Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนา ม.3

พระพุทธศาสนา ม.3

Published by sunisa.sombunma, 2020-05-02 10:15:41

Description: พระพุทธศาสนา ม.3

Search

Read the Text Version

ประเพณแี ห่เทยี นจานาพรรษาในปัจจุบนั ปัจจุบนั ยงั คงถือปฏิบตั ิกนั อยทู่ วั่ ไปในบางจงั หวดั เช่น อุบลราชธานี ถือวา่ การแห่ เทียนจานาพรรษาเป็นประเพณีเด่นของจงั หวดั มีการจดั ประกวดแข่งขนั การประดบั ตกแต่งตน้ เทียนใหญ่ๆ แลว้ แห่แหนไปถวายตามวดั ต่างๆ

ประเพณถี วายผ้าอาบนา้ ฝน ผา้ อาบน้าฝน คือ ผา้ อาบน้า ที่ถวายแด่พระภิกษสุ งฆก์ ่อนเขา้ พรรษา ผา้ อาบน้าฝนเทียบไดก้ บั ผา้ ขาวมา้ ของ ชาวบา้ น ซ่ึงการถวายผา้ อาบน้าฝนน้ี เป็นประเพณีท่ีมีมาต้งั แต่คร้ังสมยั พทุ ธกาล การถวายผา้ อาบน้าฝนไม่มีกาหนดแน่นอนวา่ ตอ้ งถวายวนั ไหน เพยี งแต่ให้ อยใู่ นระยะ ๑ เดือน ก่อนเขา้ พรรษา การถวายผา้ อาบน้าฝนของวดั ต่างๆ จึงไม่ตรงกนั

การประกอบพธิ ีถวายผ้าอาบนา้ ฝน

คาอ่าน คาถวายผ้าอาบนา้ ฝน • อิมานิ มย ภนฺเต, วสฺสิกสาฏิกานิ, ภิกขสุ งฺฆสฺส โอโณ ชยาม, สาธุ โน ภนฺเต ภิกฺขุ สงฺโฆ, อิมานิ, วสฺสิกสาฏิ กานิ, ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหาก, ทีฆรตฺต หิตาย สุขาย คาแปล • ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จริญ ขา้ พเจา้ ท้งั หลายขอนอ้ มถวาย ผา้ อาบน้าฝนเหล่าน้ีแด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆจ์ งรับผา้ อาบน้าฝนเหล่าน้ีของขา้ พเจา้ ท้งั หลาย เพือ่ ประโยชน์ และความสุขแก่ขา้ พเจา้ ท้งั หลายตลอดกาลนานเทอญ



วนั ออกพรรษา • วนั ออกพรรษา คือ วนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ พทุ ธศาสนิกชนจะร่วมกนั ทาบุญ ตกั บาตรและฟังเทศน์ เรียกวา่ “ทาบุญออกพรรษา” หรือเรียกวา่ “วนั ปวารณา” • วนั น้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตใหพ้ ระสงฆท์ าปวารณาแทน ไม่ตอ้ งสวดปาฏิโมกข์ • ในวนั น้ีถือกนั วา่ เป็นวนั คลา้ ยวนั ท่ีพระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ ลงจากเทวโลก พทุ ธศาสนิกชนจะเตรียมอาหารไปตกั บาตร เรียกวา่ “ตกั บาตรเทโว” (ยอ่ มาจากคาวา่ “เทโวโรหณะ”) • เสร็จจากการตกั บาตรพทุ ธศาสนิกชนกจ็ ะไปฟังธรรมและรักษาศีลอุโบสถ • ประเพณีอนั เนื่องมาจากการออกพรรษา คือ การทอดกฐิน การถวายผา้ จานา พรรษา และการเทศนม์ หาชาติ

การทอดกฐิน • คาวา่ “กฐิน” แปลวา่ “สะดึง” สะดึง คือ กรอบไมส้ าหรับขึงผา้ ผา้ กฐิน กค็ ือ ผา้ ท่ีทาสาเร็จข้ึนไดเ้ พราะอาศยั สะดึง เมื่อสาเร็จแลว้ กน็ าไปทอด คือ วางแด่ ภิกษผุ อู้ ยจู่ าพรรษาตลอด ๓ เดือน เรียกวา่ “ทอดกฐิน” • ดงั น้นั การทอดกฐิน คือ การนาผา้ กฐินไปวางต่อหนา้ พระสงฆอ์ ยา่ งนอ้ ย ๕ รูป โดยไม่ไดต้ ้งั ใจถวายแก่รูปใดรูปหน่ึง แลว้ แต่พระท่านจะมอบหมายใหก้ นั เอง • ตามความหมายของพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน คาวา่ “กฐิน” หมายถึง ผา้ ที่ถวายพระซ่ึงจานาพรรษาแลว้ • ผา้ ที่นาไปทอดกฐินตอ้ งมีขนาดพอสาหรับการตดั เยบ็ เป็นจีวร สบง หรือ สงั ฆาฏิ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง แต่ปัจจุบนั นิยมตดั เยบ็ สาเร็จรูปเพ่ือความสะดวก

คาอ่าน คาถวายผ้ากฐิน • อิม ภนฺเต สปริวาร กฐินทุสฺส สงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต สงฺโฆ, อิม สปริวาร กฐินทุสฺส, ปฏิคฺคณฺหาตุ, ปฏิคฺคเหตฺวา จ, อิมินา ทุสฺเสน กฐน อตฺถรตุ, อมฺหาก ทีฆรตฺต หิตาย สุขาย คาแปล • ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จริญ ขา้ พเจา้ ท้งั หลายขอนอ้ มถวาย ผา้ กฐินกบั ผา้ บริวารน้ีแด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆจ์ งรับ ผา้ กฐิน กบั ท้งั บริวารน้ี ของขา้ พเจา้ ท้งั หลาย คร้ันรับ แลว้ จงกรานกฐิน ดว้ ยผา้ น้ีเพ่ือประโยชนเ์ ก้อื กลู เพือ่ ความสุขแก่ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ



การถวายผ้าจานาพรรษา • ผา้ จานาพรรษา คือ ผา้ ที่พระภิกษจุ ะไดร้ ับ ต่อเมื่อจาพรรษาแลว้ กาหนดเวลาถวาย ผา้ จานาพรรษาต้งั แต่ แรม ๑ ค่า เดือน ๑๑ จนถึงกลางเดือน ๔ เป็นเวลา ๕ เดือน • ผา้ ที่จะนาไปถวายไม่จากดั วา่ จะเป็นสบง จีวร หรือผา้ ขาวอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงแลว้ แต่ ศรัทธา บางทีกถ็ วายไทยทานอยา่ งอ่ืนดว้ ย • เมื่อถึงกาหนดนดั หมายแลว้ ผถู้ วายกน็ า ผา้ และไทยทานต่างๆ ไปพร้อมกนั ณ ที่ ที่จดั ไว้ ผเู้ ป็นหวั หนา้ กก็ ล่าวคาถวาย

คาอ่าน คาถวายผ้าจานาพรรษา • อิมานิ มย ภนฺเต, วสฺสาวาสิกจีวรานิ, สปริวารานิ ภิกฺขสุ งฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต ภิกฺขสุ งฺโฆ, อิมานิ วสฺสาวาสิกจีวรานิ, สปริวารานิ ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหาก ทีฆรตฺต หิตาย สุขาย คาแปล • ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จริญ ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย ขอนอ้ มถวาย ผา้ จานาพรรษาเหล่าน้ีแด่พระภิกษสุ งฆ์ ขอพระสงฆ์ จงรับผา้ จานาพรรษาเหล่าน้ี เพ่อื ประโยชน์และความสุข แก่ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย ตลอดกาลนานเทอญ

การทอดผ้าป่ า • ผา้ ป่ า แต่เดิมหมายถึง ผา้ ท่ีทิ้งอยใู่ นป่ าไม่มีเจา้ ของ แต่ปัจจุบนั หมายถึง ผา้ ท่ีสมมติวา่ ตกหรือทิ้งอยใู่ นป่ าหรือป่ าชา้ • ในสมยั พทุ ธกาลพระภิกษุตอ้ งเกบ็ ผา้ ท่ีเขาทิ้งแลว้ เช่น ผา้ บงั สุกลุ (ผา้ เป้ื อนฝ่ นุ ) ผา้ ห่อศพ เป็นตน้ แลว้ นามาตดั เยบ็ ยอ้ ม ทาเป็นจีวร สบง หรือสงั ฆาฏิ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง • เมื่อชาวบา้ นเห็นความลาบากของพระสงฆ์ จึงไดน้ าผา้ ไปทอดหรือ วางทิ้งไวต้ ามที่ต่างๆ เช่น ในป่ า ป่ าชา้ หรือขา้ งทางเดิน เพื่อให้ พระภิกษมุ าพบ จึงเป็นที่มาของพิธีการทอดผา้ ป่ า • การทอดผา้ ป่ านิยมทาคู่กบั การทอดกฐิน คือ ทอดต่อจากฤดูทอดกฐิน ในเดือน ๑๒ ขา้ งแรม การทอดผา้ ป่ าจดั เป็นสงั ฆทาน ไม่เจาะจงภิกษุ รูปใดรูปหน่ึง จะทอดเป็นส่วนตวั หรือรวมกนั เป็นผา้ ป่ าสามคั คีกไ็ ด้

คาอ่าน คาถวายผ้าป่ า • อิมานิ มย ภนฺเต ปสุสุกลุ จีวรานิ สปริวารานิ ภิกฺขสุ งฺฆสฺส โอโณชยาม สาธุ โน ภนฺเต ภิกฺขุสงฺโฆ เอตานิ ปสุกลู จีวรานิ สปริวารานิ ปฏิคฺคณฺหาตุ อมฺหาก ทีฆรตฺต หิตาย สุขาย คาแปล • ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จริญ ขา้ พเจา้ ท้งั หลายขอนอ้ มถวาย ผา้ บงั สุกลุ จีวรพร้อมดว้ ยของบริวารเหล่าน้ีแด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆจ์ งรับผา้ บงั สุกลุ จีวร พร้อมดว้ ยของ บริวารเหล่าน้ีของขา้ พเจา้ ท้งั หลาย เพอื่ ประโยชน์และ ความสุขแก่ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย ตลอดกาลนานเทอญ

ประเพณงี านเทศน์มหาชาติ เทศนม์ หาชาติ คือ การเทศนาเวสสนั ดรชาดก เป็นบุญพธิ ีที่นิยมจดั ใหม้ ีหลงั ฤดูทอดกฐิน ผา่ นไปแลว้ จนตลอดฤดูหนาว (ประมาณเดือน ๕ ต่อเดือน ๖) โดยจะจดั วนั ใดกไ็ ด้ ปกตินิยม จดั เป็น ๒ วนั คือ วนั เทศน์เวสสนั ดรชาดกท้งั ๑๓ กณั ฑว์ นั หน่ึง และวนั เทศน์จตุราริยสจั จกถา ทา้ ยเวสสนั ดรชาดกอีกวนั หน่ึง

ตวั อย่างประเพณเี ทศน์มหาชาติ • ภาคอีสาน ประเพณีเทศนม์ หาชาติมีความ ยง่ิ ใหญ่และสาคญั จดั ข้ึนประมาณเดือน ๔ เรียกวา่ “บุญผะเหวด” • ภาคเหนือ มีประเพณีสร้างหลาบเงินหรือ แผน่ เงินแกะลาย แขวนหอ้ ยรอบฉตั ร ถวายเป็นเคร่ืองขนั ธ์ต้งั ธรรมหลวงในงาน • ภาคใต้ เป็นประเพณีสวดดา้ น ซ่ึงคลา้ ยกบั การสวดโอเ้ อว้ หิ ารรายท่ีวดั พระศรีรัตน ศาสดารามในกรุงเทพฯ

ระเบยี บพธิ ีในการเทศน์มหาชาติ • ตกแต่งบริเวณพธิ ีใหม้ ีบรรยากาศคลา้ ยอยใู่ นป่ าตามทอ้ งเร่ืองเวสสนั ดรชาดก แลว้ นา ตน้ กลว้ ย ออ้ ย และกิ่งไมม้ าผกู ตามเสา และรอบๆ ธรรมาสน์ใหด้ ูคร้ึม มีการประดบั ธง ฉตั ร และราชวตั ิ ตามสมควร • ต้งั ขนั สาครใหญ่หรืออ่างใหญ่ใส่น้าสะอาดสาหรับปักเทียนบูชาประจากณั ฑใ์ นระหวา่ ง พระเทศน์ น้าในภาชนะน้ีเม่ือเสร็จพธิ ีแลว้ ถือวา่ เป็นน้ามนตท์ ่ีศกั ด์ิสิทธ์ิ ภาชนะน้ีใหต้ ้งั ไวห้ นา้ ธรรมาสนก์ ลางบริเวณพิธี • เตรียมเทียนเลก็ ๆ จานวน ๑,๐๐๐ เล่ม ตามจานวนคาถา แยกเป็นมดั ๆ มดั หน่ึงใหม้ ี จานวนเท่าคาถาของกณั ฑห์ น่ึงๆ ซ่ึงไม่เท่ากนั ทุกกณั ฑ์ แลว้ ทาเคร่ืองหมายใหร้ ู้วา่ มดั ไหนจานวนเท่าใด สาหรับบูชากณั ฑใ์ ด เม่ือเทศน์กณั ฑใ์ ดจะไดห้ ยบิ มดั น้นั ออกจุดบูชา ติดไวร้ อบๆ ภาชนะน้าต่อกนั ไปจนจบกณั ฑก์ ใ็ หห้ มดมดั พอดี ครบ ๑๓ กณั ฑก์ ็ ๑,๐๐๐ เล่ม การจุดเทียนหรือปักธงบูชากณั ฑน์ ้ีเป็นหนา้ ที่ของเจา้ ภาพผรู้ ับกณั ฑน์ ้นั ๆ

วนั เทโวโรหณะ วนั เทโวโรหณะ หมายถึง วนั ทาบุญตกั บาตรในเทศกาลออกพรรษา เทโวโรหณะ แปลวา่ ลงมาจากสวรรค์ หรือลงมาจากเทวโลก มีประวตั ิเล่าวา่ “พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ข้ึนไปจาพรรษาบนสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ ในวนั แรม 1 ค่า เดือนอาสาฬหะ หรือเดือน 8 เพ่ือเทศนาพระอภิธรรม โปรดพระพทุ ธมารดาหน่ึงพรรษา คร้ันถึงวนั แรม 1 ค่า เดือน 11 หรือหลงั วนั ออกพรรษา 1 วนั จึงไดเ้ สดจ็ ลงมายงั โลกมนุษย”์ พทุ ธบริษทั ต่างพากนั ไปเฝ้าพระพทุ ธองคเ์ พอ่ื ใส่บาตรกนั ดงั น้นั เม่ือถึงวนั แรม 1 ค่า เดือน 11 พทุ ธศาสนิกชนจึงทาบุญตกั บาตรใหเ้ หมือนใน คร้ังน้นั เรียกวา่ “ตกั บาตรเทโวโรหณะ” หรือ “ตกั บาตรเทโว”

๒.ศาสนพธิ ี ศาสนพธิ ี คือ พิธีทาบุญ หรือแบบแผนการทาบุญที่เป็นประเพณีในชีวติ ของคน ทว่ั ไปท่ีเป็นพทุ ธศาสนิกชน แบ่งไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คือ ทาบุญงานมงคล ทาบุญงานอวมงคล

การทาบุญงานมงคลและงานอวมงคล

พธิ ีทาบุญงานมงคลและงานอวมงคล • งานหลกั ของการทาบุญ คือ การเล้ียงพระ เรียกวา่ “การทาบุญเล้ียงพระ” นิยมทากนั ท้งั งานมงคลและงานอวมงคล • เจา้ ภาพมกั นิมนตพ์ ระมาเจริญหรือสวด พระพทุ ธมนตใ์ นตอนเยน็ เรียกวา่ “สวด มนตเ์ ยน็ ” • เชา้ วนั รุ่งข้ึนหรือเวลาเพลกถ็ วายภตั ตาหาร แด่พระสงฆท์ ่ีเจริญหรือสวดพระพทุ ธมนต์ เม่ือเยน็ วาน เรียกวา่ “เล้ียงพระเชา้ หรือ เล้ียงพระเพล” หรือบางทีเรียก “ฉนั เชา้ หรือฉนั เพล”

การเตรียมศาสนพธิ ี ในงานทาบุญงานมงคลและงานอวมงคล เจา้ ภาพตอ้ งเตรียมสิ่งของ สถานท่ี กิจการ และรู้ระเบียบพิธีปฏิบตั ิต่างๆ ไวล้ ่วงหนา้ ข้นั ตอนและพิธีการเหล่าน้ีแต่ละ ทอ้ งถ่ินจะมีความเหมือนและแตกต่างกนั บางประการ

การนิมนต์พระภิกษุ งานมงคล การนิมนตพ์ ระสงฆม์ าเจริญพระพทุ ธมนตน์ ิยมกาหนดจานวน คือ ไม่ต่ากวา่ ๕ รูป อาจเป็น ๗ รูป หรือ ๙ รูป ไม่นิยมนิมนตเ์ ป็น จานวนคู่ เวน้ แต่งานมงคลสมรส มกั นิยมนิมนตจ์ านวนคู่ ในการ อาราธนาใชค้ าวา่ “ขออาราธนาเจริญพระพทุ ธมนต”์ งานอวมงคล นิยมอาราธนาพระสงฆจ์ านวน ๘ รูป หรือ ๑๐ รูป หรือมากกวา่ น้นั แลว้ แต่กรณี แต่ตอ้ งเป็นจานวนคู่ ในการอาราธนาใชค้ าวา่ “ขออาราธนาสวดพระพทุ ธมนต”์

การเตรียมทต่ี ้งั พระพทุ ธรูปและเคร่ืองบูชา • ที่ต้งั พระพทุ ธรูปพร้อมท้งั เครื่องบูชา เรียกวา่ “โต๊ะบูชา” ปัจจุบนั นิยมใชเ้ ป็น “โตะ๊ หมู่บูชา” • โตะ๊ หมู่บูชาประกอบดว้ ย โต๊ะ ๕ ตวั หรือ ๗ ตวั หรือ ๙ ตวั เรียกช่ือตาม จานวนโตะ๊ วา่ โตะ๊ หมู่ ๕ หมู่ ๗ หรือ หมู่ ๙ • เคร่ืองบูชาควรมีแจกนั ประดบั ดอกไม้ ๑ คู่ วาง ๒ ขา้ งพระพทุ ธรูป ต้งั กระถาง ธูปตรงหนา้ พระพทุ ธรูปกบั เชิงเทียน ๑ คู่ ต้งั ตรงกบั แจกนั

การวงด้ายด้วยสายสิญจน์ สายสิญจน์ แปลวา่ สายรดน้า ไดแ้ ก่ สายท่ีทาดว้ ยดา้ ยดิบ โดยจบั เสน้ ดา้ ยใน เขด็ ชกั สาวออกมาเป็นห่วงๆ ใหย้ าวต่อกนั เป็นสายเดียว จากดา้ ยในเขด็ เสน้ เดียวจบั ออกมาคร้ังแรกเป็น 3 เสน้ มว้ นเป็นกลุ่มไว้ ในงานมงคลทุกประเภท นิยมใช้ สายสิญจน์ 9 เสน้ • การวงสายสิญจน์ใหว้ งรอบร้ัวบา้ น ถา้ ไม่มี ร้ัวหรือมีแต่กวา้ งเกิน หรือมีส่ิงปลูกสร้าง อ่ืนที่ไม่เก่ียวขอ้ งกบั พธิ ีอยภู่ ายในร้ัว เดียวกนั กใ็ หว้ งรอบเฉพาะอาคารที่ ประกอบพิธี • ในงานอวมงคลไม่มีการวงดา้ ยสายสิญจน์ แต่มีสายโยงหรือภูษาโยงต่อจากศพเพื่อใช้ บงั สุกลุ ในงานทาบุญหนา้ ศพ สายโยงน้ี กใ็ ชด้ า้ ยสายสิญจนน์ น่ั เอง

การปูลาดอาสนะ สาหรับพระสงฆน์ ิยมทากนั ๒ วธิ ี คือ ยกพ้ืนอาสนะใหส้ ูงข้ึน โดยใชเ้ ตียงหรือมา้ วางต่อกนั ใหย้ าว พอกบั จานวนพระสงฆ์ และนิยมปูผา้ ขาวลาดอาสนส์ งฆ์ ปูลาดอาสนะบนพ้ืนธรรมดา จะใชเ้ ส่ือหรือพรมกไ็ ด้ แต่ อยา่ ใหอ้ าสนะของพระสงฆก์ บั อาสนะของผรู้ ่วมพธิ ีเป็นอนั เดียวกนั ตอ้ งปูแยกกนั

การเตรียมเคร่ืองรับรอง • เคร่ืองรับรองที่ควรจดั เตรียม สาหรับพระสงฆ์ ไดแ้ ก่ น้าเยน็ กระโถน (ไม่ควรจดั หมากพลู บุหรี่ รับรองพระสงฆ)์ • การวางเคร่ืองรับรองใหว้ างทางขวา ของพระรูปน้นั การวางกระโถน ใหว้ างขา้ งในสุด เพราะเป็นส่ิงที่ไม่ ตอ้ งประเคน

การจุดธูปเทยี น เจา้ ภาพจุดเทียนเล่มท่ีอยดู่ า้ นซา้ ยของเรา (ดา้ นขวาของพระพทุ ธรูป) แลว้ จุดเทียน อีกดา้ น จากน้นั ใชธ้ ูป ๓ ดอก จุดต่อจากเทียน แลว้ ปักในกระถางธูปทีละดอก ขณะที่ เจา้ ภาพจุดธูปทุกคนควรประนมมือข้ึน

ข้อปฏิบัตใิ นวนั ทาบุญเลยี้ งพระ

การถวายข้าวพระพทุ ธ การถวายขา้ วพระพทุ ธ เป็นการถวายขา้ วพระพทุ ธเจา้ โดยการถวาย พระพทุ ธรูป มีข้นั ตอน ดงั น้ี • จุดธูป ๓ ดอก ปักหนา้ กระถางธูปหนา้ โตะ๊ บูชา • นง่ั คุกเข่าประนมมือหนา้ ที่ต้งั ขา้ วพระพทุ ธ กล่าวนะโม ๓ จบ • วา่ คาถวาย “อิม สูปพฺยญฺชนสมฺปนฺน สาลีน โอทน สอุทก วร พทุ ฺธสฺส ปูเชมิ” จบแลว้ กราบ ๓ คร้ัง • ถวายภตั ตาหารแด่พระสงฆ์ เม่ือพระสงฆฉ์ นั เสร็จและอนุโมทนาเสร็จจนกลบั แลว้ กใ็ หล้ าขา้ วพระพทุ ธมารับประทาน โดยคุกเข่าหนา้ สารับท่ีโต๊ะบูชา กราบ ๓ คร้ัง • กล่าวคาวา่ “เสส มงฺคล ยาจามิ” หรือ “เสส มงฺคลา ยาจามิ” แลว้ ไหว้ และยกขา้ ว พระพทุ ธออกไปได้

การถวายไทยธรรม เครื่องไทยธรรม คือ วตั ถุสิ่งของต่างๆ ที่สมควรถวายแด่พระสงฆ์ ซ่ึงไดแ้ ก่ปัจจยั ๔ คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหารคาวหวาน เคร่ืองอุปกรณ์ ท่ีอยอู่ าศยั และยารักษาโรค ซ่ึงสามารถถวายไดต้ าม กาหนดเวลา ดงั น้ี

ข้นั ตอนการถวายเครื่องไทยธรรม ถวายหลงั จากพระสงฆฉ์ นั เสร็จแลว้ ของท่ีจะถวาย กใ็ หย้ กเรียงไวต้ รงหนา้ พระสงฆท์ ุกรูป เม่ือเจา้ ภาพประเคนไปหน่ึงหรือสององคแ์ ลว้ อาจมอบใหญ้ าติหรือแขกที่ร่วมงานประเคนต่อกไ็ ด้ ในงานอวมงคล หลงั จากพระฉนั เสร็จนิยมใหม้ ีการ บงั สุกลุ ก่อนแลว้ จึงถวาย เมื่อพระสงฆอ์ นุโมทนา แลว้ กใ็ หก้ รวดน้าอุทิศส่วนกศุ ลต่อไป

การกรวดนา้ • การกรวดน้าเป็นการอุทิศส่วนกศุ ล ใหแ้ ก่ผทู้ ี่ล่วงลบั ไปแลว้ โดยเป็นการ แสดงความกตญั ญูกตเวทีของผทู้ ี่ยงั มีชีวติ อยตู่ ่อผมู้ ีพระคุณที่ล่วงลบั และ เป็นการแสดงความเมตตาแก่ผลู้ ่วงลบั โดยผทู้ ่ียงั มีชีวติ อยอู่ ุทิศส่วนกศุ ลไปให้ • วธิ ีกรวดน้าจะกรวดน้าลงบนพ้ืนดิน ท่ีสะอาด หรือกรวดน้าลงในภาชนะอ่ืน แลว้ ไปเทลงบนพ้นื ดินกไ็ ด้

ข้นั ตอนการกรวดนา้ เม่ือพระสงฆเ์ ริ่มกล่าวอนุโมทนาวา่ “ยถา วาริ วหา...” ใหเ้ จา้ ภาพเร่ิมกรวดน้า เมื่อพระเริ่มสวดบทอนุโมทนาท่ีเริ่มดว้ ยคาวา่ “สพั พีติโย...” ควรรินน้าที่กรวดใหห้ มด และประนม มือรับอนุโมทนา เม่ือพระสวดจบแลว้ ใหน้ าน้าที่กรวดไปเทนอกอาคาร เทลงบนพ้นื ดินที่สะอาดหรือท่ีโคนตน้ ไมใ้ หญ่

คากรวดนา้ คากรวดน้ามีอยู่ ๓ แบบ คือ แบบส้นั แบบยอ่ และแบบยาว แต่คากรวดน้าที่นิยมกนั ทว่ั ไป คือ คากรวดน้าแบบส้นั ซ่ึงมีดงั น้ี คาอ่าน • อิท เม ญาตีน โหตุ, สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย คาแปล • บุญน้ีจงสาเร็จแก่ญาติท้งั หลายของขา้ พเจา้ เถิด ขอญาติท้งั หลายจงเป็นสุขๆ เถิด

๗หน่วยการเรียนรู้ท่ี การบริหารจติ และการเจริญปัญญา การบริหารจิตเป็นการฝึกจิตใหม้ ีสมาธิ สามารถนาไปใชใ้ นการดาเนิน ชีวติ ใหเ้ ป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรม มีประสิทธิภาพในการทางาน และมีจิตท่ี ปลอดโปร่ง ส่วนการเจริญปัญญาน้นั เป็นการฝึกจิตใหม้ ีสติสมั ปชญั ญะรู้ตวั ทวั่ พร้อม สามารถ “รู้เท่า” และ “รู้ทนั ” ความเป็นไปของส่ิงท้งั หลาย ช่วยใหเ้ ขา้ ใจ อะไรไดง้ ่ายและแจ่มแจง้ มีสติ มีวสิ ยั ทศั น์กวา้ งไกลในดา้ นการดาเนินชีวติ

๑. การสวดมนต์แปลและแผ่เมตตา การสวดมนต์แปล พทุ ธศาสนิกชนควรไหวพ้ ระสวดมนตเ์ ป็นประจาทุกวนั อยา่ งนอ้ ยวนั ละ ๑ คร้ัง ก่อนนอน เพ่อื ความเป็นสิริมงคลแก่ชีวติ และช่วยใหจ้ ิตใจสงบ นอนหลบั สบาย บทสวด ที่สาคญั มีดงั น้ี

คาบูชาพระรัตนตรัย

คานมสั การพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย บทสรรเสริญพระพทุ ธคุณ (ทานองสรภญั ญะ) (นา) อิติปิ โส ภะคะวา (รับ) อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ วิชชาจะระณะสมั ปันโน สุคะโต โลกะวทิ ู อะนุตตะโร ปุริสะทมั มะสาระถิ สตั ถา เทวะมะนุสสานงั พุทโธ ภะคะวาติ (นา) องคใ์ ดพระสัมพทุ ธ (รับ) สุวิสุทธสนั ดาน ตดั มูลเกลศมาร บ่ มิหม่นมิหมองมวั กเ็ บิกบานคือดอกบวั หน่ึงในพระทยั ท่าน สุวคนธกาจร ราคี บ พนั พวั พระกรุณาดงั สาคร มละโอฆกนั ดาร องคใ์ ดประกอบดว้ ย และช้ีสุขเกษมสานต์ โปรดหมู่ประชากร อนั พน้ โศกวิโยคภยั ษุจรัสวิมลใส ช้ีทางบรรเทาทุกข์ กเ็ จนจบประจกั ษจ์ ริง ช้ีทางพระนฤพาน สันดานบาปแห่งชายหญิง มละบาปบาเพญ็ บุญ พร้อมเบญจพธิ จกั - ศิรเกลา้ บงั คมคุณ เห็นเหตุที่ใกลไ้ กล ญภาพน้นั นิรันดรฯ (กราบ) กาจดั น้าใจหยาบ สัตวโ์ ลกไดพ้ ่ึงพิง ขา้ ฯ ขอประณตนอ้ ม สัมพทุ ธการุญ

บทสรรเสริญพระธรรมคุณ (นา) สะวากขาโต (รับ) ภะคะวะตา ธมั โม สนั ทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยโิ ก ปัจจตั ตงั เวทิตพั โพ วญิ ญูหีติ (นา) ธรรมะคือคุณากร (รับ) ส่วนชอบสาธร ดุจดวงประทีปชชั วาล ส่องสตั วส์ นั ดาน เป็ นแปดพึงยล แห่งองคพ์ ระศาสดาจารย์ อนั ลึกโอฬาร สวา่ งกระจ่างใจมล นามขนานขานไข ใหล้ ่วงลุปอง ธรรมใดนบั โดยมรรคผล นบธรรมจานง และเกา้ กบั ท้งั นฤพาน สมญาโลกอุดรพิสดาร พิสุทธ์ ิพิเศษสุกใส อีกธรรมตน้ ทางครรไล ปฏิบตั ิปริยตั ิเป็นสอง คือทางดาเนินดุจคลอง ยงั โลกอุดรโดยตรง ขา้ ฯ ขอโอนอ่อนอุตมงค์ ดว้ ยจิตและกายวาจา (กราบ)

บทสรรเสริญพระสังฆคุณ (นา) สุปะฏิปันโน (รับ) ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทงั จตั ตาริ ปุริสะยคุ านิ อฏั ฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทกั ขิเณยโย อญั ชะลี กะระณีโย อุนุตตะรัง ปุญญกั เขตตงั โลกสั สาติ (นา) สงฆใ์ ดสาวกศาสดา (รับ) รับปฏิบตั ิมา แต่องคส์ มเดจ็ ภควนั ต์ ลุทางที่อนั ปัญญาผอ่ งใส เห็นแจง้ จตุสัจเสร็จบรร- บ มิลาพอง ระงบั และดบั ทุกขภ์ ยั ศาลแด่โลกยั มีคุณอนนต์ โดยเสดจ็ พระผตู้ รัสไตร พกทรงคุณา สะอาดและปราศมวั หมอง พระไตรรัตนอ์ นั อนั ตรายใดใด เหินห่างทางขา้ ศกึ ปอง ดว้ ยกายและวาจาใจ เป็นเน้ือนาบุญอนั ไพ- และเกิดพิบูลยพ์ นู ผล สมญาเอารสทศพล อเนกจะนบั เหลือตรา ขา้ ฯ ขอนบหมู่พระศรา- นุคุณประดุจราพนั ดว้ ยเดชบุญขา้ อภิวนั ท์ อุดมดิเรกนิรัติสัย จงช่วยขจดั โพยภยั จงดบั และกลบั เสื่อมสูญ (กราบ 3 คร้ัง)

คาแผ่เมตตา การแผ่เมตตา คือ การส่งความปรารถนาดีไปยงั เพื่อนมนุษยแ์ ละสรรพสตั ว์ ท้งั หลายใหม้ ีแต่ความสุข เป็นการคิดดีกบั คนอ่ืน ไม่โกรธไม่เกลียดใคร การแผเ่ มตตาโดยปกติจะเริ่มจากตนเอง เพราะทุกคนมีความรักตนเองเป็น พ้ืนฐานอยแู่ ลว้ เม่ือแผใ่ หต้ นเองแลว้ กแ็ ผไ่ ปใหบ้ ุคคลอื่นๆ โดยเร่ิมจากคนในครอบครัว เพ่ือน และเจา้ กรรมนายเวรของเรา

ประโยชน์ของการแผ่เมตตา

บทแผ่เมตตาแก่ตนเอง

บทแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์

๒. การบริหารจิต สมาธิ จะเกิดข้ึนดว้ ยจิตของเรา เป็นการบริหารจิตท่ีทาใหเ้ ราสามารถทากิจการ ต่างๆ ในชีวติ ประจาวนั ใหส้ าเร็จลุล่วงไปได้ สมาธิ ช่วยในการไตร่ตรองส่ิงต่างๆ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เน่ืองจากทาใหเ้ รา มีสติมากข้ึน จิตใจมน่ั คง แน่วแน่ ทาใหก้ ารคิดเรื่องต่างๆ มีความรอบคอบ สมาธิ อาจเกิดไดเ้ พยี งชว่ั คราว หากเราตอ้ งการใหจ้ ิตของเราแน่วแน่มีสมาธิ จาเป็นตอ้ งมีการฝึกสมาธิสม่าเสมอ เพ่อื เป็นการบริหารจิตใหม้ ีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน

ข้อควรปฏิบัตใิ นการฝึ กการบริหารจิต

ประโยชน์ของการบริหารจติ ๑. ทาใหจ้ ิตใจสบาย โปร่งเบา ไม่เครียด ไม่โกรธ ไม่ทุกข์ ผอ่ งใส คุณธรรมงอกงามง่าย ๒. หายหวาดกลวั หายกระวนกระวาย หายประหม่าต่ืนเตน้ ๓. หลบั ง่าย ไม่ฝันร้าย และสั่งตวั เองได้ เช่น สัง่ ใหห้ ลบั ใหต้ ื่นตามเวลาท่ีกาหนดได้ ๔. กระฉบั กระเฉง วอ่ งไว รู้จกั เลือกและตดั สินใจไดเ้ หมาะสมแก่สถานการณ์ ๕. มีความอดทน เพียรพยายามแน่วแน่ในจุดหมาย มีความใฝ่ สัมฤทธ์ิสูง ๖. มีสติสัมปชญั ญะดี รู้เท่า รู้ทนั ปรากฏการณ์ และรู้จกั ยบั ย้งั ใจไดด้ ี ๗. มีประสิทธิภาพในการทางาน ทากิจกรรมต่างๆ สาเร็จดว้ ยดี รอบคอบ ไม่ผิดพลาด ๘. ส่งเสริมสมรรถภาพของสมอง ความคิดปลอดโปร่ง ความจาดี เรียนหนงั สือเก่ง ๙. ช่วยเหลือเก้ือกลู สุขภาพทางกาย ชะลอความแก่ ทาใหด้ ูอ่อนกวา่ วยั ๑๐. รักษาโรคบางอยา่ งได้ เช่น โรคเครียด โรคกระเพาะ โรคทอ้ งผกู โรคความดนั โลหิต โรคหืด หรือโรคชอบคิดเองวา่ ตวั เป็นโน่นเป็นนี่ท้งั ที่ไม่ไดเ้ ป็น

การบริหารจิตตามหลกั อานาปานสติ วธิ ีฝึกสมาธิมีหลายวธิ ี แต่วธิ ีท่ีเห็นวา่ เหมาะสมและสะดวกที่จะฝึกไดท้ ุกเพศ ทุกวยั และทุกโอกาส กค็ ือ แบบอานาปานสติหรือวธิ ีกาหนดลมหายใจ โดยมีเหตุผล ท่ีควรฝึก ดงั น้ี ๑. ไม่ตอ้ งหาอุปกรณ์อื่นใดมาฝึก เพราะทุกคนมีลมหายใจ คือ การหายใจเขา้ การหายใจออก ทุกเวลาอยแู่ ลว้ ๒. ไม่ซบั ซอ้ น เขา้ ใจง่าย ทาไดง้ ่าย พอลงมือทากไ็ ดร้ ับผลทนั ที ต้งั แต่ตน้ เรื่อยไป ๓. เป็นหลกั ฝึกจิตอยา่ งหน่ึงในจานวนไม่กี่อยา่ งท่ีสามารถปฏิบตั ิต่อเนื่องต้งั แต่ตน้ ไปจน สาเร็จข้นั สูงสุด ไม่ตอ้ งพะวงท่ีจะหาวธิ ีอื่นมาสบั เปล่ียนในระหวา่ งปฏิบตั ิ ๔. ไม่กระทบต่อสุขภาพ กายกไ็ ม่เหนื่อย ตากไ็ ม่เมื่อย เพราะไม่ตอ้ งเพง่ หรือเดินกลบั ไป กลบั มาเหมือนวธิ ีอื่น ช่วยใหร้ ่างกายพกั ผอ่ นไดด้ ี ๕. พระพทุ ธเจา้ ทรงใชเ้ วลาในการปฏิบตั ิวธิ ีน้ีเป็นส่วนใหญ่ และทรงแนะนาใหส้ าวกปฏิบตั ิ มากกวา่ วธิ ีอื่น

ข้นั ตอนการฝึ กสมาธิตามหลกั อานาปานสติ ท่าน่ังการฝึ กสมาธิตามหลกั อานาปานสติ ใหน้ ง่ั บนพ้ืนในท่า “สมาธิ” เสมือนพระพทุ ธรูปปางสมาธิ อาจทาได้ ๒ ลกั ษณะ คือ น่ังขดั บลั ลงั ก์ ที่เรียกวา่ “ขดั สมาธิราบ” โดยเอาขาขวาทบั ขาซา้ ย มือขวาทบั มือซา้ ย ตวั ต้งั ตรง นั่งขดั สมาธิเพชร คือ นงั่ เอาขาซา้ ยทบั ขาขวา ขาขวาทบั ขาซา้ ย มือขวาทบั มือซา้ ย ตวั ต้งั ตรง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook