๒๔๖ 5. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น 5.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร - บอกวิธีการอ่านค่านา้ หนกั จากเคร่ืองชงั่ สปริง 5.2 ความสามารถในการคิด - อธิบายวิธีการชัง่ นา้ หนกั ของวัตถุโดยใชเ้ ครอื่ งชั่งสปรงิ - วิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ระหว่างมวลและน้าหนักของวตั ถุ 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา - การแกป้ ญั หาและการช่วยเหลือในการทางานกลุ่มร่วมกัน 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต - มีความสามคั คีในการทางานกลุ่มรว่ มกนั 6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 6.1 ซ่อื สตั ย์สจุ รติ 6.2 มงุ่ มน่ั ในการทางาน 7. กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ขนั้ นำเขำ้ สบู่ ทเรียน (เวลำ 5 นำท)ี 1. ครูทบทวนกิจกรรมทที่ าในชั่วโมงท่ีผา่ นมาโดยใชค้ าถาม ดงั นี้ 1.1 เคร่ืองช่ังสปริงมีส่วนประกอบอะไรบ้าง (เครื่องชั่งสปริงประกอบด้วยตัวกระบอกเคร่ืองชั่ง มีขีดสเกล 2 ด้าน ด้านหนึ่งมีหน่วยกรัม และอีกด้านหน่ึงมีหน่วยนิวตัน มีหูจับด้านบน และมี นอตหมุนด้านบนของกระบอก ด้านล่างของกระบอกมีขอเกี่ยวยื่นออกมาจากกระบอก ขอเกี่ยวยึดกับสปริงท่ีอยู่ด้านในของกระบอก และมีหมุดสีเงินอยู่ระหว่างกระบอก สามารถ เล่ือนไปมาได้) 1.2 เคร่ืองชั่งสปริงใช้งานอย่างไร (ใช้มือจับท่ีบริเวณหูจับ จากน้ันนาวัตถุที่จะช่ังมาเกี่ยวที่ ขอเก่ยี ว หนั ดา้ นที่มสี เกลเข้าหาตนเองยกเคร่อื งชั่งขน้ึ ให้อยู่ในระดบั สายตา) 1.3 วิธีการอา่ นคา่ ของนา้ หนกั ที่ถกู ตอ้ งทาได้อย่างไร (อา่ นคา่ จากสเกลของเครื่องช่ังสปริงโดยให้หมุด อยูท่ ่รี ะดบั สายตา) 2. ครูสุ่มนักเรียนออกมาแสดงวิธีการใช้เคร่ืองช่ังสปริงในการวัดน้าหนักของวัตถุ โดยอาจให้นักเรียน แสดงวธิ ีการวัดและอ่านค่าน้าหนักของวัตถตุ ่าง ๆ เช่น สมุด แปรงลบกระดาน ขัน้ สอน (เวลำ 45 นำที) 3. ครูให้นักเรียนอ่านวิธีทาข้อท่ี 2-4 โดยอ่านในใจ จากน้ันครูตรวจสอบความเข้าใจขั้นตอนการทา กิจกรรมทีละขั้นตอนจนแนใ่ จว่านกั เรยี นสามารถทาได้ โดยใชค้ าถามดังน้ี 3.1 อนั ดบั แรกนกั เรยี นตอ้ งทาอะไร (ดึงขอเกย่ี วของเครอื่ งชัง่ สปริงในแนวดิง่ )
๒๔๗ 3.2 เมื่อดงึ ขอเกีย่ วของเครื่องช่ังสปริงในแนวดิ่งแลว้ นกั เรียนต้องสังเกตอะไร (การเปล่ียนแปลงของ เคร่อื งช่งั สปริง) 3.3 ลาดับตอ่ ไปนกั เรยี นตอ้ งทาอะไร (นาถุงทรายมาแขวนแล้วอา่ นค่าแรง และมวลของถงุ ทราย) 3.4 นกั เรยี นตอ้ งชง่ั ถุงทรายจานวนกค่ี รัง้ แตล่ ะครั้งช่งั จานวนก่ถี งุ (สองคร้ัง ชง่ั ครั้งที่หนึ่งใช้ถุงทราย 1 ถุง คร้ังที่สองใชถ้ งุ ทราย 2 ถุง) 3.5 นักเรียนจะมีวิธีสังเกตอย่างไรว่าสเกลฝั่งไหนเป็นค่ามวลหรือค่าแรง (มวลจะมีหน่วยเป็น กรัม นา้ หนักจะมหี น่วยเป็นนิวตัน) 4. ครใู หน้ กั เรียนลงมอื ทากิจกรรมขอ้ 2-4 แลว้ ให้นกั เรียนนาเสนอผลการทากิจกรรมในชั้นเรียน 5. ครูและนกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายผลการทากจิ กรรมโดยใชแ้ นวคาถาม ดงั นี้ 5.1 เม่ือออกแรงดึงขอเกยี่ วของเคร่ืองชัง่ สปรงิ เครือ่ งชั่งสปริงเกิดการเปลีย่ นแปลงอย่างไร (หมดุ ของเครอื่ งชง่ั สปริงเลอ่ื นลงมาดา้ นลา่ ง) 5.2 เมื่อออกแรงดึงขอเกี่ยวของเครื่องชั่งสปริงให้มากขึ้น เครื่องชั่งสปริงเกิดการเปลี่ยนแปลง อยา่ งไร (หมุดของเครื่องช่งั สปริงเลอ่ื นลงมาดา้ นล่างมากขน้ึ ค่าทอี่ า่ นได้ก็มากขึ้นด้วย) 5.3 เม่ือแขวนถงุ ทรายกับเคร่ืองช่ังสปริงแลว้ ถุงทรายอยนู่ ิง่ เกดิ อะไรขน้ึ กับเครื่องช่ังสปรงิ (หมุดเล่ือนลงมาดา้ นลา่ ง) 5.4 มวลของถงุ ทราย 1 ถงุ มีคา่ เท่าใด (500 กรมั ) 5.5 มวลของถงุ ทราย 2 ถงุ มคี า่ เท่าใด (1000 กรมั ) 5.6 มวลของถุงทราย 1 ถงุ กบั มวลถงุ ทราย 2 ถงุ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร (มวลของถงุ ทราย 2 ถุง มีคา่ มากกวา่ ถงุ ทราย 1 ถงุ ) 5.7 ค่าแรงท่ีอ่านได้เม่ือแขวนถุงทราย 1 ถุงกับเครื่องชั่งสปริงให้น่ิงเป็นเท่าใด (ประมาณ 5 นวิ ตนั ) 5.8 ค่าแรงที่อ่านได้เมื่อแขวนถุงทราย 2 ถุงกับเครื่องช่ังสปริงให้น่ิงเป็นเท่าใด (ประมาณ 10 นวิ ตนั ) 5.9 คา่ แรงท่อี ่านไดเ้ มอื่ แขวนถงุ ทราย 1 ถงุ กบั ถงุ ทราย 2 ถุง แตกตา่ งกันอย่างไร (ค่าของแรง ทีอ่ ่านเมอื่ แขวนถุงทราย 2 ถงุ มีค่ามากกวา่ ถงุ ทราย 1 ถุง 5.10 ค่าท่ีอ่านได้จากเคร่ืองช่ังสปริงเมื่อถุงทรายอยู่นิ่งคือค่าอะไร (แรงโน้มถ่วงของโลกท่ีกระทา ตอ่ ถุงทรายหรือนา้ หนกั ของถุงทราย) 5.11 มวลและน้าหนักของถุงทรายสัมพันธ์กันอย่างไร (เม่ือมวลของถุงทรายเพิ่มข้ึน น้าหนักของ ถุงทรายกจ็ ะเพม่ิ ข้นึ ด้วย) 6. นักเรียนตอบคาถามหลงั ทากิจกรรม
๒๔๘ ข้ันสรปุ (เวลำ 10 นำท)ี 7. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสรุปแนวคิดหรือส่ิงที่ได้เรียนรู้ในช่ัวโมงน้ีด้วยตนเองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ของมวลและน้าหนักของวัตถุ 8. ครูและนักเรียนร่วมกับสรุปเกี่ยวกับเก่ียวกับความสัมพันธ์ของมวลและน้าหนักของวัตถุว่า เมื่อ ถุงทรายอยู่น่ิง แรงท่ีถุงทรายดึงเคร่ืองช่ังสปริงจะเท่ากับน้าหนักของถุงทราย หรือแรงโน้มถ่วงของ โลกท่ีกระทาต่อถุงทราย ดังน้ันมวลและน้าหนักมีความสัมพันธ์กันโดยเมื่อมวลของถุงทรายเพ่ิมขึ้น น้าหนักของถงุ ทรายก็จะเพิ่มข้ึนดว้ ย 8. สื่อ/แหลง่ เรียนรู้ 8.1 ใบงาน 01 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมวลและน้าหนัก หนา้ 94 8.2 ถุงทรายขนาด 500 กรมั 2 ถุง 8.3 เครือ่ งชงั่ สปรงิ 1 เคร่ือง 9. ช้นิ งำน/ภำระงำน - การทาใบงาน 01 ความสัมพนั ธ์ระหว่างมวลและนา้ หนัก หนา้ 94 10. กำรวดั และประเมนิ ผล 10.1 ประเมินความรู้เรื่องการหาน้าหนักของวัตถุและความสัมพันธ์ระหว่างมวลและน้าหนักด้วยการตอบ คาถามในช้นั เรยี นและในใบงาน (K) 10.2 ประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ดว้ ยแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ดว้ ยแบบประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
๒๔๙ แบบประเมินด้ำนทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ แผนกำรเรียนร้ทู ี่ 28 เร่ือง ควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งมวลและน้ำหนัก (2) เกณฑ์การประเมินมีดังนี้ 3 หมายถงึ ดี 2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถงึ ปรับปรงุ คะแนน ส่ิงทป่ี ระเมนิ รวมคะแนน การสงั เกต การวัด การลงความเหน็ จากขอ้ มูล การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ เกณฑ์กำรประเมิน ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรุง (1) ทักษะกระบวนกำร ทำงวิทยำศำสตร์ การสงั เกต สามารถใชป้ ระสาทสมั ผสั สามารถใช้ประสาทสัมผัส สามารถใช้ประสาทสมั ผสั เกบ็ รายละเอียดข้อมลู เกบ็ รายละเอียดข้อมูล เกบ็ รายละเอียดข้อมูล การวัด เกย่ี วกับส่ิงทเี่ กิดขน้ึ กับ เก่ียวกบั สงิ่ ท่เี กดิ ขึ้นกับ เกีย่ วกบั ส่ิงทเี่ กิดข้ึนกับ การลงความเห็น เคร่ืองชงั่ สปรงิ เมื่อออก เคร่ืองชงั่ สปรงิ เมื่อออก เคร่ืองชั่งสปริงเม่ือออก จากข้อมูล แรงดงึ ได้อยา่ งถูกต้อง แรงดงึ ได้อยา่ งถูกต้องจาก แรงดึงได้ถูกต้องบางส่วน ดว้ ยตนเอง โดยไมเ่ พ่ิมเติม การชแี้ นะของครูหรอื ผู้อ่นื แม้จะไดร้ บั คาแนะนาจาก ความคิดเห็น ผ้อู ื่น สามารถใชเ้ ครื่องช่ังสปรงิ สามารถใช้เคร่ืองช่ังสปริง และระบหุ น่วยของแรงได้ สามารถใชเ้ คร่ืองช่ังสปริง และระบหุ นว่ ยของแรงได้ อย่างถูกต้องโดยอาศยั และระบุหนว่ ยของแรงได้ อยา่ งถูกต้องดว้ ยตนเอง การชีแ้ นะของครูหรือผู้อ่ืน ถูกต้องบางสว่ น แมจ้ ะ สามารถเพ่ิมเติมความ ไดร้ บั คาแนะนาจากผอู้ ืน่ สามารถเพ่ิมเตมิ ความ คดิ เห็นไดว้ ่าแรงที่ถุงทราย คดิ เหน็ ได้ว่าแรงทถ่ี ุงทราย ดึงเคร่ืองช่งั สปรงิ จะ สามารถเพ่ิมเตมิ ความ ดงึ เคร่อื งชั่งสปริงจะ เท่ากับน้าหนักของ คิดเหน็ ได้วา่ แรงทีถ่ งุ ทราย เท่ากบั นา้ หนักของ ถุงทรายหรอื แรงโน้มถว่ ง ดงึ เครื่องชั่งสปริงจะ ถงุ ทรายหรือแรงโน้มถ่วง ของโลกที่กระทาต่อ เท่ากบั น้าหนักของ ของโลกที่กระทาต่อ ถุงทรายไดอ้ ย่างมเี หตุผล ถุงทรายหรือแรงโน้มถ่วง ถุงทรายไดอ้ ย่างมเี หตุผล ของโลกที่กระทาต่อ ถุงทรายไดแ้ ต่ยงั ไมเ่ ปน็
๒๕๐ ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ จากความรูห้ รือ โดยอาศยั คาแนะนาของครู เหตุเปน็ ผล แม้จะได้รับ ประสบการณเ์ ดิมได้ดว้ ย หรือผ้อู ื่น คาแนะนาจากผู้อ่นื ตนเอง การตีความหมาย สามารถตคี วามหมาย สามารถตคี วามหมาย สามารถตคี วามหมาย ขอ้ มูลและลง ขอ้ สรปุ ขอ้ มลู จากการทากิจกรรม ข้อมลู จากการทากิจกรรม ขอ้ มลู จากการทากจิ กรรม ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งวา่ เมื่อมวล ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งว่า เม่ือมวล ไดถ้ ูกต้องบางส่วนว่า เมื่อ ของวัตถุเพมิ่ ขึ้น น้าหนัก ของวัตถุเพ่มิ ข้ึน นา้ หนัก มวลของวตั ถุเพิม่ ขึน้ ของวตั ถจุ ะเพิ่มขึน้ ด้วย ของวัตถจุ ะเพิม่ ขนึ้ ด้วย น้าหนักของวัตถุจะ ดว้ ยตนเอง โดยอาศยั การชแี้ นะจากครู เพิ่มขน้ึ ด้วย แม้จะไดร้ ับ และผอู้ ่ืน คาแนะนาจากผู้อ่นื แบบประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ แผนกำรเรยี นรู้ที่ 28 เรอ่ื ง ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงมวลและนำ้ หนกั (2) ช่ือผู้ประเมิน/กลุ่มประเมนิ ............................................................................................................................. ..... ชอื่ กลุ่มรับกำรประเมนิ ........................................................................................................................................ ประเมนิ ผลครัง้ ท่ี......................................วัน........................เดอื น............................พ.ศ................................... เรือ่ ง..................................................................................................................................................................... ที่ ลกั ษณะ/พฤตกิ รรมบง่ ช้ี ระดับพฤตกิ รรม คะแนนที่ได้ เกิด = 1 ไมเ่ กิด = 0 1. ซือ่ สัตย์สุจริต 2. ม่งุ มั่นในการทางาน รวมคะแนนทไี่ ดท้ ัง้ หมด = …………… คะแนน เกณฑ์กำรประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ - มากกวา่ 80% ได้ 3 คะแนน - 50% - 79% ได้ 2 คะแนน - ตา่ กว่า 50% ได้ 1 คะแนน
๒๕๑ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 29 กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษำปีท่ี 4 ภำคเรยี นที่ 1 รำยวิชำวิทยำศำสตร์ รหสั วิชำ ว14101 หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ 3 แรง หนว่ ยยอ่ ยที่ 1 แรง แผนกำรเรียนร้ทู ี่ 29 เรื่องควำมสมั พันธร์ ะหว่ำงมวลและนำ้ หนัก (3) เวลำ 1 ช่ัวโมง 1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ / ตัวชวี้ ดั สำระที่ 2 วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ ลักษณะการเคลื่อนที่ แบบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทงั้ นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชีว้ ดั ป.4/2 ใช้เครื่องช่ังสปริงในการวัดนา้ หนักของวัตถุ 2. จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้ 2.1 ด้ำนควำมรู้ ควำมเข้ำใจ (K) - บรรยายความสัมพนั ธร์ ะหว่างมวลและน้าหนกั 2.2 ด้ำนทักษะกระบวนกำร (P) - ออกแบบวิธกี ารหาความสมั พันธ์ระหว่างมวลและน้าหนัก 2.3 ด้ำนคุณลกั ษณะ เจตคติ คำ่ นิยม (A) - มีความมุง่ ม่ันในการทางาน - ชว่ ยเหลือในการทางานกลุ่มร่วมกนั 3. สำระสำคัญ มวลและน้าหนักของวตั ถมุ คี วามสมั พันธ์กัน 4. สำระกำรเรยี นรู้ ควำมรู้ มวลและน้าหนกั ของวตั ถุมีความสัมพันธ์กัน โดยวัตถุที่มีมวลมากจะมีน้าหนักมาก และวัตถุที่มีมวลน้อย จะมีน้าหนักนอ้ ย ทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ - การลงความเหน็ จากข้อมูล - การตีความหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรุป
๒๕๒ 5. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียน 5.1 ความสามารถในการสอื่ สาร - บรรยายความสัมพันธข์ องมวลและนา้ หนัก 5.2 ความสามารถในการคิด - ออกแบบวธิ ีการหาความสัมพันธร์ ะหว่างมวลและนา้ หนัก 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา - การแกป้ ญั หาและการชว่ ยเหลือในการทางานกลุ่มร่วมกัน 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต - มีความสามัคคีในการทางานกลมุ่ ร่วมกัน 6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 6.1 ซื่อสตั ย์สุจรติ 6.2 มุง่ ม่นั ในการทางาน 7. กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ขน้ั นำเข้ำสู่บทเรยี น (เวลำ 10 นำท)ี 1. ครูทบทวนความรจู้ ากกจิ กรรมท่ีผา่ นมาโดยใชค้ าถาม ดังนี้ 1.1 นักเรียนได้ทาอะไรบ้างในช่ัวโมงที่ผ่านมา (แขวนถุงทรายจานวน 1 ถุง กับแขวนถุงทราย จานวน 2 ถุง กับเครื่องช่ังสปริง ) 1.2 คา่ ของมวลท่ีอ่านได้จากเคร่ืองช่ังสปริงแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร (ค่าของมวลแตกต่างกัน โดยคา่ ของมวลจากถุงทราย 2 ถุงจะมากกวา่ ถงุ ทราย 1 ถงุ ) 1.3 ค่าของแรงท่ีอ่านได้จากเคร่ืองช่ังสปริงแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร (ค่าท่ีอ่านได้จะแตกต่าง กัน โดยค่าของแรงที่อ่านได้จากเคร่ืองชั่งสปริงเม่ือแขวนถุงทรายจานวน 2 ถุง จะมากกว่า เมอื่ แขวนถงุ ทรายจานวน 1 ถงุ ) 1.4 นกั เรียนจะอธิบายความสมั พนั ธข์ องมวลและน้าหนกั ได้อยา่ งไร (เมอ่ื มวลเพิ่มข้นึ นา้ หนกั กจ็ ะเพม่ิ ขึน้ ดว้ ย) ขน้ั สอน (เวลำ 45 นำท)ี 2. ครูนาถุงหูหิ้ว 1 ใบ ซึ่งบรรจุถ่านไฟฉาย 2 ก้อน มาแขวนกับเครื่องช่ังสปริง แล้วให้ตัวแทนนักเรียน ออกมาอา่ นคา่ มวลและนา้ หนักของถ่านไฟฉาย โดยครใู ช้คาถาม ดังน้ี 2.1 มวลของถ่านไฟฉายมีคา่ เทา่ ใด (นักเรยี นตอบตามท่อี ่านคา่ ได)้ 2.2 น้าหนกั ของถ่านไฟฉายที่อ่านคา่ ได้มีคา่ เท่าใด (นกั เรยี นตอบตามที่อ่านค่าได้) 2.3 ถ้าเราต้องการทดสอบเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างมวลกับน้าหนักโดยใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ นักเรยี นจะมีวิธที าไดอ้ ย่างไรบา้ ง เพราะเหตุใด
๒๕๓ ครูให้เวลานักเรียนระดมความคิดประมาณ 5 นาที แล้วแจกกระดาษให้นักเรียนเขียนวิธีการ ทดสอบ จากนน้ั ตวั แทนแตล่ ะกล่มุ เสนอวิธีการท่ีกลุ่มเลือก (นักเรียนอาจมีวิธีการทดสอบ เช่น เพ่ิมมวล ของวัตถุ โดยเพมิ่ จานวนถา่ นไฟฉายลงไปในถุง หรือลดมวลของวตั ถุ โดยอาจลดจานวนถ่านไฟฉายในถุง แล้วใช้เคร่ืองชั่งสปริงหาค่ามวลและน้าหนัก เพราะเม่ือมวลเพ่ิมข้ึน น้าหนักก็จะเพ่ิมขึ้น เมื่อมวลลดลง น้าหนักก็จะลดลงด้วย) 3. นกั เรียนทาใบงาน 02 แบบฝกึ หดั ความสมั พนั ธ์ระหว่างมวลและนา้ หนัก ข้นั สรปุ (เวลำ 5 นำที) 4. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสรุปแนวคิดหรือสิ่งท่ีได้เรียนรู้ในชั่วโมงนี้ด้วยตนเองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ของมวลและน้าหนัก 5. ครูและนกั เรียนร่วมกับสรปุ เกยี่ วกับความสัมพันธข์ องมวลและนา้ หนกั ว่า มวลและนา้ หนกั มคี วามสมั พันธ์กนั โดยวัตถุท่ีมีมวลมากจะมนี า้ หนักมาก วตั ถุทีม่ ีมวลนอ้ ยจะมีนา้ หนักน้อย 8. สื่อ /แหลง่ เรยี นรู้ 8.1 ใบงาน 02 แบบฝกึ หดั ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและน้าหนัก หนา้ 96 8.2 ถ่านไฟฉาย 4 ก้อน 8.3 ถุงหูห้ิว 1 ใบ 8.4 เครอ่ื งช่งั สปริง 1 อนั 8.5 กระดาษ A3 9. ชนิ้ งำน/ภำระงำน - การทาใบงาน 02 แบบฝกึ หัด ความสัมพนั ธ์ระหว่างมวลและน้าหนกั หน้า 96 10. กำรวดั และประเมนิ ผล 10.1 ประเมนิ ความรูเ้ รอื่ งความสัมพนั ธ์ระหว่างมวลและน้าหนกั ดว้ ยการตอบคาถามในชน้ั เรยี น และในใบงาน (K) 10.2 ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ดว้ ยแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ดว้ ยแบบประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
๒๕๔ แบบประเมินดำ้ นทักษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ แผนกำรเรยี นรู้ที่ 29 เรือ่ ง ควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงมวลและนำ้ หนกั (3) เกณฑ์การประเมนิ มดี ังน้ี 3 หมายถึง ดี 2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถึง ปรับปรุง คะแนน สงิ่ ทป่ี ระเมิน การวดั รวมคะแนน การลงความเห็นจากข้อมลู การตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรุป เกณฑก์ ำรประเมนิ ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การวัด สามารถใช้เคร่ืองชั่ง สามารถใชเ้ ครื่องชั่งสปริง สามารถใชเ้ ครื่องชัง่ สปริง การลงความเห็น สปรงิ และระบุหน่วยของ และระบหุ นว่ ยของแรงได้ และระบหุ น่วยของแรงได้ จากข้อมูล แรงได้อย่างถูกต้องด้วย อย่างถูกต้องโดยอาศยั การ ถูกต้องบางสว่ น แมจ้ ะ การตคี วามหมาย ข้อมูลและลงข้อสรุป ตวั เอง ชแี้ นะของครูหรือผู้อ่ืน ได้รับคาแนะนาจากผอู้ น่ื สามารถเพ่ิมเติมความ สามารถเพ่ิมเติมความ สามารถเพ่ิมเติมความ คิดเห็นเก่ยี วกบั วธิ ีการหา คดิ เหน็ เก่ียวกับวธิ ีการหา คิดเหน็ เกย่ี วกับวิธกี ารหา ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง ความสมั พนั ธ์ระหว่างมวล ความสมั พันธร์ ะหวา่ งมวล มวลและน้าหนกั ได้อยา่ ง และน้าหนกั ได้อยา่ ง และนา้ หนกั ได้ถูกต้อง ถูกต้องและมเี หตุผล ถกู ต้องและมีเหตผุ ล บางสว่ น แมจ้ ะไดร้ บั จากความรู้หรือ โดยอาศยั คาแนะนาของครู คาแนะนาจากผู้อืน่ ประสบการณเ์ ดมิ ได้ดว้ ย หรอื ผู้อน่ื ตัวเอง สามารถตคี วามหมาย สามารถตคี วามหมาย สามารถตคี วามหมาย ข้อมูลจากการทา ขอ้ มูลจากการทากิจกรรม ขอ้ มลู จากการทากจิ กรรม กจิ กรรมไดถ้ ูกตอ้ ง ไดอ้ ยา่ งถูกต้องวา่ เม่อื มวล ได้ว่า เมื่อมวลของวตั ถุ ด้วยตนเองว่า เมือ่ มวล ของวตั ถเุ พมิ่ ข้ึน นา้ หนกั เพ่มิ ขึน้ นา้ หนักของวตั ถุ ของวตั ถเุ พม่ิ ขึน้ นา้ หนัก ของวัตถุจะเพิม่ ข้ึนดว้ ยโดย จะเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถูกต้อง
