีอ่ืนท่ีจะมน่ั ใจไดโ้ ดยไม่ ตอ้ งถอนตน้ ไม้ เช่น ประมาณเอาจากปริมาณน้าท่ีเทรดลงไปแต่ละคร้ัง เป็นตน้

คดิ แบบอริยสัจหรือแบบแก้ปัญหา อริยสัจ คือ หลกั คาสอนท่ีสอนใหร้ ู้วา่ สภาพปัญหาคืออะไร สาเหตุของปัญหาอยทู่ ่ีไหน อะไรบา้ ง ปัญหาน้ีมีทางแกห้ รือไม่ ถา้ มีมีกี่วิธี และวิธีไหนดีท่ีสุด การ แกป้ ัญหาจะตอ้ งรู้สภาพปัญหา รู้สาเหตุของปัญหา รู้วา่ ปัญหาต่างๆ น้นั หมดไปได้ และตอ้ งลง มือทาหรือแกป้ ัญหาน้นั อยา่ งต่อเนื่อง เช่น

๔. การนาวธิ ีการบริหารจิตและเจริญปัญญาไปใช้ในชีวติ ประจาวัน การนาวธิ ีการบริหารจิตมาใช้ในชีวติ ประจาวนั การฝึกจิตใจใหม้ ีสมาธิเป็นส่ิงจาเป็นที่ตอ้ งมีในการทากิจการทุกอยา่ งของชีวติ ไม่วา่ จะเป็นการเล่าเรียนหรือการทางาน เช่น • นกั เรียนจะอ่านหนงั สือกต็ อ้ งมีสมาธิในการอ่าน ไม่เช่นน้นั กอ็ ่านหนงั สือไม่ รู้เรื่อง ตาอยทู่ ี่ตวั หนงั สือแต่ใจไปอยทู่ ่ีอื่น • นกั เรียนจะฟังครูสอนกต็ อ้ งมีสมาธิในการฟังไม่เช่นน้นั กจ็ ะไดย้ นิ แต่เสียง ครูกระทบหูแลว้ กผ็ า่ นไป ใจไม่รับรู้วา่ ครูพดู วา่ อะไร กไ็ ม่เขา้ ใจสิ่งท่ีครูสอน ดงั น้นั เมื่อจะอ่านหนงั สือใจกต็ อ้ งอ่านไปดว้ ย เม่ือจะฟังครูสอนใจกต็ อ้ งฟังไป ดว้ ย หรือเมื่อจะทางานใดที่ไดร้ ับมอบหมายใจกต็ อ้ งทาไปดว้ ย น้นั กค็ ือ ใจตอ้ งมีสมาธิ

การนาวธิ ีการเจริญปัญญาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั จิตที่มีความสงบมีสติ มีสมาธิ จะรู้จกั พิจารณาส่ิงต่างๆ ตามความเป็นจริงอยา่ ง มีเหตุผล รู้เท่าทนั โลกและชีวติ สามารถใชป้ ัญญาแกไ้ ขปัญหาได้ เช่น ในการฝึกสร้างสมาธิในการอ่านหนงั สือ จะเห็นวา่ จิตของผฝู้ ึกจะสงบแลว้ กไ็ ม่ สงบ แลว้ กก็ ลบั มาสงบอีกสลบั กนั ไป จึงเป็นโอกาสที่จะฝึกเจริญปัญญาได้ คือ ปัญญา จะทาใหเ้ ราเริ่มมองเห็นความจริงเกี่ยวกบั ความเป็นไปของจิตหรือของสิ่งท้งั หลายใน โลก ถา้ เรารู้จกั นามาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั จะช่วยใหเ้ ราเขา้ ใจโลกและชีวติ เขา้ ใจ ความรู้สึก อารมณ์ และการกระทาท้งั ของตนเองและผอู้ ื่นได้

การน่ังสมาธิตามแนววปิ ัสสนากรรมฐาน การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการ การน่ังสมาธิแบบ เพียรในการใชส้ ติสมั ปชญั ญะกาหนด วปิ ัสสนา ควรนง่ั ในท่าที่ ส่ิงท่ีเกิดข้ึนทางกายและใจ เพ่ือใหเ้ กิด เหมาะสมกบั ตนเอง คือ นง่ั ท่าใดท่าหน่ึงท่ีสบาย การหยง่ั รู้อยา่ งแจ่มแจง้ แก่ตน

หลกั ในการปฏิบตั วิ ปิ ัสสนา ผปู้ ฏิบตั ิจะตอ้ งพยายามทาจิตของตนใหส้ งบนิ่ง โดยมีสติเป็นตวั กาหนด “รู้” ถึงส่ิงที่เกิดข้ึนทางกายและใจ ตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ดงั น้ี

๘หน่วยการเรียนรู้ที่ พระพุทธศาสนากบั การแก้ปัญหาและการพฒั นา พระพทุ ธศาสนามีหลกั ธรรมคาสอนท่ีสามารถนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการ แกป้ ัญหาและพฒั นาตนเอง สงั คมและประเทศชาติ ซ่ึงในบทเรียนน้ีจะกล่าวถึง พระพทุ ธศาสนากบั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื โดยปฏิบตั ิตามทางสายกลาง เน่ืองจากในปัจจุบนั สภาพสงั คมและเศรษฐกิจไดเ้ ปล่ียนแปลงไปอยา่ ง รวดเร็ว มีการพฒั นาในหลายๆ ดา้ น ซ่ึงมีผลต่อการดารงชีวติ ของคนไทย พระพทุ ธศาสนาจึงมีส่วนในการช่วยแกป้ ัญหาและเกิดการพฒั นาตาม หลกั ธรรมท่ีสอดคลอ้ งกบั การดารงชีวติ ของทุกคนในปัจจุบนั

๑. พระพุทธศาสนากบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพยี ง คือ เศรษฐกิจที่เล้ียงตวั เองไดพ้ ่งึ พาตนเองได้ ในสมยั โบราณ เราอยแู่ บบพอเพียง ในแต่ละครอครัวปลูกขา้ วกินเอง จบั ปลาและเล้ียงสตั วก์ ินเอง ทอผา้ เอง สานตะกร้าและภาชนะอื่นๆ เอง ถึงแมจ้ ะไม่ติดต่อแลกเปล่ียนสิ่งของกบั คนภายนอกกย็ งั พอ อยไู่ ด้ แต่ปัจจุบนั เราอยใู่ นโลกท่ามกลางกระแส “โลกาภิวตั น์” คือ เราผลิตของเพอ่ื ขาย เม่ือไดเ้ งินมากน็ าเงินน้นั ไปซ้ือส่ิงของท่ีคนอ่ืนผลิต การที่จะไดส้ ่ิงจาเป็น รวมท้งั ส่ิงฟ่ มุ เฟื อย มากินมาใชต้ อ้ งพ่งึ พาผอู้ ื่น แต่เศรษฐกิจพอเพยี งมีการพ่งึ ตนเองมากท่ีสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากผลิตมากจนเหลือกินเหลือใชก้ น็ าไปขาย

ลกั ษณะของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง “รู้จกั พอ” คือ รู้วา่ แค่ ไหนพอดี พอเหมาะ และพอเพียงสาหรับตนเอง ปัญหาทาง เศรษฐกิจน้นั เกิดข้ึนเม่ือเราไม่ไดก้ ิน ไม่ไดอ้ ยตู่ ามท่ีเราอยาก การรู้จกั พอ รู้จกั ยบั ย้งั ความอยาก เป็นทAางหน่ึงท่ีทาใหป้ ัญหา ทางเศรษฐกิจเบาบางลง ทางแกท้ างหน่ึง คือ ไม่ตอ้ งลดความอยาก แต่ พยายามดิ้นรนหาส่ิงของมาสนองความอยาก อยา่ งน้ีเรียกวา่ อยอู่ ยา่ งไม่รู้จกั พอหรือไม่รู้จกั พอเพยี ง

ลกั ษณะพง่ึ ตนเอง เศรษฐกิจพอเพยี ง คือ เศรษฐกิจท่ีเล้ียงตวั เองไดห้ รือพ่ึง ตวั เองได้ โดยผลิตเพือ่ พอกินพอใช้ ในครัวเรือนหรือในชุมชน ที่เหลือ กเ็ อาออกขายหรือแลกเปล่ียนกบั สินคา้ อยา่ งอ่ืนท่ีตนผลิตไม่ได้

ลกั ษณะการเดนิ สายกลาง เศรษฐกิจพอเพยี งน้นั เดินสาย กลาง คือ ความพอประมาณเป็นสาคญั ความเป็นอยทู่ างเศรษฐกิจน้นั เป็นส่ิง สาคญั และเป็นความจาเป็นพ้นื ฐาน แต่ชีวติ จะตอ้ งมีสมดุล มีส่ิงต่างๆ อีกหลายอยา่ งที่มีค่าไม่นอ้ ยกวา่ การ บริโภค เช่น ความสงบสุข ศิลปะ กีฬา เป็นตน้

ไม่เน้นการแข่งขนั เศรษฐศาสตร์กระแสหลกั เป็นการ ผลิตและการบริโภคทางวตั ถุ แต่เศรษฐกิจ พอเพยี งจะเนน้ การแข่งขนั กบั ตนเอง เพื่อใหช้ ีวติ เกิดความมน่ั คง โดยการใช้ ทรัพยากรท่ีมีอยใู่ หเ้ กิดประโยชน์ ไม่ ฟ่ มุ เฟื อย พ่ึงพาตนเองมากกวา่ ที่จะพ่ึงพา วตั ถุอยา่ งอื่น รวมถึงการเดินสายกลางดว้ ย ดงั น้นั การร่วมมือกนั จะช่วยใหค้ น ในชุมชนสามารถพ่งึ ตนเองและเดินสาย กลางได้

