Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กาลครั้งหนึ่งเมื่อฉันหัดเดิน

กาลครั้งหนึ่งเมื่อฉันหัดเดิน

Published by Thalanglibrary, 2020-11-28 11:41:50

Description: กาลครั้งหนึ่งเมื่อฉันหัดเดิน

Search

Read the Text Version

สม้ สตรอเบอรร์ ่ี มะละกอ แคนตาลปู มะมว่ ง บรอ็ คโคล่ี พรกิ หวาน ผกั กาด มะเขอื เทศ มะนาว ฝร่ัง มะขาม วติ ามินเอ หรือเบต้าแคโรทนี เปน็ ตัวเพ่ิมการท�ำ งานของ Natural Killer Cell ที่ดกั จบั เช้อื แบคทเี รีย พบมากในผกั และผลไมท้ ี่ มีสเี ขยี วเข้ม ส้มจัด เหลืองจัด เช่น แครอท ฟกั ทอง ผกั บ้งุ มะละกอ มะม่วงสุก มะเขือเทศ วติ ามนิ อี ชว่ ยสง่ เสรมิ การทำ�งานของระบบภมู คิ มุ้ กนั และ เพ่ิมการสร้างแอนติบอดี พบมากใน นำ้�มันพืชประเภทนำ้�มันดอก ทานตะวนั น�้ำ มนั รำ�ขา้ ว งา ถว่ั เปลอื กแขง็ เมลด็ พชื ตา่ ง ๆ ขา้ วกลอ้ ง จมูกข้าวสาลี นำ�้ มันถ่ัวเหลือง ผักใบเขียว ธาตุสังกะสี ช่วยสร้างและเสริมการทำ�งานของเซลล์เม็ด เลือดขาว เสริมสร้าง T-cells และ B-cells พบมากในเน้ือสัตว์ ต่าง ๆ อาหารทะเล ถ่ัวเปลอื กแขง็ เมลด็ ถวั่ จมูกขา้ วสาลี เตา้ หู้ และ นม ธาตุเหล็ก ทำ�งานร่วมกับเอนไซม์ในระบบภูมิคุ้มกัน พบ มากในเน้ือสัตว์ เครื่องในสัตว์ หอย ถ่วั เปลือกแข็ง นำ�้ ลูกพรุน และ ผักใบเขียว ซลี เี นยี ม ชว่ ยเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพของเซลลใ์ นระบบภมู คิ มุ้ กนั พบในอาหารทะเล ตับ ไต เน้อื สตั ว์ กระเทียม ไข่ และธัญพชื นอกจากนี้ ไขมันบางชนิดมีส่วนช่วยเสริมภูมิต้านทานใน การสรา้ งเมด็ เลอื ดขาวและแอนตบิ อดี ได้แก่ กรดไขมนั จำ�เป็น ไลโน เลอิก และกรดไขมนั กลมุ่ โอเมก้า ๓ ที่พบมากในปลาทะเล เชน่ ทนู า่ แซลมอน ถ่ัววอลนัท กรดไขมันจำ�เป็นพวกน้ีช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ๗๗กาลคร้งั หน่ึง...เมื่อฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk.

๗๘ กาลครั้งหน่งึ ...เมือ่ ฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. กระเทียม เป็นเครื่องเทศที่มีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทานโดยสารอัลลิซิน (Allicin) และซัลไฟด์ (Sulfide) ในกระเทียมจะเพ่ิมประสิทธิภาพการ ท�ำ งานของเซลลใ์ นระบบภมู คิ มุ้ กนั มฤี ทธฆ์ิ า่ เชอ้ื โรค และเปน็ สารตา้ น อนุมูลอิสระอีกดว้ ย รวมทัง้ พืชผักใบเขียว โยเกิร์ตที่มจี ลุ ินทรีย์ เชน่ แลคโตบาซลิ สั ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ท่มี ปี ระโยชน์ตอ่ รา่ งกาย โดยจะยบั ยง้ั การเกดิ จลุ ินทรียต์ วั ร้ายในระบบยอ่ ยอาหาร เช่น แบคทีเรยี รา หรือ ยสี ต์ รวมทั้งยงั กระตุน้ การสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนตบิ อดี ให้กำ�จดั เช้ือโรคไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพมากยงิ่ ขน้ึ ดงั น้นั ถ้าเราต้องการให้ก้อนเนอื้ มะเร็งยบุ ลง เราจงึ ต้อง ท�ำ ใหก้ อ้ นมะเรง็ ขาดออกซเิ จน และอาหาร ซงึ่ อาหารของมะเรง็ คอื โปรตนี และไขมนั ดงั นนั้ เราตอ้ งงดโปรตนี และไขมนั ในขณะเดยี วกนั ก็ต้องเพิ่มภมู ิต้านทานใหร้ า่ งกายคือ เพ่ิมประสทิ ธภิ าพของเซลลเ์ มด็ เลือดขาว โดยการเพ่ิมวิตามิน และเกลือแร่ เช่น วิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) วติ ามินซี และวิตามนิ อี ซงึ่ ท้ังสามตัวนี้เกิดจากการ รบั ประทานอาหารจ�ำ พวก ข้าวกลอ้ ง ผักสด และผลไมส้ ด รวมทั้ง ปรับสภาพจิตใจให้ดี ท�ำ จิตใจให้เบิกบาน ด้วยการสวดมนต์ น่ัง สมาธิ เพอ่ื ชว่ ยในการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการทำ�งานของเมด็ เลอื ดขาว และเพ่มิ ภมู ิต้านทานให้แก่รา่ งกาย “โรคมะเรง็ ” เปน็ สงิ่ ทก่ี �ำ หนดไมไ่ ดว้ า่ จะเกดิ ขนึ้ กบั ใครบา้ ง คนส่วนใหญม่ กั จะคดิ ว่าโรคน้นั คงไม่เกดิ ขน้ึ กบั เราแน่ แต่เมื่อเปน็ แลว้ ก็มกั จะตรวจพบในระยะที่รกั ษายากเสมอ จรงิ ๆ แลว้ โรคมะเรง็ น้ัน เป็นโรคที่ไม่ใช่โรคเพราะมันไม่ได้เกิดจากเช้ือโรค และไม่มีตัวสาเหตุ โดยตรง แต่มันเกิดมาจากภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง ทำ�ให้เซลล์

เม็ดเลือดขาวไม่สามารถทำ�ลายเซลล์แปลกปลอมอย่างเซลล์มะเร็งท้ิง ทำ�ให้เซลล์มะเร็งมีโอกาสเติบโตข้ึนมาเป็นก้อนแล้วหันมาทำ�อันตราย ต่อร่างกายเราเอง ประกอบกับการรับประทานอาหารสมัยใหม่ตาม แนวตะวันตก วิถีชวี ิตทเี่ รง่ รีบ และสภาพแวดล้อมในปจั จุบนั ทีเ่ ตม็ ไป ด้วยมลภาวะและสารปนเป้ือน สง่ ผลใหเ้ กดิ ความเครียด ทำ�ให้สภาพ ร่างกายอ่อนแอ ดังน้ัน เราจึงต้องฟื้นสภาพภูมิต้านทานกลับคืนมา ทำ�ให้เซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายเพิ่มขึ้นเพื่อทำ�หน้าที่กำ�จัดเซลล์ มะเรง็ ใหห้ มดไป ดว้ ยเหตนุ กี้ ารดแู ลรกั ษาสขุ ภาพจงึ เปน็ สง่ิ จ�ำ เปน็ และ ส�ำ คญั ของทกุ คน ทกุ เพศ ทกุ วยั เพราะเราทกุ คนมโี อกาสเกดิ โรค และ เจบ็ ปว่ ยไดเ้ ทา่ เทยี มกนั เราสามารถจดั การกบั มนั ไดห้ ากเรามคี วามมงุ่ มั่นท่ีจะเลิกพฤติกรรมการบริโภคที่ผิด ๆ และหันมาบริโภคอาหารท่ี เปน็ ประโยชนต์ อ่ สขุ ภาพ การสรา้ งทศั นคติในแงบ่ วก เหลา่ นจี้ ะสง่ ผล ต่อการยืดอายุของอวัยวะสำ�คัญต่าง ๆ ของร่างกาย และเป็นการ ปอ้ งกันโรคภยั ไข้เจบ็ ไม่ให้เกดิ ข้ึน โดยตอ้ งเร่ิมทตี่ วั เราเองกอ่ นเสมอ ๗๙กาลคร้ังหน่ึง...เมื่อฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.



ความเครยี ด

๘๒ กาลครงั้ หน่งึ ...เมื่อฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.

ความเครียด ความหมายของความเครียด ความเครยี ด (Stress) เปน็ ปฏกิ ริ ยิ าของรา่ งกายและจติ ใจ ที่เกิดข้ึนเมื่อมีสิ่งมากระตุ้น และมีปฏิกิริยาตอบโต้เป็นปฏิกิริยาทาง สรรี วทิ ยา และจติ วทิ ยา โดยระบบตอ่ มไรท้ อ่ ทห่ี ลงั่ ฮอรโ์ มน และระบบ ประสาทอัตโนมัติ ทำ�ใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงไปทั่วร่างกาย ตวั ก่อความเครียด มี ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คอื ๑. ความเครยี ดทางกาย ได้แก่ ภยั คกุ คามตา่ ง ๆ ท่ีมตี อ่ ความสขุ สบายทางกาย เชน่ ร้อนเกนิ ไป หนาวเยน็ เกินไป การเจบ็ ป่วยหรือการบาดเจ็บท่ีเกิดกับร่างกาย ตลอดจนสภาพแวดล้อมทั่วไป เชน่ มลภาวะจากเครอื่ งจกั ร เครอ่ื งยนต์ อากาศเสยี จากควนั ทอ่ ไอเสยี ฝ่นุ ละออง ยาฆา่ แมลง ๒. ความเครียดทางสังคม หรือ ความเครียดทางใจ ไดแ้ ก่ เหตกุ ารณ์ที่เกิดขน้ึ ในชวี ติ ของคนเรา เช่น การสอบแขง่ ขนั เข้า เรยี น เขา้ ทำ�งาน เล่ือนขน้ั เลอ่ื นตำ�แหนง่ สภาพทางเศรษฐกจิ ท่ไี ม่ พอใจ ความรูส้ กึ วา่ ตนเองต�ำ่ ตอ้ ยกวา่ คนอืน่ ความเครยี ดต้นเหตุให้เกดิ โรค “ความเครียด” คือ การหดตัวของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วน หนึ่งในหลายส่วนของร่างกาย ซึ่งทุกคนจ�ำ เป็นต้องมีอยู่เสมอในการ ด�ำ รงชีวติ เช่น การทรงตัวเคลอ่ื นไหวท่วั ๆ ไป มีการศึกษาพบว่าทกุ คร้ังที่เราคิดหรือมีอารมณ์บางอย่างเกิดข้ึน จะต้องมีการหดตัว เคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแห่งใดแห่งหน่ึงในร่างกายเกิดขึ้นควบคู่เสมอ ๘๓กาลคร้งั หนึง่ ...เมื่อฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.

๘๔ กาลครั้งหน่ึง...เมอื่ ฉันหัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk. ความเครียดเปรียบเสมือนเครื่องปรุงแต่งรสชาติของคนเราในการใช้ ชีวิตอยู่ เชน่ ความเครียดจากการเขา้ แขง่ ขันใด ๆ จะกอ่ ใหเ้ กิดความ กดดนั ซ่ึงจะกลายเปน็ พลงั ในการขับเคลอื่ นกับตัวเราเอง โดยเฉพาะ ถา้ เราคาดหวงั วา่ เราจะตอ้ งชนะ จะยง่ิ เปน็ การเพม่ิ ความเครยี ดมากขน้ึ ไปอีก เมื่อวิกฤตการณ์ผ่านพ้นไป ร่างกายจะกลับสู่สภาวะปกติ แต่ ความเครยี ดทเ่ี ปน็ อนั ตรายกค็ อื ความเครยี ดทเ่ี กดิ ขน้ึ มากเกนิ ความ จ�ำ เปน็ เมอ่ื เกดิ ขน้ึ แลว้ ยงั คงอยเู่ ปน็ ประจ�ำ ไมล่ ดหรอื หายไปตามปกติ และถ้าเรายังคงปล่อยให้เกิดความเครียดสะสมในร่างกายนานเข้า จะส่งผลทำ�ให้เกิดการสูญเสียสมดุลของระบบประสาทรวมถึงการ หลง่ั ฮอรโ์ มน ภมู ติ า้ นทานของรา่ งกายลดต�่ำ ลง อนั เปน็ ผลท�ำ ใหเ้ กดิ เปน็ โรคอนั เนอ่ื งมาจากการใชช้ วี ติ ประจำ�วนั ได้ ท�ำ ใหค้ นในยคุ ปจั จบุ นั น้ีกำ�ลังเผชิญหน้ากับความเครียด ซ่ึงก่อให้เกิดความผิดปกติทาง รา่ งกายและจิตใจ ดังนี้ ๑. ความผดิ ปกตทิ างรา่ งกาย ได้แก่ หัวใจเต้นแรง และ เร็วขน้ึ ความดันโลหติ เพ่ิมขึน้ มอื -เท้าเย็น เหง่อื ออกตามมอื ตามเท้า หายใจตนื้ และเรว็ ขึ้น ใจสัน่ ปวดศีรษะ ท้องเสียหรอื ทอ้ งผูก นอนไม่ หลบั งว่ งนอนตลอดเวลา ทอ้ งอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ประจำ�เดือนมา ไมป่ กติ สง่ ผลใหเ้ กดิ ปญั หาตา่ งๆ ทางรา่ งกาย ทำ�ใหเ้ ปน็ โรคภยั ไขเ้ จบ็ มากมาย ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคเสน้ เลอื ดในหวั ใจและ สมองตบี โรคกระเพาะอาหาร โรคหอบหดื โรคความดนั โลหติ สงู โดย โรคเหล่าน้ีเกิดจากความเสื่อมของร่างกายที่เกิดจากการดำ�เนินชีวิตที่ เร่งรบี ในสังคมปจั จุบนั

๒. ความผดิ ปกตทิ างจติ ใจ ไดแ้ ก่ ความวติ กกงั วล คดิ มาก คิดฟุ้งซ่าน สมองทำ�งานมากข้ึน หลงลืมง่าย หงุดหงิด โกรธง่าย ใจนอ้ ย เบ่อื หน่าย ซมึ เศร้า เหงา วา้ เหว่ สิ้นหวงั หมดความรู้สกึ สนกุ สนาน อนั เปน็ ผลมาจากความเครยี ดทเ่ี กดิ จากปญั หาในการท�ำ งาน ปญั หาครอบครวั ปญั หาเรอ่ื งการเรยี น ปญั หาการวา่ งงาน ปญั หาทาง ด้านเศรษฐกิจ ค่าครองชพี สงู เป็นตน้ อาการของโรคที่เกิดจากความเครียดน้ันแตกต่างกันไปใน แต่ละบุคคล เคยสงสัยไหมว่าท�ำ ไมคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน กลับรับมือกับความเครียดได้แตกต่างกัน ลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน ก่อให้เกิดความต่างตรงน้ีได้ รวมไปถึงการมีสุขภาพกายและใจท่ีแข็ง แรง ทำ�ให้สามารถฟันฝ่าความเครียดเหล่าน้ันไปได้ ในทางกลับกัน ช่วงเวลาท่ีเราอ่อนแอ ความเครียดเล็ก ๆ อาจเช่ือมโยงไปสู่ปัญหา ใหญ่ ๆ ภายหลงั ไดเ้ หมือนกนั แพทยส์ มยั ใหมก่ บั งานวิจัยด้านความเครยี ด จากความผดิ ปกตทิ งั้ สองประการ คอื ทางรา่ งกายและจติ ใจ โดยมากมักเกดิ จากสภาวะจติ ใจเปน็ สว่ นใหญ่ ทม่ี ผี ลกระทบท�ำ ให้เกดิ ความเครียดข้ึน ซึ่งในปจั จบุ ันนี้ การวิจัยทางแพทยแ์ ผนปัจจุบนั ได้พบ ว่า อารมณ์ทางดา้ นลบของเราหรือความเครยี ดนั้นกอ่ ใหเ้ กิดโรคได้ จะเหน็ ไดจ้ ากการน�ำ เสนอของแพทยส์ มยั ใหมท่ ่มี มี าดังต่อไปนี้ จอรส์ โซโลมอน (George Solomon) เปน็ ศาสตราจารย์ ทางดา้ นจติ เวชศาสตรท์ ่ี UCLA และเปน็ อาจารยพ์ เิ ศษทางจติ เวชศาสตร์ ของมหาวทิ ยาลยั แคลฟิ อรเ์ นยี กลา่ ววา่ อารมณเ์ ครยี ดสามารถสง่ ผล ๘๕กาลครง้ั หนึง่ ...เมอ่ื ฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.

๘๖ กาลครง้ั หนง่ึ ...เมอื่ ฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk. ตอ่ ระบบภมู คิ มุ้ กนั ได้ โดยเมอ่ื ปรมิ าณฮอรโ์ มนและสารสอื่ ประสาทลด ลงจะกอ่ ใหเ้ กิดภาวะเครยี ด ซ่งึ สามารถชกั น�ำ ให้เกิดโรคภยั ไข้เจบ็ หรือ ความผิดปกตบิ างอย่างได้ น.พ. บรซู แมคอีแวน (Bruce Mcevan) จิตแพทยแ์ หง่ มหาวิทยาลัยเยล ได้รวบรวมงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Internal Medicine Vol. 153 Sep. 1993 วา่ ความเครียด ทำ�ให้ภูมิต้านทานโรคของร่างกายตำ่�ลง เป็นเหตุให้มะเร็งแพร่ กระจายเร็วข้นึ ติดเชอ้ื ไวรสั ไดเ้ รว็ ข้ึน เกิดไขมนั อดุ ตนั ในเสน้ เลือดที่ หวั ใจเปน็ เหตใุ หก้ ลา้ มเนอ้ื หวั ใจขาดเลอื ดมาเลย้ี ง ท�ำ ใหอ้ าการของเบา หวานเกิดขึ้น และอาการหอบหืดเลวลง เกิดอาการลำ�ไส้อักเสบ นอกจากนคี้ วามเครยี ดทเ่ี กดิ ขน้ึ ตดิ ตอ่ กนั นาน ๆ ยงั ท�ำ ใหเ้ ซลลส์ มอง เสอื่ ม เป็นเหตุให้ความจ�ำ เสือ่ มลง เซลดอน โคเฮน (Sheldon Cohen) จิตแพทยแ์ ห่งมหา วิทยาลยั คารเ์ นกี เมลลอน ได้ทำ�งานรว่ มกับหน่วยวิจยั เกี่ยวกบั ไขห้ วดั แหง่ เมอื งเชฟฟลิ ด์ ประเทศองั กฤษ พบวา่ คนไขท้ ไ่ี ดร้ บั เชอื้ หวดั ทกุ คน ไม่ได้เป็นไข้หวัดทุกคน โดยคนท่ีมีความเครียดเล็กน้อยจะติดหวัดได้ ๒๗ % ในขณะทีค่ นท่ีมคี วามเครียดมากจะติดเชื้อถึง ๔๗ % นอกจากนั้นเซลดอนพบว่า คนไขท้ ี่เป็นเริมท่ีริมฝปี ากหรอื ทีอ่ วัยวะเพศ เรมิ มกั จะขึ้นอกี ในเวลาท่ีมีความเครียด โดยเขาวัดระดบั แอนติบอดใี นเลอื ด ซงึ่ แสดงถึงภูมิตา้ นทานตอ่ เช้อื ไวรสั เริม เขายังพบ

ว่า นกั ศึกษาแพทย์ทีก่ �ำ ลงั จะสอบปลายปี หญิงที่หยา่ ใหม่ ๆ มกั จะมี เรมิ ขึน้ บอ่ ย ๆ เพราะเป็นช่วงทีม่ ีความเครียดสูง ในแต่ละวันร่างกายของเราต้องใช้พลังงานส่วนหน่ึงไปใน การจัดการกับความเครียด ซ่ึงอาจเกิดขึ้นจากการทำ�งาน ภาวะ เศรษฐกิจ สภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ ในสังคมปจั จุบนั ท่ีแข่งขัน แก่งแย่ง กนั ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัว เม่อื ยลา้ วติ กกงั วล หมดแรง ระบบ ตา่ ง ๆ ในรา่ งกายจะถกู กระตนุ้ ใหท้ �ำ งาน โดยหลง่ั ฮอรโ์ มนอะดรนี าลนิ ออกมามาก ท�ำ ใหเ้ กดิ การเพมิ่ การทำ�งานของกลา้ มเนอื้ อตั ราการเตน้ ของหวั ใจและการหายใจจะเพมิ่ สงู ขน้ึ หลอดเลอื ดมกี ารหดตวั และเหงอ่ื ออกทางผวิ หนงั อณุ หภมู ขิ องรา่ งกายจะต�่ำ ลง สภาวะของรา่ งกายเกดิ การท�ำ งานทผี่ ดิ ปกตไิ ปจากเดมิ โดยจะผลติ อนมุ ลู อสิ ระออกมามากกวา่ ปกติ ทำ�ให้ระบบภมู คิ ุ้มกันของรา่ งกายลดลง จะเห็นไดว้ ่า ความเครยี ด ความโกรธ หรืออารมณใ์ น ดา้ นลบ มผี ลทำ�ใหเ้ ราเจ็บป่วย ทำ�ใหโ้ รคหายชา้ อัตราการตายเพมิ่ ข้ึน พึงระลึกไว้ว่าควรให้ร่างกายและจิตใจได้มีการผ่อนคลายอยู่ เสมอ เพื่อเป็นการป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกันความเครียดให้กับ ตวั เอง ๘๗กาลครัง้ หนง่ึ ...เม่ือฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk.

๘๘ กาลครงั้ หน่งึ ...เมื่อฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.

แพทยท์ างเลอื ก

๙๐ กาลครงั้ หน่งึ ...เมื่อฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.

แพทย์ทางเลอื ก ความหมายของแพทย์ทางเลอื ก แพทยท์ างเลอื ก (Alternative Medicine) คือ การรกั ษา โดยไมใ่ ชย้ าหรือสารเคมีใด ๆ จะใช้น�้ำ ร้อน น�้ำ เย็น การนวด ผลไม้ อาหาร สมาธิ โยคะ การพดู คุย เป็นต้น จากสภาวะความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีและการ สอื่ สารตา่ งๆไดเ้ จรญิ เตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ ตลอดจนสภาพชวี ติ ความเปน็ อยใู่ นเมอื งทอ่ี ยใู่ นสภาพการแขง่ ขนั สงู สง่ ผลใหค้ นสว่ นใหญเ่ คยชนิ กบั การใช้วัตถุฟุ่มเฟือยเพื่ออำ�นวยความสะดวกและมองวัตถุเป็นสิ่งสำ�คัญ มาก จนกลายเปน็ สว่ นหนง่ึ ในการด�ำ รงชวี ติ ประจ�ำ วนั ทขี่ าดไมไ่ ด้ ท�ำ ให้ คนในสังคมปัจจุบันกลายเป็นสังคมวัตถุนิยมและพ่ึงพาส่วนประกอบที่ เปน็ สารเคมีมากขึ้น ดงั น้ัน สงั คมในยคุ ปัจจุบันโดยเฉพาะผทู้ ีอ่ าศยั อยู่ ในเมอื ง จงึ มโี อกาสทจี่ ะเกดิ โรคภยั ไขเ้ จบ็ ขน้ึ มากมาย โดยปจั จยั สำ�คญั ทที่ ำ�ใหเ้ กิดโรคมดี ังนี้ ปัจจยั ท่มี ผี ลกระทบตอ่ การเกดิ โรค ๑. อาหาร เปน็ ปจั จยั ทม่ี คี วามสำ�คญั มากตอ่ ชวี ติ ของเราทกุ คน เพราะ เราต้องรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียง พอท่ีจะใช้ในการทำ�งานในชีวิตประจ�ำ วัน โดยในสงั คมไทยปัจจบุ ัน ๙๑กาลครง้ั หนึ่ง...เม่อื ฉันหัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.

๙๒ กาลคร้ังหนึง่ ...เม่อื ฉันหดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk. มีคนปว่ ยเป็นโรคที่เก่ียวกบั ทางเดนิ อาหารเปน็ จ�ำ นวนมาก อนั เปน็ ผลมา จากการบรโิ ภคอาหารทไ่ี มถ่ กู ต้อง และรับประทานไม่เป็นเวลา ดังคำ� กลา่ วทว่ี า่ “You are what you eat” สขุ ภาพของเราขนึ้ อยกู่ บั อาหาร ทีเ่ รารับประทาน อาหารจงึ เป็นตวั ก�ำ หนดภาวะโภชนาการของเรา ซง่ึ ตามหลกั ของแพทยท์ างเลอื กทใี่ ชอ้ าหารมาบ�ำ บดั รา่ งกาย น้ัน ไดใ้ ช้หลกั การตามคำ�กลา่ วที่ว่า “Let’s food be your medicine and your medicine be your food” จงใชอ้ าหารเปน็ ยาในการรกั ษา โรค และให้ยาทก่ี นิ คอื อาหาร ดงั นั้น อาหารตามแนวของแพทยท์ าง เลอื กจงึ ควรจะเป็นอาหารท่ยี ่อยง่าย ดูดซมึ ได้ดี ร่างกายสามารถ นำ�ไปใช้ได้ทนั ที และไม่เหลือของเสียตกคา้ งอยู่ในรา่ งกาย โดยจะ จดั อาหารใหม้ อี งค์ประกอบครบ ๕ หมู่ ดังน้ ี ๑. ระบบดดู ซึมดี ๒. ระบบทางเดินหายใจดี ๓. ระบบการหมนุ เวียนโลหติ ดี ๔. ระบบภูมิคุ้มกันดี ๕. ระบบฮอร์โมนดี ๒. อารมณ์ สาเหตุส�ำ คัญสาเหตุหน่ึงที่ท�ำ ให้เกิดโรคน้ัน เกิดจากกิเลส ในใจของเรา เชน่ ความโลภ ทำ�ใหร้ บั ประทานอาหารทมี่ ไี ขมนั สงู ไมม่ ี ประโยชน์ เพราะตดิ ใจในรสชาตคิ วามอรอ่ ยของอาหาร สว่ นความโกรธ หรอื ความเกลยี ดกส็ ง่ ผลรา้ ยตอ่ รา่ งกาย เชน่ เดยี วกบั ความเครยี ด กลา่ ว คอื จะส่งผลทำ�ให้รา่ งกายผลิตฮอรโ์ มนอะดรีนาลิน ทำ�ใหภ้ าวะความ เปน็ กรดในเลอื ดสงู ขนึ้ เกดิ ผลกระทบตอ่ ระบบประสาท ตลอดจนกลา้ ม

เนอื้ หวั ใจ ซงึ่ สภาพจติ ใจและอารมณม์ ผี ลกระทบโดยตรงกบั การเกดิ โรค ต่าง ๆ ทัง้ ทางกายและทางใจ ดงั น้นั เราตอ้ งปรับเปล่ียนอารมณ์ให้ ปกติ ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง ๓. อากาศ เราควรอยใู่ นที่ทมี่ ีอากาศบรสิ ทุ ธ์ิ ปลอดมลพิษ อยใู่ นที่ที่มี ปริมาณโอโซนในช้ันอากาศที่ทำ�ให้ปลอดเชื้อโรค โดยสาเหตุหน่ึงที่ ทำ�ให้เกดิ โรคนนั้ เกดิ มาจากการหายใจที่ไม่ถูกต้อง กล่าวคอื คนสว่ น มากมกั จะหายใจส้ันและเร็ว ทำ�ใหป้ อดไมส่ ามารถท�ำ งานไดอ้ ยา่ งเต็ม ท่ี เม่ือปล่อยให้เป็นอย่างน้ีต่อเน่ืองเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดความ เสอ่ื มไปถึงความผดิ ปกติตอ่ ระบบอนื่ ๆ ของรา่ งกาย ๔. การหายใจ การท�ำ งานของรา่ งกายมนษุ ยท์ กุ คนจ�ำ เปน็ ตอ้ งมกี ารหายใจ เพราะมันสัมพันธ์กับทุกส่วนของร่างกาย โดยการหายใจเป็นการขับ เคล่ือนส่วนเกินของความร้อนในร่างกายออกไป และเพ่ิมปริมาณ ออกซิเจนในเลอื ด ซ่ึงถา้ เราหายใจอย่างถกู ต้อง กลา่ วคือ การสูดลม หายใจเข้าลึกและยาว จะช่วยให้ปอดสามารถทำ�งานได้อย่างเต็มที่ และร่างกายนำ�ออกซิเจนไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในเวลาท่ี หายใจออก รา่ งกายจะขับกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน และ ของเสยี อื่น ๆ ออกมา เม่ือเราหายใจได้อย่างถกู ต้องแลว้ ระบบการ ขับถา่ ย การยอ่ ยอาหาร และการดดู ซมึ กจ็ ะทำ�งานได้ดขี ้นึ ตลอดจน ระบบกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย จะได้รับการชะล้างไขมันส่วนเกิน เพอ่ื เปลย่ี นรปู เปน็ พลงั งาน สง่ ผลใหผ้ วิ พรรณสามารถระบายความรอ้ น ๙๓กาลครง้ั หนงึ่ ...เมือ่ ฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.

๙๔ กาลครัง้ หนง่ึ ...เม่อื ฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk. ได้ดี เกิดการสรา้ งภมู คิ ้มุ กันท่ีดีใหแ้ ก่ร่างกาย ๕. การออกกำ�ลงั กาย เวลาท่ีเหมาะสมตามหลักของแพทย์ทางเลือกในการออก กำ�ลังกาย ควรเป็นช่วงเช้าเวลาประมาณ ๐๕.๐๐-๐๗.๐๐ น. เพื่อ เปน็ การกระตนุ้ ใหล้ �ำ ไสใ้ หญ่ และไตขบั ของเสยี ออกใหห้ มด พรอ้ มทจี่ ะ ขับถ่ายกอ่ น ๗ โมง และรับอาหารใหมห่ ลงั จากขับถา่ ยแล้ว ๖. อจุ จาระ การขับถ่ายเป็นสัญญาณหน่ึงที่บ่งบอกถึงสุขภาพของ รา่ งกายคนเราวา่ อยูใ่ นสภาวะปกตหิ รอื ไม่ การขบั ถ่ายควรท�ำ ใหเ้ ป็น ปกติทกุ วันก่อน ๗ โมงเช้า ถ้าเราปลอ่ ยใหเ้ กิดอาการท้องผูกตอ่ เนอื่ ง เป็นเวลานาน จะเปน็ สาเหตทุ �ำ ให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เชน่ ภมู แิ พ้ เน้อื งอก มะเรง็ อมั พาต หอบหืด นอนไม่หลับ เป็นต้น ๗. การนอน ตามแนวของแพทย์ทางเลือกนั้น มองว่า เวลาพักผ่อนที่ เหมาะสม คือ ชว่ งเวลา ๓ ท่มุ ถึง ตี ๓ โดยจะต่นื หลงั ตี ๓ กไ็ ดแ้ ต่ ไม่ควรเขา้ นอนเกนิ ๓ ทุ่ม เพราะพลงั งานของร่างกายเราจะสร้างใน ชว่ งเวลา ๓ ท่มุ ถึง ๕ ทุ่ม การนอนดึกจะทำ�ใหอ้ วยั วะต่าง ๆ ใน ร่างกายทำ�งานหนกั เกนิ ไป ส่งผลให้เกิดความเส่ือมของอวัยวะตา่ ง ๆ ในทุกระบบของร่างกาย เน่อื งจากทุกอวัยวะตอ้ งได้รับสารอาหารจาก การไหลเวียนตลอดเวลา การมีของเสียตกค้างระดับเซลล์ ทำ�ให้มี อาการทางผิวหนัง แพง้ า่ ย เป็นฝ้า กระ

อาการพื้นฐานสำ�หรับผู้เข้าสู่สายธรรมชาติบำ�บัด สำ�หรบั ผทู้ ่เี ขา้ สู่สายธรรมชาติบ�ำ บัดแลว้ อาการต่าง ๆ ท่ี เกิดขึน้ นนั้ ถ้าคนทม่ี จี ติ ใจไม่ยึดมนั่ พอ และไมเ่ ข้าใจถงึ กลไกตา่ ง ๆ ท่ี เกดิ ขน้ึ อยา่ งเขา้ ใจและยอมรบั มกั จะเกดิ อาการตกใจ อาการตา่ ง ๆ ที่ เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมดาอย่างย่ิง น่ันเพราะขณะที่เกิด อาการเหลา่ นี้ ถา้ ในแนวทางธรรมชาตบิ �ำ บดั ถอื วา่ เปน็ เรอื่ งทดี่ ี เพราะ ระหว่างท่ีเกิดอาการต่าง ๆ ข้ึนน้ัน แสดงว่าร่างกายเริ่มมีการฟื้นฟู และ ซ่อมแซมในตัวเองอยา่ งเป็นระบบ ดังน้นั ถ้าหากทา่ นเข้าสสู่ าย ธรรมชาตบิ ำ�บดั หากเกิดอาการเหล่าน้ีข้นึ (โดยเฉพาะผู้ทที่ านน�้ำ ผัก ป่ัน และควบคุมอาหารตามทแ่ี นะนำ�) พงึ ให้ท่านเรียนรูว้ ่า อาการทอ้ งเดนิ : ม กี ารทำ�ความสะอาดล�ำ ไส้ อาการอาเจยี น : มีการท�ำ ความสะอาดกระเพาะอาหาร อาการไข้สงู มเี หง่ือและปัสสาวะ : ทำ�ความสะอาดเลอื ด หายใจเหม็น และมเี มือกต่าง ๆ : ทำ�ความสะอาดปอด ปวดเมอ่ื ยทัง้ ตวั : ร า่ งกายเรม่ิ ขบั ของเสยี ทงิ้ เซลลข์ องคณุ ที่ไม่มีชีวติ กำ�ลังจะมชี ีวิต ขอใหท้ า่ นทเ่ี กดิ อาการดงั กลา่ วจงใจเยน็ และมน่ั คง และอยา่ ตกใจทีจ่ ะควบคมุ ในส่ิงท่ที ำ� ตอ่ ไปอาการท่ีเกดิ ขึ้นจะค่อย ๆ หายไป เอง ๙๕กาลคร้งั หนงึ่ ...เมือ่ ฉนั หดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.

๙๖ กาลคร้ังหนงึ่ ...เมื่อฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk. การขับพษิ ในร่างกายระดบั เซลล์ เมอ่ื ร่างกายมอี าการขบั พิษตามแนวธรรมชาตบิ �ำ บดั นั้น ผู้ ปว่ ยทกุ โรคจะมอี าการเหมอื นกนั กลา่ วคอื ถา่ ยบอ่ ย ปสั สาวะบอ่ ย วงิ เวียน รับประทานอาหารไดน้ ้อย ไมน่ อนเวลากลางคืน มีอาการทาง ผวิ หนัง คนั บวม มผี ื่นแดง หายใจแรง อ่อนเพลยี งว่ งนอนตอน กลางวัน ต่ืนบอ่ ย ๆ เปน็ ต้น ดงั น้นั เมอ่ื เกิดอาการตา่ ง ๆ ดงั กล่าว การปฏิบัตติ นเบ้ือง ต้นสามารถท�ำ ได้ ดงั นี้ - ด่ืมนำ้�โหระพา ใบเตย สะระแหน่ (ต้มในนำ้�เดือด ๑ ลิตร ใชโ้ หระพา ใบเตย สะระแหน่ ๑๐๐ กรัม) - ด่มื นำ�้ นมธัญพืช - ดื่มน้ำ�เอนไซม์ผลไม้เขม้ ขน้ - ซปุ ผกั (ผกั กาดหอม+ไขข่ าว+มะเขอื เทศ +หอมหวั ใหญ)่ - นำ�้ ผกั ปน่ั ทุก ๆ ๑ ช่วั โมง - ดืม่ น้�ำ อณุ หภูมหิ ้อง ๑๐๐ ซซี ี. ทุก ๑ ชวั่ โมง - พกั ผ่อนนอนหลบั ให้เพยี งพอ

อาการปวด คือ สัญญาณการขอความช่วยเหลือของร่างกายผ่านการ ทำ�งานของระบบประสาท บอกความรสู้ กึ ใหเ้ รารู้ตัววา่ ร่างกายเรามี ของเสียจำ�นวนมากคงั่ คา้ งอยตู่ ามอวัยวะสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย ซึง่ เกินกำ�ลังความสามารถของร่างกายท่ีจะกำ�จัดของเสียส่วนเกินน้ันทิ้ง เองได้ ทำ�ใหเ้ กิดการเสียสมดลุ ของระบบการทำ�งานของร่างกาย ซง่ึ ของเสียเหล่าน้นั เกดิ จากการบริโภคอาหารที่ปนเป้อื น และเปน็ โทษตอ่ ร่างกาย เช่น อาหารทด่ี ูดซมึ ยาก ย่อยยาก อาหารทม่ี สี ว่ นผสมของ สารปรุงแต่ง แต่งสี กล่ิน รส รวมถงึ ยา สารเคมี สารพษิ ในอากาศ การสบู บหุ รี่ การเสพยาเสพตดิ เปน็ ตน้ รวมทงั้ เกดิ จากผลของอารมณ์ ในเชงิ ลบ ความโกรธ ความเกลยี ด ความเครยี ด เมอื่ สะสมเป็นเวลา นาน จะก่อใหเ้ กิดการเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย และเป็น สาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ ได้มากมาย การใชย้ าแกป้ วด การใชย้ าแกป้ วดจะไดผ้ ลดใี นระยะสนั้ เพราะยาจะไปกดการ ท�ำ งานของระบบประสาทสว่ นทส่ี ง่ สญั ญาณปวดมาใหเ้ รารบั รู้ ซง่ึ ยาจะ ช่วยกดประสาทได้เพียงชั่วคราว เม่ือยาหมดฤทธ์ิ เรากจ็ ะกลับมาปวด ใหมอ่ กี ครงั้ เพราะของเสยี ตา่ ง ๆ ยงั คงตกค้างอยภู่ ายในร่างกาย ซึ่ง การใช้ยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน ท�ำ ให้เกิดการสะสม สารพษิ อยใู่ นรา่ งกายและสง่ ผลใหร้ ะบบประสาท ตบั ไต เสอื่ มลงอยา่ ง รวดเร็ว ๙๗กาลคร้ังหน่งึ ...เม่ือฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.

๙๘ กาลครง้ั หนึ่ง...เมอ่ื ฉนั หดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. วธิ รี ะงบั อาการปวด การทำ�สมาธิ เป็นวิธีหน่ึงท่ีช่วยระงับอาการปวดที่มี ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ เนอ่ื งจากขณะทเี่ ราท�ำ สมาธจิ นจติ นง่ิ ตอ่ มใตส้ มอง จะหลง่ั ฮอรโ์ มนเอนโดรฟนิ หรอื ทเ่ี รารกู้ นั วา่ เปน็ ฮอรโ์ มนแหง่ ความสขุ ออกมา ท�ำ ใหร้ า่ งกายเบาสบาย ปลอดโปร่ง สดชน่ื ร้สู กึ ดีขนึ้ ซง่ึ ช่วย ในการบรรเทาอาการปวดไดด้ โี ดยทเ่ี ราไมต่ อ้ งไปเสยี เงนิ ซอื้ เลย เพราะ รา่ งกายของเราสามารถผลติ ไดเ้ อง การบริโภคอาหารท่ีมีประโยชน์ เพ่ือปรับสภาพร่างกาย ใหม้ คี วามสมดลุ เปน็ กลาง ชว่ ยใหร้ า่ งกายสามารถก�ำ จดั ของเสยี ตา่ ง ๆ ในรา่ งกายได้ และเสรมิ สรา้ งภมู คิ มุ้ กนั หรอื ภมู ติ า้ นทานใหแ้ กร่ า่ งกาย เพอ่ื ฟน้ื ฟอู วยั วะตา่ ง ๆ ไปในเวลาเดียวกนั ในทางตรงกันข้าม ขณะท่ีเกิดอาการปวดแล้วเรายังคง เครยี ด หงุดหงิด ร่างกายจะหล่งั ฮอร์โมนอะดรนี าลิน หรอื ทเ่ี รารกู้ นั ว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความทุกข์ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการปวดเพ่ิมมาก ข้นึ และย่ิงถ้าเราไปใช้ยาแกป้ วดอกี ก็เทา่ กับเป็นการท�ำ รา้ ยรา่ งกาย ตัวเองเพ่ิมขึ้นในระยะยาว เพราะจะยิ่งเป็นการส่งเสริมให้อวัยวะใน รา่ งกายเสอื่ มขน้ึ โดยเรว็ เนอ่ื งจากตน้ เหตทุ ที่ �ำ ใหเ้ กดิ อาการปวดนน้ั ยงั คงอยู่ นาฬกิ าชีวิต จากการศกึ ษาและวจิ ยั พบวา่ อวยั วะภายในรา่ งกาย มี ๑๒ ระบบ แต่ละระบบจะทำ�งานหนักเปน็ เวลา ๒ ช่วั โมงในแต่ละวนั ซ่ึง เป็นการแสดงการหมุนเวียนของพลังงานในร่างกายในแต่ละช่วงเวลา โดยเราควรทจี่ ะเรยี นรู้ และศกึ ษาการทำ�งานของอวยั วะในรา่ งกายของ

เรา เพอื่ ทจี่ ะไดจ้ ดั สรรเวลา และด�ำ เนนิ ชวี ติ ใหส้ อดคลอ้ งกบั การท�ำ งาน ของอวัยวะตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย ดงั นี้ ชว่ งเวลาตีห้าถงึ เจ็ดโมงเชา้ (๐๕.๐๐ - ๐๗.๐๐ น.) เป็น ช่วงเวลาของลำ�ไส้ใหญ่ เป็นช่วงเวลาที่พลังงานจะเคล่ือนเข้าสู่ ลำ�ไส้ใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเตรียมขับของเสียออกจาก ร่างกาย(อุจจาระ) ดังน้ัน เราควรฝึกท่ีจะขับถ่ายให้เป็นเวลาก่อน ๗ โมงเชา้ แต่คนเรามักจะไมต่ นื่ นอนในชว่ งเวลานี้ ท�ำ ให้รา่ งกายดูด ซึมของเสีย กากอาหารที่ตกค้าง ซ่ึงกำ�ลังจะเป็นอุจจาระกลับเข้าสู่ กระเพาะอาหารใหม่ นเ่ี ปน็ สาเหตทุ �ำ ใหเ้ กดิ รว้ิ รอยบนใบหนา้ เกดิ ไขมนั เสยี ๆ ชว่ งเวลาเจด็ โมงเชา้ ถงึ เกา้ โมงเชา้ (๐๗.๐๐ - ๐๙.๐๐ น.) เปน็ ชว่ งเวลาของกระเพาะอาหาร เป็นช่วงเวลาที่พลังงานจะเคลื่อน มาท่ีกระเพาะอาหาร ดังน้ัน เราทุกคนต้องทานอาหารเช้า เพราะ กระเพาะอาหารจะย่อยได้สูงสุดในช่วงเวลาน้ีเท่าน้ัน ช่วงเวลาน้ี กระเพาะอาหารจะหล่ังน้ำ�ย่อยซ่ึงมีความเป็นกรดสูงออกมามาก เพื่อ ช่วยในการยอ่ ยอาหาร ถ้าเราไมไ่ ด้ทานอาหารในช่วงเวลาน้ี จะสง่ ผล ใหเ้ กดิ โรคกระเพาะและโรคหวั ใจ เนอ่ื งจากมา้ มไมส่ ามารถเกบ็ พลงั งาน สำ�รองไว้ได้ ท�ำ ให้หวั ใจตอ้ งท�ำ งานหนัก และรา่ งกายกจ็ ะไม่ได้รับสาร อาหารเพอื่ กลบั ไปสรา้ งพลงั งานรวมสำ�หรบั ทกุ อวยั วะในรา่ งกาย ตรง กันข้าม ถา้ ทานอาหารเชา้ ในช่วงเวลานีท้ ุกวนั กระเพาะอาหารจะแขง็ แรง ๙๙กาลคร้ังหน่ึง...เม่ือฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk.

๑๐๐ กาลคร้งั หนง่ึ ...เมอ่ื ฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk. ชว่ งเวลาเกา้ โมงเชา้ ถงึ สบิ เอด็ โมง (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.) เปน็ ชว่ งเวลาของม้าม เปน็ ชว่ งเวลาท่มี า้ มจะเร่มิ เก็บพลงั งานส�ำ รอง เกบ็ สารอาหารทจ่ี �ำ เปน็ ตอ่ รา่ งกาย ถา้ เราไมท่ านอาหารเชา้ รา่ งกาย ก็จะดึงพลังงานสำ�รองมาใช้ พลังงานรวมจะหายไป ร่างกายจะ ออ่ นแอ เพลีย ไมม่ ีแรง ม้ามมหี นา้ ท่คี วบคุมเม็ดเลอื ด สรา้ งเม็ดเลอื ด ขาว กรองแบคทเี รียทกุ ชนดิ ควบคมุ ไขมนั ผลติ นำ�้ ดี คนทป่ี วดศีรษะ บอ่ ยมกั มาจากความผดิ ปกติของมา้ ม ชว่ งเวลาสบิ เอด็ โมงถงึ บา่ ยโมง (๑๑.๐๐ - ๑๓.๐๐ น.) เปน็ ชว่ งเวลาของหวั ใจ เป็นเวลาทพี่ ลงั งานจะเคล่ือนไปทีห่ วั ใจ ถ้า รา่ งกายไมไ่ ดส้ ารอาหาร หวั ใจจะทำ�งานล�ำ บาก จะเหน็ ไดว้ า่ คนทหี่ วั ใจ วายมกั จะเกิดกอ่ นเที่ยง หรือหลงั จากกนิ อาหารเทีย่ ง ดงั นั้น อาหาร ม้ือเช้าจึงเป็นส่งิ จ�ำ เป็นท่ีขาดไมไ่ ด้ ผูท้ ีไ่ ม่รับประทานอาหารเช้าเปน็ ประจำ� จะทำ�ใหห้ วั ใจวายงา่ ย เนอ่ื งจากหวั ใจทำ�หนา้ ทส่ี บู ฉดี เลอื ดไป เล้ียงร่างกาย ในภาวะปกติหัวใจจะสูบฉีดโลหิตในระดับความดันปกติ กลา่ วคือ เซลลเ์ ม็ดเลือดแดงยงั ไมถ่ กู ท�ำ ลาย แต่ถ้าเรานอนดึก เซลล์ เมด็ เลอื ดแดงจะแตกมากกวา่ น้ี ทำ�ใหห้ วั ใจตอ้ งสบู ฉดี เลอื ดไปเลยี้ งสว่ น ต่าง ๆ ของร่างกายถขี่ ึ้น แรงขน้ึ เร็วข้ึน ซ่ึงเป็นภาวะของความดนั โลหิตสูง โดยหัวใจจะทำ�งานหนักในช่วงเวลาน้ี จึงควรหลีกเล่ียง ความเครยี ด และหาทางระงบั อารมณ์ตน่ื เตน้ หรืออาการตกใจ ช่วงเวลาบ่ายโมงถึงบา่ ยสามโมง (๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.) เป็นช่วงเวลาของลำ�ไส้เล็ก พลังงานจะเคล่ือนเข้าสู่ลำ�ไส้เล็ก ถ้า

ร่างกายไม่ได้รบั อาหารเชา้ รา่ งกายกจ็ ะไมม่ อี าหารทมี่ ารอยอ่ ยใน ล�ำ ไสเ้ ลก็ ท�ำ ใหล้ �ำ ไสเ้ ลก็ ยอ่ ยตวั เอง และถา้ ปลอ่ ยใหเ้ ปน็ อยา่ งนน้ี าน ๆ เขา้ ล�ำ ไสเ้ ล็กกจ็ ะอ่อนแอลง เพราะล�ำ ไส้เล็กจะทำ�งานโดยเปลีย่ นรปู สารอาหารคาร์โบไฮเดรท ไขมัน และเกลือแรท่ ไ่ี ด้ในตอนเช้ามาเปน็ พลงั งานทง้ั หมด ลำ�ไส้เล็กมีหน้าท่ดี ูดซึมสารอาหารท่เี ป็นน้ำ�ทุกชนิด เช่น วติ ามนิ บี วติ ามินซี โปรตีน เพ่อื สร้างกรดอะมโิ น สร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในช่วงเวลาน้ีเราจึงควรงดรับประทานอาหาร ทุกประเภท เพื่อเปดิ โอกาสใหล้ �ำ ไสเ้ ลก็ ไดท้ �ำ งานเตม็ ท ี่ ชว่ งเวลาบา่ ยสามโมงถงึ หา้ โมงเยน็ (๑๕.๐๐ - ๑๗.๐๐ น.) เปน็ ชว่ งเวลาของกระเพาะปสั สาวะ เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลอื่ นมาท่ี กระเพาะปสั สาวะ ท�ำ ใหก้ ระเพาะปสั สาวะท�ำ งานหนกั ในชว่ งเวลาน้ี เพอ่ื ขับกรดและของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้น เราไม่ควรอ้ันปัสสาวะ เพราะปสั สาวะจะถูกดูดซมึ เข้าสู่กระแสเลือดแทน นอกจากนีก้ ระเพาะ ปัสสาวะยงั เกีย่ วข้องกบั ระบบความจ�ำ ไทรอยด์ และระบบเพศท้ังหมด อกี ด้วย ช่วงเวลาห้าโมงเยน็ ถึงหนึ่งทมุ่ (๑๗.๐๐ - ๑๙.๐๐ น.) เป็นช่วงเวลาของไต เราควรจะหยดุ การทำ�งานหนักทกุ ชนดิ รวม ถงึ ไมค่ วรออกกำ�ลงั กายแบบเต้น วงิ่ หรอื เคลื่อนไหวมาก ๆ เพ่อื ไมเ่ ปน็ การเพมิ่ กรดใหแ้ กร่ า่ งกาย เพราะไตจะท�ำ งานหนกั ในชว่ งเวลา น้ี โดยการออกก�ำ ลงั กายในตอนเยน็ จะท�ำ ใหไ้ ตวายงา่ ย เวยี นหวั ปวด ศีรษะง่าย ยกเวน้ การออกก�ำ ลังกายแบบโยคะ หรอื ไทเก๊ก ซง่ึ จะไม่ ๑๐๑กาลคร้งั หน่งึ ...เมื่อฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.

๑๐๒ กาลคร้ังหน่งึ ...เมื่อฉันหัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk. ทำ�ให้เกิดกรดแลคติกในร่างกาย และเราควรท่ีจะรับประทานอาหาร เย็นให้เสร็จก่อน ๑๘.๐๐ น. โดยควรทานอาหารทย่ี ่อยงา่ ย และควร ทานใหเ้ สรจ็ กอ่ นเขา้ นอน ๓ ชว่ั โมง ผใู้ ดทมี่ อี าการงว่ งนอนในชว่ งเวลา น้ี แสดงว่ามปี ญั หาเกย่ี วกับไตเสื่อม คนทที่ �ำ งานหนกั มาทง้ั วนั แลว้ ไมพ่ กั ถา้ ท�ำ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ จะ ท�ำ ใหไ้ ตออ่ นแอลง เกดิ การปวดหลงั ปวดขอ้ ตา่ ง ๆ เพราะไตทำ�หนา้ ท่ี ควบคุมกระดูก ไขข้อ ฮอร์โมน ควบคุมพลังชีวิต อวัยวะสืบพันธ์ุ เสน้ ผม เลือด หูและตา นอกจากนี้ ในยุคปจั จุบัน ผู้คนมีชีวิตอยู่กับ เครือ่ งอเิ ล็กทรอนกิ ส์รอบตวั จงึ ได้รบั คลืน่ และรังสีมาก จนท�ำ ใหเ้ ซลล์ เมด็ เลอื ดแตกอยเู่ ป็นประจ�ำ เชน่ การใช้คอมพวิ เตอรอ์ ยเู่ สมอ มักจะ เกดิ อาการมึนหวั ตาพรา่ ปวดหลัง ปวดเอว แสดงวา่ มเี ซลลเ์ ม็ดเลอื ด ตายแออัดอยู่ในร่างกาย จนทำ�ให้ร่างกายขับเซลล์เม็ดเลือดตายออก ไม่ทนั เกดิ อาการปวดต่าง ๆ ขนึ้ ถา้ มีอาการปวดตามกระดูกสว่ น ต่าง ๆ ของร่างกาย แสดงวา่ รา่ งกายได้สญู เสยี เซลล์เมด็ เลอื ด จงึ ตอ้ ง ดงึ ออกมาใชจ้ ากส่วนตา่ ง ๆ ของไขกระดกู ถ้าเราไม่เขา้ ใจก็อาจจะหา ยาแกป้ วดมากนิ ซงึ่ ทจ่ี รงิ แลว้ รา่ งกายตอ้ งการสารอาหารจ�ำ นวนมาก เพื่อไปทดแทนเซลล์เม็ดเลือดที่สูญเสียไป โดยเฉพาะแคลเซียม แมกนีเซียมที่ได้จากการรับประทานผกั ผลไมต้ า่ ง ๆ สำ�หรับผู้ท่ีมีอาการเก่ียวกับไตเสื่อม ในตอนเช้าให้อาบน้ำ� เยน็ สว่ นในตอนเย็นให้อาบน้�ำ อุ่น กรณีทอ่ี าบนำ�้ ไมไ่ ด้ ใหใ้ ชว้ ิธแี ช่เทา้ โดยใสส่ มุนไพร เชน่ ขิง ข่า กระชาย ลงไปผสมในน้ำ�ดว้ ย ชว่ งเวลาหนึง่ ทมุ่ ถงึ สามท่มุ (๑๙.๐๐ - ๒๑.๐๐ น.) เป็น ชว่ งเวลาของกล้ามเนื้อหวั ใจ เปน็ เวลาทกี่ ลา้ มเนอื้ หัวใจจะชะล้างตัว

เอง เราจงึ ควรพกั ผอ่ นในชว่ งเวลานเี้ พอ่ื ใหห้ วั ใจท�ำ งานนอ้ ยลง ถา้ เรา ไมพ่ กั ในชว่ งเวลานจ้ี ะท�ำ ใหเ้ ลอื ดขน้ สง่ ผลใหก้ ลา้ มเนอ้ื หวั ใจท�ำ งาน หนกั ท�ำ ใหห้ วั ใจโต และคนทหี่ วั ใจโตจะมคี วามเสย่ี งตอ่ การเปน็ อมั พาต มากกว่าคนปกติ ๕-๖ เท่า ทกุ วนั น้ี วถิ ชี วี ติ ของคนสว่ นใหญไ่ ดเ้ ปลยี่ นแปลงไป โดยไม่ คอ่ ยมใี ครพกั ผอ่ นในชว่ งเวลานี้ แตก่ ลบั ทำ�งานลว่ งเวลา เทยี่ วกลางคนื ทานอาหารมอ้ื เยน็ ดม่ื แอลกอฮอล์ สง่ ผลใหก้ ลา้ มเนอื้ หวั ใจทำ�งานหนกั มากข้ึนไปอกี เทา่ ตวั จึงมีผลกระทบตอ่ หัวใจ ดงั นน้ั ในชว่ งเวลานี้เรา ควรพักผอ่ น สวดมนต์ นง่ั สมาธเิ พือ่ ใหร้ ่างกายและจิตใจผ่อนคลายลง พรอ้ มสำ�หรบั การเตรียมตัวทีจ่ ะเข้านอน ช่วงเวลาสามทุ่มถึงหา้ ทุ่ม (๒๑.๐๐ - ๒๓.๐๐ น.) เป็น ช่วงเวลาของพลังงานรวม ดังน้ัน เราจึงควรนอนหลับให้ได้ตอน ๓ ทุ่ม เพ่ือท่ีเราจะได้มีพลังงานไปช่วยเหลือการสะสมพลังงานใน ร่างกายได้อย่างเพียงพอท่ีจะฟื้นฟูอวัยวะต่าง ๆ ให้สะอาดแข็งแรง ส�ำ หรบั วันต่อไป พลงั งานรวม หมายถงึ จ�ำ นวนเมด็ เลือด ถา้ เราไมพ่ กั ผอ่ นในเวลาน้ี เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงจะแตกเพ่มิ มากขน้ึ เรอ่ื ย ๆ โดยปกติ เซลล์เม็ดเลอื ดแดงจะแตกวนั ละ ๒.๐-๒.๕ ล้านเซลล์ แต่ถ้าเราย่ิงนอน ดกึ เซลลเ์ ม็ดเลือดแดงก็จะแตกเพม่ิ มากขึ้นเรื่อย ๆ เชน่ คนท่ีนอนดกึ เลอื ดจะลอย บรจิ าคเลอื ดไมไ่ ด้ ในทางกลบั กนั ถา้ เรานอนตอน ๓ ทมุ่ ร่างกายจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดขึ้นมาทดแทนส่วนท่ีแตกไปในแต่ละ วนั ใหส้ มดลุ โดยพลงั งานทส่ี รา้ งขน้ึ ในชว่ งเวลานี้ รา่ งกายจะน�ำ ไปลา้ ง ถงุ น้�ำ ดี ทำ�ใหถ้ งุ น�ำ้ ดีแขง็ แรง ๑๐๓กาลคร้งั หน่งึ ...เมอื่ ฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.

๑๐๔ กาลครง้ั หนงึ่ ...เมื่อฉันหัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk. ชว่ งเวลาหา้ ทมุ่ ถงึ ตหี นงึ่ (๒๓.๐๐ - ๐๑.๐๐ น.) เปน็ ชว่ ง เวลาของถุงน้ำ�ดี เป็นเวลาที่พลังงานหรือเลือดเคล่ือนมาที่ถุงนำ้�ดี เพือ่ ให้ถงุ นำ�้ ดที ำ�หน้าทย่ี อ่ ยไขมันทีจ่ ะเปล่ียนรูปเปน็ ฮอรโ์ มน จากนน้ั จึงเปล่ยี นรูปเป็นกลา้ มเน้ือ กระดกู ไขขอ้ เส้นเอน็ ไขสมอง ตา น�ำ้ หล่อเลี้ยงในร่างกายทั้งหมด ถ้าเราไม่พักผ่อนในช่วงเวลานี้ ไขมัน พวกนกี้ จ็ ะตกตะกอนอยตู่ ามตวั เรา เชน่ เปน็ ถงุ ไขมนั ใตต้ า มพี งุ ปวด ไหล่ ปวดท้องง่ายบริเวณลำ�ไส้ใหญ่ ซ่ึงจะส่งผลให้เป็นโรคอ้วน น่ิว และมถี ุงซสี ท์ตามสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย ท�ำ ให้ร่างกายขาดวติ ามิน เอ ดี อี เค ซึ่งวิตามนิ ทงั้ ๔ ตัวนจ้ี ะละลายไดใ้ นไขมัน ท�ำ ใหต้ าฝ้า ฟาง กระดูกผุ ผวิ หนังหยาบกร้าน ชว่ งเวลาตหี นงึ่ ถงึ ตสี าม (๐๑.๐๐ - ๐๓.๐๐ น.) เปน็ ชว่ ง เวลาของตับ เปน็ เวลาทพี่ ลงั งานจะไปจัดการกบั ตบั หนา้ ทีข่ องตบั คือ สะสมอาหารส�ำ รองใหก้ ับรา่ งกาย ตบั จะเกบ็ เลอื ด ๕๐ กรมั เพอ่ื ใชใ้ นการขบั สารเคมอี อกจากรา่ งกาย ตลอดจนผลติ น�้ำ ดแี ละสง่ ไปเกบ็ ไวท้ ่ี ถงุ น�้ำ ดเี พอ่ื ยอ่ ยไขมนั ถา้ ในชว่ งเวลานเ้ี รายงั ไมห่ ลบั นอน รา่ งกายจะสญู เสยี พลงั งานสว่ นทส่ี ะสมไว้ สง่ ผลใหต้ บั ออ่ นแอ การสะสมพลงั งานส�ำ รองลด ลง การผลติ น�้ำ ดลี ดลง กอ่ ใหเ้ กดิ โรคเกย่ี วกบั ความดนั โลหติ โรคเกาท์ โรค ภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง โรคเบาหวาน โรคหวั ใจ เปน็ ตน้

บทบญั ญัติ ๑๐ ประการ ๑. ต่นื นอน ๐๔.๔๔ น. เขา้ ห้องน�ำ้ ๒. ด่มื นำ้�ทันทีท่ตี น่ื นอน ๕๐๐ cc. (ครึ่งลิตร) เป็นอยา่ งนอ้ ย ๓. ดื่มน้ำ�โหระพา ๒๕๐ cc. เชา้ กลางวัน เย็น กอ่ นอาหารทุกม้อื ๔. ดมื่ น้ำ�ขา้ วผง ๒๕๐ cc. และอาหารไร้สารพิษ ๕. ออกกำ�ลงั กาย ๐๕.๓๐ – ๐๖.๐๐ น. ๖. รับประทานอาหารเช้า ๐๗.๓๐ น. กลางวัน ๑๑.๓๐ น. เย็น ๑๗.๓๐ น. ๗. ดม่ื น�ำ้ ทกุ ๆ ชว่ั โมง ๕๐๐ cc. (ครง่ึ ลติ ร) เวลา ๐๔.๐๐ – ๒๐.๐๐ น. ๘. เขา้ นอน ๒๑.๐๐ น. ๙. ขบั ถา่ ยอุจจาระเวลา ๐๔.๐๐ น. ก่อน ๐๖.๓๐ น. ๑๐. อยู่ในทอ่ี ากาศสะอาด มีออกซเิ จน ๒๐% ไนโตรเจน ๗๙% และ อืน่ ๆ ๑% ๑๐๕กาลคร้ังหน่ึง...เมือ่ ฉันหดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk.

๑๐๖ กาลครัง้ หนง่ึ ...เมอ่ื ฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.

ความเป็นเหตุเป็นผล ของธรรมปฏบิ ตั ิทม่ี ตี ่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ

๑๐๘ กาลครัง้ หนง่ึ ...เมอ่ื ฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.

ความเป็นเหตุเปน็ ผลของธรรมปฏิบตั ิ ทมี่ ตี อ่ สขุ ภาพร่างกายและจิตใจ พระวโิ รจน์ จกกฺ วโร จากประสบการณท์ ไ่ี ดจ้ ากการไปเยยี่ มผปู้ ว่ ยโรคมะเรง็ การ ได้พูดคุยกับแพทย์และพยาบาล ทั้งท่ีเป็นแพทย์สมัยใหม่อีกทั้งแพทย์ ทางเลือก ทำ�ให้อาตมาได้รับข้อมูลเก่ียวกับสาเหตุที่ทำ�ให้คนเกิดโรค ตา่ ง ๆ ขึน้ โดยสว่ นใหญว่ ่าเป็นเพราะเหตใุ ด ค�ำ ตอบทีอ่ าตมาไดร้ บั ก็ คอื “ความเครยี ด” การท่คี นเราเป็นโรคและล้มปว่ ยลง แถมยงั ฟ้ืนฟู สภาพร่างกายและจิตใจได้ยากนั้น ชนวนตัวต้นที่เป็นเหตุก็คือ ความเครียดนั่นเอง สภาพของจิตใจมีความสัมพันธ์กับระบบประสาท อัตโนมตั ิ ทีท่ ำ�ใหเ้ กิดผลตา่ ง ๆ ตอ่ ร่างกายตามมา การมจี ิตใจไม่ปกติ เชน่ มคี วามเครยี ดหรอื ความโกรธ จะไปกระตนุ้ ระบบประสาทอตั โนมตั ิ ทำ�ให้รา่ งกายหลง่ั สารเคมีทางปลายประสาท ทีเ่ ช่อื มตอ่ จากเซลลข์ อง ภมู คิ มุ้ กันในไขกระดูก มีผลใหภ้ มู คิ มุ้ กันของเราลดลง ทำ�ใหเ้ ราติดเชือ้ หรอื เปน็ มะเรง็ ไดง้ า่ ย การมสี ภาพจติ ใจท่ีปกติ ไรซ้ ง่ึ อารมณ์ที่เปน็ พษิ เปน็ ภัย เช่น ความรัก ความเมตตา จะทำ�ให้ภูมคิ ุ้มกนั ดีขึ้น ความสนใจของชาวต่างประเทศถึงประโยชน์ในการปฏิบัติ ธรรม ไมว่ า่ จะเปน็ เรอ่ื งของการสวดมนตห์ รอื เจรญิ กรรมฐานทงั้ สมาธิ และวิปัสสนานัน้ กถ็ ูกนำ�มาใช้เพ่ือสขุ ภาพมากกว่าอยา่ งอ่นื ดร.เดวิท แมดคลแี ลนด์ แหง่ มหาวทิ ยาลัยฮาร์วาด ไดท้ ดลองด้วยการแบ่งอาสา สมคั รออกเป็น ๒ กลุ่ม กล่มุ หนงึ่ ใหด้ ภู าพยนตร์เกย่ี วกบั แม่ชเี ทเรซา ๑๐๙กาลคร้งั หนงึ่ ...เมอ่ื ฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.

๑๑๐ กาลคร้งั หนง่ึ ...เม่ือฉันหดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk. ในศาสนาคริสต์ ที่กำ�ลังดูแลคนยากจนในเมืองกัลกัตตาของประเทศ อนิ เดยี ดว้ ยจติ ใจทเ่ี ป่ียมไปด้วยความเมตตากรุณา ส่วนอีกกลุ่มหนงึ่ ให้ดูภาพยนตร์เก่ียวกับความโหดร้ายของทหารนาซีเยอรมันใน สงครามโลกครง้ั ทสี่ อง ท่สี ังหารชาวยวิ ไม่นอ้ ยกวา่ ๕ ลา้ นคน ผล ปรากฏวา่ อาสาสมคั รกลมุ่ ทหี่ นงึ่ มคี วามเมตตาสงสารเหน็ อกเหน็ ใจคน ยากจนมากขน้ึ และกลมุ่ ทส่ี องมคี วามโกรธ และเกลยี ดคนโหดรา้ ย เมอ่ื เจาะเลือดดูปรากฏว่า อาสาสมัครกลุ่มแรกมีเซลล์ภูมิต้านทานชนิดที่ เรียกว่า ทีเซลล์ (ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิต้านทานที่มีหน้าท่ีทำ�ลายส่ิงแปลก ปลอมในรา่ งกาย) เพมิ่ ขน้ึ ในชว่ งสน้ั ๆ และเมอ่ื ใหอ้ าสาสมคั รแผเ่ มตตา ต่อไปอกี ๑ ชวั่ โมงพบว่า ทีเซลล์เพ่มิ อย่นู าน แสดงใหเ้ หน็ วา่ อารมณ์ ที่ดมี ผี ลตอ่ สุขภาพโดยตรง ท�ำ ใหภ้ ูมิต้านทานแขง็ แกร่งขึ้น จติ ใจท่ี แจ่มใสเบกิ บานมีความสุข มผี ลต่อการเพม่ิ ของทเี ซลล์ นกั วิจยั จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาดพบว่า เมื่อให้อาสาสมัครดูภาพยนตร์ตลก สนกุ สนาน แลว้ เจาะเลอื ดดพู บวา่ เซลลภ์ มู ติ า้ นทานทเี ซลลเ์ พมิ่ ขน้ึ และ จากการศกึ ษาผปู้ ่วยทเี่ ปน็ โรคมะเร็งจ�ำ นวน ๓๖ คน พบวา่ ๗ ปีผา่ น ไป มผี ปู้ ว่ ยเสยี ชวี ติ ไปเพียง ๒๔ ราย เมอื่ ตรวจสภาพจิตใจของพวกท่ี เหลอื อยปู่ รากฏว่า เปน็ คนทม่ี ีจิตใจแจ่มใส มคี วามสขุ ดร.จอหน์ แบรฟ์ ดู แหง่ มหาวทิ ยาลยั นอรท์ คารโ์ ลไรนา ได้ ศึกษาผู้ป่วยท่ีมีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคหัวใจรุนแรง โดยทดสอบสภาพ ของจิตใจ เพื่อดูว่าผู้ป่วยเป็นคนมีโทสะมากน้อยเพียงใด และเมื่อ พิจารณาดูความตีบแคบของเส้นเลอื ดหวั ใจเปรียบเทยี บกันแลว้ ปรากฏ ว่า ผู้ป่วยที่มีอารมณ์โกรธมากจะมีเส้นเลือดตีบมากกว่าคนท่ีใจเย็น ดร.เรดฟอร์ด วิลเล่ียม อาจารย์แพทย์แห่งมหาวิทยาลัยดุกซ์ ในรัฐ

นอรท์ คารโ์ ลไรนาของประเทศสหรฐั อเมรกิ า ไดต้ ดิ ตามนกั ศกึ ษาแพทย์ ทม่ี อี ารมณโ์ กรธเรอื้ รงั พบวา่ กลมุ่ ทมี่ อี ารมณโ์ กรธนอ้ ย และไมย่ าวนาน เสียชวี ติ ไป ๓ ราย ในจำ�นวน ๑๓๖ คน สว่ นกลุ่มทม่ี อี ารมณ์โกรธ เรอื้ รังตายไป ๑๖ ราย ปัจจัยที่ท�ำ ใหค้ นเหลา่ นี้ตายก่อนอายุ ๕๐ ปี คอื การเปน็ คนเจา้ โทสะ การศกึ ษาทมี่ หาวทิ ยาลยั ฮารว์ าดพบวา่ ความ โกรธเป็นสาเหตุสำ�คัญท่ีทำ�ให้ผู้ป่วยโรคหัวใจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก ก่อนมาโรงพยาบาล ๒ ช่วั โมง มหาวทิ ยาลัยเยลและสแตนฟอร์ด ซง่ึ เป็นมหาวิทยาลัยท่ีมีชื่อเสียงของประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า เมื่อ ตดิ ตามผู้ป่วยที่มอี าการทางหัวใจครัง้ แรกไป ๑๐ ปี ปรากฏว่า ผูป้ ว่ ย ที่เปน็ คนโกรธง่ายจะมอี ัตราการตายสงู กว่ากลมุ่ ของผ้ทู ี่ไม่โกรธง่าย ๓ เทา่ และผปู้ ว่ ยทไ่ี ดร้ บั การชว่ ยเหลอื ใหจ้ ติ ใจมอี ารมณด์ งี ามแทนอารมณ์ ในทางลบ จะมอี ตั ราการตายลดลง ๒ เทา่ ของผปู้ ว่ ยทไี่ มไ่ ดร้ บั การชว่ ย เหลือให้ปรบั เปล่ียนอารมณ์ อมี ลิ กสู ์ เภสชั กรชาวฝรัง่ เศสพบวา่ ในการวจิ ยั คนทีม่ โี รค ทางกาย เช่น วัณโรค ผู้ปว่ ยท่กี ำ�ลงั เสียเลือด ผปู้ ว่ ยท่มี ีอาการทอ้ งผูก จะมอี าการของโรคเลวลง ถา้ หากผนู้ นั้ มคี วามวติ กกงั วลแตเ่ รอ่ื งโรคภยั ไข้เจ็บของตน ความวิตกกังวลจะนำ�มาซึ่งความเครียดท่ีเป็นอันตราย ต่อสุขภาพ ความเครียดทำ�ให้ภูมิต้านทานลดต่ำ�ลง เป็นเหตุให้เซลล์ มะเร็งกระจายได้เร็วข้ึน และทำ�ให้ร่างกายติดเชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น นอกจากนั้นยังท�ำ ให้ไขมนั อุดตันในเส้นเลือดทห่ี ัวใจ เป็นเหตุให้กล้าม เนือ้ หัวใจขาดเลือดมาเลย้ี ง ทำ�ใหโ้ รคเบาหวานกำ�เริบ และอาการของ โรคหอบหดื เลวลง เกดิ อาการล�ำ ไสอ้ กั เสบ ความเครยี ดทเี่ กดิ ตดิ ตอ่ กนั นาน ๆ มีสว่ นทำ�ให้เซลลส์ มองเสอื่ มลงไปด้วย ๑๑๑กาลครง้ั หน่งึ ...เม่อื ฉนั หดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.

๑๑๒ กาลครง้ั หน่ึง...เมือ่ ฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. การปฏบิ ตั ธิ รรมคอื การสรา้ งธรรมะใหเ้ กดิ ขน้ึ ภายในจติ ใจ การปฏิบัติธรรมคือการสร้างธรรมะให้เกิดข้ึนภายในจิตใจ ดว้ ยวธิ กี าร ๒ อยา่ งคอื การเจรญิ สมาธเิ พอ่ื ใหจ้ ติ สงบ และการเจรญิ วปิ สั สนาเพอ่ื ใหเ้ กดิ การปลอ่ ยวาง เนอ่ื งดว้ ยเพราะเกดิ ปญั ญารเู้ ขา้ ใจตาม ความเป็นจริง จากข้อความท่ีผ่านมาซ่ึงได้กล่าวถึงผลกระทบของ ความเครยี ดทม่ี ตี อ่ สภาพรา่ งกายและจติ ใจ ในการเฝา้ สงั เกตตามดขู อง อาตมาถงึ เหตทุ ก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความเครยี ดนน้ั ท�ำ ใหอ้ าตมาพอทจ่ี ะเขา้ ใจได้ วา่ ความเครยี ดนน้ั นา่ จะมาจากเหตุ ๒ ประการ นน่ั กค็ อื ๑. ความเครยี ดทเ่ี กดิ ขน้ึ โดยไดร้ บั ผลกระทบมาจากภายใน คอื ความคดิ ในแงล่ บของตวั เรานน่ั เอง ทม่ี วั แตเ่ ฝา้ คดิ ปรงุ แตง่ ไปตา่ ง ๆ นานา จนกระทง่ั คดิ ยำ�้ จับจดอยกู่ ับเรอ่ื งทไ่ี มส่ บายใจเร่อื งใดเร่อื งหนง่ึ และไมส่ ามารถปลอ่ ยวางมนั ลงได้ กอ่ ใหเ้ กดิ เปน็ สภาวะจติ วติ กกงั วลท่ี น�ำ มาซง่ึ ความเครยี ดสง่ ผลท�ำ ใหภ้ มู ติ า้ นทานออ่ นแอลง ๒. ความเครียดท่ีเกิดข้ึนโดยได้รับผลกระทบมาจาก ภายนอก เชน่ สภาพแวดลอ้ มในเรอ่ื งของความแออดั ในชมุ ชน อากาศ รอ้ นอบอา้ ว เสยี งดงั รบกวน หรอื มลพษิ ตา่ ง ๆ ทม่ี อี ยใู่ นอากาศเหลา่ น้ี เปน็ ตน้ และดว้ ยเหตทุ ง้ั ๒ ประการทย่ี กขน้ึ มากล็ ว้ นแลว้ แตท่ �ำ ใหค้ น เราเกดิ ความเครยี ดได้

สมาธิ คือ การมีจิตใจท่ีสงบโดยปราศจากความคิด ตา่ ง ๆ เขา้ มาแทรกแซง เปน็ การระงบั ความคดิ ปรงุ แตง่ ทเ่ี ปน็ เหตุ ใหเ้ กดิ ความไมส่ บายใจจนกลายเปน็ ความวติ กกงั วล จงึ ชว่ ยลดปญั หา ภาวะความเครยี ดทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ได้ เมอ่ื ไหรท่ จ่ี ติ รวมเปน็ หนง่ึ และตง้ั มน่ั อยู่ ผปู้ ฏบิ ตั กิ จ็ ะสมั ผสั ได้ ถงึ ความสขุ ทเ่ี กดิ จากความสงบในการท�ำ สมาธิ ซง่ึ สภาวธรรมบางอยา่ ง ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการท�ำ สมาธนิ น้ั ยกตวั อยา่ งเชน่ ปตี ิ คอื ความอม่ิ ใจ ความ รสู้ กึ เบาสบายเปน็ สขุ สภาวธรรมเหลา่ นล้ี ว้ นแลว้ แตท่ �ำ ใหจ้ ติ ใจรสู้ กึ ผอ่ น คลายไมเ่ ครยี ด หรอื ถา้ มคี วามเครยี ดอยแู่ ลว้ กจ็ ะคอ่ ย ๆ ลดนอ้ ยลงไป เรอ่ื ย ๆ จนดบั และหายไปไดเ้ อง ดว้ ยความรสู้ กึ อม่ิ ใจ เบาสบายใจเปน็ สขุ น้ี ลว้ นแลว้ แตเ่ ปน็ ปจั จยั ทท่ี �ำ ใหท้ เี ซลล์ หรอื เซลลภ์ มู ติ า้ นทานเกดิ และเพม่ิ จ�ำ นวนขน้ึ สง่ ผลใหส้ ง่ิ แปลกปลอมภายในรา่ งกายถกู ท�ำ ลายลง แตก่ ารปฏบิ ตั ธิ รรมหรอื ทเ่ี รยี กกนั วา่ การท�ำ กรรมฐานนน้ั ใน แงข่ องสมาธกิ จ็ ดั เปน็ หนง่ึ ในสองของวธิ กี ารเจรญิ กรรมฐาน กลา่ วอกี ชอ่ื กค็ อื “สมถกรรมฐาน” นน่ั เอง ซง่ึ เปน็ อบุ ายวธิ กี ารกระท�ำ ใจของบคุ คล ใหส้ งบ สว่ นอกี วธิ หี นง่ึ นน้ั เรยี กวา่ “วปิ สั สนากรรมฐาน” เปน็ อบุ าย เรอื งปญั ญา เหตเุ พราะไดอ้ ญั เชญิ สตทิ ถ่ี กู ทอดทง้ิ ขน้ึ มานง่ั บลั ลงั กข์ องชวี ติ เมอ่ื สตขิ น้ึ มานง่ั สบู่ ลั ลงั กแ์ ลว้ จติ กจ็ ะคลานเขา้ มาหมอบถวายบงั คมอยู่ เบ้ืองหน้าสติ สติจะควบคุมจิตมิให้แส่ออกไปคบหาอารมณ์ต่าง ๆ ภายนอก ในทส่ี ดุ จติ กจ็ ะคอ่ ยคนุ้ เคยกบั การสงบอยกู่ บั อารมณเ์ ดยี ว เมอ่ื จติ สงบตง้ั มน่ั ดแี ลว้ การรตู้ ามความเปน็ จรงิ กเ็ ปน็ ผลตดิ ตามมา เชน่ รวู้ า่ สง่ิ ตา่ ง ๆ ทเ่ี ขา้ มากระทบกายและใจจนเกดิ เปน็ อารมณค์ วามรสู้ กึ สขุ ทกุ ข์ หรอื เฉย ๆ นน้ั ลว้ นแลว้ แตไ่ มเ่ ทย่ี ง เกดิ ขน้ึ มา ตง้ั อยู่ แลว้ กด็ บั ไป ๑๑๓กาลครงั้ หนึง่ ...เม่อื ฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.

๑๑๔ กาลครง้ั หน่ึง...เมื่อฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk. ในทส่ี ดุ ซง่ึ สง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี งสง่ิ นน้ั กล็ ว้ นแลว้ แตเ่ ปน็ ทกุ ข์ และเรากไ็ มส่ ามารถ บงั คบั ควบคมุ อารมณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ มาเหลา่ นน้ั ใหเ้ ปน็ ไปตามทเ่ี ราตอ้ งการได้ เมอ่ื เกดิ ปญั ญารเู้ ทา่ ทนั ตามความเปน็ จรงิ เชน่ นไ้ี ปเรอ่ื ย ๆ กจ็ ะเกดิ การ ปลอ่ ยวางอารมณต์ า่ ง ๆ ไดง้ า่ ย ท�ำ ใหเ้ กดิ ความเบาสบายทางจติ ใจ ไม่ วติ กกงั วลจนเครยี ด ชว่ ยใหเ้ กดิ สขุ ภาพจติ ใจทด่ี ี เมอ่ื จติ ใจดมี สี ขุ ภมู ิ ตา้ นทานของรา่ งกายกแ็ ขง็ แรง ระบบตา่ ง ๆ ภายในรา่ งกายกท็ �ำ งานได้ อยา่ งปกติ และมปี ระสทิ ธภิ าพตามไปดว้ ย เมอ่ื บคุ คลใดสามารถปฏบิ ตั ธิ รรมคอื การเจรญิ กรรมฐาน ทง้ั สมถกรรมฐาน และวปิ สั สนากรรมฐาน จนเกดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจใน ธรรมชาตทิ างดา้ นอารมณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ มา และไมว่ า่ จะเปน็ ความสขุ ความ ทกุ ข์ หรอื เฉย ๆ กล็ ว้ นแลว้ แตม่ ลี กั ษณะแหง่ ความไมเ่ ทย่ี ง เกดิ ขน้ึ ตง้ั อยู่ ดบั ไป พรอ้ มกบั รบั รคู้ วามรสู้ กึ แหง่ ทกุ ขท์ เ่ี กดิ จากความไมเ่ ทย่ี งในอารมณ์ นน้ั และไมส่ ามารถควบคมุ หรอื บงั คบั บญั ชาการใด ๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามท่ี เราตอ้ งการได้ ดว้ ยความเขา้ ใจเชน่ น้ี โดยปราศจากการคดิ นกึ ปรงุ แตง่ เอาเอง กเ็ ทา่ กบั บคุ คลผนู้ น้ั ไดเ้ กดิ มธี รรมะขน้ึ ในจติ ใจของเขาแลว้ และ ดว้ ยธรรมะทเ่ี กดิ ขน้ึ ในจติ ใจนเ้ี อง จะชว่ ยสรา้ งความเขา้ ใจในเรอ่ื งของ ธรรมชาตทิ ง้ั จากภายในและภายนอกตวั ของเราทง้ั หลายวา่ ไมม่ ผี ใู้ ดหรอื ใครผหู้ นง่ึ เปน็ ผกู้ ระท�ำ แตเ่ พราะมเี หตปุ จั จยั มากระทบ อารมณค์ วามรสู้ กึ ตา่ ง ๆ จงึ เกดิ เมอ่ื หมดเหตปุ จั จยั ทท่ี �ำ ใหเ้ กดิ อารมณค์ วามรสู้ กึ นน้ั ขน้ึ มนั กด็ บั ของมนั ไปเอง ไมม่ ผี ใู้ ดหรอื ใครเปน็ ผกู้ ระทำ� เปน็ ของมนั เองโดย ธรรมชาตอิ ยา่ งน้ี อปุ าทานความยดึ มน่ั ในอารมณต์ า่ ง ๆ กจ็ ะถกู ปลอ่ ย วางไดง้ า่ ย ความวติ กกงั วลจนเครยี ดทส่ี ง่ ผลใหส้ ขุ ภาพรา่ งกายไมแ่ ขง็ แรง จนกระทง่ั ปว่ ยเปน็ โรคนน้ั กไ็ ม่อาจเกดิ ขน้ึ ได้ หรอื หากเกิดข้นึ มากจ็ ะ สามารถสลายอารมณท์ ไ่ี มด่ เี หลา่ นน้ั ออกไปจากจติ ใจไดอ้ ยา่ งรวดเรว็

กรรมฐาน

๑๑๖ กาลครัง้ หนง่ึ ...เมอ่ื ฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.

กรรมฐาน กรรมฐาน หมายความว่า ท่ีต้ังแห่งการงานทำ�ความ เพยี รฝกึ อบรมจติ นนั่ กค็ อื การปฏบิ ตั ธิ รรมทบ่ี คุ คลควรท�ำ ในดา้ นจติ ใจ เปรียบเหมือนโรงงานฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความสะอาด สว่าง และ สงบ จำ�แนกเปน็ ๒ คอื สมถกรรมฐาน ๑ วปิ สั สนากรรมฐาน ๑ สมถกรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบายสงบใจเน่ืองด้วยการบริกรรมคือ ก�ำ หนดใจ โดยเพง่ วตั ถหุ รอื นกึ ถงึ อารมณท์ ก่ี �ำ หนดนน้ั ดว้ ยการวา่ ซ�ำ้ ๆ อยู่ในใจอย่างใดอยา่ งหนึ่ง เชน่ นกึ ว่า พุทธคุณ ธรรมคณุ สังฆคุณ เป็นตน้ ไปเรื่อย ๆ อยา่ งเดิมจนกระท่ังใจสงบลง ไมเ่ นน้ หนกั ในดา้ น การใช้ปญั ญา เปน็ กรรมฐานเครอื่ งยังใจให้สงบจากนิวรณธรรมมี ๕ อยา่ งคือ ๑. กามฉนั ท์ พอใจในกามคุณ ๒. พยาบาท คิดรา้ ยผู้อน่ื ๓. ถนี มทิ ธะ ความหดหู่ ซมึ เซา ๔. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ ความฟงุ้ ซา่ น และ ร�ำ คาญ ๕. วจิ กิ จิ ฉา ความลงั เลสงสยั สง่ิ เหลา่ นเ้ี รยี กวา่ “สนมิ ใจ” กัน้ จิตบุคคลไว้ไม่ให้บรรลุความดี ถ้าจิตของบุคคลน้ันสามารถระลึกรู้อยู่ กับอารมณ์ท่ีตนกำ�หนดไว้ได้จนสงบลง ในยามนั้นนิวรณธรรมทั้ง ๕ ประการขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ ไดส้ งบไปจากจติ แลว้ การปฏบิ ตั โิ ดยวธิ นี จ้ี งึ ชอื่ ว่าเปน็ “สมถกรรมฐาน” มีจ�ำ นวนถึง ๔๐ ประการ จัดเปน็ หมวดได้ ๗ หมวด คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนสุ สติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรปู กรรมฐาน ๔ อาหาเรปฏิกลู สัญญา ๑ จตธุ าตวุ วตั ถาน ๑ อบุ ายวิธี สงบจติ ทีม่ มี ากเชน่ น้ี ก็เพ่อื ใหเ้ หมาะแกจ่ รติ อัธยาของแตล่ ะบคุ คล ๑๑๗กาลครงั้ หนงึ่ ...เมอ่ื ฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.

๑๑๘ กาลครัง้ หนึง่ ...เมอื่ ฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk. วปิ สั สนากรรมฐาน กรรมฐานเปน็ อบุ ายเรอื งปญั ญา เปน็ การศกึ ษาเรยี นรสู้ งิ่ ที่ กำ�ลังปรากฏทีม่ ีอยจู่ ริง ๆ โดยท่เี ราไม่ตอ้ งสร้างข้นึ มา เพยี งแตเ่ จรญิ สติ ระลกึ รู้ สังเกต “สติ” เปน็ ตวั ระลึก ตัวสงั เกต หรือพิจารณา เปน็ ตัวปัญญาเกดิ ไปดว้ ยกนั ทีเ่ ราเรยี กวา่ “สตสิ มั ปชัญญะ” สตจิ ะควบคมุ จติ มิใหแ้ ส่ออกไปคบอารมณ์ต่าง ๆ ภายนอก ในทส่ี ุดจิตก็จะคอ่ ยคุ้น เคยกบั การสงบอยู่กับอารมณ์เดยี ว เมอ่ื จิตสงบต้ังม่นั ดแี ล้ว ปัญญาคือ การรู้ตามความเปน็ จรงิ เหน็ ว่ามันมีอะไร อยา่ งไร มลี ักษณะอย่างไร มีสจั จะอย่างไร เช่น มองดทู ่กี ิ่งไม้ : เมอื่ ก�ำ หนดลงไปที่กงิ่ ไม้ มนั ก็ เป็นสมาธิ แล้วดูเห็นว่ากิ่งไม้น้ีไหวอยู่เรื่อย ไหวอยู่เร่ือย ในความ เปลี่ยนแปลงน้ีก็เป็นปญั ญา มองไปท่ีก่งิ ไมม้ นั ก็จะมีทง้ั สมาธิ และมีทัง้ ปญั ญา มีพร้อมกันไปในตวั “สมั ปชญั ญะ” เป็นตวั พจิ ารณา คำ�ว่า “พจิ ารณา” ในที่น้ี จะใชต้ อ้ งเข้าใจว่ามนั ไมไ่ ด้หมายถงึ เราตอ้ งเอาข้อมูลในอดีต อนาคต มาคดิ มันคนละความหมาย ฉะนั้น คำ�ว่าพจิ ารณาในที่นี้ จะใช้อีกค�ำ หนงึ่ กค็ อื ค�ำ วา่ “สงั เกต” หรอื พจิ ารณาสน้ั ๆ พจิ ารณาเฉพาะสงิ่ ทก่ี ำ�ลงั ปรากฏเป็นปัจจบุ ัน ไมเ่ อาอดตี อนาคต มาคดิ มานึก ดังน้นั จงึ ใช้ คำ�ว่าสังเกต สติเป็นตัวระลึกรู้ สัมปชัญญะเป็นตัวพิจารณา สังเกต เฉพาะรูปนามท่กี �ำ ลงั ปรากฏ เมอ่ื ผ่านไปแลว้ กผ็ า่ นไป ดูรู้อันใหม่ รปู ใหม่ นามใหม่ ทกี่ �ำ ลงั ปรากฏ ใหร้ เู้ หน็ ของจรงิ ตามความเปน็ จรงิ ของ จรงิ ก็คือ รปู นามตามความเป็นจริง ซึง่ ก็คอื รปู นามมีสภาพอนจิ จงั คือ ไมเ่ ทย่ี ง ทุกขงั คือ เป็นทุกข์ ทนได้ยากหรือคงอยใู่ นสภาพเดิมไม่ ได้ อนัตตา คอื บังคับบัญชาไม่ได้ ดว้ ยเหตนุ ้ีการเจรญิ วิปสั สนาก็ต้อง ก�ำ หนดร้อู ยูใ่ นรปู นามตามจริงว่ามีสภาพไมเ่ ทีย่ ง เป็นทกุ ข์ ทนอยู่ใน

สภาพเดิมไม่ได้และบังคับบัญชาไม่ได้ เรียกว่า การพิจารณาพระ ไตรลกั ษณ์ เปน็ ต้น วิปัสสนากรรมฐาน มวี ิปัสสนาภมู ิ ๖ เปน็ อารมณ์ คือ ๑. ขนั ธ์ ๕ คือกองทงั้ ๕ ๒. อายตนะ ๑๒ คอื ส ะพานเครื่องเช่ือมต่อให้เกิดความรู้ มี ๑๒ ๓. ธาตุ ๑๘ คอื สิง่ ทที่ รงไวซ้ ่ึงสภาพของตน มี ๑๘ ๔. อนิ ทรยี ์ ๒๒ คือค วามเป็นใหญ่ มี ๒๒ ๕. อรยิ สัจ ๔ คอื ความจริงอนั ประเสรฐิ มี ๔ ๖. ปฏจิ จสมปุ บาท ๑๒ คือ ความประชมุ พรอ้ มดว้ ยเหตผุ ล มี ๑๒ วปิ สั สนาภมู ทิ ง้ั ๖ ทเี่ ปน็ อารมณข์ องวปิ สั สนากรรมฐานยอ่ ใหส้ ั้น ไดแ้ ก่ รปู กบั นามเท่านัน้ ถา้ ใครเอาขนั ธ์ ๕ หรืออายตนะ ๑๒ เปน็ ตน้ มาเปน็ อารมณก์ รรมฐาน ผนู้ น้ั ชอ่ื วา่ ไดเ้ จรญิ วปิ สั สนากรรมฐาน ระดับของปัญญา คำ�วา่ “ปญั ญา” ตามความหมายทว่ั ไปทค่ี นเขา้ ใจกนั โดย ส่วนใหญ่ก็คือ ความฉลาดหรือความรอบร้ทู ่เี กิดจากการเรียนและคิด เชน่ เดก็ นกั เรยี นทเ่ี รยี นหนงั สอื เกง่ จนสอบไดท้ ่ี ๑ ของหอ้ ง การทบ่ี คุ คล ใดบคุ คลหนง่ึ สามารถคดิ คน้ เทคโนโลยใี หม่ ๆ ขน้ึ มาได้ ยกตวั อยา่ งเชน่ คอมพวิ เตอร์ เปน็ ตน้ กม็ กั จะไดร้ บั ค�ำ ชมอยเู่ สมอวา่ เปน็ คนเกง่ ฉลาด มปี ญั ญา แทจ้ รงิ แลว้ นน้ั ปญั ญามอี ยหู่ ลายชน้ั หลายอยา่ ง ในทน่ี จ้ี ะขอ ยกเอาปญั ญา ๓ อยา่ ง มาพอสงั เขปเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจดังนี้ ๑๑๙กาลครัง้ หนง่ึ ...เมือ่ ฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.

๑๒๐ กาลคร้งั หนงึ่ ...เมือ่ ฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk. ๑. สตุ มยปญั ญา ไ ด้แก่ ปญั ญาท่ีเกิดจากการฟงั เกดิ จาก การเรยี น เกิดจากการดหู นงั สอื เกิดจากการท่องการจ�ำ ได้ ๒. จนิ ตามยปญั ญา ไดแ้ ก่ ปญั ญาทเ่ี กดิ จากการนกึ คดิ เชน่ คดิ ทำ�รถยนต์ รถไฟ ระเบิด จานดาวเทียม คอมพวิ เตอร์ เปน็ ตน้ ๓. ภาวนามยปัญญา ปญั ญาทเี่ กดิ จากการเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ มี ๔ อย่าง เรียกส้ัน ๆ ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม คอื มสี ติก�ำ กบั ดูกาย มสี ติก�ำ กบั ดเู วทนา มสี ตกิ ำ�กบั ดูจิต หรือสภาพและอาการของ จติ มีสตกิ ำ�กบั ดธู รรม ใหร้ เู้ ทา่ ทันตามความเปน็ จริง จนมีจิตใจเปน็ อสิ ระไมถ่ กู ครอบงำ�ดว้ ยกิเลสและความทกุ ข์ ประโยชนข์ องการปฏิบัตวิ ปิ สั สนากรรมฐาน การปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐานนน้ั มปี ระโยชนม์ ากมายเหลอื ทจี่ ะนบั ประมาณได้ จงึ ขอยกเอามาแสดงพอสงั เขป เพอื่ ใหเ้ หน็ ถงึ ความ สำ�คัญและควรรีบเร่งทำ�การศึกษาเรียนรู้วิธีการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน เพ่ือให้เกดิ ปญั ญารูเ้ ทา่ ทันตามความเปน็ จริง เม่อื น้ันก็จะ ทราบไดว้ ่าความทุกขม์ าจากไหน เราจะแก้ปัญหาท่เี กดิ จากความทกุ ข์ นั้นให้ดับไปได้อย่างไรและควรเริ่มต้นท่ีใด อีกทั้งความรู้เท่าทันตาม ความเป็นจริงก็เป็นผลให้เกิดปัญญา รู้ท่ีจะสกัดกั้นเหตุท่ีจะท�ำ ให้เกิด ทุกข์นน้ั ลงได้ อาตมาจงึ ขอนำ�เอาบทความหนง่ึ ของหนังสอื คมู่ ือการ อบรมพัฒนาจติ จากการรวบรวม/เรียบเรยี งโดย พ.ท.วิง รอดเฉย ดังนค้ี ือ

๑. สัตตานงั วสิ ุทธิยา ท �ำ กาย วาจา ใจ ของสรรพสตั วใ์ ห้ บรสิ ุทธิห์ มดจด ๒. โสกะปะรเิ ทวานัง สะมะตกิ กะมายะ ดบั ความเศรา้ โศก ปรเิ ทวนาการต่าง ๆ ๓. ทุกขะโทมะนัสสานัง อตั ถงั คะมายะ ดับความทุกขก์ าย ดับความทกุ ขใ์ จ ๔. ญาณัสสะ อะธคิ ะมายะ เพอื่ บรรลมุ รรคผล ๕. นพิ พานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เพ่อื ทำ�นิพพานให้แจง้ และยังมปี ระโยชน์อยู่อีกมาก เชน่ ๑. ชอื่ ว่าเปน็ ผไู้ ม่ประมาท ๒. ชือ่ วา่ เป็นผู้ไดป้ ้องกันภยั ในอบายภมู ทิ งั้ ส่ี ๓. ชื่อว่าได้บ�ำ เพ็ญไตรสิกขา ๔. ชอ่ื ว่าได้เดินทางสายกลาง คอื มรรค ๘ ๕. ชอื่ วา่ ไดบ้ ชู าพระพุทธเจา้ ด้วยการบูชาอย่างสงู สุด ๖. ชอ่ื วา่ ได้บ�ำ เพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เปน็ อปุ นิสัยปัจจยั ไปใน ภายหน้า ๗. ชื่อวา่ ไดป้ ฏบิ ัติถูกต้องตามพระไตรปฎิ กโดยแท้จรงิ ๘. ช่ือว่าเป็นผู้มชี ีวติ ไม่เปล่าประโยชน์ทั้งสาม ๙. ชอ่ื วา่ เป็นผูเ้ ข้าถึงพระรัตนตรยั อยา่ งถกู ตอ้ ง ๑๐. ช่ือวา่ ไดป้ ฏบิ ัติเพื่อให้เกดิ วปิ สั สนาญาณ ๑๖ ๑๑. ชือ่ ว่าได้สง่ั สมอริยทรัพยไ์ ว้ในภายใน ๑๒. ช ื่อว่าเป็นผู้มาดี ไปดี อยู่ดี กินดี ไม่เสียทีที่เกิดมาพบ พระพุทธศาสนา ๑๒๑กาลคร้ังหนึ่ง...เม่อื ฉนั หดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.

๑๒๒ กาลคร้งั หน่ึง...เมือ่ ฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk. ๑๓. ช อื่ วา่ ไดร้ กั ษาอมตมรดกของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไวเ้ ปน็ อยา่ งดี ๑๔. ช อื่ วา่ ไดช้ ว่ ยกนั เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งยงิ่ ๆ ขนึ้ ไปอกี ๑๕. ช่ือวา่ ไดเ้ ป็นตัวอยา่ งอันดงี ามแก่อนุชนรนุ่ หลัง ๑๖. ชอ่ื วา่ ตนเองไดม้ ีธนาคารบญุ ติดตัวไปทกุ ฝกี า้ ว ความหมายของค�ำ วา่ “อารมณ์” ในทางกรรมฐาน ค�ำ ว่า “อารมณ์” ทใ่ี ชใ้ นทางกรรมฐาน ทงั้ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานนั้น มิใช่หมายความอย่างที่มักกล่าวถึงกันอยู่ โดยทั่วไป เช่นว่า เป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นคนอารมณ์ดี เป็นคนมี อารมณ์รา้ ย อยา่ พดู ด้วยอารมณ์ หรือทำ�ตามอารมณ์ ซึ่งหมายถงึ พูด และทำ�ตามใจโดยไม่มีหลักการเหตุผลท่ีถูกท่ีควร แต่อารมณ์ในทาง กรรมฐาน หมายถงึ เครอ่ื งยดึ หนว่ งจิตใจ ถา้ ใชใ้ นทางสมถกรรมฐาน มบี ญั ญัติ (สง่ิ ที่เราสมมติขึน้ ) เปน็ อารมณ์ และมีวธิ บี รกิ รรมอารมณท์ ่ี เปน็ กสณิ เชน่ ปฐวกี สณิ (วงกลมท�ำ ดว้ ยดนิ บรสิ ทุ ธส์ิ อี รณุ ) อาโปกสิณ (วงกลมท�ำ ดว้ ยน�ำ้ ใสบรสิ ทุ ธปิ์ ราศจากสแี ละตะกอน) เตโชกสณิ (วงกลม ท�ำ ด้วยไฟ) วาโยกสิณ (เพง่ ลมทพ่ี ัดสัมผสั อวยั วะ หรอื พัดยอดไมย้ อด หญา้ ให้หวัน่ ไหว) เปน็ ต้น หรอื อารมณท์ เ่ี ปน็ อสภุ ะและอ่ืนๆ รวม ๔๐ วธิ ี ส่วนในทางวปิ สั สนากรรมฐานนนั้ ก็ได้แก่ รูปนาม ขันธ์ ๕ หรอื อายตนะ ๑๒ ซงึ่ อยใู่ นวปิ สั สนาภมู ิ ๖ เปน็ อารมณ์ หรอื เปน็ กรรมฐาน หรอื เปน็ ท่ตี งั้ ของวิปัสสนา

ท�ำ ความร้จู กั กับสมาธิ สัมปชญั ญะ และสติ ๓ สิ่งสำ�คญั ท่ขี าดไมไ่ ดใ้ นชวี ติ สมาธิ หลาย ๆ คนรู้จักค�ำ ว่า สมาธิ แต่ไมเ่ ข้าใจว่าสมาธิคอื อะไร มีลักษณะอยา่ งไร และแมก้ ระทงั่ ว่าสมาธไิ ด้เกดิ ขนึ้ กบั ตัวเราแลว้ เราก็ ไม่สามารถมีความระลึกรู้ได้เลยว่าสมาธิเกิดขึ้นกับเราแล้ว น่ันเป็น เพราะว่าเราไม่เคยฝึกสมาธิอย่างเป็นหลักการ จึงไม่เกิดการเรียนรู้ เขา้ ใจถงึ สภาพของจิตใจทส่ี งบแน่วแน่ไมฟ่ ุง้ ซา่ น หลายๆ คนมักพูดถึง ค�ำ ว่าสมาธิ เชน่ วนั นี้ไม่มีสมาธใิ นการท�ำ งานเลย ไมม่ ีสมาธิในการ อ่านหนังสือเลย คนท่ีมีสมาธิดีสามารถที่จะเรียนหรือทำ�งานได้ดีกว่า คนทัว่ ไป เปน็ ตน้ แต่เมื่อถูกถามกลบั วา่ แล้วสมาธิทีพ่ ูดกนั บอ่ ย ๆ ว่า สำ�คญั นั้น มันคืออะไร มีลักษณะอยา่ งไร เกิดขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร สำ�หรบั ผู้ ไมเ่ คยฝกึ สมาธภิ าวนา หรอื เคยผา่ นการฝกึ สมาธิภาวนามาบ้าง แตไ่ ม่ ไดฝ้ กึ ฝนอยา่ งตอ่ เนอื่ ง กจ็ ะไมเ่ กดิ การรบั รถู้ งึ สภาวะทจี่ ติ เปน็ สมาธิ จงึ ไมอ่ าจเขา้ ใจ และอธบิ ายออกมาเปน็ ค�ำ พดู ได้ เพยี งแตใ่ ชห้ รอื พดู กนั ถงึ เรอ่ื งของสมาธิ โดยทผี่ ู้พูดเองก็ไม่เขา้ ใจถึงคำ�วา่ สมาธิเชน่ กัน สมาธิ หมายถงึ ลกั ษณะของจติ ทมี่ ีความสงบ ตั้งมน่ั แนว่ แน่ ต่อสง่ิ ที่กำ�หนด ไม่ฟงุ้ ซ่านหรือส่ายไป สมควรแก่การท�ำ งาน ใน ท่ีนี้จะขอยกเอาสมาธิตามธรรมชาติ และสมาธิภาวนาขึ้นมา เพื่อ ท�ำ ความเขา้ ใจ และรู้จกั กบั สมาธมิ ากขึน้ ดงั น้ี ๑๒๓กาลครงั้ หนึง่ ...เมือ่ ฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk.

๑๒๔ กาลครงั้ หนึ่ง...เมื่อฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. สมาธิตามธรรมชาติ เปน็ สมาธิทีเ่ กิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยทย่ี งั ไม่ได้รับ การฝกึ อบรมอย่างเปน็ หลักการ หรอื ท่ีเรยี กกันว่าเป็นกรรมฐาน ตาม ธรรมชาตนิ ้นั เมอ่ื คนเราลงมอื คดิ นึก สมาธกิ เ็ กิดข้ึน เกิดพอสมควรท่ี จะให้คดิ นึกได้ ถา้ มันไม่มีสมาธิเสยี เลย คอื ไมเ่ กดิ ความสงบตัง้ ม่ันรู้ อยกู่ บั เรอ่ื งทีค่ ดิ นกึ น้ันเพยี งเรอ่ื งเดยี ว มันก็คิดนกึ อะไรไมไ่ ด้ สมาธิมัน จะเกิดข้ึนมาเองพอสมสดั ส่วนให้คดิ ได้ แล้วก็ซ่อนอยูใ่ นนั้น ทำ�ให้เรา ไมส่ ามารถมองเหน็ มนั ได้ เมอ่ื มองไมเ่ หน็ สภาพของจติ ทเี่ ปน็ สมาธจิ าก การคดิ นกึ จงึ ไมเ่ กดิ การรบั รถู้ งึ อารมณค์ วามรสู้ กึ ในขณะทจี่ ติ เปน็ สมาธิ ความเข้าใจในอารมณท์ เี่ ป็นสมาธอิ ยู่ในขณะนน้ั กไ็ ม่เกดิ จึงเปน็ เหตใุ ห้ ไม่สามารถรู้และเขา้ ใจสภาพของจติ ท่เี ป็นสมาธิได้ งานทุกอยา่ งทกุ ประการท่ีท�ำ กนั อย่ใู นโลก ล้วนแล้วแต่ ตอ้ งการจติ ทป่ี กตเิ ปน็ สมาธิทั้งน้นั แมอ้ ยอู่ ย่างคนธรรมดานี้ กต็ อ้ งมี สิ่งท่ีเรียกว่าสมาธิตามธรรมชาติเข้ามาช่วย อันจะท�ำ ให้การงานเหล่า นัน้ เป็นไปไดด้ ว้ ยดี โดยเฉพาะงานประณีต งานฝีมือ งานศลิ ปะที่ตอ้ ง ใช้การวาดดว้ ยแล้ว ตอ้ งมีสมาธิมากจึงจะท�ำ ไดด้ ี ความชำ�นาญอยา่ ง เดียวยังคงไมเ่ พียงพอ จะเย็บปักถักร้อยหรอื อะไรก็ตาม แม้แตแ่ ม่ครวั จะหัน่ ผักหัน่ เนื้อ ถา้ ท�ำ ด้วยจติ ทีเ่ ป็นสมาธิกจ็ ะห่ันได้ดี เชน่ หนาเทา่ กนั ทกุ แวน่ เรยี บรอ้ ยสม�่ำ เสมอ ถา้ แมค่ รวั จติ ฟงุ้ ซา่ นจะหน่ั เปะปะ หนา บ้าง บางบ้าง ดูแลว้ ยุง่ ยากตลอดเวลา จะลุกขึน้ จะนงั่ ลง จะเดนิ ไป จะไปท�ำ อะไร มนั มจี ติ ทเ่ี ปน็ สมาธติ ามธรรมชาตชิ ว่ ยอยตู่ ลอดเวลา เรา จะกระท�ำ สงิ่ ตา่ ง ๆ ไดโ้ ดยไมผ่ ดิ พลาด เชน่ ปอกผลไมโ้ ดยทม่ี ดี ไมบ่ าด มือ หรือตอกตะปูโดยที่ฆ้อนไม่ตอกถูกมือ ซ่ึงเกิดจากจิตมีความเป็น ปกตติ ามธรรมชาตชิ ว่ ยอยตู่ ลอดเวลานนั่ เอง ไมว่ า่ เราจะทำ�การงานสงิ่

ใด ขอให้ทำ�ดว้ ยจิตเป็นสมาธิเถดิ มันจะได้ผลดี มฉิ ะนน้ั จะท�ำ ไมไ่ ด้ดี จะเกิดความผิดพลาด ชวี ิตน้กี จ็ ะยงุ่ เหยิง ถา้ มคี วามถกู ต้องพอดี มนั จะเรียบร้อยไปหมดทกุ อริ ยิ าบถ ยนื เดนิ น่ัง นอน ดังน้ัน ความเป็นสมาธิตามธรรมชาตินี้จะขาดไม่ได้ ต้องมตี ามที่ธรรมชาตติ อ้ งการ มนั จ�ำ เป็นส�ำ หรบั ทุกคนที่มชี ีวิตอยู่บน โลก ไมว่ า่ เขาจะประกอบการงานอะไร หนา้ ทอ่ี ะไร สมาธเิ ปน็ สง่ิ ทตี่ อ้ ง มีพอสมควรแกก่ รณี ไมว่ ่าเราจะเป็นคนชนดิ ไหน จะทำ�อะไร เราจะ ตอ้ งมสี งิ่ ทเ่ี รยี กวา่ สมาธติ ามสมควรแกก่ รณี มฉิ ะนนั้ เราจะไมส่ ามารถ ท�ำ อะไรไดด้ ว้ ยความถกู ตอ้ งหรอื ปกตทิ เ่ี รยี กวา่ มสี ตสิ มประดี จติ ใจไม่ เลอื่ นลอย จิตใจไมอ่ ่อนแอ ไม่ฟ้งุ ซา่ น สมาธิภาวนา สมาธิภาวนา คือ การทำ�ความเจริญด้วยจิตท่ีเป็น สมาธิ ซ่งึ เปน็ สมาธทิ เ่ี กิดมีขน้ึ มาดว้ ยการฝกึ ฝน โดยการกระท�ำ ท่ี เรียกว่า สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อกระท�ำ จิตให้ เจรญิ ข้ึน สมาธิที่มีอยูต่ ามธรรมชาตเิ ทา่ ท่ีธรรมชาติให้มาน้นั มนั ยังไม่ สมบูรณ์ เราจึงต้องมาฝึกให้สมบูรณ์ เปรียบเหมือนดั่งเมล็ดพืช ธรรมชาติให้มาแต่เมล็ดพืช จากนั้นเป็นหน้าท่ีที่เราจะต้องเพาะให้มัน เกดิ เปน็ ตน้ เปน็ ลำ� เปน็ ดอก เปน็ ผลขน้ึ มา ความเปน็ สมาธขิ องจติ นน้ั ธรรมชาตใิ หม้ าแต่เมลด็ คอื เท่าท่จี ะเอามาเพาะได้ มนั ไมไ่ ดเ้ พาะมาให้ เสร็จ แต่มันให้มาสำ�หรบั ให้มาเพาะ เช่นเดยี วกบั เมล็ดถั่ว เมล็ดองุ่น เมล็ดข้าว ได้มาแต่เมล็ด แต่ก็สามารถท่ีจะเพาะออกมาเป็นต้นได้ ธรรมชาติไม่ได้ให้มามากกว่าน้ัน แต่ละคนมีเมล็ดพืชส�ำ หรับความอยู่ ๑๒๕กาลคร้ังหนึง่ ...เม่ือฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk.

๑๒๖ กาลคร้งั หนงึ่ ...เม่อื ฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk. รอด ธรรมชาตใิ หม้ าครบถว้ นทกุ คน แลว้ แตว่ า่ ใครจะท�ำ การเพาะปลกู เพื่อให้ออกดอก ออกผล เปน็ ตน้ ตอ่ ไป ส�ำ หรบั คนท่ีรู้เรอ่ื งเหลา่ น้แี ลว้ ได้ทำ�การเพาะปลูก ได้พฒั นา คนน้นั ก็จะไดร้ บั ประโยชนท์ างจิตใจสงู กวา่ คนธรรมดา คนเราควรท่ีจะตอ้ งท�ำ จติ ให้เจรญิ เพราะสมาธิทไี่ ด้ จากธรรมชาตนิ ั้นเปรยี บเหมอื นได้มาแค่เมลด็ พืช ไม่เพยี งพอตอ่ ความ อยู่รอดของชีวิต เราต้องเพาะหว่านโดยวิธีจิตตภาวนา ด้วยอุบายวิธี ทางกรรมฐาน ซง่ึ มอี ยู่ ๒ วิธีด้วยกัน คือ สมถกรรมฐาน เป็นอบุ าย สงบใจ และวปิ ัสสนากรรมฐาน เปน็ อบุ ายเรอื งปญั ญา สมาธิที่ถูกฝึกข้ึนมาด้วยการภาวนาย่อมดีกว่าสมาธิที่ได้รับ จากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว มันมีผลมากกว่าท่ีมันมีตามธรรมชาติ ฉะนั้น จงึ ควรฝกึ ในสงิ่ ที่มตี ามธรรมชาติน้นั ให้มนั ดกี ว่า เพือ่ วา่ เราจะ สามารถท�ำ อะไรไดด้ กี วา่ คนทวั่ ไปทเี่ ขาไมม่ กี ารฝกึ จติ ใจเสยี เลย สมาธิ เป็นส่ิงทท่ี ุกๆ ชีวติ จะต้องมี ไมม่ ไี ม่ได้ แล้วก็ตอ้ งเจรญิ ยิง่ ๆ ข้ึนไป ระดบั ของสมาธิ ระดบั ของสมาธแิ บ่งแยกออกเปน็ ๓ ระดบั คอื ๑. ขณกิ สมาธิ สมาธชิ ัว่ ขณะ (Momentary Concentration) สมาธิขนั้ ต้น ในชีวิตประจำ�วันของคนท่ัวไปก็จะถูกนำ�ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าท่ี การท�ำ งานให้ได้ผลดี เช่น การอ่านหนังสอื การวางแผนงาน เป็นตน้ ในสว่ นของการปฏิบัติธรรมก็ใช้เปน็ จุดเรมิ่ ตน้ ในการเจรญิ วปิ ัสสนาได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook