¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 185 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เฉลยแบบประเมินผลตนเอง หนว ยท่ี ๖ ขอ กอ นเรียน หลงั เรียน ๑. ค ง ๒. ง ก ๓. ก ค ๔. ง ก ๕. ค ข ๖. ข ง ๗. ก ค ๘. ค ก ๙. ง ข ๑๐. ข ง เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 185
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 186 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) แผนการสอนวิชาบาลไี วยากรณ หนว ยท่ี ๗ เร่ือง กิตก “กริ ิยากติ ก [วภิ ตั ต,ิ กาล, วจนะ, ธาต,ุ วาจก, ปจ จยั ]” เวลาทำการสอน ๓ คาบ สาระสำคัญ ศัพทท่ีประกอบดวยปจจัยหมูหน่ึง ซึ่งเปนเคร่ืองหมายกำหนดเน้ือความของ นามศัพทและกิริยาศัพทท่ีตางๆ กัน เรียกวา “กิตก” แบงเปน ๒ คือ นามศัพท ๑ กริ ิยาศัพท ๑ กิตกที่เปน กริ ยิ า เรียกวา “กริ ิยากติ ก” จดุ ประสงค ๑. เพ่ือใหน ักเรียนรูและเขา ใจกิตก และกริ ยิ ากิตก ๒. เพื่อใหนักเรียนรูและเขาใจถึงองคประกอบของกิริยากิตก และนำไปใชได ถูกตอง เนอ้ื หา ๑. กติ ก ๒. กิรยิ ากติ ก ๓. องคประกอบของกิริยากิตกพรอมวิธีใช [วิภัตติ, กาล, วจนะ, ธาตุ, วาจก, ปจจยั ] กจิ กรรม ๑. ประเมินผลกอนเรยี น ๒. ใหนักเรียนทอ งกิตก กริ ยิ ากิตก [วิภตั ติ, กาล, วจนะ, ธาตุ, วาจก, ปจจยั ] 186
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 187 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๓. ครูนำเขา สบู ทเรยี น และอธิบายเนอื้ หา ๔. บตั รคำ ๕. ครสู รปุ เน้อื หาทง้ั หมด ๖. ประเมนิ ผลหลงั เรยี น ๗. ใบงาน ๘. กจิ กรรมเสนอแนะ ครูสอนควรใหน กั เรียน ๑. ทอ งแมแบบได ๒. ใหนักเรียนหัดแยกธาตุ และประกอบธาตุดวยปจจัยกิริยากิตก (สั่งเปน การบา นดวย) ส่อื การสอน ๑. ตำราที่ใชประกอบการเรียน-การสอน ๑.๑ หนงั สอื พระไตรปฎ ก ๑.๒ หนังสือพจนานกุ รม มคธ-ไทย โดย พนั ตรี ป. หลงสมบุญ สำนกั เรียนวดั ปากนำ้ ๑.๓ หนังสือพจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๔ หนังสอื พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท โดย พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตฺโต) ๑.๕ หนงั สอื คมู อื บาลไี วยากรณ นพิ นธ โดย สมเดจ็ พระมหาสมณเจา ฯ ๑.๖ หนงั สอื ปาลิทเทศ ของ สำนักเรยี นวัดปากนำ้ ๑.๗ คัมภีรอภิธานัปปทปี ก า ๑.๘ หนงั สอื พจนานุกรมธาตุ ภาษาบาลี ๒. อุปกรณท่คี วรมปี ระจำหองเรยี น ๒.๑ กระดานดำ-แปรงลบกระดาน-ชอลก หรอื กระดานไวทบอรด ๒.๒ เครอ่ื งฉายขามศีรษะ (Over-head) ๓. บัตรคำ ๔. ใบงาน 187
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 188 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) วิธวี ัดผล-ประเมินผล ๑. สอบถามความเขาใจ ๒. สงั เกตพฤติกรรมการมสี วนรวมในกจิ กรรม ๓. สังเกตความกา วหนา ดา นพฤติกรรมการเรยี นรูของผูเรียน ๔. ตรวจใบงาน 188
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 189 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò กติ ก ศพั ทท ที่ า นประกอบดว ยปจ จยั หมหู นง่ึ ซง่ึ เปน เครอ่ื งกำหนดหมายเนอื้ ความของ นามศัพท และกิริยาศัพทท่ีตางๆ กัน. คำวาศัพทในที่นี้ หมายความถึงกิริยาศัพทท่ี เปน มลู รากคอื ธาตุ เชน เดยี วกบั ธาตใุ นอาขยาต กริ ยิ าศพั ทท เ่ี ปน มลู ราก คอื ธาตทุ ง้ั หลาย น่ันเอง เมื่อนำมาประกอบกับปจจัย ซ่ึงทานจัดไวเปนหมวดหมูแลว ยอมเปนเครื่อง กำหนดหมายใหทราบเนื้อความไดวา ศัพทท่ีประกอบดวยปจจัยเหลานี้เปนนามศัพท และเปนกิริยาศัพท ซงึ่ นามศพั ทแ ละกริ ยิ าศพั ทเ หลา นน้ี กั ปราชญด า นภาษาบาลบี ญั ญตั ิ เรยี กวา “กติ ก” ความหมายของคำวา “กติ ก” นักวิชาการทางดานภาษาศาสตรใหความหมายของคำวา “กิตก” ไวแตกตาง กันออกไป ดังตอไปน้ี คอื กติ ก (ปุ.) ศพั ทอันเรยี่ รายดว ยกติ ปจจัย, กติ ก ช่ือของศัพททีป่ ระกอบดว ย ปจ จัยหมหู น่งึ ซ่งึ เปน เครื่องของนามศัพทและกริ ยิ าศพั ทท ต่ี า งๆ กนั . จากบาลไี วยากรณก ติ ก. ว.ิ กติ ปจจ เยน กริ ตตี ิ กตโก. กติ บทหนา กริ ฺ ธาตุ ในความเรยี่ ราย ร ปจ . ลบทสี่ ดุ ธาตุ แปลง อิ ที่ กิ ตัว ธาตุเปน อ และลบตัวเอง (ร ปจ.). (พจนานกุ รม มคธ-ไทย โดย พนั ตรี ป. หลงสมบญุ สำนกั เรยี น วดั ปากนำ้ จัดพิมพ พ.ศ.๒๕๔๐ หนา ๑๙๒) และในคูมือบาลีไวยากรณเลมนี้จะใหความหมายของคำวา “กิตก” เชนเดียว กบั นกั วชิ าการทา นอน่ื ๆ คอื “ศพั ทท ป่ี ระกอบดว ยปจ จยั หมหู นง่ึ ซง่ึ เปน เครอ่ื งหมาย ของนามศัพทและกิรยิ าศัพทท ตี่ า งๆ กนั ” คำวา กิตก นมี้ ีมลู เดมิ มาจาก กริ ฺ ธาตุ ในความเร่ยี ราย, กระจาย กตั ตรุ ปู กัตตุ สาธนะ วิเคราะหคำวา “กติ ก” วิเคราะหว า กติ ปจฺจเยน กริ ตีติ กติ โก (ศัพทใ ด) ยอ มเร่ียราย ดว ยปจ จัยกิตก เหตนุ น้ั (ศัพทน ้ัน) ชื่อวากติ ก. 189
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 190 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ศัพทตางๆ ที่เปนธาตุ ซ่ึงปจจัยในกิตกปรุงแตงแลว ยอมสำเร็จรูปเปน ๒ คือ นามศัพทและกิริยาศัพท สวนศัพทท่ีปจจัยอาขยาตปรุงแลว ยอมใชเปนกิริยาศัพท อยางเดียว และใชไดเฉพาะเปนกิริยาหมายพากยเทานั้น สวนศัพทที่ปจจัยกิตกปรุง แลว ยอมใชเปนนามศัพท คือเปนนามนามก็ได คุณนามก็ได และใชเปนกิริยาศัพท คือ เปนกิริยาหมายพากยก ็ได เปนกริ ยิ าในระหวางพากยกไ็ ด. ศัพทที่ปจจัยปรุงแตงเปนนามศัพทศัพทตางๆ ที่ปจจัยในกิตกปรุงใหสำเร็จรูป เปนนามศัพทแลวนามศัพทนั้นๆ ยอมมีความหมาย แตกตางกันออกไปตามปจจัยท่ี ประกอบนั้นๆ ไมตองกลาวถึงศัพทท่ีประกอบดวยปจจัยตางๆ กันยอมมีความหมาย ผดิ แผกแตกตางกันออกไป แมศพั ทเ ดียวกนั และประกอบปจ จยั ตวั เดยี วกนั นั่นเอง ยัง มคี วามหมายแตกตา งออกไปไดห ลายอยา ง แลว แตค วามมงุ หมายของปจ จยั ทป่ี ระกอบเขา กับศัพทจะใชความหมายวากระไรไดบาง ในสว นรปู ท่เี ปนนามศพั ท ศพั ทว า ทาน ดังที่ทานยกขน้ึ มาเปนอทุ าหรณในแบบน้ัน ศพั ทนีม้ ูลเดมิ มาจาก ทา ธาตุ ในความให ลง ยุ ปจจยั แลว แปลง ยุ เปน อน ไดร ปู เปน ทาน ถา จะใหเปน รปู ศพั ทเ ดมิ ตองลง สิ ปฐมาวภิ ัตติ นปุส กลงิ คไ ดร ปู ทาน ศพั ทนีแ้ หละอาจแปลไดถ งึ ๔ นัย คือ :- ๑. ถาเปนช่ือของสิ่งของที่จะพึงสละเปนตนวา ขาว น้ำ เงิน ทองก็ตองแปล เปนรูปกัมมสาธนะวา “วัตถุอันเขาพึงให” แยกรูปออกตั้งวิเคราะหวา ทาตพฺพนฺติ ทาน. [ ย วตฺถุ ส่ิงใด เตน อันเขา ] พึงให เหตุน้ัน [ ต วตฺถุ สิ่งน้ัน ] ช่ือวา ทาน [ อนั เขาพงึ ให ]. เชนในคำวา ทานวตฺถุ ส่ิงของอันเขาพงึ ให. ๒. ถาเปนชื่อของการให คือเพงถึงกิริยาอาการของผูให แสดงใหเห็นวา ผูใหๆ ดวยอาการอยางไร เปนตนวาอาการชื่นชมยินดีอาการหยิบยกให เชนนี้ตอง แปลเปน ภาวสาธนะวา “ความให การให” แยกรปู ออกตง้ั วิเคราะหวา ทิยฺยเตติ ทาน. (เตน อันเขา) ยอมให เหตุนั้น ช่ือวา ทาน. (การให) รูปน้ีไมตองมีตัวประธานเพราะ เปนรูปภาววาจก. เชนในคำวา สพฺพทาน ธมฺมทาน ชินาติ. การใหธรรมยอมชนะ การใหท งั้ ปวง. 190
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 191 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๓. ถาเปนชื่อของเจตนา คือเพงถึงความคิดกอน หรือความจงใจใหทาน หมายความวาเขาใหดวยเจตนาใด เจตนานั้นไดช่ือวา เปนเหตุใหเขาสละสง่ิ ของ คอื ยกเจตนาข้ึนพูดเปนตัวตั้ง เชนน้ีตองแปลเปนรูปกรณสาธนะวา “เจตนาเปนเหตุให แหงชน” แยกรูปออกต้ังวิเคราะหวา เทติ เตนาติ ทาน. (ชโน ชน) ยอมให ดวย เจตนากรรมนั้น เหตุนน้ั (ต เจตนากมฺม เจตนากรรมน้นั ) ชอ่ื วา ทาน (เจตนากรรมเปน เหตุใหแ หง ชน). เชน ในคำวา ทานเจตนา เจตนาเปน เครอ่ื งให. ๔. เปนชื่อของสถานท่ี คือเพงถึงที่ๆ เขาให มีโรงเรือน ศาลา หรือ บาน เปนตน หมายความวา เขาใหในสถานที่ใด สถานที่น้ันไดช่ือวา เปนที่ใหของเขา คือ ยกสถานท่ีข้ึนพูดเปนตัวตั้ง เชนนี้ตองแปลเปนรูปอธิกรณสาธนะวา “ท่ีเปนท่ีใหแหง ชน” แยกรูปออกตงั้ วิเคราะหว า เทติ เอตฺถาติ ทาน. (ชโน ชน) ยอ มใหใ นท่นี ั่น เหตุ น้ัน (เอต าน ทนี่ ่นั ) ชื่อวา ทาน (ทเ่ี ปน ทใ่ี หแหงชน). เชนในคำวา ทานศาลา โรงเปน ที่ให (โรงทาน) ดังตัวอยางนี้ เราจะเห็นไดแลววา คำวา ทาน คำเดียว อาจแปล ความหมายไดหลายนยั ดังแสดงมาฉะน.้ี ศัพทท ่ีปจ จยั ปรงุ แตง เปน กิรยิ ากติ ก ศัพทตางๆ ท่ีปจจัยในกิตกปรุงใหสำเร็จรูปเปนกิริยาศัพทแลวกิริยาศัพทน้ันๆ ก็ยอมมีความหมายแตกตางกันออกไปตามปจจัยนั้นๆ เชนเดียวกับศัพทที่ปจจัยปรุง ใหสำเร็จรูปเปนนามศัพทในสวนกิริยาศัพทนี้ ดังท่ีทานยกคำวา “ทำ” ข้ึนมาเปน อุทาหรณ ยอมอาจหมายความไปไดต าง ๆ ดว ยอำนาจปจ จยั ดงั จะแสดงใหเหน็ ตอ ไป คำวา “ทำ” ออกมาจากศัพทธาตุ “กรฺ” ถาใชเปนศัพทบอกผูทำ ก็เปนกัตตุวาจก, บอกส่ิงท่เี ขาทำ กเ็ ปนกมั มวาจก, บอกอาการท่ที ำ ก็เปน ภาววาจก (ไมกลาวถงึ กัตตา และ กัมม). บอกผูใ ชใ หท ำ กเ็ ปน เหตุกตั ตวุ าจก, บอกส่ิงท่ีเขาใชใ หทำ กเ็ ปน เหตกุ ัมม วาจก. ดังตัวอยา ง ดงั นี้ ๑. บอกผูทำท่ีเปนกัตตุวาจกน้ัน คือเมื่อนำปจจัยปรุงธาตุแผนก กัตตุวาจก มาประกอบเขา เชน อนตฺ หรือ มาน ปจ จยั เปน ตน กไ็ ดรูปเปน กัตตุวาจก เชน กรฺ ธาตุ ลง อนตฺ ปจ จัย ไดร ูปเปน กโรนฺโต, กโรนตฺ า, กโรนฺต. แปลวา “ทำอยู เม่อื ทำ” ตาม รูปลิงคของตัวประธาน เมื่อตองการจะแตงใหเปนประโยคตามในแบบ ก็ตองหาตัว 191
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 192 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) กัตตาผูทำ ในทนี่ ี้บงถึงนายชา ง กต็ องใชศ พั ทว า “วฑฒฺ กี” ตัวกรรมบงถงึ เรือน ก็ตอ ง ใหคำวา “ฆร” ตัวคุณนามที่เพิ่มเขามาแสดงถึงอาการที่นายชา งทำ คอื งามจรงิ กใ็ ช คำวา “อตวิ ยิ โสภ” ซงึ่ แสดงความวเิ ศษของการกระทำวา ทำไดงามจริง ทานเรียกวา กิริยาวิเสสนะ เมื่อประกอบใหเปนประโยคก็ตองวา วฑฒฺ กี อตวิ ยิ โสภ ฆร กโรนโฺ ต นายชา ง ทำอยู ซงึ่ เรอื น งามจรงิ นเ้ี ปน รปู กตั ตวุ าจกเพราะยกผูทำขึ้นเปนประธาน คือ บอกผทู ำน่ันเอง. ๒. บอกสิ่งที่เขาทำ เปนกัมมวาจก เมื่อจะใหเปนรูปนี้ ก็นำปจจัยท่ีปรุงกิริยา ศัพทใหเปนกัมมวาจกมาประกอบ เชน ต อนีย ตพฺพ ปจจัย เปนตน เชน กรฺ ธาตุ นำ ต ปจจยั มาประกอบก็ไดร ปู เปน กโต, กตา, กต. ตามรปู ลงิ คข อง นามศัพทที่เปนประธานในประโยคในท่ีนี้ยกคำวา “เรือนนี้นายชางทำงามจริง” ข้ึนเปนอุทาหรณ ถาจะประกอบใหเปนประโยคก็ตองวา อิท ฆร วฑฺฒกินา อติวิยโสภ กต. เรือนน้ี อันนายชาง ทำแลว งามจริง นี้เปนรูปกัมมวาจก เพราะยก คำวา “ฆร” (เรอื น) ข้ึนเปนประธาน คือบอกสง่ิ ที่เขาทำน่ันเอง. ๓. บอกแตอาการท่ีทำ ไมยกกัตตา (ผูทำ) ซ่ึงเปนตัวประธานและกรรม (ผูถูกทำ) ข้ึนพูด กลาวขึ้นมาลอย ๆ เม่ือจะใหเปนรูปน้ีก็นำปจจัยท่ีปรุงกิริยาศัพทให เปนภาววาจก มี ตพฺพ ปจจัยเปนตนมาประกอบ เชน ภู ธาตุ นำ ตพฺพ ปจจัยมา ประกอบ ก็ไดร ูปเปน ภวิตพพฺ (พฤทธ์ิ อู ที่ ภู เปน โอ แลวเอาเปน อว ลง อิ อาคม ภาววาจกน้ีใชเปนรูปนปุสกลิงคเสมอไป) ประกอบใหเปนประโยค เชน การเณเนตฺถ (การเณน+เอตฺถ) ภวติ พฺพ. อันเหตุ ในสง่ิ นั้น พึงมี. ในท่นี ี้ การท่มี ิไดย ก กรฺ ธาตเุ ปน ตัวอยาง ก็เพราะ กรฺ ธาตุเปนธาตุมีกรรมจะใชในภาววาจกไมเหมาะ จึงไดยกเอา ภู ธาตซุ ึ่งเปนธาตไุ มม ีกรรมขึ้นมาเปน อุทาหรณแทน. ๔. บอกผูใชใหเขาทำ เปนเหตุกัตตุวาจก เมื่อจะใหเปนรูปนี้ก็ตองนำปจจัยที่ ใชในเหตุกัตตุวาจกมาประกอบ เชน อนฺต ปจจัยเปนตน เมื่อนำมาประกอบกับ กรฺ ธาตุก็จะไดรูปเปน การาเปนฺโต, การาเปนฺตา, การาเปนฺต. (ยืม ณาเป ปจจัยใน อาขยาตมาใชดวย) ตามลิงคของตัวประธาน ประกอบเปนประโยควา วฑฒฺ กี ปรุ เิ ส อมิ ํ ฆรํ การาเปนโฺ ต. นายชา ง ยงั บรุ ษุ ทงั้ หลาย ใหท ำอยู ซงึ่ เรอื นน.้ี 192
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 193 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๕. บอกส่ิงที่เขาใชใหคนอ่ืนทำ เปนเหตุกัมมวาจก เม่ือจะใหเปนรูปนี้ ก็ตองนำปจจัยท่ีใชในเหตุกัมมวาจกมาประกอบ เชน มาน ปจจัย เปนตน ปจจัยนี้ เมื่อนำมาประกอบกับ กรฺ ธาตุ ก็จะไดรูปเปน การาปยมาโน, การาปยมานา, การาปย มาน. (ยืม ณาเป และ ย ปจจัย อิ อาคมในอาขยาตมาใชด วย) ตามลงิ คของ ตัวประธาน ประกอบใหเปนประโยควา อิท ฆร วฑฺฒกินา ปุริเสหิ การาปยมาน. เรอื นนอี้ นั นายชาง ยังบุรุษทัง้ หลาย ใหทำอย.ู ดังตัวอยางท่ีแสดงมาน้ี เราจะเห็นไดแลว กรฺ ธาตุตัวเดียวเม่ือนำปจจัยในฝาย กริ ยิ ากิตกม าประกอบแลว อาจหมายเนอื้ ความไดเ ปน อเนกประการ ตามปจจยั ทน่ี ำมา ประกอบน้นั ๆ แมปจจัยตัวเดียวกนั น่นั เองก็ยงั อาจแปลงเน้อื ความไดมากเชนเดยี วกนั แลวแตปจจัยนน้ั ๆ จะใชห มายวาจกอะไรไดบ า ง. การแบงประเภทของกิตก กิตกแบง เปน ๒ อยาง กิตกเ มือ่ สำเรจ็ รปู แลว เปน นามศพั ทอ ยา ง ๑ เปน กริ ิยาศัพทอยาง ๑ คำวา “นามศพั ท” นนั้ หมายความกวา ง อาจหมายถงึ นามศพั ทท เ่ี ปน นามนาม ทั้งหมดซึ่งเปนนามโดยกำเนิดก็ได, นามศัพทที่ปรุงขึ้นจากธาตุและใชเปนบทนามก็ได, คุณนามโดยกำเนิด และคุณนามที่ปรุงขึ้นจากธาตุก็ได, และสัพพนามดวยก็ได. คำวา “กิริยาศัพท” ก็เชนเดียวกัน อาจหมายถึงศัพทท่ีกลาวกิริยาทั้งสิ้นเชนกิริยาอาขยาต กไ็ ด, หมายถึงกริ ยิ าที่ใชใ นกติ กกไ็ ด ฉะน้ัน เพื่อจำกัดความใหส้ันและแคบเขา เพ่ือใหหมายความเฉพาะในเรื่อง กิตก คำวา นามศัพท ในท่ีนี้ ทานหมายเฉพาะนามศัพทท่ีสำเร็จรูปมาจากธาตุอยาง เดยี ว ไมใชนามศัพทโ ดยกำเนิด และนามศัพทใ นกติ กนี้เปน ไดเ ฉพาะนามนามอยา ง ๑ คณุ นามอยาง ๑ เทา นนั้ รวมเรยี กชือ่ วา “นามกติ ก” หมายถงึ กิตกทใ่ี ชเ ปน นาม และ คำวา กิริยาศัพท ก็หมายเฉพาะกิริยาท่ีใชประกอบปจจัยในกิตกอยางเดียวเทานั้น ไมห มายถึงกริ ิยาอาขยาตดว ย รวมเรียกช่ือวา “กิริยากติ ก” หมายความวา กิตกท่ใี ช เปนกริ ยิ า. 193
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 194 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ธาตกุ ติ ก ในกิตกทั้ง ๒ นี้ คือ ทั้งนามกิตกและกิริยากิตก ลวนมีธาตุเปนท่ีต้ัง คือสำเร็จ มาจากธาตุท้ังสิ้น แตธาตุใชอยางเดียวกับอาขยาตหาแปลกกันไม จะตางรูปกันก็ใน เม่ือใชเคร่ืองปรุงตางฝายเขาประกอบเทา นัน้ คอื ถา ใชเครือ่ งปรงุ ฝายอาขยาต ธาตนุ น้ั เมื่อสำเร็จรูปก็กลายเปนอาขยาตไป แตถาใชเครื่องปรุงฝายกิตก ธาตุน้ันก็มีรูปสำเร็จ เปนกติ กไปเทานั้น เพราะฉะน้ัน ธาตุเปนตวั กลาง อาจปรุงเปน อาขยาตกไ็ ด กติ กก็ได เชน ภุ ฺช, กรฺ ธาตุ ถาเปน อาขยาตก็เปน ภฺุชติ, กโรต.ิ เปน นามกิตกก็เปน โภชน, โภชโก, กรณ, การโก, เปนกิริยากิตกเปน ภฺุชนฺโต, ภฺุชิตฺวา, ภุตฺโต, กโรนฺโต, กตวฺ า, กโต. เปน ตน. อนง่ึ บางคราวก็ใชน ามศพั ทม าปรงุ เปนกิรยิ ากติ กกไ็ ดเ ชน เดียวกับอาขยาต เชน :- อาขยาต กริ ิยากิตก ศพั ทนามนามวา ปพพฺ ต (ภเู ขา) ปพฺพตายติ ปพพฺ ตายนฺโต ศัพทคุณนามวา จริ (นาน, ชักชา) จริ ายติ จิรายนโฺ ต ฉะน้ัน จึงรวมความวา อาขยาต ใชธาตุและนามศัพทเปนตัวต้ังสำหรับปรุงได ฉันใด กิตกก็ใชได ฉันน้ัน แตตองยืมปจจัยในอาขยาตมาลงดวยในที่บางแหง เชน อาย, อิย ปจ จยั ในอุทาหรณน ี้ เปน ตน . กริ ยิ ากติ ก คำวา กิริยา นั้น ไดแก อาการของนามนามท่ีแสดงออกมานั่นเอง อาการน้ัน ไดแก ยนื เดิน นั่ง นอน กิน ดม่ื ทำ พูด เปนตน อาการชนดิ หนง่ึ ๆ นี้ เรียกวา กริ ิยา. เชน ชโน ิโต แปลวา ชน ยนื อยแู ลว. คำวา ชโน ชน เปน นาม คือชอ่ื คำวา ‘ยืน’ น้ี เปนกิริยา คือ แสดงอาการของชนน้ันเอง ใหรูวา ชนทำอะไร อาการที่แสดงอาการ อยา งหน่ึง ๆ นแ้ี หละ เรยี กวา กิรยิ า, แมอาการเดนิ อาการกิน เปน ตน ก็เชน กนั . กติ ก ท่ีเปนกริ ยิ าเชนนี้ เรยี กวา กริ ิยากิตก. กริ ยิ ากิตกนกี้ ็เหมือนกริ ยิ าอาขยาตเพราะมี ธาตุ เปน มลู ศพั ท สำเรจ็ ดว ยเครอ่ื งปรงุ คอื วภิ ตั ติ วจนะ กาล วาจก ปจ จยั ตา งแตไ มม บี ท และบุรุษ เทานั้น. การท่ีไมมีบทและบุรุษนั้น เพราะไมมี วิภัตติแผนกหนึ่งตางหาก เหมอื นอาขยาต ตองใชวิภัตตนิ ามเปนเครอ่ื งประกอบ. เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 194
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 195 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò อนึ่ง เพยี งแตพ ูดวา กิน ด่ืม ทำ พดู เปน ตน เปน กิริยากติ กเทานี้ยังไมพ อกอ น จำเปนตองช้ีใหชัดวา ศัพทท่ีสำเร็จมาจากธาตุประกอบดวยวิภัตติ กาล วจนะ วาจก ปจ จัยเหลาน้ี จงึ สำเรจ็ เปน กริ ยิ าหรอื เรียกวา กริ ิยากิตก เตม็ ที่. ฉะน้นั “กิรยิ ากิตก หมายถงึ กิตกท เี่ ปน กิริยา” วภิ ัตติ และ วจนะ วิภัตติกิริยากิตกนี้ ไมมีแผนกหนึ่งเหมือนวิภัตติอาขยาต ใชวิภัตตินาม ถา นามศพั ทเปน วภิ ตั ตวิ จนะอันใด กิริยากติ กก็ตอ งเปน ไปตาม. ที่พดู นหี้ มายเอาความ กิริยาศัพทอันเปน อนพฺยยกิริยา คือศัพทท่ีประกอบดวย อนฺต มาน และ ต ปจจัย เปน ตน ท่แี จกดวยวิภตั ติทั้ง ๗ ในลงิ คท ั้ง ๓ ได. ในขอ น้นั มอี ุทาหรณดงั นี้ :- ๑. ภกิ ฺขุ คาม ปณฺฑาย ปวฏิ โ. ภกิ ษุ เขาไปแลว สูบานเพอื่ กอนขา ว. ๒. เย เกจิ พุทฺธ สรณ คตา เส. ชน ท. เหลาใดเหลาหนึ่ง ถึงแลว ซึ่งพระพทุ ธเจา วา เปน ท่รี ะลึก ซ.ิ ๓. เอก ปุริส ฉตฺต คเหตฺวา คจฺฉนฺต ปสฺสามิ. [ขาพเจา] เห็น ซึ่งบุรุษ คนหนง่ึ ผถู อื ซ่ึงรม ไปอยู. - ปวิฏโ ในอทุ าหรณขอ ๑ น้ัน ลง ต ปจจัยในกริ ยิ ากติ กสำเร็จรูปเปน ปวิฏโ เปน อ การนั ต นำไปแจกตามแบบ ปุริส ศพั ท นาม ปุงลิงค ปฐมาวภิ ัตติ เอก. เอา อ กับ สิ เปน โอ จึงเปน ปวิฏโ. ท้ังนี้ก็เพราะตัวนามซ่ึงเปนประธานในประโยค คือ ภิกขฺ ุ น้ันเปน ปงุ ลงิ ค ป. วิภัตติ เอก. ซง่ึ ตรงกบั คำวา นามนาม เปนลิงค วจนะ วิภตั ติ อันใด กิริยากิตกกต็ อ งเปนไปตาม. - ในอุทาหรณน ก้ี เ็ ชนกัน คตา เปนกริ ิยากิตก ต ปจ จัย เปน พหุวจนะ ตามรูป ของตัวประธาน คือ เย เกจิ [ชนา] ซึ่งแปลวา ชน ท. เหลาใดเหลาหนึ่ง อันเปน พหุวจนะ. ถาหากตัวนามนามเปนรูป ชโน คือ เอกวจนะ ตัวกิริยาศัพทก็ตองเปน คโต ตามกนั . - สว นในอทุ าหรณท ่ี ๓ กริ ยิ าศพั ทป ระกอบดว ย อนตฺ ปจ จยั คอื คจฉฺ นตฺ ปรุ สิ . เปนนามนาม [แตมิใชเปนตัวประธาน] เปนแตตัวกัมม คือ เปนผูท่ีถูกเห็น ตามทาง สัมพันธเรียกวา อวุตฺตกมฺม เปนทุติยาวิภัตติ เอก. กิริยากิตกก็ตองเปน ทุติยาวิภัตติ เอก. ตามดว ย จึงเปน รูป คจฉฺ นฺต. 195
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 196 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) อุทาหรณ ๓ ขอนี้ แสดงใหเห็นวา กิริยากิตกนี้ใชวิภัตตินามแมตัวนามนามจะ เปนลงิ ค วภิ ตั ติ วจนะ ใด กต็ อ งเปนไปตามนน้ั . กาล คำวา กาล น้ี ก็ไดแก เวลา คือ เวลาที่บงั เกดิ กริ ิยา หรือเวลาแหง กิริยานั้นเอง. กาลน้ีเปนส่ิงสำคัญ จะเวนเสียมิไดในบรรดากิจท่ีทำ คำท่ีพูด ถาหากขาดจากเวลา เครื่องกำหนดหมาย ก็ไมอาจรูไดวา ทำเมื่อไร กอนหรือหลัง เพราะฉะนั้น ในบาลี ภาษากต็ อ งมกี าลเปน เคร่อื งกำหนดใหแนน อน เฉพาะคำพูดในประโยคหน่งึ ๆ มีกริ ิยา ศัพทหลายตัว แตตัวไหนทำกอน ตัวไหนทำทีหลัง หรือกำลังทำอยู ขอนี้เรารูไดดวย กาลน้นั เอง. การแบงประเภทของกาล ในกิริยากิตกนี้ แบงกาลที่เปนประธานหรือโดยยอได ๒ คือ ปจจุบันกาล ๑ อดตี กาล ๑ ปจจบุ ันกาล ไดแ ก กาลเกดิ ขึน้ เฉพาะหนา ซึ่งแปลวา “อยู” เชน ทำอยู พูดอยู เปน ตน. อดตี กาล ไดแ ก กาลลวงไปแลว ซ่งึ แปลวา “แลว ” เชน ทำแลว พูดแลว เปนตน . คำวา ‘อยู‘ ยังเปนคำพูดท่ีคลุม อาจพูดไดวา กำลังทำอยู หรือกำลังจะทำอยู เปนตน แมคำวา ลวงแลว กเ็ หมือนกนั ชวนใหคดิ ไปวา ลว งแลว เมื่อไร นานแลว หรือ ไมน าน เมอ่ื เชน น้ี จงึ แบง กาลใหล ะเอยี ดแนน อนลงไปอกี หรอื แบง โดยพศิ ดารได ๔ คอื ปจจุบันกาลแบงเปน ๒ คือ ปจ จุบันแท ๑ ปจ จบุ นั ใกลอนาคต ๑ อดีตกาลแบง ออกเปน ๒ คือ ลว งแลว ๑ ลวงแลวเสร็จ ๑ อธิบายวา เพื่อกำหนดคำพูดใหชัดข้ึนกวาเดิมปจจุบันแบงออกเปน ๒ คือ ปจ จบุ ันแท แปลวา “อยู” ๑ ปจ จบุ นั ใกลอ นาคต แปลวา “เมือ่ ” ๑. ปจจุบันแทแปลวา “อยู” น้ัน มี อุ. วา อห ธมฺม สุณนฺโต ปตึ ลภามิ. ขา ฯ ฟง อยู ซงึ่ ธรรม ยอ มได ซงึ่ ปต .ิ อห กมมฺ กโรนโฺ ต ภตตฺ เวตน ลภาม.ิ ขา ฯ ทำอยู ซึ่งการงาน ยอมได ซึ่งคาจา ง. 196
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 197 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๒. ปจ จบุ นั ใกลอนาคต แปลวา “เม่ือ” นน้ั มี อ.ุ วา อนสุ นฺธึ ฆเฏตฺวา ธมมฺ เทเสนฺโต อิม คาถ-มาห. พระศาสดาเมื่อสืบตอ ซ่ึงอนุสนธิ แสดง ซึ่งธรรม ตรัสแลว ซ่ึงพระคาถา นี้. กุกฺกุฏมิตฺโต สร วิสชฺเชตุมฺป โอโรเปตุมฺป อสกฺโกนฺโต กิลนฺตรูโป อฏาสิ. นายกุกกุฏมิตร เม่ือไมสามารถ ทั้งเพ่ือจะยิงท้ังเพ่ือจะวางศรลง เปน ผูออ นเพลีย ไดยนื อยแู ลว. กิริยาศัพทที่เปนปจจุบันท้ัง ๒ น้ี ตองประกอบดวย อนฺต มาน ปจจัย เชน กเถนฺโต ภาสมาโน กโรนฺโต กริยมาโน เปนตน ถาเปนปจจุบันแท ก็ใหแปลวา “อย”ู อยา ง กเถนโฺ ต ภาสมาโน กลา วอย.ู ถา เปน ปจ จบุ นั ใกลอ นาคต กใ็ หแ ปลวา “เมื่อ” อยาง กโรนโฺ ต กริยมาโน เม่ือกระทำ เมอ่ื อนั ....กระทำ เปนตน. อดตี กาลนนั้ แบง ออกเปน ๒ อยา งเหมอื นกนั คอื ลว งแลว ๑ ลว งแลว เสรจ็ ๑. ๑. คำวา ลวงแลว น้ัน หมายความวา ลวงไปแลวไมมีกำหนด นับแตวันนี้ จนถึงลว งมาแลวหลายๆ ปกไ็ ด เพราะไมมกี ำหนด. อยา ง อุ. วา ตโย มาสา อตกิ กฺ นตฺ า แปลวา เดือน ท. สาม ลวงไปแลว เอกูนอสีติ สวจฺฉรุตฺตรจตุสตาธิกานิ เทฺว สว จฺฉรสหสฺสานิ อตกิ กฺ นฺตานิ แปลวา ๒๔๗๙ ปล ว งไปแลว เปนตน นี้แสดงใหเ ห็น วา ลว งไปแลว ไมมีกำหนด คือ จะลว งไปเทา ไร ๆ ก็ใชไ ดไมจำกดั . ซง่ึ มีคำแสดงกาล ในการแปลวา “แลว”. ๒. คำวา ลวงแลวเสร็จ นั้น หมายความวา ลวงในขณะที่ทำเสร็จ พูดเสร็จ ซ่ึงอยใู นระยะใกลๆ กบั กิรยิ าทที่ ำกอ นนนั้ เอง จงึ มีคำแสดงกาล ใหแ ปลวา “ครน้ั แลว” ขอนี้โดยมากมักใชกิริยาศัพทซ้ำกันกับคำในประโยคตน [และประกอบดวย ตูนาทิ ปจจัยอยางเดียว] อยาง อุ. วา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺต อภิวาเทตฺวา เอกมนฺต นิสีทิ. (ภิกษุรูปหน่ึง) พระผูมีพระภาคเจา เสด็จอยูโดยที่ใด เขา ไปใกลแ ลว โดยทน่ี ัน้ . ครัน้ เขา ไปใกลแลว ถวายบงั คมแลว ซงึ่ พระผูมพี ระภาคเจา น่งั แลว ณ สวนขา งหนึ่ง. อปุ สงกฺ มิ เปนกิริยาศพั ทในประโยคตน แปลวา เขา ไปใกล แลว. ในประโยคหลงั จึงใชก ิริยาศพั ทวา อุปสงฺกมิตฺวา อนั แปลวา คร้นั เขา ไปใกลแ ลว [ซำ้ กับคำตน วา อุปสงฺกมิ ตา งแตป จจยั เทา น้นั ] ซงึ่ แสดงวา พอเขา ไปแลวเสร็จ. ในกิริยากิตกน้ี แมไมมีอนาคตกาลก็จริง แตสำหรับบอกความจำเปน ก็มี เหมือนอาขยาต ไดแก ศัพทที่ประกอบดวย อนีย ตพฺพ ปจจัย ที่ใหแปลวา “พึง” 197
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 198 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เชน กรณีย อัน...พึงทำ, คนฺตพฺพ อัน...พึงไป เชน อุ. วา กต กรณีย กิจท่ีพึงทำ อนั ...ทำแลว. อุโปสโถ สงฺเฆน อนุมาเนตพโฺ พ. อโุ บสถ อนั สงฆ พึงอนมุ ตั ิ ดังน้.ี กิริยาศัพทที่บอกความจำเปนนี้ แมทานไมกลาววาเปนกาลประเภทใดก็ดี ถงึ กระนัน้ เม่ือเพงดูแลว กเ็ หน็ คลา ยกบั อนาคตกาลเพราะแสดงถงึ กิจน้นั ๆ วา ควรทำ เปนเชงิ บังคบั กลายๆ อันสอ ใหร ูวา กิจนั้นๆ ยังไมไ ดท ำ. ธาตุ ธาตุ คือศัพทท่ีเปนมูลรากของกิริยา เพราะในกิริยากิตกน้ีก็ใชธาตุอยางเดียว กับกิริยาอาขยาตนั่นเอง ตางแตรูปศัพทเทานั้น คือกิริยาอาขยาตมีวิภัตติแผนกหนึ่ง ตา งหาก สวนกิริยากิตก ใชว ภิ ตั ตินาม มีตัวอยางเทียบเรียงกันดังน้ี :- กรฺ ธาตุ อาขยาต แปลวา กิตก แปลวา กโรติ ยอมทำ กโรนโฺ ต ทำอยู กเรยยฺ พึงทำ กรณยี พึงทำ อกาสิ ไดทำแลว กโต ทำแลว ตัวอยางเทาน้ีก็พอสังเกตไดวา ธาตุตัวเดียวกัน สวนกิริยาอาขยาต ใชวิภัตติแผนกหน่ึง กิริยากิตกก็ใชวิภัตตินาม สวนท่ีเปนสกัมมธาตุน้ัน และ อกมั มธาตุนั้น มีแจง ในอาขยาตแลว. วาจก วาจก ในกิริยากิตกน้ี ก็มี ๕ เหมือนกับอาขยาต ตางแตรูปกิริยาศัพทเทาน้ัน. การทตี่ า งนี้ ก็เน่อื งจากใชวิภตั ติและปจจยั ไมเ หมือนกันนนั้ เอง จึงเปล่ยี นรูปกิริยาศัพท ใหแ ปลกไปได มีตัวอยา งดงั จะแสดงเปน ลำดบั ตอ ไป. เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 198
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 199 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò กตั ตุวาจก กิริยาศัพทท ก่ี ลาวถงึ ผูทำ คือ แสดงวา เปนกริ ยิ าของผูทำน้นั เองผทู ำในท่นี ี้ คอื ตัวประธานของประโยคที่ทานประกอบดวยปฐมาวิภัตติ เปนเจาของกิริยาศัพทน้ัน อุทาหรณว า ภกิ ขฺ ุ คาม ปณ ฑฺ าย ปวิฏโ . ภกิ ษุ เขา ไปแลว สบู า น เพอ่ื กอ นขา ว. อธบิ าย ปวฏิ โ เปน กริ ยิ ากติ ก ป บทหนา วสิ ฺ ธาตุ ต ปจ จยั ธาตุ มี ส เปน ทส่ี ดุ แปลง ต เปน ฏ แลว ลบ ส ทส่ี ุดธาตุ สำเร็จรูปเปน ปวิฏ แจกตามแบบ อ การนั ตในปงุ . ป. วิภัตติ เอา อา กับ สิ เปน โอ เปน ปวิฏโ น้ีแหละเปนกริ ยิ าของภกิ ษุ เพราะแสดง วา ภิกษุ เขา ไป สูบ า นเอง. หรอื จะประกอบเปน อนตฺ มาน ปจจัย ก็ไดเชน กนั เหมือน อทุ าหรณว า ภิกฺขุ สงฺฆกมมฺ กโรนฺโต. ภิกษุ ทำอยู ซึ่งสงั ฆกรรม. อุปาสโก อยยฺ สฺส อาคมน อากงขฺ มาโน. อุบาสก หวงั อยู ซึง่ การมาของพระผูเ ปน เจา เปน ตน. กโรนฺโต และ อากงฺขมาโน นี้เปนกิริยา คือ แสดงอาการของตัวนามนามวา ทำเองเหมือนกัน จงึ เรียกวาเปน กตั ตุวาจก. การลงปจจัยในวาจกนี้มี ๒ อยาง คือ วิธีหน่ึงตองอาศัยปจจัยในอาขยาตที่ ประจำหมวดธาตแุ ละวาจกมาลงกอ น จะเรยี กวาขอยมื มาใชกไ็ ด เชน สณุ นโฺ ต ตองลง ณา ปจจัยมากอนแลวจึงลง อนฺต ปจจัยซ้ำอีก หรือ กโรนฺโต เปนตนก็เหมือนกัน ลง โอ ปจจัยมากอนแลว จึงมีรูปอยางน้ี. สวนอีกวิธีหน่ึงนั้น ไมตองอาศัยปจจัยในอาขยาต เปนแตลงปจจัยเฉพาะใน กริ ิยากิตกก พ็ อ เชน ปวิฏโ เขาไปแลว คโต ไปแลว เปน ตน . สว นปจ จยั นั้น ใชป จจัยทปี่ ระจำวาจก คอื กิตปจ จยั น้ันเองมาลงเปนเครือ่ งหมาย ใหรชู ัด. สว นธาตนุ น้ั ใชไ ดท ัง้ ๒ อยา ง คอื สกัมธาตุ และ อกัมมธาตุ. 199
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 200 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) กมั มวาจก กิริยาศัพทท่ีกลาวถึงกรรม คือ ส่ิงท่ีถูกเขาทำ ยกตัวกรรมน้ันขึ้นเปน ตวั ประธานของประโยค กริ ยิ าศพั ทน ั้น เรียกวา กมั มวาจก มอี ุทาหรณดงั น้ี :- อธคิ โต โข มยา-ยํ ธมฺโม. แปลวา ธรรมน้ี อนั เราบรรลุแลว . อธิบาย อธคิ โต เปน กิรยิ ากิตก อธิ บทหนา คมฺ ธาตุ เปนไปในความไป - ถงึ ลบทสี่ ดุ ประธาน คอื ธมฺโม ซ่งึ เปนตวั กรรมทถ่ี กู เขาบรรลุ เปน ป. วิภัตต.ิ มยา เปนตวั กตั ตา คอื ผบู รรลุ ประกอบดวยตติยาวภิ ัตติ บัญญตั ใิ หแ ปลวา “อัน.” ปจจยั ท่ลี งเปน เครือ่ งหมายของวาจกนี้ มี ๒ อยาง คือ กิจจปจจยั และกิตกิจจ- ปจจัย. กิจจปจจัยนั้น ไดแก อนีย ๑ ตพฺพ ๑ ท้ัง ๒ นี้เปนเครื่องหมายโดยตรงของ วาจกน้แี ละภาววาจกดวย เชน อโุ ปสโถ สงฺเฆน อนุมาเนตพโฺ พ. อโุ บสถ อนั สงฆ พึง อนุมตั .ิ หรือ กิจฺจํ กรณยี .ํ กิจ อนั บคุ คล ควรทำ. เปน ตน . กิตกิจจปจจยั ท่ีบอกกมั มวาจกนน้ั เชน มาน และ ต ปจ จัย อทุ าหรณวา กริยมาโน อัน...ทำอยู ภาสโิ ต อนั ...กลา วแลว เปนตน. สำหรับ มาน ปจจยั นั้น เมื่อจะลงในธาตุ ตัวใด ตองอาศัยยืม ย ปจจยั และ อิ อาคม ซงึ่ เปนเครอ่ื งหมายกมั มวาจกในอาขยาต มาใชดว ย เชน อุโปสโถ อุปาสเกน รกฺขยิ มาโน อโุ บสถ อันอบุ าสก รกั ษาอยู. มาน ปจจัยนี้ ถาเปนกัตตุวาจก ไมมี ย ปจจัย และ อิ อาคม จงสังเกตใหดี. แตท่ีไมอาศัยปจจัยในอาขยาต โดยวิธีขอยืมมาก็มี เชน อธิคโต อัน...บรรลุแลว อธิ บทหนา คมฺ ธาตุ ต ปจจัย ลบที่สุดธาตุ. ปริจฺฉินฺโน อัน....กำหนดตัดแลว ปริ บทหนา ฉทิ ฺ ธาตุ ในความตดั ต ปจ จยั ธาตมุ ี ท เปนท่ีสุด แปลง ต ปจจัย เปน นฺน แลวลบท่ีสุดธาตุ เปนตน. สำหรับ ต ปจจัยท่ีเปนกัมมวาจกนี้ ถาธาตุตัวเดียวมี อา เปนทีส่ ุดตองลบ อา เสีย แลว ลง อิ อาคม เชน ปโต อันเขาดม่ื แลว. ถาธาตุ ๒ ตวั ตอง ลบหรือแปลงที่สุดธาตุ กับ ต ปจจัยเปนรูปตาง ๆ ตามแตที่สุดธาตุจะเปนอะไร. ถา หากไมล บหรือไมแ ปลงแลว ตอ งลง อิ อาคม เชน ภาสิโต อนั ....กลา วแลว ภาสฺ ธาตุ ในความกลา ว ต ปจ จัย ไดในคำวา อยํ คาถา เกน ภาสติ า แปลวา คาถา นี้ อนั ใคร กลา วแลว เปน ตน. 200
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 201 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò สวนธาตุท่ีจะใชในวาจกนี้ ใชสกัมมธาตุ อกัมมธาตุบางตัวมีอุปสัคนำ ใชเปน สกัมมธาตุแลว ก็ใชในวาจกนไี้ ด อุ. อุปฏิยมาโน อัน...บำรุงอยู า ธาตุ ในความตัง้ เปน อกมั มธาตุ อุป เปน บทหนา ใชเปนสกัมมธาตุ จงึ ใชเ ปน กัมมวาจกได. ภาววาจก กิริยาศัพทกลาวแตสักวา ความมี ความเปน ไมกลาวถึงกัตตา คือ ผูทำ และ กรรม คือ ผูถูกทำ กลาวข้ึนมาเฉย ๆ แสดงแตเพียงอาการเทาน้ัน กิริยาศัพทชนิดนี้ เรียกวา ภาววาจก เชน ในอุทาหรณวา การเณเนตถฺ ภวติ พพฺ แปลวา อนั เหตุ ในสง่ิ น้ี พึงมี. อธิบาย คำวา อนั เหตุ ในคำนนั้ ก็เปน แตเพยี งกลาวขน้ึ ลอย ๆ เทาน้นั คำวา พึงมี กไ็ ม รับรองวา จะมีได จะเปน ไดจ รงิ ทีเดียว กิริยาภาววาจก ไมก ลา วกตั ตาดังกริ ยิ าอาขยาต. กริ ยิ าอาขยาต เชน กโรติ กลาวกัตตา คือนามทเี่ ปน ปฐมบรุ ษุ กโรสิ กลาวมธั ยมบรุ ุษ กโรมิ กลาวอุตตมบุรุษ แตกิริยาภาววาจก แมไมกลาวกัตตา ก็ใชบทตติยาวิภัตติ เปน กัตตาเอง เรยี กวา อนภิหติ กัตตา เชน การเณน ใน อ.ุ น.ี้ ปจจัยในวาจกนี้ใชไดเฉพาะจำพวกกิจจปจจัยและกิตกิจจปจจัย กิจจปจจัยน้ัน คือ อนีย และ ตพฺพ ปจ จัย. สำหรบั ตพพฺ ปจจยั ถา ธาตุ ๒ ตัว เมอ่ื ไมล บท่ีสุดธาตุ ตอ งลง อิ อาคม เชน ภาสติ พฺพ, ภวติ พพฺ . ถาลบท่ีสุดธาตุ ไมต องลง อิ อาคม เชน กาตพฺพ เปนตน. สำหรับ อนีย ไมมีวิธีอะไร จะลงในธาตุตัวใด ก็ลงไดทีเดียว เชน ขาทนีย. โภชนยี เปน ตน . ธาตุท่ีจะใชในวาจกนี้ ใชอกัมมธาตุโดยมาก ใชสกัมมธาตุก็มีบาง แตนอย. กริ ิยาศพั ทท ่ีเปนวาจกน้ี ใชเฉพาะนปุงสกลิงคป ฐมาวภิ ัตติ เอก.อยางเดียว. 201
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 202 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) เหตุกัตตุวาจก กิริยาศัพทที่กลาวถึงผูใชใหคนอื่นทำ คือ แสดงวา เปนกิริยาของผูใชนั่นเอง น้ีช่ือวา เหตุกัตตุวาจก อุทาหรณวา สเทวก ตารยนฺโต (ทาน) ยังโลกน้ี กับเทวโลก ใหข า มอย.ู อธิบาย ตารยนโฺ ต ใหข า มอยู เปน กริ ยิ าเหตกุ ตั ตวุ าจก ตรฺ ธาตุ ในความขา ม ณย และ อนตฺ ปจจัย ทฆี ะตน ธาตุ สำเรจ็ รปู เปน ตารยนโฺ ต เปนกิริยาเหตุกตั ตุวาจก เอง [ทาน] ซง่ึ ไดแ ก ตวฺ . ตว ศัพทน ี้ เปน คำแทนชอ่ื ของผูใหญค นหนึ่ง ซึง่ สามารถใหสตั วโลกขา ม (ทางกันดาร) ไปได ทานเรียกชื่อวา เหตุกตั ตา ในกริ ิยา คือ ตารยนฺโต. ปจจัยท่ีเปนเครื่องหมายของวาจกน้ี คือ แผนก กิต ปจจัย และกิตกิจจปจจัย เพราะปจจัยในกิริยากิตกนี้ ไมมีเหตุปจจัยสำหรับทำใหแปลงจากกัตตุวาจก จึงตอง เอาเหตุปจ จยั ในอาขยาตมาใชโ ดยวธิ ขี อยมื เหตุปจจยั นั้น คอื เณ ณย ฌาเป ณาปย ท้ัง ๔ นี้ ตัวใดตัวหน่ึงกอนแลว จึงลงปจจัยในกิริยากิตก ท่ีเปนกิตปจจัยและกิตกิจจ ปจจยั ตวั ใดตัวหน่ึงทีหลงั . อนง่ึ ปจจัยทีเ่ น่อื งดวย ณ ทั้งส้นิ พงึ ลบ ณ เสยี เหลอื ไวแต สระที่ ณ อาศัยและพยัญชนะตัวอ่ืนไวแลวพฤทธ์ิตามท่ีกลาวในอาขยาต. อุทาหรณ เชน กาเรนโฺ ต ยงั ชน ใหทำอยู กรฺ ธาตุ ในความทำ ลง เณ ปจจยั ลบ ณ เสยี ทีฆะตัว ธาตุ แลวลง อนตฺ ปจ จยั ทหี ลงั การยนฺโต การาเปนโฺ ต และ การาปยนฺโต ก็เชน กนั นี้สำหรับ อนฺต ปจจัยในจำพวกกิตปจจัยท่ีเปนกิตกัจจปจจัยนั้น เหมือนอยาง มาน ปจจัย เชน การยมาโน การาปยมาโน (ยังชนให) ทำอยู เปนตน. นี้เฉพาะที่เปน ปจ จบุ ันกาล. สว นทบ่ี อกอดีตกาลน้ัน เชน ตฺวา ปจ จยั ไดใ นอทุ าหรณวา รชฺช กาเรตฺวา ยงั ชนใหทำราชสมบัติแลว สพฺพกิจฺจ นิฏาเปตฺวา ยังกิจทุกอยาง ใหสำเร็จแลว รุกฺขมูล โสธาเปตฺวา ยังชนใหชำระซึ่งภายใตไมแลว. สุฌฺ ธาตุ ในความหมดจด แปลง ฌ เปน ธ แลว พฤทธิ์ อุ เปน โอ ดว ยอำนาจ ณ ปจจัย เปน ตน. สวน ต ปจจัยที่ เปนเหตกุ ัตตวุ าจกนั้น ดไู มปรากฏ. ธาตุสำหรบั วาจกน้ี ใชไ ดท ้ังทีเ่ ปน สกมั มธาตุ และ อกมั มธาตุ. 202
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 203 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เหตกุ ัมมวาจก กิริยาศัพทท่ีกลาวถึงส่ิงที่ถูกเขาใชใหทำ คือ แสดงวา เปนกิริยาของสิ่งนั้น ช่ือวา เหตุกัมมวาจก เชน สามิเกน สูเทน โอทโน ปาจาปยมาโน แปลวา ขาวสุก อันนาย ยัง (ใช) พอ ครวั ใหห ุงอย.ู อธิบาย โอทโน ขาวสุก เปนกรรม คือสิ่งที่ถูกเขา (คือนาย) ใชใหพอครัวหุง ใน กิริยาศัพท คือ ปาจาปย มาโน. ปาจาปย มาโน เปน ปจฺธาตุ ในความหงุ มาน ปจจัย เปน เหตุกมั มวาจก บอกปจ จบุ นั กาลเปนตน . สำหรับปจจัยทบ่ี อกวาจกนี้ ใชได ๒ จำพวก คือ กจิ จปจจยั และกิตกิจจปจ จัย. กิจจปจจัยนั้น ไดแก อนยี , ตพพฺ , กติ กจิ จปจ จัยน้นั ไดแ ก มาน และ ต ปจจยั เทา น้นั . วาจกนีก้ ต็ อ งอาศัยเหตุปจ จัยเหมอื นกนั บางทีกม็ ีทง้ั ย ปจจัย และ อิ อาคมดว ย. อนีย ปจจยั น้ี เชน สามิเกน กมฺมกเรน กิจจฺ การาปนยี กิจ อันนาย พึงยัง (ใช) กรรมกร ใหทำ. กรฺ ธาต.ุ ในความทำลง ณาเป ปจ จัย เปน การาเป แลว ลง อนยี ปจ จยั . สว น เอ ที่ ป อาศัยนน้ั ถูกลบทงิ้ เพราะให อ อาศัย แมอ ทุ าหรณอ ยา งอืน่ เชน อาจริเยน สิสฺเสน กิจฺจวตฺต สิกฺขาปนีย แปลวา กิจวัตร อันอาจารย พึงยังศิษย ใหสำเหนียก สิกฺขาปนีย สิกฺขฺ ธาตุ ในความศึกษา ลง ณาเป แลว ลง อนีย ปจจัย ทหี ลงั เหมือนกัน. ตพฺพ ปจ จัยน้นั เชน อุทาหรณว า อย ภกิ ฺขุ ปาจติ ตฺ ิเยน กาเรตพโฺ พ แปลวา ภิกษุนี้ (อันพระวินัยธร) พึงยังสงฆ ใหทำปรับ ดวยอาบัติปาจิตตีย เปนตน. นี้ยืม เณ ปจจัยมาลงไวกอน อนีย และ ตพฺพ ปจจัย ๒ นี้ไมตองลง ย ปจจัยและ อิ อาคมหลังธาตแุ ละปจจัย เพราะบอกลกั ษณะวา เปน กมั มวาจก ชดั อยูแ ลว . สว นกติ กจิ จปจ จยั คอื มาน และ ต นนั้ ถา ลงในกมั มวาจกและ เหตกุ มั มวาจก ตอ ง ลง ย ปจ จัย และ อิ อาคมดว ย เชน สามิเกน สูเทน โอทโน ปาจาปยมาโน. ขา วสกุ อันนาย ยัง (ใช) พอ ครัว ใหหงุ อย.ู ปาจาปย มาโน นย้ี มื ฌาเป และ ย ปจจยั อิ อาคม ดวย. ต ปจจัยนนั้ เชน อทุ าหรณว า อย ถโู ป ปติฏ าปโต แปลวา พระสถปู น้ี อันเจา ใหต ั้งไวเฉพาะแลว . ปติฏ าปโต ปฏิ บทหนา เอาเปน ปติ. า ธาตุ ในความตง้ั ยืม ณาเป มาลงไวกอนแลวจึงลง ต ปจจัย อิ อาคม เปนเหตุกัมมวาจก. สวนธาตุที่จะ 203
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 204 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ประกอบในวาจกน้ี ไดท้ังสกัมมธาตุ และอกัมมธาตุ สกัมมธาตุ เชน กาเรตพฺโพ อกมั มธาตุ เชน ปตฏิ าปโต. ปจจัย ในกิริยากิตกน้ี ทานจัดปจจัยไว ๓ หมวด เพื่อใหรูจักกำหนดวาจกทั้ง ๕ นนั้ ไดส ะดวก คอื ปจจยั ที่จะลงในกตั ตวุ าจกและเหตกุ ตั ตุวาจกไวพวกหนง่ึ เรียกวา กิตปจ จยั . ปจจัยท่ีเปนไดเฉพาะกัมมวาจก ภาววาจก และเหตุกัมมวาจกได พวกหนึ่ง เรยี กวา กจิ จปจจยั ปจจัยที่เปนไดท้ัง ๕ วาจก ไวพวกหน่ึง เรียกวา กิตกิจจปจจัย (เหมือน ในนามกิตก). การจัดปจจัยนี้ ตองอาศัยหลักที่จะประกอบใหเหมาะแกความประสงคของ ธาตุท่ีจะเปนไปได หาไดจัดตามความพอใจไม คือธาตุตัวใดสมควรจะเปนวาจกใด และควรลงปจจัยตัวไหนจึงจะเหมาะแกภาษานิยมแลว จึงลงปจจัยตัวน้ัน เมื่อลงแลว ตองหมายความอยางน้ัน จึงจะถูกความประสงค ฉะนั้น ทานจึงจัดปจจัยไวเปน ๓ หมวด ในหมวดหนึ่งๆ ก็มีจำนวนต้ังแต ๒ ตัวข้ึนไป เพ่ือใหเลือกใชใหเหมาะให ถกู น้นั เอง คอื :- ๑. กิตปจ จัย มี ๓ ตวั อนฺต, ตวนฺต,ุ ตาวี. ๒. กิจจปจ จัย มี ๒ ตัว คือ อนยี , ตพพฺ . ๓. กิตกจิ จปจจยั มี ๕ ตัว คอื มาน, ต, ตูน, ตฺวา, ตฺวาน. ปจจัยเหลา นี้ บอกกาลไดตา ง ๆ กัน ดังนี้ คือ :- อนตฺ , มาน. ๒ นี้ บอกปจ จบุ ันกาล แปลวา อยู, เมอื่ . อนยี , ตพฺพ. ๒ น้ี บอกความจำเปน แปลวา ควร, พึง. ตวนตฺ ,ุ ตาว,ี ต, ตูน, ตฺวา, ตวฺ าน. ๖ น้ี บอกอดีตกาลแปลวา แลว, ครนั้ ...แลว. 204
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 205 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò วิธีลงปจ จยั กติ ปจจยั กิตปจจัย คือ อนฺต ตวนฺตุ ตาวี ๓ นี้ เปนไดท้ังกัตตุวาจกและเหตุกัตตุวาจก เมอ่ื จะลงในธาตตุ วั ใด ตอ งนกึ ถงึ หมวดธาตใุ นอาขยาตเสียกอนวา ควรจะจดั เขา ในธาตุ หมวดใด มีปจจัยอะไรบางสำหรับประกอบในท่ีนั้น เพราะในกิริยากิตกนั้น โดยมาก ตองอาศยั ปจ จยั ในอาขยาตมาลงกอน แลว จงึ ลงปจ จยั ในกิตกท ีหลัง. อนฺต ปจจัย กโรนฺโต ทำอยู กรฺ ธาตุ ในความทำ ลง โอ ปจจัยในอาขยาตมาแลว จึงลง อนฺต ปจ จัย แจก ตามแบบ อ การนั ต ปงุ . ปฐมาวิภัตติ เอา อ กบั สิ เปน โอ สำเรจ็ รูป เปน กโรนโฺ ต. สณุ นโฺ ต. ฟง อยู สุ ธาตุ ในความฟง ณา ปจจยั ธาตตุ ัวเดียวคงปจ จัยไว แลว ลง อนฺต ปจจัย. กเถนฺโต กลาวอยู. กถฺ ธาตุ ในความกลาว เอ ปจจัย แลวลง อนฺต ปจจยั . นีเ้ ปน กตั ตวุ าจก. สวนทเี่ ปน เหตกุ ตั ตุวาจก นัน้ ตองอาศยั เหตุปจ จยั ท้ัง ๔ ตัวคือ เณ ณย ฌาเป ฌาปย ตัวใดตัวหนึ่งมาลงไวกอน แลวจึงลง อนฺต ปจจัยทีหลัง เชน สาเวนฺโต ใหฟงอยู สุ ธาตุ เณ ปจจัยพฤทธิ์ อุ เปน โอ เอา โอ เปน อว แลวทีฆะตนธาตุ ดว ยอำนาจปจจยั เน่อื งดวย ณ ลบ ณ เสยี เหลอื สระ เอ นำสระ เอ เขา กบั สาว เปน สาเว แลว ลง อนฺต ปจจยั จงึ เปน สาเวนฺต แจกตามแบบ อ การนั ต ใน ปงุ . ปฐมาวภิ ัตติ เอา อ กบั สิ เปน โอ สำเร็จรปู เปน สาเวนฺโต. กาเรนโฺ ต ยังบุคคลใหท ำอยู เณ ปจจัย การยนฺโต ยังบุคคลใหทำอยู ณย ปจจยั การาเปนโฺ ต ยังบคุ คลใหท ำอยู ณาเป ปจ จยั มาเรนฺโต มารยนฺโต มาราเปนฺโต มาราปยนฺโต แปลวา ใหตายอยู เมื่อให ตาย อยา งเดียวกันกับอธิบายขา งตน. 205
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 206 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò อนฺต ปจจัยน้ี เปนได ๓ ลิงค ถาเปน ปุง. เปนรูป อนฺโต เชน กโรนฺโต, มาเรนโฺ ต แจกตามแบบ ปุริส ศัพท และ ภวนตฺ ศัพท ก็ได. ถา เปน อติ . เปล่ียนเปน อนตฺ ี เชน กโรนตฺ ,ี สาเวนตฺ ,ี มาเรนตฺ ี แจกตามแบบ อี การนั ตใ น อติ . (นาร)ี . ถา เปน นปงุ . เปน รปู อนตฺ เชน กโรนตฺ , นสสฺ นตฺ , มารยนตฺ เปน ตน แจกตามแบบ อ การันต ใน นปงุ . (กลุ ). เฉพาะทีเ่ ปนปุงลิงคจะนำไปแจกตามแบบ ภวนฺต ศัพทก ็ได ตวนฺตุ ปจจยั สตุ วา ฟง แลว สุ ธาตุ ในความฟง ลง ตวนฺตุ ปจ จัย เปน สุตวนฺตุ ศพั ทท ีม่ ี นฺตุ เปนท่ีสดุ แจกตามแบบ ภควนตฺ ุ นาม (๖๔). ภุตฺตวา กนิ แลว ภชุ ฺ ธาตุ ในความกนิ ตวนตฺ ุ ปจ จัย เอาทส่ี ดุ ธาตเุ ปน ตฺ เปน ภุตตฺ วนฺตุ แจกตามแบบนาม สำเรจ็ รปู เปน ภุตฺตวา. วุสิตวา อยูแลว วสฺ ธาตุ ในความอยู เอา ว เปน วุ แลวลง อิ อาคม ตวนตฺ ุ ปจ จัย เปน วสุ ติ วนฺตุ แจกตามนน้ั จงึ เปน วสุ ติ วา. สวนท่ีเปน เหตุกัตตุวาจก ก็ตองอาศัยเหตุปจจัยในอาขยาตมาประกอบไวกอน แลวจึงลงปจจัยทีหลัง เหมือนท่ีกลาวมาแลว เชน สาเวตวา ใหฟงแลว โภชยิตวา ใหกินแลว วาสาเปตวา ใหอยูแลว การปยิตวา ใหทำแลว เปนตน. เฉพาะ ณฺย ณาปย ตองลง อิ อาคมดวย. ศัพทที่ลง ตวนฺตุ ปจจัยนี้ เปนไดท้ัง ๓ ลิงค ถาเปน ปุง. แจกตามแบบ ภควนฺตุ ถาเปน อิต. เปนรูป สุตวตี, ภุตฺตวตี, วุสิตวตี เปนตน แจกตามแบบ (นารี) นาม. ถาเปน นปงุ . แจกตามแบบ กลุ . อนึ่ง ตวนฺตุ ปจจยั มี คติ เหมอื นกบั ต ปจจัย คือ ถาศัพทใดเปนธาตุตัวเดยี ว ไมตองทำพิธีอะไร เอา ตวนฺตุ ไปตอขางหลังทีเดียว เชน สุตวา ฟงแลว วิชิตวา ชำนะแลว หุตวา มีแลว-เปนแลว . ถาเปน ธาตุ ๒ ตัว แปลงทส่ี ดุ ธาตุได เชน ธาตมุ ี จ, ช, และ ป เปน ทีส่ ดุ แปลง ท่ีสุดธาตุ เปน ตฺ เชน :- สติ ฺตวา รดแลว สจิ ฺ ธาตุ ในความรด. ภุตตฺ วา กินแลว ภุชฺ ธาตุ ในความกนิ . เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 206
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 207 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò คตุ ฺตวา คมุ ครองแลว คุปฺ ธาตุ ในความคมุ ครอง. ตตตฺ วา รอนแลว ตปฺ ธาตุ ในความรอ น. ถา หากไมแ ปลงทส่ี ดุ ธาตุ ตอ งลง อิ อาคม เชน ภุ ชฺ ติ วา, จชติ วา เปน ตน . ตาวี ปจ จยั ตาวี ปจจัยน้ี ก็มี คติ เหมือน ตวนฺตุ ปจจัย ถาหากศัพทท่ีจะลงเปนธาตุ ตวั เดยี ว ไมตองทำพิธอี ะไร เอาปจ จัยนไี้ ปตอเขา ขางหลงั ทีเดียว เชน สตุ าวี ฟงแลว สุ ธาตุในความฟง ตาวี ปจจัย. หตุ าวี เปน - มีแลว หุ ธาตุ ในความมี - เปน ตาวี ปจจยั . ถาศพั ทท ่มี ีธาตุ ๒ ตัว มอี ำนาจแปลงท่สี ุดธาตุเปน ต ได ท่วี า นี้หมายความวา ธาตุท่ีมี จ, ช, ป, เปน ทีส่ ดุ . แต ตาวี ปจ จัย ตองคงไวอยางเดิม. เชน ภตุ ตฺ าวี กนิ แลว ภุชฺ. ธาตุ ในความกิน ตาวี ปจจัย แปลงท่ีสุดธาตุเปน ตฺ. คุตฺตาวี คุมครองแลว คุปฺ ธาตุ ในความคมุ ครอง ตาวี ปจ จยั แปลงที่สดุ ธาตเุ ปน ตฺ เหมือนกัน. อนึ่ง เน่ืองแตปจจัยนี้เปนไดท้ัง กัตตุวาจก และ เหตุกัตตุวาจกเหมือนกัน ถา หากจะใหเ ปน เหตกุ ัตตุวาจก ตอ งอาศัยเหตปุ จ จัยทั้ง ๔ ตัวมาประกอบดวย เชน :- ภุชฺ ธาตุ เณ ปจจัย เปน โภเชตาวี ภชุ ฺ ธาตุ ณย ปจ จัย เปน โภชยติ าวี ภุชฺ ธาตุ ณาเป ปจ จยั เปน โภชาเปตาวี ภุชฺ ธาตุ ณาปย ปจ จยั เปน โภชนาปยติ าวี ณฺย และ ณาปย ๒ นี้ตองลง อิ อาคมดวย. ตาวี ปจจัยน้ี เปนได ๓ ลิงค อิตถีลงิ ค ลง อินี ปจ จัย. นปุง. แปลงเปน อ.ิ มีตัวอยางดงั น:้ี - ปงุ . อิต. นปุง. สุตาวี สุตาวนิ ี สุตาวิ ฟงแลว สุ ธาตุ ภุตฺตาวี ภตุ ฺตาวินี ภุตตฺ าวิ กนิ แลว ภชุ ฺ ธาตุ วสุ ิตาวี วุสติ าวนี ี วสุ ติ าวิ อยูแลว วสฺ ธาตุ แปลง ว เปน วุ. ตวนฺ ตุ ตาวี ปจจยั น้ี ถา อยหู นากริ ิยาอาขยาต โดยมากพงึ เหน็ วาเปน เหมอื นบท วเิ สสนะ ในประโยคนน้ั ๆ. เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 207
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 208 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) กจิ จปจจัย ในหมวดน้ีมีปจจัย ๒ ตัว คือ อนีย, ตพฺพ. เปนได ๓ วาจกคือ กัมมวาจก ภาววาจก และ เหตุกัมมวาจก ที่เปนภาววาจก แจกไดเฉพาะ เอกวจนะ ป. วิภัตติ นปงุ . อยา งเดยี ว. อนยี ปจจยั ศัพทท่ีลงในปจจัยน้ี ไมตองมีพิธีพิเศษอะไรนัก เปนแตเพียงนำไปตอขาง หลงั ธาตเุ ทาน้นั และสังเกตเห็นไดง าย เพราะมีรูป อนยี ติดอยทู า ยศัพทเสมอไป. แม ในวาจกทั้ง ๓ ก็มีรปู อยา งเดียวกัน. เชน กรณยี วจนีย โภชนีย ขาทนยี เปนตน. กรณยี อนั เขาพึงทำ กรฺ ธาตุ ความทำ ลง อนีย ปจจัยคงธาตุไว แปลง น ปจจยั เปน ณ. แจกตามแบบ อ การนั ต นปงุ . นาม วจนยี อนั เขาพงึ กลา ว วจฺ ธาตุ ในความกลา ว นำ อนยี ปจ จยั ไปตอ ขา งหลงั สำเร็จรปู เปนเชน กนั . โภชนยี อันเขาพึงกนิ ภุชฺ ธาตุ ในความกิน แปลง อุ เปน โอ นำ อนีย ปจ จัย ไปตอ ขา งหลงั โดยวิธเี ดยี วกัน. ขาทนีย อนั เขาพงึ เค้ยี ว-ควรเคีย้ ว อนีย ปจ จัยเหมอื นกัน. สวนที่เปน เหตุกัมมวาจก นั้น ตองนำ เหตุปจจัยมาประกอบดวย แตเหตุ ปจ จยั มกั ใชแ ต ณาเป โดยมาก เชน การาปนยี อนั เขา พงึ ใหท ำ วาทาปนยี อันเขา พึงใหก ลา ว โภชาปนยี อันเขาพึงใหกนิ วนฺทาปนยี อันเขา พงึ ใหไหว เปน ตน . ศพั ทท สี่ ำเรจ็ จากปจจัยนี้ นำไปแจกไดใ นลงิ คทั้ง ๓ คือ :- ปงุ . อิต. นปงุ . กรณีโย กรณยี า กรณีย อันเขา ควร-พึงทำ การาปนีโย การาปนยี า การาปนยี อนั เขา ควร-พึงใหท ำ ขาทนโี ย ขาทนียา ขาทนีย อันเขา ควร-พึงเคย้ี วกนิ วนฺทนีโย วนทฺ นยี า วนฺทนยี อนั เขา ควร-พงึ ไหว ดงั นีเ้ ปนตน. 208
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 209 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ศัพทที่ลงปจจัยน้ี บางคราวทานใชเปนนามกิตกก็มี เชน อุ. วา ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวิสิ [ เขา ] เลี้ยงแลว ดวยของควรเค้ียว ดว ยของควรบริโภค อันประณตี ดงั นี.้ ตพพฺ ปจจัย ปจจัยน้ี เปนปจจัยเน่ืองดวย ต มีอำนาจแปลงธาตุไดหลายอยางเชนกับ ต ปจ จยั คอื มอี ำนาจลบทส่ี ดุ ธาตไุ ดอ ยา งหนงึ่ .ไมล บ แตล ง อิ อาคมไดอ ยา งหนง่ึ . แปลง ท่สี ุดธาตกุ ับปจจยั ตามฐานะท่ีควรอยางหน่ึง. คงธาตไุ วตามเดมิ อยางหนึ่ง. ๑. มีอำนาจลบที่สดุ ธาตนุ ้นั ถาธาตมุ ี ๒ ตัว ลบทีส่ ุดธาตุได เชน กตตฺ พฺพ วตฺตพฺพ ปตตฺ พฺพ เปน ตน . กตฺตพฺพ เปน กรฺ ธาตุในความทำ ลบท่ีสุดธาตุ ซอน ตฺ บางทีลบท่ีสุดธาตุ แลวทฆี ะ อ เปน อา เชน กาตพฺพ. วตฺตพพฺ เปน วทฺ ธาตุ ในความกลาว ลบทส่ี ุดธาตุ ซอน ต. ปตฺตพพฺ เปน ปทฺ ธาตุ ในความถึง ลบที่สดุ ธาตุซอน ต. ๒. ไมล บทสี่ ดุ ธาตุ แตต อ งลง อิ อาคม นนั้ คอื ถา ธาตมุ ี ๒ ตวั เมอื่ ไมล บ ท่ีสุดธาตุ ตองลง อิ อาคม เชน เวทิตฺพฺพ, ภาสิตพฺพ, คมิตพฺพ, จชิตพฺพ, วสิตพฺพ เปนตน . เวทิตพฺพ เปน วทิ ฺ ธาตุ ในความรู แปลง อิ เปน เอ. เมอื่ ไมล บท่สี ุดธาตุ ตอง ลง อิ อาคม. ภาสิตพฺพ เปน ภาสฺ ธาตุ ในความกลา ว ลง อิ อาคมเหมอื นกัน. คมติ พฺพํ เปน คมฺ ธาตุ ในความไป-ถึง. จชิตพฺพ จชฺ ธาตุ ในความสละ ลง อิ อาคมหลังธาตุ เหมือนกนั ๓. แปลงทสี่ ดุ ธาตนุ น้ั เชน คนตฺ พพฺ , ทฏ พพฺ . ตฏุ พพฺ . ลทธฺ พพฺ เปน ตน . คนตฺ พพฺ เปน คมฺ ธาตุ แปลงที่สุดธาตุเปน น. ทฏ พพฺ เปน ทิสฺ ธาตุ ใน ความเห็น ลบ อิ เสีย แปลงท่ีสุดธาตุกับ ต แหง ตพฺพ เปน ฏ จึงเปน ทฏพฺพ. ตุฏพฺพ อันเขาพึงยินดี เปน ตุสฺ ธาตุ ในความยินดี มีวิธีเหมือนกัน. ลทฺธพฺพ เปน ลภฺ ธาตุ ในความได. ธาตมุ ี ภฺ เปน ท่ีสุด แปลงทส่ี ุดธาตุกบั ต แหง ตพพฺ ปจจัย เปน ทธฺ สำเรจ็ รูปเปน ลทธฺ พพฺ . ๔. คงธาตุไวตามเดิมนั้น ขอนี้มักปรากฏเฉพาะธาตุตัวเดียวที่มี อา เปน ที่สุดโดยมาก เชน าตพฺพ, ทาตพพฺ , าตพฺพ, ปาตพฺพ เปนตน . 209
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 210 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) าตพพฺ อนั เขา พึงรู เปน า ธาตุ ในความรู. ทาตพฺพ อันเขา พงึ ให ทา ธาตุ ในความให. าตพพฺ อันเขา พงึ ตง้ั ไว า ธาตุ ในความตง้ั . ถา หากธาตุตัวเดียวมี สระ อี มักวิการเปน เอ เชน เนตพฺพ วตั ถุ อนั เขา พึงนำไป นี ธาตุ ในความนำไป แปลง อี เปน เอ. สวนที่เปน เหตุกัมมวาจก นั้น พึงนำ เหตุปจจัย มาประกอบไวดวย เชน กาเรตพฺพ, ปาจาเปตพฺพ เปนตน. ตพฺพ ปจจัย จะเปน กัมมวาจก เหตุกัมมวาจก และ ภาววาจก กเ็ ปน รปู อยางเดียวกันกบั ตวั ประธานใน ๓ ลิงค แตทีเ่ ปนภาววาจกนัน้ ตอ งเปนเฉพาะ ป. วภิ ัตติ เอก. ใน นปุ. เทานนั้ . กิตกิจจปจ จัย กิตกิจจปจจยั หมวดน้ี เปน ไดท ้งั ๕ วาจก ดังทไ่ี ดอ ธิบายมาแลวขางตน เมือ่ ตอ งการใหเ ปน วาจกใด ตอ งนำเอาปจ จยั ทป่ี ระจำของวาจกนน้ั มาประกอบใหถ กู ลกั ษณะ ก็ เปนอันใชไ ด. มาน ปจจยั มาน ปจจัยนี้ มีคติเหมือน อนฺต ปจจัย ถาหากไมมี ย ปจจัยซึ่งเปนเคร่ือง หมายกัมมวาจกแลว พึงเขาใจวา เปน กัตตวุ าจก. ถา มี ย ปจ จยั หรือมี ย ปจจัยและ อิ อาคมแลว ซ่ึงลงในสกมั มธาตุ พึงเขา ใจวา เปนกมั มวาจก 210
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 211 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ศพั ทท ่ลี ง มาน ปจจยั ดังน้ี กัตตุวาจก กัมมวาจก กุรุมาโน ทำอยู กริ ยิ มาโน อันเขาทำอยู. ภฺุชมาโน กนิ อยู ภุ ชฺ ยิ มาโน อนั เขากินอยู. วทมาโน กลา วอยู วจุ จฺ มาโน อนั เขากลา วอย.ู ธาตุที่จะลง มาน ปจจัยน้ี ตองลงปจจัยประจำหมวดธาตุในอาขยาตตาม ลกั ษณะของวาจกเสยี กอ น ท่ีเปน กัตตุวาจก เชน :- กุรุมาโน ทำอยู กรฺ ธาตุ ในความทำ โอ ปจจัยประจำหมวดธาตุ มีอำนาจ แปลง อ ท่ี ก เปน อุ เปน กุร. นำ โอ ปจ จยั มาตอเขา เปนรปู กโุ ร ลง มาน ปจจัย จงึ แปลง โอ ที่ ร เปน อุ สำเร็จรูปเปน กุรมุ าน แจกตามแบบ อ การนต ป.ุ ป. วิภัตติ จึง เปน กรุ มุ าโน (ทำอยู). ภุ ชฺ มาโน กินอยู ภุชฺ ธาตุ อยใู นหมวด รุธฺ ธาตุ จึงลง อปจจัย ธาตหุ มวดน้ี ตอ งลงนคิ คหติ อาคมตน ธาตุ แลว แปลงนคิ คหติ นน้ั เปน พยญั ชนะทส่ี ดุ วรรค แหง พยญั ชนะ ทีส่ ุดธาตุ เชน ภุชฺ ธาตุน้ี มี ช เปน ที่สุด. พยญั ชนะที่สดุ วรรคของ ช ก็คอื ฉะน้ันจงึ แปลง นิคคหิตเปน ไวห นา พยัญชนะวรรค และใหเปน สะกด จึงเปน ภุชฺ ฺ นำ มาน ปจจัยไปตอเขา ขางหลงั สำเร็จรูปเปน ภุ ชฺ มาโน กนิ อย.ู วทมาโน กลาวอยู ลง อ ปจจัยประจำหมวดธาตุ จึงนำ มาน ปจจัยมาลง ทหี ลัง จึงสำเรจ็ รปู เปน อยางนี.้ กมั มวาจกน้ัน มักลง ย ปจจยั และ อิ อาคม ตามนยั อาขยาตแลวจงึ ลง มาน ปจจัยทหี ลัง อยาง กรยิ มาโน, ภุชฺ ยิ มาโน เปน ตน . ถาแปลง ย ปจจัยกับท่ีสุดธาตุ ไมตองลง อิ อาคม เชน วุจฺจมาโน อันเขากลา วอยู วจฺ ธาตุ ในความกลา ว ลง ย ปจจัย แลวเอา ว เปน วุ แลวแปลงทสี่ ุด ธาตุกับ ปจ จยั เปน จฺจ จงึ ลง มาน ปจจัยสำเรจ็ รูปเปน วุจฺจมาโน. สวนทเี่ ปน ภาววาจก นั้น มวี ธิ เี หมือนกนั กับกัมมวาจกนี้ ตางแตใชธ าตุไมม ี กรรมเทา นน้ั . (ภาววาจกน้ไี มนยิ มใช) ท่ีเปน เหตุกัตตุวาจก ตองอาศัยเหตุปจจัยในอาขยาตท้ัง ๔ ตัวนั้นมาลงไว เปนเคร่ืองหมายดุจกลาวมาแลว แตโดยมากมีแต ณย ณาปย ปจจัยเทาน้ัน เชน เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 211
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 212 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ปาจยมาโน ใหห งุ อย,ู การาปยมาโน ใหท ำอยู, สารยมาโน ใหร ะลกึ อย,ู าปยมาโน ใหต ้งั อยู เปน ตน. ที่เปน เหตุกัมมวาจก ใหลงเหตุปจจัย และ ย ปจจัย อิ อาคม ดวย เชน ปาจาปยมาโน อันเขาใหหุง-ตมอยู, ปติฏาปยมาโน อันเขาใหตั้งอยู, สาริยมาโน อนั เขาใหระลกึ อยู, สาวยิ มาโน อันเขาใหฟ งอยู เปนตน. อนง่ึ ศพั ทท ปี่ ระกอบดว ยปจ จยั น้ี นำไปแจกดว ยวภิ ตั ตทิ ง้ั ๗ ใน ๓ ลงิ คไ ด ท่ี เปน ปุง. เปน มาโน เชน กุรุมาโน ทเ่ี ปนอติ . เปน มานา เชน กรุ มุ านา, ภุ ชฺ มานา เปน ตน ท่เี ปน นปุ. เปน มาน เชน วทมาน, วจุ ฺจมาน เปนตน . ต ปจจยั ต ปจจัยนี้ ตามหลักก็เปนไดท้ัง ๕ วาจก แตจะนำมาแสดงเทาท่ีเห็นวา จำเปนและทีใ่ ชกันโดยมาก เพราะบางวาจก เชน เหตกุ ัตตวุ าจก มกั ไมค อยมีใช. อน่ึง ต ปจจัยนี้ มีนัยวิจิตรหลายอยาง คือ มีอำนาจลบท่ีสุดธาตุบาง แปลง ทสี่ ุดธาตบุ า ง ถามธี าตุตวั เดยี ว ลง อิ อาคม บา ง ถามธี าตุ ๒ ตัว เม่อื ไมลบที่สุดธาตุ ตองลง อิ อาคม บาง แปลงตัวเองเปนพยัญชนะที่สุดวรรค และอยางอื่นตามฐานะที่ ควรบา ง เมอ่ื ลง ต ปจจัยน้แี ลว ใชเปนนามกิตกก็มีบาง ตามนยั ทที่ านแสดงไวในแบบ จะนำมาแสดงไวอยา งละ ๒-๓ ขอ ดงั นี้ :- ลบท่ีสดุ ธาตนุ ั้น เชน ธาตมุ ี มฺ และ นฺ เปนทีส่ ดุ ลบที่สุดธาตุเสีย คโต ไปแลว คมฺ ธาตุ ในความไป ความถงึ รโต ยินดีแลว รมฺ ธาตุ ในความยินดี แปลงทีส่ ุดธาตุนั้น เชน ธาตุมี จ,ฺ ช,ฺ ป,ฺ เปนทีส่ ดุ เอาท่สี ดุ ธาตุเปน ต.ฺ สิตฺโต อันเขารดแลว สิจฺ ธาตุ ในความรด ภุตฺโต อนั เขากนิ แลว ภุช.ฺ ธาตุ ในความกนิ วตุ ตฺ อันเขากลาวแลว วจฺ ธาตุ ในความกลา ว เอา ว เปน วุ คุตฺโต อนั เขาคุมครองแลว คปุ ฺ ธาตุ ในความคมุ ครอง. ธาตุมตี วั เดยี ว ลง อิ อาคม. และธาตมุ ี ๒ ตวั เมอื่ ไมลบ ตอ งลง อิ อาคมนนั้ เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 212
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 213 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò คือ ธาตุมี อา เปนทีส่ ุดก็ด,ี ต เปน กัมมวาจก ก็ดี ลง อิ อาคม. คำวา ต เปน กมั ม วาจก นี้ หมายความวา ลง ต ปจ จัยใหเปน กัมมวาจก ตองลง อิ อาคม ดว ย เชน :- ิโต ยนื แลว า ธาตุ ในความตั้งอย.ู ปโต อนั เขาด่มื แลว ปา ธาตุ ในความดื่ม. อภชิ ฺฌิโต อันเขาเพงจำเพาะแลว อภ+ิ ฌา ธาตุ ในความเพง ที่แปลงตวั เองเปนพยญั ชนะที่สุดของวรรคนน้ั เชน :- ฉนฺโน อนั เขามุงแลว ฉทฺ ธาตุ ในความปด. รุนโฺ น รองไหแ ลว รทุ ฺ ธาตุ ในความรอ งไห. แปลงเปน พยญั ชนะอื่นนน้ั เชน :- ธาตุมี รฺ เปนทส่ี ุด แปลง ต เปน ณฺณ แลว ลบที่สุดธาตุ. ชณิ โฺ ณ แกแ ลว ชริ ฺ ธาตุ ในความครำ่ ครา. ปุณฺโณ เต็มแลว ปูรฺ ธาตุ ในความเตม็ . ธาตุมี สฺ เปนทีส่ ุด แปลง ต เปน ฏ แลว ลบทส่ี ดุ ธาต.ุ ตฏุ โ ยนิ ดีแลว ตสุ ฺ ธาตุ ในความยินด.ี หฏโ รา เรงิ แลว หสฺ ธาตุ ในความรา เริง. ธาตมุ ี ธฺ และ ภฺ เปนท่ีสุด แปลง ต เปน ทธฺ แลวลบทส่ี ุดธาตุ. พทุ ฺโธ อนั เขารแู ลว พธุ ฺ ธาตุ ในความร.ู ลทฺโธ อันเขาไดแลว ลภฺ ธาตุ ในความได. ธาตมุ ี มฺ เปน ทีส่ ดุ แปลง ต เปน นตฺ แลวลบท่ีสดุ ธาตุ ปกฺกนฺโต หลกี ไปแลว ป+กมฺ ธาตุ ในความกาวไป. สนฺโต ระงบั แลว สมฺ ธาตุ ในความสงบระงับ. ธาตุมี หฺ เปน ทีส่ ดุ แปลง ต เปน ฬฺห แลวลบทส่ี ดุ ธาต.ุ รุฬฺโห งอกแลว รุหฺ ธาตุ ในความงอก. วฬุ โฺ ห อนั น้ำพัดไปแลว วหุ ฺ ธาตุ ในความลอย. ใชเปนนามกิตกบางน้ัน เชน พุทฺโธ แปลวา รูแลว พุธฺ ธาตุในความรู ถาใชเปนนามกิตก แปลวา พระพุทธเจา ก็คือ ทานผูรูนั่นเอง. หรือวา คต การเดิน ติ การยนื เปน ตน . ทมี่ กั ปรากฏอยหู ลายแหง กเ็ พราะทา นใชเ ปน นามกติ กน น้ั เอง. เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 213
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 214 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ทเ่ี ปน กัตตวุ าจก นั้น เชน คโต, ปกฺกนฺโต, ปวิฏโ เปน ตน คโต ไปแลว คมฺ ธาตุ ในความไป-ถงึ ต ปจ จัย ลบที่สุดธาตุ ปกฺกนฺโต หลีกไปแลว ป+กมฺ ธาตุ ในความกาวไป. ธาตุมี มฺ เปนที่สุด แปลง ต เปน นฺต. ปวิฏโ เขาไปแลว ป+วิสฺ ธาตุ ในความเขาไป. ธาตุมี สฺ เปนทส่ี ุด แปลง ต เปน ฏ. ทเี่ ปน เหตกุ ตั ตวุ าจก ไมป รากฏวา มที ใ่ี ชเ ลย ทเี่ ปน กมั มวาจกและภาววาจกก็มี รปู เปน อยา งเดยี วกันกับกัตตวุ าจก. จะรูวา เปน วาจกแผนกไหน กต็ องพจิ ารณาถงึ ธาตุ เสยี กอ น คอื ถา เปน กตั ตวุ าจก ใชธ าตไุ ดท ง้ั ๒ คอื สกมั มธาตุ และอกมั มธาต,ุ จำพวก กัมมวาจกใชไดแ ต สกัมมธาตุ. ภาววาจก ใชไดเ ฉพาะแตอ กัมมธาต.ุ ทีเ่ ปน เหตกุ ัมมวาจก นัน้ ตอ งอาศัย เหตุปจจัย และลง อิ อาคม ดวย เชน การาปต, สมุฏาปตา, ตาปาปต เปนตน. การาปต อันเขา (ยังบุคคล) ใหกระทำ แลว กรฺ ธาตุ ลง ณาเป ปจจัย แลวลง ต ปจจยั อิ อาคม, สมฏุ าปตา อนั เขา (ยงั บุคคล) ใหตั้งไวพรอมแลว. ส+อุ+า ธาตุ ในความยืน. ตาปาปต อันเขา (ยงั บคุ คล) ใหเ ผาแลว ตปฺ ธาตุ ในความรอ น. ๒ นี้ก็เชน กัน. ณาเป ปจ จยั ที่ปรากฏอยู นั้น พึงเขาใจวา นำมาแต เหตุปจจัย สวน ย และอิ อาคมไมตองนำมา ตอเม่ือลง ต ปจจยั แลว จึงตองลงอิ อาคมเปนเคร่อื งหมายวาจกนี.้ อนง่ึ ปจจยั นเ้ี ปน อนพยฺ ยกริ ยิ า แจกไดใ นลิงคท ง้ั ๓ ตามการนั ตน้นั ๆ. ตูนาทิ ปจ จยั ตูน ตฺวา ตฺวาน ๓ น้ี เปน ตูนาทิปจ จยั แปลวา ปจจยั ๓ ตวั มี ตูน เปนตน โดยปรกติ บอกอดีตกาล เพราะแปลวา “แลว” แตแปลเปนอยางอ่ืนบางก็มีมาก ใน เมื่ออยใู นประโยคตามลักษณะของสัมพันธ แตใ นทนี่ ี้ใหแปลวา “แลว” ตามหลกั ไปเสียกอ น. ตนู ตฺวา ตฺวาน กาตูน กตฺวา กตฺวาน ทำแลว . คนตฺ นู คนฺตฺวา คนตฺ ฺวาน ไปแลว. หนตฺ นู หนตฺ ฺวา หนฺตฺวาน ฆาแลว . 214
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 215 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ตูน ปจจัยน้ัน มีท่ีใชนอย ไมคอยปรากฏนัก จึงไมอธิบาย.สวน ตฺวา ตฺวาน ๒ ตวั น้ี มีใชดาดดน่ื ในทที่ ั่วไป. วธิ ีลงปจ จยั ๒ ตัวนี้ กค็ ลาย ต ปจจัย คอื ถาธาตุ ๒ ตัว ใหลบที่สุดธาตุแลวนำ ตฺวา ปจจัยไปตอเขาขางหลังใหเปน ตัวสะกดธาตุทีเดียว เชน กตฺวา กตวฺ าน ทำแลว กรฺ ธาตุ ในความทำ. ถาไมลบท่ีสุดธาตุ ใหลง อิ อาคมที่สุดธาตุได เชน กริตฺวา กริตฺวาน ทำแลว กรฺ ธาตุ เหมอื นกนั ถา ไมล บท่สี ุดธาตุ กใ็ หแ ปลงพยญั ชนะทส่ี ดุ ธาตุ เปนพยญั ชนะที่สุดวรรคของ ตฺวา ได เชน ต แหง ตฺวา ปจจัย เปนพยัญชนะวรรค. ที่สุดวรรคของ ต น้ี คือ น เพราะฉะนัน้ จึงแปลงทีส่ ดุ ธาตุเปน นฺ ได เชน คนฺตฺวา, คนตฺ ฺวาน ไปแลว , คนฺตฺวา, คนฺตวาน เปน คมฺ ธาตุ แปลง มฺ เปน นฺ ถาไมแปลงใหลง อิ อาคมท่ีสุดธาตุ เชน คมิตฺวา, คมิตฺวาน เปนตนท่วี ามานเ้ี ปน กัตตวุ าจก สวนท่ีเปน เหตุกัตตุวาจกนั้น ตองมี เหตุปจจัย มาประกอบกับธาตุไวกอน จึงลงปจจัยนท้ี หี ลังดจุ กลาวแลว เชน กรฺ ธาตุ. เหตุปจ จยั เณ ณย ณาเป ณาปย ตวฺ า ปจจัย กาเรตฺวา การยิตวฺ า การาเปตฺวา การาปยติ ฺวา ตวฺ าน ปจจัย กาเรตวฺ า การยติ วฺ าน การาเปตวฺ า การาปยติ ฺวาน. เหตุปจ จัยท่มี ี ย เชน ณย, ฌาปย ตอ งลง อิ อาคม ท่ี ย ดว ยแตจ ะมากหรอื นอ ยนั้นกแ็ ลว แตจ ะสมควร ที่วาน้กี ็เพยี งแตอทุ าหรณ. ตนู าทิ ปจ จัยน้ี ในกัมมวาจก เหตกุ ัมมวาจก และ ภาววาจก ไมม ที ใ่ี ช เพราะ ทา นใช ต ปจจัยแทน. อนึ่ง ถาธาตุมีอุปสัคนำหนา ใหแปลงปจจัยท้ัง ๓ น้ีเปน ย (ขอน้ีทำให ตูน ปจจยั มคี าขึ้น) เชน :- อาทาย ถือเอาแลว อา+ทา ธาตุ ในความถือเอา ปหาย ละแลว ป+หา ธาตุ ในความละ นสิ ฺสาย อาศยั แลว น+ิ สี ธาตุ ในความอาศยั ปฏาย เริม่ ต้งั แลว ป+า ธาตุ ในความตั้งไว อภิ ฺาย รูย่ิงแลว อภิ+า ธาตุ ในความรู โอหาย ละแลว อว+หา ธาตุ ในความละ 215
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 216 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ที่แปลงเปน ย ปรากฏอยูนี้ โดยมากมักมีเฉพาะธาตุตัวเดียวที่มี อา เปน ที่สุด ถาธาตุมีสระอ่ืนเปนท่ีสุด ก็ตองเปนธาตุชนิดที่แปลงใหเปน อา ได เชน นิสฺสาย นิ+สี ธาตุ แปลง อี เปน อา เปนตน ถาธาตุมีอยางอื่นเปนท่ีสุด ก็แปลง ย ปจจัยกับที่สุดธาตุเปนตางๆ ไปถึงมี ย ปรากฏกไ็ มดีนกั ดงั นี้ :- ถามี ม เปน ทสี่ ดุ แปลง ย กับท่ีสดุ ธาตุเปน มฺม อาคมฺม มาแลว อา+คมฺ ธาตุ ในความไป (อา กลบั ความ) นกิ ฺขมมฺ ออกแลว น+ิ ขมฺ ธาตุ ในความออก. ธาตมุ ี ทฺ เปน ท่สี ดุ แปลง ย กับทีส่ ุดธาตเุ ปน ชชฺ อปุ ฺปชฺช เกดิ ข้ึนแลว อุ+ปทฺ ธาตุ ในความเกิด. ปมชชฺ ประมาทแลว ป+มทฺ ธาตุ ในความเมา. ธาตุมี ธฺ และ ภฺ เปนทีส่ ดุ แปลง ย กบั ทส่ี ุดธาตุ เปน ทฺธา พภฺ วทิ ฺธา แทงแลว วธิ ฺ ธาตุ ในความแทง ลทธฺ า ไดแลว ลภฺ ธาตุ ในความได อารพภฺ ปรารภแลว อา-รภฺ ธาตุ ในความเรมิ่ . ธาตุมี หฺ เปน ทีส่ ุด แปลง ย กบั ท่สี ุดธาตุเปน ยหฺ ปคฺคยฺห ประคองแลว ป+คหฺ ธาตุ ในความประคอง สนฺนยหฺ ผูกแลว ส+ นหฺ ธาตุ ในความผูก. อารยุ ฺห ขนึ้ แลว อา+รหุ ฺ ธาตุ ในความขึ้น. แปลง ตฺวา เปน สฺวา และ ตฺวาน เปน สฺวาน ได. เฉพาะ ทิสฺ ธาตุ เปน ทิสฺวา, ทิสฺวาน แปลวา เห็นแลว. แปลง ทิสฺ เปน ปสฺส แลวลง อิ อาคม เปน ปสฺสติ ฺวา บาง. ตูนาทิ ปจจัยท่ีแปลงเปน ย แลว เอา ย กับท่ีสุดธาตุเปนไปไดหลายอยาง แตก เ็ ปน เฉพาะธาตุตัวหนึ่งๆ เทา นัน้ จะนำมาแสดงไวพอเปน อุทาหรณ เชน :- อทุ ทฺ สิ สฺ แสดงแลว อุ+ทิสฺ ธาตุ ในความแสดง แปลง ย กับท่ีสุดธาตุ เปน สสฺ . วิวจิ จฺ สงัดแลว วิ+วิจฺ ธาตุ ในความสงัด. แปลง ย กับที่สุดธาตุ เปน จฺจ. 216
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 217 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò อาหจจฺ เบียดเบียนแลว อา+หนฺ ธาตุ ในความเบียดเบียน แปลง ย กบั ทส่ี ดุ ธาตเุ ปน จจฺ สว น ปฏจิ จฺ อาศยั แลว ปฏ+ิ อิ ธาตุ ในความไป-ถึง แปลง ย กับ ต อาคมเปน จจฺ . อภสิ เมจจฺ บรรลแุ ลว อภ+ิ ส+ อิ ธาตุ ในความไป-ถึง แปลง ย กับ ต อาคมเปน จจฺ . บทสดุ ทา ย ๑. ปจจัยในกิริยากิตก รวมทั้งส้ินมี ๑๐ ตัว อนฺต, ตวนฺตุ, ตาวี, อนีย, ตพฺพ, มาน, ต, ตนู , ตฺวา, ตฺวาน. ๒. ในปจ จัยเหลา น้ี แบง ออกเปน ๒ คอื จำพวกที่แจกตามวิภตั ตทิ งั้ ๗ ใน ลงิ คท้งั ๓ ไมได เรยี กวา อพฺยยกิรยิ า มีอยู ๓ ตัว คือ ตนู ตวฺ า ตวฺ าน, เรียกวา ตนู าทิ ปจจัย. ๓. ที่แจกตามวิภัตติทั้ง ๗ ในลิงคทั้ง ๓ ได เรียกวา อนพฺยยกิริยา อนพยฺ ยกริ ยิ าน้ี ใชไ ด ๒ อยา ง คอื เปน กริ ยิ าหมายพากยไ ด ๑ เปน วเิ สสนะ ๑ มอี ยู ๗ ตัว คือ อนฺต, มาน, ตวนฺต,ุ ตาวี, ต, อนยี , ตพพฺ . ๔. ปจจัยเหลาน้ี ลวนมีธาตุเปนที่ตั้ง อยูติดกับธาตุเสมอไปมีท่ีสังเกตท่ี ทายธาต.ุ ๕. ปจจัยท่ีใชเปนปจจุบันกาล แปลวา “อยู” หรือ “เม่ือ” มี ๒ ตัว คือ อนตฺ ๑ มาน ๑. ๖. อนตฺ ในอติ ถลี งิ ค เปน อนตฺ ี ตวั อยา ง เชน สณุ นตฺ ,ี กโรนตฺ ,ี คจฉฺ นตฺ ี แจกอยาง (นารี). สวน นปุง. เปน อนฺต เชน คจฺฉนฺต, กโรนฺต แจกตามแบบ (กุล) อ การันต. สวน มาน เปน มานา ตัวอยาง เชน ภฺุชมานา, กุรุมานา, คจฉฺ มานา, แจกตามแบบ อา การันต อิต. (กฺ า). ๗. อนพฺยยกิริยา เม่ือประกอบวิภัตติแลว ต้ังแต ทุ. วิภัตติไป ตองเปน วิเสสนะทง้ั นัน้ เวนไวแ ตใ นทางสมั พันธจ ะเรียกชอื่ ตางไปบาง เพราะกริ ิยาหมายพากย ตอ งเปน ป. วิภัตติอยา งเดยี ว. 217
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 218 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๘. ข้ึนช่ือวาตัวประธานแลว ตองเปน ป. วิภัตติเทานั้น วิภัตติอ่ืน ซง่ึ ไมออกช่อื ในทนี่ ี้ จะเปนตวั ประธานไมได. ๙. ตัวประธานมีรูปอยางไร ตัวกิริยาก็ตองเปนไปตาม ขอนี้เพราะกิริยา กติ กใ ชว ภิ ตั ตนิ ามนัน่ เอง. ๑๐. ปจจัยท่ีเอามาใชเปนอดีตกาล มีอยู ๖ ตัว คือ ตวนฺตุ, ตาวี, ต, ตูน, ตวฺ า, ตฺวาน. แปลวา “แลว.” ๑๑. ตวนตฺ ุ ปุง. แจกอยา ง ภควนฺตุ ศพั ท. ๑๒. ปจจัยที่เอามาใชในความจำเปน แปลวา “พึง-ตอง” หรือ “ควร” มี ๒ ตัว คอื อนยี , ตพฺพ. ๑๓. ในกัตตวุ าจก ใชไดท ง้ั ธาตมุ ีกัมมและธาตุไมม กี มั ม. ๑๔. ธาตุเปนรากเหงาของศัพทท้ังส้ิน มีอยู ๒ จำพวก คืออกัมมธาตุอยาง หนึ่ง สกมั มธาตอุ ยา งหน่งึ แตธ าตุบางอยา งเปน ไดท งั้ สกมั ม. ท้ังอกัมม. ๑๕. ตวั กัมมนน้ั ในพากยท่เี ปน กตั ตวุ าจก ประกอบดวยทุตยิ าวภิ ตั ติ แปลวา “ซ่งึ ” ในพากยท่ีเปนกัมมวาจก ประกอบดวยปฐมาวภิ ตั ิ แปลวา “อนั วา .” ๑๖. กมั มวาจก ใชไดแตธ าตุท่ีมีกัมมอยางเดียว. ๑๗. ตพฺพ ปจจัย มีท่ีใชแต กัมมวาจก และภาววาจก เม่ือใชเปน กัมมวาจก เปนไดท กุ วิภตั ติตามตวั ประธาน สว นท่ใี ชเปน ภาววาจก เฉพาะแต ป. เอก. นปงุ . อยางเดียวเทา นัน้ . ๑๘. ปจจัยที่ใชในภาววาจก โดยมากมีแต ตพฺพ ปจจัย อนีย ปจจัย และ ใชในอกัมมธาตุอยางเดียว สวนปจจัยนอกนั้น แมจะประกอบใหเปนรูปแจกไดตาม วิภตั ติในลงิ คท้ัง ๓ ก็จรงิ แตท านไมน ิยมใช. ๑๙. ธาตุท่ีเรียกหากัมม คือ ทุ. วิภัตติ ในพากยที่เปนกัตตุวาจก,และ ป. วภิ ัตติ ในพากยท ่เี ปน กมั มวาจก เรยี กวา สกัมมธาตุ ธาตุทไี่ มตองเรยี กหากมั มเชน นน้ั เรยี กวา อกัมมธาตุ. ๒๐. กิริยาศัพทที่ประกอบดวย วิภัตติ วจนะ กาล ธาตุ ปจจัย ดังนี้ ชื่อวา วาจก คือ กลาวบทที่ประธานของกิริยาศัพท มี ๕ อยาง คือ กัตตุวาจก. ๑ กมั มวาจก ๑ ภาววาจก ๑ เหตกุ ัตตวุ าจก ๑ เหตกุ มั มวาจก ๑. 218
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 219 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๒๑. ปจจัยท่ีสำหรับประกอบกิริยาศัพท ซึ่งจำตองจัดเปน ๓ จำพวก ก็เพ่ือ ประกอบกับกิริยาศัพทเปนวาจกน้ัน ๆ ดังนี้ คอื :- ก. กิตปจจัย สำหรบั ประกอบศัพทท่เี ปน กตั ตุวาจกอยา ง ๑. ข. กจิ จปจ จยั สำหรบั ประกอบกบั ศพั ทท เี่ ปน กมั มวาจก ภาววาจก และ เหตุกมั มวาจกอยาง ๑. ค. กิตกิจจปจจัย สำหรับประกอบศพั ทไดท กุ วาจกอยา ง ๑. ๒๒. ในปจจัยเหลานี้ หมวดหนึ่ง ๆ มีต้ังแต ๒ ตัวข้ึนไป เพื่อจะเลือก ประกอบใหเ หมาะแกศัพทนั้นๆ. ๒๓. ปจจยั ที่เปน เครอื่ งหมาย เหตกุ ตั ตวุ าจก และเหตกุ มั มวาจกโดยตรงไมมี ตองอาศัยยืมเหตุปจจัย คือ เณ ณย ณาเป ณาปย ในอาขยาตมาใช แตสวนที่เปน เหตกุ มั มวาจก ตอ งมี ย ปจ จยั อิ อาคม ดวย. ๒๔. มาน ปจจัยในจำพวกกิตกิจจปจจัย เปนไดท้ัง ๕ วาจกนั้นในสวนท่ี เปนกมั มวาจก และ เหตกุ ัมมวาจก ตองมี ย ปจ จยั อิ อาคม ดวย. ๒๕. ต ปจจยั ในเหตกุ ตั ตวุ าจก ไมมที ่ีใช มีใชแ ต เหตุกมั มวาจกเทานั้น เชน ปตฏิ าปโต เปนตน . ๒๖. ขอวา ถามอี ปุ สัค อยหู นา แปลงปจจัยท้งั ๓ คือ ตนู ตวฺ า ตฺวาน ท่เี รียกวา ตนู าทิ ปจ จยั เปน ย เชน อาทาย นิสฺสาย อภิ ฺาย เปนตน แตท ีไ่ มแปลงกม็ ี เชน นกิ ขฺ มติ ฺวา อปุ ปฺ ชฺชิตวฺ า เปน ตน จบกริ ยิ ากิตก 219
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 220 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò แบบประเมนิ ผลตนเองกอนเรียน หนวยท่ี ๗ วัตถปุ ระสงค เพื่อประเมินความรูเดิมของนักเรียนเก่ียวกับเร่ือง “กิริยากิตก คำส่ัง [วิภัตต,ิ กาล,วจนะ,ธาตุ,วาจก,ปจจยั ]” ใหนักเรียนอานคำถาม แลวเขียนวงกลมลอมรอบขอคำตอบ ทถ่ี กู ตอ งทส่ี ุดเพยี งขอเดียว ๑. คำวา “กติ ก” หมายถึงอะไร ? ก. ศัพททป่ี ระกอบปจจยั หมหู นึ่งเพ่ือเปน เครอื่ งหมายของนามศพั ท และกิรยิ าศพั ท ข. ศพั ทท ่ปี ระกอบปจ จัยหมหู น่ึงเพอื่ เปนเครอ่ื งหมายใหทราบวาจก ค. ศพั ททปี่ ระกอบปจ จัยหมูหน่งึ เพอื่ ใชแ ทนศพั ท ง. ศพั ทท ่ีประกอบปจ จัยหมูห นึง่ เพอ่ื ยอศพั ทใหสัน้ ลง ๒. กติ กม กี ี่ประเภท ? ก. ๒ ประเภท ข. ๓ ประเภท ค. ๔ ประเภท ง. ๕ ประเภท ๓. กติ กมีวิเคราะหวา อยา งไร ? ก. กิตปจฺจเยน กรี ยิ เตติ กติ โก ข. กิตปจจฺ เยน กีรตีติ กิตโก ค. กติ ปจจฺ เยน กีรติ เอเตนาติ กิตโก ง. กติ ปจจฺ เยน กรี ติ เอตฺถาติ กติ โก ๔. กาลแหงกริ ยิ ากิตกว าโดยยอ มเี ทาไร ? ก. ๒ ข. ๓ ค. ๔ ง. ๖ ๕. กาลแหง กริ ยิ ากติ กวา โดยพสิ ดารมเี ทา ไร ? ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๘ ๖. ในกิริยากติ กแบงวาจกออกเปนเทา ไร ? ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๖ เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 220
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 221 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๗. ปจจัยใดตอ ไปนี้เปน กัตตุวาจกและเหตกุ ตั ตวุ าจก ไดเ ทา นนั้ ? ก. อนยี , ตพฺพ ข. อนฺต, ตวนฺต,ุ ตาวี ค. มาน, ต ง. ตูน, ตฺวา, ตฺวาน ๘. ปจจัยคอื อนฺต, มาน แปลวา อะไร ? ก. แลว ข. ครัน้ แลว ค. เมอื่ ง. พึง ๙. ปจจัยคือ อนยี , ตพพฺ ไมใชเ ปนวาจกใด ? ก. เหตกุ ัมมวาจก ข. กัมมวาจก ค. ภาววาจก ง. กัตตวุ าจก ๑๐. ปจจยั ใดตอไปนใ้ี ชเ ปนกริ ยิ าคุมพากยไ ด ? ก. อนตฺ ตวนตฺ ุ ตาวี ข. ตนู ตวฺ า ตวฺ าน ค. มาน ง. อนยี ตพพฺ ต ๑๑. จงประกอบกิรยิ ากติ กในประโยคตอไปน้ีใหถกู ตองตามหลัก ? “เสฏ คามํ คจฺฉนตฺ .. กมฺมนตฺ ํ อกาสิ ฯ” ก. คจฉฺ นตฺ ํ ข. คจฺฉนฺตี ค. คจฺฉนฺโต ง. คจฉฺ นฺตา ๑๒. กิริยากติ กวา “สาเวนโฺ ต” เปนวาจกอะไร ? ก. กัตตุวาจก ข. กัมมวาจก ค. เหตกุ ตั ตวุ าจก ง. เหตุกมั มวาจก ๑๓. า ธาตุ ประกอบกบั ตวนฺตุ ปจจัย ในปุงลงิ ค ปฐมาวิภตั ติ เอกวจนะไดรูปเปน อะไร ? ก. ชานิตวนตฺ ุ ข. ชานติ วา ค. ชานติ วตี ง. ชานติ วนตฺ ํ ๑๔. ปจ จยั กริ ยิ ากิตกห มวดกิจจปจ จัย มปี จจัยอะไรบาง ? ก. มาน ต ข. อนยี ตพฺพ ค. อนตฺ ตวนตฺ ุ ตาวี ง. ตนู ตฺวา ตวฺ าน ๑๕. ปจ จัยใดตอ ไปนีไ้ มน ยิ มใชเปนภาววาจก ? ก. อนีย ข. ตพฺพ ค. มาน ง. ต เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 221
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 222 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๑๖. ต ปจ จยั ไมนิยมใชเปนวาจกใด ? ก. กัตตุวาจก ข. กัมมวาจก ค. ภาววาจก ง. เหตกุ ัตตวุ าจก ๑๗. ปจ จัยใดตอ ไปนเ้ี ปน อัพพยศัพท (แจกดวยวภิ ัตตนิ ามไมได) ? ก. อนฺต มาน ข. อนีย ตพพฺ ค. ต ตวนฺตุ ตาวี ง. ตนู ตวฺ า ตฺวาน ๑๘. ตนู ตฺวา ตวฺ าน ปจ จยั ในทเี่ ชนไรนยิ มแปลงเปน ย ? ก. เมือ่ ตอ งการ ข. เมอื่ มอี ปุ สัคนำหนา ค. เมอ่ื มนี บิ าตนำหนา ง. เมื่อใชเ ปนอดีตกาล ๑๙. ตพพฺ ปจจยั ทเ่ี ปน อติ ถีลงิ ค แจกตามแบบอะไร ? ก. อา การันต (กฺ า) ข. อี การนั ต (นารี) ค. อุ การนั ต (รชชฺ )ุ ง. อู การนั ต (วธ)ู ๒๐. ต ปจ จัยทปี่ ระกอบกบั อกมั มธาตุ ใชเ ปนวาจกใดได ? ก. กตั ตุวาจก ข. กมั มวาจก ค. เหตุกตั ตวุ าจก ง. ไดท้งั ๕ วาจก ๒๑. ลภฺ ธาตุ ลง มาน ปจ จัย ทเ่ี ปนกัมมวาจกมีรปู เปนอยา งไร ? ก. ลภมาโน ข. ลพฺภมาโน ค. ลาภาเปมาโน ง. ลาภาปย มาโน ๒๒. ปจ จัยกริ ิยากิตกต ัวใดตอไปนี้ ใชเ ปน นามกิตกไ ด ? ก. อนีย ตพพฺ ข. มาน ต ค. ตนู ตวฺ า ตฺวาน ง. อนีย ต ๒๓. ทิสฺ ธาตุ ลง ต ปจจยั สำเรจ็ รูปเปน อยา งไร ? ก. ทสิ โต ข. ทิตฺโต ค. ทฏิ โ ง. ทโิ ต เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 222
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 223 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò แบบประเมินผลตนเองหลังเรยี น หนว ยที่ ๗ วตั ถุประสงค เพื่อประเมินผลความกาวหนาของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง “กิริยา คำส่งั กิตก [วิภตั ติ,กาล,วจนะ,ธาต,ุ วาจก,ปจ จัย]” ใหนักเรียนอานคำถาม แลวเขียนวงกลมลอมรอบขอคำตอบ ทถ่ี ูกตอ งที่สุดเพยี งขอ เดียว ๑. คำวา “กิตก” หมายถึงอะไร ? ก. ศัพททีป่ ระกอบปจจัยหมหู นงึ่ เพือ่ ใชแทนศัพท ข. ศพั ทท่ีประกอบปจ จัยหมูหนง่ึ เพอ่ื เปน เครอื่ งหมายใหทราบวาจก ค. ศัพทท ่ีประกอบปจ จัยหมูหนงึ่ เพอื่ ยอ ศัพทใหสัน้ ลง ง. ศัพทท่ีประกอบปจจัยหมูหนึ่งเพ่ือเปนเคร่ืองหมายของนามศัพท และ กริ ิยาศัพท ๒. กิตกมีกี่ประเภท ? ก. ๕ ประเภท ข. ๔ ประเภท ค. ๓ ประเภท ง. ๒ ประเภท ๓. กิตกมวี เิ คราะหว าอยางไร ? ก. กติ ปจฺจเยน กีรตตี ิ กิตโก ข. กติ ปจฺจเยน กรี ติ เอตถฺ าติ กติ โก ค. กติ ปจฺจเยน กรี ติ เอเตนาติ กิตโก ง. กิตปจจฺ เยน กรี ิยเตติ กติ โก ๔. กาลแหง กริ ิยากติ กว า โดยยอ มเี ทา ไร ? ก. ๖ ข. ๔ ค. ๓ ง. ๒ ๕. กาลแหงกริ ิยากติ กว า โดยพิสดารมเี ทา ไร ? ก. ๒ ข. ๓ ค. ๔ ง. ๖ ๖. ในกริ ิยากิตกแบงวาจกออกเปน เทา ไร ? ก. ๓ ข. ๕ ค. ๖ ง. ๗ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 223
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 224 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๗. ปจจัยใดตอ ไปนีเ้ ปน กัตตวุ าจกและเหตุกัตตวุ าจก ไดเ ทานนั้ ? ก. อนฺต, ตวนตฺ ุ, ตาวี ข. ตนู , ตวฺ า, ตฺวาน ค. อนยี , ตพพฺ ง. มาน, ต ๘. ปจ จัยคือ อนฺต, มาน แปลวา อะไร ? ก. ครนั้ แลว ข. เมอ่ื ค. พึง ง. แลว ๙. ปจจัยคือ อนยี , ตพฺพ ไมใชเ ปนวาจกใด ? ก. กัมมวาจก ข. ภาววาจก ค. เหตกุ ัตตุวาจก ง. เหตกุ ัมมวาจก ๑๐. ปจจยั ใดตอไปนีใ้ ชเปน กิริยาคมุ พากยได ? ก. อนยี ตพพฺ ต ข. ตูน ตฺวา ตฺวาน ค. อนฺต ตวนตฺ ุ ตาวี ง. มาน ๑๑. จงประกอบกิรยิ ากิตกใ นประโยคตอไปนี้ใหถ ูกตองตามหลกั ? “เสฏ คามํ คจฺฉนตฺ .. กมมฺ นตฺ ํ อกาสิ ฯ” ก. คจฉฺ นตฺ า ข. คจฉฺ นตฺ ํ ค. คจฉฺ นฺตี ง. คจฺฉนฺโต ๑๒. กริ ิยากติ กว า “สาเวนโฺ ต” เปน วาจกอะไร ? ก. กตั ตุวาจก ข. เหตกุ ัตตุวาจก ค. กมั มวาจก ง. เหตกุ มั มวาจก ๑๓. า ธาตุ ประกอบกับ ตวนฺตุ ปจจัย ในปุลิงค ปฐมาวิภัตติ เอกวจนะ ไดร ูปเปน อะไร ? ก. ชานิตวา ข. ชานิตวตี ค. ชานิตวนตฺ ํ ง. ชานิตวนตฺ ุ ๑๔. ปจ จยั กริ ยิ ากติ กห มวดกจิ จปจ จยั มีปจจยั อะไรบา ง ? ก. อนีย ตพฺพ ข. มาน ต ค. ตนู ตฺวา ตวฺ าน ง. อนตฺ ตวนฺตุ ตาวี เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 224
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 225 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๑๕. ปจจยั ใดตอไปนีไ้ มนยิ มใชเ ปนภาววาจก ? ก. ตพฺพ ข. มาน ค. อนีย ง. ต ๑๖. ต ปจ จัย ไมนยิ มใชเปนวาจกใด ? ก. กตั ตุวาจก ข. เหตุกัตตุวาจก ค. กมั มวาจก ง. เหตุกมั มวาจก ๑๗. ปจจยั ใดตอ ไปนี้เปนอพั พยศัพท (แจกดวยวภิ ตั ตินามไมไ ด) ? ก. ต ตวนตฺ ุ ตาวี ข. อนฺต มาน ค. ตูน ตฺวา ตฺวาน ง. อนีย ตพพฺ ๑๘. ตนู ตฺวา ตฺวาน ปจ จัย ในทีเ่ ชน ไรนิยมแปลงเปน ย ? ก. เม่อื มีนิบาตนำหนา ข. เม่อื ใชเ ปน อดตี กาล ค. เมื่อมอี ปุ สัคนำหนา ง. เม่อื ตองการ ๑๙. ตพพฺ ปจจยั ที่เปน อิตถลี ิงค แจกตามแบบอะไร ? ก. อุ การนั ต (รชชฺ )ุ ข. อู การันต (วธ)ู ค. อี การนั ต (นาร)ี ง. อา การนั ต (กฺา) ๒๐. ต ปจจัยท่ปี ระกอบกับอกัมมธาตุ ใชเ ปนวาจกใดได ? ก. เหตกุ ัตตุวาจก ข. กมั มวาจก ค. กัตตุวาจก ง. ท้ัง ๕ วาจก ๒๑. ลภฺ ธาตุ ลง มาน ปจ จยั ทเี่ ปน กัมมวาจกมรี ปู เปน อยา งไร ? ก. ลาภาเปมาโน ข. ลาภาปยมาโน ค. ลพฺภมาโน ง. ลภมาโน ๒๒. ปจ จัยกิรยิ ากิตกตวั ใดตอ ไปนี้ ใชเ ปนนามกิตกได ? ก. มาน ต ข. อนีย ต ค. อนยี ตพฺพ ง. ตูน ตวฺ า ตวฺ าน ๒๓. ทิสฺ ธาตุ ลง ต ปจ จัย สำเรจ็ รปู เปน อยา งไร ? ก. ทฏิ โ ข. ทิโต ค. ทติ โฺ ต ง. ทิสโต เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 225
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 226 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เฉลยแบบประเมินผลตนเอง หนว ยที่ ๗ ขอ กอ นเรยี น หลังเรยี น ๑. ก ง ๒. ก ง ๓. ข ก ๔. ก ง ๕. ข ค ๖. ค ข ๗. ข ก ๘. ค ข ๙. ง ค ๑๐. ง ก ๑๑. ค ง ๑๒. ค ข ๑๓. ข ก ๑๔. ข ก ๑๕. ค ข ๑๖. ง ข ๑๗. ง ค ๑๘. ข ค ๑๙. ก ง ๒๐. ก ค ๒๑. ข ค ๒๒. ง ข ๒๓. ค ก เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 226
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 227 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò แผนการสอนวิชาบาลไี วยากรณ หนว ยที่ ๘ เรื่อง “นามกติ ก รูปและสาธนะ” เวลาทำการสอน ๓ คาบ สาระสำคัญ กิตกท ีใ่ ชเปนนามนามกด็ ี คุณนามกด็ ี เรียกวา นามกิตก สาธนะ คือ ศัพทท ่ที านใหส ำเรจ็ มาแตรูปวเิ คราะห จุดประสงค ๑. เพ่ือใหนกั เรียนรแู ละเขา ใจนามกิตก ๒. เพ่อื ใหน กั เรียนรูแ ละเขา ใจรปู และสาธนะ และนำไปใชไ ดถูกตอ ง เน้อื หา ๑. ความหมาย นามกิตก ๒. ความตา งกันของนามศพั ทกบั นามกติ ก ๓. สาธนะ ๗ คือ กัตตุสาธนะ ๑ กัมมสาธนะ ๑ ภาวสาธนะ ๑ กรณสาธนะ ๑ สมั ปทานสาธนะ ๑ อปาทานสาธนะ ๑ อธกิ รณสาธนะ ๑ ๔. รปู วิเคราะหแหง สาธนะ ๓ คอื กัตตุรปู ๑ กัมมรปู ๑ ภาวรปู ๑ กิจกรรม ๑. ประเมินผลกอนเรยี น ๒. ใหน ักเรียนทอ งนามกติ ก รปู และสาธนะ ๓. ครนู ำเขา สูบ ทเรยี น และอธิบายเนอ้ื หา 227
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 228 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๔. บัตรคำ ๕. ครูสรุปเนอื้ หาทง้ั หมด ๖. ประเมนิ ผลหลังเรียน ๗. ใบงาน ๘. กิจกรรมเสนอแนะ ครูสอนควรใหนกั เรียน ๑. ทอ งแมแบบได ๒. ใหนักเรียนหัดตั้งวิเคราะหดวยรูปทั้ง ๓ และสาธนะท้ัง ๗ (ส่งั เปนการบา นดว ย) สอ่ื การสอน ๑. ตำราทใี่ ชป ระกอบการเรียน-การสอน ๑.๑ หนังสอื พระไตรปฎ ก ๑.๒ หนังสือพจนานุกรม มคธ-ไทย โดย พันตรี ป. หลงสมบญุ สำนกั เรียนวดั ปากนำ้ ๑.๓ หนงั สือพจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๔ หนังสือพจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท โดย พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต) ๑.๕ หนงั สอื คมู อื บาลไี วยากรณ นพิ นธ โดย สมเดจ็ พระมหาสมณเจา ฯ ๑.๖ หนงั สอื ปาลิทเทศ ของ สำนักเรยี นวัดปากน้ำ ๑.๗ คมั ภีรอ ภธิ านปั ปทีปกา ๑.๘ หนังสอื พจนานกุ รมธาตุ ภาษาบาลี ๒. อปุ กรณท่ีควรมีประจำหอ งเรยี น ๒.๑ กระดานดำ-แปรงลบกระดาน-ชอลก หรอื กระดานไวทบอรด ๒.๒ เครื่องฉายขา มศรี ษะ (Over-head) ๓. บัตรคำ ๔. ใบงาน 228
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 229 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò วธิ ีวัดผล-ประเมนิ ผล ๑. สอบถามความเขาใจ ๒. สงั เกตพฤตกิ รรมการมีสว นรวมในกิจกรรม ๓. สงั เกตความกา วหนา ดา นพฤตกิ รรมการเรยี นรขู องผูเรียน ๔. ตรวจใบงาน 229
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 230 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) นามกิตก คำวา นามกิตก ในท่ีนี้ ทานหมายถึงกิตกที่ใชเปนนาม และคำวา นาม ก็ หมายเฉพาะถึงศัพทธาตุที่นำมาประกอบปจจัยในกิตกน้ีเม่ือสำเร็จรูปแลวใชได ๒ อยาง คือ ใชเปน นามนาม ๑ คุณนาม ๑ มิไดหมายถึงศัพทท่ีเปนนามนามและ คณุ นามโดยกำเนดิ เชน รกุ ขฺ (ตนไม) จมู (เสนา) ทกขฺ (ขยนั ) นลี (เขยี ว) เปนตน . กิตกที่สำเร็จรูปเปนนามนาม หมายถึง ธาตุคือกิริยาศัพทที่เปนมูลราก ซึ่งนำมาประกอบปจจัยในนามกิตกแลว ใชไดตามลำพังตัวเอง ไมตองหาบทอ่ืนมา เปนประธาน กลาวอยางงายอ่ืน ใชกิริยาเปนนามน่ันเอง เชน กรณ (ความทำ) าน (ความยืน) นสิ ชฺชา (ความนัง่ ) เปน ตน. สวนกิตกที่สำเร็จรูปเปนคุณนาม จะใชตามลำพังตัวเองไมไดอยางเดียวกับ คุณนามโดยกำเนิดเหมือนกัน ตองอาศัยมีตัวนามอ่ืนเปนตัวประธาน เชน การโก (ผูท ำ) ปาปการี (ผทู ำซง่ึ บาปโดยปกต)ิ อนุสาสโก (ผตู ามสอน) เปนตน. ศัพทเหลาน้ี ลวนตองมีนามนามบทอื่นเปนประธานสิ้น เชน ชโน (ชน) ปุคฺคโล (บุคคล) เปนตน จะยกขึน้ แปลลอย ๆ หาไดไม. ในนามกิตกน ี้ทานจดั เปนสาธนะ และสาธนะน้นั ลว นหมายรดู ว ยปจ จยั เพื่อ ใหม เี น้อื ความแปลกกนั ดงั จะไดอธิบายตอ ไป. สาธนะ คำวา สาธนะ นี้ ทานแปลวา “ศัพทท่ีทานใหสำเร็จมาแตรูปวิเคราะห” หมายความวา รปู สำเรจ็ มาจากการต้งั วิเคราะห คำวา วเิ คราะห กห็ มายความวา การ แยกหรอื กระจายศพั ทออกใหเ หน็ สว นตาง ๆ ของศพั ทท ีเ่ ปนสาธนะ เชนศัพทวา คติ (ภูมิเปนที่ไป) ยอมสำเร็จมาจากรูปวิเคราะหวา “คจฺฉนฺติ เอตถฺ า-ต”ิ เพราะฉะนน้ั คติ จงึ เปน ตวั สาธนะ และคจฉฺ นตฺ ิ เอตถฺ า-ติ เปน รปู วเิ คราะห เม่ือจะเรียงใหเต็มท้ังรูปวิเคราะหและสาธนะก็ตองวา คจฺฉนฺติ เอตฺถา-ติ คติ ในรูป วิเคราะหน ัน่ เอง ยอมเปน เครือ่ งสองใหท ราบสาธนะไปในตัว เชน ในทน่ี ้ี คำวา เอตถฺ (ในภูมินั่น) เปนสัตตมีวิภัตติ บงถึงสถานที่ ก็สองใหทราบวารูปท่ีสำเร็จไปจากคำนี้ 230
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 231 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ตองเปน อธกิ รณสาธนะ เพราะสาธนะน้ี ทานบญั ญตั ใิ หใ ชคำวา “เอตถฺ ” ในเวลาตง้ั รปู วิเคราะห สวนกิริยาที่อยูขางหนาน้ันแสดงถึงรูป ในที่น้ี คจฺฉนฺติ เปนกัตตุวาจก จงึ ตองเปนกตั ตุรูป ฉะนั้น จึงรวมความวา คติ เปน กตั ตุรูป อธกิ รณสาธนะ สาธนะนั้นทา นแบง ไว ๗ อยา ง คอื :- ๑. กตั ตสุ าธนะ ๒. กัมมสาธนะ ๓. ภาวสาธนะ ๔. กรณสาธนะ ๕. สัมปทานสาธนะ ๖. อปาทานสาธนะ ๗. อธิกรณสาธนะ และในสาธนะเหลา น้ี ทา นยงั จดั รปู วเิ คราะหไ วป ระจำอกี ๓ คอื :-กตั ตรุ ปู ๑ กัมมรปู ๑ ภาวรูป ๑. กัตตุสาธนะ สาธนะนี้ เปน ชื่อของผูทำ คือ ผูประกอบกิรยิ าน้ัน ไดแ ก ผใู ดเปน ผูทำ กเ็ ปน ชื่อของผูนั้น กลาวอยางงายก็คือเปนช่ือของคนหรือสัตวเชน อุ. วา กุมฺภกาโร (ผูทำ ซ่งึ หมอ ). ทายโก (ผูใ ห) , โอวาทโก (ผูก ลาวสอน), สาวโก (ผูฟง ), เหลา นเี้ ปน กตั ตุสาธนะ ท้ังน้ัน เพราะลวนเปนช่ือของผูทำ คือ ตองมี ชน หรือ บุคคล เปนตน เปนเจาของ ผทู ำกำกับอยดู ว ย เวลาแปลจะขาดเสียมิได เชน กมุ ภฺ กาโร เวลาแยกตงั้ วเิ คราะหกจ็ ะ ตอ งตัง้ วา กุมฺภ กโรต-ี ติ กุมฺภกาโร แปลวา (โย ชโน ชนใด) ยอ มทำ ซงึ่ หมอ เหตนุ นั้ (โส ชโน ชนนนั้ ) ชอื่ วา กมุ ภฺ กาโร (ผทู ำซง่ึ หมอ ). สำหรับกตั ตุสาธนะเวลาต้งั วเิ คราะห กริ ยิ าจะตองเปนกตั ตวุ าจกเสมอ วิธีแปล กัตตุสาธนะ ทานใหแปลได ๒ นัยคือ “ผู-” ถาลงในอรรถ คือ ตัสสลี ะ แปลวา “ผู. ..โดยปกต”ิ คำวา “ตสั สลี ะ” ในท่นี ้ี หมายความวา สง่ิ ทบี่ คุ คลทำ เปนปกติคือบุคคลทำส่ิงใดเปนปกติ สาธนะนี้กลาวถึงการทำท่ีเปนปกติของบุคคลน้ัน ดวย เชน อุ. วา ธมฺมจารี (ผูประพฤตซิ ึ่งธรรมโดยปกต)ิ เวลาตง้ั วิเคราะหจ ะตองเติม 231
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 232 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) คำวา “สเี ลน” เขา มาดว ยวา ธมฺม จรติ สีเลนา-ติ ธมฺมจารี แปลวา (โย ชโน ชนใด) ยอ มประพฤตซิ ง่ึ ธรรม โดยปกติ เหตนุ น้ั (โส ชโน ชนนนั้ ) ชอ่ื วา ธมมฺ จารี (ผูประพฤติ ซึ่งธรรมโดยปกต)ิ . อีกอยางหนึ่ง ในสาธนะน้ีทานเพ่ิม สมาสรูป ตัสสีลสาธนะ เขามาอีก ที่ เรยี กเชนนั้น กเ็ พราะสาธนะนกี้ ลา วถงึ ความทำเปนปกติของบุคคล เวลาต้ังวิเคราะหมี รูปวิเคราะหคลายสมาส เวลาแปลทานใหแปลวา “ผูมี-” เชน อุ. ธมฺมจารี นั้น ถาต้ังวิเคราะหเปน สมาสรูป ตัสสีลสาธนะ ก็ตองตั้งวา ธมฺม จริตุ สีลมสฺสา-ติ [สีล+อสฺส+อิติ] ธมฺมจารี. การประพฤติ ซึ่งธรรม เปนปกติ ของชนน้ัน เหตุนั้น (ชนน้ัน) ชื่อวา ธมฺมาจารี (ผูมีการประพฤติซึ่งธรรมเปนปกติ) กิริยาในรูปนี้ ตอง ประกอบดวย ตุ ปจจัยเสมอ. กัมมสาธนะ สาธนะน้ี เปนชื่อของสิ่งที่ถูกทำ คือ สิ่งใดถูกเขาทำ ก็เปนชื่อของสิ่งนั้น กลาวอยางงายก็คือเปนช่ือของสิ่งใดส่ิงหน่ึงท่ีมีผูทำข้ึน ในสาธนะน้ีกลาวถึงสิ่งท่ีสำเร็จ ขึน้ โดยอาการ ๒ อยา งคือ ตามธรรมชาตอิ ยา ง ๑ บุคคลทำขึ้นอยาง ๑ ท่ีสำเร็จตามธรรมชาตินั้น คือ มิไดมีใครเปนผูทำขึ้น เชน อุ. วา ปโย (เปนที่รัก) ก็หมายถึงวาใครคนใดคนหน่ึงถูกอีกคนหนึ่งรัก เชน บุตรธิดาถูกมารดา บดิ ารกั หรอื มารดาบิดาถกู บุตรธดิ ารัก ฉะนัน้ บุตรธิดาจึงไดช ่ือวา เปนที่รักของมารดา บิดาหรือมารดาบิดาไดชื่อวาเปนท่ีรักของบุตรธิดา. รโส (วิสัยท่ีเปนที่มายินดี) ก็เชน เดยี วกัน, วสิ ัยในท่นี ห้ี มายถึงอารมณ. คำวา ปโ ย เปน ปย ธาตุ ลง อ ปจ จัย แยกรูป ออกตั้งวเิ คราะหว า (ปต า) ปเยติ ตน-ฺ ติ [ต+อิต]ิ ปโย (ปุตฺโต). (บดิ า) ยอมรกั ซึง่ บตุ ร น้นั เหตุนัน้ (บตุ รนั้น) ชอื่ วา ปโ ย เปน ที่รกั ของ (บดิ า). อีก อ.ุ หน่ึง คือ รโส เปน รสฺ ธาตุ ลง อ ปจจยั ต้งั วิ. วา (ชโน) รสติ ตน-ฺ ติ รโส (วสิ โย). (ชน) ยอมยนิ ดี ซงึ่ วิสัยนั้น เหตนุ ัน้ (วสิ ัยนั้น) ชอื่ วา รโส เปน ทย่ี ินดี (ของ ชน). ทัง้ ๒ อ.ุ น้ี เปน กตั ตุรูป กมั มสาธนะ คือตวั สาธนะเปน กรรม สวนรปู ต้งั วเิ คราะห เปนกตั ตวุ าจก ทา นบัญญตั ิใหแปลวา “เปนท-่ี ” 232
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 233 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò สว นกรรมที่สำเรจ็ ข้ึนโดยถูกบคุ คลทำนั้น เชน อุ. วา กจิ จฺ (กรรมอนั เขาพึง ทำ), ทาน (ส่ิงของอันเขาพงึ ให) , คำวา กจิ ฺจ เปน กรฺ ธาตุ ลง รจิ ฺจ ปจจยั แยกรปู ออก ต้ัง วิ.วา กาตพฺพนฺ-ติ [กาตพฺพ+อิติ] กิจฺจ (ย กมฺม กรรมใด) (เตน อันเขา) พึงทำ เหตนุ ัน้ (ต กมมฺ กรรมนนั้ ) ช่ือวา กิจฺจ (อนั เขาพงึ ทำ). อกี อุ. หนงึ่ วา ทาน เปน ทา ธาตุ ลง ยุ ปจจัย แลว แปลงเปน อน แยกรปู ออกต้ัง วิ. วา ทาตพพฺ น-ฺ ติ ทาน. (ย วตฺถุ สิ่งของใด) (เตน อันเขา) พึงให เหตุน้ัน (ต วตถฺ ุ สง่ิ ของนน้ั ) ชอ่ื วา ทาน (อนั เขาพงึ ให) ทง้ั ๒ อ.ุ นี้ เปน กมั มรปู กมั มสาธนะ ลงรอยกนั คอื รปู วเิ คราะหก เ็ ปน กมั มวาจก และสาธนะกเ็ ปน กมั มสาธนะ ทานบัญญัติให แปลวา “อันเขา-” ภาวสาธนะ สาธนะนี้ กลาวถึงอาการคือความมีความเปนเทานั้น ไมกลาวถึง กัตตา (ผูทำ) หรือ กัมม (ผูถูกทำ) กิริยาอาการเหลาน้ันก็เกิดมาจากความทำของนามนาม น่ันเอง กลาวอยางงาย ก็คือ กลาวถึงเฉพาะกิริยาอาการมีการ ยืน เดิน น่ัง นอน เปน ตน ท่ปี รากฏมาจากนามนาม ไมกลาวผทู ำ หรอื ผถู ูกทำ เชน อุ. วา คมน (ความ ไป), าน (ความยืน), นสิ ชฺชา (ความน่ัง), สยน (ความนอน), คำวา คมน เปน คมฺ ธาตุ ลง ยุ ปจจยั แลวแปลงเปน อน แยกรปู ออกต้ัง ว.ิ วา คจฺฉิยเต-ติ คมน (อนั เขา) ยอ มไป เหตุน้ัน ช่ือวา ความไป. าน เปน า ธาตุ ลง ยุ ปจจัย แลวแปลงเปน อน แยกรูปออกตั้ง วิ. วา ติฏ ยเต-ติ าน, (เตน อนั เขา) ยอมยืน เหตนุ ั้น ชื่อวา ความยืน. นสิ ชชฺ า เปน นิ บทหนา สทิ ฺ ธาตุ ในความจม ลง ณฺย ปจ จยั ลบ ณ แหง ณยฺ เสียแลวแปลงท่ีสุดธาตุคือ ทฺ กับ ย เปน ชฺช เปนรูปอิตถีลิงค แยกรูปออกตั้ง วิ. วา นสิ ีทยเต-ติ นสิ ชชฺ า, (เตน อนั เขา) ยอ มนง่ั เหตุนนั้ ช่ือวา ความนั่ง. สยน เปน สี ธาตุ ลง ยุ ปจจยั แลว แปลง ยุ เปน อน พฤทธิ์ อี ที่ สี เปน เอ แลวเอาเปน อย แยกรูปออกตั้ง ว.ิ วา สยเต-ติ สยน (เตน อนั เขา) ยอ มนอน เหตุนน้ั ชอื่ วา ความนอน. 233
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 234 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) สำหรับรปู วิเคราะหใ นภาวสาธนะนี้ ตง้ั ได ๓ วธิ ี คอื :- ใชป ระกอบเปน กริ ยิ าอาขยาต เปน รูปภาววาจก ๑ ใชป ระกอบเปน นามกิตก เปนรปู ภาวสาธนะ ๑ ใชประกอบเปน กริ ยิ ากติ ก เปน รูปภาววาจก ๑ สำหรับรูปวิเคราะห ท่ีเปนกิริยาอาขยาต พึงดูตัวอยางขางตน สวนรูป วิเคราะหท่ีใชประกอบเปนนามกิตก มักใชคงรูปตามเดิม เชน คมน ต้ัง วิ. วา คมน คมน. ความไป ชือ่ วา คมน (ความไป). าน ตงั้ ว.ิ วา าน าน. ความยนื ช่ือวา าน (ความยืน). นสิ ชฺชา ตั้ง วิ. วา นิสชฺชา นสิ ชชฺ า. ความน่งั ชือ่ วา นสิ ชชฺ า (ความนัง่ ) หรือจะใหประกอบ ยุ ปจจัย ต้ัง วิ. วา นิสีทน นิสชฺชา ดังนี้ก็ได แลวแต จะเหน็ ควร. สยน ตง้ั ว.ิ วา สยน สยน. ความนอน ชื่อวา สยน (ความนอน). รูปวิเคราะหที่ใชเปนกิริยากิตก ก็ใชประกอบปจจัยที่เปนภาววาจก เชน คมน ประกอบ ตพฺพ ต้ัง วิ. วา คนฺตพฺพนฺ-ติ คมน. (เตน อันเขา) พึงไป เหตุน้ัน ชอื่ วา คมน (ความไป). าน ตงั้ ว.ิ วา าตพพฺ น-ฺ ติ าน (เตน อนั เขา) พงึ ยนื เหตนุ นั้ ชอ่ื วา าน (ความยืน). นิสชฺชา ต้ัง วิ. วา นิสีทิตพฺพนฺ-ติ นิสชฺชา (เตน อันเขา) พึงน่ัง เหตุน้ัน ชื่อวา นิสชชฺ า (ความน่ัง). สยน ตงั้ ว.ิ วา สยติ พพฺ น-ฺ ติ สยน (เตน อนั เขา) พงึ นอน เหตนุ น้ั ชอื่ วา สยน (ความนอน). รูปวเิ คราะหที่ใชกริ ยิ ากติ กน้นั มกั ใชประกอบกบั ตพฺพ ปจจัยเปนพ้นื รปู อื่น ไมมีใช. ในสาธนะน้ีรูปและสาธนะลงเปนอันเดียวกัน คือ รูปวิเคราะหกับ สาธนะตางก็เปนภาววาจก ทานบัญญัติใหแปลวา “ความ” ก็ได “การ” ก็ได (เตน อันเขา) ท่ีเติมมาในรูปวิเคราะหที่เปนกิริยาอาขยาตและกิริยากิตกในเวลาแปล นนั้ เพอื่ ใหถ กู ตอ งและครบตามรปู ประโยค เพราะกริ ยิ าภาววาจกจะขาด กตั ตา ท่ีเปน ตติยาวิภัตติ ซึ่งแปลวา “อัน-” หาไดไ ม. 234
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372