Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรการฝึกอบรมผู้กำกับลูกเสือวิสามัญ_ขั้นความรู้เบื้องต้น_(1)

หลักสูตรการฝึกอบรมผู้กำกับลูกเสือวิสามัญ_ขั้นความรู้เบื้องต้น_(1)

Published by DaiNo Scout, 2021-11-13 08:06:54

Description: หลักสูตรการฝึกอบรมผู้กำกับลูกเสือวิสามัญ_ขั้นความรู้เบื้องต้น_(1)

Search

Read the Text Version

247 เรื่อง บทบำทและหน้ำทขี่ องผู้กำกบั ลูกเสือวสิ ำมญั บทเรียนที่ 16 เวลำ 60 นำที ขอบข่ำยวชิ ำ 1. หนา้ ท่ีของผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั 2. เร่ืองท่ีควรฝึกอบรมและวธิ ีการฝึกอบรม จุดหมำย รู้หน้าที่และความรับผิดชอบ และปฏิบตั ิตามบทบาทของผูก้ ากบั ลูกเสือวิสามญั ไดอ้ ย่างมี ประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล วตั ถุประสงค์ เม่ือจบบทน้ีแลว้ ผเู้ ขา้ รับการฝึกอบรมควรจะสามารถ 1. บรรยายบทบาทของผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั และระบุหนา้ ที่ท่ีสาคญั ของผกู้ ากบั เป็นขอ้ ๆ ได้ 2. อธิบายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั กบั คณะกรรมการประจากองลูกเสือวสิ ามญั ได้ 3. ระบุความตอ้ งการของตนเองเกี่ยวกบั การฝึกอบรมต่อไปได้ วธิ ีสอน / กจิ กรรม 10 นาที 1. บรรยาย 20 นาที 2. ทางานตามโครงการ 3. รายงาน 25 นาที 4. สรุป 5 นาที ส่ือกำรสอน 1. สื่อบรรยายอิเลค็ ทรอนิก 2. ตวั อยา่ งการศึกษารายกรณี กำรประเมินผล 1. สังเกตพฤติกรรม 2. นาเสนอผลงาน 3. อภิปราย ซกั ถาม

248 เนื้อหำวชิ ำ บรรยำยนำ กิจการลูกเสือสามญั ตอ้ งการใหล้ ูกเสือวสิ ามญั จดั ทากาหนดการดว้ ยตนเอง ปกครองตนเอง มีความนึกคิดเช่นผใู้ หญ่ การเป็นผนู้ าของผกู้ ากบั จึงเป็ นเรื่องที่ทา้ ทายความสามารถอยูม่ ากซ่ึงจะตอ้ ง คานึงถึงบทบาทและทกั ษะของเราอยตู่ ลอดเวลา เพราะวา่ สถานการณ์ยอ่ มเปล่ียนแปลงไป นอกจากน้นั กองลูกเสือวสิ ามญั ตอ้ งพฒั นาไปตามกาลเทศะดว้ ย ในฐานะท่ีเป็นผใู้ หญ่ และ ผนู้ าจะตอ้ งสนใจในเร่ืองความเจริญเติบโตของคนหนุ่มในทางร่างกาย สติปัญญา จิตใจ สังคมและ ทกั ษะชีวติ อนั เป็ นภูมิคุม้ กนั สาคญั กิจกรรมต่างๆ ที่ลูกเสือปฏิบตั ิลว้ นเป็นองคป์ ระกอบเพือ่ นาไปสู่ หลกั การสาคญั ดงั กล่าวขา้ งตน้ ท้งั สิ้น รวมท้งั การยอมรับคาปฏิญาณและกฎของลูกเสือไปใชใ้ น ชีวติ ประจาวนั ผ้กู ำกบั ลกู เสือจะต้องมีบทบำทสำคัญ 3 ประกำร คือ 1. บทบำทต่องำน ซ่ึงงานในความรับผดิ ชอบของผกู้ ากบั พอจะจาแนกไดเ้ ป็ นหลกั ใหญ่ 3 ทาง คือ 1) ทางการบริหาร 2) ทางการปกครองบงั คบั บญั ชา 3) ทางวชิ าการ 2. บทบำทต่อกลุ่ม คาวา่ “กลุ่ม” ในท่ีน้ี หมายถึงกองลูกเสือ กลุ่มลูกเสือ ผปู้ กครอง บิดา มารดา กลุ่มบุคคลท่ีเก่ียวขอ้ งกบั กองลูกเสือ ผกู้ ากบั ลูกเสือมีภาระที่จะตอ้ งรักษากลุ่มใหอ้ ยรู่ วมกนั มี ความสามคั คีกนั ดูแลใหก้ ลุ่มน้นั มีความสุขและสามารถทางานร่วมกนั ได้ ประสานกิจกรรมต่างๆ ใหเ้ ขา้ ดว้ ยกนั ไดผ้ กู้ ากบั ลูกเสือจะตอ้ งปฏิบตั ิภาระความรับผดิ ชอบในประเด็นเหล่าน้ีร่วมกบั รองผู้ กากบั อ่ืนๆ และพยายามส่งเสริมใหผ้ อู้ ่ืนเป็นผนู้ า ส่งเสริมใหผ้ อู้ ่ืนไดท้ างานดว้ ยตนเอง และนอ้ ยคร้ัง มากท่ีผกู้ ากบั จะสัง่ ใหท้ าหลกั ความจริงน้นั ปุถุชนธรรมดา ไมช่ อบรับคาสั่งแตพ่ อใจท่ีจะไดร้ ับความ สนบั สนุนใหท้ างานท่ีมีความลาบากดว้ ยตวั เอง ผกู้ ากบั จะไมย่ อมละทิง้ ความรับผดิ ชอบงานที่มีต่อ กลุ่ม ผกู้ ากบั จะรู้เป็นอยา่ งดีวา่ 3. บทบำทต่อบุคคล ผกู้ ากบั จะตอ้ งมีความรู้สึกไวตอ่ ปัญหา และความรู้สึกของทุกคนใน กลุ่ม โดยการยอมรับวา่ คนมีความแตกต่างกนั ผกู้ ากบั จะตอ้ งทาใหท้ ุกคนเกิดความรู้สึกวา่ เป็นพวก เดียวกนั ทาใหเ้ ห็นวา่ ทุกคนมีความสาคญั และมีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมซ่ึงเป็ นการทาใหเ้ กิด ความอบอุ่นและภราดรภาพ ลูกเสือใหมจ่ ะซาบซ้ึงถึงบรรยากาศท่ีมีแตก่ ารตอ้ นรับคร้ังแรกที่เขา้ มาใน กอง ถา้ นายหมู่มีความรู้สึกเหมือนผกู้ ากบั ของเขาแลว้ ลูกเสือใหมท่ ี่เขา้ มากอ็ ยากจะอยดู่ ว้ ย ผกู้ ากบั ท่ี รู้จกั และเขา้ ใจลูกเสือแตล่ ะคนเป็นอยา่ งดี จะช่วยใหม้ องเห็นความตอ้ งการของเด็กแต่ละคน และ สามารถหาทางสนองความตอ้ งการได้

249 การมีบทบาทต่อลูกเสือเป็นรายบุคคลกค็ ือหนา้ ท่ีท่ีจะตอ้ งฝึกอบรมลูกเสือให้เป็นพลเมืองดี เป็นประโยชนต์ ่อสังคมดว้ ยการพฒั นา 8 ประการคือ พฒั นาทางกาย ทางสติปัญญา ทางจิตใจ และ ศีลธรรมการสร้างค่านิยมและเจตคติ พฒั นาทางดา้ นสัมพนั ธภาพระหวา่ งบุคคล พฒั นาทางดา้ น สัมพนั ธภาพทางสังคม สัมพนั ธภาพต่อชุมชนดา้ นความรับผดิ ชอบต่อสิ่งแวดลอ้ ม ความตอ้ งการในการฝึกอบรมของผกู้ ากบั ลูกเสือ (Training) มี 5 ประการคือ 1) ความเขา้ ใจเร่ืองกิจการลูกเสือ (Understanding) 2) ทกั ษะเก่ียวกบั มนุษยส์ มั พนั ธ์ (Relationship Skills) 3) ทกั ษะเก่ียวกบั วชิ าลูกเสือ (Scouting Skills) 4) ทกั ษะเกี่ยวกบั การวางแผน (Planning Skills) 5) ทกั ษะเก่ียวกบั การนาไปใช้ (Implementing Skills) การอบรมดงั กล่าวจะทาได้ คือ 1) การฝึกฝนตนเอง (Self - Training) 2) การศึกษาจากการสอบถามผมู้ ีความรู้ (Personal Support) 3) การเขา้ รับการฝึกอบรมในวชิ าการลูกเสือโดยตรง (Training Course) 4) การเขา้ ร่วมประชุมสมั มนาหรือสนทนาอยา่ งไม่เป็นทางการ (Informal Training) 5) ศึกษาโดยตอบคาถามจากเอกสารในการฝึกอบรมแต่ละคร้ังเพม่ิ เติม (Training study) โครงกำรทำงำนในหมู่ กำรศึกษำรำยกรณี ( 20 นำที) ใหจ้ ดั เร่ืองเพือ่ พจิ ารณา โดยใชว้ ธิ ีการศึกษารายกรณี ควรเป็นเร่ืองท่ีใหแ้ สดงถึงความสัมพนั ธ์ ของผกู้ ากบั กบั กองลูกเสือวสิ ามญั กบั กองลูกเสือวสิ ามญั ท้งั หมด หรือใหส้ มั พนั ธ์กบั คณะกรรมการ ประจากองลูกเสือวสิ ามญั เร่ืองเก่ียวกบั คาปฏิญาณและกฎของลูกเสือ อาจจะใชเ้ ป็นปัจจยั ในการเขียน เรื่องเพอ่ื การศึกษาไดอ้ ยา่ งดี หรือจะใชเ้ ร่ืองดงั ท่ีไดพ้ ิมพไ์ วเ้ ป็นเอกสารประกอบทาการศึกษาก็ได้ บทบาทของวทิ ยากรประจาหมู่ในการอภิปราย คือการช่วยเหลือใหห้ มู่ไดพ้ จิ ารณาปัญหาตา่ งๆท่ี เกี่ยวขอ้ งใหศ้ ึกษาวธิ ีการท่ีเขา้ สู่ปัญหาน้นั ๆ แลว้ ทาการทดสอบโดยวธิ ีการแสดงบทบาท (Role Play) ถา้ เห็นวา่ เป็ นการเหมาะสม คร้ังแลว้ ใหส้ รุปลงเป็ นหลกั การทวั่ ไปเก่ียวกบั การเป็ นผกู้ ากบั ลูกเสือ จากเน้ือหาสาระที่ไดม้ าจากการศึกษาน้ี

250 หรือ ข. โครงกำร “ภำพพจน์ของผู้กำกบั ลูกเสือวสิ ำมัญ” (20 นำท)ี ใหแ้ จกบญั ชีขอ้ ความเกี่ยวกบั “ลกั ษณะของผกู้ ากบั ท่ีดี” ดงั ท่ีพมิ พไ์ วเ้ ป็นเอกสารประกอบ ให้สมาชิกในหมู่แต่ละคนประเมินขอ้ ความเขียนไวท้ ีละขอ้ และให้คะแนนตามความสาคญั มากนอ้ ย กล่าวคือ 1 = ไม่สาคญั 2 = สาคญั 3 = สาคญั มาก ใหล้ งมติกนั วา่ ท่ีสาคญั มาก 10 ขอ้ น้นั มีอะไรบา้ ง เม่ือไดม้ ติรวม 10 ขอ้ แลว้ ใหย้ กแต่ละขอ้ ข้ึนมา อภิปราย บทบาทของวิทยากรประจาหมู่ คือ การสนบั สนุนให้แต่ละคนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เรื่องน้นั ๆ หรือ ค. โครงกำร “ประชำสัมพนั ธ์” (20 นำท)ี ให้แต่ละหมู่จัดทำดงั ต่อไปนี้ 1) ทาคาประกาศแจง้ ความประชาสัมพนั ธ์ ลงหนงั สือพมิ พเ์ ชิญชวนบุคคลใหม้ าเป็ น ผกู้ ากบั กอง ลูกเสือวสิ ามญั 2) บรรยายงานและหนา้ ที่ของผูก้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั ไวส้ าหรับใชใ้ นโอกาสต่อไปเมื่อไม่มีใคร สนองตอบคาประชาสมั พนั ธ์ขา้ งตน้ 3) ทาบญั ชีคุณลกั ษณะที่ดี 5 ประการ และทกั ษะ 5 ประการ ซ่ึงผแู้ สดงความจานงจะสมคั รเขา้ เป็นผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั พึงเตรียมไวส้ าหรับการสาภาษณ์ เพอ่ื เขา้ รับงานท่ีประกาศไปแลว้ คำแนะนำสำหรับวทิ ยำกร กำรอภิปรำยในหมู่ ภายหลงั การทางานตามโครงการ ให้ใชเ้ อกสารประกอบเรื่อง “การเป็ นผู้ กากบั ลูกเสือท่ีมีคุณภาพ” เป็นแนวการอภิปราย แนวความคิดอนั หน่ึงเกี่ยวกบั บทบาทผกู้ ากบั ลูกเสือวิสามญั คือ ผกู้ ากบั มีภาระหนา้ ที่สาคญั ท่ี ตอ้ งปฏิบตั ิอยู่ 3 ประการ กล่าวคือ 1) ภารกิจตามหนา้ ที่ 2) ภารกิจต่อความตอ้ งการและทกั ษะของหมู่ลูกเสือท่ีเก่ียงขอ้ ง 3) ภารกิจความตอ้ งการและทกั ษะของลูกเสือแตล่ ะคน ขอใหเ้ ราวเิ คราะห์หารือหนา้ ที่ท้งั 3 ประการน้ี ทีละขอ้ เมื่ออภิปรายใหท้ าบญั ชีขอ้ ต่าง ๆ ท่ีหมูไ่ ดห้ ารือ กนั ไวเ้ ป็นหลกั ฐาน

251 จงใหผ้ รู้ ับการฝึกอบรมทาคาตอบคาถามที่ใหไ้ วใ้ นเอกสารประกอบให้แลว้ เสร็จ เช่น คาถามวา่ อะไรเป็นภารกิจตามหนา้ ที่ของเราในฐานะเป็นผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั ทาไม อะไรควรมาก่อนมาหลงั มีลาดบั อยา่ งไร (เช่น ดูใหก้ ารฝึกอบรมลูกเสือ ไดบ้ รรลุตามจุดประสงคข์ องคณะลูกเสือแห่งชาติ ช่วยเหลือทากาหนดการกิจกรรมตา่ ง ๆ การเดินทางสารวจ ฯลฯ รู้จกั แหล่งทรัพยากรที่มีในชุมชนอนั จะนามาช่วยเหลือกิจการลูกเสือได)้ ผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั มีส่วนเก่ียวขอ้ งกบั กลุ่มลูกเสืออยา่ งไรบา้ ง ในกิจการลูกเสือวสิ ามญั ในฐานะผกู้ ากบั ควรจะมีบทบาทอยา่ งไร ( เช่น คณะกรรมการประจากอง ลูกเสือวสิ ามญั ตอ้ งการความช่วยเหลือประการใดบา้ ง เราจะช่วยเหลือไดอ้ ยา่ งไร เก่ียวกบั ผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั อื่นในกองเดียวกนั ในกลุ่ม ในอาเภอ ในจงั หวดั ดูแลใหไ้ ดม้ ีการส่ือสาร สมั พนั ธ์ ระหวา่ งกนั อยา่ งไดผ้ ล กลุ่มมีความสนใจในเร่ืองหน่ึงเรื่องใด ส่งเสริม-ชมเชย) เรามีความสัมพนั ธ์กบั ลูกเสือวสิ ามญั แต่ละคนในกองอยา่ งไรบา้ ง (เช่น ช่วยใหล้ ูกเสือมีการพฒั นา ส่งเสริมใหล้ ูกเสือได้ ปฏิบตั ิประสบการณ์ใหม่ ๆ การใหค้ าปรึกษา (Counseling) มองเห็นความสามารถของลูกเสือแต่ละ คน และรู้จกั ใช้ ความสามารถน้นั ๆ ใหถ้ ูกทาง) เรำในฐำนะท่ีเป็ นผู้กำกับลูกเสือวสิ ำมัญจำเป็ นต้องมีทักษะอะไรบ้ำง เพื่อท่ีจะปฏิบัติหน้ำท่เี หล่ำนี้ให้ ได้ผล ใหท้ าเป็นบญั ชีหวั ขอ้ ต่างๆ ซ่ึงท่ีประชุมกลุ่มไดแ้ สดงความคิดเห็นข้ึนไว้ ( เช่น ความสามารถในการส่ือสารสัมพนั ธ์ การรู้จกั ลกั ษณะนิสัยและความตอ้ งการของ ลูกเสือวสิ ามญั แตล่ ะคน) เราจะไดท้ กั ษะเหล่าน้ีอยา่ งไร (เช่น “ดว้ ยการสังเกต” “การเขา้ รับการฝึ กอบรม” “การอ่าน หนงั สือเรื่องที่เก่ียวขอ้ ง” เรำในฐำนะทเ่ี ป็ นผู้กำกับลูกเสือวิสำมัญจะกำหนดเป้ำหมำยกำรทำงำนอะไรสัก 3 อย่ำง ในกองลูกเสือ สำหรับเวลำ 6 เดือนข้ำงหน้ำนี้ (เช่น) “จะปรับปรุงทกั ษะในการใชค้ าปรึกษา” “จะใหร้ ู้จกั เขา้ ใจลูกเสือวชิ ยั ใหม้ ากข้ึน” “จะให้ความรับผดิ ชอบแก่คณะกรรมการประจากองลูกเสือวสิ ามญั ใหม้ ากข้ึนโดยให้ ควบคุมการเงิน” “จะศึกษาใหก้ วา้ งขวางถึงเรื่องทรัพยากรในชุมชน” วทิ ยากรประจาหมูค่ วรส่งเสริมใหฝ้ ึกหดั ทาการกาหนดเป้าหมายการทางานที่เป็นจริงและเป็นไปได้ กำรสรุปผล ใหแ้ ต่ละหมู่รายงานผลตอ่ ที่ประชุมใหญ่ ผบู้ รรยายบทเรียนน้ีจะกล่าวเพม่ิ เติมอีกก็ได้ บทเรียนน้ีจะนาไปสู่การปราศรัยคร้ังสุดทา้ ยของผอู้ านวยการฝึกอบรม

252 กล่าวปราศรัยคร้ังสุดทา้ ย ควรจะให้ส้ัน ยวั่ ยุให้เกิดกาลงั ใจ และควรพูดถึงเร่ืองการศึกษา เพิ่มเติมฉบบั ท่ี 2 โอกาสท่ีจะเขา้ รับการฝึ กอบรมต่อไปขา้ งหน้า (จะเป็ นการฝึ กอบรมภายนอกหรือ ภายในกิจการลูกเสือก็ได้) และความช่วยเหลือซ่ึงอาจจะได้มาจากผูต้ รวจการลูกเสือ คณะผูใ้ ห้ ฝึกอบรม หรือจากเพอ่ื นผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั ดว้ ยกนั ดว้ ย

บทบำทและหน้ำทข่ี องผู้กำกบั ลกู เสือวสิ ำมัญ 253 เอกสำรประกอบ (1) กำรเป็ นผู้กำกบั ลูกเสือทม่ี คี ุณภำพ ผกู้ ากบั ลูกเสือจะปฏิบตั ิหนา้ ที่อยา่ งไดผ้ ลดีน้นั มกั คานึงถึงการจดั ใหส้ มดุลกนั ในเร่ืองตอ่ ไปน้ี ภารกิจหนา้ ที่ ความตอ้ งการและทกั ษะของกลุ่มลูกเสือท่ีเกี่ยวขอ้ ง ความตอ้ งการและทกั ษะของลูกเสือแต่ละคน ท้งั เป็ นผูท้ ี่มี ทักษะ และได้รับการฝึ กอบรม วิชาการเพื่อสนองความต้องการน้ันๆ และรู้จกั ใช้ ทรัพยากรท้งั ท่ีเป็นบุคคลและวสั ดุ ตามลาดบั ก่อนหลงั เหมาะสมกบั สภาวการณ์ งำน กล่มุ บุคคล อะไรบา้ งเป็นภารกิจตามหนา้ ที่ของเราในฐานะที่เป็นผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั อะไรควรมาก่อนมาหลงั มี ลาดบั อยา่ งไร กองลูกเสือวิสามญั ของเรามีส่วนเก่ียวขอ้ งกบั กลุ่มลูกเสืออะไรบา้ ง กองของเรามีบทบาท อะไรบา้ ง เรามีความสมั พนั ธ์กบั ลูกเสือวสิ ามญั แตล่ ะคนในกองของเราอยา่ งไรบา้ ง เราในฐานะที่เป็ นผูก้ ากับลูกเสือวิสามัญจาเป็ นต้องมีทักษะทางลูกเสือและทักษะชีวิต อะไรบา้ งเพอ่ื ท่ีจะปฏิบตั ิหนา้ ที่เหล่าน้ีใหไ้ ดผ้ ลดี

เรำจะได้ทกั ษะเหล่ำนีอ้ ย่ำงไร ? 254 ทกั ษะทำงลกู เสือ ได้มำอย่ำงไร จงกาหนดเป้าหมายการทางานของท่านเองสัก 3 อย่าง ในฐานะท่ีท่านเป็ นผูก้ ากับลูกเสือ วสิ ามญั สาหรับเวลา 6 เดือนขา้ งหนา้ น้ี

บทบำทและหน้ำทขี่ องผ้กู ำกับลกู เสือวสิ ำมญั 255 เอกสำรประกอบ (2) ตัวอย่ำงกรณีศึกษำ ใหจ้ ดั ทาเรื่องเพ่อื ทาการพิจารณา โดยใชว้ ธิ ีการศึกษารายกรณี เรื่องที่จะทาน้นั ใหแ้ สดงถึง ความสมั พนั ธ์ของผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั กบั กองลูกเสือวสิ ามญั ท้งั หมด หรือใหส้ ัมพนั ธ์กบั คณะกรรมการประจากองลูกเสือวสิ ามญั เร่ืองเกี่ยวกบั คาปฏิญาณและกฎของลูกเสือ อาจจะใชเ้ ป็น ปัจจยั ในการเขียนเรื่องเพ่ือศึกษาไดอ้ ยา่ งดี หรือจะใชเ้ รื่องดงั ขา้ งล่างน้ี ทาการศึกษากไ็ ด้ “คณะกรรมการประจากองลูกเสือวสิ ามญั ประชุมกนั วางแผนจะนาลูกเสือ วสิ ามญั ไปยงั แมน่ ้าแควนอ้ ย อาเภอไทรโยค จงั หวดั กาญจนบุรี ในการน้ีกองลูกเสือ จะตอ้ งทาการจดั หาเงินโดยวิธีนาสิ่งของมาจาหน่าย สัก 3-4 คร้ัง ลูกเสือสมพรอายุ 17 ปี ไดน้ าผา้ ตดั เครื่องแบบราชการขนาดยาว 10 เมตร มาขาย 2-3 คร้ัง ซ่ึงไดเ้ งินดี พ่ชี าย ของสมพรซ่ึงมีอายุ 24 ปี และไดอ้ อกจากการเป็ นลูกเสือแลว้ ไดต้ ้งั ร้านตดั เส้ือผชู้ าย ไดก้ ล่าว พลางหวั เราะวา่ ผา้ ท่ีสมพรนามาขายเลหลงั น้นั เป็ นผา้ ท่ี “แอบ” เอามาจากร้าน ของเขา เมื่อผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั ซกั ถาม สมพร สมพรบอกวา่ ผา้ เหล่าน้ีบางชิ้นเป็น เศษผา้ และจะทิ้งแลว้ ผา้ บางชิ้นที่พช่ี ายซ้ือไปกเ็ พียงเป็นราคาเล็กนอ้ ยเทา่ น้นั ซ่ึงถือเสมือน วา่ พ่ชี ายไดบ้ ริจาคในการขายเลหลงั เม่ือผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั ไดส้ นทนากบั บิดาสมพร อยา่ งเป็นกนั เองทราบวา่ ผา้ น้นั ไดถ้ ูกขโมยมา แตบ่ ิดาของสมพรเห็นวา่ ไม่เป็นการผดิ อะไร ในการทาเช่นน้นั \" ผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั และ / หรือ คณะกรรมการประจากองลูกเสือ วสิ ามญั ควรจะดาเนินการอยา่ งไร

บทบำทและหน้ำทข่ี องผ้กู ำกบั ลูกเสือวสิ ำมัญ 256 เอกสำรประกอบ (3) คุณลกั ษณะของผ้กู ำกบั ลูกเสือทดี่ ี - จดั สมาชิกใหเ้ ขา้ อยตู่ ามหมู่ - ช่วยสมาชิกเกี่ยวกบั ปัญหาส่วนตวั เขา - ใหค้ วามรับผดิ ชอบแก่สมาชิก - ดูใหเ้ ป็นที่แน่นอนวา่ กิจกรรมต่างๆ ไมม่ ีอนั ตราย หรือไมก่ ่อใหเ้ กิดความเสียหาย - เลือกสมาชิกในกองลูกเสือวสิ ามญั ดว้ ยตนเอง - ส่งเสริมใหส้ มาชิกพฒั นาทกั ษะส่วนตวั - ดูแลใหม้ ีการชาระค่าบารุงอยา่ งสม่าเสมอ - หวงั วา่ สมาชิกจะมาประชุมอยา่ งสม่าเสมอ - ดูแลวา่ สภาพทวั่ ไปของกองลูกเสืออยใู่ นเกณฑด์ ี - เขา้ ใจสมาชิกแต่ละคน - ดูแลวา่ ขอ้ เสนอแนะของตนมีความสัมพนั ธ์กบั กองลูกเสือวสิ ามญั อื่น และกบั กลุ่ม และ สัมพนั ธ์กบั องคก์ ารเยาวชนอื่น - รู้วา่ กองลูกเสือวสิ ามญั ของตนมีความสมั พนั ธ์กบั กองลูกเสือวสิ ามญั อ่ืน และกบั กลุ่ม และ สมั พนั ธ์กบั องคก์ ารเยาวชนอื่น - ดูแลและสนทนากบั สมาชิกแตล่ ะคนยอยา่ งสม่าเสมอ - ทางานเก่ียวกบั การวางแผนและการจดั งานอยา่ งดี - เคร่งครัดในการตรงต่อเวลาเก่ียวกบั งานกาหนดการของกอง - บนั ทึกไวใ้ นการตรงต่อเวลาเก่ียวกบั งานกาหนดการของกอง - บอกใหส้ มาชิกทราบวา่ เขาจะตอ้ งทาอะไรบา้ ง เพยี งไร - ฝึกอบรมสมาชิกใหร้ ่วมมือกนั ทางาน - แจง้ ใหส้ มาชิกทราบถึงเร่ืองที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร - มอบใหค้ ณะกรรมการประจากองลูกเสือวสิ ามญั ปฏิบตั ิงานไปตามความรับผดิ ชอบของ คณะกรรมการ - รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในกองอยา่ งดี - อนุญาตใหส้ มาชิกมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ลงมติ - รู้จกั “ภูมิหลงั ” ของสมาชิกแตล่ ะคน - บอกใหส้ มาชิกรักษาสถานที่ใหส้ ะอาดและเป็นระเบียบ - รู้วา่ เม่ือไรบางสิ่งบางอยา่ งก่อใหเ้ กิด หรือ อาจจะก่อใหเ้ กิดความยงุ่ ยาก

257 - จดั ใหม้ ีการติดต่อและการแข่งขนั กบั กองลูกเสือวสิ ามญั อ่ืน - ดูแลวา่ อุปกรณ์ไดเ้ กบ็ รักษาไวอ้ ยา่ งเรียบร้อย - จดั การประชุมสมาชิกครบคณะอยา่ งสม่าเสมอ เพอื่ ทาความตกลงกนั ในเร่ืองต่างๆ - ตรวจสอบเรื่องต่างๆ ท่ีเกี่ยวกบั การเงิน - ยอมรับผดิ และไมต่ าหนิผูอ้ ่ืน - แสดงความคิดเห็นของคนอยา่ งชดั เจน เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร - เป็นนกั ปาฐกที่ดี - ไมย่ อมใหม้ ีการร่วมกลุ่มรวมแกง๊ ในกองลูกเสือวสิ ามญั - ไมม่ ีใครเป็นคนรักโดยเฉพาะ - ไมเ่ ป็นเพื่อนจนเกินไปกบั สมาชิก - แบ่งสมาชิกใหท้ างานตามท่ีเขาถนดั - อธิบายกฎของขนบธรรมเนียมประเพณีของกองใหส้ มาชกที่มาใหมท่ ราบ - บอกกบั ผชู้ ่วยทางานวา่ เขาทางานไดด้ ีหรือไม่ - รู้วา่ ตนเองมีความรับผดิ ชอบต่อใคร - มีความสามารถอยา่ งดีในกิจกรรมแทบทุกอยา่ งของกอง - ขจดั สมาชิกที่ก่อความยงุ่ ยากใหห้ มดไป - ทาใหส้ มาชิกตอ้ งการยอมรับคา่ นิยมที่ดี - มีการควบคุมตวั เองอยา่ งดี - เขา้ กบั ผบู้ งั คบั บญั ชาลูกเสืออ่ืนไดด้ ี - ขจดั ความเดือดร้อนต่างๆ ซ่ึงทุกฝ่ ายพอใจ - แจง้ คณะกรรมการกลุ่มทราบวา่ มีอะไรเกิดข้ึนบา้ ง - ใชเ้ วลา ณ ที่ทางานที่กองลูกเสือวสิ ามญั อยา่ งสม่าเสมอแต่ละสัปดาห์ - จะหาตวั ไดเ้ สมอ ณ ที่ทางานกองลูกเสือวสิ ามญั เม่ือมีการประชุมในเวลาท่ีกาหนด - ฟังความคิดเห็นของสมาชิก - ไม่ตระหนกตกใจ

เรื่อง กำรปฐมพยำบำล 258 บทเรียนที่ 17 เวลำ 75 นำที ขอบข่ำยวชิ ำ 1. หลกั การความหมาย และความจาเป็นของการปฐมพยาบาลที่มีตอ่ มนุษย์ 2. วธิ ีการปฐมพยาบาล ต่ออาการงนั (Shock) การถูกกระแสไฟฟ้าดูด การช่วยคนจมน้า การผายปอด การนวดหวั ใจ การหา้ มเลือด การหา้ มเลือดกาเดา และการเขา้ เฝือกชว่ั คราว จุดหมำย รู้และเลือกวธิ ีการปฐมพยาบาลผปู้ ่ วยไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ วตั ถุประสงค์ เมื่อจบบทเรียนน้ีแลว้ ผเู้ ขา้ รับการฝึกอบรมควรจะสามารถ 1. บรรยายไดว้ า่ การปฐมพยาบาลมีความหมายและความจาเป็ นแก่มนุษยอ์ ยา่ งไรบา้ ง 2. ระบุไดว้ า่ หลกั การทว่ั ไปของการปฐมพยาบาลมีอะไรบา้ ง 3. ปฏิบตั ิการปฐมพยาบาลอาการงนั (Shock) การถูกกระแสไฟฟ้าดูด การช่วยคนจมน้า การผายปอด การนวดหวั ใจ การหา้ มเลือดกาเดา และการเขา้ เฝื อกชว่ั คราวได้ วธิ ีสอน/กจิ กรรม 15 นาที 1. บรรยาย 50 นาที 2. ฝึกการปฏิบตั ิจริงโดยใชร้ ะบบฐาน 10 นาที 3. สรุป สื่อกำรสอน 1. เอกสารประกอบการบรรยาย เรื่อง “การปฐมพยาบาล” 2. เคร่ืองมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ท่ีจาเป็นสาหรับการปฐมพยาบาล กำรประเมินผล 1. สงั เกตพฤติกรรม 2. ทดสอบ

259 เนื้อหำวชิ ำ ศึกษาจากเอกสาร “การปฐมพยาบาล” ของสภากาชาดไทย ในประเทศที่นิยมการปกครองแบบประชาธิปไตยน้นั เป็ นที่เขา้ ใจกนั วา่ ผนู้ าในทุกระดบั ของ ชุมชน พร้อมที่จะปฏิบตั ิงานใด ๆ นอกเหนือจากหนา้ ท่ีของตน เพ่ือประโยชนส์ ่วนรวมของชุมชน น้นั จะเห็นไดว้ า่ จากตวั อยา่ งของสโมสรหรือหน่วยงาน องคก์ ารต่าง ๆ เช่น สโมสรโรตารี สโมสรไลออน องคก์ ารเยาวชน ซ่ึงรวมถึงคณะลูกเสือและเนตรนารีดว้ ย จะออกไปช่วยเหลือ ใหบ้ ริการแก่ชุมชนอยเู่ สมอมา ถา้ หากขาดการช่วยเหลือและการใหบ้ ริการของหน่วยงานดงั ท่ีได้ ยกตวั อยา่ งมาแลว้ ความอบอุ่นใจความผาสุกใจของมนุษยท์ ี่กาลงั ตกยาก คงจะหาไดย้ ากเป็นแน่แท้ ปัจจุบนั น้ี สังคมเรากาลงั เจริญกา้ วหนา้ ไปอยา่ งมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องการคมนาคม สัญจรไปมา มกั จะมีขา่ วอุบตั ิเหตุเกิดข้ึนบอ่ ยคร้ัง ลูกเสือวสิ ามญั ท่ีไปประสบเหตุการณ์ในอุบตั ิเหตุ ตา่ ง ๆ อาจจาเป็นตอ้ งเขา้ ทาการช่วยเหลือฉะน้นั การท่ีเป็นผมู้ ีความรู้ในเรื่องการปฐมพยาบาลไวบ้ า้ ง จึงเป็นเรื่องดีและจาเป็ น

กำรปฐมพยำบำล 260 เอกสำรประกอบ กำรปฐมพยำบำล การปฐมพยาบาลคือการช่วยเหลือเบ้ืองตน้ แก่ผทู้ ่ีไดร้ ับการเจบ็ จากอุบตั ิเหตุหรือจากการ เจบ็ ป่ วย เพ่ือใหผ้ นู้ ้นั มีอนั ตรายนอ้ ยลงหรือปลอดภยั และทาใหแ้ พทยท์ ่ีจะมาช่วยเหลือตอ่ ไป ไดท้ า การรักษาพยาบาล ไดด้ ีและสะดวกรวดเร็วยงิ่ ข้ึนอีกยอ่ มจะทาใหผ้ ปู้ ่ วยน้นั รอดพน้ จากความบาดเจบ็ พิการหรือจากความตายได้ การปฐมพยาบาลเป็นส่ิงที่อยูใ่ นระหวา่ งความเป็นกบั ความตาย ระหวา่ งการฟ้ื นไขโ้ ดยเร็วกบั ความ ป่ วยเร้ือรังระหวา่ งการขาดอาชีพชวั่ ระยะหน่ึงกบั ความพกิ ารตลอดชีวติ เป็ นวธิ ีการท่ีปฏิบตั ิ ก่อนถึงแพทย์ ไม่วา่ จะเป็นในชีวติ ประจาวนั ในสนามรบ ในคา่ ยพกั แรม ในงานฝึกอบรม ในการร่วม ชุมนุม ฯลฯ การปฐมพยาบาลยอ่ มมีส่วนร่วมอยูด่ ว้ ยเสมอ เพราะอาจมีอุบตั ิเหตุหรืออนั ตรายเกิดข้ึน เมื่อใดกไ็ ด้ เช่น หกลม้ ตกบนั ได ถูกรถชน มีดบาด ตะปูตา ถูกแทง ถูกยงิ ตกจากที่สูง ตกน้า ถูกควนั ไอพษิ ถูกสะเก็ดหินเขา้ ตา ผูท้ ี่รู้การปฐมพยาบาลท่ีประสบเหตุการณ์เหล่าน้ียอ่ มจะเป็ นท่ีไดช้ ่วยเหลือ เพ่อื มนุษยใ์ หป้ ลอดภยั ดว้ ยวิธีการอนั ถูกตอ้ งตามหลกั ถา้ ไมร่ ู้วธิ ีการช่วย แมจ้ ะไปช่วยดว้ ยความมี มนุษยธรรม กอ็ าจทาใหก้ ารบาดเจบ็ เล็กนอ้ ยน้นั กลายเป็ นมากไดห้ รืออาจทาใหแ้ พทยผ์ จู้ ะมาช่วย ต่อไปตอ้ งลาบากในการรักษาก็ได้ เช่น ผปู้ ่ วยตกบนั ไดสูง กระดูกสนั หลงั ที่ตน้ คอต่อเคลื่อนและหกั เมื่อญาติพบเขา้ หวงั จะอุม้ ไปส่งแพทย์ แต่ไมท่ ราบวธิ ีการปฐมพยาบาลกเ็ ขา้ อุม้ อยา่ งธรรมดา คือเขา้ ชอ้ นตวั ท่ีใตข้ อ้ พบั และขาใตร้ ะดบั รักแร้อีกมือหน่ึงพอยกข้ึนจากพ้นื ที่นอนอยู่ คอหงายไปขา้ งหลงั กรุบเดียวเท่าน้นั กห็ ยดุ หายใจและตายไปคามือ หรือไม่กเ็ ป็นอมั พาตพิการไปตลอดชีวิต จะเห็นไดว้ า่ การอบรมวชิ าการปฐมพยาบาลยอ่ มเป็นสิ่งจาเป็นแก่มนุษยท์ ุกคน มิใช่จะจากดั วงอยแู่ ต่ในพวกแพทย์ พยาบาลหรือผชู้ ่วยพยาบาลเทา่ น้นั เพราะอุบตั ิเหตุอาจเกิดข้ึนไดโ้ ดยไม่เลือก เวลาและสถานที่ ซ่ึงถา้ ลูกเสือทุกคนจะเรียนรู้การปฐมพยาบาลตา่ ง ๆ แลว้ ก็ยอ่ มจะสามารถช่วยเหลือ ซ่ึงกนั และกนั เป็นอยา่ งดี ไม่ตอ้ งมวั รอตามหรือรอรับความช่วยเหลือจากแพทยใ์ หเ้ สียเวลาและเสีย เลือดเน้ือไปโดยไร้ประโยชน์ เพราะถา้ จนกวา่ แพทยจ์ ะมาถึงก็อาจสายเกินแกจ้ นถึงกนั เสียชีวติ ได้ หลกั ทว่ั ไปของกำรปฐมพยำบำล 1. อยา่ ตื่นเตน้ ตกใจ 2. ปฏิบตั ิการดว้ ยความรวดเร็ว 3. ปลอบใจผปู้ ่ วยใหส้ งบ ใหค้ วามอบอุน่ และนอนในทา่ ท่ีสบายไมข่ ดั ต่อการปฐมพยาบาล 4. ขยายเครื่องแต่งตวั ใหห้ ลวม

261 5. อยา่ ใหค้ นมุงดู ในเมื่อจาเป็นกใ็ หข้ อร้องเป็ นราย ๆ เทา่ ท่ีสามารถจะช่วยได้ 6. รีบติดต่อแพทยห์ รือโรงพยาบาลหรือขอรถพยาบาลโดยเร็ว 7. อยา่ ใหผ้ ปู้ ่ วยไดเ้ ห็นบาดแผลของตวั เอง ในรายท่ีรุนแรงอยา่ แจง้ ใหท้ ราบวา่ สาหสั 8. พยายามใหก้ ารปฐมพยาบาลต่อสิ่งท่ีจะเป็นอนั ตรายมากก่อนเสมอ เช่นรีบทาการหา้ ม เลือดก่อนท่ีจะใหก้ ารปฐมพยาบาลกระดูกหกั เป็นตน้ 9. ผบู้ าดเจบ็ มีอาการอาเจียน ใหน้ อนศีรษะต่าและตะแคงหนา้ ไปขา้ งใดขา้ งหน่ึงเพื่อกนั มิใหส้ าลกั อาเจียนน้นั เขา้ ไปในหลอดลมและปอด ข้อควรจำ - อยา่ ลืมช่วยผายปอดเมื่อจาเป็ น เช่น มีการหยดุ หายใจ - อยา่ ลืมเอาส่ิงแปลกปลอมออกจากปากผปู้ ่ วยที่หมดสติ - อยา่ ปล่อยใหเ้ ลือดไหลโดยไม่รับทาการหา้ มเลือด - อยา่ ลืมสงั เกตอาการ ช็อค ที่มีอยู่ - อยา่ ใหผ้ ปู้ ่ วยท่ีสลบหมดสติด่ืมน้าหรือกินยา - อยา่ แตะตอ้ งบาดแผลของผปู้ ่ วยดว้ ยมือไม่สะอาด - อยา่ ทาใหผ้ วิ หนงั ผบู้ าดเจบ็ พองไหมเ้ พราะการวางกระเป๋ าน้าร้อนหรือขวดน้าร้อน โดยไมไ่ ดห้ ุม้ ห่อเสียก่อน - อยา่ เคล่ือนไหวผปู้ ่ วยที่มีกระดูกหกั หรือสงสัยวา่ กระดูกหกั โดยไมไ่ ดเ้ ขา้ เฝือก ชวั่ คราวก่อน - อยา่ เคลื่อนไหวผปู้ ่ วยโดยไมจ่ าเป็น เพราะอาจทาใหม้ ีอนั ตรายเพม่ิ มากข้ึน SHOCK (อำกำรงัน) ช็อค คือ อาการรุนแรงชนิดหน่ึง ซ่ึงเกิดข้ึนเนื่องจากการทางานของร่างกายทุกส่วนอ่อน กาลงั ลง โดยเฉพาะระบบการหมุนเวยี นของโลหิตและระบบประสาท ทาใหโ้ ลหิตข้ึนสู่สมองนอ้ ยลง ทนั ที ช็อค จะเกิดข้ึนในเมื่อมีการบาดเจบ็ ทุกราย ไมม่ ากกน็ อ้ ย อาจรุนแรงจนถึงแก่ชีวติ ได้ แตก่ ็ สามารถแกไ้ ขได้ และจาเป็นตอ้ งรีบช่วยเหลือจึงจะปลอดภยั อำกำร - หนา้ ซีดมีเหงื่อเพม่ิ ข้ึนทว่ั ตวั - ชีพจรอ่อนและเร็ว หายใจไม่สม่าเสมอ - คลื่นไส้หรืออาเจียน ในบางรายอาจสลบหมดสติไดร้ ูม่านตาขยาย

262 กำรช่วยเหลือ 1. ตามแพทยช์ ่วยหรือนาส่งแพทย์ ระหวา่ งน้ีควรใหค้ วามอบอุน่ ให้ผปู้ ่ วยนอนในท่าราบ ศีรษะต่า คว่าลาตวั โดยยกปลายเทา้ ข้ึนสูง 2. ถา้ สลบหมดสติตอ้ งใหน้ อนคว่าเสมอ และตรวจดูปากคอทางเดินของลมหายใจให้หายใจ สะดวก อยา่ ใหล้ ิ้นตกปิ ดหลอดลม ถา้ สลบหมดสติตอ้ งใหน้ อนคว่าเสมอ 3. บารุงหวั ใจ เช่น ใหด้ ื่มกาแฟดาอุ่น ๆ ถา้ รู้สึกตวั และไม่มีบาดแผลท่ีช่องทอ้ ง 4. ในรายที่มีการตกเลือดอยา่ งแรงตอ้ งรีบหา้ มเลือดก่อน โดยยกส่วนท่ีไมม่ ีเลือดออกมาให้ สูงข้ึน หรือพนั ผา้ กดใหแ้ น่นหรือขนั ชะเนาะจนเลือดหยดุ แลว้ จึงใหย้ าบารุงหวั ใจได้ (กาแฟ ดาอุ่นๆ) 5. ถา้ หยดุ หายใจ ใหร้ ีบทาการผายปอด กำรหำยใจขัด เม่ือมีการหายใจขดั หายใจลาบากหรือหยุดหายใจ จะตอ้ งรีบทาการผายปอดโดยด่วน การหายใจขดั อาจเกิดข้ึนเนื่องจาก 1. สาลกั หรือถูกรัดคอ บีบคอ 2. ถูกกระแสไฟฟ้าดูด 3. จมน้า 4. ถูกแกส๊ พษิ ควนั พิษ เช่น ไอเสียจากท่อรถยนต์ แกส๊ จุดไฟหุงตม้ เผาไหมไ้ ม่หมดเพราะ อบั อากาศ 5. มีสิ่งแปลกปลอมอุดในหลอดลม

263 กำรปฏิบัติ ใหผ้ ปู้ ่ วยนอนในที่มีอากาศโปร่ง เอาฟันปลอมออกจากปาก ลว้ งคอเอาเสมหะหรือส่ิง แปลกปลอมท่ีอาจขดั ขวางต่อการหายใจออกมา ถา้ ลิ้นตกไปขา้ งหลงั ปิ ดหลอดลมใหใ้ ชผ้ า้ จบั ลิ้นดึง ออกมาเพ่ือใหห้ ายใจสะดวกข้ึน แลว้ รีบผายปอด กำรถูกรัดคอ – บบี คอ โดยมากมกั เกิดข้ึนจากการผกู คอตาย ใหร้ ีบตดั เชือกหรือผา้ และแกอ้ อกโดยเร็วและขยาย- เคร่ืองแต่งกายใหห้ ลวมแลว้ รีบผายปอดโดยด่วน การหายใจไมอ่ อก อาจเนื่องจากอุบตั ิเหตุโดยมีอะไรกระแทกหนา้ อกอยา่ งแรง เช่น ถูกศีรษะ ชนท่ีหนา้ อก ใหก้ ารช่วยเหลืออยา่ งง่าย ๆ ก่อน เช่น ใหด้ มแอมโมเนียหอม ถา้ ยงั ไม่หายใจใหร้ ีบผาย ปอด โดยปฏิบตั ิการช่วยฟ้ื นคืนชีพ (Cardiopulmonary resuscitation :CPR)

264 ถูกกระแสไฟฟ้ำดูด ถา้ สามารถทาไดใ้ หร้ ีบปิ ดสวติ ซ์ทนั ที แลว้ ดึงผปู้ ่ วยออกมา ถา้ ยงั มีกระแสไฟฟ้าแล่นอยใู่ หใ้ ชผ้ า้ แหง้ คลอ้ งตวั ผบู้ าดเจบ็ ดึงออกมา ระวงั อยา่ ถูกตอ้ งตวั ผบู้ าดเจบ็ จนกระแสไฟฟ้าดูดตวั เอง ได้ และอยา่ ใชผ้ า้ เปี ยก รีบทาการผายปอดทนั ที โดยวธิ ีเป่ า ปากจนกวา่ จะหายใจเองได้ ส่วนที่ไหมเ้ พราะ ถูกสายไฟดูด ค่อยจดั การภายหลงั คนจมนำ้ - เม่ือช่วยข้ึนมาแลว้ ใหร้ ีบขยายเครื่องแตง่ กายใหห้ ลวม (ถา้ มี) - รีบลว้ งเอาสิ่งแปลกปลอมท่ีอยใู่ นปากในคอออกมาใหห้ มด - ถา้ ผปู้ ่ วยยงั หายใจอยกู่ ็ใหค้ วามอบอุ่น - ถา้ ผปู้ ่ วยไม่หายใจ จบั ชีพจรดูดว้ ย ถา้ ยงั เตน้ อยใู่ หน้ อนคว่าแลว้ รีบทาการผายปอด เอาน้า ออกจากปอดเพ่ือใหอ้ ากาศถ่ายเขา้ ได้ จนหายใจไดเ้ ป็นปกติแลว้ จึงนาส่งโรงพยาบาล ถูกควนั หรือไอพษิ ส่วนใหญ่มกั จะเกิดข้ึนเนื่องจากการเผาไหมไ้ ม่หมดจากแก๊สจุดไฟของทอ่ ในแก๊ส ในหอ้ ง ปิ ดทึบหรือเกิดจากทอ่ ไปเสียรถยนต์ ซ่ึงส่วนมากเป็นแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ ในรายท่ีมีอาการเล็กนอ้ ย จะมีอาการปวดศีรษะ หาวนอน คลื่นไส้ แขนขาอ่อนเพลีย ถา้ เป็นมากจะสลบบางทีผวิ หนงั มีสีชมพู ผวิ หนงั อาจพองและมีอนั ตรายถึงตายได้ กำรช่วยเหลือ - เปิ ดหนา้ ตา่ งประตูใหก้ วา้ งเพื่อใหล้ มถ่ายเทได้ อยา่ เผลอจุดไมข้ ีดไฟ - รีบนาผปู้ ่ วยไปอยใู่ นที่ท่ีมีอากาศโปร่ง แลว้ รีบทาการผายปอดทนั ที และรีบตามแพทย์ มาช่วยเหลือต่อไป - ถา้ มีออกซิเจนกใ็ หด้ ม

265 ส่ิงแปลกปลอมติดคอ - อาจเป็นเมล็ดผลไม้ เงินเหรียญ กระดาษ ใบผกั ฯลฯ - ถา้ เป็นเด็กโตหรือผใู้ หญ่ ใหย้ นื กม้ ตวั มาก ๆ หอ้ ยหวั ลง ผปู้ ฐมพยาบาลเขา้ ขา้ งหลงั ใช้ แขนซา้ ย สอดร้ังเอาไว้ แลว้ ใชม้ ือขวาตบกลางหลงั แรง ๆ อาจไอออกมาได้ - ถา้ ไมอ่ อกรีบนาส่งแพทย์ ก. ส่ิงแปลกปลอมติดคอ ข. สิ่งแปลกปลอมติดคอและการช่วยเหลือ กำรผำยปอดด้วยวธิ ีปฏบิ ตั กิ ำรช่วยฟื้ นคืนชีพ (Cardio Pulmonary resuscitation :CPR) หมายถึง การช่วยเหลือผทู้ ี่หยดุ หายใจหรือหวั ใจหยดุ เตน้ ใหม้ ีการหายใจและการไหลเวียน กลบั คืนสู่สภาพเดิม ป้องกนั เน้ือเยือ่ ไดร้ ับอนั ตรายจากการขาดออกซิเจนอยา่ งถาวร ซ่ึงสามารถทาได้ โดยการช่วยฟ้ื นคืนชีพข้นั พ้ืนฐาน (Basic life support) ไดแ้ ก่ การผายปอด และการนวดหวั ใจภายนอก

266 ภำวะหยุดหำยใจและหวั ใจหยุดเต้น ภาวะหยดุ หายใจ (respiratory arrest) และภาวะหวั ใจหยดุ เตน้ (cardiac arrest) - เป็นภาวะท่ีมี การหยดุ การทางานของอวยั วะในระบบทางเดินหายใจและการไหลเวยี นเลือด ส่วนมากมกั จะพบวา่ มี การหยดุ หายใจก่อนเกิดภาวะหวั ใจหยดุ เตน้ และ ถา้ ไม่ไดร้ ับการช่วยเหลือท่ีถูกตอ้ ง จะทาใหเ้ สียชีวติ ได้ สำเหตุของกำรหยดุ หำยใจ 1) ทางเดินหายใจอุดตนั จากสาเหตุต่างๆ เช่น จากส่ิงแปลกปลอมอุดก้นั ทางเดินหายใจ การ แขวนคอ การถูกบีบรัดคอ การรัดคอ เป็นตน้ ในเด็กเลก็ สาเหตุจากการหยดุ หายใจที่พบได้ มากที่สุดคือ การสาลกั สิ่งแปลกปลอมเขา้ หลอดลม เช่น ของเล่นชิ้นเล็ก ๆ เมล็ดถว่ั เป็ นตน้ 2) มีการสูดดมสารพิษ แก็สพิษ ควนั พษิ 3) การถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงดูด 4) การจมน้า 5) การบาดเจบ็ ที่ทรวงอก ทาให้ทางเดินหายใจไดร้ ับอนั ตรายและเน้ือเย่ือไดร้ ับบาดเจบ็ 6) โรคระบบประสาท เช่น บาดทะยกั ไขสันหลงั อกั เสบ ทาใหก้ ลา้ มเน้ือหายใจเป็นอมั พาต 7) การไดร้ ับสารพษิ จากแมลงสัตวก์ ดั ต่อย เช่น ผ้งึ ตอ่ แตน ตอ่ ยบริเวณคอ หนา้ ทาใหม้ ีการ บวมของเน้ือเยื่อของทางเดินหายใจและหลอดลมมีการหดเกร็ง 8) การไดร้ ับยากดศูนยค์ วบคุมการหายใจ เช่น มอร์ฟี น ฝ่ิน โคเคน บาร์บิทูเรต ฯลฯ 9) โรคหวั ใจ เช่น กลา้ มเน้ือหวั ใจขาดเลือดไปเล้ียงอยา่ งเฉียบพลนั 10) มีการติดเช้ือของระบบทางเดินหายใจ และมีภาวะหายใจวายจากสาเหตุต่างๆ สำเหตุของหัวใจหยดุ เต้น 1) หวั ใจวายจากโรคหวั ใจ จากการออกกาลงั กายมากเกินปกติ หรือตกใจหรือเสียใจกระทนั หนั 2) มีภาวะช็อคเกิดข้ึนอยา่ งเฉียบพลนั จากการสูญเสียเลือดมาก ทาใหก้ ลา้ มเน้ือหวั ใจขาดเลือด หรือมีเลือดมาเล้ียงไมเ่ พียงพอ 3) ทางเดินหายใจอุดก้นั ทาใหก้ ลา้ มเน้ือหวั ใจไดร้ ับออกซิเจนไมเ่ พยี งพอ 4) การไดร้ ับยาเกินขนาดหรือการแพ้ ข้อบ่งชี้ในกำรปฏิบตั ิกำรช่วยฟื้ นคืนชีพ 1) ผทู้ ี่มีภาวะหยดุ หายใจ โดยที่หวั ใจยงั คงเตน้ อยปู่ ระมาณ 2-3 นาที ใหผ้ ายปอดทนั ที จะช่วย ป้องกนั ภาวะหวั ใจหยดุ เตน้ ได้ และช่วยป้องกนั การเกิดภาวะเน้ือเยอ่ื สมองขาดออกซิเจนอยา่ งถาวร 2) ผทู้ ่ีมีภาวะหยดุ หายใจและหวั ใจหยดุ เตน้ พร้อมกนั ซ่ึงเรียกวา่ clinical death การช่วยฟ้ื น คืนชีพทนั ทีจะช่วยป้องกนั การเกิด biological death คือ เน้ือเยอื่ โดยเฉพาะเน้ือเยอื่ สมองขาดออกซิเจน

267 ระยะเวลาของการเกิด biological death หลงั จาก clinical death ยงั ไม่มีใครทราบแน่ชดั แต่ โดยทว่ั ไป มกั จะเกิดช่วง 4-6 นาที หลงั เกิด clinical death ดงั น้นั การปฏิบตั ิการช่วยฟ้ื นคืนชีพจึงควร ทาภายใน 4 นาที ลำดบั ข้นั ในกำรปฏิบัติกำรช่วยฟื้ นคืนชีพ การปฏิบตั ิการช่วยฟ้ื นคืนชีพ ข้นั พ้ืนฐานประกอบดว้ ย 3 ข้นั ตอนใหญส่ าคญั คือ A B C ซ่ึงตอ้ งทา ตามลาดบั คือ 1. A - Airway : การเปิ ดทางเดินหายใจให้โล่ง 2. B - Breathing : การช่วยใหห้ ายใจ 3. C - Circulation : การนวดหวั ใจเพ่อื ช่วยใหเ้ กิดเลือดไหลเวยี นอีกคร้ัง ภำพท่ี 1 ปฏิบตั ิการช่วยฟ้ื นคืนชีพ A B C 1. A : Airway หมายถึง การเปิ ดทางเดินหายใจใหโ้ ล่ง ซ่ึงเป็ นการปฏิบตั ิการข้นั แรก ที่ตอ้ ง ทาอยา่ งรวดเร็ว เพราะเนื่องจากโคนลิ้นและกล่องเสียงมีการตกลงไปอุดทางเดินหายใจ ส่วนบนในผปู้ ่ วยท่ีหมดสติ ดงั น้นั จึงตอ้ งมีการเปิ ดทางเดินหายใจใหโ้ ล่ง โดยการดดั คาง ข้ึนร่วมกบั การกดหนา้ ผากใหห้ นา้ แหงนเรียกวา่ \"head tilt chin lift\" ภำพท่ี 2 ทางเดินหายใจที่เปิ ดและปิ ด

268 ภำพที่ 3 head tilt chin lift ในกรณีท่ีมีกระดูกสันหลงั ส่วนคอหกั หรือในรายท่ีสงสยั ควรใชว้ ธิ ี \"jaw thrust maneuver\" โดยการ ดึงขากรรไกรท้งั สองขา้ งข้ึนไปขา้ งบน ผชู้ ่วยเหลืออยเู่ หนือศีรษะผปู้ ่ วย ภำพท่ี 4 jaw thrust maneuver 2. B : Breathing คือ การช่วยหายใจ เนื่องจากการหายใจหยดุ ร่างกายจะมีออกซิเจนคงอยู่ ในปอดและกระแสเลือด แต่ไม่มีสารองไวใ้ ชด้ งั น้นั เม่ือหยดุ หายใจ จึงตอ้ งช่วยหายใจ เป็นวธิ ีท่ีจะช่วยใหอ้ อกซิเจนเขา้ สู่ปอดผปู้ ่ วยได้ ซ่ึงออกซิเจนท่ีเป่ าออกไปน้นั มีออกซิเจน ประมาณ 16-17 % ซ่ึงเพียงพอสาหรับใชใ้ นร่างกาย สามารถทาไดห้ ลายวธิ ี คือ ดว้ ยการ เป่ าปาก (mouth to mouth) เป่ าจมูก (mouth to nose) และวธิ ีการกดหลงั ยกแขนของโฮล เกอร์ - นิลสนั (back pressure arm lift or Holger - Nielson method) ทาไดด้ งั น้ี

269 2.1 กรณเี ป่ ำปำก บีบจมูกของผปู้ ่ วย ผชู้ ่วยเหลือหายใจเขา้ ปอดลึก ๆ ซกั 2-3 คร้ัง หายใจ เขา้ เตม็ ท่ีแลว้ ประกบปากใหแ้ นบสนิทกบั ปากของผปู้ ่ วย แลว้ เป่ าลมหายใจเขา้ ไปในปอดใหเ้ ตม็ ที่ ภำพที่ 5 การผายปอดดว้ ยวธิ ี Mouth to Mouth 2..2 กรณเี ป่ ำจมูก ใชใ้ นรายท่ีมีการบาดเจบ็ ในปาก หรือในเดก็ เล็ก ตอ้ งปิ ดปากของผปู้ ่ วยก่อน และเป่ าลมหายใจเขา้ ทางจมูกแทน ภำพท่ี 6 การผายปอดดว้ ยวธิ ี Mouth to Nose ขณะท่ีเป่ าใหเ้ หลือบมองยอดอกของผูร้ ับบริการดว้ ยวา่ มีการยกตวั ข้ึนหรือไม่ การเป่ าลม หายใจของผชู้ ่วยเหลือผา่ นทางปากหรือจมูก จะตอ้ งทาอยา่ งชา้ ๆ ปล่อยปากหรือผชู้ ่วยเหลือออกจาก ปากหรือจมูกของผปู้ ่ วย เพ่ือใหผ้ ปู้ ่ วยหายใจออก ให้ ผายปอด 2 คร้ัง ๆ ละ 1-1.5 วนิ าที (แตล่ ะคร้ังได้ ออกซิเจน 16 %) อตั ราเร็วในการเป่ า คือ 12 -15 คร้ัง / นาที ใกลเ้ คียงกบั การหายใจปกติ

270 3. C : Circulation คือการนวดหวั ใจภายนอก ทาในรายท่ีประเมินภาวะหวั ใจหยุดเตน้ โดย การจบั ชีพท่ี carotid artery แลว้ ไมพ่ บวา่ มีการเตน้ ของชีพจร กจ็ ะช่วยใหม้ ีการไหลเวยี น ของเลือดโดยการกดนวดหวั ใจภายนอก (cardiac massage) โดยมีหลกั การคือ กดให้ กระดูกหนา้ อก (sternum) ลงไปชิดกบั กระดูกสนั หลงั ซ่ึงจะทาใหห้ วั ใจที่อยรู่ ะหวา่ ง กระดูกท้งั สองอนั ถูกกดไปดว้ ย ทาใหม้ ีการบีบเลือดออกจากหวั ใจไปเล้ียงร่างกาย เสมือนการบีบตวั ของหวั ใจ วธิ ีนวดหวั ใจ 1. จดั ใหผ้ ปู้ ่ วยนอนหงายราบ บนพ้ืนแขง็ ถา้ พ้นื อ่อนนุ่มใหส้ อดไมก้ ระดานแขง็ ใตล้ าตวั 2. วดั ตาแหน่งท่ีเหมาะสาหรับการนวดหวั ใจ โดยใชน้ ิ้วช้ีและนิ้วกลางขา้ งท่ีถนดั วาดจาก ขอบชายโครงล่างของผปู้ ่ วยข้ึนไป จนถึง ปลายกระดูกหนา้ อก วดั เหนือปลายกระดูกหนา้ อก ข้ึนมา 2 นิ้วมือ แลว้ ใชส้ ันมือขา้ งท่ีไมถ่ นดั วางบนตาแหน่งดงั กล่าว และใชส้ นั มือขา้ งที่ถนดั วางทบั ลง ไป และเก่ียวนิ้วมือใหน้ ิ้วมือท่ีวางทบั แนบชิดในร่องนิ้วมือของมือขา้ งล่าง (interlocked fingers) ยก ปลายนิ้วข้ึนจากหนา้ อก 3. ผชู้ ่วยเหลือยดื ไหล่และแขนเหยยี ดตรง จากน้นั ปล่อยน้าหนกั ตวั ผา่ นจากไหล่ไปสู่ลาแขน ท้งั สองและลงไปสู่กระดูกหนา้ อกในแนวต้งั ฉากกบั ลาตวั ของผเู้ จบ็ ป่ วยในผใู้ หญ่และเด็กโต กดลงไป ลึกประมาณ 1.5-2 นิ้วใหก้ ดลงไปในแนวดิ่งและอยา่ กระแทก 4. ผอ่ นมือที่กดข้ึนให้เตม็ ท่ีเพื่อใหท้ รวงอกมีการขยายตวั และหวั ใจไดร้ ับเลือดที่อุดมไปดว้ ย ออกซิเจน ขณะที่ผอ่ นมือไม่จาเป็นตอ้ งยกมือข้ึนสูง มือยงั คงสมั ผสั อยทู่ ี่กระดูกหนา้ อก อยา่ ยกมือออก จากหนา้ อก จะทาใหม้ ีเลือดไปเล้ียงส่วนตา่ ง ๆ ในร่างกาย และมีเลือดไหลกลบั เขา้ สู่หวั ใจ ทาใหม้ ีการ ไหลเวยี นเลือดในร่างกาย 5. การกดนวดหวั ใจจะนวดเป็นจงั หวะสม่าเสมอ ในอตั ราเร็ว 100 คร้ัง/นาที ถา้ นอ้ ยกวา่ น้ีจะ ไมไ่ ดผ้ ล

271 ภำพที่ 9 แสดงการวดั ตาแหน่ง และการกดนวดหวั ใจภายนอก กำรปฏบิ ตั ิในกำรช่วยฟื้ นคืนชีพเบือ้ งต้น 1. เม่ือพบคนนอนอยู่ คลา้ ยหมดสติ ตอ้ งลองตรวจดูวา่ หมดสติจริงหรือไม่ โดยการเรียกและเขยา่ ตวั เขยา่ หรือตบที่ไหล่ ถา้ หมดสติจะไมม่ ีการโตต้ อบ หรือมีเสียงคราง หรือมีการเคลื่อนไหวเพยี งเลก็ นอ้ ย ภำพที่ 10 ตรวจสอบการหมดสติ 2. ประเมินการหายใจโดยการทา look listen and feel - look คือ ดูการเคลื่อนไหวของทรวงอก และหนา้ ทอ้ งวา่ มีการยกตวั ข้ึนหรือไม่ หรือ หายใจหรือไม่ - listen คือ ฟังเสียงลมหายใจ โดยเอียงหูของผชู้ ่วยเหลือเขา้ ไปใกลบ้ ริเวณจมูกและปากของผปู้ ่ วย วา่ ไดย้ นิ เสียงอากาศผา่ นออกมาทางจมูกหรือปากหรือไม่ - feel คือ สัมผสั โดยการใชแ้ กม้ ของผชู้ ่วยเหลือสมั ผสั กบั ความรู้สึกวา่ มีลมหายใจที่ผา่ นออกจาก ปากหรือจมูก อาจใชส้ าลีหรือวสั ดุบางเบาจ่อบริเวณจมูก ภำพที่ 11 แสดงการทา look listen and feel

272 3. ถา้ พบวา่ ไม่หายใจใหเ้ รียกขอความช่วยเหลือจากผอู้ ื่น พร้อมท้งั จดั ท่านอนหงายราบบนพ้ืนแขง็ เริ่ม ข้นั ตอนการปฏิบตั ิการช่วยฟ้ื นคืนชีพ ข้นั ตอนที่ 1 Airway โดยการเปิ ดทางเดินหายใจให้โล่ง ดว้ ยวธิ ี head tilt chin lift หรือ jaw thrust maneuver (ถา้ มีการหกั ของกระดูกสนั หลงั ส่วนคอ) - ดูภาพที่ 3 และ 4 ในหวั ขอ้ Airway 4. ทดสอบการหายใจโดยการทา look listen and feel อีกคร้ังหน่ึงถา้ ยงั ไมห่ ายใจ ใหท้ าข้นั ตอนต่อไป คือ ข้นั ตอนท่ี 2 Breathing คือ เป่ าลมหายใจ 2 คร้ัง - ดูภาพที่ 5 และ 6 ในหวั ขอ้ Breathing 5. ทดสอบวา่ หวั ใจหยดุ เตน้ หรือไม่ดว้ ยการจบั ชีพจร ถา้ ไม่มีการเตน้ ของหวั ใจ เป่ าปากอีก 2 คร้ัง แลว้ ทาcardiac massage ดว้ ยอตั ราเร็ว 100 คร้ัง/นาที โดยการนบั 1 และ2 และ 3 และ……… จนถึง 30 คร้ัง - ดูภาพที่ 9 ในหวั ขอ้ Circulation 6. ทาสลบั กนั อยา่ งน้ี ไปจนครบ 4 รอบ (1 นาที) จึงประเมินการหายใจและการเตน้ ของชีพจร และ ประเมินอีก ทุก 1 นาที 7. ถา้ มีผชู้ ่วยเหลือมาช่วยอีก ใหแ้ บ่งการทาหนา้ ท่ีกนั เช่น ผชู้ ่วยเหลือคนที่ 1 ผายปอด ผชู้ ่วยเหลือคน ที่ 2 กดนวดหวั ใจ ถา้ ผชู้ ่วยเหลือแต่ละคนอาจเหนื่อยและตอ้ งการเปล่ียนหนา้ ท่ีกนั โดยการตะโกนวา่ \"เปลี่ยน\" ก็จะสลบั หนา้ ท่ีกนั ภำพท่ี 12 การปฏิบตั ิการช่วยฟ้ื นคืนชีพ 2 คน 8. ใหป้ ฏิบตั ิการช่วยฟ้ื นคืนชีพข้นั พ้ืนฐานอยา่ งต่อเน่ืองจนกระทง่ั มีบุคลากรนาอุปกรณ์มาช่วยเหลือ เพ่มิ เติม และรีบนาส่งโรงพยาบาลท่ีใกลท้ ่ีสุดทนั ที

273 กำรจัดท่ำผู้ป่ วยหลงั ปฏิบัตกิ ำรช่วยฟื้ นคืนชีพ หลงั ปฏิบตั ิการช่วยฟ้ื นคืนชีพ จนกระทง่ั ผปู้ ่ วยมีชีพจรและหายใจไดเ้ องแลว้ แตย่ งั หมดสติอยู่ หรือพบผปู้ ่ วยหมดสติ แตย่ งั มีชีพจรและหายใจอยู่ ควรจดั ใหอ้ ยใู่ นท่าพกั ฟ้ื น (recovery position) ซ่ึง ท่าน้ีจะช่วยป้องกนั ลิ้นตกไปอุดก้นั ทางเดินหายใจ ช่วยใหน้ ้าลายหรือเสมหะไหลออกจากปากได้ ทา ใหป้ ลอดภยั จากการสูดสาลกั การจดั ทา่ ทาไดด้ งั น้ี 1. นง่ั คุกเข่าขา้ ง ๆ ผปู้ ่ วย ทา head tilt chin lift เหยยี ดขาผปู้ ่ วยใหต้ รง จบั แขนดา้ นใกลต้ วั งอและ หงายมือข้ึนดงั ภาพ ภำพที่ 14 การจบั แขนดา้ นใกลต้ วั 2. จบั แขนดา้ นไกลตวั ขา้ มหนา้ อกมาวางมือไวท้ ่ีแกม้ อีกขา้ งหน่ึง ภำพที่ 15 จบั แขนดา้ นไกลตวั

274 3. ใชแ้ ขนอีกขา้ งหน่ึงจบั ขาไว้ ดึงพลิกตวั ผปู้ ่ วยใหเ้ ขา่ งอขา้ มตวั มาดา้ นที่ผปู้ ฏิบตั ิอยู่ ใหผ้ ปู้ ่ วยอยใู่ น ทา่ ตะแคง ภำพที่ 16 การจบั ดึงใหพ้ ลิกตวั 4. จบั ศีรษะแหงนเล็กนอ้ ย เพื่อเปิ ดทางเดินหายใจใหโ้ ล่ง ปรับมือให้อยใู่ ตแ้ กม้ และจดั ขาใหง้ อ เลก็ นอ้ ย อนั ตรายของการทา CPR ไม่ถูกวธิ ี 1. วางมือผดิ ตาแหน่ง ทาใหซ้ ี่โครงหกั , xiphoid หกั , กระดูกท่ีหกั ทิ่มโดนอวยั วะสาคญั เช่น ตบั มา้ ม เกิดการตกเลือดถึงตายได้ 2. การกดดว้ ยอตั ราเร็วเกินไป เบาไป ถอนแรงหลงั กดไมห่ มด ทาใหป้ ริมาณเลือดไปถึงอวยั วะ ต่างๆ ที่สาคญั ไดน้ อ้ ย ทาใหข้ าดออกซิเจน 3. การกดแรงและเร็วมากเกินไป ทาใหก้ ระดูกหนา้ อกกระดอนข้ึน ลงอยา่ งรวดเร็ว หวั ใจช้า เลือดหรือกระดูกหกั ได้ 4. การกดหนา้ อกลึกเกินไป ทาใหห้ วั ใจชอกช้าได้ 5. การเปิ ดทางเดินหายใจไม่เตม็ ท่ี เป่ าลมมากเกินไป ทาใหล้ มเขา้ กระเพาะอาหาร เกิดทอ้ งอืด อาเจียน ลมเขา้ ปอดไมส่ ะดวก ปอดขยายตวั ไม่เตม็ ที่ ถา้ มีอาการอาเจียนเกิดข้ึนก่อน หรือ ระหวา่ งการ ทา CPR ตอ้ งลว้ งเอาเศษอาหารออกก่อน มิฉะน้นั จะเป็นสาเหตุของ การอุดตนั ของทางเดินหายใจ (airway obstruction) การช่วยหายใจไมไ่ ดผ้ ล เกิดการขาดออกซิเจน ถา้ มีอาการทอ้ งอืดข้ึน ระหวา่ ง การทา CPR ใหจ้ ดั ทา่ เปิ ดทางเดินหายใจใหม่ และช่วยการหายใจดว้ ยปริมาณลมที่ไม่มากเกินไป

275 กำรตกเลือด – กำรห้ำมเลือด ในร่างกายมีเส้นโลหิตหรือเส้าเลือดอยู่ 3 ชนิดคือ เส้นโลหิตแดง เส้นโลหิตดา เส้นโลหิตฝอย โลหิตแดงนาออกซิเจนจากหวั ใจไปเล้ียงส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่สมอง ซ่ึงตอ้ งการออกซิเจนโดยสม่าเสมอถา้ จานวนออกซิเจนนอ้ ยลง ซ่ึงอาจเป็นเพราะเสียโลหิตไป โลหิต ข้ึนสมองนอ้ ยหรือเป็นโรคโลหิตจาง เมด็ โลหิตแดงมีสีจางลง นาออกซิเจนไปไดน้ อ้ ยก็จะทาให้ สมองเส่ือมสมรรถภาพ มีอาการซึมเซาง่วงเหงาหาวนอน ถา้ สมองขาดออกซิเจนเกินกวา่ 4 นาที สมองจะเสื่อมสมรรถภาพ ถา้ สมองขาดออกซิเจนเกินกวา่ 8 นาที สมองจะหยดุ ทางานใหผ้ บู้ าดเจบ็ ถึงแก่ความตาย ออกซิเจนไดจ้ างลมหายใจผา่ นปอดเขา้ ไปในกระแสโลหิต ทาให้โลหิตดากลายเป็น โลหิตแดงโลหิตถา้ ไหลกลบั จากส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายมีคาร์บอน-ไดออกไซดก์ ลบั มาสู่หวั ใจแลว้ ไป ผา่ นปอดเพ่ือขบั เอาคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกไปทางลมหายใจแลว้ รับออกซิเจนเขา้ มาแทน โลหติ ออกจำกเส้นโลหิตแดง จะเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม ถา้ เส้นโลหิตแดงฉีกขาดหรือมีบาดแผลจะมีโลหิตแดงสดพงุ่ ออกมาเป็ นระยะ ๆ ไดจ้ งั หวะกบั การเตน้ ของหวั ใจ ถา้ เส้นโลหิตใหญ่ขาดตอ้ งรีบหา้ มโลหิตโดยเร็ว เพราะถา้ เสียโลหิตไปมากจะเกิดอนั ตรายต่อชีวติ มนุษยเ์ ราท่ีมีน้าหนกั ตวั ประมาณ 50 กก. จะมีโลหิตประมาณ 4,500 – 5,000 ซี.ซี. ถา้ เสีย โลหิต ไปเพยี ง 250 –400 ซี.ซี. ร่างกายจะขบั โลหิตออกมาทดแทนไดจ้ นเป็นปกติภายใน 4 - 7 วนั จึงไมม่ ีอนั ตราย แต่อยา่ งใด แตถ่ า้ เสียโลหิตออกไปมากกวา่ น้ี คือเสีย ไปจนถึง 1 - 2 ของจานวนโลหิตที่มีอยู่ หาก 2 3 ไม่มีการถ่ายโลหิตทดแทนอาจเกิดอนั ตรายถึงแก่ชีวติ ได้ โลหติ ออกจำกเส้นโลหิตดำ โลหิตท่ีออกจากเส้นโลหิตดาน้ีจะมีสีแดงคล้าไหลออกมาเร่ือย ๆ ไม่พุง่ เป็นจงั หวะกบั การ เตน้ ของหวั ใจ โลหิตออกจำกเส้ นโลหิตฝอย โลหิตจะไหลซิบ ๆ ซึมออกมา เช่น แผลถลอก แผลถูกขีดข่วนจากของมีคม หรืออาจจะ ไหลออกมาอยใู่ ตผ้ วิ หนงั หรือเน้ือเยอื่ ท่ีไดร้ ับการฟกช้า ชอกช้า ทาใหม้ ีเขียวคล้าและบวมเจบ็ เช่น ถูกประตูหนีบ หรือถูกของแขง็ ทบั ช้าหอ้ เลือด กำรตกโลหิตหรือกำรตกเลือดมี 2 ชนิด คือ 1. การตกเลือดภายนอกมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า 2. การตกเลือดภายใน เช่น ตกเลือดในช่องทอ้ งเพราะมา้ มแตก ตบั แตก เส้นเลือดใน กระเพาะอาหารแตก ปอดฉีด ฯลฯ ซ่ึงไม่สามารถมองเห็นไดด้ ว้ ยตา แตท่ ราบไดจ้ ากอาการ แสดงของการตกเลือด

276 อำกำรของกำรตกเลือด เมื่อมีการเสียโลหิตจากการท่ีมีอวยั วะต่าง ๆ ฉีกขาดเพราะไดร้ ับอนั ตราย ทาใหเ้ ส้นโลหิตฉีก ขาดโลหิตจึงไหลออกนอกเส้นโลหิตทาใหเ้ กิดอาการของการตกเลือดดงั ต่อไปน้ี 1. หนา้ ซีดลงทุกที สังเกตไดจ้ ากริมฝีปาก เล็บ ลิ้น เปลือกตาดา้ นใน ผวิ หนงั ฝ่ ามือ 2. หนา้ ซีด เวยี นศีรษะ เป็นลมหูอ้ือตาลาย 3. มีเหง่ือมาก ตามตวั เยน็ ปลายมือปลายเทา้ เยน็ 4. หวั ใจเตน้ เร็วข้ึน ชีพจรเตน้ เร็วแต่เบาลง (เพื่อสูบฉีดโลหิตไปเล้ียงสมองใหม้ ากพอ ทดแทนจานวนโลหิตท่ีตอ้ งเสียไป) กำรปฐมพยำบำล เม่ือมีการตกเลือดจะตอ้ งรีบทาการหา้ มเลือดโดยเร็ว เพื่อไมใ่ หเ้ สียเลือดไปมากโดยไมจ่ าเป็น เพราะอาจจะเป็นอนั ตรายได้ ในกรณีท่ีเป็นการตกเลือดภายนอกเราสามารถทาการหา้ มเลือดได้ สะดวก แต่ถา้ เป็นการตกเลือดภายในตอ้ งรีบนาส่งใหแ้ พทยร์ ีบทาการผา่ ตดั เพ่อื หา้ มเลือดตรง ตาแหน่งท่ีเส้นเลือดฉีกขาด 1. เมื่อมีการตกเลือด รีบใหผ้ ูป้ ่ วยนอนราบ ถา้ จาเป็นใหต้ ดั เส้ือผา้ ออกเพื่อใหเ้ ห็นบาดแผลได้ ชดั เจน 2. พยายามใหผ้ ปู้ ่ วยนอนนิ่ง ๆ สงบ อยา่ ต่ืนเตน้ ตกใจ 3. ขยายเครื่องแต่งกายใหห้ ลวม 4. รีบทาการหา้ มเลือดตามวธิ ีตา่ งๆ สาหรับการตกเลือดภายนอก เช่น ก. ยกส่วนท่ีเลือดออก เช่น แขนหรือขาใหส้ ูงข้ึน เลือดอาจหยดุ ได้ ข. อาจใชว้ ธิ ีกดลงไปบนเส้นโลหิตแดงหรือชีพจรได้ เช่น บาดแผลที่ปลายนิ้วมือ ใหบ้ ีบ เส้นเลือดท่ีขา้ งโคนนิ้วท้งั สองขา้ งใหแ้ น่น เป็ นตน้ ค. ถา้ ยงั ไม่หยดุ หรือเลือดยงั พุง่ ออกมา ใหใ้ ชผ้ า้ สะอาด ๆ ปิ ดแผลหลาย ๆ ช้นั แลว้ พนั กดให้ แน่นจนเลือดหยดุ ง. ถา้ ยงั ไม่หยดุ หรือเป็ นกรณีท่ีมีบาดแผลเหวอะหวะรวมกบั มีกระดูกหกั หรือแขนขาขาด หอ้ ยร่องแร่งจะใชว้ ธิ ีกดลงบนแผลน้นั ใหแ้ น่นไม่ได้ เพราะจะเจบ็ ปวดมากจนทาใหเ้ กิดอาการช็อคจึง ตอ้ งใชว้ ธิ ีขนั ชะเนาะ การขนั ชะเนาะใชไ้ ดก้ บั การบาดเจบ็ ท่ีแขนขา ตาแหน่งที่จะขนั ชะเนาะถือส่วน ตอนบนที่มีกระดูกท่อนเดียว กำรขนั ชะเนำะ ใชผ้ า้ เช็ดหนา้ หรือผา้ สามเหลี่ยม แตถ่ า้ หาไมไ่ ดจ้ าเป็นตอ้ งใชเ้ ชือกหรือของ อื่นท่ีเป็ นเส้นจะตอ้ งใชผ้ า้ พนั รอบแขนหรือขารองไวก้ ่อน เพอ่ื ป้องกนั มิใหเ้ ชือกบาดเน้ือเป็นแผลลึก เมื่อเวลาขนั ใหแ้ น่น 5. ถา้ เป็นแผลถลอกใหใ้ ชท้ ิงเจอร์ไทเมอร์โรโซลแตม้ แผล แลว้ ปิ ดผา้ สะอาดพนั แน่นอยา่ ให้ ถูกน้า

277 6. ถา้ ในบาดแผลมีเศษกระจก เศษดิน เศษไม้ อิฐ หิน ฯลฯ ชิ้นใหญๆ่ ควรเขี่ยเอาออก ก่อนสาหรับผงละเอียดไมจ่ าเป็น ควรปล่อยเอาไวใ้ ห้แพทยจ์ ดั การเอง 7. ถา้ เลือดตกในตอ้ งนอนใหร้ าบศรีษะต่ากวา่ ลาตวั โดยยกปลายเทา้ ใหส้ ูงและใหค้ วาม อบอุ่น แลว้ รีบนาส่งแพทย์ 8. ถา้ มีบาดแผลเกี่ยวกบั ช่องทอ้ งหรือสนั นิษฐานวา่ เมื่อถึงโรงพยาบาลจะตอ้ งไดร้ ับการ ผา่ ตดั อยา่ ใหด้ ื่มอะไรทางปากเป็นอนั ขาด (นอกจากน้ีอาจใหด้ ่ืมน้าหรือกาแฟดาอุน่ ๆ เพอ่ื กระตุน้ หวั ใจเม่ือไดห้ า้ มเลือดหยดุ แลว้ ) กำรห้ำมเลือด ก. การหา้ มเลือดโดยวธิ ีกดตรงจุดที่เลือดออกใหแ้ น่น นาน 3 –5 นาที ข. การขนั ชะเนาะ (ท่ีตน้ แขนหรือตน้ ขา) เลือดกำเดำ (Epitaxis) เกิดจากเส้นเลือดฝอยของเย่อื จมูกแตก ทาใหม้ ีเลือดออกทางจมูก มกั ออกเพียงขา้ งเดียว แต่ อาจออกท้งั สองขา้ งของรูจมูกได้ สำเหตุ 1. ไดร้ ับบาดเจบ็ ที่จมูก 2. ไขอ้ กั เสบต่าง ๆ เช่น ไขห้ วดั จมูกอกั เสบ ไขเลือดออก ไขร้ ากสาดนอ้ ย ไขห้ วดั ใหญ่ คอตีบ 3. ถา้ เกิดข้ึนเร้ือรังบ่อย ๆ อาจเกิดจาก ก. ความดนั โลหิตสูง มีอาการปวดมึนทา้ ยทอยประจา ข. โรคเลือด มกั มีจ้าเขียวตามตวั เลือดออกตามไรฟันหรือตบั มา้ ม ไต ร่วมดว้ ย ค. มะเร็งหรือเน้ืองอกในจมูก กำรปฐมพยำบำล 1. ใหค้ นไขน้ ง่ั เงยหนา้ ข้ึนหรือกม้ หนา้ ลงมาก ๆ ใชม้ ือกดปิ ดจมูกท้งั สองขา้ ง หายใจลึก ๆ ทางปากแทนถา้ ออกเพียงขา้ งเดียวก็ใหก้ ดปี กจมูกขา้ งท่ีออกขา้ งเดียว ใชน้ ้าเยน็ หรือน้าแขง็ ลูบที่ หนา้ ผาก 2. ถา้ ออกไมห่ ยดุ หรือออกมาก ๆ ใชผ้ า้ ก๊อตหรือผา้ ชิ้นเลก็ ๆ ชุบแอดรีนาลีนขนาด 1:1,000 ใหช้ ุ่ม สอดเขา้ ในรูจมูกขา้ งน้นั อดั ใหแ้ น่น ยาน้ีจะช่วยใหเ้ ส้นเลือดตีบตวั ลงและเลือดหยดุ ลงได้ 3. ถา้ สงสยั เป็นโรคท่ีร้ายแรงหรือเลือดออกไม่หยดุ ควรส่งตอ่ แพทย์

278 ข้อแนะนำ คนไขท้ ี่มีเลือดกาเดาออกเป็นประจาควรแนะนาไปใหแ้ พทยต์ รวจหาสาเหตุ อาจเป็นโรค ความดนั โลหิตสูงหรือโรคเลือดกไ็ ด้ เลือดออกจำกอวยั วะภำยใน เลือดออกจากกระเพาะอาหาร ลาไส้หรือจากปอดกไ็ ด้ ถา้ เลือดออกจากกระเพาะอาหาร ลาไส้มกั จะมีอาหารปนบางทีมีสีคลา้ ยผงกาแฟ ไม่เป็นฟอง ควรใหผ้ ปู้ ่ วยนอนหงาย ในท่าราบและ อยา่ เคล่ือนไหวโดยไมจ่ าเป็น ใหต้ ะแคงหนา้ ไปซีกใดซีกหน่ึงถา้ อาเจียน ใหค้ วามอบอุน่ แก่ร่างกาย ได้ แตอ่ ยา่ ใหย้ าบารุงหวั ใจและรีบตามแพทย์ ถา้ เลือดออกจากปอดมกั จะมีฟองปน ผปู้ ่ วยจะตายเพราะเลือดทว่ มหลอดลมหายใจไมอ่ อก จึงควรใหผ้ ปู้ ่ วยนอนควา่ ศีรษะต่า เพอ่ื ใหเ้ ลือดไหลออกไมอ่ ุดหลอดลม หรือนอนตะแคงขา้ งใดขา้ ง หน่ึง ถา้ มีบาดแผลเกี่ยวแก่ปอดและมีการหายใจลาบาก อาจใหผ้ ปู้ ่ วยนอนในท่านง่ั พงิ ได้ ถา้ มีแผลท่ี ทรวงอก มีลมออกฟูดฟาดให้รีบใชผ้ า้ ปิ ดและพนั ใหแ้ น่น นอนตะแคงทบั ขา้ งท่ีมีแผลปลอบใจผปู้ ่ วย สงบ รีบนาส่งแพทย์ กำรตกเลือดภำยใน (เลือดตกใน) - เลือดตกใน เช่น ถูกแทง ถูกยงิ เขา้ ช่องทอ้ ง ช่องอก หรือถูกรถชนหรือถูกของแขง็ กระแทกทอ้ งอยา่ งแรงตบั มา้ มหรือลาไส้อาจแตกทะลุได้ ทาใหม้ ีเลือดตกในไดม้ าก ๆ - ไมส่ ามารถเห็นดว้ ยตาได้ จะตอ้ งสงั เกตจากอาการของผปู้ ่ วยในเร่ืองตกเลือดท่ีกล่าวมาแลว้ - ตอ้ งรีบนาส่งโรงพยาบาลโดยเร็วเพอ่ื รับการถ่ายเลือดเขา้ ช่วยชีวติ และทาการผา่ ตดั ลงไป หา้ มเลือดที่ออก กำรช่วยเหลือ - ใหน้ อนศีรษะต่า เพือ่ ใหเ้ ลือดไปเล้ียงสมองใหม้ ากพอ - ใหค้ วามอบอุ่น - อยา่ ใหด้ ่ืมน้าหรือเคร่ืองด่ืมใดๆ เพราะอวยั วะภายในอาจแตกทะลุอยู่ อนั ตรายมาก - ปล่อยใหอ้ ยนู่ ิ่งๆ อยา่ งสงบ ถา้ ดิ้นรนเลือดจะออกมาก - ถา้ หยดุ หายใจตอ้ งรีบผายปอ กำรเข้ำเฝื อกชั่วครำว การเขา้ เฝื อกชว่ั คราวเป็ นการช่วยเหลือใหก้ ระดูกส่วนที่หกั อยนู่ ิ่งๆ กบั ท่ี เป็นส่ิงจาเป็นมาก สาหรับกระดูกของแขนขาหกั ป้องกนั ความเจบ็ ปวดไมใ่ หม้ ากข้ึน ส่ิงที่จะใชช้ วั่ คราวจะเป็นส่ิงที่หา

279 ไดใ้ กล้ ๆ มือ เช่น แผน่ กระดาน หมอน ผา้ ห่ม ดา้ มร่ม มว้ นกระดาษ หนงั สือพมิ พ์ ไม้ นบั วา่ เป็นสิ่ง ที่หาไดง้ ่ายที่สุด ควรจะใชไ้ มท้ ่ียาวเกินกวา่ ขอ้ ตอ่ ที่อยสู่ ่วนบนและส่วนล่างของกระดูกท่ีหกั และควร มีสิ่งรองรับนุ่ม ๆ อยดู่ ว้ ยเสมอ เฝื อกควรประกอบดว้ ยไม้ 2 แผน่ ผกู มดั ติดแผน่ อยแู่ ตล่ ะขา้ งของแขน ขาที่หกั อยา่ งมน่ั คง สาหรับสิ่งท่ีใชร้ องระหวา่ งเฝื อกน้นั สาลีนบั วา่ ดีที่สุดแตอ่ าจใชผ้ า้ เช็ดตวั แทนก็ได้ - ถา้ จาเป็นจะตอ้ งนาผปู้ ่ วยไปโรงพยาบาล อยา่ เคลื่อนยา้ ยผปู้ ่ วยจนกวา่ จะไดเ้ ขา้ เฝือก ชว่ั คราวไวเ้ รียบร้อยแลว้ - จงใชเ้ ปลยกผปู้ ่ วยทุกคร้ังที่สงสยั วา่ มีการหกั ของกระดูกส่วนท่ีรับน้าหนกั เช่น กระดูกขา สนั หลงั และ เชิงกราน - ในรายท่ีสงสัยจะมีการหกั ของกระดูก จงใหก้ ารปฐมพยาบาลอยา่ งท่ีกระดูกหกั ก่อนเสมอ เพอ่ื ความปลอดภยั แก่ผปู้ ่ วย คือ เขา้ เฝือกชวั่ คราวก่อนเคลื่อนยา้ ย - ถา้ หาไมเ้ ฝือกชวั่ คราวก่อนไมไ่ ด้ ใหใ้ ชเ้ ฝือกธรรมชาติ เช่น ขาขา้ งหน่ึงหกั ใหม้ ดั เขา้ กบั ขา อีกขา้ งหน่ึงท่ีไม่หกั เป็ นเปลาะๆ ดว้ ยผา้ เช็คหนา้ หรือผา้ พนั แผล กระดูกขำกรรไกรล่ำงหัก

280 ใหก้ ดขากรรไกรล่างข้ึนติดกบั ขากรรไกรบน แลว้ ใชผ้ า้ สามเหลี่ยมพนั ใหแ้ น่นโดยรอบ จาก คางไปบนกลางกระหม่อม อยา่ ใหเ้ คล่ือนไหวใดๆ ท้งั สิ้น หา้ มพูด หา้ มเค้ียว ส่งแพทยโ์ ดยเร็ว ควร ใชผ้ า้ มว้ นวางสองขา้ งของศีรษะกนั ศีรษะพลิกไปมาในขณะนอนไป กระดูกจมูกหัก ใหป้ ิ ดดว้ ยผา้ ก็อตหรือผา้ ท่ีสะอาดแลว้ พนั หรือปิ ดดว้ ยพาสเตอร์ ไม่ตอ้ งเขา้ เฝือก รีบนาส่ง แพทยแ์ กไ้ ข แขนและข้อมือหัก ใชเ้ ฝือกสองอนั อนั หน่ึงวางดา้ นหนา้ จากขอ้ ศอกถึงปลายนิ้ว อีกอนั หน่ึงประกบดา้ นหลงั พนั ดว้ ยผา้ ใหแ้ น่นถา้ ไมม่ ีเฝือกไมอ้ าจใชก้ ระดาษหนงั สือพิมพม์ ว้ นหรืออะไรกไ็ ด้ ซ่ึงสามารถหุม้ ห่อ แขนและขอ้ มือได้ ใหง้ อแขนแลว้ พนั ผา้ คลอ้ งคออีกทีหน่ึง อาจจะพนั ตน้ แขนใหแ้ นบชิดกบั ลาตวั ดว้ ยก็ได้ มือและข้อมือหัก ใหใ้ ส่เฝือกดา้ นหนา้ ของมือจากก่ึงกลางแขนไปจดปลายนิ้วมือ ผกู ใหแ้ น่นและพนั ผา้ คลอ้ ง คอไวอ้ ีกทีหน่ึง กระดูกไหปลำร้ำหกั วางผา้ รองในซอกรักแร้ งอแขนเฉียงข้ึนดา้ นบน พยงุ แขนอยใู่ นผา้ คลอ้ งคอ ส่วนตน้ แขน แนบชิดกบั ลาตวั หรือจะใชผ้ า้ เช็ดหนา้ สามผนื 2 ผนื ใหท้ าเป็นห่วงคลอ้ งรักแร้สองขา้ ง และอีกผนื หน่ึงดึงร้ังทางดา้ นหลงั เอามาผกู ไวเ้ พ่อื ใชไ้ มแ้ บนๆ ผกู เป็ นรูปตวั “ที” รองดว้ ยผา้ แลว้ นาบกลางหลงั ใชผ้ า้ มดั กบั หวั ไหล่และบ้นั เอว ระหวา่ งทาควรหาคนช่วยยกแขนกางข้ึนไวท้ ้งั สองขา้ งแลว้ นาส่ง แพทยต์ ่อไป กระดูกซ่ีโครงหกั ใหผ้ ปู้ ่ วยนอนตะแคงในดา้ นตรงขา้ มกบั ที่กระดูกหกั โดยยกทรวงอกและศีรษะสูงข้ึน เลก็ นอ้ ย หรือนง่ั แลว้ ใชผ้ า้ พนั รอบ ๆ ทรวงอกใหแ้ น่นในขณะหายใจออกหมด โดยเฉพาะตอ้ งปก คลุมบริเวณท่ีเจบ็ ปวดน้นั ดว้ ย

281 หน้ำแข้งหกั ดึงขาผปู้ ่ วยอยา่ งระมดั ระวงั ใหอ้ ยใู่ นแนวเดียวกบั ลาตวั แลว้ ใชไ้ มเ้ ฝือกสองอนั วางประกบขา ขา้ งท่ีหกั ใหย้ าวเหนือเขา่ ไปจนถึงส้นเทา้ แลว้ ผกู ใหแ้ น่น ถา้ หาเฝือกไดเ้ พียงขา้ งเดียวใหว้ างดา้ นนอก แลว้ ผกู ขาท้งั สองขา้ งเขา้ ดว้ ยกนั ถา้ เผอ่ื ไม่มีเฝื อกไมอ้ าจจะใชห้ มอนยาววางใตข้ าและผกู รอบๆ ขากบั หมอนใหแ้ น่น หรืออาจจะใชท้ ้งั เฝือกดา้ นนอกและหมอนผกู ติดกนั ดว้ ยก็ได้ ถา้ หาอะไรไมไ่ ดเ้ ลยให้ ผกู ขาขา้ งหกั กบั ขาขา้ งที่ดีติดกนั ใหแ้ น่น ข้อเคล่ือน หมายความถึงอาการที่กระดูกเคลื่อนออกจากกนั ตรงขอ้ ต่อ ที่พบบ่อยท่ีสุดคือขอ้ นิ้วหวั แมม่ ือ ขอ้ หวั ไหล่และอาจจะพบที่ขากรรไกร ขอ้ ศอก ขอ้ ตะโพกก็ได้ ในรายท่ีมีขอ้ เคลื่อน และเห็นวา่ ปอดบวม และขอ้ น้นั ๆ ผดิ รูปร่างและเคลื่อนไหวไมไ่ ดเ้ หมือนเดิม ขอ้ เคลื่อนน้ีอาจ ช่วยเหลือเหมือนกบั กระดูกหกั โดยใชเ้ ฝือกหรือผา้ คลอ้ งคอ จงอยา่ พยายามแกไ้ ขดึงขอ้ เคลื่อนใหเ้ ขา้ ท่ี ดว้ ยตวั เอง เพราะอาจทาใหก้ ระดูกหกั ได้ หลงั จากปฐมพยาบาลแลว้ ใหน้ าส่งแพทยโ์ ดยเร็ว โรคทค่ี วรรู้ ท้องเดนิ ทอ้ งเดินหรือทอ้ งเสีย หมายถึง ภาวะท่ีผปู้ ่ วยมีอาการถ่ายเป็นน้าหรือถ่ายเหลวมากกวา่ 10 คร้ัง ในหน่ึงวนั หรือถ่ายเป็ นมูกเลือดเพยี งคร้ังเดียว ท้องเดินเกดิ จำกสำเหตุหลำยประกำร ทส่ี ำคญั คือ 1) ท้องเดินทม่ี ีสำเหตุจำกอำรมณ์ (Psychogenic disorder) อำกำร มกั พบในพวกที่มีจิตใจกงั วล เช่น เวลาสอบ เวลาเดินทางหรือเวลาตื่นเตน้ ตกใจ มกั จะไมม่ ีไข้ อาการทอ้ งเดินมกั จะไม่รุนแรง แต่จะเป็นเร้ือรังอยเู่ รื่อย ๆ กำรรักษำ 1. ใหย้ ากล่อมประสาท เช่น Diajepam ขนาดอ่อนๆ วนั ละ 2 - 3 คร้ัง 2. ใหย้ าแกท้ อ้ งเกินธรรมดา ๆ เช่น Mist. Ka lin & Belladonna หรือ Mist. Bismuth 1 –2 ชอ้ นโตะ๊ ทุก 4 – 6 ชวั่ โมง หรือยาพวกฝากสนาน เช่น Eldoform 2 เมด็ ทุก 4 – 6 ชวั่ โมงจนกวา่ จะ หยดุ ถ่าย 2) ท้องเดินจำกอำหำรเป็ นพิษ (Food poisoning) เกิดจากการกินอาหารที่มีพษิ ของแบคทีเรีย เช่น อาหารท่ีมีแมลงวนั ตอม (ปู ของทะเล เน้ือ ขนมจีน น้าปลาหวาน อาหารกระป๋ อง และ ฯลฯ ) มกั จะพบวา่ ในกลุ่มคนท่ีกินอาหารดว้ ยกนั จะมี อาการทีเดียวหลายคนอาการแลว้ แตช่ นิดของเช้ือ

282 3) ท้องเดินเนื่องจำกกำรตดิ เชื้อสเตร๊ปฟิ โลกคอคกสั (Strephilococus) เป็นเช้ือแบคทีเรียท่ี พบในอาหารจาพวกสลดั ขนมจีน น้าปลาหวาน ซุป ระยะฟักตวั 2 –4 วนั ชวั่ โมง อำกำร เกิดข้ึนทนั ทีดว้ ยอาการคล่ืนไส้ อาเจียนอยา่ งรุนแรง ปวดบิดในทอ้ งและถ่าย เป็นน้า มกั จะไมม่ ีไขอ้ าการจะค่อยๆ หายเองภายใน 1 –2 วนั (โรคน้ีชาวบา้ นบางแห่งเรียกวา่ ลมป่ วง มกั จะรักษากนั เองตามมีตามเกิดซ่ึงโรคน้ีหายเองได)้ กำรรักษำ 1. ถา้ อาการไมร่ ุนแรงจะคอ่ ยๆ หายเองได้ 2. ถา้ อาการรุนแรง ก) ใหย้ าแกท้ อ้ งเดินธรรมดาๆ เช่น Mist. Kaolin & Belladonn, Tetracyclin ข ) ในรายที่ขาดน้า ใชน้ ้าผสมน้าตาลทรายกบั เกลือ (น้า 1 ลิตร หรือ 1 ขวดแม่โขง กลม + น้าตาลทราย 2 ชอ้ นโตะ๊ + เกลือ ½ ชอ้ นชา) ดื่มตลอดวนั 4. ท้องเดนิ จำกกำรตดิ เชื้อสเตร๊ปโตคอคกสั (Streptococus) เช้ือสเตร๊ปเป็ นเช้ือแบคทีเรียท่ีพบในอาหารจาพวกเน้ือหมู ววั ควาย เป็ด ไก่ ปู หอย ของทะเลต่างๆ ระยะฟักตวั 4 – 12 ชวั่ โมง อำกำรและกำรรักษำ เหมือนกบั การติดเช้ือสเตร๊ป 5. ท้องเดนิ จำกกำรติดเชื้อกลุ่มไทฟอยด์ (Samonella) อำกำร ปวดบิดในทอ้ งข้ึนทนั ที ถ่ายเป็นน้า บางคร้ังมีมูกเลือกปน มีไขแ้ ละคลื่นไส้อาเจียน เลก็ นอ้ ย อาการจะคอ่ ยๆ หายไดเ้ องภายใน 2 –3 วนั กำรรักษำ ใหร้ ักษาเหมือนกบั การติดเช้ือสเตร๊ป 6. ท้องเดนิ จำกกำรติดเชื้อคลอสสิเดยี ม (Closidium) เช้ือคลอสสิเดียมเป็ นเช้ือแบคทีเรียท่ีพบในอาหารกระป๋ องและอาหารหมกั ดองต่างๆ ระยะฟักตวั 8 – 36 ชว่ั โมง อำกำร คลื่นไส้อาเจียน ปวดทอ้ ง ทอ้ งเดิน ในระยะที่เป็ นมากพษิ ของมนั จะทาลาย ระบบประสาททาใหต้ ามองเห็นสองภาพ กลืนน้าลายไม่ได้ น้าลายฟูมปาก หายใจไมไ่ ด้ และอาจ ตาย ภายใน 24 ชวั่ โมง กำรรักษำ รีบส่งแพทย์ และถา้ ฉีดเซรุ่มแกพ้ ิษไดท้ นั ก็จะช่วยชีวติ ได้ 7. ท้องเดินจำกกำรตดิ เชื้อไม่มีตัว (Bacillary dysentery or Shigellosis) อำกำร เกิดข้ึนทนั ทีทนั ใดคลา้ ยอาการไข้ หนาวส่ัน ทอ้ งเดิน ปวดบิดตรงทอ้ งนอ้ ย ปวด เบง่ ท่ีกน้ มีความรู้สึกอยากถ่ายตลอดเวลา ตอนแรกอาจถ่ายเป็นน้า ต่อมามีมูกเลือดปน ผปู้ ่ วยจะรู้สึก

283 คล่ืนไส้ เบ่ืออาหาร อ่อนเพลีย ปวดเม่ือยท้งั ตวั มึนงง บางรายอาจมีแตอ่ าการถ่ายเหลวบ่อยคร้ัง ใน เดก็ อาจมีไขส้ ูงและชกั ได้ สิ่งทต่ี รวจพบ อาการไข้ 38.5 - 39 องศาเซียลเซียส ทอ้ งกดเจบ็ เลก็ นอ้ ย แต่ไม่แขง็ ไมร่ ายที่รุนแรงอาจมีอาการขาดน้า สำเหตุ เกิดจากการกินอาหารท่ีมีเช้ือบิดชิเกลล่า (shigella bacteria) ระยะฟักตัว 1 –7 วนั กำรรักษำ ก) ในรายที่อาการไมร่ ุนแรงใหย้ าเมด็ Lomitil 2 เมด็ ทุก 6 ชวั่ โมง ข) ยาตา้ นจุลชีพ (Antibiotic) ยาที่ดีที่สุด คือ Ampicillin 250 mg. ทุก 4 –6 ชว่ั โมง เป็ นเวลา 5 วนั ถา้ ไม่มีอาจจะใช้ Tetracyclin 500 mg./กก./วนั ใหท้ ุก 6 ชวั่ โมง เป็ นเวลา 5 วนั งดอาหาร และนม ดื่มน้าผสมน้าตาลกบั เกลือแทน ในรายที่รุนแรงมากใหร้ ีบส่งตอ่ แพทย์ ข้อแนะนำ 1) อาจพบระบาดในฤดูร้อนเช่นเดียวกบั โรคอหิวาต์ ควรดาเนินการป้องกนั และทาลาย เช้ือ เช่นเดียวกบั อหิวาต์ 2) แนะนาเก่ียวแก่อาหารและน้าดื่มท่ีสะอาดตลอดจนการสร้างส้วมท่ีถูกสุขลกั ษณะ 8. ท้องเดนิ จำกกำรตดิ เชื้อบิดมตี ัว (Amaebic Dysentery) อำกำร จะไมเ่ กิดข้ึนทนั ทีทนั ใด มกั มีอาการปวดแบง่ ท่ีกน้ ถ่ายกระปริบกระปรอยเป็น มูกเลือดวนั ละหลายคร้ัง บางรายอาจถึง 20-50 คร้ัง อุจจาระมีกล่ินเหมน็ เหมือนกงุ้ เน่า มกั ไม่มีไข้ ไมเ่ บ่ืออาหาร ไม่อ่อนเพลีย สำเหตุ เกิดจากการกินอาการท่ีมีเช้ือบิดอะมีบา (Ameeba สตั วเ์ ซลลเ์ ดียวหรือโปรโต ซวั ชนิดหน่ึง) ซ่ึงสามารถมองเห็นไดด้ ว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ ระยะฟักตัว ไม่แน่นอน ต้งั แตห่ ลายวนั ถึงหลายเดือน อาการแทรกซอ้ น 1) ที่พบบ่อยคือฝีในตบั ซ่ึงอาจพบหลงั จากเป็นบิดเป็นเวลานานหลายปี แลว้ ก็ได้ 2) ถา้ ปล่อยใหเ้ ป็นเร้ือรังอาจทาใหผ้ อม อ่อนเพลีย กำรรักษำ ในผใู้ หญ่ 1) ใหย้ าตา้ นจุลชีพ ท่ีดีที่สุดคือ Metronidazole (Flagly) 200 มก. ให้ 4 เมด็ 3 เวลาหลงั อาหาร เป็นเวลา 10 วนั

284 ถา้ ไม่มีอาจให้ Tetracyclin 250 มก. 2 เมด็ ทุก 4 – 6 ชวั่ โมง เป็นเวลา 10 วนั หรือให้ Diodoquin 650 มก. 3 เวลาหลงั อาหารเป็นเวลา 21 วนั ก็ไดใ้ นเด็ก ถา้ ไมแ่ น่ใจหรือสงสยั ใหส้ ่ง แพทยจ์ ะดีกวา่ กำรรักษำสำหรับอำกำรท้องเดินทวั่ ๆ ไป 1) ในรำยทมี่ อี ำกำรไม่รุนแรง มีอาการถ่ายเป็นน้า 3 – 5 คร้ังต่อวนั ไม่มีไข้ ไม่มีอาเจียนมาก ไม่หอบ ไมม่ ีอาการขาดน้า ชีพจรและความดนั ปกติ ในเดก็ กระหมอ่ มไม่บุ๋ม ดูยงั แข็งแรง ไมซ่ ึม กำรรักษำ ในผใู้ หญ่ ก. ใหย้ าแกท้ อ้ งเดิน ยาสมานลาไส้ เช่น Mist. Kaolin&Belladonna หรือ Mist. Bismuth 1 – 2 ชอ้ นโตะ๊ ทุก 4 – 6 ชว่ั โมง หรือ 2 – 4 เมด็ ทุก 4 – 6 ชวั่ โมง จนกวา่ จะหยดุ ถ่าย ข. อาหารแขง็ และน้าผลไม้ น้านม ใหก้ ินอาหารเหลว เช่น ขา้ วตม้ หรือน้าผสม น้าตาลทราย กบั เกลือ (น้า 1 ลิตร หรือ 1 ขวดแม่โขงกลม + น้าตาลทราย 2 ชอ้ นโตะ๊ + เกลือ 1 4 ชอ้ นชา) ในเดก็ เล็ก ๆ (เดก็ ออ่ น) ไมต่ อ้ งใหย้ าแกท้ อ้ งเดินแต่ใหง้ ดอาหารและนม 8 – 10 ชว่ั โมง ใหเ้ ดก็ กินน้าผสมน้าตาลทรายกบั เกลือดงั กล่าวแทน หลงั จากน้นั จึงเริ่มใหก้ ินนมแม่ถา้ ใชน้ มผงให้ ผสมเจือจางเทา่ ตวั ก่อน 2) ในรำยกำรทมี่ ีอำกำรปำนกลำง จะเร่ิมมีอาการขาดน้าเลก็ นอ้ ย เนื่องจากการถ่ายมากคร้ังทาใหเ้ สียน้าในร่างกายไปจะมีอาการ ปากแหง้ หนงั เหี่ยวเล็กนอ้ ย ในเด็กเล็กกระหม่อมเร่ิมบุ๋มเล็กนอ้ ย แต่อาการทว่ั ไปยงั ดี ผูป้ ่ วยรู้สึกตวั ดี ความดนั โลหิตและชีพจรยงั คงปกติ น้าหนกั ตวั อาจจะลดประมาณ 5% กำรรักษำ -ในผใู้ หญ่ เมื่อใหย้ าแกท้ อ้ งเดิน – ยาตา้ นจุลชีพ – ยาสมานลาไส้ทุกอยา่ งแลว้ แต่อาการไมด่ ี ข้ึนเลยภายใน 12 ชว่ั โมง และมีอาการขาดน้าอยา่ งรุนแรง หรือมีอาการหอบเพมิ่ ข้ึนดว้ ย ให้ รีบส่งต่อแพทยท์ นั ที -ในเด็กเลก็ ก. งดนมและอาหาร 12 – 24 ชว่ั โมง ข. ใหน้ ้าผสมน้าตาลกบั เกลือทางปากทีละนอ้ ยบ่อย ๆ ขนาด 120 – 200 ซี.ซี. ตอ่ น้าหนกั 1 กิโลกรัมในหน่ึงวนั ค. ถา้ อาเจียนหรืออาการไม่ดีข้ึนใน 12 ชวั่ โมง ใหร้ ีบส่งตอ่ แพทยท์ นั ที 3) ในรำยทม่ี ีอำกำรรุนแรง ไดแ้ ก่ผปู้ ่ วยท่ีมีอาการดงั น้ี ก. หายใจหอบ (เนื่องจากเสียน้า เสียเกลือแร่) ข. เป็นตะคริว

285 ค. ถา้ มีอาการขาดน้าปานกลาง น้าหนกั ตวั ลด 5 – 10 % ผปู้ ่ วยจะมีอาการตาโบ๋ หนงั เห่ียว ขาดความยดื หยนุ่ ปากแหง้ ชีพจรเตน้ เร็ว ปัสสาวะนอ้ ย ลุกนง่ั จะรู้สึกหนา้ มืด ง. ถา้ มีอาการของการขาดน้าอยา่ งรุนแรง (ถ่ายเป็นน้ามากตลอดเวลา) น้าหนกั ตวั ลด มากกวา่ 10 % ผปู้ ่ วยจะปัสสาวะนอ้ ยมากหรือไมม่ ีน้าปัสสาวะเลย ชีพจรเตน้ เบาและเร็วความดนั ต่า ตวั เยน็ กระสับกระส่าย เป็นลม กำรรักษำ เม่ือพบเห็นอาการเช่นน้ีให้รีบส่งแพทยท์ นั ทีเป็นการดีท่ีสุด

เร่ือง หลกั เกณฑ์กำรอภปิ รำยและกำรพูดในทชี่ ุมชน 286 บทเรียนที่ 18 เวลำ 75 นำที ขอบข่ำยวชิ ำ 1. หลกั เกณฑก์ ารพูดในท่ีชุมชน 2. ความมุง่ หมาย การดาเนินงานในการพูดในท่ีชุมชน 3. การเลือกหวั ขอ้ ในการอภิปรายหรือการพูดในที่ชุมชนอยา่ งเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ จุดหมำย พูดและอภิปรายในท่ีชุมชนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพตามหลกั เกณฑ์ วตั ถุประสงค์ เม่ือจบบทเรียนน้ีแลว้ ผเู้ ขา้ รับการฝึกอบรมควรจะสามารถ 1. ช้ีแจงความมุ่งหมาย หลกั เกณฑ์ และแนวการจดั การอภิปราย และการพดู ในท่ีชุมชนได้ 2. ดาเนินการอภิปรายไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. พดู ในที่ชุมชนไดอ้ ยา่ งมีหลกั เกณฑ์ 4. เลือกหวั ขอ้ ท่ีจะอภิปรายและพดู ในที่ชุมชนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม วธิ ีสอน/กจิ กรรม 20 นาที 1. บรรยายนา 25 นาที 2. การทางานเป็นหมู่ 20 นาที 3. รายงาน 10 นาที 4. สรุป สื่อกำรสอน 1. ภาพลกั ษณะการพดู ท่ีถูกตอ้ ง 2. เอกสารวธิ ีการพูดในที่ชุมชน กำรประเมินผล 1. สงั เกตพฤติกรรม 2. การนาเสนอผลงาน 3. ทดสอบ

287 เนื้อหำวชิ ำ ก. บรรยำยนำ ลูกเสือวสิ ามญั ประกอบดว้ ย เยาวชนวยั 16-25 ปี เป็นวยั ที่มีความคิดอ่านเป็นผใู้ หญ่ การ ฝึกอบรมลูกเสือวสิ ามญั เป็นการเตรียมตวั เยาวชนดว้ ยการทา้ ทายและเปิ ดโอกาสใหไ้ ดม้ ีการพฒั นา ความสามารถส่วนบุคคล ลูกเสือวสิ ามญั จะเตรียมใจ กาย เพ่ือใหเ้ กิดความพอใจและประโยชนใ์ นชีวติ การวางแผนกาหนดการลูกเสือฝึกอบรมลูกเสือวสิ ามญั น้นั ลูกเสือวสิ ามญั ทุกคนในกอง จะตอ้ งเป็ นผอู้ ภิปรายแสดงความคิดเห็นกนั เองก่อนที่จะนาไปเสนอต่อคณะกรรมการประจากอง ลูกเสือวสิ ามญั อนั ประกอบดว้ ยผกู้ ากบั รองผกู้ ากบั และลูกเสือวสิ ามญั ท่ีไดร้ ับการคดั เลือก เป็นผลู้ ง มติและควบคุมปฏิบตั ิการไปตามแผนกาหนดการฝึกอบรมที่กาหนดไว้ ฉะน้นั ผกู้ ากบั ลูกเสือวสิ ามญั ตอ้ งเป็ นผแู้ นะนาใหล้ ูกเสือวสิ ามญั ทราบถึงความมุง่ หมาย หลกั เกณฑ์ และวธิ ีการในการอภิปราย และการพดู ในท่ีชุมชนเพอื่ ใหก้ ารดาเนินการฝึ กอบรมลูกเสือ วสิ ามญั เป็นไปตามความมุ่งหมายและไดผ้ ลอยา่ งมีประสิทธิภาพ บรรยายถึงหลกั เกณฑโ์ ดยสงั เขปจากเอกสารประกอบเรื่อง และการพดู ในท่ีชุมชน ข. กำรทำงำนในหมู่ - ต้งั หวั ขอ้ เรื่องอภิปราย ใหส้ มาชิกในหมูไ่ ดป้ ฏิบตั ิ - ต้งั หวั ขอ้ ใหส้ มาชิกในหมู่ไดป้ ฏิบตั ิเก่ียวกบั การพูดในที่ชุมชน (ดงั ตวั อยา่ งท่ีแนบ) ค. รำยงำน ง. สรุปผล ตวั อย่ำงกำรทำงำนในหมู่ 1. ใหห้ มู่ของทา่ นช่วยกนั เตรียมการพดู ในที่ชุมชนเพื่อพูดชกั ชวนใหผ้ ปู้ กครองนกั เรียนมา ช่วยกนั ส่งเสริมกิจการลูกเสือวสิ ามญั ในกองของท่าน ใชเ้ วลาพูด 3 นาที ส่งตวั แทนมาพูด 1 คน 2. ใหห้ มู่ของทา่ นอภิปรายถึงความมุ่งหมายของการอภิปรายวา่ มีอะไรบา้ ง และใหผ้ แู้ ทนหมู่ รายงานต่อที่ประชุมใหญ่ 3 นาที 3. ใหห้ มูข่ องท่านช่วยกนั เตรียมการพูดในที่ชุมชนเพ่ือพดู ชกั ชวนใหน้ กั เรียนใหม่ช้นั ม. 4 มา สมคั รเป็นลูกเสือวสิ ามญั ใชเ้ วลาพดู 3 นาที ส่งตวั แทนมาพดู 1 คน 4. ใหห้ มู่ของท่านอภิปราย บทบาทของผนู้ าอภิปรายวา่ มีอะไรบา้ ง และใหผ้ แู้ ทนหมู่รายงาน ตอ่ ท่ีประชุมใหญ่ 3 นาที วธิ ีกำรทำงำน ใหห้ มูท่ ี่ 1 ทาขอ้ 1 ใหห้ มูท่ ี่ 2 ทาขอ้ 2 ” 3 ”3 ” 4 ”4 ” 5 ”5 ใหท้ างาน 20 นาที

หลกั เกณฑ์กำรอภิปรำยและกำรพูดในทชี่ ุมชน 288 เอกสำรประกอบ (1) กำรอภปิ รำย การอภิปราย คือการแสดงความคิดเห็น หรือการพจิ ารณาเร่ือราวในเรื่องใดเรื่องหน่ึงเพ่ือหา ขอ้ ยตุ ิ ท้งั น้ีภายใตก้ ารนาของผนู้ ากลุ่มอภิปราย ควำมมุ่งหมำยกำรอภิปรำย 1. เป็นวธิ ีการของสถานบนั ประชาธิปไตย 2. เป็นสถานการณ์ซ่ึงสมาชิกของกลุ่มไดเ้ รียนรู้ซ่ึงกนั และกนั 3. เป็นวธิ ีการที่มีประโยชน์รอบดา้ นในการพฒั นาบุคคล 4. เป็นประสบการณ์ที่ส่งเสริมใหท้ ุกคนใชค้ วามคิด หลกั เกณฑ์กำรอภปิ รำย ผนู้ ากลุ่มอภิปรายมีหนา้ ที่ 1. แนะนาและเสนอหวั ขอ้ ท่ีจะอภิปราย 2. กระตุน้ ใหส้ มาชิกในกลุ่มไดแ้ สดงความคิดเห็นและแลกเปล่ียนความรู้และประสบการณ์ โดยเฉพาะผทู้ ่ีไมช่ อบพูด 3. รวบรวมและดึงความคิดจากสมาชิกของกลุ่ม แทนการใชค้ วามคิดของตนเอง 4. พยายามรักษาการอภิปรายใหอ้ ยใู่ นหวั ขอ้ ที่กาลงั อภิปราย 5. ระงบั คนท่ีพูดมากดว้ ยวธิ ีสุภาพ 6. สรุปยอ่ หลกั สาคญั ของการอภิปรายใหส้ มาชิกทราบ แนวกำรจัดกำรอภิปรำย 1. ผนู้ ากลุ่มเตรียมตวั เอง 2. วางแผนการอภิปราย - กาหนดวตั ถุประสงคข์ ้นั ตน้ สาหรับการอภิปราย - สรุปยอ่ ขอ้ มูลท่ีควรทราบเก่ียวกบั หวั ขอ้ เร่ืองอภิปราย - หาขอ้ มูลเพมิ่ เติมถา้ หากจาเป็น 3. จดั อุปกรณ์และเตรียมการ 4. จดั ทาโครงการอภิปราย - วตั ถุประสงค์ - จดั ลาดบั หวั ขอ้ เรื่องสาหรับอภิปราย (กาหนดเวลา)

289 - บนั ทึกคากล่าวแนะนาหวั ขอ้ เร่ือง - บนั ทึกจุดสาคญั ของเร่ือง ปัญหาที่จะหยบิ ยกมาพจิ ารณา ขอ้ มูลจากเอกสาร - การวเิ คราะห์วจิ ยั ปัญหาตวั อยา่ ง ฯลฯ - บนั ทึกการใชอ้ ุปกรณ์โสตทศั น์ศึกษา - บนั การสรุปหรือยอ่ ท่ีน่าจะเป็นไปไดข้ องหวั ขอ้ เรื่องอภิปราย 5. เตรียมสถานท่ี - ควรจดั ใหส้ มาชิกทุกคนเห็นหนา้ กนั ได้ - ท่ีนงั่ ควรเป็นแบบเคลื่อนยา้ ยได้ ทุกคนสามารถไดย้ นิ เสียงกนั ชดั เจน - เตรียมอุปกรณ์ที่จาเป็ น เช่น กระดานดา ชอลก์ กระดาษ ดินสอ และอื่น ๆ กำรนำกำรอภิปรำย 1. การเริ่มและบทนา - จดั บรรยากาศใหเ้ ป็นประชาธิปไตย - ช้ีแจงวตั ถุประสงคข์ องการอภิปราย ช้ีแจงเร่ืองต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งเป็นภูมิหลงั ของหวั เรื่อง - ช้ีแจงความหมายหรือใหจ้ ากดั ความในวธิ ีการและคาศพั ทต์ ่าง ๆ ที่อาจก่อใหเ้ กิดการเขา้ ใจ ผดิ 2. เสนอเร่ือง การนาเรื่อง การสรุปยอ่ หวั ขอ้ อภิปราย - การเสนอเรื่องอภิปรายเร่ืองแรก ใชบ้ ทนาเขา้ สู่เร่ือง เปิ ดโอกาสใหถ้ าม จดั คาถามให้ เขา้ รูปเร่ือง หากจาเป็ นอาจต้งั คาถามใหผ้ เู้ ขา้ ร่วม อภิปราย คิดแลว้ ตอบ - การแนะแนวการอภิปราย สนบั สนุนใหม้ ีการร่วมมือกนั อยา่ งจริงจงั พยายามอยเู่ บ้ืองหลงั การอภิปรายไม่ใชอ้ านาจหนา้ ที่ในฐานะเป็นผนู้ า ป้องกนั ไมใ่ หผ้ กู ขาดการอภิปรายโดยคนใดคนหน่ึง ใชค้ วามชานาญในการใชค้ าถาม เพอื่ ใหก้ ารอภิปรายดาเนินต่อไปไม่หยดุ ย้งั - การสรุปยอ่ แตล่ ะข้นั ตอนหรือแต่ละหวั เร่ืองการอภิปราย ช้ีจุดและใหค้ วามกระจ่างชดั แก่ขอ้ ถกเถียงท่ีสาคญั ๆ แลว้ สรุปผลการอภิปราย 3. การปิ ดอภิปราย ทบทวนวตั ถุประสงคท์ ี่เกี่ยวเนื่องกบั ผลการอภิปรายที่สรุปไดจ้ ากกลุ่ม ขยายขอ้ สาคญั ของ เร่ืองแลว้ เรียบเรียงเพิม่ เติมสิ่งท่ีตกหล่นหรือบกพร่อง แสดงความขอบคุณต่อผเู้ ขา้ ร่วมอภิปรายแลว้ ปิ ดการอภิปรายตามกาหนดเวลา

290 บทบำทของผ้นู ำอภปิ รำย กำหนดหวั ข้ออภิปรำย - เป็นเร่ืองเก่ียวกบั อะไร - เราทุกคนมีความเขา้ ใจในเร่ืองน้นั ตรงกนั หรือเปล่า - เราเห็นดว้ ยกบั จุดประสงคข์ องกลุ่มหรือไม่ วเิ ครำะห์หัวข้ออภปิ รำย - เรามีขอ้ เทจ็ จริงอะไรบา้ ง - เราตอ้ งการขอ้ เทจ็ จริงอะไรเพิ่มเติมบา้ ง - ขอ้ เท็จจริงเหล่าน้นั บอกอะไรแก่เราบา้ ง พฒั นำข้อเสนอ กำรแก้ปัญหำ และควำมคดิ - เราสามารถแจกจ่ายและพฒั นาขอ้ เสนอโดยวธิ ีใดบา้ ง - เราสามารถประสบการณ์อ่ืนใดมาใชบ้ า้ ง ทดสอบขอ้ แกป้ ัญหาหรือความคิดต่าง ๆ เพอ่ื ตกลงกนั ในกลุ่ม - ผลที่จะไดร้ ับจากขอ้ เสนอหรือความคิดเหล่าน้นั มีอะไรบา้ ง - ใครบา้ งควรใชข้ อ้ เสนอหรือแสดงความคิดเห็นตา่ งๆ และควรทาโดยวธิ ีใดเลือก ขอ้ เสนอการแกป้ ัญหาหรือความคิดที่ดีท่ีสุด และสรุปหวั ขอ้ พฒั นาหลกั การแกป้ ัญหา - เราสามารถพฒั นาหลกั การแกป้ ัญหา หรือแนวทางปฏิบตั ิอะไรบา้ งจากการอภิปราย วางแผนรายงานหวั ขอ้ สรุปการแกป้ ัญหาตามความเหมาะสม

หลกั เกณฑ์กำรอภปิ รำยและกำรพูดในทช่ี ุมชน 291 เอกสำรประกอบ (2) กำรพูดในทชี่ ุมชน การพดู เป็นการแสดงออกดว้ ยวาจา บางคร้ังก็ตอ้ งออกทา่ ทางประกอบดว้ ย เป็ นการสร้างเจต คติท่ีท้งั ดีและไม่ดีใหเ้ กิดข้ึนกบั บุคคลอื่น ฉะน้นั สิ่งท่ีแนะนาในการพฒั นาเจตคติท่ีดีดว้ ยการพดู อยา่ งหน่ึงน้นั เขาใหใ้ ชถ้ อ้ ยคาท่ีสุภาพ การพูดน้นั เป็นการสื่อสมั พนั ธ์ทางเดียว ดงั น้นั ถา้ ผพู้ ูดไม่มีความสามารถ พดู แลว้ หาสาระ ไม่ได้ การพูดน้นั ก็ไม่เกิดประโยชน์อนั ใดเลย ทาใหเ้ ป็นการสิ้นเปลืองและสูญเปล่า เป็นที่ยอมรับวา่ การพดู เป็นสิ่งทาใหเ้ กิดการเขา้ ใจและจูงใจคนได้ องค์ประกอบสำคัญในกำรพูดในทช่ี ุมชน 1. เรื่องที่จะพดู เน้ือหาสาระท่ีจะพูด ประกอบดว้ ยจุดมุ่งประสงคเ์ หตุผลและโครงสร้าง 2. ลกั ษณะอาการท่ีแสดงออกในการพูด ท่าทางในการพูด น้าเสียง การแสดงอากปั กิริยา ประกอบ การพูด สายตา และการใชอ้ ุปกรณ์โสตทศั น์ 3. วธิ ีทาใหผ้ ฟู้ ังสนใจ วธิ ีการที่จะทาให้ผฟู้ ังสนใจฟัง มีความจริงใจ ไดร้ ับและรักษาความ สนใจฟังใหค้ งอยู่ 1. เรื่องทจ่ี ะพดู จุดประสงค์ ผพู้ ูดตอ้ งเขา้ ใจจุดมุ่งประสงคข์ องเรื่องท่ีจะพูดใหช้ ดั เจน เพราะถา้ ผพู้ ดู เองยงั ไมส่ ามารถเขา้ ใจกระจ่างในเรื่องท่ีจะพูดอยา่ งถูกตอ้ งแลว้ ผฟู้ ังจะไมส่ ามารถเขา้ ใจในเรื่องท่ีพดู เลย เนื้อหำสำระ เตรียมตวั ที่พูดใหด้ ี โดยทาความเขา้ ใจกบั เน้ือเร่ือง อา่ นเน้ือหาสาระใหล้ ะเอียด คน้ ควา้ หาความรู้เร่ืองท่ีจะพูดใหด้ ี โครงสร้ำง ตอ้ งชดั เจน ง่าย และประกอบดว้ ยการเริ่มตน้ พดู ระหวา่ งพดู และจบการพูด กำรเริ่มต้น - บอกกบั ผฟู้ ังวา่ กาลงั จะพูดอะไร - ตอ้ งพยายามหาจุดสนใจให้ผฟู้ ังสนใจ ควรช้ีแจงใหเ้ ห็นแนวทางของเร่ือง ที่จะพูด ระหว่ำงพูด - พูดสิ่งท่ีตอ้ งการพูด - เน้ือหาสาคญั ของการพูด บรรจุรายละเอียดของเน้ือเรื่องท่ีจะพูดน้นั คือ เป็นเวลาที่จะพดู ใหเ้ ตม็ ท่ี จบ - บอกผฟู้ ังวา่ ไดพ้ ูดเสร็จสิ้นไปแลว้

292 - พดู ใหเ้ หตุผลสนบั สนุนไม่ใหผ้ ฟู้ ังโตแ้ ยง้ ได้ ช้ีขอ้ สรุปในการท่ีจะนาไป ปฏิบตั ิ และควรใหเ้ ป็นอนุสรณ์อยใู่ นความทรงจาอนั มิรู้ลืม หลกั เกณฑ์ในกำรเตรียมเรื่อง 1. เลือกเร่ืองท่ีจะพดู 2. คน้ ควา้ หาความรู้ในเร่ืองที่เลือกไว้ 3. รวบรวมหวั ขอ้ ความคิดของเน้ือเรื่อง ซ่ึงอาจจะไดจ้ ากการระดมสมอง 4. ตดั สินใจกาหนดจุดมุ่งประสงค์ แน่ใจวา่ เขา้ ใจชดั เจนและเขียนหวั ขอ้ ไว้ 5. เตรียมสรุปความเห็น ในเร่ืองท่ีจะพดู 6. เลือกหวั ขอ้ ความคิดท่ีรวบรวมไวท้ ่ีส่งเสริมจุดมุง่ ประสงคข์ องการพูด ถา้ ขอ้ ไหนไม่ดี ใหต้ ดั ทิ้งไป 7. เตรียมตวั พดู ใหผ้ ฟู้ ังสนใจ 8. รวบรวมขอ้ ความคิดท่ีเลือกไว้ นามาทาความเขา้ ใจและวางโครงการสร้างซ่ึงรวมตดั เน้ือหาท่ีไม่จาเป็ นออก 9. ซอ้ มการพดู ซ่ึงช่วยใหส้ ามารถพดู ไดใ้ นเวลาที่กาหนด 10. พดู อยา่ พูดในเน้ือหามากเกินไป จะใหด้ ีควรใหพ้ ดู ครอบคลุมจุดสาคญั ต่าง ๆ แลว้ ครอบคลุมเน้ือหาทวั่ ๆ ไป 2. ลกั ษณะทแ่ี สดงออกในกำรพูด ก. กำรเตรียมตัวเพื่อให้เกดิ ควำมมัน่ ใจ 1. ตรวจสอบสถานที่พดู แสงสวา่ ง อากาศ เคร่ืองขยายเสียง อุปกรณ์ประกอบการพดู 2. ตรวจสอบตวั เอง 3. พยายามผอ่ นคลายความตึงเครียด โดยการหายใจลึก ๆ 2 - 3 คร้ัง จะช่วยไดม้ าก 4. ยนื ในท่าที่สบาย สงบเสงี่ยมและมีสมาธิ ระวงั การเคลื่อนไหวไปมา 5. ถา้ ใช่โตะ๊ บรรยาย ควรหาจุดใหเ้ หมาะกบั สายตาของผฟู้ ัง ข. กำรใช้ท่ำทำงประกอบคำพดู 1. กวาดสายตามองผฟู้ ังทุกคน 2. วางแขนอยใู่ นท่าที่สบายและใชป้ ระกอบการพดู บา้ ง แตอ่ ยา่ ใหฟ้ ่ ุมเฟื อยมากเกินไป 3. หลีกเลี่ยงการวางกา้ มเป็นการข่มขผู่ ฟู้ ังและบุคคลอ่ืน 4. พยายามกาจดั อาการหลุกหลิกต่าง ๆ ท่ีเคยชิน 5. ใชศ้ ิลปะของนกั แสดงได้ แตจ่ งหลีกเลี่ยงการพดู แบบละคร ค. กำรใช้เสียงและคำพดู 1. พูดใหช้ า้ กวา่ ที่สนทนาตามปกติ 2. พูดใหม้ ีน้าเสียงหนกั เบา อยา่ ใชค้ าที่เคยชินอยคู่ นเดียว หรือพูดออ้ มแอม้

293 3. เวน้ จงั หวะพดู บา้ งบางคร้ัง เพือ่ ใหผ้ ฟู้ ังคิด การเวน้ จงั หวะบางทีทาใหโ้ นม้ นา้ วใจอยา่ ง ลึกซ้ึงมากกวา่ คาพูด 4. การใชค้ าพูด ควรใชภ้ าษาง่ายๆ ชดั เจนและเหมาะสมรัดกุม การใชค้ าพูดที่ดีเป็ นรากฐาน ในการนาไปสู่ความสาเร็จในการพูด ระมดั ระวงั ในการใชภ้ าษาแสลงหลีกเลี่ยงคาท่ีนกั ประพนั ธ์ชอบ ใชจ้ นฟังเบ่ือหู ง. กำรใช้บันทกึ ช่วยในกำรพูด การใชบ้ นั ทึกช่วยความจา บางทีก็ทาใหเ้ สียท่าทีอนั ดีในการพดู แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ก็นบั วา่ เป็นส่ิงจาเป็นอยบู่ อ่ ย ๆ ท้งั น้ีก็เพ่ือใหก้ ารพดู น้นั ไดผ้ ลถูกตอ้ งตามเป้าหมาย หากจะใชบ้ นั ทึกช่วยขอ แนะนาดงั น้ี 1. ทาบนั ทึกใหเ้ ล็กขนาดพอเหมาะกบั มือ ไม่ใหผ้ ฟู้ ังสังเกตเห็น 2. ถือไวใ้ นระยะที่ผพู้ ดู เห็นไดช้ ดั 3. ทาความเขา้ ใจกบั บนั ทึกใหด้ ีวา่ อะไรอยตู่ รงไหน มิฉะน้นั จะหลงบนั ทึก ไมร่ ู้สิ่งวา่ จะ พดู อยตู่ รงไหน 3. วธิ ีทำให้ผ้อู ื่นสนใจ ความสาเร็จตามจุดมุง่ ประสงคข์ องการพูดน้นั ข้ึนอยกู่ บั องคป์ ระกอบหลายประการดว้ ยกนั ไมม่ ีสูตรสาเร็จใดในการที่จะทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดความสนใจ แตม่ ีขอ้ แนะนาที่ท่านอาจใชเ้ ป็ นขอ้ พิจารณา ดงั น้ี คือ 1) จงมีความจริงใจ เช่ือในจุดมุง่ ประสงคท์ ่ีท่านไดว้ างไวเ้ อง และหากจะสามารถแสดง ความคิดที่มีความจริงใจต่อผฟู้ ังได้ กจ็ ะเป็นการดี 2) จงมีความต้งั ใจ ทาใหก้ ารพดู มีชีวติ ชีวา ใชอ้ ารมณ์ขนั หลีกเลี่ยงเกี่ยวกบั สถิติและตวั เลข 3) จงเร่งเร้าใจ อยา่ ยอมใหผ้ ฟู้ ังตกอยใู่ นภาวะแคพ่ งึ พอใจเทา่ น้นั 4) จงยอ่ ใจความสาคญั และจาไวเ้ สมอวา่ การเริ่มตน้ คาพูดและจบการพดู คือเวลาเสนอท่ี สาคญั ท่ีสุด จะทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดความสนใจ นาทีแรกเป็นช่วงเวลาที่สาคญั ท่ีสุดในการที่จะเรียกร้อง ความสนใจจากผฟู้ ัง อยา่ เปิ ดฉากการพดู ดว้ ยเร่ืองตลกขบขนั ที่สมมติข้ึน จนกวา่ ทา่ นจะไดม้ ีอารมณ์ ขนั แลว้ การจบคาพูดก็เช่นเดียวกนั อยา่ ปล่อยใหผ้ ฟู้ ังเก็บไปคิดวา่ ท่านจะใหเ้ ขาทาอะไร แตจ่ งให้ กาลงั ใจแก่เขาเพอ่ื ไปทางานที่ท่านพึงประสงคใ์ หท้ า และที่เขาจะสามารถทาได้ 5) มีผกู้ ล่าววา่ “การเกล้ียกล่อมใจตนเองให้รับความถูกตอ้ งน้นั ตอ้ งทาดว้ ยเหตุและผล แต่ การเกล้ียกล่อมผอู้ ่ืนน้นั ตอ้ งใชอ้ ารมณ์”

เร่ือง แผนท่ี - เขม็ ทิศ 294 บทเรียนที่ 19 เวลำ 90 นำที ขอบข่ำยวชิ ำ 1. ประวตั ิความเป็นมาของแผนที่ 2. การอา่ นแผนท่ีโดยสังเขป 3. การใชเ้ ขม็ ทิศ จุดหมำย อ่านแผนที่และใชเ้ ขม็ ทิศได้ วตั ถุประสงค์ เม่ือจบบทเรียนน้ีแลว้ ผเู้ ขา้ รับการฝึกอบรมควรจะสามารถ 1. ระบุความหมายของแผนที่ชนิดต่าง ๆ ได้ 2. อา่ นรายละเอียดต่าง ๆ บนแผนท่ีไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 3. บอกช่ือส่วนประกอบของเข็มทิศและใชเ้ ขม็ ทิศเป็น วธิ ีสอน / กจิ กรรม 30 นาที 1. บรรยายเรื่องแผนท่ี 15 นาที 2. ทาแบบฝึกหดั การอา่ นตารางกริดและเส้นช้นั ความสูง 30 นาที 3. อธิบายส่วนประกอบของเขม็ ทิศและการใชเ้ ขม็ ทิศ 10 นาที 4. ทดสอบการใชเ้ ขม็ ทิศ 5 นาที 5. สรุป ส่ือกำรสอน 1. แผนที่ประเทศไทย 1 : 50,000 หรือ 1 : 25,000 2. เขม็ ทิศท่ีสามารถใชต้ ้งั มุม – วดั มุมและมีลูกศรช้ีทิศทาง (เขม็ ทิศ SILVA) 3. แผน่ ใสหรือภาพพลิกวชิ าแผนท่ีและเขม็ ทิศ กำรประเมินผล 1. สังเกตพฤติกรรม 2. ทดสอบ 3. อภิปราย ซกั ถาม

295 เนื้อหำวชิ ำ แผนทคี่ ืออะไร แผนท่ี คือส่ิงที่แสดงรายละเอียดของภูมิประเทศบนพ้ืนผวิ โลก ท้งั ที่มีอยตู่ ามธรรมชาติและท่ี มนุษยส์ ร้างข้ึนโดยจาลองไวบ้ นวตั ถุพ้ืนระนาบดว้ ยมาตราส่วนใดมาตราส่วนหน่ึง ซ่ึงรายละเอียด เหล่าน้ีอาจแสดงดว้ ยเส้น สี และ สัญลกั ษณ์ ต่าง ๆ กำรแบ่งชนิดของแผนที่โดยทวั่ ไป 1. แผนที่แบบแบนราบ (Planimetric Map) คือ แผนที่ท่ีแสดงพ้ืนผวิ ของโลกในทางราบ ไม่ แสดงความสูงต่าใหป้ ระโยชน์มาก ในการใชแ้ สดงตาแหน่ง ระยะทางและเส้นทาง 2. แผนที่ภูมิประเทศ (Topographic Map) คือ แผนที่ที่แสดงพ้ืนผวิ ของโลกใหเ้ ห็นความสูง ต่า ใหค้ ุณประโยชนม์ ากกวา่ แบบแบนราบ 3. แผนที่ภาพถ่าย (Picto Map or orthophoto Map) คือ แผนท่ีท่ีทาข้ึนจากภาพถ่ายทางอากาศ สามารถแสดงใหเ้ ห็นลกั ษณะต่าง ๆ ท้งั ที่เป็นสิ่งธรรมชาติ และสิ่งท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน ซ่ึงไม่ปรากฏใน แผนท่ี และมีลกั ษณะท่ีถูกตอ้ งกวา่ แผนท่ีอื่น กำรแบ่งชนิดของแผนทตี่ ำมลกั ษณะกำรใช้งำน 1. แผนท่ีทวั่ ไป (General maps) เป็นแผนที่ท่ีใชเ้ ป็ นฐานสาหรับทาแผนท่ีอ่ืน ส่วนมากแลว้ จะ ใชม้ าตรส่วน 1 : 1,000,000 ซ่ึงแสดงอาณาเขตประเทศ เมือง ความสูงต่า ลกั ษณะภูมิประเทศ เช่น แผนที่โลก แผนท่ีทวปี ต่าง ๆ ตลอดจนแผนที่ประเทศไทย เป็นตน้ 2. แผนที่ทรวดทรงหรือแผนท่ีนูน (Relief maps) เป็นแผนท่ีท่ีแสดงความสูงต่าของภูมิ ประเทศ มาตราส่วน 1 : 250,000 3. แผนที่ทหาร (Military maps) เช่น แผนที่ยทุ ธศาสตร์ – ยทุ ธวธิ ี แผนที่สาหรับทหารปื น ใหญ่ 4. แผนท่ีเดินอากาศ (Aeronautical charts) ใชส้ าหรับการบิน เพื่อใหท้ ราบถึงตาแหน่งและ ทิศทางของเครื่องบิน 5. แผนที่เดินเรือ (Nautical charts) ใชใ้ นการเดินเรือ แสดงความลึก สนั ดอน แนวปะการัง เขตน้าต้ืน เป็ นตน้ 6. แผนที่การขนส่ง (Transportation maps) เป็นแผนที่ที่แสดงการคมนาคมขนส่งทางถนน รถไฟ ทางเรือ และทางอากาศ 7. แผนที่เศรษฐกิจ (Economic maps) เป็นแผนท่ีท่ีแสดงผลผลิต เขตกสิกรรม และลกั ษณะ การกระจายหรือความหนาแน่นของประชากร 8. แผนท่ีประวตั ิศาสตร์ (Historical maps) เป็นแผนท่ีแสดงอาณาเขตสมยั ก่อน ๆ 9. แผนท่ีรัฐกิจ (Political maps) เป็นแผนที่ท่ีแสดงเขตการปกครอง ดินแดนและพรมแดน

296 10. แผนที่เคา้ โครง (Diagrammatic maps) เป็นแผนที่ท่ีแสดงลายเส้นรูป แสดงกราฟ สถิติ เช่น กราฟแสดงน้าฝน อุณหภูมิ เป็นตน้ 11. แผนท่ีผงั เมือง (City maps) ใชแ้ สดงอาคารสถานที่ของตวั เมือง ถนนหนทาง สถานท่ี สาคญั มาตราส่วน 1 : 20,000 12. แผนที่ทางหลวง (Higmway maps) ใชแ้ สดงถนนสายสาคญั เช่น ทางซุปเปอร์ไฮเวย์ มาตราส่วน 1 : 1,000,000 13. แผนท่ีโฉนดท่ีดิน (Cadastral maps) เป็นแผนท่ีท่ีแสดงการถือกรรมสิทธ์ิที่ดินของเจา้ ของ ที่ดิน ซ่ึงกรมท่ีดินเป็นผอู้ อกให้ 14. แผนที่เพ่ือการนิเทศน์ (Illustration maps) เป็นแผนที่ที่ใชใ้ นการโฆษณา เช่น แผนที่เพื่อ การทอ่ งเที่ยวแสดงภาพสถานที่สาคญั ๆ ปูชนียวตั ถุ สถานที่ตากอากาศ เป็ นตน้ กำรอ่ำนแผนท่ี เป็นการคน้ หารายละเอียดของภูมิประเทศบนแผนท่ี ถา้ เราอา่ นแผนที่ไดเ้ ราก็จะไดป้ ระโยชน์ จากแผนที่มากมาย สามารถรู้จกั ลกั ษณะของภูมิประเทศท้งั ๆ ที่เรายงั เขา้ ไปไมถ่ ึง สามารถท่ีจะ วางแผนปฏิบตั ิการตา่ ง ๆ ได้ ถา้ เราอ่านแผนท่ีไม่ออก โดยสรุป แผนที่จะบอกให้เราทราบท่ีต้งั ระยะทาง ทิศทาง ความสูงต่าและทรวดทรง 1. ทต่ี ้งั (Location) ระบบที่ใชใ้ นการหาท่ีต้งั ของส่ิงต่าง ๆ ในแผนที่มีหลายระบบ แตท่ ี่แพร่หลายที่สุด คือ ระบบ พกิ ดั ภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinates) และระบบพกิ ดั ตาราง (Grid Coordinates) ก. ระบบพกิ ดั ภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinates) ระบบน้ีเป็นระบบท่ีกาหนดท่ีต้งั (Location) ของส่ิงต่าง ๆ ในแผนท่ี ดว้ ยคา่ ของละติจูดและลองติจูด โดยมีเส้นศูนยส์ ูตรเป็นหลกั ใน การกาหนดของเส้นละติจูด วา่ สิ่งน้นั อยหู่ ่างไปทางเหนือหรือใตข้ องเส้นศูนยส์ ูตร ข. ระบบพิกดั ตาราง (Grid Coordinates) ระบบน้ีเป็นระบบที่กาหนดที่ต้งั ของสิ่งตา่ ง ๆ ใน แผนที่ โดยอาศยั เส้นตรง 2 ชุด คือ - เส้นตรงขนานกนั ในแนวตะวนั ออก – ตก - เส้นตรงขนานกนั ในแนวเหนือ – ใต้ เส้นตรงท้งั 2 ชุดน้ี จะตดั กนั เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตั ุรัส หรือเรียกวา่ พิกดั กริด ซ่ึงพิมพไ์ วบ้ นแผน ท่ี พร้อมท้งั มีตวั เลขสีดาแสดงกากบั เส้นกริดแต่ละเส้น