Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระอานนท์พุทธอนุชา

พระอานนท์พุทธอนุชา

Published by 200bookchonlibrary, 2021-03-15 08:38:13

Description: PraRnon

Search

Read the Text Version

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เจ้าของเดิม คราวน้ีถึงเวลาท่ีภิกษุเจ้าของจีวรจะแสดงอาบัติ ท่านจะนั่ง  ประนมมือคุกเข่าอยู่ท่าเดิม กล่าวว่า “ข้าพเจ้าต้องอาบัติเกี่ยวกับ  ของที่ต้องสละ (นิสสัคคียะ) ข้าพเจ้าขอแสดงอาบัติเร่ืองน้ี คือ  ยอมรบั สารภาพผิด” ภิกษุอีกรูปหน่ึงจะถามว่า “ท่านเห็นหรือ?” ภิกษุผู้แสดง  อาบัติตอบว่า “เห็น” ผู้รับการแสดงจะบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่าน  จงต้ังใจส�ำรวมระวังต่อไป” ภิกษุผู้แสดงจะให้ค�ำมั่นว่า “จะต้ังใจ  ส�ำรวมระวงั ต่อไป” แตม่ วี ธิ กี ารทจี่ ะเกบ็ จวี รไวไ้ ดต้ ลอดไป โดยไมเ่ ปน็ อาบตั แิ ละ  250 ไม่ต้องเสียสละอยู่อีกวิธีหน่ึงเรียกว่า “วิกัป” ภิกษุเม่ือได้จีวรพิเศษ  มาจ�ำนวนเท่าใด ก็น�ำออกมาแสดงให้ภิกษุรูปหนึ่งรับทราบ และ  บอกวา่ ทา่ นยนิ ดเี สยี สละจวี รและผา้ เหลา่ นใ้ี หภ้ กิ ษอุ นื่ ไดใ้ ช้ ตามทาง  วิชาการเรียกว่าวิกัป หมายความว่าท�ำให้เป็นของ ๒ เจ้าของ มิใช ่ เปน็ สทิ ธขิ องทา่ นแตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว ภกิ ษรุ ปู อนื่ จะรบั ทราบและมอบให้  เจ้าของเดิมเก็บไว้ตลอดไป เป็นวิธีการท่ีงดงามมาก ไม่มีอะไรน่า  ต�ำหนเิ ลย พระพุทธอนุชาได้ทิ้งมรดกเรื่องนี้ไว้ให้ภิกษุท้ังหลายในกาล  ต่อมาได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล ช่วยให้สะดวกสบายขึ้นมาก  ทีเดียว ควรท่ีปัจฉิมาชนตาชนจะพึงระลึกถึงปุพพูปการข้อน้ีของ  พระอานนท์มหาเถระ แม้คฤหัสถ์ก็ควรน้อมระลึกถึงพระคุณข้อนี้  ของพทุ ธอนชุ า ทที่ า่ นไดเ้ ปดิ ประตไู วส้ ำ� หรบั ผมู้ ศี รทั ธาไดท้ ำ� บญุ ดว้ ย  จีวรตามปรารถนาตราบเทา่ ทุกวันนี้

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า การท่ีพระตถาคตเจ้าทรงพระพุทธานุญาตเรื่องนี้ ส่วนหน่ึง  เป็นเพราะพระมหากรุณา และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะความดีงาม  ของพระอานนท์ที่กระท�ำทุกอย่างเพ่ือพระองค์ และเพื่อความอยู่  ยง่ั ยนื แหง่ พระศาสนา คุณธรรมของผู้น้อย เป็นสิ่งส�ำคัญอย่างย่ิงในการโน้มน้าว  จิตใจของผู้ใหญใ่ ห้โอนอ่อนผอ่ นตาม สมแล้วท่ีมีคำ� กลา่ วว่า เอาชนะผู้สูงศักด์ดิ ้วยความอ่อนนอ้ ม เอาชนะผตู้ ำ�่ ตอ้ ยดว้ ยการสงเคราะหเ์ ออื้ เฟอ้ื เอาชนะศตั รดู ว้ ยการยใุ ห้แตกความสามัคคี เอาชนะสตรีด้วยการหว่านล้อมค�ำหวานให้เกิดความสงสาร และเห็นใจ พรอ้ มด้วยคำ� มน่ั สัญญาท่ชี วนฟงั จริงทีเดียว ความรักของสตรีมักจะเข้าทางหู ส่วนความรัก  251 ของบุรุษมักจะเข้าทางตา ด้วยเหตุนี้ สตรีที่รูปงามจึงได้เปรียบอยู่  มาก ในดา้ นการเรียกรอ้ งความสนใจจากบุรษุ เพศ คำ� กลา่ วที่วา่ “นกโกกิลามีเสียงเป็นส�ำคัญ นารีมีรูปเป็นส�ำคัญ วิชาเป็น  สงิ่ สำ� คญั สำ� หรบั บรุ ษุ  และนกั พรตมคี วามอดทนเปน็ ส�ำคญั ” นนั้ ยงั   เป็นความจรงิ ที่คา้ นไดโ้ ดยยากอยู่ ดว้ ยเหตนุ กี้ ระมงั  สตรที ง้ั หลายจงึ ทมุ่ เททง้ั กำ� ลงั ทรพั ย ์ กำ� ลงั   กายและกำ� ลงั ปญั ญา เพอ่ื ตกแตง่ รา่ งกายใหส้ วยงามชวนมองอยเู่ สมอ  รวมทง้ั ประดษิ ฐค์ ดิ คน้ แบบและสขี องเสอ้ื ผา้ แพรพรรณ สรรี าภรณ ์ ต่างชนิด เธอจะรู้สึกเศร้าและหงอยเหงาเปล่าเปล่ียวเหลือหลาย  เมอื่ ประจกั ษว์ า่ นยั นต์ าเธอมไิ ดห้ วาน ใบหนา้ ของเธอมไิ ดง้ ามผดุ ผาด  ทรวดทรงมิได้อรชร แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ว่า ชายท่ีปองหมาย 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เธอจะเล้ียงเธอเพราะเธอสวยน้ัน เขาเลี้ยงเธอและปองหมายเธอ  เหมอื นสตั วเ์ ลย้ี งทม่ี ลี กั ษณะตอ้ งตาเขาเทา่ นน้ั  ความดหี รอื คณุ ธรรม  ภายในต่างหากเล่าท่ีเป็นส่ิงเชิดชูคุณค่าของเธอให้สูงเด่น โสเภณี  แม้จะมคี วามสวยสกั ปานใด กห็ ามีใครต้ังใจเล้ยี งจรงิ ไม ่ ความสวย  เหมอื นดอกไม้ซึ่งยอ่ มมวี นั เหี่ยวแห้งโรยรา แต่ความดีเป็นส่งิ ไม่จืด  รสแห่งความดีงาม เป็นรสท่ีไม่รู้จักจืดจาง คอยผูกมัดรัดรึงดวงจิต  ให้กระชับแน่นจนสุดท่ีจะถ่ายถอน จงแต่งเรือนกายแต่พอดูงาม  แล้วเอาเวลาท่ีเหลือมาแต่งเรือนใจกันบ้างเถิด บ้านเรือนท่ีดูแต่  ภายนอกสะอาดสวยงามน่าอาศัย แต่เม่ือเปิดประตูเข้าไปดูภายใน  มองเหน็ สง่ิ โสโครกรงุ รงั จะนา่ พกั ผอ่ นนอนหลบั ไดไ้ ฉน ตรงกนั ขา้ ม  252 แม้จะมองดูภายนอกไม่สะดุดตา แต่ภายในสะอาดเรียบร้อย ย่อม  เป็นเรอื นท่ีนา่ อยนู่ า่ อาศัยกว่าฉนั ใด เรือนกายกบั เรือนใจกฉ็ นั น้นั บรุ ษุ ผยู้ อมปลอ่ ยใหค้ วามรกั เขา้ ทางตา ยอ่ มตาบอด และยงั   ทำ� ใหห้ พู ลอยหนวกไปดว้ ย มองไมเ่ หน็ เจตนาดขี องเพอื่ นสนทิ  ไมไ่ ด้  ยินเสียงของมิตรสหาย เม่ือเขาลืมตาข้ึนอีกคร้ังหนึ่ง ก็มักจะมอง  เหน็ เทพธิดาของเขาแปรรปู เปน็ ยักษิณไี ปเสียแลว้ สว่ นสตรที ป่ี ลอ่ ยใหค้ วามรกั เขา้ ทางห ู หขู องเธอกห็ นวกไปสนิ้   ส�ำหรับญาติและมิตรผู้หวังดี เธอได้ยินแต่เสียงพร�่ำร�ำพันสัญญา  รกั ตา่ งๆ แหง่ ชายทต่ี นหลงเทา่ นน้ั  ตาของเธอกพ็ ลอยฝา้ ฟางไปดว้ ย  เธอหารู้ไม่ว่า ผู้ที่มีความสุจริตใจน้อย มักจะมั่งคั่งร่�ำรวยและมาก  ไปด้วยค�ำหวาน แต่ผู้ที่พูดพอประมาณ ให้ค�ำมั่นสัญญาแต่พอฟัง  นน่ั ตา่ งหากทม่ี คี วามสจุ รติ ใจอยจู่ รงิ ๆ ธาตคุ นเปน็ ธาตทุ แี่ ยกไดย้ าก  วนิ จิ ฉยั ไดย้ ากกวา่ ธาตใุ ดๆ ในโลกนี้ มคี นอยเู่ ปน็ จ�ำนวนมากอยาก 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า จะเรยี นรเู้ รอ่ื งชวี ติ ใหจ้ บ แตเ่ ขาเหลา่ นนั้ มกั จะจบชวี ติ ไปกอ่ นเสมอ  ชวี ติ เปน็ เรอ่ื งยากและสบั สน พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั วา่  “ชวี ติ เปน็ ของ  ยาก” ผสู้ ามารถสางความยงุ่ แหง่ ชวี ติ ใหเ้ ขา้ ระเบยี บไดม้ จี �ำนวนนอ้ ย  กลา่ วโดยเฉพาะชวี ติ ของมนษุ ยย์ ง่ิ ยงุ่ ยากสบั สนขนึ้ ทกุ ท ี มนษุ ยย์ อม  เป็นทาสของสังคมจนแทบจะกระดิกกระเดี้ยตัวมิได้เสียแล้ว เมื่อ  ยอมเป็นทาสของสังคม และสังคมน้ันมีแต่ความฟุ้งเฟ้อ หรูหรา  ความหรหู ราเหลา่ นน้ั ยอ่ มไดม้ าดว้ ยเงนิ  เขาจงึ ตอ้ งยอมเปน็ ทาสของ  เงนิ ตราอกี ดว้ ย เงนิ ตรานน้ั โดยธรรมดามนั เปน็ เหมอื นทาสทที่ งั้ ซอื่   และโง ่ แลว้ แตจ่ ะใชใ้ หท้ ำ� อะไร  มนั ทำ� ทง้ั นนั้  ใชใ้ หท้ ำ� ดกี ท็ ำ�  ใชใ้ หท้ ำ�   ชวั่ กท็ ำ�  จา้ งไปฆา่ คนกไ็ ป โดยไมม่ กี ารคดั คา้ นโตแ้ ยง้ ใดๆ เลย เมอ่ื   เงนิ ตรามนั เปน็ ทาสทที่ ง้ั ซอ่ื และโงอ่ ยอู่ ยา่ งน ้ี ใครยอมใหท้ าสคนนน้ั   253 มาเปน็ นาย ยอมอยูใ่ ต้อำ� นาจของมนั  เขาจะโง่สักเพียงใด พระตถาคตเจ้าเคยเรียกเงินตราว่า “อสรพิษ” ดังเร่ืองต่อ  ไปน้ี ท้องฟ้าเร่ิมสาง แสงสีขาวสาดทาบเป็นแนวยาวทางบูรพทิศ  อากาศแรกรุ่งอรุณเย็นฉ�่ำ พระพายร�ำเพยแผ่ว หอบเอากล่ิน  บุปผชาติในเชตวนารามไปตามกระแสระรวยรื่น เสียงไก่ป่าขันอยู ่ เจอ้ื ยแจว้ เคลา้ มาตามสายลมวเิ วกวงั เวง นำ�้ คา้ งถกู สลดั ลงจากใบไม้  เม่ือพระพายพัดผ่านกระทบกับใบไม้เหลืองซ่ึงหล่นร่วงลงแล้วดัง  เปาะแปะๆ เชตวนารามเวลาน้ีต่ืนตัวแล้วอย่างสงบ ประหนึ่งบุรุษ  ผมู้ ีก�ำลังตื่นแลว้ จากนิทรารมณ ์ แตย่ งั นอนเฉยอยูไ่ ม่ไหวกาย พระมหาสมณะเอกอคั รบรุ ษุ รตั นอ์ ดุ มดว้ ยบญุ ญาธกิ าร และ  มหากรณุ าตอ่ สำ�่ สตั ว ์ ประทบั หลบั พระเนตรนงิ่  สง่ ขา่ ยคอื พระญาณ 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ให้แผ่ไปท่ัวจักรวาลโลกธาตุ ตรวจดูอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์อัน  พระองค์พอจะโปรดได้ เช้าวันนั้นชาวนาผู้น่าสงสารได้เข้ามาสู่  พระญาณของพระองค์ พออรุณเบิกฟ้า พระศาสดามีพระพุทธอนุชาอานนท์เป็น  ปัจฉาสมณะตามเสด็จ ออกจากเชตวนารามด้วยพุทธลีลาอัน  ประเสรฐิ  บา่ ยพระพักตรส์ ู่บรเิ วณนาของบุรุษผู้น่าสงสารน้ัน อกี มมุ หนงึ่  กสกิ รผยู้ ากไรต้ นื่ ขน้ึ แตเ่ ชา้ ตร ู่ บรโิ ภคอาหารซงึ่   มีเพียงผักดองและข้าวแดงพอประทังหิว แล้วน�ำโคคู่ออกจากคอก  แบกไถถือหมอ้ น้�ำออกจากบา้ นสบู่ ริเวณนาเชน่ เดยี วกนั พระตถาคตเจา้ หยดุ ยนื  ณ บรเิ วณใกลๆ้  ทเี่ ขากำ� ลงั ไถนาอย ู่ 254 นน้ั  เขาเหน็ พระศาสดาแลว้ พกั การไถไวม้ าถวายบงั คม พระศาสดา  มไิ ดต้ รสั อะไรกบั เขาเลย กลบั เหลยี วพระพกั ตรไ์ ปอกี ดา้ นหนง่ึ  ทอด  ทศั นาการตรงดง่ิ ไปยงั จุดๆ หนงึ่  แล้วตรัสกบั พระอานนท์วา่ “อานนท ์ เธอจงดเู ถดิ  น่นั อสรพิษ เธอเหน็ ไหม?” “เหน็  พระเจา้ ข้า” พระอานนท์พูด เพียงเท่าน้ันแลว้ พระพทุ ธเจา้ กเ็ สด็จตอ่ ไป ชาวนาได้ยินพระพุทธด�ำรัสตรัสกับพระอานนท์แล้ว คิดว่า  เราเดินไปมาอยู่บริเวณน้ีเสมอ ถ้าอสรพิษมีอยู่ มันอาจจะท�ำ  อันตรายแก่เรา อย่าปล่อยไว้เลย ฆ่ามันเสียเถิด คิดแล้วเขาก็น�ำ  ปฏักไปเพ่ือตีงู แต่กลับมองเห็นถุงเงินเป็นจ�ำนวนมากวางกอง  รวมกันอยู่ เขาดีใจเหลือเกิน ยกมือข้ึนเหนือเศียร น้อมนมัสการ  พระพุทธองค์ที่โปรดประทานขุมทรัพย์ให้ “นี่หรืออสรพิษ” เขาคิด  อยู่ในใจ “พระพุทธองค์ตรัสเป็นปริศนาแบบสมณะ” เท่านั้นเอง 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า “ที่แท้พระองค์คงตั้งพระทัยเสด็จมาโปรดเรา” แล้วเขาก็น�ำถุงเงิน  นั้นไปเอาฝุ่นกลบไว ้ แล้วไถนาตอ่ ไปด้วยดวงใจเบกิ บาน พระศากยมุนีเม่ือคล้อยไปหน่อยแล้ว จึงผินพระพักตร์มา  ตรสั กับพระอานนทว์ า่ “อานนท ์ เราเรยี กถงุ เงนิ นนั้ วา่ อสรพษิ  วนั นเี้ องมนั จะกดั บรุ ษุ   ผนู้ นั้ ใหม้ อี าการสาหสั ปางตาย ถา้ ไมไ่ ดเ้ ราเปน็ ทพ่ี งึ่  เปน็ พยาน เขา  จะตอ้ งตายเป็นแนแ่ ท”้  ตรัสอย่างน้แี ล้วไมย่ อมตรสั อะไรตอ่ ไปอกี 255

๒๑ ค ว า ม อั ศ จ ร ร ย์ แ ห่ ง ธ ร ร ม วิ นั ย 256 ยอ้ นหลงั ไปเพยี งเลก็ นอ้ ย จากเวลาทพ่ี ระศาสดาตรสั กบั พระอานนท ์ เร่ืองอสรพษิ ปัจฉิมยามแห่งราตรี ฝนซ่ึงตกหนักมาแต่ปฐมยาม ได้เริ่ม  สรา่ งซาลงบา้ งแลว้  ทวยนาครกำ� ลงั ลว่ งเขา้ สนู่ ทิ รารมณอ์ นั สนทิ  ใคร  จะนึกบ้างว่าในยามน้ีมีมนุษย์กลุ่มหนึ่ง ก�ำลังท�ำความพยายามเข้า  ไปสู่พระนคร เพ่ือทรัพย์สมบัติซ่ึงตนมิได้ลงแรงหามาเลย ถูกแล้ว  เขามีอาชีพเป็นโจร ประตูเมืองปิดสนิท มียามรักษาการณ์แข็งแรง  เขาประชุมปรึกษากันต้ังแต่ปฐมยาม ว่าจะหาทางเข้าพระนครได ้ โดยวธิ ใี ด ในทส่ี ดุ เมอื่ ใกลป้ จั ฉมิ ยามเขา้ มา เขาจงึ ตกลงกนั วา่ จะตอ้ ง  เขา้ ไปทางท่อระบายนำ�้  คืนน้ันพวกเขามิไดน้ อนเลย

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า 257

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ จรงิ ทเี ดยี ว บคุ คลผหู้ ลบั นอ้ ยตนื่ นาน หรอื บางทมี ไิ ดห้ ลบั เลย  ในราตรีน้ันมีอยู ่ ๕ จ�ำพวกคอื ๑. หญงิ ผ้ปู ฏิพทั ธช์ าย หวังใหเ้ ขาชม ๒. ชายผปู้ ฏิพทั ธห์ ญงิ  รำ� พึงถึงเธอดว้ ยดวงจติ ที่จดจ่อ ๓. โจรม่งุ หมายทรัพยข์ องผู้อ่ืน หาทางจะขโมยหรอื ปลน้ ๔. พระราชากงั วลดว้ ยพระราชภารกจิ ๕. สมณะผทู้ ำ� ความเพยี รเพอ่ื ละกิเลส      หญงิ ชายปฏิพัทธ์ชู้ หวังชม เชยนา โจรมุง่ หมายทรัพย์สม- บตั ิปล้น 258 ราชันกิจกังวล มากอยู่ พระอยากละกเิ ลสพน้ หลบั นอ้ ยตนื่ นาน บคุ คล ๓ ประเภทหลงั  คอื โจร พระราชา และสมณะนนั้  แมจ้ ะ  หลบั นอ้ ย แตเ่ มอ่ื ถงึ เวลาทจ่ี ะหลบั  คอื สนิ้ ภาระหนา้ ทแ่ี ลว้ กส็ ามารถ  หลบั ไดอ้ ยา่ งงา่ ยดายและสงบ แต ่ ๒ ประเภทแรกส ิ เมอ่ื ยงั ไมห่ ลบั   ก็ยากท่ีจะข่มตาหลับลงได้ เมื่อหลับก็ไม่ได้สนิท คอยพลิกฟื้นต่ืน  ผวาอยรู่ ำ่� ไป  เตม็ ไปดว้ ยความกระสบั กระสา่ ยกระวนกระวายรมุ่ รอ้ น  ภาพแหง่ คนรกั คอยแตฉ่ ายเขา้ มาในความรสู้ กึ ตลอดเวลา ความรัก  เปน็ ความรา้ ยทเี่ ที่ยวทรมานคนทง้ั โลกให้บอบชำ้� ตรอมตรม โจรพวกนั้นเข้าไปในท่อน้�ำได้ส�ำเร็จสมประสงค์ แล้วท�ำลาย  อุโมงค์ในตระกูลท่ีมั่งค่ังตระกูลหน่ึง ได้แก้วแหวนเงินทองไปเป็น  จ�ำนวนมากพร้อมท้ังถุงเงินด้วย ก็น�ำไปแบ่งกัน ณ ท่ีแห่งหน่ึง แต ่

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า บังเอิญเขาได้ลืมถุงเงินไว้ เพราะมีของอื่นมากหลายจนน�ำไปแทบ จะไม่หมด เม่ือเจ้าของทรัพย์ต่ืนข้ึน ทราบเหตุในตอนเช้า จึงออกติด  ตาม และมาพบร่องรอยตรงท่ีโจรแบ่งของกัน แล้วตามรอยของ  ชาวนาคนน้ันไป พอดีรอยเท้าไปหยุดลงท่ีกองฝุ่น เขาลองเขี่ยดูก็  ปรากฏถุงเงินมากหลายจึงแน่ใจว่าชาวนาซึ่งก�ำลังไถนาอยู่นั้นเป็น  โจร ชว่ ยกนั ตเี สยี จนบอบชำ้�  แลว้ นำ� ตวั ไปถวายพระเจา้ ปเสนทโิ กศล  พระราชาทรงทราบเร่ืองราว แล้วรับสั่งให้ประหารชีวิต ราชบุรุษ  เฆย่ี นเขาด้วยหวายครงั้ ละหลายๆ เสน้  แล้วนำ� ไปสู่ตะแลงแกง ในขณะที่ก�ำลังถูกน�ำไปสู่ที่ฆ่านั่นเอง เขาพร่�ำอยู่เร่ืองเดียว  คือข้อความที่พระศาสดาตรัสกับพระอานนท์ “ดูก่อนอานนท์ เธอ  259 เหน็ อสรพษิ ไหม?” “เหน็ พระเจา้ ขา้ ” เมอ่ื ถกู เฆย่ี นดว้ ยหวาย เขาก ็ พูดค�ำน้ี “ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นอสรพิษไหม?” “เห็นพระเจ้าข้า”  จนราชบุรุษประหลาดใจ จึงถามข้อความน้ันเขาบอกว่า ถ้าน�ำเขา  ไปเฝา้ พระราชาเขาจงึ จะบอก ราชบรุ ษุ นำ� ตวั ไปเฝา้ พระเจา้ ปเสนท-ิ   โกศล พระองค์ตรสั วา่ “ดูก่อนกสกะ เพราะเหตุไรเธอจึงกล่าวพระด�ำรัสแห่งพระ  ศาสดาและพระพุทธอนชุ าอานนท?์ ” “เทวะ” เขาทูล “ข้าพระองค์มิได้เป็นโจร แต่ข้าพระองค์เป็น  คนท�ำนาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต” แล้วเขาก็เล่าเร่ืองทั้งหมดให้พระ  ราชาทรงทราบ จอมเสนาแหง่ แควน้ โกศลสดบั คำ� นน้ั แลว้  ทรงดำ� รวิ า่  ชายผนู้  ี้ อ้างเอกอัครบุรุษรัตน ์ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพยาน การลง 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ โทษบรุ ษุ เหน็ ปานนโี้ ดยมไิ ดส้ อบสวนใหแ้ นน่ อน อาจเปน็ เหตใุ หเ้ รา  ตอ้ งเสยี ใจไปจนตลอดชวี ติ  ทรงดำ� รอิ ยา่ งนแี้ ลว้  จงึ รบั สง่ั ใหค้ มุ บรุ ษุ   ผู้นั้นไวก้ อ่ น เย็นวันนั้นพระองค์เสด็จไปเฝ้าพระศาสดา และให้น�ำชาว  บา้ นน้นั ไปดว้ ย เม่ือถวายบังคมแล้ว จงึ ทูลถามว่า “พระองค์ผู้เจริญ เช้าวันน้ีพระองค์และพระคุณเจ้าอานนท์  เสดจ็ ไปทนี่ าของชายผู้น้ีหรือ?” “อยา่ งน้นั  มหาบพิตร” พระศาสดาทรงตอบ “พระองค์ได้ทรงเห็นอะไรบ้าง พระเจ้าข้า” พระเจ้าปเสนทิ  โกศลทลู ถาม 260 “เห็นถงุ เงิน มหาบพิตร” แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเล่าเรื่องท้ังหมด ตรงกับชาวนาเล่า  พระเจา้ ปเสนทโิ กศลทราบเรอื่ งนี้ ทรงสลดสงั เวชพระทยั  กราบทลู   ว่า “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ทู้ รงเปน็ ทพ่ี ง่ึ ของโลก ขา้ พระองคร์ สู้ กึ เสยี ใจ  และไม่สบายใจมาก ทีส่ ่งั ลงโทษบุรุษผนู้ ี้โดยทีเ่ ขาไม่มีความผิดเลย  ถ้าเขาถูกประหารชีวิต และข้าพระองคม์ าทราบภายหลังว่าเขาเป็น  ผบู้ รสิ ทุ ธ ิ์ ขา้ พระองคค์ งจะตอ้ งเสยี ใจไปตลอดชวี ติ  พระองคไ์ มเ่ พยี ง  แต่เป็นท่ีพึ่งของบุรุษผู้นี้เท่าน้ัน แต่ทรงอนุเคราะห์ข้าพระองค์  ใหพ้ น้ จากบาปอกี ดว้ ย ขา้ แตพ่ ระจอมมนุ ี พระองคช์ า่ งอบุ ตั ขิ นึ้ เพอ่ื   ประโยชนส์ ขุ ของโลกโดยแท”้  ตรสั อยา่ งนแ้ี ลว้  พระเจา้ ปเสนทโิ กศล  ก็ซบพระเศียรลงแทบพระยุคลบาทของพระศาสดา ทรงจุมพิต  พระบาทของพระพุทธองค์ด้วยความเล่ือมใสอย่างสูง ซึ่งพระองค์ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า มกั ทรงกระทำ� เสมอเมอื่ ไปเฝา้ พระศาสดา พระตถาคตเจ้าทรงปลอบให้พระราชาเบาพระทัย ด้วยพระ  พทุ ธดำ� รสั เป็นอเนกปริยาย ตอนสุดท้ายตรัสว่า “มหาบพิตร คฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเกียจคร้าน ๑ พระราชา  ทรงประกอบกรณยี กจิ โดยมไิ ดพ้ จิ ารณาใหร้ อบคอบถถี่ ว้ นเสยี กอ่ น ๑  บรรพชิตไม่ส�ำรวม ๑ ผู้อ้างตนว่าเป็นบัณฑิต แต่มักโกรธ ๑  ๔ จ�ำพวกนไี้ มด่ เี ลย มหาบพติ ร กรรมอนั ใดทท่ี �ำไปแลว้ ตอ้ งเดอื ดรอ้ นใจภายหลงั   ต้องมีหน้าชุ่มด้วยน�้ำตา เสวยผลแห่งกรรมนั้น ตถาคตกล่าวว่า  กรรมน้นั ไมด่ ี ควรเวน้ เสีย มหาบพติ ร นานมาแลว้ มพี ระราชาพระองคห์ นง่ึ ทรงพระนาม  261 ว่า ‘ปิงคละ’ ทวยนาครถวายสร้อยพระนามให้ว่า ‘อกัณหเนตร  - ผมู้ พี ระเนตรไมด่ ำ� ’ หมายความวา่ ทรงดรุ า้ ย และประกอบราชกจิ   โดยมไิ ดท้ รงพจิ ารณา สงั่ ฆา่ ประหารคนโดยมไิ ดพ้ จิ ารณาใหร้ อบคอบ  จนเป็นท่ีเกลียดชังของคนท้ังหลาย เม่ือพระองค์สิ้นพระชนม์  ชาวนาครต่างช่ืนชมโสมนัส เล่นมหรสพ ๗ วัน ๗ คืน ยกธงทิว  ตามประทีปโคมไฟหลากสี มีการเล่นเต้นร�ำอย่างเบิกบานใจ ใน  ทา่ มกลางความบนั เทงิ น่นั เอง คนเฝ้าประตคู นหนงึ่ ไปยนื เกาะบาน  ประตูร้องไห้อยู่ เมื่อถูกคนทั้งหลายซักถามถึงสาเหตุท่ีร้องไห ้ เขา  ตอบว่า เขาร้องไห้เพราะพระราชาอกัณหเนตรส้ินพระชนม์นั่นเอง  เขากลวั  - กลวั วา่ พระองคเ์ สดจ็ ไปสยู่ มโลกแลว้  จะไปทำ� ทารณุ กรรม  ต่างๆ จนยมบาลเอาไว้ไม่ไหว แล้วจะส่งกลับขึ้นมาก่อกวนความ  สงบสุขในโลกนี้อีก เขาคิดไปอย่างนี้แล้วจึงร้องไห้ หาได้ร้องไห้ 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เพราะความเสียใจหรือจงรักภกั ดีไม่ มหาบพิตร เมตตากรณุ าเปน็ พรอันประเสรฐิ ในตัวมนษุ ย”์ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงบันเทิงด้วยพระธรรมเทศนาของ  พระศาสดาเป็นที่ย่ิง ทรงสนทนาต่อไปอีกครู่หนึ่งแล้วถวายบังคม  ลากลบั  สว่ นชายชาวนาผนู้ น้ั สง่ กระแสจติ ไปตามพระดำ� รสั ของพระ  ศาสดา สามารถถอนสังโยชน์เบื้องต�่ำ ๓ ประการได้ ส�ำเร็จโสดา-  ปัตตผิ ลเป็นอริยบคุ คลชัน้ โสดาบัน ด้วยประการฉะน้ี แมจ้ ะทรงมพี ระทยั กรณุ าประดจุ หว้ งมหรรณพกต็ าม แตพ่ ระ  บรมศาสดาทรงรังเกียจอย่างยิ่งซึ่งบุคคลผู้ไม่บริสุทธ์ิ โดยเฉพาะ  อย่างย่ิงพระสาวกที่ทรงเพศเป็นภิกษุ มเี รื่องสาธกดังน ้ี 262 วันหน่ึงเป็นวันอุโบสถ พอพระอาทิตย์ตกดิน พระสงฆ ์ ทง้ั มวลกป็ ระชมุ พรอ้ มกนั  ณ อโุ บสถาคาร เพอ่ื ฟงั พระโอวาทปาฏ-ิ   โมกข ์ ซ่งึ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงเองทกุ กึง่ เดือน พระมหาสมณเจ้า  เสดจ็ สโู่ รงอโุ บสถ แตป่ ระทบั เฉยอย ู่ หาแสดงพระโอวาทปาฏโิ มกข ์ ไม ่ เมอ่ื ปฐมยามแหง่ ราตรลี ว่ งไปแลว้  พระอานนทพ์ ทุ ธอนชุ า จงึ นง่ั   คุกเข่าประนมมือ ถวายบังคมแลว้ กราบทลู วา่ “พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ปฐมยามแห่งราตรีล่วงไปแล้ว ภิกษ ุ ทงั้ หลายคอยนานแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงแสดงปาฏโิ มกข์เถดิ ” แตพ่ ระพทุ ธองคก์ ย็ งั ทรงเฉยอย ู่ เมอ่ื มชั ฌมิ ยามแหง่ ราตรลี ว่ ง  ไปแล้ว พระอานนท์ก็ทูลอีก แต่ก็คงประทับเฉย ไม่ยอมทรงแสดง  พระโอวาทปาฏโิ มกข ์ เมอื่ ยา่ งเขา้ สปู่ จั ฉมิ ยาม พระอานนทจ์ งึ ทลู วา่ “พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ปฐมยามและมัชฌิมยามล่วงไป  แล้ว กาลเวลาย่างเข้าสู่ปัจฉิมยาม ภิกษุทั้งหลายคอยนานแล้ว ขอ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า พระองคอ์ าศยั ความอนุเคราะห์แสดงโอวาทปาฏโิ มกข์เถดิ ” พระมหามุนีจึงตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ในชุมนุมน้ีภิกษุผู้  ไม่บริสุทธ์ิมีอยู่ อานนท์ มิใช่ฐานะท่ีตถาคตจะแสดงปาฏิโมกข์ใน  ทา่ มกลางบริษัทอันไม่บรสิ ุทธ์”ิ  ตรัสอย่างนี้แล้วก็ประทับเฉยต่อไป พระมหาโมคคลั ลานะ อคั รสาวกเบอื้ งซา้ ย นงั่ เขา้ ฌานตรวจ  ดูว่าภิกษุรูปใดเป็นผู้ไม่บริสุทธ์ิ อันเป็นที่รังเกียจของพระศาสดา  เมอื่ ไดเ้ หน็ แลว้  จงึ กลา่ วขนึ้ ทา่ มกลางสงฆว์ า่  “ดกู อ่ นภกิ ษ ุ ทา่ นออก  ไปเสียเถิด พระศาสดาเห็นท่านแล้ว” แม้พระมหาเถระจะกล่าว  อยา่ งนถ้ี งึ  ๓ ครงั้  ภกิ ษรุ ปู นนั้ กไ็ มย่ อมออกไปจากชมุ นมุ สงฆ์ พระ  มหาโมคคลั ลานะจงึ ลกุ ขนึ้ แลว้ ดงึ แขนภกิ ษรุ ปู นน้ั ออกไป เมอื่ ภกิ ษรุ ปู   นน้ั ออกไปแลว้  พระอานนทจ์ งึ ทลู ใหแ้ สดงปาฏโิ มกขอ์ กี  พระศาสดา  263 ตรัสวา่ “อศั จรรยจ์ รงิ  โมคคลั ลานะ หนกั หนาจรงิ  โมคคลั ลานะ เรอ่ื ง  ไม่เคยมีได้มีข้ึนแล้ว โมฆบุรุษผู้นั้นถึงกับต้องกระชากออกไปจาก  หมู่สงฆ์ เธอช่างไม่มีหิริโอตตัปปะส�ำรวจตนเองเสียเลย ภิกษุทั้ง  หลาย เปน็ อฐานะ เปน็ ไปไมไ่ ดท้ ต่ี ถาคตจะพงึ ท�ำอโุ บสถแสดงปาฏ ิ โมกขท์ า่ มกลางชมุ นมุ สงฆท์ ไ่ี มบ่ รสิ ทุ ธ ิ์ แมจ้ ะมเี พยี งรปู เดยี วกต็ าม  ภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษผู้น้ันจะท�ำให้เราล�ำบากใจ ภิกษุทั้งหลาย  เราขอประกาศให้เธอทั้งหลายทราบว่า ต้ังแต่บัดน้ีเป็นต้นไป เรา  ตถาคตจะไม่ท�ำอุโบสถแสดงปาฏิโมกข์อีก ขอให้ภิกษุทั้งหลายท�ำ  กนั เอง” แลว้ พระพทุ ธองคก์ ท็ รงแสดงความอศั จรรยแ์ หง่ ธรรมวนิ ยั  ๘  ประการ เปรยี บดว้ ยความอัศจรรยแ์ หง่ มหาสมุทรดงั น้ี

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  มหาสมทุ รยอ่ มลกึ ลงตามลำ� ดบั  ลาดลงตาม  ล�ำดับ ไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็ฉันน้ัน มี  การศกึ ษาตามลำ� ดบั  การปฏบิ ตั ติ ามลำ� ดบั  การบรรลตุ ามลำ� ดบั  ลมุ่   ลกึ ลงตามล�ำดบั ๆ  ภิกษุท้ังหลาย มหาสมุทรแม้จะมีน้�ำมากอย่างไร ก็ไม่ล้นฝั่ง  คงรักษาระดับไว้ได้ฉันใด พระธรรมวินัยก็ฉันน้ัน ภิกษุสาวกเรา  ยอ่ มไมล่ ว่ งละเมดิ สกิ ขาบททเ่ี ราบญั ญตั ไิ ว ้ แมจ้ ะตอ้ งลำ� บากถงึ เสยี   ชวี ติ กต็ าม ภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรย่อมซัดสาดซากศพท่ีตกลงไปขึ้น  ฝง่ั เสยี  ไมย่ อมใหล้ อยอยนู่ านฉนั ใด ในธรรมวนิ ยั กฉ็ นั นนั้  สงฆย์ อ่ ม  264 ไม่อยู่ร่วมด้วยภิกษุผู้ทุศีล มีใจบาป มีความประพฤติไม่สะอาดน่า  รงั เกยี จ มกี ารกระท�ำทตี่ อ้ งปกปดิ  ไมใ่ ชส่ มณะ ปฏญิ าณตนวา่ เปน็   สมณะ ไม่ใช่พรหมจาร ี เป็นคนเน่าใน รุงรังสางได้ยากเหมือนกอง  หยากเย่ือ สงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้วย่อมขับภิกษุน้ันออกเสียจาก  หมู ่ ภิกษุเช่นน้ัน แม้จะนั่งอยู่ท่ามกลางสงฆ์ก็ช่ือว่าอยู่ห่างไกลจาก  สงฆ์ และสงฆก์ ็ชือ่ วา่ อยหู่ ่างไกลจากภกิ ษเุ ช่นกัน ภกิ ษุทงั้ หลาย แม่นำ้� สายต่างๆ ย่อมหลง่ั ไหลลงสู่มหาสมทุ ร  และเม่ือไปรวมกับนำ้� ในมหาสมุทรแล้ว ย่อมละชื่อเดิมของตนเสีย  ถึงซึ่งการนับว่ามหาสมุทรเหมือนกันหมดฉันใด ในธรรมวินัยน้ีก ็ ฉันนั้น กุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะบวช ออกจากตระกูลต่างๆ  วรรณะต่างๆ เช่นวรรณะพราหมณ์บ้าง กษัตริย์บ้าง ไวศยะบ้าง  ศูทรบ้าง คนเทหยากเย่ือบ้าง จัณฑาลบ้าง แต่เมื่อมาบวชในธรรม  วินัยน้ีแล้ว ละวรรณะ สกุล และโคตรของตนเสีย ถึงซ่ึงการนับว่า 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า สมณศากยบุตรเหมือนกนั หมด ภิกษุท้ังหลาย ความพร่องหรือความเต็มเอ่อย่อมไม่ปรากฏ  แกม่ หาสมทุ ร แมพ้ ระอาทติ ยจ์ ะแผดเผาสกั เทา่ ใด นำ้� ในมหาสมทุ ร  กห็ าเหอื ดแหง้ ไปไม ่ แมแ้ มน่ ำ�้ สายตา่ งๆ และฝนจะหลง่ั ลงสมู่ หาสมทุ ร  สักเท่าใด มหาสมุทรก็ไม่เต็มฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันน้ัน แม ้ จะมีภิกษุเป็นอันมากนิพพานไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ แต ่ นิพพานธาตุก็คงอยู่อย่างน้ัน ไม่พร่องไม่เต็มเลย แม้จะมีผู้เข้าถึง  นิพพานอีกสักเท่าใด นิพพานก็คงมีให้ผู้น้ันอยู่เสมอ ไม่ขาดแคลน  หรอื คับแคบ ภิกษุท้ังหลาย มหาสมุทร มีภูตคือสัตว์น�้ำเป็นอันมาก มี  อวัยวะใหญ่และยาว เช่น ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาวาฬ เป็นต้น  265 ฉันใด ในธรรมวินัยน้ีก็ฉันน้ัน มีภูติคือพระอริยบุคคลเป็นจ�ำนวน  มาก มพี ระโสดาบนั บา้ ง พระสกทาคามบี า้ ง พระอนาคามบี า้ ง พระ  อรหนั ต์บ้าง จำ� นวนมากหลายเหลอื นบั ภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรมีนานารัตนะ เช่น มุกดา มณี  ไพฑูรย์ เป็นต้น ฉันใด ในธรรมวินัยก็ฉันน้ัน มีนานาธรรมรัตนะ  เชน่  สตปิ ฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ โพชฌงค ์ ๗ มรรค  มีองค ์ ๘ เปน็ ต้น “ภิกษุท้ังหลาย น�้ำในสมุทรย่อมมีรสเดียวคือรสเค็มฉันใด  ธรรมวนิ ยั นก้ี ฉ็ นั นน้ั  มรี สเดยี ว คอื วมิ ตุ ตริ ส หมายถงึ ความหลดุ พน้   จากกเิ ลสเปน็ จดุ มงุ่ หมายส�ำคญั แหง่ พรหมจรรยท์ เ่ี ราประกาศแลว้ ” เพราะเหตทุ ธ่ี รรมวนิ ยั หรอื พรหมจรรยข์ องพระองคส์ มบรู ณ์  ดว้ ยนานาคณุ ลกั ษณะ และสามารถชว่ ยแกท้ กุ ขแ์ กผ่ ทู้ ท่ี กุ ขไ์ ดน้ เ่ี อง 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระองคจ์ งึ เรยี กพรหมจรรยว์ า่ เปน็ กลั ยาณมติ ร และเรยี กกลั ยาณ-  มติ รเปน็ พรหมจรรย ์ เพราะกลั ยาณมติ รทแ่ี ทจ้ รงิ ของคนดกี ค็ อื ธรรม  และบาปมิตรทแ่ี ท้จริงของคน กค็ อื อธรรมหรอื ความชั่วทจุ ริต จะมศี ตั รใู ดแรงร้ายเทา่ พยาธคิ อื โรค จะมีแรงใดเสมอด้วยแรงกรรม จะมมี ติ รใดเสมอดว้ ยมติ รคือธรรม พระอานนทเ์ คยคดิ วา่  กลั ยาณมติ รนนั้ นา่ จะเปน็ ครง่ึ หนงึ่ ของ  พรหมจรรย์ แต่พระศาสดาตรัสว่า “อย่าคิดอย่างน้ันเลยอานนท ์ กลั ยาณมติ รเปน็ พรหมจรรยท์ งั้ หมดทเี ดยี ว เพราะผไู้ ดอ้ าศยั กลั ยาณ-  มติ รอย่างเราแล้ว ยอ่ มหลุดพ้นจากทุกขท์ ้ังมวล” 266 พระอานนทพ์ ทุ ธอนชุ า ไดร้ บั การยกยอ่ งจากพระศาสดามาก  หลาย เป็นทีร่ ู้จักกนั ว่าทา่ นเลิศใน ๕ สถานดว้ ยกนั  คือ ๑. เปน็ พหสู ูต สามารถทรงจำ� พระพทุ ธพจนไ์ วไ้ ด้มาก ๒. แสดงธรรมได้เพราะ คนฟังไม่อม่ิ ไม่เบ่ือ ๓. มีสติรอบคอบ ร้สู ิง่ ท่ีควรทำ� ไมค่ วรท�ำ ๔. มีความเพียรพยายามดี ๕. อปุ ฏั ฐากบ�ำรุงพระศาสดาดียิง่  ไมม่ ขี อ้ บกพร่อง เมื่อมีโอกาส ท่านมักจะสนทนาธรรมกับพระสารีบุตรเสมอ  ในคมั ภรี อ์ งั คตุ ตรนกิ าย มเี รอื่ งพระอานนทส์ นทนากบั พระสารบี ตุ ร  หลายเรื่อง เช่นเร่ืองเกี่ยวกับพระนิพพานและสมาธิ ภิกษุผู้ฉลาด  และภกิ ษุผู้ไม่ฉลาด จากการสนทนากันบ่อยๆ น้ี พระสารีบุตรได้ประจักษ์ชัดว่า  พระอานนทเ์ ปน็ ผคู้ วรแกก่ ารยกยอ่ งและไดย้ กยอ่ งเชดิ ชพู ระอานนท์ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ว่า มคี ณุ ธรรม ๖ ประการคอื ๑. เป็นผูไ้ ดย้ นิ ได้ฟงั มาก ๒. เป็นผแู้ สดงธรรมตามทไี่ ด้ยนิ ไดฟ้ งั โดยพสิ ดาร ๓. เปน็ ผู้สาธยายโดยพสิ ดาร ๔. เปน็ ผู้ชอบตรกึ ตรองเพ่งพจิ ารณาธรรม ๕. เปน็ ผยู้ นิ ดอี ยใู่ กลก้ บั พระเถระทเี่ ปน็ พหสู ตู  ทรงธรรม ทรง วินัย ๖. ทา่ นพยายามเขา้ หาทา่ นทเี่ ปน็ พหสู ตู  ทรงธรรม ทรงวนิ ยั เพอื่ เรียนถามข้อทค่ี วรถามในโอกาสอนั สมควร 267

๒๒ ปั จ ฉิ ม ทั ศ น า ณ เ ว ส า ลี 268 พระอานนท์พุทธอนุชา ได้ติดตามพระศาสดาอยู่เป็นเวลานาน  กระทำ� กจิ ทกุ อยา่ งเพอ่ื พระพทุ ธองค ์ โดยไมค่ ำ� นงึ ถงึ ความเหนอ่ื ยยาก  ล�ำบากใดๆ ท่านมีจิตใจอ่อนโยนบริสุทธ์ิสะอาดในพระศาสดา  ประดจุ มารดาผปู้ ระเสรฐิ พงึ มตี อ่ บตุ รสดุ สวาท มคี วามเคารพยำ� เกรง  ในพระผมู้ พี ระภาค ประดจุ บตุ รผเู้ ลอื่ มใสต่อบดิ า และอยใู่ นโอวาท  ของชนกผู้ให้ก�ำเนิดตน ท่านปฏิบัติหน้าท่ีของท่านอย่างซ่ือสัตย ์ เทย่ี งตรงเฉกดวงตะวนั และจนั ทรา จะหาผปู้ ฏบิ ตั ใิ ดเลา่ เสมอเหมอื น  พระอนุชาผูน้ ี้ จวบจนพระพรรษายุกาลแห่งพระบรมศาสดาเข้าปีที่ ๗๙  ตอนปลาย เหลืออีกเล็กน้อยท่ีพระผู้ประทานแสงสว่างแก่โลกจะ  ปรนิ พิ พาน เปรยี บปานดวงสรุ ยิ าซง่ึ ทอแสง ณ ขอบฟา้ ทศิ ตะวนั ตก  ก่อนจะอ�ำลาทิวากาล

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า พระผพู้ ชิ ติ มารประทบั  ณ คชิ ฌกฏู บรรพต ใกลก้ รงุ ราชคฤห ์ คราวนนั้ พระเจา้ อชาตศตั รเู วเทหบิ ตุ รกำ� ลงั เตรยี มตวั จะรกุ รานแควน้   วัชชี จึงส่งวัสสการพราหมณ์มหาอ�ำมาตย์ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  เพ่ือจะหยั่งดูว่า พระพุทธองค์จะตรัสอย่างไร พระเจ้าอชาตศัตรู  ทรงเชอ่ื ม่ันว่าพระวาจาแหง่ พระตถาคตน้นั ไม่เป็นสอง วัสสการพราหมณ์รับพระบัญชาเหนือเกล้า แล้วเข้าไปเฝ้า  พระศาสดาทูลว่า “เวลาน้ีพระเจ้าอชาตศัตรูก�ำลังเตรียมทัพจะบุก  วัชชี ซ่ึงมีนครเวสาลีเป็นเมืองหลวง ได้ส่งข้าพระพุทธเจ้ามากราบ  ทูลถามถึงผาสุกวิหาร คือความทรงพระส�ำราญแห่งพระองค์ และ  ขอถวายบงั คมพระองค์มงคลบาทด้วยเศียรเกลา้ ” สมัยนน้ั พระอานนทพ์ ทุ ธอนุชายืนถวายงานพดั อยเู่ บ้ืองหลงั   269 พระพุทธองค์ไม่ตรัสกับวัสสการพราหมณ์ แต่กลับตรัสถามพระ  อานนท์ถึงความเป็นไปแห่งนครเวสาลวี า่ “อานนท ์ ชาววัชชยี ังคงประพฤติวัชชธี รรม อปริหานิยธรรม  คือธรรมเป็นไปเพ่ือความไม่เสื่อม แต่เป็นไปเพื่อความเจริญโดย  สว่ นเดียวอย่หู รอื ?” “ยังคงประพฤตอิ ยู่พระเจา้ ขา้ ” พระอานนทท์ ูลตอบ “ดกู อ่ นอานนท ์ ชาววชั ชปี ระพฤตมิ นั่ ในธรรม ๗ ประการคอื ๑. หม่นั ประชมุ กันเนืองนติ ย์ ๒. เมอื่ ประชมุ กพ็ รอ้ มเพรยี งกนั ประชมุ  เมอ่ื เลกิ ประชมุ กเ็ ลกิ โดยพร้อมเพรียงกัน และพร้อมเพรียงกันท�ำกิจของชาววัชชีให้ สำ� เร็จลลุ ่วงไปด้วยดี

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ๓. ชาววัชชีย่อมเคารพเชื่อฟังในบัญญัติเก่าของชาววัชชีท่ี ดอี ยแู่ ลว้  ไมเ่ พกิ ถอนเสยี และไมบ่ ญั ญตั สิ งิ่ ซงึ่ ไมด่ ไี มง่ ามขนึ้ มาแทน ๔. ชาววชั ชเี คารพสกั การะนบั ถอื ยำ� เกรงผเู้ ฒา่ ผแู้ กผ่ ผู้ า่ นโลก มานาน ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นหรอื เหยียดหยาม ๕. ชาววัชชีประพฤติธรรมในสุภาพสตรี คือไม่ข่มเหงน้�ำใจ สภุ าพสตรี ๖. ชาววัชชีรู้จักเคารพสกั การะบูชาปชู นยี สถาน ๗. ชาววชั ชใี หค้ วามอารกั ขาคมุ้ ครองพระอรหนั ตส์ มณพราหม- ณาจารยผ์ ปู้ ระพฤตธิ รรม ปรารถนาใหส้ มณพราหมณาจารยผ์ มู้ ศี ลี ท่ยี ังไม่มาสแู่ ควน้ ขอใหม้ า และท่ีมาแลว้ ขอให้อยูเ่ ปน็ สุข 270 ดูก่อนอานนท์ ตราบเท่าท่ีชาววัชชียังประพฤติปฏิบัติวัชชี  ธรรมทงั้  ๗ ประการนอี้ ย ู่ พวกเขาจะไมป่ ระสบความเสอ่ื มเลย มแี ต ่ ความเจรญิ มัน่ คงโดยส่วนเดยี ว” แล้วพระพุทธองค์ทรงผินพระพักตร์มาตรัสกับวัสสการ  พราหมณว์ า่  “พราหมณ์ ครง้ั หนงึ่ เราพกั อยทู่ สี่ ารนั ทเจดยี ์ ใกลก้ รงุ   เวสาล ี ไดแ้ สดงธรรมทง้ั  ๗ ประการแกช่ าววชั ชี ตราบใดทชี่ าววชั ชี  ยังประพฤติธรรมน้ีอยู่ พวกเขาจะหาความเส่ือมมิได้ มีแต่ความ  เจริญโดยส่วนเดยี ว” “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค” วัสสการพราหมณ์ทูล “ไม่ต้องพูด  ถึงว่าชาววัชชีจะบริบูรณ์ด้วยธรรมท้ัง ๗ ประการเลย แม้มีเพียง  ประการเดยี วเทา่ นน้ั  เขากจ็ ะหาความเสอื่ มมไิ ด้ จะมแี ตค่ วามเจรญิ   โดยส่วนเดียว”

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า เมื่อวัสสการพราหมณ์ทูลลาแล้ว พระศาสดารับสั่งให้พระ  อานนท์ประกาศให้ภิกษุทั้งหมดซึ่งอาศัยอยู่ ณ กรุงราชคฤห์มา  ประชมุ พรอ้ มกนั  แลว้ พระมหาสมณะทรงแสดงอปรหิ านยิ ธรรมโดย  อเนกปรยิ าย เป็นตน้ ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่พวกเธอยังหมั่นประชุมกันเนือง  นิตย์ พร้อมเพรียงกันประชุม เคารพในสิกขาบทบัญญัติ ย�ำเกรง  ภิกษุผู้เป็นสังฆเถระสังฆบิดร ไม่ยอมตนให้ตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจ  แห่งตัณหา พอใจในการอยู่อาศัยเสนาสนะป่า ปรารถนาให้เพ่ือน  พรหมจารีมาสู่ส�ำนักและอยู่เป็นสุข ตราบน้ันพวกเธอจะไม่เส่ือม  เลย มีแตค่ วามเจริญโดยส่วนเดียว ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่เธอไม่หมกมุ่นกับงานมากเกินไป  271 ไม่พอใจด้วยการคุยฟุ้งซ่าน ไม่ชอบใจไม่พอใจในการนอนมากเกิน  ควร ไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นผู้ปรารถนาลามก  ตกอยใู่ ตอ้ ำ� นาจแหง่ ความปรารถนาชวั่  ไมค่ บมติ รเลว ไมห่ ยดุ ความ  เพยี รพยายามเพอื่ บรรลคุ ณุ ธรรมสงู ๆ ขนึ้ ไปแลว้  ตราบนนั้ พวกเธอ  จะไมม่ ีความเส่ือมเลย จะมแี ต่ความเจรญิ โดยสว่ นเดยี ว” พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์พอ  สมควรแล้ว โดยมีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะก็เสด็จบ่ายพระ  พกั ตรส์ นู่ ครเวสาล ี ผา่ นเมอื งอมั พลฏั ฐกิ า เมอื งนาลนั ทาและปาฏลิ  คาม ซ่ึงพระเจ้าอชาติศัตรูให้สร้างขึ้นเพ่ือเป็นเมืองส�ำหรับใช้เป็น  ท่มี ั่นโจมตแี คว้นวัชชี ณ เมอื งนาลนั ทานเี่ อง พระสารบี ตุ รเคยกลา่ วอาสภวิ าจา คอื   ถอ้ ยคำ� ทแี่ สดงถงึ ความเลอื่ มใสอยา่ งยง่ิ ในพระศาสดาวา่ ทา่ นมคี วาม 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เลอ่ื มใสอยา่ งยงิ่ ในพระพทุ ธองคท์ งั้ ในอดตี  อนาคต และปจั จบุ นั  ไม่  มีสมณะหรือพราหมณ์ใดๆ เลยที่จะเป็นผู้รู้ยิ่งไปกว่าพระพุทธองค ์ ในเรอื่ งสมั โพธิญาณ เม่ือเสด็จถึงปาฏลิคาม อุบาสกอุบาสิกาเป็นจ�ำนวนมากมา  เฝ้าพระพุทธองค ์ ทรงแสดงโทษแหง่ ศีลวิบตั  ิ ๕ ประการคอื ๑. ผไู้ ร้ศลี ยอ่ มประสบความเสอ่ื มทางโภคะ ๒. ชอ่ื เสียงทางไม่ดฟี ุง้ ขจรไป ๓. ไม่แกล้วกล้าอาจหาญเมือ่ เข้าประชมุ ๔. เมอื่ จวนจะตาย ยอ่ มขาดสตสิ มั ปชญั ญะ คมุ้ ครองสตไิ มไ่ ด้ เรียกวา่ หลงตาย 272 ๕. เมื่อตายแล้วยอ่ มไปสู่ทคุ ติ สว่ นคณุ แหง่ ศลี สมบตั  ิ มนี ยั ตรงกนั ขา้ มกบั ศลี วบิ ตั ดิ งั กลา่ วแลว้ พระพุทธองค์เสด็จผ่านโกฏิคาม และนาทิกคามตามล�ำดับ  ในระหวา่ งนนั้ ไดท้ รงแสดงธรรมอนั เปน็ ประโยชนย์ ง่ิ แกผ่ มู้ าเฝา้ บา้ ง  แกภ่ กิ ษสุ งฆ ์ แกพ่ ระอานนทบ์ า้ ง เชน่  อรยิ สจั และเรอื่ งใหเ้ อาธรรมะ  เป็นกระจกเงาดูตนเอง จนกระท่ังเสด็จเข้าสู่เขตเวสาลี ประทับ ณ  อัมพปาลีวันของหญิงนครโสเภณ ี นามอัมพปาลี ไมเ่ สด็จเขา้ สู่นคร  เวสาลี แม้กษตั รยิ ์ลิจฉวีจะทูลอาราธนากท็ รงปฏเิ สธ ข่าวเรื่องพระเจ้าอชาตศัตรูเตรียมทัพเพื่อตีวัชชีน้ัน ท�ำให ้ พระพุทธองค์ผู้มีพระมหากรุณาดุจห้วงมหรรณพทรงห่วงใยวัชชี  ย่ิงนัก เป็นเวลาเกือบ ๑ ปีท่ีเสด็จวนเวียนอยู่ในแคว้นวัชชี ในท่ีสุด  เสดจ็ ประทบั  ณ เวฬวุ คาม ซง่ึ มงั่ คงั่ พรง่ั พรอ้ มดว้ ยตน้ มะตมู เรยี งราย  เมื่อจวนจะเข้าพรรษาจึงมีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุทั้งหลายเลือก 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ท่ีจ�ำพรรษาได้ตามชอบใจ ส่วนพระองค์ประทับจ�ำพรรษาในเวฬุ-  วคาม การท่ีไม่เสด็จเข้าภายในเมืองเวสาลีนั้น น่าจะเป็นเพราะไม่  ทรงปรารถนาดว้ ยเรอ่ื งการบา้ นการเมอื ง ถา้ เสดจ็ เขา้ ไปอาจจะเปน็   ที่ระแวงของพระเจ้าอชาตศัตรูว่าพระองค์เอาพระทัยเข้าข้างเวสาล ี แตก่ ารทพี่ ระองคท์ รงวนเวยี นอยใู่ นเขตวชั ชเี ปน็ เวลาเกอื บปนี น้ั  กไ็ ด ้ ผลสมพระประสงค์ คอื พระเจา้ อชาตศตั รมู ไิ ดย้ าตราทพั เขา้ สแู่ ควน้   วัชชีเลย พระบรมศาสดาของเรานั้นมิได้ทรงเกื้อกูลหมู่ชนเพียง  แต่ในทางธรรมเท่านั้น แต่พระองค์ทรงบำ� เพ็ญประโยชน์แก่เทวดา  และมนุษย์แม้ในทางโลกอีกด้วย สมแล้วท่ีพระองค์ได้พระนาม  วา่  “พระโลกนาถผเู้ ปน็ ทพี่ ง่ึ ของโลก” แมภ้ ายหลงั จากทพี่ ระองคไ์ ด ้ 273 ปรินิพพานแล้ว แต่บัดนั้นจนกระท่ังบัดนี้ มีมนุษย์จ�ำนวนนับไม่ได้  ที่ได้ระลึกถึงค�ำสอนของพระองค์แล้ว ได้วางมือจากการประกอบ  กรรมชว่ั  แลว้ ตงั้ หนา้ ทำ� ความด ี พระองคย์ งั ทรงเปน็ ทพ่ี ง่ึ ของโลกอยู่ ในพรรษานั้นเอง ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ  พระตถาคตเจ้าทรงพระประชวรหนักด้วยโรคปักขันทิกาพาธ คือมี  พระบงั คนเปน็ โลหติ  แตท่ รงพจิ ารณาเหน็ วา่ ยงั ไมถ่ งึ กาลอนั สมควร  ที่พระองค์จะปรินิพพาน จึงทรงใช้สมาธิอิทธิบาทภาวนาขับไล่  อาพาธนน้ั ดว้ ยอธวิ าสนขนั ต ิ (อธวิ าสนขนั ต ิ อดทนตอ่ ทกุ ขเวทนาท ี่ เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ ธิติขันติ อดทนต่อหนาวร้อน การตรากตร�ำ  ในการทำ� งาน ตตี กิ ขาขนั ต ิ อดทนตอ่ อารมณท์ ก่ี ระทบกระทง่ั จติ ใจ  อดทนตอ่ คำ� ดา่ วา่ เสยี ดส)ี  เรอื่ งทพี่ ระองคท์ รงใชค้ วามอดทนจนหาย  อาพาธน้ี เปน็ ทีป่ ระจกั ษ์แกพ่ ุทธบริษัททุกหมูเ่ หลา่

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เมื่อหายแล้ว วันหนึ่งประทับนั่ง ณ ร่มเงาแห่งวิหารในเวลา  เยน็  พระอานนทเ์ ขา้ เฝ้า กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ข้าพระองค์ได้เห็นความอดทน  ของพระองคแ์ ลว้  ความอดทนอดกลนั้ อนั ใดทพี่ ระองคท์ รงพร�่ำสอน  ผอู้ นื่ เสมอ พระองคไ์ ดท้ รงกระทำ� ความอดทนนน้ั ใหเ้ หน็ เปน็ ตวั อยา่ ง  แลว้  สมแลว้ ทพี่ ระองคไ์ ดร้ บั การยกยอ่ งวา่  ตรสั อยา่ งใด ทรงกระทำ�   อย่างนั้น ทรงกระท�ำอย่างใด ตรัสอย่างน้ัน (ยถาวาที ตถาการี  ยถาการี ตถาวาที) ก็แต่ว่าพระองค์ผู้เจริญ ในสมัยที่พระองค์ทรง  ประชวรหนักนั้น ข้าพระองค์มีความวิตกกังวลอย่างย่ิง กายของข้า  พระองคง์ อมระงมไปหมด ประหนงึ่ ความรสู้ กึ ของหมปู่ กั ษ ี ซง่ึ อาศยั   274 อยู่บนพฤกษา และต้นไม้นั้นไกวแกว่งเพราะแรงลม ทิศทั้งหมด  ปรากฏเหมอื นมดื มนส�ำหรบั ขา้ พระองค์ มองดพู ระองคแ์ ลว้ เหมอื น  ข้าพระองค์จะเจ็บด้วย และเจ็บลึกยิ่งกว่าพระองค์เสียอีก แต่ข้า  พระองค์ยังเบาใจอยู่อย่างหน่ึงว่า พระองค์ยังไม่ให้ประชุมสงฆ ์ ปรารภข้อท่ีควรปรารภในท่ามกลางมหาสมาคมตราบใด ตราบน้ัน  พระองคค์ งจักยงั ไมป่ รินิพพานเปน็ แน่แท้” “อานนทเ์ อย” พระศาสดาตรสั อยา่ งชา้ ๆ “เธอและภกิ ษสุ งฆ์  จะหวงั อะไรในเราอกี เลา่  ธรรมใดทค่ี วรแสดง เราไดแ้ สดงหมดแลว้   ไม่มกี �ำมือของอาจารยอ์ ยู่ในเราเลย คอื เรามไิ ด้ปิดบังซ่อนเร้น หวง  แหนธรรมใดๆ ไว ้ เราไดช้ แี้ จงแสดงเปดิ เผยหมดสน้ิ แลว้  ธรรมวนิ ยั   ซึ่งเป็นมรดกอันประเสริฐของบิดา ตถาคตได้มอบให้เธอและภิกษ ุ ท้ังหลายโดยสิ้นเชิงแล้ว อานนท์เอย จงดูเอาเถิด ดูสรีระแห่ง  ตถาคต บัดนี้มีชราลักษณะปรากฏอย่างชัดเจน ฟันหัก ผมหงอก 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า หนังหดเห่ียว หย่อนยาน มีอาการทรุดโทรมให้เห็นอย่างเด่นชัด  เหมือนเกวียนที่ช�ำรุดแล้วช�ำรุดอีก ได้อาศัยแต่ไม้ไผ่มาซ่อมไว้ ผูก  กระหนาบคาบค้ำ� ไว้ จะยืนนานไปได้สักเท่าใด การแตกแยกสลาย  ยอ่ มจะมาถงึ เขา้ สกั วนั หนง่ึ  อานนทเ์ อย พวกเธอจงมธี รรมเปน็ เกาะ  ทีพ่ งึ่ เถิด อยา่ คดิ ยึดส่ิงอ่นื เป็นทพ่ี ่ึงเลย แมเ้ ราตถาคตกเ็ ป็นแตเ่ ป็น  ผูบ้ อกทางเทา่ นั้น” พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เวฬุวคาม เป็นเวลานานถึง ๘  เดอื น แมอ้ อกพรรษาแลว้ กม็ ไิ ดเ้ สดจ็ ไปทอี่ น่ื  คงประทบั ยบั ยง้ั อย ู่ ณ  ทน่ี น้ั จนสน้ิ ฤดเู หมนั ต ์ นบั เปน็ เวลานานมากทปี่ ระทบั อยใู่ นหมบู่ า้ น  เล็กๆ เชน่ เวฬุวคามน่ี พระองค์ทรงแน่พระทัยว่าคงจะด�ำรงพระชนมชีพไปไม่ได ้ 275 นานนัก แต่มิได้ตรัสบอกพระอานนท์ในเวลาน้ัน เหลือเวลาอีก ๓  เดือนที่จะปรินิพพาน ระหว่างนั้นพระพุทธองค์ทรงถูกอาพาธคอย  บีบคั้นเบียดเบียนอยู่เสมอ แต่ก็ทรงด�ำเนินไปอีกหลายแห่ง เสด็จ  โดยพระบาทเปล่าไม่มีใครแบกใครหามเลย เม่ือทรงเหน็ดเหน่ือย  มากเข้าก็หยุดพัก ทุกหนทุกแห่งที่เสด็จไป จะมีพระอานนท์ตาม  เสด็จเสมือนพระฉายา แม้จะล�ำบากพระวรกายปานใด แต่น�้ำ  พระทยั กรณุ าทมี่ ตี อ่ สรรพสตั วเ์ ออ่ ทน้ ในพระมนสั  จงึ ทรงจารกิ เพอ่ื   ประโยชนส์ ุขแห่งมวลชน จากเวฬุวคาม เสด็จไปยังกูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน ซึ่ง  กษัตริย์ลิจฉวีแห่งเวสาลีสร้างถวายเป็นท่ีประทับ เมื่อเสด็จมาเป็น  ครั้งคราว รับสั่งให้พระอานนท์ประกาศประชุมสงฆ์อยู่ในเมือง  เวสาลที งั้ หมด ทรงโอวาทภกิ ษทุ ง้ั หลายดว้ ยอภญิ ญาเทสติ ธรรม คอื  

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ธรรมท่ีพระองค์แสดงไว้ เพื่อการตรัสรู้หลุดพ้นจากกิเลสท้ังปวง  ไดแ้ ก ่ สตปิ ฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ อนิ ทรยี  ์ ๕ พละ ๕  โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ให้ภิกษุทั้งหลายหม่ันอบรมประพฤติ  ธรรมดงั กลา่ วน้ี รุ่งข้ึนเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลี ชาวนครเวสาลีมี  ความรสู้ กึ ระทกึ ใจเปน็ อยา่ งยง่ิ  เมอ่ื ทราบวา่ วนั นเี้ ปน็ วนั สดุ ทา้ ยแลว้   ที่พวกเขาได้เห็น ได้เฝ้ารับโอวาทานุศาสนีจากพระพุทธองค์ บาง  พวกรำ่� ไห ้ บางพวกตอี กชกหวั  ประหนง่ึ บดิ าบงั เกดิ เกลา้ แหง่ ตนจะ  เดนิ ทางไปสูส่ มรภมู ิและรู้แน่นอนวา่ จะไมก่ ลบั มา พระจอมมุนีประทานเทศนาให้เขาเหล่าน้ันคลายโศก โดย  276 ทรงย้�ำให้ระลึกถึงพระโอวาทที่เคยประทานไว้ว่า “สิ่งใดส่ิงหน่ึงมี  ความเกดิ ขน้ึ แลว้  สง่ิ นน้ั ยอ่ มมกี ารดบั ไปเปน็ ธรรมดา การเศรา้ โศก  ครำ�่ ครวญ ยอ่ มไมอ่ าจหนว่ งเหนย่ี วสงิ่ ซง่ึ จะตอ้ งแตกดบั มใิ หแ้ ตกดบั   ได”้ และแลว้ พระพทุ ธองคก์ เ็ สดจ็ ออกจากนครเวสาล ี ทรงยนื อย่ ู ณ ประตเู มอื งครหู่ นงึ่  ผนิ พระพกั ตรม์ องดเู วสาลเี ปน็ นาคาวโลกนา  การ ปานประหนึ่งพญาคชสารตัวประเสริฐ เหลียวดูแมกไม้เป็น  ปจั ฉมิ ทศั นา เมอื่ ถกู น�ำพาไปสูน่ ครเพอ่ื เปน็ ราชพาหนะ พระตถาคตเจ้าทอดทัศนาการเวสาล ี พลางทรงร�ำพึงว่า “ด ู ก่อนเวสาลี นครซึง่ มั่งคงั่ สมบูรณ์ เปน็ นครท่ีนามกระเดอ่ื งเลื่องลอื   ว่า มีคนแต่งกายงามที่สุดปานหมู่เทพช้ันดาวดึงส์ มีสระโบกขรณี  มากหลายเป็นท่ีรื่นรมย์ ปราสาทแห่งเจ้าลิจฉวีเสียดยอด ระดะดู  งามตา พิลาสพิไล โดยเฉพาะลิจฉวีสภาซ่ึงจงใจท�ำอย่างประณีต 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า บรรจงงามวิจิตร เป็นที่ประชุมแห่งกษัตริย์ลิจฉวีผู้พร้อมใจกัน  ปกครองบา้ นเมอื งโดยสามคั คธี รรม ดกู อ่ นเวสาล ี นครซง่ึ มปี ราการ  ๓ ชน้ั  มเี บอ้ื งหลงั เปน็ ปา่ ใหญ ่ ทอดยาวเหยยี ดสงู ขนึ้ ไปจนถงึ หมิ าลยั -  บรรพต อันได้นามว่ามหาวัน ซึ่งตถาคตแวะเวียนมาพักอยู่เสมอ  การได้เห็นเวสาลีครั้งนี้เป็นปัจฉิมทัศนาการส�ำหรับตถาคตแล้ว  ตถาคตจะไมไ่ ดเ้ หน็ เวสาลอี กี ” ทรงรำ� พงึ ดงั นแี้ ลว้  จงึ ผนิ พระพกั ตร์  มาตรสั กับพระอานนทว์ ่า “อานนท์ การมองดูเวสาลีครั้งนี้เป็นคร้ังสุดท้ายของตถาคต  แล้ว อานนท์เอย ทุกส่ิงทุกอย่างเมื่อได้มีการเร่ิมต้นแล้ว ย่อมจะมี  การสนิ้ สดุ  ใครเลา่ จะสามารถหนว่ งเหนย่ี วสงิ่ ซง่ึ จะตอ้ งเปน็ มใิ หเ้ ปน็   ได ้ มาเถดิ อานนท ์ เราจกั เดนิ ทางไปสปู่ าวาลเจดยี ”์  พระตถาคตเจา้   277 ตรัสเทา่ น ี้ แลว้ เสดจ็ ด�ำเนินดว้ ยพทุ ธลลี าอนั ประเสรฐิ พระพทุ ธอนชุ าตามเสดจ็ พระศาสดาดว้ ยอาการสงบและเครง่   ขรึม ใครเล่าจะทราบว่าภายในดวงจิตของท่านจะปั่นป่วน รวนเร  ซึมเซา เศรา้ โศก อ่อนไหว หวิวหว่นั สักเพียงใด

๒๓ ค ร า เ มื่ อ ท ร ง ป ล ง พ ร ะ ช น ม า ยุ สั ง ข า ร 278 พระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ ประทับภายใต้ต้นไม้ ซ่ึง  มเี งาครึม้ ตน้ หนึง่  ตรัสกบั พระอานนทว์ ่า “อานนท์ ผู้อบรมอิทธิบาท ๔ มาอย่างดีแล้ว ท�ำจนแคล่ว  คล่องแล้วอย่างเราน้ี ถ้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง ๑ กัปคือ ๑๒๐  ปี ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้” พระโลกนาถตรัสดังน้ีถึง ๓ ครั้ง แต่  พระอานนท์ก็คงเฉย มิได้ทูลอะไรเลย ความกังวลและความเศร้า  ของท่านมีมากเกินไป จนปิดบังดวงปัญญาเสียหมดส้ิน อา ความ  จงรักภักดีอย่างเหลือล้นท่ีท่านมีต่อพระศาสดานั้น บางทีก็ท�ำให ้ ท่านลืมเฉลียวถึงความประสงค์ของผู้ท่ีท่านจงรักภักดีนั้น ปล่อย  โอกาสทองให้ล่วงไปอย่างนา่ เสยี ดาย เมอ่ื เหน็ พระอานนทเ์ ฉยอย ู่ พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั วา่  “อานนท ์ เธอไปพักผ่อนเสียบ้างเถิด เธอเหนื่อยมากแลว้  แม้ตถาคตก็จะพกั  

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า 279

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ผ่อนเหมือนกัน” พระอานนท์จึงหลีกไปพักผ่อน ณ โคนต้นไม้อีก  ตน้ หนง่ึ ณ บัดน้นั  พระตถาคตเจ้าทรงร�ำพึงถงึ อดีตกาลนานไกล ซ่งึ   ล่วงมาแล้วถึง ๔๕ ปี สมัยเมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ท้อพระทัยใน  การที่จะประกาศสัจธรรม เพราะเกรงว่าจะทรงเหนื่อยเปล่า แต่  อาศัยพระมหากรุณาต่อส่�ำสัตว์ จึงตกลงพระทัยย่�ำธรรมเภรี และ  ครานนั้ พระองคท์ รงตงั้ พระทยั ไวว้ า่  ถา้ บรษิ ทั ทง้ั ส ี่ คอื  ภกิ ษ ุ ภกิ ษณุ  ี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่เป็นปึกแผ่นม่ันคง ยังไม่สามารถย�่ำย ี ปรูปวาท คือค�ำกล่าวจ้วงจาบล่วงเกินจากพาหิรลัทธิท่ีจะพึงมีต่อ  พระพทุ ธธรรม คำ� สอนของพระองคย์ งั ไมแ่ พรห่ ลายเพยี งพอตราบใด  280 พระองคก์ ็จะยังไมน่ พิ พานตราบนั้น กแ็ ลบดั น้ ี พระธรรมคำ� สอนของพระองคแ์ พรห่ ลายเพียงพอ  แล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ฉลาดสามารถพอที่จะด�ำรง  พรหมจรรย์ศาสโนวาทของพระองค์แล้ว ก็เป็นกาลสมควรแล้วท ่ี พระองค์จะเขา้ สู่มหาปรนิ ิพพาน ทรงด�ำริดังนี้แล้ว จึงทรงปลงพระชนมายุสังขาร คือตั้ง  พระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จักปรินิพพานในวันวิสาขปุรณมีคือวัน  เพ็ญเดือน ๖ อันว่าบุคคลผู้มีก�ำลังกลิ้งศิลามหึมาแท่งทึบจากหน้าผาลงสู ่ สระ ยอ่ มกอ่ ความกระเพอ่ื มสน่ั สะเทอื นแกน่ ำ�้ ในสระนน้ั ฉนั ใด การ  ปลงพระชนมายุสังขารอธิษฐานพระทัยว่า จะปรินิพพานของพระ  อนาวรณญาณก็ฉันนั้น ก่อความวิปริตแปรปรวนแก่โลกธาตุท้ังสิ้น  มหาปฐพมี อี าการสน่ั สะเทอื นเหมอื นหนงั สตั วท์ เ่ี ขาขงึ ไวแ้ ลว้  ตดี ว้ ย 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ไมท้ อ่ นใหญก่ ป็ านนน้ั  รกุ ขสาขาหวน่ั ไหวไกวแกวง่ ดว้ ยแรงวายโุ บก  สะบัดใบอยู่พอสมควร แล้วนิ่งสงบ มีอาการประหนึ่งว่าเศร้าโศก  สลดในเหตุการณ์ครั้งนี้ เหมือนกุมารีนางน้อยคร่�ำครวญปริเทวนา  ถงึ มารดาผจู้ ะจากไปจนสลบแนน่ งิ่  ณ เบอ้ื งบนทอ้ งฟา้ สคี รามกลาย  เปน็ แดงเขม้ ดจุ เสอื่ ล�ำแพน ซง่ึ ไลด้ ว้ ยเลอื ดสด ปกั ษาชาตริ อ้ งระงม  สนน่ั ไพร เหมอื นจะประกาศวา่ พระผทู้ รงมหากรณุ ากำ� ลงั จะจากไป  ในไม่ช้าน้ี พระอานนท์สังเกตเห็นความวิปริตแปรปรวนของโลกธาต ุ ดังนี้ จึงเข้าเฝ้าพระจอมมุนีทูลถามว่า “พระองค์ผู้เจริญ โลกธาตุนี ้ วิปริตแปรปรวนผิดปรกติ ไม่เคยมี ไม่เคยเป็น ได้เป็นแล้วเพราะ  เหตอุ ะไรหนอ?” พระทศพลเจ้าตรัสว่า “อานนท์เอย อย่างน้ีแหละ คราใดท่ ี 281 ตถาคตประสตู  ิ ตรสั ร ู้ หมนุ ธรรมจกั ร ปลงอายสุ งั ขาร และนพิ พาน คราน้ันย่อมจะมเี หตุการณว์ ิปริตอยา่ งนเ้ี กดิ ขนึ้ ” พระอานนท์ทราบว่าบัดนี้พระตถาคตเจ้าปลงพระชนมาย ุ สงั ขารเสยี แลว้  ความสะเทอื นใจและวา้ เหวป่ ระดงั ขนึ้ มาจนอสั สชุ ล  ธาราไหลหล่ังสุดห้ามหัก เพราะความรักเหลือประมาณท่ีท่านมีใน  พระเชฏฐภาดา ทา่ นหมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทลู ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์อาศัยความกรุณาใน  ข้าพระองคแ์ ละหมสู่ ัตว ์ จงด�ำรงพระชนมชีพต่อไปอีกเถดิ  อยา่ เพ่ิง  ด่วนปรินิพพานเลย” กราบทูลเท่าน้ีแล้วพระอานนท์ก็ไม่อาจทูล  อะไรต่อไปอกี  เพราะโศกาดูรท่วมท้นหทัย

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “อานนทเ์ อย” พระศาสดาตรสั พรอ้ มดว้ ยทอดทศั นาการเบอ้ื ง  พระพักตร์อย่างสุดไกล มีแววแห่งความเด็ดเด่ียวฉายออกมาทาง  พระเนตรและพระพกั ตร ์ “เปน็ ไปไมไ่ ดท้ จี่ ะใหต้ ถาคตกลบั ใจ ตถาคต  จะตอ้ งปรนิ พิ พานในวนั เพญ็ แหง่ เดอื นวสิ าขะ อกี  ๓ เดอื นขา้ งหนา้ นี้  อานนท์ เราได้แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัย  มาไม่น้อยกว่า ๑๖ ครั้งแล้ว คนอย่างเราน้ี มีอิทธิบาทภาวนาท่ีได ้ อบรมมาด้วยดี ถ้าประสงค์จะอยู่ถึง ๑ กัปคือ ๑๒๐ ปี ก็พออยู่ได้  แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ มิได้ทูลเราเลย เราต้ังใจว่าในคราวก่อนๆ น้ี  ถา้ เธอทลู ใหเ้ ราอยตู่ อ่ ไป เราจะหา้ มเสยี  ๒ ครง้ั  พอเธอทลู ครงั้ ท ี่ ๓  จะรบั อาราธนาของเธอ แตบ่ ดั นชี้ า้ เสยี แลว้  เราไมอ่ าจกลบั ใจไดอ้ กี ”  282 พระศาสดาหยุดอยคู่ รหู่ นง่ึ แลว้ ตรสั ต่อไปวา่ “อานนท์ เธอยังจ�ำได้ไหม ครั้งหนึ่ง ณ ภูเขา ซึ่งมีลักษณะ  ยอดเหมือนนกแร้ง อันได้นามว่า ‘คิชฌกูฏ’ ณ ภูเขาน้ีมีถำ�้ อันขจร  นามช่ือสุกรขาตา ท่ีถ้�ำนี้เอง สาวกผู้เลื่องลือว่าเลิศทางปัญญาของ  เราคอื สารบี ตุ รไดถ้ อนตณั หานสุ ยั โดยสน้ิ เชงิ  เพยี งเพราะฟงั คำ� ทเี่ รา  สนทนากับหลานชายของเธอ ผู้มีนามว่าทฆี นขะ เพราะไว้เล็บยาว เม่ือสารีบุตรมาบวชในส�ำนักของเราแล้ว ทีฆนขปริพพาชก  เทยี่ วตามหาลงุ ของตน มาพบลงุ ของเขาคอื สารบี ตุ รถวายงานพดั เรา  อยู่ จึงพูดเปรยๆ เป็นเชิงกระทบกระเทียบว่า ‘พระโคดม ทุกส่ิง  ทุกอย่างข้าพเจ้าไม่พอใจหมด’ ซ่ึงรวมความว่าเขาไม่พอใจเราด้วย  เพราะตถาคตก็รวมอยู่ในค�ำว่า ‘ทุกส่ิงทุกอย่าง’ เราได้ตอบเขาไป  ว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอควรจะไม่พอใจในความคิดเห็นอันนั้นของเธอ  เสยี ด้วย’”

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า “อานนท ์ เราไดแ้ สดงธรรมอน่ื อกี เปน็ อเนกปรยิ าย สารบี ตุ ร  ถวายงานพดั ไปฟงั ไป จนจติ ของเธอหลดุ พ้นจากอาสวะทงั้ ปวง “อานนทเ์ อย ณ ภเู ขาคชิ ฌกฏู ดงั กลา่ วน ี้ เราเคยพดู กบั เธอวา่   คนอยา่ งเราถา้ จะอยตู่ อ่ ไปอกี  ๑ กปั  หรอื เกนิ กวา่ นน้ั กพ็ อได ้ แตเ่ ธอ  ก็หารู้ความหมายแหง่ ค�ำทเี่ ราพดู ไม่ อานนท ์ ตอ่ มาทโ่ี คตมนโิ ครธ ทเี่ หวสำ� หรบั ทง้ิ โจร ทถี่ ำ้� สตั ต-  บรรณใกลเ้ วภารบรรพต ทกี่ าฬศลิ าใกลเ้ ขาอสิ คิ ลิ ิ ซงึ่ เลอื่ งลอื มาแต ่ โบราณกาลว่า เป็นที่อยู่อาศัยของพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอันมาก  เมื่อท่านเข้าไป ณ ที่นั้น แล้วไม่มีใครเห็นท่านออกมาอีกเลย จึง  กล่าวขานกันว่าอิสิคิลิบรรพต (ภูเขากลืนกินฤๅษี) ที่เง้ือมเขาช่ือ  สปั โสณฑิกะ ใกลป้ า่ สตี วัน ทตี่ โปทาราม ทีเ่ วฬวุ นั สวนไผ่อนั ร่มรื่น  283 ของจอมเสนาแหง่ แควน้ มคธ ทส่ี วนมะมว่ งของหมอชวี กโกมารภจั จ์  ที่มทั ทกจุ ฉิมิคทายวัน ท้ัง ๑๐ แห่งน ี้ ณ เขตแขวงราชคฤห์ ตอ่ มาเมอ่ื เราทงิ้ ราชคฤหไ์ วเ้ บอ้ื งหลงั  แลว้ จารกิ สเู่ วสาลนี คร  อนั รงุ่ เรอื งยงิ่  เรากใ็ หน้ ยั แกเ่ ธออกี ถงึ  ๖ แหง่  คอื ทอี่ เุ ทนเจดยี ์ สตั -  ตมั พเจดยี  ์ โคตมเจดยี  ์ พหปุ ตุ ตเจดยี  ์ สารนั ทเจดยี  ์ และปาวาลเจดยี ์  เปน็ แหง่ สดุ ทา้ ย คอื สถานทซ่ี ง่ึ เราอย ู่ ณ บดั น ี้ แตเ่ ธอกห็ าเฉลยี วใจ  ไม ่ ทงั้ นเ้ี ปน็ ความบกพรอ่ งของเธอเอง เธอจะครำ่� ครวญเอาอะไรอกี อานนท์เอย บัดนี้สังขารอันเป็นเหมือนเกวียนช�ำรุดน้ี เรา  ได้สละแล้ว เร่ืองที่จะดึงกลับคืนมาอีกนั้น มิใช่วิสัยแห่งตถาคต  อานนท์ เรามิได้ปรักปร�ำเธอ เธอเบาใจเถิด เธอได้ท�ำหน้าที่ดีที่สุด  แลว้  บดั นเี้ ปน็ กาลสมควรทตี่ ถาคตจะจากโลกนไ้ี ป แตย่ งั เหลอื เวลา  อีกถึง ๓ เดือน บัดนี้สังขารของตถาคตเป็นเสมือนเรือร่ัว คอยแต ่

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เวลาจะจมสทู่ อ้ งธารเทา่ น้ัน อานนท์ เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือว่า บุคคลย่อมต้อง  พลดั พรากจากสง่ิ ที่รักที่พงึ ใจเปน็ ธรรมดา หลกี เลยี่ งไม่ได้ อานนท ์ เอย ชีวิตน้ีมีความพลัดพรากเป็นท่ีสุด ส่ิงทั้งหลายมีความแตกไป  ดบั ไป สลายไปเปน็ ธรรมดา จะปรารถนามใิ หเ้ ปน็ อยา่ งทมี่ นั ควรจะ  เปน็ นนั้  เปน็ ฐานะทไี่ มพ่ งึ หวงั ได ้ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งดำ� เนนิ ไป เคลอ่ื นไป  สู่จดุ สลายตวั อยูท่ กุ ขณะ” และแลว้ พระจอมศาสดากเ็ สดจ็ ไปยงั ภณั ฑคาม และโภคนคร  ตามลำ� ดบั  ในระหวา่ งนน้ั ทรงใหโ้ อวาทภกิ ษทุ ง้ั หลายดว้ ยพระธรรม  เทศนาอันเป็นไปเพื่อโลกุตราริยธรรม กล่าวคือศีล สมาธิ ปัญญา  284 วิมตุ ต ิ และวิมตุ ตญิ าณทัสสนะ เปน็ ต้นวา่ “ภิกษุทั้งหลาย ศีลเป็นพื้นฐาน เป็นที่รองรับคุณอันย่ิงใหญ ่ ประหนึ่งแผ่นดินเป็นท่ีรับรองและตั้งลงแห่งสิ่งท้ังหลาย ท้ังที่มีชีพ  และหาชีพมิได้ เป็นต้นว่า พฤกษาลดาวัลย์มหาสิงขร และสัตว์  จุตบททวิบาทนานาชนิด บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจย่อมอยู่สบาย ม ี ความปลอดโปร่ง เหมือนเรือนท่ีบุคคลปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย  ปราศจากเรอื ดและฝ่นุ เป็นทร่ี บกวน ศีลน่ีเองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือความสงบใจ สมาธิท ่ี มีศีลเป็นเบื้องต้น เป็นพื้นฐาน ย่อมเป็นสมาธิท่ีมีฝาผนัง มีประต ู หนา้ ตา่ งปดิ เปดิ ไดเ้ รยี บรอ้ ย มหี ลงั คาสำ� หรบั ปอ้ งกนั ลมแดดและฝน  ผอู้ ยใู่ นเรอื นเชน่ น ี้ ฝนตกกไ็ มเ่ ปยี ก แดดออกกไ็ มร่ อ้ น ฉนั ใด บคุ คล  ผู้มีจิตเป็นสมาธิดี ก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวาย เม่ือ  ลมแดดและฝน กล่าวคือโลกธรรมแผดเผากระพือพัดซัดสาดเข้า 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า มาครั้งแล้วครั้งเล่า สมาธิอย่างน้ีย่อมก่อให้เกิดปัญญาในการฟาด  ฟันย�่ำยีและเชือดเฉือนกิเลสาสวะต่างๆ ให้เบาบางและหมดสิ้น  ไป เหมือนบุคคลผู้มีก�ำลังจับศัสตราอันคมกริบ แล้วถางป่าให้โล่ง  เตียนกป็ านกนั ปญั ญาซงึ่ มสี มาธเิ ปน็ รากฐานนนั้  ยอ่ มปรากฏดจุ ไฟดวงใหญ่  กำ� จดั ความมดื ใหป้ ลาสนาการ มแี สงสวา่ งรงุ่ เรอื งอำ� ไพ ขบั ฝนุ่ ละออง  คือกิเลสใหป้ ลวิ หาย ปญั ญาจงึ เปน็ ประดจุ ประทีปแห่งดวงใจ อนั วา่ จติ นเ้ี ปน็ ธรรมชาตทิ ผี่ อ่ งใสอยโู่ ดยปรกติ แตเ่ ศรา้ หมอง  ไปเพราะคลกุ เคลา้ ดว้ ยกเิ ลสนานาชนดิ  ศลี  สมาธ ิ และปญั ญา เปน็   เคร่ืองฟอกจิตใจให้ขาวสะอาดดังเดิม จิตท่ีฟอกแล้วด้วยศีลสมาธ ิ และปัญญา ย่อมหลดุ พน้ จากอาสวะทงั้ ปวง ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลผมู้ จี ติ หลดุ พน้ แลว้ จากอาสวะ ยอ่ มพบ  285 กับปีติปราโมชอันใหญ่หลวง รู้สึกตนว่าได้พบขุมทรัพย์มหึมา หา  อะไรเปรียบมิได้ เอิบอาบซาบซ่านด้วยธรรม ตนของตนเองนั่นแล  เปน็ ผู้รวู้ า่  บดั นีก้ ิเลสานสุ ัยต่างๆ ไดส้ ้นิ ไปแลว้  ภพใหมไ่ ม่มีอีกแล้ว  เหมือนบุคคลผู้ตัดแขนขาด ย่อมรู้ด้วยตนเองว่าบัดนี้แขนของตน  ขาดแล้ว” โอวาทานศุ าสนีของพระผมู้ พี ระภาคสว่ นใหญ่เป็นไปเยย่ี งน้ี ขา่ วการปลงพระชนมายสุ งั ขารของพระศาสดาแผก่ ระจายไป  ทวั่ สงั ฆมณฑล ประดจุ บรุ ษุ ผมู้ กี ำ� ลงั กระพอื ผา้ ขาวคลมุ บรเิ วณเนอื้ ท ่ี อนั นอ้ ย บดั นสี้ าวกของพระองคท์ ง้ั คฤหสั ถแ์ ละบรรพชติ รสู้ กึ วา้ เหว่  หวิวหว่ันและเล่ือนลอย สาวกท่ีเป็นปุถุชนไม่อาจกล้ันอัสสุธาราไว ้ ได ้ มใี บหนา้ อาบดว้ ยนำ้� ตา ประชมุ กนั เปน็ กลมุ่ ๆ รำ� พงึ รำ� พนั อยวู่ า่  

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระผู้มีพระภาคจะปรินิพพานเสียแล้ว พวกเราจะท�ำอย่างไรหนอ  ส่วนสาวกผู้เป็นขีณาสพสิ้นอาสวะแล้วก็ได้แต่ปลงธรรมสังเวช คือ  ความสลดใจตามแบบพระอรยิ ะ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ไดน้ ามวา่ ธมั มาราม คดิ วา่  อกี  ๓ เดอื นขา้ งหนา้   พระตถาคตเจา้ จะปรนิ พิ พาน เราบวชในสำ� นกั ของพระองค ์ แตย่ งั ม ี อาสวกเิ ลสอย ู่ กระไรหนอ เราจะพงึ เพยี รพยายามเพอ่ื บรรลอุ รหตั ต-  ผลในเวลาทพ่ี ระพทุ ธองคย์ งั ทรงพระชนมอ์ ย ู่ คดิ ดง่ั นแ้ี ลว้  ทา่ นมไิ ด ้ จับกลุ่มกับภิกษุอ่ืนๆ มิได้เศร้าโศก ปลีกตนออกไปอยู่แต่ผู้เดียว  พยายามท�ำสมถะและวปิ สั สนา ภกิ ษทุ ง้ั หลายอนื่ เหน็ พฤตกิ ารณด์ งั น ้ี เขา้ ใจวา่ ภกิ ษธุ มั มาราม  286 หาความรักความอาลัยในพระผู้มีพระภาคมิได้ จึงน�ำข้อความน้ัน  กราบทูลพระพทุ ธองค์ “พระเจ้าข้า” ภิกษุทูล “ภิกษุช่ือธัมมารามหาความรักความ  อาลัยในพระองค์มิได้เลย เม่ือทราบว่าพระองค์จะปรินิพพาน ก็หา  ไดแ้ สดงอาการเศรา้ โศกอยา่ งใดไม่ ปลกี ตนไปอยแู่ ตผ่ เู้ ดยี ว ไมเ่ กย่ี ว  ข้องไต่ถามเรื่องราวของพระองคเ์ ลย” พระศาสดารับสง่ั ใหพ้ ระธัมมารามเข้าเฝ้า ตรสั ถามวา่  “ธมั - มาราม ไดย้ นิ วา่ เธอทำ� อย่างที่ภิกษุทงั้ หลายกลา่ วนหี้ รอื ?” “พระพุทธเจ้าขา้ ” พระธมั มารามทูลรบั “ท�ำไมเธอจึงท�ำอย่างน้ัน เธอไม่อาลัยไยดีในตถาคตหรือ?”  พระศาสดาตรัสถาม “หามไิ ด ้ พระเจา้ ขา้  ขา้ พระองคค์ ดิ วา่  ขา้ พระองคบ์ วชแลว้ ใน  สำ� นกั ของพระองคผ์ สู้ รรเสรญิ ความเพยี รพยายาม บดั นพ้ี ระองคจ์ ะ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า นพิ พานแลว้  ทำ� ไฉนหนอ ขา้ พระองคจ์ ะพงึ ทำ� ความเพยี รเพอื่ บรรลุ  ธรรมอันสูงสุด เพื่อบูชาพระองค์ต้ังแต่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่  ทเี ดยี วดว้ ยเหตุนี ้ ข้าพระองคจ์ งึ หลกี ออกจากหมอู่ ยู่แต่ผู้เดียว” พระพุทธองค์ทรงเปล่งพระอุทานออก ๓ คร้ังว่า “ดีแล้ว  ภิกษุ” แล้วผินพระพักตร์มาตรัสกับภิกษุท้ังหลายอื่นว่า “ภิกษุทั้ง  หลาย ผใู้ ดมคี วามเสนห่ าอาลยั ในเรา พงึ ทำ� ตนอยา่ งธมั มารามภกิ ษุ  นี้ การท�ำอย่างน้ี ช่ือว่าบูชาเคารพนับถือเราด้วยอาการอันยอดยิ่ง  ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุผู้ยินดีในธรรม ตรึกตรองธรรม ระลึกถึงธรรม  อยเู่ สมอ ยอ่ มไมเ่ สอื่ มจากพระสทั ธรรม ไมเ่ สอ่ื มจากพระนพิ พาน” แม้กระนั้นภิกษุท้ังหลายก็ไม่วายที่จะแวดล้อมพระองค์ไป  ทุกหนทุกแห่ง พระศาสดาเห็นดังนี้ จึงเตือนภิกษุเหล่านั้นให ้ 287 พยายามแสวงหาวเิ วก เพอ่ื บรรลคุ ณุ ธรรมทยี่ งั มไิ ดบ้ รรลุ เพอื่ ทำ� ตน  ให้บรสิ ทุ ธจ์ิ ากกิเลส ด้วยพระพุทธพจนว์ ่า “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บรรดาทางทงั้ หลาย มรรคมอี งค ์ ๘ ประเสรฐิ   ท่ีสุด บรรดาบทท้ังหลาย บท ๔ คืออริยสัจ ประเสริฐที่สุด บรรดา  ธรรมทง้ั หลาย วริ าคะ คอื  การปราศจากความกำ� หนดั ยนิ ด ี ประเสรฐิ   ที่สุด บรรดาสัตว์ ๒ เท้า พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด  มรรคมอี งค์ ๘ นแี่ ลเปน็ ไปเพอ่ื ทรรศนะอนั บรสิ ทุ ธิ์ หาใชท่ างอน่ื ไม ่ เธอท้ังหลายจงเดินไปตามทางมีองค์ ๘ นี้ อันเป็นทางที่ท�ำมารให ้ หลงติดตามไม่ได้ เธอท้ังหลายจงต้ังใจปฏิบัติเพื่อท�ำทุกข์ให้สูญสิ้น  ไป ความเพยี รพยายามเธอทง้ั หลายตอ้ งทำ� เอง ตถาคตเปน็ แตเ่ พยี ง  ผบู้ อกทางเทา่ นน้ั  เมอื่ ปฏบิ ตั ติ นดงั นนั้  พวกเธอจกั พน้ จากมารและ  บ่วงแห่งมาร”

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระพทุ ธองคต์ รสั กบั พระอานนทว์ า่  “มาเถดิ อานนท ์ เราจกั ไป  กุสินารานครดว้ ยกัน”  พระอานนท์รับพทุ ธบัญชา แล้วประกาศให ้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายทราบพรอ้ มกนั  แลว้ ดมุ่ เดนิ จากสถานทน่ี น้ั มงุ่ สกู่ สุ นิ ารา  นคร ในระหวา่ งทางทรงเหนด็ เหนอื่ ยมาก จงึ แวะเขา้ รม่ พฤกษใ์ บหนา  ตน้ หนึ่ง รบั ส่ังให้พระอานนทป์ ูผา้ สังฆาฏิทำ� เป็น ๔ ชั้น “อานนท ์ เราเหนด็ เหนอื่ ยเหลอื เกนิ  อาพาธกม็ อี าการรนุ แรง  ขนึ้  เรว็ เขา้ เถดิ  รบี ปสู งั ฆาฏลิ ง เราจะนอนพกั ผอ่ น และขอใหเ้ ธอไป  นำ� นำ้� มาดื่มพอแกก้ ระหาย” “พระเจ้าข้า” พระอานนท์ทูล “เกวียนเป็นจ�ำนวนมากเพิ่ง  ผา่ นพน้ ลำ� นำ�้ ไปสกั ครหู่ นง่ึ เอง นำ�้ ยงั ขนุ่ อย ู่ ไมค่ วรทพี่ ระองคจ์ ะดมื่   288 ขอเสด็จไปดื่ม ณ แมน่ �้ำกกุธานทเี ถิด มีน�้ำใสจดื สนทิ  เย็นดี” “อยา่ เลย อานนท”์  พระตถาคตตรสั เปน็ เชงิ วงิ วอน “อยา่ คอย  จนถึงแม่น�้ำกกุธานทีเลย เรากระหายเหลือเกิน ร่างกายเร่าร้อน  คอแหง้ ผาก เธอจงรีบไปนำ� น้�ำมาเถิด” พระอานนทร์ บั พทุ ธบญั ชาแลว้  ถอื บาตรของพระตถาคตเจา้   ไป ทา่ นมอี าการเศร้าซมึ และวิตกกังวล เม่ือมาถงึ รมิ แม่น�ำ้  ยังมอง  เหน็ นำ้� ข่นุ อยู่ ทา่ นมีอาการเหมอื นวา่ จะเดนิ กลับ แต่ดว้ ยความเชอ่ื   และหว่ งใยในพระศาสดา จงึ เดนิ ลงไปอกี  พอทา่ นทำ� ทา่ จะตกั ขน้ึ มา  เทา่ นนั้  นำ้� ซง่ึ มสี ขี นุ่ ขาวเพราะรอยเกวยี นและโคกป็ รากฏเปน็ น้�ำใส  สะอาดเหมอื นกระจกเงาซงึ่ หญงิ ผรู้ กั สวยรกั งามขดั ไวด้ แี ลว้  ทา่ นจงึ   ตกั นำ�้ นนั้ มา แลว้ รบี เดนิ กลบั  นอ้ มบาตรนำ้� เขา้ ไปถวายพระศาสดา พระพุทธองค์ทรงดื่มด้วยความกระหาย พระอานนท์มองด ู ด้วยความชนื่ ชมในพทุ ธบารมีแลว้ ทลู ว่า “พระพทุ ธเจ้าข้า อศั จรรย ์

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า จรงิ  สง่ิ ทไี่ มเ่ คยมไี มเ่ คยปรากฏ ไดม้ แี ละปรากฏแลว้  เปน็ เพราะพระ  พทุ ธานภุ าพโดยแท้ บารมธี รรมเปน็ สง่ิ นา่ สงั่ สมแท”้  แลว้ ทา่ นกเ็ ลา่   เรื่องน�้ำที่ขุ่นกลับใสสะอาดโดยฉับพลัน ให้พระผู้มีพระภาคสดับ  พระจอมมนุ คี งประทบั สงบนง่ิ ดว้ ยอาการแหง่ ผเู้ จนจบ และเขา้ ใจใน  ความเปน็ ไปทัง้ ปวง กอ่ นหนา้ นเ้ี พยี งเลก็ นอ้ ย เมอื่ พระองคผ์ า่ นมาทางเมอื งปาวา  ประทบั  ณ สวนมะมว่ งของนายจนุ ทะ บตุ รนายชา่ งทอง นายจนุ ทะ  ทลู อาราธนารบั ภตั ตาหาร ณ บา้ นของตน และจดั แจงขาทนยี โภชน ี ยาหารอยา่ งประณตี  รงุ่ ขน้ึ ไดเ้ วลาแลว้  อาราธนาพระพทุ ธองคแ์ ละ  ภิกษุสงฆ์เพื่อเสวย พระพุทธองค์ทอดทัศนาการเห็นสูกรมัททวะ  อาหารชนดิ หนง่ึ ซง่ึ ยอ่ ยยาก จงึ รบั สงั่ ใหถ้ วายแกพ่ ระองคแ์ ตผ่ เู้ ดยี ว  289 มิใหถ้ วายแกภ่ กิ ษรุ ูปอนื่  เมอื่ พระองคเ์ สวยแล้วกร็ บั สงั่ ใหฝ้ งั เสยี ดูเถิด พระมหากรุณาแห่งพระองค์มีถึงปานน้ี ส�ำหรับพระ  องคน์ น้ั มไิ ดห้ ว่ งใยในชวี ติ แลว้  เพราะถงึ อยา่ งไรๆ กจ็ ะตอ้ งนพิ พาน  ในคนื วนั นนั้ แนน่ อน ทรงเปน็ หว่ งภกิ ษสุ าวกวา่ จะลำ� บาก ถา้ ฉนั อาหาร  ทยี่ อ่ ยยากชนดิ นน้ั  ประหนง่ึ มารดาหรอื บดิ าผเู้ ปย่ี มดว้ ยเมตตาธรรม  ในบุตรของตน ทราบว่าอะไรจะท�ำให้บุตรธิดาล�ำบาก ย่อมพร้อม  ท่จี ะรบั ความลำ� บากอนั นน้ั เสียเอง

๒๔ พ ร ะ อ า น น ท์ ร้ อ ง ไ ห้ 290 สกู รมทั ทวะใหผ้ ลในทนั ท ี อาการประชวรของพระองคท์ รดุ หนกั ลง  อย่างน่าวิตก มีพระบังคนเป็นโลหิต แต่ถึงกระน้ันก็ยังเสด็จด้วย  พระบาทเปลา่ จากปาวาส่กู สุ ินารานครดงั กล่าวแลว้ พระองคต์ อ้ งหยดุ พกั เปน็ ระยะๆ หลายครง้ั  กอ่ นจะถงึ กสุ นิ ารา  ราชธานแี ห่งมัลลกษตั ริย์ ณ ใต้ร่มพฤกษแ์ ห่งหนง่ึ  ขณะที่พระองค ์ หยุดพัก มีบุตรแห่งมัลลกษัตริย ์ นามว่าปุกกุสะ เคยเป็นศิษย์ของ  อาฬารดาบสกาลามโคตร เดนิ ทางจากกสุ นิ าราเพอื่ ไปยงั ปาวานคร  ได้เห็นพระผู้มีพระภาคแล้วเกิดความเล่ือมใส จึงน้อมน�ำผ้าคู่งาม  ซงึ่ มสี เี หลอื งทองสงิ คเี ขา้ ไปถวาย รบั สงั่ ใหถ้ วายแกพ่ ระอานนทผ์ นื หนงึ่   แก่พระองค์ผืนหนงึ่

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า พระอานนทไ์ ดเ้ หน็ วา่ ผา้ นน้ั ไมค่ วรแกต่ น จงึ นอ้ มเขา้ ไปถวาย  พระผมู้ พี ระภาคอกี ผนื หนง่ึ  พระพทุ ธองคท์ รงนงุ่ และหม่ แลว้  ผา้ นน้ั   สวยงามยิ่งนัก ปรากฏประดุจถ่านเพลิงท่ีปราศจากควันและเปลว  พระฉวีของพระพุทธองค์เล่าก็ช่างผุดผ่อง งดงามเกินเปรียบ ท่าน  ไดเ้ หน็ ดังนัน้  จงึ กราบทูลพระพุทธองค์วา่ “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐ ข้าพระองค์สังเกต  เห็นพระฉวีของพระองค์ผุดผ่องย่ิงนัก เกินท่ีจะเปรียบด้วยสิ่งใด  เปลง่ ปลงั่ มรี ศั ม ี พระองคผ์ ปู้ ระเสรฐิ  บดั นพี้ ระองคม์ พี ระชนมายถุ งึ   ๘๐ แลว้ อยใู่ นวยั ชราเตม็ ท ่ี เหมอื นผลไมส้ กุ จนงอม อนงึ่ เลา่  เวลาน ้ี พระองคท์ รงพระประชวรหนัก มอี าการแหง่ ผมู้ โี รคเบยี ดเบยี น แต่  เหตุไฉนผวิ พรรณของพระองคจ์ งึ ผดุ ผ่องยิ่งนกั ?” “อานนท”์  พระศาสดาตรสั ตอบ “เปน็ ธรรมดาของพระพทุ ธเจา้   291 ที่เป็นอย่างน้ี คือคราวจะตรัสรู้คร้ังหนึ่ง และก่อนที่จะนิพพานอีก  ครั้งหนึ่ง ผิวพรรณแห่งตถาคตย่อมปรากฏงดงามประดุจรัศมีแห่ง  สุริยาเม่ือแรกรุ่งอรุณและจวนจะอัสดง ดูก่อนอานนท์ ในยาม  สุดท้ายแห่งราตรีนี้ ตถาคตจะต้องปรินิพพานในระหว่างต้นสาละ  ท้ังคู่ ซึ่งโน้มกิ่งเข้าหากัน มีใบใหญ่หนา มีดอกเป็นช่อช้ัน” ตรัส  ดังนั้นแล้ว จึงเสด็จน�ำพระอานนท์ไปสู่ฝั่งนำ�้ กกุธานทีเสด็จลงสรง  เสวยส�ำราญตามพระพุทธอัธยาศัยแล้ว เสด็จขึ้นจากกกุธานที  ไปประทับ ณ อัมพวัน รับส่ังให้พระจุนทะน้องชายพระสารีบุตร  ปูลาดสังฆาฏิเป็น ๔ ช้ันแล้ว บรรทมด้วยสีหไสยาคือตะแคงขวา  เอาพระหตั ถร์ องรบั พระเศยี ร ซอ้ นพระบาทใหเ้ หลอ่ื มกนั  มพี ระสต ิ สัมปชัญญะ ตง้ั พระทยั วา่ จะลกุ ข้ึนในไม่ชา้

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ขณะนนั้ เอง ความปรวิ ติ กถงึ นายจนุ ทะผถู้ วายสกู รมทั ทวะก ็ เกดิ ขน้ึ  จงึ ตรสั กบั พระอานนทว์ า่  “อานนท ์ เมอ่ื เรานพิ พานแลว้  อาจ  จะมีผู้กล่าวโทษจุนทะ ว่าถวายอาหารท่ีเป็นพิษ จนเป็นเหตุให้เรา  ปรนิ พิ พาน หรอื มฉิ ะนนั้ จนุ ทะอาจจะเกดิ วปิ ฏสิ ารเดอื ดรอ้ นใจไปเอง  ว่าเพราะเสวยสูกรมัททวะอันตนถวายแล้ว พระตถาคตจึงนิพพาน  ดูก่อนอานนท์ บิณฑบาตทานท่ีมีอานิสงส์มาก มีผลไพศาล มีอยู ่ ๒ คราวดว้ ยกนั  คอื  เมอ่ื นางสชุ าดาถวายกอ่ นเราจะตรสั รคู้ รง้ั หนง่ึ   และอกี ครง้ั หนง่ึ ทจ่ี นุ ทะถวายน ี้ ครง้ั แรกเสวยอาหารของสชุ าดาแลว้   ตถาคตกถ็ งึ ซงึ่ กเิ ลสนพิ พาน คอื การดบั กเิ ลส ครงั้ หลงั นเี้ สวยอาหาร  ของจุนทะบุตรช่างทองแล้ว เราก็นิพพานด้วยขันธนิพพาน คือ  292 ดับขันธ์ อันเป็นวิบากท่ียังเหลืออยู่ ถ้าใครจะพึงต�ำหนิจุนทะ เธอ  พึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามน้ี แล้วถ้าจุนทะจะพึงเดือดร้อนใจ เธอก็  พึงกล่าวปลอบให้เขาคลายวิตกกังวลเร่ืองนี้ อาหารของจุนทะเป็น  อาหารม้ือสุดท้ายส�ำหรบั เรา” ครน้ั แลว้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้  มพี ระอานนทเ์ ปน็ ปจั ฉาสมณะ  และมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จข้ามแม่น�้ำหิรัญญวดี ถึง  กรงุ กสุ นิ ารา เสดจ็ เขา้ สสู่ าลวโนทยาน คอื อทุ ยานซง่ึ สะพรบึ พรง่ั ดว้ ย  ต้นสาละ รับสั่งให้พระอานนท์จัดแท่นบรรทมระหว่างต้นสาละ ซึ่ง  มีกง่ิ โนม้ เขา้ หากัน ให้หนั พระเศียรทางทิศอุดร คร้ังนั้น มีบุคคลเป็นอันมากจากทิศต่างๆ เดินทางมาเพื่อ  บชู าพระพทุ ธสรรี ะเปน็ ปจั ฉมิ กาล แผเ่ ปน็ ปรมิ ณฑลกวา้ งออกไปสดุ   สายตา สมเด็จพระมหาสมณะทรงเห็นเหตุน้ีแล้ว จึงตรัสกับพระ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า อานนทเ์ ปน็ เชงิ ปรารภว่า “อานนท ์ พทุ ธบรษิ ทั ทง้ั ส ่ี คอื  ภกิ ษ ุ ภกิ ษณุ  ี อบุ าสก อบุ าสกิ า  ท�ำสักการบูชาเราด้วยเครื่องบูชาสักการะท้ังหลายอันเป็นอามิส  เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น หาช่ือว่าบูชาตถาคตด้วยการบูชา  อันย่ิงไม่ อานนท์เอยผู้ใดปฏิบัติตามธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติ  ธรรมให้เหมาะสม ผู้น้ันแล ชื่อว่าสักการบูชาเราด้วยการบูชาอัน  ยอดเย่ียม” พระอานนท์ทูลว่า “พระองค์ผู้เจริญ เม่ือก่อนนี้ออกพรรษา  แล้ว ภิกษุท้ังหลายต่างพากันเดินทางมาจากทิศานุทิศเพ่ือเฝ้าพระ  องค์ ฟังโอวาทจากพระองค์ บัดน้ีพระองค์จะปรินิพพานเสียแล้ว  ภิกษทุ ัง้ หลายจะพึงไป ณ ทใ่ี ด?” “อานนท ์ สถานทอี่ นั เปน็ เหตใุ หร้ ะลกึ ถงึ เรากม็ อี ย ู่ คอื สถานท ี่ 293 ทเี่ ราประสตู แิ ลว้  คอื ลมุ พนิ วี นั สถาน สถานทท่ี เ่ี ราตง้ั อาณาจกั รแหง่   ธรรมขึ้นเป็นคร้ังแรก คืออิสิปตนมิคทายะ แขวงเมืองพาราณสี  สถานทที่ เี่ ราตรสั รอู้ นตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณ บรรลคุ วามรอู้ นั ประเสรฐิ   ท�ำกิเลสให้สิ้นไป คือโพธิมณฑล ต�ำบลอุรุเวลาเสนานิคม และ สถานที่ท่ีเราจะนิพพาน ณ บัดนี้ คือป่าไม้สาละ ณ นครกุสินารา  อานนทเ์ อย สถานทที่ ง้ั  ๔ แหง่ นเ้ี ปน็ สงั เวชนยี สถาน สาราณยี สถาน  สำ� หรับให้ระลึกถึงเราและเดนิ ตามรอยบาทแห่งเรา” “ขา้ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาค ในพรหมจรรยน์ มี้ สี ภุ าพสตรเี ปน็ อนั   มากเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในฐานะต่างๆ เป็นมารดาบ้าง เป็นพี่หญิง  นอ้ งหญงิ บา้ ง เปน็ เครอื ญาตบิ า้ ง และเปน็ ผเู้ ลอ่ื มใสในพระรตั นตรยั  

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ บา้ ง ภกิ ษุจะพึงปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร?” “อานนท ์ การทภี่ กิ ษจุ ะไมด่ ไู มแ่ ลสตรเี พศเสยี เลยนนั้ เปน็ การ ดี” “ถา้ จ�ำเป็นต้องดตู อ้ งเหน็ เล่าพระเจา้ ขา้ ” พระอานนท์ทูลซัก “ถา้ จำ� เปน็ ตอ้ งดตู อ้ งเหน็  กอ็ ยา่ พดู ดว้ ย อยา่ สนทนาดว้ ย นนั้   เปน็ การดี” พระศาสดาตรสั ตอบ “ถา้ จำ� เปน็ ตอ้ งสนทนาดว้ ยเลา่   พระเจา้ ขา้  จะปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร?” “ถ้าจ�ำเป็นต้องสนทนาด้วยเล่า ก็จงมีสติไว้ควบคุมสติให้ดี  สำ� รวมอนิ ทรยี แ์ ละกายวาจาใหเ้ รยี บรอ้ ย อยา่ ใหค้ วามกำ� หนดั ยนิ ดี  หรอื ความหลงใหลครอบงำ� จติ ใจได ้ อานนท ์ เรากลา่ ววา่ สตรที บี่ รุ ษุ   294 เอาใจเข้าไปเกาะเก่ียวนั้น เปน็ มลทนิ ของพรหมจรรย”์ “แลว้ สตรที บี่ รุ ษุ มไิ ดเ้ อาใจเขา้ ไปเกยี่ วเกาะเลา่  พระเจา้ ขา้  จะ  เป็นมลทินของพรหมจรรย์หรอื ไม่?” “ไม่เป็นซิ อานนท์ เธอระลึกได้อยู่หรือ เราเคยพูดไว้ว่า  อารมณ์อันวิจิตร ส่ิงสวยงามในโลกนี้มิใช่กาม แต่ความก�ำหนัดท ี่ เกิดข้ึนเพราะความด�ำริต่างหากเล่าเป็นกามของคน เม่ือกระชาก  ความพอใจออกเสียได้แล้ว สิ่งวิจิตรและรูปท่ีสวยงามก็คงอยู่อย่าง  เกอ้ ๆ ทำ� พษิ อะไรมไิ ดอ้ ีกตอ่ ไป” พระผู้มพี ระภาคบรรทมสงบนิ่ง พระอานนทก์ พ็ ลอยน่งิ ตาม  ไปด้วย ดูเหมือนท่านจะตรึกตรองทบทวนพระพุทธวจนะท่ีตรัสจบ  ลงสักคร่นู ้ี จริงทีเดียว การไม่ยอมดูไม่ยอมแลสตรีเสียเลยน้ันเป็นการ  ดีมาก แต่ใครเล่าจะท�ำได้อย่างน้ัน ผู้ใดมีใจไม่หวั่นไหวด้วยความ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า เบง่ บานของดอกไมง้ าม ดนตร ี และอาการเยอื้ งกายแหง่ สตรสี าว ผ ู้ นน้ั ถา้ มใิ ชน่ กั พรตกเ็ ปน็ สตั วด์ ริ จั ฉาน แตด่ เู หมอื นผเู้ ปน็ นกั พรตทงั้   กายและใจนนั้ มนี อ้ ยเหลอื เกนิ  เมอ่ื มเี รอ่ื งจำ� เปน็ ตอ้ งดตู อ้ งแล เรอื่ ง  ตดิ ตอ่ เกย่ี วขอ้ งจงึ เกดิ ขนึ้  การตดิ ตอ่ เกยี่ วขอ้ งและคลกุ คลดี ว้ ยสตร ี เพศนั้น ใครเล่าจะหักห้ามใจมิให้หวั่นไหวไปตามความอ่อนช้อย  นม่ิ นวล และออ่ นหวานของเธอ มคี ำ� กลา่ วไวม้ ใิ ชห่ รอื วา่  “ความงาม  นั้นเป็นอ�ำนาจที่คุกคามจิตใจของปุถุชนให้แพ้ราบ และการย้ิมน้ัน  คือคมดาบของเธอ เมื่อใดพบความงาม ถ้าความงามนั้นยังไม่ย้ิม  ก็ยังมีทางจะรอดพ้นไปได้ แต่เม่ือความงามน้ันย้ิมออกมา ย่อม  หมายถึงเธอส่งคมดาบออกมาแล้ว” และยังมีค�ำกล่าวอีกว่า “เม่ือ  สตรงี ามยมิ้ ยอ่ งหมายถงึ ถงุ เงนิ ของผชู้ ายรอ้ งไห”้  ทำ� ไมนะสตั วโ์ ลก  295 จึงหลงใหลในรูป เสียง กลิ่น รส เสียจริงๆ สตรีที่พราวเสน่ห์แต่ไร้  มโนธรรม จิตใจสกปรก จึงเป็นเพชฌฆาตมือนุ่มซึ่งมีรอยยิ้มและ  กริ ยิ าทยี่ ยี วนเปน็ คมดาบ มนี ำ�้ ตาเปน็ หลมุ พรางสำ� หรบั ใหช้ ายตกลง  ไปในหลมุ น�้ำตาน้นั บางทีเธอจะมีความสุขร่าเริงเหมือนนกน้อย ในขณะท่ีหัวใจ  ของชายทเี่ ธอเคยปอง รา้ วสลายลงดว้ ยความผดิ หวงั  บางทเี ธอจะทำ�   เปน็ โกรธชายทเ่ี ธอแสนจะหลงรกั  เพยี งเพอ่ื พรางสายตาของคนอน่ื   บางทเี ธอจะยม้ิ อยา่ งออ่ นหวาน ในขณะทใี่ นความรสู้ กึ ของเธอแสน  จะเคยี ดแคน้ และชงิ ชงั เขา และบางทเี ธอจะรอ้ งไหน้ ำ้� ตาอาบแกม้  ใน  ขณะทใ่ี จของเธออมิ่ เอบิ ไปดว้ ยปตี ปิ ราโมช อา จะเอาอะไรเลา่ มาวดั   ความลกึ แหง่ หวั ใจของสตร ี พระศาสดาตรสั ไวม้ ใิ ชห่ รอื  อาการของ  สตรนี ้ันรู้ยาก เขา้ ใจยาก เหมอื นการไปของปลาในนำ�้

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ปราชญผ์ ทู้ รงวทิ ยาคณุ กวา้ งขวางลกึ ซงึ้  สามารถหยงั่ รดู้ นิ ฟา้   มหาสมุทร เหมือนมองเศษกระดาษบนฝ่ามือ แต่ปราชญ์เช่นน้ัน  จะกล้าอวดอ้างได้ละหรือ ว่าตนสามารถหย่ังรู้ความลึกล�้ำในหัวใจ  ของสตรี อยา่ มวั กลา่ วอะไรใหม้ ากเลย ธรรมชาตขิ องเธอเปน็ อยา่ งนน้ั   เอง มหาสมทุ รเตม็ ไปดว้ ยภยั อนั ตราย แตม่ หาสมทุ รกม็ คี ณุ แกโ่ ลก  อยู่มิใช่น้อย การค้นหาความจริงตามธรรมชาติของสิ่งน้ันๆ แล้ว  ปฏิบตั ิใหถ้ กู ต้องต่างหากเล่า เป็นทางดำ� เนนิ ของผมู้ ปี ญั ญา ความเงยี บสงดั ปกคลมุ อยคู่ รหู่ นึ่ง แล้วพระอานนท์ก็ทูลวา่ “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เม่ือพระองค์ปรินิพพานแล้ว จะ  296 ปฏบิ ตั ิเก่ียวกบั พระพทุ ธสรรี ะอย่างไร?” “อย่าเลย อานนท์” พระศาสดาทรงห้าม “เธออย่ากังวลกับ  เรื่องนี้เลย หน้าที่ของพวกเธอ คือคุ้มครองตนด้วยดี จงพยายาม  ท�ำความเพียรเผาบาปให้เร่าร้อนอยู่ทุกอิริยาบถเถิด ส�ำหรับเร่ือง  สรรี ะของเราเปน็ หนา้ ทขี่ องคฤหสั ถท์ จี่ ะพงึ ทำ� กนั  กษตั รยิ  ์ พราหมณ์  และคหบดีเป็นจ�ำนวนมาก ท่ีเลื่อมใสตถาคตก็มีอยู่ไม่น้อย เขาคง  ท�ำกันเองเรียบรอ้ ย” “พระเจา้ ขา้ ” พระอานนทท์ ูล “เรื่องนี้เป็นหน้าท่ขี องคฤหสั ถ์  กจ็ รงิ อย ู่ แตถ่ า้ เขาถามขา้ พระองค ์ ขา้ พระองคจ์ ะพงึ บอกอยา่ งไร?” “อานนท ์ ชนทง้ั หลายเมอื่ จะปฏบิ ตั ติ อ่ พระสรรี ะแหง่ พระเจา้   จักรพรรดิอยา่ งไร ก็พึงปฏิบัติต่อสรรี ะแห่งตถาคตอย่างนน้ั เถดิ ” “ทำ� อย่างไรเล่า พระเจา้ ขา้ ?” “อานนท์ คืออย่างน้ี เขาจะพันสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยล�ำสี แล้วพันด้วยผ้าใหม่อีก ท�ำอย่างนี้ถึง  ๕๐๐ คูห่ รอื  ๕๐๐ ช้ัน แลว้ นำ� วางในรางเหลก็ ซึ่งเตม็ ไปดว้ ยน�้ำมัน  แล้วปิดครอบด้วยรางเหล็กเป็นฝา แล้วท�ำจิตกาธานด้วยไม้หอม  นานาชนิด แล้วถวายพระเพลิง เสร็จแล้วเชิญพระอัฐิธาตุแห่ง  พระเจ้าจักรพรรดิน้ันไปบรรจุสถูป ซึ่งสร้างไว้ ณ ทางสี่แพร่ง ใน  สรีระแหง่ ตถาคตกพ็ ึงทำ� เช่นเดียวกัน ท้ังนี้เพอื่ ผู้เล่ือมใสจักได้บูชา  และเปน็ ประโยชน์สุขแก่เขาตลอดกาลนาน” และแล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงถูปารหบุคคล คือบุคคลผู้  ควรบรรจอุ ฐั ธิ าตไุ วใ้ นพระสถปู  เพอื่ เปน็ ทส่ี กั การะบชู าของมหาชน  ไว้ ๔ จ�ำพวก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระ  อรหนั ตสาวก และพระเจ้าจักรพรรดิ ตรสั แลว้ บรรทมนง่ิ อย ู่ พระอานนทถ์ อยออกจากทเี่ ฝา้  เพราะ  297 ความเศรา้ สลดสดุ ทจี่ ะอดกลนั้ ได ้ ทา่ นไปยนื อยทู่ ปี่ ระตวู หิ าร มอื จบั   ล่ิมสลักน่ิงอยู่ น้�ำตาไหลพรากจนอาบแก้ม แล้วเสียงสะอื้นเบาๆ  ก็ตามมา บัดน้ีท่านมีอายุอยู่ในวัยชรานับได้ ๘๐ แล้ว เท่ากับพระ  ชนมายุของพระผู้มีพระภาค อุปสมบทมานานถึง ๔๔ พรรษา ได้  ยินได้ฟังพระธรรมและอบรมจิตใจอยู่เสมอ ได้บรรลุคุณธรรม  ข้ันต้นเป็นโสดาบันบุคคล ผู้มีองค์ประกอบดังกล่าวน้ี ถ้าไม่มีเร่ือง  กระเทอื นใจอยา่ งแรง คงจะไมเ่ ศร้าโศกปริเทวนาการถึงขนาดนี้ ทา่ นสะอกึ สะอน้ื จนสน่ั เทมิ้ ไปทงั้ องค์ บางคราวจะมองเหน็ ผา้   สเี หลอื งหมน่ ทค่ี ลมุ กายสนั่ นอ้ ยๆ ตามแรงสน่ั แหง่ รปู กาย แนน่ อน  ทา่ นรสู้ กึ สะเทอื นใจและวา้ เหวอ่ ยา่ งยงิ่  เปน็ เวลานานเหลอื เกนิ ทที่ า่ น  และพระศาสดาได้ท�ำประโยชน์และเอ้ือเฟื้อต่อกัน การจากไปของ 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระผมู้ พี ระภาค จงึ เปน็ เสมอื นกระชากดวงใจของทา่ นใหห้ ลดุ ลอย “โอ พระองค์ผู้เป็นท่ีพึ่งของโลกและของข้าพระองค์” เสียง  ครวญเคล้าออกมากับเสียงสะอื้น “ตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าพระพุทธเจ้า  จักไม่ได้เห็นพระองค์อีกแล้ว พระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณาดุจห้วง  มหรรณพมาด่วนจากข้าพระองค์ ท้ังๆ ท่ีข้าพระองค์ยังมีอาสวะอยู ่ เหมือนพี่เลี้ยงสอนให้เด็กเดิน เม่ือเด็กน้อยพอจะหัดก้าวเท่านั้น พ ่ี เล้ียงก็มีอันพลัดพรากจากไป ข้าพระองค์เหมือนเด็กน้อยผู้น้ัน”  พระอานนทค์ ร่�ำครวญอยา่ งนา่ สงสาร เมอ่ื พระอานนทห์ ายไปนานผดิ ปรกต ิ พระศาสดาจงึ ตรสั ถาม  วา่ 298 “ภกิ ษทุ ้งั หลาย อานนทห์ ายไปไหน?” “ไปยนื รอ้ งไหอ้ ยทู่ ป่ี ระตวู หิ าร พระเจา้ ขา้ ” ภกิ ษทุ งั้ หลายทลู “ไปตามอานนท์มาน่เี ถิด” พระศาสดาตรสั พระอานนท์เข้าสู่ท่ีเฝ้าด้วยใบหน้าท่ียังชุ่มด้วยน้�ำตา พระ  ศาสดาตรสั ปลอบใจวา่  “อานนท ์ อยา่ ครำ่� ครวญนกั เลย เราเคยบอก  ไวแ้ ลว้ มใิ ชห่ รอื วา่  บคุ คลยอ่ มตอ้ งพลดั พรากจากสง่ิ ทรี่ กั ทพ่ี อใจเปน็   ธรรมดา ในโลกนแี้ ละในโลกไหนๆ กต็ าม ไมม่ อี ะไรยงั่ ยนื ถาวรเลย  สิ่งทม่ี ีการเกดิ ยอ่ มมกี ารดบั ในที่สุด ไมม่ ีอะไรยบั ยัง้ ตา้ นทาน” “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ ปน็ ประดจุ ดวงตะวนั ” พระอานนทท์ ลู ดว้ ย  เสยี งสะอน้ื นอ้ ยๆ “ขา้ พระองคม์ ารำ� พงึ วา่  ตลอดเวลาทพี่ ระองคท์ รง  พระชนม์อยู่ ข้าพระองค์เท่ียวติดตามประดุจฉายา ต่อไปนี้ข้าพระ  องค์จะพึงติดตามผู้ใดเล่า จะพึงต้ังน�้ำใช้น้�ำเสวยเพ่ือผู้ใด จะพึงปัด  กวาดเสนาสนะท่ีหลับที่นอนเพ่ือผู้ใด อน่ึง เวลาน้ีข้าพระองค์ยังมี 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า อาสวะอยู่ พระองค์มาด่วนปรินิพพาน ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งของข้า  พระองคเ์ พอื่ ทำ� ทสี่ ดุ แหง่ ทกุ ข ์ กำ� จดั กเิ ลสใหห้ มดสนิ้  ขา้ พระองคค์ ง  อยู่อย่างว้าเหว่และเดียวดาย เมื่อค�ำนึงอย่างนี้แล้วก็สุดจะหักห้าม  ความโศกกำ� สรดได”้ “อานนท์ เธอเป็นผู้มีบารมีธรรมท่ีได้ส่ังสมมาแล้วมาก เธอ  เป็นผู้มีบุญท่ีได้ท�ำไว้แล้วมาก อย่าเสียใจเลย กิจอันใดท่ีควรท�ำ  แก่ตถาคต เธอได้ท�ำกิจน้ันสมบูรณ์ด้วยกายกรรม วจีกรรม และ  มโนกรรม อนั ประกอบดว้ ยเมตตาอยา่ งยอดเยย่ี ม จงประกอบความ  เพียรเถิด เม่ือเราล่วงลับไปแล้ว เธอจะต้องส�ำเร็จอรหัตตผลเป็น  พระอรหันต์ในไม่ช้า” ตรัสดังน้ีแล้ว จึงเรียกภิกษุท้ังหลายเข้ามาสู ่ ท่ีใกล ้ แลว้ ทรงสรรเสรญิ พระอานนท์โดยอเนกปรยิ ายเป็นต้นว่า 299 “ภกิ ษทุ งั้ หลาย อานนทเ์ ปน็ บณั ฑติ  เปน็ ผรู้ อบรแู้ ละอปุ ฏั ฐาก  เราอย่างยอดเยี่ยม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้ังในอดีตและ  อนาคตซง่ึ มภี กิ ษผุ อู้ ปุ ฏั ฐากนนั้ ๆ กไ็ มด่ เี กนิ ไปกวา่ อานนท์ อานนท์  เป็นผู้ด�ำเนินกิจด้วยปัญญา รู้กาลที่ควรไม่ควร รู้กาลท่ีเหมาะสม  สำ� หรบั ผทู้ ม่ี าเฝา้ เรา กาลนส้ี ำ� หรบั กษตั รยิ  ์ กาลนสี้ ำ� หรบั ราชามหา  อำ� มาตย ์ กาลนสี้ ำ� หรบั คนทวั่ ไป ควรไดร้ บั การยกยอ่ งนานาประการ  มีคุณธรรมน่าอัศจรรย์ ผู้ท่ียังไม่เคยเห็น ไม่เคยสนทนา ก็อยาก  เห็นอยากสนทนาด้วย อยากฟังธรรมของอานนท์ เม่ือฟังก็มีจิตใจ  เพลดิ เพลนิ ยนิ ดใี นธรรมทอ่ี านนทแ์ สดง ไมอ่ ม่ิ ไมเ่ บอื่ ดว้ ยธรรมวาร-ี   รส ภิกษทุ ั้งหลาย อานนท ์ เป็นบุคคลทห่ี าได้ยากผหู้ นง่ึ ” พระอานนทผ์ มู้ คี วามหว่ งใยในพระศาสดาไมม่ ที สี่ นิ้ สดุ  กราบ  ทูลด้วยน้�ำเสียงทีย่ งั เศร้าอยู่ว่า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook