หน้า 1 วสิ ยั ทัศน์โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์ ภายในปี 2565 โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์เป็นโรงเรียนคุณภาพตามเกณฑ์โรงเรียนมาตรฐาน สากลบนพน้ื ฐานของการมสี ่วนร่วม สมรรถนะของผูเ้ รียน โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์ 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ของผ้เู รยี น โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ 2. ซอื่ สตั ย์ สจุ ริต 3. มวี ินัย 4. ใฝเ่ รยี นรู้ 5. อย่อู ย่างพอเพียง 6. มุ่งมน่ั ในการทาํ งาน 7. รกั ความเปน็ ไทย 8. มจี ติ สาธารณะ ค่านิยมหลกั 12 ประการเพ่อื สร้างคนไทยท่ีเข้มแขง็ นาํ ไปส่กู ารสรา้ งสรรค์ประเทศไทยใหเ้ ขม้ แข็ง 1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซ่งึ เป็นสถาบนั หลกั ของชาติในปจั จุบัน 2. ซ่ือสตั ย์ เสียสละ อดทน มอี ดุ มการณใ์ นส่งิ ที่ดีงามเพอื่ ส่วนรวม 3. กตัญญตู อ่ พอ่ แม่ ผูป้ กครอง ครบู าอาจารย์ 4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศกึ ษาเล่าเรียนทางตรงและทางอ้อม 5. รกั ษาวฒั นธรรมไทย ประเพณไี ทยอนั งดงาม 6. มศี ลี ธรรม รักษาความสตั ย์ หวงั ดตี อ่ ผูอ้ ืน่ เผอ่ื แผ่ แบ่งปัน 7. เขา้ ใจ เรียนรู้ การเปน็ ประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ ท่ถี กู ต้อง 8. มีระเบยี บวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรจู้ กั เคารพผ้ใู หญ่ 9. มสี ตริ ูต้ ัว ร้คู ิด รทู้ ํา รปู้ ฏบิ ัติ ตามพระราชดาํ รัสของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั 10. รูจ้ กั ดํารงตนอยูโ่ ดยใช้หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งตามพระราชดํารสั ของสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัวร้จู ักอดออมไวใ้ ช้เมอื่ ยามจําเป็น มไี วพ้ อกนิ พอใช้ ถ้าเหลือแจกจา่ ย จําหนา่ ย และขยายกิจการเม่ือมีความพรอ้ มโดยมภี ูมคิ มุ้ กนั ท่ีดี 11. มีความเข้มแขง็ ทัง้ ทางรา่ งกายและจิตใจ ไม่ยอมแพต้ ่ออํานาจฝ่ายตํ่าหรอื กิเลส มคี วามละอาย เกรงกลัวตอ่ บาปตามหลักของศาสนา 12. คํานึงถงึ ผลประโยชนข์ องสว่ นรวมและตอ่ ชาติมากกว่าผลประโยชนข์ องตนเอง หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หนา้ 2 หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทําไมต้องเรยี นวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มีบทบาทสําคัญย่ิงในสังคมโลกปัจจุบัน และอนาคตเพราะวิทยาศาสตร์เก่ียวข้องกับ ทุกคนทั้งในชีวิตประจําวัน และการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยีเคร่ืองมือเครื่องใช้ และผลผลิต ต่างๆ ที่มนุษย์ได้ใช้ เพ่ืออํานวยความสะดวกในชีวิต และการทํางานเหล่าน้ีล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อ่ืนๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิดทั้งความคิด เป็นเหตุเป็นผลคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสําคัญในการค้นคว้าหาความรู้ใช้ความรู้และ ทักษะ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม มีความสามารถในการแก้ ปัญหาอย่างเป็นระบบ รวมทั้งสามารถค้นหาข้อมูลหรือสารสนเทศประเมินสารสนเทศประยุกต์ใช้ทักษะ การคิดเชิงคํานวณ และความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ส่ือดิจิทัลเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสาร เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริงอย่างสร้างสรรค์สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลท่ีหลากหลายและมีประจักษ์พยาน ท่ีตรวจสอบได้วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge- based society) ดังนั้นทุกคนจึงจาเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อท่ีจะมีความรู้ความเข้าใจ ในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผลสร้างสรรค์และมี คุณธรรม เรยี นรอู้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีเน้นการเชื่อมโยงความรู้ กับกระบวนการ มีทักษะสําคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหา ความรู้และแก้ปัญหาท่ีหลากหลายให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทํากิจกรรมด้วยการลง มอื ปฏิบตั จิ ริงอยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกับระดบั ช้ันโดยกําหนดสาระสาํ คัญ ดงั น้ี ✧วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เก่ียวกับชีวิตในส่ิงแวดล้อม องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต การดํารง ชีวิตของมนุษย์และสัตว์การดํารงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ สิ่งมีชวี ิต ✧วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคล่ือนท่ี พลังงาน และคลน่ื ✧วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เก่ียวกับองค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบ สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยากระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศ และผลต่อสงิ่ มีชีวิตและสง่ิ แวดล้อม ✧เทคโนโลยี ✧การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพ่ือการดํารงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปล งอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่นๆ เพ่ือแก้ปัญหาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดยคาํ นึงถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สังคมและส่งิ แวดลอ้ ม หลักสตู รกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 3 ✧วิทยาการคํานวณ เรียนรู้เก่ียวกับ การคิดเชิงคํานวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารใน การแก้ปญั หาทพ่ี บในชวี ิตจรงิ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 4 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2563) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษา ขน้ั พ้ืนฐานพทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ประกอบดว้ ย 4 สาระ จาํ นวน 10 มาตรฐาน ดังนี้ สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงไม่มีชีวิตกับสิ่ง มีชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่างๆในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลง แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปญั หาและผลกระทบท่ีมตี ่อทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมรวมทั้งนาํ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลําเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทํางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชท่ีทํางานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนําความรู้ไปใช้ ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสําคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธุกรรม การเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ สงิ่ มชี ีวติ รวมท้ังนาํ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหวา่ งสมบัติของ สสารกบั โครงสร้างและแรงยึดเหนยี่ วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปล่ยี นแปลงสถานะของ สสาร การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ิตประจําวนั ผลของแรงที่กระทาํ ต่อวัตถุ ลกั ษณะ การเคลือ่ นทีแ่ บบต่างๆ ของวตั ถุ รวมท้งั นาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจําวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่ เกยี่ วขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า รวมทง้ั นําความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิดและวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี่ ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยอี วกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลม ฟ้า อากาศ และภูมิอากาศโลก รวมทั้ง ผลต่อส่ิงมชี ีวติ และสง่ิ แวดล้อม หลักสตู รกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 5 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดํารงชีวิตในสังคมที่มีการเปล่ียนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อ่ืนๆ เพ่ือแก้ปัญหาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดย คาํ นึงถงึ ผลกระทบต่อชวี ิต สงั คม และสงิ่ แวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคํานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทํางาน และการแก้ปัญหาได้ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ รเู้ ท่าทนั และมีจรยิ ธรรม หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 6 คุณภาพผู้เรียน จบชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบที่สําคัญของเซลล์ส่ิงมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการทํางานของ ระบบต่างๆ ในร่างกายมนุษย์การดํารงชีวิตของพืช การตอบสนองต่อส่ิงเร้าของสิ่งมีชีวิต การถ่ายทอด ลักษณะ ทางพันธุกรรมการเปล่ียนแปลงของยีนหรือโครโมโซม และตัวอย่างโรคที่เกิดจากการเปล่ียนแปลง ทางพันธุกรรมประโยชน์ และผลกระทบของส่ิงมีชีวิตดัดแปรงพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ การถ่ายทอดพลังงานในสง่ิ มีชีวิต เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สมบัติของสารละลาย สารบริสุทธ์ิ สารผสม หลักการ แยกสาร การเปล่ียนแปลงของสารในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลายและการเกิด ปฏกิ ิรยิ าเคมี เข้าใจแรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทําต่อวัตถุ แรงเสียดทาน การหมุนของวัตถุโมเมนต์ ของแรง แรงท่ีปรากฏในชีวิตประจําวัน ความสัมพันธ์ระหว่างงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์ กฏการอนุรักษ์ พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทางไฟฟ้า หลักการต่อ วงจรไฟฟา้ ในบ้านพลังงานไฟฟ้าและหลกั การเบื้องตน้ ของวงจรอิเลก็ ทรอนกิ ส์ เขา้ ใจสมบตั ขิ องคล่ืนและลกั ษณะของคล่ืนแบบตา่ งๆ เสียงการสะทอ้ นการหกั เหและความ เข้มของแสง เข้าใจตําแหน่งของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟ้า สมบัติและองค์ประกอบของดาวเคราะห์แต่ละ ดวงในระบบสุริยะและปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนบนโลก ความสําคัญและประโยชน์ในการใช้งานของ เทคโนโลยีอวกาศ สมบตั แิ ละประโยชนข์ องบรรยากาศแตล่ ะชน้ั ทีม่ ตี อ่ สิง่ มชี ีวติ เข้าใจระบบโลก โครงสร้างของโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนโลกและใต้ ผิวโลก กระบวนการเกิดซากดึกดาบรรพ์ การเปล่ียนแปลงของลมฟ้าอากาศที่ทําให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ กระบวนการเกิดธรณีพิบัติภยั และปรากฏการณเ์ รือนกระจกที่มผี ลกระทบตอ่ สงิ่ มีชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์วิเคราะห์เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคํานึงถึงผลกระทบต่อชีวิตสังคมและสิ่งแวดล้อมประยุกต์ใช้ ความรู้ทักษะและทรัพยากรเพื่อออกแบบ และสร้างผลงานสาหรับการแก้ปัญหาในชีวิตประจําวันหรือ การประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมรวมท้ังเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือได้ อยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสมปลอดภยั รวมท้งั คาํ นงึ ถึงทรัพยส์ นิ ทางปัญญา นําข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ประเมินนําเสนอข้อมูลและสารสนเทศได้ ตามวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะการคิดเชิงคํานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรมอย่าง งา่ ยเพอื่ ชว่ ยในการแกป้ ัญหาใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ และการสอื่ สารอย่างรู้เท่าทันและรบั ผิดชอบตอ่ สังคม ตั้งคําถามหรือกําหนดปัญหาท่ีเช่ือมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ท่ีมี การกําหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคําตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานท่ีสามารถนําไปสู่ การสํารวจตรวจสอบออกแบบ และลงมือสํารวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมือท่ีเหมาะสมเลือกใช้ เครื่องมือและเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพท่ี ได้ผลเที่ยงตรงและปลอดภยั หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 7 วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลที่ได้จากการสํารวจตรวจสอบจากพยาน หลักฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมาย และลงข้อสรุปและสื่อสาร ความคิดความรู้จากผลการสํารวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือให้ผู้อื่น เข้าใจได้อย่างเหมาะสม แสดงถึงความสนใจมุ่งม่ันรับผิดชอบรอบคอบ และซื่อสัตย์ในส่ิงท่ีจะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ เกี่ยวกับเรื่องท่ีจะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เคร่ืองมือและวิธีที่เชื่อถือได้ ศึกษาค้นคว้า เพ่ิมเติมจากแหล่งความรู้ต่างๆ แสดงความคิดเห็นของตนเองรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น และยอมรับการเปลี่ยน แปลง ความรทู้ ่คี น้ พบเมอ่ื มีขอ้ มูลและประจักษพ์ ยานใหม่เพิ่มขน้ึ หรือแยง้ จากเดมิ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีใช้ในชีวิตประจําวัน ใช้ความรู้และ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดํารงชีวิต และการประกอบอาชีพแสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบท้ังด้านบวกและด้านลบของการพัฒนาทาง วิทยาศาสตร์ต่อสิ่งแวดล้อมและต่อบริบทอื่นๆและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทําโครงงานหรือสร้างชิ้นงาน ตามความสนใจ แสดงถึงความซาบซ้ึงห่วงใย มีพฤตกิ รรมเก่ียวกบั การใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม อยา่ งรู้คณุ ค่า มีสว่ นรว่ มในการพทิ กั ษด์ แู ลทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มในท้องถ่ิน หลักสูตรกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 8 จบช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 (สาํ หรับผู้เรียนท่ีไมเ่ น้นวิทยาศาสตร์) เข้าใจการการลําเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์ภูมิคุ้มกัน ในร่างกายของมนุษย์และความผิดปกตขิ องระบบภูมิคุ้มกัน การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลง ทางพันธุกรรม วิวัฒนาการท่ีทําให้เกิดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตความสําคัญและผลของเทคโนโลยี ทางดีเอน็ เอตอ่ มนุษย์สิ่งมีชีวติ และสิ่งแวดลอ้ ม เข้าใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตร์ต่างๆของโลก การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีใน ระบบนิเวศ ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปญั หาสิง่ แวดลอ้ ม เข้าใจชนิดของอนุภาคสําคัญที่เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบัติบางประการของ ธาตุ การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ ชนิดของแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคและสมบัติต่างๆของสารท่ีมี ความสัมพันธ์กับแรงยึดเหนี่ยวพันธะเคมี โครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์ การเกิดปฏิกิริยาเคมีปัจจัย ท่มี ผี ลตอ่ อตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมแี ละการเขยี นสมการเคมี เข้าใจปริมาณท่ีเก่ียวกับการเคลื่อนท่ีความสัมพันธ์ระหว่างแรงมวลและความเร่ง ผลของความ เร่งท่ีมีต่อการเคล่ือนท่ีแบบต่างๆของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็ก และกระแสไฟฟา้ และแรงภายในนวิ เคลยี ส เข้าใจพลังงานนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปล่ียนพลังงานทดแทน เป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงานการสะท้อนการหักเหการเล้ียวเบนและการรวมคลื่นการได้ยิน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง สีกับการมองเห็นสี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและประโยชน์ของคล่ืน แม่เหล็กไฟฟา้ เข้าใจการแบ่งช้ันและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุและรูปแบบการเคล่ือนท่ีของแผ่นธรณี ที่สัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุกระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ผลกระทบ แนวทางการเฝา้ ระวงั และการปฏิบตั ิตนให้ปลอดภยั เข้าใจผลของแรงเน่ืองจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลิสท่ีมีต่อการหมุนเวยี น ของอากาศ การหมนุ เวียนของอากาศตามเขตละติจูดและผลที่มตี ่อภูมิอากาศ ความสัมพันธ์ของการหมนุ เวียน ของอากาศและการหมุนเวียนของกระแสน้ําผิวหน้าในมหาสมุทรและผลต่อลักษณะลมฟ้าอากาศสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลกและแนวปฏิบัติเพื่อลดกิจกรรมของ มนุษย์ท่ีส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก รวมท้ังการแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศที่ สําคญั จากแผนท่ีอากาศและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจการกําเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาดอุณหภูมิของเอกภพ หลักฐานท่ี สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก กระบวนการเกิดและการสร้างพลังงาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์และความสัมพันธ์ ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสีอุณหภูมิผิวและสเปกตรัมของ ดาวฤกษ์ วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์ กระบวนการเกิดระบบสุริยะ การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ ลักษณะของดาวเคราะห์ที่เอ้ือต่อการดํารงชีวิตการเกิดลมสุริยะ พายุ สรุ ยิ ะและผลทมี่ ีต่อโลก รวมท้งั การสํารวจอวกาศและการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 9 ระบุปัญหา ตั้งคําถามที่จะสํารวจตรวจสอบโดยมีการกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ต้ังสมมติฐานท่ีเป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบสมมติฐาน ทีเ่ ป็นไปได้ ตั้งคําถามหรือกําหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้ และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ที่แสด งให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงที่สามารถสํารวจตรวจสอบ หรือศึกษาค้นคว้าได้อย่างครอบคลุมและ เช่ือถือได้ สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์ส่ิงที่จะพบ เพื่อนําไปสู่การสํารวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีการสํารวจ ตรวจสอบตามสมมติฐานที่กําหนดไว้ได้อย่างเหมาะสม มีหลักฐานเชิงประจักษ์ เลือกวัสดุอุปกรณ์ รวมทั้งวิธีการในการสํารวจตรวจสอบอย่างถูกต้องท้ังในเชิงปริมาณและคุณภาพและ บันทกึ ผลการสํารวจตรวจสอบอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูลและประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับ สมมติฐานที่ตั้งไว้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีการสํารวจตรวจสอบ จัดกระทําข้อมูลและนําเสนอข้อมูล ด้วยเทคนิควิธีท่ีเหมาะสม สื่อสารแนวคิดความรู้จากผลการสํารวจตรวจสอบ โดยการพูด เขียนจัดแสดง หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ ให้ผู้อนื่ เข้าใจโดยมีหลักฐานอา้ งอิงหรือมีทฤษฎรี องรบั แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบและซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้โดยใช้ เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจมี การเปลยี่ นแปลงได้ แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคําตอบหรือแก้ปัญหาได้ทํางานร่วม กับผู้อื่นอย่างสรา้ งสรรค์ แสดงความคิดเหน็ โดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบเก่ียวกับผลของการพัฒนา และการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและส่ิงแวดล้อมและยอมรับฟังความ คดิ เห็นของผู้อนื่ เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่างๆและ การพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าผลของเทคโนโลยีต่อชีวิต สงั คมและส่งิ แวดลอ้ ม ตระหนักถึงความสําคัญและเหน็ คณุ ค่าของความรวู้ ิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีท่ีใช้ในชีวิตประจําวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดํารงชีวิตและการประกอบอาชีพ แสดง ความช่ืนชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ช้ินงานที่เป็นผลมาจากภูมิปัญญาท้องถ่ินและการพัฒนาเทคโนโลยีท่ี ทนั สมัย ศึกษาหาความรเู้ พมิ่ เติม ทาํ โครงงานหรือสร้างช้ินงานตามความสนใจ แสดงความซาบซ้ึงห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกบั การใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม อย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของทอ้ งถ่ิน หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 10 จบช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 (สําหรับผู้เรยี นท่เี น้นวทิ ยาศาสตร์) เข้าใจวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาคําตอบเกี่ยวกับส่ิงมีชีวิต สารที่เป็นองค์ประกอบ ของสิ่งมีชีวิตและปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ การใช้กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าท่ีของเซลล์ การลําเลียง สารเขา้ และออกจากเซลล์ การแบง่ เซลลแ์ ละการหายใจระดบั เซลล์ เข้าใจหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิต การถ่ายทอดยีนบนออโตโซมและ โครโมโซมเพศ โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ การจําลองดเี อ็นเอ กระบวนการสังเคราะห์ โปรตีน การเกิดมิวเทชันในส่ิงมีชีวิต หลักการและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอหลักฐานและ ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต แนวคิดเก่ียวกับวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิตเงื่อนไขของภาวะ สมดุลของฮาร์ด-ี ไวน์เบิร์ก กระบวนการเกิดสปีชีส์ใหม่ของส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ กําเนิด ของสิ่งมีชีวิต ลักษณะสําคัญของสิ่งมีชีวิตกลุ่มแบคทีเรีย โพรทิสต์ พืชฟังไจ และสัตว์ การจําแนกสิ่งมีชีวิต ออกเปน็ หมวดหมู่และวธิ กี ารเขยี นช่อื วทิ ยาศาสตร์ เข้าใจโครงสร้างและส่วนประกอบของพชื ท้ังราก ลําต้นและใบ การแลกเปล่ียนแก๊ส การคายนํ้า การลําเลียงน้ําและธาตุอาหาร การลําเลียงอาหาร การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช กระบวนการสร้างเซลล์ สืบพันธุ์และการปฏิสนธิของพืชดอก การเกิดผลและเมล็ด บทบาทของสารควบคุมการเจริญเติบโตของ พืชและการประยกุ ตใ์ ช้และการตอบสนองของพืช เข้าใจกลไกการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต โครงสร้างหน้าท่ีและกระบวนการต่างๆของสัตว์ และมนุษย์ ได้แก่ การย่อยอาหาร การแลกเปลี่ยนแก๊ส การเคล่ือนท่ี การกําจัดของเสียออกจากร่างกาย ของส่ิงมชี ีวิต ระบบหมนุ เวียนเลือด ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ การทํางานของระบบประสาทและ อวยั วะรบั ความรู้สกึ ระบบสบื พันธุ์ การปฏสิ นธิ การเจรญิ เติบโต ฮอร์โมนและพฤตกิ รรมของสัตว์ เข้าใจกระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ความหลากหลายของ ไบโอม การเปล่ียนแปลงแทนท่ีแบบต่างๆ ในระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงจํานวนประชากรมนุษย์ในระดับ ท้องถ่นิ ระดับประเทศและระดับโลก แนวทางการป้องกันและแก้ไขปญั หาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม เข้าใจการศึกษาโครงสร้างอะตอมของนักวิทยาศาสตร์การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอม สมบัติ บางประการของธาตุ และการจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ พันธะเคมี สมบัติของสารท่ีมีความสัมพันธ์กับ พันธะเคมีกฎต่างๆของแก๊ส และสมบัติของแก๊สประเภท และสมบัติของสารประกอบอินทรีย์ประเภทและ สมบตั ขิ องพอลิเมอร์ เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี การคํานวณปริมาณสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยา เคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีและปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมีและ ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลเคมีทฤษฎีกรด –เบส สมบัติและปฏิกิริยาของกรด–เบส สารละลายบัฟเฟอร์ปฏิกิริยา รีดอกซแ์ ละเซลล์เคมไี ฟฟา้ เข้าใจข้อปฏิบัติเบ้ืองต้นเกยี่ วกับความปลอดภัยในการทาปฏิบัติการเคมี การเลือกใช้อุปกรณ์หรือ เครื่องมือในการทําปฏิบัติการ หน่วยวัดและการเปล่ียนหน่วยวัดด้วยการใช้แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วยการ คํานวณเก่ียวกับมวลอะตอม มวลโมเลกุลและมวลสูตร ความสัมพันธ์ของโมลจํานวนอนุภาคมวลและ ปริมาตรของแก๊สท่ี STP การคํานวณสูตรอย่างง่ายและสูตรโมเลกุลของสารความเข้มข้นของสารละลาย การเตรียมสารละลายและการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบายปรากฏการณ์ในชีวิตประจําวัน และการแก้ปัญหาทางเคมี หลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 11 เข้าใจธรรมชาติของฟิสิกส์ กระบวนการวัด ความสัมพันธ์ระหว่างปรมิ าณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ การเคล่ือนท่ีในแนวตรง แรงลัพธ์ กฎการเคล่ือนที่ แรงเสียดทาน กฎความโน้มถ่วงสากล สนามโน้มถ่วง งาน กฎการอนุรักษ์พลังงานกล สมดุลกลของวัตถุ เครื่องกลอย่างง่าย โมเมนตัมและการดุลกฎการ อนุรักษ์ โมเมนตมั การชนและการเคล่อื นท่ใี นแนวโคง้ เข้าใจการเคลื่อนท่ีแบบคล่ืน ปรากฏการณ์คลื่น การสะท้อนการหักเห การเล้ียวเบนและ การแทรกสอด หลักการของฮอยเกนส์ การเคลื่อนท่ีของคล่ืนเสียง ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียงความ เข้มเสียงและระดับเสียง การได้ยินภาพที่เกิดจากกระจกเงาและเลนส์ ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับแสงและ การมองเห็นแสงสี เข้าใจสนามไฟฟ้า แรงไฟฟ้า กฎของคูลอมบ์ ศักย์ไฟฟ้า ตัวเก็บประจุ ตัวต้านทานและกฎของ โอห์ม พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงานสนามแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กกับกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนําแม่เหล็กไฟฟ้าไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่น แมเ่ หล็กไฟฟา้ และประโยชนข์ องคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ เข้าใจผลของความร้อนต่อสสาร สภาพยืดหยุ่น ความดันในของไหล แรงพยุงของไหลอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส แนวคิดควอนตัมของพลังงาน ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกทวิ ภาวะของคลื่นและอนุภาคการสลายของนิวเคลียส กัมมันตรังสี กัมมันตภาพปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงาน นิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน แรงภายในนิวเคลยี สและการค้นคว้าวจิ ัยด้านฟิสิกสอ์ นภุ าค เข้าใจการแบ่งช้ันและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุและรูปแบบการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีที่ สมั พันธก์ ับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐานและธรณีโครงสรา้ งแบบต่างๆ หลักฐานทางธรณีวิทยาที่พบในปัจจุบัน และการลําดับเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาในอดีต สาเหตุกระบวนการเกิดแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ผลกระทบ แนวทางการเฝ้าระวังและการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย สมบัติและการจําแนกชนิดของแร่ กระบวนการเกิดและการจําแนกชนิดหิน กระบวนการเกิดและการสํารวจแหล่งปิโตรเลียมและถ่านหิน การแปลความหมายจากแผนที่ภูมิประเทศและแผนท่ีธรณีวิทยาและการนําข้อมูลทางธรณีวิทยาไปใช้ ประโยชน์ เข้าใจปัจจัยสําคัญที่มีผลต่อการรับและปลดปล่อยพลังงานจากดวงอาทิตย์ กระบวนการท่ีทําให้ เกิดสมดุลพลังงานของโลก ผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลิส แรงสู่ ศูนย์กลางและแรงเสียดทานท่ีมีต่อการหมุนเวียนของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจูดและ ผลที่มตี ่อภูมิอากาศปจั จัยที่ทําให้เกิดการแบ่งชั้นน้ํา และการหมนุ เวียนของนํ้าในมหาสมทุ รรูปแบบการหมนุ เวียน ของน้ําในมหาสมุทรและผลของการหมุนเวียนของนํ้าในมหาสมุทรที่มีต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ ส่ิงมีชีวิต และส่ิงแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างเสถียรภาพอากาศและการเกิดเมฆ การเกิดแนวปะทะอากาศแบบ ต่างๆและลักษณะลมฟ้าอากาศท่ีเกี่ยวข้องปัจจัยต่างๆท่ีมีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศของโลก รวมท้ัง การแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศ และการพยากรณ์ลักษณะลมฟ้าอากาศเบ้ืองต้นจากแผนที่ อากาศและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจการกําเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาดอุณหภูมิของเอกภพ หลักฐานท่ี สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก กระบวนการเกิดดาวฤกษ์และการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ ปัจจัยท่ีส่งผลต่อความส่องสว่างของดาว ฤกษ์และความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสีอุณหภูมิ ผิวและสเปกตรัมของดาวฤกษ์ วิธีการหาระยะทางของดาวฤกษ์ด้วยหลักการแพรัลแลกซ์วิวัฒนาการและ การเปล่ียนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์ กระบวนการเกิดระบบสุริยะ การแบ่งเขตบริวารของ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 12 ดวงอาทิตย์ ลักษณะของดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดํารงชีวิต การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ ด้วยกฎเคพเลอร์และกฎความโน้มถ่วงของนิวตัน โครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะ และผลที่มีต่อโลก การระบุพิกัดของดาวในระบบขอบฟ้าและระบบศูนย์สูตร เส้นทางการข้ึน การตกของ ดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ เวลาสุริยคติ และการเปรียบเทียบเวลาของแต่ละเขตเวลาบนโลกการสํารวจอวกาศ และการประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ ระบุปัญหา ตั้งคําถามท่ีจะสํารวจตรวจสอบ โดยมีการกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งสมมติฐานที่เป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบสมมติฐานท่ี เป็นไปได้ ตั้งคําถามหรือกําหนดปัญหาที่อยู่บนพ้ืนฐานของความรู้ และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ที่แสดง ให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงที่สามารถสํารวจตรวจสอบ หรือศึกษาค้นคว้าได้อย่างครอบคลุมและ เชื่อถือได้ สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์ส่ิงที่จะพบ เพ่ือนําไปสู่การสํารวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีการสํารวจตรวจสอบตามสมมติฐานที่กําหนดไว้ได้อย่างเหมาะสม มีหลักฐานเชิงประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์รวมท้ังวิธีการในการสํารวจตรวจสอบอย่างถูกต้องท้ังในเชิงปริมาณ และคุณภาพ และ บันทกึ ผลการสํารวจตรวจสอบอยา่ งเปน็ ระบบ วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับ สมมติฐานที่ตั้งไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีการสํารวจตรวจสอบ จัดกระทําข้อมูลและนําเสนอ ข้อมูลด้วยเทคนิควิธีท่ีเหมาะสม สื่อสารแนวคิด ความรู้จากผลการสํารวจตรวจสอบ โดยการพูด เขียน จัดแสดงหรอื ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ เพือ่ ให้ผอู้ ่ืนเข้าใจโดยมีหลักฐานอา้ งอิงหรือมที ฤษฎีรองรับ แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบและซื่อสัตย์ ในการสืบเสาะหาความรู้ โดยใช้ เคร่ืองมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถือได้มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจมี การเปลย่ี นแปลงได้ แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคําตอบ หรือแก้ปัญหาได้ทํางานร่วม กับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบเกี่ยวกับผลของการพัฒนา และการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและส่ิงแวดล้อม และยอมรับฟังความ คิดเหน็ ของผู้อน่ื เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และ การพัฒนาเทคโนโลยีท่ีส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีก้าวหน้า ผลของเทคโนโลยีต่อชีวิต สงั คม และส่ิงแวดลอ้ ม ตระหนักถึงความสําคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีท่ีใช้ในชีวิต ประจําวัน ใช้ความรแู้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยใี นการดํารงชีวิต และการประกอบอาชีพ แสดงความช่ืนชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานที่เป็นผลมาจากภูมิปัญญาท้องถ่ินและการพัฒนา เทคโนโลยีทท่ี ันสมัย ศึกษาหาความรเู้ พิม่ เตมิ ทาํ โครงงานหรอื สรา้ งชิน้ งานตามความสนใจ แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรกั ษาทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม อย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ของท้องถ่ิน หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 13 จบชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 6 (สําหรบั ผเู้ รียนทุกคน) วิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อน การเปลี่ยนแปลง ของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อ่ืน โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ วิ เคราะห์ เปรียบเทียบและตัดสินใจเพ่ือเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคํานึงถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และ สิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ ทรัพยากรเพ่ือออกแบบ สร้างหรือพัฒนาผลงานสําหรับแก้ ปัญหา ท่ีมีผลกระทบต่อสังคมโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบและ นําเสนอผลงาน เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์และเคร่ืองมือได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย รวมท้ังคํานึง ถึง ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา ใช้ความรู้ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อ รวบรวมข้อมูลในชีวิตจริงจากแหล่งต่างๆ และความรู้จากศาสตร์อื่นมาประยุกต์ใช้สร้างความรู้ใหม่ เข้าใจ การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยีที่มีผลต่อการดําเนินชีวิต อาชีพ สังคม วัฒนธรรม และใช้อย่างปลอดภัยมี จริยธรรม หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 14 ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลางชนั้ มัธยมศกึ ษาตอนต้น สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงไม่มีชีวิตกับ ส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากร ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมรวม ทั้งนําความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.1 - - ม.2 - - ม.3 1. อธบิ ายปฏสิ มั พันธ์ขององคป์ ระกอบของระบบ ระบบนเิ วศประกอบด้วยองคป์ ระกอบทม่ี ีชวี ิต เชน่ นเิ วศท่ไี ดจ้ ากการสาํ รวจ พืช สตว์ จุลินทรยี ์ และองค์ประกอบทีไ่ มม่ ชี วี ิต เชน่ แสง น้ํา อุณหภมู ิ แร่ธาตุ แก๊สองคป์ ระกอบเหล่านม้ี ี ปฏิสมั พนั ธ์กนั เช่น พชื ตอ้ งการแสง นาํ้ และแก๊ส คารบ์ อนไดออกไซด์ ในการสร้างอาหาร สัตวต์ ้องการ อาหาร และ สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมในการดาํ รง ชวี ติ เชน่ อณุ หภมู ิ ความชืน้ องค์ประกอบทัง้ สองสว่ น นีจ้ ะต้องมคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งเหมาะสมระบบนเิ วศ จงึ จะสามารถคงอย่ตู อ่ ไปได้ ซ่งึ ระบบนิเวศในแต่ละ ท้องถน่ิ ประกอบด้วย องค์ประกอบทางกายภาพและ องคป์ ระกอบทางชีวภาพเฉพาะถนิ่ ซึ่งมคี วาเก่ียวข้อง สมั พันธ์กนั 2. อธิบายรูปแบบความสมั พนั ธร์ ะหว่างส่งิ มชี ีวติ กบั สงิ่ มชี ีวิตกับสงิ่ มีชวี ติ มคี วามสัมพันธ์กนั ในรูปแบบ สงมีชวี ิตรปู แบบตา่ ง ๆ ในแหล่งทอ่ี ยูเ่ ดียวกนั ท่ไี ด้ ต่างๆ เชน่ ภาวะพงึ่ พากัน ภาวะอิงอาศัย ภาวะเหยอ่ื จากการสาํ รวจ กับผลู้ า่ ภาวะปรสิต ส่งิ มชี วี ิตชนดิ เดียวกนั ท่ีอาศัยอยรู่ ่วมกนั ในแหล่งที่ อยูเ่ ดยี วกนั ในช่วงเวลาเดยี วกนั เรยี กวา่ ประชากร กล่มุ สง่ิ มีชวี ิตประกอบด้วยประชากรของสิง่ มีชีวิต หลายๆชนิดอาศัยอยรู่ ่วมกันในแหล่งที่อยเู่ ดยี วกนั 3. สรา้ งแบบจาํ ลองในการอธบิ ายการถา่ ยทอด กล่มุ สง่ิ มชี ีวติ ในระบบนเิ วศแบ่งตามหน้าที่ได้เปน็ 3 พลงั งานในสายใยอาหาร กล่มุ ไดแ้ ก่ ผู้ผลติ ผูบ้ รโิ ภคและผ้ยู ่อยสลายสารอินทรยี ์ 4.อธบิ ายความสมั พนั ธ์ของผ้ผู ลติ ผู้บริโภคและผยู้ อ่ ย สงิ่ มีชีวติ ทง้ั 3 กลมุ่ นีม้ คี วามสัมพนั ธก์ นั ผู้ผลิตเป็น สลายสารอนิ ทรยี ์ในระบบนเิ วศ สิ่งมชี ีวิตที่สรา้ งอาหารไดเ้ อง โดยกระบวนการ 5.อธิบายการสะสมสารพิษในสงิ่ มชี ีวติ ในโซ่อาหาร สงั เคราะห์ดว้ ยแสง ผู้บริโภคเป็นสิ่งมีชวี ติ ทไี่ มส่ ามารถ 6.ตระหนกั ถงึ ความสมั พนั ธ์ของสิ่งมีชีวิตและ สร้างอาหารได้เอง และตอ้ งกนิ ผผู้ ลิตหรือส่ิงมชี วี ิตอ่ืน สิ่งแวดล้อมในระบบนเิ วศโดยไม่ทําลายสมดุลของ เป็นอาหารเม่ือผูผ้ ลติ และผบู้ รโิ ภคตายลงจะถกู ยอ่ ย ระบบนิเวศ โดยผยู้ ่อยสลายสารอินทรยี ์ซึ่งจะเปลี่ยนสารอนิ ทรยี ์ เป็นสารอนนิ ทรีย์กลับคนื สูส่ งิ่ แวดลอ้ ม ทําใหเ้ กดิ การ หมนุ เวยี นสารเป็น วฏั จักร จํานวนผู้ผลิต ผบู้ ริโภคและ ผู้ยอ่ ยสลายสารอินทรีย์จะต้องมีความเหมาะสมจึงทาํ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 15 ใหก้ ลุ่มสงิ่ มชี ีวิตอยู่ได้อย่างสมดลุ พลังงานถูกถ่ายทอดจากผผู้ ลติ ไปยงั ผ้บู รโิ ภค ลาํ ดบั ตา่ งๆรวมท้ังผยู้ อ่ ยสลายสารอินทรีย์ ในรูปแบบสายใยอาหารทป่ี ระกอบด้วยโซอ่ าหารหลาย โซท่ ่สี มั พันธก์ ัน ในการถ่ายทอดพลังงานในโซ่อาหาร พลังงานที่ถกู ถา่ ยทอดไปจะลดลงเร่อื ยๆ ตามลําดบั ของการบริโภค การถา่ ยทอดพลังงานในระบบนเิ วศอาจทําใหม้ ี สารพิษสะสมอยู่ในส่ิงมชี ีวติ ไดจ้ นอาจกอ่ ใหเ้ กดิ อันตรายต่อสิง่ มีชีวติ และทาํ ลายสมดลุ ในระบบนเิ วศ ดงั นัน้ การดแู ลรกั ษาระบบนิเวศใหเ้ กิดความสมดลุ และ คงอยูต่ ลอดไปจึงเป็นสิง่ สําคญั สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตขิ องส่ิงมชี วี ิต หน่วยพนื้ ฐานของสิ่งมชี วี ติ การลําเลยี งสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหนา้ ท่ีของระบบต่างๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ท่ีทํางานสัมพันธก์ ัน ความสัมพนั ธ์ ของโครงสร้างและหนา้ ท่ีของอวัยวะตา่ งๆ ของพืชท่ที าํ งานสมั พันธก์ ัน รวมท้ังนาํ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชนั้ ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.1 1. เปรยี บเทียบรปู ร่างลกั ษณะและโครงสร้าง เซลลเ์ ปน็ หน่วยพื้นฐานของสง่ิ มีชวี ติ ส่ิงมี ชีวิตบาง ของเซลลพ์ ืชและเซลล์สัตว์ รวมท้งั บรรยายหน้าที่ ชนดิ มเี ซลลเ์ พียงเซลล์เดียว เช่นอะมบี า พารามเี ซียม ของผนงั เซลล์ เยื่อหมุ้ เซลลไ์ ซโทพลาซึม นวิ เคลยี ส ยีสต์ บางชนิดมหี ลายเซลล์ เช่น พืช สัตว์ แวคิวโอล ไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์ โครงสร้างพ้นื ฐานท่พี บทงั้ ในเซลล์พชื และเซลลส์ ัตว์ 2. ใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ช้แสงศึกษาเซลล์ และสามารถสังเกตไดด้ ้วยกลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ช้แสง และโครงสร้างตา่ งๆ ภายในเซลล์ ไดแ้ ก่ เย่อื ห้มุ เซลล์ ไซโทพลาซมึ และนวิ เคลยี ส โครง สร้างทพ่ี บในเซลล์พืชแต่ไมพ่ บในเซลลส์ ัตว์ ได้แกผ่ นงั เซลลแ์ ละคลอโรพลาสต์ โครงสรา้ งต่างๆ ของเซลลม์ ีหนา้ ทีแ่ ตกต่างกนั - ผนังเซลล์ ทําหนา้ ท่ใี หค้ วามแขง็ แรงแก่เซลล์ - เยอ่ื หมุ้ เซลล์ ทาํ หน้าท่ีห่อห้มุ เซลลแ์ ละควบคมุ การ ลาํ เลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ - นวิ เคลียส ทาํ หน้าทีค่ วบคมุ การทาํ งานของเซลล์ - ไซโทพลาซึมมอี อรแ์ กเนลล์ท่ีทาํ หน้าท่แี ตกต่างกนั - แวคิวโอลทาํ หน้าทเี่ กบ็ น้ําและสารต่างๆ - ไมโทคอนเดรียทาํ หนา้ ทเ่ี กย่ี วกบั การสลาย สารอาหารเพอ่ื ให้ได้พลงั งานแกเ่ ซลล์ - คลอโรพลาสต์เปน็ แหล่งทีเ่ กดิ การสังเคราะหด์ ้วยแสง หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หนา้ 16 ช้นั ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 3. อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหวา่ งรูปรา่ งกบั การ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตมีรูปร่างลักษณะที่หลาก หลายและมี ทําหนา้ ทขี่ องเซลล์ ความเหมาะสมกับหน้าท่ีของเซลล์นั้น เช่น เซลล์ประสาทส่วน ใหญ่มีเส้นใยประสาทเป็นแขนงยาว นํา กระแสประสาทไปยัง เซลล์อื่น ๆ ท่ีอยู่ไกลออกไปเซลล์ ขนรากเปน็ เซลล์ผิวของรากที่ มีผนังเซลล์และเยื่อหุ้มเซลล์ย่ืนยาวออกมาลักษณะคล้ายขน เส้นเล็กๆเพ่ือเพม่ิ พ้ืนทผ่ี ิวในการดดู น้าํ และธาตอุ าหาร 4. อธิบายการจัดระบบของสิ่งมชี วี ิตโดยเร่ิม พืชและสัตว์เป็นส่ิงมีชีวิตหลายเซลล์มีการจัดระบบ โดย จากเซลลเ์ น้ือเยื่ออวยั วะระบบอวัยวะจนเปน็ เร่ิมจากเซลล์ไปเป็นเน้ือเย่ืออวัยวะ ระบบอวัยวะ และส่ิงมีชีวิต สง่ิ มีชวี ิต ตามลําดับเซลล์หลายเซลล์มารวมกันเป็นเน้ือเย่ือ เนื้อเย่ือ หลายชนิดมารวมกันและทํางานร่วมกันเป็นอวัยวะ อวัยวะ ต่างๆทํางานร่วมกันเป็นระบบอวัยวะ ระบบอวัยวะ ทุกระบบ ทาํ งานรว่ มกันเปน็ ส่ิงมชี ีวิต 5. อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิสจาก เซลล์มีการนําสารเข้าสู่เซลล์ เพ่ือใช้ในกระบวนการต่างๆ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ และยกตวั อยา่ งการแพร่ ของเซลล์และมีการขจัดสารบางอย่างท่ีเซลล์ไม่ต้องการออก และออสโมซิสในชีวิตประจําวัน นอกเซลล์การนําสารเข้าและออกจากเซลล์มีหลายวิธี เช่นการ แพร่เป็นการเคลื่อนท่ีของสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของ สารสูงไปสู่บริเวณท่ีมคี วามเข้มข้นของสารตํ่า ส่วนออสโมซิสเป็น การแพร่ของน้ําผ่านเย่ือหุ้มเซลล์จากด้านท่ีมีความเข้มข้นของ สารละลายต่าํ ไปยงั ด้านทมี่ คี วามเข้มข้นของสารละลายสูงกวา่ 6. ระบุปจั จยั ทจ่ี ําเป็นในการสงั เคราะห์ดว้ ย กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื ที่เกดิ ขนึ้ ในคลอโร แสงและผลผลิตทเี่ กิดขน้ึ จากการสังเคราะห์ พลาสต์ จําเปน็ ตอ้ งใช้แสงแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยแสง โดยใช้หลักฐานเชิงประจกั ษ์ คลอโรฟลิ ลแ์ ละนํ้าผลผลิตท่ีไดจ้ ากการสังเคราะหด์ ้วยแสง ไดแ้ กน่ า้ํ ตาลและแก๊สออกซิเจน 7. อธิบายความสําคัญของการสงั เคราะหด์ ้วย การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงเป็นกระบวนการทส่ี ําคัญตอ่ แสงของพชื ต่อส่ิงมชี ีวติ และสิง่ แวดลอ้ ม สิ่งมชี ีวติ เพราะเป็นกระบวนการเดียวท่ีสามารถนาํ พลังงาน 8. ตระหนกั ในคณุ ค่าของพืชทม่ี ตี อ่ สิ่งมชี ีวติ แสงมาเปลีย่ นเปน็ พลงั งานในรูปสารประกอบอินทรียแ์ ละ และสงิ่ แวดล้อม โดยการรว่ มกนั ปลูกและดแู ล เกบ็ สะสมในรปู แบบต่างๆในโครงสรา้ งของพืช พืชจึงเป็น รกั ษาตน้ ไม้ในโรงเรียนและชุมชน แหลง่ อาหารและพลงั งานที่สาํ คญั ของส่ิง มีชีวติ อื่น นอกจาก นกี้ ระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงยังเปน็ กระบวนการหลักใน การสร้างแกส๊ ออกซิเจนให้กับบรรยากาศเพ่ือใหส้ ่ิงมีชีวิตอ่ืน ใช้ในกระบวนการหายใจ 9. บรรยายลกั ษณะและหน้าท่ขี องไซเล็มและ พืชมีไซเล็มและโฟลเอ็มซึ่งเป็นเนื้อเย่ือ มีลักษณะคล้ายท่อ โฟลเอ็ม เรียงตัวกันเป็นกลุ่มเฉพาะที่ โดยไซเล็มทําหน้าท่ีลําเลียงนํ้า 10. เขียนแผนภาพทีบ่ รรยายทิศทางการ และธาตุอาหาร มีทิศทางลําเลียงจากรากไปสู่ลําต้นใบและส่วน ลาํ เลยี งสารในไซเล็มและโฟลเอม็ ของพชื ต่างๆของพืช เพื่อใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง รวมถึงกระบวน การอื่นๆ ส่วนโฟลเอ็มทําหน้าที่ ลําเลียงอาหารที่ได้จากการ สังเคราะห์ ด้วยแสงมีทิศทางลําเลียงจากบริเวณที่มีการ สังเคราะห์ด้วยแสงไปสู่ส่วนต่างๆของพืช 11.อธิบายการสบื พันธ์ุแบบอาศัยเพศและไม่ พชื ดอกทุกชนดิ สามารถสบื พันธแ์ุ บบอาศยั เพศได้และบาง อาศยั เพศของพชื ดอก ชนดิ สามารถสืบพนั ธ์แุ บบไม่อาศัยเพศได้ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 17 ชน้ั ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 12. อธิบายลักษณะโครงสรา้ งของดอกท่มี ีส่วนทาํ การสืบพันธุ์แบบอาศยั เพศเป็นการสืบพันธ์ุท่มี กี ารผสม ให้เกิดการถ่ายเรณู รวมท้ังบรรยาย การปฏิสนธิ กันของสเปริ ์มกบั เซลล์ไข่ การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของ ของพชื ดอก การเกิดผลและเมลด็ การกระจาย พืชดอกเกดิ ขนึ้ ที่ดอก โดยภายในอับเรณูของส่วนเกสรเพศ เมลด็ และการงอกของเมลด็ ผู้มีเรณู ซงึ่ ทาํ หน้าท่ี สรา้ งสเปิรม์ ภายในออวุลของส่วน 13. ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของสตั ว์ที่ช่วยในการ เกสรเพศเมียมีถุงเอ็มบรโิ อ ทําหน้าท่ีสร้างเซลล์ไข่ ถ่ายเรณขู องพืชดอก โดยการไมท่ าํ ลายชวี ิตของ การสืบพันธุ์แบบไมอ่ าศัยเพศเป็นการสืบพันธ์ุทพี่ ืชตน้ สัตวท์ ชี่ ว่ ยในการถ่ายเรณู ใหม่ไมไ่ ด้เกิดจากการปฏิสนธิ ระหว่างสเปริ ์มกับเซลล์ไข่ แต่เกิดจากส่วนต่างๆของพืช เช่น ราก ลําตน้ ใบมีการ เจรญิ เติบโตและพัฒนาขึ้นมาเปน็ ต้นใหม่ได้ การถ่ายเรณู คือ การเคล่ือนย้ายของเรณูจากอับเรณไู ป ยังยอดเกสรเพศเมียซ่งึ เก่ยี วขอ้ งกบั ลักษณะและโครงสร้าง ของดอก เช่น สีของกลีบดอก ตําแหน่งของเกสรเพศผู้และ เกสรเพศเมีย โดยมสี ิ่งท่ีชว่ ยในการถ่ายเรณู เชน่ แมลง ลม การถ่ายเรณูจะนาํ ไปสู่การปฏสิ นธิซ่ึงจะเกิดข้ึนทถี่ ุง เอม็ บริโอภายในออวุล หลังการปฏสิ นธจิ ะได้ไซโกตและ เอนโดสเปริ ม์ ไซโกต จะพฒั นาตอ่ ไปเป็นเอม็ บรโิ อ ออวลุ พัฒนาไปเป็นเมล็ดและรังไข่พฒั นาไปเป็นผล ผลและเมล็ดมกี ารกระจายออกจากต้นเดิมโดยวิธีการ ตา่ งๆ เมอื่ เมลด็ ไปตกในสภาพแวดล้อมท่ี เหมาะสมจะเกิด การงอกของเมล็ดโดยเอ็มบริโอภาย ในเมล็ดจะเจริญออก มาโดยระยะ แรกจะอาศัยอาหารที่สะสมภายในเมล็ด จนกระทั่งใบแทพ้ ัฒนาจนสามารถสังเคราะหด์ ว้ ยแสงได้ เตม็ ทแี่ ละสร้างอาหารได้เองตามปกติ 14. อธิบายความสําคัญของธาตุอาหารบางชนิดท่ี พืชตอ้ งการธาตุอาหารทีจ่ ําเปน็ หลายชนดิ ในการเจรญิ มผี ลต่อการเจริญเติบโตและการดาํ รงชีวิตของพืช เตบิ โตและการดาํ รงชีวิต 15. เลือกใชป้ ยุ๋ ทมี่ ธี าตุอาหารเหมาะสมกบั พืชใน พืชตอ้ งการธาตอุ าหารบางชนดิ ในปรมิ าณมาก ไดแ้ ก่ สถานการณท์ ี่กาํ หนด ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซยี ม แคลเซียม แมกนีเซียม และกาํ มะถนั ซึ่งในดนิ อาจมีไม่เพยี งพอสาํ หรบั การเจรญิ เตบิ โตของพชื จงึ ต้องมกี ารให้ธาตอุ าหารในรูปของปุ๋ยกับ พืชอยา่ งเหมาะสม 16. เลือกวธิ ีการขยายพันธุพ์ ืชใหเ้ หมาะสมกบั มนุษยส์ ามารถนําความรเู้ ร่อื งการสืบพนั ธุ์แบบ อาศยั ความต้องการของมนุษยโ์ ดยใช้ความรู้เก่ยี วกบั การ เพศและไมอ่ าศยั เพศ มาใช้ในการขยายพันธเุ์ พอื่ เพิม่ สืบพนั ธุข์ องพืช จาํ นวนพชื เชน่ การใชเ้ มลด็ ทีไ่ ด้จากการสบื พนั ธุ์แบบ 17. อธบิ ายความสําคัญของเทคโนโลยีการ อาศัยเพศมาเพาะ เล้ยี ง วิธกี ารนี้จะไดพ้ ืชในปรมิ าณมาก เพาะเลี้ยงเน้ือเยื่อพชื ในการใชป้ ระโยชนด์ ้านตา่ งๆ แตอ่ าจมีลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งไปจากพอ่ แมส่ ว่ นการตอนกิง่ 18. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องการขยายพนั ธพ์ุ ืช การปกั ชํา การต่อก่ิง การติดตาการทาบกิ่ง การเพาะ โดยการนาํ ความรไู้ ปใช้ในชีวิตประจาํ วัน เลย้ี งเนื้อเย่ือ เปน็ การนําความรเู้ รื่องการสบื พนั ธ์ุแบบไม่ อาศัยเพศของพชื มาใชใ้ นการขยายพันธ์ุ เพ่ือให้ไดพ้ ืชท่มี ี ลักษณะเหมอื นต้นเดิม ซ่ึงการขยายพันธุ์แตล่ ะวธิ ี มีขั้น ตอนแตกตา่ งกนั จงึ ควรเลือกใหเ้ หมาะ สมกบั ความ ตอ้ งการของมนุษย์โดยตอ้ งคาํ นงึ ถงึ ชนดิ ของพชื และ ลกั ษณะการสบื พนั ธุข์ องพืช หลักสูตรกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 18 ชน้ั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.1 เทคโนโลยกี ารเพาะเลี้ยงเน้ือเย่อื พืชเป็นการนํา ความร้เู ก่ียวกบั ปจั จัยท่จี าํ เปน็ ตอ่ การเจริญ เตบิ โตของ พชื มาใชใ้ นการเพ่ิมจาํ นวนพืชและทําให้พชื สามารถ เจรญิ เตบิ โตได้ในหลอดทดลอง ซ่งึ จะได้พชื จาํ นวนมาก ในระยะเวลาสน้ั และสามารถนาํ เทคโนโลยกี ารเพาะ เลี้ยง เน้ือเยอื่ มาประยุกตเ์ พือ่ การอนุรกั ษ์พันธุกรรม พืช ปรับปรงุ พันธุพ์ ชื ท่ีมคี วามสาํ คัญทางเศรษฐกิจ การผลิตยาและสารสาํ คัญในพชื และอื่น ๆ ม.2 1. ระบุอวยั วะและบรรยายหน้าทีข่ องอวยั วะท่ี ระบบหายใจมีอวัยวะต่างๆท่เี กยี่ วข้อง ได้แก่ จมกู เกย่ี วขอ้ งในระบบหายใจ ทอ่ ลม ปอด กะบังลม และกระดูกซโี่ ครง 2. อธบิ ายกลไกการหายใจเขา้ และออก โดยใช้ มนษุ ยห์ ายใจเขา้ เพ่อื นาํ แกส๊ ออกซิเจนเขา้ สู่ร่างกาย แบบจําลองรวมท้ังอธบิ ายกระบวนการแลกเปลย่ี น เพอ่ื นาํ ไปใชใ้ นเซลล์และหายใจออก เพื่อกาํ จัดแก๊ส แก๊ส คาร์บอนไดออกไซดอ์ อกจากร่างกาย 3. ตระหนกั ถงึ ความสาํ คญั ของระบบหายใจ โดยการ อากาศเคล่ือนทีเ่ ขา้ และออกจากปอดได้ เน่อื งจาก บอกแนวทางในการดแู ลรักษาอวยั วะในระบบหายใจ การเปล่ยี นแปลงปริมาตรและความดันของอากาศ ใหท้ ํางานเปน็ ปกติ ภายในช่องอกซง่ึ เกีย่ วข้องกับการทาํ งานของกะบังลม และกระดกู ซี่โครง การแลกเปลย่ี นแก๊สออกซเิ จนกับแกส๊ คารบ์ อนได ออกไซดใ์ นรา่ งกาย เกดิ ขน้ึ บริเวณถุงลมในปอดกบั หลอดเลอื ดฝอยท่ีถงุ ลมและระหว่างหลอดเลอื ดฝอย กบั เนื้อเยื่อ การสบู บุหร่ี การสูดอากาศท่มี ีสารนเปือ้ นและการ เป็นโรคเกี่ยวกบั ระบบหายใจบางโรคอาจทําให้เกิดโรค ถุงลมโป่งพอง ซึง่ มีผลให้ความจุอากาศของปอดลดลง ดังนัน้ จึงควรดูแลรักษาระบบหายใจใหท้ าํ หนา้ ท่ีเป็น ปกติ 4.ระบอุ วัยวะและบรรยายหนา้ ท่ีของอวัยวะ ระบบขบั ถา่ ยมอี วัยวะทเี่ กย่ี วขอ้ ง คือ ไต ท่อไต ในระบบขบั ถา่ ยในการกําจดั ของเสยี ทางไต กระเพาะปสั สาวะและท่อปัสสาวะ โดยมีไตทําหนา้ ท่ี กาํ จดั ของเสีย เช่น ยูเรียแอมโมเนีย กรดยูริก รวมทงั้ สารทรี่ า่ งกายไมต่ อ้ งการออกจากเลอื ดและควบคุมสาร ทม่ี ีมากหรือนอ้ ยเกนิ ไป เชน่ นา้ํ โดยขบั ออกมาในรปู ของปัสสาวะ 5. ตระหนกั ถงึ ความสําคญั ของระบบขับถ่ายในการ การเลือกรบั ประทานอาหารที่เหมาะสม เชน่ กําจดั ของเสียทางไต โดยการบอกแนวทางในการ รับประทานอาหารทไี่ มม่ รี สเคม็ จัด การดืม่ น้ําสะอาด ปฏิบัตติ นทช่ี ่วยใหร้ ะบบขับถา่ ยทําหนา้ ทีไ่ ด้อย่าง ให้เพียงพอ เปน็ แนวทางหนึง่ ท่ชี ว่ ยใหร้ ะบบขับถา่ ยทาํ ปกติ หนา้ ทไี่ ด้อยา่ งปกติ ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดประกอบด้วย 6. บรรยายโครงสรา้ งและหน้าทขี่ องหวั ใจ หลอด หวั ใจ หลอดเลือดและเลือด เลือดและเลือด หวั ใจของมนษุ ย์แบ่งเปน็ 4 ห้อง ไดแ้ กห่ วั ใจห้องบน 7. อธิบายการททํางานของระบบหมนุ เวยี นเลอื ดโดย 2 ห้องและห้องลา่ ง 2 หอ้ งระหว่างหวั ใจหอ้ งบนและ ใชแ้ บบจําลอง หวั ใจหอ้ งล่างมีล้ินหวั ใจกนั้ หลอดเลือดแบ่งเป็น หลอดเลือดอาร์เตอรี หลอด เลอื ดเวน หลอดเลอื ดฝอย ซ่ึงมีโครง สรา้ งต่างกัน หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หน้า 19 ชน้ั ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.2 เลือด ประกอบดว้ ย เซลลเ์ มด็ เลือดเพลตเลตและ พลาสมา การบีบและคลายตัวของหวั ใจทาํ ให้เลอื ดหมนุ เวยี น และลาํ เลยี งสารอาหาร แกส๊ ของเสียและสารอื่นๆไป ยงั อวยั วะและเซลลต์ า่ งๆ ท่วั รา่ งกาย เลือดทมี่ ีปริมาณแกส๊ ออกซิเจนสูงจะออกจากหัวใจไป ยังเซลล์ตา่ งๆทว่ั รา่ งกายขณะเดยี วกนั แก๊สคาร์บอนได ออกไซด์จากเซลล์จะแพร่เข้าสู่เลือดและลาํ เลยี งกลับเข้า สู่หวั ใจและถูกส่งไปแลกเปลี่ยนแก๊สท่ปี อด 8. ออกแบบการทดลองและทดลองในการเปรียบ ชีพจรบอกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ ซึ่งอตั ราการ เทียบอตั ราการเต้นของหัวใจขณะปกติและหลงั ทาํ เตน้ ของหวั ใจในขณะปกตแิ ละหลงั จากทาํ กิจกรรม กจิ กรรม ต่างๆ จะแตกต่างกนั สว่ น 9. ตระหนกั ถึงความสําคัญของระบบหมุนเวยี นเลอื ด ความดันเลือด ระบบหมุนเวียนเลอื ดเกิดจาก โดย การบอกแนวทางในการดแู ลรักษาอวัยวะใน การทาํ งานของหวั ใจและหลอดเลือด ระบบหมุนเวียนเลือดใหท้ ํางานเปน็ ปกติ อัตราการเตน้ ของหวั ใจมคี วามแตกต่างกันในแต่ละ 10. ระบอุ วยั วะและบรรยายหน้าทีข่ องอวยั วะใน บุคคล คนทีเ่ ปน็ โรคหวั ใจและหลอดเลือดจะส่งผลทํา ระบบประสาทสว่ นกลางในการควบคมุ การทาํ งาน ใหห้ วั ใจสูบฉีดเลอื ดไมเ่ ปน็ ปกติ ตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย การออกกาํ ลงั กาย การเลือกรบั ประทานอาหาร การ 11. ตระหนักถงึ ความสาํ คญั ของระบบประสาทโดย พักผ่อนและการรกั ษาภาวะอารมณใ์ หเ้ ปน็ ปกติ จึงเป็น การบอกแนวทางในการดูแลรักษา รวมถงึ การป้อง ทางเลอื กหน่ึงในการดแู ลรกั ษาระบบหมนุ เวียนเลือด กันการกระทบกระเทือนและอันตรายตอ่ สมองและ ใหเ้ ปน็ ปกติ ไขสนั หลงั ระบบประสาทส่วนกลางประกอบดว้ ยสมองและไข สนั หลงั จะทําหน้าทร่ี ว่ มกับเส้นประสาทซ่งึ เปน็ ระบบ ประสาทรอบนอกในการควบคุมการทํางานของอวยั วะ ต่างๆรวมถึงการแสดงพฤติกรรม เพื่อการตอบสนอง ต่อส่ิงเร้า เม่ือมีสง่ิ เร้ามากระต้นุ หนว่ ยรับความรสู้ กึ จะเกิด กระแสประสาทสง่ ไปตามเซลล์ประสาทรับความรสู้ ึก ไปยงั ระบบประสาทส่วนกลางแลว้ สง่ กระแสประสาท มาตามเซลลป์ ระสาทสง่ั การ ไปยังหนว่ ยปฏิบตั ิงาน เชน่ กล้ามเนื้อ ระบบประสาทเปน็ ระบบท่ีมีความซับซอ้ นและมี ความสมั พนั ธ์กบั ทกุ ระบบในรา่ งกายดงั นัน้ จงึ ควร ป้องกนั การเกดิ อบุ ตั เิ หตทุ ี่กระทบกระเทือนตอ่ สมอง หลีกเล่ียงการใชส้ ารเสพตดิ หลีกเลีย่ งภาวะเครยี ดและ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อดูแลรักษาระบบ ประสาทให้ทํางานเปน็ ปกติ 12. ระบอุ วยั วะและบรรยายหนา้ ท่ีของอวยั วะใน ระบบสบื พันธุ์ของเพศชายและเพศหญิงโดยใช้แบบ จาํ ลอง หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 20 ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง 13. อธบิ ายผลของฮอรโ์ มนเพศชายและเพศหญิงที่ มนษุ ย์มรี ะบบสืบพันธุท์ ีป่ ระกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ท่ี ควบคุมการเปล่ยี นแปลงของร่างกายเมอ่ื เข้าสูว่ ยั ทําหน้าท่เี ฉพาะ โดยรังไขใ่ นเพศหญิงจะทําหน้าท่ีผลติ หนมุ่ สาว เซลลไ์ ข่ ส่วนอัณฑะในเพศชายจะทําหน้าท่ีสรา้ งเซลล์ 14. ตระหนักถึงการเปลยี่ นแปลงของร่างกายเม่อื เขา้ อสุจิ สู่วยั หนุม่ สาวโดยการดแู ลรักษาร่างกายและจติ ใจ ฮอร์โมนเพศทําหนา้ ท่คี วบคมุ การแสดงออกของ ของตนเองในช่วงทมี่ ีการเปลย่ี นแปลง ลักษณะทางเพศท่ีแตกต่างกัน เมอื่ เขา้ สู่วยั หน่มุ สาวจะ 15. อธบิ ายการตกไข่ การมีประจําเดอื นการปฏสิ นธิ มีการสร้างเซลล์ไขแ่ ละเซลลอ์ สจุ กิ ารตกไขก่ ารมรี อบ และการพฒั นาของไซโกตจนคลอดเป็นทารก เดอื น และถา้ มีการปฏสิ นธิของเซลล์ไข่และเซลลอ์ สุจิ 16. เลือกวิธีการคมุ กําเนิดทเ่ี หมาะสมกับสถานการณ์ จะทาํ ใหเ้ กิดการต้ังครรภ์ ทกี่ ําหนด การมปี ระจําเดือนมคี วามสัมพันธก์ ับการตกไข่โดย 17. ตระหนักถึงผลกระทบของการตงั้ ครรภ์ เปน็ ผลจากการเปล่ยี นแปลงของระดับฮอร์โมนเพศ กอ่ นวัยอันควรโดยการประพฤตติ นให้เหมาะสม หญงิ เมือ่ เพศหญงิ มกี ารตกไข่และเซลลไ์ ข่ไดร้ ับการ ปฏสิ นธกิ ับเซลล์อสุจจิ ะทาํ ใหไ้ ดไ้ ซโกตไซโกตจะเจรญิ เปน็ เอ็มบริโอและฟีตัส จนกระ ท่ังคลอดเปน็ ทารก แต่ ถ้าไม่มีการปฏสิ นธิ เซลล์ไข่จะสลายตวั ผนงั ดา้ นใน มดลกู รวมทง้ั หลอดเลือดจะสลายตัวและหลุดลอกออก เรยี กวา่ ประจําเดือน การคุมกําเนดิ เป็นวิธปี อ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กิดการต้งั ครรภ์ โดยปอ้ งกนั ไมใ่ ห้เกิดการปฏสิ นธิหรือไม่ใหม้ กี ารฝงั ตวั ของเอ็มบรโิ อ ซึ่งมหี ลายวธิ ี เชน่ การใชถ้ งุ ยางอนามัย การกนิ ยาคมุ กําเนดิ ม.3 - - สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสําคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ วิวฒั นาการของส่งิ มชี ีวติ รวมท้งั นาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชัน้ ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 - - ม.2 - - ม.3 1. อธิบายความสมั พันธ์ระหว่าง ยนี ดเี อ็นเอและ ลกั ษณะทางพันธกุ รรมของสงิ่ มีชวี ติ สามารถถา่ ย ทอด โครโมโซมโดยใชแ้ บบจาํ ลอง จากรุ่นหนง่ึ ไปยงั อกี รุ่นหนงึ่ ได้ โดยมยี ีนเปน็ หน่วย ควบคุมลกั ษณะทางพนั ธุกรรม โครโมโซมประกอบด้วยดเี อน็ เอและโปรตีนขดอย่ใู น นิวเคลียส ยีน ดีเอน็ เอและโครโมโซมมคี วามสัมพันธ์กัน โดยบางส่วนของดีเอน็ เอทําหน้าทีเ่ ปน็ ยนี ท่กี าํ หนด ลักษณะของสง่ิ มชี วี ิต สิง่ มชี ีวติ ท่มี ีโครโมโซม 2 ชดุ โครโมโซมทเี่ ปน็ คกู่ ันมี การเรยี งลาํ ดับของยนี บนโครโมโซม เหมือนกนั เรยี กว่า ฮอมอโลกสั โครโมโซม ยนี หนง่ึ ท่ีอยบู่ นคู่ฮอมอโลกัส หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 21 ชัน้ ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.3 โครโมโซม อาจมีรปู แบบแตกตา่ งกัน เรียกแต่ละรูปแบบ ของยนี ท่ีต่างกนั น้วี า่ แอลลีล ซึ่งการเข้าคกู่ ันของแอลลลี ตา่ งๆ อาจสง่ ผลทาํ ให้ส่งิ มีชีวิตมีลกั ษณะท่ีแตกตา่ งกันได้ สงิ่ มีชีวติ แต่ละชนดิ มจี ํานวนโครโมโซมคงที่ มนุษย์ มจี าํ นวนโครโมโซม 23 คเู่ ป็นออโตโซม 22 คู่ และ โครโมโซมเพศ 1 คู่ เพศหญิงมีโครโมโซมเพศ เปน็ XX เพศชายมีโครโมโซมเพศเปน็ XY 2. อธบิ ายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ กรรม เมนเดลได้ศึกษาการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม จากการผสมโดยพิจารณาลกั ษณะเดยี วทแี่ อลลีล ของต้นถว่ั ชนดิ หน่ึงและนาํ มาสูห่ ลกั การพ้ืนฐานของการ เดน่ ข่มแอลลลี ด้อยอย่างสมบูรณ์ ถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสิง่ มีชวี ิต 3. อธบิ ายการเกดิ จีโนไทป์และฟโี นไทปข์ องลูก ส่ิงมชี วี ติ ท่มี ีโครโมโซมเป็น 2 ชุด ยนี แตล่ ะตาํ แหน่ง และคํานวณอัตราส่วนการเกดิ จีโนไทปแ์ ละฟีโน บนฮอมอโลกสั โครโมโซมมี 2 แอลลีล โดยแอลลีลหน่งึ ไทปข์ องรุ่นลูก มาจากพ่อและอีกแอลลลี มาจากแม่ ซง่ึ อาจมรี ูปแบบ เดยี วกันหรือแตกต่างกนั แอลลลี ท่แี ตกตา่ งกนั นี้ แอลลีล หนึ่งอาจมกี ารแสดงออกข่มอีกแอลลีลหนึ่งไดเ้ รียกแอล ลีลนน้ั วา่ เป็นแอลลลี เดน่ ส่วนแอลลลี ท่ถี ูกข่มอยา่ ง สมบรู ณ์ เรียกว่า เปน็ แอลลลี ด้อย เมอื่ มกี ารสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธ์ุ แอลลลี ทีเ่ ปน็ ค่กู ันในแต่ ละฮอมอโลกสั โครโมโซมจะแยกจากกนั ไปส่เู ซลล์สบื พันธ์ุแต่ละเซลล์ โดยแต่ละเซลลส์ ืบพันธจ์ุ ะได้รับเพยี ง 1 แอลลีลและจะมาเขา้ คกู่ ับแอลลีลท่ตี าํ แหน่งเดยี วกันของ อีกเซลล์สืบพนั ธุ์หน่ึงเมื่อเกิดการปฏสิ นธิจนเกดิ เป็นจโี น ไทป์และแสดงฟโี นไทปใ์ นรุ่นลูก 4. อธบิ ายความแตกตา่ งของการแบ่งเซลลแ์ บบไม กระบวนการแบ่งเซลลข์ องสง่ิ มชี วี ิตมี 2 แบบ คือ ไม โทซิสและไมโอซิส โทซสิ และไมโอซิส ไมโทซสิ เป็นการแบ่งเซลลเ์ พ่อื เพมิ่ จาํ นวนเซลล์ รา่ งกาย ผลจากการแบง่ จะไดเ้ ซลลใ์ หม่ 2 เซลล์ทมี่ ี ลกั ษณะและจาํ นวนโครโมโซมเหมอื นเซลล์ตัง้ ต้น ไมโอซิส เป็นการแบง่ เซลลเ์ พื่อสร้างเซลล์สืบพนั ธ์ุ ผล จากการแบง่ จะได้เซลล์ใหม่ 4เซลล์ ท่มี ีจาํ นวนโครโมโซม เป็นคร่ึงหนง่ึ ของเซลล์ตงั้ ต้น เมอ่ื เกิดการปฏสิ นธขิ อง เซลลส์ บื พันธุ์ ลกู จะไดร้ ับการถ่ายทอดโครโมโซมชดุ หนึ่ง จากพอ่ และอีกชุดหนง่ึ จากแมจ่ งึ เปน็ ผลใหร้ ่นุ ลูกมี จาํ นวน โครโมโซมเทา่ กบั รนุ่ พ่อแม่และจะคงทใ่ี นทุกๆ รนุ่ 5. บอกได้วา่ การเปล่ยี นแปลงของยีนหรอื การเปลย่ี นแปลงของยีนหรือโครโมโซมส่งผลใหเ้ กดิ โครโมโซมอาจทําให้เกิดโรคทางพันธกุ รรมพร้อม การเปล่ียนแปลงลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสงิ่ มชี วี ติ เชน่ ทั้งยกตวั อยา่ งโรคทางพันธุกรรม โรคธาลัสซีเมียเกิดจากการเปลยี่ นแปลงของยนี กลุ่ม 6. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องความรเู้ ร่อื งโรคทาง อาการดาวน์เกิดจากการเปลีย่ นแปลงจํานวนโครโมโซม พันธกุ รรม โดยรูว้ า่ ก่อนแตง่ งานควรปรึกษาแพทย์ โรคทางพันธุกรรมสามารถถา่ ยทอดจากพอ่ แมไ่ ปสลู่ กู เพ่อื ตรวจและวนิ จิ ฉยั ภาวะเส่ียงของลูกทีอ่ าจเกิด ได้ ดังนั้นก่อนแต่งงานและมีบตุ รจงึ ควรป้องกัน โดยการ โรคทางพันธกุ รรม ตรวจและวินจิ ฉัยภาวะเสย่ี งจากการถา่ ยทอดโรคทาง พันธุกรรม หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 22 ชน้ั ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 7. อธิบายการใช้ประโยชนจ์ ากสง่ิ มีชวี ิตดดั แปร มนุษย์เปลีย่ นแปลงพนั ธุกรรมของสิ่งมีชวี ติ ตาม พันธุกรรม และผลกระทบทอ่ี าจมีต่อมนุษยแ์ ละ ธรรมชาติ เพื่อใหไ้ ด้ส่งิ มีชวี ิตท่ีมลี ักษณะตามตอ้ งการ ส่งิ แวดลอ้ ม โดยใชข้ อ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ เรยี กส่งิ มชี วี ิตนว้ี า่ ส่ิงมชี วี ติ ดัดแปรพันธกุ รรม 8. ตระหนกั ถึงประโยชน์และผลกระทบของสงิ่ มชี ีวิต ในปัจจุบันมนุษยม์ กี ารใชป้ ระโยชน์จากส่งิ มีชีวิตดดั ดดั แปรพันธกุ รรมทีอ่ าจมีต่อมนุษย์และสิง่ แวดลอ้ ม แปรพันธุกรรมเปน็ จาํ นวนมากเชน่ การผลิตอาหาร โดยการเผยแพรค่ วามร้ทู ไี่ ดจ้ ากการโต้แยง้ ทาง การผลิตยารกั ษาโรคการเกษตร อยา่ งไรก็ดสี งั คมยังมี วทิ ยาศาสตร์ ซึ่งมีขอ้ มูลสนับสนุน ความกงั วลเก่ียวกบั ผลกระทบของส่ิงมชี ีวิตดัดแปร พนั ธุกรรมท่มี ีต่อสงิ่ มีชวี ิตและสง่ิ แวดล้อม ซง่ึ ยงั ทําการ ติดตามศึกษาผลกระทบดงั กลา่ ว ม.3 9. เปรียบเทียบความหลากหลายทางชวี ภาพ ความหลากหลายทางชวี ภาพ มี 3 ระดบั ได้แก่ ในระดบั ชนดิ ส่งิ มชี วี ิตในระบบนิเวศต่างๆ ความหลากหลายของระบบนิเวศความหลากหลายของ 10. อธบิ ายความสาํ คญั ของความหลากหลายทาง ชนิดสงิ่ มีชีวิตและความหลากหลายทางพันธกุ รรม ชวี ภาพทีม่ ีต่อการรกั ษาสมดุลของระบบนิเวศและ ต่ ความหลากหลายทางชีวภาพน้ีมีความสําคัญต่อการ อมนุษย์ รกั ษาสมดลุ ของระบบนเิ วศ ระบบนเิ วศท่มี ีความลาก 11.แสดงความตระหนักในคุณค่าและความสาํ คัญ หลายทางชวี ภาพสูงจะรักษาสมดุลไดด้ ีกวา่ ระบบนิเวศ ของความหลากหลายทางชีวภาพโดยมีสว่ นร่วมใน ท่มี ีความหลากหลายทางชวี ภาพตา่ํ กวา่ นอกจากนี้ การดแู ลรกั ษาความหลาก หลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชวี ภาพยังมีความสาํ คญั ต่ อมนุษย์ในดา้ นตา่ งๆ เชน่ ใชเ้ ปน็ อาหาร ยา รักษาโรค วัตถุดบิ ในอุตสาหกรรมต่างๆ ดงั นัน้ จงึ เป็น หนา้ ที่ของทกุ คนในการดแู ลรักษาความหลากหลาย ทางชีวภาพให้คงอยู่ สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ิของ สสารกบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งอนุภาค หลกั และธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของ สสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.1 1. อธิบายสมบัตทิ างกายภาพบางประการของธาตุ ธาตแุ ต่ละชนดิ มสี มบัติเฉพาะตัวและมสี มบัตทิ าง โลหะ อโลหะ และกึง่ โลหะ โดยใช้หลักฐานเชิง กายภาพบางประการเหมอื นกนั และบางประการ ประจักษท์ ่ไี ด้จากการสงั เกตและการทดสอบและใช้ ตา่ งกนั ซึง่ สามารถนํามาจัดกล่มุ ธาตุ เป็นโลหะ อโลหะ สารสนเทศทไ่ี ดจ้ ากแหล่งขอ้ มูลตา่ งๆ รวมท้ังจดั กลมุ่ และกงึ่ โลหะ ธาตุโลหะมจี ดุ เดอื ด จดุ หลอมเหลวสูงมี ธาตเุ ป็นโลหะ อโลหะและกึ่งโลหะ ผิวมนั วาวนาํ ความร้อน นําไฟฟ้า ดงึ เป็นเสน้ หรอื ตีเปน็ แผน่ บางๆ ได้และมคี วามหนาแนน่ ท้งั สงู และตา่ํ ธาตุ อโลหะมีจุดเดอื ด จดุ หลอมเหลวตาํ่ มีผวิ ไมม่ นั วาวไม่ นาํ ความร้อน ไมน่ ําไฟฟา้ เปราะ แตกหกั งา่ ยและมี ความหนาแน่นตา่ํ ธาตุก่ึงโลหะมสี มบตั ิบางประการ เหมือนโลหะและสมบตั ิบางประการเหมือนอโลหะ 2.วิเคราะห์ผลจากการใชธ้ าตโุ ลหะ อโลหะกงึ่ โลหะ ธาตุโลหะ อโลหะ และก่งึ โลหะทสี่ ามารถแผ่รงั สไี ด้ และธาตุกัมมันตรงั สี ทีม่ ตี ่อสิ่งมี ชวี ิต สงิ่ แวดล้อม จดั เปน็ ธาตุกัมมนั ตรงั สี เศรษฐกจิ และสังคมจากขอ้ มูลที่รวบรวมได้ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 23 ช้นั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 3. ตระหนกั ถงึ คุณคา่ ของการใช้ธาตโุ ลหะอโลหะ ธาตมุ ีทั้งประโยชนแ์ ละโทษ การใชธ้ าตโุ ลหะ กง่ึ โลหะ ธาตกุ ัมมันตรงั สี โดยเสนอแนวทางการใช้ อโลหะ ก่งึ โลหะ ธาตกุ ัมมนั ตรงั สีควรคาํ นงึ ถึง ธาตุอย่างปลอดภยั คุ้มค่า ผลกระทบตอ่ สิ่งมชี ีวิตสง่ิ แวดลอ้ ม เศรษฐกิจและสงั คม 4. เปรยี บเทียบจุดเดือด จดุ หลอมเหลวของสาร สารบรสิ ุทธปิ์ ระกอบดว้ ยสารเพยี งชนดิ เดยี ว สว่ น บริสทุ ธแิ์ ละสารผสม โดยการวัดอุณหภมู ิ เขียน สารผสมประกอบดว้ ยสารต้งั แต่ 2 ชนดิ ข้นึ ไป สาร กราฟ แปลความหมายขอ้ มูลจากกราฟ หรือ บริสุทธแ์ิ ต่ละชนดิ มสี มบตั บิ างประการที่เปน็ คา่ เฉพาะ สารสนเทศ ตัว เชน่ จุดเดอื ดและจดุ หลอมเหลวคงทแี่ ต่สารผสมมี จดุ เดอื ดและจุดหลอมเหลวไมค่ งท่ี ขน้ึ อยกู่ บั ชนดิ และ สัดส่วนของสารทผ่ี สมอย่ดู ว้ ยกัน 5. อธบิ ายและเปรียบเทียบความหนาแนน่ ของสาร สารบริสทุ ธิ์แตล่ ะชนิดมีความหนาแนน่ หรอื บริสทุ ธ์ิและสารผสม มวลตอ่ หนง่ึ หนว่ ยปรมิ าตรคงที่ เปน็ ค่าเฉพาะ 6. ใชเ้ ครือ่ งมือเพือ่ วดั มวลและปรมิ าตรของ ของสารนัน้ ณ สถานะและอุณหภมู ิหนงึ่ แต่ สารผสม สารบรสิ ุทธแ์ิ ละสารผสม มีความหนาแนน่ ไมค่ งทข่ี นึ้ อยกู่ บั ชนดิ และสัดสว่ นของ สารที่ผสมอยดู่ ว้ ยกนั 7. อธบิ ายเกย่ี วกบั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอะตอม ธาตุ สารบรสิ ุทธแิ์ บ่งออกเปน็ ธาตุและสารประกอบ ธาตุ และสารประกอบ โดยใช้แบบจําลองและสารสนเทศ ประกอบด้วยอนุภาคท่ีเลก็ ที่สุดทย่ี ังแสดงสมบตั ิของ ธาตุนนั้ เรยี กว่า อะตอม ธาตแุ ตล่ ะชนิดประกอบด้วย อะตอมเพียงชนิดเดียวและไม่สามารถแยกสลายเปน็ สารอน่ื ได้ด้วยวิธีทางเคมี ธาตเุ ขยี นแทนด้วยสัญลกั ษณ์ ธาตสุ ารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตุตงั้ แต่ 2 ชนิด ขึ้นไป รวมตวั กันทางเคมีในอตั ราสว่ นคงทม่ี ีสมบัติ แตกตา่ งจากธาตทุ ี่เปน็ องคป์ ระกอบสามารถแยกเป็น ธาตไุ ด้ด้วยวธิ ีทางเคมธี าตแุ ละสารประกอบสามารถ เขยี นแทนได้ด้วยสตู รเคมี 8. อธิบายโครงสร้างอะตอมทีป่ ระกอบดว้ ยโปรตอน อะตอมประกอบด้วยโปรตอน นวิ ตรอนและ นิวตรอนและอิเล็กตรอน โดยใช้แบบจําลอง อเิ ล็กตรอน โปรตอนมปี ระจไุ ฟฟา้ บวกธาตุชนดิ เดยี ว กนั มจี าํ นวนโปรตอนเทา่ กนั และเปน็ คา่ เฉพาะของธาตุ นั้น นิวตรอนเป็นกลางทางไฟฟ้า สว่ นอิเลก็ ตรอนมี ประจไุ ฟฟา้ ลบเมือ่ อะตอมมีจาํ นวนโปรตอนเทา่ กบั จาํ นวนอิเลก็ ตรอนจะเป็นกลางทางไฟฟ้า โปรตอนและ นวิ ตรอนรวมกันตรงกลางอะตอมเรียกวา่ นิวเคลียส ส่วนอเิ ลก็ ตรอนเคลอื่ นท่ีอยู่ในทว่ี า่ งรอบนวิ เคลียส 9. อธบิ ายและเปรียบเทยี บการจดั เรียงอนภุ าค สสารทกุ ชนิดประกอบดว้ ยอนภุ าคโดยสารชนดิ แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าคและกาเคลอื่ นทีข่ อง เดียวกันที่มีสถานะของแขง็ ของเหลวแก๊ส จะมี อนุภาคของสสารชนิดเดยี วกันในสถานะของแข็ง การจัดเรยี งอนภุ าค แรงยึดเหน่ียวระหวา่ งอนุภาค ของเหลวและแกส๊ โดยใชแ้ บบจําลอง การเคลอื่ นทขี่ องอนุภาคแตกต่างกัน ซง่ึ มีผลต่อรูปร่าง และปรมิ าตรของสสาร อนุภาคของของแข็งเรียงชดิ กนั มแี รงยดึ เหน่ียว ระหวา่ งอนภุ าคมากทส่ี ดุ อนภุ าคสั่นอย่กู บั ท่ที าํ ให้มี รูปรา่ งและปรมิ าตรคงท่ี หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 24 ชั้น ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.1 อนุภาคของของเหลวอยู่ใกลก้ ัน มีแรงยึดเหนีย่ ว ระหว่างอนุภาคนอ้ ยกว่าของแขง็ แตม่ ากกว่าแกส๊ อนุภาคเคล่อื นท่ีไดแ้ ตไ่ ม่เปน็ อสิ ระ เทา่ แกส๊ ทําให้มี รปู ร่างไม่คงท่แี ตป่ รมิ าตรคงที่ อนุภาคของแก๊สอยูห่ า่ งกันมาก มแี รงยึดเหนย่ี ว ระหว่างอนุภาคนอ้ ยทีส่ ดุ อนุภาคเคลอ่ื นทไ่ี ดอ้ ยา่ ง อสิ ระทุกทิศทางทําใหม้ รี ูปร่างและปรมิ าตรไมค่ งท่ี 10. อธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งพลังงานความร้อน ความรอ้ นมีผลต่อการเปลย่ี นสถานะของสสารเมือ่ กับการเปลี่ยนสถานะของสสารโดยใช้หลักฐานเชงิ ใหค้ วามร้อนแกข่ องแข็ง อนุภาคของของแข็งจะมี ประจักษ์และแบบจาํ ลอง พลังงานและอุณหภูมเิ พิ่มขนึ้ จนถึง ระดบั หน่งึ ซงึ่ ของ แข็งจะใช้ความรอ้ นในการเปล่ยี นสถานะเป็นของเหลว เรียกความรอ้ นทีใ่ ชใ้ นการเปลี่ยนสถานะจากของแข็ง เปน็ ของเหลววา่ ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว และอุณหภมู ขิ ณะเปล่ียนสถานะจะคงที่ เรยี กอณุ หภมู ิ นว้ี ่า จดุ หลอมเหลว เม่อื ให้ความรอ้ นแก่ของเหลว อนภุ าคของของเหลว จะมีพลังงานและอุณหภมู เิ พ่ิมข้นึ จน ถึงระดบั หน่ึงซง่ึ ของเหลวจะใช้ความรอ้ นในการเปลี่ยนสถานะเป็นแกส๊ เรยี กความร้อนท่ใี ช้ในการเปล่ียนสถานะจากของเหลว เป็นแกส๊ วา่ ความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอและ อณุ หภมู ิขณะเปลีย่ นสถานะจะคงทีเ่ รยี กอณุ หภมู ินวี้ า่ จดุ เดอื ด เม่อื ทําให้อณุ หภูมขิ องแกส๊ ลดลงจนถงึ ระดบั หน่งึ แก๊สจะเปลยี่ นสถานะเป็นของเหลวเรยี กอุณหภมู ิน้ีวา่ จดุ ควบแนน่ ซง่ึ มอี ณุ หภมู ิเดยี วกับจุดเดือดของของ เหลวน้นั เมื่อทาํ ใหอ้ ุณหภูมิของของเหลวลดลงจนถึงระดบั หนึง่ ของเหลวจะเปล่ียนสถานะเป็นของ แขง็ เรียก อณุ หภมู นิ วี้ ่า จดุ เยือกแข็ง ซ่งึ มอี ุณหภมู ิ เดียวกบั จดุ หลอมเหลวของของแขง็ นัน้ ม.2 1. อธิบายการแยกสารผสมโดยการระเหยแหง้ การ การแยกสารผสมใหเ้ ป็นสารบริสทุ ธิท์ ําได้หลายวิธี ตกผลึก การกล่ันอย่างงา่ ยโครมาโทกราฟีแบบ ขน้ึ อยู่กบั สมบตั ิของสารนัน้ ๆ การระเหยแห้งใช้แยก กระดาษ การสกัดดว้ ย ตวั ทําละลาย โดยใชห้ ลกั ฐาน สารละลายซ่ึงประกอบด้วยตัวละลายทีเ่ ปน็ ของแขง็ ใน เชิงประจักษ์ ตัวทาํ ละลายท่เี ป็นของเหลว โดยใชค้ วามรอ้ นระเหย 2. แยกสารโดยการระเหยแห้งการตกผลกึ การกลน่ั ตัวทําละลาย ออกไปจนหมดเหลอื แตต่ วั ละลายการตก อยา่ งง่าย โครมาโทกราฟแี บบกระดาษ การสกัดด้วย ผลกึ ใชแ้ ยกสารละลายท่ีประกอบดว้ ยตัวละลายท่เี ป็น ตัวทาํ ละลาย ของแข็งในตัวทาํ ละลายท่ีเป็นของเหลวโดยทําใหส้ าร ละลายอ่ิมตวั แล้วปลอ่ ยให้ตวั ทาํ ละลายระเหยออกไป บางส่วน ตัวละลายจะตกผลึกแยกออกมาการกล่ัน อย่างง่าย ใช้แยกสารละลายทป่ี ระกอบด้วยตวั ละลาย และตวั ทาํ ละลายท่เี ปน็ ของเหลวทีม่ ีจดุ เดอื ดตา่ งกัน มาก วิธนี ี้จะแยกของเหลวบริสทุ ธิ์ออกจากสารละลาย หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 25 ชนั้ ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.2 โดยให้ความร้อนกับสารละลายของเหลวจะเดอื ดและ กลายเป็นไอ แยกจากสารละลายแล้วควบแนน่ กลบั เปน็ ของเหลวอีกครงั้ ขณะที่ของเหลวเดือดอณุ หภมู ขิ องไอจะ คงที่โครมาโทกราฟีแบบกระดาษเปน็ วธิ ีการแยกสารผสมท่ีมี ปริมาณน้อยโดยใชแ้ ยกสารทมี่ สี มบัตกิ ารละลายในตัวทาํ ละลายและการถูกดดู ซับดว้ ยตวั ดูดซบั แตกตา่ งกนั ทําใหส้ าร แต่ละชนดิ เคลื่อนที่ไปบนตวั ดดู ซับได้ต่างกนั สารจึงแยกออก จากกันได้ อัตราสว่ นระหว่างระยะทางทีส่ ารองค์ ประกอบ แตล่ ะชนดิ เคล่อื นที่ไดบ้ นตวั ดูดซับกบั ระยะทางท่ีตัวทาํ ละลายเคล่อื นท่ีไดเ้ ป็นค่าเฉพาะตวั ของสารแต่ละชนดิ ในตวั ทาํ ละลาย และตัวดดู ซบั หน่ึงๆ การสกัดด้วยตวั ทาํ ละลาย เป็นวธิ ีการแยกสารผสมท่มี สี มบตั ิการละลายในตัวทาํ ละลาย ที่ตา่ งกันโดยชนิดของตวั ทาํ ละลายมผี ลต่อชนิดและปรมิ าณ ของสารท่ีสกัดได้ การสกดั โดยการกลน่ั ด้วยไอนํา้ ใชแ้ ยกสาร ทรี่ ะเหยง่ายไม่ละลายนา้ํ และไม่ทาํ ปฏกิ ิริยากบั นํ้าออกจาก สารท่รี ะเหยยากโดยใชไ้ อนา้ํ เป็นตัวพา 3. นําวธิ ีการแยกสารไปใช้แก้ปัญหาใน ความร้ดู า้ นวิทยาศาสตรเ์ ก่ียวกับการแยกสาร ชีวติ ประจําวันโดยบูรณาการวิทยาศาสตร์ บรู ณาการกับคณิตศาสตร์เทคโนโลยี โดยใช้กระบวนการทาง คณติ ศาสตร์เทคโนโลยีและวศิ วกรรมศาสตร์ วิศวกรรมสามารถนําไปใช้แก้ปญั หาในชีวิตประจาํ วัน หรอื ปัญหาทีพ่ บในชมุ ชนหรอื สร้างนวัตกรรมโดยมีข้นั ตอนดังนี้ ระบปุ ัญหาในชีวิตประจาํ วนั ที่เกีย่ วกบั การแยกสารโดยใช้ สมบัตทิ างกายภาพหรอื นวัตกรรมท่ตี ้องการพฒั นา โดยใช้ หลักการดงั กล่าว รวบรวมขอ้ มูลและแนวคดิ เก่ียวกบั การแยกสาร โดยใช้ สมบตั ทิ างกายภาพทสี่ อดคล้องกับปญั หาทรี่ ะบหุ รอื นาํ ไปสู่ การพฒั นานวตั กรรมน้นั ออกแบบวิธกี ารแก้ปญั หาหรือพฒั นานวตั กรรมท่ีเก่ียวกับ การแยกสารในสารผสมโดยใชส้ มบตั ิทางกายภาพ โดย เช่อื มโยงความรู้ด้านวทิ ยาศาสตร์คณิตศาสตร์เทคโนโลยีและ กระบวนการทางวศิ วกรรม รวมท้งั กาํ หนดและควบคมุ ตัว แปรอย่างเหมาะสมครอบคลุม วางแผนและดาํ เนินการแก้ปัญหา หรอื พฒั นา นวัตกรรม รวบรวมขอ้ มลู จดั กระทาํ ข้อมลู และเลือกวธิ กี าร สื่อความหมายท่เี หมาะสมในการนําเสนอผล ทดสอบ ประเมินผล ปรับปรงุ วธิ กี ารแกป้ ัญหา หรือ นวัตกรรมทีพ่ ัฒนาขึ้น โดยใช้หลกั ฐาน เชงิ ประจกั ษ์ที่ รวบรวมได้ นําเสนอวธิ กี ารแก้ปญั หา หรอื ผลของนวตั กรรมที่ พฒั นาขนึ้ และผลทีไ่ ด้ โดยใช้วธิ กี ารสื่อสารทเี่ หมาะสมและ นา่ สนใจ หลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หนา้ 26 ชั้น ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.2 4. ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธบิ ายผล สารละลายอาจมสี ถานะเปน็ ของแข็งของเหลวและ ของชนดิ ตวั ละลาย ชนดิ ตัวทําละลาย อณุ หภมู ทิ ีม่ ี แก๊ส สารละลายประกอบด้วยตัวทาํ ละลายและตวั ต่อสภาพละลายไดข้ องสาร รวมท้ังอธิบายผลของ ละลายกรณสี ารละลายเกดิ จากสารที่มีสถานะเดยี วกัน ความดนั ทม่ี ตี อ่ สภาพละลายไดข้ องสาร โดยใช้สาร สารท่มี ปี รมิ าณมากท่ีสดุ จดั เปน็ ตัวทาํ ละลาย กรณีสาร สนเทศ ละลายเกดิ จากสารทีม่ ีสถานะต่างกัน สารท่มี สี ถานะ เดียวกันกับสารละลายจัดเป็นตวั ทาํ ละลาย สารละลายทต่ี ัวละลายไม่สามารถละลายในตวั ทาํ ละลายได้อีกที่อุณหภมู หิ นง่ึ ๆ เรียกวา่ สารละลายอ่มิ ตัว สภาพละลายไดข้ องสารในตัวทําละลายเป็นคา่ ที่ บอกปรมิ าณของสารท่ีละลายได้ในตวั ทาํ ละลาย 100 กรัม จนไดส้ ารละลายอิ่มตวั ณ อุณหภมู ิและความดนั หนง่ึ ๆสภาพละลายได้ของสารบ่งบอกความสามารถใน การละลายได้ของตวั ละลายในตวั ทาํ ละลาย ซึ่งความ สามารถในการละลายของสารขึ้นอยกู่ ับชนดิ ของตวั ทํา ละลายและตวั ละลายอณุ หภูมิและความดนั สารชนิดหน่งึ ๆ มสี ภาพละลายไดแ้ ตกต่างกนั ในตัว ทําละลายที่แตกต่างกนั และสารตา่ งชนิดกัน มสี ภาพ ละลายได้ในตวั ทาํ ละลายหนึง่ ๆ ไมเ่ ท่ากัน เมอื่ อณุ หภมู ิสูงขึ้นสารสว่ นมาก สภาพละลายไดข้ อง สารจะเพ่มิ ขน้ึ ยกเว้นแก๊สเมอ่ื อณุ หภมู ิสูงข้ึน สภาพ การละลายได้จะลดลงสว่ นความดนั มผี ลตอ่ แกส๊ โดย เมือ่ ความดนั เพิม่ ขนึ้ สภาพละลายได้จะสูงขน้ึ ความรู้เก่ยี วกับสภาพละลายได้ของสารเม่ือเปล่ียน แปลงชนิดตัวละลาย ตัวทาํ ละลาย และอณุ หภูมิ สามารถนาํ ไปใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจําวัน เช่น การ ทาํ นา้ํ เช่ือมเข้มข้นการสกัดสารออกจากสมนุ ไพรใหไ้ ด้ ปริมาณมากทส่ี ุด 5. ระบปุ รมิ าณตวั ละลายในสารละลายในหนว่ ย ความเขม้ ข้นของสารละลายเป็นการระบุปริมาณตัว ความเขม้ ขน้ เปน็ รอ้ ยละปรมิ าตรต่อปริมาตรมวลตอ่ ละลายในสารละลาย หน่วยความเขม้ ขน้ มหี ลายหน่วย มวลและมวลตอ่ ปรมิ าตร ทนี่ ยิ มระบุเปน็ หนว่ ยเป็นรอ้ ยละปริมาตรตอ่ ปริมาตร 6. ตระหนักถึงความสําคญั ของการนาํ ความรู้เรอื่ ง มวลต่อมวลและมวลต่อปริมาตร ความเข้มขน้ ของสารไปใช้ โดยกตวั อยา่ งการใช้ รอ้ ยละโดยปริมาตรต่อปรมิ าตรเปน็ การระบปุ รมิ าตร สารละลายในชีวิต ประจาํ วนั อย่างถูกต้องและ ตัวละลายในสารละลาย 100 หนว่ ยปรมิ าตรเดียวกัน ปลอดภยั นยิ มใช้กบั สารละลายท่เี ปน็ ของเหลวหรอื แก๊ส รอ้ ยละโดยมวลต่อมวล เปน็ การระบมุ วล ตวั ละลาย ในสารละลาย 100 หนว่ ยมวลเดียวกันนยิ มใชก้ ับสาร ละลายทม่ี สี ถานะเปน็ ของแข็ง ร้อยละโดยมวลต่อปรมิ าตรเปน็ การระบุมวลตวั ละลาย ในสารละลาย 100 หน่วยปรมิ าตร นิยมใชก้ บั สาร ละลายท่มี ีตวั ละลายเปน็ ของแขง็ ในตวั ทําละลายทเ่ี ปน็ ของเหลว การใช้สารละลาย ในชวี ติ ประจําวนั ควรพจิ ารณา จากความเขม้ ขน้ ของสารละลายขน้ึ อยกู่ ับจดุ ประสงค์ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หน้า 27 ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ของการใช้งานและผลกระทบต่อสิง่ ชีวติ และ สง่ิ แวดลอ้ ม ม.3 1. ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชนว์ สั ดุ พอลเิ มอร์ เซรามกิ ส์และวัสดุผสมเป็นวัสดทุ ่ีใช้มาก ประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิกส์และวสั ดุผสมโดยใช้ ในชีวิตประจาํ วัน หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์และสารสนเทศ พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกลุ ใหญท่ เ่ี กดิ จาก โมเลกลุ จํานวนมากรวมตวั กนั ทางเคมี เช่น พลาสติก ยาง เส้นใย ซ่ึงเปน็ พอลิเมอร์ทีม่ ี สมบัติแตกต่างกัน โดยพลาสตกิ เป็นพอลิเมอร์ทข่ี นึ้ รปู เปน็ รูปทรงตา่ งๆได้ ยางยืดหยุ่นได้ สว่ นเส้นใยเปน็ พอลิเมอร์ทีส่ ามารถดงึ เป็นเสน้ ยาวได้ พอลเิ มอรจ์ งึ ใช้ประโยชนไ์ ดแ้ ตกตา่ งกัน เซรามิกส์เปน็ วสั ดทุ ่ีผลติ จากดนิ หนิ ทรายและแร่ ธาตุต่างๆ จากธรรมชาติ และสว่ นมากจะผา่ นการเผาที่ อณุ หภูมสิ งู เพอ่ื ให้ไดเ้ นอ้ื สารที่แข็งแรง เซรามิกส์ สามารถทาํ เป็นรูปทรงตา่ งๆได้ สมบตั ทิ ั่วไปของเซรามิ กส์จะแข็ง ทนต่อการสึกกรอ่ น และเปราะ สามารถนํา ไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ภาชนะท่ีเปน็ เคร่ืองปั้นดนิ เผา ชิน้ ส่วนอเิ ล็กทรอนิกส์ วัสดผุ สมเปน็ วัสดุที่เกดิ จากวัสดตุ ้งั แต่ 2 ประเภทท่ีมี สมบตั แิ ตกตา่ งกันมารวมตวั กันเพื่อนาํ ไปใช้ประโยชน์ ได้มากข้ึนเช่น เสอื้ กันฝนบางชนดิ เปน็ วสั ดผุ สม ระหวา่ งผ้ากบั ยางคอนกรีตเสรมิ เหล็กเป็นวสั ดผุ สม ระหว่างคอนกรีตกับเหลก็ วัสดบุ างชนดิ สลายตัวยาก เช่น พลาสติกการใชว้ สั ดุ อย่างฟุ่มเฟอื ยและไมร่ ะมดั ระวงั อาจกอ่ ปัญหาต่อ สิ่งแวดล้อม 3. อธบิ ายการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี รวมถงึ การจดั เรยี ง การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีหรือการเปล่ยี นแปลงทางเคมี ตัวใหม่ของอะตอมเม่อื เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี โดยใช้แบบ ของสาร เป็นการเปล่ียนแปลงท่ที าํ ใหเ้ กิดสารใหม่ จําลองและสมการขอ้ ความ โดยสารทีเ่ ข้าทําปฏกิ ริ ิยา เรยี กวา่ สารตั้งต้น สารใหม่ ทเ่ี กิดขึน้ จากปฏกิ ริ ยิ าเรยี กว่า ผลิตภณั ฑ์ การเกิด ปฏิกริ ิยาเคมีสามารถเขียนแทนได้ดว้ ยสมการข้อความ การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีอะตอมของสารตั้งต้นจะมกี าร จดั เรียงตัวใหม่ไดเ้ ป็นผลิตภณั ฑ์ ซ่งึ มีสมบตั แิ ตกต่าง จากสารตง้ั ต้น โดยอะตอมแต่ละชนิด ก่อนและหลงั เกิดปฏิกิรยิ าเคมมี ีจํานวนเทา่ กัน 4. อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ เมอื่ เกิดปฏิกิรยิ าเคมี มวลรวมของสารตงั้ ตน้ เท่ากบั มวลรวมของผลิตภณั ฑ์ ซ่งึ เปน็ ไปตามกฎทรงมวล 5. วิเคราะหป์ ฏกิ ริ ยิ าดดู ความรอ้ น และปฏกิ ิริยาคาย เม่ือเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี มีการถา่ ยโอนความรอ้ นควบคู่ ความรอ้ น จากการเปลยี่ นแปลงพลังงานความร้อน ไปกบั การจดั เรียงตวั ใหม่ของอะตอมของสาร ปฏิกิรยิ า ของปฏิกิริยา ท่มี กี ารถา่ ยโอนความร้อนจากสิ่งแวดลอ้ มเขา้ สูร่ ะบบ เป็นปฏกิ ิริยาดดู ความรอ้ น ปฏิกริ ยิ าท่มี ีการถา่ ยโอน หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 28 ช้ัน ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.3 ความร้อนจากระบบออกสสู่ ิง่ แวดลอ้ มเปน็ ปฏกิ ริ ยิ า คายความรอ้ น โดยใชเ้ คร่อื งมอื ทเี่ หมาะสมในการวดั อณุ หภูมิ เชน่ เทอรม์ อมเิ ตอร์ หวั วัดท่สี ามารถ ตรวจสอบ การเปลย่ี นแปลงของอุณหภมู ไิ ด้อยา่ ง ต่อเน่ือง 6. อธบิ ายปฏิกริ ยิ าการเกดิ สนิมของเหล็กปฏิกริ ิยา ปฏกิ ิรยิ าเคมที ่ีพบในชีวติ ประจําวนั มีหลายชนิด ของกรดกบั โลหะ ปฏกิ ิริยาของกรดกับเบส และ เชน่ ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ การเกิดสนมิ ของเหล็ก ปฏกิ ริ ิยาของเบสกบั โลหะ โดยใช้หลักฐานเชิง ปฏกิ ริ ิยาของกรดกบั โลหะปฏิกิริยาของกรดกบั เบส ประจักษแ์ ละอธิบายปฏิกริ ิยาการเผาไหม้ การเกิด ปฏิกิริยาของเบสกบั โลหะ การเกิดฝนกรดการสังเคราะห์ ฝนกรด การสังเคราะห์ดว้ ยแสง โดยใช้สารสนเทศ ด้วยแสง ปฏิกริ ยิ าเคมีสามารถเขียนแทนได้ดว้ ยสมการ รวมท้ังเขยี นสมการขอ้ ความแสดงปฏิกิริยาดังกลา่ ว ข้อความ ซึง่ แสดงช่ือของสารต้ังต้นและผลติ ภณั ฑ์ เช่น เชือ้ เพลิง + ออกซเิ จน _ คาร์บอนไดออกไซด์ + น้าํ ปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้ เป็นปฏกิ ิรยิ าระหวา่ งสารกับออกซิเจนสารทเ่ี กดิ ปฏิกิรยิ าการเผาไหม้สว่ นใหญ่เป็นสารประกอบท่ีมี คาร์บอนและไฮโดรเจนเปน็ องค์ประกอบ ซ่ึงถ้าเกดิ การเผาไหมอ้ ย่างสมบรู ณ์จะได้ผลติ ภัณฑ์เป็นคารบ์ อน ไดออกไซด์และน้าํ การเกิดสนิมของเหล็กเกดิ จากปฏกิ ิริยาเคมีระหว่าง เหลก็ นํ้า และออกซเิ จนได้ผลิตภณั ฑ์เปน็ สนิมของ เหล็ก ปฏิกิริยาการเผาไหม้และการเกดิ สนมิ ของเหล็กเป็น ปฏกิ ริ ยิ าระหวา่ งสารตา่ งๆ กับออกซเิ จน ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกับโลหะ กรดทาํ ปฏิกริ ิยากับโลหะ ไดห้ ลายชนดิ ไดผ้ ลิตภัณฑ์เปน็ เกลือของโลหะและแก๊ส ไฮโดรเจน ปฏกิ ริ ิยาของกรดกบั สารประกอบคาร์บอเนตได้ ผลติ ภณั ฑเ์ ปน็ แกส๊ คารบ์ อน ไดออกไซด์ เกลอื ของ โลหะและน้าํ ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกับเบส ไดผ้ ลิตภัณฑเ์ ป็นเกลือของ โลหะและนาํ้ หรอื อาจได้เพยี งเกลอื ของโลหะ ปฏิกริ ยิ าของเบสกับโลหะบางชนิด ได้ผลิตภณั ฑเ์ ป็น เกลอื ของเบสและแกส๊ ไฮโดรเจน การเกิดฝนกรด เป็นผลจากปฏิกริ ยิ าระหวา่ งน้าํ ฝน กับออกไซด์ของไนโตรเจนหรอื ออกไซด์ของซัลเฟอร์ ทาํ ให้นาํ้ ฝนมสี มบตั ิเป็นกรด การสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช เป็นปฏิกริ ิยาระหว่าง แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์กบั นา้ํ โดยมีแสงชว่ ยในการ เกิดปฏิกริ ิยาได้ผลิตภณั ฑเ์ ป็นน้ําตาลกลโู คสและ ออกซิเจน หลักสตู รกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 29 ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.3 7. ระบุประโยชน์และโทษของปฏกิ ริ ิยาเคมที ่ีมตี ่อ ปฏิกริ ิยาเคมที ่ีพบในชีวติ ประจําวัน มที ้ังประโยชน์ สิง่ มีชีวติ และสง่ิ แวดล้อมและยก ตัวอยา่ งวิธีการ และโทษต่อสิ่งมีชีวติ และสงิ่ แวดลอ้ มจงึ ต้องระมดั ระวัง ป้องกนั และแก้ปัญหาทีเ่ กิดจากปฏิกิริยาเคมีทพ่ี บ ผลจากปฏกิ ิรยิ าเคมี ตลอดจนรู้จกั วธิ ีปอ้ งกันและ ในชีวิตประจําวันจากการสืบคน้ ขอ้ มลู แกป้ ัญหาที่เกิดจากปฏกิ ริ ิยาเคมที พ่ี บในชีวิตประจําวัน 8. ออกแบบวิธแี กป้ ัญหาในชีวิตประจําวันโดยใช้ ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิรยิ าเคมสี ามารถนาํ ไปใช้ประโยชน์ ความรู้เก่ยี วกบั ปฏกิ ริ ยิ าเคมี โดยบรู ณาการวิทยาศาสตร์ ในชวี ิตประจําวนั และสามารถบรู ณาการกับคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยแี ละวิศวกรรมศาสตร์ เพ่ือใช้ปรบั ปรุง ผลติ ภณั ฑใ์ ห้มคี ณุ ภาพตามต้องการหรอื อาจสรา้ ง นวัตกรรมเพือ่ ป้องกันและแกป้ ญั หาที่เกิดขนึ้ จาก ปฏกิ ิริยาเคมี โดยใช้ความรเู้ กี่ยวกับปฏิกิรยิ าเคมี เชน่ การเปลี่ยนแปลงพลงั งานความรอ้ นอนั เน่ืองมาจาก ปฏกิ ริ ยิ าเคมี การเพ่ิมปริมาณผลผลติ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หน้า 30 สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงในชีวติ ประจาํ วนั ผลของแรงทีก่ ระทําตอ่ วตั ถุ ลกั ษณะ การเคลือ่ นทแ่ี บบตา่ งๆ ของวัตถุ รวมทง้ั นําความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. สรา้ งแบบจาํ ลองทอี่ ธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหว่าง เมื่อวตั ถอุ ยู่ในอากาศจะมแี รงทอ่ี ากาศกระทําต่อวัตถุ ความดนั อากาศกับความสงู จากพื้นโลก ในทกุ ทศิ ทางแรงทีอ่ ากาศกระทาํ ต่อวตั ถุข้ึนอย่กู ับขนาด พน้ื ท่ขี องวัตถุนน้ั แรงท่อี ากาศกระทําตั้งฉากกบั ผวิ วัตถุ ต่อหนึง่ หนว่ ยพนื้ ท่ีเรยี กวา่ ความดนั อากาศ ความดนั อากาศมีความสมั พนั ธ์กบั ความสงู จากพ้ืนโลก โดยบรเิ วณท่สี งู จากพน้ื โลกขนึ้ ไปอากาศเบาบางลงมวล อากาศน้อยลงความดนั อากาศกจ็ ะลดลง ม.2 1. พยากรณ์การเคล่ือนทขี่ องวตั ถุท่เี ป็นผลของแรง แรงเป็นปรมิ าณเวกเตอรเ์ มอ่ื มีแรงหลายๆแรงกระทาํ ลพั ธท์ เี่ กิดจากแรงหลายแรงท่ีกระทาํ ต่อวตั ถใุ นแนว ต่อวัตถุ แลว้ แรงลพั ธ์ทีก่ ระทาํ ตอ่ วัตถมุ ีค่าเปน็ ศูนย์ วตั ถุ เดยี วกันจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ จะไม่เปลีย่ นแปลงการเคล่ือนท่ี แตถ่ า้ แรงลัพธท์ ก่ี ระทํา 2. เขยี นแผนภาพแสดงแรงและแรงลพั ธ์ทีเ่ กิดจาก ต่อวตั ถมุ คี า่ ไมเ่ ปน็ ศูนย์วัตถจุ ะเปล่ียนแปลงการเคลื่อนท่ี แรงหลายแรงท่ีกระทําตอ่ วตั ถุในแนวเดียวกนั 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวธิ ีที่เหมาะสม เมอ่ื วตั ถุอยใู่ นของเหลวจะมแี รงทข่ี องเหลวกระทาํ ตอ่ ในการอธิบายปัจจยั ที่มผี ลต่อความดนั ของของเหลว วตั ถใุ นทุกทิศทาง โดยแรงท่ขี องเหลวกระทาํ ตงั้ ฉากกับ ผิววัตถตุ ่อหนง่ึ หน่วยพนื้ ท่ีเรยี กวา่ ความดันของ ของเหลว ความดันของของเหลวมีความสัมพนั ธก์ ับความลกึ จาก ระดับผิวหน้าของของเหลว โดยบริเวณทีล่ กึ ลงไปจาก ระดับผิวหน้าของของ เหลวมากขึน้ ความดนั ของ ของเหลวจะเพม่ิ ขึน้ เน่ืองจากของเหลวท่ีอยูล่ ึกกว่าจะมี น้ําหนกั ของของเหลวด้านบนกระทํามากกว่า 4. วเิ คราะห์แรงพยุงและการจม การลอยของวัตถุใน เมื่อวัตถุอยใู่ นของเหลวจะมแี รงพยุง เน่ืองจากของ ของเหลวจากหลักฐานเชิงประจักษ์ เหลวกระทาํ ต่อวตั ถุ โดยมที ิศขน้ึ ในแนวดง่ิ การจมหรอื 5. เขยี นแผนภาพแสดงแรงทีก่ ระทาํ ต่อวัตถุ การลอยของวัตถุขึน้ กบั นํ้า หนักของวัตถุและแรงพยุง ในของเหลว ถ้านา้ํ หนกั ของวตั ถุและแรงพยงุ ของของเหลวมคี ่าเทา่ กัน วัตถุจะลอยน่งิ อยูใ่ นของเหลว แต่ถา้ นาํ้ หนักของวตั ถุมี คา่ มากกว่าแรงพยงุ ของของเหลววัตถุจะจม 6. อธิบายแรงเสยี ดทานสถติ และแรงเสยี ดทานจลน์ แรงเสยี ดทานเปน็ แรงทีเ่ กดิ ข้นึ ระหว่างผวิ สมั ผัสของ จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ วัตถุ เพอ่ื ตา้ นการเคลอื่ นท่ขี องวัตถุน้ัน โดยถา้ ออกแรง กระทําตอ่ วตั ถทุ ่อี ยู่นงิ่ บนพืน้ ผวิ ให้เคลอ่ื นที่ แรงเสียด ทานกจ็ ะต้านการเคล่อื นทขี่ องวัตถุ แรงเสยี ดทานท่ี เกดิ ข้ึนในขณะทวี่ ัตถยุ ังไมเ่ คลอื่ นท่เี รยี ก แรงเสยี ดทาน สถิต แตถ่ ้าวัตถุกําลงั เคลือ่ นที่แรงเสียดทานก็จะทําให้ วตั ถุนั้นเคลื่อนท่ชี า้ ลงหรอื หยดุ นิ่ง เรยี กแรงเสียดทาน จลน์ 7. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวธิ ีท่ี ขนาดของแรงเสยี ดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ เหมาะสมในการอธบิ ายปัจจยั ทีม่ ผี ลตอ่ ขนาด ข้ึนกบั ลักษณะผวิ สัมผัสและขนาดของแรงปฏกิ ิริยาต้งั ของแรงเสียดทาน ฉากระหว่างผวิ สัมผัส หลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หนา้ 31 ชนั้ ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.2 8. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสยี ดทานและแรงอนื่ ๆ ที่ กจิ กรรมในชวี ติ ประจาํ วันบางกิจกรรมตอ้ ง การแรง กระทาํ ตอ่ วตั ถุ เสยี ดทาน เชน่ การเปดิ ฝาเกลียวขวดนํ้า การใชแ้ ผน่ กัน 9. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรเู้ รอ่ื งแรงเสยี ด ลื่นในห้องนํา้ บางกจิ กรรมไมต่ ้องการแรงเสียดทาน เชน่ ทานโดยวิเคราะห์สถานการณป์ ัญหาและเสนอแนะ การลากวัตถบุ นพ้ืนการใชน้ ้ํามนั หลอ่ ล่ืนในเคร่ืองยนต์ วธิ ีการลดหรอื เพ่ิมแรงเสยี ดทานที่เป็นประโยชน์ต่อ การทํากิจกรรมในชวี ิตประจําวัน ความรู้เรือ่ งแรงเสยี ดทานสามารถนําไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจําวนั ได้ 10. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธที เ่ี หมาะสม เมือ่ มแี รงทก่ี ระทําต่อวตั ถโุ ดยไมผ่ า่ นศูนย์ กลางมวล ในการอธิบายโมเมนต์ของแรงเม่อื วตั ถุอยใู่ นสภาพ ของวตั ถุ จะเกิดโมเมนต์ของแรงทําใหว้ ตั ถหุ มุนรอบ สมดุลต่อการหมนุ และคาํ นวณโดยใช้สมการ M=Fl ศูนย์กลางมวลของวัตถนุ ั้น โมเมนต์ของแรงเปน็ ผลคูณของแรงที่กระทาํ ตอ่ วัตถุ กับระยะทางจากจดุ หมนุ ไปตัง้ ฉากกบั แนวแรง เม่อื ผลรวมของโมเมนตข์ องแรงมีค่าเป็นศูนยว์ ัตถุจะอย่ใู น สภาพสมดลุ ต่อการหมนุ โดยโมเมนตข์ องแรงในทิศทวน เข็มนาฬิกาจะมขี นาดเทา่ กบั โมเมนตข์ องแรงในทศิ ตาม เข็มนาฬิกา ของเลน่ หลายชนดิ ประกอบด้วยอปุ กรณห์ ลายส่วนท่ี ใช้หลักการโมเมนตข์ องแรงความรู้เรือ่ งโมเมนต์ของแรง สามารถนําไปใช้ออกแบบและประดษิ ฐข์ องเล่นได 11. เปรียบเทยี บแหลง่ ของสนามแมเ่ หล็ก วัตถุทม่ี ีมวลจะมสี นามโน้มถว่ งอยู่โดยรอบแรงโน้มถว่ ง สนามไฟฟ้าและสนามโน้มถว่ งและทิศทาง ทกี่ ระทาํ ตอ่ วตั ถุทอี่ ยู่ในสนามโนม้ ถ่วงจะมีทิศพุ่งเขา้ หา ของแรงทีก่ ระทาํ ตอ่ วัตถทุ ี่อยู่ในแตล่ ะสนาม วัตถุทเ่ี ป็นแหล่งของสนามโนม้ ถว่ ง จากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ 12. เขียนแผนภาพแสดงแรงแมเ่ หลก็ แรงไฟฟ้าและ วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าจะมสี นามไฟฟ้าอย่โู ดย รอบแรง แรงโนม้ ถ่วงท่ีกระทําต่อวตั ถุ ไฟฟ้าท่กี ระทาํ ตอ่ วัตถุท่ีมปี ระจจุ ะมีทศิ พงุ่ เข้าหาหรอื ออกจากวัตถุทีม่ ีประจุท่ีเป็นแหล่งของสนามไฟฟ้า วตั ถุท่เี ปน็ แมเ่ หลก็ จะมีสนามแมเ่ หลก็ อยโู่ ดย รอบแรง แมเ่ หลก็ ทก่ี ระทาํ ต่อข้วั แมเ่ หล็กจะมีทศิ พ่งุ เขา้ หาหรอื ออกจากขวั้ แมเ่ หล็กทเี่ ปน็ แหล่งของสนามแม่เหลก็ 13. วิเคราะห์ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งขนาดของแรง ขนาดของแรงโน้มถว่ งแรงไฟฟ้าและแรงแม่เหล็กที่ แม่เหล็ก แรงไฟฟ้าและแรงโนม้ ถ่วงทีก่ ระทําต่อวตั ถุ กระทาํ ตอ่ วตั ถุทอ่ี ย่ใู นสนามนั้นๆจะมคี ่าลดลงเม่ือวตั ถุ ทอ่ี ยูใ่ นสนามนั้นๆกบั ระยะห่างจากแหล่งของสนาม อยหู่ า่ งจากแหลง่ ของสนามน้ันๆ มากขนึ้ ถงึ วตั ถุจากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ 14. อธิบายและคํานวณอตั ราเร็วและความเร็วของ การเคลอ่ื นทขี่ องวัตถุเปน็ การเปลี่ยนตาํ แหน่งของวตั ถุ การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุโดยใชส้ มการ เทียบกบั ตําแหนง่ อ้างองิ โดยมปี รมิ าณทเ่ี ก่ียวข้องกับการ เคลื่อนทีซ่ ง่ึ มที ้ังปรมิ าณ สเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ เชน่ ระยะทาง อตั ราเร็ว การกระจดั ความ เร็วปรมิ าณส เกลารเ์ ปน็ ปรมิ าณทมี่ ขี นาดเช่นระยะทางอัตราเร็ว จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ปริมาณเวกเตอรเ์ ป็นปรมิ าณทม่ี ีทง้ั ขนาดและทศิ ทาง 15. เขียนแผนภาพแสดงการกระจดั และความเร็ว เชน่ การกระจดั ความเร็ว เขียนแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอร์ได้ดว้ ยลกู ศรโดย ความยาวของลกู ศรแสดงขนาดและหวั ลูกศรแสดง ทศิ ทางของเวกเตอร์นัน้ ๆ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 32 ม.3 - ระยะทางเปน็ ปริมาณสเกลาร์ โดยระยะทางเป็นความ ยาวของเสน้ ทางทีเ่ คลือ่ นที่ได้ การกระจัดเป็นปรมิ าณเวกเตอร์โดยการกระจดั มที ศิ ชี้ จากตําแหน่งเริ่มต้นไปยงั ตาํ แหน่งสุดทา้ ยและมขี นาด เทา่ กบั ระยะท่สี ้ันที่สุดระหวา่ งสองตําแหน่งนนั้ อตั ราเรว็ เปน็ ปรมิ าณสเกลาร์ โดยอตั ราเรว็ เปน็ อตั ราสว่ นของระยะทางตอ่ เวลา ความเรว็ ปรมิ าณเวกเตอร์มที ิศเดียวกับทิศของการก ระจดั โดยความเร็วเปน็ อัตราส่วนของการกระจัดต่อเวลา - สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ยี นแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างสสารและพลงั งาน พลังงานในชวี ติ ประจําวัน ธรรมชาตขิ องคลน่ื ปรากฏการณท์ ่ี เกี่ยวข้องกับเสยี ง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ รวมทงั้ นาํ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.1 1. วิเคราะห์ แปลความหมายขอ้ มูล และคาํ นวณ เม่อื สสารได้รับหรือสูญเสยี ความรอ้ นอาจทาํ ให้สสาร ปริมาณความร้อนทที่ าํ ให้สสารเปลยี่ นอุณหภูมิ เปล่ยี นอณุ หภูมิ เปลย่ี นสถานะหรือเปลี่ยนรูปรา่ ง และเปลยี่ นสถานะ โดยใช้สมการ Q=mc∆t ปรมิ าณความร้อนที่ทําให้สสารเปล่ยี นอุณหภมู ิขนึ้ กับ และ Q=mL มวล ความร้อนจําเพาะและอณุ หภมู ทิ เ่ี ปลยี่ นไป 2. ใช้เทอรม์ อมเิ ตอร์ในการวัดอณุ หภูมิของสสาร ปริมาณความรอ้ นทท่ี ําใหส้ สารเปลย่ี นสถานะข้นึ กบั มวลและความร้อนแฝงจําเพาะโดยขณะท่สี สารเปลยี่ น สถานะ อณุ หภูมิจะไมเ่ ปลยี่ นแปลง 3. สรา้ งแบบจําลองทอี่ ธบิ ายการขยายตวั หรอื หด ความร้อนทําให้สสารขยายตัวหรือหดตัวได้ เนือ่ งจาก ตัวของสสารเนอื่ งจากไดร้ บั หรือสูญเสียความรอ้ น เมอ่ื สสารได้รบั ความรอ้ นจะทําใหอ้ นุภาคเคลอื่ นทีเ่ รว็ ขนึ้ 4. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องความรู้ของการหดและ ทําให้เกิดการขยายตัวแตเ่ มอ่ื สสารคายความร้อนจะทาํ ให้ ขยายตวั ของสสารเนื่องจากความร้อนโดยวเิ คราะห์ อนุภาคเคลอ่ื นทช่ี า้ ลงทําให้เกิดการหดตัว สถานการณ์ปัญหาและเสนอแนะวธิ กี ารนําความรู้ ความรู้เรือ่ งการหดและขยายตวั ของสสารเนื่องจาก มาแก้ปัญหาในชวี ิตประจาํ วัน ความรอ้ นนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ได้ด้านตา่ งๆ เช่น การสรา้ ง ถนน การสร้างรางรถไฟ การทาํ เทอร์มอมเิ ตอร์ 5. วเิ คราะหส์ ถานการณก์ ารถา่ ยโอนความร้อนและ ความรอ้ นถา่ ยโอนจากสสารทมี่ อี ุณหภมู สิ งู กวา่ ไปยงั คํานวณปรมิ าณความร้อนที่ถา่ ยโอนระหวา่ งสสาร สสารที่มีอณุ หภมู ิต่ํากว่าจนกระทั่งอุณหภมู ิของสสารทั้ง จนเกิดสมดุลความร้อนโดยใชส้ มการ สองเท่ากันสภาพท่สี สารทงั้ สองมอี ณุ หภูมเิ ทา่ กัน เรยี กว่า Q สญู เสยี = Qได้รบั สมดลุ ความร้อน เมอ่ื มีการถ่ายโอนความรอ้ นจากสสารทม่ี ีอุณหภูมิ ต่างกันจนเกดิ สมดุลความร้อนความรอ้ นท่เี พิม่ ขนึ้ ของ สสารหนงึ่ จะเท่ากับความรอ้ นทีล่ ดลงของอีกสสารหน่ึง ซ่งึ เป็นไปตามกฎการอนุรกั ษพ์ ลังงาน 6. สรา้ งแบบจําลองทอ่ี ธิบายการถา่ ยโอนความรอ้ น การถ่ายโอนความร้อนมี 3 แบบ คอื การนําความร้อน โดยการนาํ ความรอ้ น การพาความร้อนการแผร่ ังสี การพาความรอ้ นและการแผ่รังสีความรอ้ น การนําความรอ้ น ความรอ้ น เป็นการถา่ ยโอนความร้อนที่อาศัยตวั กลาง โดยที่ตัวกลาง หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 33 ช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.2 7. ออกแบบ เลือกใช้ และสรา้ งอปุ กรณ์ เพ่อื แก้ ไม่เคลอื่ นท่ี การพาความร้อนเปน็ การถ่ายโอนความรอ้ น ปญั หาในชีวิตประจําวนั โดยใช้ความรู้เก่ยี วกับการ ที่อาศัยตวั กลาง โดยท่ีตวั กลางเคลื่อนท่ไี ปด้วย ส่วนการ ถ่ายโอนความรอ้ น แผ่รังสคี วามร้อนเปน็ การถา่ ยโอนความรอ้ นทไี่ มต่ อ้ งอาศยั ตวั กลาง ความรู้เก่ียวกับการถ่ายโอนความรอ้ นสามารถ นําไปใช้ ประโยชน์ในชวี ิตประจําวันได้ เชน่ การเลอื กใชว้ ัสดุเพือ่ นํามาทําภาชนะบรรจุอาหาร เพอื่ เกบ็ ความร้อนหรือการ ออกแบบระบบระบายความรอ้ นในอาคาร 1. วิเคราะห์สถานการณแ์ ละคาํ นวณเกีย่ วกับงาน เมื่อออกแรงกระทําต่อวัตถุ แล้วทาํ ให้วตั ถุเคล่ือนท่ีโดย และกาํ ลังทีเ่ กิดจากแรงทีก่ ระทาํ ต่อวตั ถุโดยใช้ แรงอยใู่ นแนวเดียวกบั การเคลอ่ื นทีจ่ ะเกดิ งาน งานจะมี สมการจากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ ค่ามากหรอื นอ้ ยขน้ึ กบั ขนาดของแรงและระยะทางในแนว เดียวกบั แรง งานทท่ี าํ ในหน่ึงหน่วยเวลาเรียกวา่ กาํ ลังหลกั การของ 2. วิเคราะห์หลักการทาํ งานของเครื่องกลอย่างงา่ ย งานนําไปอธบิ ายการทาํ งานของเคร่อื งกลอย่างงา่ ย ไดแ้ ก่ จากขอ้ มูลที่รวบรวมได้ คาน พ้ืนเอียงรอกเดีย่ ว ลิ่ม สกรู ลอ้ และเพลา ซึ่งนาํ ไปใช้ 3. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรขู้ อง ประโยชน์ดา้ นตา่ งๆ ในชีวิตประจําวนั เครอื่ งกลอยา่ งงา่ ย โดยบอกประโยชน์ และการประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตประจาํ วนั 4. ออกแบบและทดลองดว้ ยวธิ ีทเี่ หมาะสมในการ พลงั งานจลน์เปน็ พลงั งานของวัตถุทีเ่ คลอ่ื น ทพี่ ลังงาน อธิบายปจั จยั ท่ีมีผลต่อพลังงานจลน์ และพลังงาน จลนจ์ ะมคี ่ามากหรือนอ้ ยขน้ึ กับมวลและอัตราเร็ว ส่วน ศักยโ์ น้มถว่ ง พลังงานศักยโ์ น้มถว่ งเกยี่ ว ข้องกบั ตําแหน่งของวตั ถุจะมี ค่ามากหรอื น้อยข้นึ กบั มวลและตําแหนง่ ของวตั ถุ เม่ือวัตถุ อยู่ในสนามโนม้ ถ่วง วตั ถุจะมีพลงั งานศักย์โนม้ ถว่ ง พลังงานกล 5. แปลความหมายข้อมูลและอธบิ ายการเปลี่ยน ผลรวมของพลังงานศักยโ์ น้มถ่วงและพลงั งานจลน์ เปน็ พลงั งานระหว่างพลงั งานศกั ย์โนม้ ถ่วงและพลังงาน พลังงานกล พลังงานศกั ยโ์ นม้ ถ่วงและพลังงานจลนข์ อง จลนข์ องวัตถุโดยพลังงานกลของวตั ถมุ ีค่าคงตัวจาก วัตถหุ น่งึ ๆสามารถเปล่ียนกลบั ไปมาได้ โดยผลรวมของ ขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ พลังงานศกั ย์โนม้ ถว่ งและพลังงานจลน์มีคา่ คงตัว นน่ั คอื พลังงานกลของวัตถุมคี า่ คงตวั 6. วเิ คราะห์สถานการณแ์ ละอธิบายการเปลย่ี นและ พลงั งานรวมของระบบมคี ่าคงตัวซึง่ อาจเปลยี่ นจาก การถ่ายโอนพลังงานโดยใช้ พลังงานหนง่ึ เปน็ อกี พลังงานหนง่ึ เชน่ พลังงานกลเปลย่ี น กฎการอนุรกั ษพ์ ลังงาน เป็นพลงั งานไฟฟา้ พลงั งานจลน์เปล่ยี นเปน็ พลังงานความ ร้อน พลังงานเสียง พลังงานแสงเนอื่ งมาจากแรง เสยี ด ทาน พลังงานเคมีในอาหารเปลี่ยนเปน็ พลังงานท่ีไปใช้ใน การทํางานของส่ิงมีชีวิต นอกจากน้ีพลงั งานยังสามารถถ่ายโอนไปยงั อกี ระบบ หน่งึ หรือไดร้ ับพลงั งานจากระบบอนื่ ได้ เช่น การถ่ายโอน ความรอ้ นระหว่างสสาร การถ่ายโอนพลังงานของการสน่ั ของแหลง่ กาํ เนดิ เสียงไปยงั ผูฟ้ งั ท้ังการเปลีย่ นพลงั งาน และการถ่ายโอนพลงั งาน พลังงานรวมทั้งหมดมคี ่าเทา่ เดิมตามกฎการอนุรกั ษ์พลงั งาน หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 34 ชัน้ ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.3 1.วเิ คราะห์ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความตา่ งศกั ย์ เม่ือต่อวงจรไฟฟา้ ครบวงจรจะมีกระแส ไฟฟ้าออกจาก กระแสไฟฟา้ และความต้านทานและคํานวณ ขว้ั บวกผ่านวงจรไฟฟา้ ไปยัง ขัว้ ลบของแหล่งกําเนิด ปรมิ าณทีเ่ กีย่ วข้องโดยใช้สมการV=IR จาก ไฟฟา้ ซึง่ วัดค่าไดจ้ ากแอมมเิ ตอร์ หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ คา่ ท่บี อกความแตกตา่ งของพลงั งานไฟฟ้าตอ่ หน่วย 2. เขยี นกราฟความสัมพนั ธร์ ะหว่างกระแส ไฟฟา้ ประจรุ ะหวา่ งจุด 2 จดุ เรยี กวา่ ความต่างศักย์ ซ่ึงวัดคา่ และความต่างศกั ย์ไฟฟา้ ไดจ้ ากโวลต์มิเตอร์ 3. ใช้โวลตม์ เิ ตอร์ แอมมิเตอรใ์ นการวดั ปริมาณทาง ขนาดของกระแสไฟฟา้ มีคา่ แปรผนั ตรงกบั ความตา่ ง ไฟฟา้ ศักยร์ ะหว่างปลายทั้งสองของตวั นาํ โดยอตั ราส่วนระหว่าง ความตา่ งศักย์และกระแสไฟฟา้ มีคา่ คงท่ี เรยี กคา่ คงทนี่ ้วี ่า ความต้านทาน 4. วเิ คราะห์ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วยแหล่งกําเนิดไฟฟ้าสายไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้าเมอ่ื ตอ่ ตวั ต้านทานหลายตัวแบบ และอุปกรณไ์ ฟฟา้ โดยอปุ กรณไ์ ฟฟา้ แต่ละชน้ิ มีความ อนกุ รมและแบบขนานจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ ต้านทานในการต่อตวั ตา้ นทานหลายตวั มีทัง้ ต่อแบบ 5. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดงการตอ่ ตวั อนุกรมและแบบขนาน ต้านทานแบบอนุกรมและขนาน การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนกุ รมในวงจรไฟฟ้า ความต่างศักย์ที่ครอ่ มตวั ต้านทานแตล่ ะตวั มีคา่ เท่ากับ ผลรวมของความต่างศกั ย์ที่คร่อมตวั ต้านทานแต่ละตัว โดยกระแส ไฟฟ้าท่ีผา่ นตัวต้านทานแตล่ ะตวั มีค่าเท่ากนั 6. บรรยายการทาํ งานของชิน้ ส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การต่อตวั ต้านทานหลายตัวแบบขนานในวงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ยในวงจรจากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ กระแสไฟฟ้าท่ีผ่านวงจรมคี า่ เท่ากับผลรวมของกระแสไฟฟา้ 7. เขยี นแผนภาพและต่อชน้ิ ส่วนอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ทผ่ี า่ นตวั ต้านทานแตล่ ะตวั โดยความต่างศกั ย์ท่คี รอ่ มตวั อยา่ งง่ายในวงจรไฟฟา้ ตา้ นทานแต่ละตัวมคี ่าเทา่ กัน ช้นิ สว่ นอเิ ล็กทรอนกิ ส์มหี ลายชนิดเช่น ตวั ต้านทานไดโอด ทรานซสิ เตอร์ ตัวเกบ็ ประจุ โดยชนิ้ สว่ นแต่ละชนิดทํา หน้าทแี่ ตกตา่ งกันเพอ่ื ให้วงจรทํางานได้ตามต้องการ ตวั ต้านทานทําหน้าทคี่ วบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าในวงจร ไฟฟ้าไดโอดทําหน้าทใ่ี หก้ ระแสไฟฟ้าผ่านทางเดยี ว ทรานซิสเตอร์ ทําหนา้ ที่เป็นสวิตช์ปิดหรือเปดิ วงจรไฟฟา้ และ ควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้า ตัวเกบ็ ประจุทําหน้าท่ีเก็บและ คายประจุไฟฟ้า 8. อธิบายและคํานวณพลังงานไฟฟา้ โดยใช้สมการ เคร่อื งใช้ไฟฟา้ จะมีคา่ กาํ ลงั ไฟฟา้ และความตา่ งศักย์ W=Pt รวมทง้ั คํานวณค่าไฟฟา้ ของ กํากับไว้กาํ ลังไฟฟา้ มหี น่วยเปน็ วัตต์ความตา่ งศักย์มหี น่วย เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ในบา้ น เป็นโวลต์ ค่าไฟฟ้าส่วนใหญค่ ดิ จากพลังงานไฟฟา้ ท่ีใช้ท้งั 9. ตระหนกั ในคุณค่าของการเลือกใช้เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้า หมด ซ่ึงหาได้จากผลคูณของกาํ ลังไฟฟ้าในหน่วยกิโลวัตตก์ บั โดยนําเสนอวิธีการใช้เครื่องใชไ้ ฟฟ้าอยา่ งประหยัด เวลาในหน่วยช่ัวโมงพลังงานไฟฟา้ มหี น่วยเปน็ กโิ ลวตั ต์ และปลอดภยั ช่วั โมงหรือหนว่ ย วงจรไฟฟ้าในบ้านมกี ารตอ่ เครอื่ งใช้ไฟฟ้าแบบขนาน เพ่อื ใหค้ วามต่างศกั ย์เท่ากนั การใช้เครอ่ื ง ใชไ้ ฟฟ้าใน ชีวิตประจําวนั ต้องเลือกใช้เคร่อื งใช้ ไฟฟา้ ทม่ี ีความตา่ ง ศักยแ์ ละกําลัง ไฟฟา้ ให้เหมาะกับการใชง้ านและการใช้ เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ และอปุ กรณ์ไฟฟา้ ต้องใช้อยา่ งถกู ต้อง ปลอดภยั และประหยดั หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หนา้ 35 ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.3 10. สรา้ งแบบจําลองทอี่ ธิบายการเกิดคล่ืนและ คลืน่ เกิดจากการสง่ ผา่ นพลงั งานโดยอาศัยตัวกลาง บรรยายสว่ นประกอบของคลน่ื และไมอ่ าศัยตัวกลางในคลนื่ กลพลงั งานจะถูกถา่ ยโอน ผ่านตัวกลางโดยอนุภาคของตวั กลางไมเ่ คล่อื นท่ีไปกบั คลนื่ คล่ืนท่ีแผ่ออกมาจากแหล่งกําเนดิ คล่ืนอย่างต่อเน่ือง และมรี ูปแบบที่ซํา้ กนั บรรยายได้ดว้ ยความยาวคลื่น ความถ่ี แอมพลจิ ดู 11. อธิบายคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ และสเปกตรมั คลืน่ คลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ เป็นคลน่ื ท่ีไมอ่ าศยั ตัวกลางในการ แม่เหลก็ ไฟฟา้ จากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ เคลือ่ นทีม่ คี วามถ่ตี ่อเนอื่ งเป็นช่วงกวา้ งมากเคลือ่ นท่ใี น 12. ตระหนักถึงประโยชนแ์ ละอันตรายจากคล่ืน สุญญากาศด้วยอัตราเร็วเทา่ กันแตจ่ ะเคล่อื นท่ีดว้ ยอัตรา แมเ่ หล็กไฟฟ้าโดยนาํ เสนอการใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ น เร็วตา่ งกนั ในตวั กลางอื่น คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แบง่ ออก ตา่ งๆ และอนั ตรายจากคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในชีวิต เปน็ ชว่ งความถี่ต่างๆเรยี กวา่ สเปกตรมั ของคลนื่ แมเ่ หล็ก ประจําวัน ไฟฟ้าแต่ละช่วงความถี่มีชอ่ื เรียกต่างกนั ได้แก่คลนื่ วิทยุ ไมโครเวฟอนิ ฟราเรด แสงทีม่ องเหน็ อัลตรา ไวโอเลต รงั สีเอกซ์และรังสแี กมมาซ่ึงสามารถนาํ ไปใช้ประโยชนไ์ ด้ เลเซอรเ์ ป็นคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ทีม่ ีความยาวคล่ืนเดียว เปน็ ลําแสงขนานและมีความเขม้ สงู นําไปใชประโยชน์ใน ดา้ นตา่ งๆ เชน่ ดา้ นการส่ือสาร มกี ารใชเ้ ลเซอรส์ ําหรบั สง่ ารสนเทศผ่านเสน้ ใยนําแสง โดยอาศัยหลกั การการ สะท้อนกลบั หมดของแสงดา้ นการแพทยใ์ ช้ในการผ่าตดั คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้านอกจากจะสามารถนําไปใช้ ประโยชน์แล้ว ยงั มีโทษต่อมนุษย์ด้วย เช่น ถ้ามนุษย์ ได้รับรงั สีอลั ตราไวโอเลตมากเกินไปอาจจะทําใหเ้ กดิ มะเรง็ ผิวหนังหรือถา้ ไดร้ ังสแี กมมาซ่งึ เป็นคลน่ื แม่เหล็ก ไฟฟา้ ทมี่ พี ลังงานสงู และสามารถทะลผุ า่ นเซลล์และ อวยั วะได้ อาจทําลายเน้ือเยือ่ หรืออาจทําใหเ้ สยี ชีวิตได้ เมอื่ ได้รับรังสแี กมมาในปริมาณสูง 13. ออกแบบการทดลองและดาํ เนินการทดลอง เม่ือแสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการสะท้อนซ่งึ เปน็ ไป ดว้ ยวธิ ที ีเ่ หมาะสมในการอธิบาย กฎการสะท้อน ตามกฎการสะท้อนของแสงโดยรงั สตี กกระทบเสน้ แนว ของแสง ฉากรังสสี ะทอ้ นอยใู่ นระนาบเดียวกันและมุมตกกระทบ 14. เขียนแผนภาพการเคลอ่ื นที่ของแสงแสดงการ เทา่ กบั มมุ สะท้อนภาพจากกระจกเงาเกดิ จากรังสี เกิดภาพจากกระจกเงา สะท้อนตัดกนั หรือตอ่ แนวรงั สสี ะทอ้ นใหต้ ัดกัน โดยถ้า 15. อธบิ ายการหักเหของแสงเมอื่ ผ่านตัวกลาง รงั สีสะท้อนตัดกนั จริงจะเกดิ ภาพจริง แต่ถา้ ตอ่ แนวรังสี โปรง่ ใสทแี่ ตกตา่ งกนั และอธบิ ายการกระจายแสง สะทอ้ นใหไ้ ปตดั กันจะเกดิ ภาพเสมือน ของแสงขาวเม่อื ผา่ นปริซึมจากหลักฐานเชปิ ระจักษ์ เมื่อแสงเดินทางผา่ นตวั กลางโปร่งใสทแ่ี ตกตา่ งกนั 16. เขยี นแผนภาพการเคล่ือนทข่ี องแสง เชน่ อากาศและน้ําอากาศและแก้ว จะเกดิ การหักเห แสดงการเกิดภาพจากเลนส์บาง หรืออาจเกิดการสะทอ้ นกลับหมดในตัวกลางทแี่ สงตก กระทบ การหักเหของแสงผา่ นเลนสท์ ําใหเ้ กิดภาพท่มี ี ชนิดและขนาดต่างๆ แสงขาวประกอบดว้ ยแสงสตี า่ งๆ เมือ่ แสงขาวผา่ น ปรซิ ึมจะเกดิ การกระจายแสงเปน็ แสงสตี า่ งๆ เรียกว่า สเปกตรัมของแสงขาวเม่อื เคลื่อนทใี่ นตวั กลางใดๆท่ี ไมใ่ ช่อากาศ จะมอี ตั ราเรว็ ต่างกันจึงมีการหกั เหตา่ งกัน หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หนา้ 36 ชัน้ ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.3 17. อธิบายปรากฏการณท์ ีเ่ กีย่ วกบั แสงและการ การสะท้อนและการหกั เหของแสงนําไปใชอ้ ธิบาย ทาํ งานของทัศนอุปกรณ์จากขอ้ มลู ที่รวบรวมได้ ปรากฏการณท์ เ่ี ก่ยี วกบั แสง เชน่ ร้งุ มิราจและอธิบาย 18. เขยี นแผนภาพการเคลอ่ื นทีข่ องแสงแสดง การทํางานของทศั นอปุ กรณ์ เช่น แวน่ ขยาย กระจก การเกดิ ภาพของทัศนอุปกรณ์และเลนสต์ า โค้งจราจร กลอ้ งโทรทรรศน์ กลอ้ งจุลทรรศน์และแวน่ สายตา ในการมองวตั ถุ เลนส์ตาจะถูกปรบั โฟกสั เพือ่ ใหเ้ กิด ภาพชดั ท่จี อตา ความบกพร่องทางสายตา เช่น สายตา สนั้ และสายตายาวเปน็ เพราะตาํ แหน่งท่ีเกดิ ภาพไมไ่ ด้ อยู่ท่ีจอตาพอดี จงึ ตอ้ งใช้เลนส์ในการแก้ไขเพ่ือชว่ ยให้ มอง เห็นเหมือนคนสายตาปกติ โดยคนสายตาสั้นใช้ เลนสเ์ ว้า สว่ นคนสายตายาวใชเ้ ลนสน์ นู 19. อธบิ ายผลของความสวา่ งท่มี ีตอ่ ดวงตาจาก ความสวา่ งของแสงมผี ลตอ่ ดวงตามนุษย์การใชส้ ายตา ขอ้ มูลทไี่ ดจ้ ากการสบื คน้ ในสภาพแวดลอ้ มท่มี ีความสว่างไมเ่ หมาะสมจะเป็น 20. วัดความสว่างของแสงโดยใชอ้ ุปกรณว์ ดั ความ อันตรายตอ่ ดวงตา เชน่ การดูวตั ถุในทีม่ ีความสว่างมาก สวา่ งของแสง หรือน้อยเกินไป การจ้องดหู น้าจอภาพเปน็ เวลานาน 21. ตระหนกั ในคุณคา่ ของความรู้เรอื่ งความสวา่ ง ความสวา่ งบนพน้ื ทร่ี ับแสงมีหน่วยเปน็ ลกั ซค์ วามรู้ ของแสงท่ีมีตอ่ ดวงตา โดยวิเคราะห์สถานการณ์ เกีย่ วกบั ความสว่างสามารถนาํ มาใช้จดั ความสว่างให้ ปญั หาและเสนอแนะการจดั ความสวา่ งใหเ้ หมาะสม เหมาะสมกับการทาํ กิจกรรมต่างๆ เชน่ การจัดความ ในการทํากจิ กรรมตา่ งๆ สว่างทเี่ หมาะสมสาํ หรับการอ่านหนงั สือ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 37 สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุรยิ ะ รวมทง้ั ปฏสิ ัมพนั ธ์ภายในระบบสรุ ยิ ะท่ีส่งผลต่อสิง่ มชี ีวติ และ การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีอวกาศ ช้ัน ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.3 1. อธิบายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวง ในระบบสรุ ิยะมดี วงอาทติ ย์เปน็ ศูนยก์ ลางโดยมีดาว เคราะหแ์ ละบริวาร ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์ อาทิตย์ดว้ ยแรงโน้มถ่วงจากสมการ น้อย ดาวหางและอื่นๆเช่น วัตถุคอยเปอร์ โคจรอยู่ โดยรอบซึ่งดาวเคราะห์ และวัตถุเหลา่ นโ้ี คจรรอบดวง อาทติ ย์ด้วยแรงโน้มถ่วง แรงโนม้ ถว่ งเปน็ แรงดงึ ดูด ระหว่างวตั ถสุ องวตั ถุ โดยเปน็ สดั สว่ นกบั ผลคูณของ มวลทั้งสอง และเปน็ สัดสว่ นผกผันกบั กาํ ลังสองของ ระยะทางระหวา่ งวตั ถทุ ้งั สองแสดงได้โดยสมการ เมอื่ F แทนความโน้มถ่วงระหวา่ งมวลท้งั สอง G แทนค่านิจโน้มถว่ งสากล m แทนมวลของวตั ถแุ รก m2 แทนมวลของวัตถทุ ่สี อง และ r แทนระยะหา่ งระหวา่ งวัตถทุ ัง้ สอง 2. สรา้ งแบบจําลองทีอ่ ธบิ ายการเกดิ ฤดูและการ การทีโ่ ลกโคจรรอบดวงอาทติ ยใ์ นลกั ษณะทแ่ี กน เคลื่อนท่ีปรากฏของดวงอาทติ ย์ โลกเอียงกับแนวตั้งฉากของระนาบทางโคจรทาํ ให้ ส่วนตา่ งๆ บนโลกได้รบั ปริมาณแสงจากดวงอาทิตย์ แตกตา่ งกันในรอบปี เกดิ เป็นฤดกู ลางวนั กลางคืนยาว ไม่เทา่ กนั และตาํ แหนง่ การขึน้ และตกของดวงอาทติ ย์ ท่ีขอบฟา้ และเสน้ ทางการขึ้นและตกขอดวงอาทิตย์ เปล่ียนไปในรอบปี ซงึ่ ส่งผลตอ่ การดาํ รงชีวิต 3. สรา้ งแบบจําลองที่อธบิ ายการเกิดข้างขนึ้ ขา้ ง ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลกโลกและดวงจันทร์โคจร แรม การเปลีย่ นแปลงเวลาการขนึ้ และตกของดวง รอบดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทรร์ บั แสงจากดวงอาทิตย์ จนั ทร์ และการเกิดน้าํ ข้ึนนํา้ ลง ครึ่งดวงตลอดเวลาเมื่อดวงจนั ทร์โคจรรอบโลกได้หนั ส่วนสวา่ งมายังโลกแตกต่างกัน จงึ ทาํ ให้คนบนโลก สงั เกตสว่ นสวา่ งของดวงจนั ทรแ์ ตกตา่ งไปในแต่ละวนั เกิดเปน็ ขา้ งขนึ้ ข้างแรม ดวงจันทรโ์ คจรรอบโลกในทิศทางเดียวกันกับท่ีโลก หมุนรอบตวั เองจึงทาํ ใหเ้ ห็นดวงจันทร์ขึ้นชา้ ไปประมาณ วันละ 50นาที แรงโน้มถว่ งทดี่ วงจันทร์ ดวงอาทิตย์ กระทําตอ่ โลกทําใหเ้ กิดปรากฏการณ์นํ้าขน้ึ นาํ้ ลง ซงึ่ ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและส่ิงมชี ีวิตบนโลก วันที่นํ้าระดบั การขึ้นสงู สุดและลงต่ําสดุ เรยี ก วันนาํ้ เกดิ สว่ นวนั ที่ ระดบั นาํ้ มีการขนึ้ และลงนอ้ ยเรยี กวนั น้ําตายโดยวนั นา้ํ เกดิ นา้ํ ตาย มีความสัมพนั ธ์กับขา้ งข้นึ ขา้ งแรม หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 38 ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.3 4. อธบิ ายการใช้ประโยชนข์ องเทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยอี วกาศไดม้ บี ทบาทต่อการดาํ รงชวี ติ และยกตวั อยา่ งความก้าวหนา้ ของโครงการสํารวจ ของมนุษย์ในปจั จบุ นั มากมายมนษุ ย์ได้ใช้ประโยชน์ อวกาศ จากข้อมูลท่รี วบรวมได้ จากเทคโนโลยีอวกาศ เช่น ระบบนําทางดว้ ย ดาวเทยี ม (GNSS) การตดิ ตามพายุ สถานการณไ์ ฟ ปา่ ดาวเทยี มช่วยภยั แลง้ การตรวจคราบนํ้ามันใน ทะเล โครงการสํารวจอวกาศต่างๆ ได้พัฒนาเพมิ่ พูน ความรคู้ วามเข้าใจตอ่ โลก ระบบสุรยิ ะและเอกภพ มากขน้ึ เปน็ ลําดับตัวอย่างโครงการสาํ รวจอวกาศ ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลกโลกและดวงจันทร์โคจร รอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์รบั แสงจากดวงอาทติ ย์ ครง่ึ ดวงตลอดเวลาเมอื่ ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลกได้ หันส่วนสว่างมายงั โลกแตกตา่ งกนั จึงทาํ ให้คนบน โลกสังเกตส่วนสวา่ งของดวงจนั ทรแ์ ตกต่างไปใน แตล่ ะวนั เกดิ เป็นขา้ งข้นึ ข้างแรม เช่น การสํารวจ ส่งิ มีชีวติ นอกโลก การสาํ รวจดาวเคราะห์นอกระบบ สรุ ิยะ การสาํ รวจดาวองั คารและบริวารอื่นของดวง อาทิตย์ หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 39 สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองคป์ ระกอบและความสัมพนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลีย่ นแปลง ภายในโลกและบนผวิ โลก ธรณพี ิบตั ภิ ัย กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟา้ อากาศและภมู อิ ากาศโลก รวมทงั้ ผลต่อสิ่งมชี ีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม ชน้ั ตัวช้ีวดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.1 1. สรา้ งแบบจําลองท่ีอธิบายการแบง่ ช้ัน โลกมีบรรยากาศห่อหมุ้ นักวทิ ยาศาสตร์ใชส้ มบตั แิ ละ บรรยากาศและเปรยี บเทียบประโยชนข์ อง องค์ประกอบของบรรยากาศในการแบง่ บรรยากาศ บรรยากาศแตล่ ะชั้น ของโลกออกเปน็ ชั้นซึ่งแบง่ ไดห้ ลายรปู แบบตามเกณฑ์ ที่แตกตา่ งกัน โดยท่ัวไปนกั วทิ ยาศาสตร์ ใชเ้ กณฑ์การ เปลี่ยนแปลงอณุ หภูมติ ามความสูง แบ่งบรรยากาศได้ เป็น 5 ชน้ั ได้แก่ ชัน้ โทรโพสเฟียร์ ช้ันสตราโตสเฟียร์ ชน้ั มีโซสเฟยี ร์ ช้ันเทอรโ์ มสเฟียร์และชนั้ เอกโซสเฟยี ร์ บรรยากาศแต่ละชัน้ มปี ระโยชนต์ ่อสิง่ มชี วี ิตแตกตา่ ง กัน โดยชน้ั โทรโพสเฟียร์มปี รากฏการณ์ ลมฟ้าอากาศ ท่ีสําคัญตอ่ การดํารงชวี ิตของสงิ่ มีชีวติ ชั้นสตราโต สเฟียร์ชว่ ยดดู กลนื รงั สอี ัลตราไวโอเลต จากดวง อาทิตยไ์ มใ่ หม้ ายังโลกมากเกนิ ไป ชัน้ มโี ซสเฟียร์ช่วย ชะลอวตั ถุนอกโลกทีผ่ ่านเขา้ มาให้เกิดการเผาไหม้ กลายเป็นวตั ถุขนาดเลก็ ลดโอกาสทจ่ี ะทําความ เสยี หายแก่สิง่ มชี ีวิตบนโลก ชนั้ เทอรโ์ มสเฟียร์สามารถ สะทอ้ นคลื่นวทิ ยุและชั้นเอกโซสเฟียรเ์ หมาะสําหรบั การโคจรของดาวเทยี มรอบโลกในระดับตา่ํ 2. อธิบายปจั จัยที่มผี ลตอ่ การเปลี่ยนแปลง ลมฟ้าอากาศ เป็นสภาวะของอากาศในเวลาหนง่ึ องค์ประกอบของลมฟ้าอากาศ จากขอ้ มลู ที่ ของพน้ื ที่หนง่ึ ที่มกี ารเปล่ียนแปลงตลอดเวลาขนึ้ อยกู่ บั รวบรวมได้ องค์ประกอบลมฟ้าอากาศ ได้แก่ อุณหภมู ิอากาศความ กดอากาศ ลม ความช้นื เมฆ และหยาดนํ้าฟ้าโดย หยาดนํ้าฟ้าทพ่ี บบ่อยในประเทศไทย ไดแ้ ก่ ฝน องคป์ ระกอบลมฟา้ อากาศเปลยี่ นแปลตลอดเวลา ข้ึนอยกู่ บั ปจั จัยตา่ งๆ เช่น ปรมิ าณรังสีจากดวงอาทติ ย์ และลกั ษณะพืน้ ผวิ โลกส่งผลต่ออุณหภมู ิอากาศ อุณหภมู ิอากาศและปริมาณไอนํา้ สง่ ผลต่อความชื้น ความกดอากาศสง่ ผลตอ่ ลมความชนื้ และลมส่งผล ต่อเมฆ 3. เปรยี บเทยี บกระบวนการเกิดพายุ ฝนฟา้ พายฝุ นฟ้าคะนองเกิดจากการท่ีอากาศท่มี อี ณุ หภูมิ คะนองและพายุหมนุ เขตรอ้ นและผลทีม่ ีตอ่ และความช้ืนสูงเคล่ือนท่ขี ึ้นสู่ระดับความสูงท่ีมอี ุณหภูมิ ส่ิงมีชวี ติ และสิ่งแวดล้อม รวมท้ังนําเสนอ ตา่ํ ลงจนกระทงั่ ไอนํา้ ในอากาศเกิดการควบแนน่ เป็น แนวทางการปฏบิ ตั ติ นให้เหมาะสมและ ละอองน้าํ และเกดิ ตอ่ เนือ่ งเปน็ เมฆขนาดใหญ่ พายุฝน ปลอดภยั ฟา้ คะนองทาํ ใหเ้ กิดฝนตกหนัก ลมกรรโชกแรงฟา้ แลบ ฟ้าผ่า ซงึ่ อาจกอ่ ให้ เกดิ อันตรายตอ่ ชีวติ และทรัพย์สิน หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 40 ชั้น ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.1 4. อธบิ ายการพยากรณ์อากาศและยากรณ์ พายหุ มุนเขตร้อนเกิดเหนือมหาสมุทรหรือทะเลท่นี ํา้ อากาศอย่างงา่ ยจากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ มีอณุ หภมู ิสงู ต้งั แต่ 26-27 องศาเซลเซียส ข้นึ ไป ทาํ ให้ อากาศท่ีมีอณุ หภูมแิ ละความช้ืนสงู บริเวณนั้นเคลื่อน ที่สงู ขน้ึ อยา่ งรวดเร็วเป็นบริเวณกวา้ งอากาศจาก บรเิ วณอนื่ เคล่อื นเข้ามาแทนทีแ่ ละพัดเวยี นเขา้ หา ศูนย์กลางของพายยุ ิ่งใกล้ศูนยก์ ลาง อากาศจะ เคลื่อนทพี่ ดั เวยี นเกอื บเปน็ วงกลมและมีอตั ราเร็วสงู ทสี่ ดุ พายุหมุนเขตร้อนทําใหเ้ กดิ คล่ืนพายุซัดฝง่ั ฝนตก หนกั ซงึ่ อาจก่อให้เกิดอนั ตรายตอ่ ชีวิตและทรัพยส์ ิน จึงควรปฏิบัตติ นให้ปลอดภัยโดยตดิ ตามข่าวสาร การพยากรณอ์ ากาศและไมเ่ ขา้ ไปอย่ใู นพนื้ ที่ท่ีเสย่ี งภัย การพยากรณอ์ ากาศเปน็ การคาดการณล์ มฟ้าอากาศ ท่จี ะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมกี ารตรวจวัดองค์ประกอบ ลมฟ้าอากาศ การสื่อสารแลกเปลีย่ นขอ้ มูลองค์ประกอบ ลมฟา้ อากาศระหวา่ งพืน้ ท่ีการวิเคราะหข์ อ้ มลู และ สร้างคาํ พยากรณอ์ ากาศ 5. ตระหนกั ถึงคุณคา่ ของการพยากรณ์อากาศ การพยากรณอ์ ากาศสามารถนํามาใช้ประโยชน์ดา้ นตา่ งๆ โดยนําเสนอแนวทางการปฏิบตั ติ นและการใช้ เชน่ การใช้ชีวิตประจําวนั การคมนาคม การเกษตร ประโยชน์จากคําพยากรณอ์ ากาศ การป้องกัน และเฝ้าระวงั ภัยพิบตั ทิ างธรรมชาติ 6. อธบิ ายสถานการณแ์ ละผลกระทบการ ภูมิอากาศโลกเกิดการเปล่ยี นแปลงอยา่ งต่อเนือ่ ง เปลย่ี น แปลงภูมิอากาศโลกจากขอ้ มลู ท่ี โดยปจั จยั ทางธรรมชาติแตป่ ัจจุบนั การเปล่ียนแปลง รวบรวมได ภมู ิอากาศเกิดขนึ้ อยา่ งรวดเร็วเนื่องจากกจิ กรรมของ มนุษย์ในการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกสบู่ รรยากาศ แก๊สเรอื นกระจกทถ่ี กู ปลดปล่อยมากทสี่ ุด ได้แก่ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ซ่งึ หมนุ เวยี นอย่ใู นวัฏจกั ร คาร์บอน 7. ตระหนักถงึ ผลกระทบของการเปลีย่ น การเปล่ียนแปลงภมู ิอากาศโลกก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบต่อ แปลงภูมิอากาศโลก โดยนาํ เสนอแนวทางการ สงิ่ มีชีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม เช่น การหลอมเหลวของ ปฏบิ ตั ิตน ภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ นํา้ แขง็ ข้ัวโลกการเพมิ่ ข้ึนของระดบั ทะเลการเปล่ียนแปลง โลก วฏั จักรน้าํ การเกดิ โรคอบุ ัตใิ หม่และอุบตั ิซาํ้ และการ เกิดภยั พิบตั ิทางธรรมชาตทิ ี่รนุ แรงขนึ้ มนุษย์จึงควร เรยี นรแู้ นวทางการปฏบิ ัติตนภายใตส้ ถานการณ์ ดงั กล่าว ท้ังแนวทางการปฏบิ ตั ิตนให้เหมาะสมและ แนวทางการลดกิจกรรมท่ีสง่ ผลตอ่ การเปลย่ี นแปลง ภมู ิอากาศโลก ม.2 1. เปรยี บเทียบกระบวนการเกิดสมบัติและการ เชื้อเพลงิ ซากดึกดําบรรพ์ เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ใชป้ ระโยชน์ รวมทง้ั อธบิ ายผล กระทบจาก สภาพของซากส่ิงมชี ีวติ ในอดีตโดยกระบวนการทาง การใชเ้ ชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ์ จากข้อมลู ท่ี เคมแี ละธรณวี ทิ ยาเช้ือเพลิงซากดกึ ดาํ บรรพ์ ไดแ้ ก่ รวบรวมได้ ถ่านหินหนิ นา้ํ มนั และปโิ ตรเลียม ซึง่ เกดิ จากวัตถุตน้ กาํ เนิด และสภาพแวดลอ้ มการเกดิ ที่แตกตา่ งกนั ทําให้ ไดช้ นดิ ของเช้ือเพลิง ซากดึกดาํ บรรพ์ท่ีมีลักษณะ สมบตั ิ และการนําไปใช้ประโยชนแ์ ตกต่างกนั สําหรบั ปิโตรเลยี ม หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 41 ชนั้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.2 จะต้องมกี ารผ่านการกล่นั ลาํ ดบั ส่วนกอ่ นการใช้งาน เพอ่ื ให้ได้ผลติ ภัณฑท์ เี่ หมาะสมตอ่ การใช้ประโยชน์ เชอ้ื เพลงิ ซากดึกดําบรรพเ์ ป็นทรพั ยากรที่ใช้แลว้ หมด ไปเน่อื งจากตอ้ งใชเ้ วลานานหลายล้านปจี ึงจะเกิดขึ้น ใหม่ได้ 2. แสดงความตระหนักถงึ ผลจากการใช้ การเผาไหม้เชอื้ เพลิงซากดึกดาํ บรรพ์ในกจิ กรรม เชอ้ื เพลิงซากดกึ ดาํ บรรพ์ โดยนาํ เสนอแนวทาง ตา่ งๆของมนษุ ยจ์ ะทาํ ใหเ้ กดิ มลพิษทางอากาศ ซึง่ สง่ การใช้เชอ้ื เพลงิ ซากดึกดําบรรพ ผลกระทบตอ่ ส่งิ มีชวี ิตและสงิ่ แวดล้อมนอกจากน้ีแก๊ส บางชนดิ ทีเ่ กดิ จากการเผาไหมเ้ ช้อื เพลงิ ซากดึกดํา บรรพ์เช่น แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์และไนตรัสออกไซด์ ยังเป็นแกส๊ เรือนกระจก ซงึ่ ส่งผลใหเ้ กดิ การเปลี่ยน แปลงภมู อิ ากาศของโลกรนุ แรงขึ้น ดังนัน้ จงึ ควรใช้ เชื้อเพลิง ซากดึกดําบรรพ์ โดยคํานึง ถงึ ผลท่ีเกิดขึ้น ต่อส่ิงมชี ีวิตและส่ิงแวดล้อม เช่นเลอื ก ใช้พลังงาน ทดแทนหรอื เลือกใช้เทคโนโลยีท่ลี ดการใชเ้ ชอ้ื เพลิง ซากดกึ ดาํ บรรพ์ 3. เปรียบเทยี บข้อดแี ละข้อจํากดั ของพลงั งาน เชอื้ เพลงิ ซากดึกดําบรรพเ์ ป็นแหล่งพลงั งานทส่ี ําคญั ทดแทนแต่ละประเภทจากการรวบรวมขอ้ มูล ในกิจกรรมต่างๆของมนษุ ยเ์ น่อื งจากเชอ้ื เพลิงซาก และนําเสนอแนวทางการใช้พลังงานทดแทนท่ี ดกึ ดาํ บรรพ์มปี ริมาณจํากดั และมกั เพม่ิ มลภาวะใน เหมาะสมในท้องถ่นิ บรรยากาศมากข้ึนจงึ มกี ารใชพ้ ลังงานทดแทนมากขน้ึ เช่นพลังงานแสงอาทติ ย์ พลงั งานลม พลงั งานนาํ้ พลังงานชวี มวล พลังงานคลนื่ พลังงานความรอ้ นใต้ พิภพ พลังงานไฮโดรเจน ซงึ่ พลงั งานทดแทนแตล่ ะ ชนิดจะมีขอ้ ดแี ละขอ้ จาํ กัดที่แตกต่างกัน 4. สร้างแบบจําลองท่ีอธิบายโครงสร้างภายใน โครงสร้างภายในโลกแบง่ ออกเป็นชน้ั ตาม โลกตามองคป์ ระกอบทางเคมีจากขอ้ มลู ท่ี องค์ประกอบทางเคมี ไดแ้ ก่ เปลอื กโลกซงึ่ อยู่นอกสุด รวบรวมได้ ประกอบดว้ ยสารประกอบของซลิ ิกอนและอะลูมเิ นียม เปน็ หลกั เนอ้ื โลกคือสว่ นท่ีอยใู่ ต้เปลอื กโลกลงไปจนถงึ แก่นโลก มีองคป์ ระกอบหลักเป็นสารประกอบของ ซิลกิ อนแมกนเี ซยี ม และเหลก็ และแกน่ โลกคือส่วนที่ อยใู่ จกลางของโลก มอี งค์ประกอบหลกั เป็นเหล็กและ นกิ เกิล ซงึ่ แตล่ ะชั้นมีลกั ษณะแตกต่างกนั 5. อธิบายกระบวนการผพุ ังอยู่กบั ทกี่ ารกรอ่ น การผุพงั อยู่กบั ทกี่ ารกรอ่ นและการสะสมตวั ของ และการสะสมตัวของตะกอนจากแบบจาํ ลอง ตะกอนเปน็ กระบวนการปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยาท่ี รวมท้ังยกตัวอยา่ งผลของกระบวนการดังกลา่ ว ทําให้ผวิ โลกเกิดการเปล่ียนแปลงเป็นภมู ิลักษณแ์ บบ ท่ที าํ ให้ผวิ โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ต่างๆโดยมปี จั จยั สาํ คญั คือ นํา้ ลม ธารนาํ้ แข็ง แรง โนม้ ถว่ งของโลกสง่ิ มชี ีวิต สภาพอากาศและปฏิกริ ยิ า เคมี หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 42 ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.2 การผุพังอยู่กบั ที่ คอื การทีห่ ินผพุ ังทาํ ลายลงด้วย กระบวนการตา่ งๆไดแ้ ก่ ลมฟา้ อากาศกับน้าํ ฝนและ รวมทงั้ การกระทําของต้นไมก้ บั แบคทเี รยี ตลอดจน การแตกตวั ทางกลศาสตรซ์ ง่ึ มีการเพ่ิมและลด อณุ หภูมิสลับกนั เปน็ ตน้ การกรอ่ น คือ กระบวนการหนึง่ หรือหลาย กระบวนการทที่ าํ ให้สารเปลอื กโลกหลุดไปละลาย ไปหรอื กรอ่ นไปโดยมตี ัวนําพาธรรมชาติ คอื ลม น้ําและธารน้ําแขง็ ร่วมกับปัจจยั อนื่ ๆ ได้แก่ ลมฟา้ อากาศสารละลาย การครดู ถู การนําพาท้งั นไ้ี มร่ วม ถงึ การพงั ทลายเปน็ กลุ่มก้อน เชน่ แผน่ ดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิด การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตัวของ วัตถุจากการนําพาของนํ้า ลมหรือธารนํ้าแขง็ 6. อธิบายลกั ษณะของช้ันหน้าตดั ดินและ ดินเกิดจากหินทีผ่ ุพังตามธรรมชาตผิ สมคลุกเคลา้ กระบวนการเกดิ ดนิ จากแบบจาํ ลองรวมทงั้ ระบุ กบั อินทรียวัตถุท่ีได้จากการเน่าเปอ่ื ยของซากพืช ปจั จยั ทที่ ําให้ดินมีลกั ษณะและสมบตั ิแตกต่างกนั ซากสตั วท์ ับถมเป็นชัน้ ๆบนผิวโลก ชน้ั ดิน แบ่งออก เป็นหลายชั้นขนานหรอื เกอื บขนานไปกับผวิ หนา้ ดิน แตล่ ะช้ันมลี ักษณะแตกตา่ งกันเนอ่ื งจากสมบตั ทิ าง กายภาพ เคมี ชวี ภาพและลักษณะอน่ื ๆ เช่น สี โครงสร้างเน้ือดนิ การยึดตัว ความเป็นกรด-เบส สามารถสังเกตได้จากการสาํ รวจภาคสนามการเรยี ก ชอ่ื ช้นั ดนิ หลกั จะใช้อกั ษรภาษาอังกฤษตวั ใหญ่ ไดแ้ ก่ O, A, E, B, C, R ชัน้ หน้าตดั ดนิ เปน็ ช้นั ดนิ ทมี่ ลี ักษณะปรากฏให้ เห็นเรยี งลาํ ดับเปน็ ชน้ั จากช้นั บนสดุ ถงึ ชนั้ ล่างสดุ ปจั จยั ทที่ ําใหด้ นิ แตล่ ะทอ้ งถิ่นมีลักษณะและ สมบตั แิ ตกตา่ งกัน ไดแ้ กว่ ตั ถุตน้ กําเนิดดินภมู อิ ากาศ สง่ิ มชี วี ติ ในดนิ สภาพภมู ิประเทศและระยะเวลาใน การเกิดดิน 7. ตรวจวัดสมบตั ิบางประการของดนิ โดยใช้ สมบัติบางประการของดนิ เชน่ เน้อื ดินความช้นื เครอ่ื งมือท่ีเหมาะสมและนาํ เสนอแนวทางการใช้ ดนิ ค่าความเป็นกรด-เบส ธาตุอาหารในดนิ สามารถ ประโยชนด์ นิ จากขอ้ มลู สมบตั ขิ องดนิ นําไปใช้ในการตัดสินใจถงึ แนวทางการใช้ประโยชน์ ท่ดี นิ โดยอาจนําไปใช้ประโยชนท์ างการเกษตรหรอื อื่นๆ ซ่งึ ดนิ ท่ไี มเ่ หมาะสมตอ่ การทําการเกษตร เช่น ดินจดื ดนิ เปรยี้ ว ดนิ เค็มและดนิ ดาน อาจเกดิ จาก สภาพดินตามธรรมชาตหิ รอื การใช้ประโยชนจ์ ะต้อง ปรบั ปรงุ ให้มสี ภาพเหมาะสมเพอื่ นาํ ไปใชป้ ระโยชน์ 8. อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิดแหล่งนาํ้ ผวิ แหล่งน้าํ ผวิ ดนิ เกิดจากนาํ้ ฝนที่ตกลงบนพน้ื โลก ดินและแหล่งนา้ํ ใตด้ นิ จากแบบจาํ ลอง ไหลจากท่สี งู ลงสู่ทีต่ าํ่ ด้วยแรงโนม้ ถว่ ง การไหลของ นาํ้ ทาํ ใหพ้ ้ืนโลกเกดิ การกดั เซาะเป็นร่องน้ํา เชน่ ลําธาร คลองและแม่นํา้ ซึ่งรอ่ งน้ําจะมีขนาดและ รปู ร่างแตกตา่ งกัน ข้ึนอยกู่ บั ปรมิ าณนํา้ ฝนระยะเวลา หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 43 ชน้ั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.2 ในการกดั เซาะ ชนดิ ดินและหิน และลักษณะภูมิ ประเทศ เช่น ความลาดชนั ความสงู ต่ําของพน้ื ที่ เมอื่ นา้ํ ไหลไปยงั บริเวณท่ีเป็นแอ่งจะเกิดการสะสม ตวั เป็นแหล่งน้าํ เช่น บึง ทะเลสาบทะเลและมหาสมุทร แหล่งนํ้าใต้ดินเกิดจากการซมึ ของน้าํ ผวิ ดนิ ลงไป สะสมตัวใตพ้ ืน้ โลก ซึ่งแบ่งเป็นนา้ํ ในดินและนํา้ บาดาล น้ําในดินเป็นนํา้ ท่ีอยู่รว่ มกับอากาศตาม ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเม็ดดนิ สว่ นน้าํ บาดาลเป็นน้ําทไ่ี หล ซมึ ลึกลงไปและถกู กักเกบ็ ไว้ ในชัน้ หนิ หรือชัน้ ดิน จนอ่ิมตัวไปดว้ ยนํ้า 9. สร้างแบบจาํ ลองท่ีอธิบายการใช้น้ําและนําเสนอ แหล่งนาํ้ ผิวดินและแหล่งน้ําใต้ดินถูกนาํ มาใช้ใน แนวทางการใชน้ ้ําอย่างย่ังยนื ในท้องถ่ินของตนเอง กิจกรรมต่างๆ ของมนุษยส์ ่งผลตอ่ การจัดการการใช้ ประโยชนน์ า้ํ และคุณภาพของแหลง่ นํ้าเนือ่ งจากการ เพ่มิ ขึน้ ของจํานวนประชากร การใชป้ ระโยชนพ์ ื้นท่ี ในดา้ นต่างๆ เช่น ภาคเกษตรกรรมภาคอุตสาหกรรม และการเปลีย่ นแปลงภมู อิ ากาศทาํ ให้เกิดการเปลี่ยน แปลงปริมาณนํ้าฝนในพื้นท่ลี มุ่ นํา้ และแหล่งนาํ้ ผิว ดินไม่เพียงพอสําหรบั กจิ กรรมของมนุษย์ นาํ้ จาก แหลง่ นา้ํ ใต้ดนิ จงึ ถกู นาํ มาใชม้ ากข้ึน สง่ ผลใหป้ ริมาณ น้ําใต้ดนิ ลดลงมาก จงึ ต้องมกี ารจดั การใชน้ ํา้ อยา่ ง เหมาะสมและยั่งยืน ซ่ึงอาจทาํ ได้โดยการจัดหาแหล่ง น้ําเพอ่ื ให้มี แหลง่ น้าํ เพยี งพอสาํ หรบั การดํารงชวี ิต การจัดสรรและการใช้นาํ้ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ การอนรุ กั ษ์และฟื้นฟูแหลง่ น้าํ การป้องกันและ แก้ไขปัญหาคุณภาพนํ้า 10. สร้างแบบจําลองท่ีอธิบายกระบวน การเกิด นา้ํ ทว่ ม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่มหลุมยบุ แผ่นดิน และผลกระทบของนํา้ ทว่ ม การกัดเซาะชายฝ่ังดิน ทรุด มีกระบวนการเกิดและผลกระทบทแี่ ตกต่างกัน ถลม่ หลมุ ยุบ แผ่นดินทรดุ ซง่ึ อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงแกช่ วี ิตและทรพั ย์สนิ น้ําทว่ มเกิดจากพืน้ ทห่ี นงึ่ ได้รับปรมิ าณนํ้าเกินกว่า ทจ่ี ะกักเก็บได้ ทําใหแ้ ผ่นดินจมอยใู่ ต้นาํ้ โดยขึ้นอยู่ กบั ปรมิ าณนา้ํ และสภาพทางธรณวี ิทยาของพน้ื ที่ การกดั เซาะชายฝั่งเป็นกระบวนการเปลย่ี นแปลง ของชายฝง่ั ทะเลทเี่ กดิ ข้นึ ตลอดเวลาจากการกัด เซาะของคล่นื หรือลมทาํ ใหต้ ะกอนจากทห่ี นึ่งไปตก ทับถมในอกี บริเวณหน่ึง แนวของชายฝง่ั เดิมจึง เปล่ยี น แปลงไป บรเิ วณท่ีมตี ะกอนเคล่ือน เข้ามาน้อยกว่าปรมิ าณที่ตะกอนเคลอื่ นออกไปถอื วา่ เป็นบรเิ วณทีม่ กี ารกดั เซาะชายฝั่ง ดนิ ถลม่ เป็นการเคลอื่ นท่ขี องมวลดนิ หรอื หิน จํานวนมากลงตามลาดเขา เนอ่ื งจากแรงโนม้ ถว่ ง ของโลกเปน็ หลัก ซง่ึ เกดิ จากปัจจยั สําคัญ ได้แก่ ความลาดชันของพ้ืนท่ี สภาพธรณีวิทยา ปรมิ าณ น้าํ ฝน พืชปกคลมุ ดนิ และการใชป้ ระโยชน์พ้นื ที่ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
ช้นั ตวั ชี้วดั หน้า 44 ม.2 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.3 - หลุมยุบ คือ แอง่ หรือหลมุ บนแผ่นดนิ ขนาดต่างๆ ทอ่ี าจเกดิ จากการถลม่ ของโพรงถ้าํ หนิ ปูน เกลอื หนิ ใต้ดนิ หรอื เกิดจากน้ําพดั พาตะกอนลงไปในโพรงถ้าํ หรอื ธารนํ้าใตด้ นิ แผ่นดินทรดุ เกิดจากการยบุ ตัวของช้ันดินหรือ หนิ รว่ น เมอ่ื มวลของแขง็ หรอื ของเหลวปริมาณ มากท่ีรองรบั อยใู่ ตช้ ัน้ ดนิ บรเิ วณน้ันถกู เคลื่อนย้าย ออกไปโดยธรรมชาติหรือโดยการกระทําของมนุษย์ - หลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 45 สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีเพอ่ื การดํารงชีวติ ในสังคมท่มี กี ารเปล่ียนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรแู้ ละทกั ษะทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อ่นื ๆ เพ่อื แก้ปัญหาหรือ พฒั นางานอย่างมคี วามคิดสรา้ งสรรคด์ ว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เลือกใช้เทคโนโลยอี ย่าง เหมาะสมโดยคาํ นึงถึงผลกระทบตอ่ ชวี ติ สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม ช้นั ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.1 1. อธบิ ายแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยใี นชวี ิต เทคโนโลยี เปน็ สง่ิ ท่มี นุษย์สรา้ งหรอื พฒั นาขึน้ ประจาํ วันและวเิ คราะห์สาเหตหุ รอื ปจั จยั ที่สง่ ผล ซง่ึ อาจเปน็ ได้ท้ังชนิ้ งานหรือวธิ ีการ เพ่ือใช้แก้ปัญหา ต่อการเปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยี สนองความต้องการ หรอื เพ่มิ ความสามารถในการ ทาํ งานของมนุษย์ ระบบทางเทคโนโลยี เปน็ กลุ่มของสว่ นตา่ งๆ ตั้งแต่สองสว่ นขนึ้ ไปประกอบเข้าดว้ ยกันและทาํ งาน รว่ มกนั เพอ่ื ใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ โดยในการทาํ งาน ของระบบทางเทคโนโลยีจะประกอบไปด้วยตวั ปอ้ น (input) กระบวนการ (process) และผลผลิต (output) ทส่ี ัมพนั ธ์กัน นอกจากนีร้ ะบบทาง เทคโนโลยอี าจมขี ้อมูลย้อนกลบั (feedback) เพอ่ื ใช้ปรบั ปรงุ การทาํ งานไดต้ ามวัตถปุ ระสงคซ์ ง่ึ การวิเคราะห์ระบบทางเทคโนโลยีช่วยให้เข้าใจ องค์ประกอบและการทํางานของเทคโนโลยี รวมถึง สามารถปรบั ปรงุ ให้เทคโนโลยที ํางานไดต้ ามต้องการ เทคโนโลยีมีการเปล่ยี นแปลงตลอดเวลาต้งั แต่ อดตี จนถงึ ปัจจบุ ัน ซึง่ มีสาเหตุหรือปัจจัยมาจาก หลายดา้ น เช่น ปัญหาความตอ้ งการ ความกา้ วหนา้ ของศาสตร์ต่างๆเศรษฐกจิ สังคม 2. ระบุปญั หาหรือความต้องการในชีวติ ประจําวัน ปัญหาหรือความตอ้ งการในชีวติ ประจาํ วนั พบได้ รวบรวม วิเคราะหข์ อ้ มลู และแนวคดิ ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง จากหลายบรบิ ทขึน้ กบั สถานการณ์ที่ประสบ เชน่ กบั ปัญหา การเกษตรการอาหาร การแกป้ ญั หาจําเป็นตอ้ งสบื คน้ รวบรวมขอ้ มลู ความรจู้ ากศาสตร์ตา่ งๆ ทีเ่ กี่ยวขอ้ งเพ่ือนําไปส่กู าร ออกแบบแนวทางการแกป้ ญั หา 3. ออกแบบวิธกี ารแกป้ ญั หาโดยวเิ คราะห์ การวิเคราะห์ เปรยี บเทยี บและตัดสินใจเลือก เปรียบเทียบและตัดสนิ ใจเลือกขอ้ มลู ท่ีจําเป็น ขอ้ มูลที่จําเปน็ โดยคาํ นงึ ถึงเงอ่ื นไขและทรพั ยากรที่ นาํ เสนอแนวทางการแกป้ ญั หาใหผ้ ู้อน่ื เข้าใจ มีอยู่ ชว่ ยใหไ้ ด้แนวทางการแกป้ ัญหาท่ีเหมาะสม วางแผนและดาํ เนินการแกป้ ัญหา การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาทําได้ หลากหลายวิธเี ชน่ การร่างภาพ การเขียนแผนภาพ การเขยี นผงั งาน การกาํ หนดขน้ั ตอนและระยะเวลาในการทาํ งาน ก่อนดําเนนิ การแกป้ ญั หาจะช่วยใหท้ าํ งานสาํ เรจ็ ได้ ตามเป้าหมายและลดข้อผดิ พลาดของการทาํ งานท่ี อาจเกดิ ขน้ึ หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 46 ชน้ั ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.1 4. ทดสอบ ประเมินผลและระบขุ ้อบกพร่องท่ี การทดสอบและประเมนิ ผลเปน็ การตรวจสอบ ม.2 เกดิ ขนึ้ พรอ้ มท้ังหาแนวทางการปรับปรุงแก้ไข ชนิ้ งานหรอื วิธกี ารว่าสามารถแกป้ ัญหาไดต้ าม และนาํ เสนอผลการแกป้ ัญหา วตั ถุประสงคภ์ ายใตก้ รอบของปญั หา เพอื่ หาข้อ บกพร่องและดําเนินการปรบั ปรงุ โดยอาจทดสอบ 5. ใชค้ วามรแู้ ละทักษะเก่ียวกับวัสดุอุปกรณ์ ซ้ําเพ่อื ใหส้ ามารถแก้ปัญหาได้ เครอ่ื งมอื กลไกไฟฟ้า หรืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ เพ่ือ การนําเสนอผลงานเป็นการถา่ ยทอดแนวคิด เพื่อ แก้ปัญหาไดอ้ ยา่ งถกู ต้องเหมาะสมและปลอดภัย ให้ผอู้ นื่ เขา้ ใจเกี่ยวกบั กระบวน การทาํ งานและ ชน้ิ งานหรือวธิ กี ารทไี่ ดซ้ ึ่งสามารถทําไดห้ ลายวิธี 1. คาดการณ์แนวโนม้ เทคโนโลยีท่ีจะเกิดขึ้น เช่น การเขียนรายงาน การทําแผ่นนําเสนอผลงาน โดยพจิ ารณาจากสาเหตุหรือปัจจัยท่ีสง่ ผลตอ่ การจัดนิทรรศการ การนําเสนอผา่ นสอ่ื ออนไลน์ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและวิเคราะห์ วัสดแุ ต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกนั เชน่ ไม้ เปรียบเทยี บตดั สนิ ใจเลือกใช้เทคโนโลยี โดย โลหะ พลาสติกจงึ ต้องมกี ารวเิ คราะหส์ มบัติเพอ่ื คํานงึ ถงึ ผลกระทบ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ตอ่ ชีวิต สังคม เลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกับลักษณะของงาน และสิ่งแวดลอ้ ม การสร้างชิน้ งานอาจใชค้ วามรู้ เร่อื งกลไกไฟฟา้ 2. ระบปุ ญั หาหรือความต้องการในชมุ ชนหรือ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เช่น LED บัซเซอร์ มอเตอร์ ทอ้ งถ่ิน สรุปกรอบของปญั หารวบรวม วิเคราะห์ วงจรไฟฟา้ ข้อมูลและแนวคดิ ท่ีเก่ยี วข้องกับปญั หา อปุ กรณ์และเครื่องมอื ในการสร้างช้ินงานหรือ 3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดยวเิ คราะห์ พฒั นาวธิ ีการมหี ลายประเภท ต้องเลอื กใช้ให้ เปรียบเทยี บ และตัดสนิ ใจเลือกขอ้ มูลทีจ่ าํ เปน็ ถูกตอ้ ง เหมาะสมและปลอดภัยรวมทัง้ รูจ้ ักเกบ็ ภายใต้เงอ่ื นไขและทรัพยากรทม่ี อี ย่นู ําเสนอ รกั ษา แนวทางการแกป้ ัญหาใหผ้ ูอ้ ืน่ เขา้ ใจวางแผน สาเหตหุ รือปจั จยั ต่างๆ เช่น ความกา้ ว หนา้ ของ ศาสตรต์ า่ งๆ การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นเศรษฐกจิ ขน้ั ตอน การทาํ งานและดําเนนิ การ สังคมวัฒนธรรมทาํ ให้เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลง แกป้ ญั หาอย่างเปน็ ขัน้ ตอน ตลอดเวลา เทคโนโลยีแต่ละประเภทมีผลกระทบต่อชีวิต สงั คมและส่งิ แวดลอ้ มที่แตกตา่ งกันจงึ ต้องวเิ คราะห์ เปรียบเทียบขอ้ ดี ข้อเสียและตัดสินใจเลือกใชใ้ ห้ เหมาะสม ปญั หาหรอื ความต้องการในชมุ ชนหรือท้องถน่ิ มี หลายอย่างขน้ึ กบั บริบทหรอื สถานการณท์ ีป่ ระสบ เช่น ด้านพลังงานส่ิงแวดล้อม การเกษตร การอาหาร การระบุปญั หาจาํ เป็น ต้องมีการวเิ คราะห์ สถานการณข์ องปญั หาเพ่ือสรปุ กรอบของปญั หา แลว้ ดาํ เนนิ การสืบคน้ รวบรวมข้อมลู ความร้จู าก ศาสตร์ตา่ งๆทเ่ี กีย่ วขอ้ งเพอ่ื นําไปสูก่ ารออกแบบ แนวทางการแก้ปญั หา การวิเคราะห์ เปรยี บเทยี บและตัดสินใจเลือก ข้อมลู ทจ่ี ําเป็น โดยคาํ นงึ ถึงเง่ือนไขและทรพั ยากร เชน่ งบประมาณ เวลา ข้อมลู และสารสนเทศ วัสดุ เคร่ืองมอื และอุปกรณ์ช่วยใหไ้ ดแ้ นวทางการแกป้ ัญหา ทเ่ี หมาะสม หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หนา้ 47 ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.2 การออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหาทาํ ไดห้ ลากหลาย วิธี เช่น การรา่ งภาพ การเขียนแผนภาพ การเขียน ผังงาน การกําหนดข้นั ตอนระยะเวลาในการทํางานกอ่ น ดําเนนิ การแก้ปัญหาจะช่วยให้การทาํ งานสําเรจ็ ได้ ตามเป้าหมาย และลดข้อผิดพลาดของการทํางานท่ี อาจเกดิ ข้นึ 4. ทดสอบ ประเมนิ ผลและอธิบายปัญหาหรอื การทดสอบและประเมนิ ผลเป็นการตรวจสอบ ขอ้ บกพรอ่ งที่เกดิ ข้นึ ภายใตก้ รอบเงื่อนไข พร้อม ชิน้ งานหรือวิธกี ารวา่ สามารถแก้ปัญหาได้ตาม ทัง้ หาแนวทางการปรับปรุงแก้ไขและนําเสนอผ วัตถุประสงคภ์ ายใต้กรอบของปญั หา เพอื่ หาขอ้ ลการแก้ปญั หา บกพรอ่ งและดาํ เนนิ การปรบั ปรุงใหส้ ามารถแก้ไข ปัญหาได้ การนาํ เสนอผลงานเป็นการถา่ ยทอดแนวคิดเพอ่ื ให้ผ้อู น่ื เข้าใจเกีย่ วกับกระบวน การทาํ งานและ ชน้ิ งานหรอื วิธีการทไี่ ด้ซึง่ สามารถทําไดห้ ลายวิธี เช่น การเขียนรายงาน การทําแผน่ นาํ เสนอผลงาน การจัดนทิ รรศการ 5. ใช้ความรู้และทักษะเกย่ี วกับวัสดอุ ุปกรณ์ วสั ดุแต่ละประเภทมสี มบตั แิ ตกต่างกนั เช่น ไม้ เคร่อื งมือ กลไกไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนกิ ส์ เพือ่ แก้ โลหะ พลาสตกิ จึงต้องมกี ารวิเคราะห์สมบัติเพื่อ ปัญหาหรือพัฒนางานไดอ้ ย่างถกู ต้องเหมาะสม เลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะของงาน และปลอดภัย การสร้างช้ินงานอาจใช้ความรู้ เร่ืองกลไกไฟฟ้า อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เช่น LED มอเตอร์ บซั เซอร์ เฟอื ง รอก ลอ้ เพลา อุปกรณแ์ ละเคร่อื งมอื ในการสรา้ งชิน้ งานหรอื พัฒนาวิธกี ารมหี ลายประเภทตอ้ งเลอื กใช้ใหถ้ ูกต้อง เหมาะสมและปลอดภยั รวมท้งั รู้จักเกบ็ รักษา ม.3 1. วเิ คราะหส์ าเหตุ หรือปจั จยั ทส่ี ่งผลต่อการ เทคโนโลยมี ีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตั้งแต่ เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความสมั พนั ธข์ อง อดีตจนถงึ ปัจจบุ ัน ซึ่งมีสาเหตุหรือปจั จัยมาจาก เทคโนโลยกี ับศาสตร์อน่ื โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หลายด้าน เชน่ ปัญหาหรอื ความตอ้ งการของมนุษย์ หรอื คณติ ศาสตร์ เพ่ือเป็นแนวทางการแก้ ปญั หา ความก้าวหนา้ ของศาสตรต์ า่ งๆ การเปลยี่ นแปลง หรอื พฒั นางาน ทางด้านเศรษฐกจิ สังคมวัฒนธรรม สงิ่ แวดลอ้ ม เทคโนโลยมี คี วามสัมพนั ธ์กับศาสตร์อนื่ โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์ โดยวิทยาศาสตรเ์ ปน็ พ้นื ฐานความรทู้ ี่ นําไปสกู่ ารพัฒนาเทคโนโลยี และเทคโนโลยที ี่ได้ สามารถเปน็ เครอื่ งมอื ท่ใี ช้ในการศกึ ษาค้นคว้าเพ่อื ใหไ้ ดม้ าซง่ึ องค์ความร้ใู หม่ 2. ระบุปญั หาหรอื ความตอ้ งการของชุมชนหรือ ปัญหาหรือความต้องการอาจพบได้ในงานอาชีพ ท้องถ่ิน เพื่อพัฒนางานอาชีพสรุปกรอบของ ของชมุ ชนหรือท้องถน่ิ ซึง่ อาจมีหลายดา้ น เชน่ ปญั หา รวบรวมวิเคราะหข์ ้อมูลและแนวคดิ ท่ี ดา้ นการเกษตร อาหารพลงั งาน การขนส่ง เก่ยี วขอ้ งกบั ปัญหาโดยคํานึงถงึ ความถกู ต้อง การวิเคราะหส์ ถานการณ์ปัญหาชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจ ดา้ นทรพั ย์สนิ ทางปญั ญา เงือ่ นไขและกรอบของปัญหาได้ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 48 ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.3 ชดั เจน จากนัน้ เนินการสบื ค้น รวบรวมข้อมลู ความรู้ จากศาสตรต์ ่างๆที่เก่ยี วขอ้ งเพ่อื นาํ ไปสกู่ ารออกแบบ แนวทางการแก้ปญั หา 3. ออกแบบวธิ กี ารแก้ปัญหา โดยวิเคราะห์ การวิเคราะห์ เปรยี บเทยี บ และตัดสินใจเลอื ก เปรยี บเทียบและตัดสินใจเลือกข้อมูลท่จี าํ เป็น ข้อมลู ทจ่ี ําเปน็ โดยคาํ นึงถงึ ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา ภายใตเ้ งอ่ื นไขและทรัพยากรทีม่ อี ย่นู ําเสนอ เงื่อนไขและทรพั ยากรเช่น งบประมาณ เวลา แนวทางการแกป้ ญั หาใหผ้ อู้ ่นื เขา้ ใจดว้ ยเทคนิค ข้อมลู และสารสนเทศ วัสดุ เคร่ืองมอื และอุปกรณ์ หรือวธิ ีการท่หี ลากหลายวางแผนขัน้ ตอนการ ช่วยให้ได้แนวทางการแกป้ ญั หาทีเ่ หมาะสม ทาํ งาน และดําเนินการแกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ การออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหาทําได้ ข้นั ตอน หลากหลายวธิ ีเช่น การรา่ งภาพ การเขียนแผนภาพ การเขยี นผังงาน เทคนิคหรอื วธิ ีการในการนําเสนอแนวทาง การแก้ปัญหามีหลากหลาย เช่น การใช้แผนภูมิ ตารางภาพเคลอ่ื นไหว การกําหนดข้นั ตอนและระยะเวลาในการทาํ งาน กอ่ นดําเนนิ การแกป้ ัญหาจะช่วยให้การทาํ งาน สาํ เรจ็ ได้ตามเป้าหมายและลดขอ้ ผิดพลาดของ การทาํ งานที่อาจเกดิ ขึ้น 4. ทดสอบ ประเมนิ ผลวิเคราะห์และใหเ้ หตุผล การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบ ของปญั หาหรอื ขอ้ บกพร่องทเี่ กดิ ข้นึ ภายใตก้ รอบ ช้ินงานหรือวิธีการวา่ สามารถแก้ปญั หาไดต้ ามวตั ถุ เงื่อนไข พรอ้ มทงั้ หาแนวทางการปรบั ปรุง แก้ไข ประสงค์ภายใตก้ รอบของปัญหาเพอื่ หาขอ้ บกพรอ่ ง และนําเสนอผลการแก้ปญั หา และดําเนินการปรับปรงุ โดยอาจทดสอบซ้ําเพ่อื ให้ สามารถแกไ้ ขปัญหาได้ การนาํ เสนอผลงานเป็นการถา่ ยทอดแนวคิดเพือ่ ใหผ้ ู้อืน่ เขา้ ใจเกี่ยวกับกระบวน การทํางานและ ชน้ิ งานหรือวธิ ีการทไ่ี ดซ้ งึ่ สามารถทาํ ไดห้ ลายวธิ ี เชน่ การเขียนรายงานการทาํ แผน่ นาํ เสนอผลงาน การจดั นทิ รรศการการนาํ เสนอผา่ นสอ่ื ออนไลน์ 5. ใชค้ วามรู้และทกั ษะเกยี่ วกับวัสดุอปุ กรณ์ วัสดุแตล่ ะประเภทมีสมบัติแตกตา่ งกัน เชน่ ไม้ เครือ่ งมือ กลไก ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ให้ โลหะ พลาสตกิ เซรามิก จึงตอ้ งมกี ารวเิ คราะห์ ถูกต้องกบั ลกั ษณะของงานและปลอดภัยเพ่ือ สมบตั เิ พือ่ เลอื กใช้ให้เหมาะ สมกบั ลกั ษณะของงาน แกป้ ัญหาหรือพฒั นางาน การสร้างชน้ิ งานอาจใชค้ วามรู้ เรอ่ื งกลไกไฟฟา้ อิเล็กทรอนิกส์ เช่น LED LDR มอเตอร์ เฟือง คาน รอกลอ้ และเพลา อุปกรณแ์ ละเคร่อื งมอื ในการสร้างช้นิ งานหรอื พฒั นาวิธกี ารมีหลายประเภท ตอ้ งเลอื กใช้ให้ ถูกตอ้ งเหมาะสมและปลอดภัยรวมทงั้ รจู้ ักเก็บรกั ษา 4. ทดสอบ ประเมินผลวิเคราะหแ์ ละให้เหตุผล การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบ ของปัญหาหรอื ข้อบกพร่องทเ่ี กิดขน้ึ ภายใตก้ รอบ ช้ินงาน หรือวธิ ีการว่าสามารถแกป้ ัญหาได้ตาม เงือ่ นไข พร้อมทั้งหาแนวทางการปรับปรุง แกไ้ ข วตั ถุประสงคภ์ ายใต้กรอบของปญั หาเพ่อื หาข้อ และนําเสนอผลการแกป้ ญั หา บกพร่องและดําเนนิ การปรับปรุงโดยอาจทดสอบซํา้ เพอ่ื ใหส้ ามารถแกไ้ ขปัญหาได้ หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 49 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใชแ้ นวคดิ เชิงคาํ นวณในการแก้ปญั หาทพ่ี บในชวี ิตจริงอยา่ งเป็น ขนั้ ตอนและเป็นระบบใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทํางาน และการแกป้ ญั หา ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ รู้เท่าทนั และมีจรยิ ธรรม ช้นั ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.1 1. ออกแบบอลั กอรทิ ึมทใ่ี ช้แนวคิดเชงิ นามธรรม แนวคิดเชงิ นามธรรมเปน็ การประเมินความสําคญั เพ่อื แกป้ ญั หาหรืออธบิ ายการทาํ งานทพ่ี บใน ของรายละเอียดของปัญหาแยกแยะสว่ นทเ่ี ป็น ชีวติ จรงิ สาระสําคญั ออกจากส่วนทีไ่ ม่ใช่สาระสาํ คญั ตัวอยา่ งปัญหา เชน่ ต้องการปหู ญ้าในสนามตาม พืน้ ที่ทก่ี าํ หนด โดยหญา้ หน่ึงผืนมีความกว้าง 50 เซนตเิ มตร ยาว 50 เซนติเมตรจะใชห้ ญ้าทง้ั หมด กผ่ี นื 2. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอยา่ งง่าย เพอื่ การออกแบบและเขียนโปรแกรมทม่ี ีการใชต้ ัวแปร แก้ปัญหาทางคณติ ศาสตรห์ รือวิทยาศาสตร์ เง่ือนไขวนซาํ้ การออกแบบอลั กอริทมึ เพื่อแก้ปญั หาทาง คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตรอ์ ย่างงา่ ยอาจใชแ้ นวคดิ เชงิ นามธรรมในการออกแบบ เพื่อให้การแกป้ ัญหามี ประสิทธิภาพ การแกป้ ัญหาอย่างเป็นข้นั ตอนจะช่วยใหแ้ ก้ ปัญหา ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ซอฟต์แวรท์ ใี่ ช้ในการเขียนโปรแกรม เชน่ Scratch, python, java, c ตวั อย่างโปรแกรม เชน่ โปรแกรมสมการ การเคลือ่ นท่ีโปรแกรมคาํ นวณหาพน้ื ที่ โปรแกรม คํานวณดัชนีมวลกาย 3. รวบรวมขอ้ มูลปฐมภมู ิประมวลผล การรวบรวมขอ้ มูลจากแหลง่ ข้อมูลปฐมภมู ิ ประเมินผลนําเสนอข้อมูลและสารสนเทศตาม ประมวลผล สร้างทางเลอื กประเมนิ ผลจะทําให้ได้ วัตถุประสงค์โดยใช้ซอฟต์แวรห์ รอื บรกิ ารบน สารสนเทศเพอื่ ใช้ในการแก้ปัญหาหรือการตดั สินใจได้ อินเทอร์เน็ตที่หลากหลาย อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ การประมวลผลเป็นการกระทํากับข้อมลู เพ่ือให้ได้ ผลลพั ธท์ ีม่ ีความหมายและมีประโยชน์ต่อการนาํ ไป ใช้งานสามารถทาํ ได้หลายวธิ ี เช่น คาํ นวณอัตรา สว่ น คาํ นวณคา่ เฉลย่ี การใชซ้ อฟต์แวร์หรอื บรกิ ารบนอินเทอรเ์ นต็ ท่ี หลากหลายในการรวบรวมประมวลผล สรา้ งทาง เลือก ประเมินผลนาํ เสนอจะชว่ ยให้แก้ปัญหาได้อยา่ ง รวดเรว็ ถกู ตอ้ ง และแม่นยํา ตวั อย่างปญั หาเนน้ การบูรณาการกับวิชาอน่ื เช่น ตม้ ไขใ่ หต้ รงกับพฤตกิ รรมการบรโิ ภค คา่ ดัชนี มวล กายของคนในทอ้ งถิน่ การสร้างกราฟผลการทดลอง และวเิ คราะห์แนวโน้ม หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หน้า 50 ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 4. ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภยั ใชส้ ือ่ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั เช่น และแหลง่ ข้อมลู ตามข้อกําหนดและขอ้ ตกลง การปกปอ้ งความเปน็ ส่วนตวั และอัตลกั ษณ์ การจัดการอตั ลักษณ์ เชน่ การตัง้ รหสั ผา่ น การปกปอ้ งข้อมลู สว่ นตัว การพิจารณาความเหมาะสมของเน้ือหาเชน่ ละเมดิ ความเป็นส่วนตัวผูอ้ ื่น อนาจารวิจารณ์ผูอ้ ่ืนอย่าง หยาบคาย ข้อตกลง ข้อกําหนดในการใชส้ ื่อหรือแหลง่ ข้อมลู ตา่ งๆ เช่น Creative commons 1. ออกแบบอัลกอรทิ ึมที่ใช้แนวคิดเชิงคาํ นวณ แนวคิดเชิงคาํ นวณ ในการแก้ปัญหา หรือการทาํ งานทีพ่ บในชวี ิต การแกป้ ัญหาโดยใช้แนวคดิ เชิงคํานวณ จรงิ ตวั อยา่ งปญั หา เชน่ การเข้าแถวตามลาํ ดับความสูง ใหเ้ รว็ ทีส่ ดุ จดั เรียงเสอ้ื ใหห้ าไดง้ ่ายท่ีสุด 3. อภปิ รายองคป์ ระกอบและหลกั การทาํ งาน องคป์ ระกอบและหลกั การทาํ งานของระบบ ของระบบคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยีการ คอมพิวเตอร์ สอ่ื สาร เพ่อื ประยกุ ตใ์ ชง้ านหรือแก้ปัญหา เทคโนโลยกี ารส่ือสาร เบือ้ งตน้ การประยุกตใ์ ช้งานและการแก้ปัญหาเบอื้ งตน้ 4. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัยมี ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภยั โดยเลอื ก ความรับผดิ ชอบ สรา้ งและแสดงสิทธิในการ แนวทางปฏิบัตเิ มื่อพบเนอื้ หาทไ่ี มเ่ หมาะสม เชน่ แจง้ เผยแพร่ ผลงาน รายงานผูเ้ กี่ยวข้องปอ้ งกนั การเขา้ มาของข้อมลู ท่ไี ม่ เหมาะสมไม่ตอบโต้ ไมเ่ ผยแพร่ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งมคี วามรบั ผิดชอบ เชน่ ตระหนักถึงผลกระทบในการเผยแพรข่ อ้ มูล การสร้างและแสดงสทิ ธิความเปน็ เจา้ ของผลงาน การกาํ หนดสทิ ธิการใชข้ อ้ มูล ม.3 1. พัฒนาแอพพลเิ คชันที่มกี ารบรู ณาการกบั วชิ า ขัน้ ตอนการพฒั นาแอปพลิเคชนั อืน่ อยา่ งสร้างสรรค์ Internet of Things (IoT) ซอฟตแ์ วรท์ ่ีใชใ้ นการพฒั นาแอปพลเิ คชนั เชน่ Scratch, python, java, c, AppInventor ตัวอย่างแอปพลิเคชัน เช่น โปรแกรมแปลงสกุลเงนิ โปรแกรมผันเสียงวรรณยุกต์โปรแกรมจาํ ลองการแบง่ เซลล์ ระบบรดนา้ํ อตั โนมัติ 2. รวบรวมข้อมูลประมวลผลประเมินผล การใชซ้ อฟตแ์ วรห์ รอื บรกิ ารบนอนิ เทอรเ์ นต็ ที่ นาํ เสนอข้อมูลและสารสนเทศตามวัตถปุ ระสงค์ หลากหลายในการรวบรวมประมวลผลสร้างทางเลือก โดยใชซ้ อฟตแ์ วร์ หรือบรกิ ารบนอินเทอรเ์ นต็ ที่ ประเมนิ ผลนําเสนอจะช่วยใหแ้ ก้ปญั หาไดอ้ ย่าง หลากหลาย รวดเร็วถูกต้องและแม่นยํา ตวั อย่างปัญหา เชน่ การเลอื กโปรโมชนั โทรศพั ทใ์ ห้ เหมาะกับพฤติกรรมการใชง้ านสินค้าเกษตรทตี่ ้องการ และสามารถปลกู ไดใ้ นสภาพดนิ ของท้องถ่ิน หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274