๒. พระพุทธศาสนากบั การพฒั นาทยี่ งั่ ยืน ความหมายของการพฒั นาท่ยี งั่ ยืน การพฒั นาทย่ี ่งั ยืน หมายถึง การตอบสนองความตอ้ งการของคนรุ่นปัจจุบนั โดยไม่มีผลกระทบในทางลบต่อความตอ้ งการของคนรุ่นต่อไปในอนาคต เป็นการ พฒั นาที่ดาเนินไปไดโ้ ดยตลอด การพฒั นาน้นั ตอ้ งใชห้ รือทาลายทรัพยากรที่มีอยู่ ถา้ เราซ่ึงเป็นคนรุ่นปัจจุบนั ไม่ดูแลทรัพยากรท่ีมีอยกู่ จ็ ะร่อยหรอหมดไป ทรัพยากรที่ใชไ้ ปแลว้ อาจเส่ือมโทรมลง จนฟ้ื นฟไู ม่ได้ การพฒั นากต็ อ้ งยตุ ิลง แต่ถา้ เราดูแลรักษาทรัพยากรใหเ้ หมาะสม การ พฒั นากส็ ามารถดาเนินไปไดต้ ลอด การพฒั นาอยา่ งน้ีเราเรียกวา่ “การพฒั นาท่ียงั่ ยนื ”

หลกั ธรรมท่สี อดคล้องกบั การพฒั นาที่ยงั่ ยืน การพฒั นาที่ยงั่ ยนื ตามแนวทางของพระพทุ ธศาสนา เป็นการพฒั นามนุษย์ เป็นหลกั ท่ีทาใหม้ นุษยร์ ู้จกั ส่ิงต่างๆ และสามารถปฏิบตั ิต่อส่ิงน้นั ไดอ้ ยา่ งไร โดย หลกั ธรรมที่มีความสอดคลอ้ งกบั การพฒั นาท่ียงั่ ยนื ไดแ้ ก่ ไตรสิกขา อริยสัจ ๔ ทฏิ ฐธัมมกิ ตั ถ ประโยชน์ ๔

ไตรสิกขา ไตรสิกขาเป็นหลกั ในการพฒั นาชีวติ โดยพฒั นาในดา้ นศีล สมาธิ ปัญญา ซ่ึงไตรสิกขาเป็นขอ้ ปฏิบตั ิที่ควรศึกษา ๓ ประการ ศีล เป็นการพฒั นาดา้ นพฤติกรรมหรือวธิ ีการใชช้ ีวติ เพื่อพฒั นาใหค้ นมีวนิ ยั ในตนเอง มีระเบียบ ปฏิบตั ิตนตามศีล เป็นการจดั ระเบียบของชีวิต สมาธิ เป็นการพฒั นาดา้ นจิตใจ เพื่อใหเ้ รามีจิตใจที่มน่ั คง เขม้ แขง็ และมีความสุข เพราะเมื่อสมาธิเกิด ปัญญากจ็ ะเกิดข้ึน ทาใหเ้ รามีสติในการคิดพิจารณาสิ่งต่างๆ ปัญญา เป็นการพฒั นาดา้ นปัญญา เพื่อใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจตา่ งๆ รวมท้งั การ ฝึกฝนหรือพฒั นาดา้ นความรู้ ความเขา้ ใจ โดยมีการวนิ ิจฉยั ไตร่ตรองโดยใชเ้ หตผุ ล

อริยสัจ ๔ อริยสจั ๔ คือ ความจริงอนั ประเสริฐ ๔ ประการ ทุกข์ คือ ความจริงวา่ ดว้ ยความทุกข์ สมุทยั คือ ความจริงที่วา่ ดว้ ยเหตุแห่งความทุกข์ นิโรธ คือ ความจริงที่วา่ ดว้ ยการดบั ทุกข์ มรรค คือ ความจริงที่วา่ ดว้ ยวถิ ีทางแห่งการดบั ทุกข์

ทางทจ่ี ะดบั ทุกข์ มรรค ๘ สัมมาทฏิ ฐิ คือ การเห็นชอบ สัมมาสังกปั ปะ คือ การดาริชอบ สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ สัมมากมั มนั ตะ คือ การกระทาชอบ สัมมาอาชีวะ คือ การเล้ียงชีพชอบ สัมมาวายามะ คือ การพยายามชอบ สัมมาสติ คือ การระลึกชอบ สัมมาสมาธิ คือ การต้งั จิตมน่ั ชอบ

อทิ ธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ เป็นหลกั ธรรมเพื่อให้เกิดความสาเร็จตามท่ีตนประสงค์ไว้ มี ๔ ประการ ดงั นี ้ ฉันทะ • ความพงึ พอใจ วริ ิยะ • ความพากเพียร จิตตะ • ความมีใจฝักใฝ่ วมิ งั สา • ความมีเหตุผล

ทฏิ ฐธัมมกิ ตั ถประโยชน์ ๔ ทิฏฐธมั มิกตั ถประโยชน์ ๔ คือ ประโยชนอ์ นั พึงไดร้ ับจากการประกอบกิจการ หรือมีอาชีพท่ีสุจริต ถูกตอ้ งตามกฎหมายและศีลธรรม การท่ีบุคคลใดบุคคลหน่ึงจะสามารถ ไดม้ าซ่ึงประโยชนน์ ้นั จะตอ้ งแสวงหาอยา่ งมีหลกั การและมีแผนการ เรียกวา่ ธรรมที่เป็นไป เพื่อใหไ้ ดม้ าซ่ึงประโยชน์ในปัจจุบนั ซ่ึงมีอยู่ ๔ ประการ ดงั น้ี ทฏิ ฐธัมมิกตั ถ อุฏฐานสัมปทา คือ ความขยนั หมนั่ เพยี ร ประโยชน์ ๔ อารักขสัมปทา คือ การรู้จกั รักษาทรัพยแ์ ละประหยดั กลั ยาณมติ ตตา คือ การคบคนดีเป็นมิตร สมชีวติ า คือ การเล้ียงชีพตามสมควรแก่กาลงั ทรัพยท์ ี่หาได้

๓. พทุ ธธรรมกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ความสาคญั ของพทุ ธธรรมกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง แนวความคิดของเศรษฐกิจพอเพียงสอดคลอ้ งกบั หลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนา ดงั น้ี • พทุ ธธรรมสอนใหพ้ ่ึงตวั เองใหม้ ากที่สุด ไม่พ่งึ ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิใดๆ • พระพทุ ธศาสนาสอนใหเ้ ราเดินทางสายกลาง และเรียกหลกั น้ีวา่ “มชั ฌิมาปฏิปทา” • พระพทุ ธศาสนามิไดป้ ฏิเสธความมงั่ คงั่ หากไดม้ าจากการไม่เบียดเบียนตนเองและผอู้ ่ืน • พระพทุ ธศาสนาไม่ไดเ้ ชิดชูความยากจน แต่การที่จะพน้ จากความจนตอ้ งเป็นไปโดยชอบ • พระพทุ ธศาสนาสอนเรื่องสนั โดษ คือ ยนิ ดีในส่ิงที่ตนหาไดแ้ ละเป็นคนอยา่ งชอบธรรม • พระพทุ ธศาสนาสอนใหค้ นแข่งขนั กนั ในเร่ืองของการทาความดี มีความเอ้ือเฟ้ื อต่อผอู้ ื่น • พระพทุ ธศาสนาสอนใหร้ ะงบั และลดความโลภเพื่อความเป็นศตั รูในหมู่มนุษยจ์ ะไดน้ อ้ ยลง

หลกั ธรรมท่ีสอดคล้องกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ความสนั โดษ คือ การรู้จกั ยบั ย้งั ความปรารถนาของตนใหอ้ ยใู่ นขอบเขต ที่เหมาะสม พระราชวรมุนี (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) ไดใ้ หค้ าจากดั ความของสนั โดษไวว้ า่ “ความ เอิบอิ่มพงึ พอใจในผลสาเร็จท่ีไดส้ ร้างข้ึน หรือในปัจจยั ลาภที่แสวงหามาไดด้ ว้ ยเร่ียวแรง ความเพยี รพยายามของตนเองโดยทางชอบธรรม” ความสนั โดษมิไดห้ มายถึงการอยเู่ ฉย ไม่ขวนขวาย ไม่กระตือรือร้นที่จะสร้าง ชีวติ ใหก้ า้ วหนา้ ข้ึนไปเรื่อยๆ แต่หมายถึงความยนิ ดีในส่ิงที่ตนมีอยแู่ ละไม่ดิ้นรนเกินไป เพื่อแสวงหาสิ่งต่างๆ โดยถูกตอ้ งตามทานองคลองธรรม

สันโดษ ๓ ยถาลาภสันโดษ • ความยนิ ดีตามท่ีไดม้ า ยถาพลสันโดษ โดยชอบธรรม ยถาสารุปปสันโดษ • ความยนิ ดีตามกาลงั ที่ตนมีอยู่ • ความยนิ ดีตามสมควร แก่ภาวะความเป็ นอยู่ ของตน

คุณค่าของความสันโดษ ความสันโดษ คนสันโดษ คนสันโดษ • เป็นจุดเร่ิมตน้ ให้ • เป็นคนท่ีรู้จกั ยบั ย้งั • มกั จะเอ้ือเฟ้ื อเห็นฃ คนเราทาประโยชน์ ความอยากและ อกเห็นใจเพื่อน ใหแ้ ก่เพื่อนมนุษย์ แสวงหาสิ่งต่างๆ มนุษย์ ความสันโดษ มาใหต้ นเองใน จึงเป็ นคุณธรรมที่มี ขอบเขตท่ีเหมาะสม คุณค่าท้งั แก่ตวั เอง และสังคม

การพฒั นาความสันโดษ เริ่มจากการใชเ้ หตุผลพิจารณาความเป็นจริงของชีวติ วา่ มนุษยไ์ ม่สามารถสนองความอยากของตนไดเ้ สมอไป พยายามหาความสุขประเภทที่ไม่ข้ึนอยกู่ บั วตั ถุส่ิงของ เช่น การอ่านหนงั สือ การสนทนา การฟังดนตรี เป็นตน้ พยายามฝึกฝนใหม้ ีความพอใจกบั ตนเอง มากกวา่ ท่ีจะ พอใจกบั สิ่งท่ีอยนู่ อกกาย เช่น เล่นกีฬา วาดรูป เล่นดนตรี เป็นตน้

ความมกั น้อย ความมกั นอ้ ย มีศพั ทท์ างพระพทุ ธศาสนาคาหน่ึง คือ “อปั ปิ จฉตา” แปลวา่ ความ ตอ้ งการนอ้ ยหรือความมกั นอ้ ย ธรรมขอ้ น้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิใหพ้ ระภิกษุสงฆย์ ดึ ถือ พระสงฆจ์ าตอ้ ง “มกั นอ้ ย” มิฉะน้นั จะไม่มีเวลาศึกษาพระธรรมคาสอนและเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา คฤหสั ถไ์ ม่จาเป็นตอ้ งมกั นอ้ ย คนทว่ั ไปสามารถแสวงหาเงิน แสวงหาเกียรติได้ หากไดม้ าโดยวธิ ีการท่ีชอบ พระพทุ ธศาสนามิไดส้ อนใหค้ นทว่ั ไป “มกั นอ้ ย” และกม็ ิไดส้ อนให้ “มกั มาก” จนตอ้ งทุจริต หรือทาเกินวสิ ยั ของตน แต่สอนใหอ้ ยากไดใ้ นสิ่งท่ีควรได้ คือ สนั โดษนน่ั เอง

๙หน่วยการเรียนรู้ท่ี ศาสนากบั การอยู่ร่วมกนั ในประเทศไทย ศาสนาทุกศาสนาลว้ นมีความสาคญั ต่อการอยรู่ ่วมกนั ในสงั คม ซ่ึงแมจ้ ะต่างศาสนากนั แต่กไ็ ม่ไดท้ าใหเ้ กิดปัญหาในการอยรู่ ่วมกนั ต่างคน ต่างมีวถิ ีการดาเนินชีวติ ที่แตกต่างกนั ออกไปตามแต่ละศาสนา การเรียนรู้ศาสนาอื่นทาใหเ้ ราเขา้ ใจและสามารถปฏิบตั ิตนได้ อยา่ งเหมาะสมต่อศาสนิกชนอ่ืน ถึงแมว้ า่ คนไทยจะนบั ถือศาสนาที่แตกต่าง กนั แต่กส็ ามารถอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมไดอ้ ยา่ งสนั ติสุข เพราะต่างกย็ ดึ มนั่ ใน หลกั ธรรมคาสอนของศาสนาที่ตนนบั ถือ

๑. วถิ กี ารดาเนินชีวติ ของพุทธศาสนิกชน พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รัสไวว้ า่ “บุคคลผใู้ ฝ่ประโยชน์ ควรศึกษาบุญ เพราะบุญจะ เอ้ืออานวยใหเ้ กิดความสุขข้ึนในโลก ทาใหโ้ ลกปราศจากการเบียดเบียน การศึกษาบุญ จึงเป็นหลกั ที่พทุ ธศาสนิกชนยดึ ถือเป็นวถิ ีการดาเนินชีวติ ” การศึกษาบุญ หรือ “ปุญญสิกขา” หมายถึง การฝึกฝน ฝึกหดั การหมนั่ ทาความดี ใหเ้ จริญงอกงามในจิตใจ มี ๓ ประการ คือ ทาน ศีล และภาวนา ซ่ึงเป็นเรื่องของการ ปฏิบตั ิ เรียกวา่ “บุญกิริยาวตั ถุ ๓” บุญ แปลวา่ ความดี กริ ิยา แปลวา่ การ วตั ถุ แปลวา่ ท่ีต้งั กระทา หรือหลกั

การทาบุญด้วยการให้ทาน ทาน หมายถึง การเอ้ือเฟ้ื อเผอ่ื แผแ่ บ่งปันกนั ความต้งั ใจที่จะสละหรือบริจาค การมีเจตนาที่จะไม่เบียดเบียน การต้งั ใจจะบริจาคส่ิงของใหผ้ อู้ ื่นเพ่อื ช่วยเหลือเผอื่ แผก่ นั แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ อามิสทาน เป็นการใหส้ ิ่งของ คือ ปัจจยั ๔ ไดแ้ ก่ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยอู่ าศยั และ ยารักษาโรค การใหท้ านน้ีอาจใหเ้ จาะจงตวั บุคคลใดบุคคลหน่ึง หรือไม่เจาะจงกไ็ ด้ ธรรมทาน เป็นการใหค้ วามรู้ ใหค้ าสงั่ สอนแนะนาเก่ียวกบั ธรรมะ หรือการตกั เตือนให้ ประพฤติดีประพฤติชอบ ใหร้ ู้จกั บาปบุญคุณโทษ การใหธ้ รรมถือวา่ เป็นทานท่ีสูงกวา่ การใหส้ ่ิงของ

การต้ังม่ันและรักษาศีล ศีล หมายถึง การประพฤติแต่ส่ิงท่ีดีงาม ไม่เบียดเบียนหรือทาใหผ้ อู้ ่ืนเดือดร้อน ศีลเป็นความดีท่ีสูงกวา่ ทานข้ึนมาข้นั หน่ึง ศีล ถือวา่ เป็นพ้ืนฐานหรือหลกั การในการอยรู่ ่วมกนั กบั ผอู้ ื่นในสงั คมดว้ ยความ สงบสุข เพราะศีลคือการต้งั ใจละเวน้ จากการทาชว่ั และไม่เบียดเบียนกนั คนท่ีจะมีศีล ตอ้ งเป็นคนที่มีหิริโอตปั ปะ คือ ความละอายและความเกรงกลวั ต่อบาป

พทุ ธศาสนิกชนต้องพยายามรักษาศีล ๕ ให้ได้เป็ นอย่างน้อย

ศีล ๕ คู่กบั เบญจธรรม

การเจริญสตภิ าวนา ภาวนา หมายถึง การฝึกอบรมจิตบริสุทธ์ิจากกิเลส และปฏิบตั ิขา้ งใน แบ่งเป็น 2 อยา่ ง คือ ๑. การฝึ กอบรมจิต ๒. การฝึ กอบรมจติ ใหใ้ ชป้ ัญญาพิจารณาสิ่งต่างๆ ใหต้ ้งั มนั่ ทาใหเ้ กิด ตามความเป็นจริง เพือ่ ใหเ้ กิดความรู้ความเห็นที่ ความสงบ เรียกวา่ ถูกตอ้ ง ไม่หลงติดตกเป็นทาสอยใู่ นอานาจของความ “จิตภาวนา หรือ เปลี่ยนแปลงจนกระทงั่ หลุดพน้ จากกิเลสและความ สมาธิ” ทุกข์ เรียกวา่ “ปัญญาภาวนาหรือวปิ ัสสนา”

การภาวนาในชีวติ ประจาวนั การไหว้พระสวดมนต์ เป็นการภาวนาข้นั พ้นื ฐาน เป็นการฝึกจิตใหส้ งบ กิเลสเบาบางลง ช่วยให้ จิตใจปลอดโปร่ง นอนหลบั สบาย การแผ่เมตตา เป็นการคิดปรารถนาใหผ้ อู้ ื่นเป็นสุข ใหอ้ ภยั ไม่ถือโทษกนั เป็นอภยั ทาน

ประโยชน์ของการภาวนา ส่งเสริมสุขภาพจิต ทาใหจ้ ิตใจผอ่ งใส มน่ั คง รู้จกั จิตใจของตวั เองดีข้ึน ช่วยในการทางานใหด้ ีข้ึน เพราะมีสมาธิ ทาให้ งานสาเร็จไปไดด้ ว้ ยดี ช่วยใหห้ ลุดพน้ จากกิเลสตณั หา ซ่ึงหมายถึง ความอยากเกินพอดี ความทะเยอทะยาน อนั ไม่รู้จบ

การทาบุญในวนั พระหรือวนั สาคญั ทางประเพณี เม่ือถึงวนั พระ วนั สาคญั ทางศาสนา หรือวนั สาคญั ทางประเพณี ชาวพทุ ธ นิยมทาบุญพร้อมกนั ๓ ดา้ น คือ ทาน ศีล ภาวนา ดว้ ยการตกั บาตรถวายอาหาร รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม นง่ั สมาธิ เวยี นเทียน หรือปฏิบตั ิธรรมเป็นโอกาสพิเศษในช่วงเวลาส้นั ๆ เช่น ๓-๗ วนั เป็นตน้

โอวาทปาฏิโมกข์ วธิ ีการดาเนินชีวติ ของพทุ ธศาสนิกชนสอดคลอ้ งกบั หลกั การท่ีเป็นหวั ใจของ พระพทุ ธศาสนา คือ โอวาทปาฏิโมกข์ ที่พระพทุ ธเจา้ ตรัสสอนไว้ ๓ ประการ คือ ไม่ทาความช่ัว ทาความดใี ห้ ท้งั ปวง ถงึ พร้อม ทาจิตใจให้บริสุทธ์ิ ผ่องแผ้ว

๒. วถิ ีการดาเนินชีวติ ของคริสต์ศาสนิกชน คริสต์ศาสนา มีหลกั ความเชื่อประการแรก คือ ความเช่ือในพระเป็นเจา้ ผทู้ รง เป็นพระเป็นเจา้ สูงสุด เป็นผสู้ ร้างสรรพสิ่ง พระองคไ์ ดท้ รงเผยแสดงพระองคใ์ หม้ นุษยไ์ ด้ รู้จกั ในฐานะ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ซ่ึงเรียกวา่ “พระตรีเอกภาพ” ท้งั ยงั ทรงประทานพระบญั ญตั ิ 10 ประการ และทรงสญั ญาวา่ จะส่งพระผไู้ ถ่มา กอบกมู้ นุษยใ์ หพ้ น้ จากบาป คริสต์ศาสนิกชน ดาเนินชีวติ โดยอาศยั พระคมั ภีร์เป็นแนวทาง มีความเช่ือความ ศรัทธาในพระเป็นเจา้ โดยการร่วมพธิ ีบูชามิสซาเพื่อนมสั การ โมทนาคุณ ขอบพระคุณ พระเป็นเจา้ ในทุกๆ วนั โดยเฉพาะวนั อาทิตย์

พระเยซู พระเยซู เป็นพระบุตรท่ีพระเป็น รูปป้ันพระเยซูคริสตต์ ้งั อยทู่ ่ียอดเขา เจา้ ทรงส่งมาเพอื่ ไถ่บาปมนุษย์ โดยการเสียสละ กอร์โกวาดู ประเทศบราซิล พระองคเ์ องรับทุกขท์ รมานและสิ้นพระชนม์ บนไมก้ างเขน อนั แสดงใหเ้ ห็นถึงความรักอนั บริสุทธ์ิ คริสตศ์ าสนาจึงเป็นศาสนาท่ีเนน้ ความรักท้งั ต่อพระเป็นเจา้ และต่อมนุษยท์ ุกคน ซ่ึงหลกั ความรักน้ีมีปรากฏในหลกั คาสอนและ พระคมั ภีร์ที่เผยแผช่ ีวประวตั ิและเรื่องราวการ ทาอศั จรรยช์ ่วยเหลือเพื่อนมนุษยข์ องพระเยซู จนกระทงั่ พระองคส์ ิ้นพระชนมบ์ นไมก้ างเขน และทรงกลบั คืนพระชนมชีพ

หน้าที่ของคริสต์ศาสนิกชน คริสตศ์ าสนาในประเทศไทยมี ๒ นิกายหลกั ไดแ้ ก่ นิกายโรมันคาทอลกิ • เป็นนิกายเก่าแก่ที่สุดในศาสนาคริสต์ ประมุข สูงสุด คือ พระสันตะปาปา มีศูนยก์ ลางอานาจอยทู่ ่ี สานกั วาติกนั ใชภ้ าษาละตินเป็นภาษากลางทาง ศาสนา นิกายโปรเตสแตนต์ • เป็นนิกายท่ีแยกตวั ออกมาจากคริสตจกั ร โรมนั คาทอลิก โดยมาร์ติน ลูเทอร์และ ผสู้ นบั สนุน ในช่วงท่ีคริสตจกั รคาทอลิกเกิด ปัญหาข้ึนมากมาย ท้งั สองนิกายมีหลกั ปฏิบตั ิที่แตกต่างกนั ออกไปบา้ งในดา้ นพิธีกรรม และนกั บวช แต่กย็ ดึ ถือปฏิบตั ิตามหนา้ ที่ของคริสตศ์ าสนิกชน

การแสดงออกถึงความเชื่อความศรัทธาในพระเป็ นเจ้า ชาวคริสตท์ ้งั นิกายโรมนั คาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนตจ์ ะแสดงความเช่ือ ความศรัทธาน้ีโดยการประกอบพิธีกรรม นิกายโรมันคาทอลกิ • เรียกพธิ ีกรรมน้ีวา่ “พธิ ีมิสซาบูชาขอบพระคุณ” ซ่ึง มีเป็นประจาทุกวนั แต่จะเนน้ การร่วมบูชามิสซาใน วนั อาทิตย์ เนื่องจากเป็นวนั หยดุ ที่คริสตศ์ าสนิกชน ส่วนใหญ่จะวา่ งจากการประกอบกิจการงาน นิกายโปรเตสแตนต์ • มีพิธีท่ีเรียกวา่ “พธิ ีนมสั การ” และยดึ มนั่ ใน พระวจนะจากคมั ภีร์ไบเบิลเป็นแนวทางในการ ดาเนินชีวิต

การรับศีลศักด์สิ ิทธ์ิ พระศาสนจกั รนิกายโรมนั คาทอลิกกาหนดศีลศกั ด์ิสิทธ์ิไว้ ๗ ประการ ดงั น้ี

การบารุงศาสนจักร การบารุงศาสนจกั ร คือ การช่วยเหลือกิจการของคริสตจกั ร โดยการบริจาค ทรัพยต์ ามกาลงั ความสามารถของคริสตศ์ าสนิกชนเพื่อบารุงและเผยแผศ่ าสนา

วนั สาคญั ของคริสต์ศาสนา คริสตศ์ าสนาทุกนิกายมีวนั วนั สาคญั ทางคริสตศ์ าสนา ชาวคริสตจ์ ะไปประกอบ สาคญั ทางศาสนาที่เหมือนกนั และแตกต่าง พิธีกรรมกนั ที่โบสถ์ กนั บา้ ง บางคร้ังอาจเรียกชื่อต่างกนั เท่าน้นั แต่แก่นแทค้ วามสาคญั น้นั มีความ คลา้ ยคลึงกนั วนั สาคญั ทางคริสตศ์ าสนา โดยทวั่ ไป เช่น การไปประกอบศาสนา ท่ีโบสถท์ ุกวนั อาทิตย์ วนั อีสเตอร์ วนั คริสตม์ าส เป็นตน้

วนั อาทติ ย์ของทุกสัปดาห์ วนั อาทิตยข์ องทุกสปั ดาห์ เป็นวนั สาคญั ท่ีสืบทอดความเชื่อมาจากศาสนายดู าย เรียกวา่ “วนั สะบาโต” ถือเป็นวนั บริสุทธ์ิ เน่ืองจากชาวคริสตเ์ ชื่อวา่ วนั อาทิตยเ์ ป็น วนั หยดุ พกั ผอ่ นท่ีควรงดทากิจการงาน และ ตอ้ งไปประกอบกิจทางศาสนาร่วมกนั ที่ โบสถ์ วนั อาทิตยเ์ ป็นวนั ที่คริสตศ์ าสนิกชนตอ้ งไปประกอบกิจ ทางศาสนาที่โบสถ์

วนั อสี เตอร์ วนั อีสเตอร์ และวนั สมโภชปัสกา วนั อีสเตอร์เป็นวนั ระลึกถึงวนั เป็นข้ึนมาจากความตาย ขององคพ์ ระเยซู อยใู่ นช่วงวนั ท่ี ๒๑ มีนาคม – ๒๕ เมษายน ของทุกปี เป็นวนั สาคญั ท่ีสืบเน่ืองมาจากการ สิ้นพระชนมข์ องพระเยซู และเมื่อพระเยซู ทรงกลบั เป็นข้ึนมา ชาวคริสตจ์ ึงฉลองการคืน พระชนมชีพของพระเยซู วนั อีสเตอร์ยงั เป็นวนั แห่งการ ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเจา้ ทรงนาชาว อิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียปิ ต์

วนั คริสต์มาส วนั คริสตม์ าส เป็นวนั สมโภช การประสูติของพระเยซู ตรงกบั วนั ท่ี ๒๕ ธนั วาคม ของทุกปี ชาวคริสตถ์ ือเป็นช่วงเวลา แห่งความช่ืนชมยนิ ดี และจะมีการจดั งาน เฉลิมฉลองกนั อยา่ งยงิ่ ใหญ่ วนั คริสตม์ าสเป็นวนั แห่งการเฉลิมฉลองวนั ประสูติ ของพระเยซู

๓. วถิ ีการดาเนินชีวติ ของผู้นับถือศาสนาอสิ ลาม ศาสนาอิสลามไม่ไดเ้ ป็นเพยี งแค่ศาสนา แต่เป็นระบอบการดาเนินชีวติ ต้งั แต่เกิด จนตาย เป็นระเบียบวนิ ยั ที่ครอบคลุมทุกอยา่ งของชีวติ ท้งั ในดา้ นความคิดและความ ประพฤติ ซ่ึงแสดงออกดว้ ยการปฏิบตั ิที่เคร่งครัด สะทอ้ นใหเ้ ห็นความศรัทธาอนั ยง่ิ ใหญ่ ท่ีมีต่อองคอ์ ลั ลอฮเ์ พียงองคเ์ ดียวเท่าน้นั ซ่ึงจะดาเนินชีวติ โดยยดึ หลกั ปฏิบตั ิ ๕ ประการ คือ การปฏิบตั ิตน การละหมาด การถือศีลอด การบริจาค การเดนิ ทางไป ซะกาต ประกอบพธิ ีฮัจญ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook