พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว รชั กาลท่ี ๕ ทรงผนวช ๒ ครัง้รัชกาลท่ี ๔ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ คร้ังแรก ทรงผนวชเปน็ สามเณร ขณะทรงด�ำ รงพระอสิ ริยยศเป็นสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอกอ่ นเสด็จเถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ เจา้ ฟ้าจฬุ าลงกรณ์ ใน พ.ศ. ๒๔๐๙ เสด็จประทับ ณ วดั บวรนเิ วศวิหาร เป็นเวลา ๖ เดอื น ครัง้ ท่ี ๒ ทรงผนวชเป็นพระภกิ ษุ ภายหลงั จากเสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั แิ ลว้ ใน พ.ศ. ๒๔๑๖ เสด็จฯ ประทบั พระพทุ ธรตั นสถานมนทริ าราม ในพระบรมมหาราชวัง เป็นเวลา ๑๕ วนั เมือ่ พ.ศ. ๒๓๗๙ พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงอาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั คร้งั ยังด�ำ รงพระอิสริยยศเป็น สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ เจ้าฟ้ามงกฎุ สมมตเิ ทวาวงศ์ และทรงผนวชประทบั อยวู่ ัดสมอราย (วัดราชาธวิ าสในปจั จุบัน) ใหเ้ สด็จมาทรงเปน็ เจ้าอาวาสพระองค์แรกของวัดบวรนิเวศวิหาร นับแต่น้ันมา วดั บวรนเิ วศวหิ าร กไ็ ด้เปน็ ท่ีประทับของพระมหากษตั รยิ ท์ ุกพระองคท์ ี่เสดจ็ ออกทรงผนวช ตลอดถงึ พระบรมวงศานุวงศท์ ท่ี รงผนวช100
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดชรัชกาลที่ ๖ ทรงผนวชเปน็ พระภกิ ษขุ ณะทรง รัชกาลท่ี ๗ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุขณะทรง รชั กาลปัจจุบนั ทรงผนวชเปน็ พระภกิ ษุ ใน พ.ศ.ด�ำ รงพระอสิ รยิ ยศเปน็ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช ดำ�รงพระอสิ รยิ ยศเปน็ สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ ๒๔๙๙ เสด็จฯ ประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เจา้ ฟา้ ประชาธปิ กศกั ดเิ ดช กรมขนุ สโุ ขทยั ธรรมราชาเจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ใน พ.ศ. ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ เสดจ็ ประทบั ณ วดั บวรนเิ วศวหิ าร เป็นเวลา ๑๕ วนั เป็นเวลา ๓ เดอื นเศษ๒๔๔๗ เสดจ็ ประทบั ณ วดั บวรนเิ วศวิหารเปน็ เวลา ๓ เดอื น ๒๐ วนัสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ าลงกรณ สยามมกฎุ ราชกมุ ารทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และไดเ้ สดจ็ มาประทบั ณ วัดบวรนเิ วศวหิ าร ระหวา่ งวันท่ี๖ พฤศจิกายน ถึงวนั ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๑ รวมเวลา ๑๕ วัน 101
พระมหากรุณา ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องอื่นต่อไปสมควรจะได้กล่าวถึงเรอ่ื งราวพเิ ศษทอี่ ยใู่ นความสนใจและความทรงจ�ำ ของประชาชนคนไทยมาเปน็ เวลาช้านาน และยงั เลา่ ขานกนั สืบมา แมจ้ นปัจจุบนั และอนาคต นน่ั คอื เรือ่ งราวต่างๆ ทเ่ี จา้ พระคณุ สมเด็จฯ ได้ทรงมีโอกาสคุ้นเคยกับพระราชวงศ์ ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดไปจนถึงเจ้านายอีกหลายพระองค์ ความทที่ รงรจู้ ักคนุ้ เคยกนั เชน่ นีเ้ ปน็ กศุ ลและเปน็ บญุ แกป่ ระเทศชาตแิ ละประชาชนเปน็ อยา่ งยิง่ เพราะส�ำ หรบั ประเทศไทยแลว้ สถาบนั ศาสนาและสถาบนัพระมหากษตั รยิ ์มคี วามส�ำ คญั ย่งิ นักต่อการด�ำ รงอยู่ของชาติ ความเป็นไปทเ่ี กื้อกูลกนั ระหว่างสถาบนั ทงั้ สอง จึงไมม่ ผี ลเป็นอยา่ งอื่นนอกจากความผาสกุ รม่ เย็นและประโยชน์ทย่ี ่งั ยนื สำ�หรบั ประชาชนคนไทย เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ มีโอกาสได้เปน็ ทรี่ จู้ ักคุ้นเคยของ แต่ด้วยเดชะพระบารมีก็ได้หายประชวรไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรกเมอื่ พ.ศ. ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จพระราชด�ำ เนินไปเยี่ยม เวลานน้ั สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ เมอ่ื ฟงั พระอาการหลายครง้ั ทรงพระด�ำ รวิ า่ ถา้ ไดท้ รงผนวชดว้ ยมี ทรงดำ�รงพระสมณศักดิ์ท่สี มเด็จพระวชริ ญาณวงศ์ สมเดจ็ สมเด็จพระสงั ฆราชทรงเป็นพระอปุ ชั ฌายะแล้ว จะเป็นท่สี ม พระสังฆราช ผทู้ รงเป็นพระอุปัชฌาย์ของเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ พระราชประสงค์ในอนั ทจ่ี ะไดท้ รงแสดงพระราชคารวะและศรทั ธา ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในองคส์ มเดจ็ พระสงั ฆราชจงึ ทรงตกลงพระราชหฤทยั ทจ่ี ะทรง ได้มีพระราชประสงค์ที่จะได้ทรงผนวชในพระพุทธศาสนามา ผนวช การนเ้ี ปน็ ทต่ี กลงกนั วา่ สมเดจ็ พระวชริ ญาณวงศ์ สมเดจ็ ช้านานแล้ว ตน้ ปนี น้ั สมเด็จพระสังฆราช ผทู้ ท่ี รงนิยมนับถอื พระสังฆราช จะทรงเปน็ พระราชอุปัธยาจารย์ ทรงผนวชใน ด้วยวสิ าสะอนั สนทิ และทรงถือว่ามีคุณปู การสว่ นพระองค์มา ท่ามกลางสังฆสมาคมท่ีพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มากไดป้ ระชวรลง พระอาการเปน็ ทว่ี ติ กทว่ั ไปจนแทบไมม่ หี วงั ในวนั ที่ ๒๒ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๙๙ จากนน้ั เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ102
ยงั พระอโุ บสถพระพทุ ธรตั นสถาน ทรงประกอบการพระราชพธิ ีทฬั หีกรรมตามขตั ตยิ ราชประเพณี ในสงั ฆสมาคมฝา่ ยธรรมยตุ มสี มเดจ็ พระวชริ ญาณวงศ์สมเดจ็ พระสงั ฆราช พระราชอปุ ธั ยาจารยเ์ ปน็ ประธานเมอ่ื ทรงผนวชแลว้ เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ โดยรถพระทน่ี ง่ัพร้อมด้วยสมเด็จพระสังฆราชสู่วัดบวรนิเวศวิหารระหว่างทรงผนวช ประทับที่พระปั้นหย่าตามแบบธรรมเนียมในพระราชวงศ์ จนกระทั่งทรงลาผนวชเมอ่ื วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙ ทรงอยูใ่ นภกิ ขภุ าวะ ๑๕ วันตามกำ�หนด 103
ในการทรงผนวชคราวนน้ั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ขณะทรงด�ำ รงสมณศกั ดท์ิ พ่ี ระโศภนคณาภรณ์ไดท้ รงนง่ั อยใู่ นหตั ถบาส ในพระราชพธิ ีทรงผนวช ท้งั ทพี่ ระอุโบสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม และทพ่ี ระอุโบสถพระพุทธรตั นสถาน ย่ิงไปกว่าน้นั ทรง ได้รับความวางพระทัยจากสมเดจ็ พระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช ให้ทรงปฏิบัติหน้าท่พี ระอภบิ าล(พระพ่เี ลี้ยง) ของ ภิกษพุ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ตลอดเวลาที่ทรงผนวชด้วย เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ เคยประทานสัมภาษณ์ไว้ในหนังสือเรื่อง “สองธรรมราชา” วา่ “ได้มีความรู้สึกว่าพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงพระผนวชตามพระราชประเพณีอย่างเดียวเท่านั้น หามไิ ด้ แตท่ รงพระผนวชดว้ ยพระราชศรัทธาท่ีต้งั มั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแทจ้ รงิ มิไดท้ รงเป็นบคุ คลจ�ำ พวกท่ีเรยี กวา่ “หวั ใหม่” ไมเ่ หน็ ศาสนาเป็นส�ำ คญั ...ตัวอยา่ งเช่น เม่ือเสด็จฯ ไปท้งั ในและนอกวดั ไมท่ รงสวมฉลองพระบาท เสดจ็ ฯ ไป ดว้ ยพระบาทเปล่าทุกหนแห่ง ทรงปฏบิ ัตกิ จิ วตั รตา่ ง ๆ อยา่ งสมบูรณ์ ทรงรกั ษาเวลา เมื่อตีระฆงั ลงโบสถท์ ุกเช้าเยน็ เวลา ๘ นาฬิกา และเวลา ๑๗ นาฬิกา ก็จะเสด็จลงโบสถท์ ันที...”104
ด้วยฐานะท่ีทรงสนิทสนมคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ครั้งที่ทรงผนวชน้ันเองทำ�ให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯทรงเป็นที่เคารพนับถือของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ยิ่งดังจะเห็นได้จากการที่ได้ทรงรับหน้าที่ถวายพระธรรมเทศนาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศ์ต่างๆ อยู่เนอื งๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระธรรมเทศนาที่เรียกว่า “พระมงคลวิเสสกถา” ซึ่งเป็นพระธรรมเทศนาพิเศษที่พระมหาเถระจะได้ถวายในพระราชพิธีพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา โดยพรรณนาถงึ พระราชจรรยาของสมเด็จพระเจ้าแผน่ ดนิ วา่ ได้ทรงปฏบิ ตั สิ อดคลอ้ งต้องตามพระธรรมค�ำ สอนในพระพทุ ธศาสนาอย่างไร เพ่ือจะได้ทรงพจิ ารณาและบงั เกดิ พระปีติปราโมทยแ์ ลว้ ทรงบำ�เพ็ญราชธรรมน้ันย่ิงๆ ขน้ึ เป็นการอุปถมั ภ์พระราชจรรยาให้ถาวรไพบูลย์ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงเป็นผู้ถวายพระธรรมเทศนานี้ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพ.ศ. ๒๕๑๗ คราวหนึง่ และต่อมาตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๕๒๕ ก็ได้ทรงเป็นผู้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถานีส้ ืบเนื่องจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก (วาสโน วาสน)์ มาจนกระท่ัง พ.ศ. ๒๕๔๓ เจ้าพระคุณสมเด็จฯพระชนมายมุ ากขน้ึ พระพลานามยั ไมเ่ ออ้ื ใหท้ รงปฏบิ ตั หิ นา้ ทส่ี �ำ คญั อนั นไ้ี ด้ จงึ ทรงผอ่ นพระภาระในเรอ่ื งนใ้ี หแ้ กพ่ ระมหาเถระรปู อน่ื แทน 105
ไม่เพียงแต่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จะได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยในการปฏิบัติหน้าที่ในพระราชพิธีสำ�คัญ ๆ เท่าน้นั หากแต่โดยส่วนพระองค์แล้ว ยังทรงมีความผูกพันใกล้ชิด และเป็นที่เคารพสักการะยิ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ รวมถงึ พระบรมวงศานวุ งศ์ทุกพระองค์ ดังสังเกตเห็นได้จากบอ่ ยครง้ั ท่ีไดเ้ สดจ็ พระราชด�ำ เนนิ มาทรงบ�ำ เพญ็ พระราชกศุ ล หรอื เสดจ็ มาทรงบ�ำ เพญ็ พระกศุ ลในวาระส�ำ คญั ตา่ งๆ ทว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ ารอยเู่ นอื งๆ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั มพี ระราชศรทั ธาในเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ยง่ิ นกั ในเวลาทท่ี รงปลกี พระองค์ไดจ้ ากพระราชกจิ ที่มีมากมายมหาศาล มักจะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งด้วยพระองค์เอง เสด็จพระราชดำ�เนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ นี าถ มาทรงสนทนาธรรมและบำ�เพ็ญพระราชกศุ ลเปน็ การส่วนพระองคอ์ ย่เู สมอ106
นอกจากนีใ้ นเวลาทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั และสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับแรมในต่างจังหวัด ไม่ว่าจังหวัดใดก็จะทรงอาราธนาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ให้เดินทางไปด้วย เช่น เมื่อเสด็จแปรพระราชฐานไปประทบั ทพ่ี ระต�ำ หนกั ภพู งิ คราชนเิ วศน์ จงั หวดั เชยี งใหม่ ในเดอื นมกราคมของทกุ ปี กจ็ ะทรงอาราธนาเจา้ พระคณุสมเดจ็ ฯ ไปประทบั ทส่ี �ำ นกั สงฆด์ อยปยุ ซง่ึ อยหู่ า่ งจากพระต�ำ หนกั ภพู งิ คราชนเิ วศน์ไมไ่ กลนกั เพอ่ื จะไดท้ รงบ�ำ เพญ็ พระราชกศุ ลและสนทนาธรรมกับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เมื่อโอกาสอำ�นวย แรกเริ่มสำ�นักสงฆ์ดอยปุยมีเพียงกุฏิไม้สูงสองชั้นหลังเดียวมีบันไดอยู่ดา้ นนอก เวลาทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ ีนาถ เสด็จพระราชดำ�เนนิขนึ้ ไปทรงสนทนาธรรมกบั เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ทั้งสองพระองคจ์ ะทรงถอดฉลองพระบาทไว้ข้างล่าง และทรงมีพระราชปุจฉาวิสัชนาข้อธรรมกบั เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ เป็นการส่วนพระองคเ์ ป็นเวลานานณ สำ�นกั สงฆด์ อยปยุ ความสงบสงัดและธรรมชาตอิ ันสดชื่นคงชว่ ยให้คนท่ัวไปได้พักผ่อนคลายความตึงเครียดจากการงานหรอื ความว่นุ วายในเมอื งได้ไมม่ ากกน็ ้อย แตส่ ำ�หรบัเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ แลว้ แม้ไปประทบั อยใู่ นทส่ี งบสงดัเชน่ นน้ั แลว้ แตห่ นา้ ทข่ี องพระกไ็ มม่ วี นั หยดุ พระองคย์ งัเสดจ็ ตามขน้ั บนั ไดทางเดนิ ทล่ี าดลงจากส�ำ นกั สงฆด์ อยปยุมาทห่ี ม่บู ้านแม้วเป็นระยะทางพอสมควรเพอ่ื รบั บาตร และในบางโอกาสกไ็ ดเ้ สดจ็เยี่ยมเยยี นส�ำ นักสงฆ์ และวัดในบรเิ วณใกล้เคียง รวมทั้งสนทนากับชาวบ้านกลมุ่ ตา่ งๆ เปน็ ความชมุ่ ชน่ื ใจของผทู้ ไ่ี ด้เฝ้ารับประทานพระเมตตาเป็นอย่างยิ่ง 107
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ ีนาถ ทรงพระมหากรุณาพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญ พระปรมาภิไธยยอ่ ภปร. และพระนามาภิไธยย่อ สก. ประดษิ ฐานทอี่ งค์พระมหามณฑปพุทธบาท ภปร.สก. วัดญาณสงั วรารามพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว เสด็จพระราชด�ำ เนนิทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และทรงวางศลิ าฤกษ์พระบรมธาตเุ จดยี ม์ หาจกั รพี พิ ฒั น์ วดั ญาณสงั วราราม นอกจากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ จะทรงรบั อาราธนาไปประทับ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ชว่ั ครง้ั คราวตามพระต�ำ หนกั ตา่ ง ๆ หรอื เสดจ็ ไปทรงเขา้ งานบ�ำ เพญ็ เสดจ็ พระราชดำ�เนินเขาชีโอน พระราชกศุ ลของหลวงแลว้ ในสว่ นพระองคข์ องเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ซึ่งเป็นพืน้ ทภี่ ูเขาสงู รอบบรเิ วณ เอง ทรงใหค้ วามสำ�คัญเปน็ พิเศษกับวนั ที่ ๖ เมษายนของทกุ ปี ซ่ึงเป็นวันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและ วัดญาณสงั วราราม วนั ทร่ี ะลกึ มหาจกั รบี รมราชวงศ์ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ จะทรงก�ำ หนด เป็นกิจวตั รประจ�ำ ทกุ ปี และเสด็จไปวดั ญาณสงั วราราม จงั หวัด วัดญาณสงั วรารามนี้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงดำ�ริท่ีจะสรา้ ง ชลบรุ ี เพ่ือบำ�เพญ็ พระกุศลวนั แผน่ ดินไทย อนั มคี วามหมายวา่ ถวายสมเด็จพระมหาบุรพกษัตริยาธิราชเจ้าและพระบาทสมเด็จ เป็นการบำ�เพ็ญพระกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบุรพกษัตริย์ พระเจา้ อย่หู ัว ดว้ ยทรงส�ำ นกึ ในพระมหากรณุ าธิคณุ คณะผู้สรา้ ง และบรรพชนไทยทกุ ทา่ นทุกคน วดั ญาณสงั วราราม ในความอปุ ถมั ภข์ องเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ จงึ รว่ ม กบั ประชาชนชาวไทยสรา้ งสง่ิ อนั เปน็ ปชู นยี วตั ถสุ ถานส�ำ คญั ขน้ึ หลาย บ�ำ เพ็ญพระกศุ ลวันแผน่ ดนิ ไทย ประการระหวา่ งการกอ่ สรา้ งกด็ ีหรอื เมอ่ื กอ่ สรา้ งแลว้ เสรจ็ บรบิ รู ณก์ ด็ ี108 พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ พรอ้ มทง้ั พระราชโอรสและพระราชธดิ าทกุ พระองค์ ทรงพระมหากรณุ า รับคำ�กราบบงั คมทลู เชิญเสด็จพระราชดำ�เนนิ ไปประกอบพธิ ีต่างๆ ส�ำ หรบั วดั ญาณสงั วรารามอยโู่ ดยตลอดไมว่ า่ จะเปน็ การวางศลิ าฤกษ์ หรอื การฝงั ลกู นมิ ติ ส�ำ หรบั อโุ บสถ เปน็ ตน้ สถานทแ่ี หง่ น้ี จงึ เปน็ อนสุ รณ์ แหง่ ความกตญั ญกู ตเวทขี องเจา้ พระคณุ สมเด็จฯ ทท่ี รงมตี อ่ สถาบนั พระมหากษตั ริย์ และพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ย่ิงไปกว่านั้นทุกคร้ังคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง ทราบฝา่ ละอองธลุ พี ระบาท ถงึ พระด�ำ รใิ นงานพระกศุ ลของเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไมว่ ่าจะเป็นการบรรพชากุลบตุ รศากยะทีเ่ นปาล หรือการ กอ่ สรา้ งซอ่ มแซมวดั วาอารามตา่ ง ๆ กจ็ ะทรงพระกรณุ าพระราชทาน พระบรมราชูปถัมภ์ทกุ คร้ังไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ เปน็ การสว่ นพระองค์มาบำ�เพญ็ พระราชกศุ ลและทรงสนทนาธรรมกับเจา้ พระคณุ สมเด็จฯ ณ วัดบวรนเิ วศวิหาร อยู่เสมอ เร่อื งหนง่ึ ทไ่ี ม่ค่อยมีผู้ใดได้ทราบนกั คือ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ทรงฟงั แถบบนั ทึกเสียงการบรรยายธรรมต่าง ๆ ของเจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ อยูเ่ สมอ และหากทรงทราบว่าผู้ใดกำ�ลังศึกษาปฏิบตั ธิ รรมอยู่ก็จะพระราชทานส�ำ เนาแถบบนั ทึกเสยี งเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ แก่ผู้น้ันพร้อมท้งั ทรงแนะวิธีการฟงั ด้วย เช่น มผี ู้ไดร้ บั พระราชทานสำ�เนาแถบบันทกึ เสยี งดังกล่าวคนหน่งึ กราบบังคมทูลพระกรณุ าวา่ เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ รับสัง่ เป็นช่วงๆ ฟงั ไมส่ นกุ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั มีพระราชกระแสวา่ อยา่ คิดไปกอ่ นว่า เจา้ พระคุณสมเด็จฯ จะพูดวา่ อย่างไร ถา้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ หยุดก็ให้หยุดด้วย เม่อื ผนู้ น้ั นำ�ไปปฏบิ ัติ ตามก็พบว่า ส�ำ เนาแถบบันทึกเสยี งนัน้ เป็นธรรมบรรยายทด่ี ที ่สี ุดเร่อื งหน่งึ ของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ ธรรมบรรยายของเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ บางเรอื่ งทพี่ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ทรงสดับศึกษาแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าหน้าที่ถอดความออกมาเป็นหนังสือ พร้อมทั้งทรงตรวจ ทานตน้ ฉบบั ด้วยพระองค์เอง แล้วพระราชทานตน้ ฉบับมายังเจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ เพอื่ ใหจ้ ัดพมิ พเ์ ผยแพร่ คอื เรอ่ื ง สมั มาทฏิ ฐิ ตามพระเถราธบิ ายของทา่ นพระสารบี ตุ รเถระ พรอ้ มทง้ั พระราชทานพระราชทรพั ยส์ �ำ หรบั การจัดพิมพ์ ดว้ ยทรงเหน็ ว่าธรรมบรรยายเรื่องสัมมาทิฏฐินม้ี ีประโยชน์ต่อการศกึ ษาพระพุทธศาสนาของ ประชาชนทั่วไป จึงสมควรทจี่ ะไดเ้ ผยแพร่ใหก้ วา้ งขวาง 109
110
ลายพระหตั ถข์ องเจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ เมอ่ื ยงั ทรงดำ�รงสมณศกั ดิ์ท่พี ระสาสนโสภณ ทรงบันทึกเน่ืองในวโรกาสท่ี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั เสด็จพระราชดำ�เนนิ เป็นการส่วนพระองคม์ าทรงสนทนาธรรม ณ พระอโุ บสถ วดั บวรนเิ วศวหิ าร เม่อื วันที่ ๔ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๐๕ 111
เมอื่ บรมบพิตร ทรงสนทนาธรรม กบั บวรธรรมบพติ ร112
เร่อื งหนังสือสอนพระพทุ ธศาสนาความทีร่ บั สัง่ : หนังสือสอนพระพทุ ธศาสนายากเกินไปแกส่ มองเดก็ ให้เด็กเลก็ ๆ จำ�ประวัตมิ ากเกนิ ไปทูลวา่ : กระทรวงศึกษาธกิ ารเปน็ ผู้จัดหลกั สูตรรบั สัง่ : อยา่ งสอนอริยสจั จ์แกเ่ ด็กเล็กๆ เหมือนอย่างจะให้เด็กเปน็ พระอรหนั ต์ จะใหเ้ ด็กเข้าใจได้อย่างไร นา่ จะสอนบทธรรมง่ายๆ ที่เป็นประโยชน์ในการอบรมเดก็ ด้วย เช่น ความเพยี ร และนา่ จะจดั เป็น หลกั สตู รสงู ขึ้นไปโดยล�ำ ดบั แทรกพุทธประวัติ นิทานชาดก บทสอนคฤหสั ถ์ ศาสนาได้มจี ัดท�ำ ไว้ ทำ�นองน้ี นา่ จะทำ�แจก หรือจ�ำ หนา่ ยถกู ๆ ของกระทรวงก็ปลอ่ ยไปเป็นส่วนของกระทรวงทูลว่า : จะน�ำ กระแสพระราชดำ�รินี้ไปจัดท�ำ แตก่ ารเขียนเรอ่ื งให้เด็กอา่ นนั้น เขยี นแลว้ คดิ วา่ ง่ายเดก็ เขา้ ใจ คร้ันไปลองสอนใหก้ บั เด็ก คอื ใหเ้ ดก็ อ่าน เด็กก็ไม่สนใจรบั สงั่ : ถา้ ประสงคจ์ ะทดสอบก็ได้ เขยี นส่งไปใหท้ ูลกระหมอ่ มเจา้ ฟ้าหญงิ อบุ ลรตั นฯ์ อ่าน ถ้าจะทดสอบอายนุ อ้ ยกว่านัน้ ก็ได้ การปฏิบัติพระองค์ความทีร่ ับสัง่ : การปฏิบตั ิพระองค์ให้เหมาะเปน็ การยากต้องท�ำ ๒ อยา่ งพร้อมๆ กนั อย่างหนึง่ ตอ้ งให้ มีภาคภมู ิ อกี อยา่ งหนึ่งตอ้ งใหส้ ภุ าพ มิใหเ้ ป็นหยง่ิ หรอื ท่เี รยี กกนั ว่าเบ่ง และในสมยั ประชาธปิ ไตย ก็ตอ้ งให้เหมาะสมเขา้ กนั ได้กบั ประชาชนทลู : ตามที่ได้ฟัง ได้ยินแต่เสียงชนื่ ชมในพระบารมีรบั ส่งั : ต้องคอยสังเกตเปน็ บทเรยี นและแก้ไขเร่อื ยมา เมอ่ื คราวเสด็จภาคอสี าน วันหนึง่ เหน่อื ยมาก หน้าบง้ึ กลบั ทพี่ กั แล้วนกึ ขึ้นไดว้ า่ ราษฎรไดม้ โี อกาสเหน็ เราเพยี งครั้งเดียวใหเ้ ขาเหน็ หนา้ บึ้งไมด่ ี ต่อจากน้ัน ถงึ จะเหนอื่ ยมาก กต็ ้องพยายามไม่ท�ำ หนา้ บ้งึ ตอ้ งท�ำ ชน่ื บาน 113
กำ�ลังใจ รับสง่ั : เม่อื คราวเสดจ็ ทางใต้ วันหน่งึ ไมส่ บาย แต่ถ้างดไม่ไป กจ็ ะเกิดเสยี หาย ต้องไปครั้นไปแล้วกลับมาก็สบายดี จะเป็นเพราะก�ำ ลงั ใจใช่ไหม ทลู ทูลรบั และทูลว่า : ฝึกบอ่ ยๆ กำ�ลงั ใจกจ็ ะย่ิงมากข้ึน นมิ ิตรในสมาธิ ความท่รี บั สงั่ : ทำ�สมาธิ มองเห็นภาพตา่ งๆ เป็นจรงิ หรือ ทลู : โดยมากไม่จริง ภาพที่เห็นมกั เปน็ นิมติ คอื ภาพทเ่ี กดิ จากสัญญา หรอื ทเี่ รียกว่าภาพอุปาทาน คอื ได้เคยคิดเคยเหน็ มาแล้ว เกบ็ ไว้ในใจ ครั้นทำ�สมาธิใจแนว่ แน่ ส่ิงที่เกบ็ ไว้ในใจนัน้ ก็ปรากฏข้นึ มา เหมอื นอย่างท่เี หน็ นรก เห็นสวรรค์ เห็นเทวดา ถามวา่ เทวดารูปรา่ งอยา่ งไร ตามคำ�ตอบ กค็ ลา้ ย รูปเทวดาท่ผี นังโบสถ์ แต่ที่เป็นจริงก็มี เป็นพวกทพิ ยจกั ษุ มีน้อย รับส่ัง : เหมอื นอยา่ งดูของหาย มองเหน็ มพี ระดไู ด้ ทลู : ถา้ มองเห็นถูกตอ้ งกับเรอ่ื งทีเ่ กิดข้ึน กต็ ้องรบั วา่ เป็นจรงิ เพราะมขี อ้ พิสจู น์ การท�ำ สมาธิ ความที่รบั ส่งั : ทำ�สมาธิอย่างไร ทูล : คอื ท�ำ ใจใหต้ งั้ มัน่ แนว่ แนอ่ ยู่ในอารมณเ์ ดียว จะท�ำ อะไรทกุ ๆ อยา่ ง ตอ้ งมีใจเป็นสมาธิ ในทาง ปฏบิ ตั ิ จึงต้องใชส้ มาธิท้งั นั้น แต่มกั มีคนเข้าใจว่า ท�ำ สมาธิต้องนั่งหลับตา รบั สั่ง : น่นั ทำ�พธิ ี ทรงรูส้ ึกว่า เวลาทรงปฏบิ ตั ริ าชกิจ ตอ้ งทรงส�ำ รวมพระราชหฤทัย เชน่ คราว พระราชทานกระบน่ี กั เรยี นนายรอ้ ย เพียงหยิบให้ ถ้าไมส่ ำ�รวมใจมผี ิด สำ�รวมใจอยู่ กท็ �ำ ไมผ่ ดิ *ถอดความจากบนั ทึกลายพระหตั ถเ์ จา้ พระคุณสมเด็จฯ ทไ่ี ด้ทรงบันทึกขอ้ สนทนาธรรมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั114
อิทธิ ความทร่ี บั สง่ั : หายตวั เป็นจริง หรือเป็นการสะกดจติ ไม่ให้เห็น ทลู : อาจเป็นการสะกดจติ แตก่ ารล่องหนทะลกุ �ำ แพงออกไป ถ้าเปน็ จริง ก็จะตอ้ งทำ�ตัวอยา่ งไรให้เลด็ ลอดออกไปได้ รบั ส่งั : มีในพระพทุ ธศาสนาหรอื เปลา่ ทูล : มีแสดงไว้ แต่ไม่ใช่พระพทุ ธศาสนาโดยตรง มแี สดงไว้กอ่ นในตำ�รบั ทางพราหมณ์ รบั สั่ง : แต่มีแสดงไว้ในพระพทุ ธศาสนาด้วย ทลู : ทูลรบั พระราชดำ�รสั รับส่ัง : อยู่ในที่น้ี แลว้ คิดสะกดจิตคนท่ีอยู่ในทอี่ นื่ ได้ไหม ทูล : เคยพบแตท่ ่แี สดงไว้ว่า อยู่ในทเี่ ดียวกนั พระเคร่อื งความทรี่ บั ส่งั : พระเครอ่ื งคมุ้ กนั ได้จรงิ ไหม คุ้มกันไดเ้ พราะใจเชอ่ื ม่ันวา่ มพี ระเคร่อื งอย่กู ับตัวหรอื อย่างไรทลู : เป็นเครื่องทำ�ให้ใจเชอื่ ม่ันรับสง่ั : ถ้าใจเช่ือมน่ั แลว้ ก็ไม่จ�ำ เป็นหรอืทลู : ไม่จ�ำ เป็น แต่ก็มเี ชือ่ กนั ว่า พระเครอ่ื งใหอ้ ยคู่ งจรงิ ก็มี คือผู้ทีม่ อี ยู่จะเชอ่ื หรอื ไมเ่ ชื่อ กต็ าม หรือมไิ ด้ค�ำ นึงถึงแต่พระเครอื่ งก็คงคมุ้ กนั คนท่ีไมเ่ ชือ่ กม็ ีรับสง่ั : ก็เช่ือ มีคนให้ รับมาไวท้ ี่พระองค์ เขาก็ยินดี แต่วนั นี้ไม่ได้ติดมา เวลาจะเสด็จฯ กลับ รบั สัง่ : จะกลบั ทูล : จะถวายอดิเรกกอ่ น 115
มหาอุบาสกิ า สมเดจ็ พระนางเจ้าสริ ิกิต์ิ พระบรมราชินนี าถ116
117
118
สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกุฎราชกมุ าร นบั จากวนั ทไ่ี ดท้ รงปฏบิ ตั ิหน้าท่พี ระอภบิ าลของภกิ ษพุ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัวตลอดเวลาที่ทรงผนวช เมอ่ื วนั ท่ี 119๒๒ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๙๙ นน้ั ถดั มาย่ีสบิ ปเี ศษ เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ กไ็ ดท้ รงทำ�หน้าทส่ี �ำ คญั คลา้ ยคลงึ กันนีอ้ กี วาระหน่งึเม่ือสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงผนวช และไดเ้ สด็จมาประทับ ณ วดับวรนเิ วศวหิ าร ระหวา่ งวนั ท่ี ๖ พฤศจกิ ายน ถงึ วนั ท่ี ๒๐ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๒๑ รวมเวลา ๑๕ วนั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯขณะทรงด�ำ รงสมณศกั ดท์ิ ่ี สมเดจ็ พระญาณสงั วร ทรงไดร้ บั อาราธนาใหท้ รงเปน็ พระราชกรรมวาจาจารยแ์ ละไดท้ รงท�ำ หนา้ ท่ีเป็นพระอาจารย์ถวายพระธรรมวินัยตลอดเวลาท่ที รงผนวช ส�ำ หรับสมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ นนั้ ได้ทรงเคารพค้นุ เคยกบั เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ มาตัง้ แตย่ งั ทรงพระเยาว์ เพราะเมอ่ื ยงั ทรงพระเยาวต์ ลอดจนถงึ ทรงพระดรณุ นน้ั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดใหเ้ สดจ็ มานมสั การและรบั ถวายศาสโนวาท จากเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ บอ่ ยครง้ั ทง้ั ไดเ้ สดจ็ พระราชด�ำ เนนิ เปน็ การสว่ นพระองคม์ าทรงสนทนาธรรมกบัเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ บอ่ ยครง้ั เชน่ กนั
สมเดจ็ พระศรีนครนิ ทราบรมราชชนนี เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงไดร้ บั พระราชทานพระมหากรุณาธคิ ณุ จาก สมเด็จพระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนใี ห้ไดเ้ ขา้ เฝ้าฯ ยังทีป่ ระทบั ณ นครโลซานน์ ประเทศสวิตเซอรแ์ ลนด์ เม่ือวนั ท่ี ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ระหวา่ งท่ีเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ และคณะ ไดเ้ สด็จปฏิบัติศาสนกจิ ในทวปี ยุโรป120
เรอ่ื งส�ำ คญั อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าหนังสือสอนพระพุทธศาสนาที่ทรงมีพระราชปรารภกับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มาช้านาน มีอยู่ มกั ยากเกินไปแกส่ มองของเดก็ เน้นให้เด็กเลก็ ๆ จ�ำ รายละเอยี ด ของประวตั เิ ร่อื งราวต่าง ๆ มากเกนิ ไป ทรงทกั ว่า ถ้านำ�เร่อื งอรยิ สจั ไปแลว้ คอื เร่อื งหนงั สอื สอนพระพทุ ธศาสนาสำ�หรับเดก็ สอนแก่เด็กเลก็ เหมอื นอยากจะใหเ้ ดก็ เป็นพระอรหันต์ เดก็ จะเข้าใจได้ อยา่ งไร ทรงพระด�ำ ริว่านา่ จะสอนบทธรรมะงา่ ย ๆ ท่ีจะเปน็ ประโยชน์ในปรากฏความตามบันทึกกระแสพระราชดำ�รัสในโอกาสท่ี การอบรมเดก็ ด้วย เช่น ความเพยี ร และนา่ จะจดั เปน็ หลกั สูตรที่มคี วามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวเสด็จพระราชดำ�เนินมาทรง รู้สูงขึ้นไปโดยลำ�ดับ แทรกพุทธประวัติ นิทานชาดก หรือธรรมะต่าง ๆบ�ำ เพญ็ พระราชกุศลที่พระอุโบสถวดั บวรนเิ วศวหิ าร เม่ือ ที่เป็นประโยชน์ตามวยั ของผู้เรยี นวนั ท่ี ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ไดม้ พี ระราชปรารภกับเจา้ พระคุณสมเด็จฯ ซึ่งได้จดบันทึกไว้โดยย่อวา่ พระราชปรารภข้างตน้ น้ี สอดคลอ้ งและเป็นไปในแนวทาง เดียวกันกบั พระราชด�ำ รใิ นสมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี หรอื “สมเดจ็ ยา่ ” ของประชาชน สมเด็จพระบรมราชชนนีทรง ใฝพ่ ระราชหฤทยั ศกึ ษาและทรงรอบรหู้ ลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนา อยา่ งลกึ ซง้ึ และมพี ระราชประสงค์ใหป้ ระชาชนคนไทยประพฤติ ปฏิบัตติ ามค�ำ สอนในพระศาสนาทตี่ นศรทั ธานบั ถอื เพ่อื ให้เกิด ความสงบสุข มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ด้วยเหตุนี้จึงทรง อาราธนาเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ให้เผยแผส่ าระทางพระพทุ ธศาสนา ดว้ ยการใช้คำ�งา่ ย ๆ เพอื่ ทว่ี า่ ประชาชนท่ัวไปจะไดท้ ำ�ความเขา้ ใจและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำ�วัน เช่น การจัดรายการ “การบริหารทางจิต” ทางสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิตสมเดจ็ พระบรมราชชนนโี ปรดใหอ้ าราธนาเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ แต่ครงั้ ยังเปน็ พระสาสนโสภณ จัดดำ�เนินรายการทง้ั ส�ำ หรบั ผู้ใหญ่ เดก็ วยั รนุ่ และเดก็ เลก็ เรม่ิ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๑๑ เปน็ ตน้ มา ครน้ั เมอ่ื ด�ำ เนนิ รายการมาครบปแี ล้ว จงึ โปรดเกล้าฯ ใหร้ วบรวมค�ำ บรรยายสำ�หรบั ผู้ใหญซ่ ่ึงเจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงเรยี บเรียงพรอ้ มด้วยค�ำ บรรยายส�ำ หรบั เด็กวยั รุน่ ซึ่งคุณหญงิ โสมรสั ม์ิ จันทรประภา เรียบเรียงขน้ึพมิ พ์เป็นเล่มสมดุ สำ�หรบั พระราชทานในวนั วิสาขบูชา พ.ศ. ๒๕๑๒ และ ๒๕๑๓และต่อมาไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมคำ�บรรยายทเี่ จา้ พระคณุสมเดจ็ ฯ ทรงเป็นผูบ้ รรยายหลงั จากน้นั จนถึง พ.ศ. ๒๕๒๓ สำ�หรบั พมิ พ์พระราชทานและหนังสือเรอ่ื ง “การบริหารทางจิตส�ำ หรับผู้ใหญ่” น้ีได้พิมพซ์ ้�ำ อีกหลายครั้งจนเป็นท่แี พรห่ ลายท่ัวไปจนบัดน้ี 121
หนงั สอื ตามพระราชดำ�ริ แบบทำ�นองเทศน์สมัยเก่าและคำ�ศัพท์ท่ีเรียงติดต่อ กนั ยืดยาวเช่นน้นั ยอ่ มท�ำ ให้ยากแก่ความเข้าใจ สมเดจ็สมเด็จพระศรีนครนิ ทราฯ พระบรมราชชนนีจึงทรงอาราธนาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ให้ทรงช่วยปรับปรุงตัดคำ�บาลีและคำ�ศัพท์ออกเสีย หนังสืออีกเล่มหน่ึงที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บ้างโดยยงั รกั ษาสาระส�ำ คัญเดิมไว้ครบถว้ น แตช่ วนอา่ นทรงสนพระราชหฤทัยเปน็ อยา่ งย่งิ และทรงปรารถนาจะใหค้ นทวั่ ไป และสามารถทำ�ให้เข้าใจในพระธรรมวินัยท่ียกขึ้นปุจฉาไดศ้ กึ ษากค็ อื “มิลินทปัญหา” หนังสือเล่มน้ีรวบรวมหวั ขอ้ ปุจฉา วิสัชนาได้ถนัดยิ่งขึ้น จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯวสิ ัชนาทางธรรมระหวา่ งพระนาคเสนเถระกบั พระเจา้ มลิ ินท์ ทม่ี กี าร ใหจ้ ัดพิมพ์หนังสือ “มิลินทปัญหา” ฉบับปรับปรุงนี้ใช้อปุ มาในกระบวนการวิสัชนาพระธรรมวินยั เพื่อใหเ้ ข้าใจง่าย โดย พระราชทานในวโรกาสที่ทรงมีพระชนมพรรษาครบเฉพาะขอ้ ธรรมท่ีลุ่มลกึ ทรงอา่ นศกึ ษาหนงั สือเล่มนีโ้ ดยละเอียด ๗ รอบ ต่อมาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จจริงจงั แต่ละหน้าของหนังสือ ทรงขดี เสน้ ใต้ ทรงบนั ทกึ หมายเหตุ พระเจ้าอยู่หวั กไ็ ดท้ รงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จดั พิมพ์สาระส�ำ คัญรวมท้งั ทรงจดคำ�แปลค�ำ ศัพท์บาลีเปน็ ภาษาไทย องั กฤษ หนังสือเล่มนี้พระราชทานเป็นท่ีระลึกในงานพระราชพิธีและฝร่งั เศสไว้ แตเ่ นือ่ งจากหนังสอื เล่มน้ีมีคำ�บาลีแทรกอยูเ่ ป็นระยะ ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรม ราชชนนี เม่อื วันท่ี ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ อกี คร้งั หน่งึ พระพุทธเจ้าทรงส่งั สอนอะไร นอกจากหนังสือเรอื่ งมิลนิ ทปัญหาแลว้ ยงั มีหนงั สอื วิธีปฏตบิ าัตมติ ธนรใรหมถ้ ะกู ต้อง เล่มไม่ใหญ่โตนักอีกหลายเล่มที่สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงอาราธนาให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรง ศลี เรยี บเรียงถวาย ไดแ้ ก่ หนงั สือเรอื่ ง “วธิ ปี ฏิบัติใหถ้ กู ต้อง ทางธรรมะ” “พระพทุ ธเจา้ ทรงสง่ั สอนอะไร” “ศลี ” “อวชิ ชา” สนั โดษ “สนั โดษ” “กรรม อกั โกสกสตู ร ขนั ต”ิ และ “พรหมวหิ าร ๔” ในการเรียบเรยี งหนังสอื เหล่านี้ สมเด็จพระศรนี ครินทรา อวชิ ชา บรมราชชนนีได้พระราชทานพระราชดำ�ริบางประการเป็น แนวทางการเรยี บเรยี ง หรือทรงมีพระราชวิจัยเลอื กสรร อักโกสกสตู รและขันติ เฉพาะที่เป็นข้อสำ�คัญที่แสดงให้เห็นหลักธรรมและหลัก ปฏบิ ตั ติ า่ งๆแล้วทรงอาราธนาใหเ้ จา้ พระคุณสมเด็จฯ ทรง พรหมวิหาร ๔ ยกร่างต้นฉบับหนังสือขึ้นก่อนตามแนวพระราชประสงค์ แล้วประทานให้นายขวัญแก้ว วัชโรทัย นำ�ไปทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระบรมราชชนนี บางคราวสมเด็จพระ บรมราชชนนกี พ็ ระราชทานขอ้ คดิ ความเหน็ ตา่ ง ๆ เพม่ิ เตมิ ขึ้น แล้วเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็แก้ไขในแนวความตาม พระราชประสงค์อีกครงั้ หนง่ึ122
หนงั สอื เหลา่ น้ี สมเดจ็ พระบรมราชชนนมี พี ระราชกระแส “ศีล ที่ท่านเจ้าคุณสาสนโสภณเขียน ฉันได้อ่านยกย่องว่าเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงสามารถเขียนเรื่องยากให้ หลายคร้งั แล้ว เหน็ วา่ ดีมาก”เป็นเรื่องง่ายได้เป็นอย่างดี ปรากฏความดังลายพระหัตถ์ที่พระราชทานไปยังนายขวัญแก้ว ในฐานะผู้ประสานงานเป็น “คำ�น�ำ ส�ำ หรบั หนังสอื เรื่อง ศีล นั้นก็ดแี ลว้ จดั การหลายครั้งว่า พมิ พ์ได้ ท่านเจ้าคณุ สาสนฯ ทา่ นเขยี นดจี ริงๆ” “เรยี นทา่ นเจา้ คณุ สาสนฯ วา่ ที่ท่านได้กรณุ าเขยี น หนงั สืออยา่ งมากมายตามความเห็นของฉันนั้น ทา่ น ท�ำ ประโยชนม์ ากสำ�หรบั คนทวั่ ไป” เมอื่ ทง้ั สองพระองค์ทรงตรวจแก้และทรงอ่านทานจนสมบูรณ์ พร้อมแลว้ สมเด็จพระบรมราชชนนีจงึ โปรดใหจ้ ดั พิมพ์เผยแพรส่ ู่ ประชาชนทวั่ ไป เป็นประโยชน์แก่นสารยัง่ ยืนสบื มาจนทุกวนั น้ี 123
สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเรียก เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่า “หลวงปู่” อันแสดงถึงความเคารพนับถือ และความสนิทใกล้ชิดที่ทรงมีต่อเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทั้งทรงห่วงใย พระพลานามัยของ “หลวงปู่” ดังจะเห็นได้ว่า บางครั้งมีผู้มาเข้าเฝ้า จำ�นวนมากจนทำ�ให้เลยเวลาเสวย จึงทรงมีลายพระหัตถ์เขียนป้าย บอกให้ผูเ้ ข้าเฝา้ รอก่อนเมื่อถึงเวลาเสวย ปา้ ยนป้ี รากฏลายพระหัตถว์ า่ “เมอื่ ถวายภัตตาหารแล้ว ขอเชิญท่าน สาธชุ นท้ังหลายคอยขา้ งล่างจนฉันเสรจ็ ระหว่าง ๘.๐๐น. - ๙.๓๐ น. (พระหัตถเลขา) สริ ินธร”124
สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯสยามบรมราชกุมารี ทรงแสดงพระองค์เสมือนเป็นศิ ษ ย์ พ ร ะ อ ง ค์ ห นึ่ ง ข อ งเจ้าพระคุณสมเด็จฯเช่น เสด็จฯ มาทรงถวายสักการะและถวายภัตตาหารแด่เจ้าพระคุณสมเด็จฯในวันคล้ายวันประสูติ ๓ ตุลาคม มิได้ขาด พร้อมทั้งทรงปล่อยนกปล่อยปลาที่คูหลังตำ�หนักคอยท่า ปราโมช บ่อยครั้ง บางครั้งก็เสด็จฯ มาทรงสนทนาธรรมเป็นการส่วนพระองค์ ณ ตำ�หนักคอยท่า ปราโมช เมื่อครัง้ ทรงศกึ ษา ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั และในพระราชนิพนธ์คำ�นำ� ในการพิมพ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ก็ได้ทรง วิทยานิพนธ์ พระราชนิพนธ์เรื่อง ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาทปรกึ ษาเรยี นรู้ในทางวิชาการกับเจ้าพระคณุ สมเด็จฯ อยเู่ สมอ เผยแพร่โดยมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ ดังท่ีไดท้ รงไว้ในกิตติกรรมประกาศ ในวิทยานิพนธเ์ รอ่ื ง ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๔ ได้ทรงไว้ว่า ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท อนั เปน็ พระราชนิพนธ์ ในสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วา่ 125
สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอ เจา้ ฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อคั รราชกมุ ารี พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ โสมสวลี พระวรราชาทนิ ดั ดามาตุ และ พระเจา้ หลานเธอ พระองค์เจา้ พัชรกิติยาภา126
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังทรงปฏบิ ตั หิ นา้ ท่พี ิเศษเก่ยี วกบั พระบรมราชวงศ์ อกี หลายคราว เช่น พ.ศ. ๒๕๒๘ ทรงเป็นผู้อ่านพระอภิธรรมน�ำ กระบวนพระราชอสิ ริยยศแห่พระโกศพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าร�ำ ไพพรรณี พระบรมราชนิ ใี นรชั กาลท่ี ๗โดยพระมหาพชิ ยั ราชรถสพู่ ระเมรุมาศ จากพระบรมมหาราชวงั ไปยังพระเมรมุ าศ ท้องสนามหลวง และถวายพระธรรมเทศนา ณ พระทนี่ ง่ั ทรงธรรม ท้องสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๓๙ ทรงเป็นผอู้ า่ นพระอภิธรรมนำ�กระบวนพระราชอิสริยยศเชญิ พระโกศพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีโดยพระมหาพชิ ัยราชรถสูพ่ ระเมรุมาศ จากพระบรมมหาราชวังไปยังพระเมรมุ าศ ทอ้ งสนามหลวง และถวายพระธรรมเทศนา ณ พระที่นั่งทรงธรรม ทอ้ งสนามหลวง 127
พระรปู ฝพี ระหัตถพ์ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ณ ส�ำ นักสงฆ์ทกั ษณิ ราชนเิ วศน์ จงั หวดั นราธวิ าส ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ดงั ท่ีกลา่ วมาแตต่ ้น ยอ่ มแสดงให้เหน็ ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงเป็นทเี่ คารพนบั ถือ ของพระบรมวงศานวุ งศ์ นบั แต่องค์พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวเปน็ ต้นมา และเจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ เอง กท็ รงปฏบิ ตั หิ น้าทีส่ นองพระราชกรณียกิจในดา้ นต่างๆ มาเปน็ อนั มาก คนทว่ั ไปจึงกล่าวอา้ งถงึ พระองค์วา่ ทรงเปน็ พระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั แต่เมอ่ื เจา้ พระคุณสมเด็จฯ ทรงทราบถึงคำ�กลา่ วอ้างน้ี กลบั ทรงอธบิ ายวา่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในฐานะท่ี ใครๆ ไม่ควรกลา่ วอา้ งวา่ เป็นครบู าอาจารย์ของพระองค์ เพราะทุกคนต่างอยู่ในฐานะปฏบิ ัตหิ น้าทสี่ นองพระราชกรณยี กิจดว้ ยกนั ท้งั น้ัน128
129
สกลมหาสังฆปริณายกเก่ียวกับการปกครองคณะสงฆ์ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายกทรงมปี ระสบการณ์มาตัง้ แตท่ รงมพี รรษายกุ าลยงั น้อย และค่อยๆ เพมิ่ พูนข้นึ ตามลำ�ดับทรงชำ�่ ชองเช่ยี วชาญงานของคณะสงฆ์ในทุกแง่มมุ ด้วยเหตุนเี้ ม่ือทรงสถติ อยู่ในฐานะสมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก จงึ ทรงสามารถปฏิบัตบิ รรหารงานของคณะสงฆ์ไดด้ ้วยความเรียบร้อย เป็นที่เจริญศรัทธาและเปน็ ท่ียกย่องของสาธชุ นโดยท่ัวไป เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนา เกย่ี วกบั ความเป็นไปของการพระศาสนาก็ติดตามมาในทันที ประจำ�ชาติ ประชาชนชาวไทยได้ยึดถอื หลกั ธรรมคำ�สอนของ พระภารกิจในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระพุทธศาสนาเป็นแนวปฏิบัติและเป็นท่พี ่งึ ทางจิตใจมาช้านาน มเี พยี งใดอยา่ งไรนั้น มาตรา ๘ แห่งพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ หลายร้อยปีแล้ว ศรัทธาที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยมีอยู่ใน พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ระบไุ ว้แลว้ ว่า สมเดจ็ พระสังฆราชทรงด�ำ รง พระพทุ ธศาสนาหนกั แนน่ และมน่ั คงยง่ิ นกั พระอารามทง้ั เกา่ และ ต�ำ แหนง่ สกลมหาสังฆปรณิ ายก ทรงบัญชาการคณะสงฆแ์ ละ ใหมจ่ �ำ นวนนบั หมน่ื พระอารามปรากฏใหเ้ หน็ เปน็ พยานหลกั ฐาน ทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่ขัดหรือแย้ง อยู่ทกุ มุมเมืองของสยามประเทศ พระภกิ ษุสงฆผ์ ู้ปวารณาตน กับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม และ เข้าบวชเรียนในพระพุทธศาสนามีจำ�นวนนับหม่นื นับแสนรูปอยู่ นอกจากนน้ั มาตรา ๑๒ แหง่ พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ วยงั ก�ำ หนด เป็นประจำ� กจิ กรรมและกิจการทเี่ ก่ียวกับพระพทุ ธศาสนาจงึ มี ให้ สมเด็จพระสังฆราชทรงดำ�รงตำ�แหน่งประธานกรรมการ หลากหลายและมคี วามซบั ซอ้ น จ�ำ เปน็ ตอ้ งมกี ารบรหิ ารจดั การทด่ี ี มหาเถรสมาคม สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการ เพอ่ื ให้พระพุทธศาสนาสถิตสถาพรเป็นร่มธรรมส�ำ หรบั ชาวไทย โดยตำ�แหน่ง และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรง และชาวโลกสบื ไปในกาลเบ้ืองหนา้ ดว้ ยเหตุนีจ้ ึงมคี วามจ�ำ เป็น แตง่ ตง้ั มจี �ำ นวนไมเ่ กนิ สบิ สองรปู เปน็ กรรมการ มหาเถรสมาคม ทจ่ี ะตอ้ งมตี �ำ แหนง่ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเพอ่ื เปน็ หลกั เปน็ ประธาน ที่ว่าน้ีมีอำ�นาจหน้าท่ีปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย ของคณะสงฆ์ ทันทที ี่พระมหาเถระรูปใดได้รบั สถาปนาใหด้ �ำ รง ดงี าม ปกครองและกำ�หนดการบรรพชาสามเณร ควบคมุ และ ตำ�แหน่งสมเด็จพระสังฆราช พร้อม ๆ กันกับเกียรติยศสูงสุด ส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ ที่ได้รับพระราชทาน วินาทีเดียวกันนั้นความรับผิดชอบสูงสุด การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะหข์ องคณะสงฆ์130
รกั ษาหลกั พระธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธศาสนา รวมตลอดถงึ การ ในโอกาสสำ�คัญคราวหนึ่งหลังจากทรงรับสถาปนาเป็นสมเด็จตรากฎมหาเถรสมาคม ออกขอ้ บังคบั วางระเบยี บ ออกค�ำ สัง่ มมี ติ พระสงั ฆราชได้เพียงเดอื นเศษ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงอธบิ ายกบัหรอื ออกประกาศโดยไมข่ ดั หรอื แยง้ กบั กฎหมายและพระธรรมวนิ ยั พระสงฆห์ มใู่ หญว่ า่ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส อำ�นาจของมหาเถรสมาคมท่ีกล่าวมาข้างต้นเป็นอำ�นาจ ได้ประทานหลักว่าพระภิกษใุ นพระพุทธศาสนามหี น้าทีท่ ต่ี อ้ งปฏิบตั ิที่กว้างขวางและครอบคลุมเรื่องราวสารพัดที่เกิดข้ึนในการ สามประการดว้ ยกนั คอืคณะสงฆข์ องไทย ตามแบบแผนทีป่ ฏบิ ตั ิอยใู่ นเวลานี้ และเป็น ๑) พระธรรมวินัย อนั ต้ังอย่ใู นฐานะขององคพ์ ระศาสดา ตามนัยแบบแผนทป่ี ฏิบัตสิ ืบเน่ืองกันมานานพอสมควรแลว้ ด้วย จะมี แห่งพระพุทธดำ�รัสที่ตรัสไว้ก่อนการเสด็จดับขันธปรินิพพานท่ีว่าการประชมุ มหาเถรสมาคมในชว่ งบ่ายของวนั ท่ี ๑๐ วนั ท ่ี ๒๐ “ดูก่อนอานนท์ พระธรรมและพระวนิ ัยอันใดท่ีเราแสดงแล้ว บัญญัติและวนั ท ่ี ๓๐ ของแตล่ ะเดอื น เพื่อพจิ ารณาเรอื่ งต่างๆ ทอ่ี ยูใ่ น แก่เธอทั้งหลายแล้ว พระธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธออ�ำ นาจหนา้ ทโ่ี ดยมสี มเดจ็ พระสงั ฆราชทรงท�ำ หนา้ ทเ่ี ปน็ ประธาน ทงั้ หลาย เม่อื เราล่วงลับไปแลว้ ”ท่ปี ระชมุ สว่ นสถานที่ประชมุ นน้ั มกี ารก�ำ หนดตามความเหมาะสม ๒) กฎหมายของบ้านเมือง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และกฎของแต่ละยุคสมัย เช่น จัดการประชุมที่พระอารามซึ่งเป็นที่ ระเบียบที่เกี่ยวเนื่องกับกฎหมายและพระราชบัญญัติคณะสงฆ์สถติ ของสมเด็จพระสงั ฆราชบ้าง ประชุมทพ่ี ระต�ำ หนักเพช็ รซึ่ง ๓) จารีต ประเพณี แบบแผน ซึ่งบูรพาจารย์ในพระพุทธศาสนาเปน็ อาคารประวัติศาสตร์และมีความเกี่ยวพันกับประวัติการณ์ ไดย้ ึดถือประพฤติปฏิบตั สิ ืบต่อกันมาเป็นเวลานาน จนกลายเปน็ของคณะสงฆ์มาแต่เดิมบ้าง หรือที่ห้องประชุมของสำ�นักงาน สัญลกั ษณ์ เอกลกั ษณ์ของพระสงฆ์ไทย ทแี่ มแ้ ตผ่ ้รู ู้ประสบพบเหน็พระพุทธศาสนาแหง่ ชาติ ท่ีพุทธมณฑล จังหวดั นครปฐมบ้าง ก็ได้ร้วู ่าเปน็ ใคร มาจากไหน มีฐานะหน้าทอ่ี ย่างไร ทรงอธบิ ายตอ่ ไปวา่ “ความเปน็ ผู้ประพฤติถกู ต้องดีงามตามหลกั ท้ังสามประการน้ี ทำ�ให้พระไดฐ้ านะพเิ ศษจากสงั คม ได้รับการยอมรับ นบั ถือ บชู าจากสงั คม ผลจากการประพฤตดิ ีงามของพระแตล่ ะรปู นนั้ จะ มผี ลในทางดีงามต่อคณะสงฆมณฑล แมจ้ ะเปน็ การกระทำ�ของคนเพียง คนเดียวคณะเดียว แต่เมื่อสังคมมองพระสงฆ์เป็นภาพรวมๆ อยา่ งท่ี ไทยเรามองเป็นพระภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนา สังคมยุคพทุ ธกาลเรยี กว่า สมณศากยบตุ ร การกระท�ำ ทีไ่ มเ่ หมาะสมของพระบางรปู บางกลมุ่ จึงมี ผลกระทบตอ่ สถาบันสงฆอ์ ันเปน็ สว่ นรวมด้วย... ...ในฐานะทเ่ี ปน็ พระภกิ ษุในทางพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ มภี าระหลกั ใน การศกึ ษา ปฏบิ ตั ิ เผยแผ่ศาสนธรรม และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกดิ ขึน้ แก่พระพุทธศาสนา อันเปน็ หนา้ ทโี่ ดยการบรรพชาอุปสมบทกด็ ี ในฐานะ ของพระสังฆาธกิ าร สงั ฆปาโมกข์ ซ่งึ มภี าระหนา้ ที่ในการปอ้ งกัน บ�ำ บดั บ�ำ รงุ รักษาพระพทุ ธศาสนา ท้ังศาสนบคุ คล ศาสนธรรม ศาสนสถาน ศาสนพธิ ี ตามสมควรแกก่ รณกี ด็ ี ในฐานะทเ่ี ปน็ ครู พระราชาคณะชน้ั ตา่ ง ๆ ซง่ึ ไดร้ บั อาราธนาจากสมเด็จบรมพติ รพระราชสมภารเจ้า องคเ์ อกอัคร ศาสนูปถมั ภกวา่ ขอพระคณุ จงรับธุระพระพทุ ธศาสนา เป็นภาระสง่ั สอน ชว่ ยระงบั อธกิ รณ์ อนเุ คราะหพ์ ระภกิ ษสุ ามเณรในพระอารามโดยควรกด็ ี ...บัดนี้ ภารกจิ อนั สำ�คัญย่ิงของพระพทุ ธศาสนาได้ตกอยู่ในอำ�นาจ หน้าที่ของท่านทั้งหลายแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายได้อาศัยกุศลเจตนา สมานฉนั ทเ์ ปน็ อนั เดียวกัน สร้างเอกภาพทางความคิด ใชเ้ มตตาจิตเป็น ปเุ รจารกิ ตอ่ ทกุ คนทม่ี สี ว่ นเกย่ี วขอ้ ง หากจ�ำ เปน็ ตอ้ งเสยี สละขอใหพ้ รอ้ ม ทจ่ี ะสละทุกสง่ิ ทกุ อย่างเพ่ือพทิ ักษร์ ักษาพระธรรมวนิ ยั ซ่งึ อยู่ในฐานะ พระบรมศาสดาเอาไว้ เพราะชวี ิตและสรีระของพวกเราได้สละแล้วเพ่อื พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยแู่ ล้ว” 131
ในปีทีเ่ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ได้รบั พระราชทานสถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก หลงั จากทรงด�ำ รงต�ำ แหนง่ ไดเ้ พยี ง ๒๒ วนั กต็ อ้ งทรงเผชญิ เหตกุ ารณว์ กิ ฤติ อนั เปน็ ปญั หาใหญข่ องคณะสงฆ์ ในขณะน้นั คอื กรณีสันติอโศก ซ่ึงเรื้อรงั มานาน เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ในฐานะองคส์ กลมหาสงั ฆปรณิ ายก จงึ ทรงด�ำ เนนิ การแก้ไขกรณนี โ้ี ดยเดด็ ขาด เพอ่ื เทดิ ทนู และปอ้ งกนั พระพทุ ธศาสนาบนพน้ื ฐานของกศุ ลเจตนา และเมตตาธรรม ท�ำ ให้กรณดี งั กลา่ วผ่านพน้ ไปได้ดว้ ยความสงบเรียบร้อย พระโอวาท สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก ในการปิดประชุมคณะการกสงฆ์ ณ หอประชมุ พทุ ธมณฑล วนั องั คารท่ี ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๓๒ เวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา ท่านประธานการกสงฆ์ ทา่ นเจ้าคณะภาค ทา่ นเจ้าคณะจังหวัดท้ังหลาย ท่านประธานการกสงฆ์ ได้แถลงว่า บัดนี้ การประชมุ แห่งท่านทั้งหลายได้ขอ้ ตกลงด้วยมตเิ ปน็ เอกฉันท์พร้อมเพรยี งกัน ดังท่ีทา่ นประธานการกสงฆ์ไดก้ ล่าวในรายงานแล้ว ขออนโุ มทนาท่านการกสงฆ์ทั้งหลาย พรอ้ มทัง้ คณะเตรยี มการซงึ่ ไดร้ วบรวมขอ้ มลู ทัง้ หลายเสนอโดยละเอียด พร้อมทงั้ กฎหมาย พระวนิ ัย เปน็ ต้น ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง และท่านทง้ั หลายเมอื่ ได้พิจารณาตามขอ้ มูลท้ังหลาย หลักฐานท้ังหลาย พร้อมท้ังคำ�ชแ้ี จงเพ่ิมเตมิ ของคณะเตรยี มการ ย่อมจะเหน็ ได้โดยประจักษ์ชดั วา่ เรือ่ งทีเ่ กิดข้นึ คร้งั นีเ้ ป็นเร่ืองสำ�คญั เพียงไร เป็นหลักตอเสยี้ นหนาม เปน็ เครอื่ งบ่นั ทอนพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์เพียงใด และก็ได้ข้อยตุ ทิ ี่พึงปฏบิ ตั ิแก้ไขสิง่ ที่เป็นเสีย้ นหนามหลักตอเหล่านต้ี รงกัน เปน็ ไปตามกฎหมายตรงกนั เป็นไปตามกฎหมาย เปน็ ไปตามพระธรรมวินยั ดงั ที่ท่านท้งั หลายไดเ้ หน็ ตระหนกั ทว่ั กนั คอื ทา่ นเจา้ คณะภาค เจา้ คณะจังหวดั ทั่วราชอาณาจกั ร เหมือนอย่างเปน็ การทม่ี าประชุมกันทำ�สังคายนาในครงั้ หลังจากพุทธกาล ซึง่ ในการสงั คายนาแตล่ ะครัง้ ยอ่ มมีเรือ่ งทีไ่ ม่ดไี ม่งามตา่ ง ๆ เกิดข้ึนในคณะสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา พระเถระซงึ่ เป็นประมขุ สงฆ์ เปน็ ใหญเ่ ป็นทีเ่ คารพนบั ถือในครั้งนัน้ ๆ กป็ ระชมุ พระเถระท้งั หลาย ซง่ึ เป็นผหู้ นักอยูใ่ นพระธรรมในพระวินัย ผู้ทราบพระธรรมวินยั ยกเอาเร่อื งนัน้ ๆ ข้นึ แถลงใหท้ ่ปี ระชมุ ไดท้ ราบ วา่ ไดม้ เี รอื่ งเกิดขนึ้ อย่างน้นั ๆ ผนู้ ั้นหรือฝา่ ยนั้นท�ำ อย่างนนั้ ๆ ผิดพระธรรมวนิ ัยข้อนั้นๆ เช่น ในคราวสงั คายนาคร้ังที่ ๒ เปน็ ต้น ทม่ี หี ลายข้อ และคณะพระเถระทงั้ หลายทีป่ ระชุมกนั กร็ วมกนั เป็นการกสงฆ์เหมอื นอยา่ งทที่ ่านทง้ั หลายได้ให้มตกิ นั เป็นเอกฉันท์วา่ การที่ผนู้ นั้ ฝา่ ยนัน้ ได้ท�ำ อย่างน้นั ๆ ผดิ พระวนิ ัยขอ้ นนั้ ๆ อย่างน้ีเปน็ ตน้ เหมือนอย่างท่ีทา่ นทัง้ หลายได้ให้มตพิ ร้อมกันในครั้งนี้ ครั้นแลว้ จึงทำ�สงั คายนา132
เพราะฉะน้นั ก่อนแตส่ ังคายนาทกุ ครั้งจึงต้องมีเหตปุ รารภตา่ งๆ และโดยเฉพาะเชน่ ท่ยี กตัวอย่างในคร้ังทสี่ องนั้น มเี รอ่ื งประพฤตผิ ิดธรรมวินัยทีภ่ ิกษฝุ า่ ยหนง่ึ ได้แสดงและไดป้ ฏบิ ตั ผิ ิดไปจากพระธรรมวินยั และก็ได้ประชมุ การกสงฆน์ นั่ เอง คอื พระเถระทั้งหลายดังกล่าว และกม็ ติสอบสวนกนั วา่ ผิดอย่างน้ันๆ ข้อน้นั ๆ โดยการทก่ี ารกสงฆผ์ ปู้ ฏิบตั ิดังกล่าวน้ัน กไ็ มไ่ ด้เรียกผ้ทู ีก่ ระทำ�ผิด หรอื คณะผ้ทู ่ีผิดมาในทป่ี ระชมุ แต่วา่ พระเถระทเ่ี ปน็ การกสงฆ์ในครง้ั นน้ั ๆ ต่างไดข้ อ้ มูลท่เี พียงพอวา่ ผ้นู ้นั หรือฝา่ ยนั้นไดท้ ำ�จริงอยา่ งนัน้ ๆ ซงึ่ แม้นว่าจะตอ้ งการสอบสวนในภายหลังกท็ �ำ ได้ เพราะมีหลกั ฐานทสี่ มบูรณ์ แตค่ รั้นเมอื่ ประชุมกนั แลว้ กไ็ ด้ข้อมลู เพยี งพอน้ีเองมามีมติ จะเรียกวา่ มมี ตลิ บั หลังฝ่ายท่ีเกีย่ วขอ้ งทถ่ี ูกกลา่ วหานั้นก็ได้ เพราะวา่ ได้ขอ้ มูลเพยี งพอแล้วเราก็ปฏบิ ตั กิ ันอย่างนนั้ ในครั้งน้ี ทา่ นทง้ั หลายกเ็ ท่ากับเปน็ พระเถระในครัง้ น้นั เปน็ การกสงฆ์ในครัง้ นน้ั มาประชมุ กนั พจิ ารณาและมมี ตกิ ัน ตามขอ้ มลู ตา่ งๆ ทมี่ อี ย่อู ย่างพรอ้ มเพรียงเพยี งพอ มีมตไิ ดแ้ ลว้ วา่ ผดิ อย่างนัน้ ๆ ควรจะปฏิบตั ิอย่างนนั้ ๆ ดังที่ท่านทั้งหลายได้มีมตอิ ยู่แลว้ และในคร้ังน้ไี มจ่ �ำ เปน็ จะต้องทำ�สังคายนาเหมอื นอยา่ งในครงั้ นัน้ เพราะว่าเราได้มีพระธรรมวินยั หรือพระไตรปิฎกได้จารึกไว้เป็นตวั อกั ษรเป็นหลักฐานแล้ว และก็ในการพมิ พค์ รง้ั หนึง่ ๆ กม็ ีการตรวจชำ�ระกัน และเมื่อเปน็ การพมิ พค์ รั้งใหญ่ปรารภเหตกุ ารณส์ �ำ คญั ก็ใช้ค�ำ ว่าสังคายนา ดังทไ่ี ดก้ ระทำ�กนั มาในประเทศไทยน้ีก็หลายครงั้จนถงึ ในครง้ั หลงั เมือ่ ปรารภเฉลมิ พระชนมพรรษาสมเดจ็ บรมบพิตรพระราชสมภารเจา้ องคเ์ อกอัครศาสนปู ถัมภก ครบ ๖๐ คณะสงฆพ์ ร้อมทง้ั รัฐบาลก็ได้ดำ�เนนิ การดงั ท่เี รียกวา่ สังคายนาพระธรรมวนิ ัย มีการตรวจช�ำ ระพระไตรปิฎก พุทธวจนะเทยี บเคียงกบั ประเทศน้ัน ๆ แลว้ พมิ พ์ข้นึ ใหมถ่ วายเป็นพระราชกศุ ล เราก็เรียกว่าสงั คายนา เพราะฉะน้นั ในคร้ังน้จี งึ ไมต่ ้องทำ�สังคายนาเพราะมีบาลพี ระไตรปฎิ กพุทธวจนะท่ีคณะสงฆแ์ ละรัฐบาลไดพ้ มิ พ์ข้ึนใหม่ ทเ่ี รียกว่าสงั คายนาแลว้ เพราะฉะน้ัน พระไตรปิฎกพทุ ธวจนะท่พี ิมพข์ ้นึ ใหม่น้ี อันสบื เน่อื งมาจากการพิมพ์คร้งั กอ่ นๆ จึงเป็นท่ียอมรับของชาตไิ ทย คนไทยทั้งหมด ตง้ั แตพ่ ระมหากษัตริยอ์ งค์พระประมขุ ของประเทศชาติไทย รฐั บาล ประชาชน และคณะสงฆ์ทัง้ ปวง ใครจะไปอา้ งว่าพระไตรปิฎกผดิ หรอื บกพรอ่ งน้ันไม่ได้ หรอื จะไปปฏบิ ตั ผิ ดิ พระวนิ ัยบัญญตั หิ รือธรรมท่ีปรากฏอยูใ่ นพระไตรปฎิ กฉบบั ที่ไทยเรารบั รองแล้วนี้ โดยอา้ งวา่ ของตนถูก แตพ่ ระไตรปฎิ กนั้นผิด อย่างนีไ้ มไ่ ด้ เป็นคนไทยไมไ่ ด้ ไม่ควรจะอยใู่ นเมอื งไทย ไมค่ วรจะเป็นคนไทย เมอ่ื เปน็ คนไทยตอ้ งรบั ส่ิงท่คี นไทยชาติไทยรับรองคือ พระไตรปิฎกพุทธวจนะซึ่งสังคายนาใหม่ คอื พมิ พ์ขึ้นใหม่เป็นหลักฐานแล้ว ต้องปฏบิ ตั ติ ามน้นั เมื่อปฏิบตั ติ ามนั้นจงึ จะควรเปน็ คนไทย จงึ จะควรเปน็ พระไทย จึงจะควรเป็นพุทธศาสนกิ ชนชาวไทย จะไปอ้างวา่ พระไตรปฎิ กผดิ หรือบกพรอ่ งนั้นไม่ได้ เพราะคนไทยรบั รองของเราแลว้ อยา่ งนี้น่ี อันนเ้ี ป็นหลกั ส�ำ คญั ท่ีเป็นหลักมลู ฐาน และในคราวน้ี ทา่ นการกสงฆ์ทง้ั หลายไม่ตอ้ งท�ำ สงั คายนาเหมอื นอย่างคร้งั โนน้ ในครง้ั โนน้ น้นั ยังไมม่ กี ารรวบรวมพระพทุ ธวจนะให้เปน็ อนั หนง่ึ อันเดยี วกัน เพราะวา่ สืบตอ่ กันมาโดยการทรงจำ� และการทรงจำ�น้นั น้อยทา่ นนักท่ีจะทรงจำ�ได้ท้ังหมด จงึ มักจะเป็นรูปวา่ ท่านองคน์ น้ั ทรงจำ�ได้ในส่วนนน้ั ท่านองค์น้ันทรงจำ�ไดส้ ว่ นนี้ เพราะฉะน้นั นานๆ เขา้ กจ็ ะตอ้ งมารวมกันสักทหี นงึ่ แล้วก็มาฟืน้ ความทรงจ�ำ กนั ในท่ีประชุม รบั รองในครัง้ หนึง่ ๆ ว่าอย่างนี้ท่ีประชมุ รบั รองว่าถกู ต้อง แล้วกท็ รงจำ�กนั ตอ่ ไป ในครงั้ นั้นต้องทำ�สงั คายนาเพราะเหตุน้ี 133
ถา้ ในคร้งั น้ี ยงั ไม่มีการจารึกพระไตรปิฎกเปน็ อกั ษร และพมิ พส์ บื ๆ กนั มา สอบทานกนั มาหลายครั้งหลายหน จนเปน็ ท่ีรบั รองดังกลา่ วแลว้ ยังทรงจำ�กนั อยู่ อย่างท่านทีม่ าประชุมกนั รอ้ ยกวา่ องคน์ ้ี องคห์ น่ึงก็ทรงจำ�ในสว่ นนั้น องคน์ ก้ี ็ทรงจำ�ในสว่ นน้นั กต็ อ้ งมาพบกนั รอ้ ยกวา่ องค์ หรอื สองร้อยองค์ สามร้อยองค์ หา้ ร้อยองค์ หรือพันองคด์ งั ในครงั้ กอ่ นนน้ั แล้วกม็ าสอบทานกนั เมื่อทป่ี ระชมุ ยตุ กิ นั วา่ อย่างน้ถี ูกตอ้ ง ก็สวดขนึ้ พร้อมกัน คือ จ�ำ จ�ำ นน้ั เองขน้ึ พร้อม ๆ กัน แล้วก็ทรงจ�ำ กนั ตอ่ ไป ถา้ ในครัง้ นน้ั ยงั ไมม่ ีการจารกึ พระไตรปฎิ กเป็นหลกั ฐาน และมีการสงั คายนาสบื ต่อกนั ดังกลา่ วแล้ว เราจะต้องท�ำ กนั อีก อยา่ งคร้ังน้เี ราไม่ต้องทำ�แล้ว เพราะมจี ารึกเป็นหลักฐานและพมิ พก์ ัน สังคายนากันมาแล้ว เราจงึ มีแบบสอบกันแนน่ อนถูกตอ้ งไมต่ ้องเถียงกนั ว่าทฝี่ ่ายปฏบิ ตั ิละเมิดนัน้ เขาปฏบิ ตั อิ ยา่ งนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ แล้วกอ็ ้างวา่ ถูก เราไม่ต้องทำ�สังคายนากันในตวั หลกั คอื พระธรรมวินัย ซึ่งเปน็ พทุ ธวจนะกันแลว้ เราเปดิ พระไตรปิฎกที่เปน็ ตำ�ราดูกร็ ู้ได้ทนั ทีวา่ ผดิ วา่ ถกู และโดยเฉพาะเมือ่ มกี ารเรยี นนกั ธรรม ก็มวี นิ ยั มขุ เลม่ ๑ เล่ม ๒ เล่ม ๓ ภิกษุสามเณรทัง้ หลายตา่ งกร็ ทู้ ว่ั กนั หมดหรอื โดยมากวา่ อะไรผดิ วนิ ยั อะไรถูกวนิ ยั เพราะฉะน้นั จงึ สามารถท่ีจะใหม้ ตกิ ันไดท้ นั ที ดงั ทีท่ า่ นทั้งหลายไดม้ ีมตกิ นั มาแลว้ จากขอ้ มูลทค่ี ณะเตรยี มการไดท้ ำ�แลว้ แล้วก็ขอใหท้ ราบว่า ศัพทท์ ่วี า่ ทนั ทนี ี่ ไม่ใช่หมายความวา่ ท�ำ โดยลวกๆ เพราะว่าคณะเตรียมการนีไ้ ด้ทำ�มาหลายปีตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๕๒๕ หรอื เท่าไหร่ ทไี่ ด้มกี ารแถลงแล้วหลายปี รวบรวมกนั มาหลายคณะ ดงั ท่ีได้มีแถลงใหท้ ราบอยู่แลว้ และจนมาคร้ังนี้ กไ็ ด้มคี ณะเตรียมงานรวบรวมเอาหลกั ฐานเหลา่ น้ัน แล้วมาเพม่ิ เติมขอ้ มลู ตา่ งๆ ข้นึ อย่างสมบรู ณ์ เพยี งพอทท่ี ่านทงั้ หลายจะไดม้ ีมติได้ แม้ในการประชมุ เพยี งวนั เดยี ว ไม่ใชท่ �ำ อยา่ งลวกๆ แตท่ �ำ กนั มาเปน็ เวลาหา้ หกปี ประมวลกันมาให้ทา่ นท้งั หลายได้พิจารณา ในวนั นี้และในบดั นี้ เรามีพระไตรปิฎกพทุ ธวจนะท่ีสมบรู ณแ์ ล้ว ที่สังคายนาแล้ว รับรองแลว้ ดังกล่าวแล้ว ไม่ต้องทำ�สังคายนากันใหม่ ไมต่ ้องสอบกนั ใหมว่ า่ พระสตู รนัน้ ว่าอยา่ งน้ี พระสตู รน้นั วา่ อย่างน้ี วนิ ยั ขอ้ นั้นว่าอย่างน้ี อะไร เป็นตน้ เหมอื นอยา่ งในคร้งั ทยี่ งั ไมไ่ ดจ้ ารึก เพราะฉะน้นั จากผลงานของทา่ นทไ่ี ด้เตรยี มกนั มาเป็นเวลานานปี มาสรปุ เป็นคำ�ชแี้ จง ทง้ั โดยพิสดาร ทงั้ โดยยอ่ จงึ ทำ�ใหท้ ่านทั้งหลายสามารถมมี ตไิ ด้ และแมท้ ่านทั้งหลายเลา่ ก็ไม่ใชว่ า่ มมี ติในวนั น้เี ท่าน้นั เพราะว่าได้มอบเอกสาร หลกั ฐานต่างๆ เหลา่ นี้ ขอ้ มูลตา่ งๆ เหล่านี้ ให้ไปเป็นเวลานานวันแล้วเหมือนกัน มีเวลาท่ีจะใหต้ รวจดู สอบทานดู และเมอ่ื มีอะไรท่ไี มแ่ จม่ แจ้งในเอกสารทใี่ ห้แลว้ กม็ าไต่ถามกนั ในวนั น้ี ซง่ึ พระเถระและคณะเตรียมการกไ็ ด้ถวายอธิบายให้ได้ทราบได้ทนั ที เพราะไดเ้ ตรียมกันมาเปน็ แรมปี และการที่ตอ้ งรอช้านนั้ ก็เพราะเหตุที่ มีเหตุตา่ งๆ การรอชา้ นนั้ ไมใ่ ชม่ ามีในครัง้ บัดน้เี ท่านัน้ แม้ในคร้ังพุทธกาลเองพระพุทธเจ้าเองกต็ อ้ งรอชา้ ในเร่ืองทเ่ี ก่ยี วกบั พระเทวฑตั และแม้เรอื่ งอนื่ อกี หลายเรือ่ ง เพราะในทางพระหรอื ทางคณะสงฆน์ ่นั จะทำ�อะไรก็ตอ้ งอาศัยคณะสงฆเ์ องเป็นหลกั และเม่ือเกย่ี วกับสงั คมจะเปน็ บุคคล หรอื เป็นคณะบุคคลกต็ าม แมท้ ่ปี ระกอบความผดิ นั้นเอง กต็ ้องอาศัยขออารกั ขาทางบ้านเมอื งในทางปฏบิ ัติ ถา้ หากว่าทางคณะสงฆก์ ็ดีทางบ้านเมอื งกด็ ี หรือทางคณะที่เกี่ยวขอ้ งกด็ ี เม่อื ยงั ไมพ่ รอ้ มก็ต้องรอกันไปกอ่ น134
หรือบางทีความประพฤติของบคุ คลน้ันๆ ยังไม่ชัดพอ จะท�ำ อะไรผลผี ลาม มันกย็ อ่ มทำ�ไมไ่ ด้ เหมือนอย่างในครั้งนี้ พระพทุ ธเจา้ เองกต็ อ้ งรอเหมือนกัน ทจี่ ะโปรดใครใหส้ ำ�เร็จมรรคผลได้ เมือ่ วาสนาบารมยี งั ไม่พอ กต็ ้องทรงอบรมกันไปกอ่ นหลายๆ คร้ัง เวลาช้าบา้ งเร็วบ้าง และเม่ือถึงเวลาแลว้ จึงจะโปรดมพี ระธรรมเทศนา ท่เี ปน็ แสงสวา่ งให้เขา้ ถึงใจ ก็ตอ้ งรอเวลาเหมือนกัน และคณะสงฆเ์ รานน้ั จะทำ�อะไรกป็ ระกอบด้วยเมตตาธรรมแต่เปน็ เมตตาทถ่ี ูกต้อง ในการนคิ คหะ คือการขม่ การปราบบ�ำ ราบก็ทำ�ด้วยเมตตา ถา้ จะถามวา่ เมตตา ทำ�ไมจงึ ต้องข่มตอ้ งบ�ำ ราบ กเ็ พราะวา่ ถ้าไมข่ ม่ ไม่บ�ำ ราบ ผ้นู ้นั ก็ทำ�ผดิ เร่ือยๆ ไป จนถงึ เป็นอนนั ตรยิ กรรมหรือเป็นมหันตกรรมซึง่ เปน็ โทษแกเ่ ขาหนักยง่ิ ข้นึ แตห่ ากวา่ ถา้ ข่ม ปราบบำ�ราบเสยี ได้ ต้ังแตย่ งั ไมห่ นกั นัก ยังไม่ถงึ เปน็ อนนั ตรยิ กรรมไม่ถงึ มหนั ตกรรม ก็เป็นการชว่ ยเขาน่ันเอง ให้มโี อกาสประพฤติดีในทางอืน่ ในทางอันเหมาะสมได้ เพราะฉะนั้น แมเ้ ปน็ นคิ คหะก็ท�ำ ดว้ ยเมตตาดงั กลา่ ว เป็นปคั คหะก็ท�ำ ดว้ ยเมตตา ไมท่ ำ�ด้วยความโกรธความข้ึงเครียด ความปองรา้ ย แตท่ ำ�ด้วยความหวังดี ความหวงั ดีต่อคณะบุคคลท่ีเกย่ี วข้องน้นั ๆ บคุ คลที่เกีย่ วข้องนน้ั ๆ หวงั ดีตอ่ พระศาสนาหวังดตี อ่ ชาตบิ ้านเมือง รวมความวา่ หวงั ดตี ่อสถาบันของชาติทง้ั หมด คอื ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ ท�ำ ดว้ ยความหวังดี เพราะฉะนน้ั การทเ่ี ราทงั้ หลายไดม้ าปฏิบัตกิ นั นี้จงึ เปน็ การท�ำ ด้วยเมตตา ไม่ไดท้ �ำ ดว้ ยความโกรธ ความขงึ้ เครียดดงั ทีก่ ลา่ วนน้ั เมื่อเปน็ ดัง่ น้แี ล้ว กจ็ ะทำ�ให้เกิดผลดี ผลดีแก่ผทู้ ่เี กยี่ วข้องนน้ั เอง แมเ้ ป็นฝา่ ยผิดธรรมผดิ วนิ ยั และเป็นผลดีแก่ทกุ ๆ ฝ่าย ท�ำ คณะสงฆ์ให้บรสิ ุทธผ์ิ ่องแผ้ว ทำ�พระศาสนาให้บริสุทธ์ผิ ่องแผ้ว ท�ำ ให้ประเทศชาตบิ า้ นเมืองประชาชนผ่องแผ้ว ตงั้ อยูใ่ นสัมมาทิฏฐิ คอื ความเห็นชอบตามทำ�นองคลองธรรม และปฏิบัตเิ ขา้ ทางท่ถี ูกท่ีชอบ เพราะฉะน้นั จงึ ขอให้เราท้งั หลายไดม้ คี วามสำ�นึกว่า กรณยี กิจท่ไี ดป้ ฏิบัติเหล่าน้เี ป็นบุญเป็นกุศลอยา่ งสงู และเป็นการแสดงเมตตาธรรม กรณุ าธรรมอยา่ งสงู แก่ทกุ ฝ่าย ขอให้มคี วามเข้าใจกันอยา่ งนน้ั และขอใหท้ า่ นเจ้าคณะภาค เจา้ คณะจงั หวดั ทั้งหลาย ได้โปรดทำ�ความเข้าใจแก่พระภิกษุสงฆ์สามเณรในคณะในสังกัดของท่านๆ ในทางทชี่ อบทีค่ วร เพอ่ื ใหร้ ่วมใจร่วมกจิ กรรมเปน็ อันหน่งึ อนั เดยี วกันทงั้ หมดในการจรรโลงพระพทุ ธศาสนาครง้ั นี้ อนั เปน็ บญุ เปน็ กศุ ลอย่างสูง ฉะนั้น จึงขออนโุ มทนาแก่ทกุ ทา่ น และกข็ ออำ�นาจคณุ พระศรรี ัตนตรัย อ�ำ นาจบุญกุศลไดอ้ ภิบาลรักษาทกุ ทา่ น ให้เจรญิ ด้วยอายุ วรรณะ สขุ ะ พละ และใหเ้ จริญดว้ ยธรรมวินยั ย่ิงๆ ข้ึน และใหป้ ระสบความส�ำ เร็จในการปฏิบัติกรณยี ะ มีหน้าที่ เปน็ ต้น ของตนๆ ย่ิง ๆ ขึ้นไป เทอญ 135
มาถงึ บดั น้ี เม่ือเจ้าพระคุณสมเด็จฯ หาพระองค์ไมแ่ ล้ว แต่ นั้นเองกลับเป็นวันเริ่มต้นแห่งพระภารกิจมากมายมหาศาลท่ีหากว่าเราจะได้ย้อนกลับไปพิจารณาดูพระกรณียกิจและ ต้องทรงปฏิบัตแิ ละรบั ผดิ ชอบ และไดท้ รงบำ�เพ็ญพระกรณยี กิจพระปฏปิ ทาในเจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ พระองคน์ ้นั เรายอ่ มพบว่า เหล่านั้นด้วยความสง่างามมาเป็นเวลาช้านานจนกระทั่งถ้อยพระวาจาท่ีรับส่ังในวันนั้นมิได้เป็นถ้อยคำ�ที่กล่าวตามแบบ พระพลานามยั ไมเ่ ออ้ื ใหท้ รงสามารถทจ่ี ะแบกรบั การพระศาสนาธรรมเนียมเพื่อให้ผู้อ่ืนที่ได้ยินได้ฟังปฏิบัติแต่เพียงฝ่ายเดียว เชน่ แตก่ อ่ นได้จงึ ทรงยอมผอ่ นพระภาระใหผ้ มู้ อี �ำ นาจหนา้ ทร่ี ว่ มกนัตลอดเวลาที่ทรงดำ�รงตำ�แหน่งหน้าท่ีของคณะสงฆ์ในบทบาท สนองงานของคณะสงฆเ์ ปน็ ลำ�ดบั มาจนถงึ วาระทีส่ ดุใดก็ตาม ตั้งแต่ตำ�แหน่งเริ่มต้น จนที่สุดที่ได้ดำ�รงตำ�แหน่ง สมควรกล่าวเพิ่มเตมิ วา่ เนื่องจากคณะสงฆ์ไทยเป็นคณะ“สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก” เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ กท็ รงมั่นคงใน สงฆ์หมู่ใหญ่ หมู่สงฆ์ที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ต้องทรงบริหารหลักการตามถ้อยพระวาจาทร่ี ับสัง่ คราวนน้ั เปน็ อย่างยงิ่ ทรงยึด ปกครอง มที ั้งพระเถระผู้มีอายพุ รรษามากกวา่ พระองค์ และท่มี ีพระธรรมวนิ ัยวา่ เป็นตัวแทนแห่งพระบรมศาสดา ทุกครง้ั คราท่ี อายพุ รรษานอ้ ยกว่าพระองค์ พระจรยิ วตั รที่เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯต้องทรงบริหารงานคณะสงฆ์ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินพระทัยใน ทรงถือปฏบิ ัติโดยเคร่งครดั คือถอื พระธรรมวนิ ยั เป็นหลกั ในการทางสว่ นพระองค์ หรอื ในฐานะทที่ รงด�ำ รงตำ�แหน่งเปน็ ประธาน บรหิ ารปกครอง นน่ั คอื การแสดงความเคารพตอ่ กนั ตามวนิ ยั นยิ มมหาเถรสมาคมกต็ าม ไมเ่ คยมคี รง้ั ใดทท่ี รงเบย่ี งเบนไปจากพระธรรม หรอื เคารพกันตามอายุพรรษา เจา้ พระคุณสมเด็จฯ ทรงแสดงและพระวนิ ยั ทรงพระอตุ สาหะปฏบิ ตั หิ นา้ ทส่ี รรพบรรดามที กุ ประการ สามีจิกรรม คือทรงเคารพกราบไหวต้ อ่ พระเถระทกุ รูปทม่ี ีอายุด้วยพระวิริยะแรงกล้า เมื่อวันที่ทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จ พรรษามากกวา่ ถงึ แม้จะทรงอยใู่ นฐานะสกลมหาสังฆปริณายกพระสงั ฆราชนัน้ พระชนมายกุ ็ถึง ๗๕ พรรษาซ่งึ นบั ว่าอยใู่ นวัย ตอ้ งทรงปฏบิ ตั หิ นา้ ทบ่ี ญั ชาการคณะสงฆ์ แตก่ ม็ ใิ ชก่ ารบญั ชาการทค่ี วรจะทรงพกั ผอ่ นไดแ้ ลว้ แตต่ รงกนั ขา้ มวนั ทท่ี รงไดร้ บั สถาปนา หรือการตดั สนิ ตามอ�ำ เภอพระทัย หากแตท่ รงยดึ พระธรรมวนิ ยั136
และกฎกตกิ าตา่ ง ๆ เปน็ สำ�คัญ แต่ในสว่ นพระจรยิ าแล้วทรง ในการบรหิ ารงานคณะสงฆ์ เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงอ่อนน้อมและทรงแสดงความเคารพต่อพระเถระผู้มีอายุมาก “บรหิ ารคน” ด้วยวธิ ีปกครองใจคนให้รู้ส�ำ นกึ และรับผดิ ชอบในกว่าเสมอ เมื่อมีพระเถระผู้สูงอายุมาเฝ้าและยังมิได้ทรงรู้จัก หน้าทม่ี ากกวา่ ท่จี ะสง่ั ให้ท�ำ ไมท่ รงหักหาญน้ำ�ใจ แต่ทรงเลือกค้นุ เคย จะทรงถามก่อนเสมอวา่ “ท่านพรรษาเทา่ ไร?” ถ้าพระ ใช้วิธีแนะนำ�ให้เกิดสำ�นึกรู้ขึ้นมา เว้นเสียแต่เป็นเรื่องที่จะเกิดภิกษุรูปน้ันมีอายุพรรษามากกว่าก็จะโปรดให้ศิษย์จัดอาสนะ ความเสียหายแก่พระศาสนา จ�ำ เปน็ ต้องใช้ความเด็ดขาดกม็ ิได้ถวายให้น่ัง แลว้ เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ ก็กราบถวายความเคารพ ทรงลงั เล ตวั อยา่ งเรอ่ื งทท่ี รงเลอื กใชว้ ธิ ปี ลกู ฝงั ความรบั ผดิ ชอบตามพระธรรมวนิ ยั ไมว่ า่ ทา่ นผนู้ น้ั จะเปน็ ใครหรอื มยี ศศกั ดอ์ิ ยา่ งไร เชน่ คราวหนง่ึ ทรงนมิ นตพ์ ระเปรยี ญหลายรปู ในวดั บวรนเิ วศวหิ ารหรือไม่ แม้เสด็จไปยังวัดต่าง ๆ ก็ทรงแสดงสามีจิกรรมตาม มาแนะน�ำ และฝกึ ฝนเพอ่ื ใหเ้ ปน็ ครสู อนกรรมฐานแกภ่ กิ ษสุ ามเณรพระธรรมวนิ ยั เชน่ กนั แมพ้ ระภกิ ษทุ ม่ี หี นา้ ทป่ี ฏบิ ตั ริ บั ใชพ้ ระองค์ และพุทธศาสนกิ ชนทว่ั ไป รบั สงั่ วา่ “พวกเราควรจะช่วยกันในส่ิงใดท่พี อจะทรงท�ำ เองได้ กท็ รงท�ำ ดว้ ยพระองค์เอง จะทรงขอ เรื่องสั่งสอนสมาธิกรรมฐาน เพราะเป็นงานหลักของพระเรา”ใหพ้ ระภิกษุรูปอ่ืนชว่ ยก็เฉพาะกรณที ่ีจ�ำ เป็นเท่านั้น เคยรบั ส่ัง พระเปรียญบางรูปก็ทูลว่า“เป็นคนพูดไม่เก่งและไม่เคยสอน”ว่า “พระกเ็ ป็นผู้มีศลี เสมอกัน จงึ เกรงใจไมอ่ ยากใช้ใคร” แม้ เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ซึ่งเรียกองค์เองบอ่ ยคร้งั วา่ “ท่นี ”ี่ มีรับสัง่จนถึงชั้นสามเณรก็ทรงเคารพในความเป็นผู้มีศีลของสามเณร ตอบว่า “ที่นี่ก็พูดไม่เก่งและไม่เคยสอนมาก่อนเหมือนกันเมื่อโปรดให้ใครนำ�สิ่งของไปถวายแก่สามเณร จะรับสั่งว่า แต่เมื่อหน้าที่มาถึง ก็ต้องพยายามฝึกพยายามทำ� แล้วก็จะ“เอานี่ไปถวายสามเณร” มิได้ทรงกล่าวว่า “เอาไปให้เณร” คอ่ ยเกง่ ข้นึ มาเอง ถ้ารอให้เก่งเสยี ก่อน คงไม่ไดท้ ำ�อะไร”เลยแม้สักครง้ั เดียว พระกระแสรับสั่งข้างต้นดังกล่าวเป็นความจริงแท้ทีเดียว และได้ทรงใช้เป็นกุศโลบายในการบริหารงานคณะสงฆ์ที่อยู่ใน พระภารกิจต้องรบั ผิดชอบดว้ ยเสมอมา 137
พระกรณียกิจด้านต่างประเทศ แมป้ ระเทศไทยของเราจะมิใชป่ ระเทศท่เี ป็นถ่ินกำ�เนิดของพระพทุ ธศาสนา แต่เมอื่ กาลเวลาผา่ นไปหลายรอ้ ย หลายพันปี ลว่ งมาถงึ ปัจจบุ นั สมยั เปน็ ทยี่ อมรบั กันทัว่ ไปแลว้ ว่าประเทศไทยของเราเปน็ ประเทศทีพ่ ระพทุ ธศาสนา ได้หยง่ั รากลงลกึ และเปน็ ไม้ใหญ่ใหร้ ่ม ให้ความสุขเย็นใจแกพ่ ุทธศาสนิกชนชาวไทยโดยไม่คลอนแคลน และคงไมผ่ ิดจากความเป็นจริงนักหากจะกล่าวว่า ประเทศไทยอยูใ่ นฐานะทีเ่ ป็นศูนยก์ ลางของพระพุทธศาสนา ไมเ่ ฉพาะ แต่เพยี งภายในภมู ิภาคใกลเ้ คียง หากแตเ่ ป็นศูนย์กลางพระพทุ ธศาสนาของโลกด้วย โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ในหว้ งเวลาไม่นาน ทผี่ า่ นมา พระพุทธศาสนาตามแบบท่ไี ด้มกี ารอบรมสัง่ สอนและไดถ้ า่ ยทอดกันมาในประเทศไทยได้เผยแผไ่ ปในนานาประเทศ จากเมอื่ หลายสบิ ปีก่อน บางประเทศในซีกโลกฝา่ ยตะวันตกไม่รจู้ ักพระพุทธศาสนาและไม่เคยเห็นพระภกิ ษุมากอ่ นเลย แตม่ าบดั นพ้ี ระพทุ ธศาสนาไมใ่ ชข่ องแปลกอกี ตอ่ ไป มี “วดั ” เกดิ ขน้ึ ในตา่ งประเทศ ทโ่ี นน่ บา้ งทน่ี บ่ี า้ ง แตล่ ะวดั กม็ พี ระภกิ ษสุ งฆ์ จำ�พรรษา ไดเ้ ทศนาอบรมส่งั สอนพุทธศาสนกิ ชนในประเทศนัน้ ๆ ใหม้ คี วามรู้ความเขา้ ใจและความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ความเปลย่ี นแปลงทง้ั หลายทเ่ี กดิ ขน้ึ เหลา่ น้ี เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เปน็ พระมหาเถระรปู หนง่ึ ทม่ี บี ทบาทส�ำ คญั ในกจิ การพระธรรมทตู อกี ทง้ั ยงั ไดเ้ สดจ็ ไปทรงปฏบิ ตั พิ ระกรณยี กจิ ในตา่ งประเทศเพอ่ื สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจทถ่ี กู ตอ้ งเกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนา ตลอดจน เสดจ็ ไปทรงปฏบิ ตั พิ ระศาสนกจิ ตามค�ำ กราบทลู เชญิ ของผคู้ นตา่ งๆ หลายวาระ เปน็ ผลใหช้ าวโลกได้รู้จกั พระพุทธศาสนามากขนึ้ และเห็นคุณเห็นประโยชนข์ องหลกั ธรรมแหง่ พระพทุ ธศาสนามากขึ้นตามลำ�ดบั138
139
ร่วมสมโภช คณะผ้แู ทนจากประเทศไทยประกอบด้วยพระสงฆแ์ ละ คฤหัสถ์รวม ๘ ทา่ นดงั นี้กรุงพนมเปญพระบรมสารีริกธาตุ ณ ๑. พระธรรมจินดาภรณ์ (ทองเจอื จนิ ตฺ ากโร) พระกรณียกิจในต่างประเทศครั้งแรกของ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ย้อนหลังไปกว่าหกสิบปี วดั ราชบพิธสถิตมหาสมี าราม สดุ ท้ายไดร้ บั พระราชทาน กอ่ น คอื เมอื่ พ.ศ. ๒๔๙๕ ขณะเมอื่ ทรงด�ำ รง สถาปนาเปน็ ท่ี สมเดจ็ พระพุทธปาพจนบดี สมณศักดิ์ที่พระโศภนคณาภรณ์ ได้ทรงร่วมใน คณะผู้แทนไทยเดินทางไปฉลองพระบรมสารี- ๒. พระโศภนคณาภรณ์ (เจรญิ สุวฑฒฺ โน) ริกธาตุและพระอรหันตธาตุที่เชิญจากมหาโพธิ สมาคม ประเทศอินเดีย ไปยังกรุงพนมเปญ วดั บวรนิเวศวิหาร คือสมเดจ็ พระญาณสังวร ประเทศกัมพูชา งานฉลองสมโภชคราวนั้นจัด สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก ใหญโ่ ตมาก มสี มเดจ็ พระสเุ มธาธบิ ดี สมเดจ็ พระ สังฆราชฝ่ายมหานกิ ายของกัมพูชา พรอ้ มดว้ ย ๓. พระมหานวม อตฺตคตุ โฺ ต สมเด็จพระปิตุลา เจ้าฟ้ากรมพระมณีเรศ และ สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ เสด็จมาทรงรับ ขบวน วัดโสมนัสวิหาร ภายหลงั ลาสกิ ขาเขา้ รับราชการเป็น แห่พระธาตุเคล่อื นจากสนามบินไปยังวัดพระแก้ว พ.อ.(พเิ ศษ) นวม สงวนทรัพย์ ในพระราชวังหลวง ระหว่างทางประชาชนตั้งโต๊ะ หมู่บูชาถวายสักการะเรียงรายไปตลอดทาง ๔. พระครูสมหุ อ์ นวุ ฒั น์ (ชาวกัมพูชา) เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงบนั ทกึ วา่ วดั บวรนิเวศวิหาร สดุ ทา้ ยได้เป็นที่พระครูปริตรโกศล “เมื่อถึงกรุงพนมเปญแล้วแน่นขนัด ทั้งสองข้างถนนเกือบตลอด แต่เมื่อเข้า ๕. พระยาภรตราชสุพิธ กรุงพนมเปญเย็นมาก และค่ำ�ก่อนที่จะ ๖. คณุ หญงิ เพ้ยี น ด�ำ รงธรรมสาร ถึงปลายทาง” ๗. นายเลอสรร ธรรมพชิ า ๘. นางเนอื่ ง อิม่ สมบัติ คณะผู้แทนไทยได้เดินทางไปพร้อมกับ เที่ยวบินที่เชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระ อรหนั ตธาตุ ซง่ึ บนิ มาแวะทส่ี นามบนิ ดอนเมอื งใน วนั ท่ี ๕ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๙๕ เวลา ๑๒.๑๕ น. เพอ่ื อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ลงใหช้ าวไทยไดส้ กั การะบชู าราวชว่ั โมงเศษ แลว้ จงึ เชิญกลับข้ึนเครื่องบินเดินทางต่อไปยังประเทศ กัมพชู า140
> คณะสงฆ์ในกมั พูชาน้นั นับว่ามีความ > เมือ่ พ.ศ. ๒๓๙๗ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ได้โปรดฯ ให้จัดสัมพันธ์ ใกล้ชิดกับคณะสงฆ์ ไทยมาก สมณทตู เชญิ คมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ ก ๔๐ คมั ภรี ์ไปพระราชทานแดส่ มเดจ็ พระหรริ กั ษ์พระมหากษัตริย์ของกัมพูชาก็เคยทรง แหง่ กรุงกัมพูชา สมณทูตครง้ั นั้นมีพระอมราภริ ักขิต (เกิด อมโร) วัดบรมนวิ าสผนวชเป็นพระภิกษุท่ีวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นหัวหน้า มีพระอนจุ ร ๖ รปู คือ พระมหาปาน ปญ ฺ าสีโล ป.๔ ชาวกัมพชู าถงึ ๒ พระองคค์ อื สมเด็จพระนโรดม ทม่ี าบวชเล่าเรียนอยทู่ ว่ี ดั บรมนิวาส และพระไทยอีก ๕ รูป สมณทูตไทยท่ีไปยังและสมเด็จพระหริราชดนัยไกรแก้วฟ้า กรุงอดุ งครงั้ น้เี อง ท่ีก่อใหเ้ กิดมีคณะธรรมยุตข้ึนในกัมพชู าเปน็ ครั้งแรก ต่อมาหรือสมเด็จพระศรีสวัสดิ์มณีวงศ์ ใน พระมหาปาน ปญฺ าสีโล ก็ไดร้ บั แตง่ ตงั้ เป็น สมเดจ็ พระสคุ นธาธบิ ดี สมเด็จรัชกาลที่ ๔ พระสังฆราชฝา่ ยธรรมยตุ (สมเดจ็ พระสงั ฆราชฝา่ ยมหานกิ ายมีนามว่า สมเดจ็ พระมหาสุเมธาธิบดี )> ด้วยเหตุนี้ จงึ มพี ระภิกษุสามเณรชาวกมั พูชามาอยู่เล่าเรียนพระปริยตั ิธรรมในประเทศไทยจ�ำ นวนมากมาแตอ่ ดีตทวี่ ัดบวรนิเวศวิหารก็เคยมพี ระภกิ ษุสามเณรชาวกมั พูชามาอยเู่ ลา่ เรยี นพระปริยัติธรรมมาก แม้ในสมยั ที่เจ้าพระคณุสมเด็จฯ เปน็ เจา้ อาวาสก็มพี ระภกิ ษุสามเณรชาวกมั พูชามาอยู่เลา่ เรยี นพระปรยิ ัติธรรมหลายรปู พระสมหุ อ์ นวุ ัฒน์ท่ีร่วมมาในคณะผแู้ ทนไทยคราวน้ี กเ็ ปน็ พระภกิ ษชุ าวกัมพชู าท่อี ยวู่ ดั บวรนิเวศวิหารมานานรปู หน่ึง การเสด็จไปประเทศกัมพชู าครงั้ น้ี แมจ้ ะเป็นช่วงเวลาส้ัน ๆ แต่ก็กลา่ วได้ว่าเป็นการสานความสัมพันธ์ทด่ี ีย่งิ ระหวา่ งวัดบวรนิเวศวิหารกบั พระราชวงศ์ของกมั พูชา จากพืน้ ฐานเดมิ ท่ีในอดตี ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวัมีพระราชวงศ์ของกัมพชู าได้ทรงผนวชเพือ่ ศกึ ษาพระธรรมวินัยทว่ี ัดบวรนิเวศวหิ ารอยู่หลายพระองค์ 141
ณร่วมกฉัฏรฐสงุ งั คยาย่านางกุ้ง พม่าเรยี กการสงั คายนาครง้ั น้ีวา่ ฉฏั ฐสงั คายนา คอื สังคายนาคร้ังที่ ๖ เพราะ พมา่ นบั การสงั คายนาวา่ ท�ำ ในอนิ เดยี ๓ ครง้ั คอื ครง้ั ท ่ี ๑-๒-๓ ครง้ั ท ่ี ๔ ท�ำ ใน ถดั มาอกี เพยี งสองปี ใน พ.ศ. ๒๔๙๗ เพอ่ื เตรยี มการ ลงั กา เมอ่ื ครง้ั จารกึ พระไตรปฎิ กเปน็ ตวั อกั ษรราว พ.ศ. ๔๕๐ ปี โดยประมาณฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเวลานั้น และคร้ังที่ ๕ ทำ�ในพมา่ สมยั พระเจา้ มนิ ดงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔เรียกวา่ ประเทศพมา่ ได้จัดทำ�สงั คายนาพระไตรปฎิ กขน้ึ ที่กรุงยา่ งกงุ้ เรียกวา่ การประชุม “ฉฏั ฐสงั คายนา” หรอื การ การสงั คายนาในครง้ั นท้ี างพมา่ มคี วามมงุ่ หวงั ทจ่ี ะสรา้ งพระไตรปฎิ กสงั คายนาพระไตรปฎิ กเป็นคร้งั ท่ี ๖ ประเทศเจ้าภาพเชิญ ฉบบั สากลทจ่ี ะสรา้ งสนั ตสิ ขุ แกม่ นษุ ยชาตทิ ว่ั โลก การจะสรา้ งพระไตรปฎิ กผู้เข้าร่วมประชุมทั้งจากกัมพูชา ลาว เวียดนาม และไทย ฉบบั สากลขน้ึ ไดก้ ต็ อ้ งอาศยั ผรู้ จู้ ากประเทศพทุ ธศาสนามารว่ มกนั พจิ ารณาเจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงร่วมอยู่ในคณะผแู้ ทนประเทศไทย จดั ท�ำ โดยไมท่ ง้ิ หรอื ท�ำ ลายพระไตรปฎิ กฉบบั เดมิ ของแตล่ ะประเทศ เพยี งเพอื่ ปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมสำ�คญั ครัง้ นี้ การประชุมใช้ แตม่ าชว่ ยกนั สรา้ งพระไตรปฎิ กฉบบั สากลขน้ึ มาอกี ฉบบั หนง่ึ แลว้ จดั พมิ พ์เวลาทงั้ สิ้นสิบวนั ในเวลาวา่ งจากการประชุมทพ่ี อมีอยู่บ้าง เผยแพรไ่ ปทว่ั โลก คอื พมิ พเ์ ปน็ อกั ษรพมา่ อกั ษรเทวนาครี อกั ษรโรมนัจงึ ไดเ้ สด็จไปเยย่ี มวัดและพทุ ธสถานหลายแหง่ เปน็ เหตุให้ พรอ้ มทง้ั แปลออกเปน็ ภาษาองั กฤษและภาษาฮนิ ดีทรงคุน้ เคยกบั คณะสงฆข์ องเมยี นมารพ์ อสมควร เนอื่ งจากการพิมพพ์ ระไตรปิฎกฉบับฉฏั ฐสงั คายนาดงั กลา่ ว ใช้วิธี ทยอยพมิ พ์ไปเรอ่ื ยๆ เม่อื ทำ�เสรจ็ สว่ นใดก็รีบจัดพิมพ์ให้เสรจ็ ในส่วนน้นั ฉะน้นั การประชุมฉัฏฐสงั คายนาจงึ จดั เป็น ๒ สมยั แตล่ ะสมยั ก็เพ่ือไป ประชมุ รบั ฟังพระไตรปฎิ กส่วนท่ีทางพม่าจัดทำ�เรียบร้อยแล้ว และเอา มาอ่านใหท้ ่ีประชมุ ฟงั เท่านน้ั ในการไปรว่ มประชมุ ฉฏั ฐสงั คายนาครง้ั น ้ี เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เลา่ วา่ ทกุ อยา่ งทางพมา่ เขาจดั ท�ำ ไวเ้ รยี บรอ้ ยแลว้ ผรู้ ว่ มประชมุ กเ็ พยี งไปฟงั การอา่ นพระไตรปฎิ กทเ่ี ขาจดั พมิ พม์ าเรยี บรอ้ ยแลว้ เทา่ นน้ั แลว้ เขากน็ �ำ พระไตรปฎิ กทพ่ี มิ พแ์ ลว้ นน้ั มาแจกใหท้ ป่ี ระชมุ รว่ มกนั สวดโดยมพี ระพมา่ สวดเป็นหลกั พระตา่ งประเทศกส็ วดไปตามเขา ฉะนน้ั จึงสวดได้บ้าง ไม่ไดบ้ า้ ง เพราะพระแต่ละประเทศมีวิธสี วด วธิ ีออกเสยี งไมเ่ หมอื นกนัทางพมา่ ได้ก�ำ หนด ขนั้ ที่ ๑ขนั้ ตอนการสงั คายนาครงั้ นเี้ ปน็ ๓ ขน้ั ตอน คือ เป็นขั้นการเตรยี มหรือสอบทาน ใหแ้ ตล่ ะประเทศ (ท้ัง ๕ ประเทศ) ตา่ งทำ�ในประเทศของตน ปรากฏว่า มี ๒ ประเทศเทา่ นนั้ ที่ทำ�ได้คอื ไทย และลงั กา ซึง่ ได้ทำ�การช�ำ ระพระไตรปิฎก ในทางปฏบิ ัติจรงิ ของตนเสร็จไปก่อนท่ีพมา่ จะท�ำ ฉฏั ฐสังคายนาไมน่ าน ลังกาท�ำ เสรจ็ ทหี ลงั ไทย ไม่อาจท�ำ ไดต้ ามแผน ไทยกับลังกาจึงส่งพระไตรปิฎกของตนที่ชำ�ระเรียบร้อยแล้วไปให้ทางพม่า เท่ากับร่วมทำ�งานขั้นที่ ๑ เรียบร้อย พระไตรปิฎกของไทยที่ส่งให้พม่าก็คือ142 พระไตรปฎิ กฉบบั สยามรฐั สว่ นลาวและเขมรแจง้ วา่ ไมม่ เี จา้ หนา้ ทท่ี จ่ี ะท�ำ ไดท้ นั จงึ ไปขอรว่ มงานขัน้ ท ่ี ๒ ทีป่ ระเทศพมา่
ผ้แู ทนคณะสงฆ์ไทย หวั หน้าคณะ พระธรรมธรี ราชมหามุนี (ธรี ์ ปณุ ณฺ โก)ทีไ่ ปร่วมประชมุ ฉัฏฐสังคายนาสมยั ที่ ๑ ณ กรุงยา่ งกุง้ พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) วดั จกั รวรรดิราชาวาส สุดท้ายไดร้ ับพระราชทานวันที่ ๒๔ พฤษภาคม - ๖ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๙๖ สถาปนาเปน็ สมเด็จพระธีรญาณมนุ ี วัดมหาธาตุ สดุ ท้ายได้รับพระราชทาน สถาปนาเปน็ สมเด็จพระพฒุ าจารย์พระวิสทุ ธิโสภณ พระครอู รยิ านุวัตร พระมหาหนู พระมหามนสั พระมหาชูศักดิ์ พระอาจารย์โชติกวัดสระเกศ วัดมหาธาตุ วดั มหาธาตุ วัดมหาธาตุ วดั มหาธาตุ (ชาวพมา่ ) วดั มหาธาตุ ผูแ้ ทนคณะสงฆ์ไทยสามเณรตดิ ตาม สามเณรเทพ สามเณรทองออ่ น วดั มหาธาตุ คฤหสั ถร์ ่วมคณะ ๑. นายฟุง้ ศรวี จิ าร เลขานุการกรมการศาสนาสุดท้ายเป็นอธิบดีกรมการศาสนา ๒. หลวงปริญญาโยควิบูลย์ ผู้แทนพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ๓. ร.อ.ประสาร ทองภักดี ที่ไปรว่ มประชุมฉัฏฐสงั คายนาสุดท้ายเป็นพันโทและเป็นรองอธิบดีกรมการศาสนา ๔. นายสวัสดิ์ พินิจจันทร์ เจา้ หนา้ ที่กรมการศาสนา สมยั ที่ ๒ ณ กรงุ ย่างกุ้ง พระพมิ ลธรรม (อาจ อาสโภ) พระธรรมดลิ ก (ปุ่น ปุณณฺ สิริ) การประชมุ มขี นึ้ ต้งั แต่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๖ วัดมหาธาตุ วดั พระเชตุพนวิมลมงั คลาราม ถงึ ๑๕ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ สดุ ท้ายได้รับพระราชทานสถาปนาเปน็ พระธรรมราชานวุ ัตร (ฟู อตฺตสิโว) สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช พระศรสี ทุ ศั มนุ ี (ทองสุก สุทสโฺ ส) วดั พระสงิ ห์ จ.เชียงใหม่ พระอมรมนุ ี (จับ ฐิตธมฺโม) วัดชนะสงคราม สดุ ท้ายได้รบั พระราชทาน เลือ่ นสมณศกั ดเ์ิ ปน็ ที่ พระธรรมทัศนาธร พระเทพเมธี (ชอบ อนจุ ารี) วดั โสมนสั วหิ าร สุดทา้ ยได้รบั พระราชทาน สถาปนาเปน็ ที่ สมเดจ็ พระวันรตั พระอมรเวที (สนนั่ จนฺทปชโฺ ชโต)วัดราษฎรบ�ำ รงุ จ.ชลบรุ ี สดุ ท้ายได้รบั พระราชทาน สถาปนาเปน็ ที่ พระพิมลธรรม พระโศภนคณาภรณ์ (เจริญ สุวฑฒฺ โน) วดั นรนารถสุนทริการาม สดุ ท้ายได้รับพระราชทานสถาปนาเปน็ ท่ี พระมหาชว่ ง วรปุญฺโญ วดั บวรนเิ วศวหิ าร สดุ ท้ายได้รับพระราชทาน สถาปนาเปน็ สมเด็จพระญาณสงั วร สมเดจ็ พระมหามนุ ีวงศ์ วัดเบญจมบพติ รดุสิตวนาราม สุดท้ายไดร้ ับพระราชทานสถาปนาเปน็ ที่ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก สมเดจ็ พระมหารชั มงั คลาจารย์ วัดปากน้ำ�ภาษีเจรญิ พระปรยิ ตั เิ วที (ผยุ คตญาโณ) พระสเุ มธีธรรมภาณ (บู่ สจุ ณิ ฺโณ) พระศรวี สิ ทุ ธญิ าณ (ประยรู สนตฺ งกฺ โุ ร)วัดปทุมวนาราม สดุ ท้ายไดร้ ับพระราชทาน วัดบรมนิวาส สุดทา้ ยไดร้ บั พระราชทานสถาปนา วดั เทพศริ นิ ทราวาส สดุ ทา้ ยไดร้ บั พระราชทานเลื่อนสมณศกั ดิ์เปน็ ที่ พระเทพปญั ญามุนี เป็นที่ พระพรหมมุนี สถาปนาเปน็ ที่ สมเดจ็ พระญาณวโรดม พระปริยตั ิโมลี (ฟน้ื ปาสาทิโก) พระกววี งศ์ (สนิธ เขมจาร)ี พระอรยิ นนั ทมุนี (เงอ่ื ม อินฺทปญฺโญ)วดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม สุดท้ายได้รบั วดั บา้ นแหลม จ.สมุทรสงคราม สุดทา้ ยได้รบั สุดท้ายได้รับพระราชทานเลอื่ นสมณศักดเ์ิ ปน็ ที่พระราชทานเลอื่ นสมณศกั ดเ์ิ ป็นท่ี พระเทพโมลี พระราชทานสถาปนาเปน็ ท่ี สมเดจ็ พระธีรญาณมนุ ี พระธรรมโกษาจารย์ (พุทธทาสภกิ ขุ)พระมหาพวน ป.ธ.๙ พระมหาจำ�นง ป.ธ.๙ พระมหาพรหม ป.ธ.๙ พระมหาเกษม ป.ธ.๗ พระมหาทอง พระเตชินท์ ธัมมจรยิ ะวัดมหาธาตุ วัดสระเกศ ตอ่ มาลาสิกขา วัดมหาธาตุ วดั มหาธาตุ ตอ่ มาลาสิกขา วัดบรมนวิ าส (ชาวพม่า) วัดมหาธาตุ คอื ศ.(พเิ ศษ) จ�ำ นง ทองประเสรฐิ คอื นายเกษม บญุ ศรีคฤหสั ถร์ ว่ มคณะ ๑. นายประหยัด ไพทีกุล ๒. นายสุภาพ แคทุ่ม (ภายหลังเปลี่ยนเป็น สุภูตะโยธิน) ๓. นายดิลก ดวงมาลัยขั้นท่ี ๒ ข้ันท่ี ๓ เปน็ ขัน้ วนิ ิจฉัยว่าอะไรผิดอะไรถกู ควรแก้ไขอยา่ งไร เป็นขั้นทีผ่ ู้แทน เป็นการประกอบพิธีรบั รองยนื ยนั พระไตรปิฎก จาก ๕ ประเทศจะตอ้ งมารว่ มประชมุ ท�ำ รว่ มกนั ในทป่ี ระชมุ สงั คายนา ทส่ี ังคายนาเรียบรอ้ ยแลว้ พร้อมทัง้ จดั พิมพ์เปน็ เล่มหนงั สอื เรียบรอ้ ยแล้วดว้ ยในการปฏิบตั จิ ริงปรากฏว่า เปน็ งานที่ทางพมา่ ด�ำ เนนิ การกันเอง โดย เปน็ การน�ำ พระไตรปิฎกฉบับฉัฏฐสังคายนาที่ทางพม่าการตรวจชำ�ระเทียบเคยี งพระไตรปิฎกฉบับต่างๆ เทา่ ทม่ี ี แล้วท�ำ เป็น จดั พิมพ์เรยี บรอ้ ยแล้วมาเสนอที่ประชมุ ท่ีเชิญพระสงฆ์ พระไตรปิฎกฉบบั ฉัฏฐสงั คายนาขนึ้ จัดพมิ พ์เป็นเล่มหนังสือเรยี บรอ้ ย จากประเทศต่างๆ มาแลว้ อา่ นพระไตรปฎิ กดังกลา่ วให้ ท่ีประชมุ ฟงั เท่าน้นั เท่ากับเปน็ การรบั รองพระไตรปิฎก ฉบบั นี้วา่ ถูกต้องเรียบร้อย 143
ยง่ิ กาลเวลาล่วงผ่านไปเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เจรญิ ด้วยพรรษายุกาล ทัง้ เจรญิ ด้วยสมณศกั ดท์ิ ่ีไดร้ บั พระราชทาน พระกรณียกจิ ดา้ นการตา่ งประเทศกย็ ่ิงเพิม่ พนู มากขน้ึ เพราะการคมนาคมติดต่อกนั ในโลกน้ีสะดวกขนึ้ กว่า แต่ก่อน ผูท้ ่สี นใจในพระพุทธศาสนาตามประเทศตา่ งๆ มีจำ�นวนเพิม่ มากข้ึน จนถึงกบั ในบางประเทศ ดังนั้น มคี วามพรอ้ มที่จะจดั ตั้งวัดวาอารามขน้ึ มีฐานะเปน็ วัดทางพระพทุ ธศาสนา บางคราวกม็ กี ารประชุม เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ ระหวา่ งประเทศเกี่ยวกบั ประเด็นด้านศาสนสมั พันธ์ หรือเปน็ ประเดน็ เฉพาะเจาะจงเรื่อง จึงได้เสด็จไปยังต่างประเทศ พระพุทธศาสนา บางคราวผนู้ ำ�ระดับสูงของบางประเทศกต็ ัง้ ใจเชญิ เจา้ พระคุณสมเด็จฯ เปน็ หลายคร้ัง เพ่อื ทรงปฏิบัติ ไปเย่ยี มเยยี นประเทศตา่ งๆ เพ่ือทอดพระเนตรกจิ การด้านการศาสนา พระศาสนกิจต่างๆ ตามทม่ี ี ผู้กราบทูลเชิญ โดยสรุปยอ่ ๐๓ พอสังเขปโดยล�ำ ดบั ดงั ต่อไปนี้ ๒๕ กรกฎาคม – ๕ สิงหาคม ๐๕ ๐๑ พ.ศ. ๒๕๐๙ ๐๗ อังกฤษ ฝรัง่ เศส ๑๖ เมษายน – ๒ พฤษภาคม ๕ – ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ พ.ศ. ๒๔๙๕ สวติ เซอร์แลนด์ อิตาลี กรซี – ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ปากสี ถาน เนปาล อินเดีย กมั พูชา ในฐานะทท่ี รงเปน็ ประธานกรรมการ ฟลิ ปิ ปนิ ส์ อ�ำ นวยการฝกึ อบรมพระธรรมทูตไป เสด็จไปเยยี่ มชมการพระศาสนา ทรงรว่ มในคณะผ้แู ทนไทย ต่างประเทศ ไดเ้ สดจ็ ไปเป็นประธาน เสด็จไปเยยี่ มชมการพระศาสนา และการศึกษาในฐานะประธานสภา เดินทางไปฉลองพระบรมสารีริกธาตุ ฝา่ ยสงฆ์และถวายพระธรรมเทศนา วฒั นธรรม และการศึกษาทว่ั ไป การศึกษามหามกุฏราชวทิ ยาลยั กณั ฑ์หนง่ึ ในพิธีเปิดวดั พุทธปทีป ซ่งึ ในฐานะประธานกรรมการสภา และพระอรหนั ตธาตทุ เี่ ชญิ จาก พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั และ การศึกษามหามกฏุ ราชวิทยาลัย พรอ้ มดว้ ยพระธรรมธัชมุนี มหาโพธิสมาคมอินเดยี สมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกติ ์ิ พระบรมราชินนี าถ มหาวทิ ยาลัยพระพุทธศาสนา (สนตฺ งกฺ โุ ร ประยูร พยงุ ธรรม ป.ธ.๙) ไปยังกรุงพนมเปญ เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ ไปทรงประกอบพิธเี ปดิ แห่งประเทศไทย โดยอนมุ ัตขิ อง เลขาธกิ ารสภาการศึกษามหามกฏุ เมือ่ วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ ราชวิทยาลยั ในขณะนนั้ และในโอกาส ๐๒ ในการเสดจ็ คร้งั นน้ั ไดท้ รงเยย่ี มชมกิจการ มหาเถรสมาคม พระธรรมทูตในประเทศอังกฤษ และ พร้อมด้วย พระธรรมธชั มุนี เดียวกนั กไ็ ด้รบั อนุมตั ิจาก ๑๔ – ๒๔ พฤศจกิ ายน ทรงเยย่ี มชมการพระศาสนาในประเทศ (สนตฺ งฺกโุ ร ประยรู พยุงธรรม ป.ธ.๙) มหาเถรสมาคมให้ทรงเป็นผ้แู ทนของ พ.ศ. ๒๔๙๗ ฝรงั่ เศส สวติ เซอร์แลนด์ อิตาลี และกรีซ เลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา คณะสงฆ์ไทย เสดจ็ ไปเยยี่ มเยยี น พมา่ ระหวา่ งเสด็จกลบั ประเทศไทยดว้ ย มหามกุฏราชวิทยาลัย ในขณะนัน้ พระสงฆแ์ ละวัดพระพุทธศาสนาใน ประเทศปากีสถานตะวันออก (ปจั จุบนั ทรงรว่ มอยู่ในคณะผ้แู ทน ๐๔ ๐๖ คอื ประเทศบงั คลาเทศ) และทรงน�ำ ประเทศไทยเพือ่ ปฏบิ ัติหน้าทีใ่ น การประชมุ ฉฏั ฐสังคายนา หรอื การ ๑๐ – ๒๐ กุมภาพันธ์ ๖ พฤษภาคม – ๔ มิถุนายน สาส์นของสมเดจ็ พระสังฆราช สงั คายนาพระไตรปฎิ กเปน็ คร้ังที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๑๐ พ.ศ. ๒๕๑๓ (อฏุ ฺฐายี จวน ศิริสม ป.ธ.๙) ศรีลังกา อนิ โดนีเซยี วดั มกุฏกษตั รยิ าราม ถึงพทุ ธศาสนกิ ชน ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม เสด็จพรอ้ มดว้ ย พระธรรมโสภณ ชาวปากสี ถานตะวนั ออก ได้ตามเสดจ็ สมเดจ็ พระสังฆราช (กิจฺจกาโร สนธ์ิ มง่ั เรือน ป.ธ.๕) พรอ้ มกบั พสั ดุสิง่ ของและกปั ปิยภัณฑ์ (อุฏฺฐายี จวน ศริ ิสม ป.ธ.๙) รองเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร วัดมกฏุ กษตั ริยาราม ซึง่ เสดจ็ เยือน เพอ่ื บรรพชาอุปสมบทกุลบุตร ซึ่งทางคณะสงฆ์ไทยจัดหามา ไป ประเทศศรลี ังกาอย่างเป็นทางการ ชาวอนิ โดนีเซีย จำ�นวน ๕ คน ชว่ ยเหลอื ชาวพุทธในประเทศนัน้ ท่ี ตามค�ำ ทูลเชิญของรฐั บาลประเทศ ประสบวาตภยั ครัง้ ใหญ่ในคราวนนั้ ด้วย นัน้ เพื่อเจรญิ สัมพนั ธไมตรรี ะหว่าง ตามคำ�อาราธนาของ พุทธศาสนกิ ชนทง้ั สองประเทศ พระชนิ รกั ขิตเถระ หัวหน้าพทุ ธศาสนิกชน ชาวอนิ โดนีเซีย ในขณะนั้น144
๐๘ ๑๑ ๑๔ ๑๖ ๒๒ พฤษภาคม – ๕ มิถนุ ายน ๗ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ๒๐ มิถนุ ายน – ๒ กรกฎาคม ๔ – ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๘ – ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ. ๒๕๓๖ พ.ศ. ๒๕๔๑ ออสเตรเลยี ญ่ปี ่นุ อินโดนเี ซยี ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจนี เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ ในพิธี นวิ ซีแลนด์ สงิ คโปร์ เสดจ็ ไปทรงเปน็ ประธานเปดิ การประชมุ เปดิ วดั พุทธรงั ษี ณ นครซิดนยี ์ ได้ทรงพบปะกบั ผูน้ �ำ ชั้นสงู ของจนี การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาโลก ซึง่ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช เสด็จไปบรรพชากุลบตุ รชาวอนิ โดนเี ซีย หลายทา่ น ทีส่ ำ�คัญท่สี ุดคอื จ�ำ นวน ๔๓ คน ณ เมอื งสมารัง (The World Buddhist Propogation เจ้าฟา้ มหาวชริ าลงกรณ ประธานาธิบดีจีน นายเจยี ง เจ๋อหมนิ Conference) ซงึ่ พทุ ธศาสนานิกาย สยามมกฎุ ราชกุมาร ตามค�ำ อาราธนาของคณะสงฆส์ งั ฆเถรวาท เป็นโอกาสให้ได้ทอดพระเนตร เนนบตุ ซสึ ุ จัดขนึ้ ทเ่ี มืองเกยี วโต เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ ไปทรง อินโดนเี ซีย และไดเ้ สดจ็ ไปเยยี่ มชม ประกอบพธิ เี ปดิ และทรง สภาพการณ์พระพทุ ธศาสนา คณะสงฆ์ ตามคำ�กราบทลู อาราธนาของ บ�ำ เพญ็ พระราชกุศลวิสาขบูชา กิจการพระศาสนา ณ ประเทศออสเตรเลีย และพทุ ธศาสนิกชนในประเทศจีน คณะกรรมการจดั การประชมุ นวิ ซีแลนด์ ขากลับทรงแวะเยี่ยมชม เป็นเหตใุ หเ้ กิดความตนื่ เต้นแก่ ๐๙ การพระศาสนา ณ ประเทศสงิ คโปรด์ ว้ ย ๑๗ ประชาชนจนี เปน็ อยา่ งยงิ่ จนพระสงฆ์จีน ๓ เมษายน – ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ๑๒ บางรูปกลา่ ววา่ คณะสงฆจ์ ากประเทศไทย ๑๘ – ๒๓ กุมภาพันธ์ สหรฐั อเมริกา แคนาดา เปน็ แบบอยา่ งของชวี ติ พรหมจรรย์ท่ี พ.ศ. ๒๕๔๒ ๒๒ – ๒๕ สิงหาคม อนิ เดยี เนปาล ๒๓ เมษายน – ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ พ.ศ. ๒๕๒๘ แท้จรงิ ที่ได้พบเหน็ เปน็ คร้งั แรก องั กฤษ ฝรง่ั เศส สวิตเซอรแ์ ลนด์ อินโดนเี ซยี โอกาสนไ้ี ด้ทรงเยย่ี มเมอื งส�ำ คญั ทรงเรม่ิ ปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ท่ี และวดั ตา่ ง ๆ หลายแหง่ การเสดจ็ จนี วดั ไทยนาลนั ทา เมืองนาลันทา เสด็จไปทรงปฏบิ ัติศาสนกจิ เป็นประธานคณะพรอ้ มด้วย ครง้ั นเ้ี ปน็ ประโยชนย์ ง่ิ แกก่ ารพฒั นา วดั ไทยพทุ ธคยา และวัดป่าพุทธคยา ตามเมืองสำ�คัญหลายแหง่ พระสงฆอ์ ีก ๑๙ รูป จากประเทศไทย ความสัมพนั ธ์ระหว่างไทย - จีน เมืองพทุ ธคยาทรงเขา้ ร่วมพธิ ี ไดแ้ ก่ ลอสแองเจลสิ แวนคูเวอร์ ในทางพระพทุ ธศาสนาและทางวฒั นธรรม สมโภชวดั ไทยกสุ นิ าราเฉลมิ ราชย์ เดนเวอร์ ทลั ซา่ กรงุ วอชงิ ตนั ด.ี ซ.ี ไปทรงประกอบพธิ ีผกู พทั ธสมี า เมอื งกสุ นิ ารา ประเทศอนิ เดีย แล้วเสด็จ นครนิวยอรก์ และชคิ าโก อุโบสถวัดจาการต์ าธรรมจกั รชยั ๑๕ ต่อไปยงั วดั ไทยลุมพินี ซึง่ อยูช่ ายแดน ระหว่างทางขากลบั ไดท้ รงแวะ ตามค�ำ อาราธนาของคณะสงฆ์ ทางฝงั่ เนปาล จากนัน้ จงึ เสดจ็ ไปยงั ปฏบิ ตั ิศาสนกิจทีก่ รุงลอนดอน สงั ฆเถรวาทอนิ โดนเี ซยี เปน็ การผกู ๑๘ – ๒๐ พฤศจิกายน วดั ศรกี รี ตวิ ิหาร กรงุ กาฐมาณฑุ กรงุ ปารีส และนครเจนวี าด้วย พทั ธสมี าอุโบสถวดั พระพทุ ธศาสนา พ.ศ. ๒๕๓๘ เพอื่ ทรงแรมคืนอกี หนง่ึ คนื ก่อนเสดจ็ เสด็จกลบั ถึงประเทศไทย เถรวาทเป็นครั้งแรกในประเทศนน้ั เนปาล กลบั ประเทศไทยในวันรงุ่ ขนึ้ วนั ที่ ๑ พฤษภาคม ศกเดยี วกัน การเสดจ็ ครั้งนี้ เปน็ การเสด็จไปปฏิบตั ิ ๑๓ เสด็จไปทรงประกอบพิธบี รรจุ พระศาสนกิจในต่างประเทศ ๑๐ พระบรมสารรี ิกธาตุและทรงเปิด เป็นครงั้ สุดทา้ ยของเจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ ๒๓ – ๓๐ พฤศจิกายน ๑๑ – ๒๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ อาคาร “ไทยกรี ตภิ วนั ” พ.ศ. ๒๕๒๓ เนปาล ณ วดั ศรกี รี ตวิ หิ าร ทก่ี รงุ กาฐมาณฑุ อินเดีย เนปาล และทรงวางศลิ าฤกษ์ เป็นประเดมิ เสดจ็ พรอ้ มดว้ ยคณะสงฆ์ เสด็จไปรว่ มประชมุ สหพนั ธ์ จากประเทศไทยไปเป็นประธาน มงคลแหง่ การก่อสรา้ ง คีตาอาศรมสากล ในฐานะเป็น บรรพชากุลบตุ รศากยะแห่งเนปาล วดั ไทยลมุ พินี ซ่งึ เป็นวัดไทยพระอาคนั ตุกะพิเศษ เมอ่ื ทรงเสรจ็ จำ�นวน ๗๓ คน ณ กรุงกาฐมาณฑุภารกิจที่ประเทศอินเดียแล้ว ไดเ้ สดจ็ ตามค�ำ อาราธนาของคณะสงฆ์เนปาล แห่งแรกและแหง่ เดียว ไปเยยี่ มชมการพระศาสนา ในประเทศเนปาล ณ ประเทศเนปาลดว้ ย ตงั้ อยหู่ ่างจากวหิ ารมายาเทวี ซง่ึ เปน็ ตำ�บลท่ีประสูตขิ อง พระบรมศาสดา ราว ๙๕๐ เมตร สรุปรวมวา่ เจา้ พระคุณสมเด็จฯ ไดเ้ สด็จไปปฏบิ ตั พิ ระศาสนกจิ ในต่างประเทศรวม ๑๗ ครั้ง และได้เสดจ็ เยือนประเทศตา่ งๆ รวม ๒๑ ประเทศ เร่ืองราวท่ีเสดจ็ ไปทรงปฏิบตั ิพระศาสนกจิ เหลา่ น้ียังอยู่ในความทรงจำ�ของพุทธศาสนิกชนของประเทศตา่ งๆ รวมตลอดถึงประชาชนในประเทศนั้นๆ มริ ลู้ ืม 145
ประธานสงฆเ์ ปิดวดั พทุ ธปทีปกรุงลอนดอนณ เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ขณะด�ำ รงสมณศักด์ิทีพ่ ระสาสนโสภณ ในฐานะประธานกรรมการอ�ำ นวยการฝึกอบรมพระธรรมทตู ไปต่างประเทศ ได้เป็นประธานสงฆ์ในพธิ ีเปิดวัดพุทธปทปี ณ กรุงลอนดอน ประเทศองั กฤษ ระหวา่ งวนั ที่ ๑ - ๓ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ วัดพุทธปทีป เป็นวัดไทยแห่งแรกในทวีปยุโรป ได้ดำ�ริก่อตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ ในปีนั้น กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการได้จัดสง่ พระธรรมทูตไทยไปปฏบิ ัติศาสนกิจ ณ กรงุลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพ่ืออนุเคราะห์นักเรียนไทยและคนไทยท่ีมาศึกษาและทำ�งานในประเทศน้ัน และเพ่อื สง่ เสริมการประกาศพระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทยท้ัง๒ นกิ าย โดยคณะกรรมการฝกึ อบรมพระธรรมทตูไปต่างประเทศจะเลือกเฟ้นพระธรรมทูตผลัดเปลีย่ นกนั ทำ�งานตามวาระ มไิ ดป้ รารถนาที่จะให้เปน็ วดั สงั กดั เฉพาะนิกายใดนกิ ายหนึง่ คณะเดนิ ทาง พระธรรมทตู ท่มี าอยู่ปฏิบตั พิ ระศาสนกจิ ชดุ แรกคือ พระราชสทิ ธมิ นุ ี (โชดก ๑. พระสาสนโสภณ (เจรญิ สวุ ฑฺฒโน) ญาณสิทฺธ)ิ และพระมหาวิจติ ร ตสิ สฺ ทตโฺ ต วัดมหาธาตุ ปรากฏวา่ มผี ูส้ นใจพระพุทธ- ศาสนาและมาปฏิบตั ิธรรมกนั เพม่ิ ขึน้ เปน็ ล�ำ ดบั ท้ังเกิดผลดแี กน่ กั ศกึ ษาไทยและคน วัดบวรนเิ วศวหิ าร / คือ สมเดจ็ พระญาณสังวร ไทยทว่ั ไป แต่พระธรรมทูตเองกลบั มคี วามลำ�บากในเรือ่ งท่ีพ�ำ นัก และไมม่ สี ถานที่ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทจ่ี ะเป็นศนู ย์รวมในการศกึ ษาและปฏบิ ัติพระพทุ ธศาสนา ทางกรมการศาสนาและ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จึงมีความเห็นร่วมกันว่าควรจะได้มีวัดทางพระพุทธศาสนาขึ้น ๒. พระราชสิทธมิ นุ ี (โชดก ญาณสทิ ธฺ )ิ ที่กรุงลอนดอน เพื่อสะดวกแก่การสั่งสอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศ อังกฤษและในทวีปยุโรปตอ่ ไป จึงได้ด�ำ ริจดั สร้างวดั ขน้ึ ขั้นแรกเรียกว่าการจัดสร้าง วดั มหาธาตุ / สดุ ทา้ ยไดร้ ับพระราชทาน วดั พระพุทธศาสนา ณ กรงุ ลอนดอน โดยได้เริม่ ขึน้ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ และได้ถวาย เล่อื นสมณศกั ด์เิ ปน็ ที่ พระธรรมธรี ราชมหามนุ ี การจัดสรา้ งนไ้ี ว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตง้ั แตว่ นั ท่ี ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ และเมอื่ การจัดสรา้ งวัดเสร็จเรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ทรงพระกรณุ า ๓. พระขนั ตปิ าโล (ลอเรนซ์ มิลล์ ชาวอังกฤษ) โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานนามวา่ วดั พทุ ธปทปี เมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ วัดบวรนิเวศวหิ าร / ภายหลังลาสกิ ขา ๔. พันเอกปิน่ มทุ กุ นั ต์ อธิบดกี รมการศาสนา ๕. ร้อยเอกสุภาพ สภุ ตู ะโยธิน แผนกจดั การผลประโยชนก์ ลาง กองศาสนสมบตั ิ กรมการศาสนา เลขานกุ ารคณะกรรมการการจัดตง้ั วดั พระพุทธศาสนา ณ กรุงลอนดอน146
วนั ท่ี ๑ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ เปน็ วนั ประกอบพธิ เี ปดิ วดั พทุ ธปทปี โดย พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ ได้เสด็จพระราชดำ�เนินมาทรงเปิดวัดพุทธปทีป พร้อมทั้งทรงบำ�เพ็ญ พระราชกศุ ลอาสาฬหบชู าเปน็ ปฐมฤกษด์ ้วย ในการเสดจ็ พระราชดำ�เนนิ ครง้ั น้ี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชทานพระราชดำ�ริ เปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ของพระธรรมทตู ไว้ ๓ ประการ๑. ใหพ้ ระธรรมทูตถือว่า การปลูกฝงั ๒. ความเป็นอยูข่ องพระสงฆ์ ทอี่ ย่ใู นสภาพ ๓. เรอ่ื งการวางแผนผงั วัดพทุ ธปทีปศรัทธาแก่นักเรยี นไทยในตา่ งประเทศ ดินฟ้าอากาศและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจาก ควรจะได้วางแผนผังไว้อย่างแน่นอนให้ยึดมั่นในหลักธรรมของพระพุทธ- เมอื งไทยมาก กจ็ ะตอ้ งปรบั ปรงุ แก้ไขขอ้ ปฏบิ ตั ิ วา่ จะสรา้ งอะไรตรงไหน เนอ่ื งจากมเี นอ้ื ท่ีศาสนาเปน็ เรอ่ื งสำ�คัญ บางอย่างเพื่อให้ได้รับความผาสุกตามสมควร จ�ำ กดั ไมค่ วรปลอ่ ยใหผ้ บู้ รจิ าคสรา้ งอะไร โดยใหห้ ารือทางมหาเถรสมาคม ตกลงอย่างไร ตามอธั ยาศยั อาจท�ำ ใหว้ ดั รงุ รงั ขาดความ แล้วประกาศให้พระสงฆ์และประชาชนได้ทราบ สวยงาม ทว่ั กนั แลว้ จงึ เปลย่ี นแปลง ไมค่ วรเปลย่ี นแปลง โดยพลการอนั จะท�ำ ใหป้ ระชาชนเกดิ ความเขา้ ใจผดิ พิธีเปิดวัดพุทธปทีปครั้งนี้ เป็นการเปิดกิจการ หลงั จากเสรจ็ พธิ เี ปดิ วดั พทุ ธปทปี ณ กรงุ ลอนดอนแลว้ 147พระธรรมทตู ไทยในทวปี ยโุ รปอยา่ งเปน็ ทางการครง้ั แรก เจ้าพระคุณสมเด็จฯ พร้อมด้วยพันเอกปิ่น มุทุกันต์ และเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนาเรื่อง ร้อยเอกสุภาพ สภุ ตู ะโยธิน ไดเ้ ดนิ ทางจากประเทศอังกฤษพทุ ธปทปี กถา แสดงถงึ ความส�ำ คญั ของพระพทุ ธศาสนา ไปสงั เกตการณก์ ารพระศาสนาและการศกึ ษา ณ ประเทศอันจะนำ�มาซ่ึงความสุขในชีวิตประจำ�วันของผู้ปฏิบัติ ฝรง่ั เศส สวติ เซอรแ์ ลนด์ กรซี และอิตาลี เปน็ เวลา ๓ วนัทง้ั ทเ่ี ปน็ นักเรยี นนักศกึ ษาและประชาชนท่วั ไป ระหว่างวนั ที่ ๓-๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๙
ลังกาตามเสดจ็ เยอื น เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ขณะด�ำ รงสมณศกั ดท์ิ พ่ี ระสาสนโสภณ ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม ตามเสดจ็ สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (จวน อฏุ ฺฐาย)ี วดั มกฏุ กษตั รยิ าราม เสด็จเยือนลังกา (ปัจจุบันคือประเทศศรีลังกา) อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๖ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๑๐คณะเดนิ ทาง เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไดเ้ สด็จแวะเยีย่ ม เสดจ็ เยี่ยมวัดลังกาดลิ ก และมหาวทิ ยาลัยส๑ม. เสดม็จเพดรจ็ ะพสรังะฆอรราิยชวง(จศวานคตอญฏุ ฺาฐณาย)ี วัดและพุทธศาสนิกชนท่ีประเทศสิงคโปร์ ลงั กา ซึง่ เป็นมหาวทิ ยาลัยเก่าแกข่ องลงั กา เปน็ เวลาหนง่ึ วนั เพราะในคร้ังนน้ั เที่ยวบนิ เยีย่ มโบราณสถานท่ีสำ�คัญคือ สิคีรียะวัดมกุฏกษัตริยาราม ตรงจากกรงุ เทพฯ ไปลงั กายงั ไมม่ ี ตอ้ งไปตอ่ สว่ นเมอื งแคนดี มชี อ่ื เปน็ ภาษาสงิ หล เครอ่ื งบนิ ทส่ี งิ คโปร์ แลว้ เสดจ็ ตอ่ ไปยงั ลงั กา วา่ เสนกาทาลกะมหานวุ าระ เอกสารเกา่ ของ๒. พระสาสนโสภณ (เจรญิ สวุ ฑฺฒโน) เพื่อเยือนสถานที่สำ�คัญคือ วัดมัลลวัตเต ไทยเรียกวา่ ศิริวัฒนบรุ บี า้ ง สิงหข์ ัณฑ์นคร วัดอัสสครี ยี ะ วดั พระทันตธาตุ เมืองแคนดี บา้ ง แต่ท่วั ไปนยิ มเรียกตามฝรั่งว่า แคนดีวัดบวรนิเวศวหิ าร / คอื สมเดจ็ พระญาณสงั วรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก๓. พระธรรมกติ ตโิ สภณ (สวุ รรณ สุวณฺณโชโต)วัดเบญจมบพิตรดุสติ วนาราม / สุดทา้ ยไดร้ ับพระราชทานสถาปนาเปน็ ที่ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์๔. พระเทพกวี (ประยรู สนตฺ งกฺ ุโร)วัดเทพศิรินทราวาส / สดุ ท้ายได้รบั พระราชทานสถาปนาเปน็ ท่ี สมเด็จพระญาณวโรดม๕. พระมหาบรรจง กลลฺ ิโตวดั มกฏุ กษัตริยาราม / ปัจจบุ นั เปน็ ท่ี พระเทพปญั ญากวี๖. พันเอกปน่ิ มุทกุ ันต์อธบิ ดกี รมการศาสนา๗. นายมนญู ธารานมุ าศไวยาวัจกรไ ท ย กั บ ลั ง ก า มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันในทางพระศาสนามาต้งั แต่สมัยสุโขทัย ขา่ วพระศาสนา ณ ทวีปลังกาหลายคร้ัง ฝา่ ยพระสงฆล์ งั กาเองก็ได้ ล้านนาและอยุธยา คณะสงฆ์ไทยและคณะสงฆ์ลังกาได้ติดต่อไปมา เดนิ ทางมายงั ราชอาณาจักรไทยต่อเนอื่ งกันมาหลายคราว โดยเฉพาะ ระหว่างกันมิไดข้ าดสาย กระท่ังถึงปลายสมัยอยธุ ยา คณะสงฆล์ งั กา ท่ีวัดบวรนิเวศวิหารได้มีพระสงฆ์ลังกาเข้ามาพำ�นักอย่างต่อเนื่องมา เสอ่ื มโทรมถงึ ขน้ั สมณวงศเ์ สอ่ื มสญู ไมม่ พี ระภกิ ษแุ มแ้ ตร่ ปู เดยี ว คงเหลอื แต่ครง้ั รัชกาลที่ ๒ จนเปน็ เหตใุ ห้มเี สนาสนะไวต้ ้อนรบั พระสงฆ์ลังกา แตส่ ามเณรอยเู่ พยี งรปู เดยี ว คอื สามเณรสรณงั กร กษตั รยิ ล์ งั กาไดส้ ง่ ทีว่ ัดบวรนเิ วศวิหารโดยเฉพาะ เรยี กว่า คณะลังกา เพ่ิงร้ือเพอื่ ใช้พ้นื ที่ ราชทูตมาขอพระสงฆ์จากกรุงศรีอยุธยาไปประดิษฐานสมณวงศ์ขึ้น สรา้ งพระวหิ ารพระศาสดาในสมยั รชั กาลท่ี ๔ ตอ่ แตน่ น้ั กย็ งั มพี ระสงฆ์ ใหม่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวบรมโกศจงึ ได้จดั สง่ พระสงฆ์ไทย ลังกาพำ�นักอยู่ในวัดบวรนิเวศวิหารต่อเน่ืองมาจนบางรูปได้รับ มีพระอุบาลีเป็นหัวหน้าพรอ้ มพระอนุจรรวม ๒๐ รูป ออกไปให้การ พระราชทานสมณศกั ดเ์ิ ปน็ พระราชาคณะในรัชกาลท่ี ๖ คือ พระสาธุ บรรพชาอปุ สมบทแกก่ ลุ บตุ รชาวลังกา เป็นการประดษิ ฐานสมณวงศ์ ศีลสังวร (สีละรตนะ ถึงมรณภาพเมือ่ พ.ศ. ๒๔๘๒) ขน้ึ อกี คร้ังเมอ่ื พ.ศ. ๒๒๙๕ เปน็ เหตุใหล้ ังกากลับมีคณะสงฆ์ขึน้ อีก ครั้งเรียกว่า พระสงฆ์สยามวงศ์ หรืออุบาลีวงศ์ สืบมาจนทุกวันนี้ ฉะนนั้ การทีเ่ จา้ พระคุณสมเด็จฯ เสดจ็ เยอื น มาในสมยั รตั นโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ไทยกไ็ ด้จดั สง่ สมณทตู ไปสบื ลังกาครงั้ นี้ จึงเสมอื นเสดจ็ มาเยีย่ มญาติ148
• เสด็จเมืองโปโลนนารุวะ ชมวหิ ารวฏทาเก • วนั ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๐ วัดมลั ลวัตเต ในเอกสารเก่าของไทยเรยี กวา่ วดัหรอื พระเจดยี ท์ รงกลม สตั ตมหาปราสาท ซง่ึ สมเด็จพระสงั ฆราชพร้อมคณะ เสด็จ บุปผารามบ้าง วัดมาลาวดีบ้าง เปน็ วัดทีก่ ษัตรยิ ์เปน็ พระเจดยี ส์ เ่ี หลย่ี ม ๗ ชน้ั และอตุ ตราราม จากลงั กามายงั ประเทศสิงคโปร์ โดย ลังกาสร้างสำ�หรับเป็นท่ีพำ�นักของพระสงฆ์ไทยหรอื วิหารพระพทุ ธรูปหิน ซึ่งมีพระพุทธรูป ประทบั แรม ๒ คนื วนั ท่ี ๒๐ กมุ ภาพนั ธ์ สมยั อยธุ ยาทม่ี พี ระอบุ าลเี ปน็ หวั หนา้ ออกมาฟนื้ ฟูสลักหิน ๔ องค์ คอื พระพุทธรปู ปางสมาธิ จงึ เสด็จกลบั ประเทศไทย พระพุทธศาสนาและคณะสงฆล์ งั กา เปน็ เหตใุ ห้มีปางไสยาสนห์ รอื ปางปรนิ พิ พาน และปางร�ำ พงึ พระสงฆ์สยามวงศ์หรืออุบาลีวงศ์ข้ึนในลังกา• เสดจ็ เมอื งอนรุ าธปรุ ะ เมอื งหลวงเกา่ ซง่ึ เมือ่ ๒๐๐ ปีเศษมาแล้วเป็นจุดเร่ิมต้นของพระพุทธศาสนาในลังกามีสถานที่สำ�คัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วดั พระทนั ตธาตุ ชาวลงั กาเรยี กวา่ ทาฬทามาลคิ าวะถปู าราม วดั พระพทุ ธศาสนาแหง่ แรก มหิ นิ ตเล คำ�ว่า ทาฬทา นนั้ เพีย้ นมาจากคำ�บาลวี ่า ทนั ตะท่ีพระมหินทเถระพบกับกษัตริย์ลังกาเป็น แปลวา่ เข้ียว ค�ำ ว่า มาลคิ าวะ เป็นภาษาสิงหลครัง้ แรก ตน้ พระศรีมหาโพธิทพี่ ระเจ้าอโศก แปลวา่ วัง รวมกนั แลว้ กม็ ีความหมายว่า วังของสง่ มาพร้อมกับพระสงฆท์ ี่น�ำ พระพทุ ธศาสนา พระทันตธาตุ หรือวังของพระเข้ยี วแก้วมาสลู่ งั กา และพระเจดยี ท์ ส่ี �ำ คญั อกี หลายแหง่• เสดจ็ กลบั กรงุ โคลมั โบ เย่ียมวดั ทปี ทตุ ตมาราม วัดอัสสคีรยี ะ มีช่ือเปน็ ทางการว่า วดั ไหยคิรีวชิ ัยอันเป็นวัดที่พระสงฆ์ไทย คือ พระองค์เจ้า สนุ ทราราม แตค่ นลงั กานยิ มเรยี กวา่ วดั อสั สครี ยี ะปฤษฎางค์ทรงสรา้ งไว้ เปน็ วัดสำ�คัญคกู่ บั วดั มัลลวัตเต เพราะเทา่ กบั เป็น• เยย่ี มวทิ ยาลยั พระธรรมทตู ชอ่ื วา่ มหารตมะ สำ�นักงานใหญ่ในการบริหารคณะสงฆ์สยามนิกายเยี่ยมวัดกัลยาณีและมหาวิทยาลัยวิทยาลังกา หรอื อบุ าลวี งศ์ ซง่ึ เปน็ พระสงฆส์ ว่ นใหญข่ องลงั กาเยย่ี มสำ�นักงานศูนยม์ หาโพธสิ มาคม ปจั จุบัน 149
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369