พระนางมหาปชาบดโี คตมีเถรี • เป็นพระนา้ นางของพระพทุ ธเจา้ และต่อมา ไดเ้ ป็นผเู้ ล้ียงดูเจา้ ชายสิทธตั ถะ • เม่ือพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ เมืองเวสาลี พระนาง มหาปชาบดีโคตมีและนางสากิยานีจานวน มากไดป้ ลงพระเกศา ห่มผา้ กาสายะเพื่อทูล ขอบวช พระพทุ ธเจา้ ทรงวางครุธรรม ๘ ประการสาหรับสตรีผจู้ ะเขา้ มาบวช • ไดผ้ นวชเป็นภิกษุณีรูปแรกใน พระพทุ ธศาสนา พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงเล้ียงดู เจา้ ชายสิทธตั ถะ
คุณธรรมทคี่ วรถือเป็ นแบบอย่าง • เป็นผมู้ ีความต้งั ใจแน่วแน่ • เป็นผมู้ ีความอดทนสูง • เป็นผมู้ ีคารวธรรมยง่ิ
พระเขมาเถรี พระนางเขมาทรงมีความหลงใหลใน รูปโฉมของตนเอง • เป็นพระราชธิดาของพระเจา้ สาคละแห่ง สาคลนคร ในมทั ทรัฐ ต่อมาไดเ้ ป็นมเหสี ของพระเจา้ พิมพสิ าร • ระยะแรกมิไดฝ้ ักใฝ่ในพระพทุ ธศาสนาและ ทรงหลงใหลในพระรูปสมบตั ิของตนเอง จึงไม่ยอมเขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ • พระเจา้ พมิ พิสารทรงหาอุบายโดยใหก้ วีแต่ง ชมความงามของพระวหิ ารเวฬุวนั จนใน ท่ีสุดพระนางไดฟ้ ังธรรมจากพระพทุ ธเจา้ จากน้นั ทูลขอบวชและบรรลุพระอรหนั ต์
คุณธรรมทคี่ วรถือเป็ นแบบอย่าง • เป็นผมู้ ีปัญญามาก และไดเ้ ป็นพระอคั รสาวกิ า เบ้ืองขวาฝ่ ายภิกษุณี • เป็นผมู้ ีปฏิภาณ
พระเจ้าปเสนทโิ กศล พระเจา้ ปเสนทิโกศลทรงถวายความเคารพ พระพทุ ธเจา้ อยา่ งนอบนอ้ ม • เป็นพระราชโอรสของพระเจา้ โกศล เมือง สาวตั ถี แควน้ โกศล • เป็นศิษยใ์ นสานกั ทิศาปาโมกข์ เมืองตกั ศิลา ร่วมกบั เจา้ ชายมหาลิจฉวแี ห่งแควน้ วชั ชี และพนั ธุละเสนาบดีแห่งนครกสุ ินารา • แต่ก่อนนบั ถือนกั บวชนอกพระพทุ ธศาสนา ต่อมานบั ถือพระพทุ ธศาสนา เพราะเห็น จริยวตั รอนั งดงามของพระสงฆ์ ทรงฝักใฝ่ ในพระพทุ ธศาสนา ภายหลงั ถูกอามาตย์ กบฏ และต่อมากเ็ สดจ็ สวรรคต
คุณธรรมทค่ี วรถือเป็ นแบบอย่าง • ทรงมน่ั คงในพระรัตนตรัย • ทรงรักษาความมน่ั คงของพระพทุ ธศาสนา • ทรงมีพระทยั กวา้ ง ยอมรับความคิดเห็นของคนอ่ืน • ทรงยอมรับความคิดและพร้อมจะแกไ้ ข
๓. ศาสนิกชนตวั อย่าง หม่อมเจา้ หญิงพูนพิศมยั ดิศกลุ หม่อมเจ้าหญงิ พนู พศิ มยั ดศิ กลุ • เป็นพระธิดาในสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารง ราชานุภาพ และหม่อมเฉ่ือย • ทรงสนพระทยั ในพระพทุ ธศาสนา และมี พระกรณียกิจดา้ นพระพทุ ธศาสนา เช่น ทรงบรรยายหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ทรงเป็นกรรมการบริหารพทุ ธสมาคมแห่ง ประเทศไทย ทรงเป็นประธานองคก์ าร พทุ ธศาสนิกสมั พนั ธ์แห่งโลก ทรงนิพนธ์ หนงั สือ ศาสนคุณ สอนพระพทุ ธศาสนา สาหรับเยาวชน
คุณธรรมทคี่ วรถือเป็ นแบบอย่าง • ทรงเป็นอุบาสิกาท่ีเคร่งครัด • ทรงเป็นพหูสูต • ทรงเป็นแบบอยา่ งของพลเมืองดี
ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักด์ิ • เป็นบุตรของมหาอามาตยต์ รี พระยาธรรมสาร เวทยว์ เิ ศษภกั ดี ศรีสตั ยาวตั ตาพิริยพาหะ (ทองดี ธรรมศกั ด์ิ) กบั คุณหญิงช้ืน ธรรมศกั ด์ิ • ดา้ นราชการไดเ้ ขา้ รับราชการในกระทรวง ยตุ ิธรรม หลงั เกษียณอายรุ าชการ ไดด้ ารง ตาแหน่งองคมนตรี และอื่นๆ • ดา้ นศาสนา ไดด้ ารงตาแหน่งนายกพทุ ธ สมาคมแห่งประเทศไทย และเป็นประธาน องคก์ ารพทุ ธศาสนิกสมั พนั ธแ์ ห่งโลก ศาสตราจารยส์ ญั ญา ธรรมศกั ด์ิ
คุณธรรมทคี่ วรถือเป็ นแบบอย่าง • เป็นผใู้ ฝ่รู้ใฝ่ศึกษา • เป็นผมู้ ีความกตญั ญูกตเวที • เป็นผมู้ ีความซ่ือสตั ยส์ ุจริต • เป็นผใู้ ฝ่ธรรม • เป็นผจู้ งรักภกั ดีต่อสถาบนั พระมหากษตั ริย์
๔. ชาดก นันทวิ สิ าลชาดก • สมยั หน่ึง พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยวู่ ดั พระเชตวนั เมืองสาวตั ถี ทรงปรารภการพดู เสียดแทง ใหเ้ จบ็ ใจของพวกภิกษุฉพั พคั คีย์ โดยทรงเล่านิทานวา่ ... กาลคร้ังหน่ึงนานมาแลว้ ที่เมืองตกั ศิลา พระโพธิสตั วเ์ กิดเป็นโคนามวา่ นนั ทิวสิ าล มีรูปร่างสวยงาม มีพละกาลงั มาก มีพราหมณ์คนหน่ึงไดเ้ ล้ียงและรักโคน้นั เหมือนลูกชาย โคน้นั คิด จะตอบแทนบุญคุณ จึงใหพ้ ราหมณ์ไปทา้ พนนั กบั เศรษฐีโควินทะวา่ โคของเราสามารถลากเกวียนที่ ผกู ติดกนั ถึงหน่ึงร้อยเล่มได้ ใหพ้ นนั ดว้ ยเงินหน่ึงพนั กหาปณะ พราหมณ์จึงทาตามที่โคบอก ในวนั เดิมพนั พราหมณ์ไดข้ ้ึนไปนงั่ บนเกวยี น เง้ือปะฏกั ข้ึนพร้อมกบั ตวาดโคดว้ ย คาหยาบ เม่ือโคนนั ทิวสิ าลไดย้ นิ กค็ ิดนอ้ ยใจ จึงยนื นิ่งไม่เคลื่อนไหว ทาใหพ้ ราหมณ์ตอ้ งเสียพนนั แลว้ กเ็ ขา้ ไปนอนเศร้าโศกเสียใจอยใู่ นบา้ น ส่วนโคนนั ทิวสิ าลเห็นพราหมณ์เศร้าโศกเสียใจจึงเขา้ ไป ปลอบและบอกใหพ้ ราหมณ์กล่าวดว้ ยถอ้ ยคาไพเราะ และใหไ้ ปทา้ พนนั ใหม่ พราหมณ์จึงทาตาม คาแนะนา โคนนั ทิวิสาลไดย้ นิ คาไพเราะจึงทาตาม ทาใหพ้ ราหมณ์ชนะพนนั
คติธรรมของชาดกเร่ืองนี้ • คนพดู คาหยาบยอ่ มทาใหต้ นเดือดร้อน ดงั น้นั ไม่ควร พดู คาหยาบ เพราะคาหยาบไม่เป็นที่พอใจของใครๆ • คนท่ีพดู จาไพเราะอ่อนหวานยอ่ มยงั ประโยชนใ์ หส้ าเร็จ ดงั น้นั คนเราควรเปล่งวาจาท่ีไพเราะอ่อนหวาน เพราะ วาจาที่ไพเราะอ่อนหวานเป็ นท่ีพอใจของใครๆ
สุวณั ณหังสชาดก • คร้ังหน่ึง พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยวู่ ดั พระเชตวนั เมืองสาวตั ถี ทรงปรารภเร่ืองภิกษุณี ชื่อ ถูลนนั ทา ผไู้ ม่รู้จกั ประมาณในการบริโภคกระเทียม สร้างความเดือดร้อนให้ ชาวบา้ น จึงทรงนานิทานมาเล่าเป็นสาธก วา่ ... กาลคร้ังหน่ึงนานมาแลว้ พระโพธิสตั วเ์ กิดในตระกลู พราหมณ์ มีภรรยา และ บุตรี ๓ คน ต่อมาพราหมณ์สิ้นชีวิตลงไปเกิดเป็นหงส์ทอง ส่วนภรรยาและลกู ยากจนลง ดว้ ยความสงสาร พญาหงส์ทองจึงบินไปที่บา้ นนางพราหมณ์และสลดั ขนทองคาให้วนั ละขน เพือ่ นาไปขาย ครอบครัวจึงมีความเป็นอยดู่ ีข้ึน แต่ดว้ ยความโลภ นางพราหมณีไดจ้ บั พญา หงส์ทองถอนขนจนหมด ขนทองคาจึงกลายเป็นขนนกธรรมดา เพราะพญาหงส์ทองไม่ได้ เตม็ ใจให้ นางพราหมณีเล้ียงพญาหงส์ทองจนขนงอกข้ึนเตม็ ตวั พญาหงส์ทองกห็ นีไป
คติธรรมของชาดกเรื่องนี้ • โลภนกั มกั ลาภหาย ดงั ที่พระพทุ ธองคไ์ ดต้ รัสพระ คาถาวา่ \"บุคคลควรยนิ ดีเท่าท่ีไดท้ ่ีมี เพราะความโลภ เกินประมาณเป็นความชวั่ แท้ นางพราหมณีจบั พญา หงส์ทองถอนขน จึงเส่ือมจากทองคา“
๓หน่วยการเรียนรู้ที่ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนามีองคป์ ระกอบสาคญั ๓ ประการ คือ พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ พระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบหลกั ธรรมซ่ึงเป็นความจริงอนั ประเสริฐ โดยมีพระสงฆเ์ ป็นผูส้ ืบทอดและ เผยแผห่ ลกั ธรรมคาสอน จึงกล่าวไดว้ า่ พระธรรมเป็นองคป์ ระกอบสาคญั ของพระพทุ ธศาสนา นน่ั คือ พระธรรมเป็นตวั แทนของพระพทุ ธเจา้ นน่ั เอง ดงั น้นั พทุ ธศาสนิกชนจึงควรศึกษาหลกั ธรรมคาสอนของพระพทุ ธศาสนาใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งถ่อง แท้ เพ่ือใหส้ ามารถนาไปเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง อนั จะเป็นประโยชน์ ต่อตนเองและสงั คมส่วนรวม
๑. พระรัตนตรัย • สุปฏิปันโน : เป็นผปู้ ฏิบตั ิดี • อุชุปฏปิ ันโน : เป็นผปู้ ฏิบตั ิตรง สังฆคุณ ๙ • ญายปฏิปันโน : เป็นผปู้ ฏิบตั ิเป็นธรรม • สามจี ปิ ฏิปันโน : เป็นผปู้ ฏิบตั ิสมควร พระสงฆเ์ ป็นผปู้ ฏิบตั ิตามคาสอนของ • อาหุเนยโย : เป็นผคู้ วรแก่ของคานบั พระพทุ ธเจา้ และเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา • ปาหุเนยโย : เป็นผคู้ วรแก่ของตอ้ นรับ • ทกั ขเิ ณยโย : เป็นผคู้ วรแก่ของทาบุญ • อญั ชลกี รณโี ย : เป็นผคู้ วรกราบไหว้ • อนุตตรัง ปุญญกั เขตตัง โลกสั สะ : เป็น เน้ือนาบุญอนั ยอดเยย่ี มของชาวโลก
๒. อริยสัจ ๔ ความจริงอนั ประเสริฐ ๔ ประการ ๑. ทุกข์ ๒. อนั เป็นหลกั คาสอนสาคญั ของ สมุทยั พระพทุ ธศาสนา มีดงั น้ี อริยสัจ ๔ ๔. มรรค ๓. นิโรธ
ทุกข์ (ธรรมท่ีควรรู้) ขนั ธ์ ๕ องคป์ ระกอบของชีวติ ๑. รูป 1. รูปร่างหนา้ ตา หรือร่างกาย ๕. ๒. เวทนา วญิ ญาณ 2. ความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้ในรสของอารมณ์(Feeling) ขนั ธ์ ๕ 3. ความจาได้ ความทรงจา เกิดจากการส่ังสม จดจา ๔. สังขาร ๓. สัญญา ประมวลผลต้งั แต่อดีตหรือแต่ออ้ นแต่ออกจวบจน ปัจจุบนั อนั ยอ่ มใชส้ มองส่วนหน่ึงในการบนั ทึกเกบ็ จา 4. เป็นส่ิงปรุงแต่งทางใจใหเ้ กิดการกระทาทางกาย, วาจา, ใจ 5. ความรับรู้
ไตรลกั ษณ์ ลกั ษณะ ๓ ประการของสิ่งมีชีวติ อนจิ จตา : ภาวะที่ไม่คงทนหรือภาวะไม่เที่ยง ทุกขตา : ภาวะท่ีทนไม่ไดห้ รือภาวะท่ีขดั แยง้ ไม่สมบูรณ์ อนัตตตา : ภาวะที่ไม่มีตวั ตน
สมุทยั (ธรรมท่คี วรละ) ตัวอย่าง นาย ก ชอบเล่นการพนนั เป็น หลกั กรรม (วฏั ฏะ ๓) หน้ีและถูกเจา้ หน้ีข่ทู าร้าย จึงคิด ทาการทุจริต ที่เรียกวา่ กเิ ลส วบิ ากวฏั ฏะ กเิ ลสวฏั ฏะ ในท่ีสุดกล็ งมือทา เรียกวา่ กรรม แต่ถูกจบั ไดแ้ ละไล่ออก กรรมวฏั ฏะ จากงาน นี่คือ วบิ าก เมื่อไม่มี งานกค็ ิดทุจริตอีก เกิดกิเลสอีก วนเวยี นไปเรื่อยๆ
ปปัญจธรรม ๓ เคร่ืองทาใหเ้ น่ินชา้ 1. ความทะยานอยาก, ความ ปรารถนาทจ่ี ะบารุงบาเรอปรนเปรอ ตน, ความอยากได้อยากมี 3.ค ว า ม คิ ด เ ห็ น ค ว า ม ๑. ตณั หา 2. ความถือตัว, ความสาคัญ เช่ือถือทฤษฎี อุดมการณ์ ปปัญจ ตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ถือสูงถือ ต่างๆ ท่ียึดถือไว้โดยงมงาย ธรรม ๓ ต่า ยิ่งใหญ่เท่าเทียมหรือด้อย ทาให้ปิดตัวแคบ ไม่ยอมรับ กว่าผู้อ่ืน, ความอยากเด่น ฟังใคร ตัดโอกาสท่ีจะเจริญ อยากยกชตู นใหย้ งิ่ ใหญ่ ปญั ญา ๒. มานะ ๓. ทฏิ ฐิ
นิโรธ (ธรรมทค่ี วรบรรลุ) อตั ถะ คุณประโยชนข์ องการปฏิบตั ิตามคาสอนของพระพทุ ธเจา้
มรรค (ธรรมท่คี วรเจริญ) มรรคมอี งค์ ๘ ทางแห่งความดบั ทุกข์
ปัญญา ๓ ความรู้แจ่มแจง้ ๑. สุตมย ปัญญา ปัญญา ๓ การศึกษาเล่าเรียนดว้ ยความต้งั ใจ ๓. ๒. จะทาใหผ้ เู้ รียนเกิดปัญญา ภาวนามย จินตามย ปัญญา ปัญญา
บุญกริ ิยาวตั ถุ ๑๐ • ทาบุญดว้ ยการให้ (ทานมยั ) • ทาบุญดว้ ยการรักษาศีล (สีลมยั ) • ทาบุญดว้ ยการอบรมจิตใจ (ภาวนามยั ) • ทาบุญดว้ ยการประพฤติอ่อนนอ้ ม (อปจายนมยั ) • ทาบุญดว้ ยการรับใช้ (เวยยาวจั จมยั ) • ทาบุญดว้ ยการเฉลี่ยส่วนความดีใหผ้ อู้ ื่น (ปัตติทานมัย) • ทาบุญดว้ ยการยนิ ดีในความดีของผอู้ ่ืน (ปัตตานุโมทนามยั ) • ทาบุญดว้ ยการฟังธรรม (ธัมมสั สวนมยั ) • ทาบุญดว้ ยการสง่ั สอนธรรม (ธัมมเทสนามยั ) • ทาบุญดว้ ยการทาความเห็นใหต้ รง (ทฏิ ฐุชุกมั ม์)
อุบาสกธรรม ๗ หลกั ธรรมสาหรับผคู้ รองเรือน • หมนั่ ไปวดั • หมนั่ ฟังธรรม • ฝึกตนเองใหม้ ีระเบียบวนิ ยั มีศีล • สร้างความรู้สึกที่ดีงาม มีความเลื่อมใสต่อพระสงฆ์ ทว่ั ไป • ฟังธรรมหรือเล่าเรียนคาสอนดว้ ยจิตท่ีเป็นกศุ ล • ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลกั พระพทุ ธศาสนา • เอาใจใส่ทานุบารุงพระพทุ ธศาสนา การไปวดั ฟังธรรม ยอ่ มทาใหเ้ กิด ปัญญาและจิตใจสงบ
มงคล ๓๘ ธรรมอนั นามาซ่ึงความสุขความเจริญ มศี ิลปวทิ ยา หมายถึง ความรู้หรือวชิ าที่ช่วยในการทางาน ประกอบ อาชีพเล้ียงตนและครอบครัวใหม้ ีความสุข ในการฝึกฝนตนเองใหเ้ กิด ความชานาญในวชิ าชีพน้นั มีขอ้ แนะนา ดงั น้ี • ตอ้ งชอบ • ตอ้ งถนดั • ตอ้ งรู้ทฤษฎี • ตอ้ งฝึกปฏิบตั ิ • ตอ้ งมีวนิ ยั และฟังมาก
พบสมณะ สามารถเห็นไดท้ างตาและทางปัญญา เห็นทางตา คือ การเห็นบุคคลที่ปลงผม นุ่งเหลืองห่มเหลือง ส่วนการเห็นทางปัญญา เป็นการเห็นความดีที่มีอยใู่ นตวั บุคคลที่เป็นสมณะ การเห็นสมณะทาให้ เราเห็นชีวติ ที่บริสุทธ์ิ สงบ สามารถซึมซบั ความดีเขา้ สู่ตวั เราได้ ดงั น้นั พทุ ธศาสนิกชนควรหมนั่ ไปพบปะสนทนากบั พระสงฆ์ เพื่อถวายอาหาร และของใชจ้ าเป็น รวมท้งั สนทนาธรรมกบั ท่านเพ่อื ใหเ้ กิดปัญญา
ฟังธรรมตามกาล เวลาที่ควรฟังธรรม ไดแ้ ก่ วนั ธรรมสวนะ วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา รวมท้งั ฟังธรรมทุกคร้ังที่มีผแู้ สดงธรรม และมี ขอ้ ควรปฏิบตั ิในการฟังธรรม ดงั น้ี • ควรมีศรัทธาในตวั ผแู้ สดงธรรม • ไม่ดูหมิ่นธรรมท่ีท่านแสดง • ฟังดว้ ยความต้งั ใจ • นาเอาหลกั ธรรมไปปฏิบตั ิ
การสนทนาธรรมตามกาล การที่บุคคล ๒ คนข้ึนไปพดู ถึงปัญหาเก่ียวกบั ความดีความชว่ั ความควรไม่ควร ซ่ึงระหวา่ งสนทนา ควรรักษามารยาท ในการสนทนาและไม่ควรดูหมิ่นคู่สนทนา ควรต้งั ใจฟังแลว้ พิจารณา ไตร่ตรอง การสนทนาธรรมก่อใหเ้ กิดประโยชน์ โดยทาใหเ้ กิดความ แตกฉานในเรื่องที่สนทนา ทาใหร้ ู้จกั ตนเองมากข้ึน และทาใหก้ ิเลสในใจเบาบาง
๓. การปฏิบตั ิตนตามหลกั ธรรมในการพฒั นาตนสาหรับการทางานและการมคี รอบครัว หลักสร้างปัญญา (วฑุ ฒิธรรม ๔) ๑. คบหาสตั บุรุษ ๒. เอาใจใส่เล่า และบณั ฑิต (สัปปุ เรียนหาความจริง (สัทธัมมสั สวนะ) ริสสังเสวะ) ๓. ใชเ้ หตุผล ๔. ปฏิบตั ิตาม ไตร่ตรอง (โยนิโส ทานองคลอง ธรรม (ธัมมา มนสิการ) นุธัมมปฏบิ ตั ิ)
หลกั การสร้างความสาเร็จในการทางาน (อทิ ธิบาท ๔) ๑. ฉันทะ (ความพอใจ) ๒. วริ ิยะ (ความเพียร) อทิ ธิบาท ๓. จติ ตะ (การต้งั จิตใหแ้ น่วแน่) ๔ ๔. วมิ งั สา (การพิจารณาสอบสวน)
หลกั สร้างตนเป็ นคนดี (สัปปรุ ิสธรรม ๗) • รู้จกั เหตุ • รู้จกั ผล • รู้จกั ตน • รู้จกั ประมาณ • รู้จกั กาล • รู้จกั ชุมชน • รู้จกั บุคคล นกั เรียนที่ศึกษาเล่าเรียนดว้ ยความต้งั ใจ นบั วา่ เป็นผทู้ ่ีรู้จกั หนา้ ที่ของตน
๔หน่วยการเรียนรู้ท่ี พระไตรปิ ฎกและพุทธศาสนสุภาษติ พระไตรปิ ฎกเป็นคมั ภีร์ของพระพทุ ธศาสนา ที่บนั ทึกคาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ซ่ึงเดิมถ่ายทอดกนั ต่อมาดว้ ยการท่องจา ต่อมาจึงไดม้ ีการจารึกเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ทาใหห้ ลกั ธรรมมีความชดั เจนและถูกตอ้ งมากข้ึน พระไตรปิ ฎกจึงมีความสาคญั ในการสืบต่อ พระพทุ ธศาสนา ในพระไตรปิ ฎกมีพทุ ธศาสนสุภาษิตสอนใจจานวนมาก การหมนั่ ศึกษาใหเ้ ขา้ ใจอยา่ ง ถ่องแท้ จะช่วยเตือนสติเรามิใหห้ ลงไปในทางที่ผดิ และช่วยช้ีแนะแนวทางที่ดีงามในการ ดาเนินชีวติ ใหแ้ ก่เราได้
๑. พระไตรปิ ฎก โครงสร้าง ชื่อคมั ภีร์ และสาระสังเขปของพระอภธิ รรมปิ ฎก พระไตรปิ ฎก คมั ภีร์ท่ีบนั ทึกคาสอนทางพระพทุ ธศาสนา มี ๓ หมวดใหญ่ ไดแ้ ก่ • พระวนิ ยั ปิ ฎก • พระสุตตนั ตปิ ฎก • พระอภิธรรมปิ ฎก คือ พระสูตรหรือเทศนาต่างๆ ท่ี พระพทุ ธเจา้ แสดงแก่บุคคลต่างๆ
พระอภธิ รรมปิ ฎก พระสูตรหรือเทศนาต่างๆ ท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงแก่บุคคลต่างๆ ต่างกรรม ต่างวาระ ซ่ึงรวบรวมไวใ้ นพระสุตตนั ตปิ ฎกนน่ั เอง แต่นาเอามาเรียบเรียงใหม่ใน รูปวชิ าการและอธิบายใหล้ ะเอียด เป็นข้นั เป็นตอน
พระอภิธรรมปิ ฎกมีอยทู่ ้งั สิ้น ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ แบ่งออกเป็น ๗ คมั ภีร์ เรียกโดยยอ่ วา่ สงั วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ (หวั ใจพระอภิธรรม)
พระอภธิ รรมปิ ฎก รวมกลุ่มธรรมะเป็นหวั ขอ้ ส้นั ๆ แยกธรรมะในขอ้ ธมั มสงั คณีเพื่อใหช้ ดั เจน ธัมมสังคณี จดั ขอ้ ธรรมต่างๆ มารวมในขนั ธ์ อายตนะและธาตุ วภิ ังค์ บญั ญตั ิเรียกบุคคลต่างๆ ตามคุณธรรมท่ีมี ธาตกุ ถา ถาม-ตอบหลกั ธรรม ๒๑๙ ขอ้ ปคุ คลบญั ญตั ิ วา่ ดว้ ยธรรมะเป็นคู่ๆ กถาวตั ถุ ยมก ธรรมะที่เป็นปัจจยั เก้ือกลู กนั ๒๔ อยา่ ง ปัฏฐาน
เร่ืองน่ารู้จากพระไตรปิ ฎก (พทุ ธปณธิ าน ๔ ในมหาปรินิพพานสูตร) พทุ ธปณธิ าน ความต้งั พระทยั ของ พระพทุ ธเจา้ วา่ ตราบใดที่พระพทุ ธศาสนา ยงั ไม่แพร่หลาย คือ พทุ ธบริษทั ท้งั ๔ (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) ยงั ไม่มีคุณสมบตั ิ ครบถว้ น พระองคจ์ ะไม่เสดจ็ ดบั ขนั ธ์ ปรินิพพาน
พทุ ธปณธิ าน ๔ ศึกษา พทุ ธบริษทั ควรไดศ้ ึกษาพระสทั ธรรมอยา่ งเขา้ ใจแจ่มแจง้ ปฏิบตั ิ พทุ ธบริษทั ควรไดป้ ระพฤติปฏิบตั ิตามพระสทั ธรรมท่ีทรงแสดง ไดอ้ ยา่ งประจกั ษใ์ นผลของการประพฤติปฏิบตั ิ ชี้แจง พทุ ธบริษทั ควรช่วยกนั เผยแผพ่ ระสทั ธรรมท่ีไดศ้ ึกษาปฏิบตั ิมาแลว้ ไดอ้ ยา่ งลุ่มลึกและกวา้ งขวาง ปกป้อง พทุ ธบริษทั ควรสามารถแกไ้ ขตอบโตก้ ารกล่าววจิ ารณ์จว้ งจาบ บิดเบือนหลกั พระสทั ธรรมใหย้ ตุ ิลงดว้ ยความเรียบร้อย
๒. พุทธศาสนสุภาษิต อตฺตา หเว ชิต เสยฺโย : ชนะตนน่ันแลดกี ว่า การชนะตน การที่สามารถควบคุมตนเองใหท้ าในส่ิงท่ีควรทาและไม่ทาในส่ิงที่ไม่ควรทา กล่าวอีกอยา่ งหน่ึงไดว้ า่ สามารถบงั คบั ตนใหท้ าความดี ละเวน้ ความชว่ั ได้ พระพทุ ธศาสนามีหลกั ธรรม ๓ ขอ้ ท่ีจะช่วย ใหเ้ อาชนะตนได้ ดงั น้ี • สติ ตอ้ งฝึกตนเองใหม้ ีสติอยเู่ สมอ • ทมะ การข่มจิตข่มใจของตน • ขนั ติ การอดกล้นั การเอาชนะตนทางโลก จะทาใหป้ ระสบ ความสาเร็จในการดาเนินชีวติ
ธมฺมจารี สุข เสติ : ผู้ประพฤตธิ รรมย่อมอยู่เป็ นสุข ผู้ประพฤตธิ รรม ผปู้ ฏิบตั ิตามคาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ซ่ึงพระธรรมเบ้ืองตน้ ท่ีควร ประพฤติปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ ศีล ๕ และธรรม ๕
ปมาโท มจฺจุโน ปท : ความประมาทเป็ นทางแห่งความตาย ความประมาท การขาดสติ ปล่อยใจใหล้ ่องลอยไป ไม่รู้สึกตวั วา่ กาลงั ทาอะไร กาลงั พดู อะไร ความประมาทมีไดท้ ้งั ทางโลกและทางธรรม ในทางธรรม การไม่ระวงั ตวั ทาใหจ้ ิตใจฟุ้งซ่าน กอ็ าจเป็นทางใหเ้ ดินไปสู่ความชว่ั ได้ ความประมาทในการขบั ข่ียานพาหนะ ยอ่ มนาไปสู่ การสูญเสียชีวิตและทรัพยส์ ินได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274