เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 35 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ภเชถ ปรุ ิสุตตฺ เม ฯ (ชน) ควรคบ ซง่ึ บรุ ุษสูงสุด ท. ฯ - บอกความกำหนด แปลวา พึง หมายถึง การคาดคะเน คือ คาดหวังวา ถาเปนอยา งน้ัน พึงทำอยางนี้ อุทาหรณ เชน ปุ ฺ เฺ จ ปุริโส กยริ า ฯ ถาวา บรุ ษุ พงึ ทำ ซ่งึ บญุ ไซร ฯ - บอกความรำพึง แปลวา พึง หมายถึง ความดำริตริตรอง นึกคิดในใจของตนเอง อทุ าหรณ เชน ยนนฺ นู าหํ ปพพฺ ชฺเชยฺยํ ฯ ไฉนหนอ (เรา) พึงบวช ฯ ๔. ปโรกขา บอกอดตี กาลไมม กี ำหนด แปลวา แลว หมายถงึ เรอ่ื งราว หรอื การกระทำนนั้ ๆ ลว งไปแลว โดยหากำหนดมไิ ดว า ไดล ว งไปแลว หรอื ทำเสรจ็ แลวเมอื่ ไร อุทาหรณ เชน เตนาห ภควา ฯ ดว ยเหตนุ ้ัน พระผมู ีพระภาค ตรสั แลว (อยา งน้)ี ฯ ๕. หิยัตตนี บอกอดีตกาลต้ังแตวานนี้ แปลวา แลว ถามี อ อยูหนา แปลวา ได – แลว หมายถึง เร่ืองราวหรือการกระทำน้ัน ๆ ลวงไป หรอื ทำเสรจ็ แลว ต้ังแตว านนี้ อุทาหรณ เชน ขโณ โว มา อปุ จฺจคา ฯ ขณะ อยา ไดเ ขาไปลวงแลว ซ่ึงทาน ท. ฯ ๖. อัชชัตตนี บอกอดีตกาลตั้งแตวันน้ี แปลวา แลว ถามี อ อยูหนา แปลวา ได – แลว หมายถึง เร่ืองราวหรือการกระทำนั้น ๆ ลวงไป หรอื ทำเสรจ็ แลวต้งั แตวนั น้ี อทุ าหรณ เชน 35
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 36 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) เถโร คามํ ปณ ฑฺ าย ปาวิสิ ฯ พระเถระ ไดเขา ไปแลว สบู าน เพือ่ ปณฑะ ฯ ๗. ภวิสสันติ บอกอนาคตกาลแหงปจจุบัน แปลวา จัก หมายถึง เร่ืองราวหรือการกระทำน้ัน ๆ อยูขางหนา แตก็จักมาถึงกลายเปน ปจจบุ นั อทุ าหรณ เชน ธมฺมํ สุณิสสฺ าม ฯ (ขา ) จักฟง ซ่ึงธรรม ฯ ๘. กาลาติปตติ บอกอนาคตกาลแหงอดีต แปลวา จัก – แลว ถามี อ อยูหนา แปลวา จักได – แลว หมายถึง กลาวถึงส่ิงลวงไปแลว นำมาสมมตขิ ึ้นใหม แตไมต รงกับความเปน จรงิ อทุ าหรณ เชน โส เจ ยานํ ลภิสฺสา, อคจฺฉสิ สฺ า ฯ ถา วา เขา จกั ไดแ ลว ซึง่ ยานไซร, (เขา) จักไดไปแลว ฯ ขอ สงั เกต วภิ ัตติ เฉพาะหมวดปญ จมีและสัตตมี ไมไ ดบงชดั วา เปน กาลอะไร แตท า นให สงเคราะหเ ขา ในปจจบุ ันกาลใกลอนาคต จงึ จัดเปนปจจบุ ันกาล วิภัตติหมวดสัตตมี มีคำแปลวา “พึง” อยู ๒ อยาง คือ บอกความกำหนด แปลวา พงึ , บอกความรำพงึ กแ็ ปลวา พงึ การจะรไู ดวา “พงึ ” บอกความกำหนด หรือ บอกความรำพึงนนั้ มีขอสงั เกตดังน้ี - ถาในประโยคใด มนี บิ าตบอกปรกิ ปั เชน เจ, สเจ, ยทิ (หากวา , ถาวา , ผิวา) กำกับอยดู ว ย ในประโยคน้ันบอกความกำหนด - ถาในประโยคใดไมมีนิบาตบอกปริกัปอยูดวย ในประโยคน้ันบอกความ รำพึง 36
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 37 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๒. บท ๒.๑ ความหมายของบท ไดม นี กั วชิ าการหลายแขนงใหค วามหมายของคำวา “บท” ไวแ ตกตา งกนั ออกไป ดังน้ี คอื ปท (นปุ.) ปทะ ชื่อของพระนิพพาน, พระนิพพาน. วิ. อริเยหิ ปฏปิ ชชฺ ติ พฺพตฺตา คนตฺ พฺพตตฺ า ปทํ. ปท (นปุ.) มูล, เหตุ, มูลเคา, ตนเง่ือน. วิ. ปชฺชติ ผลเมเตนาติ ปทํ. ปทฺ คตยิ ํ, อ. ปท (นปุ.) ภาค, สวน, สวนเปนเคร่ืองถึง, ธรรมชาติเปนเคร่ืองถึง, เครื่องปองกัน, เคร่ืองรักษา, ความตานทาน, ขอ, ทอน, ตอน, รอย, เทา, ทาง, หนทาง, ฐานะ, สถานะ, คำ, ศพั ท, วัตถุ, พสั ด,ุ สิง่ , สงิ่ ของ, โอกาส, ขอความ. ปทฺ คติย,ํ อ. ปท (ปุ.) เทา, รอยเทา , ทาง, หน (ทาง), หนทาง. ว.ิ ปชชฺ เต เอเตนาตปิ โท. ปทฺ คตยิ ,ํ อ. หมากรกุ อ.ุ อฏ ปท หมากรกุ แถวละ ๘ ตา. ส. ปท. (พจนานุกรม มคธ-ไทย โดย พันตรี ป. หลงสมบุญ สำนักเรียน วัดปากน้ำ จดั พิมพ ๒๕๔๐ หนา ๔๔๓) บท, บท- [บด, บดทะ-] น. ขอความเรื่องหนึ่ง ๆ หรือตอนหนึ่ง ๆ เชน บทท่ี ๑ บทท่ี ๒; กำหนดคำประพันธท่ีลงความตอนหนึ่ง ๆ เชน โคลง ๔ สุภาพ ๔ บาท เปน ๑ บท; คำที่ตัวละครพูด เชน บอกบท; คำประพันธที่เขียนข้ึนสำหรับเลนละคร มีทั้งบทรองและบทเจรจา เชน บอกบท เขยี นบท; คราว, ตอน, ในคำเชน บทจะทำกท็ ำกนั ใหญ บทจะไปก็ไปเฉย ๆ บทจะตายก็ตายงายเหลือเกิน; (แบบ) เทา, รอยเทา , เชน จตุบท, ในบทกลอนใชประสมกับคำอ่นื ๆ หมายความวา เทา คอื บทบงกช บทบงสุ บทมาลย บทรชั บทศรี บทเรศ, (ดคู ำแปล ทค่ี ำนน้ั ๆ). (ป. ปท). ฯลฯ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ) 37
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 38 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๒.๒ ประเภทของบท ในวภิ ตั ติท้งั ๘ หมวดนน้ั แบง เปน ๒ บท คือ ๑. ปรสั สบท : บทเพอื่ ผอู ืน่ ๒. อัตตโนบท : บทเพอ่ื ตน ปรสั สบท หมายความวา ศัพทกริ ิยาท่ีประกอบดว ยวิภัตติในบทนี้ เปนกิรยิ า ของประธาน ท่สี ง ผลของการกระทำไปตกแกผ อู ืน่ คือ ผอู ื่นเปนผรู ับผลของการกระทำ ทีต่ ัวประธานกระทำขึน้ นน้ั อทุ าหรณ เชน ก. ประโยคกตั ตวุ าจก (ชโน) กาเยน กมมฺ กโรติ ฯ (ชน) ยอมทำ ซึง่ การงาน ดว ยกาย ฯ ขอ ความนี้ ชโน (ชน) เปน ประธานและเปน ผทู ำในกริ ยิ า คอื กโรติ (ยอ มทำ) กมมฺ (ซ่งึ การงาน) เปน กรรม คือ ถูกชนทำ ผลของการทำของชนน้ัน ไปตกอยแู กก าร งาน คือชนเปนผูทำการงาน หาตกอยแู กชนซึง่ เปน ผทู ำไม ฉะน้ัน ความทำของชนนัน้ จึงตกอยแู กก ารงานซึ่งเปนผอู ่ืนจากตน ข. ประโยคเหตุกตั ตวุ าจก สามิโก สูท โอทน ปาจาเปติ ฯ นาย ยงั พอ ครัว ใหหงุ อยู ซ่งึ ขาวสกุ ฯ ขอความน้ี สามิโก (นาย) เปนผูทำใน ปาจาเปติ (ใหหุง) ปาจาเปติ สงผล ไปยัง โอทน (ขาวสุก) เปนอันถือเอาความวา นายใหพอครัวหุงขาวสุกไดรับผลของ ปาจาเปติ คอื ถกู หงุ สวน สามิโก เปนแตผ กู อใหเ กิดผล ไมใชผถู ูกหุงโดยตรง ฉะนั้น ปรัสสบท โดยมากทานจึงบัญญัติไวเพื่อเปนเคร่ืองหมายใหรูกิริยาที่ เปน กัตตุวาจาก และ เหตกุ ัตตุวาจก 38
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 39 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò อัตตโนบท หมายความวา ศัพทกิริยาที่ประกอบดวยวิภัตติในบทนี้ เปน กริ ยิ าของประธานทส่ี ง ผลของการกระทำใหต กแกต นโดยตรง คอื ตนเองซง่ึ เปน ประธาน เปนผูรับผลของการกระทำดวยตนเอง อทุ าหรณ เชน ก. ประโยคกมั มวาจก สูเทน โอทโน ปจิยเต ฯ ขา วสุก อนั พอ ครัว หุงอยู ฯ ขอความน้ี โอทโน (ขาวสุก) เปนตัวประธาน ไดรับผลของ ปจิยเต (หุงอยู) โดยตรง สว น สูเทน เปน ผูท ำใหเ กิดผลคือหุง ผูถูกหุง คอื โอทโน จงึ ไดร บั ผลคอื ถูกหุง ดว ยตนเอง ข. ประโยคเหตุกมั มวาจก สามิเกน สูเทน โอทโน ปาจาปย เต ฯ ขาวสุก อันนายยงั พอครวั ใหหงุ อยู ฯ ขอ ความน้กี ็เชน เดยี วกนั โอทโน ซึ่งเปนตัวประธานไดรับผลคอื ถูกหุงดว ยตนเอง สว นภาววาจกไมต องกลา วถงึ เพราะเปน ธาตไุ มมกี รรม ๒.๓ ประโยชนของบท บทมีประโยชน คือ เปนเคร่ืองหมายบอกใหรูวาจก ดังท่ีกำหนดไวในสวนท่ี เปนไปโดยมาก ดงั นี้ :- กิริยาศัพทใด ประกอบดวยวิภัตติฝายปรัสสบท กิริยาศัพทนั้นเปนได ๒ วาจก คือ กตั ตุวาจก และเหตกุ ัตตวุ าจก กิริยาศัพทใด ประกอบดวยวิภัตติฝายอัตตโนบท กิริยาศัพทน้ันเปนได ๓ วาจก คือ กมั มวาจก ภาววาจก และเหตุกัมมวาจก 39
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 40 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) อนง่ึ หลกั เกณฑขางตนนี้ ถือเอาสว นทเี่ ปนไปโดยมาก แตจะนิยมแนนอนลง ไปทีเดียวไมได ถาจะใหแนนอนตองอาศัยปจจัยดวย ทั้งน้ี เพราะในบางกรณีไดมีขอ ยกเวนอยบู า ง ดงั น้ี - ในประโยคกัตตวุ าจก ใชว ภิ ัตตฝิ า ยอัตตโนบทก็มี เชน ปยโต ชายเต ภย ฯ ความกลวั ยอมเกิด จากของท่รี กั ฯ - ประโยคกัมมวาจก ใชวภิ ตั ติฝา ยปรัสสบทก็มี เชน สทโิ ส เม น วิชฺชติ ฯ คนเชน กับดวยเรา (อันใคร ๆ) ยอมหาไมไ ด ฯ ๓. วจนะ ๓.๑ ความหมายของวจนะ วจนะ แปลวา คำพูด, คำอันบุคคลกลาว หรือคำพูดอันเปนเครื่องแสดงให ทราบถึงจำนวนคน สงิ่ ของ วามีจำนวนมากนอ ยเพียงใด แตในท่ีน้ี วจนะอาขยาต หมายถึง คำพูดท่ีใชประกอบกิริยา เพื่อเปน เครอ่ื งแสดงใหรจู ำนวนของประธาน ๓.๒ ประเภทของวจนะ วจนะ แบง ออกเปน ๒ ประเภท คอื ๑. เอกวจนะ คำพดู ถึงของสิง่ เดยี ว ๒. พหวุ จนะ คำพดู ถึงของหลายสง่ิ วจนะทงั้ ๒ นี้ ตองหมายรดู วยวภิ ัตตทิ ง้ั ส้ิน ๓.๓ ความแตกตา งระหวางวจนะนามและวจนะอาขยาต วจนะนาม ใชสำหรับประกอบนาม เพ่ือเปน เคร่ืองแสดงหรือบอกจำนวนของ นามใหร วู า มากหรือนอ ย 40
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 41 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò วจนะอาขยาต ใชสำหรับประกอบกิริยา เพื่อเปนเคร่ืองแสดงใหรูวา กิริยา บทนี้ เปนกิรยิ าของบทประธานที่มจี ำนวนมากหรอื นอ ย ๓.๔ วธิ ีใชวจนะ วจนะอาขยาตน้ี มีหลกั การใช ดังนี้ :- ถาศัพทนามที่ทำหนาท่ีเปนบทประธานในประโยคเปนเอกวจนะ กิริยาศัพท ก็ตอ งประกอบดว ยวภิ ตั ตเิ ปนเอกวจนะตาม ใหม ีวจนะเปนอนั เดียวกนั เชน ภิกขฺ ุ ธมฺม เทเสติ ฯ ภิกษุ แสดงอยู ซึง่ ธรรม ฯ ถาศัพทนามที่ทำหนาที่เปนประธานในประโยคเปนพหุวจนะ กิริยาศัพทก็ ตองประกอบดว ยวิภตั ตเิ ปน พหุวจนะตาม ใหม วี จนะเปน อันเดียวกนั เชน ภกิ ขฺ ู นครํ ภกิ ฺขาย ปวิสนฺติ ฯ ภิกษุ ท. ยอมเขาไป สพู ระนคร เพ่อื ภกิ ษา ฯ ขอ สังเกต ถา ศพั ทน ามทที่ ำหนา ทเ่ี ปน บทประธานในประโยค เปน เอกวจนะหลาย ๆ บท ตง้ั แต ๒ บทขนึ้ ไป และมี จ ศพั ท ทแี่ ปลวา “ดว ย, และ” ควบอยู ตอ งประกอบกริ ิยาให เปนพหุวจนะเสมอ เพราะ จ ศพั ท เปน ศพั ททแ่ี สดงจำนวนรวม เชน เทสนาวสาเน อุปาสโก จ สา จ อติ ถฺ ี โสตาปตฺติผเล ปติฏหึสุ ฯ ในกาลเปนท่ีจบลงแหงเทศนา อุบาสกดวย หญิงนั้นดวย ดำรงอยูแลว ในโสดาปตตผิ ล ฯ นี้หมายความรวมท้ัง ๒ คน คือ อุบาสกและหญิงนั้น จึงตองใชกิริยาเปน พหวุ จนะ 41
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 42 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) สว นศพั ทน ามทท่ี ำหนา ทเ่ี ปน บทประธานในประโยค เปน เอกวจนะหลาย ๆ บท ตง้ั แต ๒ บทข้นึ ไป และมี วา ศัพท ท่ีแปลวา หรือ ควบอยดู ว ย คงประกอบกิรยิ าศัพท เปน เอกวจนะ เชน ภิกฺขุ ปเนว อทุ ฺทิสสฺ ราชา วา ราชโภคฺโว วา พรฺ าหมฺ โณ วา คหปตโิ ก วา ทูเตน จีวรเจตาปน ปหิเณยฺย ฯ พระราชา หรอื ราชอมาตย พราหมณ หรือ คฤหบดี พึงสง ซ่งึ ทรัพยสำหรับ จา ยจีวรไป ดวยทตู เจาะจง ภิกษุ ฯ นี้มิไดหมายความรวม แตหมายคนใดคนหนึ่ง ในคนท่ีกลาวถึงเหลาน้ัน จึงตอ งใชก ริ ยิ าเปนเอกวจนะ กิรยิ าศพั ทท่ตี ายตัว มกี ริ ยิ าศพั ทบ างตวั ทค่ี งรปู ตายตวั เปน เอกวจนะอยเู สมอ ไมม เี ปลย่ี นแปลง ถึง แมตัวประธานนั้นจะเปนพหุวจนะก็ตาม กิริยาศัพทนี้ไดแก อตฺถิ (มีอยู) และ นตฺถิ (ยอมไมม)ี ซง่ึ เปน พวก อสฺ ธาตปุ ระกอบดว ย ติ วิภตั ติ เอกวจนะ แปลง ติ เปน ตถฺ ิ จึงสำเร็จรูปเปน อตฺถิ สวน นตฺถิ น้ัน ตางกันแตเพียงเพ่ิม น ศัพทเขามาเพื่อเปน คำปฏิเสธเทาน้ัน ๒ กิริยาศัพทนี้ ใชไดสำหรับตัวประธาน ท้ังท่ีเปน เอกวจนะ และ พหวุ จนะ ท่ใี ชเ ปน พหวุ จนะ เชน เย สตตฺ า สฺ โิ น อตถฺ ิ ฯ สัตวทัง้ หลายเหลาใด เปน ผมู สี ัญญามอี ยู ฯ ปุตตฺ ามตถฺ ิ ฯ (ตัดบทเปน ปตุ ตฺ า - เม - อตฺถ)ิ บตุ รทงั้ หลาย ของเรา มอี ยู ฯ สงฺขารา สสสฺ ตา นตฺถิ ฯ สังขารทง้ั หลาย เปน สภาพเท่ยี ง ยอ มไมมี ฯ 42
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 43 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๔. บรุ ษุ ๔.๑ ความหมายของบรุ ษุ บุรุษ หมายถึง ผูชาย, เพศชาย คูกับสตรี ใชในลักษณะท่ีสุภาพ, คำบอก ผูพูด เรียกวา บุรุษที่ ๑, คำบอกผูท่ีพูดดวย เรียกวา บุรุษท่ี ๒, คำบอกผูที่พูดถึง เรยี กวา บุรษุ ท่ี ๓ (ความหมายของบรุ ษุ ในภาษาไทย) ปรุ ิสะ หมายถงึ บุรุษผชู าย สรปุ บรุ ษุ ในท่นี ีห้ มายถงึ เครื่องหมายสำหรบั แบงฝายบุคคลในวงสนทนา ๔.๒ ประเภทของบรุ ษุ ในวภิ ตั ตอิ าขยาต ทา นจัดบรุ ษุ ไวเปน ๓ คอื ๑. ปฐมบรุ ุษ หมายถึง บุคคลท่ีเราพดู ถึง ภาษาบาลีใช ต ศพั ท (เขา) และ นามนามทัว่ ไป ๒. มธั ยมบรุ ุษ หมายถึง บุคคลผูพดู กับเรา หรือผทู ่ีเราพูดดวย ภาษาบาลี ใช ตมุ ฺห ศพั ท (ทาน) ๓. อตุ ตมบรุ ษุ หมายถงึ ผพู ดู คอื ตวั เราเอง ภาษาบาลใี ช อมหฺ ศพั ท (เรา) (นีเ้ ปนความหมายของบุรุษในภาษาบาล)ี ๔.๓ ความแตกตางระหวา งบุรษุ นามกับบรุ ษุ อาขยาต บุรุษในนาม ใชเปนคำแทนชื่อของคน สัตว ท่ี สิ่งของ ซึ่งออกชื่อมาแลว ขางตน เพ่ือมิใหซ้ำซาก ซ่ึงมิไดจำกัดวิภัตติ โดยจะเปนวิภัตติใดวิภัตติหน่ึงก็ได ในวิภตั ตนิ ามทัง้ ๗ ดังตวั อยาง เชน เสฏ ตสฺสา คพภฺ ปรหิ ารํ อทาสิ ฯ เศรษฐี ไดใ หแ ลว ซึง่ เครือ่ งบริหารครรภ แกภรรยา นั้น ฯ ตสฺส เต อลาภา ฯ มิใชล าภท้งั หลาย ของทาน นนั้ ฯ อาจริโย หิ เอตสสฺ วฑุ ฒฺ ึ อาสสึ ติ ฯ เพราะวา อาจารย ยอมหวัง ซึ่งความเจริญ แกศ ษิ ย น่นั ฯ 43
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 44 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) สวนบุรุษในอาขยาต จำกัดใหใชไดเฉพาะแตที่เปนตัวประธานของ กิริยา คือเปนปฐมาวิภัตติเทาน้ัน วิภัตติอ่ืนหาใชไดไม นอกจากกิริยาบางตัวซึ่งเปน พวกภาววาจก ไมมีตวั ประธาน มแี ตต ัวกัตตาซ่ึงใชเ ปน ตติยาวภิ ตั ติเทา นัน้ ดังตัวอยาง เชน ประโยคกัตตวุ าจก :- ตฺวํ คจฺฉสิ ฯ อ.ทาน ยอ มไป ฯ ประโยคกมั มวาจก :- อิทํ กมมฺ ํ มยา กรยิ เต ฯ อ.กรรม น้ี อนั เรา ทำอยู ฯ ประโยคเหตุกัตตุวาจก :- อหํ มหนฺตํ สกกฺ ารํ กาเรสึ ฯ อ.เรา ยงั บุคคล ใหกระทำแลว ซ่ึงสักการะ อนั ใหญ ฯ ประโยคเหตุกมั มวาจก :- มยา สิสฺเสน สิปปฺ สิกขฺ าปยเต ฯ อ.ศลิ ปะ อันเรา ยังศิษย ใหศึกษาอยู ฯ ๔.๔ วธิ ใี ชบ ุรษุ กิริยาศัพทท่ีประกอบดวยวิภัตติกับตัวประธาน นอกจากจะตองมีวจนะเสมอ กนั แลว ยังตองมีบุรุษตรงกันดวย คอื ถา นามนาม หรือปรุ ิสสพั พนามใด เปนประธาน ตองใชกิริยาประกอบวิภัตติใหถูกตองตามนามนาม หรือปุริสสัพพนามนั้น จะตางบุรุษ กันไมไ ด ตัวอยาง เชน ชโน ยาติ - ชนไป โส ยาติ - เขาไป 44
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 45 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ตฺวํ ยาสิ - เจาไป อหํ ยามิ - ขา ไป ๔.๕ วธิ ีสงั เกตบรุ ุษ อน่ึง ในเวลาพูดหรือเขียนหนังสือ แมจะไมออกช่ือปุริสสัพพนาม ใชแต วิภัตติกิริยาใหถูกตองตามบุรุษที่ตนประสงคจะออกชื่อก็เปนอันเขาใจกันไดเหมือนกัน เหมอื นคำวา เอหิ (เจา ) จงมา ถึงจะไมอ อกชอื่ ตฺวํ ก็รูไ ด เพราะ หิ วภิ ัตติ เปน ปญจมี เอกวจนะ มัธยมบุรุษ เมื่อเปนเชนนี้ก็สองความใหเห็นวาเปนกิริยาของ ตฺวํ ซ่ึงเปน มัธยมบุรุษ เอกวจนะ แมคำวา ปุ ฺ กริสสฺ าม (ขา ท.) จกั ทำ ซึง่ บุญ ถึงจะไมอ อกชอ่ื มยํ กร็ ูไ ด โดยนยั ดงั กลา วแลว นัน้ วจนะแสดงความเคารพ ในการพูดหรือเขียนหนังสือท่ีแสดงความเคารพตอผูที่สูงกวาตน ซ่ึงเปน ผพู ดู ดว ย คือ ผนู อยพูดกับผใู หญ ปกตมิ กั นยิ มใชมัธยมบุรุษ พหุวจนะ ถึงแมว าผูพ ดู ดว ยจะเปนคนเดยี วกต็ าม ดังตวั อยา งประโยคบาลตี อไปนี้ ภิกษทุ ลู พระราชา ตํ ตมุ ฺหากํ วิชติ า นหี รถ ฯ ขอพระองค ท. จงนำเขาออกจากแวนแควน ของพระองค ท. ฯ พระราชาตรสั กับภกิ ษุ กเถถ ภนฺเต ฯ ทานผเู จรญิ ขอทา น ท. จงบอกเถดิ ฯ สว นวจนะของบรุ ษุ คอื ปฐมบรุ ษุ และอตุ ตมบรุ ษุ ไมม ที นี่ ยิ มใช ถา คนเดยี วก็ คงเปน เอกวจนะ ถา สองคนขึ้นไปก็คงเปนพหวุ จนะ ตามเดิม 45
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 46 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò แบบประเมนิ ผลตนเองกอ นเรยี น หนวยที่ ๓ วตั ถปุ ระสงค เพอื่ ประเมนิ ความรเู ดมิ ของนกั เรยี นเกย่ี วกบั เรอ่ื ง กาล บท วจนะ บรุ ษุ คำสัง่ ใหนักเรียนอานคำถาม แลววงกลมลอมรอบขอคำตอบท่ีถูกท่ีสุด เพียงขอเดยี ว ๑. ในอาขยาตแบงกาลโดยยอไวเทา ไร ? ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๖ ๒. คำวา “กาล” หมายถงึ อะไร ? ก. เวลา ข. สถานท่ี ค. ตาย ง. คำประพนั ธ ๓. ในอาขยาตแบง กาลโดยพิสดารไวเ ทา ไร ? ก. ๓ ข. ๖ ค. ๘ ง. ๙ ๔. วิภตั ติหมวดวัตตมานา บอกกาลอะไร ? ก. ปจ จบุ นั ข. อดตี ลวงแลววันน้ี ค. อนาคตของปจจบุ ัน ง. อนาคตของอดีต ๕. วภิ ัตตอิ าขยาตหมวดใด ไมบอกอดตี กาล ? ก. ปโรกขา ข. หยิ ตั ตนี ค. อชั ชัตตนี ง. กาลาติปตติ ๖. วภิ ตั ติหมวดภวสิ สนั ติ มีคำแปลประจำหมวดวาอะไร ? ก. จะ ข. แลว ค. จกั ง. จัก…แลว ๗. คำวา “ควร” เปน คำแปลของวิภตั ตอิ าขยาตหมวดใด ? ก. วัตตมานา ข. สัตตมี ค. อชั ชตั ตนี ง. ภวสิ สนั ติ เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 46
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 47 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò ๘. คำวา “จง, เถิด, ขอ…จง” จัดเปนกาลอะไร ? ก. ปจ จุบันใกลอนาคต ข. อดตี ลวงแลว วนั น้ี ค. อนาคตแหงปจจุบัน ง. อนาคตแหงอดตี ๙. วภิ ตั ตอิ าขยาตหมวดกาลาตปิ ต ติ ถามี อ อาคม อยูห นา แปลวาอะไร ? ก. ขอ…จง ข. ได… แลว ค. จัก…แลว ง. จกั ได…แลว ๑๐. วิภัตติอาขยาตหมวดสัตตมีบอกความกำหนด แปลวา “พึง” มีขอสังเกต อยางไร ? ก. ไมมนี บิ าตกำกับไว ข. มีนบิ าตคอื เจ, ยท,ิ สเจ อยูด ว ย ค. มีนบิ าตคอื อปเฺ ปว นาม อยดู วย ง. มีนบิ าตคือ ยนนฺ ูน อยดู ว ย ๑๑. วภิ ัตตฝิ า ยปรัสสบท เปน เคร่ืองหมายใหรูว าจกอะไร ? ก. กัตตุวาจก ข. กัมมวาจก ค. ภาววาจก ง. เหตกุ ัมมวาจก ๑๒. มิ ปญจมีวิภัตติ ข้นึ ประธานวา อะไร ? ก. ตฺวํ ข. ตมุ เฺ ห ค. อหํ ง. มยํ ๑๓. อุ อัชชตั ตนวี ภิ ัตติ ข้ึนประธานวา อะไร ? ก. โส ข. เต ค. ตวฺ ํ ง. ตมุ เฺ ห ๑๔. บรุ ษุ ในอาขยาต แบงเปน เทา ไร ? ก. ๒ ข. ๓ ค. ๔ ง. ๕ ๑๕. สสฺ สิ ภวิสสนั ตวิ ิภตั ติ เปน บรุ ษุ และวจนะอะไร ? ก. ประถมบรุ ุษ เอกวจนะ ข. มัธยมบุรษุ เอกวจนะ ค. มธั ยมบุรษุ พหวุ จนะ ง. อุตตมบรุ ษุ เอกวจนะ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 47
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 48 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò แบบประเมินผลตนเองหลงั เรียน หนว ยที่ ๓ จดุ ประสงค เพื่อประเมินผลความกาวหนาของนักเรียนเก่ียวกับเร่ือง กาล บท คำสงั่ วจนะ บรุ ษุ ใหนักเรียนอานคำถาม แลววงกลมลอมรอบขอคำตอบท่ีถูกที่สุด เพยี งขอ เดยี ว ๑. ในอาขยาตแบงกาลโดยยอไวเทา ไร ? ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๖ ๒. คำวา “กาล” หมายถึงอะไร ? ก. ตาย ข. คำประพนั ธ ค. เวลา ง. สถานที่ ๓. ในอาขยาตแบงกาลโดยพสิ ดารไวเทา ไร ? ก. ๒ ข. ๔ ค. ๖ ง. ๘ ๔. วิภตั ตหิ มวดวัตตมานา บอกกาลอะไร ? ก. อนาคตของปจจุบัน ข. อนาคตของอดีต ค. อดตี ลว งแลววันน้ี ง. ปจจบุ ัน ๕. วิภตั ติอาขยาตหมวดใด ไมบอกอดีตกาล ? ก. สัตตมี ข. ปโรกขา ค. หยิ ตั ตนี ง. อัชชตั ตนี ๖. วิภัตตหิ มวดภวิสสันติ มคี ำแปลประจำหมวดวา อะไร ? ก. จกั ข. แลว ค. จกั …แลว ง. จะ ๗. คำวา “ควร” เปนคำแปลของวิภัตตอิ าขยาตหมวดใด ? ก. สตั ตมี ข. อชั ชตั ตนี ค. ภวสิ สนั ติ ง. ปญจมี เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 48
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 49 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๘. คำวา “จง, เถดิ , ขอ…จง” จัดเปนกาลอะไร ? ก. อดีตลว งแลววันนี้ ข. ปจจุบนั ใกลอนาคต ค. อนาคตแหง อดตี ง. อนาคตแหงปจจุบัน ๙. วภิ ตั ตอิ าขยาตหมวดกาลาติปต ติ ถามี อ อาคม อยูหนา แปลวา อะไร ? ก. ได…แลว ข. จักได…แลว ค. ขอ…จง ง. จัก…แลว ๑๐. วิภัตติอาขยาตหมวดสัตตมีบอกความกำหนด แปลวา “พึง” มีขอสังเกต อยา งไร ? ก. ไมมนี ิบาตกำกับไว ข. มนี ิบาตคือ อปฺเปว นาม อยดู วย ค. มีนบิ าตคอื เจ, ยทิ, สเจ อยูด ว ย ง. มีนิบาตคอื ยนนฺ นู อยดู ว ย ๑๑. วิภตั ติฝา ยปรสั สบท เปนเครอ่ื งหมายใหรวู าจกอะไร ? ก. เหตุกัมมวาจก ข. ภาววาจก ค. กมั มวาจก ง. กัตตวุ าจก ๑๒. มิ ปญ จมวี ิภัตติ ข้ึนประธานวา อะไร ? ก. อหํ ข. มยํ ค. ตวฺ ํ ง. ตุมเฺ ห ๑๓. อุ อชั ชตั ตนวี ภิ ตั ติ ขึ้นประธานวาอะไร ? ก. โส ข. ตฺวํ ค. เต ง. ตมุ ฺเห ๑๔. บรุ ษุ ในอาขยาต แบงเปน เทา ไร ? ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๖ ๑๕. สสฺ สิ ภวิสสันติวิภตั ติ เปน บรุ ษุ และวจนะอะไร ? ก. ประถมบรุ ษุ เอกวจนะ ข. มัธยมบรุ ุษ พหวุ จนะ ค. อตุ ตมบุรุษ เอกวจนะ ง. มัธยมบุรษุ เอกวจนะ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 49
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 50 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เฉลยแบบประเมินผล หนวยที่ ๓ ขอ กอนเรียน หลงั เรยี น ๑. ก ก ๒. ก ค ๓. ค ง ๔. ก ง ๕. ง ก ๖. ค ก ๗. ข ก ๘. ก ข ๙. ง ข ๑๐. ข ค ๑๑. ก ง ๑๒. ค ก ๑๓. ข ค ๑๔. ข ก ๑๕. ข ง เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 50
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 51 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò แผนการสอนบาลไี วยากรณ หนวยที่ ๔ เร่ือง ธาตุ เวลาทำการสอน ๓ คาบ สาระสำคัญ บรรดาศัพทน ามและกิริยาท่ปี รากฏอยูในปกรณตาง ๆ นั้น กอนท่ีจะสำเร็จรูป มาเปนศัพทท่ีสมบูรณ เพ่ือจะนำไปใชในที่น้ัน ๆ ลวนแตมีมูลรากของศัพทมากอน ทง้ั สน้ิ ซึ่งมลู รากของศพั ทด งั กลา วน้ี ทางภาษาบาลีเรียกวา “ธาตุ” จุดประสงค ๑. เพือ่ ใหนกั เรียนรแู ละเขา ใจความหมายของธาตุ ๒. เพอ่ื ใหนักเรียนรูวธิ ีใชและจำแนกแบงประเภทของธาตไุ ด ๓. เพอ่ื ใหนกั เรียนนำธาตุไปใชไดถูกตอง เน้อื หา ๑. ธาตุ ๒. ประเภทของธาตโุ ดยยอ และพสิ ดาร ๓. การจัดวาจกในธาตุ ๔. ศัพทพเิ ศษสำหรบั นำหนาธาตุ ๕. การใชอปุ สัคนำหนาธาตุ 51
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 52 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) กิจกรรม ๑. ประเมินผลกอนเรยี น ๒. ใหนกั เรียนทอ งธาตุ ๓. ครนู ำเขา สูบทเรยี น และอธบิ ายเนื้อหา ๔. บตั รคำ ๕. ครูสรปุ เนอื้ หาทัง้ หมด ๖. ประเมนิ ผลหลงั เรียน ๗. ใบงาน - ใหน กั เรยี นแจกธาตแุ ละบอกชนดิ ของธาตทุ กี่ ำหนดใหเ ปน การบา น ๘. กจิ กรรมเสนอแนะ - ใหนกั เรียนทองแมแบบใหได - ใหนักเรียนแจกธาตแุ ละบอกชนิดของธาตุ (สัง่ เปน การบา นดว ย) สือ่ การสอน ๑. ตำราทีใ่ ชประกอบการเรียน-การสอน ๑.๑ หนงั สือพระไตรปฎ ก ๑.๒ หนังสอื พจนานุกรมมคธ-ไทย โดย พนั ตรี ป. หลงสมบญุ สำนกั เรยี น วดั ปากนำ้ ๑.๓ หนังสอื พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๔ หนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท โดย พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต) ๑.๕ หนงั สอื คมู อื บาลไี วยากรณ นพิ นธโ ดยสมเดจ็ พระมหาสมณเจา ฯ ๑.๖ หนงั สอื ปาลทิ เทศ ของสำนักเรยี นวัดปากนำ้ ๑.๗ คัมภรี อภิธานปั ปทปี ก า ๑.๘ หนังสอื พจนานุกรมธาตุ ภาษาบาลี 52
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 53 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๒. อปุ กรณท ี่ควรมีประจำหองเรยี น ๒.๑ กระดานดำ-แปรงลบกระดาน-ชอลก หรอื กระดานไวทบอรด ๒.๒ เครือ่ งฉายขามศีรษะ (Over-head) ๒.๓ คอมพวิ เตอร – โปรเจคเตอร ๓. บตั รคำ ๔. ใบงาน วิธวี ัดผล-ประเมนิ ผล ๑. สอบถามความเขาใจ ๒. สังเกตพฤติกรรมการมีสว นรวมในกจิ กรรม ๓. สังเกตความกาวหนาดา นพฤติกรรมการเรียนรูของผูเ รยี น ๔. ตรวจใบงาน ๕. ตรวจแบบประเมนิ ผลกอ นเรยี น-หลงั เรียน 53
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 54 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ธาตุ บรรดาสรรพสิ่งตางๆ ตลอดถึงคนและสัตว ลวนตองมีส่ิงท่ีเปนมูลเดิม คือตอง ประกอบดวยส่ิงมูลรากประชุมกัน จึงเกิดเปนรูปรางขึ้นฉันใด แมกิริยาอาขยาตก็ ฉันนั้นที่จะสำเร็จเปนรูปขึ้น ลวนมีศัพทท่ีเปนมูลรากเปนตัวด้ังเดิม กลาวโดยท่ัวไป บรรดาศัพทกิริยาทั้งหมด ลวนตองมีศัพทท่ีเปนมูลรากเปนแดนเกิดกอนทั้งน้ัน ถึงแม ศัพทนามก็เชนกัน แตโดยท่ีศัพทนามเราใชกันมาจนชินเสียแลว จึงไมจำเปนตองคน ถึงศัพทที่เปนมูลราก ความจริงก็คงมาจากศัพทท่ีเปนมูลรากเชนเดียวกับกิริยา ถา ตองการทราบละเอียด ก็อาจคนหาศัพทท่ีเปนมูลรากได เชน เดยี วกนั เครอื่ งปรงุ อยา ง อน่ื มวี ภิ ตั ตเิ ปน ตน ทจี่ ะใชป ระกอบได ลว นตอ งประกอบที่ศัพทที่เปนมูลราก ถาขาด ศัพทที่เปนมูลรากเสียอยางเดียว เคร่ืองปรุงตางๆ ก็ไรป ระโยชน เพราะไมม ตี วั ตงั้ ให ประกอบ เมอื่ มศี พั ทท เ่ี ปน มลู ราก เครอ่ื งปรงุ ตา งๆ จึงเขาประกอบได เชนคำวา กโรต,ิ วทติ เปน ตน ศัพทที่เปนมูลรากเหลาน้ีเอง นักปราชญทางดานภาษาบาลีบัญญัติเรียกวา “ธาตุ” ซ่ึงธาตุน้ีเอง เมื่อจะนำไปใช ก็ตองประกอบดวย วิภัตติ และปจจัย ตอน้ัน วภิ ัตติ และปจ จัย จงึ เปน เครอ่ื งสองใหทราบถึง กาล บท วจนะ บรุ ษุ และวาจก อีกช้ัน หนงึ่ ๑. ความหมายของธาตุ คำวา “ธาตุ” น้ัน ไดมีนักวิชาการหลายแขนงใหความหมายไวแตกตางกัน ออกไป ดงั ตอไปนี้ คอื ธาตุ (วิ.) ผทู รงไว. ธา ธารเณ, ต.ุ ผตู ้งั ไว, ผูดำรงอยู. า คตินิวุตตฺ ิย,ํ ตุ. แปลง า เปน ธา. ธาตุ (ปุ.) พระธาดา คอื พระพรหม (พระผทู รงไว พระผูส รา ง ตามหลักของ ศาสนาพราหมณ). ธาตุ (ป.ุ ,อติ .) แร, แรต างๆ, กระดูก, ธาตุ (ทาด) มีความหมาย ดังนี้ คือ.- 54
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 55 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๑. สิง่ ทม่ี อี ยูตามธรรมดา จะแยกตอ ไปอกี ไมได ๒. สงิ่ ทเ่ี ปน ตน เดมิ เปน มลู เดมิ เปน รากของคำ เชน คมฺ ธาตุ ๓. กระดกู ของคนธรรมดาทเ่ี ผาแลว ไดใ นคำวา แปรธาตุ และ ๔. กระดูกของทานผูสิ้นกิเลสาสวะแลว คือพระสัมมาสมั พทุ ธเจา และพระอรหันตสาวก ไดในคำวา ธาตุเจดีย กระดูกของ คนธรรมดาไมบ รรจุเจดยี . คำน้ีเมื่อนำมาใชในภาษาไทยแลว จะมีคำนำหนากระดูกของ พระปจเจกพุทธเจาและพระอรหันตสาวก ใชวา พระธาตุ กระดูกของพระพุทธเจา ใชวา พระบรมธาตุ หรือพระบรม- สารีริกธาตุ. กระดูกของทานผูท่ียังไมส้ินกิเลสเปนสมุจเฉท- ปหาน ไมม ีสิทธ์ใิ ชคำวา พระธาต.ุ (พจนานกุ รม มคธ-ไทย โดย พนั ตรี ป. หลงสมบญุ สำนกั เรยี น วดั ปากน้ำ จดั พิมพ ๒๕๔๐ หนา ๓๖๖) ธาตุ ๑, ธาตุ- [ทาด, ทาตุ-, ทาดตุ-] น. ส่ิงที่ถือวาเปนสวนสำคัญที่คุมกัน เปนรางของสิ่งท้ังหลาย โดยท่ัว ๆ ไปเชื่อวามี ๔ ธาตุ ไดแก ธาตุดนิ ธาตนุ ำ้ ธาตไุ ฟ ธาตลุ ม แตก ็อาจมีธาตอุ น่ื ๆ อกี เชน อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ธาตุไม ธาตุเหล็ก. (ป.). ธาตุโขภ [ทาตุโขบ] น. ความกำเริบของธาตุ ไดแก ธาตุท้ัง ๔ ใน รางกายไมป กติ มอี าหารเสียเปน ตน . (ป.). ธาตเุ บา [ทาด-] ว. ทกี่ นิ ยาระบายออ น ๆ กถ็ า ย. ธาตหุ นกั [ทาด-] ว. ทต่ี องกินยา ระบายมาก ๆ จงึ จะถา ย. ธาตุ ๒ [ทาด, ทาตุ-] น. กระดูกของพระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา และ พระอรหันต โดยทั่ว ๆ ไป เรียกรวม ๆ วา พระธาตุ, ถา เปน กระดกู ของพระพทุ ธเจา เรยี กพระบรมธาตุ หรือพระบรม- สารีริกธาตุ, ถาเปนกระดูกของพระอรหันต เรียกวา พระธาตุ, ถาเปนกระดูกสวนใดสวนหนึ่งของพระพุทธเจา ก็เรียกตาม ความหมายของคำนั้น ๆ เชน พระอุรังธาตุ พระทันตธาตุ, 55
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 56 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ถาเปนผมของพระพุทธเจาเรียกวา พระเกศธาตุ; ช่ือคัมภีร ในพระพทุ ธศาสนาซึง่ วาดว ยธาตุ เชน ธาตกุ ถา ธาตปุ าฐ. (ป., ส.); (ถิ่น – อีสาน) เจดียที่บรรจุกระดูกคนท่ีเผาแลว. ธาตุครรภ [ทาตคุ บั ] น. สว นสำคญั ของพระสถูป หรือพระปรางคท่ีบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุไวภายใน, ครรภธาตุ หรือ เรือนธาตุ ก็วา. ธาตุเจดีย น. เจดียบรรจุพระธาตุ. ธาตุสถูป น. ธาตุเจดยี . ธาตุ ๓ [ทาด] (วิทยา) น. สารเนื้อเดียวลวนซ่ึงประกอบดวยบรรดา อะตอมที่มโี ปรตอนจำนวนเดยี วกนั ในนวิ เคลยี ส. ธาตุ ๔ [ทาด] น. รากศัพทของคำบาลีสันสกฤตเปนตน เชน ธาตุ มาจาก ธา ธาตุ สาวก มาจาก สุ ธาตุ กริ ยิ า มาจาก กฤฺ ธาต.ุ (พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ หนา ๔๒๓) ธาตุ ๑ สิ่งท่ีทรงสภาวะของมันอยูเองตามธรรมดาของเหตุปจจัย, ธาตุ ๔ คือ ๑.ปฐวีธาตุ สภาวะที่แผไปหรือกินเน้ือท่ี เรียกวา สามัญวาธาตุเขมแข็งหรือธาตุดิน ๒.อาโปธาตุ สภาวะที่ เอิบอาบดูดซึม เรียกสามัญวา ธาตุเหลวหรือธาตุน้ำ ๓.เตโชธาตุ สภาวะท่ีทำใหรอน เรียกสามัญวา ธาตุไฟ ๔.วาโยธาตุ สภาวะท่ีทำใหเคล่ือนไหว เรียกสามัญวา ธาตุลม; ธาตุ ๖ คือ เพ่ิม ๕.อากาศธาตุ สภาวะท่ีวาง ๖.วิญญาณธาตุ สภาวะทรี่ แู จง อารมณ หรอื ธาตุรู ธาตุ ๒ กระดูกของพระพุทธเจาและพระอรหันตทั้งหลาย เรียกรวม ๆ วาพระธาตุ (ถากลาวถึงกระดูกของพระพุทธเจาโดยเฉพาะ เรียกวา พระบรมธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ หรือระบุชื่อ กระดกู สว นนนั้ ๆ เชน พระทาฐธาตุ) (พจนานกุ รมพทุ ธศาสนฉ บบั ประมวลศพั ท โดย พระธรรมปฎ ก (ป.อ. ปยุตฺโต) หนา ๑๑๓) 56
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 57 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò ในหนังสือคูมือเลมน้ีจะใหความหมายของคำวา “ธาตุ” เชนเดียวกับ นกั วิชาการทานอน่ื ๆ คอื “ศัพทที่เปนมลู ราก” ศพั ทท เี่ ปน มลู ราก คอื เปน ตน เดมิ หรอื รากเหงา สำหรบั ใหเ ครอื่ งปรงุ เหลา อน่ื เขา ประกอบ เรียกวา “ธาตุ” ตามพยัญชนะแปลวา “ทรง” หมายความวา ทรงไวซ่ึง เนอื้ ความของตน ไดแ ก ทรงตวั อยเู ชน นน้ั จะแยกหรอื กระจายออกไปอกี ไมไ ด เนอื้ ความ ของตนมีอยูอยางไรก็คงเน้ือความไวเชนนั้น ไมเปล่ียนแปลง เวนแตบางคราวท่ีมี อุปสัคบางตัวนำหนา ก็อาจเปลี่ยนเน้ือความผิดไปจากเน้ือความเดิมได แตถาโดย ลำพังตัวแลว หาเปลี่ยนแปลงไม ๒. วิธีสังเกตธาตุ การท่ีเราจะสังเกตทราบไดวา ศัพทนี้เปนธาตุอะไร เพื่อท่ีจะไดทราบถึง คำแปลหรือความหมายเดิมของศัพท อันเปนการสะดวกแกการที่จะเขาใจเนื้อความได แนชัดนั้น ตองอาศัยการเขาใจในวิธีแยกศัพทกิริยาน้ันออกเปนสวน ๆ ท้ังตองทราบ เครื่องปรงุ ที่ประกอบกบั ธาตุ คอื วิภัตติ และปจจยั โดยละเอยี ดอีกดวย นอกจากนี้ ยงั มีศัพทอีกประเภทหนึง่ ที่ใชนำหนาธาตุ เพ่อื ทำเนื้อความของธาตุ ใหมีความหมายผิดจากเดิม หรือหนุนใหแรงข้ึน แลวแตศัพทน้ันจะมีความมุงหมายไป ในทางไหน ศพั ทน ค้ี ือ อุปสคั อุปสัคนี้ เมื่อใชนำหนาธาตุแลว นำความหมายของธาตุใหผิดจากเดิมหรือแรง ข้ึนอยางไร จะไดอธิบายตอไปขางหนา ในท่ีน้ี จะอธิบายแตวิธีสังเกตวิธีแยกธาตุ เทา น้ัน ศัพทที่เปนธาตุอยางแทจริง มีเพียง ๑ คำบาง ๒ คำบาง และอยางมากที่สุด เพียง ๓ คำเทาน้ัน นอกน้ัน ถานำหนาก็เปนอุปสัคบาง ศัพทอ่ืนๆ นอกจากน้ีบาง (มหี า งๆ) ถาตามหลักกเ็ ปนวิภัตติบาง ปจจัยบาง ซ่งึ ใชส ำหรับประกอบกับธาตุ ธาตทุ ่มี ีคำเดียว เชน ธนุ าติ ยอ มกำจัด เปน ธุ ธาตุ ในความกำจดั นา ปจ จยั ติ วิภตั ติ เนติ ยอ มนำไป เปน นี ธาตุ ในความนำไป อ ปจจัย ติ วภิ ัตติ, เนติ พฤทธิ์ อี แหง นี เปน เอ 57
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 58 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ธาตุมี ๒ คำ เชน กโรติ ยอ มทำ เปน กรฺ ธาตุ ในความทำ โอ ปจ จัย ติ วภิ ตั ติ ภเชยยฺ พงึ คบ เปน ภชฺ ธาตุ ในความคบ อ ปจ จยั เอยฺย วภิ ตั ติ ธาตมุ ี ๓ คำ เชน กลิ มติ ยอ มลำบาก เปน กลิ มฺ ธาตุ ในความลำบาก อ ปจ จยั ติ วภิ ตั ติ ชาคโรติ ยอ มตน่ื เปน ชาครฺ ธาตุ ในความตนื่ โอ ปจ จยั ติ วิภตั ติ พึงสังเกตในท่ีนี้วา ปจจัย กับ วิภัตติ ตองลงในธาตุทุกตัวจะขาดเสียมิไดเลย สวนอุปสัค นามศพั ท หรอื นบิ าตบางตัวน้นั ไมเปนของจำเปน ซ่งึ จะไมใ ชนำหนา เลย ก็ได นอกจากในท่ีบางแหง ซง่ึ ตองการแปลความหมายของธาตุ หรอื เพอ่ื ใหเ นอ้ื ความ แรง หรือเดน ชดั ข้ึนเทานน้ั นอกจากน้ี ยงั มีธาตบุ างตวั ที่เปลี่ยนแปลงไปผิดรูปเดิมกม็ ี เชน ตฏิ ติ ยอมยืน า ธาตุ ในความยืน อ ปจจัย ติ วภิ ัตติ แปลง า ธาตุ เปน ติฏ ปสฺสติ ยอมเหน็ ทิสฺ ธาตุ ในความเหน็ อ ปจจัย ติ วภิ ัตติ แปลง ทสิ ฺ ธาตุ เปน ปสฺส บางคราวธาตทุ ่เี ปน รสั สะ ตอ ง ทฆี ะ หรอื พฤทธิ์ บา งก็มี เชน ทเู สติ ยอ มประทษุ ราย ทุสฺ ธาตุ ในความประทษุ ราย เณ ปจ จัย ติ วิภตั ติ ลบ ณ เสีย คงไวแต เอ ทีฆะ อุ ตนธาตุ เปน อู เทเสติ ยอ มแสดง ทสิ ฺ ธาตุ เณ ปจ จยั ลบ ณ คง เอ ไว พฤทธ์ิ อิ ที่ ทิ เปน เอ นอกจากนี้ ยังมีวิธีเปล่ียนแปลงอีกมากมาย อันจะวางหลักใหแนนอนหรือ ตายตัวลงไปหาไดไม ตองอาศยั ทนี่ ักเรยี นหมนั่ สงั เกตและจดจำเปน ตนๆ ไป ซึง่ จะนำ มาแสดงไวในตอนทายท่ีกลาวถึงธาตุอาขยาตพอเปนตัวอยางเฉพาะที่ใชอยูโดยมาก เทา น้นั ๓. ธาตุ ๘ หมวด ๒. หมวด รุธฺ ธาตุ ๔. หมวด สุ ธาตุ ธาตุ จดั เปน ๘ หมวด คือ ๑. หมวด ภู ธาตุ ๓. หมวด ทวิ ฺ ธาตุ เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 58
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 59 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๕. หมวด กี ธาตุ ๖. หมวด คหฺ ธาตุ ๗. หมวด ตนฺ ธาตุ ๘. หมวด จรุ ฺ ธาตุ การท่ีทานจัดธาตุเขาเปนหมวดได ๘ หมวดดังนี้ โดยถือปจจัยเปนเกณฑ เพราะหมวดธาตุท้ัง ๘ ลวนมีปจจัยประกอบอยูทุกหมวด ธาตุที่ประกอบดวยปจจัย อยางเดียวกัน ก็จัดเขาไวเปนหมวดเดียวกัน และมีวิธีเปล่ียนแปลงไปตามหมวดของ ตน ซ่ึงจะไดก ลา วในหมวดธาตุน้ันๆ ตอ ไป ดงั นี้ :- ธาตทุ ปี่ ระกอบดว ย อ, เอ ปจ จยั จดั เขา ในหมวด ภู ธาตุ และ รธุ ฺ ธาตุ ธาตุทปี่ ระกอบดวย ย ปจ จัย จัดเขาในหมวด ทิวฺ ธาตุ ธาตุทป่ี ระกอบดวย ณ,ุ ณา ปจจยั จัดเขา ในหมวด สุ ธาตุ ธาตุที่ประกอบดวย นา ปจ จยั จัดเขาในหมวด กี ธาตุ ธาตุท่ปี ระกอบดว ย ณหฺ า ปจจัย จดั เขา ในหมวด คหฺ ธาตุ ธาตุทปี่ ระกอบดวย โอ ปจจยั จัดเขา ในหมวด ตนฺ ธาตุ ธาตทุ ปี่ ระกอบดวย เณ, ณฺย ปจจัย จัดเขาในหมวด จรุ ฺ ธาตุ ธาตอุ าจเปลีย่ นหมวดได มีธาตุบางตวั ถงึ แมวาทา นจะไดจัดไวป ระจำในหมวดธาตุนั้น ๆ แลวกต็ าม แต บางคราวอาจเปลี่ยนแปลงไมคงอยูในหมวดธาตุน้ันเสมอไปก็ได ท่ีเปนเชนนี้ ตองถือ ปจจัยเปน หลัก เมอื่ ประกอบดวยปจ จัยสำหรับหมวดธาตุใด ก็กลายเปนธาตขุ องหมวด นั้นไป ธาตุตวั เดยี วกนั น่ันเอง แตอ าจเปน ไดหลายหมวดตามปจจยั ที่ใชประกอบ เชน า ธาตุ ในความรู ซงึ่ ตามหมวดธาตทุ า นจดั ไวใ นหมวด กี ธาตุ ซง่ึ ตอ งลง นา ปจจัย สำเร็จรูปเปน ชานาติ แตอาจใชลงปจจัยในหมวดธาตุอื่นอีกก็ได เชน ลง ย ปจ จัย ในหมวด ทิวฺ ธาตุ สำเร็จรูปเปน ายติ กก็ ลายเปนหมวด ทิวฺ ธาตไุ ป เชนนี้ เปนตน นอกจากนี้ยังมีอีกมาก ฉะนั้น ตองถือปจจัยในหมวดธาตุน้ันเปนเกณฑ ท่ีทาน จัดไวเชนนั้น โดยถือเอาสวนที่เปนไปโดยมากเทานั้น ธาตุตัวเดียวอาจลงปจจัยใน หมวดธาตอุ ่นื ๆ ไดอีก เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 59
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 60 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๔. การเปลยี่ นแปลงของธาตใุ นหมวดตาง ๆ ๑. หมวด ภู ธาตุ ธาตุหมวดน้ี เมือ่ ลง อ, เอ ปจ จยั แลว มวี ธิ ีเปลย่ี นแปลงดงั นี้ :- * ภู พฤทธิ์ อู แหง ภู เปน โอ บาง อ.ุ อนุโภต,ิ ปจฺจนโุ ภติ แลวแปลง โอ เปน อว อีกบา ง อ.ุ ภวติ, อนุภวติ, แปลง ภู เปน ภูว บา ง อุ. พภูว. * หุ พฤทธ์ิ อุ เปน โอ บา ง อ.ุ โหต,ิ เปน เอ บาง อุ. อเหสุ, เหสสฺ , เหสฺสต.ิ เปน เอห บาง อ.ุ เหหติ, เปน โอห บา ง อุ. โหหต,ิ คงรูปไมเปลย่ี นบาง อ.ุ อหุ * สี พฤทธ์ิ อี เปน เอ บาง อุ. เสติ, เสสฺติ, แปลงเปน อย บาง อุ. สยติ, สยสิ ฺสติ * มรฺ คงรปู ไมเ ปลย่ี น อุ. มรติ, แปลงเปน มิยยฺ บา ง อ.ุ มิยยฺ ติ ปจฺ คงรปู ไมเปลย่ี น อุ. ปจติ, แปลงท่ีสดุ ธาตกุ ับ ย ปจจัย (ในกัมมวาจก) เปน จฺจ บาง อ.ุ ปจฺจติ อิกขฺ คงรปู ไมเปลี่ยน อ.ุ อกิ ขฺ ต,ิ ลงพยัญชนะอาคมท่ีตนธาตุบา ง อุ. อทุ กิ ขฺ ติ ลภฺ คงรปู ไมเปล่ียน อุ. ลภติ, ลบท่สี ดุ ธาตุ อ.ุ อลตฺถ, อลตฺถ, แปลงท่สี ุดธาตกุ บั ย ปจ จัย (เฉพาะกมั มวาจก) เปน พภฺ บา ง อุ. ลพภฺ ติ คมฺ คงรปู ไมเ ปล่ียน อุ. อคมา, อาคม,ิ แปลงเปน คจฉฺ บาง อุ. คจฺฉต,ิ ลบทสี่ ดุ ธาตุบาง อ.ุ อุปจจฺ คม, แปลงเปน ฆมมฺ บาง อ.ุ ฆมมฺ ตุ, ฆมฺมาห (มที ่ใี ชน อ ย) ๒. หมวด รุธฺ ธาตุ ในธาตุหมวดน้ี ลง อ, เอ ปจจัยเหมือนหมวด ภู ธาตุ ตางแตเมื่อลงแลว มกี ฎใหล งนคิ คหติ อาคม ทพ่ี ยญั ชนะตน ธาตทุ กุ ตวั แลว แปลงนคิ คหติ ตวั นน้ั เปน พยญั ชนะ ทสี่ ุดวรรค ๕ ตัวๆ ใดตวั หน่ึง คอื ง ณ น ม การแปลง ตอ งถือพยัญชนะที่สดุ ธาตุ เปนหลักตามทท่ี านวา งไวในสนธิ คอื :- พยัญชนะที่สุดธาตุอยูใน ก วรรค แปลงเปน งฺ อุ. องฺคติ ยอมกำหนด อคิ ธาตุ พยัญชนะทสี่ ุดธาตุอยใู น จ วรรค แปลงเปน ฺ อ.ุ มุจฺ ติ ยอ มปลอ ย มจุ ฺ ธาตุ 60
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 61 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò พยญั ชนะท่สี ดุ ธาตุอยูใน ฏ วรรค แปลงเปน ณฺ อ.ุ อาหิณฑฺ ติ ยอมเท่ยี วไป อา บทหนา หิฑิ ธาตุ พยัญชนะทส่ี ุดธาตอุ ยใู น ต วรรค แปลงเปน นฺ อุ. รุนฺธติ ยอ มกน้ั รธุ ฺ ธาตุ พยญั ชนะทสี่ ดุ ธาตอุ ยใู น ป วรรค แปลงเปน มฺ อ.ุ ลมิ ปฺ ติ ยอ มฉาบ ลปิ ฺ ธาตุ ธาตใุ นหมวดนี้ มีวธิ ีเปลย่ี นแปลงดงั นี้ :- รธุ ฺ คงรูปไมเปล่ียน อุ. รนุ ธฺ ติ, รนุ เฺ ธติ มุจฺ คงอยูไมเ ปล่ยี น อุ. มุ ฺจติ, มฺุเจติ แปลงทสี่ ุดธาตกุ บั ย ปจ จยั (กตั ตุวาจก หมวด รธุ ฺ ธาตุ แปลวา ปลอ ย, ถา ลง ในหมวด ทวิ ฺ ธาตุ แปลงวา พน ) ภชุ ฺ คงรูปไมเปลย่ี น อ.ุ ภฺุชติ แปลงท่ีสุดวธิ อี พั ภาสเปน พภุ กุ ขฺ ติ บาง * ภิทฺ คงรูปไมเ ปลี่ยน อุ. ภนิ ฺทติ แปลงทธี่ าตุ ย ปจจยั (กัตตุวาจก หมวด ทวิ ฺ ธาต)ุ เปน ชชฺ บา ง อ.ุ ภชิ ชฺ ติ แตว า ภทิ ฺ ธาตนุ ้ี ถา ลงในหมวด รธุ ฺ ธาตุ แปลวา ตอย หรือ ทำลาย ถา ลงในหมวด ทวิ ฺ ธาตุ แปลวา แตก ลปิ ฺ คงรปู ไมเ ปลยี่ น อุ. ลมิ ฺปติ ลง ย ปจจัย (กตั ตวุ าจก หมวด ทวิ ฺ ธาต)ุ แปลง กบั ย เปน ปปฺ บา ง อ.ุ ลปิ ฺปติ ลปิ ฺ ธาตนุ ี้ ลงในหมวด รุธฺ ธาตุแปล ฉาบ-ทา, ถา ลงใน หมวด ทวิ ฺ ธาตุ แปลวา เปอ น ๓. หมวด ทิวฺ ธาตุ ธาตุหมวดน้ี ใชล ง ย ปจ จัย เมือ่ ลงแลว มวี ธิ ี ๒ อยา ง คือ ๑. ถา ธาตตุ วั เดียวใหคง ย ไว อุ. ขยี ต,ิ ชายเร, ชียติ. ๒. ถาธาตุมากกวาตัวเดียว แปลงที่สุดธาตุกับปจจัยเปนพยัญชนะ อนโุ ลมตามพยญั ชนะท่ีสดุ ธาตุ คอื :- ท่ีสุดธาตุเปน ว แปลงกบั ย ปจ จัยเปน พพฺ อ.ุ *ทพิ ฺพติ ทวิ ฺ ธาต,ุ *สิพฺพติ สิวฺ ธาตุ. ที่สุดธาตุเปน ธ แปลงกบั ย ปจ จยั เปน ชฌฺ อ.ุ *พชุ ฺฌติ พุธฺ ธาตุ, *กุชฌฺ ติ กธุ ฺ ธาตุ. 61
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 62 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ท่ีสดุ ธาตุเปน ห แปลงกบั ย ปจจยั เปน ยฺห อุ. *มุยฺหติ มุหฺ ธาตุ. ทส่ี ดุ ธาตุเปน ส แปลงกบั ย ปจ จัยเปน สสฺ อ.ุ *มุสฺสติ มสุ ฺ ธาต,ุ *ปมฺมุสสฺ ติ ป บทหนา มุสฺ ธาต.ุ ทส่ี ดุ ธาตุเปน ช แปลงกับ ย ปจจัยเปน ชชฺ อ.ุ *รชชฺ ติ รชฺ ธาตุ, *ลชฺชติ ลชฺ ธาตุ. ๔. หมวด สุ ธาตุ ธาตุหมวดน้ี ลง ณุ, ณา ปจจัย เมื่อลงแลว ธาตุคงตามรูปเดิมไมเปลี่ยน อุ. สุณาติ, วุณาต.ิ พฤทธ์ิ ณุ ปจจัยเปน โณ ไดบ าง อ.ุ สุโณติ, สวุโณต,ิ สโิ ณติ. แต สุ ธาตุ ยงั เปล่ียนแปลงไดอีก คอื ถา ใช อ ปจ จัย (หมวด ภู ธาต)ุ ประกอบ พฤทธิ์ อุ ท่ี สุ เปน โอ บาง อ.ุ อสโฺ สสิ, อสโฺ สส.ุ พฤทธ์ิ อุ เปน โอ แลวเอาเปน อว ใน เม่ือลง เณ ปจจัย (เหตุกตั ตุวาจก) บา ง อุ. สาเวต,ิ ใช ย ปจ จัย (กัมมวาจก) ประกอบมี รูปเปน สุยฺยเต บาง. ประกอบดวย ส ปจ จยั มรี ปู เปน สสุ สฺ สู ติ บาง. ๕. หมวด กี ธาตุ ธาตหุ มวดน้ี ลง นา ปจจัย เม่ือลงแลว โดยมากคง นา ไว ถึงเปลี่ยนแปลงบา ง กน็ อ ย ดังน้ี :- กี คงรปู ไมเ ปลีย่ น อุ. กีนาติ แปลง นา เปน ณา บา ง อุ. กีณาติ, วิกฺกณี าติ. ชิ คงรูปไมเปลี่ยน อ.ุ ชนิ าติ ลง อ ปจจัย (หมวด ภู ธาตุ) แปลง อิ เปน ย บา ง อ.ุ ชยติ, ชยสฺสต;ิ พฤทธ์ิ อิ เปน เอ บา ง อ.ุ เชต,ิ เชยยฺ ลง ย ปจ จยั (กัมมวาจก) บา ง อุ. ชิยต.ิ ธุ คงรูปไมเ ปลี่ยน อุ. ธุนาต.ิ จิ คงรปู ไมเ ปล่ียน อ.ุ จินาติ ลง ย ปจจยั (หมวด ทิวฺ ธาต)ุ บาง อ.ุ จิยติ. ลุ คงรปู ไมเปล่ียน อุ. ลุนาต,ิ ลง เณ ปจ จยั (หมวด รุธฺ ธาตุ) บาง อ.ุ ลาเวต.ิ า คงรูปไมเปล่ียน อุ. ายติ (ลง ย ปจจัย ในหมวด ทิวฺ ธาตุ). แปลงเปน ชา บา ง อ.ุ ชานาต,ิ เปน ช แลว เอานิคคหิตเปน ฺ บา ง อุ. ชฺ า, เปน นา บา ง อุ. นายเร. 62
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 63 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๖. หมวด คหฺ ธาตุ ธาตหุ มวดน้ี มใี ชใ นอาขยาตเฉพาะ คหฺ ธาตุ ตวั เดยี วเทา นั้น ใชลง ณหฺ า ปจจัย เมื่อลงแลว ลบทสี่ ุดธาตุ อุ. คณฺหาติ, ปฏิคฺคณหฺ าต.ุ อน่ึง เมือ่ ลง ปปฺ ปจ จยั แปลงเปน เฆ บาง อุ. เฆปปฺ ติ (มที ใ่ี ชนอย), ประกอบดวย ย ปจ จัย อิ อาคม (กัมมวาจก) คงรปู ไมเ ปลย่ี นแปลงบาง อุ. คหยิ เต. ๗. หมวด ตนฺ ธาตุ ธาตหุ มวดน้ี ลง โอ ปจ จยั เมอ่ื ลงแลว มีวธิ เี ปลี่ยนแปลง ดังนี้ :- ตนฺ คงรูปไมเ ปล่ียน อ.ุ ตโนต.ิ กรฺ คงรปู ไมเปลีย่ น อุ. กโรติ, ลบทส่ี ุดธาตใุ นเมอื่ ประกอบดวย ยริ ปจ จยั บา ง อ.ุ กยิรา, กยิราถ. แปลง กรฺ เปน กา บาง อุ. อกาสิ, อกสุ. เม่ือลง ภวิสฺสนฺติวิภัตติ มีอำนาจใหแปลงเปน กาห บา ง อ.ุ กาหติ, กาหนตฺ ิ. *สกฺก คงรูปไมเปลย่ี น อุ. สกโฺ กติ, ลง ย ปจจยั (กัมมวาจก, ภาววาจก) ไดร ปู เปน สกกฺ เต บา ง, ลง อุณา ปจ จัย ไดร ปู เปน สกกฺ ณุ าต,ิ สกฺกณุ นฺติ บา ง. ชาครฺ คงรปู ไมเ ปลี่ยน อุ. ชาคโรต.ิ ๘. หมวด จุรฺ ธาตุ ธาตหุ มวดนลี้ ง เณ, ณย ปจจัย เมื่อลงแลวลบ ณ เสีย และมีอำนาจ คอื ถาพยัญชนะตนธาตุมีสระเปน รัสสะ คือ อ อิ อุ ไมมีพยัญชนะสังโยค (ตัวสะกด) อยเู บื้องหลงั ตอง ทฆี ะ คือ อ เปน อา เชน อ.ุ วาเจสิ (วจฺ ธาต)ุ อิ เปน อี เชน อ.ุ ทเี ปติ (ทิปฺ ธาตุ) อุ เปน อู เชน อุ. ทูเสติ (ทุสฺ ธาต)ุ เปนตน วิการ คือ อิ เปน เอ บา ง อุ. เทเสติ อุ เปน โอ บา ง อ.ุ โจเรต,ิ โจรยติ. 63
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 64 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ถาพยัญชนะตนธาตุมีสระเปน ทีฆะ อยูแลว คือ เปน อา อี อู เอ โอ หรือ มีพยญั ชนะสังโยค ใหค งไวตามเดิม ไมต องทำตามวิธดี ังกลาวแลว อุ.*ตกฺเกติ, มนฺตยต,ิ จินฺเตต,ิ จินฺตยติ, เปนตน สำหรบั ธาตใุ นหมวดนี้ ไมม ีทีล่ งปจจยั ในหมวดอน่ื ลงไดเฉพาะ เณ, ณย ปจ จยั เทานั้น จงึ มไิ ดแ สดงวิธเี ปลี่ยนแปลงไว ๕. ธาตุ ๒ บรรดาธาตุท้ังหมด จะเปนธาตุใน ๘ หมวดที่กลาวแลวน้ีก็ดี ธาตุอ่ืนๆ ซ่ึง นอกจากนี้ก็ดี เมื่อจะกลาวใหสั้นโดยรวบยอดแลว ก็คงมีเพียง ๒ คือ อกัมมธาตุ ๑ สกมั มธาตุ ๑ ธาตุตัวใดสำเร็จเนื้อความในตัวเอง ไมตองอาศัยกรรมอ่ืนส่ิงท่ีบุคคลทำเปน เครื่องบงเนอ้ื ความ คอื ไมตองเรียกหากรรม ธาตุตัวน้ันเรียกวา อกมั มธาตุ (ธาตุไมม ี กรรม) ธาตุตัวใดไมสำเร็จเน้ือความในตัวเอง ตองอาศัยกรรมเปนเคร่ืองบง คือตอง เรยี กหากรรม ธาตุตัวนน้ั เรยี กวา สกัมมธาตุ (ธาตุมกี รรม) ๖. วธิ ีสงั เกตธาตุ ๒ ตามท่ีทานกลาวไวในแบบวา ธาตทุ ห่ี มายดอกจัน (*) ไวเ ปนธาตุมกี รรม ที่มิได หมายไวเปนธาตุไมมีกรรม ก็เพ่ือช้ีแนวทางใหสังเกตวา ธาตุท้ัง ๒ น้ี มีความหมาย ตา งกันอยางไร เมือ่ เราใชความสังเกตใหถอ งแทแลว จะเห็นไดว า ธาตทุ ่หี มายดอกจนั ไวทุกตัวลวนเปนธาตุที่ไมสำเร็จความในตัวเอง ยังตองเรียกหากรรม ซ่ึงเปนเหตุชวน ใหถ ามวา “ซึง่ อะไร” อยูเสมอ ถา ขาดกรรมกท็ ำใหเ สียความ สวนธาตุท่ีทานมิไดหมายดอกจันไวทุกตัว ลวนเปนธาตุท่ีสำเร็จความในตัวเอง ไมตองเรียกหากรรมก็ไดค วามเต็มที่ ไมเปนเหตใุ หถ ามวา “ซง่ึ อะไร” ตอไปอกี ฉะนั้น เมอ่ื ทราบไดเชน นี้แลว ถึงแมในที่อื่นกอ็ าจสงั เกตไดเชนกนั 64
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 65 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò วิธีท่ีจะสังเกต ตองอาศัยคำแปลในภาษาไทยเปนเครื่องบงใหทราบดวย มิฉะน้ันจะทราบไมไ ดแ นชดั เลย เมอื่ เราเหน็ ธาตตุ วั ใดตวั หน่ึง ถา ตอ งการทราบวาธาตุ ตัวน้จี ะเปน อกมั ม ธาตุ หรือ สกมั มธาตุ ตอ งทราบคำแปลของธาตุตัวน้นั ดว ย คอื :- อกัมมธาตุ ธาตุตัวใด ในเวลาออกสำเนียงคำแปลเปนภาษาไทย ไดความ เต็มท่ีตามความหมายของธาตุ ไมตองเรียกหาตัวกรรม ถึงจะใชกรรมเพ่ิมเขามาก็หา ประโยชนอะไรมิได ซ่ึงอาจทำใหฟงขัดหู ไมถูกตามภาษานิยม ธาตุเชนนี้ เปนอกัมม ธาตุ เชน สี ธาตุ ในความนอน เมื่อกลาวเพียงวา นอน เทานั้น ก็ทำความหมายให ผฟู ง เขา ใจไดแ ลว ไมต อ งใหถ ามวา นอนซง่ึ อะไรอกี หรอื ถา ขนื เพมิ่ กรรมเขา มาอกี เชน รตตฺ ึ ซึ่งราตรี ฟงดูออกจะขดั หูและเขาหานิยมใชก ันไม เพราะเน้ือความไมก ลมเกลยี ว กัน นอกจากไมมีประโยชนแลว กลับทำใหเสียความดวย ฉะน้ัน ในธาตุเชนนี้พึงลง สันนษิ ฐานวา เปน อกัมมธาตุ ธาตไุ มตองเรยี กหาตัวกรรม สกัมมธาตุ ธาตตุ ัวใด ในเวลาออกสำเนียงคำแปลเปนภาษาไทย ยังไมมคี วาม เต็มท่ีตามความหมายของธาตุ ตองอาศัยตัวกรรมชวยสนับสนุนเพิ่มเน้ือความให กระจาง ถาขาดตัวกรรมเสียยอมทำใหเสียความ และทำใหผูฟงไมเขาใจความหมาย ของผพู ูด ธาตุเชน น้ีเปน สกัมมธาตุ เชน สุ ธาตุ ในความฟง ถากลาวเพียงวา ฟง เทาน้ัน ยังหาทำใหผูฟงเขาใจใน ความหมายไดพอเพียงไม ไมทราบวาฟงอะไร ยังเปนเหตุใหถามอยูร่ำไป ถาขืนไม เพมิ่ กรรมเขา มา ยอ มผดิ ตอ ภาษานิยม เพราะทำใหขาดความไป ตอเม่อื เลอื กตวั กรรม เพมิ่ เขาสักตัวหนง่ึ วา ธมฺม (ซึ่งธรรม) ยอ มทำใหเ น้อื ความสนิท ฟง ไพเราะหู ถูกตอ ง ตามภาษานิยม ฉะน้ัน ในธาตุเชนนี้พึงลงสันนิษฐานวาเปน สกัมมธาตุ ตองเรียงหา ตวั กรรมเสมอ จะขาดมิไดเลย ๗. ธาตุกลับความหมาย ไดกลาวแลว วา อุปสัค เมอ่ื ใชน ำหนาธาตแุ ลว ยอมทำความหมายของธาตุเดิม ใหเปล่ียนผิดปกติไปได เม่ือจะกลาวถึงหนาที่ของอุปสัคท่ีใชนำหนาธาตุโดยสวน สำคญั แลว ก็อาจจำแนกไดเปน ๓ คอื 65
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 66 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๑. อุปสคั สังหารธาตุ ๒. อปุ สัคเบียฬธาตุ ๓. อปุ สัคอนุวัตนตามธาตุ การแปลกิริยาศัพทตางๆ เปนภาษาไทยตามธรรมดายอมแปลตามความของ ธาตุ ธาตุตัวใดมีนิยมใหแปลเปนภาษาไทยวากระไร ก็ตองแปลไปตามความนิยมที่ บัญญตั ิไวน ั้น เชน กรฺ ธาตุ บัญญัติใหแ ปลวา “ทำ” คมฺ ธาตุ ใหแ ปลวา “ไป, ถงึ .” เมื่อประกอบให เปนกริ ยิ าวา กโรติ กแ็ ปลวา “ยอมทำ, ทำอยู, จะทำ.” คจฺฉติ “ยอ มไป, ไปอย,ู จะไป.” เชน นเ้ี ปน ตน แตถาธาตุเหลาน้ีถูกนำไปประกอบกับอุปสัค คืออุปสัคนำหนาแลว ความของ กิริยาหาคงอยูตามรูปเดิมไม ยอมเปลี่ยนแปลงไปได แลวแตความหมายของอุปสัคจะ ทำหนาท่เี ชนไร อุปสัคสังหารธาตุ ไดแก อุปสัคท่ีเม่ือใชนำหนาธาตุท่ีประกอบเปนกิริยาศัพท แลว ทำใหค ำแปลของธาตเุ ดมิ เปลยี่ นไปผดิ รปู จนถงึ ตรงกันขา ม คือ จะใชค ำแปลของ ธาตเุ ดิมไมได เชน นิกขฺ มติ ออกไป เปน นิ อุปสัค ขมฺ ธาตุ ในความอดทน อาคจฺฉติ มา เปน อา อปุ สคั คมฺ ธาตุ ในความไป เชนนี้ เราจะเห็นไดแลววาผิดจากคำแปลของธาตุเดิมอยางตรงกันขามทีเดียว จะแปลตามความหมายของธาตเุ ดิมไมไดเลย อุปสัคเบียฬธาตุ ไดแก อุปสัคท่ีเม่ือใชนำหนาธาตุที่ประกอบเปนกิริยาศัพท แลว ทำใหคำแปลของธาตุเดิมเปล่ียนไปบางเล็กนอย แตไมถึงกับกลับความจน ผดิ รปู เดิม ยังพอสังเกตตนเคาของธาตเุ ดิมได เชน อ.ุ ปฏิกฺกมติ ถอยกลบั เปน ปฏิ อปุ สัค กมฺ ธาตุ ในความกา วไป อธคิ จฺฉติ บรรลุ เปน อธิ อุปสคั คมฺ ธาตุ ใน ความถงึ เชนน้ี เราจะเห็นไดแ ลววา คำแปลของธาตเุ ปล่ียนไปบา ง แตย งั ใชค วามหมาย ของธาตเุ ลง็ เนอ้ื ความ อุปสัคอนุวตั นตามธาตุ ไดแก อุปสคั ท่ีเมื่อใชนำหนาธาตทุ ่ีประกอบเปนกิริยา 66
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 67 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ศพั ทแ ลว ไมท ำใหค ำแปลของธาตเุ ดมิ เปลย่ี นไป เปน เพยี งสง เสรมิ ทำใหธ าตมุ คี วามหมาย แรงข้นึ กวาเดิม เชน อปคจฺฉติ หลีกไป เปน อป อปุ สัค คมฺ ธาตุ ในความไป อติกฺกมติ กา วลวง เปน อติ อปุ สคั กมฺ ธาตุ ในความกาวไป เชนน้ีเราจะเห็นไดแลววา คำแปลของธาตุเดิมก็คงรูปอยู เมื่อเพิ่มอุปสัคเขามา ทำใหคำแปลของธาตุแรงข้ึนกวา เดิม อุปสคั ตาง ๆ ท่ใี ชน ำหนา ธาตุ ไมจำกัดวา จะตองใชกีต่ วั บางคราวก็ใชอปุ สัคนำ เพยี งตวั เดียวบาง เชน อ.ุ วิ - เนติ ฝก อนุ - ยฺุชติ ตามประกอบ บางคราวก็ใชนำซอ นกนั ๒ ตวั บาง เชน อ.ุ ปจจฺ -า-คจฺฉติ กลบั มา เปน ปฏิ+อา อปุ สัค แปลง ฏ หลงั ป เปน ต แปลง อิ เปน ย ไดร ปู เปน ตยฺ แลวแปลง ตยฺ เปน จจฺ อพภฺ ุคฺคจฉฺ ติ ฟงุ ไป เปน อภ+ิ อุ อุปสัค แปลง อภิ เปน อพภฺ บางคราวก็ใชซอ นกันถงึ ๓ ตวั บา ง เชน อุ. สมนฺนาหรติ ประมวลมา เปน ส+อน+ุ อา อปุ สัค หรฺ ธาตุ ในความนำไป เปน ตน ตอ ไปน้ี เปน อุทาหรณข องธาตบุ างตวั ท่เี มอ่ื ใชอุปสคั นำหนา แลว มคี วามหมาย เปลี่ยนแปลงไปจากธาตุเดมิ หรอื ทำใหธ าตุมคี วามแรงข้ึนอยางไร พงึ สงั เกตดังตอ ไปน้ี :- กมฺ ธาตุ ในความกาวไป กมฺ+อ+ติ = กมติ ยอมกาวไป อา+กม+ฺ อ+ติ = อกฺกมติ ยอมเหยยี บ อต+ิ กม+ฺ อ+ติ = อตกิ ฺกมติ ยอ มกาวลว ง อภ+ิ กมฺ+อ+ติ = อภกิ ฺกมติ ยอมกา วไปขางหนา อุป+กม+ฺ อ+ติ = อุปกฺกมติ ยอมเขาไป, ยอมพยายาม อุป+สํ+กม+ฺ อ+ติ = อุปสงฺกมติ ยอมเขาไปหา โอ+กม+ฺ อ+ติ = โอกกฺ มติ ยอ มกา วลง เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 67
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 68 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò ป+กม+ฺ อ+ติ = ปกฺกมติ ยอ มหลกี ไป ปฏิ+กมฺ+อ+ติ = ปฏกิ กฺ มติ ยอ มถอยหลัง ว+ิ อต+ิ กมฺ+อ+ติ = วีติกกฺ มติ ยอ มลวงเกนิ , ยอ มลว งละเมิด คมฺ ธาตุ ในความไป คม+ฺ อ+ติ = คจฉฺ ติ ยอ มไป อา+คม+ฺ อ+ติ = อาคจฉฺ ติ ยอมมา อธ+ิ คม+ฺ อ+ติ = อธิคจฉฺ ติ ยอมถึงทบั , ยอมบรรลุ อป+คม+ฺ อ+ติ = อปคจฉฺ ติ ยอ มหลกี ไป อภ+ิ อุ+คม+ฺ อ+ติ = อพภฺ คุ ฺคจฺฉติ ยอ มฟงุ ไป อ+ุ คม+ฺ อ+ติ = อุคคฺ จฺฉติ ยอ มขน้ึ ไป อปุ +คมฺ+อ+ติ = อปุ คจฺฉติ ยอมเขา ไป ปฏิ+อา+คม+ฺ อ+ติ = ปจฺจาคจฺฉติ ยอมกลบั มา ว+ิ คมฺ+อ+ติ = วคิ จฉฺ ติ ยอมไปปราศ สํ+อา+คม+ฺ อ+ติ = สมาคจฺฉติ ยอมมาพรอมกนั , ยอ มมาประชมุ า ธาตุ ในความรู า+นา+ติ = ชานาติ ยอ มรู ยอ มอนญุ าต, ยอ มยินยอม อน+า+นา+ติ = อนุชานาติ ยอ มรูยิ่ง ยอมดูหม่นิ อภิ+า+นา+ติ = อภชิ านาติ ยอมรูทว่ั ยอมรชู ัด อว+า+นา+ติ = อวชานาติ ยอ มปฏิญญา, ยอมยอมรบั ยอ มรูรอบ, ยอมกำหนดรู อา+า+นา+ติ = อาชานาติ ยอมรูแจง ยอมรพู รอ ม, ยอมเขา ใจ, ยอ มจำได ป+า+นา+ติ = ปชานาติ ปฏ+ิ า+นา+ติ = ปฏิชานาติ ปริ+า+นา+ติ = ปริชานาติ วิ+า+นา+ติ = วชิ านาติ ส+ํ า+นา+ติ = สฺชานาติ เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 68
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 69 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๘. ศพั ทพ ิเศษทใ่ี ชนำหนา กริ ิยา ศัพทกิริยาอาขยาต ซึ่งนอกจากใชอุปสัคนำหนา ยังมีศัพทพิเศษบางศัพทซ่ึง อาจใหน ำหนากิริยาไดอ กี ศพั ทเหลา นี้มีกำหนดใหใ ชไดบ างตัวเทา นนั้ และเปนศพั ทท ่ี มักใชดื่นในปกรณตางๆ มาก ศัพทเหลานี้เวลาแปลมักแปลตอจากกิริยา คือแปล ภายหลังเมื่อแปลกิริยาเสร็จแลว ไมเหมือนอุปสัคบางตัว ซึ่งบางคราวก็ใชแปลกอน หนา กิริยาได เชน อุคคฺ จฺฉติ ยอ มขึ้นไป อปคจฉฺ ติ ยอมหลีกไป บางคราวกแ็ ปลหลังกิริยา เชน โอกฺกมิ ยอมกา วลง อปุ เนติ ยอมนำเขา ที่แปลเชนน้ี ก็แลวแตความหมายวา แปลเชนไรจะไดความตามภาษาไทย ศพั ทพ ิเศษนอกจากอปุ สัคเหลา นี้ มีตัวอยางทีใ่ ชอ ยบู า ง เชน ครกุ โรติ ยอมทำใหหนัก, ยอ มทำความเคารพ สจฉฺ ิกโรติ ยอ มทำใหแ จง ปาตุภวิ มีปรากฏแลว มนสกิ โรติ ยอมทำไวในใจ พยนฺตกิ าหติ จกั ทำใหสิน้ ไป อาวภิ วสิ ฺสติ จักมแี จง อลงกฺ โรติ ยอมประดับ, ยอ มกระทำใหพ อ (อลํ) สมจฺ เรยยฺ พงึ ประพฤตสิ ม่ำเสมอ (สม)ํ นอกจากนี้ ยังมอี ยูมาก ทย่ี กมาน้พี อเปนตัวอยางเทาน้ัน 69
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 70 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๙. กิริยาศพั ททใี่ ชดจุ คณุ นอกจากน้ี ยังมกี ริ ิยาศพั ทบาง ซง่ึ อาจนำไปใชเ ขา สมาส คือเช่อื มกับศพั ทนาม อน่ื ไดอีก เวลาแปลกลายเปน คณุ ศพั ทไปกม็ ี แตศพั ทเ หลา น้ีมปี รากฏอยูก็เหน็ เพียง ๒ ศัพท คือ อตถฺ ิ (มีอย)ู และ นตฺถิ (ยอ มไมม)ี ซึ่งเปน จำพวก อสฺ ธาตุ เชน อตถฺ ิภาโว ความทีแ่ หง.... มีอยู นตฺถภิ าโว ความทแ่ี หง ....ไมม ี นตฺถปิ โู ว ขนมไมม.ี อสฺ ธาตุ ธาตุนี้เปนไปใน “ความมี” “ความเปน” เปนธาตุซึ่งมีวิธีเปล่ียนแปลงแปลกจาก ธาตุสามัญอื่นๆ มีหลักเกณฑการเปลี่ยนแปลงเฉพาะตนเอง เพราะฉะนั้น เพ่ือความ สะดวกจะไดร วมมากลาวไวในทีน่ ี้เสยี ทีเดยี ว การเปล่ียนแปลงของธาตุนี้ เม่ือรวบรวมเปนหัวขอที่สำคัญแลวก็คือ เมื่อ ประกอบกบั วภิ ตั ติแลว ลบตนธาตุบาง ลบที่สดุ ธาตุบา ง มอี ำนาจใหแ ปลงวภิ ตั ติ แปลง ตวั เองพรอ มทัง้ วภิ ตั ติบา ง ทฆี ะตนธาตุบาง พึงเหน็ ดังตอ ไปนี้ :- คงวิภัตติไว ลบตน ธาตุ อ.ุ สนตฺ ิ. คงวิภตั ติไว ลบทส่ี ุดธาตุ อ.ุ อส.ิ คงวิภตั ติไว ทีฆะตน ธาตุ อุ. อาส, อาส,ุ อาสติ ถฺ , อาสิ, อาสิมฺหา. แปลงวิภตั ติ ลบตนธาตุ อุ. สยิ า, สิย.ุ แปลงวภิ ัตติ ลบท่สี ุดธาตุ อุ. อตฺถิ, อตถฺ , อมฺห,ิ อมฺห. แปลงวภิ ตั ติ กบั ท้ังธาตุ อ.ุ อสสฺ , อสฺส,ุ อสสฺ ถ, อสสฺ , อสสฺ าม. 70
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 71 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò แบบประเมนิ ผลตนเองกอนเรียน หนวยที่ ๔ จดุ ประสงค เพ่ือประเมินความรูเ ดิมของนักเรยี นเก่ยี วกับเร่ือง “ธาตุ” คำส่ัง ใหนักเรียนอานคำถามแลววงกลมลอมรอบขอคำตอบที่ถูกตองที่สุด เพียงขอเดียว ๑. คำวา “ธาตุ” หมายถงึ อะไร ? ก. ศพั ทท ่ีเปนมลู ราก ข. ศพั ทเรยี กพรหม ค. ศัพทเ รียกกระดกู ง. ศัพทท่เี ปน สารเนื้อเดยี ว ๒. ธาตุโดยยอ แบงออกเปนเทา ไร ? ก. ๒ ข. ๓ ค. ๔ ง. ๕ ๓. ธาตุโดยพิสดารแบง เปนเทาไร ? ก. ๔ ข. ๖ ค. ๘ ง. ๑๐ ๔. กิริยาศพั ทใ ดตอ ไปนีค้ อื ธาตุที่เรยี กหากรรม ? ก. ขยี ติ ข. มรติ ค. กโรติ ง. ชาคโรติ ๕. กิรยิ าศพั ทใ ดตอ ไปนีค้ อื ธาตุทไ่ี มเรียกหากรรม ? ก. ปจติ ข. รนุ เฺ ธติ ค. ภวติ ง. จินฺตยติ ๖. กริ ยิ าศพั ทใดตอ ไปนจ้ี ดั อยใู นหมวด กี ธาตุ ? ก. สยติ ข. ภฺุชติ ค. สณุ าติ ง. ชนิ าติ ๗. กิริยาศพั ทใดตอไปนใ้ี ชศพั ทพเิ ศษสำหรบั นำหนา กิรยิ า ? ก. อปุ สงกฺ มติ ข. มนสกิ โรติ ค. นกิ ขฺ มติ ง. อุปจจฺ คา เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 71
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 72 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๘. อกัมมธาตไุ มนิยมใชใ นวาจกใด ? ก. กตั ตวุ าจก ข. กมั มวาจก เหตุกตั ตวุ าจก ค. ภาววาจก ง. ภวนฺติ ๙. กริ ิยาศัพทใดตอไปนีใ้ ชไดท ้งั เอก. และพห.ุ ? กาหติ ก. โหติ ข. กัมมวาจก เหตุกมั มวาจก ค. อตถฺ ิ ง. ๑๐. สกมั มธาตุไมนิยมใชใ นวาจกใด ? ก. กตั ตวุ าจก ข. ค. ภาววาจก ง. เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 72
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 73 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò แบบประเมนิ ผลตนเองหลังเรียน หนวยท่ี ๔ จุดประสงค เพ่ือประเมนิ ความกาวหนาของนักเรยี นเก่ียวกับเร่ือง “ธาต”ุ คำสั่ง ใหนักเรียนอานคำถามแลววงกลมลอมรอบขอคำตอบที่ถูกตองที่สุด เพียงขอ เดียว ๑. คำวา “ธาตุ” หมายถงึ อะไร ? ก. ศัพททีเ่ ปน สารเน้ือเดียว ข. ศพั ทท ี่เปนมูลราก ค. ศัพทเ รยี กกระดูก ง. ศพั ทเรียกพรหม ๒. ธาตโุ ดยยอแบงออกเปนเทาไร ? ก. ๕ ข. ๔ ค. ๓ ง. ๒ ๓. ธาตโุ ดยพสิ ดารแบง เปน เทา ไร ? ก. ๑๐ ข. ๘ ค. ๖ ง. ๔ ๔. กิริยาศัพทใ ดตอ ไปนี้คอื ธาตุท่ีเรียกหากรรม ? ก. มรติ ข. ชาคโรติ ค. ขยี ติ ง. กโรติ ๕. กริ ิยาศพั ทใ ดตอไปนี้คือธาตทุ ี่ไมเรยี กหากรรม ? ก. ภวติ ข. จินตฺ ยติ ค. ปจติ ง. รุนเฺ ธติ ๖. กริ ิยาศพั ทใดตอ ไปนจี้ ดั อยูใ นหมวด กี ธาตุ ? ก. ภฺุชติ ข. ชินาติ ค. สณุ าติ ง. สยติ ๗. กริ ยิ าศพั ทใ ดตอไปน้ีใชศ พั ทพ เิ ศษสำหรับนำหนากริ ิยา ? ก. นิกฺขมติ ข. อุปจจฺ คา ค. มนสิกโรติ ง. อุปสงกฺ มติ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 73
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 74 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò ๘. อกมั มธาตไุ มนยิ มใชในวาจกใด ? ก. ภาววาจก ข. เหตกุ ตั ตวุ าจก ค. กมั มวาจก ง. กัตตวุ าจก ๙. กริ ยิ าศัพทใดตอ ไปนีใ้ ชไดท้ัง เอก. และพหุ. ? ก. กาหติ ข. โหติ ค. ภวนตฺ ิ ง. อตถฺ ิ ๑๐. สกัมมธาตไุ มน ยิ มใชใ นวาจกใด ? ก. กมั มวาจก ข. เหตุกมั มวาจก ค. กัตตุวาจก ง. ภาววาจก เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 74
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 75 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เฉลยแบบประเมินผล หนวยท่ี ๔ ขอ กอ นเรียน หลงั เรยี น ๑. ก ข ๒. ก ง ๓. ค ข ๔. ค ง ๕. ค ก ๖. ง ข ๗. ข ค ๘. ข ค ๙. ค ง ๑๐. ค ง เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 75
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 76 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) แผนการสอนบาลีไวยากรณ หนว ยท่ี ๕ เรือ่ ง วาจกและปจ จัย เวลาทำการสอน ๓ คาบ สาระสำคญั กิริยาท่ีกลาวถึงบทที่เปนประธาน คือ บงใหทราบถึงบทที่เปนประธาน ในประโยค เรียกวา “วาจก” และกลุมคำอกี กลุมหนง่ึ ทใ่ี ชลงขา งหนา วิภตั ตเิ ปนเครอื่ ง บงใหทราบถงึ วาจก เรียกวา “ปจ จยั ” จุดประสงค ๑. เพ่อื ใหนกั เรยี นรูและเขา ใจถงึ วาจก ๒. เพอ่ื ใหนักเรียนประกอบประโยคบาลีไดถ กู ตอ งตามวาจกทงั้ ๕ ๓. เพ่ือใหนักเรียนรูและเขาใจถึงปจจัย และนำไปใชประกอบในวาจก ทัง้ ๕ ไดอยา งถูกตอง เนือ้ หา ๑. วาจก ๒. ปจ จัย กิจกรรม ๑. ประเมินผลกอ นเรยี น ๒. ใหนักเรยี นทอ งวาจก ปจ จยั ๓. ครูนำเขาสูบทเรยี น และอธบิ ายเน้อื หา ๔. บัตรคำ 76
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 77 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò ๕. ครสู รปุ เนื้อหาทั้งหมด ๖. ประเมินผลหลังเรยี น ๗. ใบงาน - ใหนักเรียนแตงวาจกและบอกชนิดของวาจกที่กำหนดใหเปน การบาน ๘. กจิ กรรมเสนอแนะ - ใหนกั เรยี นทองแมแบบใหได - ใหแ ตง วาจกและบอกชนิดของวาจกได (สัง่ เปนการบานดวย) - ใหนักเรยี นฝกใชป จ จัย สือ่ การสอน ๑. ตำราทใ่ี ชป ระกอบการเรียน-การสอน ๑.๑ หนงั สอื พระไตรปฎ ก ๑.๒ หนงั สือพจนานุกรม มคธ-ไทย โดย พันตรี ป. หลงสมบญุ สำนกั เรยี นวัดปากนำ้ ๑.๓ หนังสือพจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๔ หนงั สือพจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท โดย พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยตุ ฺโต) ๑.๕ หนงั สอื คมู อื บาลไี วยากรณ นพิ นธโ ดย สมเดจ็ พระมหาสมณเจา ฯ ๑.๖ หนงั สอื ปาลทิ เทศ ของสำนักเรยี นวดั ปากนำ้ ๑.๗ คัมภีรอภธิ านปั ปทปี ก า ๑.๘ หนังสอื พจนานุกรมธาตุ ภาษาบาลี ๒. อปุ กรณที่ควรมปี ระจำหอ งเรียน ๒.๑ กระดานดำ-แปรงลบกระดาน-ชอลก หรือ กระดานไวทบ อรด ๒.๒ เคร่อื งฉายขามศีรษะ (Over-head) ๒.๓ คอมพิวเตอร – โปรเจคเตอร 77
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 78 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๓. บัตรคำ ๔. ใบงาน วธิ ีวดั ผล-ประเมนิ ผล ๑. สอบถามความเขาใจ ๒. สังเกตพฤตกิ รรมการมสี ว นรวมในกิจกรรม ๓. สังเกตความกา วหนา ดานพฤติกรรมการเรียนรูของผเู รียน ๔. ตรวจใบงาน ๕. ตรวจแบบประเมนิ ผลกอนเรียน-หลงั เรยี น 78
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 79 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๑. วาจก กริ ิยาศพั ททกี่ ลาวถึงบทซึ่งเปน ประธาน ไดแก บงใหทราบบททีเ่ ปนประธาน ในประโยค กิริยาศัพทนั้น ตองประกอบดวยวิภัตติ กาล บท วจนะ บุรุษ ธาตุ (ดังกลาวแลว) และปจจัย (ซ่ึงจะกลาวขางหนา) กิริยาศัพทซึ่งประกอบดวยเคร่ืองปรุง ดงั กลา วมาน้ี มอี ยใู นประโยคแหง คำพดู ใด ยอ มแสดงใหท ราบถงึ ตวั ประธานในประโยคนน้ั วามีอยู แมจะไมปรากฏตัวในประโยคก็ตาม โดยอาศัยกิริยาน่ันเองเปนเครื่องช้ี กิริยา ศัพทอันบงประธานน้ี นักปราชญท างดา นภาษาบาลีบัญญัติ เรียกวา “วาจก” ๑.๑ ความหมายของวาจก คำวา “วาจก” น้ัน ไดมีนักวิชาการหลายแขนงใหความหมายไวแตกตางกัน ออกไป ดังตอไปน้ี คือ วาจก (ว.ิ ) ผูกลา ว, ผูพดู , ผบู อก. วาจก (ปุ.) กิริยาศัพทผูกลาว, ฯลฯ, วาจก ชื่อของขอความที่สมบูรณ ตอนหนึ่ง ๆ ช่ือของกริ ยิ าท่ปี ระกอบ วิภัตติ กาล บท วจนะ บรุ ษุ และปจ จยั . ในบาลไี วยากรณ มี ๕ วาจก คอื กตั ตวุ าจก กัมมวาจก ภาววาจก เหตุกัตตุวาจก และเหตุกัมมวาจก. (พจนานกุ รม มคธ-ไทย โดย พนั ตรี ป. หลงสมบญุ สำนกั เรยี น วดั ปากน้ำ จดั พิมพ ๒๕๔๐ หนา ๖๓๙) วาจก น. ผูกลา ว, ผูบอก, ผูพูด. (ป., ส.). (พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ หนา ๗๕๐) ในหนังสือคูมือเลมนี้จะใหความหมายของคำวา “วาจก” เชนเดียวกันกับ นักวิชาการทา นอน่ื ๆ คือ “กลา วบทท่เี ปน ประธานของกิริยา” ๑.๒ ประเภทของวาจก วาจกนีเ้ มอื่ จะวา โดยประเภทมีอยู ๕ คือ ๑. กัตตุวาจก บง ผูท ำ ยกขึน้ เปน ประธานในประโยค ๒. กัมมาวาจก บง ผถู กู ทำ ยกข้ึนเปน ประธานในประโยค 79
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 80 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๓. ภาววาจก บงเพียงความมคี วามเปน ไมมีตวั ประธาน ๔. เหตกุ ตั ตวุ าจก บง ผูใชใหทำ ยกขึน้ เปน ประธานในประโยค ๕. เหตกุ มั มาวาจก บง ผทู ถี่ กู เขาใชใ หท ำ ยกขนึ้ เปน ประธานในประโยค วาจกเหลา นี้ ผศู ึกษาจะสังเกตใหทราบไดแนช ัดวา เปน วาจกอะไร ตอ งอาศยั ปจจัยซึ่งทานจัดไวประจำหมวดของวาจกน้ันๆ เปนเคร่ืองบงใหทราบ ดังจะอธิบาย วาจกแตละประเภท ตอ ไปนี้ :- ๑. กัตตวุ าจก กริ ิยาศัพทใ ดกลาวผทู ำ คือ ยกผวู า ขึน้ เปนประธานในประโยคแสดงวา ตวั ที่ เปนประธานในประโยคน้ันเปนผูทำเอง และกิริยาที่คุมพากยเปนของผูทำน้ัน กิริยา ศพั ทน ัน้ เปน กตั ตุวาจก กิริยาศัพทใ นวาจกน้ี ใชประกอบดว ยปจ จัย ๑๐ คอื อ, เอ, ย, ณุ, ณา, นา, ณฺหา, โอ, เณ, ณย ตัวใดตัวหน่ึง และวิภัตติก็มักใชประกอบดวยวิภัตติฝายปรัสสบท เปน สวนมาก (ฝา ยอตั ตโนบทก็มีบา ง แตมเี ปนสว นนอ ย) เชน สูโท โอทนํ ปจติ ฯ พอครัว หุงอยู ซ่ึงขา วสกุ ฯ ในทีน่ ี้ ปจติ (หงุ อย)ู เปน กัตตวุ าจก เพราะประกอบดวย อ ปจจยั ติ วภิ ัตติ บงตนเองวาเปนกิริยาของ สูโท (พอครัว) ซ่ึงเปนบทประธานในประโยค ดวยมีปจจัย แลวิภตั ตินัน้ เปน เคร่ืองหมาย สโู ท ก็เปน ผูท ำดวยตนเองในกริ ิยา คอื ปจติ โอทนํ (ซึ่งขาวสุก) เปนกรรม คือ เปนส่ิงที่ถูกศิษยศึกษา แตตัวกรรม ไมสูเปนสิ่งสำคัญในวาจกนี้ เพราะกิริยาศัพทท่ีเปนธาตุไมมีกรรม ก็อาจใชได ในวาจกน้ี เม่ือเปนเชนน้ี ไมจำเปนตองมีก็ได ในเมื่อกิริยาศัพทเปนอกัมมธาตุ เพราะวาจกนี้ ใชกริ ิยาศพั ทท เี่ ปนอกมั มธาตุ และสกมั มธาตุกไ็ ดท ้งั ๒ ชนิด 80
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 81 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò องคป ระกอบของกตั ตวุ าจก มี ๓ อยา ง คอื ๑. กตั ตา ผูทำ ซึ่งเปนตัวประธาน ตอ งประกอบดว ยปฐมาวิภัตติ ๒. กรรม ผู หรือ สิ่งทถี่ ูกทำ ตองประกอบดวยทุติยาวภิ ัตติ ๓. กิริยา อาการท่ีทำ ตองประกอบดวยปจจัยท้ัง ๑๐ ตัว ตัวใดตัวหนึ่ง ดงั ท่กี ลา วมาแลว อน่ึง สำหรบั ธาตุทไี่ มมีกรรม มตี วั สำคัญอยู ๒ คอื กัตตาและกริ ิยา เทานัน้ เชน พหู ชนา อธิ สนฺนิปตึสุ ฯ ชน ท. มาก ประชมุ กันแลว ในที่น้ี ฯ ในประโยคนี้ ชนา เปน กตั ตา เพราะเปนผูทำในประโยค สนฺนปิ ตสึ ุ เปน กริ ิยา เพราะบงตนเองวา เปนกิรยิ าของ ชนา สวน กรรม หามีไม เพราะสนนฺ ปิ ตึสุ เปนธาตุไมม ีกรรม ๒. กัมมวาจก กริ ิยาศพั ทใ ดกลาวกรรม (ผู หรอื สง่ิ ที่ถกู เขาทำ) คือ ยก ผู หรือสิง่ ทีถ่ ูกทำ ข้นึ เปนประธานในประโยค แสดงวา ตัวที่เปน ประธานในประโยคถูกเขาทำ มไิ ดท ำเอง และกริ ยิ าทค่ี มุ พากยก เ็ ปนของ ผู หรือ สงิ่ ท่ถี ูกทำนั้น กริ ยิ าศพั ทนน้ั เปนกัมมวาจก กิริยาศัพทในวาจกนี้ ใชประกอบดวย ย ปจจัยตัวเดียวเทาน้ัน และลง อิ อาคม หนา ย ดวย แต อิ อาคม ไมแนนกั ในบางแหงไมต อ งลงกไ็ ด สว นวิภัตติ โดย มากมักใชฝายอัตตโนบท (ฝา ยปรสั สบทกม็ บี าง แตม ีเปน สวนนอ ย) เชน สเู ทน โอทโน ปจยิ เต ฯ ขาวสุก อันพอครัว หงุ อยู ฯ ปจิยเต (หุงอย)ู เปน กัมมวาจก เพราะประกอบดวย ย ปจจยั และ อิ อาคม หนา ย, เต วิภัตติ บงตนเองวา เปน กิรยิ า ของ โอทโน (ขาวสกุ ) ซ่ึงเปน ประธาน ดว ย ปจจัยและวิภัตติเปน เครือ่ งหมาย สเู ทน (อนั พอครัว) เปน กัตตา ผทู ำ แตมิไดเปน ประธานในประโยค ในวาจกนี้ ยกกรรมขนึ้ เปน ประธาน เพราะฉะนนั้ กริ ยิ าจงึ ตอ งใชส กมั มธาตอุ ยาง เดยี ว จะใช อกัมมธาตหุ าไดไ ม ทเี่ ปนเชน น้ี กเ็ พอื่ ใหตรงกบั ทใ่ี ชก รรมเปน ตวั ประธาน 81
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 82 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) องคประกอบของกัมมวาจก มี ๓ อยาง คอื ๑. กตั ตา ประกอบดว ยตตยิ าวภิ ตั ติ ๒. กรรม ประกอบดว ยปฐมาวภิ ัตติ ๓. กิริยา ประกอบดวย ย ปจจัย และ อิ อาคม หนา ย, ซ่ึงจะขาด อยางใดอยา งหนงึ่ ยอมไมได กิริยาในกัมมวาจกน้ี บางตัวที่ไมตองลง อิ อาคม มักแปลงปจจัย คือ ลง ย ปจจัยแลว ก็แปลง ย กบั ทส่ี ดุ ธาตุ เปนพยญั ชนะเพ่มิ เขามาอกี ตวั หนึง่ ตามวรรค ของตน เชน ปจฺ ธาตุ แปลง จ ทส่ี ุดธาตกุ ับ ย เปน จฺจ สำเร็จรปู เปน ปจฺจติ ลภฺ ธาตุ แปลง ภ ทสี่ ดุ ธาตุกบั ย เปน พภฺ สำเรจ็ รปู เปน ลพภฺ ติ เปน ตน บางคราวถาเปนธาตุตัวเดียว ก็มักซอน ยฺ พยัญชนะที่หนา ย ปจจัยบาง เชน สยุ ยฺ เต เปนตน เชนนไ้ี มตอ งลง อิ อาคม ๓. ภาววาจก กริ ยิ าศัพทใด กลา วเพียงความมคี วามเปน เทา นน้ั ไมก ลา วกัตตา และ กรรม คือ ไมยกผูทำหรือสิ่งท่ีถูกทำข้ึนเปนบทประธานในประโยค กิริยาศัพทน้ันเปน ภาว วาจก กริ ิยาศัพทในวาจกนีใ้ ชประกอบดว ย ย ปจ จัย เหมือนกัมมวาจก ตางแตไมมี อิ อาคมเทาน้ัน และใช เต วิภัตติ ฝายอัตตโนบท ปฐมบุรุษ เอกวจนะ อยางเดียว เทาน้ัน สวนตวั กตั ตา จะใชเ ปน พหุวจนะ และ บุรุษอืน่ ๆ ก็ไดไมจำกัด เชน เตน ภยู เต ฯ อันเขาเปน อยู ฯ เตน เปน กัตตา ใน ภูยเต ภูยเต เปนภาววาจก เพราะประกอบดวย ย ปจจยั เต วภิ ัตติ ฝายอตั ตโนบท ปฐมบุรษุ เอกวจนะ องคป ระกอบของภาววาจก มี ๒ อยาง คือ ๑. กัตตา ตองเปนตติยาวิภัตติเทานั้น สวน วจนะ จะเปน เอก. หรือ พหุ. ก็ใชไ ดท้ัง ๒ ประการ 82
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 83 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๒. กิริยา ตองประกอบดวย ย ปจจัย เต วิภัตติ เอกวจนะ และธาตุท่ีจะ พึงใชประกอบเปนกิริยาในวาจกนี้ นิยมใชเฉพาะอกัมมธาตุเทาน้ัน สกัมมธาตุหาใชไดไม ๔. เหตุกัตตวุ าจก กิริยาศัพทใด กลาวถึงผูที่ใชใหคนอื่นทำ คือ ยกผูใชขึ้นเปนตัวประธานใน ประโยค แสดงวาตวั ประธานของกิริยาซึง่ เปน ตัวคุมพากยใ นประโยคนนั้ มไิ ดล งมือทำเอง เปนแตบังคับใหผูอ่ืนทำ และกิริยา ก็เปนของผูใชน้ัน หาเปนกิริยาของผูถูกใช หรือ ส่ิงท่ีถูกผูถูกใชทำไม กิริยาศัพทน้ันเปน เหตุกัตตุวาจก คือ กลาวผูทำอันเปนเหตุคือ เปนผใู ช ในวาจกน้ีใชประกอบปจจัย ๔ ตัว คือ เณ, ณย, ณาเป, ณาปย ตัวใด ตวั หน่งึ เชน สามิโก สทู ํ โอทนํ ปาเจติ ฯ นาย ยังพอ ครวั ใหหงุ อยู ซึ่งขาวสุก ฯ ปาเจติ (ใหหงุ อย)ู เปน เหตุกตั ตวุ าจก เพราะประกอบดวย ณาเป ปจ จัย ติ วิภัตติ ซ่ึงบงใหทราบวาเปนกิริยาของ สามิโก (นาย) อันเปนตัวประธานของกิริยา ศัพท ดวยมปี จจยั และวภิ ตั ตินนั้ เปนเครอ่ื งหมาย สทู ํ (ยงั พอ ครัว) เปนการติ กรรม คือผถู ูกเขาใช โอทนํ (ซึง่ ขาวสกุ ) เปนกรรม (อวุตตกรรม) คอื สิง่ ทถี่ ูกผถู ูกใชทำ องคประกอบของเหตกุ ตั ตวุ าจก มี ๔ อยา ง คอื ๑. เหตุกัตตา ผูทำทเ่ี ปนเหตุ คือ ผใู ชป ระกอบดว ยปฐมาวิภัตติ ๒. การิตกรรม ผถู กู ใชป ระกอบดวยทตุ ยิ าวิภตั ติบา ง ตตยิ าวิภตั ตบิ าง ๓. กรรม สงิ่ ท่ีถูกผูถกู ใชทำ ประกอบดว ยทตุ ิยาวภิ ตั ติ ๔. กิริยา กริ ยิ าประกอบดวยปจจัยตัวใดตวั หนึ่งใน ๔ ตวั ดังกลาวแลว และ ใชวิภัตติฝายปรัสสบท ธาตุที่ใชในวาจกนี้ใชไดทั้งที่เปนสกัมมธาตุและ อกมั มธาตุ 83
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 84 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๕. เหตุกัมมวาจก กิริยาศัพทใด กลาวส่ิงที่ถูกผูถูกใชทำ คือ ยกส่ิงท่ีถูกผูถูกใชทำขึ้นเปนบท ประธานในประโยค แสดงวาตัวประธานในประโยคนนั้ เปน สง่ิ ทถ่ี กู ผถู กู ใชทำ และกิริยา ศัพทท่ีใชคุมพากย ก็เปนกิริยาของส่ิงน้ัน หาเปนกิริยาของผูใชหรือผูถูกใชไม กิริยา ศัพทน้นั เปนเหตกุ มั มวาจก คือ กลา วสง่ิ ทถี่ ูกผถู กู ใชทำอนั เปนเหตุ ในวาจกน้ีประกอบดวยปจจัยตัวใดตัวหน่ึงในกัตตุวาจก และประกอบดวย ณาเป ปจจัย กับท้ัง ย ปจจัย อิ อาคมหนา ย อีกดวย สวนวิภัตติใชประกอบดวย วภิ ัตติฝา ยอตั ตโนบท เชน สามเิ กน สูเทน โอทโน ปาจาปย เต ฯ ขาวสกุ อนั นาย ยังพอ ครวั ใหห ุงอยู ฯ ปาจาปยเต (ใหห ุงอยู) เปน เหตุกัมมวาจก เพราะประกอบดว ย ณาเป และ ย ปจจยั อิ อาคม บงตวั เองวาเปน กิรยิ าของ โอทโน (ขาวสุก) ซึง่ เปนบทประธานใน ประโยค สามเิ กน (อันนาย) เปนเหตุกัตตา คอื ผูใ ชใ หทำ สเู ทน เปน การิตกรรม คอื ผถู ูกเขาใชใหทำ องคป ระกอบของเหตกุ มั มวาจก มี ๔ อยา ง คือ ๑. เหตุกตั ตา ผูใชป ระกอบดว ยตตยิ าวิภตั ติ ใชอ ายตนิบาตวา “อนั ” ๒. การิตกรรม ผูถูกใชประกอบดวยตติยาวิภัตติเหมือนกัน แตใช อายตนิบาตวา “ยงั ” และประกอบดวยทุตยิ าวภิ ัตตบิ าง ๓. เหตุกรรม ส่ิงที่ผูถูกใชทำ ประกอบดวยปฐมาวิภัตติ เปนประธาน ในประโยค ๔. กิริยา ประกอบดวยเคร่ืองหมายดังกลาวแลว สวนธาตุใชเฉพาะ สกัมมธาตอุ ยางเดียวเทา นน้ั 84
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372