Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระอานนท์พุทธอนุชา

พระอานนท์พุทธอนุชา

Published by 200bookchonlibrary, 2021-03-15 08:38:13

Description: PraRnon

Search

Read the Text Version

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “พระองคผ์ เู้ จรญิ  พระองคเ์ ปน็ ประดจุ พระเจา้ จกั รพรรดใิ นทาง  ธรรม ทรงสถาปนาอาณาจักรแห่งธรรมข้ึน ทรงเป็นธรรมราชา  สูงย่ิงกว่าราชาใดๆ ในพื้นพิภพน้ี ข้าพระองค์เห็นว่าไม่สมควรแก ่ พระองค์เลยที่จะปรินิพพานในเมืองกุสินาราอันเป็นเมืองเล็กเมือง  นอ้ ย ขอพระองคไ์ ปปรนิ พิ พานในเมอื งใหญๆ่  เชน่  ราชคฤห ์ สาวตั ถ ี จำ� ปา สาเกต โกสมั พ ี พาราณส ี เปน็ ตน้ เถดิ  พระเจา้ ขา้  ในมหานคร  เหล่านั้น กษัตริย์ พราหมณ์ เศรษฐี คหบดี และทวยนาครทุกชั้น  ท่ีเลื่อมใสพระองค์ก็มีอยู่มาก จักได้ท�ำมหาสักการะแด่สรีระแห่ง  พระองคเ์ ปน็ มโหฬาร ควรแกค่ วามเปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ซงึ่ เปน็   อุดมบรุ ุษรัตน์ในโลก” 300 “อานนท ์ เธออยา่ กลา่ วอยา่ งนน้ั เลย ชวี ติ ของตถาคตเปน็ ชวี ติ   แบบอยา่ ง ตถาคตนพิ พานไปแตเ่ พยี งรปู เทา่ นน้ั  แตเ่ กยี รตคิ ณุ ของ  เราคงอยู่ต่อไป เราต้องการให้ชีวิตนี้งามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง  และทส่ี ดุ  อานนทเ์ อย ตถาคตอบุ ตั แิ ลว้ เพอ่ื ประโยชนส์ ขุ แหง่ มหาชน  เม่ืออุบัติมาอยู่โลกนี้ เราเกิดแล้วในป่านามว่าลุมพินี เม่ือตรัสรู ้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็ได้บรรลุแล้วในป่าต�ำบลอุรุเวลา-  เสนานคิ ม แขวงเมอื งราชคฤหม์ หานคร เมอื่ ตง้ั อาณาจกั รแหง่ ธรรม  ขน้ึ เปน็ ครงั้ แรก ไดส้ าวกเพยี ง ๕ คน เรากต็ งั้ ลงแลว้  ณ ปา่ อสิ ปิ ตน-  มคิ ทายะ เขตเมอื งพาราณส ี ครง้ั นเ้ี ปน็ ครงั้ สดุ ทา้ ยแหง่ เรา เรากค็ วร  นิพพานในป่าเช่นเดียวกนั อนึ่ง กุสินารานี้ แม้บัดนี้จะเป็นเมืองน้อย แต่ในโบราณกาล  กุสินาราเคยเป็นเมืองใหญ่มาแล้ว เคยเป็นที่ประทับของพระเจ้า  จกั รพรรดนิ ามวา่ มหาสทุ สั สนะ นครนเ้ี คยชอื่ กสุ าวด ี เปน็ ราชธานที  ี่

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า สมบรู ณ ์ มง่ั คง่ั  มคี นมาก มมี นษุ ยน์ กิ รเกลอื่ นกลน่  พรงั่ พรอ้ มดว้ ย  ธญั ญาหาร มรี มณยี สถานทบี่ ันเทิงจิต ประดจุ ดังราชธานีแหง่ ทิพย  นคร กุสาวดีราชธานีน้ัน กึกก้องนฤนาททั้งกลางวันและกลางคืน  ด้วยเสียง ๑๐ ประการ คือเสียงคชสาร เสียงภาชี เสียงเภรีและ  รถ เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงกังสดาล เสียงสังข ์ รวมทั้งส�ำเนียงประชาชน เรียกกันบริโภคอาหารด้วยความสำ� ราญ  เบิกบานจติ พระเจา้ มหาสทุ สั สนะองคจ์ กั รพรรดเิ ลา่  กท็ รงเปน็ อสิ ราธบิ ดี  ในปฐพีมณฑล ทรงช�ำนะปัจจามิตรโดยธรรม ไม่ต้องใช้ทัณฑ์และ  ศัสตรา ชนบทสงบราบคาบปราศจากโจรผู้ร้าย มารดายังบุตรให ้ ฟ้อนอยู่บนอกด้วยความเพลิดเพลิน ประตูบ้านปราศจากลิ่มสลัก  301 เปน็ นครทรี่ นื่ รมยร์ ม่ เยน็  สมเปน็ ราชธานแี หง่ พระเจา้ จกั รพรรดริ าช  อย่างแทจ้ รงิ อีกอย่างหนึ่ง อานนท์เอย เม่ือมองมาทางธรรมเพื่อให้เกิด  สังเวชสลดจิต ก็พอคิดได้ว่า ส่ิงท้ังหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มุ่งไป  สู่จุดสลายตัว อานนท์จงดูเถิด พระเจ้าจักรพรรดิมหาสุทัสสนะก็  ส้ินพระชนม์ไปแล้ว เมืองกุสาวดีก็เปลี่ยนมาเป็นกุสินาราแล้ว  ประชาชนชาวกุสาวดีก็ตายกันไปหมดแล้ว น่ีแล ไม่มีอะไรเท่ียง  ไมม่ อี ะไรยั่งยืน ตถาคตเองก็จะนิพพานในไม่ช้าน้ี” แล้วพระศาสดาก็รับสั่งให้พระอานนท์ไปแจ้งข่าวปรินิพพาน  แกม่ ลั ลกษตั รยิ  ์ วา่ พระตถาคตเจา้ จกั ปรนิ พิ พานในยามสดุ ทา้ ยแหง่   ราตรี เมื่อมัลลกษัตริย์ผู้ครองนครกุสินาราสดับข่าวนี้ ต่างก็ทรง  ก�ำสรดโศกาดูร ทุกข์โทมนัสทับทวี สยายพระเกศา ยกพระพาหา 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ท้ังสองขึ้นแล้วคร่�ำครวญล้มกลิ้งเกลือก ประหน่ึงบุคคลที่เท้าขาด  ร�่ำไรร�ำพันถึงพระโลกนาถว่า “พระโลกนาถด่วนปรินิพพานนัก  ดวงตาของโลกดบั ลงแล้ว ประดจุ สุรยิ าซึ่งใหแ้ สงสวา่ งดับวบู ลง” ด้วยอาการโศกาดูรดั่งนี้ มัลลกษัตริย์ตามพระอานนท์ไป  เฝ้าพระศาสดา ณ สาลวโนทยาน พระอานนท์จัดให้เข้าเฝ้าเป็น  ตระกูลๆ ไป แล้วกลับสู่สัณฐาคาร คืนนั้นมัลลกษัตริย์ประชุมกัน  อยู่จนสวา่ ง มิได้บรรทมเลย 302

๒๕ ปั จ ฉิ ม ส า ว ก อ ร หั น ต์ แ ล ะ พ ว ง ด อ ก ไ ม้ ม า ร 303 ยา่ งเขา้ ยามท ี่ ๒ แหง่ ราตร ี ลมเยน็ พดั ผา่ นมาเปน็ ครง้ั คราวรอบๆ  อุทยานสาลวันเปียกชุ่มไปด้วยอัสสุชลธาราแห่งมหาชนผู้เศร้า  สลดสุดประมาณ เขาหลั่งน�้ำตาออกมาด้วยความรักและรันทดใจ  พระจันทร์วันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ โผล่ข้ึนเหนือทิวไม้ทางทิศ  ตะวนั ออกแลว้  โตเตม็ ดวงสาดแสงสนี วลใยลงสอู่ ทุ ยานสาลวนั  พรม  ไปทวั่ บรเิ วณมณฑล ตอ้ งใบสาละ ซงึ่ ไหวนอ้ ยๆ ดงู ามตา แตบ่ รรยา-  กาศในยามนส้ี ลดเกินไปท่ีใครๆ จะสนใจกบั ความงามแห่งแสงโสม  ท่สี าดสอ่ ง เหมือนจงใจจะบชู าพระสรรี ะแห่งจอมศาสดาน้นั เงยี บสงบ วงั เวง จะไดย้ นิ อยบู่ า้ ง กค็ อื เสยี งสะอกึ สะอน้ื  และ  ทอดถอนใจของคนบางคนที่เพิ่งมาถงึ ทา่ มกลางบรรยากาศดงั กลา่ วน ้ี นกั บวชเพศปรพิ พาชกหนมุ่   คนหน่ึงขออนุญาตผ่านฝูงชนเข้ามา เม่ือเข้ามาใกล้ เขาบอกว่าขอ 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เฝ้าพระศาสดา พระอานนท์ได้สดับเสียงนั้นจึงออกมารับ และ  ขอร้องวิงวอนวา่ อยา่ รบกวนพระผู้มพี ระภาคเจา้ เลย “ขา้ แตท่ า่ นอานนท”์  ปรพิ พาชกผนู้ น้ั กลา่ ว “ขา้ พเจา้ ขออนญุ าต  เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพ่ือทูลถามข้อข้องใจบางประการ ขอ  ทา่ นไดโ้ ปรดอนุญาตเถดิ  ขา้ พเจา้ สภุ ทั ทปรพิ พาชก” “อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่ารบกวนพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย  พระองค์ทรงลำ� บากพระวรกายมากอยู่แล้ว พระองค์ประชวรหนัก  จะปรนิ ิพพานในยามสุดท้ายแห่งราตรีนี้แนน่ อน” “ทา่ นอานนท”์  สภุ ทั ทะเวา้ วอนตอ่ ไป “โอกาสของขา้ พเจา้ เหลอื   เลก็ นอ้ ย ขอทา่ นอาศยั ความเอน็ ด ู โปรดอนญุ าตใหข้ า้ พเจา้ เฝา้ พระ  304 ศาสดาเถิด” พระอานนทค์ งทดั ทานอยา่ งเดมิ  และสภุ ทั ทะกอ็ อ้ นวอนครง้ั   แลว้ ครั้งเล่า ไมย่ อมยอ่ ท้อ จนกระทัง่ ได้ยนิ ถึงพระศาสดา เรอื่ งกเ็ ปน็ ไปอยา่ งทเี่ คยเปน็ มา พระศาสดามพี ระมหากรณุ า  อันไม่มีท่ีส้ินสุด รับสั่งกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ ให้สุภัททะเข้า  มาหาเราเถดิ ” เพยี งเทา่ นส้ี ภุ ทั ทปรพิ พาชกกไ็ ดเ้ ขา้ เฝา้ สมประสงค ์ เขากราบ  ลงใกล้เตียงบรรทมแล้วทูลว่า “ข้าแต่พระจอมมุนี ข้าพระองค์นาม  วา่ สภุ ทั ทะ ถอื เพศเปน็ ปรพิ พาชกมาไมน่ าน ไดย้ นิ กติ ตศิ พั ทเ์ ลา่ ลอื   เกียรติคุณแห่งพระองค์ แต่ก็หาได้เคยเข้าเฝ้าไม่ บัดนี้พระองค์จะ  ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานแลว้  ขา้ พระองคข์ อประทานโอกาสซง่ึ มอี ยนู่ อ้ ยน ้ี ทลู ถามขอ้ ขอ้ งใจบางประการ เพื่อจะได้ไมเ่ สียใจภายหลงั ” “ถามเถดิ  สุภัททะ” พระศาสดาตรัส

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า “พระองคผ์ เู้ จรญิ  คณาจารยท์ ง้ั หก คอื  ปรู ณะ กสั สปะ มกั ขลิ  โคศาล อชติ ะ เกสกมั พล ปกธุ  กจั จายนะ สญั ชยั  เวลฏั ฐบตุ ร และ  นคิ รนถ ์ นาฏบตุ ร เปน็ ศาสดาเจา้ ลทั ธทิ ม่ี คี นนบั ถอื มาก เคารพบชู า  มาก ศาสดาเหลา่ นยี้ งั จะเปน็ พระอรหนั ตห์ มดกเิ ลสหรอื ประการใด” “เรอ่ื งนหี้ รอื  สภุ ทั ทะ ทเี่ ธอดนิ้ รนขวนขวายพยายามมาหาเรา  ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด” พระศาสดาตรัสทั้งๆ ที่ยังหลับ  พระเนตรอยู่ “เร่ืองนีเ้ อง พระเจ้าขา้ ” สุภทั ทะทูลรบั พระอานนท์รู้สึกกระวนกระวายทันที เพราะเรื่องท่ีสุภัททะ  มารบกวนพระศาสดานั้นเป็นเร่ืองที่ไร้สาระเหลือเกิน ขณะท่ีพระ  อานนทจ์ ะเชญิ สภุ ทั ทะออกจากทเ่ี ฝา้ นน้ั เอง พระศาสดากต็ รสั ขน้ึ วา่ 305 “อยา่ สนใจกบั เรอื่ งนนั้ เลย สภุ ทั ทะ เวลาของเราและของเธอ  ยงั เหลอื น้อยเต็มทแี ล้ว จงถามส่ิงทีเ่ ป็นประโยชน์แก่เธอเองเถดิ ” “ข้าแต่ท่านสมณะ ถ้าอย่างนั้นข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหา  ๓ ขอ้  คอื รอยเทา้ ในอากาศมอี ยหู่ รอื ไม ่ สมณะภายนอกศาสนาของ  พระองคม์ ีอยหู่ รอื ไม่ สังขารทีเ่ ทย่ี งมอี ยูห่ รอื ไม?่ ” “สุภัททะ รอยเท้าในอากาศน้ันไม่มี ศาสนาใดไม่มีมรรคมี  องค์ ๘ สมณะผู้สงบถึงที่สุดก็ไม่มีในศาสนาน้ัน สังขารที่เที่ยงน้ัน  ไมม่ เี ลย สภุ ัททะ ปัญหาของเธอมีเทา่ น้ีหรอื ?” “มเี ทา่ น ้ี พระเจ้าข้า” สภุ ทั ทะทูลแล้วน่ิงอยู่ พระพุทธองค์ผู้ทรงอนาวรณญาณทรงทราบอุปนิสัยของ  สุภัททะแล้วจึงตรัสต่อไปว่า “สุภัททะ ถ้าอย่างนั้นจงตั้งใจฟังเถิด  เราจะแสดงธรรมใหฟ้ งั แตโ่ ดยยอ่  ดกู อ่ นสภุ ทั ทะ อรยิ มรรคประกอบ 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ดว้ ยองค์ ๘ เปน็ ทางประเสรฐิ  สามารถใหบ้ คุ คลผเู้ ดนิ ไปตามทางน้ี  ถงึ ซงึ่ ความสขุ สงบเยน็ เตม็ ที่ เปน็ ทางเดนิ ไปสอู่ มตะ ดกู อ่ นสภุ ทั ทะ  ถ้าภิกษุหรือใครๆ  ก็ตาม พึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติด�ำเนินตามมรรค  อนั ประเสรฐิ  ประกอบดว้ ยองค์ ๘ นอี้ ย ู่ โลกกจ็ ะไมพ่ งึ วา่ งจากพระ  อรหนั ต์” สุภัททะฟังพระพุทธด�ำรัสนี้แล้วเล่ือมใส ทูลขอบรรพชา  อุปสมบท พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ที่เคยเป็นนักบวชในศาสนาอื่น  มากอ่ น ถา้ ประสงคจ์ ะบวชในศาสนาของพระองค์ จะตอ้ งอยตู่ ติ ถยิ -  ปริวาส คือบ�ำเพ็ญตนท�ำความดี จนภิกษุทั้งหลายไว้ใจเป็นเวลา ๔  เดอื นกอ่ น แลว้ จงึ จะบรรพชาอปุ สมบทได้ นเ้ี ปน็ ประเพณที พ่ี ระองค ์ 306 ทรงตั้งไว้เป็นเวลานานมาแล้ว สุภัททะทูลว่า เขาพอใจอยู่บ�ำรุง  ปฏิบตั ิภิกษุทั้งหลายสกั  ๔ ปี พระศาสดาทรงเห็นความต้ังใจจริงของสุภัททะ ดังนั้น จึง  รับส่ังให้พระอานนท์น�ำสุภัททะไปบรรพชาอุปสมบท พระอานนท ์ รับพุทธบัญชาแล้วน�ำสุภัททะไป ณ ท่ีส่วนหนึ่ง ปลงผมและหนวด  แลว้ บอกกรรมฐานใหต้ งั้ อยใู่ นสรณคมนแ์ ละศลี  บรรพชาสำ� เรจ็ เปน็   สามเณรแลว้ นำ� มาเฝา้ พระศาสดาพระผทู้ รงมหากรณุ าใหอ้ ปุ สมบท  แกส่ ภุ ทั ทะเปน็ ภกิ ษโุ ดยสมบรู ณแ์ ลว้ ตรสั บอกกรรมฐานอกี ครง้ั หนง่ึ สุภัททะภิกษุใหม่ต้ังใจอย่างแน่วแน่ว่า จะพยายามให้บรรล ุ พระอรหตั ตผลในคนื น ้ี กอ่ นทพี่ ระศาสดาจะนพิ พาน จงึ ออกไปเดนิ   จงกรมอย่ใู นทสี่ งดั แหง่ หน่ึง ในบริเวณอุทยานสาลวนั น้ัน จงกรมน้ันคือเดินกลับไปกลับมา พร้อมด้วยพิจารณาข้อ  ธรรมน�ำมาท�ำลายกิเลสให้หลุดร่วง บัดน้ีร่างกายของสุภัททภิกษ ุ

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า 307

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ หอ่ หมุ้ ดว้ ยผา้ กาสาวพสั ตร ์ เมอื่ ตอ้ งแสงจนั ทรใ์ นราตรนี นั้ ดผู วิ พรรณ  ของทา่ นเปลง่ ปลง่ั งามอ�ำไพ มชั ฌมิ ยามแหง่ ราตรจี วนจะสนิ้ อยแู่ ลว้   ดวงรชั นกี ลมโตเคลอื่ นยา้ ยไปอยทู่ างทอ้ งฟา้ ดา้ นตะวนั ตกแลว้  สภุ ทั ท-  ภกิ ษตุ งั้ ใจอยา่ งแนว่ แนว่ า่  จะบำ� เพญ็ เพยี รคนื นตี้ ลอดราตรเี พอ่ื บชู า  พระศาสดาผจู้ ะนพิ พานในปลายปจั ฉมิ ยาม ดงั นนั้  แมจ้ ะเหนด็ เหนอื่ ย  อยา่ งไรกไ็ ม่ย่อทอ้ แสงจันทร์นวลผ่องสุกสกาวเมื่อครู่น้ีดูจะอับรัศมีลง สุภัทท-  ภิกษุแหงนขึ้นดูท้องฟ้า เมฆก้อนใหญ่ก�ำลังเคลื่อนเข้าบดบังแสง  จันทร์จนมิดดวงไปแล้ว แต่ไม่นานนัก เมฆก้อนน้ันก็เคล่ือนคล้อย  ไป แสงโสมสาดสอ่ งลงมาสวา่ งนวลดังเดิม 308 ทันใดน้ันดวงปัญญาก็พลุ่งโพลงข้ึนในดวงใจของสุภัททะ  เพราะน�ำดวงใจไปเทียบด้วยดวงจนั ทร์ “อา” ท่านอุทานเบาๆ “จิตน้ีเป็นธรรมชาติที่ผ่องใส มีรัศม ี เหมือนจันทร์เจ้า แต่อาศัยกิเลสท่ีจรมาเป็นคร้ังคราว จิตนี้จึงเศร้า  หมอง เหมือนก้อนเมฆบดบงั ดวงจันทร์ให้อบั แสง” และแลว้ วปิ สั สนาปญั ญากโ็ พลงขน้ึ  ชำ� แรกกเิ ลสแทงทะลบุ าป  ธรรมทง้ั มวลทหี่ อ่ หมุ้ ดวงจติ  แหวกอวชิ ชาและโมหะอนั เปน็ ประดจุ   ตาขา่ ยดว้ ยศสั ตรา คอื วปิ สั สนาปญั ญา ชำ� ระจติ ใหบ้ รสิ ทุ ธจ์ิ ากกเิ ล-  สาสวะทง้ั มวล บรรลอุ รหตั ตผลพรอ้ มดว้ ยปฏสิ มั ภทิ า แลว้ ลงจากที ่ จงกรม มาถวายบังคมพระมงคลบาทแหง่ พระศาสดา แล้วน่งั อยู่ สุภัททภิกษุ ปัจฉิมสาวกอรหันต์ผู้น้ี ชื่อพ้องกับสุภัททะอีก  ผหู้ นง่ึ ซง่ึ เปน็ บตุ รแหง่ สหายของพระผมู้ พี ระภาคผมู้ นี ามวา่ อปุ กะ มี  ประวตั เิ กยี่ วเนือ่ งดว้ ยพระพุทธองค์อันนา่ สนใจยง่ิ ผหู้ นึ่งดังนี้

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า นับถอยหลังจากน้ีไป ๔๕ ปี สมัยเม่ือพระพุทธองค์ตรัสรู ้ ใหมๆ่  ทรงดำ� รจิ ะโปรดปญั จวคั คยี  ์ ณ อสิ ปิ ตนมคิ ทายะ เสดจ็ ดำ� เนนิ   จากบรเิ วณโพธมิ ณฑลไปสแู่ ขวงเมอื งพาราณสี ในระหวา่ งทางไดพ้ บ  อาชวี กผหู้ นงึ่ นามวา่ อปุ กะ อยใู่ นวยั คอ่ นขา้ งชราแลว้  เขาเหน็ พระผ้ ู มพี ระภาคเจ้าเดินสวนทางไปจึงถามวา่  “สมณะ ผิวพรรณของท่าน  ผอ่ งใสยง่ิ นกั  อนิ ทรยี ข์ องทา่ นสงบนา่ เลอื่ มใส ทา่ นบวชในสำ� นกั ของ  ใคร ใครเปน็ ศาสดาของท่าน” “สหาย” พระศาสดาตรสั ตอบ “เราเปน็ ผคู้ รอบงำ� ไวท้ กุ สงิ่ ทกุ   อย่างเป็นใหญ่ในตนเองเต็มท ี่ เรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างในทางธรรม เรา  หักกรรมแห่งสังสารจักรเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดได้แล้วด้วย  ตนเอง เมอื่ เป็นเช่นนีจ้ ะพงึ อา้ งใครเลา่ ว่าเปน็ ศาสดา” อาชีวกได้ฟังดังน้ีแล้วนึกดูหม่ินอยู่ในใจว่า สมณะผู้น้ีช่าง  309 โอหังลบหลู่คุณของศาสดาตน น่าจะลองถามชื่อดู เผ่ือว่าจะม ี คณาจารย์ลัทธิใหญ่ๆ จะจ�ำได้บ้างว่าเคยเป็นศิษย์ของตน คิดดังนี ้ แล้วจงึ กล่าวว่า “สมณะ ทท่ี า่ นกลา่ วมานก้ี น็ า่ ฟงั อยดู่ อก แตจ่ ะเปน็ ไปไดห้ รอื   คนทรี่ อู้ ะไรๆ ไดเ้ องโดยไมม่ คี รอู าจารย ์ แตช่ า่ งเถดิ  ขา้ พเจา้ ไมต่ ดิ ใจ  ในเร่ืองน้ีนักดอก ข้าพเจ้าปรารถนาทราบนามของท่าน เผื่อว่าพบ  กนั อกี ในคราวหน้าจะไดท้ ักทายกนั ถกู ” พระศากยมนุ ผี มู้ อี นาคตงั สญาณทราบเหตกุ ารณภ์ ายหนา้ ได้  โดยตลอด ทรงคำ� นงึ ถงึ ประโยชนบ์ างอยา่ งในอนาคต แลว้ ตรสั ตอบ  ว่า “สหาย เรามนี ามวา่ อนนั ตชิน ทา่ นจำ� ไวเ้ ถิด” “อนันตชิน” อุปกะอุทาน “ช่อื แปลกดนี ี่”

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ แลว้ อปุ กาชวี กกเ็ ดนิ เลยไป พระศาสดากเ็ สดจ็ บา่ ยพระพกั ตร ์ ไปสู่พาราณสี อปุ กะเดนิ ทางไปถงึ หมบู่ า้ นพรานเนอ้ื  อาศยั อยใู่ นแนวปา่ แหง่   หน่ึงใกลห้ มบู่ ้านน้นั ตอนเชา้ เขาเขา้ ไปภกิ ขาจารในหมบู่ า้ นพรานเนอื้ นน้ั  หวั หนา้   พรานเห็นเข้าเกิดความเล่ือมใส จึงอาราธนาให้มารับภิกษาที่บ้าน  ของตนทุกๆ เช้า อุปกะรับอาราธนาด้วยความยินด ี แต่ซ่อนความ  ร้สู กึ นัน้ ไว้ภายใน ตามวิสัยแหง่ นกั บวชผยู้ งั มคี วามละอายอยู่ ต่อมาไม่นาน นายพรานเนื้อจำ� เป็นต้องเข้าป่าใหญ่เป็นเวลา  หลายวันเพื่อล่าเนื้อ จึงเรียกลูกสาวมาแล้วกล่าวว่า “สุชาวดีลูกรัก  310 พอ่ จะตอ้ งออกปา่ เปน็ เวลาหลายวนั  พอ่ เปน็ หว่ งพระของพอ่  คอื ทา่ น  อปุ กะ ขอใหล้ กู รบั หนา้ ทแ่ี ทนพอ่  คอื ตลอดเวลาทพ่ี อ่ ไมอ่ ย่ ู ขอใหล้ กู   ถวายอาหารแกท่ า่ นแทนพอ่  ปฏบิ ตั บิ ำ� รงุ ทา่ นเหมอื นอยา่ งทพี่ อ่ เคย  ท�ำ” เมื่อสุชาวดีสาวงามบ้านป่ารับค�ำของพ่อแล้ว นายพรานก ็ เขา้ ปา่ ดว้ ยความโลง่ ใจ รงุ่ ขน้ึ อปุ กะกม็ ารบั ภกิ ษาตามปรกติ สชุ าวด ี เชื้อเชิญให้น่ังบนเรือนแล้วถวายภิกษาอันประณีต สนทนาด้วย  อาการย้ิมแย้มแจ่มใส อุปกะเห็นอาการของนางดังนั้นก็ยินดียิ่งนัก  เพราะทา่ นยอ่ มว่า “มีหน้าตาย้ิมแย้มแจ่มใส มีใจอารี มีความยินดีที่จะสนทนา เปลง่ วาจาไพเราะ มกี ริ ยิ าสภุ าพ เหลา่ นเ้ี ปน็ เครอื่ งหมายของผตู้ ง้ั ใจ คบ

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า มีหน้าตาบูดบึ้ง ไม่ยิ้มแย้ม ลืมความหลัง มีกิริยาอันน่าชัง เอาความเสยี ไปนนิ ทา เวลาสนทนาชอบน�ำเอาเรอ่ื งคนอนื่ มาพดู ให้ ยุง่ ไป เหลา่ นี้เป็นเครื่องหมายของผมู้ ใิ ชม่ ิตร” สุชาวดีงามอย่างสาวบ้านป่า ผมดกด�ำ นัยน์ตากลมโต ใบ  หน้าอิ่มเอิบมีเลือดฝาด มองเห็นชัดท่ีพวงแก้ม อุปกะมองเธอด้วย  ความรสู้ กึ กระวนกระวาย แมอ้ ายจุ ะเหยยี บยา่ งเขา้ สวู่ ยั ชรา แตก่ ย็ งั   ตดั อาลยั ในเรอ่ื งนไ้ี มไ่ ด ้ สชุ าวดอี ยใู่ นวยั สาวและสวยสด เปน็ ดอกไม้  ทไี่ มเ่ คยมแี มลงตวั ใดมากลำ�้ กราย นางสงั เกตเหน็ อาการของอปุ กะ  แลว้ กพ็ อจะลว่ งรถู้ งึ ความปน่ั ปว่ นภายในของนกั พรตวยั ชรา แตด่ ว้ ย  มรรยาทแหง่ เจา้ ของบา้ นอยา่ งหนงึ่  และอกี อยา่ งหนง่ึ เปน็ นกั บวชที ่ บดิ าเคารพนบั ถอื  นางจงึ คงสนทนาพาทอี ยา่ งละมนุ ละไมตามเดมิ 311 จรงิ ทเี ดยี ว สตรสี ามารถเขา้ ใจวถิ แี หง่ ความรกั ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็   แม้เธอจะไม่ชอบชายท่ีรักเธอ แต่เธอก็อดภูมิใจมิได้ที่มีชายมารัก  หรอื สนใจ แมส้ ชุ าวดจี ะเปน็ เดก็ สาวชาวปา่  แตเ่ ลห่ แ์ หง่ โลกยี น์ น้ั เปน็   เรอ่ื งธรรมดาของสำ�่ สตั วท์ พี่ อจะเขา้ ใจได้ มนษุ ยแ์ ละสตั วเ์ กดิ มาจาก  กามคุณ จึงง่ายที่จะเข้าใจในเรื่องกามคุณ และจิตใจก็คอยด้ินรนที ่ จะลงไปคลกุ เคลา้ กบั กามคณุ นน้ั  เหมอื นวานรเกดิ ในปา่  ปลาเกดิ ในนำ้�   กพ็ ยายามทจี่ ะดนิ้ รนเขา้ ปา่ และกระโดดลงน�้ำอยเู่ สมอ สตรเี ปรยี บ  ประดุจน้�ำมัน บุรุษเล่าก็อุปมาเหมือนเพลิง เมื่อเพลิงอยู่ใกล้นำ�้ มัน  กอ็ ดที่จะลามเสยี มิได้ ในวนั ท ี่ ๒ และวนั ท ่ี ๓ อปุ กะคงมารบั ภกิ ษาทบ่ี า้ นของสชุ าวดี  ดังเดิม และอาการกค็ งเปน็ ไปทำ� นองนนั้

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “สุชาวดี” ตอนหน่ึงอุปกะถามขึ้น “พอจะทราบไหมว่า คุณ พ่อของเธอจะกลบั วนั ไหน?” “ไม่ทราบ พระคุณเจ้า” สุชาวดีตอบ  ก้มหน้าเอาน้ิวขีดพื้น ดว้ ยความขวยอาย “ธรรมดาทเ่ี คยไปก็ไม่เกนิ  ๗ วนั ” “เธอคดิ ถงึ คณุ พอ่ ไหม?” อปุ กะถาม เพง่ มองสชุ าวด ี อยา่ งไม ่ กะพริบตา “คิดถึง” สุชาวดตี อบ “คุณพ่อของเธอมีบญุ มาก” อปุ กะเปรย “เรอื่ งอะไร พระคณุ เจา้ ?” สชุ าวดถี าม เงยหนา้ ขนึ้ นดิ หนอ่ ย “มลี กู สาวด ี ทำ� อาหารอรอ่ ย” อปุ กะชม “สภุ าพเรยี บรอ้ ย อย่ ู 312 ในโอวาทของบดิ า” สชุ าวดกี ม้ หนา้ นงิ่  คงเอานวิ้ ขดี ไปขดี มาอยกู่ บั พนื้ ทช่ี านเรอื น  “แล้วก็” อุปกะพูดต่อ “สุชาวดีสวยด้วย สวยเหมือนกล้วยไม้ใน  พงไพร” “! !” สุชาวดีอ้าปากค้าง ไม่นึกว่านักพรตวัย ๔๕ จะพูดกับ  เธอซ่งึ ร่นุ ราวคราวลกู ดว้ ยถ้อยคำ� อยา่ งน้ี “จรงิ ๆ นะ สชุ าวด”ี  อปุ กะยงั คงพลา่ มตอ่ ไป “ฉนั ทอ่ งเทย่ี วไป  แทบจะทกุ หนทกุ แหง่ ในชมพทู วปี  ยงั ไมเ่ คยพบใครสวยเหมอื นเธอ  เลย” พูดเท่านั้นแล้วอุปกะก็ลากลับ เขาจากไปด้วยความอาลัย  สุชาวดีมองอุปกะ ด้วยสายตาท่ีบรรยายไม่ถูก ขันก็ขัน สังเวชก ็ สงั เวช แตค่ วามรสู้ กึ ภมู ใิ จซงึ่ ซอ่ นอยอู่ ยา่ งมดิ เมน้ นน้ั  กด็ เู หมอื นจะ  มีอยู่ เมื่ออุปกะเลยเขตร้ัวบ้านไปแล้ว นางจึงวิ่งเข้าห้องนอน หยิบ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า กระจกส่องหน้าข้ึนมาด ู “เออเราสวยจรงิ ซินะ” นางเปรยกับตัวเอง  พลางสำ� รวจไปท่วั สรรพางค์ อย่างนี้เอง ผู้หญิง คงเป็นผู้หญิงอยู่นั่นเอง ไม่ว่ามหาราชินี  หรอื คนหกั ฟืนขาย เม่ือถูกชมว่าสวยกอ็ ดจะลงิ โลดไม่ได ้ เธอปักใจ  เสียเหลือเกินว่ารูปของเธอเป็นทรัพย ์ แต่ความจริงก็น่าจะเป็นเช่น  นั้น มสี ตรีมากหลายที่กา้ วข้ึนส่คู วามรงุ่ โรจนเ์ พราะรปู งาม โกกิลานํ สททฺ ํ รูปํ นกโกกิลาสำ� คัญท่ีเสียง นาร ี รปู ํ สุรปู ตา นารสี �ำคญั ท่รี ูป วิชชฺ า รปู  ํ ปรุ ิสาน ํ บรุ ุษสำ� คัญทีว่ ิทยาคุณ ขมา รปู ํ ตปสฺสนิ ํ นกั พรตสำ� คัญท่ีอดทน ถ้า ๓ อย่างถูกต้อง เร่ืองนารีส�ำคัญท่ีรูปจะผิดไปได้อย่างไร  313 แตน่ ารที ท่ี รงโฉมสะคราญตานน้ั  ถา้ ไรเ้ สยี แลว้ ซงึ่ นารธี รรม เธอจะ  เปน็ สตรที ส่ี มบรู ณไ์ ดล้ ะหรอื  เหมอื นดอกไมง้ ามแตไ่ รก้ ลน่ิ  ใครเลา่   จะยินดีเก็บไวช้ มเชย ของจะมีคา่ ตอ่ เมือ่ มีผตู้ ้องการ วนั นนั้ สชุ าวดมี คี วามสขุ สดชนื่  รนื่ เรงิ ไปทง้ั วนั  แตเ่ ธอหารไู้ ม ่ วา่ ขณะเดียวกันอุปกะกำ� ลงั เศร้าซมึ อยู่ทอี่ าศรม อุปกะก็เหมือนผู้ชายโง่ๆ ทั่วไป ที่พอเห็นสตรีท�ำดีด้วยก็  ทึกทักเอาว่าเขารักตน บัดน้ีศรกามเทพได้เสียบแทงอุปกะเสียแล้ว  ความรักไม่เคยปรานีใคร เที่ยวเหยียบย�่ำ ท�ำลายมนุษย์และสัตว ์ ท่ัวหน้า เข้าต้งั แตก่ ระทอ่ มน้อยของขอทาน ไปจนถงึ พระราชวงั อนั   โออา่ ของกษตั รยิ าธริ าชผทู้ รงศกั ด ์ิ กดั กนิ หวั ใจของคนไมเ่ ลอื กวา่ วยั   เดก็  หนมุ่ สาว หรอื วยั ชรา ใชด้ อกไมข้ องมาร ๕ ดอก เปน็ เครอ่ื งมอื   เทย่ี วไปในคามนคิ มราชธานตี า่ งๆ ดอกไม ้ ๕ ดอกนน้ั  คอื  รปู  เสยี ง 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ กลนิ่  รส และโผฏฐพั พะสมั ผสั ทางกาย เมอ่ื ใครหลงใหลมนึ เมาแลว้   ก็ห�้ำห่นั ยำ่� ยจี นพินาศลง บัดน้ีอุปกะได้หลงใหลมึนเมาในพวงดอกไม้ของมาร คือ รูป  และเสียงของสุชาวดีแล้ว แม้จะไม่ค่อยได้กลิ่นแก้มและสัมผัสกาย  อยา่ งนเ้ี สยี อกี ท�ำใหม้ จี นิ ตนาการอนั เตลดิ เจดิ จา้  และกซ็ มึ เซาเศรา้   หมอง คนทไี่ มเ่ คยรบกม็ กั จะทะนงวา่ ตนกลา้  คนทไ่ี มเ่ คยงานมกั จะ  ทะนงวา่ ตนเกง่  คนทไ่ี มเ่ คยรกั กม็ กั จะทะนงวา่ ตนรกั ไดโ้ ดยไมม่ ที กุ ข ์ ทงั้ นเ้ี พราะคนประเภทแรกไมเ่ คยรกู้ �ำลงั ศตั ร ู ประเภทท ี่ ๒ ไมเ่ คยร้ ู ความยากและความละเอียดของงาน ประเภทท่ี ๓ เพราะไม่เคยรู ้ 314 ซงึ้ ถงึ ก�ำลงั ของนารี จรงิ ทเี ดยี ว ทา่ นกลา่ วไวว้ า่  พระอาทติ ยม์ กี �ำลงั   ในเวลากลางวัน พระจันทร์มีก�ำลังในยามราตรี แต่นารีมีก�ำลังท้ัง  กลางวันและกลางคืน ทั้งบนบกและในน�้ำ ทั้งในเวหาและป่ากว้าง  มฉิ ะนน้ั แลว้ ทำ� ไมเลา่  ขนุ พลผเู้ กรยี งไกรเอาชนะดสั กรไดท้ ง้ั ทางบก  ทางนำ้�  ทง้ั บนเวหาและปา่ ใหญ ่ แตม่ ายอมแพแ้ กห่ ตั ถน์ อ้ ยทไี่ กวเปล  มีแต่ความงามและน้ำ� ตาเป็นอาวธุ ประจำ� ตน บางทีนักพรตผู้ทรงศลี  มตี บะ มอี ำ� นาจและมวี าจาศักดส์ิ ทิ ธ ิ์ แตเ่ มอื่ ถกู พษิ แหง่ ความรกั แทรกซมึ เขา้ สหู่ วั ใจ โดยสตรเี ปน็ ผหู้ ยบิ ยนื่   ให ้ ศลี กพ็ ลนั เศรา้ หมอง ตบะและอำ� นาจกพ็ ลนั เสอื่ ม วาจาศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ  ก็กลายเป็นกลับกลอก ส่ิงใดเล่าในโลกน้ีจะสามารถท�ำลายความ  เขม้ แขง็ เดด็ เดยี่ วของชายไดเ้ ทา่ กบั กำ� ลงั ของสตร ี ชายใดไมต่ กอยใู่ น  อำ� นาจแหง่ สตร ี ไมย่ นิ ดใี นลาภและยศ ชายนน้ั ชอ่ื วา่ ผเู้ ขม้ แขง็ อยา่ ง  แทจ้ ริง เป็นผ้ชู นะโลก

๒๖ อุ ป ก า ชี ว ก กั บ พ ว ง ด อ ก ไ ม้ ม า ร 315 อุปกะน่ังเศร้าซึมอยู่หน้าอาศรม ความร่มรื่นของราวป่าในยามน้ ี ซ่ึงเคยเป็นท่ีพออกพอใจของเขาย่ิงนักน้ัน ได้กลายเป็นที่ทรมาน  ไปเสียแล้ว เสียงนกเล็กๆ วิ่งไล่จับกัน และส่งเสียงร้องด้วยความ  ชน่ื บานบนกง่ิ ไม ้ เขาเคยมองดแู ละฟงั เสยี งมนั ดว้ ยความนยิ มชมชน่ื   แตบ่ ดั นมี้ นั เปน็ ของแสลงสำ� หรบั เขา นานๆ เขาจะสะดงุ้ ขน้ึ ครง้ั หนงึ่   เพราะได้ยินเสียงหวาดแว่วเหมือนส�ำเนียงของสุชาวดี แต่แล้วเขา  คงเศร้าซึมไป เพราะมันเป็นเพียงเสียงลมหวีดหวิวผ่านมาเท่าน้ัน  เขาก้มลงส�ำรวจตัวเองเอามือลูบคล�ำแขนและปลีน่อง รู้สึกตัวว่า  ยา่ งเขา้ สวู่ ยั ชราแลว้  แมจ้ ะไมม่ ากนกั กต็ าม แตค่ วามรกั เพง่ิ จะเกดิ ขน้ึ   เปน็ ครงั้ แรกในชวี ติ ของเขา ในโลกยิ วสิ ยั  อะไรเลา่ จะทำ� ใหค้ นซมึ เศรา้   และชนื่ บานมากไปกวา่ ความรกั  ในความรกั มคี วามขมและความหวาน  มีทั้งเร่ืองร้อนเร่า ตื่นเต้น และเยือกเย็น ละเมียดละไม ความรัก 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ จะเป็นอย่างไรก็ตาม มันยังมีอิทธิพลครอบคลุมจิตใจของมนุษย ์ ทกุ ยคุ ทกุ สมยั  แทรกแซงอยทู่ กุ หนทกุ แหง่  ไมว่ า่ ในทงุ่ นาหรอื ปา่ เขา  ในปราสาทราชมณเฑียรอันโออ่าของวีรกษัตริย์ หรือกระท่อมของ  ขอทาน ในหมู่โจรผู้เหี้ยมโหดหรือในหมู่นักพรตผู้มีกาสาวพัสตร์  เป็นธงชัย ความรักเป็นความหวัง เป็นความชุ่มช่ืน แม้มันจะกลับ  กลายเป็นขมขื่นปวดร้าวระบมในภายหลัง แต่ก็ยังเป็นความหลัง  ท่ีให้บทเรียนอันล�้ำค่า ควรแก่การทรงจ�ำและระลึกถึงความรัก  เหมือนน�้ำใสเย็นจืดสนิท แต่มีพิษยาแทรกซึมอยู่ด้วยเพียงเบาๆ  เย้ายวนชวนเชิญให้กระหายใคร่ด่ืม แล้วยาพิษก็ค่อยๆ แสดงฤทธ์ ิ ทลี ะนอ้ ยพอกระวนกระวาย ดง่ั ทอ่ี ปุ กะกระวนกระวายอยู่ ณ บดั น้ี 316 ความรักเหมือนสุรา ผู้ท่ีดื่มแก้วแรกแล้วก็อยากจะดื่มอีก  และด่ืมอีก การเมารักก็เหมือนเมาเหล้า ท�ำให้ใจกล้า และตาลาย  ตัดสินใจอะไรง่ายๆ ขาดสติคุ้มครองตน คิดเอาแต่ความสุขเฉพาะ  หนา้ ใบหน้าและกิริยาพาทีของสุชาวดีน้อย ปรากฏในห้วงนึก  เหมือนภาพจ�ำลอง เขานั่งและเดินกลับไปกลับมาด้วยความรู้สึก  วุ่นวายและเศร้าหมอง ความจริงคนอายุวัยน้ี มีความส�ำนึกในการ  ส�ำรวมตนและหักห้ามใจได้ดีพอใช้แล้ว แต่น�้ำรักก็เหมือนน�้ำสุรา  มักท�ำให้คนฟั่นเฟือนหลงใหลและปล่อยตัว ขาดพลังในการหน่วง  เหน่ยี วจิตใจ เขาเดนิ กระวนกระวายอยจู่ นยำ่� สนธยา ทอ้ งฟา้ ทางทศิ ตะวนั   ตกเป็นสีแสดเข้ม ฝูงวิหคนกกาเร่ิมทยอยกลับสู่รวงรัง เสียงชะนี  โหยหวนกอ้ งปา่  วเิ วกวงั เวง เตอื นใหอ้ ปุ กะระลกึ ถงึ ตนวา่  ชา่ งเหมอื น 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ชะนีน้อยเสียเหลือเกิน ทินกรลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดปกคลมุ   อยทู่ วั่ บรเิ วณไพร ไมน่ านนกั ดวงจนั ทรก์ แ็ ผร่ ศั มกี ระจายไปทว่ั อุปกะ  น่ังอยู่หน้าอาศรมมองดูดวงจันทร ์ แต่ใจนั้นระลึกถึงสุชาวดีอยู่มิได ้ วา่ งเวน้  จนั ทราและหนา้ นางนนั้ ตา่ งกนั มากนกั  เมอ่ื มองดจู นั ทรง์ าม  ความรู้สึกจะมีเพียงว่าสดช่ืนแจ่มใสและร่มเย็น คลายกังวลได้บ้าง  และไม่เคยมีใครอยากได้ดวงจันทร์มาเป็นของตน แต่ใบหน้า  อันพร้ิมเพรางามเฉิดฉายของสาวน้อย เมื่อมองดูแล้วท�ำให้จิตใจ  กระวนกระวายเรา่ รอ้ นดนิ้ รน แมจ้ ะแฝงไวด้ ว้ ยความสขุ ทรี่ ะคนดว้ ย  ความระทกึ ใจกต็ าม และแลว้ ความรสู้ กึ ใครไ่ ดใ้ ครเ่ ปน็ เจา้ ของกม็ ขี นึ้   แตท่ ยี่ บั ยงั้ ไวไ้ ดก้ เ็ พราะศลี ธรรม มโนธรรมคอยกระซบิ อยู่ ถ้าไร้เสีย  ซ่ึงศีลธรรมและมโนธรรมและประกอบด้วยความม่ังคั่งพร่ังพร้อม  317 ด้วยเงินและอ�ำนาจ บุคคลผู้น้ันจะปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลเล่ือน  ไปตามความปรารถนาในโลกยิ ารมณอ์ นั หาขอบเขตมไิ ด ้ โลกยิ ารมณ์  ซง่ึ ประกอบดว้ ยกาม กนิ  และเกยี รต ิ เรอื่ งทง้ั สามนเ้ี ปน็ ปญั หาใหญ่  ของโลกิยชน บัดนี้อุปกะแม้จะอยู่ในเพศและภาวะแห่งผู้สละแล้วซ่ึงโลกีย ์ แต่จิตใจของเขาได้ด่ืมด�่ำล�้ำลึกลงไปในโลกิยารมณ์อันสุดถอน  อะไรเลา่ จะเปน็ ความทกุ ขท์ รมานยงิ่ ไปกวา่ น ้ี ประดจุ พยคั ฆราชซง่ึ ถกู   กักขังอยู่ในกรงเหล็กกำ� ลังหิวกระหาย มองดูนางกวางเย้ืองย่างอยู ่ ไปมา มนั จะกระวนกระวายสกั ปานใด หรอื ประหนงึ่ บคุ คลผเู้ ดนิ ทาง  ไกล กนั ดารเหนด็ เหนอื่ ยเรา่ รอ้ นมเี หงอ่ื โทรมกาย มองดสู ระโบกขรณี  ทีห่ วงหา้ มด้วยความกระวนกระวายสดุ กงั วล

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ กง่ึ มชั ฌมิ ยามแหง่ ราตรแี ลว้  อากาศซงึ่ เยยี บเยน็ ไดเ้ ยน็ เยยี บ  ลงไปอกี  อปุ กะดงึ ผา้ หม่ ขนึ้ คลมุ รา่ ง พลกิ กลบั ไปกลบั มา กระสบั กระสา่ ย  ไมอ่ าจจะหลบั ตาลงสนู่ ทิ รารมณไ์ ด ้ แนน่ อนทเี ดยี ว ตา ห ู จมกู  ลน้ิ   กาย และใจเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือราคะบ้างโทสะบ้าง  โมหะบ้าง ไฟที่ปราศจากควันและไร้แสง แต่มีความรุนแรงเผาใจ  ให้ร้อนรุ่ม คือไฟราคะน่ีเอง ไม่อาจจะดับได้ด้วยน้�ำศักด์ิสิทธิ์ใดๆ  ในโลกนี้ จนกระทง่ั อรณุ รงุ่  ลมเชา้ พดั แผว่ กระทบกายประสาท อปุ กะ  สลัดผ้าห่มลุกข้ึนนั่งตรึกตรองอยู่อย่างลึกซึ้ง ตลอดราตรีที่ผ่านมา  เขามไิ ดห้ ลบั เลย คำ� กลา่ วทว่ี า่  “ความรกั เปน็ บอ่ เกดิ แหง่ ความกระวน-  318 กระวาย ด้ินรน หนักหน่วง และซึมเศร้า” นั้น ช่างเป็นความจริง เสียเหลือเกนิ เขามิได้ไปรับภิกษาท่ีบ้านของสุชาวดีในเช้าวันนั้น แต่ไป  แสวงหาภิกษาท่ีอ่ืน ท้ังนี้เพราะความละอายต่อสุชาวดีและละอาย  ตนเอง นกั พรตผมู้ ภี าชนะภกิ ษาในมอื  เมอื่ มคี วามรกั เกดิ ขน้ึ  คนท่ี  เขาละอายทส่ี ดุ  คอื คนทเี่ ขาหลงใหลนน่ั เอง เพราะเพศและภาวะได้  ประกาศอยอู่ ยา่ งชดั แจง้ แลว้  วา่ เขาไมค่ วรปลอ่ ยใจไปในเรอื่ งรกั ใคร ่ เสนห่ า ถา้ ใครลว่ งรถู้ งึ ความรสู้ กึ ภายในอนั ขดั กบั อาการภายนอกท ่ี ปรากฏแก่สายตาโลก ก็จะรู้สึกสังเวชเศร้าสลดและพิศวง ประดุจ  ผมู้ อี าการภายนอกเปน็ บรุ ษุ เพศ แตค่ วามจรงิ เขาเปน็ สตรที บ่ี รุ ษุ พงึ   ชมเชยได้ แม้จะไม่สู้สนิทใจนัก และอาจจะเป็นที่สนิทเสน่หาของ  บคุ คลบางพวกทม่ี คี วามรูส้ กึ แปลกไป

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า จรงิ อย ู่ คนทีม่ ีความรกั ยอ่ มอยากอยู่ใกล้คนท่ตี นรัก แต่เม่อื   ความละอายเกิดข้ึน ดูเหมือนเขาอยากจะไปให้ห่างมากกว่าอยาก  พบ โดยเฉพาะนักพรตอย่างอุปกะน้ี แต่ความรักก็มีอิทธิพลมาก  พอทจ่ี ะหนว่ งเหนยี่ วอปุ กะใหว้ นเวยี นอยใู่ นหมบู่ า้ นพรานเนอื้ นน่ั เอง ๗ วนั ลว่ งไป นายพรานกลบั มาพรอ้ มดว้ ยเนอื้ จ�ำนวนมาก มี  คนหาบหามกันมาเป็นทิวแถว ค�ำแรกท่ีนายพรานถามเม่ือพบ  สุชาวดคี ือ “พระของพอ่ มารบั อาหารอยูห่ รือลกู รกั ?” “ตงั้ แตพ่ อ่ ไปแลว้  เขามารบั ภกิ ษาเพยี ง ๒ วนั  แลว้ ไมเ่ หน็ มา  อกี เลย” สุชาวดีรายงาน สวมกอดพอ่ ด้วยความรักและคิดถงึ นายพรานมที า่ ตรองกอ่ นจะพดู วา่  “ลกู มไิ ดไ้ ปดทู อี่ าศรมของ  319 ทา่ นหรือ?” “ก็ลูกเป็นผู้หญงิ จะให้ไปอยา่ งไร” “เออ จริงซนิ ะพ่อลืมไป” นายพรานพูดเรื่อยๆ “เออ แลว้ ลูก  มไิ ด้ใหค้ นไปดูหรอื ?” “ไม ่ พอ่ ” สุชาวดีตอบ “นี่เปน็ ขอ้ บกพรอ่ งของลูก” สุชาวดีมีอาการตกใจ นายพรานเหน็ ดังน้ัน จงึ กลา่ ววา่ “เพยี งเลก็ นอ้ ยเทา่ นนั้  ลกู รกั  อยา่ ตกใจเลย คอื อยา่ งน ี้ ทา่ น  อปุ กะนน้ั เหมอื นมาอาศยั เราอย ู่ เราเปน็ เจา้ ของถน่ิ  เมอ่ื ทา่ นหายไป  ไมไ่ ดร้ บั อาหารอยา่ งเคย ถา้ ทา่ นจารกิ ไปทอ่ี นื่ กแ็ ลว้ ไป แตถ่ า้ เจบ็ ไข้  ไม่สบาย ท่านจะให้ใครมาบอก ท่านอยู่คนเดียว คราวน้ีจะเป็นข้อ  บกพรอ่ งของเรา ลกู รกั  แมเ้ ราจะเปน็ ชาวปา่ ชาวเขา หาเนอื้ ขายและ 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ กนิ  แตเ่ รอ่ื งปฏสิ นั ถาร เราตอ้ งเคารพและกระทำ� ใหเ้ หมาะสมเสมอ  ลูกจ�ำได้มิใช่หรือท่ีพ่อสอนว่า บ้านใดแขกกลับไปด้วยความเสียใจ  ชื่อว่าทิ้งเอาอัปมงคลไว้ที่บ้าน ส่วนบ้านใดแขกกลับไปด้วยความ  ชื่นบาน ช่ือว่าได้ทิ้งมงคลไว้ท่ีบ้าน ลูกรัก ขึ้นช่ือว่าอาคันตุกะแล้ว  ไมว่ า่ จะเปน็ เดก็ หรอื ผใู้ หญ ่ ไพรห่ รอื ผดู้ อี ยา่ งไร เราตอ้ งตอ้ นรบั และ  กระท�ำให้เหมาะสมเสมอ” นายพรานพูดเท่านั้นแล้ว รีบไปหาอุปกะที่อาศรม ขณะนั้น  จวนคำ�่ แลว้ เหน็ ประตอู าศรมปดิ  ดว้ ยความเกรงใจ นายพรานไมก่ ลา้   เรียก น่ังคอยอยู่หน้าอาศรม คิดว่าถ้าท่านอยู่คงจะออกมาในไม่ช้า  ครหู่ นงึ่ ผา่ นไป นายพรานไดย้ นิ เสยี งครางและเสยี งเพอ้ ตามออกมา  320 เหมอื นคนจบั ไข ้ นายพรานกา้ วเขา้ ไปจะเปดิ ประต ู กพ็ อดไี ดย้ นิ เสยี ง  ออกชื่อสุชาวด ี เขาจงึ หยุดชะงกั   “สชุ าวด”ี  เสยี งออกมาจากอาศรม “สชุ าวด ี ฉนั คดิ ถงึ เธอ ฉนั   รกั เธอ” อุปกะพดู เพ้อวนเวียนอยูอ่ ย่างน้ี ในทสี่ ดุ  นายพรานกต็ ดั สนิ ใจเปดิ ประตเู ขา้ ไป มองเหน็ อปุ กะ  นอนกระสบั กระสา่ ยอยบู่ นเตยี งนอ้ ย นายพรานนงั่ ลงนมสั การ แลว้   ถามวา่ “พระคณุ เจา้ ไม่สบายไปหรือ?” อปุ กะพลกิ ตวั กลบั มา “สชุ า” พอมองอยา่ งชดั เจนอปุ กะตอ้ ง  อา้ ปากค้าง ลุกขึ้นนั่งเฉยอยู่ “พระคุณเจา้ ไมส่ บายไปหรอื ?” นายพรานถามซำ�้ “ปวดศีรษะเลก็ นอ้ ย ทา่ นกลับมานานแล้วหรือ?” อปุ กะพูด “กลับมายังไม่ได้นั่งท่ีบ้าน ทราบจากสุชาวดีว่าพระคุณเจ้า 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ไม่ไปรับภิกษาที่บ้านหลายวันแล้ว คิดว่าคงไม่สบายจึงรีบมาเยี่ยม  สกั ครนู่ ขี้ า้ พเจา้ ไดย้ นิ เสยี งพระคณุ เจา้ ออกชอ่ื สชุ าวดบี ตุ รขี องขา้ พเจา้   นางไดท้ ำ� อะไรให้พระคณุ เจา้ เดอื ดรอ้ นหรือ?” “ไม่เลย นางมิได้ท�ำอะไรให้ข้าพเจ้าเดือดร้อน แต่” อุปกะ  หยุดคิดนิดหนึ่งแล้วพูดพ้อไปว่า “แต่ดูเหมือนนางจะเป็นสาเหตุให้  ข้าพเจา้ เดือดร้อนอย่บู า้ ง” “เรอื่ งอะไรหรอื  พระคณุ เจา้  ขา้ พเจา้ จะลงโทษเธอเอง” นาย  พรานพูดอย่างหนกั แน่น ซอ่ นยม้ิ ไว้ในหนา้ “ท่านจะให้ข้าพเจ้าพูดตรง หรือพูดออ้ มค้อม?” อุปกะถาม “พูดตรงดกี วา่  พระคณุ เจา้ ” “ข้าพเจ้าเคยต้ังใจว่าจะมอบกายมอบชีวิตให้เพศนักพรต”  321 อุปกะหยุดนิดหน่ึงเหมือนจะตรองหาค�ำพูด “แต่แล้วคงจะรักษา ความตง้ั ใจนนั้ ไวไ้ ดไ้ มต่ ลอด เพราะความรสู้ กึ ไดเ้ ปลยี่ นแปลงไปมาก” “เพราะเหตไุ รหรือ พระคุณเจา้ ?” นายพรานถาม “เพราะสชุ าวดี ธิดาของท่าน” “แปลว่าท่านพอใจในธิดาของขา้ พเจา้ หรือ?” อปุ กะนงิ่  การนงิ่ ของนกั พรต ถอื วา่ เปน็ การรบั คำ�  นายพราน  รสู้ กึ กระวนกระวายเลก็ นอ้ ย ดว้ ยความเจนจดั ในชวี ติ เพราะมวี ยั สงู   นายพรานมิไดก้ ล่าวโทษอุปกะเลยแม้แตน่ อ้ ย เพียงแต่ถามว่า “แลว้ พระคุณเจ้าจะท�ำอยา่ งไร?” “ข้าพเจ้าคิดวา่  จะสละเพศนักบวชในไมช่ า้ น้”ี “เวลานพี้ ระคุณเจ้าอายเุ ทา่ ไร?” “๔๕” อปุ กะตอบ รูส้ กึ กระดากใจมากอยู่

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “พระคณุ เจา้ มศี ลิ ปวทิ ยาอะไรบา้ งไหมในการทจี่ ะน�ำไปใชใ้ น  เพศคฤหัสถ”์ “ไมม่ เี ลย” อปุ กะตอบ “เมอื่ ไมม่ ศี ลิ ปศาสตร ์ พระคณุ เจา้ จะอยคู่ รองเรอื นไดอ้ ยา่ งไร?” “หาบเนอื้ พอจะได ้ แมอ้ ายจุ ะยา่ งเขา้  ๔๕ แลว้  แตก่ ำ� ลงั ยงั ดี  อยู”่ “หาบเนอ้ื พอจะได”้  นายพรานทวนคำ� เบาๆ เหมือนครางอยู ่ ในลำ� คอ “เร่ืองส�ำคัญยังมีอยู่อีกเรื่อง” นายพรานปรารภ “คือสุชาวดี  เขาจะปลงใจกบั พระคณุ เจ้าหรอื ไม่ ข้าพเจ้าไมท่ ราบ”  322 “ดูท่าทางที่แสดงออกมาก็ดูไม่น่าจะรังเกียจ” อุปกะพูดแล้ว  ยมิ้ ออกมานดิ หนง่ึ “พระคณุ เจา้ รไู้ ดอ้ ยา่ งไร? วา่ เขาไมร่ งั เกยี จ” นายพรานถาม “สังเกตจากกิริยาท่าทีเมื่อข้าพเจ้าสนทนาด้วย” อปุ กะตอบ “พระคณุ เจา้ เปน็ นกั พรต ใครๆ เขากต็ อ้ งใหเ้ กยี รตแิ สดงอาการ  คารวะสงบเสงี่ยมและตอ้ นรบั ดี เป็นเรือ่ งของคนท่มี มี ารยาทดี” “เรื่องนี้ก็แล้วแต่ท่านจะช่วยเหลือ แต่ข้าพเจ้าแน่ใจในสติ  ปญั ญาและความสามารถของทา่ น ขา้ พเจา้ ไมอ่ าจมชี วี ติ อยตู่ อ่ ไปได้  ถา้ ไมไ่ ดส้ ชุ าวด ี ทา่ นใหข้ า้ พเจา้ พดู ตรงๆ ขา้ พเจา้ กพ็ ดู ตรงๆ อยา่ งน”ี้ สังเกตจากอาการซูบผอมลงของอุปกะ ท�ำให้นายพรานเช่ือ  ว่าอุปกะจะตายได้จริงถ้าไม่ได้ธิดาของตน ประกอบด้วยความรักท ่ี มใี นอปุ กะ นายพรานจงึ รบั คำ� วา่ จะลองไปพดู กบั สชุ าวด ี ถา้ ตกลงจะ  ส่งข่าวให้ทราบพรุ่งน้ี

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ขณะรับประทานอาหาร นายพรานมิได้พูดอะไรเลย เขาคง  น่ังรับประทานอาหารอย่างเคร่งขรึม จนผิดสังเกต สุชาวดีน้อยจึง  กลา่ วขึน้ วา่ “พ่อเป็นอะไรไป วันน้ีไม่เห็นชวนลูกสนทนาเหมือนก่อนๆ  เลย พ่อไม่สบายหรือ?” “มิได้ลูกรัก การเข้าป่าครั้งน้ี ท�ำให้พ่อรู้สึกว่าก�ำลังของพ่อ  เหลือน้อยเพราะชรา เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ไม่เท่าไรนักพ่อคงตาย พ่อ  คดิ ถงึ ลกู วา่ จะอยอู่ ยา่ งวา้ เหวเ่ ดยี วดาย แมข่ องเจา้ กต็ ายไปนานแลว้   เราเหลือกนั เพียงสองคนเทา่ นน้ั ” “พอ่ อยา่ พดู อยา่ งนนั้ ซคิ ะ พลอยทำ� ใหล้ กู ไมส่ บายใจดว้ ย พอ่   ยังจะคงอยู่อีกนาน พ่อยังแข็งแรง” สุชาวดีปลอบพ่อ แต่ก็อดเศร้า  323 มิได้เม่ือนึกถึงแม่ที่ตายไป และคิดต่อไปว่า ถ้าบิดาส้ินชีวิตลงอีก  เธอจะอยอู่ ย่างไร “ลกู จ�ำได้ไหม?” นายพรานถาม “วา่ พอ่ อายเุ ท่าไรแลว้ ” “ดูเหมือน ๖๒ ใชไ่ หมคะ?” “ใช่” นายพรานรับ “คนอายุ ๖๒ จะอยู่ต่อไปได้อีกสักก่ีป ี พ่อเปน็ ห่วงลูก” สชุ าวดที ำ� ตาแดงๆ เหมอื นจะรอ้ งไห ้ เธอรสู้ กึ เศรา้ ซมึ ตามคำ�   ปรารภของพอ่ ไปดว้ ย “เวลาน้ีลกู อายเุ ท่าไรแล้ว?” นายพรานถาม “๑๗ คะ่  พ่อ” สชุ าวดมี องหน้าพอ่ อยา่ งสงสัย “ท�ำไมรคึ ะ?” “พอ่ คดิ วา่ ” นายพรานหยดุ นดิ หนง่ึ เหมอื นจะสรรหาคำ� พดู ท ่ี เหมาะสม “ลูกควรจะมีครอบครวั ไดแ้ ลว้ ”

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “พอ่ เกลียดลกู รึคะ จึงอยากให้ลกู แตง่ งาน มคี รอบครัว เพ่ือ  จะไดพ้ น้ ความรบั ผดิ ชอบของพอ่  ลกู อยอู่ ยา่ งนเี้ ปน็ ทห่ี นกั ใจของพอ่   หรอื ?” สชุ าวดพี ดู ดว้ ยเสยี งออ่ นโยนระคนนอ้ ยใจ แลว้ เธอกร็ อ้ งไห้  น้�ำตาหลง่ั ไหลลงสูภ่ าชนะอาหารโดยเธอมไิ ด้รสู้ ึก “ลกู รกั ” นายพรานปลอบ ลกุ ขน้ึ มาโอบไหลข่ องสชุ าวดนี อ้ ย  อยา่ งถนอมรกั  “มหี รอื ทพี่ อ่ ไมร่ กั ลกู  โดยเฉพาะพอ่ คนนรี้ กั ลกู สชุ าวดี  เปน็ ทสี่ ดุ  จะสรรหาคำ� ใดมาพดู ใหส้ มกบั ทพี่ อ่ รกั ลกู นน้ั หาไมไ่ ดแ้ ลว้   เพราะพอ่ รกั ลกู นนั้ เอง พอ่ จงึ อยากใหล้ กู เปน็ ฝง่ั เปน็ ฝาตงั้ แตเ่ วลาท ่ี พ่อยังมีชีวิตอยู่ ลูกอย่าน้อยใจเลย พูดถึงเร่ืองรัก พ่อมีความรัก  ทมุ่ เทให้ลกู มากที่สุด” 324 “ลกู ยงั ไมเ่ คยรกั ผชู้ ายคนใดนอกจากพอ่ ” สชุ าวดหี าทางออก  แตก่ ลับเปดิ ชอ่ งให้นายพรานเดิน “แต่มผี ูช้ ายเขารกั ลกู ” นายพรานพูดอยา่ งหนักแน่น สุชาวดีตกใจ เธอไม่เคยนึกว่าจะมีใครปองรักเลย เพราะไม่  เคยเกย่ี วขอ้ งกบั ชายใดเลย “ใครคะพอ่ ” สชุ าวดีถาม “พระคุณเจ้าอุปกะ” นายพรานตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนกั “พระคุณเจา้ อุปกะ” สุชาวดีอทุ าน นยั นต์ าเบิกกว้าง อาหาร  ซึง่ เธอกำ� ลังจะสง่ เขา้ ปากอยแู่ ลว้ ร่วงหล่นลงมา “ท�ำไมหรือลูกรัก ท�ำไมลูกต่ืนเต้นตกใจเหลือเกิน?” นาย  พรานถามด้วยน�้ำเสยี งธรรมดา “กท็ า่ นเปน็ นกั พรต” สชุ าวดพี ดู เสยี งเครอื  “แลว้ ก ็ เออ้   แลว้   ทา่ นกแ็ ก่มากแลว้ ”

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า “๔๕ เทา่ น้ัน ลกู รัก ผ้ชู าย ๔๕ ยงั ไมแ่ ก่” “แตแ่ กก่ วา่ ลกู ถงึ  ๒๘ ปี เป็นพอ่ ของลกู ได”้  สชุ าวดแี ยง้ “กไ็ มเ่ หน็ เปน็ ไร ผชู้ ายสงู อายมุ กั จะเอาใจตามใจภรรยาสาวดี  ความรกั ของคนวยั นเี้ ปน็ ความรกั ทมี่ น่ั คง ไมเ่ หมอื นความรกั ของคน  วยั รนุ่ ซงึ่ เกดิ เรว็ และดบั เรว็  อกี อยา่ งหนง่ึ  ลกู เชอ่ื ไดอ้ ยา่ งหนงึ่ วา่  เขา  จะไม่ทารณุ โหดรา้ ยต่อลกู ” “แต่การท่ีพ่อจะให้ลูกแต่งงานกับคนคราวพ่อนั้น เป็นการ  โหดรา้ ยเกนิ ไปมใิ ชห่ รอื  ลกู ขอประทานโทษดว้ ย ทกี่ ลา่ วคำ� นกี้ บั พอ่   ลกู ไมอ่ ยากพดู ค�ำน้เี ลย” “ไม่เป็นไรลูกรัก พ่อเข้าใจลูกดี แต่ที่พ่อพูดถึงพระคุณเจ้า  อุปกะก็เพราะท่านรักลูกมาก การแต่งงานกับคนท่ีเขารักเราน้ันดี  325 กวา่ แตง่ กับคนที่เรารกั เขา เมอ่ื เขาเป็นคนด ี ลกู อยไู่ ปกร็ ักเขาเอง” “รอไวจ้ นกวา่ จะรกั กนั ทงั้ สองฝา่ ย จะมดิ กี วา่ หรอื พอ่  ลกู กย็ งั   ไม่แก่เฒา่ อะไร” สุชาวดีทว้ ง “ผหู้ ญงิ ในแถบนคี้ ราวลกู เขาแตง่ งานกนั ไปหมดแลว้  เหลอื แต ่ ลกู คนเดยี ว อกี อยา่ งหนง่ึ  ถา้ ลกู ยอมแตง่ งานกบั อปุ กะ ชอื่ วา่ ลกู ได ้ ช่วยชีวิตของคนคนหน่ึง” “ช่วยชีวิตใครคะ” สุชาวดถี าม “ชวี ิตของท่านอปุ กะ” “ท่านถงึ กบั จะตอ้ งตายทเี ดียวหรือถา้ ไม่ได้ลกู ” “เหน็ จะเป็นอย่างนนั้ ” นายพรานยืนยนั “ลูกไม่เชื่อ ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา” สุชาวดีย้�ำค�ำหลัง  อยา่ งหนักแน่น

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “ลกู ยงั มคี วามเขา้ ใจในชวี ติ นอ้ ยเกนิ ไป คนทฆ่ี า่ ตวั ตายเพราะ  เร่อื งรักก็มอี ย่มู าก เป็นแต่แตกตา่ งกันในวิธีตายเท่าน้ัน” “น่ันเป็นเรื่องการฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ตายเพราะอดเสน่หา”  สุชาวดแี ยง้  เธอมีอารมณ์สนกุ ข้ึนมาบา้ งแลว้ “แต่ความเสนห่ าเปน็ เหตุใชไ่ หมลกู ?” คราวนส้ี ชุ าวดนี งิ่  ภาพและวยั ของอปุ กะนกั พรตปรากฏขน้ึ ใน  ห้วงนึกของเธอ เธอไม่เคยเถียงพ่อ ถึงจะขัดแย้งบ้างก็เป็นไปอย่าง  สุภาพอ่อนโยน แม้เธอจะเป็นสาวชาวป่า ไม่เคยได้รับแสงสีแห่ง  อารยธรรมทมี่ นษุ ยบ์ างกลมุ่ หลงใหลกนั ยงิ่ นกั กต็ าม แตเ่ ธอกเ็ ขา้ ใจ  ดวี า่ มารดาบดิ ามบี ญุ คณุ ตอ่ บตุ รธดิ าอยา่ งไร เคยถนอมเลย้ี งตนมา  326 อย่างไร จึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่บุตรธิดาจะพึงกล่าววาจา  หยาบหยาม ขาดความเคารพต่อท่าน การท�ำให้ท่านผู้มีคุณช้�ำใจ  ปวดรา้ วใจเพราะวาจาของตนนน้ั  ถอื วา่ เปน็ บาป โดยเฉพาะเกยี่ วกบั   มารดาบดิ าแลว้  บตุ รธดิ าควรจะยำ� เกรงอยเู่ สมอ การไมเ่ ชอ่ื ฟงั บดิ า  มารดา แสดงอาการโอหงั อวดดตี อ่ พอ่ แมน่ นั้  เปน็ การประกาศความ  เลวทรามของตนเอง “ลกู รกั ” นายพรานทำ� ลายความเงยี บขนึ้  “ลกู เขา้ นอนเสยี กอ่ น  กไ็ ด ้ พรงุ่ นเ้ี ชา้ คอ่ ยพดู กนั ใหม ่ พอ่ กเ็ หนอ่ื ยเหลอื เกนิ  เดยี๋ วจะเขา้ นอน  เหมือนกนั ” สชุ าวดเี ขา้ นอน แตเ่ ธอนอนไมห่ ลบั  ความรสู้ กึ ของเธอขณะนี้  สับสนวุ่นวาย ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร เร่ืองรักน้ันเธอพูดได้อย่าง  เตม็ ปากวา่ เธอมไิ ดร้ กั อปุ กะเลย อยากจะหนไี ปเสยี ใหพ้ น้  แตส่ งสาร  พอ่  จะอยตู่ อ่ ไป และจะตอ้ งแตง่ งานกบั อปุ กะ รสู้ กึ สงสารความสวย 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า และความสาวของตนทจ่ี ะตอ้ งถกู ทำ� ลายลงดว้ ยนำ้� มอื คนชรา ปญั หา  คงเหลอื อย ู่ ๒ อยา่ ง คอื จะเลอื กเอาพอ่ แลว้ ยอมสละตวั  หรอื จะยอม  สละพ่อแล้วรักษาตัวไว้ เธอตัดสินใจไม่ถูก อัดอั้นตันใจ ในท่ีสุดก็  ต้องระบายความอึดอัดน้ันด้วยน�้ำตา เธอร้องไห้ ผู้หญิงเม่ือระทม  ทุกข์ตรอมใจก็หันเข้าหาเพ่ือนคือน้�ำตา ดูเหมือนความระทมเศร้า  ของเธอจะไหลหลงั่ ตามนำ�้ ตาออกมาดว้ ย นแ่ี หละโลก โลกซง่ึ ระงม  อยู่ด้วยพิษไข้ ความรักมิได้ก่อทุกข์ให้เพียงแก่ผู้รักเท่านั้น แม้ผู้ไม่  รักก็ต้องระทมทุกข์เพราะความรักอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ดูชีวิตของ  สุชาวดนี อ้ ยนเ้ี ปน็ ตัวอย่างเถิด 327

๒๗ อุ ป ก า ชี ว ก กั บ พ ร ะ อ นั น ต ชิ น 328 ในขณะทสี่ ชุ าวดกี ำ� ลงั ระทมทกุ ขเ์ พราะเกรงวา่ จะตอ้ งประสบดว้ ย  สงิ่ อนั ไมเ่ ปน็ ทรี่ กั อยนู่ นั้  อกี มมุ หนงึ่ อปุ กะกำ� ลงั กระวนกระวาย ดว้ ย  เกรงว่าจะพลัดพราก จะผิดหวังในสิ่งอันเป็นที่รัก ในเรื่องเดียวกัน  บคุ คลบางคนอาจจะเศรา้  บางคนอาจจะสขุ  หรอื อาจจะทกุ ขด์ ว้ ยกนั   แตท่ ุกข์กนั ไปคนละอย่างเท่านัน้ รุ่งขึ้นขณะรับประทานอาหารเช้า นายพรานพูดขึ้นว่า  “สชุ าวด ี เรอ่ื งท่พี ูดเมื่อคืนน้ี ลกู จะตดั สนิ ใจได้แลว้ หรอื ยงั ?” “ลกู คดิ วา่ ” สชุ าวดพี ดู เสยี งออ่ ยๆ “ลกู เปน็ สมบตั ขิ องพอ่  พอ่   เล้ียงลูกมา ลูกจึงคิดเสียว่า แล้วแต่พ่อจะเห็นดีเห็นชอบอย่างไร?”  พูดเท่านี้แล้วสุชาวดีก้มหน้านิ่ง น้�ำตาซ่ึงเพ่ิงจะเหือดแห้งไปเม่ือ  ใกล้รุ่งนเ้ี อง เรม่ิ จะหลง่ั ไหลออกมาอกี

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า “ลกู รกั ” นายพรานพดู เพอ่ื ปลอบโยน “ลกู อยา่ คดิ วา่ พอ่ ใจไม-้   ไสร้ ะกำ� เลย พอ่ อยากใหล้ กู มคี วามสขุ  พอ่ คดิ วา่ การแตง่ งานกบั ทา่ น  อปุ กะคงทำ� ใหล้ กู มคี วามสขุ ได ้ เขาเปน็ คนดนี ะลกู  อายแุ ตกตา่ งกนั   บ้างก็ไม่เป็นไร ผู้หญิงแก่เร็ว ถ้าเขาอายุ ๖๕ ลูกก็แก่แล้วเหมือน  กนั ” อุปกะดีใจเหมือนได้เทพธิดา เมื่อนายพรานบอกว่า สุชาวด ี ไม่ขัดข้อง ถ้าต้องการก็ให้รีบสละเพศบรรพชิตหรือนักบวชเสีย  อุปกะสละเพศนักพรต นุ่งห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ทั่วไป แล้วติดตาม  นายพรานมาดว้ ยความร้สู ึกอ่ิมเอิบ ชื่นบาน เขาได้กินอยู่กับสุชาวดีฉันสามีภรรยา บางคราวเขาจะพา  สุชาวดีน้อยไปชมพันธุ์ไม้นานาชนิดในป่า แต่ท่านเอย จะมีสตรีที ่ 329 สวยสดคนใดเลา่  จะเกดิ ความนยิ มชมชอบรกั ใครเ่ สนห่ าในสามชี รา  ด้วยความจริงใจ เขาจะท�ำดีด้วยหรือฉอเลาะอ่อนหวานก็เพียงเพื่อ  ความประสงคบ์ างอยา่ ง ซง่ึ สงิ่ นนั้ อาจจะเปน็ ทรพั ย ์ ยศ หรอื ชอ่ื เสยี ง  เกยี รตคิ ณุ วา่ ไดเ้ ปน็ ภรรยาของคนใหญค่ นโตเทา่ นนั้  มนั มใิ ชเ่ พราะ  ความสนทิ เสนห่ าอยา่ งแนน่ อน ถา้ ยง่ิ ผชู้ ายนน้ั ไรท้ รพั ยอ์ ปั ยศและยงั   ชราเขา้ อกี  จะซำ้� รา้ ยสกั เพยี งใด แตม่ นั เปน็ กรรมของโลก หรอื ของ  มนษุ ยชาตหิ รอื ไฉน จงึ มกั จะบดิ เบอื นหนั เหจติ ใจของชายชราใหม้ กั   พอใจในสตรสี าววยั รนุ่  ยง่ิ เขาแกม่ ากลงเพยี งใด กย็ ง่ิ ตอ้ งการสาวท ี่ เยาว์วัย และไรเ้ ดยี งสาตอ่ โลกเพยี งน้ัน อปุ กะพยายามเอาอกเอาใจสชุ าวดสี มกบั ทต่ี นรกั  แตส่ ชุ าวดสี ิ  เห็นการเอาใจของอปุ กะเปน็ ส่งิ ทไ่ี รค้ ่าและรำ� คาญ

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “สุชาวดี” อุปกะพูดในขณะที่ชมพันธุ์ไม้อยู่ในป่า “ดูดอกไม ้ น้นั ซ ิ มันชา่ งสวยงามเบง่ บานดเี หลอื เกนิ ” “เห็นแล้ว” สชุ าวดตี อบสะบัดๆ “แต”่  อปุ กะพยายามพดู ใหถ้ กู ใจเธอ “ดอกไมด้ อกนน้ั ยงั สวย  น้อยกว่าสุชาวดี มันอาจจะอ่อน แต่ไม่หวาน สุชาวดีท้ังอ่อนด้วย  หวานด้วย จึงสูส้ ุชาวดไี ม่ได ้ ไม่วา่ จะมองในแง่ใดๆ” “พูดยืดยาวน่ารำ� คาญเสียจริง เขาจะชมดอกไม้ให้เพลินเสีย  หน่อย กม็ าพรำ่� อะไรกไ็ มร่ ”ู้  สชุ าวดพี ดู อยา่ งมะนาวไม่มีนำ�้ อปุ กะรสู้ กึ นอ้ ยใจ แตก่ น็ อ้ ยใจไปเถดิ  นอ้ ยใจไปจนตาย ตอน  ทมี่ ารว่ มกนิ รว่ มนอนอยา่ งสามภี รรยานนั้  นกึ เอาแตค่ วามพอใจของ  330 ตวั  ไมค่ ำ� นงึ ถงึ ความรสู้ กึ ของอกี ฝา่ ยหนง่ึ บา้ งเลย วา่ จะมคี วามรสู้ กึ   ตอบประการใด ผู้ชายแบบน้มี ักจะไดร้ ับผลตอบแทนอย่างนี้เสมอ แตจ่ ะรกั หรอื ไมร่ กั  จะชอบหรอื ไมช่ อบกต็ ามท ี เมอื่ อยดู่ ว้ ยกนั   อย่างสามีภรรยา ส่ิงท่ีตามมาก็คือลูก สุชาวดีเกลียดพ่อของเด็กจึง  รักลกู ไดเ้ พยี งครงึ่ เดยี ว ในขณะทเ่ี ธอกำ� ลงั นยิ มชมชนื่ อยกู่ บั สภุ ทั ทะ  เด็กน้อย คราใดที่ระลึกถึงพ่อของเขา เธอจะหน้าเผือด ใจแห้งลง  ทันที ความร่าเริงหายไป สุภัททะก็ช่างดีแท้ หน้าตาเหมือนพ่อ  ประดุจพมิ พ์ ๒ ปที อี่ ยดู่ ว้ ยกนั มา อปุ กะไมเ่ คยไดร้ บั ความชนื่ ใจจากภรรยา  สาวท่ีเขาหลงรักเลย สุชาวดีคอยพูดเสียดสีให้กระทบกระเทือนใจ  อยู่เสมอ ไม่เว้นแต่ละวัน เม่ือเห่กล่อมลูก เธอก็จะสรรหาค�ำที่ทิ่ม  แทงใจอุปกะให้ปวดร้าวระบม แต่เขาก็อดทน ทนเพราะความรัก  ลกู และภรรยา

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า “สภุ ทั ทะเจา้ เอย เจา้ นน้ั เปน็ ลกู ของคนจร ทห่ี ลบั ทนี่ อนกไ็ มม่ ี  ขาดสง่าและราศี เหมือนกาโกกากีที่ร�่ำร้องเพราะหลงรัง ชราพาธ  ขาดพลงั  กำ� ลังกห็ ยอ่ นยาน อกี ธนสารสมบัตกิ ไ็ มม่ ที ่ีตดิ ตัว ญาติพ่ ี น้องผู้เก่ียวข้องและพัวพันก็แลไม่เห็นผู้ใด เออ เจ้าลูกคนหาบเน้ือ  เจา้ จะทำ� ไฉนเมอื่ เตบิ โต เจา้ ลกู คนหาบเนอื้ เอย นอนเสยี เถดิ ” คำ� เห่  กล่อมลูกตามน้ี อุปกะไดย้ ินทกุ วนั  วันละหลายๆ ครง้ั คืนหน่ึงเขานอนไม่หลับ เขาคิด คิดถึงชีวิตของเขาเองต้ังแต ่ ตน้ มาจนบดั น ี้ เคยไดร้ บั การยกยอ่ งเคารพนบั ถอื ประดจุ เทพเจา้  คำ�   นอ้ ยไมเ่ คยมใี ครลว่ งเกนิ  มาบดั นห้ี มดแลว้ ซงึ่ เกยี รตยิ ศ ถกู เหยยี ด  หยามกลา่ วรา้ ยจากเดก็ ผมู้ วี ยั เสมอดว้ ยบตุ รของตน เราเปน็ คนไมม่ ี  ญาติพ่ีน้อง ไม่มีทรัพย์สมบัติ แม้จะท�ำงานสายตัวแทบขาดเพื่อลูก  331 และภรรยา แต่เธอก็หาเห็นใจแมแ้ ตน่ อ้ ยไม่ อปุ กะคดิ ถงึ เพอ่ื น เขาไมม่ เี พอ่ื นเลยทเี ดยี วหรอื ในโลกนี้ คดิ   ทบทวนอยเู่ ปน็ เวลานาน ในทสี่ ดุ ภาพแหง่ นกั พรตรปู งามมสี งา่ ราศกี  ็ ปรากฏขน้ึ ในหว้ งลกึ  “เขาบอกวา่ เขาชอ่ื อนนั ตชนิ ” อปุ กะปรารภกบั   ตนเอง “มลี กั ษณะด ี มแี ววแหง่ ความเมตตากรณุ า คนอยา่ งนม้ี กั ไม่  ปฏเิ สธค�ำขอร้องของผ้ตู กยากบากหนา้ มาพ่งึ พงิ ” ประกอบด้วยบุรพูปนิสัยอันแก่กล้า มีบารมีท่ีแก่เต็มท่ีแล้ว  คอยเตือนในราตรีที่ดึกสงัด ได้ยินแต่เสียงน�้ำค้างตกจากใบไม ้ อปุ กะตดั สนิ ใจแนว่ แนท่ จ่ี ะจากหมบู่ า้ นพรานเนอื้ ไป ไปหาสหายซง่ึ   พบกันเพียงครู่เดียว แต่ลักษณะและวาจาเป็นที่ประทับใจของเขา  ยิ่งนกั เขาชื่อ “อนันตชนิ ”

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ในขณะน้ันแรงเร้าแห่งความรักลูกผุดพลุ่งข้ึนมา ท�ำให้เขา  ตอ้ งถอนใจ ความอาลยั ในลกู มมี ากพอทช่ี ว่ ยหน่วงเหนยี่ วเขาไว้อีก  ทำ� ใหเ้ ขาคดิ  เมอื่ คดิ ถงึ ลกู นอ้ ย จติ ใจของอปุ กะรสู้ กึ ออ่ นลง ดเู หมอื น  จะไม่อาจจากไปได้ แต่บารมีท่ีเคยบ�ำเพ็ญมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคย  สูญหายได้มาเตือน และเร่งเรา้ ให้เขาคดิ ถงึ พระอนันตชินอยา่ งแรง  คนื นนั้ เอง อปุ กะไดจ้ ดั แจงหอ่ ของเทา่ ทเี่ ปน็ ของตนและพกพาตดิ ตวั   ไปได้ เตรียมออกจากวังกหารชนบท ก่อนออกเดินทาง เขาอดที่จะมองดูลูกด้วยความอาลัยมิได ้ ปุตตวิปโยคเป็นความเศร้าอย่างใหญ่หลวงส�ำหรับบิดา แต่ในที่สุด  เขากต็ ดั สนิ ใจออกจากวงั กหารคามตอนดกึ สงดั คนื นนั้  เวลานจ้ี ติ ใจ  332 ของเขาค�ำนงึ ถึงแตภ่ าพแหง่ นักพรตรูปงามผูม้ นี ามว่า “อนันตชิน” มีหลายครั้งท่ีเขาจะหวนกลับมาหาลูกน้อยและบิดา (นาย  พราน) ผู้มีความปรารถนาดีต่อเขาตลอดมา แต่ความระอาใจต่อ  สุชาวดี ท�ำให้เขาหันหลังกลับ มุ่งหน้าไปหาสหายอนันตชิน ซึ่งเขา  ก็ไมแ่ นใ่ จวา่ เวลาน้อี ยู่แห่งหนต�ำบลใด ผทู้ เ่ี คยบำ� เพญ็ พรตมานาน เปน็ ผสู้ ลดใจไดเ้ รว็  และมอี ำ� นาจ  จิตพิเศษในการต่อต้านซ่ึงสิ่งที่ต่อต้านได้ยาก มีพลังจิตเข้มแข็งใน  การที่จะสละสิ่งที่บุคคลสละได้โดยยาก บารมีธรรมท่ีส่ังสมอยู่ใน  ดวงจิตเป็นส่ิงท่ีไม่เคยสูญหาย มันคอยกระตุ้นเตือนให้บุคคลเบน  ชีวิตไปตามวิถีทางท่ีเขาเคยเดินมาแล้วเป็นเวลานาน เขาเดินฝ่า  ความมดื ออกไป มที างเลย้ี วไปทางไหนเขากไ็ ปทางนน้ั  ไปอยา่ งไมม่ ี  จดุ หมาย เขาคดิ วา่ พอรงุ่ อรณุ กพ็ อจะหาทางทแี่ นน่ อนได ้ และพยายาม  สบื ถามวา่  เวลาน้ีพระอนันตชนิ อยู่ทีใ่ ด

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า จนกระทั่งสายตะวันโด่ง เขารู้สึกหิวเพราะเดินทางมา  เป็นเวลานาน อาหารก็มิได้ติดตัวมาเลย เขาออกจากบ้านอย่าง  กะทนั หัน ไมม่ ีแผนการลว่ งหนา้  ดงั นนั้  เมอื่ มาถึงหมบู่ า้ นแหง่ หนง่ึ   จงึ เขา้ ไปขออาหารจากชาวบา้ นพอประทงั หวิ  แลว้ เดนิ ทางตอ่ ไป คำ�่   ท่ีไหนนอนที่นั่น เท่ียงวันวันหนึ่งอากาศร้อนอบอ้าว หลังจากได้  เดินทางเหน็ดเหน่ือยเหงื่อโทรมกายแล้ว เขาแวะเข้าพัก ณ ใต้ร่ม  พฤกษใ์ หญใ่ บหนา ลมโชยมาเบาๆ ตอ้ งผวิ กายพอชมุ่ ชน่ื  เขาเอนตวั   ลงนอนพัก เอารากไม้แทนหมอนและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย  เขาตื่นข้ึนเม่ือพระอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตกมากแล้ว รู้สึก  ชมุ่ ชนื่ และมีก�ำลัง เขานง่ั ตรองถงึ ชวี ติ ในอดตี  โดยเฉพาะเวลา ๒ ปที อี่ ยรู่ ว่ มกบั   333 สชุ าวด ี เปน็ ระยะเวลาทเ่ี ขาลำ� บากชอกชำ�้ สดุ ประมาณได ้ ลำ� ดบั นน้ั   สุภาษิตเก่าๆ ท่ีโบราณบัณฑิตได้กล่าวไว้ก็แจ่มแจ้งแก่เขา ประดุจ  คบเพลงิ สวา่ งโร่ข้นึ ในมมุ มืด สุภาษิตนนั้ มดี งั น้ี - มีบิดาผู้ซ่ึงสะสมหน้ีสินไว้มากคือศัตรู มีมารดาผู้ซ่ึงมิได้ ประพฤติในความบริสุทธิ์คือศัตรู มีภรรยารูปงามคือศัตรู มิตรท่ี ปราศจากความรู้คอื ศตั รู - ความรเู้ ปน็ ประดจุ ยาพษิ  เพราะมไิ ดใ้ ชค้ วามรนู้ นั้ ใหเ้ หมาะ สม อาหารก็เปรียบเหมือนยาพิษ เพราะไม่ย่อย พระราชวังเป็น ประดุจยาพิษส�ำหรับคนเข็ญใจ ภรรยาสาวก็เปรียบเหมือนยาพิษ สำ� หรบั สามชี รา - แสงจันทร์และละอองฝนไม่เป็นท่ียินดีของคนหนาว แสง อาทติ ยไ์ มเ่ ปน็ ทพ่ี อใจของคนรอ้ น สามชี รายอ่ มไมเ่ ปน็ ทย่ี นิ ดพี อใจ

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ของภรรยาสาว - สามเี กศาหงอก ความรกั ของหญงิ สาวผภู้ รรยาจะมรี นุ แรงได้ อย่างไร ประดุจยาขมหรือไม่ขมก็ตาม ใครจะชอบรับประทานบ้าง เมื่อไม่จ�ำเป็น ด้วยเหตุน้ี สตรีจึงเอาใจออกห่างจากผัวแก่ไปฝักใฝ่ ในชายอืน่ - ความรกั ในสมบตั  ิ ความรกั ชวี ติ  ยอ่ มมอี ยใู่ นบคุ คลทว่ั ไปทกุ รูปทุกนาม แตเ่ มียสาวเป็นท่ีรักเลิศของผวั เฒ่ายงิ่ กวา่ หวั ใจ - ชายแก่มีสังขารทรุดโทรมแม้หมดก�ำลัง เพ่ือความสนุก รน่ื รมยก์ ย็ งั มวิ ายกระเสอื กกระสนเหมอื นสนุ ขั ถงึ ฟนั หกั เหยี้ น หาก พบเน้ือติดกระดูกท่ีตนไม่สามารถแทะท้ิงได้ ถึงกระน้ันก็ยังขอแต่ 334 ใหไ้ ดเ้ ลียกย็ ังดี - ไมม่ สี ถานท ี่ ไมม่ โี อกาส ไมม่ บี รุ ษุ จะชกั ชวนใหไ้ ขวเ้ ขว นารี บรสิ ทุ ธิ์อย่ไู ดเ้ พราะเหตุนี้ตา่ งหาก - เหตทุ ส่ี ตรจี ะทนเปน็ พรหมจารอี ยไู่ ด ้ มใิ ชจ่ ะเปน็ เพราะรสู้ กึ ละอาย มจี รยิ สมบตั ิ เกลยี ดการหยาบคายหรือมใี จเกรงขาม ทแ่ี ท้ เปน็ เพราะยังไม่มผี ปู้ รารถนาอยา่ งเดียวเทา่ น้นั - สตรีบางคนท�ำเป็นหวงตัวอย่างน่าหม่ันไส้ เหมือนใครจะ กระทบกระแทกมิได้เลยแม้แต่น้อย แต่พออยู่ในที่ลับตาคน เธอ กลบั โถมเข้าหาผู้ชายเหมอื นปลากระโดดลงนำ้� บัดน้ีเขาตัดใจจากสุชาวดีได้แล้ว เร่ืองเดียวท่ีวนเวียนอยู่ใน  จติ ของเขาคอื สหายผมู้ นี ามวา่ อนนั ตชนิ  เขารอนแรมตามลำ� พงั  จน  กระทงั่ ถึงเขตสาวัตถ ี ราชธานีแห่งแคว้นโกศล

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ปัจจุสกาลวันนั้น พระอนันตชินสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแผ่  ข่ายพระญาณออกครอบจักรวาล มองดูอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์ท ่ี พระองคจ์ ะโปรดได ้ อปุ กะเขา้ ไปในขา่ ยพระญาณแหง่ พระองค ์ ทรง  ทราบโดยตลอดว่า เชา้ วนั น้อี ปุ กะจะมาถงึ เชตวัน จงึ เสดจ็ ออกจาก  พระคันธกุฎี รับสั่งให้ประชุมสงฆ์ในเชตวนารามท้ังหมด แล้วตรัส  ว่าภิกษุท้ังหลาย วันน้ีถ้ามีอาคันตุกะมาถามหาบุคคลผู้มีนามว่า  อนนั ตชนิ  กข็ อใหพ้ าไปหาเราทค่ี นั ธกฎุ  ี ตรสั เทา่ นแี้ ลว้ ทรงใหโ้ อวาท  ภิกษุสงฆ์เป็นกรณีพิเศษ เกี่ยวกับเร่ืองความเคารพในปฏิสันถาร  มีอาทวิ า่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผเู้ คารพหนกั แนน่ ในพระศาสดา ในพระธรรม  มคี วามยำ� เกรงในสงฆ ์ มคี วามเคารพหนกั แนน่ ในสมาธ ิ มคี วามเพยี ร  335 เครอื่ งเผาบาป เคารพในไตรสกิ ขา และเคารพในปฏสิ นั ถารการตอ้ นรบั   อาคนั ตกุ ะ ผเู้ ช่นนน้ั ยอ่ มไม่เส่ือม ด�ำรงอย่ใู กลพ้ ระนพิ พาน” ตอนสายวันน้ันเอง อุปกะก็มาถึงบริเวณเชตวนารามอัน  ร่มรื่น เห็นภิกษุทั้งหลายก�ำลังสาธยายธรรมบ้าง ท�ำกิจอย่างอื่น  เปน็ ตน้ วา่ นง่ั เปน็ กลมุ่ ๆ สนทนาธรรมบา้ ง เขาเขา้ ไปหาภกิ ษกุ ลมุ่ หนง่ึ   นมสั การแล้วกลา่ วข้ึนว่า “พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีสหายผู้หน่ึงนามว่า ‘อนันต  ชิน’ เขาเป็นนักพรตท่ีสง่างาม ผิวพรรณผ่องใส ใบหน้าอิ่มเอิบ ม ี แววแห่งความกรุณาฉายออกจากดวงตาทั้งสอง ใช้เคร่ืองนุ่งห่ม  อย่างท่านน ี้ ท่านพอจะรู้จกั ผ้ซู ่งึ ข้าพเจ้าเอย่ นามถึงน้ีอยบู่ า้ งหรือ?” ภกิ ษกุ ลมุ่ นน้ั มองตากนั แลว้ ยม้ิ ๆ ดว้ ยความอศั จรรยใ์ จในการ  ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าของพระศาสดา ก็พระองค์ตรัสส่ังไว้เม่ือ 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เช้านเ้ี องว่า ถา้ มคี นมาถามหาพระอนนั ตชินให้พาไปเฝา้ พระองค์ ดงั นน้ั  ภกิ ษหุ นมุ่ รปู หนง่ึ จงึ กลา่ วขนึ้ วา่  “อบุ าสก พระอนนั ตชนิ   เป็นศาสดาแห่งเราท้ังหลาย พวกเราเป็นสาวกของพระองค์ ไฉน  เล่าพวกเราจะไม่รู้จักพระผู้มีพระนามเช่นน้ัน มาเถิด ตามข้าพเจ้า  มา จะน�ำไปเฝ้าพระอนันตชินพระองค์น้ัน” ว่าแล้วได้ลุกเดินน�ำ  อปุ กะไป ถึงพระคันธกุฎี พระพุทธองค์ทรงรอคอยอยู่แล้ว พระผู้ม ี พระภาคทรงเปล่งพระรัศมีซ่านออกจากพระกายท้ัง ๖ สี ดุจเดียว  กับวันท่ีพระองค์ได้พบอุปกะคร้ังแรกเม่ือตรัสรู้ใหม่ๆ อุปกะก้มลง  กราบพระมงคลบาทแห่งพระศาสดา มีน�ำ้ ตานองหน้า กราบทูลวา่ 336 “ข้าแต่พระอนันตชิน ท่านยังจ�ำข้าพเจ้าได้อยู่หรือ ข้าพเจ้า  เคยพบทา่ นครงั้ หนงึ่  แขวงเมอื งพาราณสี เปน็ เวลาหลายปมี าแลว้ ” “ดูก่อนอุปกะ” พระศาสดาตรัสตอบ “เราคอยการมาของ  ท่านอยู่ การมาของท่านคร้ังน้ีจะเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ท่าน”  พอไดย้ นิ คำ� วา่  “อปุ กะ” เทา่ นนั้  ปตี ปิ ราโมชกแ็ ผไ่ ปทวั่ สรรพางคข์ อง  อุปกะ ช่ือใดเล่าในโลกน้ีจะไพเราะอ่อนหวานย่ิงกว่าช่ือของตนเอง  ทกุ คนจะดใี จเปน็ อยา่ งยง่ิ เมอื่ ทราบวา่ ผอู้ นื่ จำ� ชอื่ ของตนไดอ้ ยา่ งแมน่   ย�ำ หลงั จากพรากกันไปเป็นเวลานาน “อุปกะ” พระองค์ตรัสต่อไป “หลังจากกันคราวนั้นแล้วท่าน  ไปอยทู่ ไี่ หน ทำ� อะไร พอทนไดอ้ ยหู่ รอื  เมอ่ื กอ่ นนด้ี ทู า่ นทรงเพศเปน็   นกั บวช บัดนีท้ �ำไมจึงเปล่ยี นแปลง?” อปุ กะไดเ้ ลา่ ความหลงั ทง้ั มวลใหพ้ ระศาสดาทราบโดยตลอด  แลว้ ทลู เพม่ิ เตมิ วา่  “พระองคผ์ เู้ จรญิ  ขา้ พระองคเ์ ดนิ หลงทางอยเู่ ปน็  

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า เวลานาน บัดนี้มาพบพระองค์เป็นคร้ังที่ ๒ คงจะด�ำเนินไปสู่ทางที ่ ถกู ตอ้ ง พระองคผ์ อู้ นเุ คราะหโ์ ลก โปรดอนเุ คราะหข์ า้ พระองคด์ ว้ ย  เถิด” พูดเท่าน้ันแล้ว เขาก็ซบศีรษะลงแทบพระบาทมูลแห่งพระ  ศาสดา พระจอมมุนีศากยบุตรประทับนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตรัสว่า “ด ู ก่อนอุปกะ การครองเรือนเป็นเรื่องยาก เรือนท่ีครองไม่ดีย่อมก่อ  ทกุ ขใ์ หม้ ากหลาย การอยรู่ ว่ มกนั กบั คนพาล เปน็ ความทกุ ขอ์ ยา่ งยงิ่   อุปกะเอย เครื่องจองจ�ำที่ท�ำด้วยเชือก เหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆ เรา  ไม่กล่าวว่าเป็นเคร่ืองจองจำ� ท่ีแข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำ�   คือบุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัติน่ีแล รึงรัดมัดผูกสัตว์ท้ังหลายให้ติด  อยู่ในภพไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกท่ีผูกหย่อนๆ แต่แก้ได้ยาก คือ  337 บ่วงบุตร ภรรยา และทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กล่ิน รส และ  โผฏฐัพพะน้ันเป็นเหยื่อของโลก เม่ือบุคคลยังติดอยู่ในรูป เป็นต้น  เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ไม่มีรูปใดที่จะรัดตรึงใจของบุรุษได้มาก  เท่ารูปแห่งสตรี ดูก่อนอุปกะ ผู้ตัดอาลัยในสตรีมิได้ ย่อมจะต้อง  เวยี นเกดิ เวยี นตายอยรู่ ำ่� ไป แมส้ ตรกี เ็ ชน่ เดยี วกนั  ถา้ ยงั ตดั อาลยั ใน  บุรุษไม่ได้ ย่อมประสบทุกข์บ่อยๆ กิเลสน้ันมีอ�ำนาจครอบคลุมอยู ่ โดยทั่ว ไม่เลือกว่าในวยั และเพศใด ดูก่อนอปุ กะ เราจะขอสาธกให้ฟงั สักเร่อื งหนึ่ง นานมาแล้ว มีมานพหนุ่มน้อยลามารดาบิดาไปเรียนศิลป  วิทยา ณ ส�ำนักทิศาปาโมกข์เมืองตักกศิลา เม่ือเรียนจบแล้วจึงลา  อาจารยก์ ลบั บา้ น มารดาตอ้ นรบั เขาดว้ ยความยนิ ดยี งิ่  เมอื่ สนทนา  กนั ไป มารดาถามวา่  ลกู ไดเ้ รยี นอสาตมนตแ์ ลว้ หรอื  ลกู ชายตอบวา่  

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ยังไม่ได้เรียน มารดาจึงข้อร้องให้ไปเรียนอสาตมนต์เสียก่อน เขา  จึงลามารดาไปหาอาจารย์ กราบเรียนให้อาจารย์ทราบว่ายังมีมนต์  สำ� คัญอยูอ่ ย่างหน่ึง ซ่งึ เขายงั มไิ ดเ้ รียนจากอาจารย ์ มารดาของเขา  ขอร้องให้มาเรียนอสาตมนต ์ อาจารย์ได้ทราบดังน้ันยินดีย่ิงนัก จึง  กล่าวว่า ‘มานพ เวลานี้เรามาพักอยู่ในป่า ไม่มีใครเลย นอกจาก  เราและมารดาผชู้ ราของเรา เธอจงปฏบิ ตั บิ ำ� รงุ มารดาของเราสกั ชว่ั   ระยะเวลาหนึ่ง แล้วเราจะบอกอสาตมนต์ให้ แต่ในขณะที่ปฏิบัต ิ มารดาของเรา เชน่  การอาบน้�ำ ปอ้ นขา้ วให้ และนวดฟน้ั  ใหเ้ จา้ จง  ชมเชยอวัยวะต่างๆ แห่งมารดาของเราทุกคร้ังไป เช่นว่า ‘มือสวย  เท้าสวย เป็นต้น’ มานพหนมุ่ รับค�ำของอาจารยด์ ้วยความปตี ิยนิ ดี 338 ตง้ั แตว่ นั นน้ั มา เขาตง้ั ใจปฏบิ ตั มิ ารดาของอาจารย ์ เชน่  การ  อาบนำ้� ให้ ปอ้ นข้าว และนวดฟ้ัน เปน็ ตน้ ‘มอื และแขนคณุ แมส่ วยนา่ ดเู หลอื เกนิ ’ วนั หนง่ึ เดก็ หนมุ่ เรมิ่   ท�ำตามทอ่ี าจารย์สอน นางยมิ้ อยา่ งรา่ เรงิ  ทงั้ ๆ ทฟี่ นั ของนางหกั หมดแลว้ และกลา่ ว  วา่ ‘มอื และแขนของฉันสวยจริงๆ หรอื พ่อหนมุ่  ฉันแกแ่ ล้วนะ’ ‘คณุ แมแ่ กแ่ ลว้  มอื และแขนยงั สวยขนาดนี้ เมอื่ คณุ แมส่ าวๆ  คงจะสวยมใิ ช่นอ้ ย ขาและเท้าของคุณแม่กส็ วย ใบหน้าก็งามซงึ้ น่า  ดูเหลือเกิน กระผมดูไม่เบ่ือเลย เม่ือคุณแม่ยังสาวคงจะสวยหาคน  เสมอเหมือนมิได้’ นางรสู้ กึ ปตี ยิ นิ ดอี ยา่ งลน้ เหลอื  เปน็ เวลานานมาแลว้ ทน่ี างไม ่ เคยไดย้ นิ คำ� ออ่ นหวานระรนื่ หชู กู ำ� ลงั ใจอยา่ งนเี้ ลย อะไรเลา่ จะเปน็  

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ท่ีพอใจของสตรีมากเท่าได้ยินค�ำชมว่าเธอสวย ไม่ว่าสตรีนั้นจะอยู ่ ในวัยใด มานพหนุ่มเวียนพูดชมเชยนางผู้เป็นมารดาของอาจารย ์ อยู่อย่างน้ีทุกวัน บางคราวเขายังพูดเพิ่มเติมว่า ถ้าเขาได้ภรรยาท ่ี มีความงามพร้อมเพียงคร่ึงหนึ่งของนาง เขาก็จะมีความสุขหาน้อย  ไม่ และท�ำทีเป็นมีความรู้สึกเสน่หาในตัวนางเสียสุดประมาณ จน  กระท่ังนางรู้สึกว่า หนุ่มน้อยนี้ยังคงมีจิตพิศวาสปฏิพัทธ์ในตัวนาง  เปน็ ทยี่ ิง่  วันหนึ่งจงึ ถามว่า ‘พอ่ หนมุ่  เธอมีความพอใจในตัวเรามากหรอื ?’ ‘มากเหลือเกินคุณแม่ กระผมไม่ทราบจะสรรหาค�ำพูดใดๆ  มาพูดให้สมกับความรูส้ ึกทกี่ ระผมมีต่อคุณแม่ได’้ ‘เธอจะเลยี้ งดูเราอย่างน้ีตลอดไปหรือ?’ ‘ตลอดไป คณุ แม ่ การไดอ้ ยใู่ กลช้ ดิ คณุ แมเ่ ปน็ ความสขุ อยา่ ง  339 ยิ่งของกระผม ถ้าคุณแม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปสักร้อยปี และกระผม  ปฏิบตั คิ ุณแม่อยู่อย่างน้ถี งึ ร้อยปี กระผมจะไมเ่ บอื่ หน่ายเลย’ หญงิ ชราเขา้ ใจวา่ มานพหนมุ่ มจี ติ ปฏพิ ทั ธใ์ นตน ใหร้ สู้ กึ กระสนั   ยง่ิ นกั  จงึ กลา่ ววา่  “กจ็ ะเปน็ ไรไปเจา้ หนมุ่  เมอื่ เธอปรารถนาอยา่ งนน้ั   ก็คงจะเป็นได้ เม่ือเธอตอ้ งการจะร่วมอภิรมย์กบั เรา เราก็ยินดี” ‘จะท�ำได้อย่างไรคุณแม่ คุณแม่เป็นแม่ของอาจารย์ กระผม  ต้องเคารพย�ำเกรงคุณแม่ย่ิงกว่าอาจารย์เสียอีก ตราบใดท่ีท่าน  อาจารย์มีชีวิตอยู่ กระผมจะท�ำอย่างน้ันไม่ได้เลย’ ว่าแล้วมานพ  หนุ่มก็แกล้งเคล้าเคลียและเอาใจหญิงชราย่ิงขน้ึ ‘พ่อหนุ่ม’ หญิงชราพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ‘เธอจะปฏิบัติเรา  ไมท่ อดท้ิงเราจริงๆ หรือ?’

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ‘ข้อนก้ี ระผมรับรองได้คณุ แม่’ มานพตอบ ‘ถ้าอย่างนั้น จะขัดข้องอะไรกับเรื่องชีวิตลูกชาย เธอฆ่าเขา  เสียก็หมดเรือ่ ง’ ‘กระผมจะฆ่าเขาได้อย่างไรครับคุณแม่ ท่านเป็นอาจารย์ท ่ี สอนศิลปศาสตร์ให้กระผมและดีต่อกระผมเหลือเกิน กระผมฆ่า  ทา่ นไมไ่ ด้ดอก’ มานพยนื ยัน ‘เธอรบั รองแนน่ ะ ว่าเธอจะไม่ทอดทง้ิ ฉัน’ หญงิ ชราพูด ‘ขอ้ นก้ี ระผมรับรองครบั คณุ แม’่  ชายหนุ่มตอบ ‘ถ้าอย่างน้ัน เมื่อเธอฆ่าไม่ได้ ฉันจะฆ่าเขาเอง’ หญิงชรา  พดู อยา่ งมนั่ คง 340 ‘เอาไว้รอคิดการดีๆ ให้รอบคอบก่อนเถิดครับคุณแม่’ พูด  แล้วชายหนุ่มก็ออกจากห้องของหญิงชราไปหาอาจารย์ เล่าเร่ือง  ทง้ั หมดใหอ้ าจารยท์ ราบ ความจรงิ เขาเลา่ เรอื่ งตา่ งๆ ตง้ั แตต่ น้ มาให้  อาจารยท์ ราบโดยตลอด เพราะถอื วา่ เปน็ การเรยี น และเรอ่ื งทงั้ หมด  เปน็ แผนการของอาจารยท์ จี่ ะสอนศษิ ยเ์ รอ่ื งอสาตมนต ์ ชายหนมุ่ พดู   อยา่ งไร หญงิ ชราแสดงอาการอยา่ งไร และโตต้ อบอยา่ งไร อาจารย์  ไดร้ ับทราบจากชายหนมุ่ เปน็ ระยะๆ ตลอดมา เมอื่ อาจารยไ์ ดท้ ราบจากชายหนมุ่  วา่ มารดาของตนคดิ จะฆา่   ตน ทีแรกรู้สึกสลดใจเล็กน้อย แต่เนื่องจากอาจารย์เป็นผู้รู้เรื่อง  อย่างนี้ดีอยู่แล้ว จึงวางเฉยได้ในไม่ช้า และตรวจดูอายุขัยแห่ง  มารดาตน ทราบว่าถึงอย่างไรๆ มารดาก็หมดอายุในวันพรุ่งนี้อยู ่ แลว้  ถงึ เหตกุ ารณป์ รกตไิ มม่ อี ะไรเกดิ ขนึ้  มารดากจ็ ะตอ้ งตายในวนั   พรุ่งนี้อยู่แล้ว จึงต้องการจะสอนศิษย์ให้รู้แน่ในวิชาอสาตมนต์ จึง 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า บอกชายหนุ่มให้ไปตัดไม้ต้นหน่ึง ท�ำให้มีลักษณะคล้ายรูปคนแล้ว  นำ� มาวางไวบ้ นเตยี งนอนของอาจารย ์ เอาผา้ คลมุ ไวแ้ ลว้  เอาเชอื กขงึ   จากหอ้ งของมารดา ทำ� เปน็ ราวมาสู่ห้องของตน ทกุ อย่างเรียบรอ้ ย ชายหนุ่มเขา้ ไปสู่หอ้ งของมารดาอาจารย ์ นวดฟั้นปฏิบัติอย่างที่เคย กล่าวชมเชยความงามของหญิงชราด้วย  ประการตา่ งๆ  ‘ว่าอย่างไร พ่อหนุ่ม’ หญิงชราพูดข้ึน ‘เมื่อเธอไม่ฆ่า เราจะ  ฆา่ เอง’ ‘คณุ แมจ่ ะฆา่ จรงิ ๆ หรอื ’ ชายหนมุ่ ถามแลว้ แสรง้ คลอเคลยี   แสดงความรกั ในหญงิ ชราใหม้ ากขน้ึ ดว้ ยความเคลบิ เคลม้ิ และหลงใหล  หญิงชรายืนยันอย่างแข็งขันว่าจะฆ่า ชายหนุ่มจึงกล่าวว่า เขาได ้ เตรยี มแผนการไวพ้ รอ้ มแลว้  ‘นขี่ วาน’ เขากลา่ ว ‘คณุ แมเ่ ดนิ ไปตาม  341 เสน้ เชอื กทขี่ งึ ไวน้ ี้ ปลายเชอื กไปสดุ ลงทใ่ี ด ทน่ี น่ั เปน็ เตยี งนอนของ  อาจารย ์ เวลานอ้ี าจารยน์ อนหลบั แลว้  พอสดุ ปลายเชอื กเอยี้ วตวั มา  ทางขวานดิ หนง่ึ  จะตรงคออาจารยพ์ อด ี คณุ แมฟ่ นั ทเี ดยี วใหค้ อขาด  แล้วเราจะอยดู่ ้วยกนั อยา่ งผาสกุ ตอ่ ไป’ หญิงชรานัยน์ตาฝ้าฟาง มองอะไรไม่ค่อยเห็นแล้ว เดินไม่  คอ่ ยถนดั เพราะความแกเ่ ฒา่  รบั ขวานจากชายหนมุ่ แลว้  งกงนั  เดนิ   คล�ำเส้นเชือกไป ใจของเธอเวลานี้ถูกห่อหุ้มด้วยโมหะ ถูกความ  เสน่หาเร่งเร้า ปลงใจฆ่าแม้แต่ลูกของตนเองซึ่งมีความดีงามพร้อม ทกุ ประการ เม่ือเดินคล�ำเส้นเชือกมาถึงปลายสุด หญิงชราก็เอ้ียวตัวมา  คล�ำดูบนเตียง มองเห็นรางๆ เหมือนภาพคนนอนคลุมผ้าอยู่ นาง  แน่ใจว่าเป็นลูกชายตน จึงจ้วงคมขวานลงสุดแรง คมขวานกระทบ 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ไมด้ งั โผละ นางรตู้ วั วา่ ถกู หลอกเสยี แลว้  ตกใจอยา่ งยงิ่  ประจวบกบั   ชรามาก ถงึ แล้วซ่ึงอายขุ ัย นางจึงส้นิ ใจตายอย ู่ ณ ทน่ี ้ันเอง อาจารย์และศษิ ย์หนมุ่ เฝา้ สงั เกตการณอ์ ยูโ่ ดยตลอด สังเวช  สลดใจเปน็ ทยี่ งิ่  ทงั้ สองยนื เศรา้ ซมึ อยใู่ กลๆ้  รา่ งของหญงิ ชราอยเู่ ปน็   เวลานาน ในทีส่ ุดอาจารย์กก็ ลา่ วขน้ึ วา่ ‘มานพ เธอได้เรียนอสาตมนต์จบเรียบร้อยแล้ว’ ชายหนุ่ม  ทรดุ ตวั ลงกราบอาจารย ์ และกอดเทา้ ทง้ั สองไว ้ พรำ่� รำ� พนั ถงึ เมตตา  กรุณาของอาจารย์ท่ีมีต่อตน น้�ำตาของเขาหยดลงสู่หลังเท้าของ อาจารย์ ในขณะนั้นความรู้สึกของเขาสับสนวุ่นวาย จนไม่อาจ  พรรณนาไดว้ า่ เปน็ ฉนั ใด 342 นี่เอง อสาตมนต์ท่ีมารดาของเขาเร่งเร้าให้มาเรียน ช่างเป็น  วชิ าทแ่ี ปลกและมีคณุ คา่ แก่ชวี ติ อย่างเหลือลน้ ” พระผมู้ พี ระภาคตรสั เลา่ เรอ่ื งอสาตมนตจ์ บแลว้  ทรงเพมิ่ เตมิ   วา่ “ดูก่อนอุปกะ ความทุกข์ท้ังมวล มีมูลรากมาจากตัณหา  อปุ าทานความทะยานอยากดน้ิ รน และความยดึ มนั่ ถอื มน่ั วา่ เปน็ เรา  เป็นของเรา รวมถงึ ความเพลิดเพลนิ ใจในอารมณ์ต่างๆ ส่ิงท่ีเข้าไป  เกาะเก่ียวยึดถือไว้โดยความเป็นตน เป็นของตน ที่จะไม่ก่อทุกข ์ กอ่ โทษใหน้ น้ั เป็นไมม่ ี หาไม่ไดใ้ นโลกน้ี เมอื่ ใดบุคคลมาเห็นสักแต ่ ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง รู้สักแต่ว่าได้รู้ เข้าไปเก่ียวข้องกับส่ิง ตา่ งๆ เพียงแตส่ ักวา่ ๆ ไม่หลงใหลพวั พันมวั เมา เม่อื นั้นจติ กจ็ ะว่าง  จากความยึดถือต่างๆ ปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู ่ ดูก่อนอุปกะ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า เธอจงมองดโู ลกน้ีโดยความเป็นของว่างเปลา่  มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอน  อตั ตานทุ ฏิ ฐ ิ คอื ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั เรอื่ งตวั ตนเสยี  ดว้ ยประการฉะน้ี  เธอจะเบาสบายคลายทกุ ขค์ ลายกงั วล ไมม่ คี วามสขุ ใดยง่ิ ไปกวา่ การ  ปลอ่ ยวาง และการสำ� รวมตนอยู่ในธรรม” อุปกะส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนาของพระตถาคต  เจ้า คลายสังโยชน์ คือกิเลสท่ีร้อยรัดใจออกเป็นเปราะๆ ได้บรรล ุ อนาคามผิ ลเปน็ พระอรยิ บคุ คลชน้ั ท ่ี ๓ ดว้ ยประการฉะนี้ 343

๒๘ เ มื่ อ ส า ล ว โ น ท ย า น ข า ว ด้ ว ย ม ห า วิ ป โ ย ค 344 ขอนำ� ทา่ นมาสบู่ รเิ วณสาลวโนทยาน กรงุ กสุ นิ าราอกี ครง้ั หนงึ่ ภายใต้แสงจันทร์สีนวลยองใยนั้น พระผู้มีพระภาคบรรทม  เหยียดพระกายในท่าสีหไสยา แวดล้อมด้วยพุทธบริษัทมากหลาย  แผ่เป็นปริมณฑลกว้างออกไปๆ ประดุจดวงจันทร์ที่ถูกแวดวงด้วย  กลมุ่ เมฆก็ปานกนั พระพทุ ธองคต์ รสั กบั พระอานนทว์ า่  “อานนท ์ เมอื่ เราลว่ งลบั   ไปแล้ว เธอทงั้ หลายอาจจะคิดว่า บัดน้ีพวกเธอไม่มีศาสดาแลว้  จะ  พึงว้าเหว่ไร้ที่พ่ึง อานนท์เอย พึงประกาศให้ทราบท่ัวกันว่า ธรรม  วินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว ขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจง  เป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป เธอทั้งหลายจงมีธรรมวินัย  เปน็ ทพ่ี ึ่ง อย่าได้มีอย่างอืน่ เปน็ ท่ีพ่งึ เลย”

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า 345

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “อานนท ์ อกี เรอื่ งหนง่ึ ทเี่ ราจะสงั่ เธอไว ้ คอื บดั นภี้ กิ ษทุ งั้ หลาย  เรียกกันว่า ‘อาวุโสๆ’ ทั้งผู้แก่และผู้อ่อน ต่อไปนี้ ขอให้ภิกษุผู้แก่  พรรษากว่า เรียกผู้อ่อนพรรษาว่า ‘อาวุโส’ (คุณ) ส่วนภิกษุผู้อ่อน  พรรษากวา่ พงึ เรยี กผแู้ กก่ วา่ วา่  ‘ภนั เต’ หรอื  ‘อายสั มา’ (ทา่ น) ผอ่ น  ผันตามควรแก่คารวโวหาร อานนท์ อีกเร่ืองหน่ึงคือเรื่องฉันนะ เธอเป็นพระที่ด้ือ มี  ทิฏฐิมานะมาก ไม่ยอมเช่ือฟังใคร ไม่ยอมอ่อนน้อมต่อใคร เพราะ  ถอื ดวี า่ เคยเปน็ ขา้ เกา่ ของเรา เคยใกลช้ ดิ เรามากอ่ นใครๆ หมด เมอ่ื   เราล่วงลับไปแล้ว ขอให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ คือเธอ  ปรารถนาจะท�ำจะพูดสิ่งใด หรือประสงค์จะอยู่อย่างไร ก็ให้เธอท�ำ  346 พดู และอยตู่ ามอธั ยาศยั  สงฆไ์ มพ่ งึ วา่ กลา่ วตกั เตอื นอะไรเธอ นเี่ ปน็   วธิ ลี งพรหมทณั ฑ ์ คอื การลงทัณฑท์ ห่ี นักที่สุดแบบอรยิ ะ อานนท์ อีกเร่ืองหนึ่ง คือสิกขาบทบัญญัติท่ีเราได้บัญญัติไว ้ เพื่อภิกษุทั้งหลายจะได้อยู่ด้วยกันอย่างผาสุก ไม่กินแหนงแคลงใจ  กัน มีธรรมเป็นเคร่ืองอยู่เสมอกัน สิกขาบทบัญญัติเหล่าน้ันมีอยู่  เป็นจ�ำนวนมาก เม่ือเราล่วงลับแล้ว สงฆ์พร้อมใจกันจะถอนสิกขา  บทเลก็ นอ้ ยซง่ึ ขดั กบั กาลกบั สมยั เสยี บา้ งกไ็ ด้ กาลเวลาลว่ งไป สมยั   เปล่ียนไป จะเป็นความล�ำบากในการปฏิบัติสิกขาบทท่ีไม่เหมาะ  สมัยเช่นน้นั  เราอนญุ าตใหถ้ อนสกิ ขาบทเล็กน้อยได”้ เมื่อพระอานนท์มิได้ทูลถามอะไร พระธรรมราชาจึงตรัสต่อ  ไปว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้มาประชุมกันอย ู่ ณ ที่น ้ี ผู้ใดมีความ  สงสัยเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรคหรือปฏิปทา  ใดๆ ก็จงถามเสีย ณ บัดน้ี เธอท้ังหลายจะได้ไม่เสียใจภายหลังว่า 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า มาอยเู่ ฉพาะพระพกั ตรพ์ ระศาสดาแลว้  มิไดถ้ ามขอ้ สงสัยแห่งตน” ภิกษุทุกรูปเงียบกริบ บริเวณปรินิพพานมณฑลสงบเงียบ  ไมม่ เี สยี งใดๆ เลย แมจ้ ะมพี ทุ ธบรษิ ทั ประชมุ กนั อยเู่ ปน็ จำ� นวนมาก  กต็ าม ทกุ คนปรารถนาจะฟงั แตพ่ ระพทุ ธดำ� รสั  เพอ่ื เปน็ เครอ่ื งเตอื น  ใจเปน็ ครั้งสดุ ท้าย บัดนี้พระก�ำลังของพระผู้มีพระภาคเจ้าเหลืออยู่น้อยเต็มที  แลว้  ประดจุ นำ�้ ทเ่ี ทราดลงไปในดนิ ทแ่ี ตกระแหงยอ่ มพลนั เหอื ดแหง้   หายไป มิได้ปรากฏแก่สายตา ถึงกระน้ัน พระบรมโลกนาถก็ยัง  ประทานปัจฉิมโอวาท เปน็ พระพทุ ธดำ� รัสสุดทา้ ยว่า “ภิกษุท้ังหลาย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอ  เตอื นเธอทง้ั หลายใหจ้ ำ� มน่ั ไวว้ า่  สงิ่ ทงั้ ปวงมคี วามเสอ่ื มและความสนิ้   347 ไปเป็นธรรมดา เธอทงั้ หลายจงอยดู่ ้วยความไม่ประมาทเถิด” ย่างเข้าสปู่ ัจฉมิ ยาม พระจนั ทร์โคจรไปทางขอบฟา้ ทศิ ตะวัน  ตกแลว้  แสงโสมสาดสอ่ งผา่ นทวิ ไมล้ งมา ทอ้ งฟา้ เกลย้ี งเกลาปราศ-  จากเมฆหมอก รัศมีแจ่มจรัส ดูเหมือนจะจงใจส่องแสงเปล่งปล่ัง  เปน็ พเิ ศษครงั้ สดุ ทา้ ย แลว้ สลวั ลงเลก็ นอ้ ย เหมอื นจงใจอาลยั ในพระ  ศาสดาผเู้ ปน็ ครูของเทวดาและมนุษย์ พระผู้มีพระภาคมีพระกายสงบ หลับพระเนตรสนิท พระ  อนุรุทธเถระซ่ึงเป็นพระเถระผู้ใหญ่อยู่ในเวลาน้ัน และได้รับการ  ยกยอ่ งจากพระผมู้ พี ระภาควา่ เปน็ เลศิ ทางทพิ ยจกั ษ ุ ไดเ้ ขา้ ฌานตาม  ทราบว่าพระพุทธองค์เข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และ  จตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้วเข้าสู่อรูปสมาบัติ คือ อากา-  สานญั จายตนะ วญิ ญาณญั จายตนะ อากญิ จญั ญายตนะ เนวสญั ญานา 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ สัญญายตนะ และสัญญาเวทยิตนิโรธตามล�ำดับ แล้วถอยกลับมา  จากสัญญาเวทยิตนิโรธจนถึงปฐมฌาน และเข้าปฐมฌานไปจนถึง  จตตุ ถฌานอกี  เมอ่ื ออกจากจตตุ ถฌาน ยงั มไิ ดท้ นั ไดเ้ ขา้ สอู่ ากาสา-  นญั จายตนะ พระองคก์ ป็ รนิ ิพพานในระหวา่ งน้นั ในที่สดุ  แม้พระพุทธองค์เองก็ต้องประสบอวสานเหมือนคน  ทงั้ หลาย พระธรรมทพ่ี ระองคเ์ คยพร�่ำสอนมาตลอดพระชนมชพี วา่   สตั วท์ ง้ั หลายมคี วามตายเปน็ ทสี่ ดุ นน้ั  เปน็ สจั ธรรมทไ่ี มย่ กเวน้ แมแ้ ต่  พระองคเ์ อง ตลอดเวลา ๔๕ พรรษา ทท่ี รงบำ� เพญ็ พทุ ธกจิ นน้ั  ทรงลำ� บาก ตรากตรำ� อยา่ งยง่ิ ยวด ทรงเสวยเพยี งวนั ละมอื้  เพยี งเพอื่ ใหม้ พี ระ- 348 ชนม์อยู่เพื่อประโยชน์แก่โลก พระอัครสาวกท้ังสองได้ปรินิพพาน ไปก่อนแลว้  นิครนถน์ าฏบตุ ร หรอื ศาสดามหาวีระ ค่แู ข่งผู้ยง่ิ ใหญ่ ในการประกาศศาสนา กไ็ ดส้ นิ้ ชพี ไปแลว้  อบุ าสกผเู้ สยี สละอยา่ งยง่ิ เช่น อนาถปิณฑิกคฤหบดี ก็ละทิ้งสังขารของตนจากไปก่อนแล้ว ทงั้ ผเู้ ปน็ มติ รและตงั้ ตนเปน็ ศตั รกู บั พระองค ์ ตา่ งกท็ ยอยกนั เขา้ ไป สปู่ ากแหง่ มรณะกนั ตามล�ำดบั ๆ แมพ้ ระองคจ์ ะตอ้ งนพิ พานไป แต่ ศาสนายังอยู่ พระธรรมค�ำสอนของพระองค์ยังคงอยู่เป็นประทีป ส่องโลกต่อไป จ�ำนวนผู้เคารพเลื่อมใสในศาสนธรรมของพระองค์ ไดเ้ พมิ่ พนู เออ่ สงู เหมอื นนำ�้ ทบ่ี า่ สงู ขนึ้ โดยไมม่ เี วลาลด รากแกว้ แหง่ พระพทุ ธศาสนาไดห้ ยั่งลงแล้วอยา่ งแทจ้ รงิ ในจิตใจของมนษุ ยชาติ นึกย้อนหลังไปเม่ือ ๔๕ ปีก่อนปรินิพพาน พระองค์เป็นผู้  โดดเดี่ยว เมื่อปัญจวัคคีย์ทอดทิ้งไปแล้วพระองค์ก็ไม่มีใครอีกเลย  ภายใตโ้ พธบิ ลั ลงั กค์ รง้ั กระนนั้  แสงสวา่ งแหง่ การตรสั รไู้ ดโ้ ชตชิ ว่ งขน้ึ  

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า พร้อมด้วยแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณ พระองค์มีเพียงหยาดน้�ำค้างบน  ใบโพธิพฤกษ์เป็นเพ่ือน ต้องเสด็จจากโพธิมณฑลไปพาราณสีด้วย  พระบาทเปล่าถึง ๑๐ วัน เพียงเพื่อหาเพื่อนผู้จะรับค�ำแนะน�ำของ  พระองคส์ กั  ๕ คน ตอ่ มาบดั น ้ี พระองคม์ ภี กิ ษสุ งฆส์ าวกเปน็ จำ� นวน  แสนจ�ำนวนล้าน มีหมู่ชนเป็นจ�ำนวนมากเดินทางจากทิศานุทิศ  เพียงเพ่ือได้เข้าเฝ้าพระองค์ เพราะคนทั้งหลายรู้สึกว่าการได้เห็น  พระพทุ ธเจ้าน้ัน เป็นความสขุ อย่างยิ่งของเขา เมอื่  ๔๕ ปมี าแลว้  ทรงมเี พยี งหญา้ คามดั หนงึ่ ทนี่ ายโสตถยิ ะ  น�ำมาถวาย และทรงท�ำเป็นที่รองประทับ มาบัดนี้มีเสนาสนะมาก  หลายทส่ี วยงาม ซง่ึ มผี ศู้ รทั ธาสรา้ งอทุ ศิ ถวายพระองค ์ เชน่  เชตวนั   เวฬวุ นั  ชวี กมั พวนั  มหาวนั  ปพุ พาราม นโิ ครธาราม โฆสติ าราม ฯลฯ  349 เศรษฐี คหบดี ต่างแย่งชิงกันจองเพ่ือให้พระองค์รับภัตตาหารของ  เขา แนน่ อนทเี ดยี ว หากพระองคเ์ ปน็ พระเจา้ จกั รพรรดิ คงจะไมไ่ ด ้ รับความนยิ มเล่อื มใสถงึ ขนาดนแี้ ละไมย่ นื นานถงึ ปานนี้ เม่ือ ๔๕ ปีมาแล้ว ภายใต้โพธิพฤกษ์อันร่มเย็นริมฝั่งแม่น�้ำ  เนรัญชรา พระองค์ได้บรรลุแล้วซึ่งกิเลสนิพพาน ก�ำจัดกิเลสและ  ความมืดให้หมดไป และบัดน้ีภายใต้ต้นสาละทั้งคู่ และความเย็น  เยอื กแห่งปัจฉิมยาม พระองค์กด็ บั แล้วดว้ ยขันธนพิ พาน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระรูปอันวิจิตรด้วยมหา ปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ มีพระ ธรรมกายอันส�ำเร็จแล้วด้วยนานาคุณรัตนะ มีศีลขันธ์อันบริสุทธ์ิ ด้วยอาการทั้งปวงเป็นต้น ถึงฝั่งแห่งความเป็นผู้ย่ิงใหญ่ ด้วยยศ ดว้ ยบญุ  ดว้ ยฤทธ ์ิ ดว้ ยกำ� ลงั และดว้ ยปญั ญา พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook