ก คำนำ สานักงานศกึ ษาธิการจังหวดั นครศรีธรรมราช ไดด้ าเนนิ การขบั เคล่อื นนโยบายและยุทธศาสตร์ใน การพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งจาเป็นท่ีจะต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวง หน่วยงานของรัฐ รวมทั้งภาคเอกชนท่มี สี ว่ นรว่ มในการจัดการศึกษา และดาเนินงานในด้าน ของครอบครัวศกึ ษากบั การพัฒนาเด็กปฐมวยั โดยมกี ารพัฒนาเน้อื หาการจัดการเรียนรูอ้ อกเป็น 8 หน่วย การเรียนรู้ ประกอบด้วย ครอบครัวศกึ ษากบั การพฒั นาเด็กปฐมวัย บทบาทของครอบครัวในระยะมีบุตร ในช่วงปฐมวัย หลักการและรูปแบบการอบรมเล้ียงดูและพัฒนาเด็กปฐมวัยตามบริบทและวิถีไทย ปัจจัย ท่ีมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยของครอบครัว การจัดการกับสภาพปัญหาครอบครัวสู่นวัตกรรม สร้างวินัยเชิงบวกในเด็กปฐมวัย การเสริมสร้างสุขภาวะ คุณค่า คุณธรรมในครอบครัว การเผชิญภาวะ วิกฤตและการเสริมพลังครอบครัว และการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยมีเป้าหมายเพ่ือเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ในแนวคิดเก่ียวกับครอบครัวศึกษาให้มีความรู้ความ เข้าใจ เก่ียวกับภารกิจและบทบาทครอบครัวในการพัฒนาเด็กปฐมวัย หลักการและรูปแบบการอบรม เล้ียงดูและพัฒนาเด็กปฐมวัยตามบริบทแบบวิถีไทย ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยของ ครอบครัว และให้สามารถจัดการกับสภาพปัญหาครอบครัวและนานวัตกรรมการใช้ชีวิตในความคิด พัฒนาเดก็ ปฐมวัยอยา่ งเหมาะสม สานักงานศึกษาธิการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้จัดทาหลักสูตรครอบครัวศึกษากับการพัฒนา เด็กปฐมวัย ระดับพ้ืนท่ี (จังหวัดนครศรีธรรมราช) สาหรับผู้ปกครอง ผู้บริหาร ครู พี่เล้ียงเด็ก และ ผู้เก่ียวข้องในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชข้ึน ในรู ปแบบของบทเรียน อีเล็กทรอนิกส์ (E-Training) ขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ เปน็ พลเมอื งทีม่ คี ุณภาพของประเทศชาตติ อ่ ไป สานกั งานศกึ ษาธิการจังหวัดนครศรีธรรมราช
ข หน้ำ สำรบัญ 1 2 เรือ่ ง 43 44 บทนา 70 บทที่ 1 ครอบครวั ศึกษากับการพัฒนาเด็กปฐมวัย 72 102 บรรณานุกรม 103 บทที่ 2 บทบาทของครอบครัวในระยะมีบตุ รในช่วงปฐมวัย 140 142 บรรณานกุ รม 165 บทที่ 3 หลักการและรปู แบบการอบรมเลี้ยงดแู ละพัฒนาเด็กปฐมวยั ตามบริบทและวถิ ีไทย 170 222 บรรณานกุ รม 224 บทท่ี 4 ปจั จยั ทีม่ ีอิทธิพลต่อการพฒั นาเดก็ ปฐมวัยของครอบครัว 259 261 บรรณานกุ รม 284 บทท่ี 5 การจัดการกบั สภาพปญั หาครอบครัวสูน่ วตั กรรมสร้างวินยั เชิงบวกในเด็กปฐมวยั 286 บรรณานกุ รม บทท่ี 6 การเสริมสรา้ งสุขภาวะ คุณค่า คุณธรรมในครอบครวั บรรณานกุ รม บทที่ 7 การเผชญิ ภาวะวกิ ฤตและการเสรมิ พลงั ครอบครวั บรรณานุกรม บทที่ 8 การมสี ว่ นร่วมของครอบครวั และชุมชนในการพฒั นาเด็กปฐมวัย บรรณานุกรม คณะผูจ้ ดั ทา
ค สำรบัญตำรำง เรือ่ ง หน้ำ 1 พฤตกิ รรมและความสามารถของร่างกายท่คี วบคมุ ไดต้ ามช่วงอายเุ ด็ก 50 2 พฤติกรรมการแสดงออกทางด้านสติปญั ญาตามชว่ งอายเุ ด็ก 51 3 พฤติกรรมการแสดงออกทางด้านจติ ใจและอารมณ์ตามชว่ งอายุของเดก็ 51 4 พฤตกิ รรมและความสามารถของร่างกายท่ีควบคุมไดต้ ามช่วงอายุ 54 5 พฤตกิ รรมการแสดงออกดา้ นสติปัญญาตามชว่ งอายเุ ด็ก 55 6 พฤตกิ รรมการแสดงออกทางดา้ นจิตใจและอารมณ์ของเด็กอายุ 12 เดอื น 55 7 พฤตกิ รรมและความสามารถของร่างกายทค่ี วบคุมไดต้ ามช่วงอายุเด็ก 59 8 พฤติกรรมการแสดงออกดา้ นสติปญั ญาตามช่วงอายเุ ด็ก 59 9 พฤตกิ รรมการแสดงออกทางจิตใจและอารมณต์ ามช่วงอายุของเดก็ 60 10 พฤตกิ รรมและความสามารถของร่างกายท่ีควบคมุ ได้ตามช่วงอายุเด็ก 61 11 พฤตกิ รรมการแสดงออกด้านสติปญั ญาตามชว่ งอายเุ ดก็ 62 12 พฤตกิ รรมการแสดงออกทางจิตใจและอารมณ์ตามช่วงอายุของเด็ก 62 13 พฤตกิ รรมและความสามารถของร่างกายท่ีควบคมุ ไดต้ ามชว่ งอายเุ ด็ก 66 14 พฤติกรรมการแสดงออกดา้ นสตปิ ญั ญาตามช่วงอายเุ ดก็ 67 14 เปรียบเทียบลกั ษณะการอบรมเล้ียงดูระหว่างครอบครัววฒั นธรรมตะวนั ออกและวัฒนธรรมตะวันตก 110 15 ยุทธศาสตรก์ ารพฒั นาเด็กปฐมวยั ในระยะยาว พ.ศ. 2549-2559 ของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวง สาธารณสุข และกระทรวงพฒั นาสงั คมและความมั่นคงของมนษุ ย์ 118
ง
1 บทนา ครอบครัวศกึ ษา กบั การพัฒนาเดก็ ปฐมวยั (Family study and early childhood development) คาอธิบายหลกั สตู ร ความหมายและความสําคัญของครอบครัว การเรียนรูทักษะ ความคิด บทบาทของครอบครัวใน ระยะมีบุตรในชวงปฐมวัย หลักการและรูปแบบการอบรมเล้ียงดูและพัฒนาเด็กปฐมวัยตามแบบบริบท แบบวิถีไทย ปใจจัยที่มีอิทธิพลตอการพัฒนาเด็กปฐมวัยของครอบครัว การจัดการกับสภาพปใญหา ครอบครัวและนํานวัตกรรมการใชชีวิตครอบครัวมาใชพัฒนาเด็กปฐมวัยในการสรางวินัยเชิงบวก การ เสรมิ สรา งสขุ ภาวะ คุณคา คณุ ธรรม ในความคดิ การเผชิญภาวะวกิ ฤตและการเสรมิ พลงั ครอบครัว วตั ถุประสงค์ 1. เพ่อื เสริมสรา งความรู ความเขา ใจ ในแนวคิดเกย่ี วกบั ครอบครวั ศกึ ษา 2. เพื่อใหมคี วามรูความเขาใจ เกี่ยวกบั ภารกิจและบทบาทครอบครัวในการพัฒนาเด็กปฐมวัย 3. เพ่ือใหมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับหลักการและรูปแบบการอบรมเล้ียงดูและพัฒนาเด็ก ปฐมวยั ตามบริบทแบบวิถีไทย 4. เพ่ือใหม คี วามรู ความเขาใจกบั ปจใ จยั ทมี่ อี ทิ ธิพลตอ การพัฒนาเด็กปฐมวยั ของครอบครัว 5. เพ่ือใหสามารถจัดการกับสภาพปใญหาครอบครัวและนํานวัตกรรมการใชชีวิตในความคิด พัฒนาเดก็ ปฐมวัยอยา งเหมาะสม เนื้อหาสาคัญ / หนว่ ยการอบรม 1. ครอบครัวศึกษากบั การพัฒนาเด็กปฐมวยั 2. บทบาทของครอบครัวในระยะมบี ตุ รในชวงปฐมวัย 3. หลกั การและรปู แบบการอบรมเลยี้ งดูและพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ตามบรบิ ทและวิถไี ทย 4. ปจใ จยั ที่มอี ิทธพิ ลตอ การพัฒนาเดก็ ปฐมวัยของครอบครวั 5. การจัดการกบั สภาพปใญหาครอบครัวสูนวัตกรรมสรางวนิ ัยเชิงบวกในเด็กปฐมวัย 6. การเสรมิ สรา งสขุ ภาวะ คณุ คา คณุ ธรรมในครอบครวั 7. การเผชญิ ภาวะวกิ ฤตและการเสรมิ พลังครอบครัว 8. การมสี วนรว มของครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาเด็กปฐมวัย
2 หนว่ ยท่ี 1 ครอบครวั ศกึ ษากบั การพัฒนาเดก็ ปฐมวยั 1. ความหมายและความสาคญั ของครอบครวั ศึกษา ครอบครัว (Family) จัดเป็นหนวยยอยทางสังคมท่ีเล็กที่สุดแตมีความสําคัญอยางย่ิงยวด เนื่องจากเป็นสถาบันพื้นฐานเปรียบเชนรากฐานของสังคม โดยเป็นจุดเร่ิมตนของการกําเนิดสมาชิกใน สังคม เป็นสวนหน่ึงในสังคมที่อยูรวมกัน ซึ่งตองมีการเรียนรูและปรับตัว เพื่อใหอยูรวมกันไดเป็น ครอบครวั ใหญใ นสังคมอยา งสนั ติ ประเทศไทยไดใ หค วามสําคัญกบั สถาบนั ครอบครวั มาเปน็ เวลายาวนาน ตั้งแต พ.ศ.2533 โดยเฉพาะรัฐบาลสมัยนั้น ไดกําหนดใหวันท่ี 14 เมษายน ของทุกปี เป็น “ วัน ครอบครัวแหงชาติ ” ดวย และเป็นที่สอดคลอ งกับ ในโลกสากล โดยองคแการสหประชาชาติไดกําหนดให ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) เป็นปี “ครอบครัวสากล” (International Year of the Family) และ กําหนดใหวันที่ 15 พฤษภาคม ของทุกปี เป็น “วันครอบครัวสากล” (International Day of Family) ดวย เพือ่ สรา งความตระหนักถงึ ความสําคญั ของสถาบันครอบครวั ซึง่ เปน็ สถาบันมูลฐานของ มนษุ ยชาติ เม่อื กลาวถงึ บาน (home) ผูคนมักจะนึกถึงครอบครัวไปโดยอัตโนมัติ บานเป็นสถานท่ีอยูอาศัย และ ศูนยแรวมของสมาชิกทกุ คนในครอบครัวที่จะใชช ีวิตอยูร ว มกนั อยางมีความสุขและมีความสัมพันธแท่ีดี ตอกัน ในขณะ ท่ีครอบครัว (family) จัดเป็นหนวยยอยหน่ึงของสังคม ซึ่งประกอบดวยสมาชิกตั้งแต 2 คน ขนึ้ ไปอยรู ว มบานหรอื หลังคาเรอื นเดียวกัน และมีการกาํ หนดสถานภาพและบทบาทในการทําหนาท่ี ตอสมาชิกครอบครัวและสังคมโดยรวม ท้ังในดานการอบรมเลี้ยงดู การถายทอดคานิยมความเช่ือแบบ แผนการดําเนินชีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมประเพณีตางๆ และการสรางเสริม ประสบการณแตา ง ๆ ใหกบั สมาชิกทีอ่ าศยั อยูร ว มกนั ตั้งแตเ กิดจนเจรญิ เติบโตเป็นผูใหญ โดยใหความรัก ความเมตตา การดูแลเอาใจใส ความหวงใยและเอ้ืออาทร ตลอดจนสรางความเขาใจ และหลอหลอม สมาชกิ ในครอบครัวใหม คี ณุ ลักษณะอนั พึงประสงคทแ ี่สงั คมตองการผา นการอบรมขดั เกลาทางสังคม การศึกษาเร่ืองราวของครอบครัวนับวามีความหมายความสําคัญอยางย่ิงตอการพัฒนาคุณภาพ คนใหกลาย เปน็ ประชากรหรอื ทรพั ยากรมนุษยแท่มี คี ุณภาพตอ สงั คมและประเทศชาติ การทําความเขาใจ กับครอบครัวศึกษาถือได วา เป็นพื้นฐานองคแความรูดานครอบครัวโดยตรง ซึ่งมีการศึกษาคนควาตาม หลกั วิชาการและสามารถนาํ ไปสูก ารปฏบิ ัติ ใช เพือ่ การพฒั นาคณุ ภาพครอบครวั ไดอ ยางเป็นรปู ธรรม 1.1 แนวคิดเกย่ี วกับครอบครัว ครอบครัวเป็นสถาบันพ้ืนฐานของสังคมที่มีบทบาทสําคัญในการสรางเสริมคุณคาความเป็ น มนษุ ยแ ตลอดจน ถา ยทอดคานิยม เจตคติ อุปนิสัยใจคอและบุคลิกภาพของบุคคล ปใญหาสังคมสวนหนึ่ง เกิดจากการขาดประสิทธิภาพ และคุณภาพของการดําเนินชีวิตของบุคคลในครอบครัว หากครอบครัวมี พลังในการสรางเสริมคุณภาพของคนอยาง เต็มที่แลว อยางแนนอนที่ชุมชนและสังคมโดยรวมก็ยอม เขม แขง็ และมีความผาสกุ มน่ั คง ปจใ จบุ ันการศึกษาหาความรู และเรยี นรเู รื่องครอบครัวมีความจําเป็นมาก
3 ขึน้ เรื่อย ๆ เน่อื งจากการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนอยูตลอดเวลา และ ผลกระทบตอวิถีชีวิตครอบครัวท่ีตอง ปรับตัวปรบั เปลีย่ นไดเทาทันกับการคงรักษาสมดลุ ของการดาํ เนินชีวติ อยา งปกติสุข 1.1.1 ความหมายของครอบครัว คําวา “ครอบครัว” (family) มีการใหนิยามหรือ ความหมายหลากหลายแตกตางกันไป ตามคานิยม ความเชื่อ บรรทัดฐานทางสังคม แบบแผนชีวิตความ เป็นอยูและบริบททางวัฒนธรรมแตกตางกัน ในสภาพปใจจุบันก็มีขอโตแยงเร่ืองน้ีอยูมากมาย เพราะ รูปแบบการดําเนินชีวิตของผูคนเปล่ียนแปลงอยางรวดเร็ว ทําใหเกิดความหลากหลายของรูปแบบ ครอบครวั มากขึน้ ท้งั นีใ้ นสังคมไทยกม็ กี ารใหค วามหมายของครอบ แตกตางกันไปดว ยเชนกนั ดังน้ี พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พุทธศักราช 2525 (2525: 167) ไดใหความหมายของ ครอบครัวได ครอบครัว หมายถึง ผูรวมครัวเรือน คือ สามี ภรรยาและบุตร เป็นตน ท้ังน้ีตอมาใน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542 (2542: 220) ไดใหความหมายของครอบครัวไว วา ครอบครัว หมายถึง สถาบันพ้ืนฐานของสังคมท่ี ประกอบดวยสามีภรรยา และหมายความรวมถึงลูก ดว ย ท้งั นี้ นักวิชาการหลายสาขาวิชาการตางก็ใหความหมายของครอบครัวในลักษณะท่ีแตกตาง กันออกไป อาทิ สมาคมคหเศรษฐศาสตรแแหงประเทศไทย (2524: 86-87) ไดนิยามคําวาครอบครัว จาก แงมุมทางวิชาการ ตาง ๆ โดยมีความหมายของครอบครัวก็ตางกันออกไปตามแนวคิดของศาสตรแนั้นๆ ไดแ ก 1. ในแงช วี วทิ ยา ครอบครวั หมายถงึ กลมุ คนทเี่ ก่ยี วพนั กนั ทางสายโลหิต เชน สามีภรรยามี บุตร บุตร เกิดจากอสุจิของบิดาผสมกับไขสุกของมารดา ฉะน้ันบิดามารดากับบุตรจึงเกี่ยวพันกันทาง สายโลหติ แลวแตโ ครโมโซม และยนี ทบี่ ตุ รไดรบั มาจากท้งั บดิ าและมารดา 2. ในแงก ฎหมายชายหญงิ จดทะเบียนสมรสกนั มีบตุ ร คนเหลา นเี้ ป็นครอบครัวเดียวกันตาม กฎหมาย บิดามารดาและบุตรมีหนาที่ท่ีตองปฏิบัติตอกันตามกฎหมาย บุตรมีสิทธิ์รับมรดกจากบิดา มารดา ถาไมมีบุตรผูสืบสายโลหิตข้ึนไปหรือลงมาโดยตรง หรือที่จดทะเบียนเป็นบุตรธรรม ก็นับวาเป็น ครอบครัวเดยี วกนั ตามกฎหมาย 3. ในแงเ ศรษฐกจิ ครอบครวั คอื คนท่ใี ชจ า ยรวมกันจากเงินงบเดียวกัน ท่ีทําการสมรสแลว แยกบาน ไปอยูตางหาก แตมีพันธะทางศีลธรรมที่จะเลี้ยงนอง คือ ตองสงเสียใหเงินนองเลาเรียน เชนน้ี นบั วา ใชจา ยจาก งบเดยี วกัน และเปน็ ครอบครัวเดียวกนั 4. ในแงส ังคม ครอบครัว คอื กลุมคนทรี่ วมอยูในบา นเดยี วกนั อาจเกี่ยวหรือไมเกี่ยวพันทาง สายโลหิตหรือทางกฎหมาย แตมีปฏิกิริยาสัมพันธแกัน ใหความรักและความเอาใจใสตอกัน มีความ ปรารถนาดตี อกนั เชน ลูกของลกู จา งอยูในบานเดียวกัน เจาของบานเลี้ยงดูใหความเอาใจใส ความรัก ก็ นบั วาเดก็ นั้นเปน็ สวนหน่งึ ของครอบครัวน้ัน
4 คณะอนุกรรมการดานครอบครัวในคณะกรรมการสงเสริมและประสานงานสตรีแหงชาติ (2537: 15) ไดกลาว วา ครอบครัว หมายถึง กลุมบุคคลท่ีมีความผูกพันกันทางอารมณแและจิตใจ มีการ ดําเนินชีวิตรวมกัน รวมทั้งพึ่งพิง กันทางสังคมและเศรษฐกิจ มีความสัมพันธแกันทางกฎหมายและทาง สายโลหิต และบางครอบครวั อาจมขี อ ยกเวนบาง ประการจากที่กลา วมา รจา ภูไพบูลยแ (2537: 1-4) ใหความหมายของครอบครัวไววา ครอบครัว หมายถึง การอยู รวมกันของกลุม เบคคลที่เป็นสมาชิก ซ่ึงมีความสัมพันธแกันผูกพันกัน เชน ความสัมพันธแทางสายเลือด หรือการรับเป็นบุตรบุญธรรมสมาชิกที่มีความสัมพันธแกันและมีบทบาทและหนาที่แตกตางกัน เชน เป็น บิดา เปน็ มารดา เป็นสามีหรอื ภรรยาหรอื เป็นบตุ ร สนิท สมัครการ (2538: 1) ใหความหมายครอบครัวไววา “กลุมของญาติสนิทกลุมหน่ึงซึ่ง อยูรวมหลังคาบาน เดียวกัน หรืออยูในบริเวณรั้วบานเดียวกัน (ในกรณีที่มีบานมากกวาหน่ึงหลัง) ตามปกติแลวครอบครัวยอมทําหนาท่ี เบ้ืองตนท่ีจําเป็นตาง ๆ เพ่ือสนองความตองการพื้นฐาน (Basic need) ของมนุษยแ อยา งไรกด็ ีหนาที่บางประการของ ครอบครัวอาจเปล่ียนแปลงไปตามวิวัฒนาการของ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งอาจสงผลกระทบตอภาวะความเป็นญาติ ของสมาชิกแตละครอบครัวท้ังแบบ ชวี ภาพและแบบสังคมกาํ หนดก็ได” เฉลยี ว บญุ ยงคแ (2538: 45) ไดสรปุ ความหมายของครอบครัวไวด งั ตอ ไปน้ี 1. ครอบครัว คอื องคแการหรือหนว ยทางสังคมขนาดยอม ซึ่งเกิดจากการท่ีชายหญิงคูหน่ึงมี ความ สมั พนั ธแกนั ในทางเพศแลวใหกาํ เนดิ บตุ รและสามารถเลี้ยงดบู ุตรท่เี กิดมาใหอยูในสงั คมน้ันได 2. ครอบครัว คือ กลุมของบุคคลตาง ๆ ท่ีรวมกันขึ้นโดยการผูกพันทางดานการแตงงาน การสืบสายโลหติ หรอื การรบั บตุ รบญุ ธรรม ซึง่ กอใหเกิดการอยูรว มกันในบา นเรือนเดียวกัน 3. ครอบครัว คือ ความตอเน่ืองกับความสัมพันธแในทางเพศที่มีเวลานานพอท่ีจะใหกําเนิด บตุ รและ สามารถเลย้ี งดูอบรมบตุ รเหลา นัน้ ได 4. ครอบครัว หมายถงึ คนหลาย ๆ คนทม่ี าอยูร วมกันเปน็ เวลานานพอท่ีจะใหผูอื่น (สมาชิก ใหม) เกิด มาไดตามความหมายน้ีแสดงวาไมไดมุงความสําคัญไปท่ีครอบครัวเทาไรนัก แตมุงที่ตัวบุคคล ท่ีมาอยูร ว มกัน มากกวาเปน็ ทีร่ วมของบุคคลหลาย ๆ คน โดยไมจ าํ กัดเพศ อายุ สุพัตรา สุภาพ (2540: 26) ไดกลาววา ครอบครัวเป็นสถาบันท่ีสําคัญท่ีสุดของสังคม เป็น หนวยยอยของสังคม ที่มีความสัมพันธแและรวมมือกันอยางใกลชิด เป็นสถาบันที่คงทนที่สุดและยังไมเคย ปรากฏวา สงั คมมนุษยแเป็นสงั คม ทไี่ มมีสถาบันครอบครวั เพราะมนุษยทแ ุกคนตอ งอยูในสถาบันครอบครัว เนื่องจากเป็นกลุมสังคมกลุมแรกท่ีมนุษยแ ทุกคนพบเจอ ต้ังแตแรกเกิดจนกระท่ังเติบโตและมีครอบครัว แยกออกมา ครอบครวั จะใหตําแหนง ชอ่ื และสกลุ ซ่งึ เป็นเครอื่ งบอกสถานภาพบทบาทตลอดจนกําหนด สทิ ธหิ นา ทที่ ส่ี มาชิกมีตอ กันและตอ สงั คม ครอบครัวเป็นสถาบัน แหง แรกและแหงสําคัญของสังคมในการ กําหนดพฤติกรรมของมนุษยแใหเป็นไปตามระเบียบแบบแผน ซึ่งมีการกําหนด มาตรฐานความประพฤติ ของครอบครัว
5 จรรจา สุวรรณทัต และจิตตินันทแ เดชะคุปตแ (2555: 6) ใหนิยามวา ครอบครัว หมายถึง กลุมบุคคลท่ีอยูรวม กันและผูกพันกันทางสายเลือดหรือมีความเกี่ยวพันกันทางกฎหมาย ซึ่งไดแก บิดา (สามี) มารดา (ภรรยา) ลูก และญาติพ่ีนอง โดยแตละคนมีบทบาทหนาท่ีท่ีพึงปฏิบัติตอกันดวยความ รบั ผดิ ชอบและความรกั ความเอาใจใสซ่ึงกนั และ กนั สรุปไดวา ครอบครัว คือ กลุมบุคคลท่ีมีความผูกพันกันทางอารมณแและจิตใจในการดําเนิน ชีวติ รวมกันรวม ทงั้ มีการพงึ่ พาอาศยั กนั ทางเศรษฐกจิ และสงั คม โดยมีความสัมพันธแกันทางกฎหมายหรือ ทางสายโลหิต ทั้งนี้ครอบครัว บางครอบครัวอาจจะมีลักษณะที่เป็นขอยกเวนบางประการก็ได อีกทั้ง ครอบครวั มีความหมายหลากหลายแงม มุ หลาย ลกั ษณะ ไดแ ก ในแงก ลมุ คน (Social group) ครอบครวั หมายถึง กลุมบุคคลต้ังแต 2 คน หรือมากกวาที่มี ความสัมพันธแ กัน โดยการผูกพันดานการแตงงาน การสืบสายโลหิตหรือการรับบุตรบุญธรรม และอยู รวมกันในรูปของสามีภรรยา หรือพอแมลูกหรือเครือญาติ มีการกําหนดสถานภาพ บทบาทและหนาที่ ความรับผิดชอบของสมาชิกครอบครัว มีการ พึ่งพาซ่ึงกันและอาศัยกัน บนพ้ืนฐานของความรักความ เขาใจในสายสัมพันธแระหวา งสมาชิกครอบครวั สวนในแงสถาบัน (Institution) ครอบครัว หมายถึง สถาบันมูลฐานของมนุษยชาติ เป็น หนวยยอยขนาดเล็ก ท่ีสุดของสังคม เป็นสถาบันพ้ืนฐานท่ีสรางสมาชิกใหมใหกับสังคม และกําหนด สถานภาพ สิทธิและหนาที่ของบุคคล อันพึงปฏิบัติตอกันในสังคม เป็นสถาบันแหงแรกในการถายทอด คานิยม ความเชื่อ แบบแผนทางวฒั นธรรมของ สงั คมที่นาํ ไปสูก ารพัฒนาคุณภาพประชากร 1.1.2 หนาทข่ี องครอบครวั ครอบครัวเปน็ สถาบันท่ีสังคมสรางข้ึน เพื่อใหทําหนาท่ี อันเป็นประโยชนแแกสังคมหลายประการ สังคมยอมใหการสนับสนุนครอบครัวอยางม่ันคง โดยมุงหวังให ครอบครัวทําหนาทีซ่ ่ึงสังคมมอบหมาย อยา งสมบรู ณแ เนอื่ งจากครอบครัวเป็นสถาบันท่ีเกาแกและจําเป็น ที่สุดของมนุษยแ ครอบครัวจงึ มกี ารทําหนา ทตี่ าง ๆแบบเดียวกนั ในทุกสังคมของมนุษยแ จนเราอาจเรียกได วา เป็นหนา ทส่ี ากล คือ เป็นหนา ทีซ่ ง่ึ ครอบครัวขอ ตองกระทําหรอื พึงปฏิบัติ สุพัตรา สุภาพ (2536: 57-59) ไดกลาวถึงหนาที่ของครอบครัวตามลักษณะของสังคมและ วฒั นธรรม ดงั นี้ 1. สรางสรรคแสมาชิกใหม (Reproduction) เพื่อใหสังคมสามารถดํารงอยูได เพราะสังคม จะตอง สมาชิกใหมทดแทนสมาชิกเดิมท่ีตายจากไป หนาท่ีนี้มีความสําคัญมาก ถาไมมีการสรางสมาชิก ใหมเพิม่ ขนึ้ สงั คม นัน้ ๆ ก็จะตอ งสูญหายไป การมสี มาชกิ ใหมกต็ อ งไดส มดุลกบั ทรัพยากรภายในประเทศ คือ ไมม ากเกนิ ไปหรือ นอยเกินไป ถามีมากเกินไปจนทรัพยากรภายในประเทศไมอาจจะอํานวย สังคมก็ ยากลําบาก และเกิดปใญหาตาง ๆ เชน ความยากจน อาชญากรรม เป็นตน แตถามีสมาชิกนอยเกินไป สงั คมนน้ั ก็อาจจะประสบปใญหาขาดแคลน 2. บําบัดความตองการทางเพศ (Sexual gratification) ซึ่งจะออกมาในรูปของการสมรส เป็นการลดกําลังคน ปใญหาทางเพศบางอยาง การสมรสจึงเป็นส่ิงจําเป็นในสังคมท่ีมีการจัดระเบียบ
6 เพราะการสมรส คือ วิธีหนึ่งท่ีสังคม เขามาควบคุมความสัมพันธแทางเพศแตอยางเดียว จะตองทําให มนุษยแมคี รอบครวั เสมอไป เพราะมนุษยแมที างระบาย ออกทางอน่ื ๆ ไดโ ดยไมตอ งมคี รอบครัว เพราะการ สมรสใหมากกวาความพอใจในเรื่องความสมั พนั ธแทางเพศ 3. เล้ียงดูผูเยาวแใหเติบโตในสังคม (Maintenance of immature children or Raising the young) เราจะ เห็นไดว าไมม สี ถาบันใดทําหนา ที่ดีกวา สถาบันน้ี เพราะความรกั และอบอนุ เด็กจะหา ทอ่ี ่นื ใดเสมอื นครอบครัวน้ัน ยากมาก พอ แมส วนใหญมีความรักลกู ยอ มจะประคับประคองเล้ียงดูลูกของ ตน เป็นอยางดี แมจะยากดีมีจนก็ตาม ครอบครัวจึงเลี้ยงดูบุตรตั้งแตแรกเกิดจนกระท่ังเติบใหญ การ เล้ียงดูจากที่อ่ืนแมจะทําได เชน สถานสงเคราะหแ โรงพยาบาล ตามบานรับเลี้ยงเด็ก ก็ทําไมไดดีเทา เพราะอาจจะใหเ ด็กไดในสว นของการเลีย้ งดทู างดา นรางกาย แตท างดานจติ ใจนนั้ ทําไดยากมาก เพราะมี เดก็ เป็นจาํ นวนมาก การจะใหค วามอบอุนแกเด็กทุกคนเสมือนพอแม ใหแกลูกน้ันทําไมคอยได ดวยเหตุ นี้ เด็กในสถานสงเคราะหแสวนใหญจึงพัฒนาไดชา เชนเดินชา พูดชา อารมณแไมม่ันคง และบางคร้ังก็ทํา รา ยตัวเอง เพอ่ื เรยี กรอ งความสนใจ 4. ใหการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) ครอบครัวเป็นแหลงการอบรมเบ้ืองตนที่มี อิทธิพลตอเด็ก มากท่ีสุด เป็นสถาบันท่ีเตรียมตัวเด็กใหออกไปเผชิญกับสิ่งแวดลอมท่ีพนไปจากบาน ครอบครัวชวยอบรมเด็กใหรูจัก กฎเกณฑแ คานิยม แบบของความประพฤติ ฯลฯ สอนใหเด็กปรับตัวเขา กับสิง่ แวดลอมในสงั คม วิธกี ารอบรมกอ็ าจ ทาํ ไดท งั้ โดยตรงและโดยออม โดยตรงก็โดยการสั่งสอนหรือดุ ดา หรือวากลาว โดยออมก็โดยการทําตัวเป็นแบบอยาง ท่ีดี การอบรมนี้ก็มีอยูตลอดเวลา จึงนับไดวา เปน็ สถาบันที่ใหก ารอบรมแกเ ดก็ ตงั้ แตเกดิ จนตาย 5. กําหนดสถานภาพ (Social placement) เราไดช่ือสกุลจากครอบครัว ซึ่งสวนมากก็ เปล่ียนไดในเวลา ตอมา โดยเฉพาะถาเป็นหญิง เม่ือแตงงานแลวก็เปล่ียนตามช่ือสกุลสามี สถานภาพ ตําแหนงที่ครอบครัวใหนี้ทําใหเรา รูวาเราเป็นใคร อยูกับคนกลุมไหน เชน ช่ือสกุลเป็นไทย ก็จัดวาเป็น คนไทย นอกจากนี้ สถานภาพก็เป็นสิ่งท่ีติดตัว มาแตเกิด เชน เป็นลูกคนจนลูกคนรวย เป็นเชื้อพระวงศแ เป็นลูกรัฐมนตรี เป็นลูกพอคา ฯลฯ และสถานภาพดังกลาว อาจจะเปล่ียนสถานภาพเป็นพอคา เป็น ขา ราชการ ทหาร ตํารวจ เป็นตน 6. ใหความรกั และความอบอนุ (Affection) ครอบครัวเป็นแหลงท่สี มาชิกไดรับความรักและ อบอุน อยางบริสุทธ์ิใจ เป็นแหลงที่ใหประกันวา จะมีคนท่ีเรารักและคนท่ีรักเราเสมอ เชน ความรักของ สามีภริยา หรือความ รักของพอแมที่มีตอลูก นอกจากน้ันถาสมาชิกคนใดประสบความผิดหวังไมวาใน ดานการงาน หรือดานอ่ืนๆ ครอบครัว จะเป็นแหลงใหกําลังใจและปลุกปลอบใจ เพ่ือใหสามารถผาน อุปสรรคไปได สรุปแลวครอบครัวจึงเป็นแหลงท่ีให ตาง ๆ ใหลุลวงไปได ความรัก ความคุมครอง และ ความมั่นคงทางดานจิตใจแกส มาชกิ ทาํ ใหสมาชกิ มีพลังใจในการฝุาฟนใ อปุ สรรคตา ง ๆ ใหล ุลวงไปได พรรณทิพยแ ศิริวรรณบุศยแ (2545: 34-35) ไดกลาวถึงหนาท่ีของครอบครัวในหนังสือ จติ วิทยาครอบครัวไดดงั นี้
7 1. หนาที่ทางเศรษฐกิจในสมัยโบราณคนในครอบครัวเดียวกันตองชวยกันทํามาหากิน ลูก ตองรับภารกิจ ของพอ แตยังไมไดเป็นเจาของจนกวาพอจะตาย ครอบครัวเป็นผูผลิตและผูบริโภค ใน ปใจจุบนั การผลติ ตาง ๆ ถูกตัวแทนนอกครอบครัวรับไปทําแทนทั้งส้ิน อาหารท่ีเคยทําในบานก็มีตัวแทน ทาํ นอกบาน ในสังคมปใจจุบัน สิ่งตาง ๆ อาจหาซื้อไดไมวาอาหาร หรือเส้ือผา นอกจากน้ันยังมีเคร่ืองมือ เคร่ืองใชท ุน แรง 2 หนาท่ีทางการศึกษาในสมัยกอนแมสอนเร่ืองการบานการเรือนใหลูก สอนใหอาน เขียน หรือทําเลข งายๆ แตทุกวันที่เด็กใชเวลาในโรงเรียน หรือในการเรียนมากกวาอยูบาน กินขาวกลางวันที่ โรงเรยี นถงึ บานในเวลา เย็น โรงเรียนเลิกก็มีกิจกรรมนอกหลักสูตร แตกระนั้นครอบครัวก็ยังเป็นตัวแทน วัฒนธรรมท่ีจะถายทอด ขนบธรรมเนียมและประเพณี ความเช่ือ คานิยม งานอดิเรกและกิจกรรมที่จะ เรียนไดในบานเด็ก ซ่ึงจะเรียนจากท่ีอื่น ไมได เด็กที่ไดรับการเล้ียงดูจากครอบครัวท่ีทําอะไร ๆ รวมกัน จะตางจากเด็กท่ีมาจากบานที่ตางคนตางอยูตาง คนตางทํา การปฏิบัติและดําเนินชีวิตในครอบครัวเป็น ตัวแทนในการเรียนที่เขมแข็งกวาจะเรียนจากหนังสือท่ีโรงเรียน ถาครอบครัวไมยอมทําอะไรเลยก็จะ สญู เสียหนาท่ที างการศึกษาและเดก็ ท่ดี จี ะขาดความสนบั สนุนทคี่ วรไดจาก ครอบครวั 3. หนาท่ีทางการปกปูองสวัสดิภาพ หนาท่ีสําคัญอีกประการที่ไมควรละเลยของครอบครัว คือ ครอบครัวตองปกปูองสวัสดิภาพของสมาชิกทุกชวงวัย อาจอาศัยตํารวจหรือหนวยงานอื่น ๆ ที่ เกยี่ วของ เชน สาธารณสขุ ประกนั ชีวติ เปน็ ตน 4. หนาท่ีในการสันทนาการ มีสันทนาการซึ่งเป็นสวนสําคัญของชีวิตครอบครัวในปใจจุบัน เชน เลนกีฬา ชมภาพยนตรแ เป็นตน การใชเวลาสันทนาการรวมกันนั้นจะทําใหความสัมพันธแใน ครอบครวั ดขี ึ้น 5. หนาที่ทางศาสนา การศาสนาในบานเรามีนอยลงไปเรื่อย ๆ เพราะความไมสะดวก คน หนุมสาว ไมสนใจการเขาวัด ในชนบทเวลามีงานวัดก็เขาไปเพ่ือสนุกมากกวาท่ีจะสนใจกับหลักศาสนา ความเชื่อพ้ืนฐานตาง ๆ เด็กก็มักจะไดจากครอบครัว ครอบครัวควรชวยใหเขามีปรัชญาชีวิต ศีลธรรมท่ี เขามี เขาไดม าจากครอบครัวของ เขาเอง จากผลการศึกษาพบวา หนมุ สาวเรยี กตนเองวาพุทธศาสนิกชน เพราะเกิดมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธ แตแทจริงแลวครอบครัวสามารถใหคุณคาทางศาสนาแก เดก็ ไดโดยผานการปฏบิ ัตติ นเป็นแบบอยา งที่ดี 6. หนาที่ใหความรัก ในวัยทารกเด็กจะไดรับการอุมชูกอดรัดในระหวางใหนมมารดาจะทํา ใหเขาเกิด ความไววางใจ เขาไดรับการเปล่ียนผาท่ีเปียกแฉะ และมีคนในครอบครัวมาเลนดวย เมื่ออายุ ได 3 เดอื น เขากเ็ ริม่ จะ เห็นความแตกตางระหวางบุคคลแตละคนรูวาใครเป็นใครในครอบครัว การอุมชู แสดงความรักเด็กจะเกิดความรูส ึก อบอุนมั่นคงปลอดภัย ซ่ึงจะชวยใหเขาปรับตัวใหเขากับโลกภายนอก ได
8 7. หนาทที่ างชวี วทิ ยา ครอบครัวตางมีหนาที่ใหเกิดบุตรเมื่อมนุษยแสามารถสืบพันธุแอยูตอไป ได เดก็ ที่ เกดิ ไมถ ูกกฎหมายในครอบครัวทีไ่ มต องการมักจะเปน็ ปญใ หาและภาระของสงั คม ซง่ึ มอี ยมู ากใน สังคมไทย ดงั นน้ั ทุก ชีวติ ทเี่ กดิ ตอ งมสี ทิ ธทิ ่จี ะไดร ับความรกั และความเอาใจใส 1.1.3 ความสาํ คญั ของครอบครวั ครอบครวั เป็นสถาบันแหง แรกทสี่ าํ คญั ทส่ี ุดของสังคมใน การกําหนด พฤติกรรมของมนุษยแใหเป็นไปตามระเบียบแบบแผนที่สังคมปรารถนาหรือพึงประสงคแ ครอบครัวจงึ มีความสาํ คัญตอ บคุ คล ชุมชน สังคมและประเทศชาติ ดงั นี้ 1) ความสําคญั ตอ การวางรากฐานคุณภาพบุคคล ครอบครวั มคี วามสําคัญตอบุคคล ในฐานะทีใ่ ห กําเนิดชีวิตและเป็นกลุมทางสังคมกลุมแรกที่บุคคลแตละคนเป็นสมาชิก เป็นที่ท่ีสมาชิกแต ละคนมีความสัมพันธแ ระหวางกันอยางใกลชิดและยังยืน ครอบครัวยังทําหนาท่ีใหการอุมชูฟูมฟใกหลอ เลี้ยงหลอหลอมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคล นับต้ังแตเกิดจนกระทั่งตาย อีกทั้งทําหนาท่ีถายทอด คุณคาชีวิตและแบบแผนวัฒนธรรมครอบครัว กับสมาชิกจากรุนเกาสูรุนใหม ครอบครัวจึงเป็นสถาบันท่ี ตอบสนองความตอ งการของมนุษยซแ ง่ึ สถาบันอื่น ๆ ทางสังคม มิอาจทําหนาท่ีเหลาน้ีได โดยเฉพาะอยาง ยิ่งความตองการปใจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต ความตองการทาง ความตองการทางดานอารมณแ และ ความตองการการยอมรบั และผูกพนั ซง่ึ กันและกัน 2) ความสําคัญตอการเก้ือหนุนครอบครัวดวยกันและชุมชน ครอบครัวแตละ ครอบครัวถือเป็นสวน หนึ่งของชุมชน ซึ่งเป็นสภาพแวดลอมที่อยูใกลชิดกับครอบครัวมากท่ีสุด ครอบครัวท่ีอยูรวมกันในชุมชนหน่ึง ๆ น้ัน ยอมมีความสัมพันธแเกื้อหนุนจุนเจือซ่ึงกันและกัน มีการ ติดตอส่ือสารระหวางกัน ใหความชวยเหลือเก้ือกูลกัน ความ สัมพันธแระหวางครอบครัวดวยกันและ ครอบครัวกับผูคนแวดลอมในชุมชนในลักษณะน้ีนับเป็นเครือขายครอบครัวใน ชุมชนที่มีความสําคัญ อยางยิ่งตอการดําเนินชีวติ และการดาํ รงอยูของชมุ ชนนน้ั ๆ 3) ความสําคัญตอ การอยรู อดของสังคม ครอบครัวมีความสําคัญตอสังคม ในฐานะ ตัวกลางท่ีเช่ือม บุคคลเขากับสังคม โดยครอบครัวทําหนาที่สังคมประกิต กลาวคือ ครอบครัวสนับสนุน สงเสริมกระบวนการเรียนรูให บุคคลประพฤติปฏิบัติตามครรลองของสังคมผานการอบรมขัดเกลาทาง สงั คม (ฆocialization) เพ่อื ตอบสนองความ ตองการของสังคมในการอยูรวมกันอยางสงบสุข โดยสังคม กําหนดแบบแผนหรือคุณลักษณะท่ีพึงประสงคแของบุคคล เพื่อการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมตาม มาตรฐานและเปน็ ท่ยี อมรบั ของสังคมสว นรวม 4) ความสําคัญตอความม่ันคงของประเทศชาติ เนื่องจากประเทศประกอบไปดวย สถาบันทางสังคม ตาง ๆ ไดแก สถาบันการเมืองการปกครอง สถาบันศาสนา สถาบันทางเศรษฐกิจ สถาบันการศึกษา รวมท้ังสถาบัน ครอบครัว หากสถาบันใดสถาบันหน่ึงไมสามารถทําหนาที่ได ก็ยอมมี ผลกระทบตอความอยูรอดของประเทศใน ท่ีสุดได โดยเฉพาะอยางย่ิงสถาบันครอบครัว ความเป็น ปึกแผนเขมแข็งมั่นคงของสถาบันครอบครัว จึงสะทอนถึง ความเป็นปึกแผนเขมแข็งมั่นคงของ ประเทศชาติดว ย
9 สรุปไดวา ครอบครัวมีความสําคัญ ทั้งตอบุคคล ชุมชน สังคมและประเทศชาติ โดยเฉพาะ ความสําคัญของ ครอบครัวท่ีมีตอบุคคล ไดแก ความสําคัญในดานชีวภาพ ดานสังคม-วัฒนธรรม ดาน เศรษฐกิจ และดานการเมือง การปกครอง สวนความสําคัญของครอบครัวที่มีตอชุมชนสังคมและ ประเทศชาติ ไดแ ก การสบื สานการดาํ รงอยูของ ชมุ ชน การสง ผานสมาชิกของสังคมตามท่ีสังคมคาดหวัง และการเสรมิ สรางความมั่นคงเป็นปึกแผนของประเทศชาติ 1.2 ความหมายของครอบครวั ศึกษา ครอบครวั เป็นสถาบันพื้นฐานของสงั คมทม่ี บี ทบาทสําคัญในการสรา งเสริมคุณคาความเป็นมนุษยแ ตลอดจน ถายทอดคา นิยม เจตคติ อปุ นิสยั ใจคอและบคุ ลกิ ภาพของบุคคล ปใญหาสังคมสวนหน่ึงเกิดจาก การขาดประสิทธิภาพ และคุณภาพของการดําเนินชีวิตของบุคคลในครอบครัว หากครอบครัวมีพลังใน การสรางเสรมิ คณุ ภาพของคนอยาง เตม็ ทแี่ ลว อยา งแนนอนทช่ี มุ ชนและสงั คมโดยรวมกย็ อมเขมแขง็ และ มีความผาสุกม่ันคง ปใจจุบันความรูเก่ียวกับ ครอบครัวศึกษาหรือการศึกษาหาความรูและเรียนรูเร่ือง ครอบครัวมีความจําเป็นมากข้ึนเรื่อย ๆ เน่ืองจาก การเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นอยูตลอดเวลา และ ผลกระทบตอวิถีชีวิตครอบครัวที่ตองปรับตัวปรับเปลี่ยนไดเทาทันกับ การคงรักษาสมดุลของการดําเนิน ชีวิตครอบครวั อยา งปกตสิ ขุ ครอบครัวศึกษา (Family studies) หรือการศึกษาคนควาดานครอบครัว เป็นศาสตรแที่มุงทํา ความเขาใจกับ เรื่องราวชีวิตครอบครัวมนุษยแและมิติตาง ๆ ท่ีเช่ือมโยงเกี่ยวของกับครอบครัว ดวย กระบวนการศึกษาคนควาทาง วิทยาศาสตรแที่เป็นระบบมีระเบียบแบบแผน เพื่ออธิบายปรากฏการณแที่ เกิดข้ึนกับครอบครัว ท้ังในฐานะท่ีเป็นกลุม บุคคล (Social group) หรือหนวยยอยของสังคม “หนวย ครอบครัว” (Family unit) และในฐานะของสถาบนทาง สังคม (Social institution) หรือสถาบัน พ้ืนฐานทางสังคมทเ่ี ล็กท่สี ดุ “สถาบนั ครอบครวั ” (Family institution) จรรจา สุวรรณทัต และจิตตินันทแ เดชะคุปตแ (2554: 6) ระบุวา ครอบครัวศึกษา หมายถึง การ คนควาวิจัยดานครอบครัวของบุคคลในบริบททางสังคม-วัฒนธรรมไทยท่ีมีความสัมพันธแกับมิติตาง ๆ และปใจจัยแวดลอม อบตัวครอบครัวท่ีเกี่ยวของกับชีวิตความเป็นอยูและการดําเนินชีวิตตามวัฏจักรชีวิต ครอบครวั (Family life Cycle) ฉลาดชาย รมิตานนทแ (2542: 7) เสนอขอคิดและแนวทางการศึกษาครอบครัวไทยวา การศึกษา เรื่องครอบครัว นอกเหนือจากความหลากหลายในรูปแบบของครอบครัว ยังเช่ือมโยงกับกระบวนการ สรางอัตลักษณใแ นการทําหนาท่ี ของครอบครัว รวมถึงพลังอํานาจเชิงอุดมการณแของครอบครัวในเชิงคุณ คาท่คี รอบครวั หลอหลอมความดีงามของชวี ติ นักวิชาการตางเห็นพองกันวา การศึกษาคนควาดานครอบครัวมีความละเอียดลึกซึ่งซับซอนใน แงมุมตาง ๆ ท่ีหลากหลาย ท้ังในแนวความคิดทางวิชาการและมุมมองที่เก่ียวพันกับบริบททางสังคม- วัฒนธรรมท่ีแตกตางกันอาจ กลาวไดวา ครอบครัวศึกษาเป็นวิทยาการแขนงหน่ึงท่ีมีความเป็นพหุ
10 วชิ าการ (Multi-disciplinary Subject) ในการ ศึกษาคนควาเรื่องราวชีวิตครอบครัวของมนุษยแในระบบ นิเวศ โดยบรู ณาการการใชอ งคคแ วามรูจากศาสตรแหลากหลาย สาขาวิชา การศึกษาดานครอบครัวนี้ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรแและสังคมศาสตรแ เพื่อศึกษา คนควา วิจัยขอมูล ความรูเรื่องครอบครัว ผานการทําความเขาใจกับประเด็นครอบครัวท่ีศึกษา เครื่องมือ และวิธีการศึกษาครอบครัว ตลอดจน แหลงขอมูลและระบบสารสนเทศทางครอบครัวศึกษา โดยที่ การศึกษาเรือ่ งครอบครวั มคี วามละเอยี ดออนลกึ ซึง้ และ กวา งขวาง ครอบคลุมท้ังพฤติกรรมของบุคคลใน ครอบครวั และปฏิสัมพนั ธรแ ะหวางระบบครอบครวั กบั ระบบสังคมภายนอก สรุปไดวาการศึกษาคนควาเร่ืองครอบครัวมีความละเอียดออนลึกซ้ึงซับซอนและกวางขวาง ครอบคลุม ประเด็นครอบครัวในทุกๆ ดาน ท้ังในแงของระบบครอบครัวท่ีประกอบดวยโครงสรางและ หนา ที่ของสมาชิกครอบครวั รูปแบบพฤติกรรมและความสัมพันธแระหวางสมาชิกครอบครัว กระบวนการ จัดการทรัพยากรและการดํารงชีวิต ครอบครัว รวมถึงในแงของปฏิสัมพันธแระหวางระบบครอบครัวกับ ระบบสังคมภายนอกในระบบนิเวศของมนุษยแ ท้ังนี้ ประเด็นครอบครัวท่ีศึกษาจะเก่ียวของกับทุกเร่ือง ของครอบครวั เป็นหนวยการวิเคราะหหแ ลัก 1.3. ความสาํ คญั ของครอบครัวศึกษา การศึกษาคนควาทําความเขาใจกับครอบครัวศึกษามีความสําคัญอยางย่ิงตอการพัฒนาองคแ ความรูทางวิชาการ เกี่ยวกับชีวิตครอบครัวและการนําความรูดานครอบครัวไปใชในการชวยเหลือ ปรับปรงุ แกไ ข ฟื้นฟหู รอื พฒั นาคุณภาพ การดาํ เนินชวี ิตครอบครวั ใหด ีขน้ึ ได เนื่องจากความรูความเขาใจ เรือ่ งครอบครวั เปน็ ประเด็นละเอียดออนและเชอ่ื มโยง กบั การใชชวี ิตประจําวนั ของมนุษยแในทุกสังคม อีก ท้ังครอบครัวมีการเปล่ียนแปลงอยูตลอดเวลา (dynamics) มิได หยุดนิ่งอยูกับท่ี ครอบครัวศึกษาจึงมี ความสาํ คัญหลายประการ ดงั นี้ 1.3.1 ความสําคัญตอการสรางองคแความรูดานครอบครัวการศึกษาคนควาเรื่องของ ครอบครวั อยา งเป็นระบบ มีขัน้ ตอนอยางมรี ะเบยี บแบบแผน รวมถึงการใชหลัก วิธีการและกระบวนการ ทางวิทยาศาสตรแแ ละสังคมศาสตรแ ใน การพิสูจนแทดสอบทดลอง คนหาขอเท็จจริง ทําใหเกิดองคแความรู ดานครอบครัว บนพ้ืนฐานของหลักวิชาการท่ีสามารถ อางอิงไดและมีความนาเชื่อถือ ในการอธิบาย เรอ่ื งราวชีวติ ครอบครวั ในแงมมุ ตา ง ๆ ที่หลากหลาย เป็นการสะทอน ประเด็นตาง ๆ เกี่ยวกับครอบครัว ปใจจัยที่เก่ียวของ การเปล่ียนแปลงของครอบครัวและปรากฏการณแท่ีเกิดขึ้นกับ ครอบครัว การศึกษา ดา นครอบครัวนั้นกลาวไดวา เปน็ เรอ่ื งท่ีละเอียดออน ลึกซ้ึง ซับซอน และมีความเป็นพลวัตสง เน่ืองจาก ครอบครัวมีการเปลย่ี นแปลงอยูตลอดเวลาและมคี วามสัมพนั ธแกับบรบิ ทอน่ื ทอ่ี ยูแ วดลอ ม 1.3.2 ความสําคัญตอการเชื่อมโยงองคแความรูดานครอบครัวกับหลักวิชาการอ่ืน ครอบครัว ศึกษามีการบูรณาการ การศึกษาคนควารวมกับศาสตรแอื่น ๆ ท่ีเก่ียวของกับเรื่องราวของครอบครัว เน่ืองจากการดําเนินชีวิตครอบครัวเก่ียวของหลายมิติทางสังคม ไมวาจะเป็นดานเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา การสาธารณสุข การเมืองการปกครอง วัฒนธรรม เทคโนโลยีขอมูลขาวสาร และอื่น ๆ ทําให
11 เกดิ การเห็นคณุ คาของความหลากหลายและความเป็นเอก ในการเชื่อมโยงองคแความรูตาง ๆ ท่ีเก่ียวของ กบั เรือ่ งของครอบครัวทั้งในแนวกวางและแนวลึก เพ่อื เสรมิ สรางคา ความความเขาใจเก่ียวกับการดําเนิน ชวี ิตครอบครวั ใหดําเนนิ ไปไดอ ยา งราบร่ืนเปน็ สุข 1.3.3 ความสําคัญตอการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรูและการทํางานดานครอบครัว ความ เป็นปกึ แผนเขมแข็ง ของครอบครัวในสังคมถอื เป็นเปูาหมายสําคัญของการพัฒนาประเทศไปสูความสงบ สขุ อยา งย่งั ยนื การศกึ ษาคนควา เพ่ือคิดคนและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรูดานครอบครัวนับเป็นเร่ืองท่ี จําเป็นอยางยงิ่ เน่ืองจากปใจจุบันครอบครวั ตกอยูใตอ ทิ ธิพลของปใจจยั ท่หี ลากหลาย ทง้ั จากปจใ จัยภายใน และภายนอกครอบครวั สง ผลใหค รอบครวั จาตอ งเรียนรู ทีจ่ ะปรบั ตวั ใหเ ทาทันกับการเปลีย่ นแปลงหลาย อยางที่เขามาในชีวิตอยางหลีกเลี่ยงไมได นวัตกรรมการเรียนรูและ การทํางานดานครอบครัวเป็น การศึกษาเพอื่ คน หารปู แบบการเรียนรูและการทํางานกับครอบครัวดวยวิธีการใหม ๆ หรือเคร่ืองมือใหม ๆ เพ่ือการเปล่ยี นแปลงทางความคิด ทัศนคติ ทักษะการเรยี นรู หรอื พฤติกรรมที่นําไปสูการพัฒนา ความ อบอนุ เขม แข็งของครอบครวั 1.3.4 ความสําคัญตอการนําองคแความรูดานครอบครัวไปใชประโยชนแในทางปฏิบัติ ครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐาน ของสังคมท่ีมีบทบาทสําคัญในการสรางเสริมความเป็นมนุษยแ ตลอดจน สรางระบบคุณคา คานิยม เจตคติ อุปนิสัย และบุคลิกภาพของบุคคล ปใญหาสังคมสวนหน่ึงเกิดจากการ ขาดประสิทธิภาพและคุณภาพของการดําเนินชีวิตใน ครอบครัว ถาครอบครัวมีพลังในการสรางเสริม คุณภาพของคนอยางเต็มท่ีแลว ชุมชนและสังคมโดยสวนรวมก็จะ เขมแข็งและมีความผาสุก ขอมูล ความรูดานครอบครัวหรือครอบครัวศึกษาที่ไดผานกระบวนการศึกษาอยางถูกวิธียอม สามารถนําไป ประยุกตแใชใหเกิดประโยชนแในทางปฏิบัติได ท้ังในเรื่องของเคร่ืองมือทํางานกับครอบครัวหรือโปรแกรม การทํางานกับครอบครัวในรูปแบบตาง ๆ ทั้งการประเมินสถานการณแครอบครัว การปูองกันคุมครอง สวสั ดิภาพ ครอบครัว สงเสริมพัฒนาศกั ยภาพครอบครัว และชว ยเหลือแกไขปญใ หาครอบครัว จะเห็นไดวา ครอบครัวศึกษามีความสําคัญหลายประการในอันที่จะสรางองคแความรูดาน ครอบครวั เชอ่ื มโยง ไปสหู ลกั วชิ าการอนั ท่ีนําไปสูการพัฒนานวัตกรรมตาง ๆ และเก้ือหนุนประโยชนแตอ ครอบครัว 1.4 ขอบขายของครอบครัวศึกษา องคแความรูทางวิชาการเกี่ยวกับครอบครัวศึกษาครอบคลุมประเด็นความรูดานครอบครัวท่ี สําคัญ ๆ และ สามารถจัดอยูในขอบขายของครอบครัวศึกษา ซ่ึงมีรายละเอียดท่ีควรทําความเขาใจใน เบอ้ื งตน และจะมีการขยายความ มากข้ึนในหนว ยอ่ืน ๆ ไดแ ก 1.4.1 คณุ ลกั ษณะของครอบครัว (Family characteristics) ความเป็นครอบครวั เกิดข้ึนเมื่อ มีความสมั พนั ธแ ระหวางสมาชิกในครอบครัวและการปฏิสัมพันธแตามสถานภาพและบทบาทในครอบครัว โดยจะประกอบดวยลักษณะ ตางๆ ไดแก การมีจุดมุงหมายรวมกันหรือเปูาหมายชีวิตครอบครัวเดียวกัน
12 การกําหนดความเป็นผนู าํ และสถานภาพ การปฏบิ ัตติ ามบทบาทหนาท่ีหรือความรับผิดชอบในครอบครัว การใหค วามรวมมือระหวา งสมาชกิ ในครอบครัว และ การส่อื สารภายในครอบครวั 1.4.2 วงจรชีวิตครอบครัว (Family life cycle) การหมุนเปล่ียนของการดําเนินชีวิตบุคคล หรือสมาชกิ ใน ครอบครัวอยา งมีแบบแผนตามลาํ ดบั จนครบรอบ เรียกไดวา วงจรชีวิตครอบครัว โดยเริ่ม ต้ังแตการสรางครอบครัว ใหม จนกระทั่งมีการขยายตัวเพ่ิมข้ึนของสมาชิกครอบครัว และเขาสูชวงของ การแยกตัวของสมาชิกครอบครัวเม่ือเป็น ผูใหญ จนในท่ีสุดถึงบั้นปลายของการส้ินสุดวงจรชีวิต ครอบครัวเมือ่ คูสามีภรรยาแยกหรอื ตายจากกัน 1.4.3พัฒนาการครอบครัว (Family development) ลําดับข้ันของกระบวนการ เปลี่ยนแปลงตาง ๆ ท่ีเกิดขึ้นกับบุคคลหรือสมาชิกครอบครัวที่มาใชชีวิตรวมกัน ในการดําเนินชีวิต ครอบครัวตามระยะของวงจรชีวติ ครอบครวั ตงั้ แตเ ร่ิมสรางครอบครัวจนถงึ ครอบครวั สนิ สุดลงตามอายุขัย หรือการหยาราง โดยการเปล่ียนแปลงของครอบครัว จะเช่ือมโยงกับโครงสรางสมาชิกของครอบครัว พฒั นาการบุคคลตามวัย เหตกุ ารณแในชีวติ และการตอบสนองความ ตองการของสมาชิกครอบครวั 1.4.4 พฒั นกจิ ครอบครวั (Family developmental tasks) ภารกจิ หรือพัฒนกจิ ครอบครัว ตามวงจรชวี ติ ครอบครัว เป็นบทบาทท่ีสมาชกิ ครอบครวั มหี นาที่ในการประพฤตปิ ฏิบัติตอกัน เพื่อใหเกิด การพัฒนาพฤติกรรม ที่พึงประสงคแของสมาชิกแตละคนในครอบครัว ในแตละระยะของวงจรชีวิต ครอบครัว โดยเฉพาะเป็นไปเพ่ือตอบสนอง ความตองการของสมาชิกครอบครัวตามพัฒนาการของวัย และพัฒนาการของครอบครวั 1.4.5 คุณภาพชีวิตครอบครัว (Family life quality) สภาวะที่บุคคลหรือสมาชิกครอบครัว สามารถดํารงชวี ิต และดําเนนิ ชีวิตไดอยางราบรื่นมีความสุขและพ่ึงพาตนเองได เป็นสภาพครอบครัวที่พึง ประสงคแ ในคุณลักษณะ ท่ีเก่ียวของกับความอยูดีมีสุข ความรมเย็นเป็นสุข ความอบอุน ความผาสุก ความเขม แขง็ หรือแมกระท่งั ความมัน่ คง ของครอบครวั โดยมงุ เนนการท่ีสมาชิกครอบครัวมาดําเนินชีวิต รวมกัน0อยางมีจุดหมาย มีความสัมพันธแท่ีดีตอกัน เคารพและใหเกียรติซ่ึงกันและกัน มีการรวม รับผิดชอบในภาระหนาท่ีของครอบครัว โดยสามารถทําบทบาทหนาท่ี ไดอยางเหมาะสม และรักษา สถานภาพของการพ่ึงพาตนเองไดอยางตอเน่ือง สามารถปรับตัวทันตอการเปล่ียนแปลง ของสังคมได อยา งสรางสรรคแ และเป็นสวนหน่งึ ที่เกอื้ กลู สังคมอยา งมคี ุณธรรม สรุปไดวา ครอบครัวศึกษาเป็นการศึกษาคนควาเร่ืองราวเก่ียวกับครอบครัวตามหลักวิชาการ เฉพาะดาน อีกสาขาวิชาหนึ่ง ซ่ึงจําเป็นตองไดรับความสนใจและมีการเขาถึงความรูความเขาใจเรื่องน้ี อยางลกึ ซ่ึงเป็นระบบ เพ่อื ยัง ประโยชนแตอ สมาชกิ ครอบครัวและผูเ กีย่ วของหรือคนทํางานดานครอบครัว ใหมีความรคู วามเขาใจดา นครอบครัว ในอันท่ีจะพฒั นาสถาบันครอบครัวใหเจรญิ กาวหนา ตอ ๆ ไป
13 2. หลกั คิดและเป้าหมายของครอบครวั ศึกษา ครอบครัวศึกษามุงเนนการศึกษาครอบครัวท้ังระบบ ในทุก ๆ เร่ืองและทุกมิติท่ีเก่ียวของกับ ครอบครัวแล การดําเนินชีวิตครอบครัว รวมทั้งปใจจัยภายในและภายนอกครอบครัว โดยมองประเด็น ดานครอบครัวเป็นศูนยแกลาง ของการศึกษาคนควาเร่ืองราวของครอบครัว ซ่ึงมีความเกี่ยวพันกับความ เป็นครอบครัว รวมถึงความสนใจศึกษา ปฏิสัมพันธแระหวางครอบครัวกับมิติตาง ๆ ทางสังคมภายนอก ครอบครัว โดยเฉพาะภายใตสภาวะแวดลอมในระบบระบบ มนุษยนิเวศ ที่เป็นระบบใหญและมีอิทธิพล ตอการดํารงชีวิตของสมาชิกครอบครัว ท้ังทางกายภาพและทางสังคม วัฒนธรรม ทั้งนี้หลักคิดของ ครอบครัวศึกษาเป็นกรอบความเชื่อเกี่ยวกับครอบครัวและการทํางานกับครอบครัวท่ีสามารนําไปสูการ ปฏิบัตใิ หเกิดข้ึน ในขณะท่ีเปาู หมายของครอบครวั ศกึ ษามองเหน็ ผลลัพธแทคี่ าดหวังใหเกดิ ขนึ้ ครอบครวั 2.1 หลักคิดของครอบครวั ศกึ ษา ครอบครัวมิไดอยูโดดเด่ียวในสังคม หากแตมีความสัมพันธแและปฏิสัมพันธแท้ังกับสมาชิกท่ีอยู รวมกันใน ครอบครัวและกับสังคมภายนอกอยูตลอดเวลา อีกท้ังครอบครัวยังมีความเป็นพลวัต ไมหยุด น่ิงอยูกับท่ี แตกลับมี การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา ท้ังที่มาจากปใจจัยภายในครอบครัวเองหรือ ปใจจัยภายนอกที่เขามามีอิทธิพลตอการ ดําเนินชีวิตของครอบครัว เหลาน้ีลวนสงผลใหเกิดการ เปล่ียนแปลงชีวิตความเป็นอยูของครอบครัวไปในทิศทางใด ทิศทางหนึ่ง ครอบครัวศึกษามุงเนน กระบวนการเรียนรูเพื่อพัฒนาศักยภาพครอบครัว ใหสามารถทําหนาที่ตามบทบาท ของครอบครัว โดยรวมและตามบทบาทของสมาชกิ แตล ะคนในครอบครัวนั้น ๆ หลักคิดของครอบครัวศึกษาที่ สําคัญ ๆ มีดงั น้ี 2.1.1 การสรางความตระหนักถึงพลังที่ย่ิงใหญของครอบครัวครอบครัวเป็นสถาบันหลัก แกนกลางของสังคม ทีเ่ ป็นรากฐานสาํ คัญยง่ิ ตอการดํารงชีวิตของมนุษยแ แมวาครอบครัวจะมีหลากหลาย รูปแบบหลากหลายลักษณะ นอกเหนือจากครอบครัวท่ีสมบูรณแท้ังบิดามารดาและบุตร สมาชิกใน ครอบครัวรูจักรับผิดชอบและปฏิบัติหนาท่ีของตน รวมท้ังสามารถผนึกกําลังและมีความสัมพันธแที่ดี เป็น พลังสรางคนในครอบครัวใหมีความสุขและมีคุณภาพพลังของ ความรักความเขาใจท่ีมีตอกันระหวาง สมาชิกในครอบครัวถือเป็นพลังอันยิ่งใหญ ที่จะสามารถยึดโยงสายสัมพันธแ ความเป็นครอบครัวใหดํารง อยู ไมวาครอบครัวจะตองเผชิญกับเหตุการณแหรือสถานการณแในเรื่องใดหรือมีปใญหา อุปสรรคใดก็ตาม ดวยพละกําลงั ท่ีเหนียวแนน อบอนุ มนั คงในคุณคา ความเป็นครอบครัวของสมาชิกครอบครัว การตระหนัก ถึงความสําคัญของครอบครัวในฐานะหนวยยอยของสังคม รวมถึงการสนับสนุนความเป็นปึกแผนของ สถาบันครอบครวั ในสังคมและประเทศชาติ เหลา น้ีลว นสง เสริมใหเ กดิ ภมู ิคุมกันครอบครัวที่พรอมยอมรับ ปรับเปลี่ยน และยืนหยัดดวยความเขมแข็งได ในการสรางความตระหนักถึงพลังที่ยิ่งใหญของครอบครัว จําเปน็ ตองเขาถึง คุณลกั ษณะของความเปน็ ครอบครัว ดงั นี้ 1) การมีจุดมุงหมายรวมกัน (Common purpose) ไมวาจะเป็นสามี หรือภรรยา หรือลูก มีเปูาหมาย ชีวิตเหมือนกัน เป็นเปูาหมายเดียวกัน เชน ตองการสรางครอบครัวใหมีความสุข
14 ปราศจากอบายมขุ ทัง้ สามภี รรยาและ บุตรจะตองละเวน จากอบายมุขท้ังปวง ถาเชนน้ันครอบครัวก็จะมี ความสขุ 2) การแบงงานกันทําระหวางสมาชิกในครอบครัว (Specialization among members กันทําในบานหรือระหวางสมาชิกเป็นหนาท่ีความรับผิดชอบของการอยูรวมกัน อาจอาศัย ความถนัดเฉพาะ ดานความชอบความสนใจ เชน ภรรยาทํากับขาว สามีขับรถ ลูกชวยทําความสะอาด บาน เป็นตน 3) การกําหนดความเป็นผูนําและสถานภาพ (Leadership and status) ครอบครัวตองมีการกําหนดวา ใครเป็นผูนําครอบครัว ใครมีบทบาทและสถานภาพอยางไรในครอบครัว เชน ครอบครวั คนจีนจะเดน ชดั ในเรอ่ื งบทบาท และตาํ แหนงของสถานภาพระหวางลกู ชายและลกู สาว 4) การใหความรวมมือกัน (Cooperation) ครอบครัวตองมีการรวมมือกันในการ ทํามาหาเลี้ยงชีพ มีการสรางรายไดใหกับครอบครัว เชน สามี ภรรยา ชวยกันทํางานหารายไดใหกับ ครอบครัว สว นลูกชว ยงานบาน ขยนั เรียน เปน็ ตน 5) การส่ือสารภายในครอบครัว (Communication) ครอบครัวตองมีการพบปะ พดู คุยสอื่ ความ หมายความเขาใจและแสดงออกถึงอารมณแความรูสึกตอกัน โดยเฉพาะการอบรมส่ังสอน ลกู และการใหก าํ ลังใจ 2.1.2 การสนับสนุนครอบครัวใหทําหนาที่ตามบทบาทและศักยภาพท่ีมีอยู หนาท่ีหลักของ ครอบครัวคือ งาน ท่ีครอบครัวพึ่งปฏิบัติใหเกิดประโยชนแแกสมาชิกในครอบครัวและสังคมโดยรวม ใน สวนของหนาท่ีตอสมาชิกครอบครัว ก็เพ่ือใหสมาชิกแตละคนไดรับการตอบสนองความตองการข้ัน พนื้ ฐานในการดํารงชวี ิตอยา งพอเพยี ง โดยครอบครัว ทําหนาที่ดูแลปกปูองและพัฒนาสมาชิกตามวัย ท้ัง ในดานรางกายและจิตใจ สวนการทําหนาที่ตอสังคมเป็นการอบรม สั่งสอนระเบียบวินัยของสังคม สําหรับบทบาทจะหมายถึงการกระทําตามหนาท่ีที่กําหนดไว เน่ืองจากครอบครัวเป็น สถาบันแรกท่ีมี หนาที่และบทบาทในการอบรมสั่งสอนสมาชิก ใหรูจักคานิยมพื้นฐานทางวัฒนธรรม การพัฒนา บคุ ลิกภาพ ลกั ษณะนิสยั และการปรับตัวเขากับสังคม เพื่อเป็นสมาชิกของสังคมท่ีพึงประสงคแ และสราง จิตสาํ นึกท่ีดี ใหเกิดข้ึนกับสมาชิกใหมของสังคม ดังน้ัน ไมวาจะเป็นครอบครัวลักษณะใดก็ตาม ความสุข ภายในครอบครัวยอมเกิด ขึ้นไดอยางแนนอน หากสมาชิกทุกคนในครอบครัวทําหนาท่ีตามบทบาทและ ความรบั ผดิ ชอบของตน2 1) ความรับผิดชอบตอบทบาทและหนาที่ภายในครอบครัวสมาชิกทุกคนเม่ืออยูใน ครอบครัว จะมี สถานภาพที่ถูกกาํ หนดขนึ้ จากความสัมพันธรแ ะหวางกนั ในฐานะท่ีเป็นสามีภรรยา พอแม ลูก พี่นอง ปุูยาตายาย ลุงปูา นาอา และหลาน ซ่ึงสมาชิกแตละคนจําเป็นตองมีความรับผิดชอบตอ บทบาทหนาที่ท่ีพึงปฏิบัติตอกัน เพ่ือใหเกิดความ รมเย็นเป็นสุขในครอบครัว โดยทั่ว ๆ ไปก็มักจะเป็น บทบาทของสามีและภรรยา บทบาทของบิดามารดาตอบุตร บทบาท ของบุตรตอบิดามารดา และ บทบาทของครอบครัวตอ เครอื ญาติ
15 ทั้งน้ีครอบครัวมีหนาที่หลักในการอบรมเลี้ยงดูบุตรต้ังแตแรกเกิดจนกระท่ังเติบใหญ การเล้ียงดู จาก ท่ีอ่ืนแมทําไดก็ไมดีเทากับครอบครัว ครอบครัวจึงเป็นสถาบันที่สําคัญมากตอระบบการพัฒนาทาง รางกายและจิตใจ ของเด็ก ทําหนาท่ีหลอหลอมความเป็นมนุษยแดวยการอบรมเล้ียงดู ใหการเรียนรูแก เดก็ ใหม พี ัฒนาการรอบดาน ทง้ั ทางดานรา งกาย จติ ใจ สติปใญญา สังคม อารมณแ บุคลิกภาพที่เหมาะสม ตามวัย ครอบครัวจึงเป็นสถานท่ีที่เลี้ยงดูเด็ก ใหเป็นมนุษยแที่เจริญเติบโตสมบูรณแมีคุณภาพ ไมกอใหเกิด ปใญหาสังคม อีกท้ังยังใหการอบรมสั่งสอนแกเด็กใหรูจัก ระเบียบของสังคม ครอบครัวจึงเป็นแหลงการ อบรมเบ้อื งตนท่ีมอี ิทธพิ ลตอเดก็ มากทส่ี ุด เป็นสถาบันเตรียมตัวเด็กให ออกไปเผชิญกับสิ่งแวดลอม ชวย อบรมเด็กใหรูจักแบบแผนและกฎเกณฑแทางสังคม สอนใหเด็กปรับตัวเขากับ สิ่งแวดลอมในสังคม นอกเหนือจากการใหความรักความอบอนุ โดยเฉพาะในชวงชวี ิตปฐมวัย ครอบครัวเป็นแหลงให ความรัก ความคุมครองและความมั่นคงทางอารมณแ จิตใจแกเด็กปฐมวยั ในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตที่จะสะสม ไป จนเติบใหญ 2) ความรับผิดชอบตอบทบาทและหนาที่ภายนอกครอบครัวหรือสังคมสวนรวม บทบาทหนาที่ของ ครอบครัวตอสังคมภายนอก สามารถพิจารณาไดท้ัง 3 มิติ (ศรีสวาง ทั่ววงศแแพทยแ 2537) กลาวคอื ดานสังคม ครอบครัวเป็นสถาบนั พ้นื ฐานเกา แกท่ีสดุ บทบาทสาํ คัญในฐานะเปน็ สถาบันทางสังคม อีกประการหนง่ึ คอื การสั่งสมบมเพาะขดั เกลาเดก็ ใหม ีการเรียนรูเชิงสังคม เพ่ือปลูกฝใงใหเด็กเติบโตเป็น คนดี มีคุณธรรม ไมเบียดเบียนผูอ่ืน ไมละเมิดสิทธิผูอื่น มีจิตใจเอ้ืออาทร มีจิตสํานึกตอสังคมสวนรวม สามารถอยูรว มกบั ผูอื่นไดอ ยา งสันตสิ ุข ทั้งน้ีการทําตนเป็นแบบอยางท่ีดีของพอแมและสมาชิกผูใหญใน ครอบครัว ยอมเป็นการเรียนรู ที่ดีย่ิงสําหรับเด็ก โดยการซึมซับแบบแผนการดําเนินชีวิตไปทีละเล็กละ นอยอยางเปน็ ธรรมชาติ ดา นเศรษฐกิจ ครอบครัวเป็นเป็นทงั้ ผูผลติ และผูบริโภค ในฐานะเป็นผูผลิตไมวาจะอยูในฐานะ ผู เขแรงงาน ผูประกอบการ ผูล งทนุ ถาไมผานการขัดเกลาจากครอบครัว บมเพาะนิสัยใหรักการทํางาน มี ความซื่อสัตยแ ตอวิชาชีพ ตออาชีพของตน มีความคิดริเริ่มสรางสรรคแ มีวินัยในตนเอง ก็จะเป็นผูผลิตใน เชิงเศรษฐศาสตรแที่ไมมี คุณภาพ ในฐานะเป็นผูบริโภค ถาไดรับการอบรมขัดเกลาใหเป็นผูบริโภคที่มี คุณภาพ คือ รูทันกัน เลือกสรรบริโภค อยางมีประโยชนแอยางประหยัดและปลอดภัย ไมวาจะเป็นสินคา บริการ หรือส่ือมวลชนก็ตาม ยอมรูจักใชจายอยางมี เหตุผล รูจักประมาณตน รูจักพอ ใชอยางมี ภูมิคุมกัน การท่ีประชากรของสังคมไดรับการบมเพาะใหเป็นผูผลิตและ ผูบริโภคที่มีคุณภาพดังกลาว ยอมเป็นพนื้ ฐานเป็นพลงั ในการสรางเศรษฐกิจสวนรวมตอไป ดา นการเมืองการปกครอง ครอบครวั เปน็ หนว ยสงั คมพ้ืนฐานทบี่ มเพาะทกั ษะทางการเมืองใหเกิด ข้ึนในครอบครัวได ซ่ึงหมายถึงการอยูรวมกันอยางมีกติกา การมีบทบาทหนาที่รับผิดชอบของสมาชิกใน ครอบครัว มี ความเออ้ื อาทรตอ กัน ตัดสินใจรว มกนั รจู กั เจรจาประนปี ระนอมกันดว ยความรักความเขาใจ และเหตุผล มีความเคารพ ซึ่งกันและกัน มีการรูจักอภัยกัน ซ่ึงเป็นทักษะของการเมืองการปกครองใน
16 ระดับครอบครัว อันจะเป็นพื้นฐานของ วิถีชีวิตในครรลองประชาธิปไตยตอไปอยางดี หากสถาบัน ครอบครัวสามารถปฏิบัติภารกิจทั้ง 3 มิติหลักดังกลาวได อยางสมบูรณแ ครอบครัวนั้นก็จะมีภูมิคุมกัน มี ความมน่ั คงเขมแขง็ เป็นพลังหลกั ในการสรา งสนั ตสิ ขุ ในสังคม ในวงกวางออกไปได 2.1.3 การเกื้อหนุนแบบแผนและวัฒนธรรมของครอบครัว แตละครอบครัวจะมีวิถีการ ดําเนินชีวิตของสมาชิก หรือคนในครอบครัวที่แตกตางกัน ซึ่งขึ้นอยูกับวัฒนธรรมในครอบครัวน้ันๆ ซ่ึง เปน็ ขอตกลงรว มกนั ภายในครอบครัว วัฒนธรรมครอบครัวโดยทั่วไปจะยึดตามแบบแผนขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ส่ังสมสืบทอดกันมา เชน การใหความ เคารพนับถือญาติผูใหญหรือผูอาวุโสหรือผูที่มีอายุ มากกวา การเช่ือฟใงคําส่ังสอนของพอแม การชว ยเหลือเกอ้ื กลู ซ่งึ กนั และกัน การมีกิริยาวาจาสุภาพนอบ นอ มแบบไทย ๆ วัฒนธรรมไทยทด่ี งี ามเหลาน้ี ถือเป็นสวนหน่ึงที่ชวยขัดเกลา ความประพฤติของสมาชิก ครอบครัว เมื่อขอตกลงในครอบครัวเป็นสิ่งที่สมาชิกในครอบครัวตางตกลงรวมกันและ พรอมใจกัน ปฏบิ ัตติ าม จึงเกิดเปน็ แบบแผนและวัฒนธรรมเฉพาะทคี่ รอบครัวยดึ ถอื ปฏิบัติรวมกัน เชน บางครอบครัว จะตองกินอาหารเย็นรวมกันพรอมหนาพรอมตาสมาชิกครอบครัวทุกวัน โดยอาจกําหนดใหทุกคนตอง ตรงตอเวลา หรือบางครอบครวั มกี ารแบง งานกันทําระหวางสมาชิกครอบครัว โดยอาจกําหนดเป็นหนาท่ี ประจําตามความถนดั หรือ ความชอบของแตละคน เปน็ ตน ดังนั้นวัฒนธรรมของครอบครัวหรือขอตกลงรวมกันในแตละครอบครัวจึงมีความหลากหลาย แตกตางกันไป ตามคณุ ลักษณะเฉพาะทคี่ รอบครัวนั้นใหคุณคา ไมวาจะมาจากคานิยม ความเช่ือ คําสอน ทางศาสนา มุมมองหรือ ประสบการณแชีวิต แบบแผนการดําเนินชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีและ วัฒนธรรม บางครอบครัวใหความสําคัญกับ การพึ่งพาตนเองก็อาจสอนลูกหลานใหรูจักทํางานบาน รับผิดชอบในหนาท่ีของตนเอง รูจักชวยเหลือตนเองในเรื่อง ตาง ๆ ในขณะที่บางครอบครัวตามใจ ลูกหลานมากเป็นพิเศษ เมื่ออยากไดสิ่งใดก็จัดหามาให บางครอบครัวสมาชิกใน บานไมตองทํางานใน บานเลย เพราะมีคนรับใชคอยดูแลรับผิดชอบทําใหทุกอยางอยากไดอะไรก็บอกใหคนรับใชจัดหา มาให ลักษณะการดําเนินชีวิตในแตละครอบครัวเชนน้ี ไดหลอหลอมใหเด็กแตละคนมีลักษณะนิสัยและความ รับผิด ชอบท่ีแตกตางกัน แตเม่ือเด็กเติบโตขึ้นจึงมีตนทุนชีวิตที่สะสมเป็นแบบแผนการดําเนินชีวิต ครอบครวั ทีแ่ ตกตางกนั ไปดวย เดก็ ท่มี โี อกาสไดลงมือกระทําสิ่งตาง ๆ ดวยตนเองจะมีประสบการณแและ ทักษะในการใชชวี ิตและการตดั สนิ ใจ ในทางปฏบิ ัติท่ีชัดเจน 2.1.4 การเสริมพลังครอบครัวผานกิจกรรมและส่ือ การเสริมสรางพลังในครอบครัวเพื่อให สมาชิกครอบครัว อยูรวมกันอยางมีความสุข และพรอมรับการเปล่ียนแปลงหรือการเผชิญหนากับส่ิงทา ทายมากมายในอนาคตเปน็ สิง่ จาํ เปน็ เนอ่ื งจากครอบครัวเป็นแกนหลักสําคัญที่จะทําใหชุมชนหรือสังคม เขมแข็งม่ันคงอยางย่ังยืน การพัฒนาอํานาจ ในตนของสมาชิกครอบครัว เป็นสํานึกรูภายในตัวบุคคล เก่ยี วกับระบบคณุ คาและคุณธรรม ซ่ึงสามารถพฒั นาไปสพู ลัง (power) หรือความสามารถที่จะกระทําใน สิง่ ทีบ่ ุคคลน้ันตองการได ถือไดวา เป็นเรือ่ งจาํ เป็นในสังคมปจใ จบุ นั หลักสําคัญทค่ี วรคํานึงถงึ มีดังนี้
17 1) การแสวงหาความรดู วยตนเอง (Knowledge inquiry) การรูจักแสวงหาความรู ดวยตนเอง คือ ทักษะท่ีจะตองอาศัยการเรียนรูและวิธีการฝึกฝนจนเกิดความชํานาญ ชวยทําใหเกิด แนวความคดิ ความเขา ใจที่ถกู ตอง และกวา งขวางยงิ่ ข้นึ เพราะผแู สวงหาความรจู ะเกดิ ทักษะในการศึกษา คนควาส่ิงท่ีตองการและสนใจใครรูจากแหลง เรียนรูตางๆ ซ่ึงจะทําใหทราบขอเท็จจริงและสามารถ เปรียบเทียบขอเท็จจริงท่ีไดมาวาควรเชื่อถือหรือไม การแสวงหา ความรูดวยตนเองจะเกิดข้ึนไดตอง อาศัยการสงเสริมทักษะการสรางปใญญา แบงเป็น 10 ขั้นตอน ไดแก (1) ทักษะการ สังเกต (2) ทักษะ การบันทกึ (3) ทักษะการนําเสนอ (4) ทกั ษะการฟงใ (5) ทักษะการถาม (6) ทักษะการตั้งสมมติฐาน และ ต้ังคําถาม (7) ทักษะการคนหาคําตอบจากแหลงเรียนรูตาง ๆ (8) ทักษะการทําวิจัยสรางความรู (9) ทักษะการ เชื่อมโยงบูรณาการ และ (10) ทักษะการเขียนเรียบเรียง ทั้งนี้ การพัฒนาทักษะการแสวงหา ความรดู วยตนเองมักจะ อยูในรปู ของการปฏบิ ตั ติ ามลาํ ดับขัน้ ตอนอยางเป็นระบบ 2) การเรยี นรเู ชิงประสบการณแตรง (Active learning) การศึกษาคนควาจากแหลง ความรูทหี่ ลาก หลายนําการเรยี นรไู ปสูก ารเสริมสรางพลัง โดยอาศัยหลักเหตุและผลเชิงวิทยาศาสตรแ ไม วาจะเปน็ การทาํ งานของสมอง การทํางานของสรีระอื่น ๆ เพ่ือนําไปสูการพัฒนาตนไดโดยแทจริง และที่ สําคัญอีกประการหน่ึง คือ ความรูทาง จิตวิญญาณท่ีมาจากบทเรียนจากชีวิตจริง จากบทความ สารคดี หรือเกร็ดชีวิตของผูคนรอบตัว ลวนเป็น “บทเรียน แหงชีวิต” เขาทํานอง “ดูหนังดูละครแลวยอนดู ตัวเอง” การเรียนรูขอมูลจากทุกแหลงทุกที่สามารถนําไปเป็นสวนหน่ึง ของการพัฒนาพลังในผูนําได ทั้งสิ้น ปใจจุบันคานิยมของ “คนรุนใหม” จะมีชีวิตแบบ “ชีวิตแหงการเรียนรู” คือ ไมอยู น่ิง พรอมตอ การเรียนรูสิ่งใหม ๆ อยางใชเหตุใชผล และตองเรียนรูเชิงประสบการณแตรงที่มิใชเนนทองจํา หรือน่ังรับ ความรูจากการถายทอดของคนอื่นแหลงเดียว ตองศึกษาจากการปฏิบัติและจากหลาย ๆ แหลงความรู หากไมมี แหลงใดใหขอมูลที่นาเชื่อถือไดก็อาจเสาะแสวงหาคําตอบดวยตัวเอง โดยใชวิธีการแบบ วิทยาศาสตรแ เพ่ือใหไดคําตอบ ท่ีเป็นปใจจุบัน และบุคคลควรเรียนรูในแนวทางตามแบบฉบับของตน ซ่ึง บางท่ีอาจกาวเร็วหรือชาไมเทาผูอ่ืน แตก็มี โอกาสกาวไปไดทุกคนและควรกาวไปใหถึงท่ีสุดตาม สมรรถภาพของตน รวมทัง้ ควรตระหนกั อยตู ลอดเวลาวา ทกุ คน มชี ยั ชนะไดต ามหนทางของแตละคน 3) การคดิ ในทางบวก (Positive thinking) เปูาหมายของการเสริมสรางพลังใหกับ สมาชิกครอบครวั เริ่มตนทคี่ วามคิด โดยทั่วไปพฤตกิ รรมของมนษุ ยแมี 2 ประเภท คือ พฤติกรรมภายนอก และพฤติกรรมภายใน โดย พฤติกรรมภายใน อันไดแก ความคิดหรือจิตใจ ทําหนาท่ีเป็นตัวควบคุมการ กระทําหรือพฤติกรรมภายนอก ดังน้ัน ในการเสริมสรางพลังจะเก่ียวของกับการพัฒนาพฤติกรรมของ บุคคลจึงตองมุงพัฒนาการคิดในทางบวก เพ่ือใหเกิด การกระทําท่ีพึงปรารถนา ดังมีคํากลาวท่ีวา “จิต เป็นนาย กายเป็นบาว” หากจิตคิดดี คิดบวก ก็ยอมเกิดการกระทําท่ีดี ตามมา ในการปรับเปล่ียน พฤตกิ รรมใด ๆ รวมทง้ั พลงั ในตนเอง จงึ ตอ งมุงพัฒนาจิตและการคิดเป็นอันดับแรก เพราะ การคิดทําให เกิดความคดิ ซง่ึ เปรยี บเชนเมล็ดพันธุแที่ใหผ ลเปน็ คําพูดและการกระทาํ ตามคณุ ภาพของความคิดน้นั
18 4) การลงมือปฏิบัติดวยตนเอง (Self practice) การเรียนรูที่แทจริงคือ ความสามารถในการปฏิบัติ ไดจริงและเกิดการพัฒนาหรือการเปล่ียนแปลงที่ดีข้ึน การเรียนรูเร่ืองราว เกี่ยวกบั ตนเองของสมาชิกครอบครัวเพื่อการ พัฒนาตนน้ัน มิใชการเรียนรูเพ่ือความรู แตเป็นการเรียนรู ท่ีตองนําไปสูการลงมือปฏิบัติจึงจะเกิดประโยชนแ เม่ือรูบาง ส่ิงในวันน้ีก็นํามาปฏิบัติต้ังแตวันนี้ ก็จะเป็น การสะสมประสบการณแนน้ั ทีละเล็กละนอยจนรูไดวา เราคือใคร ควรเป็น อะไร ควรอยูที่ไหน คําตอบนั้น มีอยูในตัวเอง ถามองก็จะเห็น ถาคนหาก็จะพบ จึงไมจําเป็นตองรีรอตอการลงมือปฏิบัติ ไดทันทีจาก ศึกษาความรูในเร่ืองน้ัน คุณคาของความรูจึงอยูท่ีการนําความรูไปใชในทางปฏิบัติจริง โดยเฉพาะเม่ือมี การประยุกตแความรูเพื่อเพ่ิมพูนความสามารถหรือพัฒนาทักษะตาง ๆ ใหเชี่ยวชาญมากข้ึน การรูจัก กล่ันกรองเลือกสรร และปรับปรุงส่ิงท่ีเรียนรูใหเหมาะสมกับการนํามาใชกับตนเอง ไมวาความรูและ ประสบการณแการเสริมสรางพลังนั้นมา จากแหลงใด ตองมีการเลือกรับปรับเปล่ียนใหเหมาะสม โดยมี การใชเ หตุใชผ ลในการเลอื กเพือ่ นําไปสกู ารเขา ใจชีวติ และการปฏิบัตใิ หเหมาะสมตอ ไป 5) การปรับเปล่ียนพฤติกรรม (Behavioral adjustment) ผูนําหรือหัวหนา ครอบครัวจําเป็นตองศึกษา พฤติกรรมตนเองและสมาชิกในครอบครัวหรือผูเก่ียวของกับครอบครัว เพ่ือ การพัฒนาตนเองใหกาวไปขางหนาและ เปล่ียนแปลงไดตลอดเวลาตามสถานการณแแวดลอม ซึ่งถือเป็น กระบวนการของการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมของตวั เรา เองใหไ ปสูภ าวะท่ีดีกวาและเป็นท่ีตองการมากกวา ผูนําครอบครัวควรมีความไวตอการปรับพฤติกรรมตนเองจากการ เรียนรูจุดแข็งหรือความโดดเดน (Strength) และจุดออนหรือขอบกพรอง (Weakness) เพื่อการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมภายใน ไดแก ศรัทธา คานิยม ความเช่ือ ทัศนคติและมุมมองตาง ๆ ซึ่งสงผลตอการเปล่ียนแปลงอุปนิสัย ใจคอ (Character) ท่ีนําไปสูการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมภายนอกท่ีแสดงออกทางบุคลิกภาพ (Personality) การปรับ เปล่ียนพฤติกรรมใหเป็นไปในแนวทางท่ีตองการหรือพึงประสงคแ แบงไดเป็น 3 ลักษณะ ไดแก การเพ่มิ หรือคง พฤตกิ รรมเดมิ ทเี่ หมาะสมเอาไว การเสริมสรางพฤติกรรมใหม และการลดพฤติกรรมที่ไมพึง ปรารถนา ซงึ่ การปรบั เปล่ียนพฤตกิ รรมดังกลาวจะเกดิ ข้ึนไดในบรรยากาศของการทาํ งานที่ดี กลาวคือ มี การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นความรู ความสามารถของสมาชิกครอบครัวแตละคนไดรับรูรวมกัน มีความ เสียสละ การใหอภัยซึ่งกันและกัน มีความจริงใจ ตอกัน เม่ือสมาชิกครอบครัวตางมีความเขาใจและใช เหตผุ ลมากกวาอารมณแความรูสึก ก็ยอมทําใหทุกคนอยูรวมกัน อยางมีความสุข สงผลใหการปรับเปล่ียน พฤตกิ รรมเปน็ ไปอยางเปน็ ธรรมชาติ สรุปไดวา การเสริมสรางพลังในตัวผูนําครอบครัวและสมาชิกเพื่อครอบครัวอบอุนมีหลัก สําคัญที่ควรคํานึง ถึงหลายประการ เริ่มตนดวยการแสวงหาความรูดวยตนเอง การเรียนรูเชิง ประสบการณแ การคิดในทางบวก การลงมอื ปฏบิ ตั ิดวยตนเอง และการปรบั เปลี่ยนพฤติกรรม ซ่ึงหลักคิด ในการทํางานเหลานี้สามารถนํามาใชเ ปน็ กญุ แจไปสพู ลงั ความสาํ เร็จของชวี ติ ครอบครวั ได
19 2.1.5 การสงเสริมใหเกิดพื้นท่ีเรียนรูสําหรับครอบครัว พื้นที่สรางสรรคแเพื่อการเรียนรู สําหรับครอบครัวเด็ก ปฐมวัย (Family learning Center) เป็นพ้ืนท่ีที่มีองคแประกอบดานตางๆ เชน มี สถานท่ี ๆ ปลอดภัย มีกิจกรรมสนุก และเกิดประโยชนแกับเด็ก มีกิจกรรมใหความรูสําหรับผูใหญ รวมถึง การจัดกิจกรรมสําหรับการใชเวลารวมกันระหวาง สมาชิกครอบครัว โดยเฉพาะการท่ีครอบครัวไดมี โอกาสอยดู ว ยกนั ในวนั หยดุ เปน็ สิ่งทม่ี ีคาอยา งยิง่ เปน็ เวลาพรอม หนาสมาชิกครอบครัว หลายครอบครัว พยายามหากิจกรรมท่จี ะทํารวมกนั ในวนั วางหรือวันหยุด เชน การปลูกตนไม ทําอาหาร ชวยกันทําความ สะอาดบาน หรือจัดบานใหนาอยู เป็นตน ซึ่งเป็นเร่ืองท่ีนารักและยังสรางความอบอุนความ รักใครกัน ภายในครอบครวั ความหลากหลายของการใชชีวิตระหวา งสมาชิกครอบครัวนี้เอง ทําใหเด็กปฐมวัยไดรับ ประสบการณแการเรียนรูจากหลายวิธีท่ีแตกตางกัน ซึ่งเด็กจะสามารถนําประสบการณแ ทัศนคติ ความ คาดหวัง ความรู และทักษะตาง ๆ ที่มีความหลากหลายนี้มาใชในการเรียนรูอยางผสมผสาน การเรียนรู ของเด็กปฐมวัยเป็นการเรียนรู ท่ีมีลักษณะองคแรวม บนพื้นฐานของการเลน เป็นผลใหเด็กเชื่อมโยง ระหวางประสบการณเแ กาและการเรียนรูใหม และพัฒนาแนวความคิดตอสิ่งรอบตัวผานความสัมพันธแกับ ส่ิงตางๆ เหลาน้ัน ทั้งนี้พื้นท่ีเรียนรูสําหรับครอบครัวเด็กปฐมวัย ควรคํานึงถึงสภาพแวดลอมท่ีสนับสนุน การเรยี นรขู องเด็กและครอบครัว โดยเป็นพื้นที่ยืดหยุนท่ีจะตอบสนองกับความ สนใจและความตองการ ของเด็กและครอบครัวเพ่ือรองรับความสามารถในการเรียนรูและรูปแบบการเรียนรูท่ีแตกตาง กันไป โดยเฉพาะเปิดโอกาสใหเด็กและครอบครัวมีสวนรวมแสดงความคิดเห็น ความสนใจและการซักถามตาง ๆ นอกจากน้ี ยงั จาํ เป็นตอ งพิจารณาวถิ ีทางวฒั นธรรมของครอบครัวที่หลากหลาย เด็กเมื่อเกิดมาจะเป็น สวนหนึ่งของ วัฒนธรรม ซึ่งไมเพียงแตจะไดรับอิทธิพลจากการปฏิบัติแบบด้ังเดิม ตามประเพณี มรดก และความรูของบรรพบุรุษ แลว ยังไดรับอิทธิพลจากประสบการณแ คานิยม และความเช่ือของบุคคลใน ครอบครวั และชมุ ชนของแตละที่อีกดวย การใหความเคารพตอความหลากหลายจึงหมายถึง การท่ีจะให ความสําคัญและสะทอ นใหเ หน็ ถึงการปฏบิ ัติ คา นยิ ม และความเช่ือของครอบครัว เพื่อใหการยกยองเชิด ชูตอ ประวัตศิ าสตรแ วฒั นธรรม ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี วิธกี ารอบรมเล้ียงดูเดก็ และทางเลอื กการ ดําเนินชีวิตของครอบครัว เป็นการใหความสําคัญตอความสามารถของเด็ก ท่ีแตกตางกัน และใหความ เคารพตอความแตกตางในชวี ิตครอบครวั ทีบ่ านของเดก็ อีกดว ย 1) พื้นท่ีเรียนรูสําหรับครอบครัวในรูปของกิจกรรม เป็นการจัดกิจกรรมลักษณะ ตาง ๆ เพื่อพัฒนา ความเขมแข็งอบอุนของครอบครัวและเครือขายครอบครัว เพื่อเสริมสรางการมีสวน รวมของครอบครัวและชุมชนให เกิดพื้นที่เรียนรูและภาคีเรียนรูครอบครัวรวมกัน ก็เป็นเรื่องสําคัญ เชน กิจกรรมเสริมสรางความรวมมือในการเลี้ยงดู เด็กรวมกัน เพื่อสรางความรูความเขาใจในการสงเสริม พัฒนาการและเตรียมความพรอมแกเด็กเพ่ือใหเป็นไปในทิศทาง เดียวกัน กิจกรรมแลกเปล่ียนเรียนรู รวมกัน เพ่ือสนับสนุนใหครอบครัวใชเวลาและโอกาสในการทํากิจกรรมรวมกัน อยางสรางสรรคแ อันจะ นําไปสูความรัก ความอบอนุ ใกลชดิ กัน และเป็นการเสริมสรางพัฒนาการใหแกเด็ก กิจกรรม สรางแหลง เรียนรูสาํ หรับครอบครวั โดยจัดหาและใหบ ริการยืมหนังสือและสื่อตาง ๆ ท่ีเป็นความรูสําหรับครอบครัว
20 ในการเล้ียงดูเด็ก เชน หนังสือนิทาน อุปกรณแของเลนเด็ก เพ่ือสนับสนุนใหศูนยแพัฒนาเด็กเล็กเป็นพื้นที่ การเรียนรู สาํ หรับครอบครัวและชุมชน เปน็ ตน 2 )พื้นท่ีเรียนรูสําหรับครอบครัวในรูปของแหลงเรียนรู เป็นการเขาถึงและใช ประโยชนแจากแหลง เรยี นรทู ่ีเปน็ แหลงขอมูลขาวสาร สารสนเทศ และประสบการณแท่ีครอบครัวสามารถ แสวงหาความรู และเรียนรูดวย ตนเอง เพ่ือเสริมสรางใหสมาชิกครอบครัวเกิดกระบวนการเรียนรูและ พัฒนาวิถีการเรียนรูในเร่ืองของความรูเกี่ยวกับ ตนเองครอบครัวและชุมชน ความรูเกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปใญญาไทยและภูมิปใญญาทองถ่ิน ความรูเก่ียวกับการใชประโยชนแจาก ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมอยางสมดุลและยั่งยืน ความรูเก่ียวกับการใช เทคโนโลยีขอมูล ขาวสารและการตดิ ตอ ส่ือสารผา นระบบเครอื ขายอินเทอรเแ นต็ ครอบครัวควรใชแหลงการเรยี นรใู กลต ัว ท่ี มอี ยใู นทองถ่นิ เปน็ สาํ คัญ และเชอ่ื มโยงกับสังคมโลกปใจจุบันท่ีเป็นสังคมแหงการเรียนรูท่ีไรพรมแดนผาน เทคโนโลยี สารสนเทศและชองทางการส่ือสารในรูปแบบตาง ๆ เพ่ือพรอมรับการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น อยา งรวดเร็วในสงั คม สมัยใหม สรุปไดวา หลักคิดที่สําคัญ ๆ ของครอบครัวศึกษาครอบคลุม การสรางความตระหนักถึงพลังที่ ย่งิ ใหญข อง ครอบครวั การสนบั สนุนครอบครวั ใหท าํ หนา ที่ตามบทบาทและศักยภาพท่มี ีอยู การเกื้อหนุน แบบแผนและวัฒนธรรม ของครอบครวั การเสริมพลังครอบครัวผานกิจกรรมและสื่อ รวมถึงการสงเสริม ใหเ กดิ พนื้ ทเ่ี รยี นรทู ส่ี รา งสรรคแสาํ หรับ ครอบครัว 2.2 เปาู หมายของครอบครวั ศึกษา เปาู หมายหลกั ของครอบครัวศกึ ษามุง เนน การเสรมิ สรา งคุณภาพครอบครัวใหอบอุนเขมแข็ง และมั่นคง ผาน องคแความรูและกระบวนการเรียนรู ที่นําไปสูการเปลี่ยนแปลงครอบครัวในระดับ ครัวเรือนไปจนถึงการเปล่ียนแปลง ครอบครัวในระดับประเทศ โดยมีเปูาหมายสําคัญ ๆ หลายประการ ดงั นี้ 2.2.1 เพื่อพัฒนาองคแความรูดานครอบครัวและเสริมสรางความรูความเขาใจท่ีถูกตอง เกี่ยวกับครอบครัว ครอบครัวศึกษาถือเป็นความรูเฉพาะเรื่องสําหรับครอบครัวและผูเก่ียวของกับ ครอบครัว โดยเฉพาะสมาชิกใน ครอบครัวรวมถึงคนทํางานดานครอบครัว ซ่ึงทุกฝุายที่เก่ียวของ จําเป็นตองมีความรูความเขาใจในความหลากมิติและ หลายมุมมองของความเป็นครอบครัว ทั้งในเร่ือง พน้ื ฐานความคิดเก่ียวกับครอบครัว การติดตามสถานการณแครอบครัว และแนวโนมในอนาคต ตลอดจน การทําความเขาใจกับพัฒนาการของบุคคลวัยตางๆ (เขาใจคน) เชื่อมโยงกับมิติของหญิง-ชายและวงจร ชวี ิตครอบครัว โดยมจี ุดเรม่ิ ตนของการสรางครอบครัว (เขา ใจคน) ทเ่ี ก่ียวพันกับสัมพันธภาพ *กรอบครัว ตามระยะตางๆ ของวงจรชีวิตครอบครัว (เขาใจครอบครัว) รวมทั้งจําเป็นตองมีความรูความเขาใจของ การประเมนิ ครอบครัว การชวยเหลือครอบครัว และการเสริมพลังครอบครัว เพื่อท่ีจะสามารถนําความรู มาใชป ระโยชนแในการดาํ เนนิ ชีวติ ครอบครัวตามความตองการของครอบครัวท่ีแตกตางกนั
21 2.2.2 เพ่ือพัฒนาทักษะและเคร่ืองมือในการทํางานดานครอบครัวการนําองคแความรูทาง ครอบครัวศึกษาไปใช พอทาความเขาใจกับการดําเนินชีวิตครอบครัวหรือทํางานกับครอบครัวไดอยางมี ประสิทธภิ าพ ยังจาํ เปน็ ตองอาศยั การพฒั นาทกั ษะและเครอ่ื งมือทจ่ี ําเปน็ ตอ การทํางานกบั ครอบครัว ไม วาจะเป็นเรื่องของการประเมินครอบครัว การ ชวยเหลือครอบครัว การพัฒนาครอบครัว การเสริมพลัง ครอบครวั การสรางเครือขา ยครอบครัว โดยคน หากิจกรรม กระบวนการ วิธีการและเคร่ืองมือสําคัญตาง ๆ ผานการจัดกระบวนการเรียนรูอยางมีสวนรว มในรปู แบบตา ง ๆ เพ่ือ ใหเขาถึงการทํางานกับครอบครัว และชุมชนในพื้นที่ตาง ๆ ทั้งระดับชุมชนและระดับจังหวัด ตัวอยางเชน เคร่ืองมือที่ ทําใหเกิด กระบวนการสรางครอบครัวเขมแข็ง ประกอบดวย (1) การนําคนมาแบงปในประสบการณแซ่ึงกันและกัน ภาย ใตการเคารพประสบการณแกันและกัน นอกจากจะเกิดการเรียนรูแลวยังสงผลใหจุดประกาย ความคดิ มีความคิดและ มุมมองใหม ๆ ดวย (2) การมีคนกลาง ท่ีเอ้ือใหการสนทนารวมกันที่ดี (3) องคแ ความรู ทอี่ าจจะเจาะจงลงไปในแตละ ประเด็น เชน ครอบครัวท่ีมีลูกพิการ เป็นตน (4) เครือขาย ซ่ึงทํา ใหการทาํ งานเรอ่ื งครอบครัวทําไดงายขึ้น และ (5) กจิ กรรม เพราะการใหคนเรียนรจู ากอารมณคแ วามรูสึก ยอ มทาํ ใหเ กิดแรงบันดาลใจและซมึ ลกึ เขา สจู ิตใจไดม ากกวา การเรยี นรจู ากขอ มลู เปน็ ตน 2.2.3 เพ่ือเสริมสรางพลังใจที่มุงมั่นเขมแข็งและมีปิติสุขในการทํางานครอบครัว ครอบครัว ศึกษามุงสงเสริม การเรียนรูเพ่ือพัฒนาวิธีคิดและจิตใจของคนทํางานดานครอบครัว เริ่มต้ังแตฐานคติ (ฐานคิดและจิตใจ) ที่คนทํางาน ครอบครัวจําเป็นตองมี เพ่ือสรางความแข็งแกรงของหลักคิดการทํางาน ดา นครอบครวั อาทิ การสรา งครอบครัวมี พน้ื ฐานมาจากความรกั ครอบครัวมีสายใยเช่ือมโยงกันและกัน หรอื ครอบครัวมศี กั ยภาพในการแกปใญหาทด่ี ีท่สี ดุ ของ เกือบทุกเร่ือง ดงั น้ัน การทาํ งานครอบครัวตองเร่ิม จากการทําความรูจักกับส่ิงดี ๆ ในครอบครัวกอน สวนอื่นเป็น องคแประกอบท่ีเขามารวม ซึ่งส่ิงเหลาน้ี ลวนมีอยูโดยธรรมชาติในครอบครัว อยูท่ีวาแตละครอบครัวจะนํามาใชอยางไร ใหเกิดประโยชนแสูงสุด นอกจากน้ี มมุ มองในการทาํ งานกบั ครอบครัวตามสภาพจริง โดยทาํ ใหแตละครอบครัวยอมรับ ความจริง เพราะทุกครอบครัวลวนมีปใญหาท่ีตองเขาใจและยอมรับไดกอน โดยตองยอมรับแบบไมตอตานและ ปกปิด เมื่อยอมรับความจริงได จะทําใหมนุษยแคิดไดและมีความคิดและพลังเชิงบวก การทํางานในการ ชวยเหลือครอบครัว ก็จะเกิดขึ้นได หากคนทํางานครอบครัวมองแตในแงลบ ครอบครัวจะไมสามารถ พัฒนาหรือแกปใญหาได สวน หลักธรรมยึดเหนี่ยวจิตใจของคนทํางานจะเช่ือมโยงกับการตระหนักถึง คุณคาในตนเอง คุณธรรมการใหคุณประโยชนแ จิตอาสา การหลอเล้ียงจิตใจดวยการคิดในเชิงบวก การ เรียนรูพลงั ทางจิตวิญญาณ การทาํ งานครอบครวั ดว ยหวั ใจท่ี ปีติสุข รวมทั้งการนํากระบวนการพัฒนาจิต และจิตวิญญาณมาใชในการพัฒนาครอบครัว 2.2.4 เพื่อสรางแกนนําครอบครัวและเครือขายการทํางานครอบครัว การทําความเขาใจ อยางลึกซ่ึงตอหลักคิด การพัฒนาครอบครัว การมีความรูและขอมูลขาวสารที่หลากหลายเป็นส่ิงจําเป็น สําหรับคนทํางานดานครอบครัว เพ่ือ นําไปสูการเป็นแกนผลักดันการสรางเวทีหรือกิจกรรมการเรียนรู ของครอบครวั ในชุมชนตอ ๆ ไป การสรางเวทพี ฒั นาความรูค วามเขาใจของครอบครัวหรือพอแมกลุมตาง
22 ๆ ในพ้ืนที่ชุมชนหรือจังหวัด เชน ในพื้นท่ีเทศบาล อบต. โรงเรียน หรือกลุมองคแกรสังคมตาง ๆ เป็นตน นับวันจะมีความจําเป็นและความสําคัญมากขึ้นทุกขณะ การสรางแกนนํา ครอบครัวหรือบุคคลท่ีมีจิต อาสาทาํ งานดานครอบครัวในพน้ื ทต่ี า ง ๆ ดว ยกระบวนการเรียนรแู บบมีสวนรวมจึงจําเป็น เชนกัน ซึ่งจะ ทําใหเกิดเวทีรวมคิด รวมมองปใญหา รวมหาทางแกไข อันนําไปสูการสรางและพัฒนาเครือขายการ ทํางาน ครอบครัวในชุมชน ทําใหเกิดการเรียนรูและนําไปสูการวางแผนพัฒนาครอบครัวในชุมชนน้ัน เพื่อไปสูการปฏิบัติตาม แผนและสงผลใหครอบครัวไดรับการพัฒนาหรือการชวยเหลือ ครอบครัวได แลกเปลี่ยนประสบการณแและสื่อสารขอมูล อันเป็นประโยชนแตอกันและกัน โดยผานกลไกและสื่อใน ลกั ษณะตา ง ๆ เชือ่ มโยงกับแนวทางการดาํ เนินงานครอบครัว ของหนวยงานภาครัฐ 2.2.5 เพื่อสงเสริมคุณลักษณะที่พึงประสงคแของครอบครัว เปูาหมายสําคัญของการมีชีวิต ครอบครัวที่ดีหรือ เป็นครอบครัวคุณภาพก็คือ การทําใหสมาชิกครอบครัวสามารถ “อยูรวมกันไดอยาง สมดุลและมีความสุข” กลาวคือ ระบบยอยภายในครอบครัวมีการดําเนินชีวิตในลักษณะพรอมรับการ เปล่ียนแปลงและมคี วามสามารถปรบั ตวั ไดเสมอ มมี มุ มองตอสถานการณตแ า ง ๆ ในเชิงบวก มีความสุขใน ชีวิต ไมรูสึกหนักหนวงในการดําเนินชีวิตอยางเกินพอดี จน ตองเบียดเบียนผูอื่นหรือเบียดเบียน ส่ิงแวดลอ ม การอยรู วมกันของสมาชกิ ครอบครัวจึงควรยึดหลักพออยูพอกินพอใช มีความประหยัด ขยัน อดออม ยึดถือการประกอบอาชพี ดว ยความถูกตองและสุจริต สวนใหญครอบครัวทั่ว ๆ ไปที่ ดําเนินชีวิต ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และรูจักสํารวจตรวจสอบตนเองอยูเสมอ จนสามารถนําความรูความ เขาใจ ท่ีไดรับอยางลึกซึ้งมาใชกับการดําเนินชีวิตประจําวันและการประกอบอาชีพ จะสามารถปรับวิถี ครอบครัวไปสูการพัฒนา ตนเองท่ีย่ังยืนในอนาคตได ครอบครัวท่ีดําเนินชีวิตบนพ้ืนฐานของการนําหลัก เศรษฐกจิ พอเพียงมาปฏิบัตใิ ชน ั้น ข้ึน แรกตอ งยึดหลัก “พึ่งตนเอง” คือ พยายามพ่ึงตนเองใหไดกอน ใน แตละครอบครัวจึงตองมีการบริหารจัดการอยาง พอดี ใชจายเงินประหยัดไมฟุมเฟือย เพื่อใหสมาชิก ครอบครัวแตละคนรูจักประมาณตนเองและมีเหตุผล สิ่งเหลาน้ี สามารถปลูกฝใงไดตั้งแตปฐมวัยใหเด็ก เรียนรูและซึมซับแบบอยางการดําเนินชีวิตท่ีใชคุณธรรมควบคูไปกับความรู เป็นชีวิตท่ีเรียบงายและมี วินยั ในตนเอง กลาวไดวา ครอบครัวศึกษามีเปูาหมายหลักที่มุงเนนการเสริมสรางคุณภาพครอบครัวให อบอนุ เขม แข็งและ ม่นั คง โดยมุงเนนการเขาใจสภาพของครอบครัวในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม การเขาใจถงึ การสรางครอบครัว อบอนุ เขมแขง็ ใหพ ่ึงตนเองและรเู ทาทันโลกทเ่ี ปล่ียนแปลงไป การเขาใจ ถึงความสัมพันธแระหวางสามีภรรยา อันเป็น แกนกลางของความสัมพันธแในครอบครัว การเขาใจถึงหลัก คิดและจิตวิทยาการพัฒนาเด็ก การสังเคราะหแความรู ในการใชภูมิปใญญา การสรางการเรียนรูของ ครอบครวั แบบไทยในบริบทโลกาภิวตั นแ เพ่ือนาํ ไปใชข ยายผลในชมุ ชน อ่ืน ๆ ตอ ไปได
23 3. ความหมายและความสาคญั ของการพัฒนาเด็กปฐมวยั วยั แรกเริม่ ของชวี ติ หรอื ในชวงชีวติ ปฐมวัย (Early years) ถือเป็นวัยท่ีเด็กมีการเจริญเติบโตอยาง รวดเรว็ ท้ังทางรา งกาย อารมณแ-จติ ใจ สังคม สตปิ ญใ ญาและอปุ นิสัย ถาพอแมตองการใหเด็กเป็นเด็กดี ก็ ตองปลูกฝงใ อุปนิสยั หรอื สง เสริมการเรยี นรูกนั ตง้ั แตเดก็ ยงั เล็กจนอายุประมาณ 6 ปี พอ แมแ ละสมาชกิ ใน ครอบครัวจึงเป็นบุคคลสําคัญ ยิ่งในการกําหนดทิศทางการพัฒนาของเด็กปฐมวัย นอกจากการอบรมส่ัง สอนสิ่งที่ดีและการเป็นตัวอยางที่ดีแกเด็ก แลว สิ่งที่พอแมมักมองขามคือ ทาทีของพอแมที่แสดงตอเด็ก ซ่ึงเป็นประสบการณแตรงที่เด็ก ๆ ไดรับ ไมวาจะเป็น ประสบการณแทางบวกหรือลบ วัยแรกเร่ิมของชีวิต เป็นวัยท่ีละเอียดออน จําเป็นท่ีพอแมและผูเก่ียวของทุกฝุายจําเป็น ตองเรียนรูและใหความสนใจเด็กใน ระยะน้ีมากเปน็ พเิ ศษ 3.1 ความหมายและความสาํ คัญของเด็กปฐมวัย เดก็ ปฐมวยั เปน็ วัยเร่มิ ตน ของชีวิตและพฒั นาการทกุ ดาน เดก็ ในวยั นจ้ี ึงมคี วามสาํ คัญอยา งยิง่ กับผู มีสวน เก่ียวของ ไมวาจะเป็นพอแม ผูดูแลเด็ก หรือครู จะตองดูแลใหการอบรมเล้ียงดูอยางใกลชิด มี ความเขาใจพฒั นาการ และความตอ งการของเด็ก เปน็ แบบอยางทด่ี ี เดก็ กจ็ ะเกิดการเรียนรูและซึมซับส่ิง ดีดีในชวี ติ เมอื่ เตบิ โตก็จะเป็นผูใหญ ท่ีมีคุณภาพอยูในสังคมอยางมีความสุข และมีบทบาทในการพัฒนา ประเทศชาตไิ ด 3.1.1 ความหมายและการแบงวัยของเด็กปฐมวัย นักวิชาการและนักการศึกษาใน ตางประเทศและประเทศไทย ไดร ะบนุ ิยามและการจัดกลมุ ชว งอายุเด็กปฐมวัยไว ดงั นี้ “เดก็ ปฐมวัย” (Early Childhood) ตามความหมายในแนวปฏิบัติสําหรับปฐมวัยศึกษาของ สมาคมแหง ชาติ วาดวยการศึกษาสําหรับเด็กเล็ก (The National Association for the Education of Young Children's Early Childhood Education Guidelines) ระบุไววา เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กท่ี มีอายตุ ้งั แตแ รกเกิดจนถงึ 8 ปี (Seefeldt & Barbour, 1986: Preface) สวน มาสโซเกล่ีย (Massoglia, 1977: 3) กลาววา เด็กปฐมวัย เป็นคําที่ใชเรียกเด็กท่ีมีอายุ ตั้งแตป ฏิสนธิ จนถึง 6 ปี ซึง่ อยใู นวยั ทคี่ ณุ ภาพของชวี ิทง้ั ดานรางกาย อารมณแ สังคม และสตปิ ญใ ญากาํ ลัง เร่ิมตน พัฒนาอยา งเต็มท่ี เด็กปฐมวัย คือ วัยต้ังแตอายุ 2 ปี ถึงอายุ 8 ปี และเรียนอยูในระดับช้ันอนุบาล หรือเรียน กอ นเกณฑแบังคับ ยังครอบคลุมถึงเด็กชั้นประถมศึกษาปีท่ีหน่ึงและชั้นประถมศึกษาปีท่ีสอง (หรรษา นิล วิเชยี ร 2534: 1, 51) เด็กปฐมวยั หมายถึง เดก็ ทีม่ อี ายอุ ยูในชว งกอ นวัยเรยี น คอื 0 ถงึ 5 ปี เป็นวัยที่มีพัฒนาการ อยางรวดเร็ว จึงเป็นพื้นฐานสําคัญในการพัฒนาไปสูวัยผูใหญ เพราะการพัฒนาที่ดีและเหมาะสม ยอม นาํ ไปสูก ารพฒั นาในข้ันสูง ตอ ไป (ชไมมน ศรสี ุรักษแ 2545: 36) เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กที่มีอายุต้ังแตแรกเกิดถึง 8 ปี กลาวไดวา เป็นชวงระยะท่ีสําคัญ ท่ีสุดของพัฒนาการ ทุกดาน ท้ังทางรางกาย สติปใญญา อารมณแ จิตใจ สังคม และบุคลิกภาพ เม่ือ
24 พจิ ารณาตามธรรมชาติ ความตองการ การเจริญเติบโตและการเรียนรู สามารถจัดแบงเด็กปฐมวัยไดเป็น 4 ชว งวยั (สิรมิ า ภญิ โญอนันตพงษแ 2550: 2-3) ไดแ ก 1) วัยทารก (Baby) หมายถึง เด็กทมี่ ีอายตุ งั้ แตแรกเกิดถึง 2 ปี โดยเด็กทีม่ ีชวงอายุ หนง่ึ เดอื นแรก มกั เรยี กวา เด็กแรกเกิด (Neonate) 2) วยั เตาะแตะ หรือวัยเด็กเล็ก (Infant or Toddle) หมายถงึ เด็กท่มี ีชวงอายุคาบ เกี่ยว 1 ถึง 3 ปี ตาม พัฒนาการแลวเด็กจะเร่ิมหัดเดินเม่ืออายุประมาณ 1 ขวบ ลักษณะการเริ่มหัดเดิน เด็กจะเดินไมมั่นคง จึงเรียกเด็กที่ เพ่ิงหัดเดินวาเป็น เด็กวัยเตาะแตะ (Infant) คร้ันเติบโตข้ึนอายุ ประมาณ 1 ขวบครึ่ง 2 ขวบ จนถึง 3 ขวบ เด็กมี พัฒนาการทางดานรางกาย สามารถเดินไดดวยตนเอง ไมตอ งเอามอื ไปจบั โตะ฿ เกา อี้ หรือผนงั กําแพงในการเดนิ ผใู หญ ไมต องชว ยเหลือ เป็นวัยท่ีมีความเป็นตัว ของตัวเอง ชวงวัยน้ียังเรียกวา เด็กวัยเตาะแตะ หรือเด็กเล็ก (Toddle) ซึ่งมีพัฒนาการทางดานรางกาย เจรญิ ขึ้น กลามเน้ือใหญต าง ๆ แขง็ แรงขึน้ ชอบฝึกฝน ชว ยเหลอื ตนเอง เปน็ ระยะที่ เด็กเริ่มมคี วามอสิ ระ ทั้งทางดานรางกายและสังคม ชอบเดินไปเดินมาอยางอิสระ จึงเป็นชวงสําคัญที่แมตองคอยดูแล ความ เปน็ อสิ ระของเด็กอยางใกลช ิด 3) วยั อนุบาล หมายถึง เดก็ ท่ีมีอายุ 3 ถึง 6 ปี เป็นวัยที่ชอบความเป็นอิสระในการ เคลื่อนไหวและเขา สังคมมากข้ึน โดยเรียกเด็กท่ีมีอายุ 3 ถึง 5 ปี ซ่ึงเป็นชวงอายุที่พอแมนําเด็กเขา โรงเรียนอนุบาลวา เด็กกอนวัยเรียน (Preschooler) และเรียกเด็กท่ีมีอายุ 5 ถึง 6 ปี ซ่ึงเป็นชวงวัยเด็ก อนุบาลท่ีเตรียมตัวเรียนประถมศกึ ษาปีท่ี 1 วา เด็กอนุบาล (Kindergartener) 4) วัยอนุบาลตอนปลาย หมายถึง เด็กท่ีมีอายุ 6 ถึง 8 ปี เป็นวัยที่คาบเก่ียว ระหวางเดก็ ที่เรียนอยู ช้ันอนบุ าลกบั ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1 และช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 2 กลา วโดยสรุป เด็กปฐมวัย จะหมายถึง เด็กตั้งแตแรกเกิดจนถึงอายุต่ํากวา 6 ปี ทั้งในระบบและ นอกระบบ การศึกษา ซ่ึงพัฒนาการดานรางกาย อารมณแ จิตใจ สังคม และสติปใญญา กําลังพัฒนาอยาง เต็มที่ตามศักยภาพและ วัย โดยครอบคลุมเด็กที่เลี้ยงดูในบานโดยครอบครัว หรือเด็กท่ีอยูในศูนยแ โภชนาการเด็ก หรือสถานรับเลี้ยงเด็กกลาง วัน หรือศูนยแพัฒนาเด็กเล็ก หรือที่เรียกวาศูนยแเด็กกอนวัย เรียน รวมถึงเด็กที่เรียนในชั้นอนุบาล 1 และ 2 ในโรงเรียน อนุบาลของรัฐบาลและเอกชนหรือใน โรงเรียนอื่นใดที่เปิดชั้นอนุบาล 1 และ 2 หรือชั้นเด็กเล็กเป็นสวนหน่ึงของโรงเรียน ซ่ึงในที่น้ีจะแบงเด็ก ปฐมวยั เปน็ 2 กลุมอายุ ไดแ ก กลุมอายุเดก็ ท่ีมีอายตุ าํ่ กวา 3 ปี และกลมุ อายุเด็กท่ีมีอายุ 3 ถงึ 6 ปี 3.1.2 ธรรมชาติของเด็กปฐมวัย เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาดาน บคุ ลิกภาพมากที่สดุ ธรรมชาติของเด็กในวยั น้ี มดี งั น้ี : 1) เป็นวัยอยากรูอยากเห็น เด็กวัยนี้มีความสงสัยในส่ิงตาง ๆ ชอบซักถามจนกวา จะไดคําตอบที่ ชัดเจน 2) มีความเป็นตัวของตัวเอง เด็กวัยนี้ยึดตนเองเป็นศูนยแกลาง ไมสามารถเขาใจ ความคิดเห็นของ ผูอน่ื มักคิดวาสงิ่ ท่ตี นรับรคู นอ่ืนก็รับรดู วย
25 3) แสดงอารมณแออกมาอยางเปิดเผย เด็กวัยน้ีเปล่ียนแปลงอารมณแไดงาย ๆ รูสึก อยางไรก็แสดงออก มาอยา งนัน้ มคี วามตอ งการและความรสู ึกเหมือนผใู หญ 4) ไมช อบอยูน ่งิ อยกู บั ท่ี เดก็ วยั นส้ี นใจใฝรุ ูสง่ิ แวดลอมรอบตัว ชอบทดสอบทดลอง ส่งิ ตา ง ๆ แต มคี วามสนใจเพียงระยะส้นั ๆ เทานน้ั 5) จดจําในทุกสิ่งท่ีเห็นและกลาแสดงออก เด็กวัยนี้เร่ิมแสดงพฤติกรรมตาง ๆ ออกมาใหเ หน็ ตาม แบบอยาง เชน การเลยี นแบบพอ แม ครแู ละเพอื่ นในวัยเดียวกนั ดงั นัน้ พอแมค รูหรือผูเกีย่ วขอ งในการดูแลเด็กจะตองเรียนรแู ละเขา ใจธรรมชาตขิ องเดก็ เพื่อชว ย สงเสริม พัฒนาบุคลิกภาพท่ีดีใหกับเด็กปฐมวัย เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีความอยากรูอยากเห็นตอ ส่ิงแวดลอมอยูตลอดเวลา เพราะเป็นวัยที่มีการพัฒนาทางสติปใญญาสูงที่สุดของชีวิต การสงเสริมใหเด็ก ปฐมวัยสามารถคิดหาเหตุผล แสวงหา ความรู สามารถแกปใญหาไดตามวัยของเด็ก ดวยการจัดกิจกรรม ใหเ ด็กไดลงมอื กระทาํ ดวยตนเองจากสิ่งแวดลอม รอบ ๆ ตวั 3.1.3 ความสําคัญของเด็กปฐมวัย นักจิตวิทยาและนักการศึกษาหลายทานมีแนวคิด เกยี่ วกับความสาํ คัญของ เดก็ ปฐมวยั วา เด็กตงั้ แตแ รกเกิดถึงอายุ 6 ปี เป็นระยะที่เด็กเกิดการเรียนรูมาก ที่สุดในชีวิต และการเรียนรูเหลา จะมีอิทธิพลตอชีวิตในอนาคตของเด็กเป็นอยางย่ิง (ปรียา เกตุทัต 2552: 243-246, 265) ดงั นี้ : ฟรอยดแ (Sigmund Freud) จิตแพทยแและนักจิตวิทยาชาวออสเตรีย เป็นผูนําทฤษฎีจิต วิเคราะหแมาอธิบาย โครงสรางและพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคล ฟรอยดแพบวา ประสบการณแใน วัยเด็กเป็นส่ิงสําคัญและมีอิทธิพล ตอพัฒนาการดานตาง ๆ ของบุคคลเมื่อเติบโตเป็นผูใหญ โดยเช่ือวา การอบรมเล้ียงดูในวัย 6 ปีแรกของชีวิตจะมีผล ตอพัฒนาการทางบุคลิกภาพของเด็กในอนาคต และแม จะมอี ิทธพิ ลอยา งสงู ตอบุคลิกภาพและสุขภาพจิตของเดก็ ใน ชว งอายุตา ง ๆ ฉะน้ันในวัยนี้จึงเป็นโอกาสท่ี พอแมจะถายทอดลักษณะทาทางการปฏิบัติตนเย่ียงสุภาพบุรุษและสุภาพ สตรี มีพฤติกรรมท่ีดีและ เหมาะสมใหลูกหญิงและชายไดเลียนแบบ เพ่ือใหเด็กไดเห็นความแตกตางทางเพศ และวาง แนวทางท่ี ถูกตองในการปฏิบัตติ น อีริคสัน (Erik Erikson) จิตแพทยแและนักจิตวิทยาชาวเยอรมัน มีความเห็นสอดคลองกับฟ รอยดใแ นเรื่อง ของความรักความอบอุนในวัยทารกและอิทธิพลของการอบรมเล้ียงดูของพอแม ท่ีมีผลตอ บุคลิกภาพของเด็กใน วัยตอมา แตอีริคสันเนนความสําคัญของสังคมและสิ่งแวดลอมตาง ๆ ตลอดจน ระยะเวลาการเจริญเตบิ โตต้งั แตวัย ทารกจนถึงวยั ผูใ หญทส่ี มบรู ณแ เพียเจทแ (Jean Piaget) นักจิตวิทยาชาวสวิส เป็นผูพัฒนาทฤษฎีทางสติปใญญาจากการ ศึกษาวิจัย เพียเจทแ พบวา เด็กปฐมวัยชวงอายุ 2 ถึง 6 ปี มีพัฒนาการทางสติปใญญาอยูในข้ันความคิด กอนเกิดปฏิบัติการ (Preoperational thought period) เป็นข้ันท่ีเด็กเริ่มเรียนรูภาษาพูด และเขาใจ เครื่องหมาย และทาทางในการส่ือความหมาย เรียนรูส่ิงตาง ๆ ไดดีขึ้นผานการรับรูทางประสาทสัมผัส ความสามารถในการคดิ หาเหตผุ ลยงั ติดอยทู ีก่ ารรับรู ดงั นนั้ พอแมจึงจําเป็นตองฝึกทักษะการใชประสาท
26 สัมผัสตาง ๆ ใหแกเด็ก โดยการจัดสภาพแวดลอมและประสบการณแที่มี คุณคาใหแกเด็ก เพ่ือพัฒนา ประสาทการรบั รูการเคล่ือนไหวดวยตนเอง เพ่ือใหมีประสบการณแที่จะชวยกระตุนความ คิด รูจักวิธีการ เรยี นรเู พ่อื พฒั นาโครงสรางทางสตปิ ญใ ญาในขน้ั ตอไปใหสมบูรณแยง่ิ ข้ึน ฮาวิกเฮิรแสทแ (Havighurst) ไดเสนองานตามข้ันพัฒนาการ (Developmental tasks) ของ มนุษยแในแตละวัย ต้ังแตวัยเด็กจนถึงวัยชรา งานตามขั้นพัฒนาการ หมายถึง งานท่ีบุคคลแตละวัย สามารถเรียนรูไดเมื่อไดรับการกระตุน และการสงเสริมในสิ่งแวดลอมท่ีเหมาะสม ฮาวิกเฮิรแสทแ กลาววา ถาเด็กรูจักปรับตัวและประสบความสําเร็จในงานตาม ขั้นพัฒนาการเมื่ออยูในชวงปฐมวัย เด็กก็จะมี ความสุขและนําไปสคู วามสําเรจ็ ในงานตามข้ันพัฒนาการข้ันสูงในวัยตอ ไปไดถาพอแมใหการอบรมเล้ียง ดูเด็กโดยจัดส่ิงแวดลอมและประสบการณแท่ีเหมาะสมให เด็กก็จะประสบความสําเร็จ ของงานตามข้ัน พฒั นาการตามวยั เด็กจะเติบโตเปน็ ผใู หญท ี่มีคุณภาพ และมีโอกาสใชค วามสามารถไดเ ตม็ ศักยภาพ บลูม (Bloonm) ศาสตราจารยแแหงมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา ไดกลาวถึง ความสําคัญของเด็กปฐมวัย ไววา ต้ังแตแรกเกิดจนถึงอายุ 4 ขวบ เด็กสามารถเรียนรูส่ิงตาง ๆ ไดถึง ครึ่งหน่ึงท่ีจะสามารถเรียนรูเมื่ออายุ 17 ปี เน่ืองจากเป็นวัยท่ีพัฒนาการดานสติปใญญาพัฒนาสูงสุด ดังนัน้ จึงอาจสรุปไดว า ชวงเวลาที่สําคัญท่ีสุดและเด็กจะ สามารถเรียนรูไดมากท่ีสุดเป็นชวงปฐมวัย บลู มกลาววา การปลูกฝใงและสรางเสริมใหบุคคลมีเจตคติและลักษณะนิสัย ที่ดี ตองเร่ิมต้ังแตปฐมวัย บลูม ไดอธบิ ายข้ันตอนของพฒั นาการทางคุณธรรม จริยธรรมของบุคลไวทั้งหมด 5 ขั้น โดย เด็กวัยน้ีจะอยูใน ข้ันตอนแรก คือ ข้ันการรับรู ซ่ึงถือวาเป็นขั้นตอนสําคัญท่ีเป็นพ้ืนฐานของการพัฒนาในข้ันตอนตอ ๆไป ในข้ันน้ีเด็กตองมีโอกาสไดรับรูและใสใจในสิ่งนั้น ๆ กอน หากตองการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม หรือ คานิยมใด ๆ ใหแกเด็ก พอแมผูปกครองตองจัดสิ่งเราหรือสถานการณแที่จะชวยใหเด็กเกิดการรับรู และ สนใจในคุณธรรม จริยธรรม หรือคานิยมน้ัน ๆ เม่ือเด็กไดรับรูและเกิดความสนใจในสิ่งน้ันแลว ตองให เด็กไดมีโอกาสตอบสนองและเกิดความรูสึกพึงพอใจ จะชวยใหเด็กพัฒนาความสนใจตอส่ิงนั้นมากขึ้น และพัฒนาไปจนถึงระดับเป็นลกั ษณะนิสัยไดในทส่ี ดุ สรุปไดว า วัยทเ่ี ร่ิมตน ของชวี ิต คือชวงอายแุ รกเกดิ ถงึ 6 ปีแรก เป็นวัยที่มีความสําคัญอยางยิ่งตอ ชีวติ พอ แม และครอบครัวจะมีอิทธิพลตอบุคลิกภาพและสุขภาพจิตของเด็กมาก หากเด็กไดรับการดูแล เอาใจใสอยางดียอม สงผลใหเด็กเติบโตเป็นผูใหญที่มีคุณภาพในอนาคต นอกจากน้ี ผูดูแลเด็กหรือ ครผู ูส อนยงั มบี ทบาทในการจัด ประสบการณแการเรียนรูใหสอดคลองกับความตองการของเด็ก ซ่ึงผูดูแล เด็กหรือตัวครูจะตองเห็นความสําคัญและ เขาใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กในชวงวัยน้ีเสียกอนจึง จะสามารถจดั ประสบการณใแ หสอดคลอ งและสง เสริม พัฒนาการในแตละดา นได 3.2 ความหมายของการพัฒนาเดก็ ปฐมวัย เด็กปฐมวยั เป็นเดก็ ทีม่ คี วามสาํ คญั ตอการจัดการศึกษาหรือการเรียนรูเพ่ือใหเด็กไดเติบโตอยางมี คุณภาพ ซึ่งเด็กทุกคนมีสิทธิท่ีจะไดรับการอบรม เลี้ยงดู และสงเสริมกระบวนการเรียนรูท่ีสนองตอ ธรรมชาติและพัฒนาการ ของเด็กแตละคนตามศักยภาพ ภายใตบริบทของสังคมและวัฒนธรรมท่ีเด็ก
27 อาศยั อยู ดว ยความรัก ความเอื้ออาทร และความเขาใจของทุกคน เพื่อสรางรากฐานคุณภาพชีวิตใหเด็ก พฒั นาไปสคู วามเป็นมนุษยแที่สมบูรณแ เกิดคุณคา ตอตนเองและสังคม ดวยปฏิสัมพันธแที่ดีระหวางเด็กกับ พอแม เด็กกับผูเลี้ยงดูหรือบุคลากรท่ีมีความรูความสามารถ ในการอบรมเลี้ยงดูและใหการศึกษาเด็ก ปฐมวัย เพ่ือใหเด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลําดับขั้นของพัฒนาการทุกดาน อยางสมดุล และเต็มตาม ศักยภาพ เมือ่ กลา วถงึ การพัฒนาเด็กปฐมวัย จึงหมายถึงการอบรมเลี้ยงดูเด็กโดยคํานึงถึงสิทธิเด็กผานการ ตอบสนอง ความตองการตามวัยและศักยภาพ การจัดประสบการณแการเรียนรูเพ่ือใหเด็กพัฒนาได สอดคลองกับพัฒนาการของ สมองตามศักยภาพและความสามารถในแตละวัย การจัดสภาพแวดลอมท่ี ปลอดภยั และเอือ้ ตอความสขุ ของเด็ก เน่ืองจากชวงเวลาท่ีสําคัญและจําเป็นที่สุดในการพัฒนาสมองของ เด็กคือ ในชวง 6 ปีแรกของชีวิต เด็กที่ไมไดรับ การเล้ียงดูและพัฒนาอยางถูกตองในชวงเวลานี้ เมื่อพน วยั นี้แลวโอกาสทองเชนนจี้ ะไมหวนกลับมาอกี ดังน้นั ครอบครวั พอแม ผูปกครอง ครู ผูเลี้ยงดูเด็กตองมี ความรูความเขาใจและตระหนักถึงความสําคัญของการพัฒนาเด็กในชวง ปฐมวัยนี้ อีกท้ังเด็กปฐมวัยอยู ในชวงวัยที่กําลังสนใจ และกระตือรือรนเรียนรูจากสิ่งแวดลอม ตองการรวมกิจกรรม และมีปฏิสัมพันธแ กับบุคคลตาง ๆ ท่ีอยูนอกครอบครัว เด็กตองการประสบการณแที่แปลกใหมที่จะชวยใหคลายการยึด ตนเองเป็นศูนยแกลาง ตองการทํากิจกรรมรวมกับคนอ่ืนเพื่อเรียนรูการปรับตัวท่ีจะอยูในสังคมไดอยางมี ความสขุ 3.3 ความสาํ คญั ของการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั เด็กปฐมวัยหรือเด็กวัยต้ังแตแรกเกิดถึงอายุตํ่ากวา 6 ปี (5 ปี 11 เดือน 29 วัน) เป็นชวงอายุท่ีมี อัตราของการ เจริญเติบโตและพัฒนาการสูง ถาเด็กไดรับการเล้ียงดูที่ดีและถูกตองตามหลักจิตวิทยา และหลักวิชาการอื่น ๆ ที่ เก่ียวของ เด็กก็จะเติบโตพัฒนาไดเต็มตามศักยภาพ ซ่ึงงานวิจัยตาง ๆ และ ทฤษฎีตาง ๆ ท่ีเก่ียวกับเด็กปฐมวัย ได ระบุวาชวงเวลาที่สําคัญและจําเป็นท่ีสุดในการพัฒนาสมองคือ ในชวง 5 ปีแรกของชีวิต เด็กที่ไมไดรับการเลี้ยงดูและ พัฒนาอยางถูกตองในชวงเวลานี้เมื่อพนวัยน้ีแลว โอกาสทองเชนนี้จะไมหวนกลับมาอีก ดังน้ัน ผูเกี่ยวของทุกฝุาย ไม วาจะเป็นครอบครัว พอแม ผูปกครอง ครู ผูเล้ียงดูเด็ก จําเป็นตองมีความรูความเขาใจและตระหนักถึงความสําคัญ ของการพัฒนา เดก็ ในชว งวัย 0-5 ปี ซ่ึงถือไดวา เป็นวัยวางรากฐานชีวิต โดยสามารถใหการเลี้ยงดูและจัดประสบการณแ สงเสริมเด็กใหเ กดิ การเรยี นรแู ละพฒั นาไดเ ตม็ ตามศักยภาพ กลา วไดวา ชวงอายุปฐมวัยน้นั เป็นชวงเวลา ที่สําคัญอยางยิ่งสําหรับการพัฒนาชีวิตของเด็ก สมองของเด็กพัฒนาอยางรวดเร็วในชวง 5-6 ปีแรกของ ชีวติ เปน็ ชวงเวลาท่ี เด็กมีการพัฒนาทางการรบั รู ภาษา สงั คม อารมณแและกลา มเนือ้ อยา งรวดเรว็ การพัฒนามนุษยแอยางมีประสิทธิภาพ จําเป็นตองเร่ิมต้ังแตอยูในครรภแมารดา ชวงปฐมวัยและ ตอเนื่องตลอด ชีวิต หลักวิชาและการวิจัยไดแสดงวาปใจจัยแวดลอมและการเลี้ยงดูที่เหมาะสม สามารถ เปล่ียนโครงสรางและ ประสิทธิภาพการทํางานของสมองมนุษยแได เวลาท่ีสําคัญและจําเป็นท่ีสุดในการ พัฒนาสมองคือในชวง 5 ปีแรกของ ชีวิต ดังน้ัน การพัฒนาคุณภาพมนุษยแที่ยั่งยืนและปูองกันปใญหา
28 สงั คมในระยะยาว จําเป็นตอ งเรม่ิ พัฒนาตั้งแต ชวงปฐมวัย โดยเนนใหครอบครัวเป็นแกนหลักและชุมชน เปน็ ฐานทม่ี ีสว นรว มอยางแทจรงิ ในการพัฒนาเลย้ี งดูเดก็ ทกุ ข้นั ตอน การพฒั นาทางสมองของเดก็ ข้นึ อยกู ับการกระตุน ทางสงิ่ แวดลอ ม โดยเฉพาะอยา งยงิ่ คุณภาพของ การเลีย้ ง ดูและระดับการปฏิสมั พนั ธแท่เี ดก็ ไดร ับ เดก็ ทไี่ ดรบั การกอด คุยเลนหยอกลอ อุมชูดวยความเอ้ือ อาทร และกระตุนการ มองเห็นผานการเลนกับพอแมผูเล้ียงดูหรือผานการไดยินเสียงจากการอาน-เลา นิทาน ทองคําคลองจอง ฟงใ เสียงเพลง หรือดนตรี จะไดเปรียบกวาเด็กท่ีไมไดรับสิ่งเหลานี้หลายเทา เด็ก ที่ไดรับการเลี้ยงดูเอาใจใสอยางใกลชิดยอมมีโอกาส ที่จะพัฒนาทักษะทางดานการรับรู ภาษา อารมณแ และสังคมอยางเตม็ ที่ มโี อกาสท่ีจะเตบิ โตขึ้นอยางสมบูรณแแ ข็งแรง และมคี วามเชือ่ มน่ั และรจู ักคุณคาของ ตนมากกวาเด็กท่ไี มไ ดรับการสนใจเอาใจใส การพฒั นาในแตละดานนี้ลวนแต มีความสําคัญตอชีวิตความ เปน็ ผใู หญ เพราะประสบการณแในวยั เด็กเป็นสงิ่ ท่มี ีอิทธพิ ลตอ ความเป็นตัวตนของผูใ หญ ในวนั น้ี สรุปไดวา การพัฒนาเด็กปฐมวัยเพ่ือใหเด็กมีพัฒนาการทุกดานสมวัยอยางสมดุล นับต้ังแต ปฏสิ นธิจวบจน เจริญวยั กอนเขาสูระบบโรงเรยี น จําเป็นตองมีการตนื่ ตวั และผนึกกาํ ลงั กันทกุ ฝุายทกุ ภาค สวนของสังคม ท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคทองถิ่นและภาคประชาสังคม ในอันที่จะรวมกันสงเสริม ครอบครัวใหพอแมผูปกครองมีความรักและ ความรู สามารถทําหนาที่อบรมเลี้ยงดูบุตรหลานไดถูกวิธี โดยผูดูแลเด็ก ครู รวมทั้งเจาหนาที่สาธารณสุข ก็ลวนมี บทบาทสําคัญย่ิงตอการพัฒนาเด็กปฐมวัยให เจริญเติบโตพัฒนาไปในทิศทางที่พึงประสงคแ บุคคลเหลาน้ีตองมีหลัก วิชาความรูทางครอบครัวศึกษา และทักษะที่ถูกตองในการเล้ียงดูเด็ก แมสภาพแวดลอมของบานเป็นส่ิงที่สําคัญที่สุด ในชวงชีวิตวัยเด็ก แตถ งึ กระนนั้ กต็ ามยังจําเปน็ อยา งยง่ิ ท่เี ดก็ ปฐมวัย จะตอ งไดม ีโอกาสรับบริการพัฒนาเด็กปฐมวัย รูปแบบ ใดรปู แบบหนึ่ง เชน บริการในศูนยแพัฒนาเด็กเล็ก สถานรับเล้ียงเด็ก หรือโรงเรียนอนุบาล รวมถึงบริการ สาธารณสุข ในการเฝาู ระวังและตดิ ตามการเจริญเตบิ โตและพัฒนาการเดก็ ตามวัยหรือชว งอายุ 4. หลักคดิ และเป้าหมายของการพัฒนาเด็กปฐมวยั การพัฒนาเด็กปฐมวัยถือเป็นโอกาสทองของการพัฒนาคุณภาพประชากรและพัฒนาการเรียนรู เพราะเป็น ชวงเวลาสําคัญท่ีสุดที่สมองมีการพัฒนาการสูงสุด อันสงผลตอพัฒนาการทางสติปใญญา บุคลิกภาพ และความฉลาด ทางอารมณแ การลงทุนเพ่ือพัฒนาทรัพยากรมนุษยแจึงถือเป็นการลงทุนที่ คุมคาท่ีสุด จากผลการศึกษาของนัก เศรษฐศาสตรแรางวัลโนเบล (James Heckman) ไดติดตามศึกษา เด็กและเยาวชนอยางตอเนื่องหลายทศวรรษใน ประเทศตาง ๆ พบวา การพัฒนาทรัพยากรมนุษยแต้ังแต ชวงปฐมวัยจะเป็นการลงทุนท่ีคุมคา โดยเด็กที่ไดรับสารอาหาร และการดูแลสุขภาพที่ดีในชวงแรกของ ชีวิตจะมีทักษะทางกายภาพ IQ และ EO ท่ีดีกวา มีโอกาสท่ีจะเขาเรียนจนถึง ระดับอุดมศึกษาสูงกวา สามารถลดโอกาสการซ้ําชั้นหรือออกกลางคัน และมีโอกาสเป็นกําลังแรงงานท่ีมีคุณภาพ มีรายไดสูงใน อนาคต สําหรับการดูแลเด็กปฐมวัยในประเทศไทยพบวา เด็กวัย 0 ถึง 2 ปีจะอยูในการดูแลของ ผูปกครอง และเม่ือ เขาสูชวงอายุ 3 ถึง 5 ปีจะสงเขาสถานรับเล้ียงเด็กปฐมวัยตาง ๆ เชน โรงเรียน
29 อนุบาล หรือศูนยแพัฒนาเด็กเล็ก ภาย ใตการดูแลขององคแกรปกครองสวนทองถิ่น ซึ่งในปี 2554 มีศูนยแ พัฒนาเด็กเล็กทั้งสิ้น 19,718 แหง เด็กปฐมวัย 911,143 คน และครูผูดูแลเด็ก/ผูดูแลเด็ก 51,193 คน กลาวคือ ครูผูดูแลเด็ก 1 คน ตองรับผิดชอบเด็กปฐมวัย 17 คน ซ่ึงจากผลการศึกษาของสถาบัน พัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2550 พบวา การจัด การศึกษาใหแกเด็กปฐมวัย ของทองถิ่นยงั มอี ปุ สรรคจากการนํานโยบายไปสูก ารปฏิบัติ ดวยขอจาํ กดั ของคณุ ภาพ และมาตรฐานของ การจดั การเรียนรูแกเด็กปฐมวัยของศูนยแพัฒนาเด็กเล็กขนาดใหญและศูนยแพัฒนาเด็กเล็ก ขนาดเล็ก ครู ผูดูแลเด็กและผูดูแลเด็กไมไดรับการพัฒนาศักยภาพดานการจัดทําหลักสูตรเทาท่ีควร และปใญหาการ จดั สรรงบประมาณทีไ่ มสอดคลองกับสภาพจริง 4.1 หลกั คิดของการพฒั นาเด็กปฐมวัย การพฒั นาเด็กปฐมวยั มหี ลักคิดสําคัญทพ่ี อ แมผปู กครอง ครูผูดูแลเด็กหรือผูเก่ียวของมิควรละเลย ในการ พัฒนาเด็กปฐมวัย น่ันคือ การใสใจดูแลเด็กโดยตระหนักถึงสิทธิเด็ก การสงเสริมพัฒนาการและ การเรียนรูของ เด็กตามวัย การสนับสนุนการเลนของเด็กตามวัยและความสนใจของเด็ก และการจัด สภาพแวดลอ มท่ีปลอดภยั และ มคี วามสขุ 4.1.1 การใสใจและดูแลเด็กปฐมวัยบนพ้ืนฐานของสิทธิเด็ก สิทธิข้ันพื้นฐานของเด็ก 4 ประการ ไดแ ก 1) สิทธิในการอยูรอด (Right of Survival) เด็กทุกคนมีสิทธิติดตัวที่จะมีชีวิตรอด ปลอดภยั เดก็ ควร ไดร บั การดูแลสุขภาพอยางเหมาะสม รวมถึงมารดาทั้งกอนและหลังคลอด เด็กมีสิทธิ ที่จะไดรับการจดทะเบียนทันที หลังการเกิด และจะมีสิทธิที่จะมีชื่อนับแตเกิดและสิทธิที่จะไดสัญชาติ และเทาท่ีจะเป็นไปได สิทธิท่ีจะรูจักและไดรับ การดูแลเลี้ยงดูจากบิดามารดาของตน เด็กมีสิทธิท่ีจะ ไดรับบริการทางสาธารณสขุ ทีไ่ ดมาตรฐานสูงที่สุดเทาท่ีจะหาได และสิ่งอํานวยความสะดวก สําหรับการ บําบัดรักษาความเจ็บปุวยและการฟื้นฟูสุขภาพ เด็กตองไดรับโภชนาการท่ีดี โดยการจัดหาอาหารท่ีถูก หลักโภชนาการและนํ้าดื่มท่ีสะอาดอยางเพียงพอ ท้ังน้ี โดยพิจารณาถึงอันตรายและ ความเสี่ยงของ มลภาวะแวดลอ ม เดก็ ตองไดร ับความรักการเอาใจใสจากครอบครัวอยางใกลชดิ 2) สิทธิในการปกปูองคุมครอง (Right of Protection) เด็กตองไดรับการคุมครอง จากการเลือกปฏิบัติ หรือการลงโทษในทุกรูปแบบ บนพื้นฐานของสถานภาพ กิจกรรมความคิดเห็นท่ี แสดงออกหรือความเช่ือของบดิ ามารดาผูปกครองตามกฎหมายหรือสมาชิกในครอบครัวของเด็ก เด็กตอง ไดร ับการคมุ ครองจากรปู แบบทัง้ ปวงการทํารา ยหรือการกระทาํ อันมชิ อบ การทอดทิ้งหรือการปฏิบัติโดย ประมาท รวมถึงการกระทําอันมิชอบทางเพศ ขณะอยู ในความดูแลของบิดามารดา ผูผูปกครองตาม กฎหมาย หรือบุคคลอ่ืนใดซ่ึงเด็กน้ันอยูในความดูแล เด็กท่ีพิการทางรางกายหรือจิต ควรไดรับการดูแล เป็นพิเศษใหมีชีวิตสมบูรณแและปกติสุขในสุขภาวะที่ประกันในศักด์ิศรี สงเสริมการพ่ึงตนเองและ เอือ้ อํานวยใหเด็กมีสวนรวมอยา งแขง็ ขันในชมุ ชน
30 3) สิทธิในการพัฒนา (Right of Development) ท่ีเทาเทียมกัน การศึกษาของ เด็กจะตอ งมุง ไปสูการพัฒนาบุคล ดานรางกายและจิตใจของเด็กใหเต็มศักยภาพของเด็กแตละคน เด็กมี สิทธทิ ี่จะมีการพักและเวลาพักผอ นการเขารวมกจิ กรรมการละเลนทางสนั ทนาการท่เี หมาะสมตามวัยของ เด็ก และการมีสว นรวมอยา งเสรีในทางวัฒนธรรมและศิลปะ 4) สิทธิการมีสวนรวม (Right of participation) เด็กสามารถท่ีจะแสดงความ คิดเห็นโดยเสรีใน ทุก ๆ เร่ืองที่มีผลกระทบตอเด็ก ทั้งนี้ ความคิดเห็นดังกลาวของเด็กจะไดรับการ พิจารณาตามสมควรแกอายุและ ของเด็กน้ัน เด็กจะมีสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิน้ีจะ รวมถึงเสรีภาพท่ีจะแสวงหา ไดรับหรือถายทอดขอมูลขาวสาร และหลักคิดทุกลักษณะ โดยไมถูกจํากัด โดยเขตแดน ไมว า จะโดยวาจา ลายลักษณแอกั ษรหรือการตพี มิ พแ 4.1.2) การสงเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยตามวัย พัฒนาการของเด็กเป็นผลมาจาก การปฏิสัมพันธแระหวาง ภาวะและการเรียนรูกลาวคือ วุฒิภาวะเป็นสภาพของการเปลี่ยนแปลงทาง รางกายที่เกิดข้ึนถึงระดับของการแสดง ศักยภาพท่ีมีอยูภายในตัวเด็กแตละคนในระยะใดระยะหน่ึงท่ี กําหนด ตามวิถีทางของธรรมชาติและนํามาซ่ึงความ สามารถกระทําส่ิงใดสิ่งหนึ่งไดเหมาะสมกับวัย ศกั ยภาพที่เด็กแสดงออกมาในเวลาอันสมควรน้ี หรือท่ีเรียกวาระดับ วุฒิภาวะ (Maturity) ซึ่งมีอยูในตัว เด็กตั้งแตกําเนิดและถูกกําหนดโดยพันธุกรรม วุฒิภาวะจึงมีความเกี่ยวของสัมพันธแ อยางแนนแฟูนกับ การเรียนรูโดยที่การเรียนรูเป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณแที่ไดรับ หรือ จากการฝึกหัดฝึกฝนหรือฝึกปฏิบัติผานการอบรมสั่งสอนหรือการปฏิสัมพันธแกับสภาพแวดลอมที่เอื้อตอ ความ ตองการหรือความสนใจของเด็ก ทําใหความสามารถตาง ๆ ของเด็กถูกนําออกใชอยางมี ประสิทธิภาพเต็มท่ี เหตุนี้ถา ขาดวุฒิภาวะหรือการเรียนรูอยางใดอยางหนึ่ง ความสามารถบางอยาง อาจจะไมเ กิดขน้ึ หรอื เกิดชา กวาทีค่ วรได เชน ความสามารถในการใชภาษา เด็กที่มีวุฒิภาวะในการพูดจะ สามารถเปลง เสียงพดู ออกมาไดเ อง แตถ า ไมไ ดร บั การสอน ภาษาพูดก็ใชภาษาพดู ไมไดเ ลย ในทางตรงกัน ขาม เด็กท่ียังไมบรรลุวุฒิภาวะในการพูด ถึงแมวาจะไดรับการเค่ียวเข็ญ ฝึกภาษาพูดมากสักเพียงใดก็ไม อาจพูดได ถาเด็กยังไมพัฒนาถึงวุฒิภาวะนั้น จึงเห็นไดวา เด็กแตละคนมีศักยภาพใน การพัฒนาตนเอง ตามกําหนดเวลาเฉพาะของพัฒนาการน้ัน ๆ โดยธรรมชาติ อันกอใหเกิดความสามารถในการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมใหเป็นไปตามขั้นตอนของพัฒนาการ โดยมีสภาพแวดลอมชวยเสริมตอพัฒนาการให สมบูรณแย่ิงข้ึน ชวงเวลาที่เด็กสามารถพัฒนาไดอยางมีประสิทธิภาพเต็มที่นี้ เรียกวา ระยะพอเหมาะ (Optimal period) ลักษณะ พฤติกรรมท่ีเด็กสามารถแสดงออกเมื่ออยูในข้ันพัฒนาการนั้น ๆ เรียกวา งานพัฒนาการตามวัย (Developmental task) เดก็ ที่แสดงพฤติกรรมตามขันพัฒนาการไดพอเหมาะกับ วยั จะถอื วามีพัฒนาการสมวัย 4.1.3) การสนบั สนุนการเรียนรูผานการเลนของเด็กปฐมวัย การเรียนรูของมนุษยแมีผลสืบ เน่ืองมาจาก ประสบการณแตาง ๆ ที่ไดรับในชีวิตประจําวัน การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมเกิดข้ึนจาก กระบวนการท่ีผูเรียนมีปฏิสัมพันธแ กับบุคคลและสิ่งแวดลอมรอบตัว โดยผูเรียนจะตองเป็นผูกระทําให
31 เกดิ ขน้ึ ดว ยตนเอง และการเรียนรูจ ะเป็นไปไดท่ีประสาทสัมผัสท้ังหา ไดเคลื่อนไหว มีโอกาสคิดริเริ่มตาม ความตองการและความสนใจของตนเองถาผูเรียนไดใชประสาทสัมผัสท้ังหา ไดเคล่ือนไหว มีโอกาสคิด ริเร่ิมตามความตองการและความนาสนใจของตนเอง รวมท้ังอยูในบรรยากาศท่ีเป็นอิสระ อบอุน และ ปลอดภัย ดังนั้น การจัดสภาพแวดลอมท่ีเอื้อตอการเรียนรู จึงเป็นสิ่ง สําคัญท่ีจะชวยสงเสริมโอกาสการ เรียนรขู องเดก็ ใหเปน็ ไปตามศกั ยภาพทม่ี อี ยู นอกจากนีก้ ารเรียนรูยังเป็นพ้ืนฐาน ของพัฒนาการในระดับ ที่สูงขึ้น การเลนถือเป็นกิจกรรมที่สําคัญในชีวิตของเด็กปฐมวัยทุกคน เด็กจะรูสึกมีความสุข สนุกสนาน เพลิดเพลิน ไดสังเกต สํารวจสิ่งตาง ๆ รอบตัว มีโอกาสทําการทดลอง สรางสรรคแ คิดแกปใญหาและคน พบความเป็นจริงของโลกภายนอกดวยตนเอง การเลนจะมีอิทธิพลและมีผลดีตอการเจริญเติบโต ชวย พัฒนารางกาย อารมณแ จิตใจ สังคม และสติปใญญา ขณะเลนเด็กมีโอกาสเคล่ือนไหวสวนตาง ๆ ของ รา งกาย ไดใชประสาทสัมผสั และการรบั รู ผอ นคลายอารมณตแ ึงเครยี ด แสดงออกถึงความเปน็ ตนเองและ เรียนรคู วามรสู ึกของผูอ ืน่ การเลนจงึ เปน็ เสมือนส่อื กลางใหเ ดก็ สรางประสบการณแการเรียนรูส่ิงแวดลอม รอบตัว เรียนรูความเป็นอยูของผูอ่ืน สรางความสัมพันธแ อยูรวมกับผูอื่นและกับธรรมชาติรอบตัว โดย เป็นไปอยางสอดคลอ งกับธรรมชาติของเดก็ ปฐมวัยท่เี รียนรจู ากการเลน 4.1.4) การจัดสภาพแวดลอมของบานและชุมชนท่ีปลอดภัยและมีความสุข บริบททาง สังคมและวัฒนธรรมท่ี เด็กอาศัยอยูหรือสิ่งแวดลอมรอบตัวเด็ก ลวนทําใหเด็กแตละคนเติบโตข้ึนมามี คุณลักษณะที่แตกตางกันออกไป สิ่งแวดลอมทางวัฒนธรรมและสังคมรอบตัวเด็กก็มีอิทธิพลตอการ เรียนรูการพัฒนาศักยภาพและพัฒนาการของเด็ก แตละคน พอแมและผูเกี่ยวของกับเด็กปฐมวัย จําเปน็ ตองใหค วามสําคัญและเรียนรูวิธีการดําเนินชีวิตในครอบครัว และชุมชนตามบริบททางสังคมและ วัฒนธรรมของเด็ก รวมทั้งสงเสริมการจัดสภาพแวดลอมท่ีปลอดภัยและสราง บรรยากาศของความสุข ใหกับเดก็ ปฐมวัยในครอบครัวและชุมชนผานกิจกรรมสําหรับครอบครัว แหลงเรียนรูเพ่ือ พัฒนาเด็กและ ครอบครัว หรือจัดพื้นท่ีเรียนรูอยางสรางสรรคแ เพื่อชวยใหเด็กไดรับการพัฒนาอยางเหมาะสมปลอดภัย ตอ ภาวะเสยี่ งตาง ๆ เกดิ การเรียนรูแ ละมคี วามภาคภูมใิ จในสังคม-วฒั นธรรม ที่เด็กอาศัยอยูและสามารถ ยอมรับ ผอู ื่นทม่ี าจากพื้นฐานเหมอื นหรือตางจากตนไดอยางราบรื่น มคี วามสขุ สรุปไดวา หลักคิดสําคัญครอบคลุมการดูแลใสใจเด็กบนพื้นฐานสิทธิเด็ก การสงเสริม พัฒนาการและการ เรียนรูของเด็กตามวัย การสนับสนุนการเลนของเด็กตามวัยและความสนใจของเด็ก และการจดั สภาพแวดลอม ท่ปี ลอดภัยและมคี วามสขุ 4.2 เปาู หมายของการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั การศกึ ษาและพัฒนาเด็กปฐมวยั นบั วาเป็นส่ิงจาํ เป็นและมคี วามสําคัญอยางยง่ิ ตอการพัฒนา คุณภาพคน เรมิ่ ตั้งแตวยั เยาวหแ รือในชวงวัยเด็กอายุแรกเกิด ถึง 5 ปี ซ่ึงถือไดวาเป็นชวงระยะวิกฤตของ ชวี ติ ในการวางรากฐานระบบ คณุ คาแหงชวี ติ และระบบคิด ท่เี ปน็ พื้นฐานสําคัญของการพัฒนาการเรียนรู และบุคลิกภาพของบุคคล ทจ่ี ะเติบโตเปน็ ประชากรที่มีคณุ ภาพของสังคมและประเทศชาติ การทําความ เขา ใจกับเปูาหมายของการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ยอ มกระตนุ ใหทุกฝาุ ยท่ีเกี่ยวของไดตระหนักถึงคุณคาของ
32 เด็กปฐมวัยไดอยา งลึกซึ้งมากขน้ึ เพราะเด็กที่ไดรับการดูแลอยาง เหมาะสมในเวลาน้ีก็จะมีประสบการณแ ทดี่ ใี นการกลับไปดแู ลผูอืน่ ในอนาคตดว ยเชนกนั 4.2.1 เด็กเติบโตและพัฒนาแบบองคแรวมอยางมีความสุข เม่ือผูใหญเขาใจธรรมชาติและ ความตองการของเด็ก ตามความสามารถของวัยและความสนใจ มีความรักใหกับเด็ก เต็มใจที่จะดําเนิน ชวี ติ หรือทํางานรวมกบั เดก็ ตลอดจน เขา ใจพฤตกิ รรมตา ง ๆ ทเี่ ดก็ แสดงออก เดก็ ก็สามารถพฒั นาตนเอง ไดอ ยางมคี วามสขุ และมีประสบการณแของการ ดําเนนิ ชีวติ ในหนทางของความสุข 4.2.2 เด็กตระหนักถึงคุณคาความดีงามในชีวิต การพัฒนาเด็กปฐมวัยท่ีเขาใจถึงความ แตกตางของเด็กแตละ คน ไมวาจะเป็นปใญหาท่ีเกิดข้ึนกับเด็กหรือดานอ่ืน ๆ ที่อาจจะไมเป็นไปตาม ความคาดหวังของพอแมผูปกครอง หาก การปฏิสัมพันธแกับเด็กนั้น ผูใหญใชกรอบความคิดวินัยเชิงบวก หรือมุมมองในแงบวก ไมคาดหวงั ใหเด็กทุกคนมคี วามรู ความสามารถเทากันหมดหรือเหมือนกันเสมอไป แตพยายามช้ีแนะใหเด็กแตละคนไดพัฒนาตัวเองใหมากที่สุดเทาท่ีจะมากได ตามความสามารถสวน บุคคลของแตละคน เด็กจะซึมซับแบบอยางของการมองโลกในแงดีเป็นอุปนิสัย หรือบุคลิกภาพในระยะ ตอ ๆ มา 4.2.3 เด็กภาคภูมใิ จในความสามารถตนเอง เม่ือพอแมผูปกครองหรือครูเคารพและยอมรับ ในความสามารถ ของเดก็ ตามทีเ่ ด็กมหี รือเป็น จะชว ยใหเกดิ ความเขา ใจ เหน็ ใจ และหาทางสงเสริมความ เจริญงอกงามของเด็กตาม ศักยภาพหรือแววของเด็กในทุก ๆ วิถีทาง เด็กจะไดรับโอกาสพัฒนา ความสามารถหรอื ความถนดั ตามความสนใจ จนกลายเป็นเอกลักษณทแ บี่ ง บอกความเปน็ ตวั ตนของเด็กได สรุปไดวา เปูาหมายหลักของการพัฒนาเด็กปฐมวัยก็เพื่อใหเด็กไดเติบโตและพัฒนาความเป็น มนุษยที่สามารถ ใชชีวิตอยางมีความสุข บนพ้ืนฐานความดีงามภายในและการใชความสามารถตนเอง ในทางสรางสรรคแ 5.ครอบครวั ศึกษากับการพฒั นาตน้ ทุนชวี ิตเด็กปฐมวัย ครอบครัวถอื เปน็ จุดกาํ เนิดของชีวติ มนุษยแแ ละมกี ระบวนการเปลีย่ นแปลงเกิดข้ึนตลอดเวลาอยาง เป็นระบบ มีขั้นตอน เร่ิมตั้งแตใหกําเนิดชีวิต มีการสงเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัย จนกระท่ังเสื่อมถอยและ สูญสลายไป การดําเนินชีวิตครอบครัวโดยทั่ว ๆ ไปในภาวะปกติจะเป็นไป ตามลําดับข้ันตอนและมีการปรับเปลี่ยนไม หยุดนิ่งอยูกับท่ี แตเป็นไปตามพัฒนาการของครอบครัวและ ปฏิสัมพันธแระหวางสมาชิกครอบครัวในระบบครอบครัว รวมถึงปฏิสัมพันธแระหวางระบบครอบครัวกับ ระบบสังคมอ่ืนทเ่ี ก่ยี วขอ งกบั การดาํ เนินชีวิตครอบครัว ท้ังนี้ในการศึกษา ครอบครัวกับการพัฒนาตนทุน ชีวิตเด็กปฐมวัยเป็นเรื่องสําคัญสําหรับการพัฒนาคุณภาพคนผานการทําหนาท่ีของ ครอบครัว ต้ังแต เร่ิมแรกของการมีสมาชิกใหมใ นครอบครัวในระยะปฐมวยั
33 5.1 ความหมายและความสําคญั ของตน ทนุ ชีวติ เดก็ ปฐมวัย ตนทุนชีวิตของเด็กปฐมวัยเป็นตนทุนขั้นพื้นฐาน เป็นปใจจัยเชิงบวกท่ีมีผลตอการพัฒนา ทางดา น จิตใจ อารมณแ สงั คม และสติปใญญา ท่ีจะหลอหลอมใหเด็กปฐมวัยสามารถดํารงชีพอยูในสังคม ไดอยา งเขมแข็ง กระบวนการ เสรมิ สรา งตน ทนุ ชีวติ จึงเปน็ การทาํ งานขับเคลื่อนดวยแนวคิดเชิงบวก เป็น การจัดระบบกลไกท่ีจะชวยเสริมหนุนให เด็กในครอบครัวรวมถึงชุมชน เพื่อใหเด็กเติบโตและพัฒนา คุณลักษณะทเี่ ขม แขง็ ตอ เนอื่ งจนเขาสวู ัยเด็ก วยั รุน และ วัยผใู หญ 5.1.1 ความหมายของตนทุนชีวิตเด็กปฐมวัย ตนทุนชีวิต มาจากคําวา Development assets หมายถึง ตนทุน ข้ันพ้ืนฐานที่มีผลตอการพัฒนาทางดานจิตใจ สังคม สติปใญญาใหคนคนหนึ่ง สามารถดํารงชีพอยูในสังคมไดอยาง เขมแข็ง ตนทุนชีวิตเป็นปใจจัยสรางหรือเป็นปใจจัยเชิงบวกทางดาน จิตใจ อารมณแ สงั คม ที่จะหลอ หลอมใหเด็กคนหน่งึ เจริญเติบโตและดาํ รงชีพอยใู นสังคมได เพราะตนทุน ชวี ติ ย่งิ มากเทา ใดกจ็ ะยิ่งลดพฤตกิ รรมเส่ียงไดมากขึ้น และมี ความเช่ือมโยงแบบบูรณาการกับพฤติกรรม ที่ดีอีกหลายประการ จรงิ ๆ เราทุกคนเกิดมามีตนทุนชีวิตในระดับหนึ่ง แลว ท้ังตนทุนภายในและตนทุน ภายนอก ตน ทุนน้จี ะเพม่ิ ขึ้นตามการเลย้ี งดูของพอแม สง่ิ แวดลอมที่ดี และความใกลชดิ กับธรรมชาติ แต โลกยุคเทคโนโลยีในปใจจุบัน ทําใหชีวิตผูคนมีความเป็นวัตถุนิยม หางไกลธรรมชาติมากขึ้น ตอง แยงกัน อยู แยง กันกิน แยงกนั เรียน แยงกันทํามาหากิน พอแมจํานวนไมนอยเลี้ยงลูกแบบเคร่ืองจักรเครื่องยนตแ ขาด ความเขา ใจในพัฒนาการ มีความคาดหวังเกินความเป็นจริงจนเกิดความเครียด เด็ก ๆ คร่ําเครงกับ การเรียน ผใู หญ ครํ่าเครงกับการทํางานหาเงิน การวัดคุณคาจึงแตกตางจากอดีต คุณคาที่จําเป็นตอการ มีชีวิตที่ดีถูกบันทอนโดย ไมรูตัว เด็กบางคนเกิดมาทามกลางครอบครัวและสิ่งแวดลอมที่อบอุน มีความ เขาอกเขาใจกัน ตนทุนชีวิตก็จะพัฒนา เพิ่มพนเป็นทุนที่เขมแข็ง ในขณะเด็กบางคนเกิดมาทามกลาง ความขัดสน ดอยโอกาส เติบโตในสังคมส่ิงแวดลอมท่ี ไมเอื้อตอการเรียนรูสิ่งท่ีดี ตนทุนชีวิตก็จะคอย ๆ ถูกบนั่ ทอนลดลงไปเรื่อย ๆ เมอ่ื กลาวถึงตนทุนชีวิตเด็กปฐมวัย จะหมายถึง ตนทุนข้ันพ้ืนฐานที่เป็นปใจจัยสรางหรือเป็น ปใจจัยเชิงบวกทาง ดานจิตใจ อารมณแ สังคม ที่จะหลอหลอมใหเด็กคนหนึ่งเจริญเติบโตและมีผลตอการ พัฒนาทางดานรางกาย อารมณแ จิตใจ สังคม และสติปใญญา ใหเด็กปฐมวัยสามารถดํารงชีพอยูในสังคม ไดอยา งเขม แข็งและมีคุณภาพ 5.1.2 ความสําคญั ของตน ทุนชีวิตเด็กปฐมวัยตนทุนชีวิตจึงไมใชเรื่องใหม แตเป็นเร่ืองท่ีมี มาแตเดิมแลว สมัย กอนสังคมไทยเป็นครอบครัวขยาย มีชุมชนที่เขมแข็ง มีความสมานฉันทแ อยูกันดวย ความรกั มสี มั พนั ธภาพทด่ี ตี อกันรูจักการแบงปนใ การให การทาํ กจิ กรรมรวมกัน นี่คือตนทุนชีวิตแบบไทย ๆ ที่ดีท่ีมีอยูแลว ทวาชวง 10 ปีท่ีผานมา สังคมไทยเปล่ียนไปดวยความเจริญทางดานเทคโนโลยีและ ความเป็นสังคมเมือง ท่ีรุกคืบเขามาแทนที่ความงดงามตาม วิถีเดิม ครอบครัวเร่ิมออนแอ ชุมชนขาด ความเขมแข็ง กิจกรรมระหวางเพ่ือนฝูง เด็ก คอย ๆ ลดนอยลง การเรียนรู นอกโรงเรียนในรูปแบบตาง ๆ ของเด็ก ก็พลอยนอยลงไปดวย ตนทุนชีวิตของเด็กในปใจจุบันจึงออนแอลงไปใน หลาย ๆ ดาน ดังนั้น
34 ตัวชี้วัดตนทุนชีวิตของเด็กปฐมวัยจึงมีความสําคัญและจําเป็นอยางมากตอการพัฒนาเด็ก ไมวา ในดาน รางกาย จิตใจ สังคม ทั้งที่บาน โรงเรียน และชุมชน โดยเร่ิมต้ังแตปฐมวัย ไปจนถึงเยาวชน เพ่ือใหเด็ก เหลาน้ี เติบโตเปน็ ผใู หญที่มคี ุณภาพและไมเป็นปใญหาของสังคมตอไป 1) เป็นการวางรากฐานคุณภาพชวี ติ เด็กบนพ้ืนฐานของสิ่งท่ีเด็กตองการการพัฒนา เด็กปฐมวยั ตาม ความตอ งการในแตละชวงวัยของเด็กเป็นการสนับสนุนใหเด็กไดรับการตอบสนองความ ตอ งการครบทกุ ดาน ทงั้ ทาง รางกาย อารมณแ จิตใจ สงั คม และสติปใญญา 2) ชวยลดปใจจยั เสี่ยงและคมุ กันเด็กจากพฤติกรรมเส่ียงทน่ี ําไปสูปใญหา การพัฒนา เด็กปฐมวัยโดย คํานึงถึงความสนใจเอาใสของพอแมผูปกครองผูเลี้ยงดูเด็กในบรรยากาศของความรัก ความอบอนุ และทา ทีท่ ี่เปน็ มิตร ปราศจากความกา วรา วรนุ แรง ยอมทาํ ใหเด็กเตบิ โตอยางม่ันคง 5.2 องคแประกอบของตนทนุ ชีวติ เด็กปฐมวยั องคแประกอบของตนทุนชีวิตเด็กปฐมวัยนั้นแบงงาย ๆ เป็น 2 หมวด ซึ่งประกอบดวยพลัง ตาง ๆ 5 พลัง ไดแก หมวดตนทุนชีวิตภายใน (Internal assets) ประกอบดวย พลังตัวตน สวนหมวด ตนทุนชีวิตภายนอก (External assets) ประกอบดวย พลังครอบครัว พลังสรางปใญญา พลังเพื่อนและ กิจกรรม และพลังชุมชน แตท้ังสองหมวด นั้นมีความเก่ียวของเช่ือมโยงกัน ตนทุนชีวิตภายนอกจึงมี ความสําคัญมากกับการสรางตนทุนภายใน เชน พอแมสอน มาอยางไร ทําแบบอยางใหดูอยางไร แบบอยางเหลาน้ันก็จะไปหลอหลอมใหเกิดเป็นตัวตนของเด็กขึ้นมา ดังนั้นการท่ีเด็กจะมีคุณลักษณะท่ีดี ไดน้ันเป็นผลมาจากการไดรับการเสริมสรางใหมีคุณภาพต้ังแตแรกเกิดจนเติบโตเป็นผูใหญ ซึ่งสามารถ ประเมนิ ไดจ าก 5 พลงั สาํ คัญ ไดแ ก 5.2.1 พลังครอบครัว เป็นพลังท่ีมีอิทธิพลตอเด็กมากที่สุด โดยเฉพาะชวงตั้งแตแรกเกิด จนถึง 3 ขวบ เพราะ เด็กยังตองมีชีวิตท่ีข้ึนอยูกับครอบครัว เป็นชวงของการหลอหลอม พลังครอบครัว จึงมีน้ําหนักมากในชวงนี้ เด็กย่ิง เล็กเทาไหร พลังครอบครัวก็จะย่ิงมีความหมายมากเทานั้น และ ครอบครัวนี่เองทจี่ ะชวยสรา งพลังตวั ตนใหเ ด็กในภาย หลงั ดว ย ตัวชี้วัดท่ีมีความหมายของพลังครอบครัว คือ สัมพันธภาพท่ีดีภายใตความรัก ความอบอุน ความเอาใจใส และปลอดภัยในการใชชีวิต การปลูกฝใง ระเบยี บวนิ ัย การมีชวี ิตทีเ่ ปน็ แบบอยาง มีการตดิ ตามและชวยเหลอื ท่ีเหมาะสม เชิงบวก 5.2.2 พลังตัวตน เป็นตนทุนที่ติดตัวมาดวยต้ังแตแรกเกิดทุกคน แตเป็นตนทุนพื้นฐานท่ี ทําใหสามารถดาํ รง ชวี ติ อยไู ด สว นทเี่ หลอื จะมาจากการหลอ หลอมของครอบครัว และสถาบันการศึกษา พลงั ตัวตนจึงไมไดเกิดข้ึนเอง ต้ังแตแรกเกิดท้ังหมด แตเป็นตนทุนที่ตองสรางเสริมขึ้นมาในภายหลังพลัง ตัวตนจึงเป็นพลังที่มีความสําคัญมากสําหรับ คนทุกวัย พลังตัวตนเป็นการรวมพลังคุณคาในตัวเอง พลัง สรางศรัทธาและความเช่ือม่ันในตนเอง ตัวชี้วัดที่มีความ หมาย คือ การอยูในสังคมอยางสันติสุข การ ชวยเหลือผูอ่ืน การมีจุดยืนที่เดนชัด รักความยุติธรรม ไมแบงแยกชนช้ัน ความซ่ือสัตยแ ความรับผิดชอบ การมีวินัยในตนเองท่ีจะไมเก่ียวของกับพฤติกรรมเสี่ยง ตระหนักถึงคุณคาของตนเอง มีทักษะในการ
35 ตัดสนิ ใจ โดยคํานึงถงึ ผลดแี ละผลเสียจากการตัดสนิ ใจนั้น มีทักษะในการปฏเิ สธ และแกปใญหาดวย สันติ วิธี มีเปาู หมายในชวี ติ และมองโลกในแงด ี 5.2.3 พลงั สรา งปญใ ญา เปน็ พลงั ของการเตรียมจะมีความหมายสําคัญมากในชวงวัยเรียน ซึ่งเป็นชว งท่ี 2 ของชีวิตตอจากพอและครอบครัว ซ่ึงครูจะมีบทบาทสําคัญมาก บางครั้งอาจมากกวาพอ แมดวยซํ้า เพราะฉะนั้น ในชวงวัยเรียนพอแมกับครูจึงเป็นบุคคลท่ีมีอิทธิพลตอเด็กอยางมาก ซ่ึงพลัง ปใญญานี้ก็จะชวยหลอหลอมใหเกิดพลังตัวตนไดดวยเป็นพลังความมุงม่ันซึ่งจะไดรับการสนับสนุนและ สงเสริมใหเกิดกระบวนการเรียนรูทั้งในและนอกระบบการศึกษารวมถึงภูมิปใญญาทองถิ่น ตัวชี้วัดท่ีมี ความหมาย คือ การไดรบั กาํ ลังใจและการกระตนุ ในการเรียนรูหรือกิจกรรมท่ีดีจากผูปกครองและครู รัก การอานหนังสือ มีความกระตอื รือรน อยากรูอยากเหน็ รูส กึ ปลอดภัยในการใชชีวิตที่โรงเรียน 5.2.4 พลังเพ่ือนและกิจกรรมเป็นพลังการทํากิจกรรมในหมูเพื่อน ๆ ที่เป็นประโยชนแตอ สังคม ชุมชน เกิดวินัย ในหมูเพื่อน ตัวชี้วัดที่มีความหมายคือไดมีโอกาสทํากิจกรรมสันทนาการนอก หลักสูตรการออกกําลังกาย การเลนกีฬา กิจกรรมเคล่ือนไหวตามจังหวะดนตรี กลุมเพื่อนที่เป็น แบบอยางท่ีดี 5.2.5 พลังชุมชนเป็นพลังของชุมชนที่อาศัยอยูรวมกันดวยความเอ้ืออาทร มีความเขาใจ เป็นมิตรไมตรี มีวินัย และเป็นแบบอยางท่ีดี มีจิตอาสา ตัวชี้วัดที่มีความหมาย คือ ชุมชนมีความอบอุน ชวยเหลือซ่ึงกันและกัน ผูใหญท่ีอยู ในชุมชนเห็นคุณคา และใหความสําคัญ เป็นแบบอยางท่ีดี มีความ ปลอดภัยภายในชุมชน และมีการทํากิจกรรมรวม กัน บําเพ็ญประโยชนแใหชุมชน รวมทั้งมีแหลงเรียนรู ใหกบั คนในชมุ ชน ดังน้ัน ตนทุนชีวิตทั้ง 5 พลัง อันไดแก พลังครอบครัว พลังตัวตน พลังสรางปใญญา พลัง เพื่อนและกิจกรรม และพลังชุมชนน้ี ถือไดวาเป็นตนทุนชีวิตขั้นพ้ืนฐานท่ีมีอยูในตัวบุคคลและเป็น คณุ ลักษณะทีด่ ี ท่ีไดรับการเสริมสราง มาต้ังแตแรกเกิดจนโต ซ่ึงหากไดรับการอบรมเลี้ยงดูใสใจ ท้ังจาก ครอบครวั โรงเรียน และชมุ ชน ที่นับเป็นสวนสําคัญ อยางย่ิงตอการหลอหลอมใหเด็กเติบโตเป็นผูใหญที่ มคี ุณภาพ ทงั้ ดา นรา งกายและจติ ใจ ก็จะสง ผลใหประเทศไทยมี ประชากรที่ไดร ับการพัฒนา ไมเพียงวัตถุ นิยมเทานั้น แตมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในดานตัวบุคคลดวยการสราง ตนทุนชีวิตเด็กจึงมีความ จําเป็นอยางมาก และเคร่ืองมือสํารวจตนทุนชีวิตจะชวยใหเด็กครอบครัวและสังคมเกิด ภูมิคุมกันที่ แขง็ แรง เพอ่ื อนาคตของประเทศชาติตอไป การสาํ รวจนําไปสูการสรางเทคนิคใหกับผูปกครอง ครู เพื่อน บาน และชมุ ชนทอ่ี ยแู วดลอมเด็กใหมีทักษะในการเพิ่มประสิทธิผลใหเด็กผานเกณฑแดัชนีช้ีวัดตนทุนชีวิต ใหมากท่ีสุด ดัชนีชี้วัดคุณภาพเด็ก เคร่ืองมือน้ีปใจจุบันไดรับความนิยมอยางแพรหลายในสหรัฐอเมริกา โดยสถาบนั วจิ ัยในอเมรกิ าพฒั นาข้ึนมาเป็นดชั นชี ้ีวัดคุณภาพเด็ก
36 6. ครอบครวั ศึกษากบั แนวทางการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั เด็กเป็นทรัพยากรที่มีคาของสังคมและประเทศชาติท่ีทุกฝุายตางตระหนักในความสําคัญน้ีและ รว มมอื กัน พัฒนาใหเ จรญิ เติบโตเป็นผใู หญท ี่ดีในอนาคต เพราะเด็กในปใจจุบันจะเป็นผูที่มีบทบาทในการ พัฒนาเศรษฐกจิ สังคม การเมอื งการปกครองของประเทศ อาจกลาวไดวา การดํารงอยูของสังคมไทยใน อนาคตอยางมีคุณภาพนั้น ขึ้นอยูกับ คุณภาพของเด็กในปใจจุบันเป็นสําคัญ การพัฒนาคุณภาพของเด็ก ตอ งเริม่ ต้งั แตวัยเดก็ เล็ก โดยเฉพาะในชวงปฐมวัย เพราะเปน็ ระยะตน ทางของการวางรากฐานคุณคาชีวิต บุคลิกภาพ ความคิด อารมณแ ความรูสึก รวมถึงเจตคติตอสิ่ง ตางๆ รอบตัว เด็กปฐมวัยในชวงอายุ ระหวา งแรกเกดิ ถงึ 6 ปี เปน็ ชวงเวลาเหมาะสมท่ีจะบม เพาะปลกู ฝใงหลอ หลอม คุณลักษณะที่พึงประสงคแ ตาง ๆ จากครอบครัว เพ่ือเตรียมความพรอมเด็กเขาสูระบบโรงเรียน ซึ่งอาจเป็นศูนยแพัฒนา เด็กเล็ก สถานรับเลี้ยงเดก็ หรอื โรงเรียนอนบุ าล ชวงวยั นี้เด็กเรยี นรไู ดดีตามความสามารถของวัยและการสงเสริม สนบั สนนุ จากพอ แมผ เู ล้ยี งดูและผูเกี่ยวของ ในขณะท่ีมีการเปล่ียนแปลงของพัฒนาการทั้งในเชิงปริมาณ และเชิง คุณภาพอยางรวดเร็ว เร่ิมจากเด็กยังทําอะไรไมไดดวยตนเองและตองไดรับการชวยเหลือจากผู เลี้ยงดู จนกระทั่งเดก็ สามารถชวยเหลอื ตนเองในกจิ วตั รประจําวันไดม ากขึน้ มีความกระตือรือรนอยากรู อยากเห็นส่ิงตา ง ๆ ทอ่ี ยูรอบตัว ตอ งการมีอสิ ระ ชอบเลียนแบบ ชางจดจํา และรูจักคนหาความสามารถ ของตนเอง ดงั นั้น การพัฒนาเด็กปฐมวัยโดย ครอบครัวอยางถูกวิธีจึงควรนําขอมูลความรูทางครอบครัว ศกึ ษามาใชเปน็ แนวทางปฏิบัตใิ หเ กิดประโยชนตแ อการพัฒนา เดก็ และครอบครวั ไปพรอม ๆ กัน 6.1 ความเขาใจตอ การเปลย่ี นแปลงของครอบครัวรปู แบบใหม การเปลี่ยนแปลงคือ ภาวะทแ่ี ตกตางไปจากรูปแบบหรือแนวทางที่คนสวนใหญปฏิบัติหรือที่ เคยเป็นอยูหรือ มีอยูเดิม ไมวาจะในทางปริมาณหรือคุณภาพ การเปล่ียนแปลงเชนน้ันไมใชสิ่งที่เกิดขึ้น ลอย ๆ โดยไมมีความหมาย หรือไรเจตจํานง ในกรณีของครอบครัวและครัวเรือน ความหมายและ เจตจํานงของการเปล่ียนแปลงคือ การสามารถ ดํารงอยูไดภายใตบริบทและสถานการณแที่เป็นอยู ครอบครัวไทยในปใจจุบันกาํ ลงั เผชิญปญใ หามากข้นึ เนือ่ งจากสงั คม มกี ารเปล่ียนแปลงอยางรวดเร็ว ความ เจริญทางวัตถุมีมากขึ้น โครงสรางของครอบครัวเปลี่ยนไป ครอบครัวมีขนาด เล็กลง การหยารางมีมาก ข้ึน ผูคนสนใจและใหความสําคัญตอคุณคาทางจิตใจนอยลง พอแมมีเวลาใหลูกนอยลง มีปใญหาในการ เลี้ยงดูเด็กมากขึ้น ครอบครัวขาดความอบอุน ขาดความสุข ทําใหเกิดปใญหาเด็กและวัยรุนมากขึ้น การ สงเสริมใหครอบครัวมีความเขมแข็ง จึงเป็นเร่ืองสําคัญอยางย่ิง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเป็นการ เปลี่ยนแปลงใน ดานบรรทัดฐานและสถานภาพรูปแบบของครัวเรือนแบบครอบครัวเปลี่ยนจาก ครอบครัวขยายมาเป็นครอบครัวเดียว มากข้ึน โดยครอบครัวขยายที่มีท่ีปุูยาตายาย และญาติอื่น ๆ ลดลง ในขณะที่ครอบครัวเดี่ยวที่มีแคพอแมลูกมากขึ้น รวมถึงครอบครัวท่ีมีลักษณะเฉพาะก็ปรากฏตัว หลากหลายมากข้นึ เชน ครอบครัวที่มีพอหรือแมเล้ียงลูกตามลําพัง ครอบครัวแหวงกลางท่ีมีปูุยาตายาย อยกู บั หลานตามลําพัง เป็นตน
37 6.1.1 รูปแบบของครอบครัวเปล่ียนไปจากเดิมจากโครงสรางครอบครัวท่ีมีสมาชิก ครอบครัวครบทุกสถานภาพ ทั้งท่ีเป็นพอ-แม-ลูก และญาติ โดยมีลักษณะเป็นครอบครัวเดียวที่มีแคพอ แมลูกมากขึ้น และครอบครัวขยายท่ีมีปูุ ยา ตายาย และญาติอ่ืน ๆ ลดลง แตครอบครัวที่มี ลักษณะเฉพาะหลากหลายกลับมีแนวโนมมากข้ึน เชน ครอบครัวท่ีมี พอหรือแมเล้ียงลูกตามลําพัง ครอบครัวที่มีพอแมเป็นวัยรุน ครอบครัวแหวงกลางที่มีปุูยาตายายอยูกับหลานตามลําพัง เป็นตน ผูทํา หนาท่ีเลี้ยงดูเด็กมิใชเฉพาะพอและแมเป็นผูเล้ียงดูหลักอีกตอไป อาจเป็นพอหรือแมหรือปปา ยายหรือ ญาตทิ ่ีทําหนาท่นี เ้ี พียงลาํ พงั หรือทํารว มกนั 6.1.2 รูปแบบการอบรมเล้ียงดูเด็ก การอบรมเลี้ยงดูเป็นปใจจัยสําคัญท่ีทําใหเด็กมีการ เจริญเตบิ โต แล พฒั นาการสมวัยและสอดคลองกับความตองการของเด็ก การอบรมเล้ียงดูครอบคลุมถึง การแนะนําส่ังสอน ฝึก ฝึกหัด ที่มุงหวังใหเด็กประพฤติดีมีระเบียบวินัย รูจักควบคุมตนเอง มีความ รับผิดชอบ รวมทงั้ การใสใ จดูแลเพอื่ ตอบสนองความตองการของเด็กท้ังรางกายและจิตใจ โดยมุงเนนให เด็กมีสุขภาพดีรางกายแข็งแรงปลอดภัย อารมณแ สดชื่นแจมใส สติปใญญาดีมีความเฉลียวฉลาด และมี ความสัมพันธแที่ดีกับผูอ่ืน ปใจจุบันการอบรมเล้ียงดูเด็กมุงเนน การพัฒนาเด็กใหเจริญเติบโตและมี พัฒนาการอยางองคแรวม ซ่ึงตองอาศัยความรูความเขาใจในหลักวิชาการมากข้ึน พอแมหรือผูเล้ียงดูท่ีมี ความรคู วามเขา ใจตอพฒั นาการและความตองการของเด็กตามวัย มีเจตคติท่ีดีตอการเล้ียง และสามารถ ปรับตัวกับการเปล่ียนแปลงในการทําหนาที่นี้ มีทักษะท่ีจะสงเสริมและตอบสนองความตองการของเด็ก ตลอดจนรูจกั แกไขปญใ หาตา ง ๆ ใหลุลวงดว ยดี ยอมทาํ หนา ทีใ่ นการอบรมเล้ยี งดูเด็กไดอ ยางมคี ุณภาพ 6.1.3 การทํางานนอกบานของสตรี ปใจจุบันน้ีครอบครัวที่สามีทํางานคนเดียวลดนอยลง ไปมาก ภรรยาสวน ใหญตองออกไปทํางานนอกบาน ผลดีก็คือวาทําใหสถานะทางเศรษฐกิจของ ครอบครัวดีขน้ึ แตผ ลเสยี กค็ อื ผเู ปน็ แม มีเวลาใหแ กลกู ๆ นอ ยลง โดยเฉพาะเมอื่ ลูกยงั เล็กอยู จําเปน็ ตอง ฝากผูอื่นเล้ยี งดูเด็กแทน ดวยเหตุนใ้ี นสังคมปจใ จบุ ัน ความตองการในการจัดการศึกษาสําหรับเด็กปฐมวัย เพิ่มมากข้ึนเป็นเงาตามตัว ท้ังนี้เพราะภาวะทางเศรษฐกิจและ สภาพทางสังคม ซ่ึงท้ังพอและแมจะตอง ออกไปทํางานนอกบาน ทาํ ใหตอ งสง ลูกเขาสถานรบั เลย้ี งเด็กหรอื โรงเรยี น อนุบาลเร็วข้ึนกวาเดิม การจัด สถานรบั เลย้ี งเด็กหรอื โรงเรียนท่มี ปี ระสิทธภิ าพจะชวยแกปใญหาของสังคม เป็นการแบงเบา ภาระพอแม และยังมีสวนชวยในการพัฒนาเด็กอยางถูกตองเหมาะสมกับเด็ก พอแมจําเป็นตองใสใจอยางยิ่งใน การ เลือกสถานเล้ียงเด็กใหกับลูกนอย โดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัย ปรัชญาการพัฒนาเด็กปฐมวัย โปรแกรม หรือหลกั สูตรการศึกษา บรรยากาศและสภาพแวดลอ ม 6.1.4 การทํากิจกรรมรวมกัน ปใจจุบันสมาชิกในครอบครัวเดียวกันมักไมคอยมีการทํา กิจกรรมรวมกัน ทําให ไมคอยไดรับขอมูลขาวสาร หรือแลกเปลี่ยนประสบการณแกัน สัมพันธภาพใน ครอบครัวไมอบอุน เด็กเองก็รูสึกหางเหิน กับพอแมมากข้ึนดวยการทํางานของพอแมทําใหครอบครัวไม คอ ยไดเจอกนั เด็กมักถูกปลอ ยใหมีเวลาตามลาํ พงั หรือ อยกู ับสอื่ อิเลก็ ทรอนิกสแและโทรทัศนแมากขึ้น เมื่อ พอแมมีเวลาท่ีจะไปอยูกับเร่ืองอื่นที่ไมใชเรื่องครอบครัวมากข้ึน เด็ก ก็จะมีกิจกรรมของตนเอง ซึ่งสวน
38 ใหญจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีแทนท่ีการใชเวลากับครอบครัว เชน เลนเกม เลน อินเทอรแเน็ต ครอบครัวท่ี พอแมมีฐานะมั่งค่ัง แตมีธุรกิจการงานมากเกินไป ไมมีเวลาอยูกับลูก ๆ โดยมักจะใหแตเงิน ทองของใช ตาง ๆ แมเด็กเหลานี้จะไมขาดแคลนวัตถุ แตเมื่อขาดความอบอุนทางดานจิตใจก็อาจกลายเป็นปใญหา สงั คม ไดอ กี เชนกัน ชวงปฐมวยั นี้เดก็ ตอ งการปฏสิ มั พนั ธกแ บั ผูคนมากกวาวัตถุสิ่งของ ดังน้ัน พอแมผูเลี้ยง ดูเด็กในครอบครวั จําเป็นตองจดั สรรเวลาคุณภาพ เพ่ือเสริมสรางสัมพันธภาพท่ีอบอุนใกลชิดเต็มไปดวย ความสุขสนุกสนานในครอบครัว เพราะเด็กสามารถพฒั นาอยา งสมวยั ในบรรยากาศของความสุข 6.1.5 ปฏิสัมพันธแระหวางครอบครัวกับชุมชน สังคมมีแนวโนมลดลง โดยเฉพาะในเขต เมืองใหญมีลักษณะ ตางคนตางอยูมากข้ึน การเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในปใจจุบันมีมากมาย หลายมิติท้ังในเร่ืองเทคโนโลยี ท่ี สงผลใหการใชชีวิตของคนในสังคมสะดวกสบายสามารถติดตอส่ือสาร ถึงกันไดอ ยา งงา ยดายมากขึ้น โครงสรางของ สังคมที่กําลังเขายุคของการเป็นสังคมผูสูงอายุรวมถึงระบบ เศรษฐกิจการเงินโลกท่ีมีความผันผวนอยางรุนแรง รวดเร็ว ตลอดเวลาและอื่น ๆ อีกมากมายลวนสงผล ใหครอบครัวไทยเปล่ียนแปลงและรับผลกระทบในหลายมิติซึ่งหาก ครอบครัวไมสามารถตั้งรับการ เปล่ียนแปลงไดท ันอาจสงผลสะเทือนถึงความเขม แขง็ ของครอบครวั ไทยตอ ไป 6.2 ความเขาใจตอ คุณลกั ษณะเฉพาะของเดก็ ปฐมวยั เด็กปฐมวัยเป็นวัยแรกเร่ิมการเดินทางของชีวิตและการเรียนรูที่จะสะสมเป็นประสบการณแ ในการเตบิ โตและ พัฒนากา วไปสูความเป็นผูใหญท่ีสมบูรณแ แตละยางกาวของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในชวงวยั นี้วยั นี้จงึ เป็นชวงวกิ ฤต เปน็ พน้ื ฐานท่ีสําคัญและมีอิทธิพลตอพัฒนาการดานตาง ๆ ของบุคคลท่ี จะเตบิ โตเป็นผูใ หญในอนาคต 6.2.1 เป็นวัยที่สมองเจริญเติบโตอยางรวดเร็ว ชวงปฐมวัยเป็นระยะท่ีสมองมีการ เจริญเติบโตมากท่ีสดุ มกี าร เคลื่อนไหวรา งกาย ใชพลงั งานในการเลน และการทาํ กิจกรรมตาง ๆ เป็นผล ใหรางกายตองการอาหารมาก ถาเด็กได รับสารอาหารไมเพียงพอในชวงน้ี จะเป็นผลเสียตอการ เจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กมาก พอแม ผูปกครองจึง ตองดูแลเอาใจใสใหอาหารเด็กใหเพียงพอ มสี ารอาหารครบถวนเปน็ ประโยชนตแ อ รางกายอยางแทจ รงิ 6.2.2 เปน็ วยั ทเี่ สีย่ งตอการติดเชือ้ และเจบ็ ปุวยไดง าย เดก็ วัยนีย้ งั เป็นวยั ออนแอของชวงชวี ิต รางกายยังบอบบาง ไมแข็งแรง ความตานทานโรคต่ํา สามารถติดเช้ือหรือติดตอโรคไดงาย พอแม ผูปกครองจึงตองระมัดระวังดูแลรักษา สุขภาพเด็กวัยนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะตองนําเด็กไปตรวจสุขภาพ รางกายเป็นประจําอยางนอยปีละ 2 ครั้ง รวมท้ังตอง พาเด็กไปรับวัคซีนสรางเสริมภูมิคุมกันโรคเด็กที่ จาํ เปน็ ใหครบทกุ ชนิดดวย 6.2.3 เป็นวัยทไี่ มชอบการอยูน ่ิงเฉย เดก็ วยั นชี้ อบเลน บางคร้ังชอบเลนโลดโผน และรุนแรง ยังไมรจู กั ระมัดระวังอุบตั ิเหตตุ า ง ๆ จึงเปน็ วัยท่ีเกิดอบุ ัตเิ หตุไดม ากท่ีสุด ดังน้ัน พอแม ผูปกครองจึงควร ดแู ลระมดั ระวงั ไมปลอยใหเ ด็กเลนตามลําพังในสถานท่ีท่อี าจเกดิ อนั ตรายแกเด็กได
39 6.2.4 เป็นวัยที่กําลังคนหาเอกลักษณแของตนเอง เด็กปฐมวัยจะรูสึกเป็นอิสระมากข้ึน ใน ระหวางท่ีมีการ เปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ เด็กบางคนอาจแสดงการตอตานทุกส่ิงทุกอยางที่พอแม ผูป กครองบอกใหทาํ โดยไมม เี หตุผล เดก็ จะตอบสนองในลกั ษณะปฏิเสธเสมอ พอแม ผูปกครองจึงตองใช ความอดทนและทาํ ความเขา ใจใหไ ดวา เด็กกําลัง คนหาเอกลักษณแของตัวเอง ตองการลักษณะโดดเดนท่ี เป็นของตนเอง ไมตองการใหใครมาบอกวาตองทําอะไร หรือ ไมใหทําอะไร แตตองการทําตามความ พอใจของตนเอง พอ แมผปู กครองตองเขาใจและตอบสนองความตองการของ เด็กโดยการใหเด็กมีอิสระ พอสมควร จดั สภาพแวดลอมใหปลอดภัย จะทาํ ใหเ ดก็ มคี วามมัน่ ใจ ถาไมไดรับการ ตอบสนองอาจสงผล ใหเกดิ ปใญหาดานอารมณแแ ละพฤตกิ รรมได 6.2.5 เปน็ วัยทเี่ รม่ิ ชว ยเหลือตนเองเด็กปฐมวัยเป็นชวงสําคัญของชีวิตท่ีเปล่ียนแปลงจากวัย ทารกซงึ่ พงึ่ ตนเอง ไมไดเ ลย มาเริ่มตนชวยเหลือและพ่ึงพาตนเองไดมากข้ึน เด็กชอบทดลองทําส่ิงตาง ๆ จึงเป็นวัยที่เสี่ยงตอการเกิด อุบัติเหตุ ดังน้ัน พอแม ผูปกครองตองระมัดระวังปูองกันอยางดี อยาปลอย ใหเ ด็กทําอะไรที่เกนิ ความสามารถของ เดก็ วัยน้ที ี่อาจกอ ใหเ กิดอนั ตรายแกเ ดก็ ได 6.2.6 เปน็ ชวงวัยแหงการวางรากฐานของบุคลิกภาพ ชวงปฐมวัยเป็นระยะท่ีเกิดการเรียนรู มากทสี่ ุดในชีวิต การเรียนรูเหลา น้ีจะมอี ทิ ธิพลตอ บคุ ลกิ ภาพของชีวติ เด็กในอนาคต เด็กวัยนี้จึงมีลักษณะ อยากรอู ยากเหน็ ชางซกั ชางถาม สนใจสิ่งแวดลอ มท่ีอยรู อบตัว ชอบเลยี นแบบพอ แม ผูใ หญท่ีอยรู อบตัว ดังนั้น พอแม ผูปกครอง จึงควรชวย สงเสริมบุคลิกภาพที่ดีใหแกเด็ก เป็นแบบอยางท่ีดีแกเด็ก จัด กจิ กรรมท่ีชว ยสรางเสรมิ บุคลกิ ภาพทดี่ ใี หเด็กดว ย 6.2.7 เป็นวัยท่ีตองเตรียมตัวเพื่อเขาเรียนการศึกษาภาคบังคับ เด็กปฐมวัยตองพยายาม ชวยเหลือตนเอง และ ปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอมและกฎกติกาของสถานศึกษา จึงควรสงเสริมให เด็กเรียนรูที่จะควบคุมตนเอง ปรับตัวใหเขากับผูอ่ืนไดดี และรูจักส่ิงตาง ๆ รอบตัว เพ่ือไมใหเกิดปใญหา ดานอารมณแความรสู ึก สรุปไดว า เด็กในชว งปฐมวัยเปน็ วยั ทีม่ ีความสําคัญมาก เนอื่ งจากสังคมที่แวดลอมตัวเด็กสามารถ กําหนดให เด็กมีบุคลิกภาพท่ีแตกตางกันได และการกําหนดบุคลิกภาพของเด็กนี้จะเกิดข้ึนไดงาย เม่ือ เด็กยังมีประสบการณแไม มากนัก เด็กปฐมวัยเริ่มเรียนรูโลกภายนอกมากข้ึน และรูจักปรับตัวใหเขากับ สภาพแวดลอ มไดอ ยา งเหมาะสม หาก ไดรับการอบรมเลีย้ งดูทีส่ อดคลองกับความตองการตามวัย 6.3 ความเขา ใจตอบทบาทของครอบครวั ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย การพฒั นาเด็กปฐมวัยผานการอบรมเล้ียงดูของพอแม มีผลตอพฤติกรรมและบุคลิกภาพของเด็ก เป็น อยางย่ิง เป็นการดูแลเด็กท่ีตองใชทั้งศาสตรแและศิลป พอแมจําเป็นตองเขาใจลักษณะพัฒนาการ และพฤติกรรมที่เกิด ขึ้นกับเด็กวัยตาง ๆ มีเจตคติที่ดีตอเด็ก ยอมรับความสําคัญของเด็ก รับฟใงความ คิดเห็น อบรมสั่งสอนดวยเหตุผล ใหโอกาสเด็กไดแสดงความคิดเห็น ตัดสินใจ มีสวนรับรูรับผิดชอบตอ กิจกรรมตาง ๆ ของครอบครัว สามารถแสดง ความสามารถตาง ๆ ไดอยางเต็มที่ พอแมคอยช้ีแนะ แนวทางทถ่ี กู ตอ งดวยเหตุผล และสามารถใหความรัก ความ อบอุนใกลชิดตอเดก็ ไดอยา งเตม็ ทส่ี มา่ํ เสมอ
40 การพัฒนาเด็กปฐมวัย นอกจากมีเปูาหมายสําคัญอยูท่ีการอบรมบมนิสัยเพื่อเป็นพ้ืนฐานที่ดีเม่ือ เด็กเติบโต ข้ึนแลว พอแมผูปกครองยังตองจัดประสบการณแการเรียนรูใหกับเด็กดวย และตองเป็น ประสบการณทแ เ่ี ด็กอยาก เรียนและเรยี นรูไดอยางเหมาะสมกับวัย ท่ีจะชวยใหเด็กมีความมั่นใจในตนเอง มีความสามารถ ความปรารถนาที่จะ เรียนรูสิ่งตาง ๆ เพื่อใหสามารถดํารงชีวิตอยูในโลกที่กําลัง เปล่ียนแปลงอยางรวดเร็วนี้ได ความคิดริเริ่มสรางสรรคแก็ เป็นส่ิงจําเป็นที่จะชวยใหเด็กสามารถใช ความคิดประดิษฐแส่งิ ตา งๆ ไดแ ปลกแตกตางจากที่เคยทํา นอกจากนี้ เด็กควร มีโอกาสไดเลน เพราะการ เลนเป็นสิ่งสําคัญในอันที่จะชวยใหเด็กมีพัฒนาการดานรางกาย ชวยเสริมสรางรางกายให แข็งแรง สมบูรณแ มีความมนั่ ใจในตนเอง เรยี นรทู จี่ ะอยรู ว มกบั ผูอนื่ รจู กั อดทนและรอคอย มีสุขภาพจิตท่ีดี และท่ี สําคัญไดคนพบความสัมพันธแของสิ่งตาง ๆ รอบตัว ไดฝึกคิดไดหลายแงหลายมุม ตลอดจนการประดิษฐแ คดิ คน สิง่ แปลก ๆ ใหม ๆ จึงอาจกลาวไดวา เพ่ือใหประสบความสําเร็จในการอบรมเลี้ยงดูเพ่ือปูพ้ืนฐาน ลักษณะนิสัยที่ดีให กับเด็ก รวมถึงการสงเสริมพัฒนาการใหเด็กไดอยางถูกตองเหมาะสมกับวัย พอแม ผปู กครองควรมีบทบาทในการเลยี้ งดู และอบรมเดก็ ปฐมวยั โดยปลูกฝใงคุณลักษณะตาง ๆ ที่เป็นพ้ืนฐาน การพัฒนาเด็กในชว งวยั ตอ ๆ มา (ปรียา เกตุทตั 2552: 269-271) ดังนี้ 6.3.1 การเรียนรูการพ่ึงตนเองเด็กจะเร่ิมคิดวาตนเองเป็นบุคคลคนหนึ่ง และอยากมีอิสระ พงึ่ พาตนเองได พอ แมควรใหคําแนะนําและสงเสริมใหเด็กชวยตนเองอยางเหมาะสมกับวัย เชน การทํา กิจวัตรกอนเขานอน การเตรียม กระโถนปใสสาวะ ฯลฯ เด็กจะภาคภูมิใจมากที่ไดทําบางส่ิงบางอยางให ตนเอง ดังนนั้ พอ แมจงึ ตองคิดอยเู สมอวา จะ ใหเด็กชวยเหลือตนเองในเรือ่ งอะไรและอยา งไร เพื่อชวยให เด็กประสบความสําเรจ็ ดา นน้ี เชน เมื่อเด็กเร่ิมชวยเหลือ ตนเองดานการแตงกาย พอแมควรชวยแคไหน อยางไร พอแมตองคิดอยูเสมอวาจะชวยใหเด็กเรียนรูการทํากิจกรรม ตาง ๆ ดวยตนเอง ตัดสินใจเอง รวมถึงการเลือกสิ่งตา ง ๆ ดว ยตนเองไดอ ยางไรจงึ จะเหมาะสม เชน การเลือกเสื้อผา ที่จะสวมใส เปน็ ตน 6.3.2 การเรียนรูการใหการแบงปในความรัก และการรับความรักความอบอุนจากเพ่ือนรุน เดยี วกัน จากผูใหญ ทง้ั ในครอบครวั และบคุ คลภายนอก เดก็ วยั นี้ตองการท่ีจะไดรับความรักและเป็นท่ีรัก เดก็ จะรสู ึกวา ตนเองมคี ุณคา ตนเองมีคนที่รกั ไมว าจะเป็นพอแม ผูปกครอง ครู หรือเพื่อน เมื่อเด็กไดรับ ความรัก เด็กก็จะแบงปในความรักของตน ใหกับคนอ่ืนเชนกัน ระยะแรกเด็กจะยึดตนเองเป็นศูนยแกลาง เมื่อโตขนึ้ เดก็ เริ่มเรียนรทู จ่ี ะเป็นผูใหและผูรับความรัก อุปกรณแของเลนและสิ่งของตาง ๆ จากบุคคลอื่น ถาเด็กไมไดรับความรักจะกลายเป็นคนเห็นแกตัว กาวราว อิจฉา ดังนั้น พอแมตองเขาใจธรรมชาติของ เด็ก เขาใจจิตวิทยาเด็ก เพ่ือใหสามารถตอบสนองในดานการใหความรัก ความ อบอุนใกลชิดแกเด็กได อยางถูกตอ งและเหมาะสม ไมใชการหลงหรือการตามใจจนมากเกินไป 6.3.3 การเรียนรูการมีสัมพันธภาพท่ีดีกับบุคคลอ่ืน การท่ีเด็กจะมีสัมพันธภาพท่ีดีตอสังคม ภายนอกข้ึนอยูกับ ความสัมพันธแในครอบครัว ถาครอบครัวมีความสัมพันธแท่ีอบอุน รักใครปรองดองกัน เด็กกเ็ กิดความมนั่ ใจท่ีจะสรา ง ความสัมพันธแท่ีดกี ับบคุ คลอนื่ นอกจากน้ี พอ แมตอ งสงเสริมและสนบั สนุน ใหเดก็ ออกไปเลนกบั เดก็ อนื่ ๆ บา ง ความ พึงพอใจที่เดก็ ไดร บั จากการเลนกับเพ่ือน ๆ จะเป็นปใจจัยท่ีทํา
41 ใหเ ด็กมีพัฒนาการทางสังคมในดานดี พอ แมแ ละผปู กครองตองชวยใหเด็กไดมีโอกาสสรางปฏิสัมพันธแกับ บคุ คลอ่ืนอยา งมคี วามสุข เดก็ จะไดเ รยี นรูวธิ ีการท่ีจะทําให 6.3.4 การพฒั นาวินยั ในตนเองพอ แมต องสงเสริมใหล ูกมีความสามารถในการควบคุมตนเอง นําทางใหตนเอง ได เด็กจะไมพัฒนาการมีวินัยในตนเอง ถาพอแมคอยควบคุมแนะนําเด็กอยูตลอดเวลา เด็กจะตองเรียนรูพฤติกรรม ที่พึงประสงคแ และเหตุผลที่ตองแสดงพฤติกรรมน้ัน ๆ พอแมควรอธิบายให เด็กฟใงวาพฤติกรรมที่เหมาะสมน้ันเป็น อยางไร ใหประโยชนแแกตนเองและผูอ่ืนอยางไร เมื่อเด็กมี ความคิด ความเขาใจเพ่มิ ข้นึ เดก็ จะพฒั นาพฤติกรรมที่ พึงประสงคแ ความกลัวท่ีเกิดจากการบงั คับขมขูให ทําพฤติกรรมตาง ๆ ไมสามารถชวยใหเด็กมีวินัยในตนเองได พอแม ควรใหโอกาสเด็กไดตัดสินใจดวย ตนเอง เพือ่ เดก็ จะไดเ กิดความมัน่ ใจในตนเอง และสามารถตัดสินใจและเลือกทํา กิจกรรมดวยตนเองเม่ือ ไมมีผูใหญอยดู ว ย 6.3.5 การเรียนรูบทบาททางเพศที่เหมาะสม การเรียนรูในครอบครัวมีผลตอการพัฒนา บทบาททางเพศที่ เหมาะสมใหแกเด็ก การพัฒนาบทบาททางเพศเป็นกระบวนการตอเน่ืองท่ีจะชวยให เดก็ ชาย หญงิ แสดงพฤตกิ รรมท่ี เหมาะสมกบั บทบาททางเพศของตน เชน เด็กชายจะไดรับการเสริมแรง ใหเ ลน ท่ีคอ นขางรุนแรง การเลน กีฬากลางแจง สนใจในเคร่ืองจักรกล ในขณะทเี่ ดก็ หญงิ จะถูกสอนใหเชื่อ ฟใงผูใหญ มีความออนหวาน นารัก มีความออนไหวทาง อารมณแ กระบวนการที่พอแมผูปกครองใหการ เรียนรูและกลอมเกลาเด็กในเร่ืองบทบาททางเพศ รวมทั้งการเป็น ตัวแบบท่ีดีใหแกเด็กน้ี มักจะเกิดข้ึน อยางไมร ูตวั แตมีอทิ ธพิ ลตอการแสดงออกทางเพศของเด็กอยางมาก เมื่อโตข้ึน การกําหนดบทบาททาง เพศจะไดรับอิทธิพลจากเพ่ือนและมาตรฐานของสังคมเพ่ิมขึ้น อันมีผลใหเด็กสามารถพัฒนา บุคลิกภาพ ทางเพศไดอ ยา งเหมาะสมสอดคลอ งกบั ความคาดหวังของสังคม 6.3.6 การเรียนรูรางกายของตนเองพอแมตองชวยแนะนําและส่ังสอนเด็กใหเขาใจถึง ความสําคัญของรางกาย ตนเอง ใหรูจักการรบั ประทานอาหารท่มี คี ณุ คา บํารุงรางกาย เนื่องจากเด็กวัยนี้ สมองและรางกายกําลังเจริญเตบิ โต อยา งรวดเรว็ เปน็ ระยะท่ีเด็กชอบเคลื่อนไหว ไมอยูนิ่ง ชอบเลนและ ทํากิจกรรมตลอดเวลา เด็กจึงจําเป็นจะตองได อาหารท่ีมีสารอาหารครบถวน ถูกสัดสวนตามที่รางกาย ตอ งการ รวมท้งั การดแู ลรกั ษารางกายใหมสี ขุ ภาพทดี่ ี ไดร ับ วคั ซนี เพ่อื สรา งภมู ิคมุ กนั โรคอยา งครบถวน 6.3.7 การเรียนรูและฝึกทักษะการเคลื่อนไหวของกลามเน้ือเล็กและใหญ เด็กวัยนี้จําเป็นท่ี จะตองไดรับการฝึก ทักษะการเคลื่อนไหวตาง ๆ ท่ีมีประโยชนแและจะเป็นพ้ืนฐานของทักษะ ท่ีละเอียด ประณีตยิ่งข้ึนในวัยตอไป เด็กที่มี ทักษะการเคล่ือนไหวจะพ่ึงพาผูอื่นนอยลง ทักษะบางประเภทชวยให เดก็ สามารถมีสมั พนั ธภาพที่ดีกับผูอื่นได พอแม และผูปกครองตองสงเสริมใหเด็กไดรับประสบการณแตาง ๆ ไดทํากจิ กรรมที่สงเสรมิ กลา มเน้ือเล็กและใหญ เพ่ือให เกิดทักษะการเคล่ือนไหวไดคลองแคลวขึ้น พอ แมอาจแบงงานท่ีเด็กสามารถทําไดอยางเหมาะสมกับวัยใหเด็กทําบาง เพ่ือใหเด็กไดเรียนรูชีวิตท่ีแทจริง เรียนรูการมีสัมพันธภาพกับผูอ่ืน เรียนรูความอดทน ความเหน่ือยยากในการทํางาน ทักษะบางอยางพอ แมต อ งชี้แจงใหเ ดก็ รูวาจะทาํ อยางไรจึงจะเกดิ ผลดี ถาใหเ รยี นรูจากการลองผิดลองถูก อาจเสีย เวลาและ
42 ฝึกไดไมดเี ทาท่คี วร แตถาไดมกี ารแนะนําชี้แจงควบคูกันไป เด็กจะเรียนรูไดอยางรวดเร็วและพอใจในผล ทไี่ ดรบั มากกวา 6.3.8 การเรียนรูส่ิงท่ีอยูรอบตัว เด็กปฐมวัยกําลังเจริญเติบโตและพัฒนาความคิดความ เขาใจอยางเป็นเหตุ เป็นผลทีละเล็กละนอย เร่ิมเขาใจผูคนและสิ่งแวดลอมท่ีอยูรอบตัว แตความเขาใจ ของเดก็ ยังไมลกึ ซึง่ ไมสามารถมองโลก ไดหลายแงมมุ เด็กจะยงั ไมเขาใจเหตุการณแตาง ๆ ท่ีไมไดเห็นดวย ตาตนเอง ดงั นนั้ พอแมไมควรตั้งความคาดหวัง เกินกวาท่ีเด็กจะทําได ถาเรงรัดเด็กมากเกินไป จะทําให เด็กหงุดหงดิ และยับยงั้ ความอยากรูอยากเห็นของเด็กได พอ แมและครูตองชวยใหเด็กไดมีประสบการณแ ตา ง ๆ ผา นประสาทสัมผสั หลายทางอยางเหมาะสมกับวัย ความถนดั และความสนใจของเดก็ เพอ่ื สง เสริม ใหเด็กมีความอยากรูอยากเห็น มีเหตุมีผล ฯลฯ ซ่ึงเป็นคุณลักษณะพื้นฐานที่สําคัญของผูท่ีชอบแสวงหา รางเสรมิ นิสยั รักการอาน การชวนเดก็ 6.3.9การเรียนรูภาษาการใชภาษาเพ่ือติดตอกับผูอื่นในสังคม และการสราง พูดคุยถึง เร่ืองราวตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับเด็ก เชน เรื่องที่โรงเรียนเป็นแนวทางหน่ึงท่ีพอแมสามารถใชพัฒนา ความสามารถในการพูดสื่อสารของเด็กได เด็กอายุ 3 ปี ยังจําเรื่องราวตาง ๆ ไมไดมากนัก และยังรู คาํ ศพั ทแคอนขา งจํากดั จึงไมสามารถหาคําพดู ท่เี หมาะสมมาอธิบายเรื่องราวตาง ๆ แตเมื่ออายุมากขึ้นเด็ก จะสามารถเลาเร่ืองราวตาง ๆ ใหพอแมฟใงไดและพยายามหาคําอธิบาย เหตุการณแตาง ๆ เหลานั้น การ ชวนเด็กพูดคุยขณะทํากิจกรรมรวมกัน เป็นอีก พอแมฟใงได และพยายามหาคําอธิบายเหตุการณแตาง ๆ เหลานั้น การชวนเด็กพูดคุยขณะทํากิจกรรมรวมกัน เป็นอีกแนวทางหน่ึงที่พอแมสามารถพัฒนาการ เรียนรภู าษาใหกบั เดก็ ได พอแมสามารถเปน็ แบบอยางในการใชค ําพูดท่ีเหมาะสม รวมทัง้ ชว ยแกไ ขการใช คาํ พดู ของเด็กถกู ตองและเหมาะสมยิง่ ขน้ึ ได การเลานทิ านหรือการอานหนังสอื ใหเด็กฟงใ เป็นอีกกิจกรรม หน่ึงทม่ี ีความสาํ คญั เป็นอยา งยง่ิ ท่ีพอ แมผ ูป กครองตองใหความสําคัญและทาํ อยา งตอเน่อื งอยา งสมา่ํ เสมอ เพราะกิจกรรมดังกลาวจะสามารถชวยเสริมสรางนิสัยรักการอานใหเด็กได ชวยใหเด็กคุนเคยกับหนังสือ และเรียนรูวาหนังสือใหความสนุกสนาน ขณะอานใหเด็กฟใง ถาพอแมใชน้ิวชี้คําตาง ๆ เพื่อใหเด็กได เรียนรูวามีตัวหนังส่ือเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณแของคําพูดที่เด็กไดยินในเรื่องรานั้นๆ ใหเด็กเขาใจวามี สัญลักษณแบางอยางบนกระดาษแทนสิ่งของเร่ืองราว และสัญลักษณแน้ันมีลักษณะอยางไร เขียนอยางไร สงิ่ เหลา นจี้ ะชว ยเตรียมความพรอ มใหเ ด็กกอนเขา เรยี นในระดับประถมศกึ ษาตอไป 6.3.10 การพัฒนาคุณคาแหงตนและความสัมพันธแกับโลกภายนอกในแงดีพอแมมีอิทธิพลอยาง มากในการปลูก ฝใงใหเด็กรูคุณคาการนับถือตน การเรียนรูเก่ียวกับความเป็นตัวของตัวเองของเด็กวัยน้ี เริ่มจากการท่ีเด็กรูวาตนเอง แตกตางจากผูอ่ืน เมื่อเด็กไดรับการสงเสริมใหทํากิจกรรมตาง ๆ เชน การ หยบิ จบั สิง่ ของ กรอกนําใสข วด รินนํ้าดื่ม เอง ปูอนขาวเอง ไดเลน สนุกตามทตี่ องการ ฯลฯ เด็กจะรูสึกวา ตัวเองมคี วามสามารถและยอมรับนับถือตนเอง รวมทง้ั ภาคภูมใิ จในสภาพรางกายของตนเอง นอกจากนี้ พอแมต อ งเป็นที่ปรกึ ษาคอยแนะนํา ใหก ําลงั ใจเมื่อเด็กทําส่งิ ใด สง่ิ หนงึ่ ผดิ พลาดส่งิ เหลานี้จะเป็นรากฐาน อันม่ันคงของบุคลิกภาพเมื่อเด็กโตขึ้นเป็นรากฐานท่ีสําคัญของการสราง ความสัมพันธแกับผูอ่ืน เม่ือเด็ก
43 เกิดความม่ันใจไววางใจบคุ คลทอ่ี ยูใกลช ิด เดก็ จะเผื่อแผส มั พันธภาพความรูสึกไววางใจ และการมองโลก ในแงด อี อกไปสูสงั คมภายนอกได สรุปไดว า ครอบครัวมีบทบาทสําคัญในการชวยใหเด็กไดรูจักตนเอง พึ่งพาตนเอง เรียนรูบทบาท ทางเพศท่ี เหมาะสม และเรียนรกู ารใหแ ละการรับ การสรางความสัมพันธแท่ีดีกับคนอ่ืน สามารถใชภาษา ในการตดิ ตอสือ่ สารกบั คนอ่นื ได รวมถึงสามารถเขา ใจและเรียนรสู ่ิงตา ง ๆ ท่ีอยูรอบตัว
44 บรรณานุกรม คณะอนุกรรมการดานครอบครัวในคณะกรรมการสงเสริมและประสานงานสตรีแหงชาติ ( 2537) นโยบายและแผนงานสตรีระยะยาว (2535-2544). กรุงเทพมหานคร อมรินทรแ พริ้นตง้ิ จรรยา สุวรรณทัต และจิตตินันทแ เดชะคุปตแ (2555) รายงานการวิจัยเร่ืองการพัฒนาระบบ สารสนเทศครอบครัว สาํ นกั พมิ พแมหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช ฉลาดชาย รมิตานนทแ (2542) การศึกษาครอบครัวไทย ข้อคิดและแนวทางการศึกษา วารสาร สังคมศาสตรแ 11(2) มกราคม-มิถุนายน) หนา 1-20 เฉลียว บุญยงคแ (2538) การศึกษาชีวิตครอบครัว พิมพแคร้ังท่ี 5 กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัย รามคาํ แหง ชไมมน ศรสี ุรกั ษ (2545) การประเมนิ ผลพฒั นาการเด็กปฐมวยั เชยี งใหม สถาบันราชภฏั เชยี งใหม ปรียา เกตุทัต (2542) การอบรมเล้ียงดูเด็กก่อนวัยเรียน ใน เอกสารการสอนชุดวิชาพัฒนาการเด็ก และการเลี้ยงดู เล่มท่ี 2 หนวยท่ี 8-15 นนทบุรี สาขาวิชาคหกรรมศาสตรแ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช ราชบัณฑิตยสถาน (2525) พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 กรุงเทพมหานคร อักษรเจริญ ทัศนแ __________(2542) พจนานกุ รมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 กรุงเทพมหานคร นานมบี คุ฿ รจุ า ภูไพบลู ยแ (2537) การพยาบาลครอบครวั : แนวคิดทฤษฎแี ละการนาไปใช้ ขอนแกน่ ภาควิชาการ พยาบาลแม่และ 3 คณะพยาบาลศาสตรแ มหาวิทยาลยั ขอนแกน ศรีสวาง พัววงศแแพทยแ (2537) ครอบครัวไทย: ปัญหาและแนวทางแก้ไข วารสารการ ประชาสงเคราะห์ 37(6) (พฤศจิกายน-ธันวาคม) หนา 20-24 สนิท สมัครการ (2538) การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมกับพัฒนาการของสังคม กรุงเทพมหานคร โครงการสง่ เสริมเอกสารวชิ าการ สถาบันบัณฑติ บรหิ ารศาสตรแ สมาคมคหเศรษฐศาสตรแแหง ประเทศไทย (2524) ตาราครอบครัวสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร สมาคมคห เศรษฐศาสตรแแ หงประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภแ สิริมา ภิญโญอนันตพงษแ (2550) เอกสารการสอนวิชาการศึกษาปฐมวัย กรุงเทพมหานคร หลักสูตร ครศุ าสตรบณั ฑิตสาขาการศึกษาปฐมวยั มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดสุ ติ สพุ ัตรา สุภาพ (2540) สงั คมวทิ ยา กรงุ เทพมหานคร สํานกั พมิ พแไทยวัฒนาพานิช หรรษา นิลวิเชียร (2534) ปฐมวัยศึกษา: หลักสูตรและแนวปฏิบัติ ปัตตานี แผนกวิชาประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตรแมหาวิทยาลยั สงขลานครินทรแ วทิ ยาเขตปใตตานี Seefeldt & Barbour, Nita. (1986). Early childhood education: An introduction primary grades. Boston: AllynBacan Publishing Co., Inc. Massoglia. (1977). Early childhood in the home. NY: Deimar
45 หน่วยท่ี 2 บทบาทของครอบครัวในระยะมีบตุ รในชว่ งปฐมวยั แนวคดิ เกี่ยวกบั พฒั นาการและพัฒนกิจของครอบครัวในระยะท่มี เี ดก็ แรกเกิด ถงึ อายุ 1 ปี ครอบครัวเป็นสถาบันแรกท่ีมีความสําคัญท่ีสุดในการทําหนาท่ีเล้ียงดูเด็กปฐมวัย ใหความรัก ความอบอุน แกทุกคนในครอบครัว รวมถึงทําหนาที่ใหการอบรมส่ังสอนท้ังดานคุณธรรมและอริยธรรม แกท ุกคนในครอบครัว สําหรับพัฒนกิจของครอบครวั นนั้ นอกเหนือจากการจดั เตรียมสถานที่ การเตรียม คา ใชจ า ยสําหรับบุตรในปใจจุบัน แลวยังตองเตรียมคาใชจายอื่น ๆ และเตรียมเพ่ือสําหรับบุตรในอนาคต รวมถึงคนในครอบครัวยังตองเตรียมกาย และใจ ตลอดจนการสื่อสารท้ังกับบุคคลภายในครอบครัวและ บคุ คลภายนอกที่เกยี่ วขอ งดว ยเพื่อใหบ รรลพุ ัฒนกิจ ของครอบครวั ในระยะท่ีมีเดก็ แรกเกิดถึงอายุ 1 ปี 1. พัฒนาการครอบครัวในระยะทีม่ ีเด็กแรกเกดิ ถงึ อายุ 1 ปี เน่ืองจากพฒั นาการครอบครวั เป็นการเปลยี่ นแปลงของครอบครัวที่เกิดจากการเพ่ิม ขยาย หรือ ลดลงของ ขนาดครอบครัวซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา การแบงระยะพัฒนาการของครอบครัวมี หลายแนวคิด ในท่ีนี้ การแบงระยะพัฒนาการครอบครัวออกเป็นระยะตางๆ ไดอาศัยแนวคิดพ้ืนฐานมา จากดูวาลลแ (Duval) และมิลเลอรแ (Miller) (Duvall, 1977) สําหรับในเรื่องที่ 2.1.1 จะกลาวถึงเฉพาะ ครอบครัวท่ีมีเด็กปฐมวัยในชวงวัยแรกเกิดถึง 1 ปี ซึ่งพัฒนาการครอบครัวสามารถพิจารณาไดใน 2 ระยะ ดังน้ี ระยะท่ี 1 ครอบครัวระยะเร่ิมต้น (Stage I: Beginning families) เป็นระยะต้ังแตการสมรส จนกระท่ังภรรยา คลอดบุตรคนแรก ระยะน้ีเป็นระยะที่คูสมรสตองปรับตัวสําหรับบทบาทใหมท่ีเกิดข้ึน คือ การเปน็ พอแม การเรียนรู นิสยั ใจคอกัน และการรวมดูแลลูกที่ยังเล็กท่ียังชวยเหลือตนเองไมได จาก สถิติอัตราการเกิดของเด็กแรกเกิดใน ประเทศไทยของสํานักนโยบายและยุทธศาสตรแสํานักงาน ปลดั กระทรวงสาธารณสุข (2553) พบวา จาํ นวนและอัตรา เกิดตอ ประชากร 1,000 คนในประเทศไทยมี แนวโนมลดนอยลงในทุกปี ตั้งแตปี 2553 เป็นรอยละ 12 เมื่อเปรียบเทียบ กับปี 2550 ปี 2551 และปี 2552 คิดเปน็ รอยละ 12.7, 124 และ 12.1 ตามลําดับ ระยะท่ี 2 ครอบครัวระยะมีเด็กคนแรก (Stage II: Childbearing families) เป็นระยะท่ี ครอบครัวเริ่มมีบุตร คนแรกจนกระท่ังบุตรอายุถึง 1 ปี ดังน้ัน ครอบครัวตองชวยกันดูแลเด็กท่ียังไม สามารถชวยเหลือตนเองได ซึ่งพบวา การเจ็บปุวยของเด็กท่ีอายุตํ่ากวา 5 ปีที่พบบอย คือ โรคติดเชื้อ เฉยี บพลนั ระบบทางเดินหายใจ ซึง่ ไดแ กโรคหวดั และ โรคปอดบวมสวนความเจ็บปุวยที่รองลงมาคือโรค ระบบทางเดินอาหารไดแกโรคอุจจาระรวง (ลัดดา เหมาะสุวรรณ และคณะ 2543) นอกเหนือจากการ ดูแลดา นสขุ ภาพแลว ครอบครวั ยังมพี ัฒนกิจในการอบรมเลี้ยงดูและสง เสรมิ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292