อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ความปลอดโปรง่ ของพระคณุ เจา้ ’ เดยี รถยี เ์ หลา่ นน้ั พอใจค�ำของนางปรพิ พาชกิ ายง่ิ นกั คนหนง่ึ กลา่ วขึ้นว่า ‘ดูก่อนน้องหญิง พวกเราจะไม่ลืมความดีของน้องหญิงใน คร้ังนี้เลย ถ้างานใหญ่ครั้งนี้ส�ำเร็จ เธอย่อมมีความชอบอย่างสูง อนึ่ง เธอบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงจะช่วยพวกเราได้อย่างไร น้องหญิง กเ็ ธอทราบมใิ ชห่ รอื วา่ อะไรเลา่ จะเปน็ ความเสอ่ื มเสยี อยา่ งรา้ ยแรง สำ� หรบั นกั พรตยงิ่ ไปกวา่ การคลกุ คลเี กย่ี วขอ้ งดว้ ยสตรเี พศ เหมอื น หนอนเปน็ อนั ตรายอยา่ งยง่ิ สำ� หรบั เนอื้ จญิ จมาณวกิ าเอย เธอจงอาศยั ความเป็นหญิงของเธอนั่นแล ท�ำลายเกียรติยศอันรุ่งเรืองย่ิงของ 200 พระสมณโคดมใหท้ ลายลง’ นางจิญจมาณวิกากล่าวว่า ‘ข้าแต่พระคุณเจ้า ถ้าอย่างนั้น ไวเ้ ปน็ หนา้ ทข่ี องขา้ พเจา้ เอง คงจะสำ� เรจ็ สมประสงค’์ แลว้ นางกล็ า กลับไป หลังจากนั้น ๒-๓ วัน ชาวนครสาวัตถีผู้เล่ือมใสในพระผู้มี พระภาคเจา้ และไปฟงั พระธรรมเทศนาทกุ ๆ เยน็ เมอื่ กลบั ออกจาก วดั เชตวนั จะเหน็ นางจญิ จมาณวกิ าปรพิ พาชกิ าเดนิ สวนทางเขา้ ไปใน อาราม เมื่อมีผู้ถามนางว่าจะไปไหน ก็ตอบเพียงว่า ธุระอะไรของ พวกทา่ นทีจ่ ะตอ้ งร ู้ และแล้วก็เดนิ เข้าไปในวดั เชตวนั ตอนเชา้ เมอื่ มหาชนเขา้ สวู่ ดั เชตวนั ถวายยาคแู ละภตั ตาหาร แกพ่ ระผมู้ ีพระภาคและพระสงฆ ์ เธอจะเดินสวนออกมาจากวัดอีก เมอ่ื ถกู ถามวา่ นางมาจากไหน นางจะตอบอยา่ งเดยี วกนั วา่ ธรุ ะอะไร ของทา่ นท่ีจะต้องรวู้ ่าเรามาจากไหน และนอนทไ่ี หน
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า นางท�ำอยู่อย่างน้ีประมาณ ๒ เดือน และท�ำอย่างสม�่ำเสมอ ทุกวัน ครานี้เองด้วยอาการดังว่าจะปลงใจท�ำบุญเพราะเหลือเอือม เสยี ท ี เมอื่ มผี หู้ นงึ่ ในมหาชนทกั ถามขนึ้ อกี ในหนนน้ั นางจงึ กลา่ ววา่ ‘ท่านทั้งหลายไปเฝ้าพระศาสดาท้ังเช้าและเย็น เคารพบูชา พระองคอ์ ยา่ งสงู แมพ้ ระราชาแหง่ แควน้ โกศลผทู้ รงศกั ด์ิ กเ็ ทดิ ทนู พระองคอ์ ยา่ งหาทเี่ สมอเหมอื นมไิ ด ้ แตท่ งั้ ทา่ นทง้ั หลายและทงั้ พระ ราชากห็ าทราบไมว่ า่ คนอนั เปน็ ทรี่ กั อยา่ งยง่ิ ของพระมหาสมณโคดม น้ันคือใคร’ นางพดู ท้งิ ไว้แคน่ ั้นแลว้ กย็ ม้ิ อย่างเยาะโลก ‘ก็ใครเล่าเป็นที่รักอย่างยิ่งของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ น้นั ทา่ นรูห้ รอื ?’ ประชาชนซกั ถามสืบไปอกี ‘ท�ำไมเราจะไม่รู้ พระสมณโคดมอภิรมย์ชมชื่นด้วยผู้ใด 201 ทกุ คนื ผนู้ น้ั แหละเปน็ ทร่ี กั อยา่ งยง่ิ ของพระองค์ ทา่ นเอย ธรรมดา บุรุษที่จะว่างเว้นจากสตรีเพศส�ำหรับเชยชมน้ันจะทนอยู่ได้ไฉน อปุ มาเหมอื นกาสรฤๅจะวา่ งเวน้ จากปลกั คนทร่ี กั กนั ยอ่ มไมว่ า่ งเวน้ จากการเชยชม หรอื เหมือนพญาหงส์ยอ่ มอภิรมยต์ อ่ สระโบกขรณ ี ดาบสดาบสินีย่อมไม่ว่างเว้นด้วยการเข้าฌานเป็นการกีฬา ดูก่อน ท่านผู้มืดบอดทั้งหลาย ก็พระสมณโคดมน้ันออกจากพระราชวัง อนั โออ่ า่ เคยแวดลอ้ มดว้ ยสตรที คี่ อยแตจ่ ะบ�ำรงุ บ�ำเรอดว้ ยกามรส และบัดน้ีพระองค์ได้ว่างเว้นจากส่ิงเช่นนั้นมาเป็นเวลานาน เมื่อได้ มาพบสตรที มี่ รี ปู ทรงสะคราญตาและลำ� เพาพกั ตร ์ พระองคน์ ะ่ หรอื จะทนได ้ พระองคย์ อ่ มจะถอื โอกาสเชยชมใหส้ มกบั ทว่ี า่ งเวน้ มานาน เหมือนมัจฉาชาติซึ่งกระวนกระวายเพราะขาดน้�ำในฤดูแล้ง เม่ือ ได้ยินเสียงฟ้าร้องมาจากทิศตะวันตก ก็ย่อมจะไหวตัว และเมื่อ
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระพิรุณหลั่งลงมาห่าใหญ่หามรุ่งหามค่�ำ ท�ำให้น�้ำเจิ่งนองทุก บงึ บาง มจั ฉาชาตเิ หลา่ นน้ั จะพงึ ชน่ื ชม ถงึ แกโ่ ลดคะนองสกั เพยี งใด ดูกอ่ นทา่ นผมู้ ดื บอด ข้อนฉ้ี ันใด พระมหาสมณโคดมกฉ็ นั นน้ั ’ ‘ก็ท่านหรือเป็นท่ีรักอย่างยิ่งของพระมหาสมณโคดม?’ ประชาชนยงั ถามอยู่ ‘ข้าพเจา้ บอกท่านไวแ้ ลว้ มิใชห่ รือว่า พระสมณโคดมอภริ มย ์ ชมช่ืนกับผู้ใดทุกคืน ผู้นั้นย่อมเป็นที่รักย่ิงของพระองค์ ก็ข้าพเจ้า น่ีแหละเป็นผู้ที่พระองค์รับสั่งหาและอภิรมย์ด้วย อย่าให้ข้าพเจ้า ตอ้ งแจงอยอู่ กี เลย ทา่ นตรองเอาเองเถดิ วา่ เรอ่ื งควรจะเปน็ อยา่ งไร’ ว่าแล้วนางก็เดินไป เพ่ือให้น้�ำค�ำดุจยาพิษท่ีวางไว้ออกฤทธ์ิของมัน 202 ไปตามล�ำพัง ไมร่ อค�ำซักถามของประชาชนอกี และก็เป็นเช่นนั้น ค�ำพูดของนางก่อความสงสัยให้เกิดขึ้น ในดวงจิตของพุทธบริษัทอย่างสุดที่จะห้ามได้ ประกอบกับมีข้อ ประจักษ์อยู่ทั่วกันให้น่าเช่ือ คือเม่ือประมาณ ๒ เดือนก่อนน้ี นาง ได้เดินเข้าเดินออกอยู่ในวัดเชตวันท้ังเช้าและเย็น พวกเดียรถีย ์ ทงั้ หลายเหน็ ไดท้ เ่ี ชน่ นนั้ แลว้ กช็ ว่ ยกนั กระพอื ขา่ วใหล้ กุ ลามเหมอื น ไฟซึง่ มีเช้อื ดแี ละไดแ้ รงลม แตเ่ หตกุ ารณใ์ นวดั เชตวนั ยงั คงสงบเงยี บ ภกิ ษทุ งั้ หลายยงั คง บำ� เพญ็ สมณธรรมและสาธยายพระพทุ ธพจนต์ ามปกต ิ มบี างครงั้ ท่ี ภกิ ษบุ างรปู แสดงความจ�ำนงจะแกข้ า่ วนี้ แตพ่ ระพทุ ธองคท์ รงหา้ ม เสีย สาวกผู้เช่ือมั่นในอนาคตังสญาณแห่งศาสดาตน จึงคงได้ยิน ข่าวลอื นีด้ ว้ ยดวงใจสงบ
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ดกู อ่ นภราดา ขา้ พเจา้ เองกเ็ ดอื ดรอ้ นกระวนกระวายเกยี่ วกบั เรือ่ งนม้ี ใิ ช่น้อย แต่ก็ระงบั ลงไดด้ ว้ ยพระพทุ ธพจน์ท่ตี รสั ปลอบวา่ ‘อานนท ์ อยา่ เดอื ดรอ้ นไปเลย ผทู้ จ่ี บั คถู ปามณฑลพระจนั ทร ์ ยอ่ มจะประสบความเดือดร้อนเองด้วยเหตุ ๒ อย่าง คอื มอื ของเขา ย่อมสกปรกเปรอะเปื้อน และติดกลิ่นเหม็นประการหนึ่ง และอีก ประการหนงึ่ เขาจะโทมนสั มากขนึ้ เมอ่ื คถู ทเ่ี ขาปาขนึ้ ไปนน้ั ไมส่ ามารถ ท�ำให้มณฑลพระจันทร์แปดเปื้อนมัวหมองลงได้ แต่กลับตกลงมา ให้ศีรษะและอวัยวะต่างๆ ของผู้ปาสกปรกเปรอะเปื้อนเสียเอง ขอ้ น้ฉี นั ใด ผู้ใดพยายามใส่ความตถาคต ก็ฉันนั้น’ ดูก่อนภราดา ในกรณีน้ันพระบรมศาสดาเป็นเหมือนนาย ตำ� รวจใหญผ่ ฉู้ ลาดในการจบั ผรู้ า้ ย เมอื่ เหน็ และรลู้ าดเลาวา่ ผรู้ า้ ยจะ 203 เข้าปล้นบ้าน ก็หาได้จับในทันทีไม่ คาดคะเนก�ำลังของผู้ร้ายแล้วก็ เตรยี มกำ� ลงั ตำ� รวจไวจ้ บั ใหไ้ ดค้ าหนงั คาเขา ใหผ้ รู้ า้ ยไมม่ ที างดนิ้ รน หรอื แกต้ ัวประการใดเลย อีก ๔ เดือน ต่อมา นางจิญจมาณวิกาได้น�ำเอาผ้าเก่าๆ ทบ เป็นหลายช้ันใส่ไว้หน้าท้อง แล้วค่อยเพิ่มขึ้นๆ แสดงอาการว่าม ี ทอ้ งแกข่ น้ึ ตามลำ� ดบั พอยา่ งเขา้ เดอื นท ่ี ๘ ท ี่ ๙ นางใชไ้ มค้ างโคทบุ ตามหลงั มอื หลงั เทา้ ใหบ้ วมขน้ึ เพอ่ื ใหส้ มกบั อาการของผทู้ ค่ี รรภแ์ ก่ เต็มท่ีจวนจะคลอด เร่ืองนี้เกรียวกราวที่สุดในเมืองสาวัตถีในปีนั้น ยกเว้นพระ อริยสาวกเสียแล้ว มหาชนนอกนี้เชื่อสนิทว่านางตั้งครรภ์กับพระ ศาสดา แต่พระพุทธองค์ก็ยังคงเฉยอย ู่ บังเอิญอริยสาวกมีอยู่เป็น จ�ำนวนมาก จงึ ท�ำให้พุทธบรษิ ัทในวดั เชตวันยงั คงคบั คงั่
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ทกุ หนทกุ แหง่ โจษจนั กนั เกรยี วกราวถงึ เรอ่ื งนตี้ ามทางสามแพรง่ สี่แพร่ง ในท่ีสาธารณสถานและสัณฐาคารท่ีประชุมต่างๆ มีการ ถกเถียงและแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ว่าจะเป็นเรื่อง ทเ่ี ปน็ ไปไดห้ รอื เปน็ ไปไมไ่ ด ้ มนษุ ยท์ งั้ หลายไดแ้ ยกออกเปน็ ๒ พวก พวกที่เชื่อว่าเป็นได้จริง ก็ถอยศรัทธาในพระศาสดา พวกท่ีไม่เชื่อ ก็ช่วยแก้แทนใหพ้ ระพุทธองค์ วันหนึ่งข้าพเจ้ารู้สึกกลุ้มใจ กระวนกระวายเพราะเรื่องนี้ขึ้น มาอกี หากจะกราบทลู พระศาสดา พระองคก์ ค็ งจะนงิ่ เฉยอยา่ งเคย ข้าพเจ้าจึงเดินออกจากเชตวนารามมุ่งไปทางทิศทักษิณ ณ ที่น้ัน เป็นดงไม้สีเสียดอนั ร่มร่ืน ข้าพเจ้าต้องการอยู่ที่สงบ เพื่อระงับใจที ่ 204 ฟงุ้ ซา่ นอนั เนอ่ื งดว้ ยความหว่ งใยพระศาสดาผเู้ ปน็ ทเ่ี คารพรกั ยง่ิ ของ ขา้ พเจา้ ขา้ พเจา้ เชอ่ื วา่ พระศาสดามไิ ดท้ �ำกรรมอนั นา่ บดั สนี นั้ แตจ่ ะ หา้ มปากคนมใิ หพ้ ดู ไดอ้ ยา่ งไร ในฐานะทข่ี า้ พเจา้ เปน็ ผใู้ กลช้ ดิ อยา่ ง ยิ่งของพระองค์ และบางคร้ังเม่ือข้าพเจ้าออกบิณฑบาตในเวลาเช้า จะมีพราหมณ์หนุ่มบางคนและนักบวชพาหิรลัทธิเยาะเย้ยถากถาง จะให้เจ็บอาย แต่ข้าพเจ้าก็พยายามอดกลั้น ไม่แสดงอาการโกรธ เคอื งตามพระดำ� รสั ของพระศาสดา ‘ท่านเอย คนในโลกน้ีส่วนใหญ่พอใจแต่ในความวิบัติล่มจม ของผู้อ่ืน ถือเป็นอาหารปากอันโอชะ เพื่อจะได้ไว้เคี้ยวเล่นในวง สมาคมเวลาวา่ ง แมเ้ ขาจะไมต่ อ้ งการภาวะเชน่ นนั้ ถา้ เกดิ กบั ตวั ของ เขาเอง’ ในขณะท่ีข้าพเจ้าร�ำพึงอยู่นั้น มีเด็กหนุ่มตระกูลพราหมณ ์ สองคนเดินเข้ามา โดยไม่ทันเห็นข้าพเจ้า และแล้วก็น่ังพัก ณ ใต ้
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ต้นไม้อีกตน้ หน่งึ โดยหันหลังใหข้ า้ พเจา้ ‘วาเสฏฐะ’ เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดข้ึน ‘อากาศร้อนอบอ้าว เหลือเกิน มาพักในป่าสีเสียดน่ีค่อยสบายข้ึนหน่อย ถ้ารัตติยามา ด้วยคงจะร่ืนรมย์ขึ้นอีกมากทีเดียว’ นามนั้นเขาคงหมายถึงคนรัก ของเขา ‘คนกำ� ลงั มคี นรกั ใหมๆ่ กเ็ ปน็ อยา่ งนเ้ี อง’ เดก็ หนมุ่ อกี คนหนงึ่ เปรยข้ึน ‘เห็นอะไร ไปที่ไหน ก็คิดถึงแต่คนรัก หายใจเข้าหายใจ ออกเป็นคนรกั ไปหมด’ ‘กฉ็ นั ยงั หนมุ่ แนน่ มกี ำ� ลงั สมบรู ณ ์ และมคี นู่ า่ รกั อยา่ งรตั ตยิ า จะไม่ให้ฉันใฝ่ฝันและพร่�ำเพ้ออย่างไร อย่าว่าแต่เราๆ เลย แม้แต่ พระสมณโคดมบรมศาสดาก็ยังมีนางจิญจมาณวิกาไว้เชยชม เออ 205 ความจรงิ มันไมน่ ่าเป็นได้นะ ภารทั วาชะ แตม่ นั ก็เป็นไปแล้ว’ ข้าพเจ้าสะดุ้งข้ึนทั้งตัว อนิจจา ไม่ว่าจะหลบหลีกไปมุมใด ขา้ พเจา้ เปน็ ไดย้ นิ แตข่ า่ วอนั ไมน่ า่ ชนื่ ใจนท้ี ง้ั สน้ิ แควน้ โกศลมหารฐั และแคว้นใกล้เคียงเวลาน้ันอบอวลไปด้วยควันไฟ คือข่าวลือเรื่อง พระศาสดาและนางจญิ จมาณวกิ า ขา้ พเจา้ อดึ อดั เปน็ ทส่ี ดุ อยากจะ ลุกขึ้นไปช้ีแจงให้เด็กสองคนน้ันเข้าใจอย่างถูกต้องว่า กรรมอันน่า บัดสีนั้นพระศาสดามิได้ท�ำ ก็พอดีได้ยินเสียงเด็กหนุ่มอีกคนหน่ึง พูดขึน้ วา่ ‘วาเสฏฐะ จะเช่ือหรือว่าพระสมณโคดมจะทรงกระท�ำอย่าง นัน้ จริง?’ ‘พยานหลกั ฐานออกแน่นหนาชดั เจนอยา่ งนั้น เธอยังไม่เช่ือ อีกหรือ ภารัทวาชะ ผู้หญิงเขาเป็นฝ่ายเสียหาย และบอกออกมา
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ โต้งๆ ว่าพ่อของเด็กในท้องคือใคร เหตุการณ์ท่ีเป็นมาตลอดระยะ เวลา ๖-๗ เดือนกอ่ นน้ี กพ็ อเปน็ เคร่ืองพสิ ูจน์ไดน้ างจญิ จมาณวิกา เดินเข้าออกอยูใ่ นวดั เชตวันไมเ่ ทา่ ไรกต็ ัง้ ท้อง ใครๆ กเ็ หน็ ’ ‘แต่ฉันยังไม่เช่ือ เรื่องอย่างน้ีเป็นเร่ืองท่ีใส่ร้ายกันได ้ ผู้หญิง เป็นเคร่ืองมืออย่างดีท่ีสุดของผู้ใจบาป ที่จะใช้เป็นเครื่องท�ำลาย เกียรตยิ ศของใครต่อใคร’ ‘ภารทั วาชะ สหายรกั เรอื่ งถา้ ไมม่ พี ยานหลกั ฐาน ฉนั ไมเ่ ชอ่ื เหมือนกัน แต่น่ีท้องของนางจิญจมาณวิกาเป็นพยานปากเอก ท ่ี จะไม่ยอมให้ใครเถียงได้เลยว่า พระสมณโคดมมิได้ท�ำกรรมอันน่า บดั สีนั้น’ 206 ‘แต่ฉันจะยังไม่เชื่อ’ ภารัทวาชะพูดอย่างหนักแน่น ‘จนกว่า นางจิญจมาณวิกาจะคลอด พยานปากเอกจริงๆ คือเด็กที่จะคลอด ออกมา หาใช่นางจิญจมาณวิกาไม่ดอก และแม้เด็กคลอดแล้ว ถ้า ไมม่ เี คา้ หนา้ แหง่ พระตถาคตเจา้ เลย ฉนั กจ็ ะยงั เชอ่ื ไมส่ นทิ ฉนั เคย เหน็ แมป่ รพิ พาชกิ าคนนเี้ ทยี วไปเทยี วมาอยตู่ ามวดั ของพวกเดยี รถยี ์ นคิ รนถบ์ อ่ ยไป นางอาจจะตงั้ ครรภก์ บั ใครสกั คนหนง่ึ กไ็ ด ้ ในจำ� พวก เดียรถีย์นิครนถ์เหล่านั้น แล้วพวกนั้นก็เป็นศัตรูของพระพุทธเจ้า อยู่ด้วย ท้ังๆ ที่พระองค์ไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร เธอเคยได้ยินมิใช ่ หรอื พวกนนั้ เทยี่ วประกาศปาวๆ เพอ่ื ใหม้ หาชนเลอื่ มใสตน แตก่ ห็ า สำ� เรจ็ ไม ่ พอพวกนน้ั หยดุ ประกาศไมเ่ ทา่ ไร เรอื่ งของนางจญิ จมาณวกิ า ก็โผล่ขึ้นมา เพ่ือนรัก อย่าเช่ืออะไรง่ายเกินไป คอยดูกันไปให้ถึงที่ สุด คนในโลกน้ีชอบใส่ร้ายกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนท่ีประโยชน์ ขัดกัน’
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ‘ฉันไม่ใช่คนเชื่อง่าย เธอก็คงรู้ ฉันม่ันใจว่าคนเชื่อง่ายเป็น คนงมงาย แต่คนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรเสียเลยก็เป็นคนงมงายเหมือน กัน และดเู หมอื นจะงมงายกวา่ คนเชอ่ื งา่ ยเสียอีก’ ‘ฉันไม่ได้ว่าอะไร’ ภารัทวาชะพูดตัดบท ‘เป็นแต่ฉันบอกว่า ให้คอยดกู นั ไปจนถงึ ทสี่ ุดเท่านัน้ ’ แลแล้วเด็กหนุ่มทั้งสองก็ละดงไม้สีเสียดไว้เบ้ืองหลัง ปล่อย ให้ข้าพเจา้ จมอย่ดู ว้ ยจนิ ตนาการที่สับสนสุดพรรณนา” 207
๑๗ น า ง บ า ป แ ล ะ น า ง บุ ญ 208 “และแล้ววันต่ืนเต้นที่สุดก็มาถึง มันเป็นประดุจวันตัดสินความ คงอยู่หรือความดับสูญแห่งพระพุทธศาสนา ถ้าเรื่องของนาง จญิ จมาณวกิ าเปน็ เรอ่ื งจรงิ กเ็ ปน็ ความดบั สญู แหง่ พระพทุ ธศาสนา ถ้าเร่ืองนางจิญจมาณวิกาเป็นเร่ืองเท็จ ก็เป็นนิมิตท่ีว่าพระพุทธ- ศาสนาจะรงุ่ โรจนต์ อ่ ไป ทงั้ นเ้ี สมอื นคนโงน่ ำ� มลู คา้ งคาวไปสาดตน้ ขา้ ว ด้วยเจตนาทจ่ี ะให้ต้นข้าวตาย แต่บงั เอญิ มูลคา้ งคาวเป็นป๋ยุ อยา่ งด ี ของต้นข้าว ย่งิ ทำ� ให้ต้นข้าวเจรญิ งอกงามเขยี วสดย่ิงขนึ้
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า วันนั้น พระตถาคตเจ้าประทับแสดงธรรมอยู่ ณ ธรรมสภา สง่าปานดวงจันทร์ในท้องฟ้าท่ีปราศจากเมฆหมอก ขณะที่พุทธ- บรษิ ทั ก�ำลงั ทอดกระแสจติ ไปตาม พระธรรมเทศนาอยนู่ นั่ เอง นาง จิญจมาณวิกาก็ปรากฏกายข้ึนท่ามกลางพุทธบริษัท นางยืนเท้า สะเอวดว้ ยมอื ขา้ งหนง่ึ สว่ นอกี ขา้ งหนงึ่ ชพ้ี ระพกั ตรพ์ ระตถาคตเจา้ ดว้ ยอาการเกรีย้ วกราด ‘แสดงธรรมไพเราะจริงนะ พระโคดม เสียงของท่านกังวาน ซงึ้ จบั ใจของมหาชน ฟนั ของทา่ นเรยี บสนทิ วาจาทเี่ ปลง่ ออกลว้ นแต่ ให้คนท้ังหลายสละโลกียวิสัย แต่ตัวพระสมณโคดมเองเล่าสละได้ หรือเปล่า? บทบาทแสดงธรรมช่างท�ำได้ไพเราะหวานชื่น ไม่แพ้ บทประโลมนางในหอ้ งนอน’ พระตถาคตเจ้าหยุดแสดงธรรม พุทธบริษัทเงียบกริบ 209 บรรยากาศรอบๆ ช่างวิเวกวังเวงเสียสุดประมาณ ต้นไม้ทุกต้นใน วัดเชตวันยนื น่งิ เหมือนไม้ตายซาก ‘ช่างดีแต่จะอภิรมย์’ นางจิญจมาณวิกาพล่ามต่อไป ‘พระ โคดมหนั มาดขู า้ พเจา้ ใหช้ ดั เจนซ ิ ทอ้ งของขา้ พเจา้ บดั น ี้ ๙ เดอื นเศษ แล้ว ต้ังแต่ต้ังท้องมาจะห่วงใยสักนิดหนึ่งก็มิได้มี ตอนแรกๆ เมื่อ เรมิ่ อภริ มย ์ ชา่ งสรรหาเลา่ แตค่ ำ� หวานใหเ้ พลนิ ใจ แตพ่ อทอ้ งแกแ่ ลว้ จะจัดหาหมอหายา เพ่ือลูกของตนเองสักนิดก็มิได้ม ี เม่ือไม่ท�ำเอง จะมอบภาระใหส้ านศุ ษิ ยผ์ ศู้ รทั ธาเชน่ นางวสิ าขาหรอื อนาถปณิ ฑกิ ะ หรือพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้ ช่วยจัดเรือนคลอดและสวัสดิภาพ อ่ืนๆ มิใช่เพียงแต่เพื่อคนที่ตนเคยพรำ�่ ว่ารักเท่านั้น แต่เพื่อเด็กอัน เป็นเลือดเนือ้ เชื้อไขของตนนี้ดว้ ย’ วา่ จบลงนางกวาดสายตาไปทวั่
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ‘ดูก่อนน้องหญงิ ’ พระตถาคตเจ้าตรัสพระสุรเสียงกงั วานซง้ึ อยา่ งเดมิ ‘เร่อื งน้ีเราสองคนเท่าน้นั ทีร่ ูก้ นั ว่า จริงหรือไมจ่ ริง’ พระจอมมุนีตรัสเพียงเท่าน้ีแล้วทรงดุษณีอยู่ แต่พระด�ำรัส สน้ั ๆ กนิ ความลกึ ซงึ้ นเี่ อง พงุ่ เขา้ เสยี บความรสู้ กึ ของนางอยา่ งรนุ แรง เสมอื นผถู้ กู ยงิ ดว้ ยลกู ศรอาบยาพษิ โดยไมร่ สู้ กึ ตวั นางสะดงุ้ อยา่ งแรง มือเท้าและปากเริ่มสั่นอยู่ครู่หนึ่ง พอรวบรวมสติให้มั่นคงดังเดิม แลว้ นางก็โตต้ อบออกมาทันทีว่า ‘แนล่ ะซ ิ พระโคดม กใ็ นพระคนั ธกฎุ อี นั มดิ ชดิ นนั้ ใครเลา่ จะ ไปรว่ มรเู้ หน็ ดว้ ย นอกจากเราสองคน ชา่ งพดู ไดอ้ ยา่ งไมส่ ะทกสะทา้ น เทยี วนะ วา่ เรา ๒ คนเทา่ นนั้ รกู้ นั ’ นางพดู ไปเตน้ ไปดว้ ยอารมณโ์ กรธ 210 อันคอ่ ยๆ พลุ่งขนึ้ มาทีละน้อย ‘แนน่ อนทเี ดยี ว น้องหญิง ตถาคตขอยนื ยนั ค�ำนน้ั ’ ดูก่อนภราดา จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรือเป็นเพราะวิบาก แห่งกรรมอันสุดรอบของนาง ก็สุดจะอนุมานได้ เมื่อนางร้องด่า พระตถาคตไปและเต้นไป เชือกซึ่งนางใช้ผูกท่อนไม้ ซึ่งพันด้วย ผ้าเก่าบางๆ ก็ขาดลง เร่ืองท้ังหลายก็แจ่มแจ้ง การมีท้องของนาง ปรากฏแก่ตามหาชนอย่างชัดเจน ย่ิงกว่าค�ำบอกเล่าใดๆ ท้ังหมด นางไดค้ ลอดบตุ รคอื ทอ่ นไมแ้ ละผา้ เกา่ ๆ แลว้ ทา่ มกลางมหาชนนน่ั เอง คนท้ังหลายตะลึงพรึงเพริด แต่มีแววแห่งปีติปราโมชอย่างชัดเจน นางจญิ จมานวกิ าตกใจสดุ ขดี หนา้ ซดี เผอื ดเหมอื นคนตาย ประชาชน ได้เห็นเหตุการณ์ประจักษ์ตาเช่นน้ัน ต่างก็โล่งใจที่พระตถาคตเจ้า เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธโิ์ ดยสนิ้ เชงิ แลว้ อารมณใ์ หมก่ พ็ ลงุ่ ขน้ึ ในดวงใจแทบจะ ทุกดวง นั่นคือความเคียดแค้นชิงชังนางจิญจมาณวิกา ต่างก็สาป
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า แชง่ ใหน้ างประสบทกุ ขส์ มแกก่ รรมชวั่ รา้ ยของตน บางคนถอื ทอ่ นไม ้ และก้อนดินขับไล่ออกไปจากวัดเชตวัน ต่อมานางได้สิ้นชีพลง ด้วยอาการที่น่าสังเวช อนิจจา เรือนร่างท่ีสวยงาม แต่ห่อหุ้มใจท่ ี โสมมไว ้ ยอ่ มทำ� ใหเ้ จา้ ของเรอื นรา่ งใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื ประหารตนเอง อย่างไมม่ ีใครชว่ ยได้ ลาภสักการะของเดียรถีย์ท้ังหลายเสื่อมลง และเกิดข้ึนแก่ พระทศพลเจ้ามากหลาย วันต่อมาภิกษุสงฆ์ได้ประชุมกัน ณ ธรรมสภา กล่าวกถาว่า ด้วยเรื่องนางจิญจมาณวิกา พระตถาคตเจ้าเสด็จมาทรงทราบจึง ตรสั วา่ ‘ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเมอ่ื ยงั ไมพ่ จิ ารณา หรอื ยงั ไมเ่ หน็ โทษ ของผอู้ น่ื โดยชดั เจนแลว้ กไ็ มพ่ งึ ลงโทษผใู้ ด อนง่ึ บคุ คลผลู้ ะคำ� สตั ย ์ 211 แล้ว และชอบพูดแต่มุสา ไม่สนใจในเร่ืองปรโลก จะไม่ท�ำบาปนั้น เป็นอนั ไมม่ ี’ ดกู อ่ นภราดา เหตกุ ารณน์ เี้ ปน็ เรอื่ งใหญย่ งิ่ ทเี่ กดิ แกพ่ ระพทุ ธ- องค์ เป็นเรื่องท่ีรู้กันแพร่หลายในหมู่ชนบททุกชั้น ผู้เฒ่าผู้แก ่ พยายามสงั่ สอนลกู หลานวา่ อยา่ เอาอยา่ งนางจญิ จมาณวกิ า และผกู เป็นค�ำพงั เพยวา่ ‘อย่าปาอจุ จาระข้ึนฟ้า’ ดูก่อนผู้แสวงสันติวรบท ก็พระตถาคตเจ้าเคยตรัสไว้เสมอ ไมใ่ ชห่ รอื วา่ “คนทเ่ี กดิ มาแลว้ ทกุ คนมขี วานตดิ ปากมาดว้ ย สำ� หรบั ให้คนพาลผู้ชอบพูดช่ัวๆ ไว้ฟาดฟันเชือดเฉือนตัวเอง อนึ่งผู้ใด ตเิ ตยี นคนทค่ี วรสรรเสรญิ หรอื สรรเสรญิ คนทค่ี วรตเิ ตยี น ผนู้ น้ั ชอื่ วา่ แสห่ าโทษใสต่ วั เพราะปากเขา ยอ่ มหาความสขุ ไมไ่ ดเ้ พราะโทษนน้ั การแพก้ ารพนนั สน้ิ ทรพั ยห์ มดเนอื้ หมดตวั ยงั ถอื วา่ มโี ทษนอ้ ย เมอ่ื
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ไปเทยี บกบั การทำ� ใจใหค้ ดิ ประทษุ รา้ ยในพระสคุ ต การกลา่ วใสร่ า้ ย พระพทุ ธเจ้านี้แลมโี ทษมากอย่างยิ่ง ‘ผปู้ ระทษุ รา้ ยตอ่ บคุ คลผไู้ มป่ ระทษุ รา้ ย ผบู้ รสิ ทุ ธ ิ์ ไมม่ กี เิ ลส ยอ่ มได้รบั บาปเอง เหมือนคนปาผงธุลีข้ึนฟ้าหรือปาธลุ ีทวนลม ‘ผโู้ ลภจดั ไมม่ ศี รทั ธา ตระหน ่ี ไมเ่ คยใสใ่ จในคำ� ขอรอ้ งวงิ วอน ของผทู้ กุ ข์ยาก ชอบส่อเสียด มักจะชอบด่าผู้อ่ืนเสมอๆ เหตุการณ์คร้ังนี้เป็นบทเรียนดีพอ ส�ำหรับผู้ปองร้ายต่อ พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา เรื่องใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ จึงเงียบ ไปหลายปี ต่อมามีเรื่องเกิดขึ้นอีก คราวนี้เก่ียวกับการฆาตกรรม พวกเดียรถีย์ตามเคย จ้างนักเลงสุราให้ฆ่าหญิงคนหนึ่งช่ือสุนทร ี 212 แล้วน�ำไปหมกไว้ท่ีกองดอกไม้แห้งใกล้พระคันธกุฎีของพระผู้ม ี พระภาค แล้วท�ำทีเป็นเที่ยวโฆษณาว่านางสุนทรีหายไป ไม่ทราบ หายไปไหน มีการค้นหากันมาก ในท่สี ดุ ก็มาพบทีใ่ กล้พระคนั ธกฎุ ี คราวน้ีพวกเดียรถีย์ผู้ริษยาก็เที่ยวโฆษณาต่อมหาชนว่า พระผู้มี พระภาคร่วมหลับนอนกับนางสุนทรีแล้วฆ่านางเสียเพ่ือปิดปาก แต่ในที่สุดเจ้าหน้าท่ีต�ำรวจของพระเจ้าปเสนทิโกศลก็จับผู้ร้าย ฆ่านางสุนทรีได้ในร้านสุราแห่งหน่ึง เพราะพวกนั้นเมาสุราแล้ว ทะเลาะกนั เอง และกลา่ วถงึ เร่ืองทต่ี นตีนางสนุ ทรกี ่ีครงั้ ๆ ภราดา ขา้ พเจา้ กลา่ วถงึ เรอ่ื งของนางวสิ าขาคา้ งอย ู่ จงึ ขอยอ้ น พรรณนาถงึ มหาอบุ าสกิ า ผมู้ อี ปุ การะมากตอ่ พระศาสนาอกี ครงั้ หนงึ่ เม่ือนางก�ำลังเตรียมสร้างอารามนั่นเอง พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะเสด็จสู่ภัททิยนคร ดังน้ัน วันหนึ่ง เมอ่ื เสวยทบ่ี า้ นของทา่ นอนาถปณิ ฑกิ ะ แลว้ กบ็ า่ ยพระพกั ตรไ์ ปทาง
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ทศิ อดุ ร ขา้ พเจา้ ขอแจงรายละเอยี ดในเรอื่ งนเ้ี ลก็ นอ้ ย คอื ตามปรกต ิ พระศาสดาเมื่อเสวยท่ีบ้านของนางวิสาขาเสร็จแล้ว จะเสด็จออก จากประตูทักษิณและเสด็จสู่วัดเชตวัน ถ้ารับภิกษาที่บ้านของท่าน อนาถปิณฑิกะ เมื่อเสร็จแล้วจะเสด็จออกทางประตูทิศตะวันออก และประทบั ณ ปพุ พารามของนางวสิ าขา แตถ่ า้ คราวใดทพ่ี ระพทุ ธ องค์เสวยท่ีบ้านของอนาถปิณฑิกะแล้วเสด็จออกทางประตูทิศอุดร ก็เป็นทที่ ราบกนั ว่าพระองคท์ รงประสงคจ์ ะเสดจ็ จารกิ ในที่อืน่ ๆ ซง่ึ นานๆ จะมีสักครั้งหนง่ึ คราวนเ้ี มอื่ นางวสิ าขาทราบวา่ พระพทุ ธองคเ์ สวยพระกระยาหาร ที่บ้านของอนาถปิณฑิกะ แล้วเสด็จออกทางประตูทิศอุดร จึงรีบ ไปเฝา้ โดยเรว็ ถวายบงั คมแลว้ ทลู วา่ ‘พระองคจ์ ะเสดจ็ จารกิ ไปทอี่ น่ื 213 หรือ พระเจ้าข้า’ เม่ือพระศาสดาทรงรับแล้ว จึงกราบทูลอีกว่า ‘พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์สละทรัพย์มากมาย เพื่อสร้างอาราม ถวายพระองค์ ขอพระองค์เสด็จกลับก่อนเถิด พระเจ้าข้า อย่าเพ่ิง เสดจ็ ไปเลย’ ‘ดูก่อนวิสาขา อย่าเลย อย่าให้ตถาคตกลับเลย ให้ตถาคต ทำ� กิจของพระพุทธเจา้ โดยสมบูรณ์เถดิ ’ นางวสิ าขาดำ� รวิ า่ พระพทุ ธองคน์ า่ จะทรงมเี หตพุ เิ ศษเปน็ แน่ แท้ จงึ กราบทูลว่า ‘พระองคผ์ เู้ จรญิ ถา้ อยา่ งนน้ั ขอพระองคร์ บั สง่ั ใหภ้ กิ ษรุ ปู ใด รูปหนึ่งผู้รูก้ จิ ท่คี วรทำ� และไมค่ วรท�ำ กลับเถดิ พระเจ้าขา้ ’ ‘ดูก่อนวิสาขา เธอพอใจภิกษุรูปใด ขอให้เธอนิมนต์รูปน้ัน ไว้เถิด’
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ นางวสิ าขาคดิ วา่ กพ็ ระมหาโมคคลั ลานะเปน็ ผมู้ ฤี ทธมิ์ าก ม ี อานุภาพมาก ถ้าอาราธนาท่านอยู่ จะสามารถให้การสร้างอาราม สำ� เรจ็ โดยเรว็ จงึ ไดอ้ าราธนาพระมหาโมคคลั ลานะกลบั พระมหา- เถระมองดูพระศาสดาเป็นเชิงทูลปรึกษาและฟังพุทธบัญชา พระ ศาสดาจงึ ทรงอนุญาตใหพ้ ระเถระพร้อมดว้ ยบริวารกลับ ในความอ�ำนวยการของพระอัครสาวกเบ้ืองซ้าย ปราสาท ๒ ชนั้ สำ� เรจ็ ไปโดยเรว็ มที ง้ั หมด ๑,๐๐๐ หอ้ งคอื ชนั้ ลา่ ง ๕๐๐ หอ้ ง และช้ันบนอีก ๕๐๐ ห้อง พระศาสดาเสด็จจาริกไป ๙ เดือน จึงเสด็จกลับ การก่อสร้างปราสาทก็สำ� เร็จในเวลา ๙ เดอื นเช่นกนั นางได้อาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ ์ ประทับ ณ 214 ปราสาทน้ันเป็นเวลา ๔ เดือน เพ่ือท�ำการฉลองปราสาท เม่ือพระ ตถาคตเจา้ รบั แลว้ นางกเ็ ตรยี มการถวายอาหาร เครอ่ื งอปุ โภคอน่ื ๆ แดภ่ กิ ษสุ งฆม์ พี ระพทุ ธองคเ์ ปน็ ประมขุ ครงั้ นน้ั มสี ตรผี เู้ ปน็ สหายของนางวสิ าขาคนหนง่ึ น�ำผา้ ซง่ึ มคี า่ ถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ เพื่อจะปูพ้ืนปราสาท จึงบอกนางวิสาขาว่า ‘สหาย ข้าพเจ้าน�ำผ้ามาผืนหนึ่ง ท่านจะให้ปู ณ ที่ใด’ นางวิสาขา ตอบว่า ‘สหาย ถ้าข้าพเจ้าจะตอบว่าไม่มีสถานที่จะให้ปู ท่านก็จะ เขา้ ใจวา่ ขา้ พเจา้ ไมป่ รารถนาจะใหท้ า่ นรว่ มกศุ ล เพราะฉะนน้ั ขอให ้ ท่านดเู อาเถิด เหน็ สมควรปลู ง ณ ที่ใด ก็ปลู ง ณ ทีน่ นั้ ’ นางเดินส�ำรวจท่ัวปราสาท ก็มองไม่เห็นที่ใดท่ีจะปูด้วยผ้า มีราคาน้อยกว่า ๑,๐๐๐ กหาปณะเลย นางรู้สึกเสียใจท่ีไม่ได้ส่วน แหง่ บุญในปราสาทนัน้ จึงไปยืนร้องไห้อยู ่ ณ ทีแ่ หง่ หน่ึง
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ขา้ พเจา้ เดนิ ไปพบเธอเขา้ โดยบงั เอญิ เมอ่ื ไตถ่ ามทราบความ แล้ว ข้าพเจ้าจึงแนะน�ำให้นางปูลาดผ้าน้ันลงในที่แห่งหน่ึง พร้อม ด้วยปลอบโยนวา่ ‘นอ้ งหญงิ ผา้ ซงึ่ ปทู เี่ ชงิ บนั ไดน ้ี ยอ่ มอำ� นวยผลมาก มอี านสิ งส ์ ไพศาล เพราะภิกษุทั้งหลายเมื่อล้างเท้าแล้ว ย่อมเช็ดเท้าด้วยผ้า ซ่ึงอยูต่ รงนี้แลว้ เขา้ ไปข้างใน’ นางดีใจอย่างเหลือล้นท่ีสามารถหาที่ปูลาดผ้าให้นางได้สม ปรารถนา ได้ยินว่านางวิสาขาลมื กำ� หนดทตี่ รงน้นั ไป นางวิสาขาได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น ประมขุ ตลอดเวลา ๔ เดือน ในวันสดุ ท้ายได้ถวายจีวรเนอ้ื ดมี ีราคา มาก เฉพาะจีวรที่ถวายแก่พระซ่ึงอ่อนพรรษาท่ีสุด ก็มีราคาถึง 215 ๑,๐๐๐ กหาปณะ ในสมยั เมอ่ื พระพทุ ธองคย์ งั ทรงพระชนมอ์ ย ู่ ไมม่ ี สตรีใดทำ� บุญเกินหรอื แมแ้ ต่เพียงเทา่ นางวิสาขาเลย ในวันท่ีฉลองปราสาทเสร็จนั่นเอง เวลาบ่ายนางวิสาขาผู้อัน บุตรและหลานแวดล้อมแล้วเดินเวียนรอบปราสาท เปล่งถ้อยค�ำ ออกมาด้วยความเบิกบานใจว่า บดั นค้ี วามปรารถนาของเราทจ่ี ะถวายวหิ ารทาน เปน็ ปราสาท ใหม่มีเคร่อื งฉาบทาอย่างดีส�ำเรจ็ แล้ว บดั นคี้ วามปรารถนาของเราทจ่ี ะถวายเสนาสนภณั ฑ ์ มเี ตยี ง ตั่งและหมอนเปน็ ตน้ ส�ำเรจ็ บริบูรณแ์ ล้ว บัดน้ีความปรารถนาของเราท่ีจะถวายสลากภัตด้วยอาหาร ท่สี ะอาดประณตี ส�ำเร็จบรบิ ูรณแ์ ลว้
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ บัดนี้ความปรารถนาของเราท่ีจะถวายจีวรทานด้วยผ้า ที่ทำ� จากแควน้ กาส ี ผา้ เปลอื กไม ้ และผา้ ฝา้ ย เปน็ ตน้ สำ� เรจ็ บรบิ รู ณแ์ ลว้ บัดนี้ความปรารถนาของเราที่จะถวายเภสัชทานมีเนยใส เนยขน้ น้ำ� มัน น้�ำผงึ้ และน้ำ� ออ้ ย เป็นต้น กส็ ำ� เรจ็ บริบูรณแ์ ลว้ ภกิ ษทุ งั้ หลายไดฟ้ งั เสยี งของนาง แลว้ กราบทลู พระศาสดาวา่ ‘พระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระองคท์ ง้ั หลายไมเ่ คยไดย้ นิ หรอื ไดเ้ หน็ นางวสิ าขาขบั รอ้ งเลย มาวนั นน้ี างพรอ้ มดว้ ยบตุ รและหลานเดนิ เวยี น ปราสาทขบั ร้องอยู่ ดขี องนางจะก�ำเริบหรือนางเป็นบา้ ประการใด’ พระศาสดาตรสั วา่ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธดิ าของเราหาไดข้ บั รอ้ งไม ่ แต่เพราะอัธยาศัยในการท่ีจะบริจาคของนางเต็มบริบูรณ์แล้ว จึง 216 เปล่งอุทานด้วยความเบิกบานใจ’ พระธรรมราชาผู้ฉลาดในการ แสดงธรรมเพอ่ื จะทรงแสดงธรรมใหพ้ ิสดารออกไป จึงตรัสวา่ ‘ภิกษุทั้งหลาย วิสาขา ธิดาของเราน้อมจิตไปเพื่อท�ำกุศล ตา่ งๆ เมอื่ ทำ� ไดส้ ำ� เรจ็ สมความปรารถนากย็ อ่ มบนั เทงิ เบกิ บาน ปาน ประหน่ึงนายมาลาการผู้ฉลาด รวบรวมดอกไม้นานาพันธุ์ไว้ แล้ว รอ้ ยเปน็ พวงมาลัยใหส้ วยงามฉะน้นั ’ แลว้ พระจอมมนุ ที รงยำ้� อกี ว่า ‘นายมาลาการผู้ฉลาด ย่อมท�ำพวงดอกไม้เป็นอันมากจาก กองดอกไม้ที่เก็บรวบรวมได้ฉันใด สัตว์ผู้เกิดมาแล้วและต้องตาย ก็พึงสงั่ สมบุญกุศลไว้ให้มากฉันนน้ั ’ ‘อาวโุ ส บคุ คลผมู้ งั่ คง่ั ดว้ ยทรพั ย์ และสมบรู ณด์ ว้ ยศรทั ธานนั้ ค่อนข้างจะหาได้ยาก ผู้มีศรัทธามักจะมีทรัพย์น้อย ส่วนผู้มีทรัพย ์ มากมักจะขาดแคลนศรัทธา อุปมาเหมือนนายช่างผู้ฉลาดแต่ขาด
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ดอกไม้ ส่วนผู้มีดอกไม้มากมูล แต่ก็ขาดความสามารถในการจัด เสยี อกี สว่ นนางวสิ าขาพรง่ั พรอ้ มสมบรู ณท์ ง้ั ศรทั ธาและทรพั ย ์ เธอ จึงมีทัง้ ทรัพยภ์ ายนอกและทรัพย์ภายในบรบิ รู ณ์’ วันหน่ึงนางวิสาขาได้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์ไว้เพื่อรับ ภัตตาหารท่ีบ้านของนาง เมื่อถึงเวลาแล้ว นางจึงให้หญิงคนใช้ไป นิมนต์พระ แต่หญิงคนใช้มารายงานว่า ในวัดเชตวันไม่มีพระสงฆ ์ อยเู่ ลย มแี ตน่ คั คบรรพชติ (นกั บวชเปลอื ย) ทงั้ สนิ้ กำ� ลงั อาบนำ้� ฝน อย ู่ วันนนั้ ฝนตกหนกั มาก เวลาน้ันพระตถาคตยังมิได้ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามพระ เปลอื ยกายอาบนำ้� เมอ่ื ฝนตกใหญ ่ ภกิ ษทุ งั้ หลายกด็ ใี จกนั ใหญ ่ และ เปลือยกายอาบน้�ำกันเกลื่อนเชตวนาราม หญิงคนใช้ไม่รู้ จึงเข้าใจ 217 วา่ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ลว้ นเปน็ นกั บวชเปลอื ย สาวกของนคิ รนถน์ าฏบตุ ร นางวสิ าขาเปน็ ผฉู้ ลาด เมอื่ ไดฟ้ งั ดงั นน้ั กเ็ ขา้ ใจเรอื่ งโดยตลอด จึงให้คนรับใช้ไปนิมนต์ภิกษุอีกครั้งหน่ึง นางกลับไปครั้งน้ีภิกษุได ้ อาบน้�ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และครองจีวรแล้ว คนรับใช้จึงเห็นภิกษุ อยู่เตม็ เชตวนารามและอาราธนาวา่ ถงึ เวลาภตั กจิ แลว้ วนั นน้ั เองนางวสิ าขาปรารภเรอ่ื งน ้ี ทลู ขอพระผมู้ พี ระภาคเจา้ วา่ เมอ่ื ถงึ ฤดฝู นเขา้ พรรษา นางขอถวายผา้ อาบน้�ำฝนแกพ่ ระภกิ ษุ ทั้งหลายเพ่ือใช้อาบน�้ำ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ถวายได้ ประชาชนทง้ั หลายพากนั เอาอยา่ ง ประเพณกี ารถวายผา้ อาบนำ�้ ฝน จงึ มีมาจนกระทง่ั หลงั พทุ ธปรินิพพาน๑ ๑ โปรดดพู ร ๘ ประการทน่ี างวสิ าขาทลู ขอพระพทุ ธองคพ์ ระวนิ ยั ปฎิ ก (จวี รขนั ธนะ) เลม่ ๕, ข้อ ๑๕๓
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ดกู อ่ นอาวโุ ส ผฉู้ ลาดยอ่ มหาโอกาสทำ� ความดไี ดเ้ สมอ พทุ ธ- บริษัทในรุ่นหลังเป็นหน้ีความดีของนางวิสาขา ในฐานะเป็นผู้ริเริ่ม สงิ่ ทดี่ งี ามไวใ้ หค้ นทง้ั หลาย ถอื เปน็ เยย่ี งอยา่ งดำ� เนนิ ตามมากหลาย ดว้ ยประการฉะน”ี้ เมอ่ื พระอานนทก์ ลา่ วจบลง เหน็ พระกมั โพชะยงั คงนง่ั นงิ่ อย ู่ ทา่ นจงึ กลา่ วตอ่ ไปวา่ “ภราดา เรอ่ื งพทุ ธจรยิ าและบคุ คลผเู้ กย่ี วขอ้ ง อนั นา่ สนใจนน้ั มมี ากมาย เหลอื ทจ่ี ะพรรณนาใหห้ มดในครง้ั เดยี วได้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเท่าท่ีนำ� มาเล่าแก่ผู้มีอายุก็พอสมควรแล้ว ท่านยังมี โอกาสท่ีจะรับทราบและศึกษาในโอกาสต่อไปอีก อนึ่งเวลานี้ก็ เย็นมากแล้ว ท่านและข้าพเจ้ายังมิได้สรงน้�ำช�ำระกายให้สะอาด 218 เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ทิฏฐธรรมสุขวิหาร และพิจารณาธรรมตลอด ปฐมยามแห่งราตร”ี พระกัมโพชะลุกขึ้นนั่งกระโหย่ง ประนมมือเปล่งวาจาสาธ ุ ๓ ครงั้ แลว้ กล่าววา่ “ข้าแต่พระพุทธอนุชา เป็นลาภอันประเสริฐแห่งโสตของ ข้าพเจ้า ที่ได้ฟังพุทธจริยาจากท่านผู้เป็นเสมือนองค์แทนแห่งพระ ศาสดา ข้าพเจ้าขอจารึกพระคุณ คือความกรุณาของท่านไว้ด้วย ความเคารพสักการะอย่างสูงย่ิง” แล้วพระกัมโพชะก็กราบลง ณ บาทมลู แหง่ พระอานนทด์ ้วยเบญจางคประดิษฐ์
๑๘ ป ฏิ กิ ริ ย า แ ห่ ง ธั ม โ ม ช ปั ญ ญ า 219 ขอยอ้ นกลา่ วถงึ อริ ยิ าบถแหง่ พระอานนท ์ พระอนชุ ารว่ มพระทยั สมยั เมอ่ื พระพทุ ธองค์ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ ตอนสายวันหนง่ึ พระอาทติ ยโ์ คจรขน้ึ เกอื บจะถงึ กงึ่ ฟา้ ทางดา้ นตะวนั ออกแลว้ แตล่ มเชา้ กย็ งั พดั มาเบาๆ ความสดชนื่ แผป่ กคลมุ อยทู่ ว่ั พระเชตวนั มหาวหิ าร ความร่มรนื่ แหง่ อาราม ผสมดว้ ยความสงบระงบั ภายใน แหง่ สมณะผอู้ าศยั ทำ� ใหอ้ นาถปณิ ฑกิ ารามปรากฏประหนง่ึ โลกทพิ ย์ ซึ่งมีแต่ความสงบเย็น
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เสียงภิกษุใหม่สาธยายพระพุทธพจน์ดังอยู่เป็นระยะๆ นอกจากน้ียังมีบางท่านเดินจงกรม พิจารณาหัวข้อกรรมฐานที่ อาจารย์บอกให้ เพ่ือท�ำลายอาสวะซึ่งหมักดองอยู่ในจิตใจเป็น กเิ ลสานุสัย อันติดตามมาเป็นเวลาชา้ นาน บางรูปซกั และย้อมจีวร บางทา่ นกวาดลานพระวหิ ารและเตรยี มอาคนั ตกุ ภณั ฑต์ า่ งชนดิ เพอื่ ภิกษุต่างถิ่นผู้จะเดินทางมาเฝ้าพระศาสดา ท้ังหมดนี้เป็นไปโดย อาการสงบ เป็นเคร่อื งนำ� มาซึง่ ศรัทธาเล่อื มใสแกผ่ ูท้ ัศนาย่ิงนกั เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อนันตชินได้เสด็จผ่านมา ภิกษุผู ้ นงั่ อยกู่ ล็ กุ ขน้ึ ยนื ถวายความเคารพ ผเู้ ดนิ อยกู่ ห็ ยดุ เดนิ ภกิ ษผุ กู้ ำ� ลงั ท�ำงานอย่างใดอย่างหนึ่งก็หยุดงานไว้ชั่วคราว เพื่อแสดงอาการ 220 คารวะและมองดูพระศาสดาด้วยสายตาอันแสดงถึงความเล่ือมใส ลึกซึ้ง พระจอมมนุ ที รงทกั ทายภกิ ษบุ างรปู และทรงแนะนำ� ขอ้ ธรรม บางประการ แล้วเสด็จเลยไป เมื่อถึงกุฏิหลังหน่ึง พระพุทธองค์ ประทับยืนนิ่งครู่หนงึ่ แลว้ ผนิ พระพักตร์มาถามภิกษุผู้ตามเสดจ็ วา่ “อานนท ์ ภกิ ษรุ ูปใดอาศัยอย่ใู นกฏุ หิ ลงั น?ี้ ” “ภิกษชุ อื่ ตสิ สะ พระเจ้าขา้ ” พระอานนทท์ ลู ตอบ “เธออยู่หรือ?” “นา่ จะอยู่ พระเจ้าขา้ ” พระศาสดาเสด็จเข้าไปภายในกุฏิ ภาพท่ีปรากฏ ณ เบ้ือง พระพักตร์ท�ำให้พระองค์สังเวชสุดประมาณ ภิกษุรูปหน่ึงอยู่ใน มชั ฌมิ วยั นอนนง่ิ อยบู่ นเตยี งนอ้ ย รา่ งกายของทา่ นปรพุ รนุ ไปดว้ ย รอยแผล มนี ำ้� เหลอื งไหลเยม้ิ ทว่ มกาย เตยี งและผา้ ของภกิ ษรุ ปู นนั้
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า แปดเปื้อนด้วยปุพโพโลหิตส่งกล่ินคาวคลุ้ง ท่านนอนจมอยู่ใน กองเลือดและหนองซึ่งแห้งกรังไปแล้วก็มี ที่ก�ำลังไหลเย้ิมอยู่ก็มี เม่ือได้ยินเสียง ภิกษุรูปน้ันก็ลืมตาข้ึน จะยกมือขึ้นถวายท�ำความ เคารพ แต่ยกไม่ขึ้น เหลียวไปอีกด้านหน่ึงของเตียง ท่านได้เห็น พระพุทธอนุชายืนสงบน่ิง อาการเศร้าฉายออกมาทางดวงหน้า และแววตาของพระอานนท์ผู้ประเสริฐ และแล้วเมื่อเหลียวมาสบ พระเนตรซึ่งสาดแววแห่งพระมหากรุณาออกมาของพระศาสดา อีกคร้ังหนึ่ง ครานั้นความตื้นตันใจได้ท่วมท้นหทัยของพุทธสาวก จนเออ่ ลน้ ออกมาทางดวงตาทงั้ สอง แลว้ คอ่ ยๆ ไหลซมึ ลงอาบแกม้ ซึง่ แหง้ และตอบเพราะอานุภาพแหง่ โรคนน้ั “ดูก่อนติสสะ” พระศาสดาตรัส “เธอได้รับทุกขเวทนามาก 221 หรอื ?” “มากเหลอื เกนิ พระเจา้ ขา้ เหมอื นนอนอยทู่ า่ มกลางหนาม” เสียงซึง่ แหบเครอื ผา่ นล�ำคอของพระตสิ สะออกมาโดยยาก “เธอไม่มีเพ่ือนพรหมจารี หรือสหธรรมิก หรือสัทธิวิหาริก อันเตวาสิกคอยปฏบิ ตั ิชว่ ยเหลอื อยู่บ้างเลยหรือ?” “เคยมี พระเจ้าข้า แต่เวลานี้เขาทอดทิ้งข้าพระองค์ไปหมด แลว้ ” “ทำ� ไมจงึ เป็นอย่างน้นั ?” “เขาเบอื่ พระเจ้าขา้ เพราะข้าพระองคป์ ่วยมานานและรกั ษา ไม่หาย เขาเลยพากันทอดทงิ้ ข้าพระองคไ์ ป” “อาการเร่มิ แรกเป็นอย่างไรนะ ตสิ สะ?” “แรกทเี ดียวเป็นตุม่ เลก็ ๆ ประมาณเท่าเมล็ดผกั กาด ผดุ ขน้ึ
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ท่ัวกายพระเจ้าข้า แล้วค่อยๆ โตขึ้นตามล�ำดับๆ เท่าเมล็ดถ่ัวเขียว เท่ามะตูมและแล้วก็แตก น้�ำเหลืองไหล สรีระทั้งสิ้นก็เป็นรูน้อย รูใหญ่ สบงและจีวรเปรอะไปด้วยเลือดและหนอง อย่างนี้แหละ พระเจ้าข้า” ทูลได้เท่าน้ีพระติสสะก็มีอาการหอบเล็กน้อย อ่อน เพลีย ไม่สามารถทูลต่อไปได้อกี พระศาสดาและพระอานนท์เสด็จออกจากกุฏิน้ันไปสู่โรงไฟ พระศาสดาทรงล้างหม้อน�้ำด้วยพระองค์เอง พระอานนท์ติดไฟ เสรจ็ แลว้ วางหมอ้ น�้ำไวบ้ นเตา ทรงรอคอยจนน้�ำเดอื ด แลว้ เสดจ็ ไป หามเตียงภิกษุไข้ พระองค์จับด้านหน่ึงและพระอานนท์จับอีกด้าน หนึ่ง หามมาสู่เรือนไฟ ภิกษุหลายรูปเดินมาเห็นพระศาสดาทรง 222 กระท�ำเช่นน้ัน ก็ช่วยเหลือคนละไม้คนละมือ ทรงให้เปลื้องผ้าของ พระติสสะออกแล้วซักให้สะอาด อาบน�้ำให้พระติสสะด้วยน้�ำอุ่น ทรงช�ำระเรือนกายอันปรุพรุนด้วยพระองค์เอง พระอานนท์คอย ช่วยเหลืออยู่อย่างใกล้ชิด เมื่อร่างกายนั้นสะอาดพอสมควรแล้ว และผ้าท่ีซักไว้ก็พอนุ่งห่มได้เรียบร้อย ครั้นพระพุทธองค์ทรงเห็น สังขารของพระติสสะค่อยกระปร้ีกระเปร่าขึ้นพอสมควรแล้ว จึง ประทานพระโอวาทวา่ “ติสสะ ร่างกายนี้ไม่นานนักดอก คงจักต้องนอนทับถม แผ่นดิน ร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณครองแล้ว ก็ถูกทอดทิ้ง เหมือนท่อนไม้ท่ไี ร้คา่ อนั เขาทิง้ เสียแล้วอย่างไมไ่ ยดี จงดูกายอันเปื่อยเน่าน้ีเสียเถิด มันอาดูรไม่สะอาด มีส่ิง สกปรกไหลเขา้ ไหลออกอยเู่ สมอ ถงึ กระนนั้ กต็ าม มนั ยงั เปน็ ทพี่ อใจ ปรารถนาย่ิงนกั ของคนผไู้ ม่รคู้ วามจริงขอ้ นี”้
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า เมื่อพระศาสดาแสดงธรรมจบลง พระติสสะได้ส�ำเร็จพระ อรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา และเน่ืองจากอาการป่วยหนัก ท่านไม่สามารถทนต่อไปได้อีก จึงนิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน พระศาสดาทรงให้กระท�ำฌาปนกิจ แล้วให้ก่อเจดีย์ขึ้นเพื่อบรรจ ุ พระธาตแุ หง่ พระติสสะน้ัน ขอ้ ทพ่ี ระพทุ ธองคต์ รสั วา่ “ความไมม่ โี รคเปน็ ลาภอนั ประเสรฐิ ” นนั้ ชา่ งเปน็ ความจรงิ เสยี นก่ี ระไร บรรดาโรคทงั้ หลายนน้ั พระพทุ ธ- องคต์ รสั วา่ “ความหวิ เปน็ โรคอยา่ งยง่ิ ” กเ็ ปน็ ความจรงิ ทไ่ี มส่ ามารถ จะคัดค้านได้ สัตว์ท้ังหลายอาจจะว่างเว้นจากโรคอื่นๆ ๑ ปีบ้าง ๒ ปีบ้าง ๕ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้างก็พอมี แต่ใครเล่าจะว่างเว้นจากโรค คือความหิวแม้เพียงวันเดียว โรคคือความหิวน้ีจึงต้องการบ�ำบัด 223 อยู่ตลอดเวลา ตลอดอายุ การที่มนุษย์ต้องวิ่งเต้นชนิด “กลางคืน เปน็ ควนั กลางวนั เปน็ เปลว” นนั้ สว่ นใหญก่ เ็ พอื่ นำ� ปจั จยั ซง่ึ สามารถ บำ� บดั ความหวิ นเี้ อง มาปรนเปรอรา่ งกายอนั พรอ่ งอยเู่ สมอ นอกจาก โรคประจ�ำคือโรคหิวแล้ว ยังมีโรคอ่ืนๆ อีกมากหลาย คอยบีบคั้น เสยี ดแทงใหม้ นุษยต์ ้องกระวนกระวายปวดรา้ วทางกายและใจ และจะมีเวลาใดเล่าที่มนุษย์จะต้องการเพ่ือนผู้เห็นใจ เสมอ เหมอื นเวลาปว่ ยหรอื อาพาธหนกั ในทำ� นองเดยี วกนั จะมมี ติ รใดเลา่ จะเบอื่ หนา่ ยและรำ� คาญเพอื่ นในยามทกุ ขเ์ สมอดว้ ยมติ รเทยี ม ควร พอใจชว่ ยเหลอื กนั ตามฐานะและโอกาส นา่ จะเปน็ หนา้ ทข่ี องมนษุ ย ์ ผไู้ ดร้ บั การศกึ ษาดแี ลว้ นอกเสยี จากเขาผนู้ น้ั จะเปน็ มนษุ ยแ์ ตเ่ พยี ง กาย และไดร้ ับการศกึ ษาเพียงคร่งึ ๆ กลางๆ เท่าน้นั
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ อีกครั้งหนึ่งพระพุทธองค์มีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เสด็จไปตามเสนาสนะต่างๆ ทอดพระเนตรเห็นภิกษุอาพาธหนัก รูปหน่ึง นอนจมกองอุจจาระและปัสสาวะของตนอยู่ ภิกษุรูปนั้น ปว่ ยเปน็ โรคทอ้ งรว่ ง ไมม่ ใี ครพยาบาลเลย ทงั้ นเี้ พราะเมอื่ คราวทา่ น ปรกตดิ อี ย ู่ ทา่ นไมเ่ คยอปุ การะใคร พระพทุ ธองคอ์ นั พระมหากรณุ า เตือนแล้ว ได้ให้พระอานนท์ไปน�ำน�้ำมา พระองค์ราดรดลง พระ อานนท์ขัดสี พระองค์ทรงยกศีรษะ พระอานนท์ยกเท้าแล้ววางลง บนเตยี งนอน ให้ฉันคลิ านเภสัชเทา่ ทีพ่ อจะหาได้ เย็นวันน้ันเองก็ทรงให้ประชุมสงฆ์ ปรารภข้อท่ีภิกษุอาพาธ ไมม่ ผี พู้ ยาบาลไดร้ บั ความลำ� บาก แลว้ ตรสั พระพทุ ธพจนอ์ นั จบั ใจวา่ 224 “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอบัดนี้ไม่มีมารดาไม่มีบิดาแล้ว ถ้า พวกเธอไมร่ กั ษาพยาบาลกนั เอง ใครเลา่ จะพยาบาล ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผ้ใู ดมคี วามประสงค์จะปฏิบัติบ�ำรุงเรา ขอใหผ้ นู้ ั้นปฏิบัติบ�ำรุงภิกษ ุ อาพาธเถดิ เท่ากับไดป้ ฏิบตั ิบ�ำรงุ เรา ภิกษุท้งั หลาย เมอ่ื ภกิ ษุอาพาธลง ภิกษุผ้เู ปน็ ศิษย์ พึงรักษา พยาบาลจนกว่าเธอจะหาย ถ้าศิษย์อาพาธลง อุปัชฌายะอาจารย์ พงึ ท�ำเชน่ เดยี วกนั ภกิ ษใุ ดไมท่ �ำ ภกิ ษนุ ้ันยอ่ มเปน็ อาบตั ิ คอื ฝา่ ฝนื ระเบียบของเรา ถ้าอปุ ัชฌายะอาจารย์ไม่มี ให้ภิกษรุ ่วมอุปชั ฌายะ อาจารย์เดียวกันปฏิบัติ ถ้าไม่ท�ำย่อมเป็นอาบัติ อน่ึง ถ้าภิกษุร่วม อปุ ชั ฌายะอาจารยเ์ ดยี วกนั ไมม่ ี ใหเ้ ปน็ หนา้ ทขี่ องสงฆท์ จ่ี ะพงึ รกั ษา พยาบาลเธอจนกวา่ จะหาย อยา่ ไดท้ อดทิง้ เธอไว้เดียวดาย” ความสำ� นกึ ในพระพทุ ธวจนะนเี้ อง เปน็ เหตใุ หภ้ กิ ษทุ งั้ หลาย แม้จะมาจากวรรณะต่างกัน ตระกูลต่างกัน แต่เมื่อมาสู่ธรรมวินัย
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า แล้วก็มีความรู้สึกต่อกันฉันพ่ีน้อง ซึ่งมีพระบรมศาสดาเป็นบิดา มีธรรมวินัยเป็นมารดา มองกันด้วยสายตาท่ีแสดงไมตรีจิต ม ี ภราดรภาพแผ่ปกคลุมอยู่ท่ัวร่มเงาแห่งกาสาวพัสตร์ นอกจากจะ มีต่อเพ่ือนพรหมจารีย์แล้ว ภราดรภาพซึ่งเอิบอาบอยู่ในจิตใจของ ภิกษุท้ังหลาย ยังได้แผ่ไปถึงสามัญชนท่ัวไปและดิรัจฉานอีกด้วย สมณะเป็นเพศสูง และมีน�้ำใจน่ารักน่าเคารพย่ิงนัก ท่านพร้อมท่ ี จะเขา้ ใจผอู้ น่ื แตด่ เู หมอื นสามญั ชนไมค่ อ่ ยจะเขา้ ใจทา่ นเลย ความ เผอ่ื แผแ่ ละเมตตากรณุ าซง่ึ สงั่ สมอบรมมานน้ั อยตู่ วั แมบ้ างทา่ นจะ ประพฤตพิ รหมจรรยอ์ ยมู่ ไิ ดต้ ลอดชวี ติ จำ� เปน็ ตอ้ งสกึ ออกมาดำ� รง ชพี เยย่ี งคฤหสั ถท์ ง้ั หลาย ความเผอื่ แผแ่ ละเมตตากรณุ า หวน่ั ใจตอ่ ความทุกข์ของผู้อ่ืนก็หาได้คลายลงไม่ มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ 225 ทั้งโลกเป็นญาติของตน จึงคอยหาโอกาสท่ีจะช่วยเหลือผู้อ่ืนตาม ฐานะและจังหวะท่ีมาถึงเข้า จนบางครั้งท�ำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดคิดไป ในทางร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ท่ีมีใจแคบ มองเห็นการท�ำความด ี ของผอู้ น่ื ดว้ ยสายตาทไ่ี มว่ างใจ คดิ วา่ เขาคงจะมเี จตนาไมบ่ รสิ ทุ ธอิ์ ย ู่ เบอื้ งหลงั คนทท่ี ำ� ความดโี ดยมไิ ดห้ วงั ผลตอบแทน จะไมม่ อี ยใู่ นโลก บ้างเชียวหรือ กระไรเราจะใจแคบจนไม่พยายามมองเจตนาดีของ ผู้อ่ืนบ้างเลย อีกคร้ังหนึ่ง พระผัคคุณะอาพาธหนัก พระอานนท์ได้ทราบ จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเพ่ือไปเย่ียมไข้ พระองค์เสด็จไปเย่ียม ตรสั ถามถึงอาการปว่ ย พระผคั คุณะทูลว่า อาการป่วยหนกั มาก มี ทุกขเวทนากล้าแข็ง ลมเสียดแทงศีรษะ เหมือนถูกเฉือนด้วย มีดโกนอันคมกริบ ปวดท้องเหมือนบุรุษฆ่าโคเอามีดช�ำแหละโค
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ที่คมมาช�ำแหละท้อง เจ็บปวดเร่าร้อนท่ัวกายเหมือนถูกย่างบน หลมุ ถา่ นเพลงิ พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงธรรม พรรณนาความทุกข์แห่ง สังขารอันมีผลสืบเนื่องมาจากกิเลสและกรรมของตน จนพระ ผคั คุณะได้ส�ำเร็จเปน็ โสดาบนั คร้ังหนึ่ง พระคิริมานันทะอาพาธหนัก พระอานนท์ทราบ เรื่องน้ีแล้วทูลอาราธนาให้พระศาสดาเสด็จไปเย่ียม เนื่องจาก พระพทุ ธองคย์ งั ทรงมภี ารกจิ บางอยา่ งอย ู่ จงึ เสดจ็ ไปมไิ ด ้ แตท่ รงให ้ พระอานนทเ์ รยี นสญั ญา ๑๐ ประการ แลว้ ไปสาธยายใหพ้ ระคริ มิ า- นันทะฟัง พระอานนท์ครั้นเรียนสัญญา ๑๐ ประการอย่างแม่นยำ� 226 แลว้ กไ็ ปสสู่ ำ� นกั ของพระคริ มิ านนั ทะ สาธยายสญั ญา ๑๐ ประการ ให้ฟงั โดยใจความดงั นี้ รูป คือ ก้อนทุกข์ก้อนหนึ่ง ซ่ึงประกอบข้ึนจากธาตุทั้ง ๔ กล่าวคือ ดิน น�้ำ ลม และไฟ เป็นไปโดยจักร ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน อันรวมเรียกว่าอิริยาบถ มีทวาร ๙ คือ ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑ อันเป็นที่หล่ังไหลออกแห่งตัว ปลวก คือ สิ่งโสโครกต่างๆ ขี้ตาไหลออกจากตา ขี้หูไหลออกจาก ชอ่ งห ู ฯลฯ ทวั่ สรรพางคม์ รี เู ลก็ ๆ เปน็ ทหี่ ลง่ั ไหลออกแหง่ สงิ่ สกปรก อันหมักหมมอยู่ภายใน พระศาสดาจึงเปรียบรูปกายน้ีเหมือนจอม ปลวกบ้าง เหมือนหมอ้ ดนิ บา้ ง เวทนา คือ ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เฉยๆ บ้าง
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า สัญญา คือ ความทรงจ�ำได้หมายรู้ ซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐพั พารมณ์ คอื สิ่งซึ่งถูกตอ้ งไดด้ ว้ ยกาย สังขาร คือ สภาพท่ีปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เป็นกลางๆ บา้ ง วญิ ญาณ คอื การรบั รอู้ ารมณอ์ นั ผา่ นมาทางตา ห ู จมกู ลนิ้ กาย และใจ ท้ังหมดนี้รวมเรียกว่าขันธ์ ๕ ล้วนมีสภาพเป็นทุกข์ เพราะ ทนอยู่ไม่ได้ ไมเ่ ทยี่ ง เพราะปรวนแปรอยู่เสมอ เปน็ อนตั ตาเพราะ ฝนื ไมไ่ ด ้ ไมเ่ ปน็ ไปตามปรารถนาวา่ จงเปน็ อยา่ งนเ้ี ถดิ อยา่ เปน็ อยา่ ง นน้ั เลย ทงั้ หมดทก่ี ลา่ วมาน ้ี พระผมู้ พี ระภาคเรยี กวา่ อนจิ จสญั ญา และ อนัตตสัญญา เพื่อให้สัญญาท้ัง ๒ ประการได้การอุปถัมภ์ พระพุทธองค์ 227 ทรงสอนให้พิจารณาอสุภสัญญา คือความไม่งามแห่งกายน้ี โดย อาการว่า กายน้ีต้ังแต่ปลายผมลงไป ต้ังแต่พ้ืนเท้าข้ึนมา เต็มไป ดว้ ยของไมส่ ะอาดมปี ระการตา่ งๆ กลา่ วคอื ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เนอื้ เอน็ กระดกู เยอ่ื ในกระดกู มา้ ม หวั ใจ ตบั พงั ผดื ไต ปอด ไส้ ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหง่ือ นำ�้ มันข้น น�้ำมันเหลว น�้ำตา น้�ำลาย น้�ำไขขอ้ น้ำ� มูตร อาการหรือสิ่งดังกล่าวมาน้ี ย่อมให้ทุกข์ให้โทษเมื่อมีอาการ เปล่ียนแปลง เป็นบ่อเกิดแห่งโรคนานาชนิด เช่น โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคล�ำไส้ โรคไต โรคปอด โรคม้าม โรคตับ โรคเก่ียวกับ อจุ จาระ ปสั สาวะ ฯลฯ การพจิ ารณาเห็นโทษแหง่ สง่ิ เหลา่ นี้วา่ เปน็ รงั ของโรคนัน่ แล เรยี กว่า อาทนี วสัญญา
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ร่างกายน้ีเป็นท่ีน�ำมา คือเป็นส่ือแห่งความตรึกในเรื่องกาม บา้ ง เรอ่ื งพยาบาทบา้ ง เรอ่ื งเบยี ดเบยี นบา้ ง วติ กทงั้ สามนเี้ มอ่ื จะตง้ั ลงก็ต้ังลงในกายน้ี การก�ำหนดใจประหารกามวิตก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวติ ก เรยี กว่า ปหานสัญญา เมื่อประหารได้แล้ว ความก�ำหนัดพอใจในสิ่งอันเป็นที่ตั้ง แหง่ ความกำ� หนดั พอใจกค็ ลายลง พอใจในการทจ่ี ะสำ� รอกราคะเสยี เรียกวา่ วิราคสญั ญา การดบั กเิ ลสทง้ั มวลใหป้ ระสบความสงบเยอื กเยน็ ได ้ เรยี กวา่ นโิ รธ ความพอใจกำ� หนดในนโิ รธน้ัน เรียกว่า นโิ รธสัญญา ความรู้สึกว่า โลกน้ีเป็นท่ีต้ังท่ีเกิดแห่งความวุ่นวายนานา 228 ประการ หาความสงบสขุ ไดโ้ ดยยาก ไมเ่ พยี งแตใ่ นโลกนเี้ ทา่ นนั้ แม้ โลกท้ังปวงก็ตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน ร้อนระอุอยู่ด้วยเพลิง ภายในคือกิเลส แล้วไม่ปรารถนาโลกไหนๆ เรียกว่า สัพพโลเก อนภริ ตสญั ญา การก�ำหนดใจไม่ปรารถนาสังขารท้ังปวง ไม่ว่าจะมีใจครอง หรือไม่มีใจครอง ไม่ยึดม่ันถือมั่น ปล่อยวางซ่ึงสิ่งที่เคยยึดถือไว้ ย่อมประสบความเบากาย เบาใจ เหมือนคนปลงภาระหนักลงเสีย การกำ� หนดใจดังนี้เรยี กว่า สัพพสังขาเรสุอนฏิ ฐสัญญา การก�ำหนดลมหายใจเข้าออก มีสติต้ังไว้ท่ีลมหายใจ เมื่อ หายใจออกยาว กร็ วู้ า่ ยาว เมอ่ื หายใจออกสนั้ กร็ วู้ า่ สน้ั ทง้ั นเ้ี พอ่ื เปน็ การบรรเทากามราคะ และความหลงใหล เรยี กวา่ อานาปานสติ พระคิริมานันทะส่งกระแสจิตไปตามธรรมบรรยายของพระ อานนท์ รู้สึกซาบซ้ึงซึมซาบ ปีติปราโมชเกิดขึ้น เป็นปฏิกิริยาแห่ง
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ธัมโมชปัญญา สามารถข่มอาพาธหนักเสียได ้ ท่านหายอาพาธน้ัน ดว้ ยฟังสญั ญา ๑๐ ประการจากพระพุทธอนุชา แน่นอนทีเดียว การอุปการะช่วยเหลือผู้อื่นคราวอาพาธนั้น ย่อมเป็นสิ่งประทับใจอยู่ตลอดกาล ท้ังแก่ผู้รับและแก่ผู้ให้ โรค เป็นศัตรูของชีวิต การช่วยก�ำจัดโรคเท่ากับช่วยก�ำจัดศัตรูของชีวิต ท�ำนองเดียวกับกิเลสเป็นศัตรูของจิตใจ การช่วยก�ำจัดกิเลสจึง เท่ากับช่วยก�ำจัดศัตรูของจิต พระบรมศาสดาและพระพุทธอนุชา อานนทน์ นั้ เปน็ กลั ยาณมติ รแหง่ มวลชน เปน็ ทพ่ี งึ่ ไดท้ ง้ั ทางกายและ ทางจติ จะหากลั ยาณมติ รใดเลา่ เสมอเหมอื นหรอื ยงิ่ กวา่ ทา่ นผทู้ รง คุณอนั ประเสริฐนี้ 229
๑๙ น้ํ า ใ จ แ ล ะ จ ริ ย า 230 เช้าวันหน่ึง พระอานนท์เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ได้พบ พราหมณ์นามว่า สังครวะ ผู้มีความเชื่อถือว่า บุคคลจะบริสุทธ์ิได้ ดว้ ยการอาบนำ้� ในแมน่ ำ้� คงคาวนั ละ ๓ ครง้ั คอื เชา้ กลางวนั และเยน็ บาปอันใดที่ท�ำในเวลาราตรี บาปนั้นย่อมล้างได้ ลอยได้ด้วยการ อาบน�้ำในเวลาเช้า และอาบน้�ำในเวลากลางวัน เพื่อล้างบาปที่ท�ำ ตง้ั แตเ่ ชา้ จนเทย่ี ง อาบนำ้� ในเวลาเยน็ เพอ่ื ลา้ งบาปอนั อาจจะเกดิ ขนึ้ ในเวลาหลังเท่ียง น้�ำที่อาบน้ันต้องเป็นน�้ำในแม่น้�ำคงคา โดยถือ ว่าได้ไหลมาจากแดนสวรรค์ ผ่านเศียรพระศิวะผู้เป็นเจ้ามาแล้ว ไม่เพียงแต่ล้างบาปอย่างเดียวเท่านั้น แต่สามารถบ�ำบัดโรคภัย ไข้เจ็บอีกด้วย และเมื่ออาบนำ�้ ในพระแม่คงคาทุกวัน ตายแล้วย่อม ไปสู่สวรรค์ ได้สถิตอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุน้ี จึงเป็นของ
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า 231
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ธรรมดาที่จะมองเห็นโยคีและผู้บำ� เพ็ญพรตนิกายต่างๆ ทั้งสองฝั่ง แมน่ ำ�้ คงคาตอนเหนอื แถบภเู ขาหมิ าลยั ทรมานตนอยดู่ ว้ ยวธิ แี ปลกๆ ตามแต่ตนจะเห็นว่าอย่างไหนดี และสามารถเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า ได ้ บางพวกนอนบนหนาม บางพวกคลกุ ตนด้วยขี้เถา้ บางพวกยนื ยกขาข้างเดียวอ้าปากกินลมชมจันทร์ บางพวกยืนเอามือเหน่ียว กงิ่ ไมจ้ นเลบ็ ยาวออกมาแทบจะทะลหุ ลงั มอื บางพวกบชู าไฟและบชู า พระอาทิตย์ แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยท่ีโยคีบางพวกบ�ำเพ็ญเพียรทางจิต จนได้บรรลุฌานข้ันต่างๆ สามารถมองเห็นเหตุการณ์ทั้งอดีต อนาคตเหมอื นประสบมาเอง บางคนสามารถไดเ้ จโตปรยิ ญาณ คอื รู้วาระจิตของผู้อื่น ตอบปัญหาได้โดยที่ผู้ถามเพียงนึกถามอยู่ในใจ 232 เท่านนั้ พระอานนท์ได้เห็นสังครวพราหมณ์ผู้ถือการลงอาบน้�ำใน แมน่ ำ้� คงคาเปน็ อาจณิ วตั รดงั นน้ั แลว้ มากราบทลู พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ว่า “พระองค์ผู้เจริญ สังครวพราหมณ์เวลาน้ีอยู่ในวัยชรา มี อัธยาศัยงามพอสนทนาได้อยู่ แต่อาศัยความเช่ือถือเก่าๆ จึงมอง ไมเ่ หน็ ทางปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ ง ขอพระผมู้ พี ระภาคจงอาศยั พระมหากรณุ า เสด็จไปโปรดสงั ครวพราหมณส์ ักครงั้ เถดิ ” พระพุทธองค์ทรงรับอาราธนาของพระอานนท์ด้วยอาการ ดษุ ณ ี วนั รงุ่ ขน้ึ เสดจ็ ไปสนู่ เิ วศนข์ องพราหมณน์ นั้ เหมอื นเสดจ็ เยยี่ ม อยา่ งธรรมดา เมอื่ สมั โมทนยี กถาลว่ งไปแลว้ พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั วา่ “พราหมณ์ เวลาน้ีท่านยังอาบน้�ำด�ำเกล้าในแม่คงคาวันละ ๓ ครงั้ อยูห่ รอื ?”
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า “ยงั ทำ� อย่ ู พระเจา้ ข้า” พราหมณ์ทลู ด้วยอาการนอบน้อม “ทา่ นเหน็ ประโยชนอ์ ยา่ งไรนะพราหมณ ์ จงึ ตอ้ งอาบนำ้� ดำ� เกลา้ เฉพาะแต่ในแม่น�้ำคงคาเท่านั้น ที่อ่ืนจะอาบได้หรือไม่ ท่ีตถาคต ถามน้ีถามเพื่อต้องการความรู้ความเห็นเท่านั้น อย่าหาว่าตถาคต ละลาบละลว้ งในเรื่องส่วนตวั เลย” “พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ฟังมาต้ังแต่อายุยังเยาว์ว่า แมน่ ำ้� คงคาเป็นแมน่ ำ้� ศกั ด์ิสิทธ์ิ สามารถชำ� ระบาปมลทินทง้ั ปวงได้ เพราะไดไ้ หลผา่ นเศยี รพระศวิ ะผเู้ ปน็ เจา้ ลงมา เปน็ แมค่ งคาสวรรค์ ข้าพเจ้าจึงเลื่อมใสและปฏิบัติตามบุรพชนซ่ึงเคยถือปฏิบัติกันมา และข้าพเจ้าเชื่อว่าสามารถช�ำระบาปได้จริงๆ” พราหมณ์ทูลด้วย ความมน่ั ใจ “พราหมณ”์ พระผมู้ พี ระภาคตรสั ดว้ ยพระสรุ เสยี งทอี่ อ่ นโยน 233 นมิ่ นวลและอยา่ งกนั เอง “ขอใหท้ า่ นนกึ วา่ เราสนทนาเพอ่ื แลกเปลยี่ น ความรคู้ วามเขา้ ใจกนั เถดิ ตถาคตจะขอถามทา่ นวา่ บาปมลทนิ นน้ั อยูท่ ก่ี ายหรืออยทู่ ใี่ จ?” “อยทู่ ีใ่ จซ ิ พระโคดม” “เมื่อบาปมลทินอยู่ท่ีใจ การลงอาบน�้ำช�ำระกาย น�้ำนั้นจะ สามารถซมึ ซาบลงไปล้างใจดว้ ยหรือ?” “แตพ่ ระโคดมตอ้ งไมล่ มื วา่ น้�ำนนั้ มใิ ชน่ ำ้� ธรรมดา มนั เปน็ นำ้� ศกั ด์สิ ิทธ์ทิ ่ีเชอื่ กนั วา่ สามารถลา้ งบาปมลทนิ ภายในได”้ “ทา่ นคดิ วา่ ความเชอ่ื สามารถเปลยี่ นแปลงขอ้ เทจ็ จรงิ ซง่ึ มอี ย่ ู ในตวั มันเองอยแู่ ล้ว ให้เป็นอีกอยา่ งหนงึ่ ตามท่เี ราเชอื่ หรอื ?”
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “เป็นไปมิได้เลย พระโคดม ความเชื่อมิอาจบิดเบือนความ จริงได ้ ความจริงย่อมทรงตวั ของมันอยู่ตลอดเวลา ไมว่ า่ ใครจะเชอ่ื หรอื ไม่เชื่อก็ตาม” “เปน็ อนั ทา่ นยอมรบั วา่ ความเชอ่ื ไมอ่ าจไปบดิ เบอื นความจรงิ ได ้ กก็ ารทท่ี า่ นเชอื่ วา่ แมน่ ำ้� คงคาสามารถลา้ งบาปมลทนิ ภายในได ้ น้ัน มันจะเป็นจริงอย่างที่ท่านเชื่อละหรือ ดูก่อนพราหมณ์ อุปมา เหมอื นบรุ ษุ ผหู้ ลงทางในปา่ แลว้ บา่ ยหนา้ ไปทางทศิ หนงึ่ ซง่ึ ตนเขา้ ใจ วา่ เปน็ ทศิ ตะวนั ออก แตค่ วามจรงิ มนั เปน็ ทศิ ตะวนั ตก ความเชอ่ื ของ เขาไม่อาจจะไปเปล่ียนทิศตะวันตกให้เป็นทิศตะวันออกได้ฉันใด ความเช่ือของพราหมณ์เป็นอันมากท่ีเช่ือว่าแม่น�้ำคงคาเป็นแม่น�้ำ 234 ศักดิ์สิทธิ์ สามารถล้างบาปได้ ก็ไม่อาจท�ำให้แม่น้�ำน้ันล้างบาปได้ จรงิ เลย จึงชวนกนั เขา้ ใจผิดเหมอื นบุรุษผ้หู ลงทางในปา่ นั้น ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนมนุษย์ผู้หนึ่งมีหม้อทองแดง อยใู่ บหนง่ึ มนั เปอ้ื นเปรอะดว้ ยสงิ่ ปฏกิ ลู ทง้ั ภายในและภายนอก เขา พยายามชำ� ระลา้ งดว้ ยนำ้� จำ� นวนมาก แตล่ า้ งเฉพาะภายนอกเทา่ นนั้ หาไดล้ า้ งภายในไม ่ ทา่ นคดิ วา่ สง่ิ ปฏกิ ลู ภายในจะพลอยหมดไปดว้ ย หรอื ?” “เปน็ ไปมไิ ดเ้ ลย พระโคดมผเู้ จรญิ บรุ ษุ ผนู้ น้ั ยอ่ มเหนอ่ื ยแรง เปล่า ไม่อาจท�ำให้ภายในหม้อสะอาดได ้ สิ่งสกปรกเคยเกรอะกรัง อยา่ งไรกค็ งอยูอ่ ยา่ งนั้น” “ดกู อ่ นพราหมณ ์ เรากลา่ วกายทจุ รติ วจที จุ รติ มโนทจุ รติ วา่ เปน็ สงิ่ ทำ� ใหจ้ ติ สกปรก และสามารถชำ� ระลา้ งไดด้ ว้ ยธรรม คอื ความ สุจริต มิใช่ด้วยการอาบน�้ำธรรมดา น�้ำดื่มของบุคคลผู้มีกายสุจริต
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า วจีสจุ รติ และมโนสุจรติ ยอ่ มเป็นนำ้� ศักดิส์ ทิ ธิไ์ ปในตวั แล้ว นี่แน่ะพราหมณ์ มาเถิดมาอาบน�้ำในธรรมวินัยของเราน ้ี ซึ่ง ลึกซ้ึง สะอาด ไม่ขุ่นมัว มีศีลเป็นท่าลง บัณฑิตสรรเสริญ เป็นท่ีท่ี ผูร้ นู้ ยิ มอาบกัน อาบแล้วข้ามฝงั่ ไดโ้ ดยที่ตัวไม่เปียก” เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้ พราหมณ์กล่าวด้วยความ เบิกบานใจว่า “แจ่มแจ้งจริงพระโคดม แจ่มแจ้งจริง เหมือนหงาย ของทคี่ วำ่� เปดิ ของทปี่ ดิ บอกทางแกค่ นหลงทาง สอ่ งประทปี ในทมี่ ดื ใหผ้ มู้ นี ยั นต์ าดไี ดเ้ หน็ รปู ขา้ พระพทุ ธเจา้ ขอปฏญิ าณตนเปน็ อบุ าสก ถงึ พระองคพ์ รอ้ มดว้ ยพระธรรม และพระสงฆ์ เปน็ ผนู้ ำ� ทาง ตงั้ แต่ บัดน้ีเปน็ ตน้ ไป จวบจนสิน้ ลมปราณ” พระอานนท์พุทธอนุชาเป็นผู้มีน้�ำใจปรารถนาความสุข 235 ความส�ำเร็จแก่ผู้อ่ืน ในฐานะท่ีพอช่วยเหลือได้ดังได้กล่าวมาแล้วนี้ คณุ ธรรมอีกอย่างหนึ่งของท่านซ่ึงน่าประทับใจย่ิงนัก คือมีความ เคารพยำ� เกรงตอ่ พระเถระผทู้ รงคณุ ธรรมอนั ประเสรฐิ ซงึ่ พระศาสดา ทรงยกยอ่ งแลว้ มพี ระสารบี ตุ รและพระมหากสั สปะนน้ั พระอานนท ์ ไม่กลา้ แม้แตจ่ ะเอย่ ชอ่ื ทา่ น คราวหนึ่งพระมหากสั สปะจะเป็นอุปัชฌายะให้อปุ สมบทแก่ กลุ บตุ รผหู้ นงึ่ จงึ สง่ ทตู ไปนมิ นตพ์ ระอานนทเ์ พอ่ื สวดอนสุ าวนา คอื สวดประกาศเพ่ือขอความยินยอมจากสงฆ์ ในการสวดน้ีจะต้อง ระบุชื่อผู้เป็นอุปัชฌายะด้วย พระอานนท์ไม่รับ ท่านอ้างว่าท่านไม ่ สามารถเอย่ ชอื่ พระมหากสั สปะตอ่ หนา้ ทา่ นได้ พระผมู้ พี ระภาคทรง ทราบเรอื่ งนแ้ี ลว้ จงึ ทรงบญั ญตั ใิ หส้ วดอนสุ าวนาระบชุ อ่ื โคตรกนั ได้
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ อีกคร้ังหน่ึงท่านมีหน้าท่ีต้องให้โอวาทภิกษุณี ท่านขอร้อง วิงวอนให้พระกัสสปะไปกับท่าน เพื่อให้โอวาทภิกษุณีแทนท่าน เพราะเห็นว่าพระมหากัสสปะเป็นนกั ปฏบิ ัติท่เี คร่งครัด โอวาทของ ท่านคงจะเป็นประโยชน์แก่ภิกษุณีผู้ยินดีต่อการปฏิบัต ิ พระมหา กัสสปะปฏิเสธถึง ๒ คร้ัง เม่ือพระอานนท์อ้อนวอนเป็นครั้งที่ ๓ ทา่ นจงึ ไป ไปอยา่ งขดั พระอานนท์ไม่ได้ โดยปรกตทิ า่ นเปน็ ผูอ้ ยูป่ า่ ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ เมื่อถึงส�ำนักภิกษุณีและให้โอวาทพอ สมควรแล้ว ท่านก็ลากลับ ต่อมาท่านได้ทราบว่า ภิกษุณีรูปหนึ่ง ตเิ ตยี นทา่ นวา่ พระมหากสั สปะไมน่ า่ จะกลา่ วธรรมตอ่ หนา้ เวเทหมนุ ี คอื นกั ปราชญอ์ ยา่ งเชน่ พระอานนทเ์ ลย การกระทำ� เชน่ นน้ั เหมอื น 236 พ่อค้าขายเข็มน�ำเข็มมาขายแก่นายช่างผู้ท�ำเข็ม ช่างน่าหัวเราะ พระมหากสั สปะกล่าวกบั พระอานนท์ว่า “พระอานนท์ เธอหรือเรากันแน่ท่ีควรจะเป็นพ่อค้าขายเข็ม กพ็ ระศาสดาเคยยกยอ่ งเธอบา้ งหรอื วา่ มวี หิ ารธรรม คอื ธรรมเปน็ เครอื่ งอยปู่ ระจำ� เสมอดว้ ยพระองค ์ แตเ่ รานแ่ี หละพระศาสดายกยอ่ ง ในท่ามกลางสงฆ์เสมอว่ามีธรรมเสมอด้วยพระองค์ เช่นเดียวกับ ทย่ี กยอ่ งพระสารบี ตุ รวา่ สามารถแสดงธรรมไดเ้ สมอดว้ ยพระองค”์ “ท่านผเู้ จรญิ ” พระอานนท์กลา่ วดว้ ยเสียงเรียบปรกติ “อย่า คิดอะไรเลย สตรีส่วนมากเป็นคนโง่เขลา มักขาดเหตุผล พูด พลอ่ ยๆ ไปอยา่ งน้ันเอง” การที่พระมหากัสสปะกล่าวกับพระอานนท์อย่างนั้น มิใช่ เพราะท่านน้อยใจหรือเสียใจในการที่ภิกษุณีกล่าวดูหม่ินท่าน แต ่ ท่านกล่าวด้วยคิดว่า ค�ำพูดของท่านคงจะถึงภิกษุณี และเธอจะได้
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า สำ� นกึ ตนแลว้ กลบั ความเหน็ เสยี การทภ่ี กิ ษณุ กี ลา่ วเชน่ นน้ั เปน็ การ ไมส่ มควร จะเกดิ โทษและทกุ ขแ์ กเ่ ธอเอง ดว้ ยจติ คดิ จะอนเุ คราะห ์ อยา่ งน้ ี พระมหากสั สปะจงึ กลา่ วอยา่ งนัน้ โดยความเปน็ จรงิ แลว้ พระมหากสั สปะมคี วามสนทิ สนมและ กรณุ าพระอานนทย์ งิ่ นกั กลา่ วกนั วา่ แมพ้ ระอานนทจ์ ะมอี ายยุ า่ งเขา้ สวู่ ยั ชราเกศาหงอกแลว้ พระมหากสั สปะกเ็ รยี กทา่ นวา่ “เดก็ นอ้ ย” อยเู่ สมอ และพระอานนท์เลา่ ก็ประพฤตติ นนา่ รักเสียจริงๆ พระอานนทเ์ ปน็ องคแ์ ทนธรรมรตั นะ คราวหนึ่งมีพราหมณ์ผู้หน่ึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า 237 ส�ำหรับพระพทุ ธเจ้าและพระสงฆ์สาวกน้ัน เขาได้บูชาแลว้ ดว้ ยการ ถวายอาหารบา้ ง ถวายเครอื่ งนงุ่ หม่ และเครอื่ งใชบ้ า้ ง เวลานเี้ ขาตอ้ ง การจะบูชาภิกษุผู้เป็นพหูสูตทรงธรรม เขาจึงทูลถามว่า ก็ใครเล่า เป็นพหูสูตทรงธรรม พระผู้มีพระภาครับส่ังให้พราหมณ์ไปถาม ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพราหมณ์ไปถามภิกษุท้ังหลาย ก็ตอบเป็นเสียง เดียวกันว่า ผู้เป็นพหูสูตทรงธรรมดังกล่าวน้ันคือพระอานนท์พุทธ อนชุ า พราหมณจ์ งึ ไดน้ �ำจวี รไปถวายพระอานนท์ เปน็ การบชู าพระ ธรรม พระอานนท์จงึ เป็นสาวกทีเ่ ป็นองค์แทนธรรมรัตนะ กลา่ วอกี ปรยิ ายหนงึ่ ผตู้ งั้ ใจปฏบิ ตั ธิ รรมโดยชอบ ไมด่ แู คลน ธรรม ใหค้ วามยำ� เกรงแกธ่ รรม ไมเ่ หยยี บยำ�่ ธรรม ชอื่ วา่ เปน็ ผบู้ ชู า พระธรรมโดยความหมายอย่างสูง แม้พระพุทธองค์ก็ทรงเคารพ นับถือธรรม
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ครั้งหนึ่งเม่ือตรัสรู้ใหม่ๆ พระพุทธองค์ประทับอยู ่ ณ ริมฝั่ง แม่น�้ำเนรัญชรา ใต้ต้นไทรอันคนเล้ียงแพะชอบมาพักอาศัยเสมอ ซึ่งมีช่ือว่า “อชปาลนิโครธ” ทรงปริวิตกว่า ผู้ไม่มีที่พึ่งอยู่ล�ำบาก ผไู้ มม่ ที เ่ี คารพทเี่ กรงใจกอ็ ยลู่ ำ� บาก กพ็ ระองคจ์ ะถอื ใครเปน็ ทเ่ี คารพ ยำ� เกรงได ้ ทรงตรวจดบู คุ คลทงั้ หลายทพี่ ระองคจ์ ะพงึ เคารพยำ� เกรง แตไ่ มท่ รงเหน็ ใครทเ่ี สมอดว้ ยพระองคห์ รอื ยง่ิ กวา่ พระองคใ์ นเรอ่ื งศลี สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ แต่ยังทรงตระหนัก อยู่ว่า ผู้ไม่มีที่พ่ึงที่เคารพย�ำเกรงย่อมอยู่ล�ำบาก พระองค์ควรจะมี ใครหรืออะไรหนอเป็นที่เคารพ ในท่ีสุดก็ทรงมองเห็นพระธรรมที ่ พระองคต์ รสั รนู้ นั่ แล วา่ เปน็ ธรรมทป่ี ระณตี ลกึ ซงึ้ ควรแกก่ ารเคารพ 238 พระพทุ ธองคจ์ งึ ทรงอธษิ ฐานพระทยั คอื เอาธรรมเปน็ ทเ่ี คารพแหง่ พระองค์ พระธรรมจึงเป็นสิ่งสูงสุด แม้พระพุทธเจ้าเองยังต้องทรง เคารพ กลา่ วโดยรวบยอด พระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆจ์ ะ ต่างกันก็แต่เพียงช่ือเท่านั้นส่วนโดยเน้ือความแล้ว เป็นอันหน่ึงอัน เดียวกัน แยกออกจากกันไม่ได้ เปรียบเหมือนแก้วหรือเพชรสาม เหล่ียมซ่ึงอาศัยอยู่ในเม็ดเดียวกันน่ันเอง พระธรรมเป็นความจริง ซึ่งเป็นอยู่ตามธรรมชาติ เป็นกฎแห่งความจริงซึ่งมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงค้นพบกฎแห่งความจริงน้ัน แล้วน�ำมาตีแผ ่ ช้ีแจงแสดงเปิดเผย พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติตามพระธรรมและรักษา ธรรม ทรงธรรมไว้ และแสดงต่อๆ กันมา เพ่ือเป็นประโยชน์แก ่ ชาวโลกเหมือนผู้รับช่วงดวงประทีปสำ� หรับส่องทางแก่มวลมนุษย ์ ผสู้ ญั จรอยใู่ นปา่ แห่งชวี ิตน้ี
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ครั้งหน่ึงพระอานนท์นั่งพักอยู่ ณ ท่ีพักกลางวัน ท่านมี ความคิดข้ึนว่า พระศาสดาเคยตรัสเร่ืองเก่ียวกับพระพุทธเจ้า หลายพระองค์ เชน่ เรอ่ื งมารดาบดิ าของพระพทุ ธเจา้ องคน์ น้ั ๆ เรอ่ื ง ก�ำหนดพระชนมายุ เร่ืองการตรัสรู้ เร่ืองสาวกสันนิบาต เรื่องอัคร สาวก ตลอดถงึ เรอ่ื งอปุ ฏั ฐาก แตเ่ รอ่ื งอโุ บสถของพระพทุ ธเจา้ แตล่ ะ องค์ พระพทุ ธเจ้ายังมิได้ตรสั ให้ทราบเลย อโุ บสถของพระพทุ ธเจา้ องค์ก่อนๆ จะเหมือนกับของพระศาสดาของเราหรือไม่ เม่ือท่าน สงสยั ดังนี้ จงึ เขา้ เฝา้ พระพทุ ธองค์ทลู ถามขอ้ ความนนั้ พระผมู้ พี ระภาคตรสั ตอบวา่ กำ� หนดอโุ บสถของพระพทุ ธเจา้ แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ส่วนโอวาทปาฏิโมกข์ คือพระโอวาทเป็น หลกั ของพระพทุ ธเจา้ ทกุ ๆ พระองคเ์ หมอื นกนั ทง้ั สน้ิ คอื พระสมั มา 239 สัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี ทรงกระท�ำอุโบสถ ๗ ปีต่อ ๑ ครงั้ ทงั้ นเี้ พราะพระโอวาททท่ี รงประทานวนั หนง่ึ เพยี งพอส�ำหรบั ๗ ป ี สว่ นพระสขิ แี ละพระเวสสภสู มั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงกระทำ� อโุ บสถ ๖ ปตี อ่ ๑ คร้ัง พระสัมมาสัมพุทธเจา้ พระนามวา่ กกุสันธะ และโก นาคมนะ ทรงกระท�ำปีละครั้ง พระกัสสปทศพล ทรงกระท�ำทุกๆ ๖ เดือน ส่วนพระองค์เอง ทรงกระท�ำทุกๆ ๑๕ วัน กาลเวลาท ี่ ท�ำอุโบสถแตกต่างกันอยู่อย่างนี้ แต่พระโอวาทนั้นเหมือนกันทุก ประการ ดังนี้ ตอนแรก ทรงแสดงหลักทั่วๆ ไปว่า ตีติกขาขันติ คือความอดทน อดกล้ันต่ออารมณ์ที่มายั่วเย้า ให้โลภ ให้โกรธ และให้หลง อดทนต่อค�ำล่วงเกินของผู้อื่น จัดเป็น
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ตบะธรรมทยี่ อดยง่ิ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลายกลา่ ววา่ พระนพิ พานเปน็ บรมธรรม คือจุดหมายปลายทางแห่งการประพฤติพรหมจรรย ์ ผู้ บวชแลว้ แตย่ งั เบยี ดเบยี นผอู้ น่ื ใหเ้ ดอื ดรอ้ นอย ู่ หาชอื่ วา่ สมณะ คอื ผสู้ งบไม่ ตอนท่ี ๒ ทรงวางแนวการสอนพระพทุ ธศาสนาว่า ศาสนาของพระองค์สรรเสริญการไม่ท�ำความช่ัว และสรร- เสริญการท�ำความดี ยกย่องการท�ำจิตให้ผ่องใสสะอาด เพราะ ฉะน้ัน ในการสอนธรรมพึงพุ่งเข้าหาจุดท้ังสามจุดนี้ พูดให้เขาเห็น โทษของความช่ัว ให้เห็นคุณของความดี และการท�ำใจให้ผ่องแผ้ว 240 ประการหลงั เป็นจุดมุ่งหมายสงู สดุ แห่งพรหมจรรย์ ตอนท่ ี ๓ ทรงกำ� หนดคุณสมบัติของผู้เผยแผ่วา่ - ตอ้ งไม่ว่าร้ายใคร คอื เผยแผ่ศาสนาโดยไมต่ ้องรกุ รานใคร - ตอ้ งไมเ่ บียดเบยี นเขน่ ฆ่าผู้ที่ไมเ่ ชอื่ ถือ ไม่ข่มเหงใคร - ตอ้ งสำ� รวมระวงั ในสกิ ขาบทปาฏโิ มกข ์ สำ� รวมตนดว้ ยด ี ทำ� ตนใหเ้ ปน็ ตวั อย่างทางสงบ - ตอ้ งไมเ่ หน็ แกป่ ากแกท่ อ้ ง พยายามรกั ษาเกยี รตแิ ละศกั ดศ์ิ รี แห่งสมณะไว้ - ต้องอยใู่ นทีส่ งบสงดั ไมจ่ ุ้นจา้ นพลุกพล่าน - ตอ้ งประกอบความเพยี รทางจติ อยเู่ สมอ เพอ่ื ละอกศุ ลธรรม ทย่ี งั มิได้ละ เพือ่ บำ� เพญ็ กุศลทีย่ งั มิได้ทำ� ให้เจรญิ
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า โดยที่โอวาทปาฏิโมกข์ คือพระโอวาทที่เป็นหลักใหญ่ของ พระพทุ ธเจา้ ทกุ พระองคเ์ หมอื นกนั และลงกนั ไดอ้ ยา่ งสนทิ อยา่ งนเ้ี อง พระคนั ถรจนาจารยผ์ ้รู จนาคมั ภีร์จึงได้กล่าวไวโ้ ดยบุคลาธษิ ฐานวา่ “เมอ่ื พระศากยมนุ เี สวยขา้ วมธปุ ายาสของนางสชุ าดา ในตอน เชา้ แหง่ วนั เพญ็ เดอื นวสิ าขะแลว้ พระองคไ์ ดน้ ำ� ถาดทองคำ� ทใ่ี สข่ า้ ว มธปุ ายาสนนั้ ไปลอยเสยี ในแมน่ ำ้� เนรญั ชรา ถาดนนั้ ลอยทวนกระแส น�้ำไปหน่อยหน่ึง แล้วจมลงไปซ้อนกับถาดของพระพุทธเจ้าองค์ กอ่ นๆ เสยี งดงั กรก๊ิ พญานาคราชซงึ่ นอนหลบั เปน็ เวลานานกต็ น่ื ขน้ึ พลางนึกในใจว่า ‘เร็วจริง ยังนอนหลับไม่เต็มต่ืนเลย พระพุทธเจ้า เกิดขึ้นอีกองค์หนึ่งแล้ว มองดูถาดท่ีลงไปซ้อนกันอยู่ครู่หนึ่งแล้ว หลับต่อไป พญานาคราชน้ีจะตื่นข้ึนเฉพาะเวลาที่พระพุทธเจ้าเกิด 241 ขึน้ เท่านั้น” เร่ืองนถี้ อดเป็นธรรมาธิษฐานได้ความดงั นี้ ถาดทองค�ำเปรียบด้วยพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ที่ว่าลอยทวนกระแสน้�ำน้ัน หมายถึงลอยทวนกระแสจิตของคน ธรรมดา สภาพจิตของคนมักไหลเล่ือนลงสู่ที่ต�่ำ คืออารมณ์อัน น่าใคร่ น่าพอใจ แต่ธรรมของพระพุทธองค์เน้นหนักไปในทางให ้ ฝึกฝนจิต เพ่ือละความใคร ่ ความพอใจ ความเมาต่างๆ จึงเรียกว่า ทวนกระแส ดังท่ีพระองค์ทรงปรารภเม่ือตรัสรู้ใหม่ๆ และทรงด�ำร ิ จะโปรดเวไนยสัตวว์ า่ “ธรรมท่ีเราได้บรรลุแล้วนี้ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต มิใช่วิสัยแห่งตรรก คือคิดเอาไม่ได้ หรือไม่ควรลง ความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธรรมที่บัณฑิตพอจะรู้ได้ อน่ึงเล่า
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ สตั วท์ งั้ หลายสว่ นมากยนิ ดใี นอาลยั คอื กามคณุ สตั วผ์ เู้ หน็ ปานนน้ั ยากนักที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาทและพระนิพพาน ซ่ึงมีสภาพบอก คนื กเิ ลสทง้ั หมด ทำ� ตณั หาใหส้ น้ิ ดบั ทกุ ข ์ เราจะพงึ แสดงธรรมหรอื ไม่หนอ ถ้าแสดงไปแล้วคนอื่นรู้ตามไม่ได้ เราก็จะพึงล�ำบากเปล่า โอ อย่าเลย อย่าประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้วเลย ธรรมน้ีอัน บคุ คลผเู้ พยี บแปลไ้ ปดว้ ยราคะโทสะ จะรไู้ ดโ้ ดยงา่ ยมไิ ดเ้ ลย บคุ คล ที่ยังยินดีพอใจให้กิเลสย้อมจิต ถูกความมืดคือกิเลสหุ้มห่อแล้วจะ ไม่สามารถเห็นได้ ซึ่งธรรมท่ีทวนกระแสจิตละเอียดประณีตลึกซึ้ง เหน็ ไดย้ ากน”้ี ทรงดำ� รอิ ยา่ งนแ้ี ลว้ จงึ นอ้ มพระทยั ไปเพอื่ เปน็ ผอู้ ยสู่ บาย ขวน 242 ขวายนอ้ ย ไม่ปรารถนาจะแสดงธรรม
๒๐ ปุ พ พู ป ก า ร ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ อ นุ ช า 243 ล�ำดับน้ัน พระมหากรุณาซึ่งฝังอยู่ในพระกมลอันบริสุทธ์ิมา เป็นเวลาช้านาน ต้ังแต่พระองค์ทรงปรารถนาพุทธภูมิ เพ่ือขน เวไนยสัตว์ให้ข้ามห้วงมหรรณพ คือความเกิด แก่ เจ็บ และตาย ไดเ้ ตอื นพระทยั ไวใ้ หห้ วนรำ� ลกึ ถงึ พระปฏญิ ญา ซง่ึ พระองคท์ รงใหไ้ ว ้ แกโ่ ลก พระทยั กรณุ าไดท้ ลู พระองค์วา่
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “ธรรมอนั ไม่บรสิ ุทธิ์ที่คนมมี ลทนิ คิดกัน ปรากฏอยใู่ นแควน้ มคธนานมาแล้ว ขอพระองค์จงเปิดประตูเพื่อให้บุคคลเดินเข้าไปสู่ แดนอมตะเถดิ คนทงั้ หลายตอ้ งการฟงั ธรรม ซง่ึ พระองคผ์ ปู้ ราศจาก มลทินได้ตรัสรู้แล้ว ขอพระองค์ผู้ไม่โศก มีปัญญาดี จงเสด็จขึ้นสู่ ปราสาทซ่ึงส�ำเร็จด้วยธรรม แล้วมองดูหมู่สัตว์ผู้ยังก้าวล่วงความ โศกไม่ได ้ ถูกชาติชราครอบงำ� คร�่ำครวญอยู่ พระองค์เป็นประดุจผู้ ยืนอยู่บนยอดเขา สามารถมองเห็นหมู่ชนได้โดยรอบ โปรดลุกข้ึน เถิด พระมหาวรี ะผชู้ นะสงครามภายในแล้ว พระองคผ์ ู้ประดุจนาย กองเกวยี น ผสู้ ามารถน�ำสตั วใ์ หข้ า้ มพน้ หว้ งอนั ตราย พระองคเ์ ปน็ ผู้ไม่มีหนี้ ขอจงเสด็จเท่ียวไปในโลกเถิด ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า 244 แสดงธรรมเถิด ผู้รตู้ ามจกั มเี ป็นแนแ่ ท”้ พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพพจักษุ ได้มอง เหน็ สตั ว์ท้งั หลายผมู้ ธี ลุ ใี นจกั ษุคือกิเลสนอ้ ยก็ม ี มากก็ม ี มีอินทรยี ์ แก่กล้าก็มี อินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีบ้าง อาการชั่วบ้าง ให้รู้ได้ โดยงา่ ยบ้าง ให้รไู้ ด้โดยยากบา้ ง เหมือนดอกบัว ๔ เหล่าในสระนำ้� พระองคจ์ งึ ทรงปรารภกบั พระองคเ์ องดว้ ยความกรณุ าในหมสู่ ตั วว์ า่ “เราเปดิ ประตูอมตธรรมแลว้ ผู้อยากฟงั จงเง่ยี โสตลงเถดิ ท ี แรกเราคดิ วา่ จะลำ� บากเปลา่ จงึ ไมค่ ดิ จะกลา่ วธรรมทป่ี ระณตี งา่ ยๆ” พญานาคนั้นเปรียบด้วยมนุษย์ท้ังหลาย ซึ่งโดยปรกติหลับ อยู่ด้วยกิเลสนิทรา เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติข้ึนและปลุกให ้ ตื่น ก็ตนื่ ชว่ั ระยะหนง่ึ และแล้วก็หลบั ต่อไป สมัยหนึ่งพระอานนท์เข้าสู่ที่หลีกเร้น เพื่อหาความสงบโดย ลำ� พงั และตรกึ ตรองธรรม ทา่ นคดิ วา่ กลน่ิ หอมแหง่ ไมท้ เ่ี กดิ จากแกน่
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ก็ดี เกิดจากรากก็ดี เกิดจากดอกก็ดี ล้วนแต่ไปได้ตามลมเท่าน้ัน หาหอมหวนทวนลมไม ่ กลน่ิ อะไรหนอทสี่ ามารถหอมฟงุ้ ไปไดต้ ามลม และทวนลม เมื่อท่านไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง จึงเข้าเฝ้า พระผมู้ ีพระภาค ทลู ถงึ ขอ้ สงสัยนั้น พระผมู้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า “อานนท ์ กลน่ิ ดอกไมก้ ลน่ิ จนั ทนไ์ มส่ ามารถหอมหวนทวนลม ได ้ แตก่ ลน่ิ แหง่ เกยี รตคิ ณุ ความดงี ามของสตั บรุ ษุ นนั้ แล สามารถจะ หอมไปได้ท้ังตามลมและทวนลม คนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจรไป ได้ท่ัวทุกทิศ กล่ินจันทน์แดง กลิ่นอุบล กล่ินดอกมะลิ จัดว่าเป็น ดอกไม้กลิ่นหอม แต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้ กลิ่นศีลยอดเย่ียมกว่า กลิ่นทั้งหมด อานนท์ ศีลนี้มีความไม่ต้องเดือดร้อนใจเป็นผล เป็น อานิสงส์ อานนท์ เราเคยกล่าวกับภิกษุทั้งหลายไว้ว่า ถ้าภิกษุหวัง 245 จะใหเ้ ปน็ ทร่ี กั เคารพนบั ถอื เปน็ ทยี่ กยอ่ งของเพอ่ื นพรหมจารแี ลว้ ก ็ พึงเป็นผู้ท�ำตนใหส้ มบรู ณด์ ว้ ยศลี เถิด” ดงั น้ี จริงทีเดียว ท่ีพึ่งอันประเสริฐของกุลบุตรในศาสนานี้ก็คือ ศลี ซงึ่ ใครๆ ไมอ่ าจกลา่ วพรรณนาอานสิ งสใ์ หห้ มดสนิ้ ได ้ แตบ่ คุ คล สามารถช�ำระมลทินของตนได้ด้วยน�้ำคือศีล อะไรเล่าจะสามารถ ระงับความเร่าร้อนภายในของสัตว์ในโลกน้ี ลมหรือ? ฝนหรือ? จนั ทนแ์ ดงหรอื ? แสงจนั ทรอ์ นั ยองใยหรอื ? เปลา่ เลย สง่ิ เหลา่ นนั้ ไม่ สามารถให้ความเร่าร้อนภายในสงบลงได้ ศีลต่างหากเล่าสามารถ ช่วยให้บุคคลสงบเยือกเย็น กลิ่นอะไรเล่าจะหอมเสมอด้วยกลิ่น แหง่ ศลี ซง่ึ สามารถฟงุ้ ไปไดต้ ามลมและทวนลม บนั ไดทจ่ี ะกา้ วไปส ู่ ประตสู วรรคแ์ ละเขา้ ไปสนู่ ครคอื นพิ พาน เสมอดว้ ยบนั ไดคอื ศลี เปน็ ไมม่ ี พระราชาผปู้ ระดบั ดว้ ยมกุ ดามณ ี ยงั ไมส่ งา่ งามเหมอื นนกั พรต
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ผปู้ ระดบั ดว้ ยอาภรณค์ อื ศลี ศลี นค้ี อยกำ� จดั ภยั คอื การตเิ ตยี นตนเอง ออกเสีย แล้วก่อให้เกิดความเอิบอ่ิมร่าเริง ประหารโทษต่างๆ เป็น ต้นเคา้ แหง่ คณุ ความดตี ่างชนดิ ภกิ ษผุ มู้ ศี ลี บรสิ ทุ ธ ์ิ หมดมลทนิ จะทรงบาตรจวี รกด็ นู า่ เลอ่ื ม ใส การบรรพชาของภิกษุเช่นนั้นเป็นสิ่งมีผล ผู้มีศีลบริสุทธ์ิย่อมม ี ใจผอ่ งแผว้ เพราะมองไมเ่ หน็ ทางแหง่ การทศุ ลี เหมอื นพระอาทติ ย ์ ก�ำจัดความมืดฉะน้ัน ภิกษุผู้สง่างามอยู่ในป่าคือตบะ เพราะความ สมบูรณ์ด้วยศีลเหมือนพระจันทร์สว่างอยู่กลางฟ้า มีรัศมีโชติช่วง เพียงแต่กล่ินกายของภิกษุผู้มีศีลยังท�ำความปราโมชแก่ทวยเทพ ทั้งหลาย จะกล่าวไปไยถึงกลิ่นแห่งศีลเล่า สักการะแม้น้อย แต่ 246 ทายกทำ� แลว้ ใหท้ า่ นผมู้ ศี ลี ยอ่ มอำ� นวยผลไพศาล เพราะฉะนน้ั ทา่ น จึงเป็นเหมือนภาชนะส�ำหรับรองรับสักการะของทายก จิตของผู้ม ี ศีลยอ่ มแลน่ ไปสู่พระนพิ พานอันเยอื กเยน็ เตม็ ท่ี มนุษย์ผู้หลงใหลอยู่ในโลกียารมณ์ ผสมต่อความบันเทิงสุข อันสืบเน่ืองมาจากความมึนเมาในทรัพย์สมบัติ ชาติตระกูล ความ หรูหรา ฟุ่มเฟือย ยศศักด ิ์ และเกียรติอันจอมปลอมในสังคม ท่ีอยู ่ อาศัยอันสวยงาม อาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ท่ีต้องใจ อ�ำนาจและ ความทะนงตน ทัง้ หมดน้ี ทำ� ให้บคุ คลมีนัยน์ตาฝ้าฟาง มองไม่เห็น ความงามแหง่ พระสทั ธรรม ความเมาในอำ� นาจเปน็ แรงผลกั ดนั ทมี่ ี พลงั มากพอใหค้ นทำ� ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งเพอื่ ใหม้ อี ำ� นาจยง่ิ ขนึ้ และยงิ่ ขน้ึ พร้อมๆ กันน้ันมันท�ำให้เขาลืมทุกส่ิงทุกอย่าง ไม่แยแสต่อเสียง เรยี กรอ้ งของศลี ธรรมหรอื มโนธรรมใดๆ มนั คอ่ ยๆ ระบายจติ ใจของ เขาใหด้ �ำมดื ไปทลี ะนอ้ ยๆ จนเปน็ สหี มกึ ไมอ่ าจมองเหน็ อะไรๆ ได้
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า อีกเลย หัวใจที่เร่าร้อนอยู่แล้วของเขา ถูกเร่งเร้าให้เร่าร้อนมากข้ึน ด้วยความทะยานอยากอันไม่มีขอบเขต ไม่ทราบว่าจะไปส้ินสุดลง ทต่ี รงไหน วตั ถอุ นั วจิ ติ รตระการตานนั้ ชว่ ยเปน็ เชอ้ื ใหค้ วามทะยาน อยากโหมแรง กลายเป็นว่าย่ิงมีมากยิ่งอยากใหญ่ แม้จะมีเสียง เตอื นและเรยี กรอ้ งอยตู่ ลอดเวลาวา่ ศลี ธรรมเปน็ เครอ่ื งค�้ำจนุ สงั คม และคุ้มครองโลก แต่บุคคลผู้รับรู้และพยายามประคับประคอง ศลี ธรรมมนี อ้ ยเกนิ ไป สงั คมมนษุ ยจ์ งึ วนุ่ วายและกรอบเกรยี มอยา่ ง นา่ วิตก ด้วยเหตุน้ี ความพยายามต่างๆ ของมนุษย์เพื่อให้ได้มาซ่ึง สนั ตสิ ขุ จงึ ไมอ่ าจบรรลจุ ดุ ประสงคน์ น้ั ได ้ มแี ตค่ วามวนุ่ วายมากขน้ึ 247 เหน่ือยมากขึ้น ผลท่ีได้รับไม่คุ้มเหน่ือย ถ้าเปรียบความพยายาม เพอื่ บรรลสุ นั ตสิ ขุ นน้ั เหมอื นการคา้ กเ็ ปน็ การคา้ ทขี่ าดทนุ อยา่ งมาก ทงั้ นเ้ี พราะมนษุ ยไ์ ดเ้ พกิ เฉยตอ่ ธรรม เหยยี บยำ�่ ทำ� ลายธรรม แสวง หาเกียรติและความม่นั คงโดยไมค่ ำ� นงึ ถึงศลี ธรรมใดๆ ท้ังสิ้น ความทกุ ขย์ ากลำ� บากและความดน้ิ รนตา่ งๆ ของเพอื่ นมนษุ ย์ ซึ่งกระเสือกกระสนไปด้วยดวงใจที่ว้าเหว่ไร้ความหวัง รวมทั้ง ตัวอย่างชีวิตแห่งผู้ทุจริตคดโกงแล้วประสบภัยพิบัติในบั้นปลาย น่าจะเป็นบทเรียนท่ีดียิ่ง แต่บุคคลผู้มุ่งแต่ความสุขความส�ำราญ ของตนย่อมไม่อาจมองเห็นส่ิงเหล่านไี้ ด้ ก็พระอานนท์น่ีเองเป็นผู้อ�ำนวยความสุขความสะดวกแก ่ ภกิ ษใุ นพทุ ธธรรมานสุ มยั คอื กาลเมอ่ื พระพทุ ธองคย์ งั ทรงพระชนม์ อยู่มาจนกระทั่งบัดน้ี ในเรื่องที่เก่ียวกับจีวร กล่าวคือเครื่องนุ่งห่ม
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ของสมณะ เดมิ ทเี ดยี ว พระตถาคตเจา้ ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษสุ าวกมผี า้ ได้ เพยี ง ๓ ผนื เทา่ นน้ั คอื จวี ร สบง และสงั ฆาฏ ิ ผา้ ๒ ชนั้ สำ� หรบั หม่ หนาว อยา่ งละผนื ๆ จะมมี ากกวา่ นไี้ มไ่ ด ้ ถา้ จะมผี นื ใหม ่ ตอ้ งสละ ผนื เกา่ ไปทำ� อยา่ งอนื่ เชน่ เปน็ ผา้ ปลู าดเตยี งหรอื ท�ำเพดาน ทง้ั นเี้ พอื่ ให้ภิกษุสาวกไม่สะสมจีวรไว้เกินจ�ำเป็น และเป็นสัญลักษณ์แห่งผู้ มักน้อยสันโดษ อยู่อย่างเบาสบาย ประพฤติตนดุจสกุณา มีบาตร และจวี รเปน็ เสมอื นปกี ทงั้ สอง อาจโผผนิ บนิ ไปในเวหาตามตอ้ งการ หรอื เหมอื นเนอื้ ในปา่ เทยี่ วไปไดต้ ามปรารถนา ไมถ่ กู ผกู มดั ดว้ ยบว่ ง คอื บริขารเครื่องกงั วลใดๆ 248 แต่พระผู้มีพระภาคทรงเป็นการณวสิกบุคคล ผู้กระท�ำทุกๆ อย่างตามสมควรแก่เหตุผลและความจำ� เป็น จึงทรงผ่อนผันสิกขา บทบญั ญตั อิ ยู่เสมอ คราวหน่ึง พระอานนท์ได้จีวรพิเศษมา ท่ีเรียกว่าอติเรกจีวร หมายถงึ จวี รทน่ี อกเหนอื จากผา้ ๓ ผนื ดงั กลา่ วแลว้ เนอื่ งจากทา่ นมี ความเคารพเลื่อมใสและรักในพระสารีบุตรมาก จึงประสงค์ถวาย จีวรนั้นแก่พระสารีบุตร แต่เวลาน้ันพระสารีบุตรไม่ได้อยู่ ณ ท่ีนั้น จะเก็บจีวรไว้ได้อย่างไรเพราะมีบัญญัติห้ามเก็บอติเรกจีวรไว้ พระ อานนทจ์ ึงเขา้ เฝ้าพระพทุ ธองค์กราบทูลเร่ืองนัน้ ใหท้ รงทราบ “อานนท”์ พระศาสดาตรัส “เวลาน้สี ารบี ุตรอยทู่ ไี่ หน?” “อยู่ที่เมืองสาเกตพระเจา้ ขา้ ” พระอานนทท์ ลู “ประมาณกวี่ ัน สารีบุตรจึงมาถึงที่นี่?” “ประมาณ ๑๐ วัน พระเจา้ ขา้ ”
พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า “ถ้าอย่างนั้น เธอจงรับไว้เถิด รอคอยสารีบุตร” พระศาสดา ตรัส และแลว้ พระพทุ ธองคร์ บั สง่ั ใหป้ ระชมุ สงฆ์ ทรงผอ่ นผนั พทุ ธ บัญญัตดิ ว้ ยพระพุทธพจนว์ า่ “ภิกษุท้ังหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุท้ังหลายเก็บอติเรกจีวร ไว้ได้อย่างมากเพียง ๑๐ วัน ถ้าเกินกว่าน้ัน จีวรน้ันภิกษุต้องสละ เสีย มิฉะน้ันเธอจะต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะถ้าไม่สละของ ย่อม ไมส่ ามารถปลดเปล้อื งอาบตั ไิ ด”้ พระสารบี ตุ รมาทนั ตามกำ� หนดจะลว่ ง ๑ วนั เปน็ อนั วา่ พระ อานนทไ์ ดถ้ วายจวี รแกพ่ ระอัครสาวกเบอื้ งขวาไดส้ มประสงค์ กระท่ังปัจจุบันน้ี พระสงฆ์สาวกของพระศาสดาก็ยังปฏิบัต ิ 249 ตามพระวนิ ยั บญั ญตั เิ รอ่ื งนอ้ี ย ู่ เมอื่ ทา่ นไดจ้ วี รพเิ ศษมา ถา้ ลว่ ง ๑๐ วนั แลว้ ทา่ นกส็ ละใหภ้ กิ ษอุ นื่ ไป หรอื ใหส้ ามเณรกไ็ ด้ และตอ้ งแสดง อาบตั ดิ ้วยทีเ่ ผลอเก็บจวี รพิเศษไวเ้ กนิ ๑๐ วนั มีวิธีการดังนี้ ภิกษุผู้เป็นเจ้าของจีวรน�ำจีวรน้ันออกมาน่ัง คุกเข่าประนมมือ ภิกษุอีกรูปหนึ่งซ่ึงเป็นผู้รับก็นั่งในท่าเดียวกัน ภิกษุผู้เป็นเจ้าของจีวรวางจีวรไว้ระหว่างแขนพับ มือคงประนมอยู่ แลว้ กล่าววา่ “จีวรผืนน้ีของข้าพเจ้าเก็บไว้เกิน ๑๐ วัน จ�ำเป็นต้องสละ ขา้ พเจา้ ขอสละจวี รผนื นแ้ี กท่ า่ น” เสรจ็ แลว้ ตามมรรยาทภกิ ษผุ รู้ บั ก็ จะถวายคนื โดยกลา่ ววา่ “จวี รผนื นเ้ี ปน็ ของขา้ พเจา้ แลว้ แตข่ า้ พเจา้ ขอถวายแก่ท่าน ท่านจะใช้สอยหรือจะให้ใคร หรือจะท�ำอย่างไรก็ แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควร” เสร็จแล้วมอบจีวรคืนแก่ภิกษุรูปท่ีเป็น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434