๒. อุปจารสมาธิ สมาธิเฉียด ๆ หรือสมาธจิ วนจะแนว่ แน่ (Access Con- centration) ยงั ไม่ดง่ิ ถงึ ทสี่ ดุ เป็นสมาธขิ น้ั ระงบั นิวรณไ์ ด้ นิวรณ์ คือ เครอื่ งกดี กนั้ ขดั ขวางความดงี ามของจติ และการท�ำ งานของจิต ไมใ่ ห้ จติ เปน็ สมาธิ นวิ รณม์ ี ๕ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ๑. กามฉนั ท์ ความพอใจ ความ อยากได้ใน รปู เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ ทนี่ า่ รกั น่าใคร่ นา่ พอใจ ๒. พยาบาท ความผกู โกรธจองลา้ งจองผลาญ ๓. ถีนมิทธะ ความ หดหทู่ อ้ แท้ ความโงกงว่ ง ๔. อทุ ธัจจกุกกุจจะ ความฟ้งุ ซา่ น ร�ำ คาญ หงุดหงิดใจ ๕. วจิ กิ ิจฉา ความลังเลสงสัย ไดแ้ ก่ ไม่แนใ่ จสงสัยเก่ยี ว กบั พระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ เก่ยี วกับการปฏิบตั ิธรรมว่าจะมี ผลตามที่คาดไวห้ รือไม่เพียงใด เป็นตน้ ๓. อัปปนาสมาธิ จิตเปน็ สมาธิ ต้ังมนั่ แน่วแน่ แนบสนิท (Attainment Concentration) เปน็ สมาธิระดบั สงู สดุ มใี นฌานท้งั หลาย ประโยชน์ของสมาธิ ประโยชน์ของสมาธิน้ันมีมากและเป็นส่ิงสำ�คัญ ท้ัง ทางการปฏบิ ตั ธิ รรมและการด�ำ เนนิ ชวี ติ ในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของคนทว่ั ไป โดยเฉพาะการทำ�งานจะประสบผลสำ�เร็จได้ด้วยดีต้องมีสมาธิ เพ่อื ให้ จติ ใจสงบตง้ั มน่ั รอู้ ยกู่ บั งานทท่ี �ำ อยา่ งเดยี ว ไมห่ นอี อกไปจบั อารมณข์ า้ ง นอก หรอื รบั อารมณห์ ลาย ๆ อยา่ งเขา้ มาไมย่ อมหยดุ ไมย่ อมนง่ิ อยใู่ น อารมณอ์ ันเดียว จนเกิดเป็นความฟงุ้ ซา่ น จิตไปจบั อารมณ์หลาย ๆ ๑๒๗กาลครั้งหนึง่ ...เมอ่ื ฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.
๑๒๘ กาลครง้ั หน่ึง...เมื่อฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. อยา่ งจนไมเ่ กดิ เปน็ สมาธิ ดงั นน้ั ในทน่ี อ้ี าตมาจงึ ขอยกเอาแตป่ ระโยชน์ ของสมาธทิ ม่ี ผี ลตอ่ สขุ ภาพจติ บคุ ลกิ ภาพ และชวี ติ ประจ�ำ วนั มาพอให้ ผ้อู ่านได้เห็นถึงความส�ำ คัญของสมาธิในด้านของสุขภาพท้งั กายและใจ ดงั น้ี ๑. ทำ�ใหเ้ ปน็ ผู้มจี ติ ใจและบุคลิกลกั ษณะเขม้ แข็ง ผทู้ ฝี่ ึก สมาธิอยู่เป็นประจำ�ก็เท่ากับว่าต้องพยายามควบคุมจิตใจของตนไม่ให้ ไหลไปตามสงิ่ ทมี่ ากระทบอารมณ์ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสงบ เปรยี บเหมอื น การเดินทวนนำ้�ที่ต้องฝืนใจตัวเอง จึงทำ�ให้สามารถควบคุมจิตใจของ ตนเองได้ จติ ใจจึงเกิดความหนกั แน่น มน่ั คง สงบ เยือกเย็น ส่งผล ถงึ บุคลกิ ลกั ษณะภายนอกของคนผู้น้นั ใหม้ ลี กั ษณะเป็นคนสภุ าพ น่ิม นวล สดชน่ื ผอ่ งใส กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปรา่ เบิกบาน สงา่ งาม ๒. ท�ำ ให้เกิดมคี วามเมตตากรณุ า คือ ความรัก ความ ปรารถนาดี และความสงสาร ความอยากช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ เกิดขึ้นกับจิตใจ ส่งผลให้มีความคิดในทางที่ดี และมีอารมณ์ที่ดีงาม ภมู ติ า้ นทานทชี่ ว่ ยปกปอ้ งคมุ้ ครองรา่ งกายจากสงิ่ แปลกปลอมภายในก็ ดขี ึ้นด้วย ๓. มองดูรจู้ กั ตนเองและผูอ้ ่ืนตามความเปน็ จรงิ ในการ ปฏบิ ตั ิธรรม โดยที่มักจะเข้าใจหรือเรียกกนั แตว่ า่ สมาธนิ น้ั จะทำ�ให้ผู้ ปฏิบัติได้มีเวลาท่ีจะอยู่กับตัวเองอย่างสงบ เพื่อเปิดโอกาสให้ได้ดูกาย และใจของตนเองด้วยสติสัมปชัญญะ รู้ถึงสภาพความเป็นจริงของทั้ง กายและใจ จนเกิดความเข้าใจในตนเอง และนำ�มาซ่ึงความเข้าใจใน ธรรมชาติพร้อมทั้งความเข้าใจในบุคคลอ่ืนด้วย เข้าข่ายท่ีว่า ดูใจ เหน็ ใจ เขา้ ใจ วางใจ สบายใจ นน่ั เอง
๔. เปน็ การเตรยี มจิตใจใหอ้ ยู่ในสภาพพรอ้ มและง่ายแก่ การปลกู ฝงั คณุ ธรรมต่าง ๆ และเสริมสร้างนสิ ยั ทีด่ ี เหตเุ พราะมสี ติ เฝ้าคอยระลกึ และคุมใจไม่ให้เผลอ หรอื ไปสนใจสงิ่ รอบข้างจนเกดิ เปน็ สมาธิจิตตง้ั มนั่ สนใจแต่สิ่งทกี่ �ำ ลงั เรียนร้อู ยู่ หรอื งานที่กำ�ลังท�ำ อยูเ่ ปน็ ปจั จุบนั พร้อมท้ังมคี วามรู้ตัว ร้ชู ดั เข้าใจชัด ถึงสิ่งท่เี ราก�ำ ลงั ท�ำ อยู่ เชน่ ยืน เดิน นงั่ นอน ก็รู้สกึ ตวั วา่ กำ�ลังยืน กำ�ลังเดนิ กำ�ลงั น่งั ก�ำ ลงั นอน หรือเมื่อกำ�ลงั อา่ นหนังสอื เขียนหนงั สือ เปน็ ตน้ กร็ ้สู ึกตวั ว่าเรากำ�ลังอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ส่ิงน้ีเรียกว่า สัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเป็นธรรมมีอุปการะมาก คือ นำ�มาซ่ึงความเกื้อกูลใน การงานทงั้ ปวง ๕. รจู้ กั ท�ำ ใจใหส้ งบไมห่ วน่ั ไหวตอ่ อารมณท์ เ่ี ขา้ มากระทบ และสะกดยั้งผ่อนเบาความทุกขท์ เ่ี กิดขึ้นในใจได้ เรยี กวา่ มคี วามมน่ั คง ทางอารมณ์ ๖. มภี มู ิคมุ้ กนั โรคทางจิต เพราะมสี มาธชิ ่วยใหเ้ กิดความ สงบ ระงบั ไมใ่ ห้คดิ ปรุงแต่งส่งิ ตา่ งๆ ย�ำ้ ๆ ซ�ำ้ แล้วซ้ำ�อีก ถึงสง่ิ ทไี่ ม่ สบายใจจนกลายเปน็ ความวติ กกงั วลทางจติ มาก ๆ เขา้ กจ็ ะกลายเปน็ ความเครียดสะสม ทีอ่ าจส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางจิตได้ ๗. รจู้ กั ด�ำ เนนิ ชวี ติ อยา่ งมสี ติ ตามดู รทู้ นั พฤตกิ รรมทาง กาย วาจา ใจ ดว้ ยการใช้จติ ที่มีสมาธิ ซึ่งเปน็ ฐานในการปฏิบตั ิตาม หลกั สติปัฏฐาน ๔ ก็จะคอ่ ยเกิดความรูเ้ ท่าทันตามสภาวะจติ ของตนที่ เป็นไปต่าง ๆ มองเพือ่ การเรยี นรใู้ ห้เกิดความเขา้ ใจในขณะที่มันกำ�ลัง เกดิ ขนึ้ กบั เราอยเู่ ปน็ ปจั จบุ นั กจ็ ะน�ำ มาซง่ึ ปญั ญา รจู้ กั ใชป้ ระโยชนโ์ ดย การพยายามเรยี นรู้ จากสง่ิ ทเี่ ข้ามากระทบจิตใจจนเกิดเป็นความรสู้ ึก เชน่ สขุ ทกุ ข์ โกรธ หลง เคลิบเคล้มิ หรือความรู้สึกนึกคดิ ตา่ ง ๆ ๑๒๙กาลครัง้ หน่งึ ...เมือ่ ฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๓๐ กาลคร้งั หนึ่ง...เม่ือฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk. เปน็ ตน้ ใช้ประโยชนจ์ ากมนั เพื่อเรยี นรู้อย่างเดยี ว อยา่ ยอมเปิดช่องให้ ประสบการณแ์ ละความเปน็ ไปเหลา่ นนั้ กอ่ พษิ เปน็ อนั ตรายแกช่ วี ติ จติ ใจ ของตนไดเ้ ลย ประโยชนใ์ นข้อนย้ี ่อมเป็นไปในชวี ิตประจ�ำ วนั ด้วย ๘. ท�ำ จติ ใจใหเ้ กดิ ความผอ่ นคลาย หายเครยี ด เกดิ ความ สงบ หายกระวนกระวาย หยดุ จากความกลดั กลุ้มวิตกกังวล ๙. เปน็ เครอื่ งพกั ผอ่ นกาย ท�ำ ใหใ้ จสบายมคี วามสขุ เชน่ บางท่านในบางคร้ังที่ต้องเครียดกับงาน หรือจำ�เป็นต้องรอคอยและ ไม่มอี ะไรท่จี ะทำ� ก็ให้หายใจเข้าออกยาว ๆ สบาย ๆ พรอ้ มก�ำ หนด ทอ้ งพองยบุ ดสู บาย ๆ ไมเ่ พง่ ทอ้ งทพี่ องยบุ จนเกนิ ไป กจ็ ะเกดิ เปน็ การ พักผอ่ นกายใจ เปน็ อย่อู ย่างสขุ สบาย ๑๐. เปน็ เครอ่ื งเสรมิ ประสทิ ธภิ าพในการท�ำ งาน การ เรยี น และการท�ำ กจิ กรรมทกุ อยา่ ง เพราะจติ ทเี่ ปน็ สมาธิ ตง้ั มนั่ แนว่ แน่ อยูก่ บั สิ่งที่ก�ำ ลงั กระทำ� ไมฟ่ ้งุ ซ่าน ไม่วอกแวก ไมเ่ หม่อลอย ย่อม ชว่ ยใหก้ ารเรยี น การคดิ และการท�ำ งานไดผ้ ลดี เกิดความรอบคอบ ไมผ่ ดิ พลาด เชน่ การอา่ นหนงั สอื ตาทจี่ บั จอ้ งตวั อกั ษรในหนงั สอื โดย จิตไม่เผลอส่งออกนอกไปคิดเร่ืองอ่ืนในขณะอ่านหนังสือ รู้อยู่กับการ อ่านหนังสอื เพียงอยา่ งเดยี วน้เี ป็นสมาธิ และเมอื่ ไหรท่ ่ีจิตเผลอส่งออก ไปคิดเรื่องอื่นหรือสนใจส่ิงอ่ืนไม่อยู่กับการอ่านหนังสือ แล้วเกิดการ ระลกึ ข้ึนได้ รู้ตัวว่าจิตกำ�ลงั สง่ ออกนอกไป ก็ดึงจติ กลบั มารูอ้ ย่กู บั การ อ่านหนังสือใหม่น่ีคือ “สติ” พร้อมกับเกิดความรู้ตัวอยู่ตลอดในการ อ่านหนังสือ เฝ้าทำ�การพิจารณาจนเกิดความรู้ชัด เข้าใจชัด จาก หนังสือที่กำ�ลงั อ่านอยูน่ น้ั เรียกวา่ “สัมปชัญญะ” ๑๑. ปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตไุ ดด้ ี เพราะมสี มาธกิ เ็ ทา่ กบั มสี ตกิ �ำ กบั อยดู่ ว้ ย เมื่อมสี ติยอ่ มเป็นเครอ่ื งหมายแห่งความไม่ประมาท เกิดการ
คดิ ไตร่ตรองใครค่ รวญในส่ิงทจี่ ะท�ำ กอ่ นทกุ ครั้ง ท�ำ ใหค้ วามผดิ พลาด ไม่เกิดข้ึน หรือถา้ เกดิ ข้ึนกส็ ามารถแก้ไขปญั หาเหล่าน้ันไปได้ทันทว่ งที ๑๒. ช่วยเสรมิ สขุ ภาพกาย เพราะเหตทุ ีร่ า่ งกายและจติ ใจ อาศยั กนั มีอทิ ธิพลต่อกัน เชน่ เมื่อรา่ งกายเจบ็ ป่วยไม่สบาย จติ ใจก็ พลอยเศร้าหมองขุ่นมัวไปด้วย เกิดเป็นความกลัวจนวิตกกังวล ขาด กำ�ลังใจจนท�ำ ให้โรคทางกายน้ันโดนซำ้�เติมให้ทรุดหนักลงไปอีก และ แมใ้ นเวลาทรี่ า่ งกายเปน็ ปกติ พอประสบเรอ่ื งราวใหเ้ ศรา้ เสยี ใจรนุ แรง ก็ลม้ ปว่ ยเจบ็ ไข้ไปได้ สว่ นผ้ทู ่ีมจี ิตใจเขม้ แขง็ สมบรู ณ์ เมอ่ื เจ็บปว่ ยกาย ก็ไมส่ บายอยู่แตก่ ายเทา่ น้ัน จติ ใจไม่ปว่ ยตามไปดว้ ย ๑๓. บรรเทาหรือผ่อนเบาโรคทางกายได้ เพราะจิตใจมี ความสบายเขม้ แขง็ สามารถใหก้ �ำ ลงั ใจตวั เองได้ ไมค่ ดิ จบั จดวติ กกงั วล กับโรคทางกาย ส่งผลให้ไม่เครียด ทำ�ให้เซลล์ภูมิต้านทานแข็งแรง สามารถขจัดสิ่งแปลกปลอมภายในกายออกไปได้ ๑๔. สามารถใชก้ �ำ ลงั ของสมาธริ ะงบั ทกุ ขเวทนาทางกายได้ ๑๕. จติ ใจมคี วามผอ่ งใสเบกิ บาน สง่ ผลใหส้ ขุ ภาพรา่ งกาย ดี ผวิ พรรณผ่องใส ซึ่งเป็นภมู ติ ้านทานโรคไปในตวั ๑๖. ชว่ ยระงบั ความแปรปรวนทางจติ ใจทม่ี ผี ลใหเ้ กดิ โรค เชน่ ความมกั โกรธบา้ ง ความกลุ้มกงั วลบา้ ง อาจทำ�ใหเ้ กิดโรคปวด ศรี ษะบางอยา่ ง หรอื โรคแผลในกระเพาะอาหาร เปน็ ตน้ เมอ่ื รจู้ กั ทำ�ใจ ใหส้ งบ ท�ำ ใจใหด้ ี หยดุ ความคดิ นกึ ปรงุ แตง่ ตา่ ง ๆ กไ็ มเ่ กดิ เปน็ อารมณ์ ไมด่ ที ่ีมผี ลใหเ้ กิดความเครยี ด สง่ ผลให้เกดิ โรคขนึ้ มาได้ ประโยชน์ขอ้ น้ีจะสมบูรณ์ต่อเมื่อมีปัญญาท่ีรู้เท่าทันสภาวธรรม จากการเจริญ วิปัสสนากรรมฐานประกอบอยูด่ ว้ ย ๑๓๑กาลครง้ั หนึง่ ...เม่อื ฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk.
๑๓๒ กาลคร้งั หน่ึง...เมือ่ ฉนั หดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. สมั ปชญั ญะ ค�ำ วา่ “สมั ปชญั ญะ” แยกออกเปน็ ๓ ศพั ท์ คอื ส+ํ ป+ชญั ญะ สํ แปลว่า พรอ้ ม แปลวา่ ดี ป แปลว่า ท่ัว แปลวา่ ยิ่ง ชัญญะ แปลว่า รู ้ แปลวา่ เข้าใจ ไดแ้ ก่ ปญั ญา สัมปชญั ญะ หมายความว่า การกำ�หนดรู้ทกุ ๆ ขณะ ความร้ตู ัว ความรตู้ ัวทัว่ พร้อม ความรู้ชดั ความรทู้ ่วั ชดั เปน็ ความ รตู้ วั ตามความเปน็ จรงิ ทงั้ ภายในและภายนอกทถี่ กู ตอ้ ง หรอื ปญั ญา ซ่ึงตั้งอยู่บนรากฐานของสัมมาสตินั่นเอง สติเป็นตัวระลึกรู้ สัมปชญั ญะเป็นตวั “พจิ ารณา” ก�ำ หนดรทู้ ุก ๆ ขณะ เฝา้ สังเกตเฉพาะ รปู นามทกี่ ำ�ลงั ปรากฏ เม่อื ผ่านไปแล้วกผ็ า่ นไป ดรู ้อู ันใหมท่ ี่ก�ำ ลงั เกิด ขนึ้ ฉะนน้ั ค�ำ วา่ “พจิ ารณา” ในทนี่ จี้ ะใชอ้ กี ค�ำ หนง่ึ กค็ อื ค�ำ วา่ “สงั เกต” หรอื พจิ ารณาสน้ั ๆ พจิ ารณาเฉพาะสง่ิ ทกี่ �ำ ลงั ปรากฏเปน็ ปจั จบุ นั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความรตู้ ามความเปน็ จรงิ ทผี่ า่ นไปแลว้ กแ็ ลว้ กนั ไป อยา่ เอาอดตี อนาคต มาคิด มานกึ ดงั นนั้ จงึ ใชค้ �ำ ว่า “สังเกต” สัมปชญั ญะ จำ�แนกออกเปน็ ๔ ประเภทใหญๆ่ คอื ๑. สาตถกสัมปชัญญะ ความรู้ชัดในวัตถุประสงค์ จะท�ำ อะไรตอ้ งมสี ตกิ �ำ หนดรปู้ ระโยชนแ์ ละมใิ ชป่ ระโยชนใ์ ห้ ดีก่อน เช่น เมื่อจิตคิดจะไป อย่าไปตามอำ�นาจจิต คิดหาส่ิงท่ีเป็น ประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ก่อน ถ้าเราไปท่ีน่ันจะมีประโยชน์หรือ
ไม่ ค�ำ ว่า “ประโยชน์” ในท่ีนไี้ ดแ้ ก่ ความเจรญิ โดยธรรม คอื ทำ�ให้ กรรมฐานดีขนึ้ เจริญขึน้ เช่น ผเู้ จริญกรรมฐาน เมื่อจะไป ณ ท่ีใดที่ หนงึ่ มิใชส่ ักแตว่ ่ารสู้ กึ หรอื นกึ ขน้ึ มาวา่ จะไปกไ็ ป แต่ตระหนกั วา่ เม่อื ไป แลว้ จะไดป้ ตี สิ ขุ หรอื ความสงบใจ ชว่ ยใหเ้ กดิ ความเจรญิ โดยธรรมจงึ ไป ๒. สัปปายสัมปชญั ญะ ความรู้ชัดในความเหมาะสม คอื รตู้ วั ตระหนกั ชดั วา่ สง่ิ ของนนั้ การกระทำ�นนั้ ทที่ จี่ ะไป นัน้ เหมาะกนั กับตน เกื้อกูลแก่สขุ ภาพ แก่กจิ เอ้อื ตอ่ การลดลงของ อกุศลธรรม และกุศลธรรมเจริญงอกงาม จึงใช้ จึงท�ำ จึงไป หรือ เลอื กให้เหมาะ เช่น ผเู้ จรญิ กรรมฐานจะไปฟงั ธรรมอันมปี ระโยชน์ใน ท่ีชุมชนใหญ่ ทม่ี หี ญิงชายแตง่ ตัวกนั อย่างสวยงามไปกันมากมาย เพื่อ พากันฟังธรรม อาจทำ�ให้เสียสังวร เรียกว่า สังวรแตก กิเลสเกิด กรรมฐานเสื่อม เช่น ประสบกับอารมณ์ที่น่าปรารถนาทำ�ให้เกิด “โลภะ” หรอื ประสบกบั อารมณท์ ไ่ี มน่ า่ ปรารถนากเ็ กดิ เปน็ “โทสะ” จงึ ไม่ไป ถ้าภกิ ษใุ ช้จวี รท่เี หมาะสมกบั ดนิ ฟา้ อากาศ และเหมาะกบั ภาวะ ของตนทีเ่ ปน็ สมณะกเ็ รยี กว่า มีความเหมาะสม ๓. โคจรสมั ปชญั ญะ ความรชู้ ดั ในแดนงาน (ซงึ่ ประกอบ กับกรรมฐาน) คือ รู้ตัวตระหนักชัดอยู่ตลอดเวลาถึงสิ่งที่เป็นกิจ หน้าที่ เปน็ ตัวงานที่ตนกระทำ� ไมว่ า่ จะไปไหนหรือท�ำ อะไรอ่นื จะตอ้ งคมุ กาย และจติ ไว้ให้อยูใ่ นกจิ ในประเดน็ หรอื แดนงานของตนไมใ่ หเ้ ขว เตลดิ เล่ือนลอย หรอื หลงลืมไปเสีย ตวั อย่างเชน่ มีภิกษรุ ปู หนึง่ พยายามเดนิ จงกรมกลับไปกลับมาอยใู่ กล้ ๆ ทุง่ นา พวกชาวนาก�ำ ลังพากนั ท�ำ นา ๑๓๓กาลครั้งหนง่ึ ...เม่ือฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๓๔ กาลครั้งหน่งึ ...เมือ่ ฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk. อยู่ และเหน็ ทา่ นเดนิ กเ็ กดิ ความสงสยั วา่ ทา่ นลมื ของหรอื หลงทางหนอ ทำ�ไมจงึ เดนิ กลบั ไปกลบั มาอย่อู ยา่ งนี้ ส่วนท่านเองมไิ ดส้ นใจอะไรเลย มุ่งหน้าแต่ทำ�กรรมฐานอย่างเดียว ท่านต้ังอกตงั้ ใจทำ�จริง ๆ ในไม่ช้า ก็ไดบ้ รรลอุ รหตั ตมรรค อรหตั ตผล ๔. อสมั โมหสัมปชญั ญะ ความรู้ชัดตามความเป็นจรงิ คือ เมื่อไปไหน ทำ�อะไร ก็รู้ตัวตระหนักชัดในการ เคลื่อนไหว หรอื ในการกระทำ�นั้น ในสงิ่ ท่กี ระท�ำ น้นั มสี ติอยู่ทุก ๆ ขณะ กายเอนไปข้างหน้าก็มีสติกำ�หนดรู้ กายเอนไปข้างหลังก็มีสติ ก�ำ หนดรู้ เวลาแลดตู รงกม็ สี ตกิ �ำ หนดรู้ เวลาเหยยี ดแขนเหยยี ดขาออก ไปก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาพาดสังฆาฏกิ ม็ สี ตกิ ำ�หนดรู้ เวลาอุ้มบาตรกม็ ี สติกำ�หนดรู้ เวลาห่มจีวรก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาบริโภคอาหารก็มีสติ กำ�หนดรู้ เวลาด่ืมกม็ สี ตกิ ำ�หนดรู้ เวลาเคี้ยวก็มสี ติกำ�หนดรู้ เวลาล้มิ เลยี กม็ สี ตกิ �ำ หนดรู้ เวลาถา่ ยอจุ จาระกม็ สี ตกิ �ำ หนดรู้ เวลาถา่ ยปสั สาวะ ก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาเดินไปก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลายืนก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาน่ังก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลานอนก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาต่ืนก็ให้มีสติ กำ�หนดรู้ เวลาพูดก็ใหม้ สี ตกิ ำ�หนดรู้ เวลานง่ั อยู่เฉย ๆ ก็มีสตกิ ำ�หนด รู้ เมอ่ื ก�ำ หนดไดล้ ะเอยี ดลออถถ่ี ว้ นอยา่ งน้ี เรยี กวา่ อสมั โมหสมั ปชญั ญะ ไม่หลง ไม่สับสน เงอะงะ ฟ่ันเฟือน เข้าใจลว่ งตลอดไปถงึ ตัวสภาวะ ในการกระทำ�ที่เป็นไปอยู่น้ัน ว่าเป็นเพียงการประชุมกันขององค์ ประกอบและปจั จัยต่าง ๆ ประสานหนนุ เนอื งกันข้ึนมาใหป้ รากฏเป็น อย่างน้ัน รูท้ ันสมมติ ไม่หลงสภาวะ เช่น ยดึ เหน็ เปน็ ตวั ตน ไม่ถกู หลอกให้ลุ่มหลง หรือด้วยลักษณะอาการภายนอกที่ย่วั ยุ หรือเยา้ ยวน เปน็ ต้น
สติ สติ แปลวา่ ความระลกึ ได้ ก่อนทำ� ก่อนพูด ก่อนคดิ จ�ำ การทท่ี �ำ และค�ำ ทพ่ี ดู แลว้ แมน้ านได้ สตยิ งั คมุ ใจเอาไวใ้ หอ้ ยกู่ บั งานทท่ี �ำ และส่งิ ที่เก่ียวข้องได้โดยไม่เผลอออกไปคบหาอารมณต์ ่าง ๆ ภายนอก อกี ทงั้ ใจกจ็ ะคอ่ ยคนุ้ อยกู่ บั อารมณอ์ นั เดยี วทส่ี ตคิ อยบงั คบั ใหส้ งบอยู่ คน ทลี่ มื ของบอ่ ย ๆ กเ็ พราะขาดสติ เช่น ลืมกระเปา๋ สตางค์ ลมื หนงั สือ ลมื การนดั หมายในเรื่องต่าง ๆ ไว้ เป็นตน้ เปน็ เพราะขาดสติเรียกกัน ว่า “เผลอ” แม้ผู้ที่เจริญกรรมฐานท้ังสมถกรรมฐานและวิปัสสนา กรรมฐาน ถ้าขาดสตแิ ล้วอารมณข์ องกรรมฐานก็จะไมเ่ กดิ เลย ขณกิ สมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปณาสมาธิ ก็เกิดข้ึนไม่ได้ เมื่อสมาธไิ ม่ เกดิ ปัญญากไ็ ม่เกิดเช่นเดียวกนั เพราะปัญญาจะเกดิ ขึ้นได้ตอ้ งอาศัย สมาธเิ ปน็ บาทแนบชดิ ถา้ ใครขาดสตกิ จ็ ะทำ�อะไรผดิ พลาด ลมื โนน่ ลมื นบี่ ่อย ๆ สติจงึ มหี น้าท่ีส�ำ คัญทสี่ ดุ คอื ทำ�ใหไ้ ม่หลงลืม ยกตวั อยา่ ง ในเวลาอ่านหนังสือ ขณะใดสตไิ ม่มี ขณะนน้ั ใจก็จะลอยออกไปคิดอย่างอ่ืนเสีย ขาดความสนใจในหนังสือท่ีกำ�ลัง อ่านอยู่ จะอ่านหนังสอื สกั ก่เี ทีย่ ว ถา้ ขาดสติควบคมุ ให้อยกู่ ับการอา่ น หนงั สอื กจ็ �ำ ไมไ่ ด้ ทงั้ นก้ี เ็ พราะใจไมม่ สี ตริ กั ษาไว้ ถา้ ขณะใดมสี ติ ขณะนน้ั ดหู นงั สอื เพยี งเทย่ี วเดยี วกจ็ �ำ ไดด้ ี ประโยชน์ของสติ ประโยชนข์ องสตนิ น้ั มมี าก เพอ่ื ใหผ้ อู้ า่ นไดเ้ ลง็ เหน็ ถงึ ความ ส�ำ คญั ของสติ อาตมากข็ อน�ำ เอาค�ำ บรรยาย ของพระธรรมธรี ราชมหา มนุ ี (โชดก ญาณสทิ ธฺ เิ ถร) ทท่ี า่ นไดเ้ คยบรรยายเอาไว้ ถงึ ประโยชนข์ อง สติ ดงั น้ี ๑๓๕กาลครัง้ หน่ึง...เม่อื ฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๓๖ กาลคร้งั หนึ่ง...เม่อื ฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk. ๑. สติ โลกสมฺ ิ ชาคโร สตปิ ลกุ คนใหต้ น่ื อยใู่ นโลก ไมใ่ ห้ คนหลบั ไมใ่ หค้ นประมาท ๒. สติมโต สทา ภทฺทํ คนมีสติมีความเจริญทุกเม่ือ หมายความวา่ ถา้ มสี ตแิ ลว้ จะท�ำ อะไรกไ็ มพ่ ลาด เชน่ จะดหู นงั สอื เรยี น หนงั สอื กจ็ �ำ ไดง้ า่ ย จะท�ำ งาน รกั ษาศลี ฟงั ธรรม เจรญิ กรรมฐานกไ็ ด้ ผลดี เตม็ เมด็ เตม็ หนว่ ย ไมข่ าดตกบกพรอ่ ง ๓. สตมิ า สขุ เมธติ คนมสี ตยิ อ่ มไดร้ บั ความสขุ หมายความ วา่ ความสขุ ตา่ ง ๆ ของโลก เชน่ สขุ เกดิ แตค่ วามมที รพั ย์ สขุ เกดิ แต่ จา่ ยทรพั ยบ์ รโิ ภค สขุ เกดิ แตค่ วามไมม่ หี น้ี สขุ เกดิ จากการประกอบการ งานทป่ี ราศจากโทษ กต็ อ้ งอาศยั สตเิ ปน็ ส�ำ คญั แมส้ ขุ ในทางธรรม เชน่ ฌานสขุ วปิ สั สนาสขุ มคั คสขุ ผลสขุ นพิ พานสขุ กเ็ กดิ ขน้ึ เพราะอาศยั สตทิ ง้ั นน้ั ถา้ ปราศจากสตแิ ลว้ สขุ ตา่ ง ๆ เหลา่ นจ้ี ะไมเ่ กดิ ขน้ึ ไดเ้ ลย ๔. สติมโต สุเว เสยฺโย คนมีสติเป็นผู้ประเสริฐทุกวัน หมายความวา่ ชวี ติ ประจ�ำ วนั ของแตล่ ะบคุ คลตอ้ งไดส้ ตเิ ปน็ ประจ�ำ ทง้ั สน้ิ การงานนน้ั ๆ จงึ จะเดนิ ไปไดโ้ ดยเรยี บรอ้ ย และผลติ ผลสมความตง้ั ใจ ไว้ ๕. รกขฺ มาโน สโต รกเฺ ข ผรู้ กั ษาตอ้ งมสี ตริ กั ษา หมายความ ว่า ผู้จะรักษาทรัพย์สมบัติภายนอกท้ังท่ีมีวิญญาณครอง และไม่มี วญิ ญาณครอง เชน่ เสอ้ื ผา้ เงนิ ทอง บา้ นชอ่ ง เรอื นชาน เรอื กสวน ไรน่ า ชา้ ง มา้ ววั ควาย หมู หมา เปด็ ไก่ เปน็ ตน้ กต็ อ้ งมสี ตทิ ง้ั นน้ั ถา้ ปราศจากสติ ตอ้ งไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ นนานาประการ เชน่ ไฟไหม้ ของหาย ถกู ลกั ขโมยไป กอ่ ความเดอื ดรอ้ นใหแ้ กเ่ พอ่ื นบา้ น เปน็ ตน้ แม้ สมบตั ภิ ายใน คอื พระธรรมนบั ตง้ั แต่ ทาน ศลี ภาวนา เปน็ ตน้ ไป ก็ ตอ้ งอาศยั สตทิ ง้ั นน้ั จงึ จะสามารถรกั ษาไดด้ ี บ�ำ เพญ็ ไดด้ ี
๖. อฏุ ฐานวโต สตมิ โต แมผ้ ตู้ อ้ งการยศทง้ั ๖ คอื ๑. โภคยศ ยศคอื โภคสมบตั ิ ๒. อสิ สรยิ ยศ ยศคอื ความเปน็ ใหญ่ ๓. กติ ตยิ ศ ยศคอื เกยี รติ ๔. สมั มานยศ ยศคอื ความนบั ถอื ๕. วรรณยศ ยศคอื การยกยอ่ งสรรเสรญิ ๖. ปรวิ ารยศ ยศคือความเป็นผู้มีบริวารมากและซ่ือสัตย์ จงรกั ภกั ดี กตญั ญกู ตเวที กต็ อ้ งอาศยั คณุ ธรรม ๗ ประการ ในคณุ ธรรม ๗ ประการนน้ั กม็ สี ตอิ ยดู่ ว้ ย คอื ๑. อฏุ ฐานะ มคี วามขยนั ตอ่ กจิ การงานทกุ ๆ อยา่ ง ๒. สต ิ มสี ตริ อบคอบ ๓. สจุ กิ มั มะ มกี ารงานสะอาดเรยี บรอ้ ย ๔. นสิ มั มการ ี ใครค่ รวญใหด้ เี สยี กอ่ นจงึ ท�ำ ลงไป ๕. สญั ญตะ มคี วามส�ำ รวมระมดั ระวงั ใหม้ ากและใหด้ ี ทส่ี ดุ ๖. อปั ปมตั ตะ ไมป่ ระมาท ๗. ธมั มชวี ี เป็นอยู่โดยอาศัยหลักธรรมเป็นเรือนใจ คอื จะประกอบอาชพี อะไร ๆ กต็ ามไมย่ อมใหผ้ ดิ ศลี ธรรม ไมย่ อมใหผ้ ดิ กฎหมายบา้ นเมอื ง ไมย่ อมท�ำ ลายประเทศชาติ ศาสนา เปน็ อนั ขาด ๗. สตธิ รรม มอี ปุ การะมากทง้ั คดโี ลก คดธี รรม ๘. สตเิ ปน็ ก�ำ ลงั อนั ส�ำ คญั ยง่ิ ในการปฏบิ ตั ธิ รรม ทง้ั ขน้ั ตำ�่ ขน้ั กลาง ขน้ั สงู ๙. สตเิ ปน็ ทางสายกลาง สามารถน�ำ ผปู้ ฏบิ ตั ใิ หร้ บี รดั เขา้ สมู่ รรค ผล นพิ พาน ๑๓๗กาลคร้ังหน่ึง...เมอ่ื ฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๓๘ กาลครง้ั หนึ่ง...เมอื่ ฉันหัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk. สติปัฏฐาน ๔ ค�ำ วา่ ปฏั ฐาน แปลวา่ ตงั้ ไวเ้ ฉพาะกไ็ ด้ แปลวา่ ตงั้ ไวอ้ ยา่ ง ท่ัวถงึ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับวา่ ขอ้ ความแวดลอ้ มนนั้ เป็นอยา่ งไร ส�ำ หรบั คำ�วา่ สติปัฏฐาน แปลใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย ๆ กค็ อื ฐาน ท่ีตงั้ ของสติ หรอื การมสี ติก�ำ กบั ดสู ิ่งตา่ ง ๆ และความเป็นไปทัง้ หลาย โดยรเู้ ทา่ ทนั ตามสภาวะของมนั ทเี่ ปน็ จรงิ ไมถ่ กู ครอบงำ�ดว้ ยความยนิ ดี ยนิ ร้าย ทที่ �ำ ใหม้ องเหน็ เพ้ยี นไปตามอำ�นาจกิเลส มี ๔ อย่างคือ ๑. กายานุปสั สนาสติปัฏฐาน การมีสติกำ�กับดูรู้เท่าทัน กายและเรอ่ื งทางกาย ๒. เวทนานุปสั สนาสติปัฏฐาน ก ารมีสติกำ�กับดูรู้เท่าทัน เวทนา ๓. จิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ก ารมสี ตกิ �ำ กบั ดรู เู้ ทา่ ทนั จติ หรือสภาพและอาการของจิต ๔. ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน การมีสติกำ�กับดูรู้เท่าทัน ธรรม โดยท้ังหมดรวมเรียกส้ัน ๆ วา่ กาย เวทนา จติ ธรรม ตอ้ งมสี ตติ งั้ มนั่ อยกู่ บั การพจิ ารณาทงั้ ๔ อยา่ งน้ี ไมว่ า่ จะอยใู่ นอริ ยิ าบถ ใหญ่ คือ จะยืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อย เช่น คู้แขน เหยยี ดขา หยิบจับ เกาคนั ทกุ อริ ยิ าบถตอ้ งมสี ตกิ ำ�หนดพจิ ารณา
วิธกี ารปฏิบตั วิ ิปัสสนากรรมฐานเบ้ืองตน้ การยืน ให้ยกมือไขว้หลัง มือขวาจับข้อมือซ้าย วางไว้ตรง กระเบนเหนบ็ ยืนตรง หน้าตรง หลับตา ให้สติอยู่ที่กลางกระหม่อม ส�ำ รวมจติ เอาสตติ ามวาดมโนภาพร่างกาย กำ�หนดคำ�วา่ ยนื จาก ศรี ษะลงมาหยุดที่สะดอื ก�ำ หนดค�ำ ว่า หนอ จากสะดือลงไปปลายเทา้ นบั เป็น ๑ ครั้ง คร้งั ท่ีสองก�ำ หนดค�ำ ว่า ยืน จากปลายเทา้ ขึ้นมาหยดุ ทส่ี ะดือ คำ�ว่า หนอ จากสะดือขึ้นไปกลางกระหม่อม กำ�หนดกลบั ไป กลบั มาจนครบ ๕ ครั้ง ขณะนัน้ สำ�รวมจิตอยทู่ ร่ี า่ งกาย อยา่ ใหอ้ อก นอกกายพร้อมกบั กำ�หนดคำ�วา่ ก้มหน้าหนอ จากน้นั จงึ ลืมตามองดู ปลายเท้า ก�ำ หนดค�ำ ว่า ลืมตาหนอ ให้สติจบั อยทู่ ่เี ทา้ เพอ่ื เตรยี มเดิน จงกรมต่อไป ๑. เตรยี มยนื ๒. ด้านหนา้ ๓. ดา้ นหลัง ท่ายืน หมายเลข ๑ - ๓ ๑๓๙กาลครั้งหน่ึง...เมอ่ื ฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๔๐ กาลครง้ั หนึ่ง...เม่ือฉันหดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk. ๔. ดา้ นหนา้ ๕. ดา้ นหลัง ทา่ ยืน หมายเลข ๔ - ๕ การเดิน ก�ำ หนดวา่ ขวาย่างหนอ ในใจ โดยค�ำ ว่าขวา ให้ยกส้น เท้าขวาขนึ้ ประมาณ ๒ น้ิว เท้ากับใจต้องนึกพร้อมกนั คำ�วา่ ยา่ ง ให้ ก้าวเทา้ ขวาไปขา้ งหน้าอยา่ งชา้ ๆ เทา้ ยังไม่เหยียบพื้น ค�ำ ว่าหนอ ให้ วางเทา้ ลงพื้น จากนั้นส�ำ รวมสตไิ ว้ทีเ่ ท้าซา้ ยต้งั สตปิ กั ลงไป กำ�หนดว่า ซา้ ยยา่ งหนอ สลบั กันเช่นนเี้ รอ่ื ย ๆ ไป ระยะก้าวในการเดนิ ห่างกนั ประมาณ ๑ คบื เพ่อื การทรงตวั ขณะก้าวไดด้ ขี ึน้ เมื่อเดนิ สุดสถานท่ี แลว้ ใหน้ �ำ เท้ามาเคียงกนั หลับตา พร้อมกำ�หนดคำ�ว่า หลบั ตาหนอ จากนั้นเงยหน้าตรง กำ�หนดคำ�ว่า เงยหน้าหนอและกำ�หนดยืนหนอ ช้าๆ อกี ๕ ครัง้ เม่ือครบแลว้ ใหก้ ม้ หนา้ พรอ้ มก�ำ หนด ก้มหน้าหนอ ตามด้วย ลมื ตาหนอ เพื่อมองดูปลายเท้า
ท่าเดินระยะ ๑ (ขวาย่างหนอ) หมายเลข ๖ - ๑๑ ๖ ๗๘ ขวา(ยกสน้ เทา้ ขวา) ยา่ ง(กา้ วเทา้ ไปขา้ งหนา้ ) หนอ(วางเทา้ ลงพน้ื ) ๙ ๑๐ ๑๑ ขวา(ยกสน้ เทา้ ขวา) ยา่ ง(กา้ วเทา้ ไปขา้ งหนา้ ) หนอ(วางเทา้ ลงพน้ื ) ๑๔๑กาลคร้งั หน่งึ ...เมือ่ ฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๔๒ กาลครัง้ หนง่ึ ...เมอ่ื ฉันหัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk. ทา่ เดนิ ระยะ ๒ (ยกหนอ - เหยียบหนอ) หมายเลข ๑๒ - ๑๕ ๑๒ ๑๓ ยกหนอ(ยกเทา้ ขน้ึ ตรง ๆ ) เหยยี บหนอ(เหยยี บเทา้ ลงพน้ื ) ๑๔ ๑๕ ยกหนอ(ยกเทา้ ขน้ึ ตรง ๆ ) เหยยี บหนอ(เหยยี บเทา้ ลงพน้ื )
ทา่ เดนิ ระยะ ๓ (ยกหนอ - ยา่ งหนอ - เหยยี บหนอ) หมายเลข ๑๖ - ๒๑ ๑๖ ๑๗ ๑๘ ยกหนอ ยา่ งหนอ เหยยี บหนอ (ยกเทา้ ขนึ้ ตรง ๆ) (ก้าวเทา้ ไปขา้ งหน้าไมแ่ ตะพน้ื ) (วางเท้าลงกับพ้ืน) ๑๙ ๒๐ ๒๑ ยกหนอ ย่างหนอ เหยยี บหนอ (ยกเทา้ ขน้ึ ตรง ๆ) (ก้าวเท้าไปขา้ งหนา้ ไมแ่ ตะพนื้ ) (วางเท้าลงกับพื้น) ๑๔๓กาลคร้งั หนึ่ง...เม่อื ฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๔๔ กาลคร้ังหน่งึ ...เมื่อฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk. การกลบั ก�ำ หนดวา่ กลบั …หนอ ๔ ครง้ั กลบั หนอครง้ั ท่ี ๑ ให้ ยกปลายเทา้ ขวา แลว้ ใชส้ น้ เทา้ ขวาหมนุ ตวั ไปทางขวา ๙๐ องศา ครง้ั ท่ี ๒ เคลอ่ื นเทา้ ซา้ ยมาชดิ กบั เทา้ ขวา ครง้ั ท่ี ๓ ท�ำ เหมอื นครง้ั ท่ี ๑ ครง้ั ท่ี ๔ ท�ำ เหมอื นครง้ั ท่ี ๒ เมอ่ื ครบ ๔ ครง้ั แลว้ จะอยทู่ า่ กลบั หลงั ตอ่ ไปก�ำ หนด หลบั ตาหนอ เงยหนา้ หนอและก�ำ หนดยนื หนอชา้ ๆ อกี ๕ ครง้ั ตามดว้ ย กม้ หนา้ หนอ และก�ำ หนดเดนิ ตอ่ ไปจนหมดเวลาทต่ี อ้ งการ ๒๒ ๒๓ ๒๔ กลบั หนอ กลบั หนอ แลว้ ใชส้ ้นเทา้ ขวาหมุน (เปิดปลายเท้าขวา) ไปทางขวา (น�ำ เทา้ ซา้ ยมาชดิ กบั เทา้ ขวา) ๒๕ ๒๖ กลับหนอ กลบั หนอ (เชน่ เดียวกับรปู (เช่นเดยี วกับรปู ๒๔) ๒๒,๒๓) ท่ากลับ ๙๐ องศาหมายเลข ๒๒ - ๒๖
๒๗ ๒๘ ๒๙ กลับหนอ กลบั หนอ แล้วใช้ส้นเทา้ ขวาหมุน (เปดิ ปลายเทา้ ขวา) ไปทางขวา (น�ำ เทา้ ซา้ ยมาชดิ กบั เทา้ ขวา) ๓๐ ๓๑ กลบั หนอ กลับหนอ (เช่นเดียวกับรูป (เชน่ เดยี วกบั รูป ๒๙) ๒๗,๒๘) ท่ากลบั ๙๐ องศาหมายเลข ๒๗ - ๓๑ ๑๔๕กาลครั้งหน่ึง...เมอื่ ฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk.
๑๔๖ กาลครง้ั หนึ่ง...เม่ือฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. การน่ัง ให้ทำ�ต่อไปจากการเดินจงกรม อย่าให้ขาดตอน เม่ือ เดินจงกรมถึงทจี่ ะนงั่ ใหก้ �ำ หนด “ยนื หนอ”อีก ๕ คร้ัง แลว้ ก�ำ หนด ปลอ่ ยมอื ลงขา้ งตวั วา่ “ปลอ่ ยมอื หนอ” เรมิ่ จากปลอ่ ยมอื ขวากอ่ น และ ตามดว้ ยมอื ซา้ ย ชา้ ๆ จนกวา่ จะลงสดุ จากนน้ั กา้ วเทา้ ขวาไปขา้ งหนา้ ก�ำ หนดค�ำ วา่ ขวายา่ งหนอเพื่อเตรยี มน่ัง เวลาน่ัง ค่อย ๆ ย่อตวั ลง พรอ้ มก�ำ หนดตามอารมณท์ ที่ �ำ ไปจรงิ ๆ เชน่ ยอ่ ตวั หนอ ทา้ วพน้ื หนอ คุกเข่าหนอ นง่ั หนอ เป็นต้น ท่าเตรียมนงั่ หมายเลข ๓๒ - ๓๔ ๓๒ ๓๓ ๓๔ ปลอ่ ยมือลง ก้าวเทา้ ขวามาขา้ งหน้า ย่อตัวลง วิธนี งั่ ให้นัง่ ขดั สมาธิ คอื ขาขวาทับขาซ้าย นง่ั ตวั ตรงหลับตา เอาสตจิ บั อยทู่ ที่ อ้ ง พอง ยบุ เวลาหายใจเขา้ ทอ้ งพอง กำ�หนดวา่ “พอง
หนอ” หายใจออกทอ้ งยบุ กำ�หนดวา่ “ยุบหนอ” ใจนึกกบั ทอ้ งทพ่ี อง ยบุ ตอ้ งใหท้ ันกัน ใหส้ ติจบั อยทู่ ่กี ารพอง ยุบ ของท้องเทา่ นน้ั อยา่ ดู ลมทีจ่ มกู อย่าตะเบง็ ท้อง ให้รู้สกึ ตามความจริงวา่ ท้องพองไปขา้ ง หนา้ ทอ้ งยุบมาข้างหลัง กำ�หนดเชน่ นไี้ ปจนกว่าจะถงึ เวลาท่กี ำ�หนด ทา่ น่ัง หมายเลข ๓๕ - ๔๒ ๓๕ ๓๖ ทา่ นั่งชนั้ เดยี ว ท่านั่งสองช้ัน ๓๗ ๓๘ ๓๙ ทา่ เตรียมนัง่ เพชร ยกเท้าซา้ ยพาดเหนอื เข่าขวา ท่านั่งเพชร ๑๔๗กาลครัง้ หนงึ่ ...เมือ่ ฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๔๘ กาลครงั้ หน่ึง...เมื่อฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk. ๔๐ ๔๑ ๔๒ ท่าเตรียมน่งั เพชร ยกเทา้ ซ้ายพาดเหนือเขา่ ขวา ทา่ น่งั เพชร การนอน เวลานอน คอ่ ย ๆ เอนตัวนอน พร้อมกบั กำ�หนดตาม ไปว่า “นอนหนอ” จนกวา่ จะนอนเรียบร้อย ขณะนั้น ใหเ้ อาสติจบั อยู่ ท่อี าการเคล่อื นไหวของร่างกาย เมอ่ื นอนเรยี บรอ้ ยแล้ว ให้ต้งั สตจิ บั ท่ี ท้อง หายใจเขา้ ออกยาวๆ สบาย ๆ อยา่ ใหไ้ ปเพง่ ทที่ ้องมาก ให้ต้ังสติ ไว้ หายใจเรือ่ ยไปวา่ “พองหนอ ยุบหนอ” จนกวา่ จะหลบั เม่อื ตื่น ก่อนลมื ตาให้ก�ำ หนดว่า “ตื่นหนอ” ก�ำ หนดทีท่ ้องว่า “พองหนอ ยบุ หนอ” คร่หู น่ึง แลว้ กำ�หนดลมื ตา และลกุ ขน้ึ นั่งต่อไป ทา่ นอน หมายเลข ๔๓ - ๔๔ ๔๓. ทา่ นอน
๔๔. ทา่ นอน กายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน คอื การรสู้ ภาพของกายในขณะนนั้ วา่ ก�ำ ลงั ท�ำ อะไรอยู่ ไม่ วา่ กายจะยนื กายจะเดนิ กายจะนงั่ กายจะนอน จะพกั ผอ่ นอนั ใดมสี ติ ควบคุม จติ ตอ้ งกำ�หนด ก�ำ หนดกายยืน ก�ำ หนดกายนั่ง ก�ำ หนดกาย นอน ก�ำ หนดกายทีจ่ ะเอนลงไป ตอ้ งกำ�หนดทกุ อิรยิ าบถ จะกา้ วเย้อื ง ซา้ ยและขวาไปทไ่ี หน กำ�หนดสตไิ ว้ใหเ้ ป็นปจั จบุ นั ก�ำ หนด แปลวา่ ความรขู้ องชวี ติ อนั มสี ตคิ วบคมุ เชน่ กอ่ น จะเดินให้สำ�รวมจิตท่ีเท้าขวา ตั้งสติปักลงไป แล้วกำ�หนดในใจคำ�ว่า “ขวา” ใหย้ กสน้ เทา้ ขวาขนึ้ สตริ ะลกึ รพู้ รอ้ มกบั สน้ เทา้ ขวาทยี่ กขน้ึ จาก นัน้ ก�ำ หนดค�ำ ว่า “ย่าง” โดยกา้ วเท้าขวาไปข้างหน้า สตริ ะลึกรพู้ ร้อม กบั เทา้ ขวาทเี่ คลอ่ื นไปขา้ งหนา้ “หนอ” วางเทา้ ลงถงึ พน้ื ปลายเทา้ และ ส้นเท้าลงพรอ้ มกนั สตริ ะลกึ รพู้ รอ้ มกับเท้าท่ลี งสมั ผัสพ้นื หรือจะหยิบ สิ่งของอะไร กใ็ หส้ ำ�รวมจติ อยู่ท่มี ือขา้ งที่จะหยบิ ต้งั สตปิ ักลงไปทีม่ อื ขา้ งจะหยิบนน้ั แลว้ ก�ำ หนดในใจว่า “หยิบหนอ หยิบหนอ” สติระลกึ รู้พรอ้ มกบั มอื ข้างทก่ี ำ�ลงั จะหยิบของส่งิ นนั้ เปน็ ตน้ ๑๔๙กาลครง้ั หนึ่ง...เมอื่ ฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk.
๑๕๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมอ่ื ฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk. เวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน คือส่ิงที่บังคับไม่ได้ ต้องใช้สติคอยควบคุม ได้แก่ สุข เวทนา มที ั้งสขุ กาย สขุ ใจ ทุกขเวทนา คอื ทุกข์กาย ทุกขใ์ จ และ อเุ บกขาเวทนา คือ เฉย ๆ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ จติ ใจเลือ่ นลอยไมม่ ที ่ีเกาะ ขณะก�ำ หนดรอู้ ยใู่ นการเดนิ หรอื นงั่ กต็ าม ก�ำ หนด “พองหนอ ยบุ หนอ” อยู่ก็ตาม เมื่อมีอาการของเวทนาดังกล่าวข้างต้นเกิดข้ึน ให้ทิ้งการ กำ�หนด เดิน นงั่ และพอง ยุบ ก่อน มาก�ำ หนดร้อู ยทู่ อ่ี าการของ เวทนาที่เกิดขน้ึ กำ�หนดตรงเวทนานนั้ จนกวา่ มันจะหายไป เชน่ ปวด เมอ่ื ย เจบ็ คัน แนน่ เสียดตรงไหน ก็กำ�หนดตรงน้นั ปวดเมือ่ ยต้นคอ กเ็ อาจิตปกั ลงไปทตี่ ้นคอทป่ี วด แล้วกำ�หนดวา่ “ปวดหนอ ปวดหนอ” คัน ก็เอาจิตปักลงไปตรงท่ีคัน ต้ังสติกำ�หนด “คันหนอ คันหนอ” เปน็ ตน้ ถา้ จติ เกดิ อาการดใี จ เสยี ใจ โกรธ ขณะเดนิ นง่ั หรอื ก�ำ หนด พอง ยุบ ให้เอาจิตปักลงท่ีลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ จากจมูกถึงสะดือ ต้ังสติกำ�หนดตามสภาวะของอารมณ์ท่ีเป็นไปในขณะน้ันตามจริงว่า “ดใี จหนอ” “เสยี ใจหนอ” หรอื “โกรธหนอ” อเุ บกขา ไม่สขุ ไม่ทุกข์ ใจลอยหาท่ีเกาะไม่ได้ ให้กำ�หนดท่ีล้ินปี่ ต้ังสติระลึกก่อน กำ�หนด “ร้หู นอ รหู้ นอ” เปน็ ตน้ เมอ่ื ก�ำ หนดเวทนาทเ่ี กดิ จนหาย และกลบั สสู่ ภาวะปกตแิ ลว้ ขณะน้ัน หากอยใู่ นอาการใด เดนิ นั่ง หรือ พองหนอ ยบุ หนอ อยู่ ก็ตาม ใหก้ ลบั มา ก�ำ หนดรอู้ ยใู่ นอาการน้นั ต่อไป
จติ ตานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน คอื จติ เปน็ ธรรมชาติ ตอ้ งคดิ อา่ นอารมณ์ รบั รอู้ ารมณไ์ ว้ ไดเ้ ปน็ เวลานาน เหมอื นเทปบนั ทกึ เสยี ง ไมม่ ตี วั ตนใหค้ ลำ� เราตอ้ งตง้ั สตพิ จิ ารณาเนอื ง ๆ ซง่ึ จติ กค็ อื วญิ ญาณขนั ธ์ ก�ำ หนดพจิ ารณาจติ กเ็ พอ่ื ใหร้ เู้ ทา่ ทนั วา่ จติ ทกี่ �ำ หนดเกดิ อยนู่ นั้ เปน็ จติ ชนดิ ใด เปน็ จติ โลภ จติ โกรธ จิตหลง จิตฟงุ้ ซ่าน จิตท่ีเปน็ สมาธิ หรือไม่เปน็ สมาธิ สภาวะตามทกี่ปารรพากจิ ฏารในณขาณเหะน็ นจัน้ ติ ใๆนจแติ ละครอื ูช้ ัดพตจิ าามรคณวาาจมติ เปขอน็ งจตรนงิ ๑ใหเ้ หน็ ๑. จติ มรี าคะ ก็รู้ชดั วา่ จติ มรี าคะ ๒. จติ ปราศจากราคะ ก็รชู้ ัดวา่ จิตปราศจากราคะ ๓. จิตมโี ทสะ กร็ ู้ชดั ว่า จิตมีโทสะ ๔. จติ ปราศจากโทสะ ก็รูช้ ัดวา่ จติ ปราศจากโทสะ ๕. จติ มโี มหะ กร็ ชู้ ัดว่า จติ มโี มหะ ๖. จิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชดั ว่า จติ ปราศจากโมหะ ๗. จิตหดห ู่ ก็รชู้ ดั ว่า จติ หดหู่ ๘. จจิติตฟเปุง้ น็ ซมา่ นหัค คตะ๒ กร็ ชู้ ดั ว่า จิตฟุ้งซ่าน ๙. ก็รู้ชัดว่า จิตเปน็ มหัคคตะ ๑๐. จิตไม่เปน็ มหัคคตะ กร็ ชู้ ัดวา่ จิตไมเ่ ปน็ มหคั คตะ ๑๑. จติ มีจติ อน่ื ยิง่ กวา่ ก็รู้ชดั วา่ จิตมจี ติ อนื่ ยิง่ กว่า ๑๒. จิตไม่มจี ิตอ่ืนย่งิ กว่า ก็รู้ชดั ว่า จติ ไม่มีจติ อ่นื ยิง่ กว่า ๑๓. จติ เป็นสมาธิ ก็รูช้ ัดวา่ จติ เป็นสมาธิ ๑๔. จติ ไม่เป็นสมาธ ิ ก็รชู้ ัดวา่ จติ ไม่เปน็ สมาธิ ๑๕. จติ หลุดพ้นแลว้ กร็ ชู้ ัดว่า จิตหลดุ พ้นแล้ว ๑๖. จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดวา่ จิตไม่หลดุ พ้น ๑. มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก์ พระไตรปฎิ ก เลม่ ที่ ๑๒ ข้อที่ ๑๑๔ หน้า ๑๑๑ ๒. มหคั คตะ พจนานุกรม บาลี-ไทย หน้า ๓๙๐ แปลว่า ไปสงู
๑๕๒ กาลครง้ั หนง่ึ ...เมือ่ ฉันหัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk. เพอื่ ใหป้ ระจกั ษช์ ัดวา่ ทีม่ คี วามรูส้ ึกโลภ โกรธ หลง หรือ ศรทั ธา ฟ้งุ ซ่าน เกียจครา้ น เปน็ อาการของจิต เปน็ ธรรมชาตทิ ่เี ปน็ นามธรรม ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยท่ีมาปรุงแต่งเพื่อรับอารมณ์ เมื่อหมดเหตปุ ัจจยั อาการน้นั ๆ กด็ ับไปเองไมม่ อี ะไรเหลืออยู่ จิตเกดิ ทางตา ตาเห็นรูปเกดิ จติ ทีต่ า หไู ดย้ ินเสียงเกิดจติ ที่ หู จมูกได้กลิ่นเกดิ จติ ทจี่ มกู ลน้ิ สมั ผสั รสเปรีย้ ว หวาน มนั เคม็ เกิด จติ ทีล่ ้ิน กายสัมผสั เย็น รอ้ น ออ่ น แขง็ ที่นัง่ ลงไปเกิดสัมผัสทางกาย ต้องกำ�หนด มนั อยทู่ ่ีกายและจติ เป็นธรรมชาติอย่างนี้ คลำ�ไมไ่ ด้ ไม่มี ตวั ตนแต่ประการใด มันเป็นนามทเ่ี ราตอ้ งต้ังสติให้เปน็ นามธรรม ธัมมานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน คอื การก�ำ หนดรธู้ รรมทง้ั หลายทงั้ ปวง ไดแ้ ก่ นวิ รณ์ ขนั ธ์ ๕ อายตนะ โพชฌงค์ อรยิ สจั ๔ รูอ้ ารมณ์ที่เกิดขน้ึ กับจติ ท่ีเป็นกศุ ล อกศุ ล หรอื อพั ยากฤต (กลาง ๆ) การก�ำ หนดธรรม เมอ่ื เกดิ ความรสู้ กึ ต่างๆ อันเปน็ นวิ รณธรรม เช่น การยนิ ดี หรือความพอใจในอารมณ์ ภายนอก (กามฉนั ทะ) หรอื ความโกรธ (พยาบาท) ความฟงุ้ ซา่ นร�ำ คาญ ใจ (อทุ ธัจจกกุ กจุ จะ) หรอื การง่วงเหงาหาวนอน (ถนี มทิ ธะ) หรอื มี ความคิดลงั เลสงสัยในการปฏบิ ัติ (วิจิกิจฉา) เปน็ ไปตา่ ง ๆ เช่นน้ี ก็ ใหต้ ั้งสตไิ ว้ทล่ี ิน้ ปี่ หายใจลึก ๆ ยาว ๆ กำ�หนดรอู้ าการของจติ ทนั ทที ่ี รู้ เช่น มีกามฉันทะเกดิ ขน้ึ ก็ใหก้ ำ�หนดว่า “ชอบหนอ” เมือ่ มคี วาม โกรธหรอื พยาบาทเกดิ ขึน้ ก็ใหก้ ำ�หนดว่า “โกรธหนอ” เม่ืองว่ งเหงา หาวนอนก็ปักจิตไว้ที่กลางหน้าผาก ตั้งสติกำ�หนด “ง่วงหนอ” เม่ือ คดิ ถึงสิ่งนอกกาย คดิ ถงึ บา้ น คดิ ถึงคนร้จู ักก็ ก�ำ หนดวา่ “คิดหนอ” เม่ือมคี วามสงสยั เกดิ ขึน้ กก็ �ำ หนด “สงสยั หนอ” เม่อื ก�ำ หนดอาการท่ี
เป็นนิวรณธรรมที่เกิดข้ึนจนหายแล้วให้กลับมากำ�หนดท่ีการเดินหรือ พองยบุ ตอ่ ไปตามเดิม ประคองสตใิ ห้ตดิ ตอ่ กนั ดี จิตเกดิ ทางอายตนะ ธาตอุ นิ ทรีย์ได้แก่ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ๑. เวลาตาเหน็ รปู ใหก้ �ำ หนดวา่ เหน็ หนอ ๆ ตง้ั สตเิ อาไวท้ ต่ี า ๒. เวลาหไู ดย้ นิ เสยี ง ใหก้ �ำ หนดวา่ เสยี งหนอ ๆ ตง้ั สตเิ อาไวท้ ห่ี ู ๓. เวลาจมกู ไดก้ ลน่ิ ใหก้ �ำ หนดวา่ กลน่ิ หนอ ๆ ตง้ั สตเิ อาไวท้ ่ี จมกู ๔. เวลาลน้ิ ไดร้ บั รส ใหก้ �ำ หนดวา่ รสหนอ ๆ ตง้ั สตไิ วท้ ล่ี น้ิ ๕. เวลากายถกู เยน็ รอ้ น ออ่ น แขง็ ใหก้ �ำ หนดวา่ ถกู หนอ ๆ ตง้ั สตไิ วท้ ก่ี ายถกู สมั ผสั ๖. เวลาจติ ใจคดิ ถงึ ความโลภ โกรธ หลง ขน้ึ มา เพราะก�ำ หนด ทวารทั้งหา้ ข้างตน้ ไม่ทนั เลยเป็นอดตี ไปแลว้ ให้กำ�หนดว่า “ร้หู นอ” ตง้ั สตไิ ว้ทลี่ น้ิ ปี่ เหตทุ ีต่ ้องกำ�หนดจติ และตัง้ สตเิ ช่นนี้ เพราะจติ ของเรา อยใู่ ตบ้ งั คบั ความโลภ ความโกรธ ความหลง เชน่ หไู ดย้ นิ เสยี ง ก�ำ หนด ไมท่ นั เลยเปน็ อดีตไปแล้ว ทำ�ให้เกดิ ชอบใจเป็นโลภะ ไมช่ อบใจเปน็ โทสะ ถา้ ไมก่ �ำ หนดหรอื พจิ ารณาตามความจรงิ แลว้ เปน็ โมหะ ตาเหน็ รปู จมกู ไดก้ ลน่ิ ลน้ิ ไดร้ บั รส กเ็ ชน่ เดยี วกนั ขอ้ ส�ำ คญั ทสี่ ดุ ของผปู้ ฏบิ ตั ิ คอื การกำ�หนดใหเ้ ป็นปัจจุบัน ๑๕๓กาลครงั้ หนงึ่ ...เมือ่ ฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.
๑๕๔ กาลครัง้ หนง่ึ ...เมอ่ื ฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.
เรยี นรดู้ กู ายใจดว้ ยธรรมะ ธรรมชาติ
๑๕๖ กาลครงั้ หนึง่ ...เม่อื ฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. เรยี นรดู้ ูกายใจ ดว้ ยธรรมะ ธรรมชาติ เรียนรูด้ ูกายใจ ดว้ ยธรรมะ ธรรมชาติ ในท่ีน้ี เป็นช่ือของ โครงการปฏิบัติธรรมเพ่ือผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง โดยมุ่งหวังให้ผู้ป่วย มะเรง็ ไดเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจตนเองทง้ั ทางดา้ นของรา่ งกายและจติ ใจ หรือทเี่ รยี กกันวา่ รจู้ ักตัวเอง เพ่ือใหผ้ ปู้ ่วยมะเรง็ สามารถดแู ลกาย และใจ พรอ้ มทงั้ ใหก้ ำ�ลงั ใจตวั เองเปน็ พงึ่ ตนเองได้ สมดงั พระพทุ ธ ภาษติ ที่ว่า อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตตฺ นา หิ สุทนเฺ ตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ แปลว่า ตนแลเป็นท่ีพึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นท่พี ่งึ ได้ กบ็ ุคคลมตี นฝกึ ดีแล้ว ย่อมได้ทีพ่ ึง่ ที่ไดโ้ ดยยาก เรยี นรู้ ตามความหมายของโครงการ เปน็ การเขา้ รบั การฝกึ อบรมเพ่ือใหเ้ กดิ ความรู้ความเข้าใจถึงสภาพของร่างกายและจติ ใจของ ผู้เข้ารบั การอบรมฝกึ ตนเอง ดู ในทนี่ ้ี คอื การเฝา้ สงั เกต ตดิ ตาม ดกู าย และใจของตนเอง ดว้ ยสติสัมปชญั ญะ กาย ใจ ก็คอื สภาพรา่ งกายและสภาพจิตใจ ของผู้เขา้ ร่วม โครงการเอง ธรรมะ กค็ อื ธรรมปฏบิ ตั ิ วธิ กี ารทจ่ี ะชว่ ยใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มโครงการ ได้เขา้ ถึงสภาพของจติ ใจ เกิดความสงบและเข้าใจจิตตวั เอง ธรรมชาติ ในที่นี้ มุ่งเน้นในส่วนที่สัมพันธ์กันกับกายและใจ
คือ สง่ เสรมิ สขุ ภาพกาย สุขภาพใจ เช่น เร่อื งของอาหาร สภาพ แวดล้อม การกนิ อยูห่ ลบั นอน เป็นตน้ ทม่ี ีสว่ นช่วยสนบั สนนุ ให้ รา่ งกายแขง็ แรง จติ ใจสงบ ไมส่ ง่ ผลกระทบทไ่ี มด่ ตี อ่ รา่ งกายและจติ ใจ จึงรวมเป็นชื่อโครงการว่า “เรียนรู้ดูกายใจ ด้วยธรรมะ ธรรมชาต”ิ ความเปน็ มา เร่อื งของโรคมะเรง็ (Cancer) นนั้ ใครหลายๆคนมกั มอง ว่า เปน็ โรคทีเ่ มอ่ื เกดิ ข้ึนกับผู้ใดแลว้ ผนู้ ั้นจะตอ้ งตาย ไม่สามารถ รกั ษาใหห้ ายได้ ครงั้ หนงึ่ กอ่ นทอ่ี าตมาจะจดั ท�ำ โครงการ กเ็ คยมคี วาม คิดเช่นนั้นเหมือนกันว่า มะเร็งเป็นโรคท่ีไม่สามารถรักษาให้หายได้ ใครเป็นแลว้ ตอ้ งตาย แต่หลังจากทอี่ าตมาได้มโี อกาสสัมผสั กบั ผูป้ ว่ ย ด้วยโรคมะเรง็ เองแลว้ นั้น โดยการไปเย่ยี มและใหธ้ รรมบรรยายท่จี ะ สง่ ผลให้ผูป้ ่วยมะเร็งเกดิ ก�ำ ลังใจขึ้นมานนั้ ท�ำ ให้อาตมาได้ทราบถงึ สาเหตขุ องการเกดิ โรคมะเรง็ จากคำ�บอกเลา่ ของเจา้ หนา้ ทพี่ ยาบาลทา่ น หนง่ึ ในโรงพยาบาลศรีนครินทร์ว่า โรคมะเรง็ นัน้ แทจ้ ริงแล้ว ยังไมม่ ี ใครสามารถทราบเหตุในการเกิดของโรคได้แน่ชัด สาเหตุโดยส่วน ใหญท่ ย่ี อมรบั กนั กค็ อื อนั ดบั แรกในรา่ งกายของคนเรานน้ั จะมหี นว่ ย ทางพันธุกรรมในโครโมโซม (Gene) ที่เรียกว่า “ออนโคยีน” (Oncogene) เป็นยีนหรือเชื้อมะเร็งท่ีมีอยู่ในตัวของคนทุกคนอยู่แล้ว แต่ยงั ไมส่ ามารถทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ เปน็ โรคมะเร็งได้ การจะกอ่ เกิดเป็นโรค มะเร็งไดน้ นั้ ต้องมสี ารก่อมะเรง็ เข้ามาในร่างกายรว่ มอยดู่ ว้ ย เช่น สารนโิ คตินในบหุ รี่ สารเคมใี นอาชีพการงาน รงั สี สารตะก่ัว สาร เคมตี า่ ง ๆ ทอี่ ยใู่ นอาหาร กา๊ ซคารบ์ อนมอนอกไซดใ์ นอากาศ เปน็ ตน้ ๑๕๗กาลครั้งหนึ่ง...เม่อื ฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๕๘ กาลคร้งั หนง่ึ ...เม่ือฉนั หดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. เมื่อมีองค์ประกอบท่ีจะทำ�ให้เกิดโรคมะเร็งถึง ๒ องค์ประกอบแล้ว กจ็ ะยงั ไมเ่ ป็นโรคมะเร็ง จนกวา่ องค์ประกอบสดุ ท้ายจะเกิดขน้ึ นั่นคอื การที่เซลล์ภูมิต้านทานต่าง ๆ ในร่างกายอ่อนแอลง เช่น ทีเซลล์ (T-cell) ซ่ึงมีหน้าท่ีทำ�ลายส่ิงแปลกปลอมในร่างกาย เม่ือไหร่ที่ องคป์ ระกอบทงั้ ๓ อยา่ ง คอื ออนโคยีน สารก่อมะเร็ง และเซลล์ ภมู ติ ้านทานออ่ นแอลง ครบพรอ้ มทงั้ ๓ อยา่ ง เกิดขึ้นในบคุ คลใด แลว้ บคุ คลผนู้ นั้ กส็ ามารถเปน็ มะเรง็ ไดท้ นั ที มะเรง็ ใชเ้ วลากอ่ ตวั โดย ประมาณคอื ๑๐ ปี ก็จะท�ำ ใหเ้ ปน็ โรคมะเรง็ ขึ้นมาไดท้ ันที ซ่งึ อาจ จะเกิดในต�ำ แหน่งไหนหรอื อวยั วะส่วนใดในรา่ งกายกไ็ ด้ เช่น มะเร็ง ท่ีลนิ้ มะเรง็ ท่ีเตา้ นม มะเร็งเม็ดเลอื ด มะเรง็ ปอด มะเรง็ ผวิ หนงั มะเร็งโพรงจมูก มะเร็งล�ำ ไสใ้ หญ่ เป็นตน้ แต่ถา้ เราสามารถรักษา เซลล์ภูมิต้านทานในตัวเราให้มีความแข็งแรงไม่อ่อนแอได้อย่าง สม�่ำ เสมอ โรคมะเรง็ ก็ไม่สามารถทจี่ ะเกิดขึ้นกบั ตัวเราได้ หลายท่าน อาจจะสงสยั และคดิ ถงึ พฤตกิ รรมของคนทสี่ บู บหุ รี่ แตไ่ ฉนจงึ ยงั ไมเ่ ปน็ มะเรง็ เหตนุ นั้ กเ็ พราะว่า เซลลภ์ ูมิต้านทานของเขายังแขง็ แรงอยู่ ตอ่ เมอ่ื ไหรท่ เี่ ซลลภ์ มู ติ า้ นทานของเขาออ่ นแอลง โรคมะเรง็ กส็ ามารถทจี่ ะ เกิดกับบุคคลผู้นั้นได้ทันที ความเครียดเป็นสาเหตุหลักที่สำ�คัญใน ระดบั ต้น ๆ ท่ีทำ�ใหภ้ มู ิตา้ นทานของร่างกายลดลง เปน็ เหตใุ ห้มะเร็ง แพรก่ ระจายไดเ้ รว็ ขนึ้ ตดิ เชอ้ื ไวรสั ไดเ้ รว็ ขน้ึ เนอื่ งจากรา่ งกายและจติ ใจ ของคนเรา มคี วามสมั พนั ธก์ นั ในเวลาทใี่ จของเรามคี วามเครยี ด ความ โกรธ หรอื อารมณใ์ นทางลบ ก็จะมีผลตอ่ ร่างกายของเรา จิตใจของ เราจึงมีอิทธิพลมากตอ่ การเกิดโรคทางกาย จากการท่ีอาตมาได้ไปเย่ียมและให้ธรรมบรรยายเพ่ือเป็น ก�ำ ลงั ใจแกผ่ ปู้ ว่ ยโรคมะเรง็ ทโี่ รงพยาบาลศรนี ครนิ ทร์ พรอ้ มทงั้ ไดร้ บั
ทราบเหตปุ จั จยั ทั้ง ๓ อยา่ งดังท่ีไดส้ าธยายไปแลว้ นั้น อาตมาจึงนำ� ข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลเพ่ือหาความน่าจะเป็น หากจะนำ�ผู้ท่ีกำ�ลัง ป่วยด้วยโรคมะเร็งมาส่งเสริมสุขภาพกายและใจ เพื่อบรรเทาอาการ ของโรค ด้วยการใช้แนวทางของการปฏิบัติธรรม คือ สมาธิและ วปิ สั สนามาชว่ ยในการสง่ เสรมิ สขุ ภาพจติ ใจของผปู้ ว่ ย เพอื่ ใหเ้ กดิ ความ สงบ ปลอ่ ยวาง ลดภาวะความวติ กกงั วลในหลาย ๆ เรอื่ ง โดยเฉพาะ ความวิตกกังวลในเรื่องของโรคที่กำ�ลังเป็นอยู่ ที่จะส่งผลให้เกิด ความเครียด ชว่ ยให้เกิดความผอ่ นคลาย และแนวทางของแพทย์ ทางเลือก (Alternative Medicine) โดยการเน้นในเรื่องของอาหาร อากาศ การใชช้ วี ติ ในเร่อื งของการกินอย่หู ลบั นอน การน�ำ สง่ิ ทม่ี ีอยู่ ตามธรรมชาติ มาช่วยส่งเสรมิ สขุ ภาพกายเพือ่ ท่จี ะให้รา่ งกายแข็งแรง ส่งผลให้เซลล์ภูมิต้านทานมีประสิทธิภาพ สามารถต่อต้าน ไล่ขับส่ิง แปลกปลอมออกไปจากรา่ งกายได้ หลังจากท่ีอาตมาได้วิเคราะห์ข้อมูลจากทั้ง ๓ ส่วน คือ ขอ้ มูลทางโรคมะเร็ง ขอ้ มลู ทางการปฏิบัติธรรม และขอ้ มลู ทางแพทย์ ทางเลอื กแล้ว จงึ เห็นความน่าจะเป็นท่หี ากจะนำ�วิธกี ารท้งั ๒ อยา่ ง คือ วิธีการทางการปฏิบัติธรรมและวิธีการทางแพทย์ทางเลือกมา ประยกุ ตใ์ หเ้ ขา้ กนั เพอ่ื สง่ เสรมิ สขุ ภาพจติ และสขุ ภาพกายของผปู้ ว่ ยดว้ ย โรคมะเร็ง ก็น่าท่ีจะทำ�ให้โรคที่กำ�ลังเป็นอยู่น้ันทุเลาเบาบางลงไปได้ ดงั นน้ั โครงการเรียนรดู้ ูกายใจ ดว้ ยธรรมะ ธรรมชาติ จึงเกดิ ขึ้น มาเพอื่ ชว่ ยสง่ เสรมิ สขุ ภาพกายและสขุ ภาพใจ ทงั้ ปลกู ฝงั ถงึ วธิ กี ารเปน็ อยทู่ ถ่ี กู ตอ้ งทไี่ มส่ ง่ ผลกระทบ หรอื สง่ เสรมิ ใหโ้ รคมะเรง็ ทวคี วามรนุ แรง ขึ้นในผู้ท่ีกำ�ลังป่วยอยู่ และไม่กลับมาเป็นอีกในผู้ป่วยท่ีหายจากโรค มะเร็งแล้ว โดยความเช่ือส่วนตัวของอาตมาจากประสบการณ์เท่าที่มี ๑๕๙กาลคร้ังหนงึ่ ...เม่อื ฉันหัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.
๑๖๐ กาลครง้ั หน่ึง...เมื่อฉนั หดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. เก่ยี วกับเรื่องของโรคมะเร็ง การทำ�สมาธวิ ปิ ัสสนาและแนวทางของ แพทยท์ างเลอื กนนั้ อาตมาเชอื่ วา่ มะเรง็ เปน็ โรคทสี่ ามารถรกั ษาใหห้ าย ได้ ไม่ว่าผู้ป่วยจะอยู่ในระยะท่ี ๔ ของการเป็นโรคมะเร็งแล้วก็ตาม แตต่ อ้ งรจู้ กั รกั ษาใหถ้ กู วธิ ี พรอ้ มทง้ั เปลย่ี นวถิ กี ารด�ำ เนนิ ชวี ติ แบบเกา่ ๆ ท่เี ป็นผลใหเ้ กิดโรคมะเร็งได้ เชน่ อาหารการกนิ การหลบั นอน การ ท�ำ งาน เปน็ ต้น แลว้ ผนู้ ัน้ ก็จะมคี วามสขุ ไรซ้ ่ึงโรคมะเร็งและไมต่ อ้ ง กังวลกบั การกลบั มาของมะเร็งอกี หลงั จากมะเร็งรกั ษาหายแลว้ ครวั สขุ ภาพกับแพทยท์ างเลือก กอ่ นทจ่ี ะเรม่ิ โครงการเรยี นรดู้ กู ายใจ ดว้ ยธรรมะ ธรรมชาติ นั้น ได้มีการเก็บข้อมูลและเตรียมงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำ� โครงการอยปู่ ระมาณเกือบ ๑ ปเี ตม็ หน่งึ ในน้นั กค็ อื เรอ่ื งของครัว สุขภาพที่มคี วามสำ�คญั มากเปน็ อันดบั ต้น ๆ ของการจดั ท�ำ โครงการ เลยทเี ดียว ดังนนั้ จงึ ไดม้ ีการจัดส่งคนเพื่อไปเรยี นรวู้ ธิ กี ารท�ำ อาหาร ในแนวทางของแพทย์ทางเลือกกบั ผูเ้ ชี่ยวชาญในศาสตรข์ องแพทยท์ าง เลือกนั้นก็คือ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ สำ�เร็จปริญญาเอก Doctor of Science ดา้ นแพทยท์ างเลอื กจากคาลโู ลวลิ ลา่ ฮอสปติ อล ซ่ึงเปน็ มหาวทิ ยาลยั เปดิ ท่ีประเทศศรีลังกา ในกาลครัง้ น้ี อาตมาได้ สง่ คนไปเรยี นการทำ�อาหารท่ถี กู สขุ ลกั ษณะ เหมาะกบั ผปู้ ่วยท่ีเป็นโรค ต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง และเป็นอาหารสุขภาพ กับ ดร.รสสุคนธ์ ทีบ่ า้ นสขุ ภาพ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง จำ�นวน ๔ ท่าน คอื คณุ ฐติ ิวชั ร์ ปวีรเ์ ดชาวชั ร์ คณุ รดากร พิพัฒนไ์ ชยศิริ คณุ พิมไพร ย้ิมศิริ และ คณุ เลิศเกียรติ ชาตะเมธกี ลุ เปน็ ระยะเวลา ๑ เดือน เต็ม ตลอดระยะเวลา ๑ เดือน ในการเรียนรู้วิธีการทำ�อาหารใน
แนวทางสขุ ภาพและเทคนคิ ตา่ ง ๆ ทใ่ี ชใ้ นการประกอบอาหารของบา้ น สขุ ภาพ โดยการสอนของ ดร.รสสคุ นธ์ น้ันก็ทำ�ใหท้ ้งั ๔ ทา่ นได้เรียน รปู้ ระสบการณต์ ่าง ๆ มากมาย ท่ีเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เพ่อื ให้ สขุ ภาพดโี ดยเฉพาะในเรอ่ื งของการประกอบอาหาร ตง้ั แตก่ ารวางผา้ ข้รี ้ิว ความสะอาดในห้องครวั สมาธทิ ่ตี ้องมีในขณะประกอบอาหาร ประเภทของอาหารท่ีมีผลกระทบและไม่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยที่ผู้ป่วย สามารถทานได้ และการก�ำ จดั สารพษิ ตา่ ง ๆ ในอาหารดว้ ยวธิ กี ารทาง ธรรมชาติ เป็นตน้ อาหาร เปน็ สงิ่ ส�ำ คญั เพราะสง่ ผลกระทบตอ่ รา่ งกายโดยตรง ถ้าร่างกายได้รับสารอาหารที่ดี ปราศจากสารพิษตกค้าง และเป็น อาหารทช่ี ว่ ยเสรมิ สรา้ งภมู ติ า้ นทานแลว้ รา่ งกายกจ็ ะสามารถขจดั สงิ่ แปลกปลอมหรือเชอื้ โรคตา่ ง ๆ ที่มอี ย่ใู นร่างกายให้ออกไปได้ ทงั้ ยงั ชว่ ยซ่อมแซมส่วนท่สี กึ หรอ ท�ำ ใหเ้ กดิ ความสมบรู ณ์แข็งแรงขน้ึ มา ดงั นน้ั อาหารจงึ เปน็ สง่ิ ส�ำ คญั ทไี่ มส่ ามารถมองขา้ มได้ หากเรายงั ตอ้ งการ มสี ขุ ภาพทีด่ ี และปราศจากโรค ๓๒ วนั กบั การเฝา้ เรยี นรู้ดูกายใจ ระยะเวลาในการด�ำ เนนิ โครงการทงั้ หมด ๓๒ วนั เรม่ิ ตง้ั แต่ วนั ที่ ๑๕ มกราคม ถึง ๑๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๑ โดยมีผู้เข้ารว่ ม โครงการท้งั หมด ๑๘ คน แต่ผเู้ ข้าร่วมโครงการที่อยไู่ ด้ตลอดคอื ต้ังแต่วันแรกของโครงการจนวนั สดุ ทา้ ยสิน้ สุดโครงการนั้นมี ๑๒ คน โรคมะเรง็ ทผ่ี ้เู ข้ารว่ มโครงการเปน็ อยู่น้ันมี มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเรง็ สมอง มะเร็งเม็ดเลอื ด มะเรง็ ปอด มะเร็งในรังไข่ โดยสว่ น ใหญจ่ ะเป็นมะเร็งเตา้ นมกนั มาก ในวนั ท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ ๑๖๑กาลครงั้ หน่งึ ...เมื่อฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๖๒ กาลครงั้ หนง่ึ ...เมื่อฉนั หดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. เปน็ วนั แรกของผเู้ ขา้ โครงการทจ่ี ะตอ้ งมารายงานตวั ลงทะเบยี นเพอ่ื เขา้ รับการอบรม ส่วนในวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๑ น้ันได้ท�ำ การตรวจ รา่ งกาย เกบ็ ตวั อยา่ งเลอื ด โดยทมี แพทยแ์ ละพยาบาลของโรงพยาบาล ศรีนครินทร์ พร้อมกับให้ผู้เข้าโครงการได้กรอกข้อความใน แบบสอบถาม เกย่ี วกบั ดชั นชี วี้ ดั สขุ ภาพจติ คนไทยฉบบั สมบรู ณแ์ ละแบบ วดั คณุ ภาพชวี ติ ผปู้ ว่ ยมะเรง็ ทที่ างโครงการจดั เตรยี มไว้ ซงึ่ การตรวจ รา่ งกาย เกบ็ ตวั อยา่ งเลอื ดและการกรอกแบบสอบถามดชั นชี ว้ี ดั สขุ ภาพ จิตคนไทยและแบบวัดคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งนั้น ได้ทำ�อีกคร้ังหน่ึง ก่อนสน้ิ สดุ โครงการอบรมเชน่ กัน ตลอดระยะเวลา ๓๒ วัน ในระหว่างโครงการ มที ีมแพทย์ จากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ท่ีได้เสียสละเวลามาเย่ียม และตรวจ อาการของผเู้ ขา้ โครงการวา่ มีความเปน็ ไปอย่างไร พร้อมท้งั ให้ก�ำ ลัง ใจกบั ผเู้ ขา้ โครงการเป็นอยา่ งดี อีกท้งั มคี ุณหมอปิ่นนภสั ทเ่ี สยี สละ เวลาและเดนิ ทางมาจากกรุงเทพฯ เพือ่ มาช่วยงานในโครงการ โดย การเขา้ รว่ มปฏบิ ตั ธิ รรมทงั้ รว่ มเปน็ วทิ ยากรบรรยายเพอื่ ใหค้ วามรู้ และ กำ�ลงั ใจ พรอ้ มทัง้ ตรวจร่างกายใหก้ บั ผ้เู ขา้ ร่วมโครงการด้วย โครงการดงั กลา่ วเปน็ การน�ำ วธิ กี ารปฏบิ ตั ธิ รรมและวธิ กี าร แพทยท์ างเลอื กทัง้ ๒ อยา่ งมาประยกุ ต์ เพอ่ื ใชใ้ นการส่งเสรมิ สุขภาพ จติ และสุขภาพกายของผ้เู ข้าโครงการ ในด้านการปฏบิ ัติธรรมจะมุ่ง เน้นไปท่กี ารทำ�สมาธแิ ละวิปสั สนา เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความผ่อนคลาย สง่ เสรมิ สุขภาพจติ ใจ ใหเ้ กดิ กำ�ลังใจทดี่ ี ลดภาวะความเครยี ด ในส่วน ของแพทยท์ างเลอื ก จะเนน้ ในเรอ่ื งของอาหารทถี่ กู สขุ ลกั ษณะ และชว่ ย ส่งเสริมภูมิต้านทานให้แข็งแรง ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้เป็นโรคมะเร็ง เป็นตวั ช่วยสนบั สนนุ ทางกาย
การท�ำ สมาธวิ ปิ สั สนา พรอ้ มทง้ั เรอ่ื งของอาหาร มคี วาม ส�ำ คญั ดว้ ยกนั ทง้ั สองอยา่ ง ในการทจ่ี ะชว่ ยใหส้ ขุ ภาพของผเู้ ขา้ โครงการ ดขี น้ึ แตใ่ นความทท่ี างดา้ นของจติ ใจมคี วามส�ำ คญั มากกวา่ เหมอื นดงั ประโยคทว่ี า่ จติ เปน็ นาย กายเปน็ บา่ ว ยกตวั อยา่ งในกรณขี องผปู้ ว่ ย ดว้ ยโรคมะเรง็ หากมคี วามเครยี ดเกดิ ขน้ึ มา กจ็ ะสง่ ผลกระทบตอ่ โรค มะเรง็ คอื ท�ำ ใหเ้ ซลลม์ ะเรง็ แพรก่ ระจายออกไปไดม้ ากขน้ึ มเี ซลลม์ ะเรง็ เพม่ิ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ อกี ทง้ั อาหารทด่ี ม่ื และรบั ประทานเขา้ ไป ตอ่ ใหม้ ี ประโยชนส์ กั เพยี งใด กอ็ าจจะกลายเปน็ โทษตอ่ รา่ งกาย ไมส่ ามารถน�ำ ไปใช้ประโยชน์ได้ ความเครียดยังส่งผลทำ�ให้อวัยวะต่าง ๆ ภายใน ร่างกายทำ�งานผิดปกตอิ ีกด้วย แตห่ ากเราสามารถวางใจได้ ไมว่ ติ ก กังวลกบั โรคมะเรง็ ไมม่ ีความคดิ ในแงล่ บ ความเครยี ดท่ีมีผลกระทบ ตอ่ โรคก็จะไม่เกดิ ข้ึน และยิ่งถา้ สามารถท�ำ ใจใหส้ งบ เกดิ ปีติ ความ อมิ่ ใจ มอี ารมณค์ วามรสู้ กึ เปน็ สขุ เกดิ เมตตา ภมู ติ า้ นทานก็จะดขี ้นึ ด้วยเหตุน้ีในโครงการ อาตมาจึงให้ความสำ�คัญกับการปฏิบัติธรรม โดยมงุ่ เนน้ ไปทจ่ี ติ ใจ มากกวา่ ทจ่ี ะใหค้ วามส�ำ คญั กบั อาหาร ซงึ่ มงุ่ เนน้ ไปในทางกาย เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจทม่ี ากขน้ึ เกย่ี วกบั โรคมะเรง็ ท่ี ผเู้ ขา้ โครงการก�ำ ลงั เปน็ อยู่ รวมถงึ เรอ่ื งของแพทยท์ างเลอื กทเ่ี ปน็ ของใหม่ ส�ำ หรบั ใครหลาย ๆ คน และเทคนคิ ตา่ ง ๆ ทจ่ี ะน�ำ มาชว่ ยในการบรรเทา อาการเจบ็ ปวดทเ่ี กดิ จากโรคมะเรง็ ทางโครงการจงึ ไดจ้ ดั ใหม้ วี ทิ ยากรมา บรรยาย ซง่ึ วทิ ยากรทม่ี ารว่ มบรรยายเพอ่ื ใหค้ วามรกู้ บั ผเู้ ขา้ โครงการมี อยดู่ ว้ ยกนั ๓ ทา่ นคอื ผศ.พญ. เออ้ื มแข สขุ ประเสรฐิ พญ.ปน่ิ นภสั ในสว่ นของแพทยท์ างเลอื ก ไดแ้ ก่ ดร.รสสคุ นธ์ พมุ่ พนั ธว์ุ งศ์ มาช่วย ๑๖๓กาลครงั้ หนง่ึ ...เมอ่ื ฉันหัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk.
๑๖๔ กาลครงั้ หนึง่ ...เมอื่ ฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk. บรรยายเพอื่ ท�ำ ความเขา้ ใจในเรอื่ งของแพทยท์ างเลอื ก พรอ้ มทงั้ ใหค้ �ำ แนะนำ�ถึงวธิ กี ารตา่ ง ๆ ที่จะนำ�ไปปรับประยุกต์ใช้เพือ่ บรรเทาอาการ ปวดท่ีเกดิ จากโรคมะเรง็ ให้ผู้ทเี่ ขา้ รว่ มในโครงการได้นำ�ไปใช้ ด้วยการคำ�นึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของผู้เข้าร่วม โครงการเปน็ ส�ำ คัญ จงึ ได้มกี ารประสานงาน เพ่อื ขอความรว่ มมอื จากทีมแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลศรีนคริทร์ ในการเข้าตรวจ เยี่ยมผเู้ ข้าร่วมโครงการ รวมถึงการร่วมสงั เกตการณ์การด�ำ เนินงาน ในฝา่ ยตา่ งๆ ของโครงการอยเู่ ปน็ ระยะ ตลอด ๓๒ วนั สว่ นฝา่ ยครวั นนั้ กต็ อ้ งสะอาด ปราศจากเช้ือโรค โดยการควบคมุ ดูแลของบุคลากร ฝ่ายครัวท้งั ๔ ท่าน ที่ไดร้ ับการอบรมมาอย่างดี ตลอดระยะเวลา ๑ เดอื นท่บี า้ นสุขภาพกับ ดร.รสสคุ นธ์ พมุ่ พันธ์ุวงศ์ (แพทย์ทางเลอื ก) ซ่ึงนอกจากจะให้ความอนุเคราะห์ในการให้ความรู้เก่ียวกับการท�ำ ครัว สขุ ภาพแล้ว ดร.รสสคุ นธ์ ยงั สละเวลามาเยย่ี มในโครงการ และเขา้ ตรวจเย่ียมครัวสุขภาพของโครงการ ณ สำ�นักปฏิบัติธรรมสวน เวฬวุ นั ดว้ ยตวั ของ ดร. เองดว้ ย ในกรณขี องผทู้ เ่ี ขา้ มาชว่ ยงานฝา่ ยครวั คอื เปน็ ผชู้ ่วยพอ่ ครัวแมค่ รัวของโครงการ นอกเหนอื จากบุคลากร ฝ่ายครวั ทั้ง ๔ ทา่ นทีไ่ ดก้ ลา่ วอ้างมาแล้ว ก็จะต้องไดร้ บั ค�ำ แนะนำ�ถงึ ข้อควรร้ใู นส่งิ ทจ่ี ะตอ้ งประพฤติและปฏิบตั ิ ส�ำ หรบั การเป็นผชู้ ่วยครวั สขุ ภาพจากตัวแทนท้งั ๔ ท่านด้วย การประกอบอาหารของครัวสุขภาพในโครงการนั้น จะ ปราศจากเนอ้ื สตั วแ์ ละอาหารตอ้ งหา้ ม รวมถงึ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งทเ่ี ลง็ เหน็ แล้วว่า อาจจะส่งผลกระทบให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งในทางที่จะทำ�ให้ อาการปว่ ยแยล่ งไดห้ ากรบั ประทานเขา้ ไป โดยยดึ หลกั การตามแนวทาง ของแพทย์ทางเลือกเป็นส่วนส�ำ คัญ อีกทั้งวัตถุดิบที่จะนำ�มาประกอบ
อาหารกจ็ ะตอ้ งปราศจากสารเคมี หรอื สารพษิ ตกคา้ ง โดยการเสาะหา แหลง่ จ�ำ หนา่ ยวตั ถดุ บิ ทไ่ี ดม้ าตรฐาน เชน่ ผกั ปลอดสารพษิ จากเครอื ขา่ ย ของส�ำ นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ (สสส.) และกอ่ น ท่ีจะสิ้นสุดโครงการเพ่ือให้ผู้เข้าโครงการสามารถดูแลตัวเองได้อย่าง ถูกต้องเกี่ยวกับเร่ืองของอาหาร การรับประทานภายหลังจากจบ โครงการออกไปแลว้ กไ็ ดจ้ ดั ใหม้ กี ารเขา้ ชมงานในฝา่ ยครวั สขุ ภาพเพอื่ เรียนรู้วิธีการประกอบอาหารสุขภาพจากบุคลากรฝ่ายครวั ท้ัง ๔ ท่าน อาทิเช่น วิธีการล้างทำ�ความสะอาดวัตถุดิบที่จะนำ�มาประกอบเป็น อาหาร ได้แก่ ผักและผลไม้ เป็นตน้ ด้วยการใช้น้ำ�เอนไซม์สำ�หรับ ล้างเพื่อชะล้างสารพิษตกค้างก่อนที่จะนำ�มาปรุงเป็นอาหารจาก “คณุ เลศิ เกยี รต”ิ วธิ กี ารท�ำ สลดั ผกั วาซาบเิ พอื่ สขุ ภาพจาก “คณุ พมิ ไพร” วิธีการทำ�นำ้�ผักปั่น นำ้�นมธัญพืช จาก “คุณฐิติวัชร์” และวิธีการ ประกอบอาหารจำ�พวกผักต่าง ๆ ให้แปลกใหม่ รสชาติดี ส่งเสริม สขุ ภาพจาก “คณุ รดากร” (ประธานชมรมชวี จิต จ. ขอนแก่น) จาก การเฝา้ สังเกตการณ์ของพระวิทยากรผู้รบั ผิดชอบโครงการ ท�ำ ใหเ้ ห็น ถึงความเอาใจใสแ่ ละความตั้งใจในการทจี่ ะเรยี นรู้ถงึ สิง่ ตา่ ง ๆ ของผู้ เข้าร่วมโครงการ ท่ีมีต่อการแนะนำ�ให้ความรู้ของตัวแทนฝ่ายครัว สขุ ภาพทั้ง ๔ ท่านเป็นอย่างดี หลังจากทไี่ ดร้ บั การเรียนรู้ถึงวิธกี าร ตา่ ง ๆ ในสว่ นของครวั สขุ ภาพจนเสรจ็ สนิ้ ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการตา่ งพดู เป็นเสียงเดียวกันว่า ยังอยากเรียนรู้ในครัวสุขภาพของโครงการต่อ พร้อมท้ังอยากลองทำ�อาหารสุขภาพให้มากขึ้นอีก ด้วยใบหน้าและ ทา่ ทางทย่ี ม้ิ แยม้ แจม่ ใสอยา่ งมคี วามสขุ จนหลาย ๆ ทา่ นทม่ี าชว่ ยงาน ในโครงการ กระทั่งผู้ที่มาพบเห็น ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ดรู าวกบั วา่ ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการนน้ั ไมใ่ ชผ่ ปู้ ว่ ยทก่ี ำ�ลงั เปน็ โรคมะเรง็ เลย ๑๖๕กาลครงั้ หนึง่ ...เม่อื ฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk.
๑๖๖ กาลครงั้ หนึ่ง...เมื่อฉนั หัดเดิน Once upon a time, when I learn to walk. ในส่วนของการอบรมที่จะต้องให้ความรู้เก่ียวกับวิธีการ ปฏิบัตสิ มาธิและวิปสั สนา ตลอดถงึ การดแู ลผเู้ ข้าร่วมในโครงการทุก ชว่ งเวลาทมี่ กี ารปฏิบตั ธิ รรม จะมพี ระวทิ ยากรคอยดูแลเพื่อให้ผูเ้ ขา้ รว่ มโครงการสามารถปฏบิ ตั ธิ รรมไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง และหากมขี อ้ สงสยั ใด ๆ เกีย่ วกับการปฏิบัติธรรม ก็สามารถสอบถามจากพระวิทยากร ทท่ี า่ นรบั ผดิ ชอบดแู ลอยไู่ ดท้ นั ทตี ลอดการอบรมทอี่ ยใู่ นโครงการ และ เพอ่ื ให้ผเู้ ข้ารว่ มโครงการเกดิ ความร้สู ึกที่ดี ผ่อนคลาย ลดภาวะความ วติ กกงั วลในเรอื่ งต่าง ๆ ท่ีจะทำ�ให้เกิดความเครียด สง่ ผลกระทบต่อ โรคมะเรง็ ได้ กจ็ ะมกี ารพดู คยุ เพอื่ ปรบั อารมณใ์ หก้ บั ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการ ทุกคนพร้อมกันท้ังหมดในชว่ งเย็น เวลา ๑๙.๓๐ น. ของทกุ วัน โดย ประมาณ คอื ครง่ึ ชว่ั โมง นอกจากนยี้ งั มกี ารเรยี กคยุ เปน็ รายบคุ คล เพ่ือทำ�การปรับอารมณ์ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการและเพื่อให้ทราบถึง อารมณค์ วามรู้สกึ ณ ปัจจุบนั นน้ั วา่ มีสภาพเป็นอยา่ งไร เป็นความ รู้สึกในแงบ่ วกหรอื ลบ จติ ใจมคี วามผอ่ นคลาย แจม่ ใส เบกิ บานหรอื ไม่ หากอารมณ์อยูใ่ นแงล่ บ กจ็ ะทำ�การพดู คุยด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อ ให้เกิดความผ่อนคลายสบายใจ ตัดภาวะความเครียด โดยเฉพาะ ความเครยี ดสะสมทเ่ี ปน็ ผลใหโ้ รคมะเรง็ กระจายไดไ้ ว หากอยใู่ นแงบ่ วก ก็จะดูว่าเป็นอารมณ์ในแง่บวกที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากน้อย อย่างไรถงึ สภาพของจิตใจ เพ่อื ดคู วามก้าวหน้าทางจติ ใจถงึ ก�ำ ลงั ใจ ที่เข้มแข็ง มีผลให้ภูมิต้านทานดีขึ้น และสามารถปฏิบัติธรรมเพื่อให้ จติ ใจสงบ เกดิ ความผอ่ นคลาย เกิดปีติ เป็นสขุ มคี วามรู้สกึ เปน็ เมตตา สง่ ผลใหเ้ ซลลภ์ มู ิต้านทานในตัวดีขน้ึ และเมอ่ื พบวา่ ผูใ้ ดมี อารมณ์ในแง่ลบหรืออารมณ์ที่ไม่ดีค้างอยู่มาก ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ เกดิ ภาวะความเครยี ดขนึ้ มาได้ กจ็ ะเอาใจใสค่ อยตดิ ตามมากเปน็ พเิ ศษ
เพ่ือท่ีจะพยายามปรับอารมณ์ของผู้นั้นให้เป็นปกติ จนสามารถผ่อน คลายสบายใจทำ�ใหเ้ กดิ การปฏบิ ัตธิ รรมท่ีดีตอ่ ไปได้ นอกเหนือจากวิธีการปฏิบัติธรรมด้วยการน่ังสมาธิแล้ว ยังมีการปรับประยุกต์การทำ�กรรมฐาน ด้วยการกำ�หนดสติตามการ เคลอ่ื นไหวของกาย เพอื่ เปน็ การผอ่ นคลายใหแ้ กผ่ ปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมในยาม เชา้ มดื เรียกกนั ว่า เป็นชว่ งของ “การขยบั กายสบายจติ ” ให้ผู้ปฏิบตั ิ ในโครงการได้ยดื เสน้ ยดื สาย ผ่อนคลายสบายตวั และยังได้เจรญิ สตติ ามกายพรอ้ มทงั้ ยงั ไดเ้ รยี นรวู้ ธิ กี ารหายใจทถ่ี กู ตอ้ ง ฝกึ การหายใจ ทย่ี าวและลึกได้เป็นอย่างดอี ีกด้วย อาคารทพ่ี กั ส�ำ หรบั ผเู้ ขา้ รว่ มในโครงการนนั้ ใชอ้ าคารทพี่ กั ผปู้ ฏบิ ัติธรรมหลังใหม่ ( ศาลาพระธรรมสงิ หบรุ าจารย์ ) ของส�ำ นัก ปฏบิ ตั ธิ รรมสวนเวฬุวัน ท่ีมีอากาศถ่ายเทดี หอ้ งพกั กว้างขวาง มี หอ้ งนำ้�ในตวั มพี ่ีเลยี้ งคอยดแู ลอ�ำ นวยความสะดวกต่าง ๆ ใหก้ ับผู้ เข้าโครงการเป็นอย่างดี ต้ังแต่คอยเตรียมอาหาร เสริฟอาหาร เสรฟิ น�ำ้ เปน็ ตน้ สว่ นสถานทปี่ ฏบิ ตั นิ นั้ ใชช้ น้ั แรกของศาลาพระธรรม สงิ หบรุ าจารย์ ทม่ี เี นอื้ ทใี่ นการปฏบิ ตั ทิ ก่ี วา้ งมากสำ�หรบั การอบรมของ คนจ�ำ นวน ๒๒ คนในโครงการ นอกจากนเ้ี พอื่ ใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มโครงการ ได้สัมผัสกับธรรมชาติ จึงมีการนำ�ผู้ปฏิบัติออกไปปฏิบัติธรรมนอก สถานที่ในยามเช้า คือ ในแหล่งธรรมชาติ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ (ออกซิเจน) จากต้นไม้ ไดร้ ับไออนุ่ จากแดด การเดินจงกรมด้วยเทา้ เปลา่ กบั ดนิ ได้สมั ผัสกบั ดิน เปรียบเสมือนการนวดฝ่าเท้าอย่างเปน็ ธรรมชาติจากดนิ ไปในตัว เปน็ การปรบั เปลี่ยนบรรยากาศ ไมใ่ ห้เกดิ ความจ�ำ เจนา่ เบือ่ แก่ผ้ปู ฏบิ ตั ใิ นโครงการ และนี่คอื เรือ่ งราวพอสังเขปตลอด ๓๒ วนั กบั การเฝา้ เรียน ๑๖๗กาลครัง้ หน่งึ ...เม่อื ฉนั หดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๖๘ กาลครงั้ หนง่ึ ...เมื่อฉนั หดั เดิน Once upon a time, when I learn to walk. รู้ดูกายใจที่อาตมาผู้จัดทำ�โครงการได้หยิบยกข้ึนมาเล่าให้ผู้อ่านได้ จนิ ตนาการภาพถงึ สง่ิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในโครงการ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความรู้ ความ เข้าใจ บอกกลา่ วความเปน็ ไปในโครงการตลอด ๓๒ วัน ในเรอ่ื ง ความเหนอ่ื ยนน้ั คงไมต่ ้องพูดถงึ แต่สง่ิ ทป่ี ระทบั ใจเหนอื ค�ำ บรรยาย ใด ๆ นัน้ กค็ อื สขุ ภาพกาย และสุขภาพใจทด่ี ขี ้นึ ตลอดโครงการของ ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการ ความวริ ยิ ะอตุ สาหะของทกุ ผทู้ กุ นามทเี่ สยี สละเวลา อนั มคี า่ เพอ่ื มารว่ มบญุ ในการเปน็ เจา้ หนา้ ทพ่ี เี่ ลยี้ งชว่ ยในโครงการโดย ไรซ้ ง่ึ สงิ่ ตอบแทน เปน็ การมาดว้ ยใจ พรอ้ มทง้ั ไมเ่ คยบอกเลยวา่ เหนอื่ ย แม้ว่าอาตมาจะถามสักเพียงใดว่าเหน่ือยไหม แต่ทุกปากทุกเสียงที่ พร้อมใจกันตอบออกมานั้นก็คือคำ�ว่า “ไม่เหน่ือยเลย รู้สึกสนุก มากกวา่ ” ขอบใจ ขอบใจ จรงิ จรงิ ขอเจรญิ พร ธรรมปฏบิ ัติในโครงการ ผเู้ ข้าร่วมในโครงการจะต้องรกั ษาศีล ๘ พรอ้ มทง้ั เรยี นรู้ วธิ ีการปฏิบัติธรรมตามแนวสติปฏั ฐาน ๔ ซึง่ เป็นวธิ กี ารสอนท่พี ระ เดชพระคณุ พระธรรมสงิ หบรุ าจารย์ (หลวงพอ่ จรญั ) ทา่ นไดว้ างเอา ไวโ้ ดยพระครปู ลดั สทิ ธวิ รวฒั น์ ทา่ นผอู้ �ำ นวยการส�ำ นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมสวน เวฬุวนั เป็นผู้ให้ศีล ๘ และใหก้ รรมฐานแก่ผู้เข้ารว่ มในโครงการท่ีเป็น ผู้ปว่ ยมะเร็งเองทั้งหมด ผู้เขา้ ร่วมโครงการได้รบั การเรียนรูห้ ลกั การ ปฏิบตั ิสติปัฏฐาน ๔ จากพระวิทยากรผรู้ บั ผิดชอบในโครงการ โดย การปรบั ประยกุ ตว์ ธิ กี ารปฏบิ ตั ใิ หเ้ หมาะสมกบั สภาพรา่ งกายของผปู้ ว่ ย ตามความสามารถท่แี ตล่ ะคนจะทำ�ไดม้ ากนอ้ ยแตกต่างกันไป
การสวดมนต์ ในโครงการจะมกี ารสวดมนตอ์ ยู่ ๒ ชว่ งเวลา คอื ชว่ ง เชา้ มดื เวลา ๐๔.๐๐ นาฬกิ า และชว่ งเยน็ ๑๗.๐๐ นาฬกิ า วตั ถปุ ระสงค์ ในการสวดมนต์ก็เพอ่ื ใหเ้ กดิ การผ่อนคลาย เกิดปตี ิ เป็นสุข มี อารมณเ์ มตตาอย่ภู ายในใจ โดยสวดมนตใ์ นความหมายทท่ี �ำ ให้เกดิ การปลอ่ ยวาง ท�ำ ใหไ้ ดค้ ดิ พจิ ารณาตามบทสวด เนน้ บทสวดท�ำ นอง สรภัญญะ คือ บทสวดนมัสการพระอรหนั ต์ ๘ ทิศ บทสวดบารมี ๓๐ ทัศน์ และมกี ารแผ่เมตตา อทุ ศิ สว่ นกศุ ล เพื่อเปน็ การอบรมจติ ใหเ้ กิดเมตตาขึน้ ดว้ ย การหลบั นอนและการขับถา่ ย หลังจากการปรับอารมณ์ให้กับผู้เข้าโครงการโดยรวม ทง้ั หมด จบลงในเวลา ๒๐.๓๐ นาฬกิ า กจ็ ะปลอ่ ยใหผ้ เู้ ขา้ โครงการได้ เตรยี มตวั เขา้ นอนกอ่ นเวลา ๒๑.๐๐ นาฬกิ า โดยตอ้ งฝกึ ใหค้ นุ้ เคยและ สามารถหลบั นอนใหส้ นทิ ไดใ้ นเวลา ๒๑.๐๐ นาฬกิ า ซง่ึ ตรงตามเวลา ของแพทยท์ างเลอื กบา้ นสขุ ภาพทเ่ี ชอ่ื วา่ ในเวลา ๓ ทมุ่ นเ้ี หมาะสมทส่ี ดุ ทจ่ี ะตอ้ งหลบั ใหส้ นทิ เพราะพลงั งานของรา่ งกายเราจะสรา้ งในชว่ งเวลา น้ี เพอ่ื สขุ ภาพทด่ี ขี องรา่ งกายโดยเฉพาะผทู้ ก่ี �ำ ลงั ปว่ ยอยแู่ ละตน่ื นอน ตอน ๐๓.๐๐ นาฬกิ า เพอ่ื เตรยี มตวั เขา้ สกู่ ารสวดมนตป์ ฏบิ ตั ธิ รรมใน ช่วง ๐๔.๐๐ นาฬิกาต่อไป อีกท้ังในช่วงเวลา ๐๓.๐๐ นาฬิกา เปน็ ชว่ งการท�ำ งานของปอดแลว้ ถ้าได้ตืน่ มาช่วงน้ีเพอ่ื มาสูดอากาศ บริสุทธ์ิ ก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ เมื่อถึงเวลา ๐๖.๐๐ นาฬิกา เป็นเวลาส้ินสุดการอบรมในภาคเช้า ก็จะปล่อยให้ผู้เข้าโครงการไป ๑๖๙กาลครงั้ หนึ่ง...เม่อื ฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๗๐ กาลคร้ังหน่ึง...เมอ่ื ฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. ขบั ถา่ ย เพอื่ ฝกึ ใหเ้ กดิ ความเคยชนิ ในการขบั ถา่ ยชว่ งเชา้ ใหไ้ ดท้ กุ วนั กอ่ น ๐๗.๐๐ นาฬกิ า ชว่ งเวลาในการท�ำ งานของระบบตา่ งๆ ในรา่ งกายนี้ เปน็ ทฤษฎีของชาวจนี ท่มี มี านาน ตามค�ำ บอกกลา่ วจากหนงั สือแพทย์ ทางเลือกของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพนั ธ์วุ งศ์ การปรับอารมณ์ อารมณ์ ในทนี่ ี้ หมายถงึ ความรสู้ กึ ทางใจทเี่ ปลย่ี นไปตาม สง่ิ ท่ีเข้ามากระทบใจหรือเรา้ ใหเ้ กดิ อารมณ์ตา่ ง ๆ ขึน้ เชน่ อารมณ์ดี อารมณ์โกรธ อารมณ์วติ กกังวล เป็นตน้ ในส่วนของโครงการ เน่ืองจากผู้ท่ีเข้าร่วมโครงการน้ัน ลว้ นแตเ่ ปน็ ผปู้ ่วยด้วยโรคมะเร็ง ซ่งึ เปน็ โรครา้ ยแรงที่รกั ษาใหห้ ายได้ ยาก ดว้ ยเหตนุ ที้ กุ คนทเ่ี ขา้ รว่ มโครงการยอ่ มมคี วามรสู้ กึ วติ กกงั วลตอ่ โรคท่ีตัวเองกำ�ลังประสบอยู่ไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ยังมีเรื่องงาน เร่อื งครอบครัว เรอ่ื งค่ารกั ษาพยาบาลท่ีตอ้ งตามมาในอนาคต การ ยอมรบั ไมไ่ ดถ้ งึ ความเปลย่ี นแปลงของตวั เองในทางรา่ งกายทแี่ ยล่ ง ท่ี ยกตวั อยา่ งมาเหลา่ นล้ี ว้ นแตเ่ ปน็ สาเหตทุ จี่ ะทำ�ใหผ้ ปู้ ว่ ยเกดิ ความคดิ มาก ฟงุ้ ซา่ น ไมส่ งบ จนเขา้ สสู่ ภาวะจติ วติ กกงั วล สง่ ผลใหเ้ กดิ ความเครยี ด ตามมา เป็นผลกระทบตอ่ รา่ งกาย ทำ�ให้เซลลภ์ มู ติ ้านทานออ่ นแอลง เซลลม์ ะเรง็ แพรก่ ระจายไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และเปน็ อปุ สรรคอยา่ งยงิ่ ในการ ปฏบิ ตั ธิ รรม ดังนั้น จึงต้องมีการปรับอารมณ์ให้กับผู้เข้าโครงการเป็น อยา่ งมากในระยะเรมิ่ แรก เพอ่ื คอยปรบั สภาพอารมณค์ วามรสู้ กึ ใหป้ กติ ปลอ่ ยวางได้ เกดิ ความเบาสบาย คลายกงั วล ลดภาวะความเครยี ด
สามารถทจี่ ะปฏบิ ตั ธิ รรมได้ ซง่ึ เปน็ เหตใุ หจ้ ติ ใจสงบ เกดิ ปตี ิ ความ อ่ิมเอมใจ เกิดเป็นอารมณค์ วามร้สู ึกท่ดี ี คอื เมตตา เพือ่ ช่วยใหเ้ ซลล์ ภมู ติ า้ นทานแขง็ แรงขน้ึ ไมใ่ หเ้ ซลลม์ ะเรง็ กระจายตวั อยา่ งรวดเรว็ ซง่ึ เป็นผลมาจากความเครยี ด ในการปรบั อารมณน์ นั้ ตอ้ งคอยเฝา้ ตามดผู ปู้ ฏบิ ตั อิ ยา่ งใกล้ ชดิ และคอยพดู คยุ ถงึ ความเปน็ ไปตา่ ง ๆ ในระหวา่ งโครงการ เพอื่ ทจ่ี ะ ดคู วามรู้สกึ ของผเู้ ขา้ โครงการในขณะนน้ั วา่ มสี ภาพเป็นอย่างไร ควร ทจี่ ะตอ้ งปรบั อารณ์ใหห้ รือไม่ หรอื มกี ารพัฒนาทางดา้ นของอารมณ์ ความรูส้ กึ ไปในแนวทางทด่ี ีอยา่ งไร ขนาดไหน หลักเกณฑใ์ นการปรบั อารมณ์ ผปู้ รบั อารมณต์ อ้ งใหผ้ ทู้ เ่ี ราจะท�ำ การปรบั อารมณเ์ กดิ ความ ไวว้ างใจ ความรสู้ กึ อบอนุ่ ความเปน็ กนั เอง รบั รไู้ ดถ้ งึ ความรกั รวม ท้งั ความปรารถนาดที ีม่ ใี ห้ และเปรยี บเสมอื นเปน็ ที่พง่ึ ได้ เพอื่ ท่ผี เู้ ข้า รบั การปรบั อารมณเ์ กดิ ความกลา้ ทจี่ ะระบายความรสู้ กึ ทไ่ี มส่ บายใจของ ตนใหฟ้ งั เมอ่ื ผปู้ รบั อารมณร์ บั ฟงั แลว้ ความรสู้ กึ ไมส่ บายใจบางอยา่ ง ของบุคคลท่มี าให้เราปรับอารมณ์ให้ อาจจะแค่ตอ้ งการระบายความ รู้สกึ เท่านั้น ก็จะเกิดความสบายใจขนึ้ ได้ ไมไ่ ด้ต้องการค�ำ แนะนำ�หรือ วิธกี ารแก้ปัญหาใด ๆ จากเราเลย ในกรณีนี้กค็ วรแค่รบั ฟังหรือพดู ในสง่ิ ทเ่ี ปน็ การสนบั สนนุ ใหผ้ เู้ ขา้ มาปรบั อารมณร์ สู้ กึ ดมี ากยง่ิ ขนึ้ ได้ ในสิ่งทีถ่ กู ตอ้ งตามความเหมาะสม ขึน้ อยู่กบั สถานการณน์ ้นั ๆ ด้วย แต่ในกรณีท่ีผู้ท่ีเราทำ�การปรับอารมณ์ให้ต้องการคำ�แนะนำ�จากเรา เราตอ้ งสามารถทจ่ี ะใหค้ �ำ แนะน�ำ ไดท้ นั ที เพอื่ ทจี่ ะใหผ้ ทู้ ไี่ ดร้ บั การปรบั อารมณจ์ ากเราสบายใจข้นึ ได้ ๑๗๑กาลครั้งหนึ่ง...เมอื่ ฉนั หดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๗๒กาลคร้ังหนึ่ง...เม่ือฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk. เมอ่ื สามารถขจดั อารมณ์ ความรสู้ กึ ทไ่ี มด่ ขี องบคุ คลเหลา่ นน้ั ออกไปได้ ในระยะเรม่ิ ตน้ เขาเหลา่ นน้ั ยอ่ มไมส่ ามารถทจี่ ะใหก้ ำ�ลงั ใจตวั เองได้ ตอ้ งอยา่ ลืมทีจ่ ะให้ก�ำ ลงั ใจแก่เขาเหลา่ นั้นกอ่ น เพ่ือให้ จติ ใจเกดิ ความเขม้ แข็ง ในการที่จะยืนหยดั สู้กับปญั หาท่กี �ำ ลังประสบ พบเจอ ดว้ ยความรู้สกึ ทดี่ ี พรอ้ มที่จะฝ่าฟันอปุ สรรคต่อไป กำ�ลังใจ กำ�ลังใจเป็นสิ่งท่ีใครหลาย ๆ คนต้องการโดยเฉพาะผู้ที่ ก�ำ ลังตกอย่ใู นภาวะท่สี ิ้นหวงั เช่น เป็นโรคร้ายแรงท่รี กั ษาได้ยากหรอื ทำ�การรักษาไม่ได้ การเป็นบุคคลล้มละลายเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ เปน็ ตน้ ก�ำ ลงั ใจจงึ เปน็ สง่ิ ส�ำ คญั มากในหลาย ๆ เรอื่ ง จากการทอ่ี าตมา ไดจ้ ดั ท�ำ โครงการปฏบิ ตั ธิ รรมส�ำ หรบั ผทู้ ป่ี ว่ ยดว้ ยโรคมะเรง็ และไดพ้ บ เจอผ้ปู ่วยอยเู่ ป็นประจำ� ท�ำ ให้อาตมารู้สึกถึงก�ำ ลังใจ ๒ แบบดว้ ยกนั แบบแรกเปน็ ก�ำ ลงั ใจทไ่ี ดร้ บั จากบคุ คลอน่ื เปน็ ก�ำ ลงั ใจทค่ี นอนื่ สรา้ งให้ แบบท่ีสองเปน็ กำ�ลงั ใจท่ีไดร้ บั จากตวั เอง เป็นการท่เี ราสร้างข้ึนมาเอง โดยไม่ต้องรอจากใคร แบบที่ ๑ ก�ำ ลังใจที่ไดร้ ับจากบุคคลอ่ืน ก�ำ ลงั ใจชนดิ นเี้ รยี กไดว้ า่ ตอ้ งรอ เมอ่ื เฝา้ รอกอ็ าจจะเจอ หรือไมเ่ จอ ตอ้ งรอเกอ้ แต่ถา้ ไดพ้ บเจอก�ำ ลังใจท่บี คุ คลอนื่ มอบให้แลว้ กจ็ ะเปน็ ความสขุ ใจทไ่ี ดร้ บั จากคำ�ปลอบขวญั ตา่ ง ๆ นานา โดยเฉพาะ บุคคลท่อี อ่ นแอมาก ๆ กจ็ ะย่ิงต้องการกำ�ลงั ใจจากใครหลาย ๆ คนที่ มากและมากข้ึนไปอกี หาค�ำ ว่าพอไดย้ าก ยงิ่ ต้องการก�ำ ลงั ใจจาก
บุคคลอื่นมากเท่าใด ยิ่งไม่สามารถให้กำ�ลังใจกับตัวเองเป็นได้มาก เทา่ น้ัน และก�ำ ลงั ใจทไ่ี ด้รับจากคนอนื่ โดยสว่ นมากแลว้ กม็ ักจะไมอ่ ยู่ กบั เรานาน เมอื่ บคุ คลท่ีมาเย่ียมเราหนั หลังกลับ มันกเ็ ลอื นลับกลบั หายตามไปดว้ ย โดยเฉพาะกบั กลมุ่ คนทคี่ ดิ ไมเ่ ปน็ คำ�ใหก้ �ำ ลงั ใจโดย สว่ นใหญแ่ ลว้ กม็ กั หวานหู แตแ่ ทท้ จี่ รงิ แลว้ ค�ำ หวานหเู หลา่ นน้ั กลบั ท�ำ ให้ เกดิ ความร้สู กึ ดขี ้นึ มามากกว่าที่จะเปน็ กำ�ลงั ใจให้คนสูต้ อ่ ไป เปรยี บ ด่ังลูกอมรสหวานท่ีทำ�ให้รู้สึกติดในรสชาติ แต่หาสารประโยชน์ไม่ได้ ทง้ั ยังท�ำ ใหเ้ กิดฟนั ผุ เป็นโทษต่อรา่ งกายอีก แบบท่ี ๒ ก�ำ ลังใจท่ีไดร้ บั จากตวั เอง ก�ำ ลงั ใจชนดิ นเ้ี รยี กไดว้ า่ ไมต่ อ้ งรอและไดพ้ บเจอแนน่ อน เป็นกำ�ลังใจท่ีสร้างขึ้นมาเองจากการเป็นคนท่ีรู้จักคิด แสดงถึงความ เข้มแข็งในจิตใจ กำ�ลังใจชนิดนี้หากใครสามารถให้กับตัวเองได้จะติด ทนนานไปกับใจของเรา แม้วา่ จะเจออุปสรรคมากมาย ก็สามารถท่จี ะ ฝ่าฟันอปุ สรรคตา่ ง ๆ เหล่านน้ั ออกไปได้อย่างทนั ทว่ งที เพราะเป็น ก�ำ ลงั ใจทไ่ี ดร้ บั จากตวั เอง ไมต่ อ้ งรอจากใคร เปรยี บเหมอื นดง่ั คนทล่ี ม้ แลว้ ลกุ ข้นึ ไดไ้ ว อาตมาเคยพดู กบั ผู้เขา้ รว่ มในโครงการ ถึงเรอ่ื งทีเ่ ก่ียวกับ การใหก้ ำ�ลงั ใจไวว้ ่า เปรียบกบั บคุ คลหนึ่งซึ่งนอนลม้ ป่วยอยู่ มคี น มาเย่ยี มเขามากมาย พร้อมกบั พูดจาหวาน ๆ ไพเราะหู ท่ีเปน็ ก�ำ ลงั ใจให้ โดยปราศจากขอ้ คดิ ทที่ �ำ ใหเ้ ขาคดิ เปน็ จนท�ำ ใหเ้ ขาเกดิ ความรสู้ กึ ดีและมีกำ�ลังใจเกิดขึ้นมาในขณะนั้น แต่หลังจากบุคคลเหล่าน้ันท่ีมา เยี่ยมเราเขาหันหลงั กลบั ไป กำ�ลงั ใจที่เราเพ่ิงไดร้ บั จากเขา กพ็ ากนั หันหลังกลับตามเขาเหล่านัน้ ไปด้วยเชน่ กัน น่นั กเ็ พราะความหดหูใ่ จ ๑๗๓กาลคร้งั หนงึ่ ...เมอ่ื ฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
๑๗๔ กาลครัง้ หนงึ่ ...เมอื่ ฉนั หัดเดนิ Once upon a time, when I learn to walk. ทตี่ ้องอยคู่ นเดียว เปรยี บดง่ั ลูกกวาดสีสวย มรี สหวาน ทำ�ใหต้ ิดในรปู ลักษณ์และรสชาติ แต่หาสารประโยชน์มิได้ ทั้งยังส่งผลให้ฟันผุอีก ถ้ารับประทานเข้าไปมาก ๆ เป็นผลกระทบต่อร่างกายในทางที่ไม่ดี เหมอื นผพู้ ูดจาหวานไพเราะหู แต่หาความจรงิ ใจได้ยาก อกี คนผหู้ นงึ่ กน็ อนลม้ ปว่ ยอยเู่ ชน่ กนั จะหนั หนา้ ไปไหนกไ็ ม่ เหน็ ใครมาเยยี่ ม บงั เอญิ มบี คุ คลทา่ นหนง่ึ เดนิ เขา้ มาเยยี่ มเขาเพยี งล�ำ พงั ผเู้ ดียว ค�ำ พดู กไ็ ม่ไพเราะหู แตฟ่ งั แล้วเกิดแง่คดิ ขอ้ คิด สามารถให้ กำ�ลงั ใจตวั เองเปน็ เมื่อชายผู้นน้ั หนั หลงั กลบั ไป ก�ำ ลงั ใจท่ีเกิดขน้ึ กบั ผปู้ ว่ ยก็ยังคงอยู่ หาได้เดนิ หันหลังกลบั ตามชายผู้นน้ั ไปไม่ เพราะ เหตทุ คี่ นก�ำ ลงั ปว่ ยอยคู่ ดิ เปน็ จนสามารถสรา้ งก�ำ ลงั ใจใหเ้ กดิ ขนึ้ กบั ตวั เองได้ จากค�ำ พดู ไมก่ ปี่ ระโยคทไ่ี มไ่ พเราะหขู องชายผมู้ าเยยี่ มผนู้ น้ั เพยี ง คนเดยี วนน่ั เอง เปรียบดงั่ บอระเพ็ดที่ขม คนไม่ชอบมนั แตม่ ันเปน็ ยาทเี่ มอื่ ทานเขา้ ไปแลว้ กอ็ าจจะชว่ ยรกั ษาใหโ้ รคทก่ี �ำ ลงั เปน็ อยนู่ นั้ หาย หรอื ทุเลาเบาบางลงไปได้ เสมือนคนทีพ่ ดู ไมไ่ พเราะแต่จรงิ ใจ น่จี งึ เป็นอกี เรอื่ งหน่ึงทอี่ าตมาได้หยิบยกขน้ึ มาแสดง เพือ่ ใหผ้ เู้ ขา้ โครงการเรยี นรดู้ กู ายใจดว้ ยธรรมะ ธรรมชาติ ทกุ ทา่ นสามารถ ที่จะให้กำ�ลังใจตัวเองเป็น โดยไม่ต้องรอกำ�ลังใจจากใครท่ีไหนอีก เพราะก�ำ ลงั ใจทบี่ อบชำ้�นนั้ รรี อไม่ได้
ตารางการสง่ เสริมสุขภาพกายและสขุ ภาพใจ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความเหมาะสมจงึ ไดจ้ ดั ทำ�ตารางการสง่ เสรมิ สขุ ภาพกายและสขุ ภาพใจออกเปน็ ๒ แบบ แบบแรกเปน็ การจดั ทำ�ขน้ึ เพอ่ื ใชใ้ นโครงการเรยี นรดู้ กู ายใจดว้ ยธรรมะ ธรรมชาติ สว่ นแบบท่ี ๒ นน้ั ได้จัดทำ�ข้ึนมา เพื่อให้เป็นแนวทางแก่ผู้ที่สนใจในเร่ืองของการดูแล สุขภาพทั้งทางด้านของร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะผู้ที่กำ�ลังป่วยอยู่ ไม่เฉพาะแต่โรคมะเร็งเท่านั้น โรคอ่นื ๆ ท่กี �ำ ลงั ป่วยอย่กู ส็ ามารถทจ่ี ะ น�ำ ไปประยกุ ตใ์ ชต้ ามความเหมาะสม เพอื่ ช่วยสง่ เสรมิ สุขภาพกายและ ใจของผปู้ ว่ ยให้ดขี นึ้ ได้ เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างชว่ งเวลาการ หมนุ เวยี นของพลงั งานในรา่ งกาย จากต�ำ ราการดแู ลสขุ ภาพเกา่ แกข่ อง ชาวจีนท่ีมีมานาน ซึ่งได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือแพทย์ทางเลือกของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์ุวงศ์ และจากหลักการปฏิบัติธรรมที่พระเดช พระคณุ หลวงพอ่ จรญั ฐติ ธมโฺ ม (พระธรรมสงิ หบรุ าจารย)์ ทา่ นไดว้ าง เอาไว้ อาตมาจึงได้เล็งเห็นคุณประโยชน์และความน่าจะเป็นของ หลักการท้งั ๒ อย่างทไี่ ดก้ ลา่ วอา้ งมาแลว้ ว่า เมอ่ื น�ำ มาผสมผสานกนั เขา้ กจ็ ะเปน็ วธิ กี ารในการปฏบิ ตั ทิ น่ี า่ จะสามารถสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ใหส้ ขุ ภาพรา่ งกายและจติ ใจของผทู้ กี่ ำ�ลงั ปว่ ยอยู่ มสี ขุ ภาพรา่ งกายและ จิตใจท่ีดีขนึ้ ได้ สง่ ผลให้โรคทก่ี ำ�ลงั ป่วยอยู่ทเุ ลาเบาบางลงไป และใน กรณขี องผู้ท่ีไมไ่ ด้ป่วย อีกทงั้ มีสุขภาพท่ีแขง็ แรงดอี ยแู่ ลว้ ก็จะย่งิ ท�ำ ให้ สุขภาพของท้ังกายและใจท่ีแข็งแรงดีอยู่แล้วน้ันมีสภาพที่ดีเพิ่มมากข้ึน ไปอกี ๑๗๕กาลครงั้ หนง่ึ ...เม่ือฉันหดั เดนิ Once upon a time, when I learn to walk.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332