ทกั ษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ๒๕๕ ปรับปรุง (1) ทำงวิทยำศำสตร์ อาศัยการชแ้ี นะจากครู และผอู้ ืน่ แค่บางสว่ น แม้จะได้รบั ของวตั ถจุ ะเพิม่ ขึ้นด้วย คาแนะนาจากผู้อน่ื แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แผนกำรเรยี นรูท้ ี่ 29 เร่ือง ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงมวลและนำ้ หนัก (3) ชอ่ื ผู้ประเมิน/กลุ่มประเมิน............................................................................................................................. ..... ชือ่ กลุ่มรบั กำรประเมนิ ........................................................................................................................................ ประเมินผลครงั้ ท่ี......................................วนั ........................เดือน............................พ.ศ................................... เรอื่ ง..................................................................................................................................................................... ท่ี ลักษณะ/พฤตกิ รรมบ่งชี้ ระดับพฤตกิ รรม คะแนนทีไ่ ด้ เกดิ = 1 ไมเ่ กดิ = 0 1. ซอื่ สตั ย์สุจริต 2. มงุ่ มั่นในการทางาน รวมคะแนนทไี่ ดท้ งั้ หมด = …………… คะแนน เกณฑ์กำรประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ - มากกวา่ 80% ได้ 3 คะแนน - 50% - 79% ได้ 2 คะแนน - ตา่ กวา่ 50% ได้ 1 คะแนน
๒๕๖ เฉลยใบงำน
๒๕๗ สปริงดำ้ นในยืดออกมำกข้ึน และหมดุ เล่ือนลงมำดำ้ นล่ำงมำกข้ึน
๒๕๘ 500 กรัม 5 นวิ ตนั 1,000 กรมั 10 นิวต้น แตกต่ำงกัน เมอื่ ดงึ เครือ่ งชง่ั สปริงดว้ ยแรงที่มำก หมดุ ของเครอ่ื งชัง่ สปรงิ จะเลอ่ื นลงมำกข้นึ ทำให้อ่ำนค่ำแรงได้มำกข้นึ ค่ำนำ้ หนกั ของถุงทรำยหรือแรงโนม้ ถว่ งของโลกท่กี ระทำต่อถุงทรำย
๒๕๙ แตกตำ่ งไปจำกเดิม คำ่ ท่ีอ่ำนไดจ้ ำกเครอ่ื งช่งั สปรงิ เม่อื แขวนถุงทรำย เพิม่ ขึ้น จะมำกข้ึน เม่ือมวลของวัตถุเพิ่มข้นึ น้ำหนักของวตั ถุกจ็ ะเพิ่มข้นึ ด้วย ใชว้ ัดคำ่ ของแรง มวลและนำ้ หนักมคี วำมสัมพันธก์ ัน โดยวัตถุทม่ี ีมวลมำกจะมนี ำ้ หนักมำก วัตถทุ ่ีมมี วลน้อยจะมนี ้ำหนักน้อย
๒๖๐ แรงโน้มถ่วงของโลกกระทำต่อวตั ถุ 500 กรัม 5 นิวตัน
๒๖๑ 8 นวิ ตนั 2 นวิ ตัน 5 นิวตนั
๒๖๒ แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 30 กลุม่ สำระกำรเรยี นรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษำปีท่ี 4 ภำคเรยี นที่ 1 รำยวชิ ำวิทยำศำสตร์ รหัสวชิ ำ ว14101 หนว่ ยกำรเรียนรูท้ ี่ 3 แรง หนว่ ยยอ่ ยที่ 1 แรง แผนกำรเรยี นรู้ท่ี 30 เรอื่ ง ควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงมวลกับกำรเปล่ียนแปลงกำรเคลอื่ นทีข่ องวัตถุ (1) เวลำ 1 ชั่วโมง 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้ / ตัวชวี้ ดั สำระท่ี 2 วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ ลักษณะการเคล่ือนท่ี แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ป.4/3 บรรยายมวลของวัตถุที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนท่ีของวัตถุจากหลักฐาน เชิงประจักษ์ 2. จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้ 2.1 ด้ำนควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ (K) - บรรยายความสัมพนั ธข์ องมวลกับการเปลย่ี นแปลงการเคล่ือนท่ขี องวตั ถุ 2.2 ดำ้ นทกั ษะกระบวนกำร (P) - สงั เกตการเปลยี่ นแปลงการเคลื่อนท่ีของวัตถทุ ี่มีมวลตา่ งกัน 2.3 ด้ำนคณุ ลักษณะ เจตคติ คำ่ นยิ ม (A) - มีความมงุ่ มน่ั ในการทางาน ช่วยเหลอื ในการทางานกลุ่มร่วมกนั 3. สำระสำคัญ มวลสมั พนั ธ์กับการเปล่ียนแปลงการเคลื่อนท่ขี องวัตถุ 4. สำระกำรเรียนรู้ ควำมรู้ มวลสมั พนั ธ์กบั การเปล่ียนแปลงการเคลอ่ื นทขี่ องวัตถุ โดยวัตถุท่ีมีมวลมากจะเปล่ียนแปลงการเคล่ือนที่ ไดย้ ากกว่าวัตถทุ ี่มีมวลนอ้ ย ทักษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ - การสังเกต - การลงความเห็นจากข้อมลู - การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรุป
๒๖๓ 5. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น 5.1 ความสามารถในการส่อื สาร - บรรยายความสัมพนั ธ์ของมวลกับการเปลี่ยนแปลงการเคลือ่ นท่ีของวัตถุ 5.2 ความสามารถในการคิด - วเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ของมวลกับการเปล่ยี นแปลงการเคล่อื นท่ีของวัตถุ 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา - การแกป้ ญั หาและการช่วยเหลือในการทางานกลุ่มร่วมกัน 5.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต - มคี วามสามคั คใี นการทางานกลุ่มร่วมกนั 6. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 6.1 ซอื่ สตั ย์สจุ รติ 6.2 มงุ่ มนั่ ในการทางาน 7. กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ขั้นนำเขำ้ สูบ่ ทเรียน (เวลำ 10 นำท)ี 1. ครทู บทวนความรู้พนื้ ฐานและตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนโดยใช้คาถามดังน้ี 1.1 เม่ือออกแรงกระทาต่อวตั ถุ จะเกดิ ผลต่อวตั ถุอย่างไร (วัตถอุ าจเปล่ียนแปลงรปู ร่างหรือ เปลีย่ นแปลงการเคล่ือนท่ี) 1.2 การเปล่ยี นแปลงการเคล่ือนท่ีของวตั ถุมลี กั ษณะใดบา้ ง (เปล่ยี นจากหยุดนิ่งเป็นเคลือ่ นที่ เปลย่ี นจากกาลงั เคล่ือนที่เปน็ หยดุ นงิ่ เปลี่ยนจากกาลงั เคลื่อนทเ่ี ปน็ เคล่ือนท่ีต่อไปแต่เรว็ ขึ้น ชา้ ลง หรือเปล่ียนทศิ ทางการเคล่ือนที่) 1.3 หากออกแรงกระทาต่อวตั ถทุ ีม่ ีมวลต่างกันเพ่อื ทาใหว้ ัตถนุ นั้ เคลอ่ื นท่ี นักเรยี นคิดว่าการออก แรงหรือผลท่เี กิดจากการออกแรงจะแตกต่างกันหรอื ไม่ อย่างไร (นกั เรยี นตอบตามความ เข้าใจของตนเอง) 2. ครูชักชวนนักเรียนสงั เกตภาพหนูมาลีและแมวซง่ึ กาลังน่ังเลน่ ชงิ ชา้ ด้วยกนั จากนนั้ ครูถามคาถาม ดังนี้
๒๖๔ ทีม่ า : วิดโี อ เพลงหนูมาลี มลี ูกแมวเหมียว รวมเพลงเด็กอนุบาล 39 นาที - the kids song https://www.youtube.com/watch?v=-rT290weMs8&t=335s 2.1 ในภาพหนมู าลีและแมวกาลังทาอะไร (เล่นชิงช้า) 2.2 หนมู าลกี บั แมวมีมวลเท่ากันหรอื ไม่ อย่างไร? (ไม่เท่ากัน โดยหนมู าลีมีมวลมากกวา่ แมว) 2.3 ถา้ นกั เรียนจะตอ้ งช่วยหนูมาลีและแมวโยกชิงชา้ ใหแ้ กว่งได้ นกั เรียนคิดว่าจะต้องออกแรง โยกชิงชา้ เทา่ กันหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ) 3. ครูยงั ไม่เฉลยคาตอบให้กบั นกั เรียน แต่ชักชวนให้นักเรียนไปคน้ พบจากกจิ กรรมต่อไป ข้นั สอน (เวลำ 40 นำท)ี 4. ครูใหน้ กั เรยี นอ่านชื่อกิจกรรมและจดุ ประสงค์ในกิจกรรมที่ 1 มวลเกีย่ วขอ้ งกับการเปลีย่ นแปลงการ เคลื่อนท่ีของวัตถอุ ยา่ งไร หน้า 99 จากน้ันตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรยี นเก่ยี วกับสิ่งท่ีจะเรยี น โดยอาจใชค้ าถาม ดังนี้ 4.1 กจิ กรรมนน้ี กั เรียนจะไดเ้ รียนเกย่ี วกับเรื่องอะไร (ความสัมพันธร์ ะหว่างมวลกบั การ เปลีย่ นแปลงการเคล่ือนท่ขี องวตั ถ)ุ 4.2 นกั เรียนจะไดเ้ รยี นเรอื่ งนี้ดว้ ยวิธใี ด (การสังเกต) 4.3 เม่อื เรียนแลว้ นักเรยี นจะทาอะไรได้ (บรรยายความสัมพนั ธร์ ะหว่างมวลกับการเปลยี่ นแปลง การเคล่ือนทีข่ องวตั ถุ) 5. นกั เรยี นอา่ นชื่ออปุ กรณ์ และวิธที า จากน้นั ครตู รวจสอบความเขา้ ใจเกยี่ วกบั อปุ กรณ์ และขนั้ ตอน การทากิจกรรมทลี ะขน้ั ตอน โดยใชค้ าถามดังนี้ 5.1 เพราะเหตุใดจึงต้องบรรจุทรายใส่ขวดแตล่ ะใบในปริมาณท่ีตา่ งกนั (เปน็ การทาให้มวลของ ขวดแต่ละใบต่างกัน เพ่ือศกึ ษาถงึ ผลของมวลตอ่ การเปล่ียนแปลงการเคล่ือนที่ของวตั ถ)ุ 5.2 ในการทากิจกรรมน้ี นอกจากขวดใสท่ ราย 2 ใบที่บรรจุทรายปริมาณต่างกัน นักเรยี นตอ้ งจัด อปุ กรณ์อย่างไรอีกบา้ ง (ในการทากิจกรรมข้อที่ 2 ใหแ้ ขวนขวดด้วยความยาวเชือกท่เี ท่ากัน เร่ิมแตะขวดแตล่ ะใบเบา ๆ ในตาแหน่งก้นขวดเหมือนกนั สว่ นในการทากจิ กรรมข้อที่ 3 ให้ดงึ ขวดแต่ละใบด้วยมุมทท่ี ากับแนวดงิ่ ท่เี ทา่ กนั )
๒๖๕ 5.3 นกั เรียนตอ้ งทาอะไรกับขวดใส่ทรายท่ีแขวนกับคานไม้บ้าง (ต้องใชม้ ือแตะขวดแตล่ ะใบ เบา ๆ เพื่อให้ขวดเริ่มเคลื่อนท่ี) 5.4 ขณะใชม้ อื แตะเพ่ือใหข้ วดเริม่ เคลือ่ นที่ นกั เรียนต้องสงั เกตอะไรบ้าง (แรงทใี่ ช้เพ่ือทาใหข้ วด ท่ีแขวนอยนู่ ิง่ แตล่ ะใบเรมิ่ เคลื่อนท)ี่ 5.5 ในวิธีทาขอ้ 3 นกั เรยี นตอ้ งทาอะไรบ้าง (ดึงขวดแต่ละใบใหท้ ามมุ กับแนวด่ิง แลว้ ใหเ้ พอ่ื นอกี คนวางฝ่ามือในแนวเดียวกับคานไมแ้ ล้วออกแรงในการทาใหข้ วดหยุดนงิ่ ) 5.6 นักเรียนต้องสังเกตอะไรบ้าง (แรงท่ีใชใ้ นการจับให้ขวดทก่ี าลังเคลื่อนท่ีอยูน่ ัน้ หยดุ น่ิง) 6. ครูสาธิตลกั ษณะการแตะขวดโดยยงั ไมอ่ อกแรงกระทาต่อขวด และสาธิตวิธกี ารวางฝา่ มอื ในแนว เดยี วกับคานไม้ใหน้ ักเรยี นดูก่อนลงมือทากจิ กรรม 7. ครอู าจแสดงภาพสรุปขนั้ ตอนการทาทีละข้นั แบบส้นั ๆ บนกระดาน 8. ครูชแี้ จงวธิ ีบันทึกผลลงในใบงาน 01 มวลกับการเปลย่ี นแปลงการเคลื่อนท่ีของวตั ถุ หน้า 101 9. นักเรยี นรบั อุปกรณ์ และเตรียมอปุ กรณ์ให้เรียบร้อย โดยนาคานไมท้ ผี่ กู เข้ากบั เชือกฟางและขวด ทรายแล้วไปพาดระหว่างโตะ๊ 2 ตวั โดยครกู าชับว่ายังไมใ่ ห้นกั เรียนใชม้ ือแตะขวด จนกวา่ ขวด ท้ังสองใบจะอยนู่ ง่ิ 10. นักเรียนลงมอื ทากิจกรรมพรอ้ มบนั ทกึ ผลลงในใบงาน 01 มวลกับการเปล่ยี นแปลงการเคล่อื นที่ของ วตั ถุ หนา้ 101 11. ครูใหน้ กั เรยี นนาเสนอผลการทากิจกรรม แลว้ ครูนาอภิปรายผลการทากิจกรรม โดยอาจใชค้ าถาม ดงั นี้ 11.1 ขวดใส่ทรายท้งั สองใบมีสงิ่ ใดท่แี ตกตา่ งกนั (ขวดทั้งสองใบมีมวลตา่ งกัน โดยขวดที่มปี รมิ าณ ทรายมาก จะมมี วลมาก และขวดที่มีปรมิ าณทรายน้อย จะมีมวลน้อย) 11.2 แรงทใี่ ชใ้ นการทาให้ขวดท้งั สองใบให้เรมิ่ เคลือ่ นทีเ่ หมือนหรอื แตกต่างกันหรือไม่ อยา่ งไร (แตกต่างกนั โดยตอ้ งออกแรงมากเพือ่ ทาให้ขวดท่ีมที รายมากหรอื มวลมากเริ่มเคลื่อนที่ และออกแรงน้อยน้อยกว่าเพ่ือทาให้ขวดท่มี ที รายน้อยหรือมวลน้อยใหเ้ รม่ิ เคลื่อนท่ี) 11.3 แรงทใ่ี ชใ้ นการจบั ขวดทั้งสองใบให้หยุดนิ่งเหมือนหรอื แตกต่างกนั หรือไม่ อยา่ งไร (แตกตา่ ง กนั โดยตอ้ งออกแรงมาก เพ่ือหยุดการเคลอ่ื นทข่ี องขวดทม่ี ีทรายมากหรือมวลมาก และ ออกแรงน้อยกวา่ เพ่ือหยุดการเคลื่อนที่ของขวดทม่ี ีทรายนอ้ ยหรอื มวลนอ้ ย) 11.4 ระหว่างวัตถุที่มมี วลมากกบั วัตถทุ ่ีมีมวลนอ้ ย วัตถใุ ดมีการเปลี่ยนแปลงการเคลอื่ นที่ยาก กว่ากัน รไู้ ด้อย่างไร (วตั ถุที่มีมวลมากจะเปล่ยี นแปลงการเคล่อื นท่ีได้ยากกว่าวัตถุที่มมี วล นอ้ ย รู้ได้จากตอ้ งใชแ้ รงมากกว่าเพือ่ ทาใหเ้ ริ่มเคลอ่ื นทีห่ รือเพอ่ื ใหห้ ยดุ เคลือ่ นที่) ข้นั สรุป (10 นำที) 12. ครนู าภาพทีแ่ สดงในขน้ั นาและทบทวนคาถามทถี่ ามในขั้นนาอีกครั้งวา่ “ถา้ นักเรียนจะตอ้ งชว่ ยหนู มาลีและแมวโยกชงิ ชา้ ใหแ้ กว่งได้ นักเรียนคดิ วา่ จะต้องออกแรงโยกชิงช้าของใครมากกว่ากัน เพราะเหตุใด” (ต้องออกแรงโยกชิงชา้ ของหนูมาลีมากกว่า เพราะหนูมาลีมีมวลมากกวา่ จึง เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนท่จี ากหยุดนง่ิ เปน็ เริม่ แกวง่ ได้ยากกวา่ )
๒๖๖ 13. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สรุปเก่ียวกับความสัมพันธข์ องมวลกบั การเปล่ยี นแปลงการเคลื่อนทีข่ องวตั ถุ วา่ มวลสัมพนั ธ์กบั การเปลยี่ นแปลงการเคลื่อนท่ีของวัตถุ โดยวตั ถุทมี่ ีมวลมาก จะเปลีย่ นแปลง การเคลอื่ นทไี่ ดย้ ากกวา่ วตั ถุที่มมี วลน้อย 8. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 8.1 ใบงาน 01 มวลกับการเปลยี่ นแปลงการเคลอื่ นท่ขี องวัตถุ หน้า 101 8.2 คานไม้ 8.3 ขวดนา้ พลาสติก 8.4 ทราย 8.5 เชอื กฟาง 8.6 ภาพหนมู าลแี ละแมว 9. ชิ้นงำน/ภำระงำน - การทาใบงาน 01 มวลกบั การเปลย่ี นแปลงการเคล่อื นที่ของวตั ถุ หนา้ 101 10. กำรวัดและประเมนิ ผล 10.1 ประเมนิ ความรู้เรอ่ื งความสมั พันธข์ องมวลกบั การเปลี่ยนแปลงการเคลอื่ นที่ของวัตถุ ด้วยการตอบคาถามในช้นั เรยี นและในใบงาน (K) 10.2 ประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ดว้ ยแบบประเมินทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมินคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ดว้ ยแบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
๒๖๗ แบบประเมนิ ดำ้ นทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ แผนกำรเรยี นร้ทู ี่ 30 เรอ่ื ง ควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งมวลกับกำรเปล่ียนแปลงกำรเคลื่อนท่ขี องวัตถุ (1) เกณฑ์การประเมินมดี ังนี้ 3 หมายถงึ ดี 2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถงึ ปรับปรุง คะแนน ส่งิ ท่ปี ระเมิน รวมคะแนน การสังเกต การลงความเหน็ จากขอ้ มูล การตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรุป เกณฑก์ ำรประเมนิ ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรุง (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การสงั เกต สามารถใช้ประสาทสัมผสั สามารถใช้ประสาทสมั ผสั สามารถใชป้ ระสาทสัมผสั ในการรวบรวมข้อมูล การลงความเห็น เก่ียวกบั แรงที่ใชใ้ นการ ในการรวบรวมข้อมลู แรงที่ ในการรวบรวมข้อมลู จากข้อมลู เปล่ยี นแปลงการเคลื่อนที่ ของวัตถุได้อย่างถูกต้องด้วย ใช้ในการเปลยี่ นแปลงการ เกี่ยวกับแรงที่ใชใ้ นการ ตนเอง โดยไมเ่ พ่ิมความ คิดเหน็ เคลอื่ นท่ีของวัตถุได้อยา่ ง เปล่ยี นแปลงการเคลื่อนท่ี สามารถเพิ่มเติมความ คดิ เหน็ เกี่ยวกับขอ้ มูลได้ว่า ถกู ต้อง โดยอาศัยการช้ีแนะ ของวตั ถุไดถ้ ูกต้องบางสว่ น ขวดทมี่ ีมวลมากจะต้องใช้ แรงกระทามากกว่าเพอ่ื ให้ ของครหู รอื ผอู้ ่ืน แม้จะได้รบั คาแนะนาจาก ขวดเรม่ิ เคล่อื นท่หี รือหยดุ เคลอื่ นทจี่ ากความรูห้ รือ ผูอ้ น่ื ประสบการณเ์ ดิมได้อยา่ งมี เหตุผลดว้ ยตนเอง สามารถเพ่ิมเติมความ สามารถเพิ่มเติมความ คดิ เหน็ เกย่ี วกบั ขอ้ มลู ได้ว่า คิดเห็นเกีย่ วกบั ขอ้ มลู ไดว้ ่า ขวดท่มี ีมวลมากจะต้องใช้ ขวดทม่ี มี วลมากจะต้องใช้ แรงกระทามากกว่าเพือ่ ให้ แรงกระทามากกว่าเพ่ือให้ ขวดเร่มิ เคลอื่ นที่หรือหยุด ขวดเร่มิ เคลอื่ นทห่ี รือหยดุ การเคลือ่ นทไี่ ด้อยา่ งมี เคล่อื นท่ีได้แต่ไมเ่ ป็นเหตุ เหตุผล โดยอาศยั คาแนะนา เปน็ ผล แม้จะได้รับ ของครหู รอื ผอู้ นื่ คาแนะนาจากผู้อื่น
๒๖๘ ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรุง (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การตคี วามหมาย สามารถตคี วามหมายข้อมลู สามารถตคี วามหมายข้อมูล สามารถตีความหมายข้อมูล ขอ้ มูลและลงข้อสรุป จากการทากิจกรรมได้อย่าง จากการทากจิ กรรมได้อยา่ ง จากการทากิจกรรมไดว้ ่า ถกู ต้องวา่ มวลและการ ถกู ต้องว่า มวลและการ มวลและการเปล่ียนแปลง เปลีย่ นแปลงการเคล่ือนท่ี เปลีย่ นแปลงการเคลื่อนที่ การเคล่ือนทขี่ องวตั ถุมี ของวัตถุมีความสัมพันธ์กัน ของวตั ถุมคี วามสัมพนั ธ์กัน ความสัมพันธ์กนั โดยวตั ถุที่ โดยวัตถุทม่ี มี วลมาก โดยวตั ถทุ ม่ี มี วลมาก มมี วลมาก จะเปล่ยี นแปลง จะเปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นที่ จะเปลี่ยนแปลงการ การเคล่ือนทไ่ี ด้ยากกว่าวตั ถุ ไดย้ ากกว่าวตั ถุท่ีมีมวลน้อย เคล่ือนท่ีได้ยากกว่าวัตถุท่ีมี ทีม่ ีมวลนอ้ ยไดถ้ ูกตอ้ ง ดว้ ยตนเอง มวลนอ้ ยโดยอาศยั การ บางสว่ น แมจ้ ะได้รับ ชแี้ นะจากครูและผู้อ่ืน คาแนะนาจากผู้อน่ื แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ แผนกำรเรยี นรู้ที่ 30 เร่ือง ควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงมวลกับกำรเปลย่ี นแปลงกำรเคลอ่ื นทข่ี องวัตถุ (1) ชอื่ ผูป้ ระเมนิ /กลมุ่ ประเมนิ ............................................................................................................................. ..... ชื่อกลุ่มรบั กำรประเมนิ ........................................................................................................................................ ประเมินผลคร้งั ท.่ี .....................................วนั ........................เดือน............................พ.ศ................................... เรือ่ ง............................................................................................................................. ........................................ ที่ ลกั ษณะ/พฤตกิ รรมบ่งชี้ ระดับพฤตกิ รรม คะแนนท่ไี ด้ เกดิ = 1 ไม่เกิด = 0 1. ซื่อสตั ย์สจุ รติ 2. มงุ่ มน่ั ในการทางาน รวมคะแนนที่ไดท้ ้งั หมด = …………… คะแนน เกณฑก์ ำรประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ - มากกวา่ 80% ได้ 3 คะแนน - 50% - 79% ได้ 2 คะแนน - ต่ากว่า 50% ได้ 1 คะแนน
๒๖๙ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 31 กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษำปีที่ 4 ภำคเรียนที่ 1 รำยวชิ ำวิทยำศำสตร์ รหสั วิชำ ว14101 หนว่ ยกำรเรียนรู้ท่ี 3 แรง หนว่ ยยอ่ ยที่ 1 แรง แผนกำรเรียนรูท้ ี่ 31 เรื่อง ควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งมวลกับกำรเปลี่ยนแปลงกำรเคลื่อนทข่ี องวัตถุ (2) เวลำ 1 ช่ัวโมง 1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ / ตัวชว้ี ัด สำระท่ี 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุ ลักษณะการเคลื่อนที่ แบบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชวี้ ัด ป.4/3 บรรยายมวลของวัตถุท่ีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุจากหลักฐานเชิง ประจกั ษ์ 2. จุดประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 2.1 ด้ำนควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ (K) - บรรยายความหมายและความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งมวลและน้าหนกั - บรรยายความสัมพนั ธ์ของมวลกับการเปล่ยี นแปลงการเคลอ่ื นทขี่ องวตั ถุ 2.2 ดำ้ นทักษะกระบวนกำร (P) - 2.3 ดำ้ นคณุ ลกั ษณะ เจตคติ ค่ำนยิ ม (A) - มคี วามมุ่งมน่ั ในการทางาน - ช่วยเหลือในการทางานกลุ่มร่วมกัน 3. สำระสำคัญ มวล คอื ปรมิ าณเนือ้ ทั้งหมดของสสารท่ีประกอบกนั เป็นวัตถุ มีหนว่ ยเป็น กรมั หรอื กโิ ลกรัม น้าหนัก คือ แรงโนม้ ถ่วงของโลกทกี่ ระทาตอ่ มวลของวัตถุ จงึ ทาใหว้ ัตถมุ นี ้าหนกั มีหน่วยเปน็ นวิ ตนั แรงโน้มถ่วงของโลกท่ีกระทาต่อมวลของวัตถุ ทาให้วัตถุตกลงสู่พื้นเสมอ แรงโน้มถ่วงของโลกแต่ละ บรเิ วณมีคา่ ไมเ่ ท่ากัน ข้นึ อยู่กบั ความสูงจากพ้ืนโลก และเป็นแรงไม่สัมผสั เพราะโลกมีแรงดึงดูดวัตถุได้โดยวัตถุ ไมจ่ าเปน็ ต้องสมั ผัสกับผวิ โลก เครอ่ื งชัง่ สปริงเป็นอปุ กรณใ์ ช้วดั แรง น้าหนักของวัตถุชั่งได้จากเครื่องชั่งสปริง มวลและน้าหนักของวัตถุ มคี วามสมั พนั ธ์กัน มวลมากข้ึนนา้ หนกั ก็จะมากข้ึน มวลสัมพนั ธก์ บั การเปลี่ยนแปลงการเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุ วัตถทุ ่มี ีมวลมากจะเปลีย่ นแปลงการเคลอื่ นท่ี ไดย้ าก
๒๗๐ 4. สำระกำรเรยี นรู้ ควำมรู้ มวล คือ ปริมาณเนือ้ ท้งั หมดของสสารท่ปี ระกอบกนั เป็นวัตถุ มหี น่วยเปน็ กรัมหรอื กิโลกรัม น้าหนัก คือ แรงโนม้ ถว่ งของโลกทกี่ ระทาตอ่ มวลของวัตถุ จึงทาใหว้ ัตถุมนี ้าหนัก มหี นว่ ยเปน็ นิวตนั แรงโน้มถว่ งของโลกที่กระทาต่อมวลของวตั ถุ ทิศทางที่พุ่งเข้าส่ศู นู ยก์ ลางของโลกทาให้วัตถุตกลงสู่พ้ืน เสมอ แรงโน้มถว่ งของโลกแต่ละบริเวณมีค่าไมเ่ ท่ากนั ขน้ึ อยกู่ บั ความสูงจากพน้ื โลก และเปน็ แรงไมส่ ัมผัส เพราะโลกมแี รงดึงดูดวตั ถุไดโ้ ดยวัตถุไมจ่ าเปน็ ตอ้ งสัมผัสกับผิวโลก เครื่องช่ังสปริงเป็นอุปกรณ์ใช้วัดแรง น้าหนักของวัตถุช่ังได้จากเคร่ืองช่ังสปริง ซึ่งทาได้โดยใช้มือจับท่ี บริเวณหูจับ จากน้ันนาวัตถุที่จะชั่งมาเก่ียวท่ีขอเกี่ยว หันด้านท่ีมีสเกลเข้าหาตนเองยกเครื่องช่ังขึ้นให้อยู่ใน ระดบั สายตา อ่านค่าจากสเกลของเครื่องช่งั สปริงโดยใหห้ มดุ อยูท่ ่รี ะดับสายตา สังเกตที่หมุดซึ่งมีเครื่องหมาย + ว่าเส้นแนวนอนอยู่ตรงกับค่าเท่าใด มวลและน้าหนักของวัตถุมีความสัมพันธ์กัน มวลมากข้ึนน้าหนักก็จะมาก ขนึ้ มวลเป็นสมบัติในการต้านการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ มวลสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงการ เคลือ่ นทข่ี องวัตถุ โดยวตั ถทุ ีม่ ีมวลมากจะเปลี่ยนแปลงการเคล่อื นท่ไี ดย้ ากกวา่ วตั ถุท่ีมีมวลน้อย ทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ - 5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร - ความสัมพนั ธ์ของมวลกบั การเปลย่ี นแปลงการเคล่ือนที่ของวัตถุ 5.2 ความสามารถในการคิด - สงั เกตการเปลีย่ นแปลงการเคล่ือนที่ทส่ี ัมพันธ์กับมวลของวัตถุ 5.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา - การแกป้ ญั หาและการช่วยเหลอื ในการทางานกลุ่มร่วมกัน 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต - มคี วามสามคั คีในการทางานกลุม่ ร่วมกนั 6. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 6.1 ซอื่ สตั ย์สุจรติ 6.2 มงุ่ มน่ั ในการทางาน
๒๗๑ 7. กิจกรรมกำรเรยี นรู้ ขั้นนำเขำ้ สบู่ ทเรยี น (เวลำ 5 นำที) 1. ครูถามคาถามเพ่ือทบทวนส่งิ ท่ีเรยี นมาแลว้ ดังน้ี 1.1 การทวี่ ัตถุมีมวลแตกตา่ งกัน จะส่งผลตอ่ การเปล่ียนแปลงการเคลื่อนทขี่ องวัตถนุ ั้น ๆ อย่างไร (วัตถุท่มี ีมวลมากจะเปลี่ยนแปลงการเคล่อื นทีไ่ ดย้ ากกว่าวัตถุที่มีมวลน้อย) 2. ครใู ห้นกั เรยี นยกตวั อย่างสถานการณ์ท่ีเกย่ี วกบั มวลกับการเปล่ยี นแปลงการเคลื่อนที่ของวตั ถุ ในชวี ติ ประจาวัน (นักเรยี นตอบตามประสบการณ์ของตนเอง เช่น การเล่อื นโตะ๊ ท่ีมขี นาดใหญแ่ ละ เก้าอ้ีให้เคลื่อนท)ี่ ข้นั สอน (เวลำ 45 นำท)ี 3. นกั เรียนทาใบงาน 02 แบบฝกึ หดั เรื่องมวลกับการเปล่ียนแปลงการเคล่ือนที่ของวตั ถุ 4. ครูทบทวนความร้เู กย่ี วกับมวล น้าหนกั แรงโนม้ ถว่ ง ความสมั พันธข์ องมวลและนา้ หนัก และ ความสมั พนั ธ์ของมวลกับการเปลยี่ นแปลงการเคล่ือนท่ี โดยใชค้ าถาม ดังน้ี 4.1 หากครมู ีกล้วย 1 ลูก มวลของกล้วยคือส่วนใดบ้าง (ทุกสว่ นของกล้วย) 4.2 กลว้ ยลูกน้ีมนี า้ หนกั หรือไม่ เพราะเหตุใด (มี เพราะแรงโน้มถว่ งของโลกกระทาต่อมวลของ กล้วย) 4.3 ถ้าต้องการทาให้มวลของกล้วยเปลย่ี นแปลงจากเดิม เช่น ทาใหม้ วลลดลง ต้องทาอย่างไร (ลดมวลโดยปอกเปลือกกล้วย หรอื กินบางส่วนของผลกลว้ ย) 4.4 เมื่อมวลของกล้วยเปล่ียนแปลงไป นา้ หนกั ของกลว้ ยจะเป็นอย่างไร (นา้ หนักจะเปลยี่ นแปลง ไปด้วย) 4.5 ถา้ อยากให้นา้ หนักของกลว้ ยลดลง โดยทม่ี วลของกลว้ ยยังเท่าเดมิ นักเรยี นมีวธิ กี าร ทาอยา่ งไร (นากล้วยไปช่งั น้าหนักในบรเิ วณที่ห่างจากศนู ยก์ ลางโลกมาก ๆ เช่น บริเวณ เสน้ ศนู ยส์ ูตร หรอื ในอวกาศ) 4.6 ครูแสดงภาพประกอบ แล้วถามคาถามว่า “ถา้ มีกลอ่ งใสก่ ล้วย 2 กลอ่ ง กาลงั ไถลลงมาตาม พ้นื เอียง กลอ่ งที่ 1 มีมวล 50 กโิ ลกรมั กล่องท่ี 2 มีมวล 35 กโิ ลกรัม ถ้านกั เรยี นต้องการ หยุดกล่องทั้งสองกล่อง นักเรียนต้องออกแรงกระทาตอ่ กล่องแต่ละใบเทา่ กนั หรอื ไม่ อย่างไร” (ต้องออกแรงในการหยุดกลอ่ งแตล่ ะใบต่างกนั โดยตอ้ งออกแรงหยดุ กล่องมีมวล 50 กโิ ลกรัม มากกวา่ กล่องที่มีมวล 35 กิโลกรมั เพราะวตั ถุที่มีมวลมาก จะเปลย่ี นแปลงการ เคลื่อนที่ไดย้ ากกว่าวัตถทุ ่ีมมี วลนอ้ ย) หมายเหตุ ในชว่ งของการทบทวนความรูท้ ีเ่ รียนผ่านมา ครูควรพิจารณาโดยจดั สรรเวลาให้ เพียงพอต่อการทาแบบทดสอบท้ายหนว่ ยการเรยี นรู้ ข้นั สรุป (เวลำ 10 นำท)ี 5. ครเู ปิดโอกาสใหน้ ักเรียนสรุปแนวคิดหรอื ส่งิ ท่ีได้เรยี นรใู้ นชัว่ โมงน้ีดว้ ยตนเองเกย่ี วกบั ความสมั พนั ธ์ ระหว่างมวลกบั น้าหนัก และมวลกบั การเปล่ยี นแปลงการเคล่ือนที่ของวัตถุ
๒๗๒ 6. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันสรุปเกย่ี วกับความสัมพนั ธร์ ะหว่างมวลกบั นา้ หนัก และมวลกับการ เปล่ียนแปลงการเคลื่อนทขี่ องวัตถุวา่ มวล คอื ปริมาณเน้ือท้ังหมดของสสารท่ปี ระกอบกันเป็นวตั ถุ มีหน่วยเปน็ กรมั หรือกิโลกรัม น้าหนกั คอื แรงโน้มถว่ งของโลกทก่ี ระทาต่อมวลของวัตถุ จึงทาให้วัตถมุ นี ้าหนัก มหี น่วยเป็นนิวตัน แรงโน้มถว่ งของโลกเปน็ แรงไมส่ ัมผสั ท่สี ามารถดึงดูดให้วัตถตุ กลงสู่พื้น แรงโนม้ ถ่วงของโลก แต่ละบรเิ วณมีคา่ ไมเ่ ทา่ กัน ขึ้นอยกู่ บั ระยะห่างจากศนู ย์กลางโลก เคร่อื งชั่งสปริงเป็นอุปกรณ์ใช้วัดแรง นา้ หนกั ของวัตถชุ ่งั ได้จากเคร่ืองชงั่ สปรงิ มวลและน้าหนกั ของวตั ถุมคี วามสมั พันธ์กนั โดยมวลมากขนึ้ นา้ หนักกจ็ ะมากข้นึ มวลสมั พนั ธก์ ับการเปล่ยี นแปลงการเคลอ่ื นท่ีของวตั ถุ โดยวตั ถุทีม่ ีมวลมากจะเปลยี่ นแปลงการ เคล่อื นท่ีไดย้ ากกว่าวัตถุท่ีมีมวลน้อยกวา่ 8. สอื่ /แหลง่ เรียนรู้ 8.1 ใบงาน 02 แบบฝกึ หัด เรื่องมวลกับการเปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นที่ของวตั ถุ หน้า 103 8.2 กล้วย 2 ลูก 9. ชน้ิ งำน/ภำระงำน 9.1 การทาใบงาน 02 แบบฝึกหดั เรอื่ งมวลกับการเปลยี่ นแปลงการเคลื่อนท่ีของวัตถุ หนา้ 103 10. กำรวดั และประเมินผล 10.1 ประเมินความรเู้ ร่ืองความสัมพันธข์ องมวลกบั การเปลีย่ นแปลงการเคล่อื นที่ของวตั ถุ ด้วยการตอบคาถามในใบงาน (K) 10.2 ประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ดว้ ยแบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
๒๗๓ แบบประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ แผนกำรเรียนรูท้ ่ี 31 เรอื่ ง ควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งมวลกับกำรเปล่ียนแปลงกำรเคลือ่ นทขี่ องวัตถุ (2) ช่ือผ้ปู ระเมิน/กลุ่มประเมนิ ............................................................................................................................. ..... ชื่อกลุ่มรับกำรประเมิน............................................................................................................................. ........... ประเมนิ ผลครั้งท.่ี .....................................วัน........................เดือน............................พ.ศ................................... เรอื่ ง............................................................................................................................. ........................................ ที่ ลกั ษณะ/พฤตกิ รรมบ่งชี้ ระดับพฤตกิ รรม คะแนนทไี่ ด้ เกดิ = 1 ไมเ่ กดิ = 0 1. ซื่อสตั ย์สุจริต 2. ม่งุ มัน่ ในการทางาน รวมคะแนนท่ไี ดท้ งั้ หมด = …………… คะแนน เกณฑก์ ำรประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ - มากกวา่ 80% ได้ 3 คะแนน - 50% - 79% ได้ 2 คะแนน - ต่ากวา่ 50% ได้ 1 คะแนน
๒๗๔ เฉลยใบงำน
๒๗๕
๒๗๖ ขวดทใ่ี ส่ทรำยท้ังสองใบมีมวลแตกต่ำงกนั ขวดท่ีมีทรำยเตม็ ขวดจะมีมวล มำกกวำ่ ขวดที่มที รำย 1/5 ของขวด ขวดที่มีทรำยเต็มขวดเคลอื่ นทไ่ี ดย้ ำกกว่ำ รู้ได้จำกต้องออกแรงมำกกวำ่ ใน กำรแตะขำ้ งขวดให้เร่ิมเคล่อื นที่ ขวดท่ีมที รำยเต็มขวดหยุดยำกกวำ่ รูไ้ ด้จำกต้องออกแรงมำกกวำ่ ในกำร ต้ำนขวดให้หยดุ กำรทำให้ขวดที่มีทรำยเต็มขวดหรือมีมวลมำกเปล่ียนแปลงกำรเคลื่อนที่ จำกหยุดนิ่งให้เคลอ่ื นท่ี หรอื ทำให้ขวดที่เคลื่อนท่ีมำแล้วหยุดนิ่ง จะต้องใช้ แรงมำกกว่ำขวดทม่ี ีทรำยนอ้ ยหรอื มีมวลนอ้ ย มวลมีควำมสัมพันธ์กับกำรเปล่ียนแปลงกำรเคลื่อนท่ีของวัตถุ และมวลมี ควำมสมั พันธ์กับนำ้ หนักของวัตถุ
๒๗๗ รถบรรทุกจะหยุดไดย้ ำกกวำ่ เพรำะรถบรรทุกมีมวลมำกกวำ่ จงึ เปล่ียนแปลง กำรเคลื่อนท่ีไดย้ ำกกว่ำ
๒๗๘ แรงที่ใชโ้ ยนลูกบอลแต่ละลกู แตกต่ำงกัน โดยต้องออกแรงเพื่อโยนลูกบอล C มำกที่สุด เพรำะมีมวลมำกท่ีสุด และออกแรงโยนลูกบอล A และ B น้อยลง ตำมมวลทนี่ ้อยลงมำ ตำมลำดับ
๒๗๙ หน่วยกำรเรียนร้ทู ี่ ๔ แสง
๒๘๐ มำตรฐำนกำรเรยี นรู้และตัวชี้วัดของหนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี ๔ แสง มำตรฐำนกำรเรียนรู้และตัวชวี้ ัด มำตรฐำน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสง และคล่ืน แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมท้ังนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ตัวช้ีวัด ว ๒.๓ ป.๔/๑ จาแนกวัตถเุ ปน็ ตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง โดยใช้ลักษณะการมองเห็น สิง่ ต่าง ๆ ผ่านวตั ถนุ น้ั เปน็ เกณฑจ์ ากหลักฐานเชิงประจกั ษ์
๒๘๑ ลำดบั กำรนำเสนอแนวคิดหลักของหน่วยกำรเรียนร้ทู ี่ ๔ แสง เมื่อแสงเคลอ่ื นท่ีไปกระทบวัตถุตา่ ง ๆ แสงจะสามารถผ่านวัตถแุ ตล่ ะชนดิ ไดแ้ ตกต่างกัน วตั ถุท่ีแสงผ่านไมไ่ ด้ เรียกว่า วัตถทุ ึบแสง วตั ถทุ ่ีแสงผ่านได้ เรยี กวา่ ตัวกลางของแสง การจาแนกตวั กลางของแสงตามเกณฑก์ ารมองเห็นแสง เม่ือมองผ่านตัวกลางนัน้ จาแนกได้ ๒ ประเภท คือ ตัวกลางโปรง่ ใส และตวั กลางโปรง่ แสง เมือ่ มองผา่ นตัวกลางโปรง่ ใส จะมองเหน็ แสงชดั เจน แตเ่ ม่ือมองผา่ นตัวกลางโปรง่ แสง จะมองเหน็ แสงไมช่ ดั เจน
๒๘๒ ตัวอยำ่ งโครงสรำ้ งแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ของหน่วยกำรเรยี นรู้ท่ี ๔ แสง แผนการจัดการเรียนรู้ การมองเหน็ แสงเม่ือมอง ผา่ นวตั ถตุ ่าง ๆ (๔ ชั่วโมง) หน่วยย่อยท่ี ๑ (ตวั กลางของแสง) หน่วยกำรเรียนร้ทู ่ี ๔ แสง (๔ ชว่ั โมง) หมำยเหตุ : โครงสร้างเวลานเี้ ปน็ ตัวอยา่ งสาหรับในการจดั การเรียนการสอน ซ่งึ สามารถปรบั ไดต้ าม ความเหมาะสมกับวันและเวลา
๒๘๓ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ ๔ หนว่ ยยอ่ ยท่ี ๑ ตัวกลำงของแสง จำนวนเวลำเรียน ๔ ช่วั โมง ช่อื หน่วย แสง จำนวนแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ ๔ แผน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สำระสำคัญของหน่วย เมอื่ มองสงิ่ ต่าง ๆ โดยมีวตั ถุต่างชนดิ กนั มาก้นั จะทาให้การมองเห็นส่ิงน้ัน ๆ ชัดเจนต่างกัน จึงจาแนก วัตถุที่มากั้นออกเป็นตัวกลางโปร่งใสซึ่งทาให้มองเห็นส่ิงต่าง ๆ ได้ชัดเจน ตัวกลางโปร่งแสงทาให้มองเห็น ส่งิ ตา่ ง ๆ ไดไ้ มช่ ดั เจน และวตั ถุทบึ แสงทาให้มองไม่เห็นสิง่ ตา่ ง ๆ นั้น มำตรฐำนและตัวชีว้ ดั มำตรฐำน มำตรฐำน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง และ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมท้ังนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตวั ช้ีวัด ว ๒.๓ ป.๔/๑ จาแนกวัตถุเปน็ ตัวกลางโปรง่ ใส ตวั กลางโปรง่ แสง และวัตถุทึบแสง โดยใช้ลักษณะ การมองเหน็ สง่ิ ต่าง ๆ ผา่ นวตั ถนุ ้ันเป็นเกณฑจ์ ากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์
๒๘๔ ลำดบั กำรเสนอแนวคิดหลกั ของหน่วยย่อยท่ี ๑ ตัวกลำงของแสง เมอื่ แสงเคล่อื นที่ไปกระทบวัตถุตา่ ง ๆ แสงจะสามารถผา่ นวัตถแุ ตล่ ะชนิดไดแ้ ตกตา่ งกัน วตั ถุทแ่ี สงผา่ นไมไ่ ด้ เรียกว่า วัตถทุ ึบแสง วตั ถุท่ีแสงผา่ นได้ เรยี กว่า ตัวกลางของแสง การจาแนกตัวกลางของแสงตามเกณฑ์การมองเหน็ แสง เม่ือมองผา่ นตวั กลางนน้ั จาแนกได้ ๒ ประเภท คอื ตัวกลางโปร่งใส และตัวกลางโปร่งแสง เมอื่ มองผ่านตวั กลางโปร่งใส จะมองเห็นแสงชัดเจน แตเ่ มื่อมองผา่ นตวั กลางโปรง่ แสง จะมองเหน็ แสงไมช่ ัดเจน โครงสรำ้ งของหน่วยยอ่ ยท่ี ๑ ตัวกลำงของแสง หน่วยกำรเรียนรู้ ช่อื หน่วยย่อย จำนวน ชือ่ แผนกำร จำนวนชว่ั โมง (ชั่วโมง) จดั กำรเรยี นรู้ ๔ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๔ หน่วยย่อยท่ี ๑ ตัวกลางของ แสง แสง ๔ การมองเห็น ส่งิ ต่าง ๆ ผา่ น วตั ถุที่นามาก้ัน แสง
๒๘๕ แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 32 กลมุ่ สำระกำรเรียนร้วู ิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษำปีที่ 4 ภำคเรยี นที่ 1 รำยวิชำวิทยำศำสตร์ รหสั วิชำ ว14101 หน่วยกำรเรยี นรู้ท่ี 4 แสง หน่วยยอ่ ยท่ี 1 ตัวกลำงของแสง แผนกำรเรียนร้ทู ี่ 32 เรอื่ ง กำรมองเห็นส่ิงต่ำง ๆ ผำ่ นวัตถทุ นี่ ำมำก้ันแสง (1) เวลำ 1 ชั่วโมง 1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ / ตัวชี้วัด สำระที่ 2 วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่ เกย่ี วข้องกับเสยี ง แสง และคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมท้ังนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชวี้ ัด ป.4/1 จาแนกวตั ถุเปน็ ตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางโปร่งแสง และวตั ถุทบึ แสง จากลักษณะการมองเห็น ส่งิ ตา่ ง ๆ ผ่านวัตถุนัน้ เปน็ เกณฑ์ โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 2.1 ด้ำนควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ (K) - อธิบายลกั ษณะของแหลง่ กาเนดิ แสงและการมองเหน็ 2.2 ด้ำนทักษะกระบวนกำร (P) - สงั เกตการมองเห็นวตั ถุทเี่ ปน็ แหล่งกาเนดิ แสงและไม่เป็นแหล่งกาเนดิ แสง 2.3 ดำ้ นคุณลกั ษณะ เจตคติ คำ่ นยิ ม (A) - มคี วามมุ่งม่ันในการทางาน - ชว่ ยเหลอื ในการทางานกล่มุ รว่ มกัน 3. สำระสำคญั แหลง่ กาเนิดแสงมีทัง้ แหล่งกาเนิดแสงทเ่ี กิดข้นึ เองตามธรรมชาติ และแหล่งกาเนิดแสงท่ีมนุษย์ สรา้ งข้นึ การมองเหน็ วตั ถุท่เี ป็นแหล่งกาเนดิ แสงและไม่เปน็ แหล่งกาเนดิ แสงจะแตกต่างกัน 4. สำระกำรเรยี นรู้ ควำมรู้ แหลง่ กาเนดิ แสง คือ ส่งิ ทีใ่ ห้แสงจากตวั เองได้ ซงึ่ มีท้ังแหล่งกาเนิดแสงท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ห่งิ หอ้ ย และแหล่งกาเนิดแสงทม่ี นษุ ยส์ ร้างขนึ้ เช่น กองไฟ ไฟฉายที่เปดิ อยู่ เทียนไขที่จดุ แล้ว การมองเห็นวัตถุท่ีเป็นแหล่งกาเนิดแสง เกิดเม่ือแสงจากแหล่งกาเนิดแสงเคลื่อนที่มาเข้าตาผู้สังเกตโดยตรง ส่วนการมองเหน็ วัตถทุ ่ีเปน็ ไมแ่ หล่งกาเนิดแสง เกดิ เมื่อแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงเคล่อื นท่ีไปกระทบวัตถุ แลว้ สะท้อนเข้าตาผู้สังเกต
๒๘๖ ทักษะ/ กระบวนกำร - การสังเกต - การลงความเหน็ จากข้อมลู - การตีความหมายขอ้ มูลและลงข้อสรปุ - การสรา้ งแบบจาลอง 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการส่อื สาร - อธิบายการมองเหน็ วตั ถุท่ีเปน็ แหล่งกาเนิดแสงและไมเ่ ปน็ แหล่งกาเนิดแสง 5.2 ความสามารถในการคิด - จาแนกวตั ถทุ ี่เป็นแหล่งกาเนดิ แสงและไมเ่ ป็นแหล่งกาเนิดแสง 5.3 ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต - มีความสามัคคีในการทางานกลมุ่ ร่วมกนั 6. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 6.1 ซอ่ื สตั ย์สจุ ริต 6.2 มุ่งม่ันในการทางาน 7. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ขั้นนำเขำ้ สู่บทเรียน (เวลำ 10 นำที) 1. ครใู ห้นักเรียนเลน่ เกมโดยใหน้ กั เรียนสงั เกตรปู เสือ เพ่ือหาว่าในรูปน้นั มีเสอื ทั้งหมดก่ีตัว จากนั้นร่วมกัน อภปิ รายโดยใชค้ าถาม ดงั นี้ 1.1 นักเรียนเหน็ หน้าเสือท้ังหมดกต่ี ัว (13 ตวั ) 1.2 นกั เรียนมองเหน็ เสอื ท่ีอยู่ในรูปได้อย่างไร (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจ เช่น เพราะมีแสงไฟในห้อง ชว่ ยในการมองเห็น) 1.3 ถา้ นารปู น้ีไปวางไว้ในหอ้ งมืดสนิทที่ไมม่ ีแสงเลย นกั เรยี นจะมองเห็นเสือในรูปอยหู่ รือไม่ (นกั เรยี น ตอบตามความเข้าใจของตนเอง เชน่ ไม่เหน็ เพราะไมม่ ีแสง) 1.4 เรามองเหน็ ส่ิงต่าง ๆ รอบตวั ไดอ้ ยา่ งไร (นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง เช่น มตี า มีแสง) ข้นั สอน (เวลำ 45 นำท)ี 2. ครูนารูปวตั ถุหลาย ๆ ชนิด ทั้งท่เี ป็นแหล่งกาเนดิ แสงและไม่ใชแ่ หล่งกาเนิดแสง มาให้นกั เรียนจาแนก ออกเปน็ กลมุ่ พรอ้ มทง้ั บอกเกณฑท์ ีใ่ ช้ในการจาแนก จากนั้นร่วมกันอภปิ รายโดยใชค้ าถามดังตอ่ ไปนี้ 2.1 แหลง่ กาเนิดแสงคืออะไร (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ หากนกั เรียนตอบไมไ่ ด้ ครูให้ความรู้ เพ่มิ เติมเกี่ยวกับแหลง่ กาเนดิ แสงว่า เป็นส่งิ ท่ีมแี สงในตวั เอง)
๒๘๗ 2.2 มสี ิง่ ใดบ้างทีเ่ ปน็ แหล่งกาเนิดแสง (ดวงอาทติ ย์ ห่ิงห้อย แมงกะพรุน เหด็ เรืองแสงหลอดไฟทเี่ ปดิ อยู่ เทยี นไขทีก่ าลงั ถกู จดุ เปน็ ตน้ ) 2.3 แหลง่ กาเนิดแสงมีก่ีประเภท (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจ หากนักเรยี นตอบไม่ได้ ครูให้ความรู้ เพ่ิมเติมว่า แหลง่ กาเนิดแสงมี 2 ประเภท คอื แหลง่ กาเนิดแสงท่เี กดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาติและท่ี มนุษย์สรา้ งขนึ้ ) 2.4 ดวงจนั ทรเ์ ปน็ แหล่งกาเนิดแสงหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด (ไม่ เพราะดวงจันทรไ์ มม่ แี สงสว่างในตัวเอง แต่ ไดร้ บั แสงจากดวงอาทิตย)์ 3. ครชู ักชวนนกั เรียนอภปิ รายเกี่ยวกับการเคลอ่ื นทข่ี องแสงจากแหล่งกาเนิดแสง โดยนาแหล่งกาเนิดแสง เช่น เทยี นไขท่จี ุดไฟมาวางไว้กลางหอ้ งแลว้ ใช้คาถามดงั น้ี 3.1 ใครมองเหน็ เปลวเทียนไขบา้ ง (ทุกคน) 3.2 จากการสงั เกต แสงออกจากแหลง่ กาเนิดแสงในทศิ ทางใดบ้าง รไู้ ด้อย่างไร (ทุกทศิ ทาง เพราะคนที่ อยู่รอบ ๆ เทียนไขทุกคนสามารถสังเกตเหน็ เปลวเทยี นไขได)้ 3.3 แสงที่ออกจากแหล่งกาเนิดแสงมีลกั ษณะอยา่ งไร นกั เรียนจะมีวิธกี ารอธบิ ายการเคลื่อนทขี่ องแสง อย่างไร (ตอบตามความเขา้ ใจ เชน่ ออกทุกทิศทาง อธิบายไดโ้ ดยใช้ลูกศร) ครชู ักชวนนักเรียนเขยี น แผนภาพการเคล่ือนที่ของแสงจากแหล่งกาเนดิ แสงบนกระดาน 3.4 แสงท่อี อกจากแหลง่ กาเนิดแสงมีลักษณะอย่างไร (แสงเคล่อื นที่ออกจากแหล่งกาเนดิ แสงเป็นเส้นตรง ในทุกทิศทาง) หากนักเรยี นตอบไมไ่ ด้ครูอาจนาวีดิทศั นเ์ กยี่ วกบั การเคล่ือนท่ีของแสงออกจาก แหล่งกาเนิดแสงมาให้นักเรียนสังเกตประกอบการอภิปรายคาตอบ 3.6 นกั เรยี นมองเห็นเปลวเทียนไขได้อยา่ งไร (แสงจากเปลวเทียนไขเคล่ือนท่ีมาเข้าตาผู้สงั เกตโดยตรง) ครอู ธบิ ายเพ่ิมเติมโดยใช้การวาดดวงตา ลงในแผนภาพข้อ 3.3 3.7 การมองเหน็ วัตถทุ ่ีไมเ่ ปน็ แหล่งกาเนิดแสงเหมอื นหรือแตกตา่ งจากการมองเหน็ วตั ถุท่ีเป็น แหลง่ กาเนิดแสงอย่างไร (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ) 4. ครใู ห้นักเรียนทากิจกรรมเก่ยี วกับการมองเหน็ วตั ถทุ ี่ไมเ่ ปน็ แหล่งกาเนิดแสง โดยใช้วธิ ีการดังน้ี 4.1 นากระดาษมาพบั เป็นทรงกระบอกแลว้ นามาครอบตวั อกั ษรในใบงาน โดยต้งั ทรงกระบอกให้ตรง ปลายดา้ นล่างของทรงกระบอกแนบสนิทกบั ใบงาน แลว้ ใช้ตาแนบกบั ปลายทรงกระบอกด้านบน โดยไมใ่ หม้ แี สงเข้าไปในทรงกระบอก สงั เกตตัวอักษร บนั ทึกผลการมองเหน็ 4.2 เอียงปลายดา้ นลา่ งของทรงกระบอกเล็กนอ้ ย สงั เกตตวั อักษรอกี ครง้ั บนั ทึกผลการมองเห็น 4.3 วาดแหลง่ กาเนดิ แสงและลกู ศรแสดงเสน้ ทางการเคล่ือนท่ีของแสงท่ที าใหม้ องเหน็ ตัวอกั ษรในใบงาน 5. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายโดยใช้คาถาม ดังนี้ 5.1 เมือ่ วางทรงกระบอกแนบกับใบงาน นกั เรียนมองเหน็ ตัวอกั ษรหรือไม่ เพราะเหตใุ ด (ไมเ่ ห็น เพราะ เราไม่สามารถมองเห็นไดเ้ ม่ือไม่มแี สง) 5.2 เมอ่ื เอยี งทรงกระบอกเลก็ น้อย นกั เรยี นมองเหน็ ตัวอักษรหรอื ไม่ เพราะเหตุใด (เหน็ เพราะแสง สามารถผา่ นเข้ามาได้ ทาใหแ้ สงจากแหลง่ กาเนิดแสงมากระทบตวั อักษรแลว้ สะท้อนเขา้ ตา เราจึง สามารถมองเห็นตัวอักษรได้)
๒๘๘ 6. ครใู ห้ตัวแทนนักเรยี นออกมาวาดแผนภาพแสดงการมองเห็นบนกระดาน จากนนั้ ครแู ละนักเรียนรว่ มกัน อภปิ รายโดยใชค้ าถาม ดงั น้ี 6.1 แหลง่ กาเนดิ แสงในแผนภาพนีค้ ืออะไร (หลอดไฟ) 6.2 วตั ถุท่ีสังเกตคอื อะไร (ตัวอกั ษรในใบงาน) 6.3 ผลการวาดแผนภาพแสดงการมองเหน็ บนกระดานเหมือนกับของนักเรียนหรอื ไม่ อย่างไร (นักเรียน ตอบตามผลการทากจิ กรรมของตนเอง) ขน้ั สรุป (เวลำ 5 นำท)ี 7. ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนสรปุ แนวคิดหรอื สิ่งที่ได้เรยี นรูใ้ นชว่ั โมงนีด้ ว้ ยตนเองเกยี่ วกับแหลง่ กาเนดิ แสง 8. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรุปประเด็นตา่ ง ๆ ดังนี้ - สิ่งที่ให้แสงสว่างในตัวเองได้จัดเปน็ แหลง่ กาเนดิ แสง ซงึ่ มีท้ังแหล่งกาเนิดแสงทีเ่ กดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาติ และแหล่งกาเนิดแสงท่ีมนษุ ย์สรา้ งข้นึ - แสงออกจากแหล่งกาเนดิ แสงในทกุ ทศิ ทาง เป็นเส้นตรง - การมองเห็นวตั ถุทเ่ี ปน็ แหล่งกาเนิดแสง เกิดเม่ือแสงจากวัตถุทเ่ี ปน็ แหลง่ กาเนิดแสงเดินทางมาเขา้ ตา ผู้สงั เกตโดยตรง สว่ นการมองเหน็ วัตถทุ ี่ไม่เป็นแหลง่ กาเนิดแสง เกดิ เมื่อแสงเดินทางไปกระทบวัตถุ แล้วสะทอ้ นเขา้ สู่ตาผสู้ ังเกต 8. สือ่ /แหลง่ เรยี นรู้ 8.1 ใบความรเู้ รอื่ งแหลง่ กาเนิดแสง 8.2 รูปเสอื 8.3 เทยี นไข 1 เลม่ 8.4 วดี ทิ ศั น์เกย่ี วกบั การเคล่ือนท่ีของแสงออกจากแหล่งกาเนิดแสง 9. ชิน้ งำน/ภำระงำน - ใบงาน เรอื่ งการมองเหน็ วัตถุ (ทาเพิม่ เติมนอกเหนือจากสื่อ 60 พรรษา) 10. กำรวดั และประเมินผล 10.1 ประเมินความร้เู รอ่ื งแสงและการมองเหน็ แสงดว้ ยการตอบคาถามในชัน้ เรยี นและในใบงาน (K) 10.2 ประเมินทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ด้วยแบบประเมินทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ดว้ ยแบบประเมนิ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
๒๘๙ แบบประเมนิ ด้ำนทกั ษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ แผนกำรเรยี นรทู้ ่ี 32 เรื่อง กำรมองเห็นสิ่งต่ำง ๆ ผำ่ นวัตถทุ น่ี ำมำกนั้ แสง (1) เกณฑ์การประเมินมีดังนี้ 3 หมายถึง ดี 2 หมายถึง พอใช้ 1 หมายถึง ปรบั ปรุง คะแนน สิง่ ทีป่ ระเมนิ รวมคะแนน การสังเกต การลงความเหน็ จากข้อมลู การตีความหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรุป การสรา้ งแบบจาลอง เกณฑ์กำรประเมิน ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรุง (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การสังเกต สามารถใช้ประสาทสัมผัสใน สามารถใชป้ ระสาทสัมผสั ใน สามารถใช้ประสาทสมั ผสั การรวบรวมขอ้ มลู เก่ียวกบั การรวบรวมขอ้ มลู เกีย่ วกับ ในการรวบรวมขอ้ มูล การมองเห็นวัตถทุ ีเ่ ป็น การมองเหน็ วัตถทุ ่ีเปน็ เก่ยี วกับการมองเหน็ วตั ถุ แหล่งกาเนิดแสงและวตั ถุ แหล่งกาเนิดแสงและวตั ถุท่ี ทเ่ี ปน็ แหลง่ กาเนิดแสงและ ทไี่ มเ่ ปน็ แหลง่ กาเนดิ แสง ไม่เปน็ แหลง่ กาเนิดแสงได้จาก วัตถทุ ีไ่ มเ่ ป็นแหลง่ กาเนิด ดว้ ยตนเอง โดยไม่เพม่ิ ความ การชีแ้ นะของครหู รือผู้อื่น แสงไดบ้ างสว่ น แมจ้ ะได้รับ คดิ เห็น คาแนะนาจากผู้อ่ืน การลงความเห็น สามารถเพิ่มเตมิ ความ สามารถเพิ่มเตมิ ความคิดเหน็ สามารถเพ่ิมเตมิ ความ จากข้อมูล คดิ เหน็ เก่ียวกบั ข้อมูลได้ว่า เกย่ี วกับข้อมูลไดม้ สี ง่ิ ใดบ้าง คดิ เหน็ เกี่ยวกับข้อมลู ได้ มสี ง่ิ ใดบ้างเปน็ แหล่งกาเนิด เป็นแหล่งกาเนดิ แสงและเป็น บางส่วนว่ามสี ิ่งใดบ้างเปน็ แสงและเป็นแหลง่ กาเนดิ แหล่งกาเนดิ แสงประเภทใด แหลง่ กาเนดิ แสงและเปน็ แสงประเภทใดได้ด้วย โดยอาศัยคาแนะนาของครู แหลง่ กาเนดิ แสงประเภทใด ตนเอง หรือผอู้ นื่ แมจ้ ะได้รับคาแนะนาจาก ผู้อ่ืน
๒๙๐ ทกั ษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรุง (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การตคี วามหมาย สามารถตีความหมายข้อมูล สามารถตีความหมายข้อมูล สามารถตีความหมายข้อมูล ขอ้ มลู และลง จากการทากิจกรรมได้อยา่ ง จากการทากจิ กรรมได้อยา่ ง จากการทากิจกรรมได้ว่า ขอ้ สรปุ ถกู ต้องว่า การมองเหน็ วัตถุ ถกู ต้องว่า การมองเห็นวัตถุที่ การมองเห็นวตั ถุทเ่ี ป็น ที่เปน็ แหล่งกาเนิดแสงเกิด เป็นแหล่งกาเนิดแสง เกิดเมื่อ แหล่งกาเนดิ แสง เกิดเม่ือ เมอ่ื แสงจากวตั ถุทีเ่ ปน็ แสงจากวตั ถุทเี่ ป็น แสงจากวัตถุที่เป็น แหล่งกาเนิดแสงเคลือ่ นท่ีมา แหล่งกาเนดิ แสงเคล่ือนทมี่ า แหล่งกาเนิดแสงเคลื่อนที่ เข้าตาผูส้ ังเกตโดยตรง เข้าตาผูส้ ังเกตโดยตรง มาเขา้ ตาผูส้ ังเกตโดยตรง สว่ นการมองเหน็ วัตถุทไ่ี ม่ ส่วนการมองเห็นวตั ถุท่ีไมเ่ ป็น ส่วนการมองเหน็ วัตถุท่ี เปน็ แหล่งกาเนดิ แสง แหลง่ กาเนดิ แสง เกิดเม่ือแสง ไมเ่ ป็นแหลง่ กาเนดิ แสง เกิดเม่ือแสงเคล่ือนท่ีไป เคลื่อนที่ไปกระทบวตั ถุ เกดิ เมื่อแสงเคลื่อนที่ไป กระทบวตั ถุ แลว้ สะท้อนเข้า แล้วสะทอ้ นเข้าสูต่ าผูส้ งั เกต กระทบวัตถุ แลว้ สะท้อน สตู่ าผ้สู ังเกต ไดด้ ้วยตนเอง โดยอาศัยการชีแ้ นะจากครู เข้าสตู่ าผสู้ งั เกตได้ถูกตอ้ ง และผู้อ่นื บางส่วน แม้จะได้รับ คาแนะนาจากผู้อ่ืน การสรา้ ง สามารถวาดแผนภาพโดยใช้ สามารถวาดแผนภาพโดยใช้ สามารถวาดแผนภาพโดย แบบจาลอง ลูกศรแสดงการมองเห็น ลกู ศรแสดงการมองเห็น ใชล้ กู ศรแสดงการมองเหน็ สงิ่ ต่าง ๆ ได้อยา่ งถูกต้อง ส่งิ ต่างๆ ได้อย่างถกู ต้องโดย สงิ่ ตา่ ง ๆ ไดถ้ ูกต้อง ดว้ ยตนเอง อาศัย คาแนะนาของครูหรือ บางส่วน แมจ้ ะไดร้ บั ผู้อ่ืน คาแนะนาจากผู้อ่ืน
๒๙๑ แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ แผนกำรเรยี นรู้ที่ 32 เร่อื ง กำรมองเหน็ ส่ิงตำ่ ง ๆ ผ่ำนวตั ถุท่ีนำมำกัน้ แสง (1) ช่อื ผู้ประเมนิ /กลุ่มประเมิน............................................................................................................................. ..... ชือ่ กลุ่มรับกำรประเมิน............................................................................................................................. ........... ประเมินผลครั้งที่......................................วัน........................เดือน............................พ.ศ................................... เร่อื ง............................................................................................................................. ........................................ ที่ ลักษณะ/พฤติกรรมบ่งชี้ ระดับพฤติกรรม คะแนนที่ได้ เกดิ = 1 ไมเ่ กดิ = 0 1. ซือ่ สตั ย์สุจรติ 2. มุ่งมั่นในการทางาน รวมคะแนนที่ได้ท้งั หมด = …………… คะแนน เกณฑ์กำรประเมนิ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ - มากกวา่ 80% ได้ 3 คะแนน - 50% - 79% ได้ 2 คะแนน - ตา่ กวา่ 50% ได้ 1 คะแนน
๒๙๒ แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ที่ 33 กล่มุ สำระกำรเรยี นรูว้ ิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษำปีท่ี 4 ภำคเรียนที่ 1 รำยวิชำวิทยำศำสตร์ รหสั วิชำ ว14101 หน่วยกำรเรยี นรทู้ ่ี 4 แสง หน่วยย่อยที่ 1 ตวั กลำงของแสง แผนกำรเรยี นร้ทู ี่ 33 เรอ่ื ง กำรมองเหน็ ส่ิงตำ่ ง ๆ ผ่ำนวัตถทุ นี่ ำมำกนั้ แสง (2) เวลำ 1 ช่ัวโมง 1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ / ตวั ชว้ี ัด สำระท่ี 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่ เกย่ี วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมท้ังนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวชว้ี ัด ป.4/1 จาแนกวตั ถุเปน็ ตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางโปรง่ แสง และวัตถทุ ึบแสง จากลักษณะการมองเหน็ ส่ิงต่าง ๆ ผา่ นวัตถุน้นั เปน็ เกณฑ์ โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์ 2. จุดประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 2.1 ดำ้ นควำมรู้ ควำมเข้ำใจ (K) - อธิบายการมองเห็นส่ิงต่าง ๆ ผา่ นตัวกลางของแสงและวตั ถุทึบแสง 2.2 ด้ำนทกั ษะกระบวนกำร (P) - สงั เกตและจาแนกวัตถุท่ีนามาใชก้ ้นั แสงตามลกั ษณะการมองเหน็ แสงเม่ือมองผ่านวตั ถนุ ้ัน ๆ 2.3 ดำ้ นคณุ ลักษณะ เจตคติ คำ่ นยิ ม (A) - มคี วามมงุ่ ม่นั ในการทางาน ชว่ ยเหลอื ในการทางานกลุ่มรว่ มกัน 3. สำระสำคัญ เมื่อมองสงิ่ ตา่ ง ๆ ผ่านวัตถตุ ่าง ๆ ทน่ี ามากนั้ แสง การมองเห็นจะแตกต่างกนั 4. สำระกำรเรยี นรู้ ควำมรู้ การมองเห็นสงิ่ ตา่ ง ๆ ผ่านวตั ถตุ ่างชนิดกนั ทนี่ ามากน้ั แสง จะทาใหก้ ารมองเห็นแตกต่างกัน โดยวตั ถุ ที่นามากั้นแสงบางชนิดสามารถทาให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน บางชนิดสามารถมองเห็นได้แต่ไม่ชัดเจน บางชนดิ ทาให้ไม่สามารถมองเห็นส่ิงตา่ ง ๆ ได้ ทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ - การสังเกต - การจาแนกประเภท - การลงความเหน็ จากข้อมูล
๒๙๓ - การตคี วามหมายข้อมูลและลงขอ้ สรปุ 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการส่อื สาร - อธิบายการมองเหน็ ส่ิงต่าง ๆ ผ่านตวั กลางของแสงและวตั ถุทบึ แสง 5.2 ความสามารถในการคิด - เปรยี บเทียบลักษณะการมองเหน็ และจาแนกวตั ถุท่นี ามาใช้กัน้ แสงตามลกั ษณะการมองเหน็ แสง เมอื่ มองผา่ นวตั ถุนน้ั 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา - การแก้ปัญหาและการช่วยเหลอื ในการทางานกลมุ่ ร่วมกัน 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต - มีความสามคั คใี นการทางานกล่มุ ร่วมกัน 6. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 6.1 ซื่อสตั ย์สจุ ริต 6.2 มุง่ มัน่ ในการทางาน 7. กิจกรรมกำรเรยี นรู้ ข้นั นำเขำ้ สบู่ ทเรียน (เวลำ 10 นำท)ี 1. ครูติดรปู ตวั การต์ ูนบนกระดานแล้วใหน้ ักเรยี นรว่ มกนั สงั เกต พรอ้ มต้งั คาถามดังนี้ 1.1 นกั เรียนสงั เกตเห็นอะไรบนกระดาน (รูปการ์ตูน) 1.2 ถา้ ครูนากระดาษมาปดิ หน้ารูปดังกล่าว นักเรยี นยงั สามารถมองเห็นรปู การ์ตนู ได้หรอื ไม่ เพราะเหตุใด (นกั เรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง) 1.3 ถ้าครูนาวัตถุอนื่ ๆ มาปิดรูปแทนกระดาษ นกั เรยี นคดิ ว่าการมองเหน็ รปู การ์ตูนจะแตกตา่ งกนั หรือไม่ อย่างไร (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง) ขนั้ สอน (เวลำ 45 นำที) 2. ครูให้นักเรียนอ่านช่ือกจิ กรรมและจุดประสงค์ของกจิ กรรมที่ 1 ลักษณะการมองเห็นต่างกันอยา่ งไร เม่อื มีวัตถุมาก้นั แสง จากนน้ั ตรวจสอบความเขา้ ใจโดยใช้คาถามต่อไปนี้ 2.1 ในกิจกรรมนน้ี ักเรยี นจะได้เรียนร้เู รอื่ งอะไร (การมองเหน็ แสงไฟฉายเมื่อมองผา่ นวตั ถุตา่ ง ๆ) 2.2 ในกิจกรรมนน้ี ักเรียนจะได้เรยี นรู้ด้วยวธิ ีการใด (การสังเกตและการจาแนกประเภท) 2.3 เมือ่ ทากจิ กรรมเสรจ็ แล้วนักเรยี นจะต้องทาอะไรได้ (จาแนกวัตถุโดยใชก้ ารมองเห็นแสงไฟฉาย เป็นเกณฑ์)
๒๙๔ 3. ครูให้นักเรียนอ่านวัสดุอปุ กรณ์ (ถ้านักเรยี นยังไมร่ จู้ ักวัสดุอุปกรณ์ชนิ้ ใด ครูอาจแสดงวัสดอุ ุปกรณ์ ช้ินนัน้ ) และอา่ นวธิ ีการทากจิ กรรมข้อ 1-3 แล้วครตู รวจสอบความเข้าใจในการทากิจกรรม โดยใช้ คาถามดงั ตอ่ ไปน้ี 3.1 นกั เรยี นต้องทาอะไรเปน็ ลาดับแรก (สงั เกตและอภิปรายลกั ษณะของวัตถุต่าง ๆ) 3.2 เมอื่ สังเกตและอภิปรายลักษณะของวัตถตุ ่าง ๆ แล้ว นกั เรียนตอ้ งทากจิ กรรมอย่างไร (จบั ค่กู ัน แลว้ นงั่ หนั หน้าเขา้ หากนั โดยนกั เรยี นคนท่ี 1 ฉายไฟฉายไปด้านหนา้ ตรง ๆ แล้วให้นักเรยี นคนท่ี 2 ซ่งึ น่งั อยู่ฝั่งตรงขา้ มนาวตั ถุทลี ะอยา่ งขน้ึ มาบังแสงไฟฉาย สังเกตแสงไฟฉายผ่านวัตถุแต่ละ อย่างทีน่ ามาบงั ) 3.3 เมอื่ นกั เรยี นสังเกตการมองเหน็ แสงของไฟฉายผ่านวัตถตุ ่าง ๆ แล้ว นกั เรยี นต้องทาอะไรตอ่ (จาแนกวัตถุออกเป็นกลุ่มโดยใช้การมองเห็นแสงผา่ นวตั ถุเป็นเกณฑ์) 3.4 จะมีวิธกี ารสงั เกตได้อย่างไรวา่ การมองเหน็ แสงไฟฉายชัดเจนหรือไมช่ ดั เจน (นักเรยี นตอบตาม ความเข้าใจของตนเอง โดยครูอาจสาธิตหรืออธิบายให้เห็นความแตกต่างของการมองเหน็ แสง จากไฟฉาย โดยการมองเหน็ แสงไฟฉายชดั เจน สังเกตได้จากการมองเห็นแสงแบบไม่มวั สว่างชดั ส่วนการมองเหน็ แสงไฟฉายไม่ชดั เจน สงั เกตไดจ้ ากการมองเหน็ แสงไฟฉายสลัว หรอื มัว หรอื เหน็ ขอบเบลอ) 3.5 วัตถทุ ีน่ กั เรียนต้องทากจิ กรรมมกี ่ชี นิด อะไรบ้าง (มี 8 ชนดิ ได้แก่ แผ่นไม้ กระจกใส กระจกเงา แวน่ กนั แดด ถุงพลาสตกิ มีหูหิ้ว กระดาษแขง็ สี กระดาษไข แผ่นพลาสติกใส) 3.6 นักเรยี นตอ้ งหาวัตถอุ ่ืนเพิ่มอีกกี่ชนดิ อะไรบา้ ง (2 ชนิด ชนิดของวตั ถขุ ึ้นอยู่กบั สง่ิ ทนี่ ักเรียน เลอื ก) จากนน้ั ครใู หน้ ักเรยี นบันทกึ วตั ถุอื่นท่สี นใจลงใบงาน 4. ครใู ห้นกั เรียนทากิจกรรมท่ี 1 ลกั ษณะการมองเห็นตา่ งกันอย่างไรเม่ือมวี ัตถุมากนั้ แสง โดยยา้ วา่ ให้ นกั เรียนสงั เกตความชดั เจนของแสงไฟฉายเมื่อมองผ่านวตั ถุตา่ ง ๆ และบันทึกผลในตาราง 1 ใบงาน 01 ลักษณะการมองเหน็ เม่ือมีวตั ถุมากนั้ แสง และให้นักเรียนแตล่ ะคสู่ ลบั กนั ทากิจกรรมและบนั ทกึ ผลการทากิจกรรมของตนเอง 5. ครใู หน้ ักเรียนจาแนกวตั ถตุ ่าง ๆ ตามความชัดเจนในการมองเหน็ แสงไฟฉายเม่ือมองผ่านวัตถุต่าง ๆ และบนั ทึกผลในตาราง 2 ของใบงาน 01 6. ครใู หน้ กั เรียนออกมานาเสนอผลการทากิจกรรม จากนั้นร่วมกันอภิปราย โดยใชค้ าถามต่อไปนี้ 6.1 นักเรียนจาแนกวตั ถุโดยใชเ้ กณฑใ์ ด (การมองเห็นแสงผ่านวตั ถนุ น้ั ๆ) 6.2 เมื่อมองผา่ นวตั ถุใดแล้วเห็นแสงไฟฉายไมช่ ดั เจน (ถงุ พลาสตกิ มหี ูห้วิ กระดาษไข) 6.3 เมอ่ื มองผา่ นวตั ถุใดแลว้ ไม่เห็นแสงไฟฉาย (แผน่ ไม้ กระจกเงา กระดาษแข็งส)ี 6.4 เม่อื มองผ่านวัตถุใดแล้วเห็นแสงไฟฉายได้อยา่ งชัดเจน (กระจกใส แวน่ กนั แดด แผน่ พลาสตกิ ใส) ขน้ั สรุป (เวลำ 5 นำที) 7. ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นสรปุ แนวคิดหรือสิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่ัวโมงนีด้ ว้ ยตนเองเกีย่ วกบั การมองเหน็ สิ่งต่าง ๆ ผา่ นวตั ถทุ นี่ ามาก้ันแสง
๒๙๕ 8. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรปุ เก่ียวกบั การมองเห็นสง่ิ ตา่ ง ๆ ผา่ นวตั ถทุ ่ีนามากนั้ แสงวา่ เมอ่ื เรามองแสง จากแหลง่ กาเนิดแสงโดยมองผ่านวตั ถุตา่ ง ๆ ทนี่ ามากนั้ แสง จะมองเหน็ แสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงได้ แตกต่างกัน สามารถจาแนกวัตถอุ อกเปน็ 3 กลมุ่ ได้แก่ วัตถุทีท่ าใหเ้ รามองไม่เห็นแสงจาก แหล่งกาเนดิ แสง วตั ถุทท่ี าให้เรามองเห็นแสงจากแหล่งกาเนดิ แสงได้แต่ไมช่ ดั เจน และวัตถุทที่ าใหเ้ รา มองเหน็ แสงจากแหล่งกาเนดิ แสงไดช้ ดั เจน 8. สอื่ /แหลง่ เรียนรู้ - ใบงาน 01 ลักษณะการมองเหน็ เม่ือมีวตั ถุมาก้นั แสง หน้า 111 9. ช้นิ งำน/ภำระงำน - ใบงาน 01 ลักษณะการมองเห็นเม่อื มีวัตถุมาก้นั แสง หน้า 111 10. กำรวัดและประเมินผล 10.1 ประเมินความรเู้ รื่องการมองเห็นสง่ิ ตา่ ง ๆ ผ่านวัตถุที่นามากันแสงด้วยการตอบคาถามในช้ันเรียน และในใบงาน (K) 10.2 ประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ดว้ ยแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ด้วยแบบประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340