Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Sudmon KW FINAL 10-08-60

Sudmon KW FINAL 10-08-60

Published by maeaeuy.poonsanga, 2021-01-30 08:22:32

Description: Sudmon KW FINAL 10-08-60

Search

Read the Text Version

พระแก้วสมใจนกึ The Emerald Buddha Statue พระแก้วสมใจนึก องค์พระประธานในอโุ บสถ เปน็ พระพทุ ธรปู ปางสมาธิทรงเครื่องฤดูร้อนแกะสลักด้วยหินเขียวจากประเทศอิตาลี สลักลายพรรณดอกไม้ลอยนูน ประดับอัญมณีหลากสี ฝังลูกปัด งามตระการตา หน้าตัก ๑.๕๙ เมตร สงู จากฐานถึงเกศบัวตูม ๓ เมตร น�ำ้ หนกั ๖ ตนั สรา้ งเม่ือ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ผมี ือแกะสลกั โดยกลุ่มช่าง เวียงพางค�ำ จงั หวดั เชียงราย พระอัครสาวก พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ งานศิลปะ แกะดว้ ยหนิ เขยี วอติ าลซี ง่ึ เปน็ กอ้ นเดยี วกบั ทใ่ี ชแ้ กะสลกั พระแกว้ สมใจนกึ ฐานกวา้ ง ๐.๗ เมตร สงู ๑.๒๕ เมตร น้�ำ หนกั ๒ ตัน โดยกลุ่มชา่ ง เวียงพางค�ำ เช่นกัน ซุ้มแท่นพระพุทธรูปด้านหลัง ซุ้มแท่นพระต้ังอยู่บนฐานซีเมนต์ บไุ มส้ องชัน้ เปน็ งานศิลปะพมา่ แกะสลกั ไม้สกั ฉลุลงรกั ปดิ ทองคำ�เปลว พรอ้ มประดับกระจกสี และอญั มณีท่วี จิ ิตร ด้วยลกั ษณะของแทน่ ปดิ ทอง จะมีแสงสว่างเปล่งประกายประหน่ึงฉัพพรรณรังสี ให้พระแก้วสมใจนึก ดูสดใสสง่างาม



คู่มอื ชาวพทุ ธ ท�ำวตั ร-สวดมนต์ แปล ธรรมบรรณาการจาก วัดปา่ คอวัง ต�ำบลดใู่ ต้ อ�ำเภอเมืองน่าน จังหวดั น่าน ๕๕๐๐๐ โทรศพั ท์ ๐๕-๔๐๕-๙๖๔๕ e-mail : [email protected] สงวนลขิ สิทธ์ิ หา้ มคัดลอก ตดั ตอน หรอื น�ำไปพมิ พ์จ�ำหน่าย หากทา่ นใดประสงคจ์ ะพมิ พแ์ จกเปน็ ธรรมทาน โปรดติดตอ่ เจ้าอาวาสวดั ปา่ คอวัง พมิ พค์ รัง้ ที่ ๑ : ตุลาคม ๒๕๓๗ จ�ำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม พิมพค์ รงั้ ท่ี ๒ : กนั ยายน ๒๕๓๘ จ�ำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครง้ั ท่ี ๓ : มถิ นุ ายน ๒๕๓๙ จำ� นวน ๖,๐๐๐ เลม่ พิมพค์ รั้งท่ี ๔ : สงิ หาคม ๒๕๔๔ จ�ำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๕ : กนั ยายน ๒๕๕๐ จ�ำนวน ๑๐,๐๐๐ เลม่ พมิ พค์ ร้ังท่ี ๖ : พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จำ� นวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม พิมพ์คร้ังท่ี ๗ : ตุลาคม ๒๕๖๐ จำ� นวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม จัดท�ำโดย วดั ป่าคอวัง ถา่ ยภาพปก ฅ. คนนา่ น ออกแบบปก มโนธรรม ภกิ ขุ ด�ำเนนิ ก​ ารพ​ มิ พ ์​ บรษิ ทั คิว พรนิ​้ ท์ แมเนจ​เม้น​ท์ จ�ำกัด โทรศพั ท์ ๐-๒๘๐๐-๒๒๙๒

ประวัติวัดปา่ คอวังโดยยอ่ บ้านคอวัง หมู่ที่ ๙ ต�ำบลดู่ใต้ อ�ำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน พ.ศ. ๒๕๒๘ พระครูปทมุ ภาวนาวกิ รม (หลวงพ่อประสพไชย กนตฺ สโี ล) ซึ่งเปน็ ศษิ ยานศุ ิษย์ของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองปา่ พง จงั หวัดอบุ ลราชธานี ร่วมกับชาวบา้ นคอวัง และพทุ ธศาสนกิ ชนในจงั หวดั นา่ น กอ่ ตง้ั ส�ำ นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมขน้ึ ทป่ี า่ สาธารณะหมบู่ า้ นบนพน้ื ท่ี ๘ ไร่ เรยี กขานกนั ในครง้ั นน้ั วา่ “วงั วโิ มกข”์ (ปจั จบุ ันมีพื้นท่ี ๑๗๖ ไร่) พ.ศ. ๒๕๓๔ ไดร้ บั หนังสืออนุญาตให้สร้างวดั จากกระทรวงศึกษาธกิ าร และมหาเถรสมาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับประกาศจากกระทรวงศึกษาธิการตั้งเป็นวัดใน พระพุทธศาสนา มชี ือ่ ว่า “วัดคอวงั ” และขนึ้ เปน็ สาขา ของวดั หนองปา่ พง ล�ำ ดบั ท่ี ๙๙ พ.ศ. ๒๕๓๖ พ.ศ. ๒๕๓๘ ไดร้ บั พระราชทานวสิ งุ คามสมี า อโุ บสถหลงั เดมิ ขนาดกวา้ ง ๒๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร พ.ศ. ๒๕๕๔ ไดร้ บั แตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ ส�ำ นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมประจ�ำ จงั หวดั นา่ น แหง่ ท่ี ๙ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไดร้ ับแต่งต้งั ให้เป็น สำ�นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมประจ�ำ จังหวัดดีเด่น ฝงั ลกู นิมติ ผูกสีมา อโุ บสถหลงั ใหม่ “ธรรมนาวา” พ.ศ. ๒๕๕๗ ไดร้ บั แตง่ ตง้ั เปน็ หนว่ ยอบรมประชาชนประจ�ำ ต�ำ บลดใู่ ต้ (อปต.) พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้รบั การคัดเลือกเป็น อุทยานการศกึ ษาในวัด ประจ�ำ ปี ๒๕๕๙ จากสำ�นกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากมหาเถรสมาคม ส�ำ นกั งานพระพทุ ธศาสนา แห่งชาติใหเ้ ปลย่ี นแปลงชือ่ วดั คอวัง เปน็ \"วัดป่าคอวงั \" ประกาศ ณ วนั ท่ี ๔ กรกฎาคม



วตั รปฏบิ ตั ปิ ระจ�ำวนั ๐๒.๔๕ น. สญั ญาณระฆงั ๐๓.๐๐ น. ทำ� วตั รเชา้ ๐๔.๐๐ น. นงั่ สมาธิ ๐๕.๐๐ น. กวาด เชด็ ถู ศาลา, จดั ทฉี่ นั ๐๕.๔๕ น. ออกบณิ ฑบาต ๐๘.๐๐ น. อนโุ มทนา, รบั ภตั ตาหาร ๑๐.๐๐ น. ปรารภความเพยี ร ๑๓.๔๕ น. สญั ญาณระฆงั ๑๔.๐๐ น. นง่ั สมาธิ ๑๕.๐๐ น. ทำ� ความสะอาดศาลา, กวาดลานวดั , ลา้ งหอ้ งนำ�้ ๑๖.๐๐ น. ฉนั นำ�้ ปานะ ๑๗.๐๐ น. ทำ� กจิ สว่ นตวั ๑๗.๔๕ น. สญั ญาณระฆงั ๑๘.๐๐ น. ทำ� วตั รเยน็ ๑๙.๐๐ น. นง่ั สมาธิ ๒๐.๐๐ น. ปรารภความเพยี ร หมายเหตุ : วนั โกน ซกั -ยอ้ ม ผา้ ไตรจวี ร บรขิ าร (อบสมนุ ไพร) กจิ วตั รอาจเปลยี่ นแปลงตามความเหมาะสม





สารบญั หนา้ ๑ คำ�บูชาพระรตั นตรยั  บททำ�วัตรเชา้ ๔ - ทำ�วัตรเช้า  ๑๙ - อทุ ทิสสนาธฏิ ฐานคาถา (อมิ นิ า)  ๒๓ - บทแผเ่ มตตา (อะหัง สขุ ิโต โหม)ิ  ๒๕ - กายคตาสติ (อะยงั โข เม กาโย)  ๒๘ - อภิณหฺ ปจั จเวกขณปาฐะ (ชะราธมั โมมห)ิ  ๓๐ - บทพจิ ารณาสงั ขาร (สพั เพ สังขารา อะนจิ จา)  ๓๓ - ธาตปุ ัจจเวกขณปาฐะ (ยะถาปัจจะยัง)  ๓๗ - ตังขณิกปจั จเวกขณปาฐะ (ปะฏิสงั ขาโย)  ๔๑ - สพั พปัตติทานคาถา (ปญุ ญัสสิทาน)ิ  บททำ�วัตรเยน็ ๔๓ - ทำ�วัตรเย็น  ๕๗ - อตีตปจั จเวกขณปาฐะ (อชั ชะ มะยา)  ๖๑ - ปพั พชติ อภณิ ฺหปัจจเวกขณปาฐะ (ทะสะ อิเม)  ๖๕ - สมณสัญญา (สะมะณา สะมะณาติ)  ๖๗ - สามเณรสิกขา (อะนญุ ญาสิโข)  ๗๒ - สรณคมนปาฐะ (พุทธัง สะระณงั คจั ฉามิ)  ๗๓ - เขมาเขมสรณทีปกิ คาถา (พะหุงเว)  ๗๕ - อรยิ ธนคาถา (ยัสสะ สัทธา)  ๗๖ - ตลิ กั ขณาทิคาถา (สัพเพ สงั ขารา)  ๗๘ - ภารสตุ ตคาถา (ภารา หะเว)

- ภทั เทกรตั ตคาถา (อะตีตงั นานวฺ าคะเมยยะ)  ๗๙ - ธมั มคารวาทคิ าถา (เย จะ อะตีตา)  ๘๑ - โอวาทปาฏโิ มกขคาถา (สพั พะปาปัสสะ)  ๘๓ - ปฐมพทุ ธภาสิตคาถา (อะเนกะชาต)ิ  ๘๕ - ปัจฉิมพทุ โธวาทปาฐะ (หันทะทาน)ิ  ๘๖ บทธรรมค�ำ สอน ๘๗ - ธัมมจกั กัปปวตั ตนสุตตปาฐะ (เทวฺ เม ภิกขะเว)  ๑๐๑ - อรยิ มรรคมีองค์แปด (อะยะเมวะ)  ๑๑๒ - อานาปานสตสิ ตู ร (อานาปานะสะติ)  ๑๒๐ - ธมั มปหังสนปาฐะ (เอวงั สวฺ ากขาโต)  ๑๒๖ - มงคลสูตร (พะหู เทวา)  ๑๓๒ - ปราภวสุตตปาฐะ (สุวิชาโน)  ๑๓๖ - มติ ตามิตตคาถา (อัญญะทตั )  ๑๓๘ - กรณยี กจิ (กะระณยี ะ)  ๑๔๐ - อารกั ขกัมมัฏฐาน (พุทธานุสสะติ)  ๑๔๒ - สมณสญั ญา ๓ ประการ (ติสโส ภกิ ขะเว)  ๑๔๕ บทธรรมสำ�หรบั ภกิ ษุหลังฟังพระปาฏโิ มกข์ ๑๔๖ - สัจจะกริ ยิ ะคาถา (นัตถิ เม)  ๑๔๘ - สลี ุทเทสปาฐะ (ภาสิตะมิทัง)  ๑๕๐ - ตายนคาถา (ฉินทะ โสตงั )  ๑๕๑ บทอนุโมทนา ๑๕๒ - อนโุ มทนารมั ภะคาถา (ยะถา)  - สามัญญานโุ มทนาคาถา (สัพพีติโย)  - โภชนาทานานุโมทนาคาถา (อายุโท)

- อัคคัปปสาทสตุ ตะคาถา (อคั คะโต เว)  ๑๕๓ - สัพพโรควินิมุตโต (สพั พะโรคะวินิมุตโต)  ๑๕๕ - มงคลจักรวาลนอ้ ย (สัพพะพุทธานภุ าเวนะ)  ๑๕๖ - กาลทานสตุ ตคาถา (กาเล)  ๑๕๙ - ติโรกุฑฑกณั ฑปัจฉมิ ภาค (อะทาสิ เม)  ๑๖๑ - ภะวะตุสัพ (ภะวะต)ุ  ๑๖๓ ๑๖๔ บทพธิ กี รรมของพระภกิ ษุ ๑๖๖ - คำ�ขอขมา (เถเร ปะมาเทนะ)  ๑๖๘ - คำ�ให้พรแก่ผู้มาขอขมา  ๑๖๙ - คำ�อธิษฐานเข้าพรรษา (อิมสั มฺ งิ อาวาเส)  ๑๗๑ - คำ�ขอนสิ ัย (อาจะริโย)  ๑๗๓ - คำ�ปวารณา (สงั ฆัมภนั เต)  ๑๗๕ - คำ�อปโลกน์กฐิน  ๑๗๘ ๑๘๓ บทพธิ ีกรรมของอุบาสกอบุ าสิกา ๑๘๔ - คำ�ประกาศอโุ บสถ  ๑๘๖ - คำ�ขอไตรสรณคมน์ และศลี แปด ศลี อโุ บสถ  ๑๘๗ - คำ�อาราธนาธรรม  ๑๘๘ - คำ�สาธกุ ารหลงั ฟงั ธรรม  ๑๘๙ - คำ�ลากลบั บา้ น  ๑๙๐ - คำ� ถวายผา้ อาบนำ้� ฝน  ๑๙๑ - คำ�ถวายผ้าป่า  - คำ�ถวายผ้ากฐิน  พิธีการทำ�บุญบา้ น - คำ�บชู าพระรตั นตรยั  - คำ�ขอไตรสรณคมนแ์ ละศีลหา้

- คำ�อาราธนาพระปริตร  ๑๙๔ - คำ� กรวดนำ�้ แบบสนั้  ๑๙๕ - คำ�ถวายสังฆทาน  ๑๙๖ - คำ�ถวายสงั ฆทานอุทศิ ให้ผตู้ าย  ๑๙๗ - คำ�อปโลกนภ์ ัตตาหาร  ๑๙๘ - สิ่งทคี่ วรทราบในพธิ ที ำ�บญุ  ๒๐๐ บทเจรญิ พระพุทธมนต์ ๒๐๓ - ชมุ นมุ เทวดา (ผะรติ วฺ านะ)  ๒๐๕ - ปพุ พภาคนมการ (นะโม ตัสสะ)  ๒๐๕ - ไตรสรณคมน์ (พทุ ธงั สะระณัง)  ๒๐๗ - นมการสิทธคิ าถา (โย จกั ขุมา)  ๒๐๙ - สมั พทุ เธ (สมั พุทเธ)  ๒๑๑ - นโมการฏั ฐกคาถา (นะโม อะระหะโต)  ๒๑๑ - มงคลสตู ร (อะเสวะนา)  ๒๑๕ - รตั นสตู ร (ยังกิญจิ)  ๒๑๙ - กรณียเมตตสตู ร (กะระณียะ)  ๒๒๓ - โพชฌังคปรติ ร (โพชฌังโค)  ๒๒๕ - ขนั ธปริตร (วิรปู ักเขห)ิ  ๒๒๗ - โมรปริตร (อเุ ทตะยัญจกั ขุมา)  ๒๒๙ - วัฏฏกปรติ ร (อัตถิ โลเก)  ๒๒๙ - องั คุลมิ าลปรติ ร (ยะโตหัง)  ๒๓๑ - อาฏานาฏยิ ปริตร (วปิ สั สิสสะ)  ๒๓๕ - อภัยปริตร (ยนั ทุนนมิ ิตตัง)  ๒๓๗ - เทวตาอยุ โยชนคาถา (ทกุ ขปั ปัตตา)  ๒๓๙ - ถวายพรพระ (อิตปิ โิ ส)

- พุทธชยั มงคลคาถา (พาหงุ )  ๒๔๑ - ชัยปริตร (มะหาการุณโิ ก)  ๒๔๕ - โส อตั ถลทั โธ  ๒๔๕ พระอภิธรรม ๗ คมั ภีร์ ๒๔๗ - พระสงั คณี (กุสะลา ธมั มา)  ๒๔๙ - พระวิภังค์ (ปญั จักขนั ธา)  ๒๕๑ - พระธาตุกถา (สังคะโห)  ๒๕๓ - พระปคุ คลปญั ญัตติ (ฉะ ปัญญตั ตโิ ยฯ)  ๒๕๕ - พระกถาวตั ถุ (ปุคคะโล)  ๒๕๕ - พระยมก (เย เกจิ กุสะลา)  ๒๕๗ - พระมหาปฏั ฐาน (เหตุปจั จะโย)  ๒๕๙ - ธมั มสังคณิ ีมาตกิ า (กสุ ะลา ธัมมา)  ๒๖๓ - พระมหาปัฏฐาน (เหตุปัจจะโย)  ๒๖๓ - บังสกุ ุลตาย (อะนจิ จา)  ๒๖๓ - บงั สุกุลเปน็ (อะจิรัง)  ๒๖๔ บทพระสูตรและอื่นๆ ๒๗๐ - ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (เทวฺ เม ภกิ ขะเว)  ๒๗๓ - คาถาชินบัญชร (ชะยาสะนากะตา)  ๒๗๖ - คำ�นำ�ถวายดอกไม้ธูปเทยี น วนั มาฆบูชา ๒๘๐ - คำ�นำ�ถวายดอกไมธ้ ปู เทียน วนั วิสาขบูชา ๒๘๒ - คำ�นำ�ถวายดอกไมธ้ ูปเทยี น วนั อาสาฬหบชู า - มนุษย์เราเอ๋ย...

ค�ำบูชำพระรัตนตรยั โย โส ภะคะวำ อะระหัง สัมมำสมั พทุ โธ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ นั้นพระองคใ์ ด เปน็ พระอรหนั ต์ ดบั เพลิงกเิ ลสเพลิงทกุ ข์สิน้ เชิง ตรัสรชู้ อบไดโ้ ดยพระองค์เอง สวฺ ำกขำโต เยนะ ภะคะวะตำ ธัมโม พระธรรมเปน็ ธรรมอันพระผมู้ ีพระภาคเจ้า พระองคใ์ ด ตรัสไวด้ ีแล้ว สปุ ะฏปิ ันโน ยัสสะ ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ พระสงฆส์ าวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองคใ์ ด ปฏบิ ตั ิดแี ล้ว ตมั มะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมงั  สะสังฆงั ,  อเิ มหิ สกั กำเรหิ ยะถำระหัง อำโรปิเตหิ อะภปิ ชู ะยำมะ ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย ขอบูชาอย่างยง่ิ ซ่ึงพระผมู้ พี ระภาคเจ้า พระองคน์ น้ั พรอ้ มทง้ั พระธรรมและพระสงฆ ์ ดว้ ยเครื่องสักการะทัง้ หลายเหลา่ น้ี อนั ยกขน้ึ ตามสมควรแล้วอย่างไร ๑1

สาธุ โน ภนั เต ภะคะวา สุจิระปะรนิ พิ พโุ ตปิ ขา้ แต่พระองค์ผู้เจริญ  พระผ้มู พี ระภาคเจา้ แมป้ รนิ ิพพานนานแลว้ ทรงสร้างคุณอันสำ� เร็จประโยชน์ไวแ้ ก่ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย ปัจฉิมา ชะนะตานุกมั ปะมานะสา ทรงมพี ระหฤทยั อนุเคราะห์แกพ่ วกข้าพเจ้า อนั เปน็ ชนร่นุ หลงั อเิ ม สักกาเร ทุคคะตะปัณณาการะภเู ต ปะฏิคคณั หาตุ ขอพระผมู้ ีพระภาคเจา้ จงรับเครื่องสกั การะอนั เป็นบรรณาการของคนยาก ทัง้ หลายเหล่าน้ี อมั หากัง ทฆี ะรตั ตงั หติ ายะ สุขายะ เพ่ือประโยชนแ์ ละความสุขแก่ขา้ พเจา้ ท้ังหลาย ตลอดกาลนานเทอญฯ อะระหัง สัมมาสมั พทุ โธ ภะคะวา พระผมู้ พี ระภาคเจ้า เปน็ พระอรหนั ต์ ดบั เพลงิ กิเลสเพลงิ ทุกขส์ ้ินเชงิ ตรัสร้ชู อบได้โดยพระองคเ์ อง พทุ ธงั ภะคะวนั ตงั อะภิวาเทมิ ข้าพเจา้ อภวิ าทพระผมู้ ีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผตู้ นื่ ผเู้ บิกบาน (กราบ) ๒

สวฺ ากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม พระธรรมเปน็ ธรรมทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ไวด้ แี ลว้ ธมั มัง นะมสั สามิ ข้าพเจ้านมสั การพระธรรม (กราบ) สุปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ พระสงฆส์ าวกของพระผ้มู ีพระภาคเจา้ ปฏบิ ัติดแี ลว้ สังฆัง นะมามิ ขา้ พเจ้านอบนอ้ มพระสงฆ์ (กราบ) ปพุ พภาคนมการ หันทะ มะยัง พทุ ธสั สะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะ นะมะการงั กะโรมะ เส นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต ขอนอบน้อมแดพ่ ระผมู้ ีพระภาคเจ้า พระองค์นนั้ อะระหะโต ซึ่งเปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลส สัมมาสมั พุทธัสสะ ตรัสรชู้ อบได้โดยพระองค์เอง (๓ ครัง้ ) ๓

ทำ� วัตรเช้า พุทธาภถิ ตุ ิ หนั ทะ มะยัง พุทธาภถิ ตุ ิง กะโรมะ เส โย โส ตะถาคะโต พระตถาคตเจ้าน้นั พระองคใ์ ด อะระหงั เป็นผูไ้ กลจากกิเลส สมั มาสัมพทุ โธ เป็นผู้ตรัสรชู้ อบได้โดยพระองคเ์ อง วิชชาจะระณะสมั ปนั โน เป็นผถู้ งึ พรอ้ มด้วยวิชชาและจรณะ สคุ ะโต เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี โลกะวทิ ู เปน็ ผรู้ โู้ ลกอยา่ งแจ่มแจง้ อะนตุ ตะโร ปรุ ิสะทมั มะสาระถิ เป็นผู้สามารถฝกึ บรุ ษุ ทส่ี มควรฝกึ ได้ อยา่ งไมม่ ใี ครยง่ิ กว่า ๔

สัตถา เทวะมะนุสสานัง เปน็ ครูผ้สู อนของเทวดาและมนุษยท์ ั้งหลาย พุทโธ เป็นผูร้ ู้ ผู้ตืน่ ผูเ้ บิกบานดว้ ยธรรม ภะคะวา เป็นผ้มู คี วามจำ� เรญิ จำ� แนกธรรมสง่ั สอนสัตว์ โย อมิ งั โลกงั สะเทวะกงั สะมาระกงั สะพฺรัหมฺ ะกัง, สัสสะมะณะพรฺ าหมฺ ะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสงั สะยัง อะภญิ ญา สัจฉกิ ตั วฺ า ปะเวเทสิ พระผู้มพี ระภาคเจา้ พระองค์ใด ไดท้ รงทำ� ความดบั ทกุ ข์ให้แจ้งดว้ ยพระปญั ญาอนั ยงิ่ เองแลว้ ทรงสอนโลกนีพ้ รอ้ มท้ังเทวดามารพรหม และหมูส่ ัตวพ์ รอ้ มทัง้ สมณพราหมณ์ พร้อมท้งั เทวดาและมนษุ ยใ์ ห้รู้ตาม โย ธัมมัง เทเสสิ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ พระองค์ใด ทรงแสดงธรรมแล้ว อาทิกัลฺยาณงั ไพเราะในเบื้องตน้ มัชเฌกัลยฺ าณงั ไพเราะในท่ามกลาง ๕

ปะรโิ ยสานะกัลยฺ าณัง ไพเราะในทส่ี ดุ สาตถัง สะพยฺ ัญชะนัง เกวะละปะรปิ ณุ ณงั ปะริสทุ ธงั พฺรหั มฺ ะจะริยัง ปะกาเสสิ ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือแบบแห่งการปฏบิ ัติ อนั ประเสรฐิ บริสุทธบิ์ รบิ ูรณส์ ้ินเชงิ พรอ้ มทง้ั อรรถะ๑ พร้อมทั้งพยญั ชนะ๒ ตะมะหัง ภะคะวนั ตัง อะภิปชู ะยามิ ขา้ พเจา้ บชู าอยา่ งยงิ่ เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองคน์ ้นั ตะมะหงั ภะคะวนั ตัง สริ ะสา นะมามิ ขา้ พเจ้านอบน้อมพระผูม้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ ้นั ดว้ ยเศยี รเกล้า (กราบระลึกพระพทุ ธคุณ) ๑ คำ� อธิบาย ๒ หวั ข้อ ๖

ธัมมาภถิ ุติ หันทะ มะยงั ธมั มาภิถุติง กะโรมะ เส โย โส สฺวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม พระธรรมน้ันใด เป็นสิ่งที่พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ได้ตรสั ไว้ดแี ลว้ สันทิฏฐโิ ก เป็นสิ่งท่ผี ู้ศึกษาและปฏิบัตพิ ึงเห็นได้ดว้ ยตนเอง อะกาลโิ ก เป็นสิง่ ทป่ี ฏบิ ัตไิ ด้และให้ผลได้ไม่จ�ำกัดกาล เอหิปสั สโิ ก เป็นสิ่งทค่ี วรกลา่ วกบั ผ้อู น่ื วา่ ทา่ นจงมาดูเถดิ โอปะนะยิโก เปน็ สิ่งท่คี วรน้อมเขา้ มาใส่ตวั ปัจจตั ตงั เวทิตัพโพ วิญญูหิ เปน็ สิ่งที่ผรู้ ู้กร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน ตะมะหัง ธัมมงั อะภิปชู ะยามิ ขา้ พเจา้ บูชาอยา่ งยิง่ เฉพาะพระธรรมนนั้ ตะมะหัง ธมั มัง สิระสา นะมามิ ข้าพเจ้านอบนอ้ มพระธรรมนั้นด้วยเศียรเกลา้ (กราบระลกึ พระธรรมคุณ) ๗

สงั ฆาภถิ ุติ หันทะ มะยงั สงั ฆาภิถตุ ิง กะโรมะ เส โย โส สุปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคเจ้าน้ันหมูใ่ ด ปฏิบัติดีแลว้ อชุ ปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มพี ระภาคเจา้ หมใู่ ด ปฏิบตั ิตรงแลว้ ญายะปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ หมูใ่ ด ปฏิบัติเพ่ือรูธ้ รรมเป็นเคร่ืองออกจากทุกขแ์ ล้ว สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว ยะทิทัง ไดแ้ กบ่ คุ คลเหลา่ น้คี ือ จัตตาริ ปุรสิ ะยุคานิ อฏั ฐะ ปรุ ิสะปุคคะลา คูแ่ หง่ บุรษุ สี่คู่ นบั เรยี งตัวบุรษุ ได้แปดบรุ ุษ๑ ๑ สค่ี ู่คอื โสดาปัตตมิ รรค-โสดาปตั ติผล, สกทาคามมิ รรค-สกทาคามผิ ล อนาคามมิ รรค-อนาคามผิ ล, อรหตั ตมรรค-อรหตั ตผล ๘

เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ นน่ั แหละสงฆ์สาวกของพระผูม้ พี ระภาคเจ้า อาหุเนยโย เป็นสงฆค์ วรแกส่ กั การะทเี่ ขานำ� มาบูชา ปาหุเนยโย เปน็ สงฆ์ควรแกส่ ักการะทเี่ ขาจัดไว้ตอ้ นรับ ทกั ขเิ ณยโย เปน็ ผู้ควรรับทักษิณาทาน อัญชะลกี ะระณโี ย เป็นผทู้ ี่บุคคลท่ัวไปควรท�ำอญั ชลี อะนุตตะรัง ปุญญกั เขตตงั โลกสั สะ เปน็ เนอ้ื นาบญุ ของโลก ไมม่ ีนาบุญอน่ื ยง่ิ กว่า ตะมะหงั สังฆงั อะภิปชู ะยามิ ขา้ พเจา้ บูชาอยา่ งยิ่งเฉพาะพระสงฆ์หมู่น้ัน ตะมะหงั สังฆัง สริ ะสา นะมามิ ขา้ พเจ้านอบน้อมพระสงฆห์ มนู่ ้นั ดว้ ยเศยี รเกลา้ (กราบระลกึ พระสังฆคณุ ) ๙

รตนตั ตยปั ปณามคาถา หนั ทะ มะยัง ระตะนัตตะยปั ปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะปะริกติ ตะนะปาฐญั จะ ภะณามะ เส พทุ โธ สสุ ทุ โธ กะรณุ ามะหัณณะโว พระพุทธเจา้ ผ้บู ริสทุ ธิ์มีพระกรณุ าดจุ หว้ งมหรรณพ โยจจนั ตะสทุ ธัพพะระญาณะโลจะโน พระองค์ใดมตี าคือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สดุ โลกสั สะ ปาปูปะกเิ ลสะฆาตะโก เปน็ ผฆู้ ่าเสียซ่งึ บาปและอุปกเิ ลสของโลก วนั ทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตงั ข้าพเจา้ ไหวพ้ ระพทุ ธเจ้าพระองคน์ ัน้ โดยใจเคารพ เอือ้ เฟอื้ ธัมโม ปะทีโป วยิ ะ ตสั สะ สัตถุโน พระธรรมของพระศาสดาสว่างรุ่งเรืองเปรยี บดวง ประทีป โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก จ�ำแนกประเภทคอื มรรคผลนพิ พาน ส่วนใด โลกตุ ตะโร โย จะ ตะทตั ถะทปี ะโน ซึ่งเปน็ ตัวโลกุตตระ และสว่ นใดท่ชี ี้แนวแห่งโลกุตตระน้นั ๑๐

วันทามิ ธัมมงั อะหะมาทะเรนะ ตัง ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนนั้ โดยใจเคารพเอ้ือเฟ้ือ สงั โฆ สเุ ขตตาภฺยะตเิ ขตตะสัญญิโต พระสงฆเ์ ป็นนาบุญอนั ยิง่ ใหญ่กว่านาบญุ อันดที ้งั หลาย โย ทิฏฐะสนั โต สคุ ะตานุโพธะโก เป็นผู้เห็นพระนิพพาน ตรสั ร้ตู ามพระสคุ ต หมู่ใด โลลัปปะห๑ี โน อะริโย สุเมธะโส เป็นผูล้ ะกเิ ลสเคร่อื งโลเลเปน็ พระอรยิ เจา้ มปี ญั ญาดี วนั ทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตงั ขา้ พเจา้ ไหว้พระสงฆ์หมูน่ ้ันโดยใจเคารพเอ้ือเฟื้อ อิจเจวะเมกันตะภปิ ูชะเนยยะกัง, วัตถตุ ตะยัง วนั ทะยะตาภิสงั ขะตงั , ปญุ ญัง มะยา ยัง มะมะ สพั พปุ ัททะวา, มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธยิ า บุญใดที่ข้าพเจ้าผู้ไหวอ้ ยูซ่ ง่ึ วัตถสุ าม  คอื พระรตั นตรัยอันควรบูชาย่งิ โดยส่วนเดยี ว  ไดก้ ระท�ำแลว้ เปน็ อย่างยิง่ เช่นน ี้ ขออุปทั วะ๒ทง้ั หลาย จงอยา่ มแี กข่ ้าพเจ้าเลย ดว้ ยอ�ำนาจความส�ำเรจ็ อันเกิดจากบญุ น้นั ๑ ออกเสียง ฮี ๒ ความช่วั ๑๑

สังเวคปรกิ ิตตนปาฐะ อธิ ะ ตะถาคะโต โลเก อปุ ปนั โน พระตถาคตเจ้าเกิดขนึ้ แลว้ ในโลกนี้ อะระหัง สัมมาสมั พุทโธ เปน็ ผู้ไกลจากกเิ ลส ตรสั รชู้ อบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง ธมั โม จะ เทสโิ ต นิยยานิโก และพระธรรมทท่ี รงแสดงเปน็ ธรรมเครอ่ื งออกจากทกุ ข์ อุปะสะมโิ ก ปะรินิพพานิโก เป็นเครอ่ื งสงบกเิ ลส เป็นไปเพอ่ื ปรินิพพาน สัมโพธะคามี สคุ ะตัปปะเวทิโต เปน็ ไปเพ่อื ความรูพ้ รอ้ ม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ มะยนั ตัง ธัมมัง สุตวฺ า เอวัง ชานามะ พวกเราเม่ือไดฟ้ ังธรรมนนั้ แล้ว จึงไดร้ ้อู ย่างนี้ว่า ชาตปิ ิ ทกุ ขา แมค้ วามเกิดกเ็ ปน็ ทกุ ข์ ชะราปิ ทกุ ขา แม้ความแก่กเ็ ป็นทกุ ข์ มะระณมั ปิ ทุกขัง แมค้ วามตายกเ็ ปน็ ทกุ ข์ ๑๒

โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา แม้ความโศกความร�่ำไรร�ำพันความไม่สบายกาย ความไมส่ บายใจความคับแคน้ ใจก็เป็นทกุ ข์ อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ความประสบกบั สง่ิ ไม่เป็นท่รี ักที่พอใจกเ็ ป็นทุกข์ ปิเยหิ วิปปะโยโค ทกุ โข ความพลดั พรากจากสิ่งเปน็ ทรี่ ักท่ีพอใจกเ็ ปน็ ทกุ ข์ ยมั ปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง มีความปรารถนาส่ิงใดไม่ได้สิง่ น้ัน นั่นก็เปน็ ทกุ ข์ สงั ขติ เตนะ ปัญจุปาทานักขนั ธา ทกุ ขา วา่ โดยยอ่ อปุ าทานขนั ธ์ท้งั ห้า๑เปน็ ตวั ทุกข์ เสยยะถีทัง ได้แก่สิง่ เหล่านค้ี ือ รูปูปาทานักขนั โธ ขนั ธ์อันเป็นท่ีตั้งแหง่ ความยดึ ม่นั คือรปู เวทะนูปาทานกั ขันโธ ขนั ธอ์ ันเป็นทต่ี งั้ แหง่ ความยดึ ม่ันคือเวทนา สัญญูปาทานกั ขันโธ ขนั ธอ์ ันเป็นทตี่ ัง้ แหง่ ความยดึ มน่ั คอื สญั ญา ๑ ขันธ์หา้  คือ ส่วนประกอบทงั้ ห้าที่รวมกนั เปน็ ชวี ติ  คือ รปู  (ร่างกาย)  เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ (ส่วนทัง้ สีน่ ้ีรวมเรยี กวา่  ç”จิตใจ”)é ๑๓

สงั ขารปู าทานักขนั โธ ขันธอ์ ันเปน็ ท่ีตง้ั แห่งความยดึ มนั่ คือสงั ขาร วญิ ญาณปู าทานกั ขันโธ ขนั ธอ์ ันเปน็ ที่ตั้งแหง่ ความยึดมน่ั คอื วญิ ญาณ เยสัง ปะรญิ ญายะ เพอ่ื ใหส้ าวกกำ� หนดรอบรอู้ ุปาทานขันธเ์ หล่านเี้ อง ธะระมาโน โส ภะคะวา จึงพระผมู้ ีพระภาคเจ้าน้นั  เม่อื ยังทรงพระชนมอ์ ยู่ เอวัง พะหุลัง สาวะเก วเิ นติ ยอ่ มทรงแนะน�ำสาวกทงั้ หลาย เช่นน้เี ปน็ สว่ นมาก เอวงั ภาคา จะ ปะนสั สะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนสุ าสะนี พะหลุ า ปะวัตตะติ อนง่ึ คำ� สงั่ สอนของพระผมู้ พี ระภาคเจ้านนั้ ย่อมเป็นไปในสาวกท้งั หลาย สว่ นมาก มสี ว่ นคือการจำ� แนกอย่างนว้ี า่ รปู งั อะนจิ จงั รูปไมเ่ ทีย่ ง เวทะนา อะนจิ จา เวทนาไมเ่ ท่ียง สญั ญา อะนจิ จา สญั ญาไมเ่ ทย่ี ง ๑๔

สังขารา อะนิจจา สงั ขารไมเ่ ท่ยี ง วิญญาณัง อะนิจจัง วญิ ญาณไมเ่ ทยี่ ง รูปงั อะนตั ตา รปู ไม่ใชต่ วั ตน เวทะนา อะนตั ตา เวทนาไม่ใชต่ วั ตน สญั ญา อะนัตตา สญั ญาไมใ่ ชต่ วั ตน สังขารา อะนตั ตา สังขารไม่ใชต่ วั ตน วญิ ญาณัง อะนตั ตา วญิ ญาณไมใ่ ชต่ วั ตน สัพเพ สังขารา อะนิจจา สงั ขารทั้งหลายทัง้ ปวงไมเ่ ทย่ี ง สัพเพ ธมั มา อะนัตตาติ ธรรมท้ังหลายทง้ั ปวงไมใ่ ช่ตวั ตน ดังน้ี เต (ตา)๑ มะยงั โอติณณามะหะ พวกเราท้งั หลายเป็นผถู้ กู ครอบงำ� แล้ว ๑ หญิงวา่ ในวงเลบ็ ๑๕

ชาติยา โดยความเกิด ชะรามะระเณนะ โดยความแก่และความตาย โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทกุ เขหิ โทมะนสั เสหิ อุปายาเสหิ โดยความโศกความร�่ำไรร�ำพนั ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจความคับแคน้ ใจทง้ั หลาย ทุกโขตณิ ณา เปน็ ผู้ถกู ความทกุ ขห์ ยั่งเอาแลว้ ทกุ ขะปะเรตา เปน็ ผู้มคี วามทกุ ขเ์ ป็นเบ้อื งหน้าแล้ว อัปเปวะนามมิ ัสสะ เกวะลัสสะ ทกุ ขกั ขนั ธสั สะ อันตะกริ ิยา ปญั ญาเยถาติ ท�ำไฉนการทำ� ท่สี ดุ แหง่ กองทุกขท์ ัง้ สิ้นนี้ จะพงึ ปรากฏชัดแกเ่ ราได้ ๑๖

(สำ� หรบั ภกิ ษสุ ามเณรสวด) จริ ะปะรนิ พิ พตุ ัมปิ ตัง ภะคะวันตงั  อุททสิ สะ อะระหันตงั  สัมมาสมั พทุ ธงั เราทง้ั หลายอุทศิ เฉพาะพระผูม้ ีพระภาคเจา้ ผู้ไกลจากกิเลส ตรสั รู้ชอบได้โดยพระองคเ์ อง แมป้ รนิ ิพพานนานแล้วพระองค์นัน้ สทั ธา อะคารัสมฺ า อะนะคารยิ ัง ปัพพะชิตา เป็นผ้มู ศี รัทธาออกบวชจากเรอื น ไมเ่ กย่ี วขอ้ งดว้ ยเรือนแล้ว ตัสฺมิง ภะคะวะติ พรฺ ัหฺมะจะรยิ ัง จะรามะ ประพฤติอยู่ซง่ึ พรหมจรรยใ์ นพระผมู้ พี ระภาคเจ้า พระองค์น้นั ภกิ ขนู ัง (สามะเณรานงั ๑) สิกขาสาชีวะสะมาปันนา ถงึ พร้อมด้วยสิกขาและธรรมเปน็ เครือ่ งเลีย้ งชวี ิต ของภกิ ษุ (สามเณร๑) ทงั้ หลาย ตงั โน พฺรหั ฺมะจะริยงั อมิ ัสสะ เกวะลัสสะ ทกุ ขักขนั ธัสสะ อันตะกิรยิ ายะ สังวตั ตะตุ ขอใหพ้ รหมจรรย์ของเราทัง้ หลายนั้น จงเปน็ ไปเพอื่ การท�ำที่สุดแห่งกองทกุ ขท์ งั้ สิน้ นเี้ ทอญ ๑ สามเณรวา่ ในวงเล็บ ๑๗

(สำ� หรบั อบุ าสกอุบาสกิ าสวด) จริ ะปะรินพิ พตุ ัมปิ ตัง ภะคะวันตงั สะระณังคะตา เราทง้ั หลายผถู้ ึงแลว้ ซ่ึงพระผูม้ พี ระภาคเจ้า แม้ปรนิ ิพพานนานแลว้ พระองคน์ น้ั เปน็ สรณะ ธมั มญั จะ สังฆญั จะ ถึงพระธรรมด้วยถึงพระสงฆ์ด้วย ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนงั ยะถาสะติ ยะถาพะลงั มะนะสิกะโรมะ อะนุปะฏิปชั ชามะ จกั ทำ� ในใจอยู่ ปฏบิ ัติตามอยู่ ซึง่ ค�ำสั่งสอน ของพระผู้มพี ระภาคเจา้ นั้นตามสติกำ� ลงั สา สา โน ปะฏิปตั ติ ขอให้ความปฏิบตั นิ นั้ ๆ ของเราทงั้ หลาย อิมสั สะ เกวะลัสสะ ทกุ ขักขนั ธัสสะ อนั ตะกริ ยิ ายะ สังวตั ตะตุ จงเป็นไปเพื่อการทำ� ทส่ี ุดแหง่ กองทกุ ข์ท้งั ส้นิ นี้เทอญ (จบค�ำทำ� วัตรเชา้ ) ๑๘

๑1๙9

มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ ผ้เู ปน็ กลางผูจ้ ้องผลาญ สพั เพ สัตตา สขุ ี โหนตุ ขอใหเ้ ปน็ สุขศานต์ทกุ ท่ัวหน้าอยา่ ทุกขท์ น ปุญญานิ ปะกะตานิ เม บุญผองทข่ี า้ ทำ� จงช่วยอ�ำนวยศภุ ผล สขุ ัง จะ ติวธิ ัง เทนตุ ใหส้ ขุ สามอย่าง๑ล้น ขิปปัง ปาเปถะ โวมะตัง ใหล้ ถุ ึงนิพพานพลนั อมิ ินา ปุญญะกัมเมนะ ดว้ ยบญุ นี้ที่เราท�ำ อิมนิ า อทุ ทเิ สนะ จะ แลอทุ ศิ ให้ปวงสัตว์ ขิปปาหงั สลุ ะเภ เจวะ เราพลนั ได้ซึง่ การตดั ตัณหปุ าทานะเฉทะนงั ตัวตณั หาอปุ าทาน เย สนั ตาเน หินา ธมั มา สิง่ ชัว่ ในดวงใจ ๑ ทิพยสขุ  (=เสพสขุ ), พรหมสขุ  (=สงบสขุ ), อริยสุข (=สละสขุ ) ๒๐

ยาวะ นพิ พานะโต มะมัง กว่าเราจะถึงนิพพาน นัสสันตุ สพั พะทา เยวะ มลายสิ้นจากสนั ดาน ยตั ถะ ชาโต ภะเว ภะเว ทกุ ๆ ภพท่เี ราเกิด อุชจุ ติ ตัง สะติปญั ญา มีจติ ตรงและสตทิ ้งั ปัญญาอนั ประเสริฐ สลั เลโข วิรยิ ัมหินา พรอ้ มทง้ั ความเพียรเลศิ เปน็ เคร่ืองขูดกเิ ลสหาย มารา ละภนั ตุ โนกาสัง โอกาสอยา่ พึงมแี กห่ มู่มารสิ้นทง้ั หลาย กาตญุ จะ วริ เิ ยสุ เม เป็นชอ่ งประทุษรา้ ยท�ำลายล้างความเพยี รจม พุทธาทปิ ะวะโร นาโถ พระพุทธผู้บวรนาถ ธัมโม นาโถ วะรตุ ตะโม พระธรรมทพ่ี ่ึงอดุ ม นาโถ ปัจเจกะพทุ โธ จะ พระปจั เจกะพทุ ธสม- ๒๑

สงั โฆ นาโถตตะโร มะมัง ทบพระสงฆ์ที่พงึ่ ผยอง เตโสตตะมานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพนนั้ มาโรกาสงั ละภนั ตุ มา ขอหมูม่ ารอย่าไดช้ อ่ ง ทะสะปุญญานุภาเวนะ๑ ดว้ ยเดชบญุ ทั้งสบิ ปอ้ ง มาโรกาสงั ละภันตุ มา อย่าเปิดโอกาสแก่มาร เทอญ ๑ บุญกริ ยิ าวตั ถุ ๑๐ ข้อปฏบิ ตั ิที่ชว่ ยช�ำระจิตใจให้ปราศจากความโลภ โกรธ หลง เพ่อื บรรเทาและกำ� จดั ทกุ ขใ์ นชวี ิต ๑. ทาน - การให้ เสยี สละ เออื้ เฟือ้ เผื่อแผ่ ทง้ั วตั ถทุ าน (ปจั จยั ๔) และอภยั ทาน ๒. ศลี - ควบคมุ การกระทำ� ทางกาย วาจา ให้เรยี บร้อยเปน็ ปกติ ไมเ่ บียดเบียนตนและคนอื่น ๓. ภาวนา - อบรมจิตใหส้ งบ และเกิดปญั ญารู้แจ้งเห็นจริงในอรยิ สัจ ๔. อปจายนะ - ออ่ นน้อมถ่อมตนอย่เู สมอ ๕. เวยยาวัจจะ - ชว่ ยเหลอื เก้อื กูลในกิจที่ถูกต้องดงี ามแกเ่ พอ่ื นและสังคม ๖. ปัตติทานะ - แผเ่ มตตาและบุญกศุ ลที่ตนไดท้ �ำแก่สรรพสัตว์ทัง้ หลาย ๗. ปตั ตานุโมทนา - อนุโมทนาพลอยยินดีกับความดีของผ้อู นื่ ๘. ธรรมสวนะ - การฟังหรอื ศึกษาธรรมะอยู่เสมอ ๙. ธรรมเทศนา - แนะนำ� ขอ้ ธรรมท่ีตนได้ศึกษาและปฏบิ ัตมิ าใหแ้ กผ่ ูอ้ นื่ ๑๐. ทิฏฐุชกุ มั มะ - อบรมความคดิ เหน็ ใหถ้ กู ตอ้ งกับหลักธรรมในพทุ ธศาสนา เชน่ เชื่อเรื่องอรยิ สัจ, กรรม ท�ำด.ี ..ดี!  ท�ำชั่ว...ชั่ว! เป็นตน้ ๒๒

บทแผเ่ มตตา หนั ทะ มะยัง เมตตาผะระณงั กะโรมะ เส อะหัง สุขโิ ต (สขุ ติ า)๑ โหมิ ขอใหข้ ้าพเจา้ จงเป็นผูถ้ ึงสุข นทิ ทกุ โข (นทิ ทกุ ขา)๑ โหมิ จงเปน็ ผูไ้ ร้ทกุ ข์ อะเวโร (อะเวรา)๑ โหมิ จงเปน็ ผไู้ ม่มเี วร อพั ฺยาปชั โฌ (อัพฺยาปัชฌา)๑ โหมิ จงเป็นผูไ้ มเ่ บียดเบียนซึ่งกนั และกนั อะนีโฆ (อะนฆี า)๑ โหมิ จงเปน็ ผู้ไม่มีทุกข์ สุขี อตั ตานงั ปะริหะรามิ จงรกั ษาตนอยู่เป็นสขุ เถิด สัพเพ สตั ตา สุขติ า โหนตุ ขอสัตวท์ งั้ หลายทง้ั ปวงจงเปน็ ผ้ถู ึงความสขุ สัพเพ สตั ตา อะเวรา โหนตุ ขอสตั วท์ ง้ั หลายทั้งปวงจงเปน็ ผู้ไม่มีเวร ๑ หญิงว่าในวงเล็บ ๒๓

สพั เพ สัตตา อพั ฺยาปชั ฌา โหนตุ ขอสัตว์ทั้งหลายทง้ั ปวงจงอยา่ ได้เบียดเบียน ซง่ึ กนั และกัน สัพเพ สตั ตา อะนีฆา โหนตุ ขอสัตวท์ ั้งหลายท้ังปวงจงเปน็ ผูไ้ ม่มที ุกข์ สพั เพ สัตตา สขุ ี อตั ตานงั ปะรหิ ะรันตุ ขอสัตวท์ ง้ั หลายทั้งปวงจงรักษาตนอยเู่ ปน็ สุขเถดิ สัพเพ สตั ตา สพั พะทุกขา ปะมุญจันตุ ขอสัตว์ทั้งหลายท้ังปวงจงพ้นจากทกุ ข์ท้ังมวล สัพเพ สัตตา ลทั ธะสมั ปัตตโิ ต มา วิคัจฉนั ตุ ขอสัตวท์ ง้ั หลายทง้ั ปวงจงอยา่ ไดพ้ รากจากสมบตั ิ อนั ตนไดแ้ ลว้ สพั เพ สตั ตา กมั มัสสะกา กมั มะทายาทา กมั มะโยนิ กมั มะพันธุ กัมมะปะฏสิ ะระณา สตั ว์ทัง้ หลายท้งั ปวงมีกรรมเปน็ ของของตน มกี รรมเปน็ ผู้ใหผ้ ล มกี รรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเปน็ ผตู้ ดิ ตาม มกี รรมเปน็ ทพี่ ่ึงอาศัย ยงั กัมมงั กะรสิ สนั ติ, กัลฺยาณงั วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาทา ภะวสิ สนั ติ จกั ทำ� กรรมอันใดไว้ เป็นบญุ หรอื เป็นบาป จักต้องเป็นผู้ไดร้ บั ผลของกรรมนนั้ ๆ สืบไป ๒๔

กายคตาสติ (การระลึกอยูเ่ สมอว่ากายเป็นสงิ่ ปฏกิ ูล และไมใ่ ชเ่ ปน็ ของเราอยา่ งแทจ้ ริง) หนั ทะ มะยงั ทฺวัตติงสาการะปาฐัง ภะณามะ เส อะยงั โข เม กาโย กายของเราน้แี ล อุทธงั ปาทะตะลา เบอ้ื งบนแตพ่ ื้นเทา้ ขึ้นมา อะโธ เกสะมตั ถะกา เบอื้ งตำ�่ แตป่ ลายผมลงไป ตะจะปะรยิ นั โต มีหนังห้มุ อยเู่ ป็นทส่ี ดุ รอบ ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสจุ ิโน เตม็ ไปดว้ ยของไม่สะอาดมีประการตา่ งๆ อตั ถิ อมิ ัสมฺ ิง กาเย มีอย่ใู นกายนี้ เกสา คือผมทงั้ หลาย โลมา คือขนทง้ั หลาย นะขา คือเลบ็ ทัง้ หลาย ทันตา คอื ฟนั ท้ังหลาย ๒๕

ตะโจ หนัง มังสงั เนือ้ นะหารู เอน็ ทงั้ หลาย อัฏฐิ กระดูกทงั้ หลาย อัฏฐมิ ญิ ชงั เยอ่ื ในกระดูก วักกงั ไต หะทะยงั หัวใจ ยะกะนัง ตับ กิโลมะกัง พงั ผืด ปิหะกงั มา้ ม ปปั ผาสัง ปอด อนั ตัง ไสใ้ หญ่ อันตะคณุ งั สายรดั ไส้ อุทะรยิ ัง อาหารใหม่ กะรีสัง อาหารเกา่ ปิตตงั น�้ำดี เสมหงั น�ำ้ เสลด ปพุ โพ น�้ำเหลอื ง โลหิตัง นำ้� เลือด เสโท น�ำ้ เหง่อื เมโท นำ�้ มันข้น ๒๖

อสั ส ุ น้ำ� ตา วะสา น�้ำมันเหลว เขโฬ นำ้� ลาย สิงคาณกิ า น�้ำมูก ละสกิ า น�้ำมันไขข้อ มตุ ตัง น�ำ้ มตู ร มตั ถะเก มตั ถะลงุ คัง เยื่อในสมอง เอวะมะยงั เม กาโย กายของเรานอ้ี ย่างนี้ อุทธัง ปาทะตะลา เบ้ืองบนแตพ่ ้นื เทา้ ขึน้ มา อะโธ เกสะมตั ถะกา เบื้องต�่ำแตป่ ลายผมลงไป ตะจะปะรยิ นั โต มหี นังหุม้ อย่เู ปน็ ท่ีสุดรอบ ปโู ร นานปั ปะการัสสะ อะสุจโิ น เตม็ ไปดว้ ยของไม่สะอาดมปี ระการต่างๆ อย่างนแ้ี ล ๒๗

อภิณหฺ ปัจจเวกขณปาฐะ หันทะ มะยัง อะภณิ ฺหะปัจจะเวกขะณะปาฐงั ภะณามะ เส ชะราธัมโมมหิ ชะรงั อะนะตโี ต (อะนะตตี า)๑ เรามคี วามแกเ่ ป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความแก่ไปไมไ่ ด้ พฺยาธิธมั โมมหิ พฺยาธิง อะนะตโี ต (อะนะตตี า)๑ เรามีความเจบ็ ไขเ้ ป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ ไปไมไ่ ด้ มะระณะธมั โมมหิ มะระณงั อะนะตีโต (อะนะตตี า)๑ เรามีความตายเปน็ ธรรมดาจะล่วงพน้ ความตาย ไปไม่ได้ สพั เพหิ เม ปเิ ยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วนิ าภาโว เราจะละเวน้ เป็นต่างๆ คอื ว่าเราจะตอ้ งพลดั พราก จากของรักของเจริญใจทง้ั หลายท้ังปวง ๑ หญิงวา่ ในวงเลบ็ ๒๘

กมั มสั สะโกมหิ (กามหิ)๑ กมั มะทายาโท (ทา)๑ กมั มะโยนิ กมั มะพันธุ กมั มะปะฏสิ ะระโณ (ณา)๑ เรามกี รรมเปน็ ของของตน มีกรรมเปน็ ผูใ้ ห้ผล มกี รรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเปน็ ผู้ติดตาม มีกรรมเป็นท่ีพ่งึ อาศยั ยัง กัมมัง กะรสิ สามิ กลั ฺยาณงั วา ปาปะกัง วา ตัสสะทายาโท (ทา)๑ ภะวิสสามิ เราทำ� กรรมอันใดไว้ เป็นบญุ หรือเปน็ บาป เราจะเป็นทายาท คือวา่ เราจะตอ้ งไดร้ ับผล ของกรรมนัน้ ๆ สบื ไป เอวัง อมั เหหิ อะภณิ หฺ ัง ปัจจะเวกขิตัพพัง เราทั้งหลายควรพิจารณาอย่างนีท้ ุกวนั ๆ เถดิ ๑ หญงิ ว่าในวงเล็บ ๒๙

บทพจิ ารณาสงั ขาร สพั เพ สงั ขารา อะนิจจา สงั ขารคอื รา่ งกายจติ ใจ แลรปู ธรรมนามธรรม ๑ ท้ังหมดทัง้ ส้นิ มันไม่เท่ยี ง เกดิ ขน้ึ แล้วดับไป มแี ลว้ หายไป สพั เพ สงั ขารา ทุกขา สงั ขารคอื ร่างกายจิตใจ แลรูปธรรมนามธรรม ๑ ท้งั หมดท้งั ส้นิ มันเปน็ ทกุ ข์ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแลว้ แก่เจบ็ ตายไป สัพเพ ธมั มา อะนัตตา สิ่งท้งั หลายท้งั ปวง ทง้ั ทีเ่ ปน็ สังขารแลมิใช่สงั ขาร ทง้ั หมดทัง้ สน้ิ ไมใ่ ชต่ ัวไมใ่ ช่ตน ไม่ควรถือวา่ เรา วา่ ของเราวา่ ตัวว่าตนของเรา อะธุวงั ชีวติ งั ชีวิตเป็นของไม่ยัง่ ยนื ธุวัง มะระณงั ความตายเปน็ ของยงั่ ยนื ๑ อา่ นวา่  รปู -ธรรม นาม-ธรรม ๓๐

อะวัสสงั มะยา มะริตพั พัง อันเราจะพึงตายเป็นแท้ มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตงั ชีวติ ของเรามีความตายเป็นทส่ี ดุ รอบ ชวี ติ ัง เม อะนิยะตัง ชวี ติ ของเราเป็นของไม่เทย่ี ง มะระณัง เม นิยะตงั ความตายของเราเป็นของเท่ยี ง วะตะ ควรทจี่ ะสงั เวช อะยัง กาโย รา่ งกายนี้ อะจิรัง มิได้ตัง้ อยนู่ าน อะเปตะวญิ ญาโณ ครน้ั ปราศจากวญิ ญาณ ฉุฑโฑ อันเขาท้ิงเสยี แล้ว อะธเิ สสสะติ จกั นอนทับ ๓๑

ปะฐะวงิ ซง่ึ แผ่นดนิ กะลงิ คะรัง อิวะ ประดุจดังวา่ ท่อนไม้และท่อนฟนื นิรัตถงั หาประโยชน์มไิ ด้ อะนจิ จา วะตะ สงั ขารา สังขารทงั้ หลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทะวะยะธมั มโิ น มคี วามเกดิ ขน้ึ แลว้ มคี วามเสอ่ื มไปเปน็ ธรรมดา อุปปัชชิตวฺ า นิรุชฌันติ ครน้ั เกิดขึ้นแล้วยอ่ มดบั ไป เตสัง วปู ะสะโม สุโข ความเข้าไปสงบระงับสงั ขารทั้งหลาย เปน็ สุขอยา่ งยงิ่ ดังนี้ ๓๒

ธาตุปัจจเวกขณปาฐะ หนั ทะ มะยงั ธาตปุ จั จะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตมุ ตั ตะเมเวตัง สิ่งเหล่าน้นี ่ีเปน็ สักว่าธาตตุ ามธรรมชาตเิ ท่าน้ัน กำ� ลงั เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอย่เู นืองนิจ ยะทิทัง จวี ะรงั ตะทปุ ะภญุ ชะโก จะ ปคุ คะโล สิง่ เหล่านี้คือจีวร และคนผ้ใู ชส้ อยจีวรนั้น ธาตุมัตตะโก เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ นสิ สัตโต มไิ ด้เปน็ สัตวะอันยั่งยนื นิชชโี ว มิไดเ้ ป็นชวี ะอนั เป็นบุรษุ บุคคล สุญโญ วา่ งเปลา่ จากความหมายแห่งความเปน็ ตัวตน สัพพานิ ปะนะ อมิ านิ จวี ะรานิ อะชคิ ุจฉะนียานิ กจ็ ีวรท้งั หมดนี้ ไมเ่ ปน็ ของนา่ เกลยี ดมาแตเ่ ดิม อิมงั ปตู กิ ายัง ปัตฺวา ครน้ั มาถูกเข้ากบั กายอนั เนา่ อยเู่ ปน็ นิจนแี้ ล้ว ๓๓

อะติวยิ ะ ชคิ จุ ฉะนยี านิ ชายันติ ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอยา่ งย่ิงไปดว้ ยกัน ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตงั สิ่งเหลา่ นีน้ ี่เปน็ สกั วา่ ธาตุตามธรรมชาตเิ ท่านั้น ก�ำลังเป็นไปตามเหตตุ ามปัจจยั อย่เู นอื งนิจ ยะททิ งั ปณิ ฑะปาโต ตะทปุ ะภญุ ชะโก จะ ปคุ คะโล สิง่ เหลา่ นี้คือบณิ ฑบาต และคนผู้บรโิ ภคบณิ ฑบาตนนั้ ธาตมุ ัตตะโก เปน็ สักว่าธาตตุ ามธรรมชาติ นิสสัตโต มิไดเ้ ปน็ สัตวะอันยง่ั ยืน นชิ ชีโว มิได้เป็นชีวะอันเป็นบุรุษบคุ คล สุญโญ วา่ งเปลา่ จากความหมายแห่งความเปน็ ตัวตน สพั โพ ปะนายงั ปิณฑะปาโต อะชิคจุ ฉะนโี ย กบ็ ณิ ฑบาตทัง้ หมดนี้ ไมเ่ ป็นของน่าเกลยี ดมาแตเ่ ดิม อมิ ัง ปตู ิกายงั ปตั ฺวา ครนั้ มาถกู เข้ากับกายอันเน่าอย่เู ปน็ นิจนแ้ี ลว้ อะตวิ ิยะ ชิคจุ ฉะนีโย ชายะติ ย่อมกลายเป็นของนา่ เกลียดอยา่ งยง่ิ ไปดว้ ยกัน ๓๔

ยะถาปจั จะยัง ปะวตั ตะมานงั ธาตมุ ตั ตะเมเวตงั สงิ่ เหลา่ นน้ี ่ีเป็นสกั วา่ ธาตตุ ามธรรมชาตเิ ทา่ น้นั กำ� ลังเปน็ ไปตามเหตุตามปัจจยั อยู่เนืองนิจ ยะททิ งั เสนาสะนงั ตะทุปะภญุ ชะโก จะ ปคุ คะโล สิง่ เหลา่ น้ีคือเสนาสนะ และคนผใู้ ช้สอยเสนาสนะนั้น ธาตมุ ัตตะโก เป็นสักว่าธาตตุ ามธรรมชาติ นสิ สตั โต มิได้เปน็ สตั วะอันยัง่ ยืน นิชชโี ว มิไดเ้ ป็นชีวะอนั เป็นบุรษุ บคุ คล สุญโญ ว่างเปล่าจากความหมายแหง่ ความเป็นตวั ตน สัพพานิ ปะนะ อิมานิ เสนาสะนานิ อะชิคุจฉะนียานิ ก็เสนาสนะทง้ั หมดน้ี ไมเ่ ปน็ ของน่าเกลียดมาแต่เดมิ อมิ งั ปตู กิ ายัง ปัตวฺ า ครั้นมาถูกเข้ากบั กายอันเน่าอยูเ่ ป็นนจิ นแี้ ล้ว อะตวิ ยิ ะ ชิคุจฉะนยี านิ ชายันติ ย่อมกลายเปน็ ของนา่ เกลยี ดอย่างยิ่งไปด้วยกนั ยะถาปจั จะยัง ปะวตั ตะมานงั ธาตมุ ตั ตะเมเวตงั สิ่งเหลา่ นน้ี ่ีเปน็ สกั ว่าธาตตุ ามธรรมชาติเท่าน้ัน ก�ำลังเปน็ ไปตามเหตตุ ามปจั จัยอย่เู นืองนิจ ๓๕

ยะททิ งั คลิ านะปจั จะยะเภสชั ชะปะรกิ ขาโร ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล ส่งิ เหล่านค้ี ือเภสชั บริขารอนั เกือ้ กลู แกค่ นไข้ และคนผบู้ รโิ ภคเภสชั บริขารน้นั ธาตุมัตตะโก เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ นิสสัตโต มไิ ดเ้ ป็นสัตวะอนั ย่ังยืน นิชชีโว มไิ ด้เป็นชวี ะอนั เป็นบรุ ุษบคุ คล สุญโญ วา่ งเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน สัพโพ ปะนายงั คลิ านะปัจจะยะเภสัชชะปะรกิ ขาโร อะชิคุจฉะนโี ย ก็คิลานเภสชั บรขิ ารท้ังหมดน้ี ไมเ่ ปน็ ของน่าเกลียดมาแตเ่ ดิม อิมงั ปตู กิ ายงั ปัตฺวา ครั้นมาถกู เข้ากับกายอันเนา่ อยู่เป็นนิจน้ีแลว้ อะติวยิ ะ ชิคจุ ฉะนีโย ชายะติ ย่อมกลายเปน็ ของน่าเกลยี ดอยา่ งยิ่งไปด้วยกัน ๓๖


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook