๔๖ × √ √ × √ √ √ บนบก/ในน้ำ × √ √ × √ √ √ ในนำ้ × √ √ × √ √ √ บนบก × √ × √ √ √ √ บนบก × √ √ × √ √ √ บนบก × √ × √ √ √ √ บนบก √ × × √ √ √ √ บนบก × √ √ × √ √ √ บนบก √ × × √ √ √ √ บนบก √ × × √ √ √ √ บนบก × √ √ × √ √ √ บนบก × √ √ × √ √ √ บนบก/ในนำ้
๔๗ กำรเคล่อื นที่ ๒ เคล่อื นท่ีได้ คำงคก ปลำ คน งู ไก่ ม้ำ ปู เคลือ่ นทีไ่ มไ่ ด้ เหด็ รำ กุหลำบ ข้ำว ปรง หมำยเหตุ : เกณฑท์ ีใ่ ชส้ ำมำรถแตกตำ่ งจำกเกณฑ์นี้ไดข้ ึน้ อยู่กับกลุ่มกำหนด
๔๘ ๒ เคลื่อนท่ีได้และสร้ำงอำหำรเองไม่ได้ คำงคก ปลำ คน งู ไก่ ม้ำ ปู เคล่อื นทีไ่ มไ่ ดแ้ ละสรำ้ งอำหำรเองได้ กหุ ลำบ ขำ้ ว ปรง เคล่ือนที่ไม่ได้และสรำ้ งอำหำรเองไมไ่ ด้ เหด็ รำ
๔๙ คำตอบอำจเหมอื นกันหรอื แตกตำ่ งกนั ข้ึนอยูก่ ับเกณฑ์ท่ใี ช้ ๓ กลุ่ม คือ กลมุ่ พชื กลุ่มสัตว์ กลุ่มที่ไมใ่ ชพ่ ชื และสัตว์ กลุ่มพืช เคล่ือนที่ไมไ่ ด้ สรำ้ งอำหำรเองได้ กลมุ่ สัตว์ เคล่ือนที่ได้ สรำ้ งอำหำรเองไมไ่ ด้ กลุม่ ทไ่ี ม่ใชพ่ ืชและสัตว์ เคลื่อนทีไ่ มไ่ ด้ สรำ้ งอำหำรเองไม่ได้ เรำสำมำรถจำแนกกลมุ่ สงิ่ มีชวี ติ ไดโ้ ดยใช้เกณฑก์ ำรเคลื่อนทแ่ี ละ กำรสร้ำงอำหำรเป็นเกณฑ์รว่ มกัน ออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ ๑. กลุ่มพชื เคลอื่ นทไ่ี ม่ได้ แต่สร้ำงอำหำรเองได้ ๒. กลุม่ สตั ว์ เคลอ่ื นท่ีได้ แตส่ ร้ำงอำหำรเองไมไ่ ด้ ๓. กลมุ่ ทไี่ มใ่ ช่พืชและสัตว์ เคล่อื นที่ไม่ได้และสรำ้ งอำหำรเองไม่ได้ หรอื เคล่ือนท่ไี ด้ และสร้ำงอำหำรเองได้
๕๐
๕๑ ๓ เข็ม บัว มอส เฟิน เคล่อื นที่ไมไ่ ด้ สรำ้ งอำหำรเองได้ วำฬ นก หอยทำก สิงโต ม้ำนำ้ กบ มด กงิ้ กำ่ เคลื่อนทไ่ี ด้ สร้ำงอำหำรเองไม่ได้ เหด็ รำ ปะกำรงั เคลื่อนท่ีไม่ได้ สรำ้ งอำหำรเองไม่ได้
๕๒ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 5 กลมุ่ สำระกำรเรยี นร้วู ิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษำปีท่ี 4 ภำคเรยี นที่ 1 รำยวิชำวทิ ยำศำสตร์ รหัสวิชำ ว 14101 หน่วยกำรเรยี นร้ทู ่ี 1 กำรจำแนกสิง่ มชี ีวิตรอบตัว หนว่ ยย่อยท่ี 1 กำรจำแนกสิ่งมีชีวิต แผนกำรจัดกำรเรยี นรทู้ ี่ 5 เรือ่ งกำรจำแนกสตั ว์ (1) เวลำ 1 ชั่วโมง 1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ / ตัวชี้วดั สำระที่ 1 วิทยำศำสตรช์ วี ภำพ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปล่ยี นแปลงทางพันธุกรรมท่ีมผี ลต่อสง่ิ มีชวี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพววิ ัฒนาการ ของสิ่งมีชวี ติ รวมท้งั นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ตวั ช้วี ัด ป.4/3 จาแนกสัตว์ออกเป็นสัตวม์ กี ระดูกสนั หลงั และสตั วไ์ มม่ ีกระดูกสนั หลงั โดยใช้การมี กระดูกสันหลังเปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มลู ทรี่ วบรวมได้ 2. จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ 2.1 ดำ้ นควำมรู้ ควำมเข้ำใจ (K) - อธิบายการจาแนกกลมุ่ สัตว์โดยใช้ลกั ษณะภายนอกเป็นเกณฑ์ 2.2 ด้ำนทักษะกระบวนกำร (P) - สงั เกตและจาแนกกลุ่มสตั วโ์ ดยใช้ลักษณะภายนอกเป็นเกณฑ์ 2.3 ด้ำนคุณลักษณะ เจตคติ คำ่ นิยม (A) - มีความมุ่งมนั่ ในการทางาน - ช่วยเหลือในการทางานกล่มุ รว่ มกัน 3. สำระสำคญั สัตว์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีลักษณะภายนอกบางอย่างท่ีเหมือนกัน และมีลักษณะบางอย่างท่ี แตกต่างจากสัตวช์ นิดอ่ืน จึงนามาใชใ้ นการกาหนดเกณฑใ์ นการจัดกลุ่มสัตว์ออกเป็นกลุ่ม ๆ 4. สำระกำรเรียนรู้ ควำมรู้ สตั ว์แต่ละชนดิ มีลกั ษณะภายนอกบางลกั ษณะทีเ่ หมอื นกัน และบางลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น บางชนิด มีปีกเหมือนกัน แต่บางชนิดไม่มีปีก บางชนิดมีขา แต่บางชนิดไม่มีขา ซ่ึงนามาใช้เป็นเกณ์ในการจาแนกสัตว์ ออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ เช่น กลุ่มที่มีปกี กลมุ่ ที่ไม่มีปีก กลมุ่ มีขา กลมุ่ ไม่มีขา
๕๓ ทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ - การสังเกต - การจาแนกประเภท - การลงความเหน็ จากขอ้ มลู 5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น 5.1 ความสามารถในการส่ือสาร - บอกลักษณะภายนอกของสตั วช์ นิดต่าง ๆ 5.2 ความสามารถในการคิด - เปรยี บเทียบความเหมอื นและความแตกตา่ งของลักษณะภายนอกของสตั ว์แตล่ ะชนิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา - การแกป้ ญั หาและการชว่ ยเหลอื ในการทางานกลมุ่ ร่วมกนั 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ - มคี วามสามัคคีในการทางานกลมุ่ ร่วมกนั 6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 6.1 มงุ่ ม่นั ในการทางาน 6.2 ซอื่ สัตย์สุจรติ 7. กจิ กรรมกำรเรียนรู้ ข้นั นำเข้ำสู่บทเรียน (5 นำท)ี 1. ครูตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนโดยแจกบตั รภาพสัตว์ (ซ่ึงมที ั้งสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มี กระดูกสนั หลงั ) ใหน้ ักเรยี นแต่ละคน เพ่ือสงั เกตลักษณะภายนอกของสตั ว์ ภายใน 2 นาที จากนั้น ครูใช้คาถามอภปิ รายดงั ตอ่ ไปน้ี 1.1 ลักษณะภายนอกของสัตว์ชนิดต่าง ๆ เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร (นักเรียนตอบตาม ความเข้าใจของตนเอง เช่น สัตว์มีบางลักษณะเหมือนกัน เช่น จานวนขา บางลักษณะ แตกตา่ งกนั เช่น ปีก) 1.2 จะแบ่งสัตวอ์ อกเปน็ กลุ่ม ๆ ได้หรอื ไม่ อยา่ งไร (นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง เช่น เป็นกลุม่ สัตว์มีปกี และกล่มุ สตั ว์ไมม่ ีปีก) ขน้ั สอน (50 นำท)ี 2. ครูชักชวนนักเรียนอ่านชื่อกิจกรรมและจุดประสงค์ของกิจกรรมที่ 1 จาแนกสัตว์ได้อย่างไร ข้อ 1 หน้า 15 จากนน้ั ครตู รวจสอบความเข้าใจโดยใช้คาถามดงั นี้ 2.1 จากกจิ กรรมนี้ นกั เรยี นจะได้เรียนรูเ้ กย่ี วกับเร่อื งอะไร (ลักษณะภายนอกของสัตว)์ 2.2 นกั เรียนจะเรียนรู้โดยใชว้ ธิ ีใด (การสงั เกตและการจาแนก)
๕๔ 2.3 เม่ือจบกิจกรรมนี้นักเรียนต้องทาอะไรได้ (จาแนกสัตว์ออกเป็นกลุ่ม ๆ โดยใช้ลักษณะ ภายนอกเปน็ เกณฑ์ได้) 3. ครูให้นักเรียนอ่านวสั ดอุ ปุ กรณ์ และวิธีทากจิ กรรมขอ้ 1-2 หน้า 16 แล้วใชค้ าถามดงั นี้ 3.1 นักเรยี นตอ้ งทาอะไรเป็นอันดับแรก (สังเกตลักษณะภายนอกของสัตว์ 1 ชนิด จากบัตรภาพ โดยไมซ่ ้ากบั เพอื่ น) หมำยเหตุ คุณครเู ตรยี มบัตรภาพโครงสรา้ งภายนอกของสัตว์มีกระดูกสนั หลงั และสัตว์ไม่มี กระดูกสนั หลงั โดยดาวน์โหลดจาก QR code ในใบงานหนา้ 15 แลว้ จดั เตรยี มบัตรภาพโครงสร้าง ภายนอกน้ีไว้กลุ่มละ 1 ชุด 3.2 นกั เรียนต้องสงั เกตลักษณะใดของสัตว์บา้ ง (ลักษณะภายนอกทกุ ลักษณะ เชน่ จานวนขา ปกี ขน หาง) 3.3 เม่อื สังเกตสง่ิ มีชวี ติ ในบตั รภาพแล้ว นกั เรยี นต้องทาอะไรต่อ (อภปิ รายและจาแนกสัตวใ์ น บัตรภาพโดยใช้เกณฑท์ กี่ าหนดขึ้น) 4. นักเรียนเร่ิมทากิจกรรมโดยแต่ละคนเลือกสังเกตลักษณะภายนอกของสัตว์ 1 ชนิด ท่ีไม่ซ้ากับเพ่ือน ในกลุม่ 5. นักเรียนในกลุ่มนาบตั รภาพมารวมกัน แล้วสมาชิกแตล่ ะคนอภปิ รายลกั ษณะภายนอกของสัตว์ ท่ีตนเองเลือกให้เพื่อนในกลุ่มฟังและแสดงความคิดเห็นร่วมกัน จากน้ันร่วมกันกาหนดเกณฑ์ในการ จาแนกสตั วใ์ นบตั รภาพ 6. นักเรียนจาแนกสัตว์ออกเป็นกลุ่มตามเกณฑ์ท่ีกาหนดข้ึน และบันทึกในใบงาน 01 การจาแนกสัตว์ หน้า 21 ครูตรวจสอบความถกู ต้อง จากน้ันครูสุ่มนักเรียนออกมานาเสนอผลการจาแนกสัตว์ ครูอาจ จดคาตอบของนกั เรยี นบนกระดาน แลว้ อภิปรายโดยใชค้ าถามดังน้ี 6.1 สัตว์แต่ละชนิดมีลักษณะเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร (สัตว์แต่ละชนิดมีลักษณะบางอย่าง เหมือนกัน บางชนิดมีลักษณะต่างกัน เช่น ผึ้ง นก เป็ด มีปีกเหมือนกัน แต่เสือ ไส้เดือนดิน ไมม่ ปี ีก) 6.2 นักเรียนสามารถใช้ลักษณะใดเป็นเกณฑ์ในการจาแนกได้บ้าง (นักเรียนตอบตามท่ีทา กิจกรรม เชน่ การมปี ีก การมขี า จานวนขา) ขนั้ สรุป (5 นำที) 7. ครูเปิดโอกาสให้นักเรยี นสรุปแนวคิดหรอื ส่ิงทไี่ ด้เรียนรู้ในช่ัวโมงนี้ด้วยตนเองเก่ียวกับการจาแนกสัตว์ ออกเป็นกลุ่มโดยใช้ลกั ษณะภายนอกเปน็ เกณฑ์ 8. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการจาแนกสัตว์โดยใช้ลักษณะภายนอกเป็นเกณฑ์ว่า สัตว์แต่ละ ชนิดมีลักษณะภายนอกบางลักษณะที่เหมือนกัน และบางลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น บางชนิดมีปีก เหมือนกัน แต่บางชนิดไม่มีปีก บางชนิดมีขา แต่บางชนิดไม่มีขา ซึ่งนามาใช้เป็นเกณ์ในการจาแนก สตั วอ์ อกเป็นกล่มุ ๆ ได้ เช่น กลมุ่ ที่มีปีก กลุ่มที่ไมม่ ปี ีก กลุ่มมีขา กลมุ่ ไมม่ ขี า
๕๕ 8. สื่อ /แหล่งเรียนรู้ 8.1 ใบงาน 01 การจาแนกสัตว์ หนา้ 15-16 และ 21 8.2 บตั รภาพโครงสร้างภายนอกของสตั วม์ กี ระดูกสนั หลังและสตั ว์ไมม่ ีกระดูกสนั หลงั 9. ช้นิ งำน/ภำระงำน 9.1 การจาแนกสตั วโ์ ดยใชล้ ักษณะภายนอกของสตั ว์เป็นเกณฑ์ 9.2 การทาใบงาน 01 การจาแนกสตั ว์ หน้า 21 10. กำรวัดและประเมนิ ผล 10.1 ประเมนิ ความรู้เรอ่ื งการจาแนกกลุ่มสัตว์ดว้ ยการตอบคาถามในชั้นเรียนและในใบงาน (K) 10.2 ประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ด้วยแบบประเมนิ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
๕๖ แบบประเมนิ ดำ้ นทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ แผนกำรเรียนรทู้ ี่ 5 เรอ่ื ง กำรจำแนกสัตว์ (1) เกณฑ์การประเมนิ มดี ังน้ี 3 หมายถงึ ดี 2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถงึ ปรับปรงุ สิ่งทีป่ ระเมิน คะแนน การสงั เกต การจาแนกประเภท การลงความเห็นจากข้อมูล รวมคะแนน เกณฑก์ ำรประเมนิ ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรุง (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การสังเกต สามารถใช้ตาและมือใน สามารถใชต้ าและมือใน สามารถใช้ตาและมือใน การรวบรวมข้อมลู เก่ยี วกับ การจาแนกประเภท ลักษณะภายนอกของสัตว์ การรวบรวมข้อมูลเก่ยี วกับ การรวบรวมข้อมูลเกยี่ วกับ ด้วยตนเอง โดยไม่เพมิ่ เติม ความคิดเห็น ลกั ษณะภายนอกของสัตว์ ลกั ษณะภายนอกของสตั ว์ สามารถจัดกลุม่ สตั วโ์ ดยใช้ ลักษณะภายนอกเป็น โดยอาศัยคาแนะนาของครู บางส่วน แมจ้ ะไดร้ ับ เกณฑ์ได้อย่างถูกต้องได้ ด้วยตนเอง หรอื ผ้อู ืน่ คาแนะนาจากผู้อน่ื สามารถจัดกล่มุ สตั วโ์ ดยใช้ สามารถจดั กลุ่มสัตว์โดยใช้ ลักษณะภายนอกเป็น ลักษณะภายนอกเปน็ เกณฑ์ ไดอ้ ย่างถูกต้อง โดย เกณฑ์ได้อย่างถูกต้อง อาศยั คาแนะนาของครู บางส่วน แมจ้ ะไดร้ บั หรือผู้อน่ื คาแนะนาจากผู้อื่น การลงความเหน็ สามารถเพ่ิมเติมความเหน็ สามารถเพ่ิมเติมความเห็น สามารถเพ่ิมเติมความเหน็ จากข้อมูล เกี่ยวกบั ลกั ษณะภายนอก เกีย่ วกับลักษณะภายนอก เก่ยี วกับลักษณะภายนอก ของสัตว์ได้อยา่ งมีเหตุผล ของสัตว์ได้อย่างมเี หตผุ ล ของสัตว์อย่างมีเหตุผล จากความร้หู รือ โดยอาศัยคาแนะนาของครู บางสว่ น ถงึ แม้จะได้รบั ประสบการณ์เดิมได้ดว้ ย หรือผอู้ น่ื คาแนะนาจากผู้อ่นื ตนเอง
๕๗ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ แผนกำรเรยี นรู้ท่ี 5 เรอ่ื ง กำรจำแนกสตั ว์ (1) ช่อื ผู้ประเมนิ /กลุม่ ประเมิน………………………………………………………………………………………….............................. ชือ่ กลุ่มรับกำรประเมนิ ……………………………………………………………………………………………….............................. ประเมินผลครง้ั ท…่ี ………………....……....... วนั ……………..…. เดือน …...........……..………. พ.ศ. ……...….……....... เรื่อง…………………………………………………………………………………………………………………….................................... ท่ี ลักษณะ/พฤติกรรมบง่ ช้ี ระดบั พฤตกิ รรม คะแนนทีไ่ ด้ เกิด = 1 ไมเ่ กิด = 0 1. มุ่งม่ันในการทางาน 2. ซ่ือสัตย์สุจรติ รวมคะแนนทไ่ี ด้ทั้งหมด = …………… คะแนน เกณฑ์กำรประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ - มากกว่า 80 % ได้ 3 คะแนน - 50 % - 79 % ได้ 2 คะแนน - ตา่ กว่า 50 % ได้ 1 คะแนน
๕๘ แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ที่ 6 กลุม่ สำระกำรเรยี นรวู้ ิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษำปที ี่ 4 ภำคเรยี นที่ 1 รำยวชิ ำวิทยำศำสตร์ รหสั วิชำ ว14101 หนว่ ยกำรเรียนรู้ที่ 1 กำรจำแนกส่ิงมชี ีวติ รอบตัว หนว่ ยย่อยท่ี 1 กำรจำแนกสง่ิ มีชีวติ แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ท่ี 8 เรอื่ ง กำรจำแนกสตั ว์ (2) เวลำ 1 ช่ัวโมง 1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ / ตัวชวี้ ัด สำระที่ 1 วทิ ยำศำสตร์ชีวภำพ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธุกรรม การเปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรมท่ีมผี ลตอ่ สิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพวิวัฒนาการ ของสงิ่ มีชีวติ รวมทั้งนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวชี้วัด ป.4/3 จาแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยใช้การมีกระดูก สนั หลังเปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ ้อมูลทร่ี วบรวมได้ 2. จุดประสงคก์ ำรเรียนรู้ 2.1 ด้ำนควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ (K) - อธิบายลักษณะภายในของสัตว์ 2.2 ดำ้ นทักษะกระบวนกำร (P) - สังเกตลกั ษณะภายในของสตั ว์ 2.3 ด้ำนคณุ ลกั ษณะ เจตคติ คำ่ นิยม (A) - มคี วามมุ่งม่นั ในการทางาน - ชว่ ยเหลอื ในการทางานกลุ่มรว่ มกัน 3. สำระสำคัญ สตั วบ์ างชนดิ มกี ระดกู สันหลงั แต่สัตวบ์ างชนิดไม่มีกระดูกสนั หลัง กระดูกสันหลังของสัตว์มีลักษณะเป็น ข้อ ๆ เรยี งตอ่ กันไปตามแนวลาตัวต้ังแตส่ ว่ นหวั จนถงึ สว่ นหาง 4. สำระกำรเรยี นรู้ ควำมรู้ ลักษณะภายในของปลาและกุ้งแตกต่างกัน โดยปลาเป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ซึ่งมีลักษณะเป็นข้อ ๆ เรียงตอ่ กันไปตามแนวลาตัวตั้งแตส่ ่วนหัวจนถงึ สว่ นหาง สว่ นกุง้ เป็นสตั ว์ท่ไี ม่มีกระดูกสนั หลงั ทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ - การสังเกต
๕๙ - การจดั กระทาและส่อื ความหมายข้อมูล - การลงความเห็นจากข้อมูล 5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน 5.1 ความสามารถในการสอื่ สาร - อธิบายความแตกตา่ งของลักษณะภายในของสตั วท์ ีม่ ีกระดกู สันหลังและสัตว์ท่ีไม่มีกระดูกสันหลัง และลักษณะของกระดกู สันหลัง 5.2 ความสามารถในการคิด - เปรียบเทียบความแตกต่างของลักษณะภายในของสัตว์ท่ีมีกระดูกสันหลังและสัตว์ที่ไม่มีกระดูก สนั หลงั 5.3 ความสามารถในการแกป้ ญั หา - การแกป้ ญั หาและการชว่ ยเหลือในการทางานกลุม่ ร่วมกัน 5.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ - มีความสามคั คใี นการทางานกลุ่มร่วมกนั 6. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 6.1 ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ 6.2 ใฝเ่ รียนรู้ 6.3 มงุ่ ม่นั ในการทางาน 7. กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ข้ันนำเขำ้ สบู่ ทเรียน (5 นำที) 1. ครตู รวจสอบความร้เู ดิมโดยใหน้ กั เรียนสงั เกตรปู ของสัตวช์ นดิ หนึ่ง เช่น โลมา ลงิ แล้วใหท้ ายวา่ สัตว์ในรปู เป็นสัตว์ชนดิ ใด และสัตวช์ นิดนีเ้ ปน็ สัตวม์ กี ระดูกสันหลงั หรือไม่ เพราะเหตุใด (นกั เรยี น ตอบตามความเข้าใจของตนเอง) ขั้นสอน (45 นำท)ี 2. ครชู ักชวนนกั เรียนอ่านชอื่ กจิ กรรมที่ 1 จาแนกสัตวไ์ ด้อย่างไร และอา่ นจุดประสงค์ ข้อ 2 จากนั้น ตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยใช้คาถามดังน้ี 2.1 กจิ กรรมน้ีนักเรยี นจะไดเ้ รียนรเู้ กีย่ วกับเรื่องอะไร (ลักษณะภายในของสัตว์) 2.2 นกั เรยี นจะเรยี นร้โู ดยใช้วิธใี ด (การสงั เกต) 2.3 เม่อื จบกิจกรรมนน้ี ักเรียนตอ้ งทาอะไรได้ (อธบิ ายลักษณะภายในของสตั วไ์ ด้) 3. ครใู ห้นกั เรียนอ่านวัสดุอปุ กรณ์ และวธิ ที ากิจกรรมขอ้ 3-4 แลว้ ใชค้ าถามดงั นี้ 3.1 นักเรียนต้องทาอะไรเป็นอนั ดับแรก (สังเกตลักษณะภายนอกและภายในของปลาและกุง้ บันทึกผล)
๖๐ 3.2 เมอ่ื สังเกตและบนั ทึกผลแล้ว นกั เรยี นต้องทาอะไรต่อ (เปรยี บเทียบลกั ษณะภายในของปลา และก้งุ และระบุส่วนท่ีเปน็ กระดูกสันหลัง) 4. ครูใหน้ ักเรยี นเปิดใบกจิ กรรมหน้า ๒๒ แลว้ ถามว่า นกั เรยี นตอ้ งบนั ทึกผลการสังเกตลกั ษณะภายนอก และภายในของปลาและกงุ้ อย่างไร (วาดรูปและชบ้ี อกสว่ นที่เป็นกระดูกสนั หลงั ) หมำยเหตุ กิจกรรมน้ีมกี ารใช้มีด ครูควรสาธิตวิธีการผา่ ปลาและกงุ้ ใหน้ ักเรยี นดูก่อนการทา กจิ กรรม โดยขณะนักเรียนทากจิ กรรมครูควรดูแลนกั เรยี นอย่างใกล้ชิด หรอื เพ่ือหลีกเลย่ี งการใชม้ ีด ครสู ามารถสาธิตวิธีการผ่าก้งุ และปลาให้นกั เรียนดู แลว้ ใหน้ ักเรยี นสงั เกตปลาและกุ้งทคี่ รผู ่าเตรยี มไว้ แล้ว 5. เมื่อตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนแล้ว ครใู หน้ กั เรยี นลงมอื ทากิจกรรม พร้อมบันทึกผล จากนน้ั ร่วมกนั อภปิ รายผลการทากิจกรรม ดังน้ี 5.1 ลกั ษณะภายนอกของปลาและก้งุ เหมือนกันหรอื ไม่ อย่างไร (มีท้งั ส่ิงท่ีเหมือนกนั และแตกตา่ ง กนั โดยส่ิงท่ีเหมอื นกัน คือ ทั้งปลาและกุ้งมตี า ปาก หาง แตส่ ิ่งที่แตกต่างกนั คอื ปลามลี าตวั แบน ตรง ผวิ หนังมเี กล็ด สว่ นก้งุ มลี าตัวกลม งอ มีหนวด มเี ปลอื กแข็งหุม้ ลาตัว) 5.2 ลักษณะภายในของปลาและกุ้งเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร (ไม่เหมือนกัน ภายในของปลา มกี ระดกู ส่วนกุ้งไมม่ ีกระดกู ) 5.3 กระดูกที่พบภายในตวั ปลาเรียกวา่ อะไร (กระดูกสนั หลงั ) 5.4 กระดูกสันหลงั มีลกั ษณะเปน็ อยา่ งไร (เป็นข้อ ๆ เรียงต่อกนั ไปตามแนวลาตัวตงั้ แตส่ ่วนหวั จนถึงส่วนหาง) 5.5 ถ้าใช้การมีกระดูกสันหลงั เปน็ เกณฑ์ ปลาและกงุ้ จะจัดอยใู่ นกลมุ่ เดียวกนั หรือไม่ อย่างไร (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง เช่น ปลาและกงุ้ จะจดั อยู่คนละกลุ่มกัน โดยปลาอยู่ ในกลุ่มสตั ว์ทมี่ ีกระดูกสันหลัง ส่วนกุง้ อยใู่ นกลุ่มสัตว์ที่ไม่มกี ระดกู สนั หลัง) ขนั้ สรุป (10 นำท)ี 6. ครูเปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นสรุปแนวคิดหรอื สิง่ ที่ไดเ้ รยี นรู้ในช่วั โมงนี้ด้วยตนเองเกี่ยวกบั ความแตกตา่ ง ของลกั ษณะภายในของสตั วท์ ี่มกี ระดูกสนั หลงั และสตั วท์ ่ีไม่มีกระดูกสนั หลัง 7. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สรุปเก่ียวกบั ความแตกต่างของลักษณะภายในของสตั ว์ทม่ี ีกระดกู สันหลงั และ สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังว่า ปลาและก้งุ มลี กั ษณะภายในแตกตา่ งกนั โดยปลาเปน็ สัตวท์ ม่ี ีกระดูก สันหลัง ซ่งึ มีลกั ษณะเป็นข้อ ๆ เรยี งต่อกนั ไปตามแนวลาตัวตั้งแตส่ ว่ นหวั จนถงึ สว่ นหาง ส่วนกุง้ เป็น สตั วท์ ไี่ มม่ ีกระดูกสันหลงั 8. สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้ 8.1 ใบงาน 01 การจาแนกสตั ว์ หนา้ 22 8.2 กงุ้ 8.3 ปลา 8.4 ถาดรอง
๖๑ 8.5 ถงุ มือ 8.6 ชดุ มีดผา่ ตดั 9. ชิน้ งำน/ภำระงำน 9.1 การผา่ ปลาและกุง้ เพื่อสงั เกตลกั ษณะภายใน 9.2 การทาใบงาน 01 การจาแนกสตั ว์ หนา้ 22 10. กำรวัดและประเมินผล 10.1 ประเมนิ ความรเู้ รอ่ื งการจาแนกกลมุ่ สัตว์ดว้ ยการตอบคาถามในชน้ั เรยี นและในใบงาน (K) 10.2 ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ดว้ ยแบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ด้วยแบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
๖๒ แบบประเมนิ ด้ำนทกั ษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ แผนกำรเรยี นรู้ท่ี 6 เร่ือง กำรจำแนกสตั ว์ (2) เกณฑ์การประเมินมีดังนี้ 3 หมายถึง ดี 2 หมายถึง พอใช้ 1 หมายถงึ ปรบั ปรุง สิ่งที่ประเมนิ คะแนน การสังเกต การจัดกระทาและสอ่ื ความหมายขอ้ มลู การลงความเหน็ จากข้อมลู รวมคะแนน เกณฑ์กำรประเมิน ทกั ษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรุง (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การสงั เกต สามารถใชต้ าและมือใน สามารถใชต้ าและมือใน สามารถใชต้ าและมือใน การสังเกตเพ่ือรวบรวม การสังเกตเพื่อรวบรวม การสังเกตเพอ่ื รวบรวม ข้อมลู เกย่ี วกับลกั ษณะ ข้อมูลเก่ียวกบั ลักษณะ ขอ้ มูลเก่ยี วกับลกั ษณะ ภายนอกและภายในของ ภายนอกและภายในของ ภายนอกและภายในของ ปลาและกุ้งได้ได้วยตนเอง ปลาและกุ้งได้จากการ ปลาและกงุ้ ไดเ้ พียง โดยไมเ่ พ่ิมเติมความคิดเหน็ ชี้แนะของครหู รือผู้อ่ืน บางสว่ น ถงึ แมจ้ ะไดร้ ับ คาแนะนาจากผู้อืน่ การจัดกระทาและส่ือ สามารถนาข้อมลู ท่ีได้จาก สามารถนาข้อมูลท่ีไดจ้ าก สามารถนาข้อมูลท่ีได้จาก ความหมายขอ้ มูล การสงั เกตเกย่ี วกบั ลักษณะ การสงั เกตเกีย่ วกบั การสงั เกตเกี่ยวกับ ภายนอกและภายในของ ลกั ษณะภายนอกและ ลักษณะภายนอกและ ปลาและกุง้ มาจดั กระทา ภายในของปลาและกุ้ง ภายในของปลาและกุ้ง โดยการวาด และนาเสนอ มาจัดกระทาโดยการวาด มาจดั กระทาโดยการวาด ข้อมลู ให้ผู้อนื่ เข้าใจได้ง่าย และนาเสนอข้อมูลให้ผู้อื่น และนาเสนอขอ้ มลู ได้ และชดั เจนได้ดว้ ยตวั เอง เขา้ ใจได้ง่ายและชดั เจน ไมค่ รบถ้วนและชดั เจน โดยอาศยั คาแนะนาของครู แมว้ า่ ครหู รอื ผู้อนื่ ช่วย หรอื ผอู้ ืน่ แนะนาหรือชแ้ี นะ
๖๓ ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การลงความเห็น สามารถลงความเหน็ ขอ้ มูล สามารถลงความเหน็ ขอ้ มลู สามารถลงความเหน็ ลง จากข้อมูล จากการสงั เกตได้ว่า ปลา และกงุ้ มีลักษณะภายใน จากการสังเกตไดว้ ่า ปลา ความเหน็ ข้อมลู จากการ แตกตา่ งกนั โดยปลาเป็น สตั ว์ทีม่ กี ระดูกสนั หลงั และก้งุ มลี ักษณะภายใน สงั เกตได้ไม่ครบถ้วนว่า ซึ่งมีลักษณะเปน็ ข้อ ๆ เรยี งต่อกันไปตามแนว แตกตา่ งกนั โดยปลาเปน็ ปลาและกงุ้ มลี ักษณะ ลาตัวต้งั แตส่ ่วนหวั จนถงึ สว่ นหาง สว่ นกุ้งเปน็ สตั ว์ที่ สัตวท์ ี่มีกระดูกสันหลัง ซ่ึงมี ภายในแตกต่างกัน โดย ไม่มีกระดูกสนั หลงั ด้วย ตวั เอง ลักษณะเป็นข้อ ๆ เรียงต่อ ปลาเปน็ สตั วท์ ีม่ กี ระดูก กนั ไปตามแนวลาตวั ตงั้ แต่ สันหลงั ซง่ึ มลี กั ษณะเป็น สว่ นหวั จนถงึ สว่ นหาง ส่วน ข้อ ๆ เรียงต่อกนั ไปตาม ก้งุ เป็นสตั วท์ ีไ่ มม่ ีกระดูก แนวลาตัวตงั้ แตส่ ว่ นหวั สนั หลัง โดยอาศยั คาแนะนา จนถงึ ส่วนหาง ส่วนกงุ้ เป็น ของครหู รือผอู้ ่นื สัตวท์ ไี่ มม่ ีกระดูกสนั หลัง ถงึ แม้จะไดร้ บั คาแนะนา จากผอู้ น่ื
๖๔ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ แผนกำรเรยี นรทู้ ่ี 6 เร่ือง กำรจำแนกสตั ว์ (2) ชอ่ื ผูป้ ระเมนิ /กลุม่ ประเมนิ ………………………………………………………………………………………….............................. ชือ่ กลุ่มรับกำรประเมนิ ……………………………………………………………………………………………….............................. ประเมนิ ผลคร้งั ท…ี่ ………………....……....... วนั ……………..…. เดือน …...........……..………. พ.ศ. ……...….……....... เรื่อง…………………………………………………………………………………………………………………….................................... ที่ ลกั ษณะ/พฤติกรรมบ่งช้ี ระดบั พฤตกิ รรม คะแนนทีไ่ ด้ เกดิ = 1 ไมเ่ กดิ = 0 1. ซ่ือสัตยส์ จุ รติ 2. ใฝเ่ รยี นรู้ 3. มุ่งม่ันในการทางาน รวมคะแนนทไ่ี ด้ท้งั หมด = …………… คะแนน เกณฑก์ ำรประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ - มากกว่า 80 % ได้ 3 คะแนน - 50 % - 79 % ได้ 2 คะแนน - ตา่ กว่า 50 % ได้ 1 คะแนน
๖๕ แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ที่ 7 กลุม่ สำระกำรเรียนรูว้ ิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษำปที ่ี 4 ภำคเรียนที่ 1 รำยวิชำวิทยำศำสตร์ รหัสวชิ ำ ว14101 หน่วยกำรเรียนรทู้ ่ี 1 กำรจำแนกส่ิงมีชีวิตรอบตัว หนว่ ยย่อยที่ 1 กำรจำแนกสิ่งมีชวี ติ แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ท่ี 8 เรือ่ ง กำรจำแนกสตั ว์ (3) เวลำ 1 ชั่วโมง 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้ / ตวั ช้วี ดั สำระท่ี 1 วทิ ยำศำสตรช์ ีวภำพ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมทมี่ ีผลตอ่ สง่ิ มชี วี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพวิวัฒนาการ ของสิง่ มชี วี ิตรวมท้งั นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ตัวช้ีวดั ป.4/3 จาแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยใช้การมีกระดูก สันหลังเปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มูลทร่ี วบรวมได้ 2. จุดประสงค์กำรเรยี นรู้ 2.1 ด้ำนควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ (K) - อธบิ ายการจาแนกสัตวอ์ อกเปน็ กลมุ่ โดยใชเ้ กณฑ์การมีกระดูกสันหลัง 2.2 ด้ำนทักษะกระบวนกำร (P) - สงั เกตและจาแนกกลุ่มสัตว์โดยเกณฑก์ ารมกี ระดกู สนั หลงั 2.3 ดำ้ นคณุ ลกั ษณะ เจตคติ ค่ำนยิ ม (A) - มีความมุง่ มนั่ ในการทางาน - ชว่ ยเหลือในการทางานกล่มุ รว่ มกนั 3. สำระสำคญั ถา้ ใชก้ ารมกี ระดูกสนั หลงั เป็นเกณฑ์ จะสามารถจาแนกสตั ว์ชนิดต่าง ๆ ออกเป็นกล่มุ ได้ 4. สำระกำรเรียนรู้ ควำมรู้ ถ้าใช้การมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ จะสามารถจาแนกสัตว์ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสัตว์ท่ีมี กระดกู สันหลงั และกล่มุ สัตว์ทีไ่ มม่ กี ระดูกสันหลงั ทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ - การสังเกต - การจาแนกประเภท - การลงความเหน็ จากขอ้ มลู
๖๖ - การตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุป 5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร - อธิบายการจาแนกสัตว์ออกเปน็ กล่มุ โดยใช้การมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ 5.2 ความสามารถในการคิด - อภิปรายผลการจาแนกสตั ว์ออกเป็นกลมุ่ โดยใช้การมกี ระดกู สนั หลังเปน็ เกณฑ์ 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา - การแก้ปัญหาและการชว่ ยเหลือในการทางานกลุ่มร่วมกัน 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต - มีความสามคั คใี นการทางานกล่มุ รว่ มกัน 6. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 6.1 ซ่อื สตั ยส์ จุ ริต 6.2 ใฝเ่ รียนรู้ 6.3 มงุ่ มน่ั ในการทางาน 7. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ขน้ั นำ (10 นำที) 1. ครทู บทวนความรเู้ กย่ี วกบั ลกั ษณะภายในของปลาและก้งุ ที่ได้เรยี นผา่ นมาในชัว่ โมงท่ีแลว้ โดยใช้ คาถามในการอภปิ ราย ดังน้ี 1.1 ลกั ษณะภายในของปลาและกุ้งแตกต่างกนั อยา่ งไร (ภายในของปลาจะมีกระดูกสนั หลงั ส่วนกงุ้ ไม่มีกระดูกสันหลงั ) 1.2 ถ้าใช้การมีกระดูกสันหลงั เปน็ เกณฑ์ ปลาและกุ้งจะจดั อยใู่ นกลมุ่ เดียวกันหรือไม่ อยา่ งไร (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง เช่น ปลาและกุ้งจะจัดอยู่คนละกลุ่มกัน โดยปลา อยูใ่ นกล่มุ สัตวท์ ี่มกี ระดกู สนั หลงั สว่ นกุง้ อยู่ในกลุม่ สัตว์ท่ีไม่มีกระดูกสนั หลัง) 2. ครูตรวจสอบความรูเ้ ดิมโดยนารปู สัตว์ท่มี กี ระดูกสนั หลงั และสัตวท์ ไ่ี ม่มีกระดกู สนั หลงั อยา่ งละ 5 ชนิด ซึ่งแตกตา่ งจากสตั ว์ในบัตรภาพโครงสรา้ งภายในสตั ว์ มาให้นักเรียนสังเกต จากนั้นนาอภิปราย โดยใช้คาถามว่า ถา้ ใชก้ ารมีกระดกู สันหลังเป็นเกณฑ์ นักเรียนจะจาแนกสัตวเ์ หล่าน้ีไดเ้ ป็นกกี่ ลมุ่ อะไรบา้ ง (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง) ข้ันสอน (40 นำที) 3. ครชู ักชวนนักเรยี นอา่ นช่ือกิจกรรมที่ 1 จาแนกสัตวไ์ ด้อยา่ งไร และอา่ นจดุ ประสงค์ ข้อ 2 จากนนั้ ตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรยี นโดยใช้คาถามดังนี้ 3.1 กิจกรรมนี้นกั เรียนจะได้เรยี นร้เู ก่ยี วกบั เรอื่ งอะไร (การจาแนกสตั ว์ออกเปน็ กลมุ่ โดยใช้การมี กระดูกสันหลงั เปน็ เกณฑ)์
๖๗ 3.2 นักเรียนจะเรียนรโู้ ดยใช้วธิ ใี ด (การจาแนก) 3.3 เมอื่ เรยี นจบกิจกรรมน้นี ักเรียนต้องทาอะไรได้ (จาแนกสตั ว์ออกเปน็ กลมุ่ โดยใชก้ ารมี กระดูกสันหลงั เป็นเกณฑ์ได้) 4. ครูใหน้ กั เรียนอ่านวัสดุอุปกรณ์ และวธิ ที ากิจกรรมข้อ 5 แล้วใชค้ าถามดังนี้ 4.1 นักเรยี นตอ้ งทาอะไรบ้าง (จาแนกสตั ว์ตา่ ง ๆ ในบัตรภาพโครงสร้างภายในของสตั ว์ โดยใช้ การมกี ระดูกสันหลังเปน็ เกณฑ์ บนั ทึกผล และนาเสนอ) 4.2 นกั เรียนจะนาเสนอผลการจาแนกอยา่ งไร (นักเรียนตอบตามความคดิ ) 5. ครใู ห้นกั เรยี นลงมือทากจิ กรรมโดยการจาแนกสัตวต์ ่าง ๆ ในบตั รภาพโครงสรา้ งภายในของสตั ว์ โดยใช้การมีกระดูกสันหลังเปน็ เกณฑ์ แลว้ บนั ทึกผล 6. ครสู ่มุ นกั เรียนออกมานาเสนอผลการจาแนก แลว้ รว่ มกนั อภิปรายผลการจาแนกกลมุ่ สัตวโ์ ดยใช้ คาถามตอ่ ไปน้ี 6.1 ถา้ ใชก้ ารมีกระดูกสนั หลงั เป็นเกณฑ์ จะจาแนกสัตวไ์ ดเ้ ปน็ กกี่ ลุ่ม อะไรบา้ ง (จาแนกไดเ้ ปน็ 2 กลมุ่ คือ กลมุ่ สตั ว์ทม่ี ีกระดูกสันหลงั และกลุ่มสตั ว์ทไี่ ม่มกี ระดูกสันหลงั ) 6.2 กลมุ่ สตั ว์ทม่ี กี ระดูกสนั หลังมสี ตั ว์ชนิดใดบา้ ง (นักเรียนตอบตามผลการทากจิ กรรมของ ตนเอง) 6.3 กลุ่มสตั ว์ทไี่ ม่มกี ระดกู สนั หลงั มีสัตวช์ นิดใดบ้าง (นักเรยี นตอบตามผลการทากจิ กรรมของ ตนเอง) ขั้นสรปุ (10 นำที) 7. ครเู ปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนสรุปแนวคดิ หรือสงิ่ ที่ไดเ้ รยี นรูใ้ นช่ัวโมงนีด้ ว้ ยตนเองเกีย่ วกับการจาแนกสัตว์ ชนิดต่าง ๆ โดยใชก้ ารมกี ระดูกสันหลงั เปน็ เกณฑ์ 8. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั สรปุ เกีย่ วกบั การจาแนกสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ โดยใชก้ ารมกี ระดูกสนั หลงั เป็นเกณฑ์ ว่า ถา้ ใชก้ ารมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ จะจาแนกสัตวช์ นดิ ตา่ ง ๆ ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสัตว์ทมี่ ี กระดูกสันหลังและกลมุ่ สตั ว์ที่ไม่มีกระดูกสนั หลงั 8. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 8.1 ใบงาน 01 การจาแนกสัตว์ หน้า 23 8.2 บัตรภาพโครงสรา้ งภายในสตั ว์ 9. ชนิ้ งำน/ภำระงำน 9.1 การจาแนกสัตว์โดยใช้การมกี ระดกู สันหลังเป็นเกณฑ์ 9.2 การทาใบงาน 01 การจาแนกสัตว์ หนา้ 23 10. กำรวัดและประเมินผล 10.1 ประเมนิ ความรเู้ รอ่ื งการจาแนกกลมุ่ สัตว์ดว้ ยการตอบคาถามในช้นั เรียนและในใบงาน (K) 10.2 ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ดว้ ยแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ด้วยแบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
๖๘ แบบประเมนิ ด้ำนทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ แผนกำรเรยี นรู้ที่ 7 เรือ่ ง กำรจำแนกสัตว์ (3) เกณฑ์การประเมนิ มดี ังนี้ 3 หมายถงึ ดี 2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถึง ปรบั ปรงุ ส่ิงท่ปี ระเมิน คะแนน การสังเกต การจาแนกประเภท การลงความเหน็ จากข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป รวมคะแนน เกณฑก์ ำรประเมิน ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การสังเกต สามารถใชต้ าในการสงั เกต สามารถใชต้ าในการสงั เกต สามารถใชต้ าในการสงั เกต โครงสร้างภายในสตั ว์ชนิด โครงสรา้ งภายในสตั วช์ นิด โครงสรา้ งภายในสตั ว์ชนิด การจาแนกประเภท ตา่ ง ๆ ในบตั รภาพเพ่อื ตา่ ง ๆ ในบัตรภาพเพื่อ ตา่ ง ๆ ในบตั รภาพเพ่อื รวบรวมขอ้ มูลเกี่ยวกับ รวบรวมข้อมลู เกย่ี วกับ รวบรวมขอ้ มูลเกีย่ วกับ ลกั ษณะภายในของสัตว์ ลักษณะภายในของสตั ว์ ลกั ษณะภายในของสตั ว์ ชนิดตา่ ง ๆ ได้ด้วยตนเอง ชนิดตา่ ง ๆ ได้จากการ ชนิดตา่ ง ๆ ไดเ้ พยี ง โดยไม่เพ่ิมเติมความคดิ เหน็ ช้แี นะของครูหรือผ้อู ื่น บางสว่ น ถงึ แม้จะไดร้ บั คาแนะนาจากผู้อื่น สามารถจาแนกสตั ว์ชนดิ สามารถจาแนกสัตว์ชนิด สามารถจาแนกสัตวช์ นดิ ต่าง ๆ ในบัตรภาพ ต่าง ๆ ในบัตรภาพ ตา่ ง ๆ ในบตั รภาพ โครงสรา้ งภายในสัตว์ โครงสร้างภายในสตั ว์ โครงสรา้ งภายในสัตว์ ออกเป็นกลุ่ม โดยใชก้ ารมี ออกเปน็ กลุ่ม โดยใชก้ ารมี ออกเปน็ กลุม่ โดยใชก้ ารมี กระดูกสนั หลังเปน็ เกณฑ์ กระดูกสนั หลงั เปน็ เกณฑ์ กระดูกสนั หลังเป็นเกณฑ์ ไดอ้ ย่างถกู ต้องดว้ ยตัวเอง ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง โดยอาศัย ไดไ้ มถ่ ูกต้องและครบถว้ น คาแนะนาของครูหรือผอู้ ื่น แมว้ ่าครูหรือผู้อน่ื ชว่ ย แนะนาหรือชแี้ นะ
๖๙ ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การลงความเหน็ สามารถลงความเห็นข้อมลู สามารถลงความเหน็ ข้อมูล สามารถลงความเหน็ ข้อมลู จากข้อมลู จากการสังเกตบัตรภาพ จากการสังเกตบตั รภาพ จากการสังเกตบตั รภาพ การตคี วามหมาย ข้อมลู และลงข้อสรปุ โครงสรา้ งภายในสตั วช์ นดิ โครงสรา้ งภายในสตั วช์ นดิ โครงสร้างภายในสตั วช์ นดิ ต่าง ๆ ไดว้ ่า ถา้ ใชก้ ารมี ต่าง ๆ ไดว้ า่ ถ้าใช้การมี ตา่ ง ๆ ได้ไม่ครบถ้วนว่า กระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ กระดูกสันหลังเปน็ เกณฑ์ ถ้าใช้การมีกระดูกสันหลัง สตั วช์ นิดใดจะจัดอยู่ใน สัตวช์ นิดใดจะจัดอยูใ่ นกลุ่ม เปน็ เกณฑ์ สตั วช์ นิดใด สตั ว์ทม่ี กี ระดูกสันหลงั และ จะจัดอยู่ในกลุ่มสัตวท์ ่มี ี กลมุ่ สัตวท์ ีม่ ีกระดูกสันหลงั สัตวช์ นดิ ใดจะจดั อยใู่ นกลมุ่ กระดูกสันหลังและสตั ว์ และสัตวช์ นดิ ใดจะจัดอยู่ใน สตั ว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ชนิดใดจะจดั อยู่ในกลมุ่ กลมุ่ สตั ว์ทไ่ี ม่มีกระดกู โดยอาศยั คาแนะนาของครู สตั ว์ทไ่ี ม่มีกระดูกสันหลัง สนั หลังดว้ ยตัวเอง หรอื ผอู้ ่ืน ถงึ แมจ้ ะไดร้ บั คาแนะนา จากผู้อ่นื สามารถตีความหมาย สามารถตคี วามหมายข้อมูล สามารถตีความหมาย ข้อมูลจากการสงั เกต จากการสังเกตบัตรภาพ ข้อมลู จากการสังเกต บัตรภาพโครงสรา้ งภายใน โครงสร้างภายในสัตว์และ บตั รภาพโครงสรา้ งภายใน สตั วแ์ ละการจาแนกสัตว์ การจาแนกสตั ว์ออกเปน็ สตั วแ์ ละการจาแนกสตั ว์ ออกเปน็ กล่มุ โดยใช้การมี กลุ่มโดยใช้การมีกระดูก ออกเปน็ กลุม่ โดยใช้การมี กระดูกสนั หลงั เป็นเกณฑ์ สันหลังเปน็ เกณฑ์ และ กระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ และลงข้อสรปุ ไดว้ ่า ถ้าใช้ ลงข้อสรปุ ได้ว่า ถ้าใชก้ ารมี และลงข้อสรปุ ได้ไม่ กระดูกสนั หลังเปน็ เกณฑ์ ครบถ้วนว่า ถา้ ใชก้ ารมี การมกี ระดกู สนั หลังเป็น สามารถจาแนกสตั ว์ไดเ้ ป็น กระดูกสันหลังเปน็ เกณฑ์ เกณฑ์ สามารถจาแนกสัตว์ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสัตวท์ ่ีมี สามารถจาแนกสตั ว์ไดเ้ ปน็ ได้เปน็ 2 กล่มุ คอื กลุ่ม กระดูกสนั หลงั และกลมุ่ สตั ว์ 2 กลุ่ม คอื กลมุ่ สัตว์ทม่ี ี สตั ว์ท่มี กี ระดูกสันหลงั และ ทไ่ี ม่มกี ระดกู สันหลงั โดย กระดูกสันหลังและ กลมุ่ สัตวท์ ี่ไม่มกี ระดกู สนั อาศยั คาแนะนาของครูหรือ กลุ่มสัตว์ทีไ่ ม่มกี ระดกู หลังดว้ ยตนเอง ผอู้ ่นื สนั หลัง ถงึ แมจ้ ะไดร้ ับ คาแนะนาจากผู้อ่นื
๗๐ แบบประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ แผนกำรเรียนรูท้ ี่ 7 เรือ่ ง กำรจำแนกสัตว์ (3) ช่ือผปู้ ระเมิน/กลมุ่ ประเมนิ ………………………………………………………………………………………….............................. ชอ่ื กลุ่มรับกำรประเมิน……………………………………………………………………………………………….............................. ประเมินผลครง้ั ท่…ี ………………....……....... วัน ……………..…. เดอื น …...........……..………. พ.ศ. ……...….……....... เรอ่ื ง…………………………………………………………………………………………………………………….................................... ที่ ลกั ษณะ/พฤตกิ รรมบ่งช้ี ระดบั พฤตกิ รรม คะแนนทไ่ี ด้ เกิด = 1 ไมเ่ กดิ = 0 1. ซ่ือสัตย์สจุ ริต 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. มุง่ มนั่ ในการทางาน รวมคะแนนที่ได้ทั้งหมด = …………… คะแนน เกณฑก์ ำรประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ - มากกว่า 80 % ได้ 3 คะแนน - 50 % - 79 % ได้ 2 คะแนน - ต่ากวา่ 50 % ได้ 1 คะแนน
๗๑ แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ที่ 8 กลุ่มสำระกำรเรียนร้วู ิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันประถมศกึ ษำปีท่ี 4 ภำคเรียนที่ 1 รำยวิชำวิทยำศำสตร์ รหัสวชิ ำ ว14101 หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 1 กำรจำแนกสิง่ มีชีวิตรอบตัว หน่วยย่อยที่ 1 กำรจำแนกสง่ิ มีชวี ิต แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ท่ี 8 เร่อื ง กำรจำแนกสัตว์ (4) เวลำ 1 ช่ัวโมง 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้ / ตวั ช้ีวัด สำระที่ 1 วทิ ยำศำสตร์ชวี ภำพ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงทางพนั ธุกรรมท่ีมผี ลตอ่ ส่งิ มชี วี ิต ความหลากหลายทางชีวภาพววิ ฒั นาการ ของสง่ิ มชี ีวิตรวมทัง้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตวั ชว้ี ดั ป.4/4 บรรยายลักษณะเฉพาะท่ีสังเกตได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้า สะเทินบก กลุ่มสัตว์เล้ือยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม และยกตัวอย่าง สง่ิ มชี ีวติ ในแตล่ ะกลุ่ม 2. จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 2.1 ดำ้ นควำมรู้ ควำมเข้ำใจ (K) - อธิบายลกั ษณะเฉพาะของสตั ว์ทม่ี ีกระดกู สันหลังและจาแนกออกเป็นกลมุ่ 2.2 ดำ้ นทกั ษะกระบวนกำร (P) - จาแนกสัตว์มกี ระดูกสนั หลังออกเปน็ กล่มุ 2.3 ด้ำนคุณลักษณะ เจตคติ ค่ำนิยม (A) - มคี วามมงุ่ มั่นในการทางาน - ช่วยเหลอื ในการทางานกลุ่มร่วมกนั 3. สำระสำคญั สัตว์มีกระดูกสันหลังจาแนกได้เป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก กลุ่มสัตว์ปีก กลมุ่ สตั วเ์ ลือ้ ยคลาน และกลุม่ สตั วเ์ ล้ียงลูกด้วยนา้ นม โดยแต่ละกลมุ่ จะมีลักษณะเฉพาะทแ่ี ตกตา่ งกัน 4. สำระกำรเรยี นรู้ ควำมรู้ สัตว์มีกระดูกสันหลังจาแนกได้เป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก กลุ่มสัตว์ปีก กลุ่มสัตว์เล้อื ยคลาน และกลมุ่ สัตวเ์ ล้ียงลกู ด้วยน้านม โดยแตล่ ะกลุ่มจะมีลักษณะเฉพาะท่ีแตกต่างกัน
๗๒ กลุ่มปลา จะมีครีบ ผิวหนังมีเกล็ด ดารงชีวิตอยู่ในน้า และส่วนใหญ่ออกลูกเป็นไข่ กลุ่มสัตว์สะเทินน้า สะเทินบก จะมีผวิ หนงั เปียกช้ืนตลอดเวลา ไม่มขี น ดารงชวี ิตได้ท้ังบนบกและในนา้ กล่มุ สัตวเ์ ลื้อยคลาน มผี วิ หนังแหง้ ไมม่ ีขน มเี กล็ดปกคลมุ ทวั่ ตวั ดารงชีวิตได้ท้ังบนบกและในน้า กลุ่มสัตว์ปีกหรือกลุ่มนก ผิวหนังมี ขนเป็นแผง ปกคลุมร่างกาย มขี า 1 คู่ ปีก 1 คู่ ออกลกู เป็นไข่ และกลุ่มสัตวเ์ ลย้ี งลกู ด้วยนา้ นม ผวิ หนงั มีขน เปน็ เสน้ ส่วนใหญ่ออกลกู เปน็ ตวั แตบ่ างชนดิ ออกลูกเปน็ ไข่ เลี้ยงลูกดว้ ยนา้ นม ทกั ษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ - การสงั เกต - การจาแนกประเภท - การจัดกระทาและส่ือความหมายขอ้ มูล - การลงความเหน็ จากขอ้ มูล - การตีความหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรุป 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร - อธิบายลกั ษณะเฉพาะของสตั ว์ทมี่ ีกระดูกสันหลังและการจาแนกออกเป็นกลุ่ม 5.2 ความสามารถในการคิด - อภปิ รายลักษณะเฉพาะของสัตวม์ กี ระดูกสันหลังแต่ละชนิดและจาแนกออกเปน็ กลุม่ 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา - การแกป้ ญั หาและการช่วยเหลือในการทางานกลุ่มร่วมกัน 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต - มคี วามสามัคคใี นการทางานกลุ่มร่วมกนั 6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 6.1 ซือ่ สัตย์สุจรติ 6.2 ใฝ่เรยี นรู้ 6.3 มุง่ ม่นั ในการทางาน 7. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ขน้ั นำเขำ้ สู่บทเรียน (5 นำที) 1. ครูตรวจสอบความร้เู ดิมของนักเรียนโดยให้นกั เรียนสงั เกตรูปสตั วม์ กี ระดูกสนั หลงั ชนิดต่าง ๆ แล้วให้ นักเรียนตอบคาถามดงั น้ี 1.1 สตั วแ์ ต่ละชนดิ มลี กั ษณะอะไรเหมือนกนั บ้าง (นกั เรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง)
๗๓ 1.2 ถา้ จะแบ่งสัตว์เหล่านอ้ี อกเปน็ กลุม่ นักเรียนจะใช้เกณฑ์อะไร และจะแบ่งได้เปน็ กก่ี ลุ่ม อะไรบ้าง (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง) ข้ันสอน (45 นำที) 2. ครชู กั ชวนนกั เรียนอา่ นช่ือกจิ กรรมที่ 1 จาแนกสตั ว์ได้อย่างไร และอ่านจุดประสงค์ ข้อ 3 จากนัน้ ตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยใชค้ าถามดงั น้ี 2.1 กจิ กรรมน้ีนกั เรียนจะได้เรียนรู้เกีย่ วกบั เร่ืองอะไร (ลักษณะเฉพาะของสตั วแ์ ละการจาแนก สตั ว์มกี ระดูกสนั หลงั ออกเป็นกล่มุ ) 2.2 นกั เรียนจะเรียนร้โู ดยใช้วธิ ใี ด (การสงั เกตและการจาแนก) 2.3 เม่อื เรียนจบกจิ กรรมนนี้ ักเรียนต้องทาอะไรได้ (จาแนกสัตว์มกี ระดูกสันหลังออกเปน็ กลุ่มได้) 3. ครใู หน้ กั เรียนอ่านวธิ ที ากิจกรรมขอ้ 6 แลว้ ใช้คาถามดังน้ี 3.1 นักเรยี นต้องทาอะไรเป็นอันดบั แรก (เลอื กบัตรภาพสตั วม์ ีกระดูกสันหลงั ) 3.2 นกั เรยี นต้องอ่านใบความรเู้ ร่อื งอะไร (กลุ่มสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั ) 3.3 เมื่ออ่านใบความรแู้ ล้ว นกั เรียนต้องทาอะไรตอ่ (จัดบัตรภาพสตั วเ์ ข้ากลมุ่ ตา่ ง ๆ ตามข้อมูล ในใบความรู้) 3.4 นักเรียนต้องบันทกึ ผลอย่างไร (เขยี นแผนภาพความคิด) 4. เม่อื นกั เรยี นรว่ มกนั อา่ นใบความรู้ เร่ืองกลุ่มสตั วม์ กี ระดูกสนั หลงั ครูควรนาอภปิ รายทีละยอ่ หน้า โดยใชค้ าถามดังน้ี 4.1 สัตวม์ กี ระดูกสนั หลงั แบง่ ไดก้ ี่กลมุ่ (แบง่ ได้ 5 กล่มุ ) 4.2 สัตว์ที่อย่ใู นกลุ่มปลามีลักษณะเฉพาะอะไรบ้าง (มีครีบอก ครบี เอว ครบี กน้ ครีบท้องและ ครีบหาง ย่ืนออกจากลาตวั ผิวหนงั มีเกลด็ อยู่ในนา้ ตลอดเวลา และส่วนใหญ่ออกลูกเป็นไข)่ 4.3 สัตวท์ อ่ี ยู่ในกลุ่มสตั ว์สะเทนิ น้าสะเทินบกมีลักษณะเฉพาะอะไรบา้ ง (มผี ิวหนงั เปยี กชื้น ตลอดเวลา ไมม่ ีขน มีขา 4 ขา ใชใ้ นการเคลอ่ื นท่ี ดารงชีวิตไดท้ ้งั บนบกและในนา้ ) 4.4 สตั วท์ ี่อยใู่ นกลมุ่ เลื้อยคลานมีลกั ษณะเฉพาะอะไรบ้าง (ผวิ หนงั แห้ง ไม่มขี น มเี กลด็ ปกคลมุ ทัว่ ตัว มขี า 4 ขา อาศัยได้ทง้ั บนบกและในนา้ ส่วนใหญ่ขึ้นมาวางไขบ่ นบก และบางชนิด ออกลกู เปน็ ตวั ) 4.5 สตั ว์ที่อยู่ในกลมุ่ นกมีลักษณะเฉพาะอะไรบา้ ง (ผิวหนงั มขี นเปน็ แผงปกคลมุ ร่างกาย มีขา 1 คู่ มปี กี 1 คู่ ออกลูกเป็นไข่ ส่วนใหญ่บินได้ บางชนดิ บินไม่ได้ และบางชนิดว่ายนา้ ได้) 4.6 สัตวท์ อ่ี ยูใ่ นกลุม่ สัตว์เลย้ี งลูกด้วยน้านมมลี ักษณะเฉพาะอะไรบ้าง (ผิวหนงั มขี นเป็นเสน้ สว่ นใหญ่ออกลกู เป็นตวั บางชนดิ ออกลกู เปน็ ไข่ เล้ียงลูกดว้ ยน้านม ส่วนใหญม่ ี 4 ขา อาศัย บนบก บางชนิดอาศัยอยู่ในน้า) 4.7 สตั ว์มีกระดูกสนั หลงั แบ่งไดก้ ่ีกลุ่ม อะไรบ้าง (แบง่ ได้ 5 กลุ่ม คอื กลุ่มปลา กลุม่ สตั ว์เลือ้ ยคลาน กล่มุ สตั ว์สะเทินนา้ สะเทินบก กลุ่มสตั ว์ปกี และกลุ่มสตั ว์เล้ียงลูก ด้วยน้านม)
๗๔ 5. เม่อื นกั เรียนทากิจกรรมเสรจ็ แล้ว ครูสมุ่ ตัวแทนนักเรียนออกมานาเสนอแผนภาพความคิด การจัดกลุ่มสตั ว์มีกระดูกสันหลงั จากนัน้ ครนู าอภปิ รายโดยใชค้ าถามดังน้ี 5.1 สตั ว์มกี ระดูกสนั หลังแบง่ ได้กี่กลุม่ อะไรบา้ ง (แบง่ ได้ 5 กลุ่ม คือ กลุ่มปลา กลมุ่ สตั ว์เลอ้ื ยคลาน กลุม่ สตั ว์สะเทนิ นา้ สะเทินบก กลุม่ สตั วป์ กี และกลมุ่ สัตวเ์ ลย้ี งลูก ดว้ ยนา้ นม) 5.2 ลักษณะเฉพาะท่ีแตกตา่ งกนั ของสตั วม์ ีกระดูกสันหลังท้ังห้ากลมุ่ มีอะไรบ้าง (ลักษณะของ ผวิ หนงั ส่วนทีใ่ ชใ้ นการเคลอ่ื นที่ การดารงชวี ติ การออกลกู ) 5.3 สตั ว์มกี ระดูกสันหลังในแต่ละกลุม่ มีลักษณะแตกต่างกันอยา่ งไร (แตกตา่ งกัน โดย - กลุม่ ปลา มีครีบ ผิวหนงั มีเกลด็ อยูใ่ นนา้ ตลอดเวลา และส่วนใหญอ่ อกลกู เปน็ ไข่ - กลุ่มสตั วส์ ะเทินน้าสะเทินบก มผี ิวหนังเปียกชืน้ ตลอดเวลา ไมม่ ีขน มีขา 4 ขา ใช้ในการ เคลอื่ นท่ีดารงชีวิตไดท้ งั้ บนบกและในน้า - กลมุ่ สตั ว์เลอ้ื ยคลาน มีผวิ หนังแห้งไม่มีขน มีเกล็ด สว่ นใหญม่ ี 4 ขา อาศัยไดท้ งั้ บนบกและ ในนา้ ส่วนใหญข่ ึน้ มาวางไขบ่ นบก และบางชนิดออกลกู เป็นตัว - กลมุ่ สัตว์ปกี มผี วิ หนัง มีขนเป็นแผงปกคลมุ ร่างกาย มีขา 1 คู่ ปกี 1 คู่ ออกลูกเป็นไข่ ส่วนใหญ่บนิ ได้ บางชนดิ บนิ ไม่ได้ และบางชนิดวา่ ยนา้ ได้ - กล่มุ สตั ว์เล้ียงลกู ดว้ ยน้านม ผิวหนังมีขนเป็นเส้น ส่วนใหญ่ออกลูกเปน็ ตวั บางชนิดออกลูก เปน็ ไข่ เลี้ยงลูกด้วยน้านม ส่วนใหญม่ ี 4 ขา อาศยั บนบก บางชนดิ อาศยั อยู่ในน้า) ขน้ั สรปุ (10 นำที) 6. ครเู ปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นสรปุ แนวคดิ หรอื สงิ่ ท่ีได้เรียนรใู้ นช่ัวโมงนี้ด้วยตนเองเกย่ี วกับการจาแนกสตั ว์ ทม่ี ีกระดกู สันหลังออกเปน็ กลุ่ม ตามลกั ษณะเฉพาะท่ีแตกต่างกนั 7. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรุปเก่ียวกับการจาแนกสัตว์ทม่ี กี ระดูกสนั หลังออกเป็นกลมุ่ ตาม ลกั ษณะเฉพาะท่ีแตกต่างกันว่า สัตว์มกี ระดกู สันหลงั สามารถจาแนกได้เป็น 5 กลุ่ม คอื กลุ่มปลา กลุ่มสตั วส์ ะเทนิ น้าสะเทนิ บก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มสัตว์ปีก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลกู ด้วยนา้ นม ตามลักษณะเฉพาะที่แตกตา่ งกนั 8. ส่ือ /แหล่งเรยี นรู้ 8.1 ใบงาน 01 การจาแนกสัตว์ หน้า 24 8.2 รปู สตั วม์ ีกระดกู สันหลงั ชนิดตา่ ง ๆ 9. ช้นิ งำน/ภำระงำน 9.1 การจาแนกสตั ว์มีกระดกู สันหลังออกเปน็ กลมุ่ 9.2 การทาใบงาน 01 การจาแนกสัตว์ หนา้ 24 10. กำรวัดและประเมินผล 10.1 ประเมนิ ความรู้เรอ่ื งการจาแนกกลุ่มสัตว์ด้วยการตอบคาถามในชั้นเรยี นและในใบงาน (K) 10.2 ประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ดว้ ยแบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ด้วยแบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
๗๕ แบบประเมินด้ำนทักษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ แผนกำรเรยี นรทู้ ่ี 8 เรอื่ ง กำรจำแนกสตั ว์ (4) เกณฑ์การประเมินมดี ังนี้ 3 หมายถึง ดี 2 หมายถึง พอใช้ 1 หมายถงึ ปรับปรุง สิ่งทปี่ ระเมิน คะแนน การสงั เกต การจาแนกประเภท การจดั กระทาและส่อื ความหมายขอ้ มูล การลงความเห็นจากข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ รวมคะแนน เกณฑก์ ำรประเมนิ ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การสงั เกต สามารถใช้ตาในการ สามารถใชต้ าในการ สามารถใชต้ าในการ การจาแนกประเภท สังเกตสตั ว์มีกระดกู สังเกตสัตวม์ กี ระดูก สังเกตสตั วม์ ีกระดูก สันหลังชนดิ ตา่ ง ๆ สันหลังชนิดตา่ ง ๆ สนั หลงั ชนดิ ตา่ ง ๆ ในบตั รภาพเพื่อรวบรวม ในบตั รภาพเพ่ือรวบรวม ในบตั รภาพเพ่ือรวบรวม ขอ้ มลู เกยี่ วกบั ลักษณะ ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ลักษณะ ข้อมูลเกย่ี วกบั ลักษณะ ของสัตวท์ มี่ ีกระดกู ของสตั ว์ทีม่ ีกระดกู ของสัตวท์ ี่มีกระดกู สันหลังชนิดต่าง ๆ ได้ สนั หลังชนิดตา่ ง ๆ ได้ สนั หลงั ชนดิ ตา่ ง ๆ ได้ ด้วยตนเองโดยไม่เพม่ิ เติม จากการชี้แนะของครหู รือ เพียงบางส่วน ถงึ แมจ้ ะ ความคิดเห็น ผอู้ ่นื ได้รบั คาแนะนาจากผอู้ ่นื สามารถจาแนกสัตวม์ ี สามารถจาแนกสัตวม์ ี สามารถจาแนกสตั ว์มี กระดูกสนั หลังชนิด กระดูกสันหลังชนิด กระดูกสนั หลงั ชนดิ ตา่ ง ๆ ออกเปน็ กลุ่มได้ ต่าง ๆ ออกเป็นกลมุ่ ได้ ต่าง ๆ ออกเปน็ กล่มุ ได้ จากลกั ษณะท่ีแตกต่าง จากลักษณะทแี่ ตกต่าง จากลักษณะที่แตกตา่ ง กันของสตั วใ์ นแต่ละกลุ่ม กนั ของสตั ว์ในแตล่ ะกลุม่ กนั ของสัตวใ์ นแต่ละกลุ่ม ได้อย่างถกู ต้องดว้ ย ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง โดยอาศยั ไดไ้ มถ่ กู ต้องและครบถว้ น
๗๖ ทกั ษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การจัดกระทาและส่ือ ตนเอง คาแนะนาของครูหรือ แม้ว่าครหู รอื ผู้อื่นชว่ ย ความหมายข้อมูล ผอู้ ่นื แนะนาหรอื ชี้แนะ การลงความเห็น จากข้อมลู สามารถนาข้อมลู ที่ไดจ้ าก สามารถนาข้อมลู ที่ได้ สามารถนาข้อมลู ท่ีได้จาก การตีความหมายข้อมูล การจาแนกสัตว์มีกระดูก จากการจาแนกสตั วม์ ี การจาแนกสตั วม์ ีกระดูก และลงข้อสรปุ สนั หลงั ตามการสงั เกต กระดูกสันหลังตามการ สนั หลังตามการสังเกต บัตรภาพและข้อมลู ในใบ สังเกตบัตรภาพและ บตั รภาพและขอ้ มลู ในใบ ความรู้ มาจดั กระทาโดย ขอ้ มูลในใบความรู้ ความรู้ มาจดั กระทาโดย การเขียนแผนภาพ มาจดั กระทาโดยการ การเขยี นแผนภาพ ความคิด เขียนแผนภาพความคดิ ความคดิ การแบง่ กลุ่ม การแบง่ กลุ่มสัตวม์ ี การแบ่งกลมุ่ สัตว์มี สัตว์มีกระดูกสนั หลัง กระดูกสนั หลังออกเปน็ กระดูกสันหลังออกเป็น ออกเปน็ กลุม่ และ กลมุ่ และนาเสนอข้อมลู กลุม่ และนาเสนอข้อมลู นาเสนอข้อมูลได้ ใหผ้ ูอ้ ่ืนเข้าใจไดง้ า่ ยและ ให้ผอู้ ่ืนเขา้ ใจได้ง่ายและ ไม่ครบถ้วนและชัดเจน ชดั เจนไดด้ ว้ ยตนเอง ชดั เจนได้ โดยอาศยั แม้ว่าครูหรือผู้อนื่ ชว่ ย คาแนะนาของครหู รือ แนะนาหรือชี้แนะ ผู้อน่ื สามารถลงความเหน็ สามารถลงความเหน็ สามารถลงความเหน็ ขอ้ มูลจากการสังเกตบัตร ข้อมลู จากการสังเกตบัตร ข้อมูลจากการสงั เกตบัตร ภาพโครงสรา้ ง ภาพโครงสร้างสตั วม์ ี ภาพโครงสร้างสตั วม์ ี สัตว์มีกระดูกสนั หลัง กระดูกสนั หลงั และ กระดูกสันหลัง และ และข้อมลู ตามใบความรู้ ข้อมูลตามใบความรู้ไดว้ า่ ขอ้ มูลตามใบความรู้ได้ ได้ว่า สตั วท์ ี่มีกระดูก สตั วท์ ่มี กี ระดูก ไมค่ รบถว้ นว่า สัตว์ทีม่ ี สันหลงั แต่ละชนิดมี สนั หลงั แต่ละชนิดมี กระดูกสันหลงั แตล่ ะชนดิ ลกั ษณะเฉพาะที่แตกตา่ ง ลกั ษณะเฉพาะทแ่ี ตกต่าง มีลักษณะเฉพาะท่ี กัน จึงสามารถนามาจัด กัน จึงสามารถนามาจัด แตกต่างกนั จึงสามารถ กลุ่มไดว้ ่า กลมุ่ ไดว้ า่ นามาจดั กลุ่มไดว้ ่า สตั วช์ นดิ ใดอย่ใู นกลุ่มใด สตั ว์ชนิดใดอยใู่ นกลุม่ ใด สัตว์ชนดิ ใดอยใู่ นกลุ่มใด ด้วยตนเอง โดยอาศยั คาแนะนาของ ถงึ แมจ้ ะไดร้ ับคาแนะนา ครหู รือผ้อู นื่ จากผู้อ่นื สามารถตีความหมาย สามารถตีความหมาย สามารถตีความหมาย ข้อมูลจากการสงั เกต ขอ้ มลู จากการสงั เกต ข้อมูลจากการสังเกต
๗๗ ทักษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ บัตรภาพโครงสร้างสัตว์ บตั รภาพโครงสรา้ งสัตว์ บัตรภาพโครงสร้างสตั ว์ และการจาแนกสัตว์ และการจาแนกสตั ว์ และการจาแนกสัตว์ ออกเป็นกลุม่ และ ลงขอ้ สรปุ ได้ไม่ครบถ้วน ออกเปน็ กลุ่ม และ ออกเปน็ กลุ่ม และ วา่ สัตว์มกี ระดกู สันหลงั สามารถจาแนกไดเ้ ป็น ๕ ลงขอ้ สรปุ ได้ว่า สัตวม์ ี ลงขอ้ สรปุ ได้ว่า สตั วม์ ี กลุ่ม คอื กลมุ่ ปลา กล่มุ สตั ว์สะเทนิ นา้ สะเทนิ บก กระดูกสันหลังสามารถ กระดูกสันหลงั สามารถ กลมุ่ สัตว์เลื้อยคลาน กลมุ่ สตั วป์ ีก และกลุ่มสัตว์ จาแนกได้เป็น ๕ กลุ่ม คือ จาแนกได้เป็น ๕ กลุ่ม เล้ียงลกู ดว้ ยน้านม ตาม ลักษณะเฉพาะทีแ่ ตกต่าง กลุ่มปลา กลมุ่ สตั ว์สะเทนิ คือ กลมุ่ ปลา กลุ่มสัตว์ กนั ถงึ แม้จะไดร้ ับ คาแนะนาจากผู้อืน่ น้าสะเทนิ บก สะเทนิ น้าสะเทินบก กลมุ่ สัตวเ์ ลือ้ ยคลาน กลุ่มสัตว์เลอ้ื ยคลาน กลุ่มสตั ว์ปกี และกลุม่ กลุ่มสตั ว์ปกี และกลุ่ม สตั วเ์ ลยี้ งลกู ด้วยน้านม สตั วเ์ ลี้ยงลกู ดว้ ยนา้ นม ตามลักษณะเฉพาะที่ ตามลักษณะเฉพาะท่ี แตกต่างกันด้วยตนเอง แตกต่างกัน โดยอาศัย คาแนะนาของครหู รือ ผอู้ ่นื
๗๘ แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ แผนกำรเรียนรูท้ ่ี 8 เรื่อง กำรจำแนกสตั ว์ (4) ช่ือผปู้ ระเมิน/กลุม่ ประเมนิ ………………………………………………………………………………………….............................. ช่ือกลุ่มรบั กำรประเมนิ ……………………………………………………………………………………………….............................. ประเมนิ ผลครงั้ ท…่ี ………………....……....... วัน ……………..…. เดือน …...........……..………. พ.ศ. ……...….……....... เรอ่ื ง…………………………………………………………………………………………………………………….................................... ท่ี ลักษณะ/พฤตกิ รรมบง่ ชี้ ระดับพฤติกรรม คะแนนทไี่ ด้ ๑. ซ่ือสตั ยส์ จุ ริต เกิด = ๑ ไม่เกิด = 0 ๒. ใฝเ่ รียนรู้ ๓. มงุ่ มน่ั ในการทางาน รวมคะแนนท่ีได้ทั้งหมด = …………… คะแนน เกณฑก์ ำรประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ - มากกวา่ ๘๐ % ได้ ๓ คะแนน - ๕๐ % - ๗๙ % ได้ ๒ คะแนน - ต่ากวา่ ๕๐ % ได้ ๑ คะแนน
๗๙ แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ท่ี 9 กลมุ่ สำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษำปที ่ี 4 ภำคเรียนท่ี 1 รำยวิชำวิทยำศำสตร์ รหสั วชิ ำ ว14101 หนว่ ยกำรเรียนร้ทู ี่ 1 กำรจำแนกสงิ่ มชี ีวิตรอบตัว หน่วยย่อยที่ 1 กำรจำแนกสิง่ มีชวี ติ แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ท่ี 8 เรอื่ ง กำรจำแนกสัตว์ (5) เวลำ 1 ช่ัวโมง 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้ / ตวั ช้ีวดั สำระที่ 1 วทิ ยำศำสตร์ชวี ภำพ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลย่ี นแปลงทางพนั ธุกรรมท่ีมผี ลตอ่ สง่ิ มีชีวติ ความหลากหลายทางชีวภาพววิ ัฒนาการ ของสิง่ มีชวี ิตรวมท้งั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตวั ช้ีวดั ป.4/4 บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้า สะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เล้ียงลูกด้วยน้านม และยกตัวอย่าง สงิ่ มีชีวิตในแตล่ ะกลุม่ 2. จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ 2.1 ด้ำนควำมรู้ ควำมเข้ำใจ (K) - อธิบายการจาแนกสัตว์โดยใช้การมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ และการจาแนกสัตว์มีกระดูก สนั หลังออกเป็นกลุ่มตามลกั ษณะเฉพาะท่ีแตกต่างกัน 2.2 ด้ำนทักษะกระบวนกำร (P) - 2.3 ดำ้ นคณุ ลักษณะ เจตคติ คำ่ นยิ ม (A) - ซื่อสัตยส์ จุ ริต - มีวินยั - มุง่ ม่ันในการทางาน 3. สำระสำคัญ สัตว์แต่ละชนิดมีลักษณะบางอย่างเหมือนกันและลักษณะบางอย่างแตกต่างกัน จึงนาความเหมือนและ ความแตกต่าง มาเป็นเกณฑ์ในการจาแนกสัตว์ออกเป็นกลุ่ม ถ้าใช้การมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ จะสามารถ จาแนกสัตว์ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสัตว์ท่ีมีกระดูกสันหลังและกลุ่มสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยสัตว์ท่ีมี กระดกู สันหลงั สามารถจาแนกได้เป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กล่มุ สัตวป์ กี และกลมุ่ สตั ว์เลยี้ งลูกด้วยนา้ นม
๘๐ 4. สำระกำรเรยี นรู้ ควำมรู้ สัตว์แต่ละชนิดมีลักษณะบางอย่างเหมือนกันและลักษณะบางอย่างแตกต่างกัน เช่น สัตว์บางชนิดมีปีก แต่บางชนิดไม่มีปีก บางชนิดมีขา แต่บางชนิดไม่มีขา จึงนาความเหมือนและความแตกต่าง มาเป็นเกณฑ์ใน การจาแนกสัตว์ออกเป็นกลุ่ม ถ้าใช้การมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ จะสามารถจาแนกสัตว์ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสตั ว์ทม่ี กี ระดกู สนั หลงั และกลุม่ สัตว์ทไ่ี มม่ กี ระดูกสนั หลัง โดยสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังสามารถจาแนกได้เป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก กลุ่มสัตว์ปีก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยน้านม โดยสัตว์แต่ละกลุ่มจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น ลักษณะผิวหนัง ส่วนท่ีใช้ในการเคล่ือนท่ี การดารงชีวิต การออกลูก ทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ - 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการคดิ - นาความรู้มาตอบคาถามเก่ยี วกับจาแนกสัตว์ชนิดตา่ ง ๆ ออกเป็นกล่มุ 6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 6.1 ซอ่ื สัตยส์ จุ รติ 6.2 มวี นิ ัย 6.3 ม่งุ ม่ันในการทางาน 7. กจิ กรรมกำรเรียนรู้ ข้ันนำเขำ้ สู่บทเรียน (10 นำที) 1. ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับการจาแนกสัตว์โดยใช้การมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ โดยให้นักเรียน สังเกตรูปสัตว์ท่ีมีกระดูกสันหลังและไม่มีกระดูกสันหลังชนิดต่าง ๆ แล้วนาอภิปรายโดยใช้คาถาม ดังนี้ 1.1 ในรปู นมี้ ีสัตว์อะไรบ้าง (มด แมงมุม หอย ก้ัง แมลงปอ ผี้เส้ือ ปลา กิ้งก่า ไก่ ค้างคาว เขียด โลมา) 1.2 ถ้าใช้การมกี ระดูกสันหลังเปน็ เกณฑ์ จะสามารถจาแนกสตั วไ์ ด้เป็นก่ีกลุ่ม อะไรบ้าง (จาแนก ได้ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสัตว์ท่ีมีกระดูกสันหลัง มีปลา กิ้งก่า ไก่ ค้างคาว เขียด โลมา และ กลุม่ สตั ว์ทีไ่ ม่มกี ระดกู สันหลัง มมี ด แมงมมุ หอย ก้ัง แมลงปอ) 2. ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับการจาแนกสัตว์มีกระดูกสันหลัง โดยให้นักเรียนสังเกตรูปกลุ่มสัตว์มี กระดูกสันหลังในข้อ 1 แล้วนาอภิปรายโดยใช้คาถามว่า จากรูป ถ้าจะจัดสัตว์มีกระดูกสันหลัง เหล่าน้ีออกเป็นกลุ่ม จะจัดได้ก่ีกลุ่ม อะไรบ้าง (ได้ 5 กลุ่ม คือ ปลาอยู่ในกลุ่มปลา เขียดอยู่ในกลุ่ม
๘๑ สตั วส์ ะเทินนา้ สะเทินบก ก้ิงก่าอยู่ในกลุ่มสัตว์เล้ือยคลาน ไก่อยู่ในกลุ่มสัตวปีก ค้างคาวและโลมาอยู่ ในกลุ่มสัตว์เล้ียงลูกดว้ ยนา้ นม) ขั้นสอน (40 นำที) 3. ครใู หน้ ักเรยี นตอบคาถามหลงั จากทากิจกรรมในหนา้ 25-26 4. ครใู หน้ ักเรียนทาใบงาน 02 แบบฝึกหัด เรื่องการจาแนกสัตว์ หน้า 27-28 ครูอาจนาอภิปรายโดยให้ นักเรียนพิจารณารูปสัตว์ในกลุ่ม ก และกลุ่ม ข ว่า สัตว์ในแต่ละกลุ่มมีลักษณะเหมือนและแตกต่าง กนั อยา่ งไร และใชเ้ กณฑ์ใดในการจาแนกสัตว์ทงั้ สองกลมุ่ น้ี รวมท้งั ระบลุ กั ษณะของกระดูกสันหลงั ขั้นสรปุ (10 นำที) 5. ครูเปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนสรปุ แนวคิดหรอื สิง่ ทไ่ี ด้เรียนรู้ในช่ัวโมงน้ีเก่ียวกับการจาแนกสัตว์ชนิดต่าง ๆ ออกเปน็ กลุ่ม 6. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับการจาแนกสัตว์ชนิดต่าง ๆ ออกเป็นกลุ่มอีกคร้ังว่า สัตว์แต่ละ ชนิดมีลักษณะบางอย่างเหมือนกันและลักษณะบางอย่างแตกต่างกัน จึงนาความเหมือนและความ แตกต่าง มาเปน็ เกณฑ์ในการจาแนกสตั ว์ออกเปน็ กลุ่ม ถา้ ใชก้ ารมีกระดกู สนั หลงั เปน็ เกณฑ์ จะสามารถจาแนกสัตว์ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังและกลุ่มสัตว์ท่ีไม่มีกระดูกสัน หลัง โดยสัตว์ท่ีมีกระดูกสันหลังสามารถจาแนกได้เป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้า สะเทนิ บก กลมุ่ สตั วเ์ ลื้อยคลาน กลมุ่ สตั วป์ ีก และกล่มุ สตั วเ์ ลี้ยงลกู ด้วยน้านม 8. สอื่ /แหล่งเรียนรู้ - ใบงาน 02 แบบฝึกหัด เร่ืองการจาแนกสัตว์ หนา้ 27-28 9. ชน้ิ งำน/ภำระงำน 9.1 การตอบคาถามหลงั จากทากิจกรรม หนา้ 25-26 9.2 การทาใบงาน 02 แบบฝกึ หดั เรอ่ื งการจาแนกสัตว์ หนา้ 27-28 10. กำรวดั และประเมนิ ผล 10.1 ประเมนิ ความรเู้ รือ่ งการจาแนกกล่มุ สตั ว์ดว้ ยการตอบคาถามในใบงาน (K) 10.2 ประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ด้วยแบบประเมนิ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
๘๒ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ แผนกำรเรยี นรู้ท่ี 9 เรือ่ ง กำรจำแนกสัตว์ (5) ชอื่ ผู้ประเมิน/กลุ่มประเมิน………………………………………………………………………………………….............................. ชอื่ กลุ่มรับกำรประเมนิ ……………………………………………………………………………………………….............................. ประเมินผลคร้งั ที…่ ………………....……....... วัน ……………..…. เดือน …...........……..………. พ.ศ. ……...….……....... เรือ่ ง…………………………………………………………………………………………………………………….................................... ท่ี ลกั ษณะ/พฤตกิ รรมบ่งชี้ ระดบั พฤติกรรม คะแนนทีไ่ ด้ เกดิ = 1 ไม่เกิด = 0 1. ซอ่ื สัตย์สุจริต 2. มวี นิ ัย 3. มุ่งม่ันในการทางาน รวมคะแนนท่ีได้ทั้งหมด = …………… คะแนน เกณฑก์ ำรประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - มากกว่า 80 % ได้ 3 คะแนน - 50 % - 79 % ได้ 2 คะแนน - ตา่ กวา่ 50 % ได้ 1 คะแนน
๘๓ เฉลยใบงำน
๘๔ นักเรยี นตอบตำมผลกำรทำกิจกรรม เชน่ กำรมีขำ ๒ มีขำ จ้งิ จก สุนขั ไมม่ ขี ำ งู ปลำ
๘๕ ลักษณะภำยนอก ลักษณะภำยนอก ลักษณะภำยใน ลักษณะภำยใน กระดูกสนั หลงั
๘๖ ช้ำง เป็ด ผง้ึ อึ่งอำ่ ง ฉลำม จ้ิงหรีด หำ่ น ปลำชอ่ น กงุ้ ควำย มำ้ หอยทำก งู นกพริ ำบ ปู ลิง จระเข้ ผีเสื้อ นก สนุ ัข ไส้เดอื นดนิ นกแกว้ ปลำดกุ มด ปลำตะเพียน ไก่ แมลงเต่ำทอง กระตำ่ ย วัว แมลงปอ แมว กบ แมงกะพรนุ โลมำ
๘๗ 1. กลมุ่ ปลำ 3. กลุ่มสัตวเ์ ลื้อยคลำน 4. กลมุ่ สตั ว์ปีก 2. กลุม่ สตั วส์ ะเทนิ น้ำสะเทนิ บก 5. กลุ่มสัตวเ์ ล้ียงลกู ดว้ ยนำ้ นม มีครีบอก ครีบก้น มผี ิวหนังแห้ง ไมม่ ขี น ผิวหนงั มขี นทีม่ ี ครีบหลัง ผิวหนัง มีเกลด็ คลมุ ท่วั ตัว ลักษณะเปน็ แผง มีเกล็ด อยู่ในน้ำ สว่ นใหญม่ ี ๔ ขำ มี ปกคลุมรำ่ งกำย ตลอดชวี ิต หำงช่วยในกำร มีขำ ๑ คู่ มปี กี เคลอ่ื นท่ี ๑ คู่ มผี ิวหนงั เปียกช้นื ผวิ หนังมีขนทมี่ ี ตลอดเวลำ ไมม่ ี ลกั ษณะเป็นเส้น ขน มขี ำ ๔ ขำ ปกคลุม เลยี้ งลกู อย่ใู นนำ้ และบน ดว้ ยน้ำนม บกได้ตลอดชีวิต
๘๘ คำตอบข้ึนอยู่กับเกณฑท์ ี่ใช้ เชน่ กำรมแี ละไมม่ กี ระดูกสนั หลงั กำรมแี ละไม่มีขน กำรมแี ละไมม่ ปี กี ลักษณะของขน ลักษณะของลำตวั คำตอบอำจเหมือนกันหรือแตกต่ำงกัน ถ้ำเหมือนกันจะใช้กำรมี กระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ ถ้ำแตกต่ำงกัน คำตอบอำจมีหลำกหลำย เช่น ใช้กำรมีขน กำรมขี ำเปน็ เกณฑ์ ๕ กลมุ่ ได้แก่ ๑) กล่มุ ปลำ ๒) กลุ่มสัตว์สะเทนิ น้ำสะเทินบก ๓) กล่มุ สตั ว์เลื้อยคลำน ๔) กลมุ่ สตั วป์ ีก ๕) กลุ่มสัตวเ์ ลย้ี งลกู ด้วยน้ำนม
๘๙ มคี รีบ ผวิ หนังเปน็ เกล็ด ส่วนใหญ่ออกลูกเป็นไข่ มีผิวหนงั เปยี กชนื้ ตลอดเวลำ ไมม่ ขี น มขี ำ ๔ ขำ อำศยั อยไู่ ด้ท้ังบนบก และในน้ำ มีผวิ หนังแหง้ ไม่มีขน มีเกล็ดคลุมท่วั ตัว ส่วนใหญ่มีขำ ๔ ขำ ผิวหนงั มขี น ท่ีมลี ักษณะเป็นแผงปกคลุมร่ำงกำย มขี ำ ๑ คู่ มปี กี ๑ คู่ ผวิ หนังมขี นท่ีมีลักษณะเปน็ เส้นปกคลุมส่วนใหญ่ ออกลกู เปน็ ตวั เลยี้ งลูกด้วยน้ำนม ส่วนใหญ่มขี ำ ๔ ขำ สัตวแ์ ต่ละชนดิ มลี ักษณะบำงอยำ่ งเหมอื นกนั บำงอย่ำงแตกต่ำงกนั เมื่อจำแนกสตั วช์ นิดตำ่ ง ๆ ออกเป็นกลุ่ม เมื่อใช้กำรมกี ระดูกสันหลงั เป็น เกณฑ์จะจำแนกสตั ว์ได้ ๒ กลุ่ม คอื กลุ่มสตั ว์มกี ระดกู สันหลงั และกลุม่ สตั ว์ ไมม่ กี ระดูกสันหลัง ในกลุ่มสัตว์ที่มีกระดกู สนั หลงั สำมำรถจำแนกได้ ๕ กลุ่ม ไดแ้ ก่ ๑) กลุ่มปลำ ๒) กลุ่มสตั ว์สะเทินนำ้ สะเทนิ บก ๓) กลมุ่ สัตว์เล้ือยคลำน ๔) กลมุ่ สตั วป์ ีก ๕) กลุ่มสัตว์เล้ียงลกู ด้วยนำ้ นม
๙๐
๙๑ คำตอบมหี ลำกหลำยขึ้นอยู่กับเกณฑ์ท่ีใช้ เช่น ใช้กำรมีปีกเป็นเกณฑ์ เพรำะ สัตว์กลุ่ม ก ไม่มีปีก ส่วนสัตว์กลุ่ม ข มีปีก หรือใช้กำรเลี้ยงลูกเป็นเกณฑ์ เพรำะกล่มุ ก เล้ียงลกู ด้วยนำ้ นม ส่วนสัตว์กล่มุ ข ไม่ได้เล้ยี งลกู ด้วยนำ้ นม กระดูกสนั หลงั มลี ักษณะเป็นขอ้ ๆ เรียงตอ่ กัน ทอดยำวไปตำมลำตวั เปน็ โครงร่ำงแข็งภำยในรำ่ งกำยของสตั ว์ มีหน้ำทีช่ ่วยค้ำจนุ รำ่ งกำย และช่วยในกำรเคลื่อนท่ี
๙๒ แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ที่ 10 กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศึกษำปีท่ี 4 ภำคเรียนท่ี 1 รำยวิชำวิทยำศำสตร์ รหสั วิชำ ว 14101 หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ 1 กำรจำแนกสง่ิ มชี ีวติ รอบตัว หน่วยย่อยที่ 1 กำรจำแนกสงิ่ มีชวี ติ แผนกำรจดั กำรเรียนรทู้ ี่ 10 เร่อื งกำรจำแนกพืชดอก (1) เวลำ 1 ชั่วโมง 1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ / ตัวชีว้ ดั สำระที่ 1 วิทยำศำสตรช์ ีวภำพ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลย่ี นแปลงทางพันธกุ รรมทม่ี ีผลต่อสิง่ มชี ีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพวิวฒั นาการ ของสิง่ มีชวี ิตรวมท้ังนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วดั ป.4/2 จาแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพืชไม่มีดอกโดยใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใช้ข้อมูล ทร่ี วบรวมได้ 2. จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 2.1 ด้ำนควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ (K) - บอกส่วนตา่ ง ๆ ของพชื แตล่ ะชนิด 2.2 ดำ้ นทกั ษะกระบวนกำร (P) - สงั เกตส่วนตา่ ง ๆ ของพชื แต่ละชนดิ 2.3 ด้ำนคณุ ลกั ษณะ เจตคติ คำ่ นิยม (A) - มีความม่งุ มน่ั ในการทางาน - ชว่ ยเหลือในการทางานกลุ่มรว่ มกนั 3. สำระสำคญั พืชมหี ลายชนดิ แต่ละชนดิ ประกอบดว้ ยส่วนตา่ ง ๆ ท้งั ที่เหมอื นกนั และแตกต่างกัน 4. สำระกำรเรียนรู้ ควำมรู้ พชื มหี ลายชนิด แตล่ ะชนดิ ประกอบดว้ ยส่วนตา่ ง ๆ ท้ังทเ่ี หมือนกันและแตกต่างกนั พชื บางชนดิ มีทงั้ ราก ลาต้น ใบ ดอก และผล สว่ นพชื บางชนดิ ไมม่ ีดอกและผล ทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ - การสงั เกต - การลงความเหน็ จากขอ้ มลู
๙๓ 5. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร - บอกส่วนประกอบต่าง ๆ ของพชื แต่ละชนดิ 5.2 ความสามารถในการคิด - อภิปรายเกี่ยวกบั สว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของพชื แตล่ ะชนิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปญั หา - การแกป้ ัญหาและการช่วยเหลือในการทางานกลุ่มรว่ มกัน 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต - มีความสามคั คีในการทางานกลมุ่ ร่วมกนั 6. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 6.1 ซือ่ สตั ย์สุจรติ 6.2 ใฝเ่ รยี นรู้ 6.3 มุ่งม่ันในการทางาน 7. กิจกรรมกำรเรยี นรู้ ขน้ั นำเขำ้ สูบ่ ทเรียน (5 นำที) 1. ครูตรวจสอบความรูเ้ ดิมของนักเรียนเกยี่ วกับสว่ นประกอบต่าง ๆ ของพชื โดยครนู ารูปต้นพืชทัง้ พืช มีดอกและพชื ไม่มดี อกมา 3 ชนดิ และรว่ มกันอภิปรายโดยใช้คาถามดงั น้ี 1.1 พืชทง้ั สามชนดิ ประกอบดว้ ยสว่ นใดบ้าง (ราก ลาต้น ใบ ดอก ผล) 1.2 พืชทง้ั สามชนิด มีส่วนใดเหมือนกนั และสว่ นใดแตกตา่ งกันบ้าง (นกั เรียนตอบตามความ เขา้ ใจของตนเอง) ข้ันสอน (45 นำที) 2. ครูให้นักเรยี นอา่ นช่ือกิจกรรมท่ี 1 จาแนกพชื ได้อย่างไร และจุดประสงค์ของกิจกรรม แลว้ นา อภปิ รายโดยใช้คาถามดงั นี้ 2.1 กจิ กรรมน้นี ักเรยี นจะไดเ้ รยี นเรื่องอะไร (การเปรยี บเทียบพชื ) 2.2 นักเรยี นจะเรยี นเรื่องนีด้ ้วยวิธีใด (การสงั เกต) 2.3 เมอ่ื เรียนแล้วนกั เรียนจะทาอะไรได้ (เปรียบเทยี บพชื ได้) 3. ครูให้นักเรียนอ่านวัสดุ-อุปกรณ์และวิธีทาในใบกิจกรรมที่ 1 ข้อ 1-2 จากนั้นตรวจสอบความเข้าใจ ขัน้ ตอนการทากจิ กรรม โดยใชค้ าถามดงั น้ี 3.1 ขน้ั ตอนแรกนักเรียนต้องทาอะไร (สารวจพืช 10 ชนิด) หมำยเหตุ กรณีท่ไี มส่ ามารถใหน้ ักเรยี นออกไปสารวจพืชบริเวณโรงเรียนได้ ครูอาจเตรียมต้นพืช ของจริงท่ีมีส่วนต่าง ๆ ครบ หรืออาจจะเป็นรูปพืชชนิดต่าง ๆ ท้ังพืชมีดอกและพืชไม่มีดอกมาให้ นกั เรียนสงั เกต
๙๔ 3.2 ในการสารวจพชื นักเรียนตอ้ งสงั เกตและบนั ทึกเกีย่ วกับอะไรของพชื (ส่วนตา่ ง ๆ ของพืช) ครูให้นกั เรียนเปิดใบงาน 01 ลักษณะของพชื หนา้ 31 จากนนั้ ใชค้ าถามดังนี้ 3.3 ส่วนต่าง ๆ ของพืชมีอะไรบ้าง (ราก ลาต้น ใบ ดอก ผลและเมลด็ ) 3.4 นักเรียนต้องบันทกึ ผลอยา่ งไร (ทาเครอ่ื งหมายถูกในชอ่ งทพ่ี บสว่ นของพืชแต่ละชนดิ ) หมำยเหตุ ครูชักชวนนักเรียนพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการบันทึกผล เพ่ือให้นักเรียนเข้าใจตรงกันและ สามารถบนั ทกึ ผลได้ดว้ ยตนเอง 3.5 ถ้าพชื ชนดิ ใดสังเกตส่วนต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจนหรือไม่พบ ควรทาอย่างไร (สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ ส่วนต่าง ๆ ของพชื ชนิดนั้นเพมิ่ เติม) 4. เมอื่ นักเรยี นเขา้ ใจวิธกี ารแล้ว ให้นักเรยี นลงมอื ทากิจกรรม พร้อมบันทกึ ผลลงในใบงาน 01 ลกั ษณะ ของพืช 5. หลงั จากทากิจกรรมเสร็จแลว้ ครูใหต้ วั แทนนักเรยี นออกมานาเสนอผลการสังเกต โดยครูอาจเตรียม ตารางบนั ทกึ ผลบนกระดานแลว้ ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มเขยี นผลการสารวจของตนอง จากนนั้ นา อภปิ รายโดยใชค้ าถามดังนี้ 5.1 พืชที่นกั เรียนสารวจมีอะไรบา้ ง (นักเรียนตอบตามผลการทากจิ กรรม) 5.2 พชื ทส่ี ารวจมีส่วนตา่ ง ๆ เหมอื นกนั ทุกชนิดหรือไม่ (นักเรยี นตอบตามผลการทากิจกรรม) 5.3 จากการสารวจพชื ท้งั 10 ชนดิ มีสว่ นใดบ้างทพ่ี บในพืชทุกชนดิ (ราก ลาตน้ ใบ) 5.4 ส่วนใดบ้างทพ่ี บในพชื บางชนิด (ดอก ผล เมลด็ ) ขนั้ สรุป (10 นำท)ี 6. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสรุปแนวคิดหรือส่ิงที่ได้เรียนรู้ในช่ัวโมงน้ีด้วยตนเองเก่ียวกับส่วนประกอบ ตา่ ง ๆ ของพืช 7. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับส่วนประกอบต่าง ๆ ของพืชว่า พืชแต่ละชนิดมีส่วนประกอบ บางอยา่ งเหมอื นกนั และบางอยา่ งแตกต่างกัน โดยพชื บางชนิดมที ้ังราก ลาต้น ใบ ดอก และผล ส่วน พชื บางชนดิ ไม่มดี อกและผล 8. สื่อ /แหลง่ เรยี นรู้ 8.1 ใบงาน 01 ลักษณะของพืช หน้า 31-32 8.2 รูปต้นพืชชนดิ ต่าง ๆ หรือต้นพชื ของจรงิ 10 ชนดิ 9. ชิ้นงำน/ภำระงำน 9.1 สารวจพชื 10 ชนิด 9.2 การทาใบงาน 01 ลักษณะของพืช หนา้ 31-32 10. กำรวดั และประเมินผล 10.1 ประเมนิ ความร้เู รอ่ื งการอธบิ ายลกั ษณะต่าง ๆ ของพืชดว้ ยการตอบคาถามในช้นั เรียนและ ในใบงาน (K) 10.2 ประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ดว้ ยแบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) 10.3 ประเมินคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ดว้ ยแบบประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
๙๕ แบบประเมินดำ้ นทกั ษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ แผนกำรเรียนรู้ที่ 10 เรอ่ื ง กำรจำแนกพชื ดอก (1) เกณฑ์การประเมินมดี ังน้ี 3 หมายถงึ ดี 2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถงึ ปรับปรงุ ส่งิ ที่ประเมนิ คะแนน การสังเกต การลงความเหน็ จากข้อมูล รวมคะแนน เกณฑ์กำรประเมิน ทกั ษะกระบวนกำร ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) ทำงวิทยำศำสตร์ การสงั เกต สามารถใช้ตาและมือ สามารถใช้ตาและมือ สามารถใช้ตาและมือ การลงความเหน็ ในการสงั เกตเพ่ือรวบรวม ในการสงั เกตเพื่อรวบรวม ในการสังเกตเพื่อรวบรวม จากขอ้ มูล ข้อมูลเก่ียวกับสว่ นตา่ ง ๆ ขอ้ มลู เกยี่ วกับส่วนตา่ ง ๆ ข้อมลู เก่ยี วกับส่วนตา่ ง ๆ ของพชื ได้ด้วยตนเอง ของพืชได้ จากการช้ีแนะ ของพชื ได้เพยี งบางสว่ น โดยไมเ่ พิ่มเติมความคดิ เหน็ ของครหู รือผูอ้ ่นื ถึงแมจ้ ะได้รับคาแนะนา จากผอู้ ่ืน สามารถลงความเห็น สามารถลงความเห็น สามารถลงความเห็น จากการสังเกตสว่ นต่าง ๆ จากการสังเกตสว่ นตา่ ง ๆ จากการสงั เกตส่วนตา่ ง ๆ ของพืชไดว้ ่า พืชบางชนิด ของพืชไดว้ ่า พืชบางชนดิ ของพชื ได้ไมค่ รบถว้ นว่า มีส่วนต่าง ๆ ครบทกุ สว่ น สว่ นพชื บางชนดิ ไม่มีดอก มสี ว่ นต่าง ๆ ครบทกุ สว่ น พืชบางชนิดมสี ่วนตา่ ง ๆ และผล ดว้ ยตนเอง ส่วนพืชบางชนดิ ไม่มดี อก ครบทกุ สว่ น ส่วนพชื และผล โดยอาศัยคาแนะนา บางชนดิ ไม่มีดอกและผล ของครูหรอื ผูอ้ นื่ ถงึ แม้จะไดร้ บั คาแนะนา จากผ้อู ่ืน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340