Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระอานนท์พุทธอนุชา

พระอานนท์พุทธอนุชา

Published by 200bookchonlibrary, 2021-03-15 08:38:13

Description: PraRnon

Search

Read the Text Version

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระองคน์ น้ั  ยงั ตอ้ งดบั แลว้ ดว้ ยการตกลงแหง่ ฝนคอื มรณะ เหมอื น กองอัคคใี หญ่ต้องดบั มอดลง เพราะฝนหา่ ใหญต่ กลงมาฉะน้ัน พระองค์เคยตรัสไว้ว่า “ไม่ว่าพาลหรือบัณฑิต ไม่ว่ากษัตริย์  พราหมณ์ ไวศยะ ศูทร หรือจัณฑาล ในท่ีสุดก็ต้องบ่ายไปหน้าไป  สู่ความตาย เหมือนภาชนะไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ในท่ีสุดก็ต้องแตก  สลายเหมอื นกนั หมด” นนั้ ช่างเป็นความจริงเสียนีก่ ระไร อนั วา่ ความตายน้ีมอี ิทธิพลย่งิ ใหญ่นัก ไมม่ ีใครสามารถต้าน  ทานตอ่ สดู้ ว้ ยวธิ ใี ดๆ ไดเ้ ลย กา้ วเขา้ ไปสปู่ ราสาทแหง่ กษตั รยิ าธริ าช  และแมใ้ นวงชีวิตของพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าอย่างสงา่ ผ่าเผย ปราศ-  จากความสะทกสะท้านใดๆ เช่นเดียวกับก้าวเขา้ ไปส่กู ระทอ่ มนอ้ ย  350 ของขอทาน พญามัจจุราชนี้เป็นตุลาการท่ีเท่ียงธรรมยิ่งนัก ไม่เคย  ล�ำเอียงหรือกินสินบนของใครเลย ย่อมพิจารณาคดีตามบทพระ  อัยการ และอา่ นค�ำพิพากษาด้วยถอ้ ยคำ� อนั หนกั แนน่ เดด็ เดี่ยว ไม่  ฟังเสียงคัดค้านและขอร้องของใคร ท่ามกลางเสียงคร�่ำครวญอัน  ระคนด้วยกล่ินธูปควันเทียนน้ัน ท่านได้ยื่นพระหัตถ์ออกกระชาก  ให้ความหวังของทุกคนหลุดลอย และแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตาม  พระบัญชาของพระองค์ เม่ือมาถึงจุดน้ี ความยิ่งใหญ่ของผู้ยิ่งใหญ่  ทง้ั หลาย ก็จะกลายเป็นเพยี งนิยายทีไ่ วเ้ ลา่ สู่กนั ฟังเทา่ น้ัน มงกุฎประดับเพชรก็มีค่าเท่ากับหมวกฟาง พระคทาอันม ี ลวดลายวจิ ติ รกเ็ หมอื นทอ่ นไมท้ ไ่ี รค้ า่  เมอื่ ความตายมาถงึ เขา้  พระ  ราชาก็ต้องถอดมงกุฎเพชรลงวาง ท้ิงพระคทาไว้แล้วเดินเคียงคู่ไป  กบั ชาวนา หรอื ขอทาน ผซู้ งึ่ ไดท้ งิ้ จอบ เสยี ม หมวกฟาง และคนั ไถ  หรอื ภาชนะขอทานไว้ใหท้ ายาทของตน

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ใครเล่าจะต่อกรกับพญามัจจุราชผู้ใหญ่ในสิ่งท่ีต้องตาย แต่  ถ้าไม่มีความตายแล้ว มนุษย์ทั้งหลายก็จะมัวเมาประมาท และมี  ชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากกว่าน้ี พญามัจจุราชก็มีบุญคุณกับ  มนษุ ยม์ ากอย ู่ เพราะเพยี งแตน่ กึ ถงึ ทา่ นบอ่ ยๆ เทา่ นนั้  กท็ ำ� ใหค้ วาม  โลภ โกรธ และหลงสงบลง และเพยี งแตเ่ อาชอื่ ของทา่ นไปขเู่ ทา่ นน้ั   กท็ ำ� ใหบ้ คุ คลบางคนวางมอื จากความชวั่ ทจุ รติ ทเี่ คยทำ� มา แตก่ พ็ ญา  มัจจุราชน่ีเอง ที่กระชากเอาชีวิตของคนดีมีประโยชน์บางคนไป  อยา่ งหน้าตาเฉย แม้ในโอกาสอนั ยังไม่ควร แมค้ วามงามอนั เฉดิ ฉายของหญงิ งามสะคราญตารา่ นใจ อนั   ถูกยกย่องแล้วว่าเป็นหนึ่งในจักรวาล เป็นท่ีต้องการปรารถนาย่ิง  นักของบุรุษทุกวัยในพ้ืนพิภพ เธอผู้งามพร้อมเช่นน ้ี ในท่ีสุดก็ต้อง  351 เป็นเหย่ือของความตายผู้ไม่เคยยกเว้นและปรานีใครเลย เม่ือดาบ  แห่งมัจจุราชฟาดฟันลง ใช้บ่วงอันมีมหิทธานุภาพย่ิงนักคล้องเอา  ดวงวิญญาณไปแล้ว ร่างอันงดงามเร้ากามคุณให้กำ� เริบนั้น ก็พลัน  นอนนงิ่ เหมอื นทอ่ นไม ้ มนั ไรค้ า่ ยง่ิ กวา่ ทอ่ นไมเ้ สยี อกี  เพราะไมอ่ าจ  น�ำไปท�ำประโยชน์ใดๆ ได้เลย จะท�ำสัมภาระหรือเป็นเคร่ืองมือหุง  ข้าวต้มแกงก็มิได้ มีแต่เป็นเหยื่อของหมู่หนอนเข้าชอนไช ให้ปรุ  พรุนเนา่ เหมน็  เป็นทสี่ ะอดิ สะเอยี นแม้แก่บคุ คลทเ่ี คยรกั เหมอื นจะ  ขาดใจ อะไรเลา่ เปน็ สาระในชวี ติ มนษุ ยน์  ี้ นอกเสยี จากความดที เ่ี คย  บ�ำเพญ็  และท้ิงไว้ใหโ้ ลกระลึกถงึ และยกย่องบูชา ด้วยประการฉะนี้เจ้าของแห่งเรือนร่างท่ีงดงามพร้ิงเพรา ถ้ามัวแต่มาสนใจในร่างอันไร้สาระของตน มิได้ขวนขวายบ�ำเพ็ญ  ประโยชนใ์ หส้ มกบั ทเี่ กดิ มาเปน็ มนษุ ยแ์ ลว้  คณุ คา่ ของเขาจะสกู้ อ้ น 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ อฐิ ปถู นนไดอ้ ยา่ งไร พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ปรนิ พิ พานไปแลว้  พระกายของพระองค ์ เหมือนคนท้ังหลาย ซึ่งจะต้องแตกสลายไปในที่สุด แต่ความดีและ  เกียรติคุณของพระองค์ยังคงด�ำรงอยู่ในโลกต่อไปอีกนานเท่าใดไม ่ อาจจะกำ� หนดได้ ความดีน่เี องท่ีเป็นสาระอันแท้จริงของชวี ติ ขณะเดียวกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประ-  เสริฐ ละท้ิงวิบากขันธ์อันทรมาน เข้าสู่ศิวโมกข์มหาปรินิพพานนั้น  เหตุอัศจรรย์ก็บันดาลให้เป็นไปท่ัวท้องธรณีและสากลจักรวาลโลก  ธาต ุ มหาปฐพดี ลซงึ่ สามารถรองรบั นานาสงั ขารลกั ษณะ เชน่  ภเู ขา  สิเนรุราช เป็นต้น ก็ไม่อาจทนอยู่ได้ แสดงกัมปนาการหว่ันไหว  352 อีกท้ังห้วงมหรรณพก็ก�ำเริบ ตีฟองคะนองครืนครั่นนฤนาทสนั่น  ทว่ั ทง้ั สาคร หมมู่ จั ฉาปาณกชาต ิ มงั กรผดุ ดำ� กระทำ� ศพั ทใ์ หน้ ฤโฆษ  ประดุจเสียงปริเทวนาการแซ่ซ้อง โศกาดูรก�ำสรดท้องฟ้านภากาศ  ก็มืดมัวสลัวลง พร้อมทั้งมีเสียงครืนครั่นสนั่นท่ัวเวหาส เหมือน  แสดงอาการครำ่� ครวญถึงองคพ์ ระโลกนาถผู้จากไป มองลงมาพ้ืนปฐพี ณ สาลวโนทยานมณฑล ซ่ึงคลาคล่�ำไป  ด้วยศาสนิกชนพุทธบริษัท  อร่ามไปด้วยกาสาวพัสตร์อำ� ไพพรรณ  และทวยนาครผู้มีความอาลัยในพระศาสดา พอเสียงก้องกังวาน  ระคนเศรา้ ของพระอานนทพ์ ระพทุ ธอนชุ าประกาศออกมาวา่  บดั น้ี  พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วเท่านั้น เสียงร่�ำไห้ก็ระงมข้ึน  พร้อมกัน ประดุจเสียงจักจ่ันและเรไรกรีดร้องยามย�่ำสนธยา ทั้ง  คฤหัสถ์และบรรพชิตท่ียังเป็นปุถุชนไม่อาจจะอดกลน้ั อัสสชุ ลธารา  ไว้ได้ ร่�ำร้องโหยไห้ประดุจบิดาแห่งตนสิ้นชีพลงพร้อมๆ กัน ณ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า บริเวณสาลวันเปียกชุ่มไปด้วยน�้ำตา เหมือนพระพิรุณโปรยลงมา  เป็นครง้ั คราว เสียงร�่ำไหต้ ิดตอ่ เปน็ เสียงเดยี วกนั ท่วั กุสนิ ารานคร ฝ่ายภิกษุผู้เป็นขีณาสพสิ้นอาสวะแล้ว ก็ปลงธรรมสังเวช พร้อมด้วยปลอบผู้ท่ีก�ำลังร้องไห้คร่�ำครวญด้วยธรรมกถา ให้เห็น  ความเปน็ ไปตามธรรมดาแหง่ สงิ่ ทง้ั ปวง คอื ความไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์  และมใิ ช่ตวั ตน ทนไม่ได้ ต้องแตกไป ดบั ไป สลายไป พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วแต่ต้นปัจฉิมยามแห่ง  ราตรี เวลายังเหลืออยู่อีกนานกว่าจะรุ่งอรุณ พระอนุรุทธ์และพระ  อานนท์ได้สับเปล่ียนกันแสดงธรรมปลอบพุทธบริษัทให้คลายโศก  ดว้ ยธรรมเทศนาอนั ปฏสิ งั ยตุ ดว้ ยไตรลกั ษณาการ คอื ความไมเ่ ทย่ี ง  เปน็ ทกุ ข์ และเปน็ อนัตตา ข่าวการดับขันธปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้าแพร ่ 353 สะพดั ไปอยา่ งรวดเรว็ จากแควน้ สแู่ ควน้  จากราชธานสี รู่ าชธาน ี จาก  นคิ มสนู่ คิ ม และจากชนบทสชู่ นบท ตลอดทว่ั ชมพทู วปี  ภารตวรรษ  ทงั้ หมดส่ันสะเทอื นวปิ โยค ประดจุ บุรษุ ผู้มกี �ำลังดึงย่านเถาวัลย์อัน  เก่ียวพันรุกขสาขา ยังความสั่นสะเทือนให้เกิดขึ้นทั่วมณฑลแห่ง  รกุ ขชาตกิ ป็ านกนั  ไอแหง่ ความเศรา้ สลดแผก่ ระเซน็ สาดกระจายไป  ท่ัวขัณฑสีมาอาณาเขต ประหนึ่งละอองฝนกระจายไปทั่วพื้นเมทน ี ชมพูทวีปท้ังหมดคร้ึมไปด้วยเมฆคือความโศก และชุ่มโชกด้วย  ละอองฝนคือปริเทวนาการ ต่อเน่ืองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย  ประการฉะน้ี ก�ำหนดเก็บพระพุทธสรีระไว้เป็นเวลา ๖ ราตรี ในวันท่ี ๗  ก็จะท�ำพิธีถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ในระหว่าง ๖ ทิวา 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ราตรีนั้น มหาชนจากทิศานุทิศเดินทางมาเพ่ือบูชาพระพุทธสรีระ  บริเวณอุทยานสาลวันปานประหนึ่งคลุมด้วยผ้าขาว ท้ังนี้เพราะ  ชาวชมพูทวีปไว้ทุกข์ด้วยชุดขาวล้วน พระพุทธอนุชาอานนท์ต้อง  รบั ภาระหนกั เปน็ พเิ ศษ แมจ้ ะพยายามหกั หา้ มใจสกั ปานใด แตก่ ม็  ี บางครงั้ เมอื่ ทา่ นเหน็ คนทง้ั หลายเศรา้ โศก กอ็ ดทจ่ี ะกำ� สรดตามมไิ ด ้ เพราะความอาลัยในพระศาสดามอี ยู่ในจติ ใจของท่านสดุ ประมาณ เม่ือถึงวันที่ ๗ พระพุทธสรีระก็ถูกน�ำไปสู่มกุฏพันธนเจดีย์  ดา้ นบรู พากสุ นิ ารานครเตรยี มถวายพระเพลงิ  พอดมี ขี า่ วมาวา่ พระ  มหากสั สปะซง่ึ เปน็ เถระผใู้ หญท่ พี่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงยกยอ่ งมาก  ก�ำลังเดินทางจากเมืองปาวา จวนจะถึงอยู่แล้ว คณะมัลลกษัตริย ์ 354 และพระอานนทจ์ งึ ใหห้ ยดุ การถวายพระเพลงิ ไวก้ อ่ น รอจนกระทงั่   มหากสั สปะมาถงึ  พธิ จี งึ ไดเ้ รม่ิ ขน้ึ โดยมพี ระมหากสั สปะเปน็ ประธาน ผ้า ๔๙๘ ชั้นที่ห่อพระพุทธสรีระนั้นถูกไฟไหม้หมด เหลือ  อยู่เพียง ๒ ชั้นไฟไม่ไหม้ เก็บรักษาพระบรมสารีริกธาตุได้อย่าง  สมบรู ณ ์ มใิ หก้ ระจดั กระจาย ผา้  ๒ ชน้ั ในทส่ี ดุ ใชห้ อ่ พระพทุ ธสรรี ะ  นน้ั  เปน็ ผา้ พเิ ศษ เรยี กวา่  “อคั คโิ วทานทสุ สะ” ตามตวั อกั ษรแปลวา่   ซักด้วยไฟ ผ้าชนิดนี้ท�ำด้วยใยหิน ไฟไม่ไหม้ เมื่อใช้ไปนานๆ ต้อง  การจะซกั  ตอ้ งโยนเขา้ กองไฟ ผ้าจะสะอาดดงั เดมิ อกี ครง้ั หนงึ่  ทเ่ี สยี งปรเิ ทวนาการดงั ระงมไปทวั่ ปรมิ ณฑลแหง่   มกุฏพันธนเจดีย์อันเป็นที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระ อัสสุชลธารา  หล่ังไหลชุ่มโชกทุกใบหน้า เขาเหล่าน้ันเป็นประดุจฝูงวิหคนกกาท ี่ เคยจบั โพธพิ ฤกษห์ รอื มหานโิ ครธอนั สมบรู ณด์ ว้ ยลำ� ตน้ และกงิ่ กา้ น  สาขามเี งาครมึ้  สะพรง่ั ดว้ ยผลาผลอนั เอมโอช เมอ่ื โพธห์ิ รอื ไทรนน้ั  

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ล้มลง ยังความเศร้าสลดแก่ฝูงวิหคสุดประมาณคร้ังหนึ่งแล้ว เมื่อ  ต้นไม้นั้นถูกเผาไหม้มอด ไม่อาจมองเห็นได้อีกต่อไป นกเหล่าน้ัน  จะเศร้าโศกสกั ปานใด ใครเล่าจะรู้ซง้ึ ไปกวา่ ผปู้ ระสบเอง “โอ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐ” นี่คือเสียงคร่�ำครวญ  “พระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณากว้างใหญ่ดุจห้วงมหรรณพ มีน้�ำ  พระทัยใสบริสุทธ์ิดุจน้�ำค้างเมื่อรุ่งอรุณ ทรงมีพระทัยหนักแน่นดุจ  มหดิ ล รบั ไดท้ ้งั เร่ืองดแี ละเรื่องร้าย ทรงสละความสุขสว่ นพระองค ์ ขวนขวายเพ่อื ความสงบรม่ เย็นของปวงชน พระองค์เปน็ ผปู้ ระทาน  แสงสว่างแก่โลกภายในคือดวงจิต ประดุจพระอาทิตย์ให้แสงสว่าง  แก่โลกภายนอกคือท้องฟ้าปฐพ ี บัดน้ีพระองค์ปรินิพพานเสียแล้ว  มองไม่เห็นแม้แต่เพียงพระสรีระ ซ่ึงเคยรับใช้พระองค์โปรยปราย  355 ธรรมรัตน์ ประหนึ่งม้าแก้วแห่งพระเจ้าจักรพรรด ิ เป็นพาหนะน�ำ  เจ้าของตรวจความสงบสขุ แหง่ ประชากร โอ พระมหามนุ  ี ผเู้ ปน็ จอมชน บดั นข้ี า้ พระองคท์ งั้ หลายเปน็   ประดุจนกในเวหา ไร้โพธ์ิหรือไทรที่จะจับเกาะ ประดุจเด็กน้อย  ผขู้ าดมารดา เหมอื นเรอื ทล่ี อยควา้ งอยใู่ นมหาสมทุ ร อา้ งวา้ งวา้ เหว ่ สดุ ประมาณ จะหาใครเล่าผเู้ สมอเหมือนพระองค”์ แม้พระอานนท์พุทธอนุชาเอง ก็ไม่สามารถจะอดกลั้นน้�ำตา  ไว้ได้ เป็นเวลา ๒๕ ปี จ�ำเดิมแต่รับหน้าที่พุทธุปัฏฐากมา เคย  รบั ใชใ้ กลช้ ดิ พระผมู้ พี ระภาคเสมอื นเงาตามองค์ บดั นพี้ ระพทุ ธองค์  เสดจ็ จากไปเสยี แลว้  ทา่ นรสู้ กึ วา้ เหวแ่ ละเงยี บเหงา ไมไ่ ดเ้ หน็ พระองค์  อีกต่อไป เวลา ๒๕ ปีนานพอท่ีจะก่อความรู้สึกสะเทือนใจอย่าง  รนุ แรงเมอื่ มีการพลัดพราก

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ แต่แล้ว เรื่องท้ังหลายก็มาจบลงด้วยสัจธรรมท่ีพระองค์ทรง  พร�ำ่ สอนอยเู่ สมอวา่ “ส่ิงใดส่ิงหนึ่งมีความเกิดข้ึน ส่ิงนั้นย่อมมีการดับไปเป็น ธรรมดา สงิ่ ทง้ั หลายทง้ั ปวงเกดิ ขน้ึ เพราะมเี หต ุ สงิ่ นน้ั ยอ่ มดบั ไปเมอื่ เหตุดบั สงิ่ ทงั้ หลายเกดิ ขน้ึ ในเบอ้ื งตน้  ตงั้ อยใู่ นทา่ มกลาง และดบั ไป ในทสี่ ุด” บัดน้ีพระพุทธองค์ดับแล้ว ดับอย่างหมดเชื้อ ท้ิงวิบากขันธ ์ และกิเลสานุสัยท้ังปวง ประดุจกองไฟดับลงแล้ว เพราะหมดเช้ือ  356 ฉะนนั้

๒๙ ห น่ึ ง วั น ก่ อ น ป ร ะ ชุ ม สั ง ค า ย น า 357 เมื่อถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว พระมหากัสสปะได้ให้  ประชุมสงฆ์ปรารภเพื่อท�ำสังคายนาพระธรรมวินัย นัดหมายให้  ทรงจำ� กนั ไดว้ า่  ธรรมอนั ใด วนิ ยั อนั ใด พระผมู้ พี ระภาคทรงสง่ั และ  ทรงสอนไว้ว่าอย่างไร ท้ังน้ีโดยค�ำนึงถึงค�ำกล่าวจ้วงจาบพระธรรม  วินัยและพระศาสดาของภิกษุชรานามว่าสุภัททะ ท่านกล่าวกลาง  มหาสมาคมวา่ “ดกู อ่ นทา่ นผนู้ ริ ทกุ ขท์ ง้ั หลาย สมยั เมอ่ื ขา้ พเจา้ เดนิ ทางจาก  กรงุ ปาวามาสกู่ สุ นิ ารานครน ี้ มภี กิ ษเุ ปน็ อนั มากเปน็ บรวิ าร ขณะมา  ถงึ กงึ่ ทาง ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั ขา่ วปรนิ พิ พานของพระผมู้ พี ระภาค ภกิ ษ ุ ท้ังหลายผู้เป็นปุถุชนยังมีอาสวะอยู่ ไม่อาจอดกลั้นความโศกไว้ได ้ ต่างก็ปริเทวนาการคร่�ำครวญถึงพระผู้มีพระภาคพระองค์น้ัน ส่วน  ภิกษุผู้ส้ินอาสวะแล้วก็ปลงธรรมสังเวชแบบอริยชน แต่มีภิกษ ุ

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ นอกคอกรูปหน่ึงบวชแล้วเม่ือชรา นามว่าสุภัททะ ได้กล่าวขึ้นว่า  “ทา่ นทง้ั หลายอยา่ เสยี ใจ อยา่ เศรา้ โศกเลย พระสมณโคดมนพิ พาน  เสยี กด็ แี ลว้  พวกเราจะไดเ้ ปน็ อสิ ระ เมอื่ พระสมณโคดมยงั อย ู่ คอย  จู้จี้ว่า สิ่งน้ีควรท�ำ สิ่งนี้ไม่ควรท�ำ ข่มขู่ ขนาบพวกเราท้ังหลายด้วย  ระเบยี บวนิ ยั มากหลาย เหมอื นจะเหยยี ดมอื เหยยี ดเทา้ ไมอ่ อก บดั นี ้ พระสมณโคดมนพิ พานแลว้  เปน็ ลาภของพวกเราทงั้ หลาย ตอ่ ไปน้ี  พวกเราตอ้ งการท�ำอะไรกจ็ ะไดท้ �ำ ไมต่ อ้ งการท�ำอะไรกไ็ มต่ อ้ งท�ำ” “ดกู อ่ นผไู้ มห่ ลงใหลในบว่ งมาร” พระมหากสั สปะกลา่ วตอ่ ไป  “ความจรงิ สภุ ทั ทะผชู้ ราไมพ่ อใจพระศาสดาเปน็ สว่ นตวั  เพราะเธอ  ไม่เข้าใจในพระผูม้ พี ระภาคเจา้  เรื่องมวี า่ 358 ครงั้ หน่ึงนานมาแล้ว สมยั เม่อื พระพุทธองคเ์ ทยี่ วจาริกโปรด  เวไนยนกิ รชน เสดจ็ จากเมอื งกสุ นิ ารานไ้ี ปยงั เมอื งอาตมุ า สมยั นน้ั   สุภัททภิกษุบวชแล้ว และลูกชายของเธอทั้งสองคนก็บวชเป็น  สามเณร เมื่อพระศาสดาเสด็จมาถึงเมืองอาตุมา สุภัททภิกษุก็จัด  การตอ้ นรับพระพทุ ธองคเ์ ปน็ การใหญ่ เที่ยวป่าวประกาศชาวเมือง  ให้เตรียมขัชชโภชนาหารถวายพระองค ์ และให้สามเณรลูกชายทั้ง  สองออกเท่ียวเร่ียไรชาวนคร น�ำเอาข้าวสารปลาแห้ง และเคร่ือง  บรโิ ภคอน่ื ๆ อกี มาก ชาวบา้ นผศู้ รทั ธาในพระศาสดาแมจ้ ะไมศ่ รทั ธา  ในสุภัททภิกษุ ก็ถวายของมาเป็นจ�ำนวนมาก สุภัททะรวบรวม  ของได้เป็นกองใหญ่แล้วจัดการท�ำเอง ปรุงอาหารเอง เตรียมการ  โกลาหล รงุ่ ขนึ้ พระศาสดาเสดจ็ ออกบณิ ฑบาตตามปรกต ิ มภี กิ ษตุ าม  เสดจ็ พอประมาณ สภุ ทั ทะได้ทราบข่าวน้ีจึงออกจากโรงอาหาร ถือ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ทพั พดี ว้ ยมอื ขา้ งหนงึ่  มกี ายขะมกุ ขะมอมดว้ ยเขมา่ ไฟ รบี วงิ่ ออกไป  ตามพระศาสดาในละแวกบา้ น เมอื่ อยเู่ ฉพาะพระพกั ตร ์ เขาคกุ เขา่   ข้างหนงึ่ ลง และชันเขา่ อกี ข้างหนึง่ ในท่ายองพรหม ประนมมอื ทง้ั ๆ  ทมี่ ีทพั พีอย่ ู กราบทูลวา่ ‘พระผมู้ พี ระภาคผเู้ จรญิ  ขอพระองคเ์ สดจ็ กลบั เถดิ  อยา่ ออก  บิณฑบาตเลย ขชั ชโภชนาหารขา้ พระองค์ไดจ้ ดั เตรยี มไว้เรยี บรอ้ ย  แลว้  ขา้ พระองคอ์ าศยั ความเลอ่ื มใสในพระองคเ์ ปน็ ทตี่ ง้ั  จงึ ขวนขวาย  เพื่อพระองค์ แม้อาหารทุกอย่างข้าพระองค์ก็ปรุงเอง ท�ำด้วยมือ  ของตนเอง ขอพระองคเ์ สด็จไปสอู่ ารามเถดิ  อาหารพรอ้ มอยูแ่ ลว้ ’ พระจอมมุนีประทับอยู่ระหว่างทาง ทรงมองดูสุภัททะด้วย  สายพระเนตรท่แี สดงอาการต�ำหนิ และทรงหา้ มถึง ๒ ครัง้  ในคร้ัง  359 ที่ ๓ จึงตรัสว่า ‘อย่าเลย สุภัททะ เธออย่ายินดีพอใจให้ตถาคตท�ำอย่างน้ัน  เลย การบิณฑบาตเป็นพุทธวงศ์ อาหารที่ได้มาจากการบิณฑบาต  เปน็ อาหารท่ีบริสุทธยิ์ ่งิ ดกู อ่ นสภุ ทั ทะ อาหารทที่ วยนาครหงุ เตรยี มไวเ้ พอื่ มนุ กี ม็ อี ย่ ู เรอื นละนดิ เรอื นละหนอ่ ย เมอ่ื กำ� ลงั แขง้ ของเรายงั มอี ย่ ู เราจะเทยี่ ว  ไปแสวงหาอาหารด้วยปลนี อ่ งนี้ ดูก่อนสุภัททะ อาหารที่เธอท�ำน้ันไม่สมควรท่ีสมณะจะพึง  บรโิ ภค เปน็ อกปั ปยิ โภชนะ อนง่ึ ทางทเี่ ธอไดม้ ากไ็ มส่ จุ รติ  เธอไปขอ  จากคฤหสั ถซ์ ง่ึ มใิ ชญ่ าต ิ และมใิ ชป่ วารณา คอื เขาไมไ่ ดบ้ อกอนญุ าต  ไว้ โดยเฉพาะอย่างย่ิง สมณะไม่ควรท�ำอาหารบริโภคเอง ดูก่อน  สุภัททะ แม้ไส้ของเราจะขาดสะบ้ันลงเพราะความหิว เราก็ไม่ยินด ี

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ บรโิ ภคโภชนะของเธอ กรรมทไ่ี มถ่ กู ไมค่ วร นา่ ตำ� หน ิ เธอไดท้ ำ� แลว้   อนง่ึ เลา่  ดซู  ิ อาการของเธอนเ้ี หมาะสมกบั ความเปน็ สมณะนกั หรอื   วง่ิ ออกมาทงั้ ๆ ทมี่ อื ถอื ทพั พอี ย่ ู จวี รกม็ ไิ ดห้ ม่ ใหเ้ ปน็ ปรมิ ณฑล ชา่ ง  ร่มุ ร่ามเสียเหลอื เกิน ดูก่อนสุภัททะ อย่านึกว่าเราไม่เข้าใจเจตนาดีของเธอ เรา  รู้และเห็นเจตนาดีของเธอ แต่เธอท�ำไม่ถูก เจตนาดีนั้นก็พลอยก่อ  ใหเ้ กดิ ผลรา้ ยไปดว้ ย การเตรยี มขชั ชโภชนาหารไวต้ อ้ นรบั นนั้  เปน็   เรอ่ื งของคฤหสั ถท์ เ่ี ขาจะท�ำกนั  ถา้ เธอตอ้ งการบชู าเรา กจ็ งตง้ั หนา้   ปฏิบัติตามธรรมวินัย ท�ำตนเป็นคนว่าง่าย และเล้ียงง่าย เรียกว่า  ปฏบิ ัตบิ ูชาเถิด 360 ดูก่อนสุภัททะ คนที่ปราศจากหิริโอตตัปปะ มีความกล้า  ประดจุ กา มกั จะมีชวี ติ อยู่อย่างสะดวกสบาย แต่ไรค้ วามสขุ ใจและ  ภาคภมู ใิ จ สว่ นผมู้ หี ริ โิ อตตปั ปะ สงบเสงย่ี มแบบมนุ  ี เขา้ สสู่ กลุ มใิ ห้  กระทบกระทงั่ ศรทั ธาและโภคะของคฤหสั ถ์ เหมอื นแมลงผง้ึ เขา้ ไป  ในป่าดูดเอาน�้ำหวานในเกสรดอกไม้ แต่มิให้บุปผชาติชอกช้�ำน้ัน  ย่อมเปน็ อยยู่ าก แต่มคี วามสุขและภาคภมู ใิ จ’ พระตถาคตเจา้ ตรสั อยา่ งนนั้ แลว้ เสดจ็ เลยไป มไิ ดส้ นพระทยั   กับสุภัททภิกษุอีกเลย พระสุภัททะทั้งเจ็บและทั้งอาย แต่พูดอะไร  ไมอ่ อก จึงผกู ใจเจ็บพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตั้งแตบ่ ดั น้ันเป็นต้นมา ดูก่อนผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคมีพระทัยเป็นธรรมาธิปไตย  คือทรงถือความถูกความควรเป็นใหญ่อย่างแท้จริง แม้ใครจะท�ำ  อะไรๆ เพื่อพระองค์ แต่ถ้าการกระท�ำนั้นไม่ถูกต้องตามท�ำนอง  คลองธรรม พระองคก์ ไ็ มท่ รงยนิ ดดี ว้ ย แตก่ ารกระทำ� ของภกิ ษบุ าง 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า รปู  ซง่ึ ในสายตาของผอู้ น่ื ดเู หมอื นจะเปน็ การขาดความเคารพรกั ใน  พระศาสดา ดเู หมอื นจะไมห่ ว่ งใยพระองค์ แตก่ ารกระท�ำอนั นน้ั ถกู   ตอ้ งตามทำ� นองคลองธรรม พระองคก์ ท็ รงอนโุ มทนาสาธกุ าร อยา่ ง  เรอื่ งพระธมั มารามเปน็ อทุ าหรณ”์ “ดกู อ่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย” พระมหากสั สปะกลา่ วตอ่ ไป “พระ  ศาสดานพิ พานเพยี ง ๗ วนั เทา่ นน้ั  ยงั มโี มฆบรุ ษุ กลา้ กลา่ วจว้ งจาบ  พระธรรมวินัยและพระศาสดาถึงเพียงน้ี ต่อไปภายหน้า ภิกษุผู ้ ลามก มจี ิตทราม คดิ ว่าศาสนาปราศจากศาสดาแลว้  พึงเหยียบยำ�่   พระธรรมวินัยสักปานใด เพราะฉะน้ันเราท้ังหลายจงประชุมกัน  เพ่ือสังคายนาพระธรรมวินัยตามที่พระศาสดาเคยทรงสอนและ  บัญญัตไิ ว”้ ต่อจากน้ันก็มีการประชุมปรึกษากันว่าควรจะทำ� สังคายนา  361 ทใี่ ด ในทส่ี ดุ ตกลงกนั วา่  ควรจะทำ� ทกี่ รงุ ราชคฤห ์ เหลอื เวลาอยอู่ กี   เดือนคร่ึงจะเข้าพรรษา ท่ีประชุมตกลงกันว่า จะท�ำสังคายนาใน  พรรษาตลอดเวลา ๓ เดอื น พระมหากสั สปะพาภกิ ษหุ มหู่ นงึ่ มงุ่ ไป  สกู่ รงุ ราชคฤห ์ พระอนรุ ทุ ธพ์ าภกิ ษอุ กี หมหู่ นงึ่ ไปสกู่ รงุ ราชคฤหเ์ ชน่   เดียวกัน ส่วนพระอานนท์พุทธอนุชามีภิกษุสงฆ์แวดล้อมเป็นบริวาร  เดินทางไปสู่นครสาวัตถี ทุกหนทุกแห่งที่ท่านผ่านไปมีเสียง  ครำ�่ ครวญประดจุ วนั ทพ่ี ระศาสดานพิ พาน ทกุ คนมใี บหนา้ เปยี กชมุ่   ด้วยน�้ำตา กล่าวว่า “พระคุณเจ้าอานนท์ผู้เจริญ ท่านน�ำเอาพระ  ศาสดาไปทงิ้ เสยี  ณ ทใ่ี ดเลา่ ” คำ� พดู เพยี งสนั้ ๆ แตก่ นิ ความลกึ ซงึ้ นี้  ท�ำให้จิตใจของพระพุทธอนุชาหวั่นไหวและตื้นตัน ความเศร้าของ 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ท่านซ่ึงสงบระงับลงบ้างแล้ว กลับฟื้นตัวขึ้นอีกเหมือนโรคอันสงบ  ลงดว้ ยฤทธย์ิ า และกลบั กำ� เรบิ ขน้ึ เพราะของแสลง ถงึ กระนนั้ ทา่ นก ็ พยายามใหค้ วามโศกสลดสงบระงบั ลง ดว้ ยการนอ้ มเอาโอวาทของ  พระศาสดาประคบั ประคองใจ และแลว้ กป็ ลอบโยนพทุ ธศาสนิกให้  คลายโศก ดว้ ยเทศนาอนั กลา่ วถงึ ไตรลกั ษณ์ คอื ความไมเ่ ทย่ี ง เปน็   ทุกข์และเป็นอนัตตา แล้วเดินทางมาโดยล�ำดับ จนกระท่ังลุถึง  สาวัตถีราชธานีแห่งแคว้นโกศล เข้าไปสู่เชตวนาราม มีพุทธบริษัท  มาแวดล้อมแสดงอาการเศร้าโศกถงึ พระศาสดาอกี พระอานนทพ์ ทุ ธอนชุ าเขา้ ไปสพู่ ระคนั ธกฎุ ที พี่ ระผมู้ พี ระภาค  เคยประทับ หมอบลงกราบที่พุทธอาสน์ เก็บกวาดเสนาสนะให ้ 362 เรียบร้อย ตั้งน้�ำด่ืมน้�ำใช้ไว้เหมือนอย่างที่เคยท�ำเม่ือพระศาสดา  ประทบั อย ู่ ประชาชนชาวสาวตั ถไี ดเ้ หน็ อาการดงั นแี้ ลว้  หวนคดิ ถงึ   ความหลงั ครงั้ เมอื่ พระพทุ ธองคย์ งั ทรงพระชนมอ์ ยู่ สดุ ทจี่ ะหกั หา้ ม  ความตนื้ ตนั และเศรา้ หมองได ้ จงึ หลง่ั นำ้� ตาอกี ครง้ั หนงึ่  ประหนงึ่ วา่   นำ้� ตาขา้ งหนง่ึ หลงั่ ไหลเพราะสงสารพระพทุ ธอนชุ า และอกี ขา้ งหนงึ่   เพราะคำ� นงึ ถงึ ดว้ ยความอาลยั รกั ในพระผมู้ พี ระภาค ความอาลยั รกั   และความสงสารเม่ือรวมกัน ลองคิดดูเถิดว่าสภาพจิตใจของผู้นั้น  จะเป็นประการใด เนอื่ งจากเหนด็ เหนอื่ ยทรมานกายมานาน ตง้ั แตพ่ ระผมู้ พี ระภาค  ทรงพระประชวร จนถงึ พระองคป์ รนิ พิ พาน และงานถวายพระเพลงิ   พระพุทธสรีระ ล้วนแต่เป็นงานหนักทั้งส้ิน พระพุทธอนุชามีสิ่ง  หมกั หมมในรา่ งกายมาก จงึ ตอ้ งฉนั ยาระบาย เมอื่ มาถงึ เชตวนาราม  นั่นเอง ทั้งน้ีเพื่อขับถ่ายสิ่งหมักหมมในร่างกายออก เพื่อให้สรีระ

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า กระปร้ีกระเปร่าขน้ึ วันรุ่งขึ้นจากวันที่ฉันยาระบายแล้ว สุภมานพบุตรแห่ง  โตเทยยพราหมณ์ส่งคนมาอาราธนาพระอานนท์เพื่อไปฉันที่บ้าน  ของตน พระอานนทข์ อเลอื่ นเวลาไปอกี วนั หนงึ่  โดยแจง้ ใหท้ ราบวา่   เพงิ่ ฉนั ยาระบายใหมๆ่  ไมอ่ าจเขา้ สลู่ ะแวกบา้ นได ้ อกี วนั หนงึ่ จงึ เขา้ ไป  สนู่ เิ วศนข์ องสภุ มานพโตเทยยบตุ รพรอ้ มดว้ ยพระเจตกะ สภุ มานพ  ถามวา่  พระผมู้ พี ระภาคเมอื่ ยงั ทรงมพี ระชนมอ์ ยนู่ น้ั  ทรงสอนเรอ่ื ง  อะไรอยู่เป็นเนืองนิตย์ พระพุทธอนุชาวิสัชนาว่า พระองค์ทรงย�้ำ  หนักเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา จุดมุ่งหมายแห่งพรหมจรรย์นี้ อยู่ท่ ี ความหลุดพ้นจากกิเลสาสวะทั้งมวล ส่วนศีล สมาธิและปัญญาน้ัน  เป็นเพียงมรรคหรือทางส�ำหรับเดิน สุภมานพมีความเล่ือมใสใน  363 ธรรมเทศนาของพระอานนท์ จวนจะเข้าพรรษา พระอานนท์จึงจาริกสู่เบญจคีรีนครเพ่ือ  ประชุมท�ำสังคายนา พระภิกษุท่ีล่วงหน้าไปก่อนได้ขออุปถัมภ์จาก  พระเจา้ อชาตศตั รใู หซ้ อ่ มแซมทพ่ี กั สงฆถ์ งึ  ๑๘ แหง่  และตกลงใจจะ  ประชุมสังคายนาท่ีหน้าถ้�ำสัตตบรรณ เชิงเวภารบรรพต พระเจ้า  อชาตศัตรูทรงรับเป็นศาสนูปถัมภกโดยตลอด ทั้งเร่ืองอาหารและ  ที่พกั ทปี่ ระชุม พระเจ้าอชาตศัตรูเวเทหิบุตรทรงให้สร้างมณฑปงดงาม  อ�ำไพพรรณ ประหนงึ่ เนรมิตโดยหัตถแ์ ห่งวศิ วกรรมเทพบตุ ร มฝี า  เสาและบันไดจัดแจงเป็นอย่างดี อร่ามด้วยมาลากรรมและลดา  กรรมประเภทตา่ งๆ งามชดชอ้ ย พระราชมณเฑยี รสถานหรอื วมิ าน  แห่งเทพผู้มีศักดิ์มิปานได้ เจิดจ้าสง่ารุ่งเรือง ประหน่ึงจะรวมเอา 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ความงามในโลกท้ังมวลมาไวใ้ นที่แหง่ เดยี ว ทรงให้ตกแต่งมณฑปเพริศพรายดังวิมานพรหม มีเพดาน  ทองประดจุ คาบพวงดอกไมอ้ นั มกี ลนิ่ หอมประทนิ ใจลงมา บปุ ผชาต ิ นานาพนั ธห์ุ ลากสตี า่ งมาชมุ นมุ กนั  ณ ทน่ี นั้  ภมู สิ ถานละลานแวววาว  ประดุจปูลาดด้วยแก้วมณีอันสุกใส เสร็จแล้วทรงไปปูเคร่ืองลาด  อาสนะอนั ควรแกส่ มณะมคี า่ ประมาณมไิ ด้ ๕๐๐ ท ี่ เพอ่ื ภกิ ษ ุ ๕๐๐  รูปในมณฑปนั้น ทรงให้จัดอาสนะแห่งพระเถระชิดทางด้านทิศ  ทกั ษณิ  ผนิ พกั ตรไ์ ปทางทศิ อดุ ร ทรงใหจ้ ดั ทปี่ ระทบั สำ� หรบั พระผมู้  ี พระภาค หันพระพักตร์ไปทางด้านบูรพา ณ ท่ามกลางมณฑปน้ัน  เสร็จแล้วทรงประกาศแก่สงฆ์ว่า “พระคุณเจ้าท้ังหลาย กิจของ  364 ข้าพเจา้ ส�ำเรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้  เร่ืองต่อไปแลว้ แตพ่ ระคุณเจา้ เถิด” เหลอื เวลาอกี เพยี งวนั เดยี วจะถงึ วนั ประชมุ สงั คายนา แตพ่ ระ  พุทธอนุชายงั มไิ ด้สำ� เร็จอรหัตตผล คงเป็นเพียงโสดาบัน ภิกษบุ าง  รปู ไดเ้ ตือนพระอานนท์ว่า ขอใหท้ ่านเรง่ ทำ� ความเพียรพยายามเข้า  เถิด พรุ่งนี้แล้วจะเป็นวันมหาสันนิบาต มีระเบียบว่าผู้เข้าประชุม  ท้งั หมดจะตอ้ งเป็นพระขณี าสพ ตั้งแต่เดินทางมาถึงเบญจคีรีนคร พระอานนท์ได้ท�ำความ  เพียรอย่างติดต่อ เพ่ือให้ได้บรรลุอรหัตตผล แต่หาส�ำเร็จตาม  ประสงค์ไม่ ในคืนสุดท้ายน่ันเอง ท่านได้เริ่มทำ� ความเพียรตั้งแต่อาทิตย์  อสั ดง ตง้ั ใจอยา่ งมน่ั คงวา่ จะใหถ้ งึ พระอรหตั ตผลในคนื นนั้  ปฐมยาม  ล่วงไปแล้วก็ยังไม่อาจท�ำอาสวะให้สิ้น ล่วงเข้าสู่มัชฌิมยาม พระ  พทุ ธอนชุ าทำ� ความเพยี รตอ่ ไป ทา่ นระลกึ ถงึ พระดำ� รสั ของพระศาสดา 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ทปี่ ระทานไวก้ อ่ นปรนิ พิ พานวา่  “อานนท ์ เธอเปน็ ผมู้ บี ญุ ทไ่ี ดบ้ ำ� เพญ็   สั่งสมมาแล้วมาก เธอจะได้บรรลุอรหัตตผลในไม่ช้าหลังจากเรา  ปรินพิ พานแลว้ ” พระพุทธด�ำรัสนี้ก่อให้เกิดความม่ันใจแก่พระอานนท์เป็น  อันมาก และความม่ันใจอันน้ีอีกเหมือนกันกระตุ้นจิตเร้าใจให้ท่าน  ทำ� ความเพยี รอยา่ งไมห่ ยดุ ยงั้  จวนจะถงึ กงึ่ มชั ฌมิ ยามนนั่ เอง ทา่ น  คิดว่าจะพักผ่อนเสียหน่อยหนึ่ง แล้วจะท�ำความเพียรต่อไปตลอด  ราตรี ท่านจึงลงจากที่จงกรม ล้างเท้าให้สะอาดแล้วทอดกายลง  ขณะล้มตัวลงศีรษะยังไม่ทันถึงหมอนและยกเท้าขึ้นจากพื้นน่ันเอง  จิตของท่านก็หลุดพ้นจากอาสวะท้ังมวล ส�ำเร็จเป็นพระอรหันต ์ ในขณะนั้น พรอ้ มดว้ ยปฏสิ มั ภทิ าและอภิญญาสมาบัติ พระพุทธอนุชาประสบปีติปราโมชอย่างใหญ่หลวง ความ  365 ร้สู กึ ปรากฏแกใ่ จวา่  ความเกดิ สน้ิ แลว้  พรหมจรรยอ์ ยจู่ บแลว้  กจิ ท ี่ ควรท�ำได้ท�ำเสร็จแล้ว กิจอ่ืนท่ีจะต้องท�ำในท�ำนองเดียวกันนี้ไม่มี  อีกแล้ว บัดน้ีภพใหม่ไม่มีอีกต่อไป ภพท้ังสาม คือกามภพ รูปภพ  และอรปู ภพ ปรากฏแกท่ า่ นผบู้ รรลแุ ลว้ ซง่ึ อรยิ ภมู ิ ประหนง่ึ มเี พลงิ   โหมอยทู่ ว่ั  ไดย้ ำ่� ยคี วามเมาทง้ั ปวงแลว้  ไดน้ ำ� ความกระหายทงั้ มวล  ออกไปแลว้  ไดถ้ อนอาลยั ในกามคณุ อนั เปน็ ทอ่ี าลยั ยนิ ดอี ยา่ งยงิ่ ของ  มวลสตั วไ์ ดแ้ ลว้  ตดั วฏั ฏะอนั ทำ� ใหห้ มนุ เวยี นมาเปน็ เวลานานไดแ้ ลว้   ตัณหาความดิ้นรนร่านใจได้หมดส้ินไปแล้ว คลายความก�ำหนัด  ได้แล้ว ดับเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์ท้ังปวงได้แล้ว ถึงแล้วซึ่งความ  เยือกเย็นอย่างย่ิง ดวงจิตท่ีเคยเร่าร้อนด้ินรน บัดนี้ได้อาบแล้วซึ่ง  ธัมโมทกอย่างเต็มที่ ประหน่ึงหิมะละลายลงสู่ศิลาแท่งทึบ ซ่ึงเคย 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 366

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ถกู แดดเผามาเปน็ เวลานาน อา ภาวะแหง่ ผปู้ ลดเปลอ้ื งตนจากกเิ ลส  เสยี ไดเ้ ปน็ อยา่ งนเ้ี อง ชา่ งประสบกบั ภาวะสงบเยน็ อยา่ งเตม็ ทเ่ี สยี น ่ี กระไรสงบเหมือนน้�ำในแอ่งน้อยซึ่งอยู่ในป่าลึก สดใสเหมือน  หยาดน�้ำค้างเมื่อรุ่งอรุณ อุ่นประดุจแสงแดดเมื่อยามเช้า อะไรเล่า  จะนา่ ปรารถนาของชวี ติ ยง่ิ ไปกวา่ น ี้ นเ่ี องทพี่ ระศาสดาตรสั อยเู่ สมอ  วา่  “พระนพิ พานซง่ึ สงบเยน็ อยา่ งยงิ่  การสำ� รอกตณั หาโดยไมเ่ หลอื   เช้ือ การสละและการบอกคืนตัณหา การพ้นไปอย่างปราศจาก  อาลยั ในตณั หาเปน็ ความสขุ ชน่ื บานเกินเปรียบ” บคุ คลผไู้ ดบ้ รรลแุ ลว้ ซงึ่ ธรรมอนั ประเสรฐิ  คอื พระนพิ พานนี้ ย่อมเป็นผู้มีความอดทนอย่างย่ิงต่อความเย็น ร้อน หิวกระหาย และสมั ผสั รา้ ย อนั เกดิ จากเหลอื บยงุ  ลมแดด และสตั วเ์ ลอื้ ยคลาน 367 ทงั้ หลาย เป็นผู้วางเฉยได้ต่อถ้อยคำ� ล่วงเกิน ถ้อยคำ� เสียดสี ค�ำด่าว่า ของผู้อ่ืน เปน็ ผอู้ ดทนอยา่ งยง่ิ ตอ่ ทกุ ขเวทนาทเ่ี กดิ จากอาพาธประเภท ตา่ งๆ อนั เกดิ ขน้ึ อยา่ งกลา้ แขง็  ทำ� ใหห้ มดความสำ� ราญ ยากทบี่ คุ คล ท่วั ไปจะทนได้ เป็นผู้วางเฉยต่ออารมณ์อนั มาย่ัวยวน เป็นผู้ก�ำจัดราคะ โทสะ และโมหะได้แล้วอย่างเด็ดขาด มี กิเลสอันย้อมใจดุจน�้ำฝาดอันตนส�ำรอกออกได้แล้ว เป็นผู้ควรรับ ของท่ีเขาน�ำมาบูชา ควรได้รับการต้อนรับ ควรแก่ของที่ทายกผู้มี ศรทั ธาจะทำ� บญุ  ควรเคารพกราบไหว ้ เปน็ เนอื้ นาบญุ ของโลก ไมม่ ี นาบุญอ่นื ยง่ิ กวา่

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ จุดหมายอันใดเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดส�ำหรับผู้บวช บัดน้ี พระพุทธอนุชาได้บรรลุแล้วซึ่งจุดหมายอันนั้น คืนนั้นท่านเสวย วิมุตตสิ ุขอยู่ตลอดราตรี ในท่ีสุด วันมหาสังคายนาก็มาถึง เป็นวันส�ำคัญอย่างย่ิงวัน  หนึ่งของพระพุทธศาสนา ภิกษุล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ประกอบ  ด้วยอภิญญาและสมาบัติ ๕๐๐ รูป ประชุมเป็นมหาสันนิบาต ณ  หนา้ ถำ้� สตั ตบรรณ เชงิ ภเู ขาเวภาระ ธงแหง่ ผา้ สกี าสายะ คอื เหลอื ง  หมน่  สะบัดพลวิ้ ตามแรงลมดูงามรงุ่ เรอื ง เสียงเภรีสลับเสียงระฆังดังข้ึนเป็นสัญญาณว่าสงฆ์ท้ังมวล  พรอ้ มแลว้  กอ่ นจะเรมิ่ มหาสงั คายนา พระมหากสั สปะประธานสงฆ ์ 368 ไดต้ ั้งปัญหาถามพระอานนท์พุทธอนชุ าในนามของสงฆว์ ่า “อานนท ์ เมอื่ สมยั ทพี่ ระพทุ ธองคย์ งั ทรงพระชนมอ์ ย ู่ เธอเคย  เยบ็ หรอื ปะหรือชุนผ้าสำ� หรับพระพทุ ธองค์ทรงใชส้ รงมใิ ชห่ รอื ?” “ขา้ แตส่ งฆผ์ เู้ จรญิ  ขา้ พเจา้ เคยทำ� อยา่ งนน้ั ” พระอานนทร์ บั “ในขณะที่เย็บหรือปะหรือชุน เธอใช้เท้าหนีบผ้าของพระ  ตถาคตใช่ไหม?” “สงฆผ์ เู้ จรญิ  ขา้ พเจา้ ท�ำอยา่ งนัน้ ” “ดูกรอาวุโส อานนท์” พระมหากัสสปะกล่าว “ในนามของ  สงฆ ์ สงฆเ์ หน็ วา่ เธอกระทำ� ไมส่ มควร เธอไมค่ วรใชเ้ ทา้ หนบี ผา้ ของ  พระตถาคต ขอ้ น้ีเปน็ อาบตั ิทุกกฎแกเ่ ธอ เธอจงแสดงอาบตั เิ สีย” พระอานนทพ์ ทุ ธอนชุ าลกุ ขนึ้ นง่ั คกุ เขา่ ประนมมอื  แลว้ กลา่ ว  วา่  “ขา้ แตส่ งฆผ์ เู้ จรญิ  ขา้ พเจา้ ท�ำอยา่ งนน้ั ดว้ ยความจ�ำเปน็  การใช ้ เทา้ หนบี ผา้ แหง่ พระตถาคตแลว้ เยบ็ นนั้  จะเปน็ เพราะไมเ่ คารพกห็ า 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า มไิ ด ้ แตเ่ มอื่ ไมท่ ำ� อยา่ งนน้ั จะเยบ็ ไดอ้ ยา่ งไร ในเมอื่ ขา้ พเจา้ ทำ� เพยี ง  ผู้เดียวเท่านั้น ข้าพเจ้ามองไม่เห็นความผิดของตนในข้อน ี้ แต่เอา  เถิด ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเคารพย�ำเกรงในสงฆ์ เมื่อสงฆ์เห็นว่า  ขา้ พเจ้าผดิ  ข้าพเจ้ากข็ อแสดงอาบตั ทิ ุกกฎในเรือ่ งนี้” “อานนท ์ ยงั มอี กี หลายขอ้ ” พระมหากัสสปะกลา่ ว “ข้อหน่ึง  คือ เม่ือพระตถาคตเจ้าทรงแสดงนิมิตโอภาส คือให้นัยแก่เธอถึง  ๑๖ ครั้ง เพ่ือให้ทูลให้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ต่อไป แต่เธอมิได้  ทูลไว้ สงฆ์เห็นว่าเธอกระท�ำไม่สมควร เป็นความผิดของเธอ เธอ  ตอ้ งแสดงอาบตั ใิ นเรอ่ื งน”้ี “ท่านผู้เจริญท้ังหลาย” พระอานนท์กล่าว “เหตุที่ข้าพเจ้า  มิได้ทูลอาราธนาพระศาสดาให้ทรงพระชนม์ต่อไปนั้น เป็นเพราะ  369 เวลานั้นข้าพเจ้าก�ำลังระทมทุกข์ และกังวลถึงเร่ืองอาพาธของพระ  ศาสดา มไิ ดเ้ ฉลยี วใจในเรอ่ื งนนั้  ขา้ พเจา้ มองไมเ่ หน็ ความผดิ ของตน  ในข้อน้ี แต่เพราะความย�ำเกรงและเคารพในมติของสงฆ์ เม่ือสงฆ ์ เหน็ วา่ ขา้ พเจา้ ผดิ  ขา้ พเจา้ กย็ อมและขอแสดงอาบตั ทิ กุ กฎในเรอื่ งน”ี้ “อานนท์” พระมหากัสสปะกล่าว “ยังมีอีก คือเธอเป็นผู ้ ขวนขวายให้สตรีเข้ามาบวชในพระศาสนา เธอพยายามอ้อนวอน  ข่มข่ีพระศาสดาทั้งๆ ที่พระองค์ทรงห้ามต้ังหลายคร้ัง ว่าอย่าพอใจ  ขวนขวายให้ภิกษุณีเข้ามาบวชในธรรมวินัยน้ีเลย เธอก็ไม่ยอมฟัง  พยายามขวนขวายให้ภิกษุณีเข้ามาบวชจนได้ ก่อความยุ่งยากใน  ภายหลงั มใิ ช่นอ้ ย ข้อน้เี ป็นความผดิ ของเธอ” “ท่านผู้เจริญท้ังหลาย ข้อนี้เป็นเพราะข้าพเจ้าใจอ่อน ทนดู  สภาพของพระมหาปชาบดีโคตมีพระน้านางแห่งพระทศพลเจ้า 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ มิได้ พระนางได้ปลงพระเกศามาแล้ว มีร่างกายขะมุกขะมอม  บอบชำ้�  ทรงพลิ าปรำ� พนั อยา่ งเหลอื ลน้  ปรารถนาจะบวชดว้ ยศรทั ธา  อันแรงกล้า และเห็นว่าพระนางทรงมีอุปการะต่อพระศาสดามาก  ล้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายให้พระนางได้บวช และเม่ือพระนางเป็น  ภิกษุณีแล้ว ก็สามารถขจัดกิเลสบรรลุพระอรหัตได้ ข้าพเจ้ามอง  ไมเ่ หน็ ความผดิ ของตนในขอ้ น้ี แตเ่ พราะความยำ� เกรงเคารพในมต ิ สงฆ์ เม่ือสงฆ์เห็นว่าผิด ข้าพเจ้าก็ยอม และขอแสดงอาบัติทุกกฎ  ในเร่อื งน้”ี “อานนท์ ยังมีอีก” ประธานสงฆ์กล่าว “คือเมื่อพระศาสดา  บรรทม ณ เตียงเป็นที่ปรินิพพาน พระองค์ทรงเปิดโอกาส ทรง  370 อนุญาตไว้ว่า เมื่อพระองค์นิพพานแล้ว สิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ เมื่อ  สงฆ์พร้อมใจกันจะถอนเสียบ้างก็ได้ เธอได้ทูลถามหรือไม่ว่า  สกิ ขาบทเล็กนอ้ ยน้นั  พระองค์ทรงหมายถงึ สิกขาบทอะไร?” “ขา้ พเจ้ามิได้ทลู ถามเลยท่านผ้เู จริญ” พระอานนทต์ อบ “นก่ี ็เปน็ ความผิดของเธอ” ประธานสงฆ์กล่าว “ท่านผู้เจริญท้ังหลาย ที่ข้าพเจ้ามิได้ทูลถามถึงสิกขาบท  เลก็ นอ้ ยนนั้  เปน็ เพราะขา้ พเจา้ กลมุ้ ใจ กงั วลใจ เรอื่ งพระศาสดาจะ  นพิ พาน จนไมม่ เี วลาคดิ ถงึ เรอื่ งอนื่  ขา้ พเจา้ มองไมเ่ หน็ ความผดิ ของ  ตนในข้อน้ี แต่เพราะความย�ำเกรงเคารพในมติของสงฆ์ เมื่อสงฆ์  เหน็ วา่ ข้าพเจา้ ผิด ข้าพเจา้ กข็ อแสดงอาบตั ”ิ “อานนท์ ยังมีอีก” ประธานสงฆ์กล่าว คือในการถวายพระ  เพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ เธอจดั ใหส้ ตรเี ขา้ ไปถวายบงั คมพระพทุ ธสรรี ะ  ก่อน สตรีเหล่านั้นร้องไห้ น�้ำตาเปื้อนพระพุทธสรีระ ข้อนี้ก็เป็น 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ความผิดของเธอ” “ทา่ นผเู้ จรญิ ทงั้ หลาย การทขี่ า้ พเจา้ จดั ใหส้ ตรเี ขา้ ถวายบงั คม  พระพทุ ธสรรี ะกอ่ นนนั้  เปน็ เพราะคดิ วา่ ธรรมดาสตรไี มค่ วรอยนู่ อก  บา้ นจนมดื คำ่�  ขา้ พเจา้ จดั ใหถ้ วายบงั คมพระพทุ ธสรรี ะกอ่ น เพอื่ เธอ  จะไดก้ ลบั บา้ นกอ่ นตะวนั ตกดนิ  และไดไ้ ปหงุ หาอาหารเพอ่ื สามหี รอื   มารดาบิดา ข้าพเจ้ามองไม่เห็นความผิดของตนในข้อน ้ี แต่เพราะ  ความย�ำเกรงในสงฆ์ เมอ่ื สงฆเ์ หน็ ว่าผิด ขา้ พเจ้ากข็ อแสดงอาบตั ”ิ ดเู หมอื นจะเปน็ เรอ่ื งธรรมดาของคนโปรดปรานของผยู้ งิ่ ใหญ ่ เมอื่ ผยู้ ง่ิ ใหญส่ นิ้ ชพี หรอื ลม้ ลง เพอ่ื นกจ็ ะเรม่ิ รงั แก ทงั้ นเี้ พราะตลอด  เวลาท่ีผู้ยิ่งใหญ่ยังคงย่ิงใหญ่อยู่ จะไม่มีใครกล้าแตะต้องคนโปรด  ของทา่ น พระอานนทเ์ ปน็ ทโ่ี ปรดปรานอยา่ งยงิ่ ของพระศาสดา เมอื่   371 พระองคน์ พิ พานไปแลว้  ดเู หมอื นวา่ ทา่ นจะถกู สงฆร์ งั แกใหร้ บั ผดิ ใน  ทา่ มกลางมหาสนั นบิ าต แมใ้ นสง่ิ ทท่ี า่ นไมผ่ ดิ  ถา้ กฎทก่ี ลา่ วขา้ งตน้   เปน็ ความจรงิ  และกฎทกุ อยา่ งมขี อ้ ยกเวน้  เรอื่ งพระอานนทค์ วรเปน็   ขอ้ ยกเวน้ ในกฎน ี้ ทว่ี า่ ดๆู  เหมอื นทา่ นจะถกู รงั แกนน้ั  ความจรงิ มไิ ด ้ เปน็ อยา่ งนนั้ เลย เรอ่ื งทสี่ งฆล์ งโทษพระอานนทแ์ ละพระมหากสั สปะ  ให้พระอานนท์ยอมรบั ผดิ น้นั  อย่างน้อยมีผลดถี งึ  ๒ ประการคอื ๑. เป็นกุศโลบายของพระมหากัสสปะ พระเถระผู้เฒ่าที่ ต้องการจะวางระเบียบวิธีปกครองคณะสงฆ์ ให้ท่ีประชุมเห็นว่า อำ� นาจของสงฆน์ นั้ ยง่ิ ใหญเ่ พยี งใด คำ� พพิ ากษาวนิ จิ ฉยั ของคณะสงฆ์ เปน็ คำ� เดด็ ขาด แมจ้ ะเหน็ วา่ ตนไมผ่ ดิ  แตเ่ มอ่ื สงฆเ์ หน็ วา่ ผดิ  ผนู้ น้ั ก็ต้องยอม เป็นตัวอย่างที่ภกิ ษุสงฆ์รุน่ หลังจะเดินตาม

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ๒. เร่ืองนี้ได้ส่งเสริมเกียรติคุณของพระพุทธอนุชาให้ก้อง ย่ิงข้ึน เป็นตัวอย่างในทางเป็นผู้ว่าง่ายเคารพย�ำเกรงผู้ใหญ่ เป็น ปฏิปทาท่ใี ครๆ พากันอา้ งถึงด้วยความนิยมชมชอบในพระอานนท์ รวมความว่า เร่ืองที่เกิดข้ึนแก่พระอานนท์ในคราวปฐม  สงั คายนานน้ั  ทำ� ใหเ้ กยี รตปิ ระวตั ขิ องทา่ นจบั ใจยงิ่ ขนึ้  นา่ รกั เคารพ  ย่งิ ข้ึน เสร็จแล้วการสังคายนาก็เริ่มขึ้น โดยพระมหากัสสปะเป็นผู้  ซักถาม พระอุบาลีซ่ึงได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นผู้เลิศ  ทางพระวินัย ได้วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์พุทธอนุชา วิสัชนา  พระธรรมโดยตลอด สงั คายนาครงั้ นที้ ำ� อย ู่ ๓ เดอื น จงึ เสรจ็ เรยี บรอ้ ย  372 ดว้ ยประการฉะนี้

๓๐ พ ร ห ม ทั ณ ฑ์ แ ล ะ ณ ช า ต ส ร ะ บ น เ ส้ น ท า ง จ า ริ ก 373 เป็นเวลานานถึง ๔๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน ที่พระพุทธอนุชา  ผู้ประเสริฐจาริกสู่คามนิคมชนบทและราชธานีต่างๆ เกือบทั่ว  ชมพูทวีป เพื่อโปรดเวไนยนิกรชนแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-  พทุ ธเจา้  แมป้ ระทปี ดวงใหญแ่ หง่ ชมพทู วปี จะดบั ไปแลว้  แตป่ ระทปี   ดวงน้อยคือพระพทุ ธอนุชายงั มีอย ู่ และส่องแสงเรอื งรองเพอื่ ภารต  วรรษตอ่ ไป

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ บัดน้ีภารกิจอันเก่ียวเน่ืองด้วยพระศาสดา และหน้าที่ใน  การท�ำลายกิเลสของท่านได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เหลืออยู่เพียงอย่าง  เดยี ว คอื การอบรมสงั่ สอนมหาชนใหห้ ลกี จากทจุ รติ เดนิ เขา้ สคู่ ลอง  แห่งสุจริตธรรม การปรากฏกายแห่งพระอานนท์ ไม่ว่าในท่ีใด ใน  สมาคมใด ประดุจการปรากฏข้ึนแห่งดวงจันทร์ในปุรณมีดิถี น�ำ  ความชื่นบานเอบิ อาบซาบซา่ นและสดใสมาสู่จิตใจของมหาชนในที่  นน้ั  และสมาคมนัน้ เมอ่ื มหาสนั นบิ าตในการสงั คายนาเสรจ็ สน้ิ ลงแลว้  พระพทุ ธ  อนุชาได้ละทิ้งเบญจคีรีนครไว้เบื้องหลัง มุ่งสู่นครโกสัมพี เพ่ือลง  พรหมทณั ฑแ์ กพ่ ระฉนั นะพระหวั ดอ้ื  ซง่ึ พระศาสดารบั สงั่ ไวเ้ มอื่ จวน  374 จะนิพพาน พระอานนท์ได้ประกาศให้สงฆ์ในโกสัมพีนครทราบว่า  “ต้ังแต่น้ีเป็นต้นไปพระฉันนะต้องการจะท�ำอย่างใด จะพูดอย่างใด  และประพฤตอิ ยา่ งใด กใ็ หท้ ำ� ไดต้ ามอธั ยาศยั  ภกิ ษสุ ามเณรไมพ่ งึ วา่   กลา่ วตกั เตอื นพระฉนั นะดว้ ยถอ้ ยคำ� ใดๆ เลย นเี่ รยี กวา่ พรหมทณั ฑ์  คอื การลงโทษทีห่ นกั ทีส่ ดุ แบบพระอรยิ ะ” “ท่านท้ังหลาย” พระอานนท์กล่าวในมหาสมาคมซ่ึงมีภิกษุ  ประชุมอยู่จ�ำนวนพัน “พระบรมศาสดาเคยตักเตือนพระฉันนะมา  นับคร้ังไม่ถ้วนแล้วว่า ขอให้เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย อย่าด้ือด้านและ  ด้ือดึง แต่พระฉันนะก็หาฟังไม่ ยังคงประพฤติตนตามใจชอบอยู่  อย่างเดิม เมื่อจวนจะปรินิพพานทรงเป็นห่วงเร่ืองพระฉันนะ จึงมี  พุทธบัญชากับข้าพเจ้าไว้ว่า ให้ลงโทษแก่พระฉันนะโดยวิธีพรหม  ทณั ฑ ์ ทา่ นทง้ั หลาย การลงโทษแบบนเ้ี ปน็ วธิ สี ดุ ทา้ ยทพี่ ระอรยิ เจา้   จะพึงกระท�ำ ประดุจนายสารถีผู้ฝึกม้า จ�ำใจต้องฆ่าม้าของตนท่ ี

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า เหลอื ฝกึ  เพอ่ื มิให้สบื พืชพนั ธุ์ไม่ดตี อ่ ไป ท่านท้ังหลาย สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสนทนากับ  คนฝึกม้าผู้เช่ียวชาญนามว่า เกสี พระองค์ตรัสถามว่า ‘ดูก่อนเกส ี ทา่ นเปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญทางการฝกึ มา้  ตถาคตอยากทราบวา่  ทา่ นมวี ธิ ี  ฝึกม้าอย่างไร?’ นายเกสีทูลตอบว่า “ฝึกโดยวิธีละมุนละม่อมบ้าง  โดยวิธรี นุ แรงบ้าง โดยวิธที ัง้ ละมนุ ละไมและทัง้ รนุ แรงบ้าง’ ‘เกสี ถ้าม้าของท่านไม่รับการฝึก คือฝึกไม่ได้ ท่านจะท�ำ  อยา่ งไร?’ ‘พระองค์ผเู้ จริญ ถา้ มา้ ตัวใดฝกึ ไมไ่ ด ้ ข้าพระองค์ก็ฆา่ มา้ ตัว  น้ันเสีย ท้ังนี้เพ่ือมิให้เสียช่ือผู้ฝึก และมิให้ม้าตัวนั้นมีพืชพันธุ์ไม่ด ี ต่อไป พระองค์ผู้เจริญ พระองค์มีช่ือเสียงปรากฏว่าเป็นยอดแห่ง  375 นักฝกึ คนท่ีพอจะฝึกได้ ก็พระองค์มวี ิธฝี ึกคนอยา่ งไร? ‘ดูก่อนเกสี’ พระศาสดาตรัส ‘เราก็ฝึกบุคคลท่ีควรฝึกอย่าง  น้ันเหมือนกัน คือฝึกโดยวิธีละมุนละไมบ้าง โดยวิธีรุนแรงบ้าง ทั้ง  โดยวิธรี ุนแรงและละมุนละไมบา้ ง’ ‘ถ้าฝึกไม่ได้เล่า พระเจ้าข้า” นายเกสีทูลถาม “พระองค์จะ  ทรงกระทำ� ประการใด?’ ‘ถ้ามา้ ฝกึ ไมไ่ ด ้ เรากฆ็ า่ เหมอื นกัน’ พระศาสดาทรงตอบ ‘พระองค์ไม่ทรงท�ำปาณาติบาตมิใช่หรือ เหตุไฉนจึงตรัสว่า  ทรงฆ่า?’ ‘ดูก่อนเกสี การฆ่าของเราเป็นการฆ่าแบบอริยประหาร คือ  ไมย่ อมวา่ กลา่ วสงั่ สอนเลย ทำ� เปน็ ประดจุ บคุ คลผนู้ น้ั ไมม่ อี ยใู่ นโลก  การลงโทษอยา่ งน้รี นุ แรงท่สี ดุ  ผู้ถกู ลงโทษได้รบั ผลทีน่ ่ากลัวท่ีสดุ ’

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ นายเกสีคนฝึกม้าทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาว่า ‘แจ่ม  แจง้ ดียงิ่ นกั ’ พระอานนทก์ ลา่ วตอ่ ไป “ทา่ นทงั้ หลาย และแลว้ เมอ่ื มโี อกาส  ประทบั อยทู่ า่ มกลางภกิ ษสุ งฆ ์ ไดท้ รงนำ� เรอ่ื งมา้ มาเปน็ บทประกอบ  พระธรรมเทศนาโอวาทภิกษทุ งั้ หลาย มใี จความดงั นี้ ‘ภกิ ษทุ ง้ั หลาย มา้ บางตวั เพยี งเหน็ เงาปฏกั ทนี่ ายสารถยี กขน้ึ   เทา่ นน้ั  กท็ ราบไดว้ า่  นายตอ้ งการจะใหต้ นทำ� อยา่ งไร แลว้ สามารถ  ปฏบิ ตั ติ ามไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ฉนั ใด บคุ คลบางคนกฉ็ นั นน้ั  เพยี งไดย้ นิ   ขา่ ววา่ บคุ คลโนน้ อยบู่ า้ นโนน้  แกบ่ า้ ง เจบ็ บา้ ง ตายบา้ ง กเ็ กดิ สงั เวช สลดจติ  นอ้ มเขา้ มาหาตวั วา่  แมเ้ รากต็ อ้ งแก ่ ตอ้ งเจบ็  และตอ้ งตาย  376 อย่างนั้นเหมือนกัน แล้วต้ังใจปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุคุณธรรม  เบื้องสูง ภิกษุทั้งหลาย ม้าบางตัวเพียงได้เห็นเงาปฏักเท่าน้ัน ยังไม่  อาจเขา้ ใจความหมายทน่ี ายตอ้ งการใหท้ ำ�  แตเ่ มอื่ ถกู แทงจนขนรว่ ง  นนั่ แหละจงึ รสู้ กึ  แลว้ ปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตามทน่ี ายตอ้ งการ ฉนั ใด  บุคคลบางคนก็ฉันนั้นเพียงได้ยินข่าวเจ็บ และข่าวตายของผู้อื่น  เท่าน้ันยังไม่เกิดสังเวชสลดจิต แต่เม่ือได้เห็นด้วยตนเองซ่ึงคนแก ่ คนเจบ็ และคนตาย จงึ เกดิ สงั เวชสลดจติ  แลว้ ตงั้ ใจปฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื   บรรลุคณุ ธรรมเบือ้ งสูง ภกิ ษทุ ง้ั หลาย มา้ บางตวั เพยี งแตเ่ หน็ เงาปฏกั และถกู แทงจน  ขนร่วงก็ไม่รู้สึก เมื่อถูกแทงจนทะลุหนังเข้าไปจึงรู้สึก และพร้อมที่  จะปฏบิ ตั ติ ามนาย ฉนั ใด บคุ คลบางคนกฉ็ นั นน้ั  เพยี งเหน็ คนแกค่ น  เจบ็ หรอื คนตายและไดย้ นิ ไดฟ้ งั ขา่ วเชน่ นน้ั  ไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ความสงั เวช 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า สลดจิตได้ ต่อเมือ่ ญาตสิ ายโลหิตมติ รสหายอันเป็นท่ีรกั ที่พึงใจเจบ็   หรือตายลง จึงเกิดสังเวชสลดจิต แล้วต้ังใจปฏิบัติธรรมเพื่อบรรล ุ ธรรมเบ้อื งสูง’ ภิกษุทั้งหลาย ม้าบางตัวเพียงได้เห็นเงาปฏักถูกแทงจนขน  ร่วงถูกแทงจนทะลุผิวหนังเข้าไป ก็หาเข้าใจถึงสิ่งท่ีนายต้องการให้  ท�ำไม่ ต่อเม่ือถูกแทงจนจดกระดูกจึงรู้สึก และเข้าใจถึงส่ิงที่นาย  ต้องการให้ท�ำ ฉันใด บุคคลบางคนก็ฉันน้ัน เพียงแต่ได้ยินได้ฟัง  หรือเห็นญาติพ่ีน้องเจ็บและตายก็ไม่เกิดสังเวชสลดจิต ต่อเมื่อตน  เจบ็ เองและเจบ็ เจยี นตายใกลต้ อ่ มรณสมยั จงึ รสู้ กึ สงั เวชสลดจติ  แลว้   ต้งั ใจปฏิบตั ิเพ่ือบรรลุคณุ ธรรมเบอ้ื งสงู ” และแล้วพระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย ม้าซึ่ง  377 ประกอบด้วยคุณลักษณะหรือคุณสมบัติ ๔ ประการ ควรเป็นม้า  ทรงของพระราชา ๔ ประการน้ัน คือมีความซื่อตรง มีเชาวน์ดี ม ี ความอดทน และมีลักษณะสงบเรียบร้อย ภิกษุผู้ประกอบด้วย  คณุ สมบตั  ิ  ๔ ประการกเ็ หมอื นกนั  คอื มคี วามซอ่ื ตรง ไมห่ ลอกลวง  ไม่คดในข้องอในกระดูก มีเชาวน์ดีในการรู้อริยสัจ มีความอดทน  อย่างยิ่ง และมีการส�ำรวมตนสงบเสง่ียมเรียบร้อย ไม่ประพฤติตน  เอะอะโวยวายเยี่ยงนักเลงสุราบาน ก็สมควรเป็นทักขิไณยบุคคล  เป็นเน้ือนาบุญของโลก ภิกษุท้ังหลาย เราเคยกล่าวไว้มิใช่หรือว่า  ถา้ จะดคู วามเปน็ บา้ ในหมสู่ งฆ์ กจ็ งดตู รงทเ่ี ธอรอ้ งรำ� ทำ� เพลง ถา้ จะ  ดคู วามเปน็ เดก็ ในหมสู่ งฆ ์ กจ็ งดตู รงทเ่ี ธอยงิ ฟนั หวั เราะในลกั ษณะ  ปล่อยตนเหมือนเด็กชาวบ้าน’”

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “ดูก่อนท่านทั้งหลาย” พระอานนท์กล่าวต่อไป “พระพุทธ  องคเ์ คยตรสั กบั ขา้ พเจา้ วา่  ‘อานนท ์ เราจะไมท่ �ำกบั พวกเธออยา่ ง  ทะนถุ นอมอยา่ งทชี่ า่ งหมอ้ ทำ� กบั หมอ้ ทยี่ งั เปยี กยงั ดบิ  อานนท ์ เรา  จกั ขนาบแลว้ ขนาบเลา่ ไมห่ ยดุ หยอ่ น เราจกั ชใ้ี หเ้ หน็ โทษของกเิ ลส  บาปกรรมแลว้ ๆ เลา่ ๆ ไมห่ ยดุ หยอ่ น อานนทเ์ อย ผใู้ ดมงุ่ หวงั มรรค  ผลเปน็ สำ� คญั ในการประพฤตพิ รหมจรรย ์ ผใู้ ดเปน็ สาระ มปี ระโยชน์  ผู้นน้ั จึงจักอยู่ได้’ “ท่านทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล ข้าพเจ้าจึงขอประกาศ  ลงพรหมทณั ฑแ์ กพ่ ระฉนั นะ เพอื่ เธอจะไดส้ ำ� นกึ ตน และปฏบิ ตั ติ น  ในทางทชี่ อบตอ่ ไป” พระอานนทก์ ลา่ วจบ สงฆท์ งั้ สนิ้ เงยี บ เปน็ การ  378 ยอมรบั ประกาศนั้นด้วยอาการดษุ ณี พระฉันนะได้ทราบว่า บัดนี้สงฆ์ประกาศลงพรหมทัณฑ์แก ่ ตนแลว้  เกดิ สงั เวชสลดจติ  กลบั ประพฤตติ นด ี มสี มั มาคารวะ และ  เชอ่ื ฟังพระเถระท้งั หลาย ในไมช่ า้ ก็สำ� เรจ็ พระอรหตั ตผล จากโกสัมพี ราชธานีแห่งแคว้นวังสะ พระพุทธอนุชาผู้ประ-  เสรฐิ ไดเ้ ดนิ ทางเลยี บล�ำนำ้� ยมนุ าขน้ึ ไปตอนบนสแู่ ควน้ กรุ ุ ซงึ่ มนี คร  อนิ ทปตั ถเ์ ปน็ เมอื งหลวง และจารกิ ไปในแควน้ ตา่ งๆ อกี หลายแควน้   จนกระท่ังหวนกลับมาสู่ลุ่มแม่น้�ำคงคา วนเวียนอยู่ ณ ลุ่มแม่น�้ำ  คงคาตอนบนแหง่ แควน้ ปญั จาละ ซงึ่ มนี ครหสั ตนิ าปรุ ะหรอื หสั ดนิ -  บุรเี ป็นราชธานี อันว่าแคว้นปัญจาละนี้ มีแคว้นโกศลอยู่ทางทิศตะวันออก  มีแคว้นกุรุอยู่ทางทิศตะวันตก มีหิมาลัยบรรพตอยู่ทางทิศเหนือ  และแม่น้�ำคงคาอยู่ทางทิศใต้ เป็นแคว้นที่มั่งคั่งพร้อมด้วย 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ทรพั ยากรธรรมชาตมิ ากหลาย มที งุ่ สาลเี กษตรเหลอื งอรา่ ม มองดู  สุดสายตาประดุจปูด้วยหนังโคสีแดง มีดงมะพร้าวเรียงรายยาว  เหยียด บางแห่งพ้ืนที่ประดับด้วยต้นชงโค ดอกสีแสดเข้มบาน  สะพร่ัง เรืองอุไรเย็นตา ทัศนาการไปทางทิศเหนือจะเห็นทิวเขา  หิมาลัยสูงตระหง่านเสียดฟ้า บางยอดถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอด  เวลา หมิ าลัยบรรพตแดนเกดิ แห่งนยิ าย และเป็นทรี่ ื่นรมยอ์ ย่างยงิ่   ของผูส้ ละโลกยี ม์ ุ่งแสวงหาสนั ตวิ รบท มองไปทางดา้ นใต ้ จะเหน็ แมน่ ำ�้ คงคาไหลเออื่ ยเปน็ เสน้ เลอื ด  ใหญข่ องชมพทู วปี  เปน็ จดุ รวมใจของชาวภารตะ แทบจะทกุ คนมอบ  ความไว้วางใจไว้ให้พระแม่คงคาเป็นผู้ก�ำชีวิตของตน ทั้งด้านช�ำระ  มลทินภายในและด้านเกษตรกรรม ณ ริมฝั่งแม่น้�ำคงคาตอนเหนือ มีชงโคข้ึนระดะ แม้ไม่สู้จะ  379 เปน็ ระเบยี บนกั  แตด่ อกอนั งามเยน็ ตาของมนั กอ่ ใหเ้ กดิ ความเยน็ ใจ  เม่ือได้เห็น เป็นสถานท่ีร่มรื่นสงบ ไม่ใช่ทางสัญจร จึงเหมาะอย่าง  ยิง่ สำ� หรับสมณะผูแ้ สวงหาวเิ วก วนั นน้ั พระพทุ ธอนชุ าจารกิ เพยี งผเู้ ดยี ว ดว้ ยจดุ ประสงค ์ คอื   แสวงหาที่วิเวกเพื่อพักผ่อน เมื่อผ่านมาเห็นชงโคมีดอกงามบาน  สะพรง่ั และดบู รเิ วณเปน็ ทรี่ นื่ รมย ์ จงึ แวะเขา้ พกั ผอ่ นใตต้ น้ ชงโค ซงึ่   มใี บหนาเงาครมึ้ ตน้ นน้ั  ตรงเบอื้ งหนา้ ของทา่ นมสี ระซง่ึ เกดิ เองตาม  ธรรมชาติ (ชาตสระ) มีปทุมชูดอกสลอน น้�ำใสเย็นและจืดสนิทด ี ทา่ นไดด้ ม่ื และลา้ งหนา้ เพอื่ ระงบั ความกระหายแลว้ นง่ั พกั อย ู่ ณ ทน่ี น้ั จนตะวันรอนแดดอ่อนลง ส่องลอดใบไม้ลงมาเป็นรูปต่างๆ  งามนา่ ด ู เสยี งนกเลก็ ๆ บนกง่ิ ชงโครอ้ งทกั ทายกนั อยา่ งเพลดิ เพลนิ  

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ แสดงถงึ จติ ใจทชี่ น่ื บาน มนั มคี วามสขุ ตามประสาสตั ว ์ ความสขุ เปน็   ท่ีส่ิงหาได้ในท่ีทุกแห่งและทุกฐานะ เว้นแต่บุคคลจะไม่รู้จักมองหา  เท่าน้ัน พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า บุคคลผู้มีปัญญาสามารถจะหา  ความสุขได้แม้ในสถานที่น่าทุกข์ ตรงกันข้ามกับคนเขลา แม้จะอยู่  ในฐานะทนี่ า่ จะสขุ  กม็ แี ตค่ วามทกุ ขร์ อ้ นเศรา้ หมองเสยี ร่�ำไป ถา้ เรา  ฝึกใจให้อดได้ ทนได้อยู่เสมอๆ เราจะมีความสุขสบายขึ้นอีกมาก  โลกนมี้ คี นรา้ ยและเรอ่ื งรา้ ยมาก ไมว่ า่ จะไปอยทู่ ไ่ี หนและในฐานะใด  ยอ่ มจะตอ้ งพบคนรา้ ยและเรอื่ งรา้ ยทกุ หนทกุ แหง่  ถา้ สามารถกลบั   เร่ืองร้ายให้กลายเป็นดีได้น้ันเป็นเรื่องประเสริฐ แต่ถ้าไม่สามารถ  กลบั เรอ่ื งรา้ ยใหเ้ ปน็ ดไี ดใ้ นทนั ท ี กล็ องอดทนด ู เปน็ การศกึ ษาสถาน-  380 การณ์และศึกษาบุคคลพร้อมๆ กันไป นานๆ เข้าเรื่องที่เขาเข้าใจ  ว่าร้ายในเบื้องต้น อาจจะเป็นผลดีแก่เรามากในบั้นปลาย จงดูเถิด  ขยะมูลฝอยที่ใครๆ ท้ิงลงๆ แต่พ้ืนดินก็สามารถรับขยะมูลฝอยนั้น  ไว้ได้ กาลเวลาล่วงไปๆ ขยะมูลฝอยนั้นกลายเป็นปุ๋ย ที่ดินตรงนั้น  กลายเปน็ ดนิ ด ี มคี นตอ้ งการ มรี าคามาก ปลกู พชื ผกั อะไรกข็ นึ้ เรว็   และสวยงาม คนที่ฝึกตนให้อดได้ทนได้ มักจะเป็นคนดีมีค่าแก่  สังคมอย่างมาก สถานที่จ�ำกัด ทรัพยากรธรรมชาติมีน้อย แต่คน  เพม่ิ มากขนึ้  นานวนั ไปมนษุ ยย์ งิ่ จะตอ้ งแยง่ กนั อยแู่ ยง่ กนั กนิ มากขนึ้   ความบากบนั่ อดทนกจ็ ะตอ้ งใชม้ ากขน้ึ  นอกจากนใี้ นสงั คมมนษุ ยม์ ี  ทง้ั คนดแี ละคนเลว มอี ธั ยาศยั ประณตี และอธั ยาศยั ทราม ยงิ่ ผนู้ อ้ ย  ท่ีต้องอยู่ร่วมกับผู้ใหญ่ที่มีอัธยาศัยทราม เห็นแก่ตัว และโหดร้าย  ด้วยแลว้  เขาจะตอ้ งกระทบกระเทอื นใจและอดทนสกั เพียงใด ลอง  ใหผ้ ู้ใหญ่เลวๆ อยา่ งนั้นไปอยใู่ ต้บังคับบญั ชาของคนอน่ื ดบู า้ งซิ เขา 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า จะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาท่ีเลวหรือไม่ แต่ก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน หรือ  บางทกี ม็ อี ยเู่ สมอๆ ทท่ี ำ� ใหเ้ ราตอ้ งประหลาดใจวา่  เหตไุ ฉนคนเลวๆ  อยา่ งนจ้ี ึงเป็นใหญ่เป็นโตข้ึนมาได้ มนั เปน็ เรือ่ งของกรรมท่สี ลับซับ  ซอ้ น ท่สี ุดทจี่ ะแยกแยะให้ถ่ถี ว้ นดว้ ยปัญญาสามญั บดั นพี้ ระอาทติ ยล์ บั ขอบฟา้ ไปแลว้  ทงิ้ ไวแ้ ตร่ อ่ งรอยแหง่ แสง  สวา่ งเพยี งรางๆ เหมอื นดรณุ วี ยั ก�ำดดั ยม้ิ ดว้ ยความเบกิ บานใจ เมอ่ื   หยุดยิ้มแลว้  รอยแห่งความร่าเรงิ ก็ยงั เหลืออยู่เพียงเลก็ นอ้ ยฉะน้นั พระพทุ ธอนชุ าตงั้ ใจจะถอื เอาโคนชงโคเปน็ ทพ่ี กั กายในราตรี  น้ี แต่พอท่านเอนกายลงพิงโคนชงโคนั่นเอง ได้เหลือบเห็นชาย  หญงิ คหู่ นงึ่ เดนิ ถอื หมอ้ มาคนละใบ มงุ่ ตรงมาสสู่ ระ เมอ่ื ไดม้ องเหน็   สมณะนั่งพิงโคนชงโคอยู่ เขาจึงเดินอ้อมสระมา พอเห็นชัดว่าเป็น  381 สมณศากยบตุ ร เขาจงึ น่ังลงไหว ้ แลว้ ชายผู้นัน้ กก็ ล่าวข้นึ ว่า “ข้าแต่สมณะ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน ไม่เคยได้พบ  เห็นสมณะผู้ใดมาเยือนสถานที่นี้เลย ข้าพเจ้าท้ังสองแม้จะมิใช่  เจ้าของถิ่นโดยแท้จริง ก็เหมือนเป็นเจ้าของถ่ิน ข้าพเจ้าขอต้อนรับ  ท่านสมณะผู้เป็นอาคันตุกะด้วยความรู้สึกเป็นมิตร และถือเป็น  โชคดที ี่ไดพ้ บทา่ นผสู้ งบ” “ดูก่อนผู้มีใจอารี” พระพุทธอนุชากล่าวตอบ “ข้าพเจ้าขอ  ขอบใจในไมตรจี ติ ของทา่ นทงั้ สอง และถอื เปน็ โชคดเี ชน่ กนั ทไี่ ดพ้ บ  ท่าน ซงึ่ ข้าพเจา้ มไิ ดค้ าดหวงั วา่ จะไดพ้ บในปา่ เปลย่ี วเชน่ น้”ี ชายหญิงท้ังสองแสดงอาการพอใจต่อค�ำกล่าวที่ไพเราะ  แสดงความเป็นมิตรของพระพุทธอนุชา แล้วกล่าวว่า “ท่านผู้ประ-  เสริฐ เวลานี้ก็จวนค่�ำแล้ว ท่านมีท่ีพ�ำนัก ณ แห่งใดเป็นท่ีประจ�ำ  

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ หรือทา่ นเป็นนกั พรตผจู้ ารกิ  ไมอ่ ยเู่ ป็นหลักแหลง่ ?” “ขา้ พเจา้ เปน็ นกั พรตผจู้ ารกิ ไปตามอธั ยาศยั  ไมต่ ดิ ทห่ี รอื ยดึ   ที่ใดที่หนึ่งเป็นแหล่งของตน ข้าพเจ้าพอใจการกระท�ำเช่นนี้” พระ  อานนทต์ อบ “ข้าแต่สมณะ ถ้าอย่างนั้นข้าพเจ้าใคร่ขอเชิญท่านพำ� นัก ณ  กระท่อมของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีกระท่อมอยู่ ๒ หลัง หลังหน่ึงเพ่ือ  ข้าพเจ้าและภรรยาอยู่อาศัย อีกหลังหนึ่งเพื่อเก็บของเล็กๆ น้อยๆ  ถา้ ทา่ นไมร่ งั เกยี จและยนิ ดรี บั คำ� เชอื้ เชญิ ของขา้ พเจา้  ขา้ พเจา้ จะเกบ็   ของเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ไวอ้ กี มมุ หนง่ึ  สว่ นอกี มมุ หนงึ่ พอเปน็ ทพ่ี กั ของทา่ น  ได้อย่างสบาย มีประตูหน้าต่างเปิดปิดได้สะดวก มีลมพัดเย็น ถ้า  382 ทา่ นรบั คำ� เชอื้ เชญิ  ขา้ พเจา้ จะยนิ ดมี าก ขา้ พเจา้ จะไดส้ นทนากบั ทา่ น  ผู้ประเสริฐใหเ้ ป็นท่ีเอบิ อ่ิมใจ ข้าแต่อาคนั ตุกะ ขา้ พเจ้าเคยสดบั มา  วา่  การไดเ้ หน็  การไดเ้ ขา้ ใกล้ และการไดส้ นทนากบั สมณะนน้ั เปน็   มงคล ข้าพเจ้าต้องการมงคลเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน” เขากล่าวจบ  หนั มามองดภู รรยาเหมอื นเปน็ เชิงปรกึ ษา สตรผี ูน้ น้ั จึงกล่าวข้นึ วา่ “ข้าแต่สมณะ ถ้าท่านยังไม่มีกิจกังวลเร่ืองอ่ืน หรือไม่  เปน็ การรบกวนความวเิ วกสงดั ของทา่ น กโ็ ปรดรบั คำ� อาราธนาของ  ขา้ พเจา้ ทงั้ สองด้วยเถิด” พระพุทธอนุชาด�ำริว่า “สามีภรรยาทั้งสองนี้ดูท่าทีเป็นผู้มี  ตระกูลและได้รับการศึกษาสูง แต่เหตุไฉนจึงมาซ่อนตัวเองอยู่ใน  ป่าเปล่ียว ดูวัยก็ยังหนุ่มสาว คงจะมีอะไรอยู่เบื้องหลังท่ีน่าสนใจ  บา้ งกระมงั  การสนทนากบั ผเู้ ชน่ นค้ี งไมไ่ รป้ ระโยชนเ์ ปน็ แนแ่ ท”้  คดิ   ดงั นแี้ ลว้ ทา่ นจงึ กลา่ ววา่  “ดกู อ่ นผใู้ จอาร ี ขา้ พเจา้ ยนิ ดรี บั คำ� เชอื้ เชญิ  

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ของทา่ น” สามภี รรยาทงั้ สองแสดงอาการพอใจอยา่ งยง่ิ  แลว้ ชวนกนั ลง  ตักน้�ำในสระคนละหม้อ แล้วเดินน�ำพระพุทธอนุชาไปสู่กระท่อม  น้อย จัดของเล็กๆ น้อยๆ ไว้มุมหน่ึง ปัดกวาดเช็ดถูเสนาสนะจน  สะอาดเรยี บรอ้ ย แลว้ เชอื้ เชญิ พระพทุ ธอนชุ าใหน้ งั่  นำ� นำ้� มนั มานวด  เท้า ส่วนภรรยาของเขากลับไปกระท่อมอีกหลังหน่ึง ซ่ึงอยู่ห่างกัน  เพียงเล็กนอ้ ย “ดูก่อนผู้มีใจอารี” พระอานนท์กล่าว “กระท่อมของท่านน้ี แมจ้ ะอยใู่ นปา่  แตก่ ป็ ลกู สรา้ งอยา่ งด ี นา่ อยอู่ าศยั  สะอาดเรยี บรอ้ ย  เปน็ การแสดงถงึ อธั ยาศยั ประณีตแหง่ เจ้าของ” “ข้าแต่อาคันตุกะ ข้าพเจ้าขอขอบคุณในค�ำกล่าวของท่าน  383 อนึ่งป่าชงโคนี้เป็นสวรรค์ของข้าพเจ้า เป็นที่ที่ข้าพเจ้าพอใจเป็นท ี่ สุด ข้าพเจ้าอาศัยอยู่อย่างสงบสุข ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘สงบสุข’ เป็น  ความถกู ตอ้ งโดยแทค้ อื ทงั้ สงบและสขุ  รวมอยใู่ นกระทอ่ มนอ้ ยและ  ในป่าชงโคน้ี” เขากลา่ วแลว้ ย้ิมอย่างภาคภมู ิใจ “ดกู อ่ นผมู้ ใี จอาร ี เหตไุ ฉนทา่ นจงึ พอใจปา่ ชงโคนเี้ ปน็ นกั หนา  ดูท่านยังอยู่ในวัยหนุ่ม และภรรยาของท่านก็ยังอยู่ในวัยสาว คน  หนมุ่ สาวนา่ จะพอใจในแสงสแี หง่ นครหลวงมากกวา่ จะยนิ ดใี นทส่ี งดั   เปลา่ เปล่ียวเช่นน ี้ ท่านถอื ก�ำเนิดหรือภมู ลิ ำ� เนาเดิมอย่ทู ี่นี้หรือ?” “หามิได้ ท่านสมณะ ข้าพเจ้าเกิดแล้วในท่ามกลางพระนคร  หลวงทีเดยี ว” เขาตอบ “คำ� กลา่ วของทา่ นยง่ิ ทำ� ใหข้ า้ พเจา้ ประหลาดใจมากขนึ้ ” พระ  อานนทก์ ลา่ ว

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “เป็นของน่าประหลาดเกินไปหรือท่าน” ชายหนุ่มกล่าว “ที ่ คนหนุ่มอยา่ งขา้ พเจ้ามาพอใจในวิเวก ด�ำเนินชวี ติ อยา่ งสงบ” “ประหลาดมากทีเดียว” พระอานนทร์ ับ “เพราะเหตใุ ดหรอื ?” ชายหน่มุ ถาม “เพราะคนส่วนใหญ่หรือโดยมากในวัยท่านน้ี ย่อมพอใจใน  ความสนุกเพลิดเพลินอีกแบบหน่ึง คือแบบที่คนส่วนมากเขานิยม  กัน คลุกคลีอยู่ด้วยหมู่คณะ และอารมณ์เย้ายวนต่างๆ แต่ท่านไม่  เป็นอย่างนั้น เพราะฉะน้ันข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ท่านเป็นชายหนุ่มที่  ประหลาด มีเหตุการณ์อะไรกระทบกระเทือนใจท่านอย่างรุนแรง  หรอื  หรอื ท่านมีอธั ยาศัยนอ้ มไปในวิเวกต้งั แต่ยงั เยาว์?” 384 “ข้าแต่อาคันตุกะ” ชายหนุ่มกล่าว “ข้าพเจ้าเข้าใจว่าทุกคน  น่าจะมีหัวเลี้ยวแห่งชีวิตที่ส�ำคัญที่สุดสักคร้ังหนึ่งในชีวิตของแต่ละ  คน และหวั เลยี้ วนนั้ เองจะเปน็ สาเหตใุ หเ้ ขาดำ� เนนิ ชวี ติ ทยี่ ดื ยาว ไป  จนกว่าชีวิตจะจบลง ข้าพเจ้ามีหัวเลี้ยวชีวิตอยู่ตอนหน่ึง ซ่ึงท�ำให้  ข้าพเจา้ เล้ยี วมาทางน้ี และเขา้ ใจวา่ ข้าพเจา้ จะดำ� เนินชวี ิตแบบน้ตี อ่   ไปจนสิ้นลมปราณ” “ดูก่อนผู้พอใจในวิเวก” พระอานนท์กล่าว “ถ้าไม่เป็นการ  รบกวนเวลาของท่าน ข้าพเจ้าปรารถนาจะรับฟังความเป็นมาแห่ง  ทา่ น พอเปน็ เครอื่ งประดบั ความร ู้ เวลานปี้ ฐมยามแหง่ ราตรกี ย็ งั ไม ่ สน้ิ  ถา้ ทา่ นไมข่ ดั ขอ้ งหรอื ไมถ่ อื เปน็ ความลบั  กข็ อไดโ้ ปรดเลา่ เถดิ ” ลมปลายปฐมยามพดั แผว่ เขา้ มาทางหนา้ ตา่ ง รำ� เพยเอากลน่ิ   ดอกไม้ป่าบางชนิดติดมาด้วย หอมเย็นระรื่น ความอบอ้าวของ  อากาศเมอื่ ทวิ ากาลไดป้ ลาสนาการไปแลว้  บรรยากาศในยามนเี้ ยน็  

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า สบาย แสงโสมสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ต้องผิวหน้าของชาย  หนมุ่ ดสู ดใส แตแ่ ฝงไวซ้ งึ่ แววเศรา้ อยา่ งลกึ ซง้ึ  เขาขยบั กายเลก็ นอ้ ย  กอ่ นจะกล่าววา่ “ข้าแต่ท่านผู้ทรงพรต ถ้าท่านยินดีรับฟังเร่ืองราวความเป็น  มาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยินดีเล่าสู่ท่านฟัง เรื่องของข้าพเจ้ามีทั้ง  ความสขุ และความเศร้า มีทัง้ ความหวานชนื่ และข่ืนขม มสี าระบ้าง  ไม่มีสาระบ้าง” เม่ือพระอานนท์แสดงอาการว่าพร้อมแล้ว ชายหนุ่มจึงเริ่ม  ดงั น้ี 385

๓๑ จ ตุ ร ง ค พ ล แ ล ะ วิ ม ล ม า น 386 “ข้าแตท่ า่ นผู้บำ� เพญ็ ตบะ ข้าพเจา้ เกิดแลว้ ภายใตเ้ ศวตฉตั รแหง่ หสั ตนิ าปรุ นคร แควน้ ปญั จาละน ี้ วนั เดยี วกบั ขา้ พเจา้ ลมื ตาขน้ึ ดโู ลก  น่ันเอง มีการชุมนุมพลท้ัง ๔ เหล่าทัพ คือ ทัพช้าง ทัพม้า ทัพรถ  และทัพพลเดินเท้า เป็นการซ้อมใหญ่ประจ�ำปี เป็นความภาคภูม ิ อย่างย่ิงของนายทหาร ที่ได้แสดงตนเฉพาะพระพักตร์พระมหา  กษัตริย์ในวันเช่นนี้ ด้วยการถือเอาเรื่องน้ีเป็นนิมิต พระราชบิดา  และพระประยรู ญาตชิ นั้ ผใู้ หญข่ องขา้ พเจา้ จงึ ขนานนามของขา้ พเจา้   วา่  ‘จตรุ งคพล’

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ทา่ นคงเคยศกึ ษาวชิ าทหารมาแลว้  ในวชิ าทหารไดบ้ อกไวว้ า่   ‘การเตรยี มกำ� ลงั รบใหพ้ รอ้ มเปน็ การปอ้ งกนั สงคราม’ ฟงั ดไู มน่ า่ จะ  เป็นไปได้ แต่ก็เป็นความจริง ท้ังนี้เพราะฝ่ายรุกรานจะคอยจ้องดู  กำ� ลงั ของอกี ฝา่ ยหนง่ึ อยเู่ สมอ เมอ่ื ใดฝา่ ยตรงขา้ มออ่ นแอ ฝา่ ยรกุ -  รานจะเร่ิมรุกรานทันที เหมือนเชื้อโรคคอยโอกาสเบียดเบียน  ท�ำลายผู้มีร่างกายอ่อนแอ ในท�ำนองเดียวกัน กล่าวในทางธรรม  ข้าพเจ้าพอจะทราบอยู่บ้าง ผู้มีก�ำลังใจอ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของ  กเิ ลสไดง้ า่ ย แพทยผ์ ฉู้ ลาดจะพยายามกระตนุ้ เตอื นใหม้ วลชนสรา้ ง  ก�ำลังต้านทานในตัวให้สูงอยู่เสมอ เพ่ือป้องกันการรุกรานของโรค  ศาสดาผฉู้ ลาดกพ็ ยายามกระตนุ้ เรา้ ศาสนกิ ชนใหฝ้ กึ พลงั จติ ใหส้ งู ไว้  เพอ่ื เปน็ ทำ� นบกนั้ กระแสกเิ ลสมใิ หร้ วั่ ไหลเขา้ สจู่ ติ โดยงา่ ย หลกั สขุ -  387 ลกั ษณะหรอื อนามยั กเ็ ปน็ เรอ่ื งเดยี วกนั นเี่ อง เมอื่ เหลอื กำ� ลงั ปอ้ งกนั   จึงถงึ ข้นั เยียวยาแก้ไข สงครามเป็นของคู่กับโลก ตราบใดท่ีมนุษย์ยังมีความอยาก  ได ้ ทะเยอทะยานในเกยี รตจิ อมปลอม อยากเปน็ ใหญใ่ นกองกระดกู   และเลือดเน้ือ แสวงหาความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น แก้ปัญหา  โดยการใช้กำ� ลงั  สงครามก็คงมีอยรู่ ำ่� ไป แปลกจริงๆ นะท่าน คนท่ี  เป็นโจรลักเล็กขโมยน้อย ปล้นสะดมส่วนบุคคล เขาถือกันว่าเป็น คนเลวคนร้าย ท้ังๆ ท่ีบางทีเขาต้องลักต้องขโมยเพราะไม่มีอะไร  จะกนิ แทๆ้  แตผ่ ทู้ ป่ี ลน้ คนทงั้ เมอื งกลบั ไดร้ บั เกยี รตยิ ศอนั สงู สง่ เปน็   วีรบุรุษ ผู้ที่โกงคนอื่นเพียงคนสองคน จะถูกพิพากษาตัดสินจ�ำคุก  หรือลงโทษให้สมควรแก่ความผิด แต่ผู้ที่โกงคนท้ังเมืองได้ กลับ  ไม่มใี ครกล้าท�ำอะไร

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ข้าแต่ท่านผู้บ�ำเพ็ญตบะ ในเรื่องน้ีท่านมีความเห็นอย่างไร  หรอื ศาสดาของทา่ นไดเ้ คยกล่าวไว้อยา่ งไรบ้าง?” “ราชกมุ าร” พระอานนทก์ ลา่ วดว้ ยนำ�้ เสยี งเรยี บปรกต ิ “เรอ่ื ง  สงครามเปน็ เรอื่ งคกู่ บั โลก ตามทที่ า่ นกลา่ วมานน้ั ขา้ พเจา้ ไมค่ ดั คา้ น  แตม่ นั กเ็ ปน็ เวลาหลายปจี งึ จะเกดิ ขนึ้ สกั ครงั้ หนงึ่  แตส่ งครามทเี่ กดิ   ข้ึนประจ�ำและยืดเยื้อที่สุด คือสงครามชีวิต ทุกคนเดินไปบนถนน  แห่งสงครามน้ีอยู่ตลอดเวลา ดวงจิตนี้เป็นสมรภูมิ ให้ธรรมะและ  อธรรมเข้าท�ำการชิงชัยกันอยู่มิได้ว่างเว้น เม่ือใดกองทัพอธรรมม ี กำ� ลงั มาก กองทพั ธรรมกล็ า่ ถอย อธรรมกเ็ ขา้ ยดึ ครองจติ ใจ เมอ่ื ใด  กองทัพธรรมมีก�ำลังรุกรานให้อธรรมล่าถอยไป ธรรมะก็เข้ายึด  388 ครอง สมยั ใดอธรรมเขา้ ยดึ ครอง สมยั นนั้ ยอ่ มมแี ตค่ วามมดื มวั และ  วนุ่ วาย สมยั ใดธรรมะเขา้ ยดึ ครอง สมยั นน้ั ยอ่ มมแี ตค่ วามสงบและ  แจม่ ใส ราชกุมาร ส�ำหรับเรื่องแพ้ชนะในสงครามนั้น พระศาสดา  ของข้าพเจ้าตรัสไว้วา่ ‘ผ้ชู นะยอ่ มก่อเวรใหย้ ืดเย้อื ผู้แพย้ ่อมอย่เู ป็นทกุ ข์ ผู้ละการแพ้และการชนะไดแ้ ลว้   ย่อมอยู่อยา่ งสงบสขุ ’ ราชกุมาร ไม่มีผู้ชนะในสงครามใดๆ เลยท่ีจะประเสริฐไป  กว่าผู้ชนะตนเอง พระศาสดาของข้าพเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ชนะตนเอง  ไดช้ อื่ วา่ เปน็ ยอดขนุ พลในสงคราม เมอ่ื ชนะตนไดแ้ ลว้  สงครามที ่ ยดื เยือ้ ก็ส้นิ สุดลง”

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า “ชวี ติ ในปฐมวยั ของขา้ พเจา้ ” เจา้ ชายจตรุ งคพลทรงเลา่ ตอ่ ไป “เป็นชีวิตท่ีเหมือนเดินอยู่ในสวนดอกไม้ ได้รับการทะน ุ ถนอมประคับประคองอย่างดีย่ิง ข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในวงล้อมแห่ง  ความสุข ความสะดวกสบาย อย่างท่ีราชกุมารผู้ถือก�ำเนิดภายใต ้ เศวตฉตั รจะพงึ ไดร้ บั  ขา้ พเจา้ มเี ครอื่ งแตง่ กายซง่ึ ลว้ นแตส่ วยงาม มี  ผ้าโพกซึ่งท�ำจากแคว้นกาสี ส่ิงหนึ่งซ่ึงข้าพเจ้าชอบมาก คือปิ่นปัก  เกศา เปน็ เครอ่ื งประดบั ทใ่ี ครๆ มองดดู ว้ ยความนยิ มชมชนื่  ขา้ พเจา้   มีปิ่นปักผมหลายแบบหลายชนิด และท�ำด้วยทองค�ำทั้งน้ัน และก็ ปน่ิ ปกั ผมนเี่ อง เปน็ สาเหตอุ นั หนง่ึ ใหข้ า้ พเจา้ พอใจพำ� นกั อย ู่ ณ ทน่ี ี้ ในหัสตินาปุรนครของข้าพเจ้า มีช่างทองอยู่ตระกูลหนึ่ง ได้  ท�ำทองมาหลายชั่วอายุคน เขาช�ำนาญมาก พระประยูรญาติของ  389 ข้าพเจ้าเมื่อต้องการท�ำทองเป็นเคร่ืองประดับก็ท�ำท่ีนี่ แม้ข้าพเจ้า  เองกเ็ หมอื นกนั  มหาดเลก็ คนสนทิ ของขา้ พเจา้ ไปรา้ นชา่ งทองกลบั   มา เขาจะนำ� เอาความงามแหง่ ธดิ าชา่ งทองตดิ ปากมาดว้ ยเสมอ จน  บางครงั้ ข้าพเจ้าเบ่ือหูไมอ่ ยากฟัง แตเ่ ขาเป็นคนรับใชท้ ี่ด ี ทำ� กจิ ทกุ   อย่างเพื่อข้าพเจ้า คุณสมบัติของผู้รับใช้ท่ีดี ๔ ประการมีอยู่พร้อม  ในบุคคลผู้น้ี คือต่ืนก่อน นอนทีหลัง คอยฟังว่านายจะให้ท�ำอะไร  พอใจประพฤตสิ งิ่ ทดี่ งี าม คนรบั ใชท้ ป่ี ระกอบดว้ ยคณุ สมบตั อิ ยา่ งน้ ี แมน้ ายกต็ อ้ งเกรงใจ ขา้ พเจา้ มไิ ดป้ ลงใจเชอ่ื วา่  ธดิ าชา่ งทองจะงาม  อยา่ งทม่ี หาดเลก็ กลา่ วถงึ  ขา้ พเจา้ ดหู มน่ิ แววตาของมหาดเลก็  สตร ี ซง่ึ นบั เนอื่ งในพระราชวงศก์ ม็ มี ากหลาย ธดิ าแหง่ เสนาบดอี �ำมาตย ์ ราชบรพิ ารกม็ ไี มน่ อ้ ย ลว้ นแตส่ วยงามอยใู่ นวยั ทพี่ งึ ชม แตข่ า้ พเจา้   กม็ ไิ ดส้ นใจกบั สตรคี นใดเลย ขา้ พเจา้ แมจ้ ะเปน็ ราชกมุ าร กเ็ หมอื น 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เด็กหนุ่มธรรมดาท่ัวไป คืออยากพบเห็นส่ิงที่เล่าลือกันว่าสวยงาม  ดังนั้น วันหน่ึงข้าพเจ้าจึงปลอมตัวออกไปกับมหาดเล็ก ไปท่ีบ้าน  ช่างทอง นอกจากอยากดูธิดาช่างทองให้เห็นกับตาตนเอง เพ่ือ  มหาดเลก็ จะไดไ้ มพ่ ดู ใสห่ ตู อ่ ไปอกี แลว้  สงิ่ ทขี่ า้ พเจา้ อยากดมู ากกวา่   คอื ป่ินปกั ผมอนั ใหม ่ ซงึ่ ส่ังท�ำพิเศษ วา่ เขาทำ� กนั ไปถึงไหนแลว้ บา้ นชา่ งทองมรี ว้ั ขอบชดิ  เปน็ บา้ น ๒ ชนั้  บรเิ วณบา้ นสะอาด  เรยี บรอ้ ย มเี ครอ่ื งประดบั ตกแตง่ พองามตา ทกุ ครงั้ ทมี่ หาดเลก็ ของ  ขา้ พเจ้าไป เขาจะตอ้ นรบั ที่หอ้ งรับแขกและน�ำนำ้� มาใหด้ ื่ม วนั นั้นก็  คงเปน็ เชน่ เดยี วกนั  และเปน็ เรอ่ื งบงั เอญิ โดยแท้ หญงิ รบั ใชไ้ ปตลาด  ยังไม่กลับ ธิดาช่างทองจึงน�ำน�้ำมาเอง พอนางเดินเข้ามาเท่านั้น  390 ทา่ นเอย ขา้ พเจา้ ถงึ กบั ตะลงึ พรงึ เพรดิ  มหาดเลก็ ทำ� สญั ญาณตามที่  นดั หมายกนั ไวเ้ ปน็ เชงิ บอกใหร้ วู้ า่  นค่ี อื ธดิ าชา่ งทองคนสวยละ นาง  เป็นคนสวยจริงๆ สวยอย่างท่ีสตรีในวังของข้าพเจ้าเทียบมิได้เลย  เสมือนนางได้เก็บเอาความงามของสตรีมากหลายมารวมอยู่ที่นาง  เพียงคนเดยี ว รูปร่างของเธอไม่สูงเกิน ไม่ต�่ำเกิน ไม่ขาวเกิน และไม่ด�ำ เกนิ  มผี มด�ำเปน็ เงางาม เปน็ คลน่ื นอ้ ยๆ แวดวงใบหนา้ อนั ผดุ ผาด เปลง่ ปลง่ั เหมอื นมรี ศั ม ี ประดจุ ดวงจนั ทรโ์ ผลจ่ ากกลบี เมฆ ควิ้ ของ เธอดกด�ำและโก่งงาม ริมฝีปากแดงเรื่อสดใสดูสะอาด ฟันเรียบ สนิทแวววาวรุ่งเรือง เมื่อเธอเปิดปากพูด ท�ำให้ใจผ่องใสลืมทุกข์ เสยี งไพเราะกงั วานหวาน ขา้ พเจา้ ไมเ่ คยไดย้ นิ เสยี งนกการเวก เคย ได้ยินเขาชมกันว่าไพเราะยิ่งนัก ถ้าเสียงของมันไพเราะเพียงคร่ึง หนงึ่ ของเสยี งเธอผนู้  ี้ ขา้ พเจา้ กย็ อมรบั วา่ ไพเราะจรงิ  ลำ� แขนออ่ นชอ้ ย

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า เหมือนงวงช้างเม่ือเยื้องกราย อาการของเธอเหมือนเน้ือสาว เมอ่ื เธอมองอยา่ งละอายกเ็ หมอื นเนอื้ ทรายทตี่ น่ื ไพร เครอ่ื งแตง่ กาย ของเธองามโชติช่วง ปลิวสะบัดดังสายฟ้าแลบในอากาศ เม่ือเธอ ยา่ งเขา้ มาในหอ้ ง กลน่ิ หอมอบอวลตามเขา้ มา ประดจุ เธอนำ� เอาปา่ ซึ่งมีดอกไม้บานในฤดูร้อนตามเข้ามาด้วย มองดูน้ิวของเธอเม่ือ วางภาชนะนำ้� ลง ขา้ พเจา้ ตอ้ งซาบซา่ นใจ เพราะนวิ้ ของเธอเรยี วงาม วิจิตร เล็บสีชมพูอ่อน ข้าพเจ้ามิได้สนใจกับภาชนะน้�ำเลย ความ สนใจทั้งหมดไปรวมกันอยู่ท่รี า่ งธิดาช่างทองผู้เฉิดฉาย ‘ขอโทษด้วยท่ีปล่อยให้ท่านน่ังอยู่นานไปหน่อย’ ค�ำแรกที ่ นางพูดยิ้มละไม หน้าระรื่น มองเห็นลักยิ้มบุ๋มที่พวงแก้มทั้งสอง  ‘พระราชกมุ ารเจา้ ของปน่ิ ปกั พระเกศาทรงพระส�ำราญดหี รอื  พระ-  391 องค์จะทรงต้องการเร็วไหม?’ นางพูดกับมหาดเล็กของข้าพเจ้า  ข้าพเจา้ นั่งตัวแข็งเหมอื นรูปศลิ า ‘ขอบใจแทนพระราชกุมาร มหาดเล็กกล่าวตอบ ‘พระองค์  ทรงพระสำ� ราญด ี ปน่ิ ปกั พระเกศาไมท่ รงรบี รอ้ นนกั  ขอใหท้ า่ นและ  บดิ าของทา่ นทำ� ตามสบาย ขอแตป่ ระณตี ทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะท�ำได ้ แตข่ อ  แนะน�ำให้รู้จักกับเพ่ือนของข้าพเจ้าเสียก่อน’ แล้วมหาดเล็กก็หัน  หน้ามาทางข้าพเจ้าพร้อมด้วยพูดว่า ‘นี่คือสุรนันทะ เพื่อนของ  ข้าพเจ้า บางทีในโอกาสต่อไป ข้าพเจ้าติดธุระมาไม่ได้ เพ่ือนคนน ้ี คงจะมาแทน’ มหาดเล็กพูดแล้วยิ้มอย่างชอบใจ นางพนมมือไหว้  ขา้ พเจา้ เกือบลืมไหว้ตอบ เพราะมัวแต่มองนางอยา่ งเพลดิ เพลนิ ข้าพเจ้าสนทนากับนางไม่สู้จะสนิทนัก เพราะรู้สึกละอายใจ  ตนเองทม่ี องนางอยา่ งลมื ตวั  ถงึ กระนนั้ กพ็ อเปน็ แนวทางส�ำหรบั ใน 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ วันหน้าได้ นางลุกไปเอาปิ่นปักผมซ่ึงท�ำไปได้คร่ึงหน่ึงแล้วมาให้ด ู ปน่ิ ปกั ผมเปน็ ทสี่ นใจของขา้ พเจา้ เปน็ ทสี่ ดุ แลว้  ขา้ พเจา้ บอกทา่ นไว ้ แล้วว่า ข้าพเจ้าชอบส่ังให้ท�ำปิ่นปักผมแบบแปลกๆ แต่ความสนใจ  ในปิ่นปักผมทั้งหมดรวมกัน ยังไม่ได้ครึ่งแห่งความสนใจท่ีข้าพเจ้า  มีต่อนางงามผูท้ ำ� ป่นิ คนนนั้ ‘ท่านท�ำปิ่นปักผมได้สวยงาม พระราชกุมารคงพอพระทัย’  ขา้ พเจา้ พดู เมอื่ พลกิ ปน่ิ ดอู ยคู่ รหู่ นง่ึ  นางยม้ิ อยา่ งเอยี งอาย แตม่ นั ม ี ความหมายบาดลกึ ลงไปในหัวใจของข้าพเจ้า ถา้ ความรกั เมอ่ื แรกพบมอี ยจู่ รงิ  ขา้ พเจา้ กร็ กั นางแลว้ เมอ่ื แรก  เหน็  จะเปน็ การเรว็ เกนิ ไปไหมทา่ นทจี่ ะกลา่ วดงั น้ี ถา้ ความรกั ทำ� ให้  392 คนกระวนกระวาย บัดนี้ข้าพเจ้าก็กระวนกระวายแล้ว ถ้าความรัก  ทำ� ใหค้ นซมึ เซา ขา้ พเจา้ กซ็ มึ เซาแลว้  ถา้ ความรกั ทำ� ใหค้ นลมื อะไรๆ  งา่ ยๆ นอกจากอยา่ งเดยี วทเี่ ขาไมล่ มื คอื ดวงหนา้ และกริ ยิ าพาทขี อง  คนทรี่ กั  บดั นข้ี า้ พเจา้ กเ็ ปน็ อยา่ งนน้ั แลว้  เมอ่ื เปน็ เชน่ นจ้ี ะปฏเิ สธวา่   ขา้ พเจา้ มไิ ดร้ กั นางไดไ้ ฉน ดวงตาอนั แจม่ แววของเธอไดส้ ลกั รอยรกั   ไว้ในดวงใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากลับด้วยความอาลัยอาวรณ์เป็น  อยา่ งย่ิง พรอ้ มดว้ ยภาพความงามของธดิ าช่างทองติดตาไปดว้ ย คืนนั้นข้าพเจ้านอนต่ืนตาอยู่ตลอดเวลา กระสับกระส่าย  กระวนกระวายด้วยแรงรกั เข้ารัดรึง เพียงพบคร้ังแรกเทา่ นั้น ข้าพ-  เจ้าก็ตกเป็นเหย่อื ของอนงคเ์ ทพแลว้ อยา่ งยากทจ่ี ะถอน ท่านคงอยากทราบชื่อของนางบ้างกระมัง? นางชื่อวิมลมาน  ผู้มีดวงใจไร้มลทิน นางช่างสมช่ือเสียจริงๆ จะหาสิ่งท่ีควรต�ำหน ิ มิได้เลย นามน้ีวิมลมานในความรู้สึกของข้าพเจ้า ช่างเป็นช่ือที่ 

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ไพเราะออ่ นหวาน เปน็ ทตี่ งั้ แหง่ ความบนั เทงิ จติ ยงิ่ กวา่ ภาษากวแี ละ  ดนตรีทไี่ พเราะท้ังหมดในโลกน้รี วมกนั ข้าพเจ้าค�ำนึงถึงค�ำพูดของนางที่ถามว่า ‘พระราชกุมารเจ้า  ของปิ่นปักพระเกศาทรงพระส�ำราญดีอยู่หรือ’ แล้วให้รู้สึกภูมิใจ  เสียวซ่านและระทึกใจเสียนี่กระไร ใครบ้างจะไม่ภาคภูมิเมื่อหญิง  งามถึงปานนั้นถามถึงตน และถามต่อหน้าเจ้าของช่ือ โดยที่ผู้ถาม  มไิ ดร้ จู้ กั ตวั  ขา้ พเจา้ นอนคำ� นงึ ถงึ เธอจนอรณุ จวนจะเบกิ ฟา้  แสงเงนิ   เรมิ่ ฉายฉาบทาบตกึ สขี าวอนั เปน็ ทพี่ ำ� นกั ของขา้ พเจา้  ธรรมชาตยิ งั   คงนทิ ราสนทิ  แตข่ า้ พเจา้ เปน็ ผตู้ นื่  ตน่ื อยตู่ ลอดราตร ี เปดิ หนา้ ตา่ ง  มองออกไปภายนอก เห็นมะลิและพุดซ้อนยืนต้นสงบนิ่งเรียงราย  ดอกสขี าวโพลนของมนั ตอ้ งกระแสลมออ่ นเมอื่ รงุ่ อรณุ แลว้ ออ่ นไหว  393 นอ้ ยๆ เสมอื นตอ้ นรบั การจมุ พติ จากแสงทอง กลนิ่ ของมนั ขจายขจร  ตามกระแสลมพลวิ้ เขา้ กระทบฆานประสาท หอมยวนใจใหเ้ พอ้ ฝนั ...  ฝันถงึ ดรณุ นี ้อยผมู้ ีนามวิมลมาน ความงามแหง่ สีพุดซ้อนและกล่นิ   อันหอมหวานของมะลิ จะพอเทียบได้กับความงามและความอ่อน  หวานแห่งใบหน้านางได้ละหรือ? ท�ำไมนะท่าน ธรรมชาติจึงสร้าง  คนบางคนมาใหง้ ามเลศิ ลอยฟา้  แตส่ รา้ งบางคนมาใหข้ รี้ วิ้ ขเ้ี หร ่ จน  มองหาความงามในเรือนร่างมิได้เลยแม้สักแห่งเดียว ท่านพอจะ  ทราบขอ้ ลล้ี บั เรือ่ งนีอ้ ยู่บา้ งหรอื ?” “ราชกุมาร” พระอานนท์ตอบ “ถ้าถือตามพระมติแห่งพระ  ศาสดาของขา้ พเจา้  พระองคต์ รสั วา่  ความมผี วิ พรรณด ี ความมเี สยี ง  ไพเราะ ความมีสัณฐานรูปร่างสมส่วน ความเป็นคนมีรูปงาม มอง  ดไู ม่จืด ไมน่ า่ เบอื่ หนา่ ย เหล่านี้ไดม้ าด้วยบญุ ทัง้ สิน้ ”

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ “ถ้าอย่างนั้น” พระราชกุมารมีแววพระเนตรวาวด้วยปีติ  “ธดิ าชา่ งทองซง่ึ ขา้ พเจา้ หลงรกั คงเปน็ ผสู้ ง่ั สมบญุ มามากมใิ ชน่ อ้ ย” “ก็น่าจะเป็นอย่างนน้ั ” พระพทุ ธอนชุ ารบั พระราชกมุ ารทรงเลา่ ตอ่ ไป “รวมความวา่  ขา้ พเจา้ รกั นาง ความรกั ซงึ่ เกดิ ขนึ้ เปน็ ครงั้ แรก  ข้าพเจ้าจะท�ำประการใดดี เหมือนคนไม่เคยเดินป่า ไม่รู้จักทิศทาง  ข้าพเจ้าควรจะบอกนางตามเป็นจริงว่า สุรนันทะน้ัน ท่ีแท้คือพระ  ราชกมุ ารเจา้ ของปน่ิ ปกั ผม หรอื ควรจะปกปดิ ไวก้ อ่ น แสดงตนเปน็   สรุ นนั ทะสหายของมหาดเลก็ ตอ่ ไป ขา้ พเจา้ ตรองเรอ่ื งนอี้ ยเู่ ปน็ เวลา  นาน สำ� หรบั คนทอี่ ยใู่ นหว้ งรกั  เรอื่ งทเ่ี กย่ี วกบั คนรกั ยอ่ มเปน็ ปญั หา  394 ใหญเ่ สมอ แตใ่ นทสี่ ดุ ขา้ พเจา้ กต็ กลงใจวา่ ควรจะแสดงเปน็ สรุ นนั ทะ  ไปก่อนจะดีกว่า และดูเหมือนจะสนุกดีด้วย มหาดเล็กคนนั้นเห็น  อาการของข้าพเจ้าก็ยิ้มอยู่ในหน้า แต่ไม่กล้าพูดอะไรเป็นเชิงเย้า  หยอก เพราะเขารู้จกั ฐานะของเขาดี หลังจากน้ันแล้ว ข้าพเจ้าไปหาเธออีกเสมอไปในนามมหาด-  เลก็ ของเจา้ ชาย ในระยะนน้ั เจา้ ชายรบั สงั่ ทำ� ปน่ิ ปกั พระเกศาอนั แลว้   อันเล่ามิจบส้ินลงได้ และทุกคร้ังท่ีข้าพเจ้าไปหานาง ข้าพเจ้ามักจะ  มีของเล็กๆ นอ้ ยๆ ตดิ มอื ไปดว้ ยเสมอ ทง้ั นี้เพราะโบราณยอ่ มว่า ไปหาขนุ ศาล ตลุ าการ ๑ ไปหาครู อาจารย์ ๑ ไปหามารดา หรอื บดิ าของสตรที ตี่ นใคร ่ ๑ ไมค่ วรไปมอื เปลา่ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีของไปฝากนางบ้าง ส�ำหรับของฝากน้ัน  เป็นเร่ืองเล็กน้อยส�ำหรับคนในฐานะอย่างข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก ็

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า 395

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ระมัดระวังมิให้ของน้ันดีเกินไป เพ่ือป้องกันมิให้นางสงสัยในฐานะ  มหาดเล็กของข้าพเจ้า รู้สึกนางและมารดาของนางรับด้วยความ  ยินดี เม่ือทราบว่าข้าพเจ้าให้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง และก็เป็น  ธรรมดาของผู้มีนำ�้ ใจงาม เม่ือได้รับเสมอๆ ก็ย่อมให้ตอบแทนบ้าง  นางเคยให้ผ้าเช็ดหน้าฉลุลายอย่างงดงามประณีตแก่ข้าพเจ้า เมื่อ  ยามหลง อะไรๆ ก็ช่างดีไปหมด ข้าพเจ้าจุมพิตผ้าเช็ดหน้าอย่าง  ถนอม พรอ้ มดว้ ยนอ้ มคะนึงถึงเจ้าของผู้งามเฉดิ เยน็ วนั หนง่ึ  ขณะทข่ี า้ พเจา้ ไปหานางอยา่ งเคย ขา้ พเจา้ เปรย  ขน้ึ วา่ ขา้ พเจา้ ไดท้ ราบถงึ ความงามความพงึ พศิ แหง่ สวนและสระโบก  ขรณีหลังเคหาสน์แห่งช่างทอง แต่ไม่เคยทัศนาด้วยตนเองเลย ท�ำ  396 ไฉนขา้ พเจา้ จะโชคดไี ดเ้ หน็ สวนและสระนนั้  นางผไู้ มร่ งั เกยี จทจี่ ะคบ  ขา้ พเจา้  ตอบวา่ เปน็ ไรไป เมอื่ ขา้ พเจา้ ปรารถนาเชน่ นน้ั  นางกจ็ ะพา  ไปชม เราทงั้ สอง หมายถงึ เธอและขา้ พเจา้  เวลานดี้ เู หมอื นจะเขา้ ใจ  ในความลี้ลับในดวงจิตของกันและกัน แล้วเธอได้น�ำข้าพเจ้าเข้า  สู่สวน ซ่ึงอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ และประดับตกแต่ง  อย่างสวยงาม มีสระโบกขรณี มีน้�ำใส บัวบานสะพรั่ง ชูดอกสล้าง  ดูงามตาน่าชม เราหยุดนั่งท่ีม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง ดูแมลงภู่บินร่อน  ฉวดั เฉวยี นเวยี นชมเกสรอบุ ลดว้ ยความเพลนิ ใจ สายลมรำ� เพยแผว่   หอบเอากลน่ิ นำ�้ และกลน่ิ มาล ี คละเคลา้ ดว้ ยกลนิ่ สไบนาง หอมหวน  ยวนจิตให้คะนึงถึงความสุขสราญ ในยามนั้นตะวันรอนยอแสงสี  เมฆมว่ งสลบั ฟา้ และเปน็ รปู ตา่ งๆ นา่ ทศั นา ประกอบดว้ ยมนี างงาม  เฉดิ อยเู่ คยี ง ขา้ พเจา้ รสู้ กึ เหมอื นฝนั ไป และไมค่ ดิ วา่ ใครจะมคี วามสขุ  

พ ร ะ อ า น น ท์ พุ ท ธ อ นุ ช า ความภาคภมู ยิ ง่ิ ไปกวา่ ขา้ พเจา้  ความสขุ นนั้ อยทู่ ค่ี ณุ ภาพ มใิ ชป่ รมิ าณ  เม่ือได้สงิ่ ท่ตี ้องการ มนุษยก์ ม็ ีความสุขได้ทัดเทยี มกัน ‘สวนและสระนี้ พอจะดูได้ไหม?’ วิมลมานถามขึ้น ชายตา  มองขา้ พเจา้ เพยี งเล็กนอ้ ย ‘สวยมากทีเดียว’ ข้าพเจ้าตอบ ‘แต่ทั้งความงามของสระ  และพันธุ์ไม้ทุกชนิดรวมกันก็ยังสวยไม่เท่าวิมลมานผู้มีดวงใจไร ้ มลทนิ ’ ขา้ พเจ้าไมท่ ราบค�ำนอี้ อกมาไดอ้ ย่างไร ธิดาช่างทองขยับกายเล็กน้อย แต่มีรอยยิ้มท่ีอ่อนหวานผุด  ขนึ้ ทีร่ ิมฝีปาก มนั ช่วยปลอบใหข้ ้าพเจ้าหายระทึกใจ ‘คนชาววังเขาพูดกันอย่างนี้หรือ?’ นางพูดพร้อมด้วยใช้น้ิว  อนั เรียวงามกรีดผ้าพนั คอด้วยความขวยอาย ‘ข้าพเจ้าอยู่ในวังมาช้านาน ไม่เคยพูดค�ำน้ีกับใครเลย ท่าน  397 เป็นคนแรกทไี่ ด้ยนิ คำ� น้’ี  ข้าพเจ้าตอบนางดว้ ยความจรงิ ใจ ‘ท�ำไมผู้ชายจึงชอบชมแต่ความงามของผู้หญิง ไม่เห็นชม  อยา่ งอน่ื เลย ผหู้ ญงิ เกดิ มางามอยา่ งเดยี วกเ็ หน็ จะพอแลว้ กระมงั ?’  นางพูด ยังก้มหนา้ ดพู ืน้ ดินที่ปกคลมุ ด้วยต้นหญ้าสงี าม ‘อย่างท่านน้ี’ ข้าพเจ้าใจกล้าข้ึนมาบ้างแล้ว “มิเพียงแต่รูป  งามนามเพราะอยา่ งเดยี วเท่านน้ั  แตใ่ จยังบริสุทธ์ิสะอาดและกริ ิยา  นา่ รักอีกดว้ ย’ ‘ถ้าความสุขของท่านอยู่ที่ได้ชมข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยินดีให้  ทา่ นชมอยตู่ ลอดไป ขา้ พเจา้ เคยทราบจากบดิ าวา่  การหยบิ ยนื่ ความ  สขุ ใหผ้ อู้ นื่  ความสขุ นนั้ ยอ่ มสะทอ้ นกลบั มาหาผใู้ ห ้ การใหท้ กุ ขแ์ กผ่  ู้ อนื่ กเ็ ชน่ กนั ’ ธดิ าชา่ งทองพดู คอ่ นขา้ งตะกกุ ตะกกั  แตย่ งั มนี �้ำเสยี ง 

อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ไพเราะ ใบหนา้ ของนางแดงระเรื่อ ทำ� ให้ดงู ามสดใสย่ิงขึน้ ข้าพเจ้ายังมิทันได้ตอบประการใด เสียงนกชนิดหนึ่งร้องดัง  ขึ้นจากพุ่มไม้หลังม้าหินอ่อนที่เรานั่ง นางตกใจเผลอตัวขยับกาย  เข้าเบียดชิดข้าพเจ้า พอดีลมกระโชกมาอย่างแรง ชายผ้าพันคอ  ผนื นอ้ ยทน่ี างใชป้ ลวิ มาพนั คอขา้ พเจา้  เกศาของนางฟกู ระจายดว้ ย  แรงลม มากระทบใบหน้าและฆานประสาท เม่อื นางได้สติรูต้ วั แลว้   จึงถอยห่างออกไป แต่ดูยังมีอาการตกใจอยู่เล็กน้อย ข้าพเจ้ารู้สึก  เหมือนต้องละอองฝนในคมิ หันตฤดู ‘นกตัวน้คี งเปน็ ตวั ผ้’ู  ข้าพเจา้ เปรยขึน้ ‘ทำ� ไมทา่ นร ู้ มนั ชา่ งโหดรา้ ยเสยี จรงิ  ทำ� ใหต้ กใจเลน่ ได’้  นาง  398 ตอบแลว้ ยิ้มเหมือนขนั ตวั เอง ‘มนั คงสงสารขา้ พเจา้ ทจ่ี ติ ใจกระวนกระวาย อยากนงั่ ใกลช้ ดิ   ท่านมาเป็นเวลานานแล้ว มันคงรู้ถึงความรู้สึกของข้าพเจ้าจึงช่วย  เหลือ แม้จะเพียงเล็กน้อยและชั่วระยะเวลาอันส้ันก็ยังดี เหมือน  ฟา้ แลบเพยี งแวบเดยี วกพ็ อมองเหน็ ทาง’ นางลกุ ขน้ึ พรอ้ มดว้ ยพดู วา่  ‘ขา้ พเจา้ ไมอ่ ยากจะเชอ่ื ทา่ นแลว้   พดู หวานเกนิ ไป เดยี๋ วพอกลบั ไปถงึ วงั กล็ มื นกึ ถงึ ธดิ าชา่ งทอง ผชู้ าย  ชาววงั กม็ ักจะพูดไพเราะแตต่ ่อหนา้ ’

๓๒ ห ญิ ง ง า ม กั บ พ ร ะ บิ ด า 399 ความสนิทสนมสัมพันธ์ของข้าพเจ้าและวิมลมานธิดาช่างทอง  เป็นไปอย่างสม่�ำเสมอและเวียนเข้าหาจุดมุ่งหมายเข้าทุกวันๆ  เสมือนรอยเท้าโคที่เหยียบย่�ำไปบนผืนนา ในขณะลากแอกและไถ  มันวนเวียนเข้าหาจุดศูนย์กลางของนาแปลงนั้นทุกๆ รอบที่ย่างไป  คนมคี วามรกั จติ ใจยอ่ มจดจอ่ อยใู่ นเรอ่ื งรกั  แมจ้ ะสนทนาเรอื่ งใดๆ ก็  มาจบลงทคี่ ำ� วา่  ‘รกั ’ เสยี ทกุ ครงั้ โดยเฉพาะความรกั ของหนมุ่ วยั ตน้ ความรกั ทำ� ใหค้ นซง่ึ กระดา้ งหยาบคายกลายเปน็ คนนมุ่ นวล ออ่ นหวาน มหาโจรใจเหย้ี มซง่ึ ฆา่ คนไดอ้ ยา่ งไรค้ วามปราน ี เมอ่ื ถกู เสน่ห์นางเข้ารัดรึงใจก็ต้องวางดาบ แล้วคุกเข่าลงสารภาพรักกับ สตรตี วั นอ้ ยซงึ่ ไมเ่ คยแมแ้ ตจ่ ะบม้ี ด กษตั รยิ าธริ าชผผู้ ยองและทะนง ในศกั ด์ิ เมอ่ื ความรักเกดิ ขึ้นความทะนงกพ็ ลนั หาย กลายเป็นผรู้ ับ ใช้ของเธอซ่ึงก�ำหัวใจไว้ได้ นางผู้งามเฉิดเพริศพราย เม่ือความรัก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook