หลวงตามหาบัวพระธรรมวิสุทธมิ งคล หรอื ได้เลา่ ถึงการศกึ ษาและปฏิบตั กิ รรมฐาน ของเจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ไวว้ า่ .....ท่านเคยมาภาวนาที่นี่ (วัดปา่ บ้านตาด) แต่กอ่ นทีท่ ่านยังไมไ่ ด้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สมยั นัน้ สมเดจ็ พระสังฆราชทา่ นยังทรงพระชนมอ์ ยู่ กรมหลวงวชริ ญาณวงศน์ ะ่ ทา่ นกม็ ีโอกาสมาล่ะซิ มาพักอยู่กับเราทีละไม่นอ้ ยกวา่ สบิ แหละ ท่านมาแต่ละครัง้ ๆ เป็นอาทติ ย์ ๆ ท่านมาเสมอ มาทน่ี มี่ าบอ่ ยแหละ แต่ก่อน... ท่านไปอย่ทู างกฏุ ทิ ่านสดุ ใจ แต่กอ่ นหลงั เล็กกวา่ นน้ั ทา่ นไปพักอยคู่ นเดยี วตลอด เอาจรงิ เอาจงั เวลาภาวนา เราก็ไมไ่ ปกวน จะคยุ กนั เวลาที่ควรคุยเทา่ นั้น นอกนัน้ กเ็ ปดิ โอกาสใหท้ ่านภาวนาของทา่ น เวลามโี อกาสอันดที า่ นก็ สนทนาธรรมกนั กบั เราเฉพาะสองตอ่ สอง ทา่ นคยุ ธรรมดา ไมไ่ ดว้ า่ พดู นอ้ ย ทา่ นพดู ธรรมดา สงสยั ขอ้ ไหน ๆ ซกั ถามหรอื มขี อ้ เคลด็ ลบั อะไรทส่ี งสยั อะไร ออกจากน้ไี ปภายนอกทา่ นกถ็ ามเฉพาะๆ ไมม่ ีใครทราบแหละ มที า่ นกบั เราถามกนั เฉพาะ โห เวลาคยุ ธรรมนท้ี า่ นเอาจรงิ เอาจงั มาก เฉพาะกบั เราคยุ กนั สองตอ่ สอง ทา่ นชอบซกั นน้ั ซกั นเ่ี รอ่ื งจติ ตภาวนา เราเปน็ ผู้เลา่ ถวายทา่ น หรือจะว่าแนะก็ไมผ่ ดิ เพราะท่านต้งั ใจศกึ ษากบั เราจริง ๆ ทางด้านจิตตภาวนา เราก็ถวายอุบาย ตา่ ง ๆ ใหท้ า่ นฟังตลอด ทา่ นหนักในทางจิตตภาวนาอานาปานสติ ทา่ นมาอยูน่ ี้ ทา่ นภาวนาไม่เกยี่ วกบั ใครเลย เราก็ไม่ ไปกวน ท่านอยู่เงียบ ๆ นะ ท่านจะมาแต่ตอนเช้ามาบิณฑบาต มาพบกันตอนเช้านี่เท่านั้น ท่านบิณฑบาตหน้าศาลานี้ แลว้ กม็ าฉนั ท่นี แี่ ล้วไปเงยี บเลย เช้าวนั หลังจะมาพบกนั ใหม่ ๆ ท่านภาวนาเต็มทข่ี องท่าน แต่ก่อนพระก็ไม่มมี าก เราไม่ ไดร้ ับพระมาก ๑๘ องค์เปน็ อย่างมากวดั นี.้ ... ทา่ นนิ่งๆ ท่านไมค่ ่อยชอบพดู ธรรมดาๆ ทวั่ ๆ ไป ทา่ นไม่ค่อยชอบพูด สมเดจ็ สงั ฆราช เฉพาะสองตอ่ สองกับ เราน่ี โถ เปน็ คนใหมข่ ึน้ มา ซักเรอ่ื งอรรถเรือ่ งธรรม เรื่องจิตตภาวนา เปิดเต็มที่ให้ทา่ นฟงั ท่านสนใจมาก เพราะแตก่ อ่ น เราไปพกั อยู่วัดบวรฯ เป็นประจำ� จากน้นั ทา่ นออกไปพักท่ีวัดปา่ บา้ นตาดทีละอาทติ ย์ ๆ ท่านไป... เวลาอยธู่ รรมดาทา่ นไม่ค่อยคุย ทัว่ ๆ ไปนี่ ท่านเฉย น่มิ บทเวลาข้ึนเวทสี องตอ่ สองกับเราน่ี โถ ซัก สงสยั ขอ้ ไหนท่านถามมาเลย ๆ เราก็เปิดเลยเชียวนะ ให้ท่านได้เห็นเรื่องภาคปฏิบัติว่าอย่างนั้น ฟัดกันจนถึงที่สุดเลยกับ สมเด็จพระสังฆราชฯ สองต่อสอง ท่านหาความจริงเราก็เอาความจริงออกเต็มเหนี่ยว ๆ เลย ถ้าอยู่ธรรมดาท่านไม่ ค่อยคุยละ เฉยๆ ธรรมดา เวลาเขา้ กันสองต่อสอง โห เปน็ คนใหมข่ ้ึนมานะ ซกั ละเอยี ดละออเรอ่ื งจิตตภาวนา เราก็ไดเ้ ปดิ หวั อกออกให้ทา่ นฟังอยา่ งเต็มเหนี่ยวเหมอื นกัน ทา่ นรสู้ กึ ว่าสนใจมากจรงิ ๆ ตอ่ ธรรมที่เราถอด ออกจากหวั ใจพูดให้ทา่ นฟงั เพราะไมม่ ีใครตอ่ ใคร สองตอ่ สองเทา่ นั้น เปดิ เต็มเหนีย่ วใส่กันเลย เอาจนถงึ เหตถุ งึ ผล ว่าอย่างน้ันเถอะ ท่านพอใจมาก50
“ปรกตทิ า่ นไม่ค่อยคุย เฉยนะอย่กู บั เราก็ตาม ถ้ามีแขกมีคน ทา่ นก็ไมค่ ุย แตเ่ วลาเอาจริง เอาจงั ท่านจะหาเหตุหาผลกับ ภาคปฏิบตั จิ รงิ ๆ ท่านกซ็ กั จรงิ ๆ นนั่ หละ่ ภาคปฏิบัติเรากเ็ ปิดเลยเชยี ว ให้ท่านไดฟ้ งั สกั ทีเถอะ ภาคปฏิบัตนิ ีน่ ่ะ ภาคเป็นสมบตั ิของตนโดยแท้ คอื การศึกษาเล่าเรียนนั้นมนั เปน็ ความจำ� จ�ำ มาไดเ้ ทา่ ไรมันก็หลง ๆ ลืม ๆ ไป ส�ำ หรับ ความจรงิ ไมเ่ ปน็ ตรงแนว่ ตลอดเวลา...” 51
กล่าวไดว้ ่า เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงสนพระทัยใฝ่รู้ใฝเ่ รียน ทง้ั ในดา้ นปรยิ ัติและในด้านปฏิบตั ิหรอื เรยี กตามส�ำ นวนพระวา่ ทง้ั คนั ถธรุ ะและวปิ สั สนาธรุ ะ และทง้ั ความรทู้ างธรรมและความรทู้ างโลก นอกจากความเอาพระทยั ใส่ในการศึกษา เรื่องการศึกษาของพระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนนั้นถือ สว่ นพระองคแ์ ลว้ เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ วา่ เปน็ เรอ่ื งใกลพ้ ระองค์ ผทู้ เ่ี จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงเอาพระทยั ใสเ่ ปน็ยังเอาพระทัยใส่เรื่องการศึกษาของพระภิกษุ อนั ดบั แรก นน่ั คอื พระภกิ ษสุ ามเณรในวดั บวรนเิ วศวหิ าร เมอ่ื ทรงด�ำ รง สามเณรและเยาวชน รวมถึงการศกึ ษา ต�ำ แหนง่ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวหิ าร ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ เปน็ ตน้ มา พระพุทธศาสนาของประชาชนทั่วไปด้วย กท็ รงมภี าระหนา้ ทเ่ี พม่ิ ขน้ึ คอื การอบรมสง่ั สอนภกิ ษสุ ามเณรในฐานะ ทรงเปน็ พระอุปชั ฌายอ์ าจารย์ และทรงอบรมสง่ั สอนอบุ าสกอุบาสกิ า ในฐานะทที่ รงเปน็ เจ้าอาวาสหรืออธิบดสี งฆ์แหง่ พระอารามการอบรมสั่งสอนภิกษุสามเณรในฐานะท่ีทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ในยคุ ท่ีเจา้ พระคณุ สมเด็จฯ ทรงเป็นเจา้ อาวาส ก็ไดท้ รงปฏิบตั ิอาจารยน์ น้ั เปน็ ประเพณที ป่ี ฏบิ ัติสืบกนั มาในวดั บวรนเิ วศวหิ าร หน้าท่นี ี้ต่อเน่ืองมาโดยตลอด กลา่ วคือในช่วงเขา้ พรรษาซ่งึ เปน็แตค่ รง้ั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื ยงั ทรงผนวชอยู่ ชว่ งเวลาทม่ี ภี กิ ษสุ ามเณรบวชใหมจ่ �ำ นวนมาก เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯและทรงเปน็ เจ้าอาวาสวัดบวรนเิ วศวหิ าร กล่าวคอื พระอุปชั ฌาย์ ทรงอบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรใหม่ในเวลา ๑๓.๐๐ น.อาจารย์มีหน้าที่ต้องอบรมสั่งสอนศิษย์ของตน ไม่ว่าจะเป็น เปน็ ประจ�ำ ทกุ วนั วนั ละประมาณหนง่ึ ชว่ั โมง เปน็ การใหก้ ารศกึ ษา“สทั ธวิ หิ ารกิ ” คอื พระภกิ ษทุ เ่ี ปน็ ศษิ ยเ์ พราะไดอ้ ปุ สมบทตอ่ พระ ดา้ นปรยิ ตั ิอปุ ชั ฌายอ์ งค์ใด กเ็ ปน็ สทั ธวิ หิ ารกิ ของพระอปุ ชั ฌายน์ น้ั หรอื แม้เปน็ “อนั เตวาสกิ ” คอื ศษิ ยท์ อ่ี ยใู่ นความปกครองแตม่ ใิ ชเ่ พราะตน สำ�หรับการอบรมส่ังสอนเรื่องการฝึกปฏิบัติสมาธิกรรมฐานนั้นเปน็ พระอปุ ชั ฌายโ์ ดยตรง ใหม้ คี วามรคู้ วามเขา้ ใจในพระธรรมวนิ ยั มีสอนตลอดท้ังปีไม่ได้จำ�กัดเฉพาะในเวลาเข้าพรรษาเท่าน้ันทง้ั ในดา้ นปรยิ ตั แิ ละดา้ นปฏบิ ตั ิ ในดา้ นปรยิ ตั ิ คอื อบรมสง่ั สอนให้ และเปิดโอกาสให้อุบาสกอุบาสิกาผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมฟังและมคี วามรู้ความเขา้ ใจในพระธรรมค�ำ สอนของพระพุทธศาสนา ใน ร่วมฝกึ ปฏิบตั พิ รอ้ มกับพระภกิ ษสุ ามเณรดว้ ย จงึ มีผเู้ ขา้ รบั การดา้ นปฏบิ ตั ิ คือแนะนำ�และฝกึ หัดใหร้ จู้ กั ปฏบิ ัตสิ มาธกิ รรมฐาน อบรมทั้งพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกาแต่ละคร้ังจำ�นวนเพอื่ รกั ษาและขัดเกลาจติ ใจจากกเิ ลส นบั รอ้ ย โดยเฉพาะในชว่ งเขา้ พรรษา โดยมกี �ำ หนดสอนในตอนค�ำ่ ของวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมสวนะ (สปั ดาห์ละ ๒ วัน) ตลอดมาไมข่ าดสาย เปน็ เหตุให้การศกึ ษาปฏิบัตกิ รรมฐานเป็น ท่ีรู้จกั แพร่หลายไปในหมพู่ ทุ ธศาสนกิ ชนทัว่ ไปทางหน่งึ การสอนกรรมฐานท่ีวัดบวรนิเวศวิหารได้ • การสอนเริ่มเวลา ๑๙.๐๐ น. พระภกิ ษสุ ามเณรและพทุ ธศาสนกิ ชนทำ�วัตรสวดมนต์ กำ�หนดเป็นรูปแบบที่ชัดเจนข้ึนในสมัยที่ • พระอาจารยก์ ลา่ วอบรมธรรมปฏบิ ตั ิ • พระสงฆ์ ๔ รปู สวดพระสูตรที่แสดงหลกั พระพรหมมุนี (ผนิ สวุ โจ) ด�ำ รงตำ�แหน่ง ปฏบิ ตั ิทางสมถะและวปิ สั สนา ท้งั ภาคบาลีและแปลเป็นไทย เพอื่ ประกอบการพจิ ารณา เจ้าอาวาส ครั้นพระพรหมมุนีมรณภาพ ในการปฏิบตั คิ ราวละตอนๆ • นง่ั สงบ ฝกึ ปฏบิ ตั จิ ติ ใจตามเวลาทก่ี �ำ หนด • สวดบทท่ี เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ซึ่งดำ�รงตำ�แหน่ง พึงพจิ ารณาเนืองๆ (อภณิ หปจั จเวกขณ์) และแผ่ส่วนกศุ ล เป็นจบการสอนในวันนน้ั เจา้ อาวาสสบื ตอ่ มากท็ รงรบั ภาระการสอน กรรมฐานตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ โดยทรง สืบทอดรูปแบบการสอนต่อมาด้วย คือ52
สมาธหกิ ลรกั กรารมสอฐนาน หลกั การสอนสมาธหิ รือการสอนกรรมฐานนนั้ วธิ ปี ฏบิ ตั หิ รอื ฝกึ ท�ำ สมาธิ มมี ากมายหลายวธิ ีสดุ แตค่ วาม สะดวกหรือความชอบท่ีเรียกว่าเหมาะกับจริตของผู้ปฏิบัติ เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงด�ำ เนนิ ตามหลักสติปฏั ฐาน คือ ฝ่ายอาจารย์ผู้สอนก็สอนในวิธีที่แตกต่างกันไปตามความการกำ�หนดจติ พิจารณาอยู่ในกาย ในเวทนา ในจติ และในธรรม ถนัด หรือประสบการณ์ของอาจารย์นั้นๆ แต่เจ้าพระคุณอนั เปน็ หลกั ส�ำ คญั ในการฝกึ อบรมจติ หรอื ฝกึ ปฏบิ ตั สิ มาธกิ รรมฐาน สมเดจ็ ฯ ทรงสรุปตามหลกั สติปฏั ฐานวา่ โดยสรุปแล้วการ ทำ�สมาธมิ ี ๒ วิธี คอื ทส่ี มเด็จพระบรมศาสดาสมั มาสัมพุทธเจา้ ได้ทรงแสดงแนวทางไว้ วธิ ีท่หี นง่ึ วธิ ที สี่ อง คอื คอื การหยดุ จติ การพจิ ารณา ใหอ้ ยูใ่ นตำ�แหนง่ ไปในกายอันนี้ อันเดียว ไมใ่ ห้คดิ ไป ก�ำ หนดพิจารณาดูกาย ในเรื่องอ่ืน เช่น การกำ�หนด แยกใหเ้ ห็นเป็นอาการหรือ จิตให้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกที่ เป็นสว่ นต่างๆ เชน่ แยกให้เหน็เ รี ย ก ว่ า วิ ธี อ า น า ป า น ส ติ เ ป็ น อ า ก า ร ๓ ๒ เ ป็ น ต้ น 53
วเ๑จใัตอเนส.้าลใา๒ถพหพปตง่จามทุป้ัเสบจ.ลจร้อรีกำ�ระจลังงะียงสทาคะเรบงุบรมสปนมำ�ูุ้ณมไฝจัน็ีนงกสดาาาึกสคเธาอม้กกพรหิเเม์ัขนจชขพาอฝื่อัดอ่ึธนเ้นึงตาด่ือึกจิเงทรตพรแอ็ะกจมคเำ�าท้กอชื่ออาฯณสยว่น้งรอำก�ฝมตฝาใใ์ดาเกทึกชหมดราึก่อำั�ง้สใรธม้อรียลปจหกงิัมกาณัวงฏใสลนราหกกิ่บ์าแมร้าธค้มาวัุบปทลิคัตณยวีนพะรวี่กือิสาก์ห่าั้่นาลามกจิงมเรมรลังาโกิืตอางีรกสาธกาหใ๒ครยขินจิเธัดอลือจจหงสเพะอเะรอใปแมดยือจลาข็นีชพักง่ัาทง็งนตงกาตแลี่เระกล้รนังั้งใศคงิ่ดาจมวึกือกขซทั่นกนษึ้น็ตึ่งำ�็ ัา้นใ้อจง นอกจากการสอน เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ ยงั ไดท้ รงนิพนธ์ เรอ่ื งเก่ียวกบั การฝึกปฏิบัตสิ มาธกิ รรมฐาน เพ่อื เปน็ หลกั ประกอบ การศึกษาปฏบิ ัตสิ มาธิกรรมฐานไว้อีกจ�ำ นวนมาก ทงั้ หลักปฏบิ ัติ เบ้ืองต้นและหลกั ปฏิบัติช้ันสูง เชน่ • หลกั การท�ำ สมาธเิ บอ้ื งตน้ • แนวปฏิบัติในสตปิ ัฏฐาน • การปฏิบัตทิ างจติ • อนสุ สตแิ ละสตปิ ฏั ฐาน • หลกั ธรรมสำ�หรบั การปฏิบตั ิอบรมจิต เป็นตน้ ในเร่อื งการศึกษาทางพระพุทธศาสนานน้ั เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงยำ้�เรือ่ งการศึกษาภาคปฏิบัติ คือ การปฏบิ ัติสมาธกิ รรมฐานเสมอ ไม่วา่ จะทรงสอน พระภิกษุสามเณร หรือชาวบ้านทัว่ ไป ทรงย้ำ�วา่ “ข้อสำ�คญั อยู่ทก่ี ารปฏบิ ัติทางจติ ใจ เมือ่ จติ ใจมีความสงบ มคี วามบรสิ ุทธ์ิ ก็ท�ำ ใหค้ วามประพฤตทิ างกาย ทางวาจาบรสิ ุทธไิ์ ปดว้ ย ฉะนน้ั การปฏบิ ัติทางกรรมฐาน จงึ เปน็ สิง่ สำ�คญั ทบี่ รรดาผนู้ ับถอื พระพทุ ธศาสนาทั้งหลาย ไม่วา่ จะเปน็ บรรพชติ คือผู้บวช ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส สมควรจะประพฤติปฏบิ ตั กิ ัน” โดยเฉพาะพระภิกษสุ ามเณร เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงยำ้�เตือนเสมอว่า “การงานของพระคอื กรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ ท�ำ สมาธิ หดั นงั่ สมาธิ โดยปฏบิ ัตใิ น บทกรรมฐาน...เมื่อบวชเขา้ มาแลว้ ก็ตอ้ งมงี านทำ� การงานทขี่ าดไม่ได้ ก็คืองานกรรมฐาน ควรจะตอ้ งทำ� อยู่เสมอ ถ้าย่งิ ว่างจากการงาน วา่ งจากการเรียน ต้องท�ำ กรรมฐาน ถ้าทง้ิ กรรมฐานเสยี แลว้ ใจเตม็ ไปดว้ ย กามตณั หาแลว้ กร็ อ้ น แลว้ กอ็ ย่ไู มไ่ ด”้54
การเทศน์ในพระอุโบสถ การปฏิบตั ิภารกิจท่นี บั วา่ เปน็ การใหก้ าร ที่ทรงเตรยี มไวน้ น้ั มาไตร่ตรอง วา่ ธรรมแตล่ ะขอ้ มคี วามหมายว่า ศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาแกค่ นทัว่ ไปอกี อยา่ งหน่งึ ก็ อย่างไร มีกระบวนธรรมอยา่ งไร มคี วามเกีย่ วโยงกันอย่างไร คือ การเทศน์ในพระอโุ บสถ เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ จนเข้าใจแจม่ แจ้งในพระทยั ตง้ั แตต่ ้นจนจบ เท่ากบั ทรงลองเทศน์ ทรงปฏบิ ัตเิ ป็นกจิ วัตรคือการเทศน์ในพระอุโบสถ ให้พระองค์เองฟงั ก่อน แลว้ จึงทรงนำ�ไปเทศน์ใหค้ นอื่นฟังต่อ ทกุ วนั พระ ขึ้น/แรม ๑๕ คำ่� คอื เดอื นละ ๒ คร้งั ดงั นัน้ การเทศน์หรอื การแสดงธรรมของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ ในการเทศนข์ องเจ้าพระคุณสมเด็จฯ แตล่ ะครัง้ แต่ละคร้ังจึงมีความแจ่มแจ้งชดั เจน มีความกระชบั ท้ังในภาษา ทรงมีการเตรยี มเป็นอยา่ งดี ซงึ่ วธิ ีการนกี้ ็ทรงได้ และเนอ้ื ความ คนทเี่ คยฟังเจ้าพระคณุ สมเด็จฯ เทศน์ มกั กล่าว แบบอยา่ งมาจากสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ ผทู้ รง ตรงกนั ว่าเจา้ พระคุณสมเด็จฯ น้นั พูดเหมือนเขยี น เปน็ พระอุปชั ฌาย์ของพระองค์ กล่าวคือ ก่อนวัน ทจี่ ะทรงเทศน์ ทรงพิจารณาเลอื กหวั ขอ้ ธรรมจาก และเนอ่ื งจากทรงเทศนจ์ ากความคดิ ลลี าการเทศนข์ องพระองค์พระไตรปฎิ กวา่ จะทรงเทศน์เรื่องอะไร แล้วทรงจด จงึ ตา่ งจากพระเถระอน่ื ๆ คอื พูดช้าๆ เป็นวรรคเป็นตอน บันทึกหวั ข้อธรรมหรือพุทธภาษติ บทนั้นมา เหมือนทรงทงิ้ ชว่ งให้คนฟังคดิ ตามกระแสธรรมทที่ รงแสดง คนฟงั อาจรูส้ ึกไม่สนกุ เพลิดเพลิน แต่รสู้ กึ ว่าไดค้ ดิ พร้อมท้ังทบทวนจนขน้ึ ใจ หลงั ทำ�วัตรสวดมนต์ก่อนทจ่ี ะเข้า อาจจะได้ฟัง “ส่งิ ทแ่ี ปลกใหมจ่ ากที่เคยฟังมา” ทบ่ี รรทมในคนื วันน้ัน ก็จะทรงนำ�เอาหัวขอ้ ธรรม 55
เจา้ พระคุณสมเด็จฯ ทรงสนพระทยั ศึกษาการใช้คอมพิวเตอรโ์ ปรแกรมทรงสนพระทัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน DOS วนั ละ ๑ ชั่วโมงตอนเยน็ หลงั จากศกึ ษาค�ำ ส่งัท้งั ด้านปริยัตแิ ละด้านปฏิบัติ พนื้ ฐานของ DOS ไดไ้ ม่นาน กท็ รงใช้คอมพิวเตอร์หรือเรียกตามสำ�นวนพระว่า ไดเ้ ป็นปกติ เพราะทรงมีพื้นฐานการใช้พมิ พ์ดีดเป็นทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ทุนเดมิ อยูแ่ ล้ว ทงั้ ทรงมีความรู้ภาษาองั กฤษเปน็และทั้งความรู้ทางธรรมและ อย่างดี หลงั จากนน้ั ไมน่ าน ได้เกิดมี บุดเซอร์ความรู้ทางโลก ไม่เพียงแต่ (Buddhist Scriptures Informationสนพระทยั ใฝร่ วู้ ชิ าการสมยั ใหม่ Retrieval-BUDSIR) โปรแกรมพระไตรปิฎกเท่านั้น แต่ยังสนพระทัยใน ฉบับคอมพิวเตอร์ภาษาบาลี อกั ษรไทยและโรมันเทคโนโลยสี มยั ใหมด่ ว้ ย ซ่ึงมหาวทิ ยาลยั มหดิ ลจดั ทำ�ขน้ึ ส�ำ เรจ็ เป็นครัง้ แรก ของโลก เมอื่ พ.ศ. ๒๕๓๑ เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ จึง สามารถใชง้ านโปรแกรมดังกล่าวสบื ค้นพระไตรปิฎก ฉบบั สยามรัฐท่ีมมี ากกวา่ ๒๔ ลา้ นตวั อกั ษรได้อยา่ ง lสะดวก รวมท้งั ทรงใชค้ อมพวิ เตอรร์ ่างเอกสาร บางเรอื่ งด้วยพระองคเ์ องด้วย56
กรรมฐานยุคคอมพิวเตอร์ปัจจุบนั นี้คนที่ไมร่ ู้จกั คอมพิวเตอร์คงหา หากมองจากมมุ มองของพระพทุ ธศาสนายาก คอมพิวเตอรเ์ ปน็ เสมอื นปัจจัยที่หา้ของคนในสังคมปจั จบุ ันไปแลว้ โดยเฉพาะ ระบบคอมพิวเตอร์อนั ทรงพลังนี้ ก็คอื การเลียนแบบในสงั คมเมือง ชีวติ ของเราถกู ควบคุมด้วย ระบบการทำ�งานของจิตนั่นเอง แต่จิตน้นั มีประสทิ ธิภาพระบบคอมพิวเตอรต์ ั้งแต่เช้าจรดเขา้ นอน มากกว่าหลายเทา่ หากแต่วา่ มนุษย์ไมเ่ ข้าใจพลงั อำ�นาจจติเขา้ นอนแล้วกย็ ังอยภู่ ายใตก้ ารควบคุมของ เลยนึกยกย่องการทำ�งานของระบบคอมพวิ เตอร์ และหนั ไปคอมพิวเตอร์ จะโดยรตู้ วั หรือไมร่ ้ตู ัวก็ตามสิง่ อุปโภคบริโภคตา่ งๆ ทเ่ี ราใช้ในชวี ติ พึ่งคอมพิวเตอรส์ ำ�หรับทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งประจำ�วนั ล้วนถกู ผลติ ดว้ ยการควบคุมของคอมพิวเตอร์ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ก็ถกู ควบคมุ ด้วยคอมพิวเตอร์ เมอ่ื บทเรียนทจ่ี ะเลา่ ตอ่ ไปน้ี เกดิ ขน้ึ ราว 20 ปมี าแล้วท่วี ดั บวรนเิ วศวหิ ารระบบคอมพิวเตอรเ์ กดิ ผิดพลาด ผู้คนใน เมอื่ 20 ปีทแ่ี ลว้ การใช้คอมพิวเตอรต์ ามสำ�นักงานหรือตามอาคารบ้านเรือนสังคมกเ็ ดอื ดร้อนไปตามๆ กัน ดูเสมอื นวา่ ถอื ว่าเป็นสิง่ ใหม่ และยังไมน่ ยิ มใช้กันอย่างแพรห่ ลายโดยเฉพาะในวัดตา่ งๆพวกเราไดก้ ลายเปน็ ทาสของเทคโนโลยอี นั ถือวา่ เปน็ ส่ิงต้องห้าม เพราะถือวา่ เปน็ สง่ิ ฟมุ่ เฟอื ยและทนั สมยั เกนิ ไปสำ�หรบัทนั สมัยของระบบคอมพวิ เตอร์ไปเสยี แล้ว ชีวิตอนั สงบเรียบในวัด เคร่ืองอำ�นวยความสะดวกในการท�ำ งานในวัดอยา่ งดี ท่ีสดุ กม็ ีเพยี งเครือ่ งพมิ พด์ ีดไฟฟ้า ซ่งึ กน็ ับวา่ ทันสมยั มากพอสมควรแล้ว ในช่วงนนั้ ผู้เขยี นได้มีโอกาสเรยี นรูเ้ กี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเหน็ ว่าน่าจะเปน็ ประโยชน์ในการสนองงานเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (ขณะทีย่ งั ทรงด�ำ รงสมณศักดิท์ ี่ สมเด็จพระญาณสงั วร) แต่การทีจ่ ะน�ำ คอมพวิ เตอร์เข้ามาใช้ในวดั เป็นเรือ่ งใหม่ท่ยี ังไมน่ ยิ มกัน 57
เย็นวันหน่ึงผ้เู ขียนไดม้ โี อกาส หลงั จากทไ่ี ด้กราบทลู อธิบายระบบกลไกการท�ำ งานต่างๆ ของคอมพวิ เตอร์ ประกอบ กราบทูลอธบิ ายเกีย่ วกบั ระบบ ไปดว้ ย ฮารดด์ ิสก์ (Hard disk) คีย์บอรด์ (Keyboard) ส�ำ หรับปอ้ นขอ้ มลู จอแสดง การทำ�งานของคอมพวิ เตอร์ ผลลัพธ์ (Monitor) ระบบปฏิบตั ิการ (OS) และซอฟต์ แวร์ (Software) ส�ำ หรบั การใช้ ถวายเจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ผูซ้ ่ึง ข้อมลู ทีเ่ ก็บอยู่ในฮาร์ดดสิ กต์ ามวัตถุประสงค์ ซง่ึ เหตกุ ารณ์คร้งั น้ัน พระองคท์ รงสละ มีพระชนมายกุ วา่ ๗๐ พรรษา เวลารบั ฟงั คำ�อธิบายของผเู้ ขียนกว่า 1 ชัว่ โมง อย่างสนพระทัยยง่ิ เพอ่ื ขอประทานอนุญาตน�ำ เคร่ืองคอมพิวเตอรม์ าใช้ใน หลังจากกราบทูลจบแล้ว ทรงรบั สงั่ ถามวา่ “จบแล้วหรอื ” ส�ำ นักเลขานกุ ารของพระองค์ ผู้เขยี นได้กราบทูลวา่ “จบแลว้ และขอประทานอนญุ าตน�ำ เครื่องคอมพิวเตอรด์ งั กลา่ วไปใชัในสำ�นักเลขานกุ าร” พระองค์รบั สงั่ โดยพระพกั ตร์ท่จี รงิ จงั วา่ ... “คุณควรจะฝึกปฏิบัติ สักพักหน่งึ พระองค์กร็ ับสงั่ อธิบายต่อไปอีกวา่ กรรมฐานมากกวา่ ทจี่ ะ คดิ เรือ่ งคอมพิวเตอร”์ “การฝึกปฏบิ ัตกิ รรมฐานและการทำ�งานของจติ ไม่แตกตา่ งอะไร จากระบบการท�ำ งานของเครือ่ งคอมพิวเตอร์ แตม่ ปี ระสิทธภิ าพ ......... มากกว่าหลายเท่า อายตนะท้ังหก คือตา หู จมกู ลิ้น กาย และใจ กเ็ สมอื นคยี บ์ อร์ดที่คอยป้อนข้อมูลอยตู่ ลอดเวลา ภาพ เสยี ง กล่นิ ท�ำ ใหผ้ เู้ ขียนท้ังงง (ˇ_ˇ”!) รู้สกึ ผดิ หวงั รส สัมผัส และเรอ่ื งราวตา่ งๆ ทีผ่ า่ นอายตนะทัง้ หก ทั้งโดยต้ังใจ และรู้สึกผดิ ทกี่ ราบทลู เร่อื ง และไม่ต้ังใจถกู ปอ้ นเขา้ ไปสู่ฮาร์ดดสิ ก์ คือจิตอยูต่ ลอดเวลา ตา่ งกนั ก็เพียงวา่ ฮารด์ ดิสก์ท่ีเปน็ จิตนัน้ ไม่มีจ�ำ กัดกกี าไบตเ์ หมือนเครื่อง คอมพิวเตอร์ไปตงั้ หนึ่งชว่ั โมงกว่า คอมพิวเตอร”์ โดยคิดในใจของตนเองว่า พระองค์ ผมู้ พี ระชนมายุขนาดน้นั คงไม่ สามารถจะเขา้ ใจในระบบ คอมพิวเตอร์ได้58
“สว่ นทส่ี �ำ คญั คอื การพฒั นาระบบปฏบิ ตั กิ าร และซอฟต์ แวร์ การฝกึ กรรมฐานวธิ ตี า่ งๆ กเ็ สมอื นการพฒั นาระบบปฏบิ ตั กิ าร และซอฟต์ แวรน์ น้ั เอง จะเปน็ วนิ โดว์ ไตเกอร์ ลนี กู ส์ วอรด์ โฟโตซ้ อฟหรอื อะไรกต็ าม กค็ อื เครอ่ื งมอื ตา่ งๆ ทส่ี ามารถเลอื กเฟน้ ขอ้ มลู ดบิ ตา่ งๆ ทอ่ี ยใู่ นฮารด์ ดสิ กอ์ อกมาใชง้ านหรอื แสดงผลลพั ธไ์ ดต้ ามทต่ี นตอ้ งการ สว่ นขอ้ มลู ทไ่ี มเ่ กย่ี วขอ้ งกท็ ง้ิ ไว้ในฮารด์ ดสิ กน์ น้ัเอง โดยไมม่ กี ารลบเลอื นขอ้ มลู ใดๆ”“เพราะฉะนน้ั การฝกึ กรรมฐาน ทเ่ี ปน็ สมถะหรอื วปิ สั สนากรรมฐาน กค็ อื การสรา้ งระบบปฏบิ ตั กิ ารสว่ นวธิ อี บรมกรรมฐานตา่ งๆ ไมว่ า่ อานาปานสติ หรอื วปิ สั สนาวธิ ี กเ็ สมอื นกบั การพฒั นาซอฟต์ แวร์เพอ่ื จดุ ประสงคต์ า่ งๆ กนั นน้ั เอง เมอ่ื ฝกึ จติ โดยปฏบิ ตั กิ รรมฐานไดแ้ ลว้ เรากส็ ามารถจะใชข้ อ้ มลู ทม่ี ีอยใู่ นฮารด์ ดสิ กค์ อื จติ ไดต้ ามทต่ี นตอ้ งการ ความทรงจ�ำ หรอื ความรตู้ า่ งๆ ทถ่ี กู เกบ็ ไว้ในจติ โดยตง้ั ใจหรอื ไมต่ ง้ั ใจกต็ าม กส็ ามารถน�ำ ออกมาประยกุ ต์ใช้ไดต้ ามประโยชนแ์ ละโอกาสอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพการทเ่ี ราไมส่ ามารถน�ำ ขอ้ มลู ทเ่ี กบ็ ไว้ในฮารด์ ดสิ กค์ อื จติ มาใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี ก็เพราะเราขาดซอฟต์ แวรห์ รือกรรมฐานในการใช้ข้อมูลนั้นๆ น่นั เอง”แล้วทรงสรุปและรบั สัง่ วา่ กรรมฐานยุคคอมพวิ เตอร์ จึงเปน็ บทเรยี น“คุณควรฝกึ กรรมฐานเสยี จะได้ไม่ต้องไปพึ่งพาวัตถภุ ายนอกทีม่ ีประสทิ ธิภาพน้อยอย่าง ทท่ี �ำ ให้ผเู้ ขียนระลกึ ถงึ การฝึกกรรมฐานเจ้าเครอื่ งคอมพิวเตอร์ เพราะคณุ สามารถพฒั นาระบบการทำ�งานของคอมพวิ เตอร์ในใจ ทุกครัง้ ทีน่ ั่งหน้าคอมพิวเตอร์ และใหเ้ หน็คณุ เอง โดยไมต่ ้องไปลงทนุ อะไร และยังมีประสทิ ธภิ าพมากกว่าเคร่อื งคอมพิวเตอร์ที่ ถงึ คณุ คา่ ของการฝกึ กรรมฐาน ในทา่ มกลางเป็นวัตถุหลายสบิ เทา่ ” ความวนุ่ วายและซบั ซอ้ นของสังคมปจั จุบนั เมื่อฝกึ จติ ดแี ล้ว ไมเ่ ฉพาะแตท่ ำ�ใหก้ ารงานหลังจากท่ที รงเนน้ ใหผ้ ู้เขียนฝกึ กรรมฐานแล้ว ตอ่ มา พระองค์เองกท็ รงมพี ระวิรยิ อุตสาหะ ท้งั ปวงส�ำ เรจ็ ไปด้วยดี ซ่งึ เปน็ เพยี งเสี้ยวหน่งึท้ายสดุ พระองคก์ ท็ รงพระเมตตาอนญุ าตให้น�ำ ในการศึกษาการใชค้ อมพิวเตอรจ์ นทรงมคี วาม ของผลสำ�เรจ็ ของคอมพิวเตอร์ แต่ทส่ี �ำ คัญเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ไปใช้ในสำ�นกั เลขานุการ เชย่ี วชาญในการคน้ พระไตรปฎิ กฉบบั คอมพวิ เตอร์ ยง่ิ กวา่ กค็ อื ผทู้ ฝ่ี กึ จติ ของตนไดด้ แี ลว้ สามารถของพระองค์ได ้ \ (^o^) / ในระบบดอส (DOS) ได้ แม้ว่าพระองคจ์ ะทรง ดำ�รงชวี ิตอยู่ไดอ้ ย่างมีความผาสุขไมว่ า่ ใน เจรญิ พระชนมายุกว่า ๗๐ พรรษาแล้วกต็ าม สถานการณ์ใดๆ เป็นความสุขอนั ยวดยง่ิ ทีห่ าไม่ไดจ้ ากวตั ถตุ า่ งๆ อย่าง เจ้าเคร่ืองคอมพิวเตอร์เพราะฉะนั้น ในระดบั ประโยชน์เฉพาะหน้า การใชค้ อมพวิ เตอรอ์ ยา่ งมีปญั ญาก็ถอื วา่ใช้ได้ในระดบั หนึ่ง แต่ท่สี �ำ คญั กวา่ และดกี วา่ นีห้ ลายร้อยเท่ากค็ ือตอ้ งฝกึ จติ ของตน เพอ่ื ประโยชน์อันยวดยิ่งทัง้ ของตนและสังคม 59
การวัด มีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหน่ึงของสังคมไทย สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ มาแต่ไหนแต่ไรกล่าวคือการปกครองคณะสงฆ์น้ัน มไิ ดเ้ ปน็ อสิ ระแยกขาดจากกนั จากการฝา่ ยอาณาจกั ร ในส่วนทีเ่ ก่ยี วกบั การของวดั บวรนเิ วศวิหารนนั้ ดังทไ่ี ด้เลา่ มา เหมือนอย่างท่ีในบางประเทศแยกศาสนจักร แล้ววา่ เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ไดเ้ ขา้ มาพำ�นกั อยูท่ ่ีวัดบวรนิเวศวหิ าร (Church) และอาณาจักร (State) ออกจากกนั โดย เพื่อทรงศึกษาเล่าเรียนต้ังแตพ่ ระชนมายุเพยี ง ๑๖ พรรษา เม่อื เดด็ ขาด หากแตใ่ นบ้านเรานัน้ ทางฝา่ ยผ้ปู กครอง พระชนมายุถึงคราวท่จี ะอปุ สมบท แม้จะทรงกลบั ไปอุปสมบทใน ต้ังแต่พระราชาตลอดไปจนถึงราชการทั้งปวง ฝา่ ยมหานกิ ายท่วี ดั เทวสังฆาราม ซ่งึ เปน็ ชาตภิ ูมิเดมิ ของพระองค์ ยอ่ มถอื เปน็ หนา้ ทท่ี จ่ี ะตอ้ งท�ำ นบุ �ำ รงุ พระพทุ ธศาสนา แตเ่ จา้ พระคณุ สมเดจ็ กไ็ ดท้ รงกระท�ำ ทฬั หกี รรม คอื อปุ สมบทซ�ำ้ อกี ใหเ้ จรญิ รงุ่ เรือง ดังนนั้ การวางระเบียบการปกครอง ครง้ั หนง่ึ ในคณะธรรมยตุ กิ าทว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ ารและจากนน้ั กไ็ ดท้ รง คณะสงฆเ์ พอื่ ใหเ้ กดิ ความเปน็ ปกึ แผน่ มคี วามเจรญิ พ�ำ นกั อยทู่ ว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ ารแหง่ น้ีมาจนตลอดพระชนมชพี ในเวลา ก้าวหนา้ และสามารถแก้ไขขอ้ ขัดข้องหากเกดิ มีขึ้น ทเ่ี จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯแรกเขา้ มาอยทู่ ว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ ารไดท้ รงถวาย จึงมคี วามส�ำ คัญ เพอื่ การน้ีตามประเพณปี ฏบิ ัติของ ตวั เปน็ ศษิ ยข์ องสมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ คณะสงฆ์เองจึงพิจารณาเลือกสรรพระภิกษุที่มี เมื่อครัง้ ยังทรงเปน็ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ และเม่ือถงึ คราวท่ี ความรคู้ วามสามารถ ฉลาดรอบรู้ในพระธรรมวนิ ัย ทรงอุปสมบทในคณะธรรมยุติกา สมเดจ็ พระสังฆราชเจ้าพระองค์ และมีวัตรปฏิบัติเป็นที่เคารพเลื่อมใสให้เข้ามา นั้นก็ทรงเปน็ พระอุปชั ฌาย์ดว้ ย ด้วยเหตุดังน้กี ล่าวอยา่ งสามญั ก็ ช่วยเหลอื ดแู ลกจิ การของพระศาสนา ตง้ั แตห่ นว่ ย เลก็ ทีส่ ดุ คอื การปกครองดูแลพระอารามหรอื วดั วา จะเหน็ ได้วา่ สมเด็จพระสังฆราชเจา้ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ อารามต่างๆ จนถึงชนั้ สูงข้นึ มาคอื การหมู่คณะ เชน่ คณะสงฆฝ์ า่ ยมหานกิ ายและฝา่ ยธรรมยตุ กิ า ไปจนถงึ ทรงเป็น “ครู” พระองค์สำ�คัญของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ภาพรวมคอื กจิ การของคณะสงฆ์ไทย ในภารกจิ ของ พระศาสนาท้ังสามสว่ นนี้ ทกุ ชนั้ ทุกสว่ นดังกล่าวมา มาแต่ไหนแต่ไร ขา้ งตน้ น้ี เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงมโี อกาสไดป้ ฏบิ ตั ิ หน้าที่ในตำ�แหน่งต่าง ๆ ตั้งแต่ตำ�แหน่งชั้นผู้น้อย ไปจนถงึ ต�ำ แหนง่ สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเปน็ ปธานาธิบดีของคณะสงฆ์ไทยทั่วราชอาณาจักร การได้ย้อนรอยกลับไปศึกษาพิจารณาดูว่า เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ ไดท้ รงปฏบิ ัตหิ น้าทใี่ นตำ�แหน่ง ใดมาบา้ ง ยอ่ มเปน็ เครอ่ื งบง่ ชส้ี �ำ คญั ใหเ้ หน็ ถงึ ความรู้ ความสามารถท่โี ดดเด่น และประสบการณ์ทช่ี �ำ่ ชอง การคณะสงฆ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ดังจะได้ กล่าวตอ่ ไป60
การไดเ้ ป็นสัทธวิ หิ าริก ในสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ พระธรรมเทศนาของสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจ้าฯ แต่ละกณั ฑ์ไว้ โดยใช้วิธีบันทกึกรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ เปน็ โอกาสวเิ ศษสดุ ทเ่ี จา้ พระคณุ จากความทรงจ�ำ คอื ทรงฟงั พระธรรมเทศนานน้ั ในพระอโุ บสถ แลว้ ทรงกลบั มาสมเดจ็ ฯ ไดช้ อ่ งทจ่ี ะสงั เกตจดจ�ำ และทรงซมึ ซบั แบบอยา่ ง บนั ทกึ ใจความส�ำ คญั ของพระธรรมเทศนาแตล่ ะกณั ฑ์ ในโอกาสแรกทท่ี รงท�ำ ได้ทด่ี จี ากสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ พระองคน์ น้ั มหี ลายวาระ นอกจากน้นั ยังทรงสังเกตด้วยวา่ ก่อนที่สมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ จะทรงเทศน์ ได้หลายโอกาสทส่ี มเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ โปรดเมตตาเลา่ ทรงเตรยี มการทจี่ ะเทศนด์ ว้ ยความรอบคอบ กลา่ วคือ ทรงกำ�หนดเบื้องต้นวา่ จะเรือ่ งราวต่าง ๆ ทเ่ี ปน็ เรอ่ื งนา่ รู้ใหเ้ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ได้ แสดงขอ้ ธรรมเรอ่ื งอะไร จากนน้ั กท็ รงพจิ ารณาแนวธรรมะของขอ้ ธรรมนน้ั วา่ ควรทราบ เมอ่ื เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงเหน็ ทรงไดย้ นิ เรอ่ื งใด อธบิ ายขยายความอย่างไร ตลอดจนแสดงความเช่อื มโยงของธรรมแตล่ ะขอ้ ว่าสง่ิ ใด กท็ รงจดบนั ทกึ ไวต้ ามพระอธั ยาศยั ทโ่ี ปรดการจด อย่างไร เม่ือทรงไตร่ตรองดูโดยรอบคอบแล้วกท็ รงลองคดิ ว่าจะอธบิ ายให้ผูฟ้ ังบนั ทกึ ตวั อยา่ งเชน่ เปน็ ประเพณขี องวดั บวรนเิ วศวหิ ารท่ี เทศน์ไดเ้ ข้าใจด้วยแนวทางอยา่ งไร เสมือนการลองเทศน์ให้พระองค์เองได้ทรงเจา้ อาวาสตอ้ งรบั ภาระแสดงพระธรรมเทศนาเปน็ ประจ�ำ พิจารณาดกู ่อนรอบหนึ่ง สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ ฯ ได้ทรงปฏบิ ตั ิพระองคเ์ ชน่ น้ีทกุ วนั ธรรมสวนะ หรอื วนั พระกลางเดือนแลว้ สนิ้ เดอื น จึงทำ�ให้พระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงนั้น ดำ�เนินเนื้อความไปราบรื่นสละสลวยทเ่ี รยี กอยา่ งชาวบา้ นวา่ “วนั พระใหญ”่ ซง่ึ เปน็ ประเพณที ถ่ี อื เจา้ พระคุณสมเด็จฯ กท็ รงด�ำ เนนิ การตามแนวทางของสมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ ฯปฏบิ ตั สิ บื มาจนทกุ วนั น้ี เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ตง้ั แตย่ งั เปน็ วธิ เี ชน่ นเ้ี ปน็ เหตใุ หเ้ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงเทศนาขอ้ ธรรมไดส้ ละสลวย กระจา่ งแจง้พระภกิ ษเุ ปรยี ญ เมอ่ื เวลาลงพระอโุ บสถ ฟงั พระธรรม และครบถ้วนตามกระบวนความเข้าหลักของพระพุทธศาสนาวา่ “พงึ แสดงธรรมเทศนาของสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ แตล่ ะครง้ั ไดท้ รงบนั ทกึ ด้วยความเคารพ” คอื แสดงธรรมด้วยความตงั้ ใจไมว่ ่าจะแสดงธรรมแกบ่ ุคคลใด เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ ทรงบันทึกลกั ษณะ ทา่ นยกคาถา สีลํ สมาธิ ปญฺ า จ วมิ ุตตฺ ิ จ อนุตฺตรา อนุพุทธฺ า วิธีการแสดงพระธรรมเทศนาของ อิเม ธมมฺ า โคตเมน ยสสสฺ นิ า ตอนต้น ท่านแสดงพระพุทธคณุ บทวา่ ภควา อธิบายเป็น ๓ คอื สมเดจ็ พระสังฆราชเจ้าฯ มปี ระเด็นสำ�คัญคอื พระผหู้ ักวฏั ฏะ ๑ พระผ้มู ีบญุ ควรคบ ๑ พระผู้จำ�แนกแจกบุญ ๑ • ทรงกำ�หนดเบอ้ื งตน้ ว่าจะแสดง ท่านแสดงถงึ ความรวู้ า่ ความรู้กาย เป็นความรู้ทางโลก ความรจู้ ติ ข้อธรรมเรอ่ื งอะไร เป็นความร้ทู างธรรม • ทรงพิจารณาแนวขอ้ ธรรมนั้นว่า ทา่ นเขา้ คาถา แปลว่า ศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุตติอนั ยอดเย่ยี ม ควรอธิบายขยายความอย่างไร ธรรมเหลา่ นนั้ พระโคดมผ้มู ียศตรสั รแู้ ล้ว • ทรงแสดงความเช่ือมโยงของธรรม ท่านอา้ งว่า ผู้ฟังได้ยินได้ฟงั เร่อื งศีล สมาธิ ปญั ญา มาชำ่ �ชองแล้ว แตล่ ะข้อว่าอย่างไร จึงแสดงธรรมท้งั ๓ นี้ แต่เพยี งยกหัวข้อข้ึน แลว้ แสดงวมิ ตุ ติวา่ เม่ือมศี ลี ก็พ้นจากกิเลสอยา่ งหยาบดว้ ยศีล• ทรงลองคดิ ว่าจะอธิบายใหผ้ ู้ฟังเทศน์ได้เข้าใจ เมอ่ื มีสมาธิกพ็ ้นจากกเิ ลสอยา่ งกลางดว้ ยสมาธิด้วยแนวทางอย่างไร เสมอื นการลองเทศน์ให้ เม่ือมีปญั ญากพ็ ้นจากกเิ ลสอย่างละเอยี ดดว้ ยปญั ญา ความพน้ จากกิเลส พระองค์เองได้ทรงพิจารณาดกู อ่ นรอบหนึ่ง อย่างหยาบ กลาง และละเอียด เป็นวมิ ตุ ตโิ ดยลำ�ดับ แตน่ ัน้ ท่านปรารภ ถงึ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ต้นวงศ์ธรรมยตุ ขอ้ ความท่ีคัดลอกจากสมุดบนั ทึก แสดงประวัตพิ ระศาสนา ช้เี หตใุ ห้เกิดธรรมยุต พร้อมท้งั ผลดีทม่ี ีแก่การเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่ีไดท้ รงบนั ทึก พระศาสนาในเมื่อธรรมยตุ เกดิ ขึ้นแลว้ เชน่ ทำ�ให้พระสงฆฝ์ า่ ยเดิม เทศน์ของสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ ดตี ามขึ้น และแสดงถงึ การคณะสงฆ์อันเนอื่ งด้วย พ.ร.บ. ปัจจุบนั (พระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔) ในทีส่ ดุ ขอใหพ้ ร้อมกันถวาย กัณฑ์เช้าวันมหาปวารณา พระราชกศุ ลแดพ่ ระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั เมือ่ พ.ศ.๒๔๘๗ 61
หลงั จากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงสอบไล่ไดเ้ ปน็ เปรยี ญธรรม ๙ ประโยค เม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๔ แลว้ เจา้ อาวาสวดั บวรนิเวศวิหารคือ สมเดจ็ พระสังฆราชเจา้ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ก็ยิง่ เพิ่มพูนความไวว้ างพระทยั และทรงมอบหมายและสนับสนุนให้เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไดท้ รงปฏบิ ตั ิศาสนกจิ เพ่ิมพูนขนึ้ กวา่ แต่กอ่ น กล่าวเฉพาะสว่ นของวัดบวรนิเวศวหิ าร ได้ทรงมอบหมายให้ทรงเปน็ ผอู้ ำ�นวยการการศึกษา ส�ำ นกั เรยี นวดั บวรนเิ วศวหิ าร คอื รบั ผดิ ชอบดแู ลการศกึ ษาของพระภกิ ษสุ ามเณรทพ่ี �ำ นกั ในวดั บวรนเิ วศวหิ ารโดยตลอด ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ คอื ปที ท่ี รงไดเ้ ปน็ เปรยี ญธรรม ๙ ประโยคนน้ั เลยทเี ดยี ว พรอ้ มกนั นน้ั กไ็ ดท้ รงสนบั สนนุ ใหท้ รงรบั ภาระทางคณะสงฆท์ ง้ั ของคณะธรรมยตุ กิ า และของคณะสงฆ์ไทยเพม่ิ พนู ขนึ้ โดยล�ำ ดบั ถึง พ.ศ. ๒๔๘๙ ภายหลงั จากท่สี มเด็จพระวชิรญาณวงศท์ รงไดร้ บั สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เม่ือวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ไมน่ าน ไดท้ รงแตง่ ต้ังใหเ้ จ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ เป็นเลขานุการในพระองค์ ในต�ำ แหน่งหนา้ ทีเ่ ชน่ นี้ ยิง่ ทำ�ใหเ้ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ สบช่องโอกาสทจี่ ะไดท้ รงพบเหน็ เรอ่ื งราวต่าง ๆ ที่เปน็ ประโยชน์ตอ่ การบรหิ ารคณะสงฆ์ และได้ทรงใช้ความรู้เหล่านน้ั เปน็ ประโยชนต์ อ่ มาในภายหลงั ยง่ิ วนั เวลาผา่ นไป เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ กย็ ง่ิ มบี ทบาทในการดแู ลศาสนกจิ ของวดั บวรนเิ วศวหิ ารมากยง่ิ ขน้ึ ขณะเดยี วกัน เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ ก็ทรงได้รบั พระราชทานสมณศกั ด์เิ พ่ิมพนู ข้นึ ตามลำ�ดบั เวลาดว้ ย กลา่ วคือ พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้รบั พระราชทานสมณศักดเ์ิ ป็นพระราชาคณะที่ พระโศภนคณาภรณ์ อีกหา้ ปตี อ่ มา ใน พ.ศ. ๒๔๙๕ ไดร้ บั พระราชทานเล่อื นสมณศักด์ิ เปน็ พระราชาคณะชั้นราช ในราชทนิ นามเดิม ถดั มาไมน่ าน ใน พ.ศ. ๒๔๙๘ ไดร้ ับพระราชทานเลอื่ นสมณศักด์เิ ปน็ พระราชาคณะ ชน้ั เทพ ในราชทนิ นามเดิม62
ใน พ.ศ. ๒๔๙๙ มเี หตกุ ารณส์ �ำ คญั ในประวัติศาสตร์เกิดข้นึ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั รัชกาลปัจจบุ นั ทรงพระผนวชเป็น พระภิกษุและเสดจ็ ประทับ ณ วัดบวรนเิ วศวหิ าร ระหวา่ งวนั ที่ ๒๒ ตุลาคม ถึงวนั ท่ี ๕ พฤศจิกายน โอกาสนี้สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ ทรงเลือกเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ใหเ้ ปน็ “พระอภบิ าล” (พระพีเ่ ลยี้ ง) ของพระภิกษุพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั หลังจากพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงลาผนวชไดเ้ พยี งไมก่ ว่ี นั ในอภลิ กั ขติ สมยั เฉลมิ พระชนมพรรษา ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ทรงพระกรณุ าโปรดใหเ้ ลอ่ื น สมณศักดิ์เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ท่ี พระธรรมวราภรณ์ เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ จึงอย่ใู นฐานะเป็นพระราชาคณะ ผู้ใหญร่ ูปหนึ่งในวัดบวรนเิ วศวหิ ารเวลาน้นั ถัดมาจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นอีกราวปีเศษ จะด้วยเหตุผลใด ไมป่ รากฏ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ โปรดใหห้ า เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ ไปเฝา้ มีรายละเอยี ดตามบันทกึ ของเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เองว่า “ณ วันอังคาร ขึ้น ๑ ค่ำ� เดือน ๘ ค่ำ� ปีจอ วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๐๑เวลา ๒๑.๐๐ น. เศษ เสด็จฯ สมเดจ็ พระสังฆราชเจ้าฯ โปรดให้พระครอู เนกสาวัน(สด) มาเรยี กใหไ้ ปเฝา้ ฯ จงึ ขน้ึ ไปเฝา้ ฯ บนตำ�หนกั บรรจบเบญจมา เสดจ็ ฯ ไดป้ ระทานนาฬกิ า ๑ เรอื น พรอ้ มดว้ ยรบั สง่ั วา่ ใหค้ ณุ เปน็ มรดก นาฬกิ านร้ี ชั กาลท่ี ๕ พระราชทานแดเ่ จา้ คณุ พระพรหมมนุ ี (แฟง) เมือ่ เสด็จฯ กลับจากยุโรป ร.ศ. ๑๑๖ เพอื่ เป็นท่ีระลกึทท่ี า่ นไดช้ ว่ ยชำ�ระพระไตรปฎิ ก เมอ่ื เจา้ คณุ พระพรหมมนุ ถี งึ มรณภาพ นาฬกิ าน้กี ็ตกแกส่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ แลว้ กต็ กแกเ่ รา บดั น้ี เรากไ็ ม่ไดใ้ ชแ้ ลว้ จงึ ใหเ้ ปน็ มรดกแกค่ ณุ ไดย้ นิ วา่ ราคา ๒ ชง่ั ในครง้ั นน้ั ” นาฬกิ านส้ี มเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ ประทานแกเ่ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ กอ่ นท่ี สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ จะสน้ิ พระชนม์ เปน็ เวลา ๕ เดอื น กบั ๖ วนั โดยสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯ ไดส้ น้ิ พระชนมล์ งเมอ่ื วนั ท ่ี ๑๑ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๐๑ 63
เมอ่ื สมเดจ็ พระสงั ฆราช เจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ สน้ิ พระชนมแ์ ลว้ ผทู้ ไ่ี ดเ้ ปน็ เจา้ อาวาสครองวดั บวรนเิ วศวหิ ารในล�ำ ดบั ตอ่ มา นบั วา่ เปน็ เจา้ อาวาสรปู ท ่ี ๕ ไดแ้ ก่ พระพรหมมุนี (สวุ โจ ผนิ ) แตท่ ่านได้ครอง วดั บวรนิเวศวหิ าร อยูเ่ พียง ๒ ปีเศษ ก็ถงึ แกม่ รณภาพ เมอ่ื วนั ที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๔ คร้ันเจ้าคุณพระพรหมมุนีมรณภาพ แลว้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ขณะเมอ่ื ทรงด�ำ รง สมณศักดท์ิ ่ีพระธรรมวราภรณ์ ทรงได้รบั แต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ในเวลาใกล้เคียงกันก็ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำ�นวยการมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ เป็นประธานกรรมการสภาการศึกษามหา มกุฏราชวิทยาลัย เป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นถึงวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ในอภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ก็ได้ทรงรับพระราชทานสถาปนาเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่พระสาสนโสภณ นับว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสลำ�ดับที่ ๖64
ตลอดเวลาทท่ี รงครองวดั ไดท้ รงปฏบิ ตั ิ หน้าที่เจ้าอาวาสด้วยความเรียบร้อย ทรง เอาพระทัยใส่ในการดูแลซ่อมแซมเสนาสนะ และอาคารสถานทต่ี า่ ง ๆ ภายในบรเิ วณวดั ให้ มีสภาพท่ดี เี หมาะสมแกก่ ารใชง้ าน ทรงท�ำ นุ บำ�รุงและส่งเสริมการศึกษาและการปฏิบัติ ธ ร ร ม ข อ ง พ ร ะ ภิ ก ษุ ส า ม เ ณ ร ต ล อ ด ถึ ง อุบาสกอุบาสิกาทว่ั ไป เปน็ เหตุให้เกียรติคุณ ของวัดบวรนิเวศวิหารมีความรุ่งเรือง และเปน็ ทีร่ ู้จักยกยอ่ งเปน็ การท่ัวไป ในส่วนของพระภิกษุสามเณร ก็ทรงเอาพระทัยใส่เป็นอย่างยิ่งเมอ่ื ทรงพบเห็นสิ่งใดทีไ่ มเ่ หมาะไมค่ วร ก็จะทรงนำ�ไปว่ากล่าวตกั เตอื นในทปี่ ระชมุ สงฆ์ คอื หลังการฟงั พระปาติโมกข์ดว้ ยพระเมตตา หรือหากมเี รอ่ื งราวหรอื เหตกุ ารณ์ใดๆ ทพ่ี ระภกิ ษุสามเณรควรร้คู วรทราบ อนั จะเปน็ ประโยชนต์ ่อการประพฤติปฏิบตั พิ ระธรรมวนิ ัย กจ็ ะทรงนำ�มาเล่ามาบอกในทา่ มกลางสงฆ์ คอื หลงั การฟงั พระปาตโิ มกขเ์ ชน่ กนั พระจรยิ วตั รดงั น้ี ยอ่ มสอ่ งแสดงถงึ พระเมตตาความหว่ งใยทท่ี รงมตี อ่ พระภกิ ษสุ ามเณรมไิ ด้ทรงปลอ่ ยปละละเลยในสิ่งที่ควรปรบั ปรงุ แก้ไข และไม่ทรงทอดท้ิงในส่งิ ทคี่ วรส่งเสรมิ พัฒนา ในส่วนศิษย์วัด เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ก็มิได้ทรงละเวน้ เพกิ เฉย ทรงใสพ่ ระทยั ด้วยพระเมตตา ด้วยทรงถือวา่ ศิษย์วดั กค็ อื ผู้รบั ใชช้ ่วยเหลอืพระภกิ ษสุ ามเณรและมาอยอู่ าศยั เพอ่ื รบั การฝกึ อบรมใหเ้ ปน็ คนด ี ศษิ ยว์ ดัจึงมีส่วนท่ีจะทำ�ให้เกิดความเสื่อมเสียหรือดีงามแก่วัดได้อีกส่วนหนึ่ง ฉะนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จงึ ไดต้ ราระเบยี บปกครองศษิ ย์วัดวดั บวรนิเวศวหิ ารข้นึ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ทรงครองวดั บวรนิเวศวิหารอยนู่ านถงึ ๕๒ ปี ทรงเปน็ พระอุปัชฌาย์ใหก้ ารบรรพชา 65อปุ สมบทกลุ บุตรต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๔๐ เปน็ จ�ำ นวน ๗,๙๐๙ รปู สามเณรจำ�นวน ๘,๒๕๖ รปู จึงสิน้ พระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๖ คงละไวเ้ บ้ืองหลงั แตพ่ ระเกยี รติคณุ ท่จี ะสถติ ยอ์ ยู่คู่กบั นามวัดบวรนเิ วศวหิ ารไปอกี นานแสนนาน
66
67
พ.ศ. ๒๕๐๖ วัดบวรนิเวศวิหารได้มีพระภิกษุ พระสงฆ์นานาชาติชาวยุโรปเข้ามาพ�ำ นักเปน็ คร้ังแรก คือ พระขันติปาโลช่อื เดิม ลอเรนซ์ ชารล์ มลิ ล์ เป็นชาวองั กฤษ เข้ามา ในวัดบวรนิเวศวิหารพ�ำ นักเมื่อ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๖ พระขนั ตปิ าโลบวชเปน็ สามเณรท่ปี ระเทศองั กฤษ มีชอื่ ว่า สุชวี ะ แล้ว พระขนั ตปิ าโล ไดอ้ ยจู่ �ำ พรรษา ณ วดั บวรนเิ วศวหิ ารเดนิ ทางไปอยทู่ ว่ี ดั ไทยพทุ ธคยา ประเทศอนิ เดยี ในสมยั เป็นเวลานาน ต่อมา เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงส่งไปพระธรรมธรี ราชมหามุนี (ธรี ์ ปณุ ณฺ โก) เป็นเจ้าอาวาส เป็นพระธรรมทูตปฏิบัติศาสนกิจเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อมาไดอ้ ปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุ ณ สมาคมมหาโพธิ ประจ�ำ อยทู่ ว่ี ดั พทุ ธรงั ษี นครซดิ นยี ์ ประเทศออสเตรเลยี(หรือวดั ลงั กา) เมืองแบงกะลอร์ รัฐกานาตกะ (เดิมชอ่ื รว่ มกับพระธรรมทูตไทยอกี ๑ รูป นับเป็นพระธรรมทูตไมซอร)์ อินเดยี ใต้ โดยพระธรรมธรี ราชมหามนุ ี เป็น รุ่นแรกท่ีนำ�พระพุทธศาสนาเถรวาทไปสู่ทวีปออสเตรเลียพระอปุ ชั ฌาย์ แลว้ เดนิ ทางเขา้ มาศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา ท�ำ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทเปน็ ทน่ี บั ถอื และประดษิ ฐานในประเทศไทย มาพ�ำ นกั และอปุ สมบทซ�ำ้ เปน็ พระภกิ ษุ มั่นคงลงในทวปี นน้ั สบื มาจนทุกวนั น้ีในสังกดั ของส�ำ นกั นี้ ภายหลงั พระขนั ตปิ าโลลาสกิ ขา แตก่ ย็ งั คงท�ำ หนา้ ท่ี สอนพระพุทธศาสนาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียในฐานะ เปน็ อบุ าสกคนหนึง่ พระชาวต่างชาตอิ ีกรูปหนง่ึ ทเ่ี คยพำ�นกั และศึกษาพระพุทธศาสนากับเจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ในวัดบวรนิเวศวิหาร กอ่ นท่จี ะอุปสมบท ยุคเดียวกับพระขันติปาโล คือ พระราชสุเมธาจารย์ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนามว่า พระอาจารย์สุเมโธ ในหนังสือ ธรรมปรากฏ ชวี ประวัติพระราชสเุ มธาจารย์ ไดเ้ ล่าไว้ความวา่ ...เพ่อื นคนหน่งึ ทว่ี ดั มหาธาตุ แนะน�ำ ให้ไปบวช ...ท่านสมเดจ็ พระญาณสงั วรที่วัดบวรนิเวศวหิ าร เพราะมีพระชาวตา่ งชาติจ�ำ พรรษาอยู่ มีความสามารถท่จี ะอธบิ ายให้ชาวตา่ งอาจช่วยให้บวชไดง้ า่ ยข้นึ ท่านจึงมงุ่ ไปวัดบวรฯ เพือ่ กราบ ประเทศเข้าใจคำ�สอนของพุทธศาสนาได้เรยี นขอค�ำ ชี้แนะวธิ อี ุปสมบทเปน็ พระภิกษใุ นประเทศไทย อยา่ งลึกซึง้ เรามีศรทั ธาในวิธกี ารสอนและได้รับคำ�แนะน�ำ เปน็ อยา่ งดี ท้ังมีโอกาสได้พบพระชาวองั กฤษรูปหนึง่ นามวา่ พระขันติปาโล ซ่งึ ไดช้ ักชวนท่านให้ ของท่านสมเดจ็ ฯ เพราะตรงมาพกั ปฏิบตั ทิ ค่ี ณะสูงภายในวัดบวรฯ เพื่อเตรยี มความ และถกู กับจริตของเรา...พรอ้ มก่อนบวช... ระหว่างพำ�นักที่วัดบวรนิเวศวิหาร ท่านมีโอกาสได้ ตอ่ มา พระอาจารย์สุเมโธไดอ้ ุปสมบท และไปอย่ศู ึกษา เรียนการภาวนากับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ขณะทรงดำ�รง ปฏิบัติธรรมในสำ�นักวัดหนองป่าพง ของพระโพธิญาณเถร สมณศักดิ์เป็น พระสาสนโสภณ พระองค์ทรงเมตตาจัด หรอื หลวงพอ่ ชา สภุ ทโฺ ท และไดอ้ อกไปสง่ั สอนพระพทุ ธศาสนา โครงการฝึกอบรมกรรมฐานทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์โดย ณ ประเทศองั กฤษ ท�ำ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทสายวดั ปา่ แบบ ทรงเป็นพระอาจารย์อบรมธรรม และนำ�เจริญวิปัสสนา ไทยเป็นท่ีแพร่หลายและได้รับความนิยมนับถือไปทั่วยุโรป กรรมฐานด้วยพระองค์เอง เนื่องด้วยพระองค์ทรงตรัส ภาษาองั กฤษและภาษาอน่ื ไดห้ ลายภาษา จงึ มศี ษิ ยต์ า่ งชาติ จำ�นวนไม่น้อยที่ได้รับประโยชน์จากโครงการอบรมนี้68
หลังจากที่มีพระภิกษุชาวยุโรปรูปแรกที่เข้ามาอยู่ ทางวัดยังจัดให้มีการสอนพระพุทธศาสนาโดยวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว เป็นเหตุให้ชาวยุโรปชาติอื่น ๆ เน้นพิเศษในเรื่องสมาธิกรรมฐานแก่ชาวต่างประเทศไดต้ ิดตามมาบรรพชาอุปสมบทบ้าง มาพ�ำ นักอย่ชู วั่ คราว ทั้งพระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ทั่วไป ทำ�การสอนที่เพอ่ื ศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาบา้ ง ตอ่ เนอ่ื งมาอกี มากและมาก ภายในบรเิ วณกฏุ เิ จา้ อาวาส เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ จะเปน็ขน้ึ ตามล�ำ ดบั กระทง่ั ทางวดั ตอ้ งจดั คณะสงู เปน็ เสนาสนะ ผู้สอนเองโดยส่วนมากและมีภิกษุอ่ืนเป็นผู้สอนบ้างส�ำ หรบั พ�ำ นกั ของพระภกิ ษชุ าวตา่ งประเทศ และเปน็ ทพ่ี กั จน พ.ศ. ๒๕๒๗ ทรงเลิกไปเพราะทรงมพี ระภาระอาศัยชว่ั คราวของชาวตา่ งประเทศ (ทั้งเอเชียและยุโรป) อื่นมาก นับแต่น้ันมา วัดบวรนิเวศวหิ าร กม็ พี ระภิกษุทเ่ี ขา้ มาศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาอยา่ งเปน็ สดั สว่ นโดยเฉพาะ ชาวตะวนั ตก ท้ังยุโรป อเมริกา รวมทง้ั เอเชยี หลายเรียกว่า คณะสงู นานาชาติ เช้ือชาติมาอยจู่ ำ�พรรษา พรรษาละหลายรปู ตลอดมา มไิ ดข้ าดจนปจั จบุ นั บางรปู บวชชว่ั คราวแลว้ กล็ าสกิ ขา บางรปู บวชอยนู่ านปแี ลว้ จงึ กลบั ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ในประเทศของตน ท่านเหล่านี้ ได้ทำ�ให้ชาวโลกรู้จัก ประเทศไทยและพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยไปพรอ้ ม กนั นบั วา่ พระภกิ ษสุ ามเณรตา่ งชาตเิ หลา่ นไ้ี ดท้ �ำ ประโยชน์ แกพ่ ระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก วดั บวรนเิ วศวิหารในยุคของเจ้าพระคุณสมเด็จฯเป็นช่วงเวลาที่พระภิกษสุ ามเณรชาวต่างประเทศมาจำ�พรรษาและศึกษาพระพุทธศาสนามากทส่ี ดุ รวมทัง้ คฤหัสถช์ าวต่างประเทศด้วยเฉพาะพระภกิ ษุสามเณรจากเอเชีย ยโุ รป อเมริกา และออสเตรเลยี ทีเ่ จ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นอุปชั ฌาย์บวชให้ นับแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ อันเป็นปแี รกที่ทรงเปน็ เจา้ อาวาสวัดบวรนเิ วศวิหาร จนถึง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีจ�ำ นวนถงึ ๑๗๖ รปู จ�ำ แนกตามรายชือ่ ประเทศได้ดังน้ี ๑๗๖รวม รูป 69
การศึกษาของคณะสงฆ์ นอกจากพระกรณยี กิจท่ีไดท้ รงปฏิบัติในส่วนของการวดั บวรนเิ วศวหิ าร เป็นการสนองพระคุณพระอารามซึ่งไดท้ รงพำ�นัก มาตั้งแตพ่ รรษาต้น ๆ มาจนส้นิ พระชนม์ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังได้ทรงปฏิบตั ิพระกรณยี กิจในส่วนกลางของคณะสงฆโ์ ดยรวม มาตัง้ แต่ไหนแต่ไร เริ่มตน้ ต้งั แต่ทรงอยูใ่ นฐานะเป็นเลขานกุ ารของสมเดจ็ พระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ เปน็ เหตุให้ ทรงได้สงั เกตและได้ทรงผ่านพบประสบการณ์บรหิ ารงานคณะสงฆ์โดยตรงจากสมเดจ็ พระสังฆราชเจ้าพระองคน์ ัน้ ยิง่ ทรงเจริญ พรรษายุกาลมากขน้ึ ทรงเพมิ่ พูนด้วยสมณศักด์ิทีไ่ ดร้ ับพระราชทาน เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ กย็ ิ่งมีงานทต่ี ้องทรงปฏิบตั ิรบั ผิดชอบ เพม่ิ พนู ขน้ึ ตามไปดว้ ย เพอ่ื งา่ ยแกค่ วามเขา้ ใจจะไดเ้ ลา่ ถงึ พระกรณยี กจิ ทเ่ี กย่ี วกบั การคณะสงฆด์ า้ นการศกึ ษาเสยี กอ่ นเปน็ สว่ นแรก จากนั้นจงึ จะคอ่ ยกลา่ วเรอื่ งการบรหิ ารคณะสงฆโ์ ดยทวั่ ไปในภายหลัง เป็นกรรมการตรวจนักธรรมและบาลีสนามหลวง ได้รบั แตง่ ต้งั เปน็ กรรมการการตรวจแหง่ สนามหลวงเรื่อยมา ตงั้ แต่นักธรรมชน้ั ตรถี งึ เอก ต้ังแตป่ ระโยค ป.ธ. ๓ ถึง ป.ธ. ๙ กล่าวถึงเร่ืองการศกึ ษาของคณะสงฆ์ การเขา้ มาบวชเรียนในพระพุทธศาสนาตามธรรมเนยี มของไทยเรานั้น มิใช่บวชเข้า มาเปน็ พระภิกษุเพือ่ อยูเ่ ปล่า หากแตห่ นา้ ท่ีสำ�คัญที่สดุ ของพระภกิ ษุคือการศกึ ษาเล่าเรยี น และเป็นการศึกษาเล่าเรียนแมจ้ น ตลอดเวลาท่ีครองภกิ ขุภาวะ ตอ่ เมอ่ื “ลาสกิ ขา” (สิกขาหมายความถงึ การศกึ ษา) น่ันแหละ การศกึ ษาในฐานะเปน็ พระภิกษุจึง ส้นิ สดุ ลง การศกึ ษาของคณะสงฆแ์ ต่ดง้ั เดิมมา นอกจากการจัดหลักสตู รการศึกษาเบอื้ งต้นท่ีเรียกวา่ นักธรรมตรี โท เอก แลว้ กเ็ น้นการศกึ ษาภาษาบาลี เพ่ือจะได้มีความรคู้ วามสามารถทจี่ ะเขา้ ใจพระคมั ภรี ์ และถ่ายทอดพระธรรมคำ�สอนของสมเดจ็ พระบรมศาสดาจากภาษาบาลี ซง่ึ เป็นภาษาตน้ ฉบบั มาเปน็ ภาษาไทยได้โดยถูกต้อง สมเด็จพระเจ้าแผน่ ดนิ หรอื ทางราชการเอง ก็ถอื เปน็ ราชการสำ�คญั ท่ีจะสง่ เสรมิ ให้พระภกิ ษสุ งฆ์ศึกษาเลา่ เรียนตามแนวทางนี้ จึงจัดให้มกี ารสอบสนามหลวง จัดความรู้ เป็นล�ำ ดับชนั้ เรียกว่า “ประโยค”70
ดังได้กล่าวมาแล้ววา่ เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ ทรงสอบไลไ่ ดเ้ ปรยี ญธรรม ๙ ประโยคซ่ึงเปน็ ชนั้ สูงสดุ และไดท้ รงเป็นครูสอนความรเู้ พื่อเตรยี มการสอบเปรียญธรรมแก่พระภิกษุสงฆ์มาแต่ไหนแตไ่ ร แตน่ อกจากนน้ั ในช่วงเวลาแห่งพระชนมชพี ของเจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ เอง การศึกษาของคณะสงฆ์ในรูปแบบแผนใหมก่ ็ไดเ้ กดิ ข้ึน 71
เม่อื ปลาย พ.ศ.๒๔๘๘ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ขณะทรงดำ�รงพระสมณศกั ดิ์ทสี่ มเดจ็ พระวชริ ญาณวงศ์ เจ้าคณะใหญค่ ณะธรรมยุต ขณะยังทรงเปน็ พระเปรียญ และนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลยั ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซง่ึ เปน็ องคก์ รเดมิ พ.ศ. ๒๔๘๘ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสถาปนาขน้ึ เพอ่ื อดุ หนนุ ส่งเสริม การศึกษาของคณะสงฆ์ ตามพระดำ�รขิ องสมเด็จพระมหาสมณเจา้ ทรงมสี ว่ นร่วมในการ ดำ�เนนิ การกอ่ ตัง้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส โดยเน้นการเตรียมความรเู้ พือ่ เข้าสอบเปรียญธรรม มหาวิทยาลยั ไดท้ รงตงั้ มหาวิทยาลยั พระพุทธศาสนาแหง่ แรกของประเทศไทยขึน้ พระพุทธศาสนา โดยอาศยั นามมหามกุฏราชวทิ ยาลยั อันเป็นมงคลนาม แหง่ แรกในประเทศไทย และมเี กียรติประวัติมาเกา่ กอ่ นเปน็ รากฐาน มหาวทิ ยาลัยที่ทรงต้งั ใหม่น้ี ในชนั้ แรกเรียกวา่ “สภาการศกึ ษาของมหามกุฏราชวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั พระพุทธศาสนาแหง่ ประเทศไทย” เจา้ พระคุณสมเด็จฯ เวลานน้ั ยงั เปน็ แตเ่ พยี งพระเปรียญ ไดม้ ีส่วนร่วมในการก่อต้งั ดว้ ยรูปหนึ่ง รว่ มกบั พระเถระธรรมยตุ กิ าอีกหลายรูป ทรงได้รบั แตง่ ต้ังเปน็ กรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวทิ ยาลัยชดุ แรก ต่อมาไมน่ าน ก็ได้ทรงเปน็ อาจารยบ์ รรยายวิชาพระสตู รหรอื พระสตุ ตันตปฎิ กด้วย พ.ศ. ๒๕๑๕ พ.ศ. ๒๕๑๒ ขณะทรงดำ�รงสมณศักดิ์ท่ี ขณะดำ�รงสมณศักด์ิท่ี พระสาสนโสภณ สมเดจ็ พระญาณสังวร ทรงเปน็ กรรมการผู้ทรงคุณวฒุ ิ ทรงเปน็ ประธานกรรมการ โครงการจดั ตัง้ โรงเรยี น บรหิ ารของสภาการศึกษา พระสังฆาธกิ ารส่วนกลาง ของคณะสงฆ์ เปน็ รองประธานกรรมการและ ผู้อำ�นวยการโรงเรียนพระสงั ฆาธกิ ารคณะธรรมยุต พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๘ ทรงเป็นประธานอนกุ รรมการ ทรงเป็นผู้อ�ำ นวยการ พิจารณาปรับปรุงหลกั สตู รศาสนศึกษา โรงเรยี นครูปรยิ ตั ธิ รรม ของคณะสงฆ์ คณะธรรมยตุ72
ขณะทรงดำ�รงสมณศักดิท์ ่ี พ.ศ. ๒๕๐๔ เมื่อทรงเป็นเจา้ อาวาสวัดบวรนเิ วศวหิ ารแล้ว พระสาสนโสภณ ไดท้ รงรับต�ำ แหนง่ ประธานกรรมการสภาการศกึ ษา มหามกฏุ ราชวิทยาลยั ดว้ ย เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ กย็ ง่ิ มีความรบั ผิดชอบ เตม็ ทใ่ี นการพัฒนาการศึกษาของมหาวิทยาลยั สงฆ์แหง่ น้ีให้เจริญก้าวหน้า ในเวลาไล่เล่ยี กัน คณะสงฆฝ์ ่ายมหานกิ ายก็ได้จัดตง้ั มหาวิทยาลยั สงฆข์ ึ้นอีกแหง่ หนึ่ง มีนามวา่ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั จดั การเรียนการสอนอยูท่ ี่วัดมหาธาตุยุวราชรงั สฤษดิ์ ขณะทฝ่ี า่ ยมหามกุฏราชวทิ ยาลัยจดั การเรียนการสอนอยู่ทว่ี ดั บวรนิเวศวหิ าร ในช้นั แรกทเี ดยี วฐานะของมหาวิทยาลยั สงฆ์ทงั้ สองแห่งยงั ไมช่ ดั เจน เนือ่ งจากทง้ั ฝา่ ยมหานกิ ายและฝา่ ยธรรมยตุ กิ าตา่ งรบั ผิดชอบในการจดั ต้งั พ.ศ. ๒๕๐๔ และด�ำ เนนิ การโดยคณะสงฆ์ไทยซ่งึ เปน็ ภาพรวมยงั มไิ ด้ใหก้ ารรับรองทรงเปน็ ประธานกรรมการ ขณะทรงดำ�รงสมณศักด์ทิ ี่ พ.ศ. ๒๕๐๙ ทรงได้รับการแต่งตงั้ เป็นประธานกรรมการสภาการศกึ ษามหามกุฏ พระสาสนโสภณ อำ�นวยการฝกึ อบรมพระธรรมทตู ไปตา่ งประเทศ ราชวิทยาลัย ซงึ่ เป็นสถาบนั ฝึกอบรมวิชาการช้ันสงู สำ�หรับพระสงฆ์ ทีจ่ ะออกไปปฏบิ ัติหนา้ ที่พระธรรมทูตเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๐๙ กรมการศาสนาจดั ต้งั ขนึ้ โดยความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม ในความอปุ ถัมภ์ของรัฐบาล เจา้ พระคุณสมเด็จฯ ทรงเหน็ ความสำ�คญั ของการจดั การศึกษาช้นั สูงให้แกพ่ ระสงฆ์ เพราะจะ ทรงเปน็ ประธาน เปน็ ประโยชนต์ อ่ การสง่ั สอนและเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาทัง้ ในและตา่ งประเทศ จึงทรงเสนอ กรรมการอำ�นวยการ แนวพระด�ำ รติ ่อคณะกรรมการอำ�นวยการฯ และผทู้ ่ีเกย่ี วข้องให้มกี ารจัดการศึกษาระดบัฝกึ อบรมพระธรรมทูต ปริญญาโทข้ึนในมหาวิทยาลัยสงฆท์ ้ังสองแห่ง คือ มหามกุฏราชวทิ ยาลยั และ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั โดยบรรจุหลักสูตรพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ไปตา่ งประเทศ ไวเ้ ปน็ สว่ นหน่ึงของปรญิ ญาโท พระดำ�ริดังกลา่ วไดร้ บั การพจิ ารณาจากทุกฝ่ายท่ี เก่ียวขอ้ งเปน็ อยา่ งดี และไดม้ ีการรา่ งโครงการศึกษาขน้ั ปรญิ ญาโทของคณะสงฆข์ ้นึ แตโ่ ครงการน้กี ็หยุดชะงกั ไปเพราะความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน (กระท่งั ๒๐ ปตี ่อมาพระดำ�ริดงั กล่าวนน้ั จงึ ไดร้ ับการสานต่อโดยมหาวทิ ยาลยั สงฆ์ทงั้ สองแหง่ ไดเ้ ปิดหลกั สูตรปริญญาโทส�ำ หรบั พระสงฆ์ขน้ึ เป็นครัง้ แรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐)มหามกทุฏพรแรง.ลาเศชปะม.นวน็หทิา๒นายยมา๕กายกลสก๓ุฏยัภกร๑ารใามรน-ชหมวพ๒ากทิ รว๕ายะทิรบา๕มยลราลู๔มัยลนรยั ธิาชิ ปู ถมั ภ์ ในระหว่างนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังทรงเสนอมหาเถรสมาคมให้รับรองมหาวิทยาลัยสงฆ์ ท้งั สองแหง่ เปน็ การศกึ ษาของคณะสงฆ์ เพราะกอ่ นหน้าน้ีมหาวิทยาลยั สงฆ์ทัง้ สองแหง่ มีสถานะเสมือนสถาบันการศกึ ษาทีด่ ำ�เนนิ การโดยเอกชน ทางคณะสงฆ์ไม่ไดร้ ับรอง ซง่ึ เป็นอปุ สรรคต่อการพัฒนาการศกึ ษาในมหาวทิ ยาลัยสงฆ์ทงั้ สองแหง่ เปน็ อันมาก จนกระทัง่ เม่ือวันท่ี ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๒ มหาเถรสมาคมไดพ้ จิ ารณา และรับรองการศกึ ษาของมหาวทิ ยาลัยสงฆ์ทง้ั สองแหง่ ว่าเปน็ การศึกษาของคณะสงฆ์ และได้มีการก่อตง้ั สภาการศึกษาของคณะสงฆ์ข้นึ ในศกเดียวกัน เพ่ือเป็นศูนยก์ ลางสำ�หรบั สง่ เสริมและกำ�กับนโยบายทั้งปวงในสังฆมณฑล พร้อมกนั น้นั ก็ทำ�หน้าท่ีประสานงานระบบการศึกษาทกุ สาขาของคณะสงฆ์ ปัจจุบนั น้มี หาวิทยาลยั สงฆท์ ้งั สองแหง่ ไดม้ ีพัฒนาการและปรับเปล่ียนฐานะเป็นหน่วยงานในก�ำ กับของรฐั ท�ำ หน้าทเ่ี ป็น สถาบันอดุ มศกึ ษา เพ่อื จดั การเรียนการสอนและการวิจัยในระดับสูง เรยี กนามว่า “มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย” และ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” มหาวิทยาลัยทงั้ สองแห่งรับผู้เข้าศกึ ษาท้ังทเ่ี ป็นพระภกิ ษแุ ละฆราวาส 73
นอกจากมหามกุฏราชวทิ ยาลยั ซ่งึ เปน็ สถาบนั การศึกษาของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยตุ ิกา ดงั กลา่ วมาแลว้ ยังมีนติ ิบคุ คลอกี แหง่ หนง่ึ ท่ีท�ำ งานควบคูก่ ันกับมหามกุฏราชวทิ ยาลยั และเป็นกำ�ลังสำ�คัญ เสริมความเข้มแข็งให้กับงานของมหามกุฏราชวิทยาลัยเสมอมา นิติบคุ คลนี้คอื “มูลนธิ มิ หามกฏุ ราชวิทยาลยั ในพระบรมราชปู ถมั ภ์” เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงเปน็ นายกกรรมการของมูลนธิ ิดังกล่าวอยหู่ ลายสิบปี ไดท้ รง อ�ำ นวยการให้มลู นิธสิ นบั สนุนงานวิชาการที่ส�ำ คญั ๆ หลายเร่อื ง อาทิ จรงิ อย่วู ่าพระไตรปิฎกฉบับแปลเปน็ ภาษาไทยนน้ั ไดม้ กี ารแปลมาตงั้ แต่ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล พระอัฐมรามาธบิ ดนิ ทรและไดพ้ มิ พข์ น้ึ คราวแรกในงานฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๐ ไปแลว้ ครง้ั หนง่ึ แต่การแปลพระไตรปฎิ กครัง้ น้นั ยังมไิ ดแ้ ปลไปตลอดจนถงึ อรรถกถาหรือคำ�อธบิ ายเพอ่ื ประโยชน์ในการศกึ ษาพระธรรมค�ำ สอน เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ จงึ โปรดใหแ้ ปลพระคมั ภรี ์ อรรถกถาเพม่ิ เตมิ ขึน้ และโปรดใหม้ หามกฏุ ราชวิทยาลยั จัดพิมพห์ นังสือชดุ สำ�คญั น้ีขน้ึ เรยี กวา่ “พระไตรปฎิ กและอรรถกถาแปลฉบบั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ” เปน็ จ�ำ นวนหนงั สอื ถึง ๙๑ เล่ม ประกอบเป็นหนึง่ ชุด จำ�แนกเป็นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม และ อรรถกถาอีก ๔๖ เลม่ หนงั สือชดุ น้ีมหามกุฏราชวทิ ยาลัยจดั พิมพข์ ้นึ ในโอกาส ฉลอง ๒๐๐ ปีแหง่ กรุงรตั นโกสินทร์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นครง้ั แรก เพื่อเป็นศูนย์รวมตำ�รับตำ�ราและหนังสือ โปรดให้จดั ตง้ั ทางพระพุทธศาสนาที่พิมพ์ขึ้นในภาษา แผนกหนังสือ พระพุทธศาสนา ต่างประเทศทุกภาษา ไม่จำ�กัดแต่ ภาษาตา่ งประเทศ เฉพาะเพียงภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ก็เพื่อ ในมหามกฏุ ราชวิทยาลัย ประโยชน์และความสะดวกแก่ผู้ที่สนใจ ศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนานั่นเอง74
โปรดใหม้ ี โปรดให้มีการแปลตำ�รานักธรรมชั้นตรี การแปล ชั้นโท และชั้นเอก ซึ่งเป็นการศึกษาขั้น พระไตรปฎิ ก พน้ื ฐานของคณะสงฆ์ไทยเปน็ ภาษาองั กฤษ พร้อมทง้ั อรรถกถา เปน็ ประโยชนย์ งิ่ ส�ำ หรับพระภิกษุสามเณรจากบาลี เปน็ ภาษาไทย ต่างประเทศ และชาวต่างประเทศทั่วไป โปรดให้มี ทีส่ นใจพระพทุ ธศาสนาการแปลต�ำ รานกั ธรรม ชนั้ ตรี ชั้นโท ชนั้ เอก เปน็ ภาษาองั กฤษ 75
พระทศั นะในเรอ่ื งการศึกษาของคณะสงฆ์76
๐๓ ๐๔ “เปน็ ความจ�ำ เปน็ ท่ีจะได้ให้ความรู้ทั้ง ๒ ดา้ นน้เี ดิน “อันทีจ่ รงิ ปัญญาทางธรรมกับทางโลกนนั้ ต้องควบคกู่ นั ไป ขนานกันไป คอื ทง้ั ทางโลกและทางธรรม เมอ่ื เป็น การที่ไดม้ ีสภาการศกึ ษามหามกุฏราชวทิ ยาลัย และ เชน่ น้ี โลกกับธรรม อาณาจกั รกับพทุ ธจกั รก็มีอยู่ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ข้นึ กเ็ พื่อท่จี ะประสานปญั ญา ใกล้กัน ขนานกัน พบกัน เปน็ ความประสานกนั ใน ทางธรรมกับปัญญาทางโลกค่กู นั ก็จะเป็นประโยชน์มาก ทางปญั ญา เมอ่ื เปน็ ความประสานกันในทางปัญญา พระภกิ ษสุ ามเณรปจั จบุ ันน้กี ็สนใจในการศกึ ษาแสวงหา ดงั กลา่ วแล้ว ความเคารพนับถอื กัน ความใกลช้ ิด ปัญญาทางโลกดว้ ย เพ่ือจะได้พูดกบั ชาวโลกเขารเู้ ร่อื ง ต่างๆ ความเข้าใจกนั ต่างๆ กจ็ ะเป็นและเกดิ ขึน้ ตา่ ง แตว่ ่าต้องการวธิ ีการด�ำ เนินการใหเ้ หมาะสม และก็ตอ้ งไม่ ก็สนบั สนนุ ซ่ึงกนั และกัน ให้ด�ำ เนนิ ไปสู่ความเจริญ” ละท้งิ การศึกษาพระธรรมวินยั อันเป็นหลกั ของพระศาสนา” ๐๒ เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ ไดเ้ คยแสดงพระทศั นะ ที่สำ�คัญไว้เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์และ “ก็ขอให้ด�ำ เนนิ การจดั การศึกษา สมดลุ ระหวา่ งการศกึ ษาทางโลกและทางธรรม พระธรรมวนิ ยั ใหด้ ีพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับมหาวทิ ยาลยั ว่า แตก่ ารที่จะกดี กันในทางโลกนั้น ๐๑ บดั นี้เปน็ ส่งิ ที่ไม่ควร กต็ ้อง “ในภาวะปัจจบุ ันนี้ เป็นภาวะทีต่ รงึ กัน อยรู่ ะหว่างโลกกับธรรม เราทง้ั หลายสนบั สนนุ เพราะเปน็ การใหแ้ สงสวา่ ง ซึง่ เปน็ ผบู้ รหิ ารพระศาสนา กจ็ ำ�เปน็ แต่ว่าตอ้ งรักษาในทางธรรม ที่จะตอ้ งรักษาธรรมะไวเ้ ปน็ หลัก อนั เป็นส่วนปรยิ ัติศาสนานี้ และกต็ ้องอยา่ หลงไปทางโลก หมายความว่า ให้การศึกษาทางโลก ใหเ้ ข้มแขง็ ดว้ ย กับควบคมุ ดแู ล ตามสมควร เพราะวา่ เปน็ สมยั ท่ีจะ ความประพฤตพิ ระธรรมวินยั ยนื ยนั ไปทางเดียวไมไ่ ด้” อย่าให้หละหลวม” 77
ทรงสอนในมหาวทิ ยาลยั ฝ่ายโลก นอกจากการศึกษาของคณะสงฆ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ จงึ เปน็ แลว้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ยงั เปน็ พระเถระ มหาวิทยาลัยแรกท่ีบรรจุวิชาสมถะและ รูปแรกท่ีได้รับอาราธนาให้เป็นอาจารย์ วิปัสสนาไว้ในหลักสูตรการศึกษา รวม พเิ ศษสอนวชิ าเกย่ี วกบั พระพุทธศาสนา ทั้งวิชาทางพระพุทธศาสนาอื่น ๆ อีก ในสถาบันอดุ มศึกษาของรัฐ กลา่ วคอื หลายรายวชิ า เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ กท็ รง เป็นพระมหาเถระรูปแรกท่ีเป็นอาจารย์ พ.ศ. ๒๕๑๔ ทรงไดร้ บั อาราธนา พิเศษสอนวิชาสมถะและวิปัสสนาใน จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ทรง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ซึ่งทรงสอน เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาพ้ืนฐาน ตอ่ เนอ่ื งมาเปน็ เวลาหลายปจี งึ มพี ระเถระ อารยธรรมไทยรว่ มกบั ม.ร.ว. คกึ ฤทธ์ิ รูปอื่นมาสอนแทน ปราโมช โดยทรงบรรยายเรอ่ื งพระพทุ ธ- ในชน้ั แรก ไดพ้ านสิ ติ ทล่ี งเรยี นวชิ าน้ี ศาสนากบั สงั คมไทย เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไปเรยี นทพ่ี ระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร จงึ ทรงเปน็ พระเถระรปู แรก ทไี่ ด้รบั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไดท้ รงพระเมตตามา อาราธนาให้เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชา บรรยายใหน้ สิ ติ ฟงั พรอ้ มทรงน�ำ การฝกึ หดั เก่ยี วกับพระพุทธศาสนาในสถาบันอุดม ท�ำ สมาธดิ ว้ ยพระองคเ์ องตลอดมากระทง่ั ศึกษาของรัฐ ซง่ึ ในขณะนั้นการเรียน ทรงมอบหมายใหพ้ ระเถระรปู อน่ื สอนแทน การสอนวิชาเก่ียวกับพระพุทธศาสนา จงึ ไดย้ า้ ยสถานทเ่ี รยี นมาทห่ี อประชมุ ใหญ่ ในมหาวิทยาลัยยังไม่เป็นที่แพร่หลาย มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ และตอ่ มา ได้ย้ายสถานที่ไปที่วัดโสมนัสวิหาร ซึ่ง พ.ศ. ๒๕๒๐ ทรงได้รบั อาราธนา สะดวก เงยี บสงบ และเหมาะสมยิง่ กว่า จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในระยะ เกษตรศาสตร์ ใหเ้ ป็นอาจารยพ์ เิ ศษ แรกที่เปิดสอนวิชาการฝึกทำ�สมาธิ สอนวชิ าสมถะและวปิ สั สนา (ตอ่ มาเรยี ก มีนสิ ติ ท่ีสนใจลงทะเบียนไมก่ ค่ี น และก็ ว่าวิชาฝึกสมาธิตามแนวพุทธศาสนา) ค่อยเพิ่มจำ�นวนมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่ง แก่นิสิตภาควิชาปรัชญาและศาสนา ในปัจจุบันมีนิสิตที่สนใจลงทะเบียน ซ่ึงเป็นวิชาบังคับสำ�หรับนิสิตชั้นปี เรยี นวชิ านีน้ บั จ�ำ นวนเปน็ รอ้ ย ท่ี ๔ วตั ถุประสงคส์ �ำ คญั ของวิชานีค้ ือ ต่อมาได้มีสถาบันการศึกษาอื่น ๆ มุ่งให้นิสิตได้เรียนรู้พระพุทธศาสนา ตง้ั แตร่ ะดบั อดุ มศกึ ษาจนถงึ มธั ยมศกึ ษา ทง้ั ภาคปรยิ ตั ิ (ภาคทฤษฎ)ี และภาค และประถมศกึ ษาใหค้ วามสนใจในการสอน ปฏบิ ตั ิ โดยมงุ่ เน้นใหน้ ิสิตได้รับการฝกึ การฝึกหัดทำ�สมาธิตามหลักคำ�สอนของ ปฏิบัติสมาธิ อันจะเป็นผลดีต่อการ พระพุทธศาสนากันมากขน้ึ บางสถาบนั ปลูกฝงั จริยธรรมและคณุ ธรรม ก็ได้บรรจุวิชาการฝึกหัดทำ�สมาธิไว้ ใน หลกั สูตรดว้ ย78
ผู้จุดประกายในการศกึ ษาปฏิบัติสมาธกิ รรมฐาน ในหมูพ่ ุทธศาสนิกชนทุกระดบัพระองค์ยังทรงไดร้ ับอาราธนาให้บรรยายเกีย่ วกับการฝึกท�ำ สมาธิแก่นิสติ นกั ศึกษาสถาบนั อนื่ ๆ ตลอดถงึ แกข่ ้าราชการและบุคลากรในหน่วยราชการและองค์กรอื่นๆ อีกอย่างกว้างขวาง นับได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงเป็นผู้จุดประกายในการศึกษาปฏิบัติสมาธิกรรมฐานในหมู่พุทธศาสนิกชนทุกระดับ พระเกียรติคุณของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในฐานะที่ทรงเป็นพระมหาเถระฝ่ายคันถธุระและทรงเชี่ยวชาญในฝ่ายวิปัสสนาธุระด้วยได้มีส่วนส่งเสริมให้เกิดความนิยมในการศึกษาปฏิบัติสมาธิกรรมฐานขึน้ ในหมู่พทุ ธศาสนิกชนทกุ ระดบั อยา่ งกวา้ งขวาง ไม่เฉพาะแตใ่ นด้านวปิ ัสสนาธรุ ะคือการสอนฝกึ ท�ำ สมาธิกรรมฐานเท่านน้ั แม้ในด้านปริยัตคิ อื การศกึ ษาหาความรู้เก่ียวกบั ค�ำ สอนของพระพทุ ธศาสนา เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ก็ทรงได้รบั อาราธนาจากสถาบนั การศึกษาและหน่วยราชการ องคก์ รตา่ งๆ ไปทรงบรรยายหรอื แสดงพระธรรมเทศนาอยเู่ นืองๆ โดยเฉพาะอย่างย่งิในสถาบันการศึกษาระดบั อดุ มศึกษา 79
การบริหารคณะสงฆ์80
ประธานาธิบดีแห่งสงฆ์ ลกั ษณะพิเศษประการหนึง่ ของพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยคอื พระมหากษตั ริยท์ รงถือเปน็ พระราชภารธรุ ะส�ำ คญัทจ่ี ะทรงอุปถมั ภบ์ ำ�รุงพระพุทธศาสนาใหส้ ถาพรย่งั ยนื ตัวอย่างทเี่ ห็นไดช้ ัดท่ีสุดน่าจะไดแ้ กก่ ลอนเพลงยาวพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช ทีท่ รงพระราชนพิ นธ์ไว้เม่อื รว่ ม ๒๐๐ ปมี าแล้ววา่ “ต้งั ใจจะอุประถัมภก ยอยกพระพทุ ธศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสมี า รกั ษาประชาชนและมนตรี” เพียงนี้ก็เห็นได้แล้วว่าทรงเรียงลำ�ดับเรื่องการอุปถัมภ์บำ�รุงพระพุทธศาสนาว่ามีความสำ�คัญก่อนเรื่องอ่ืนใดท้ังสิ้นหรือแม้จนตัวอย่างเรอื่ งทีเ่ ล็กน้อยทีส่ ดุ ก็คอื นามพระราชทานส�ำ หรบั ปืนใหญป่ ระจ�ำ พระนครกระบอกหนึ่งท่มี มี าต้งั แตค่ รั้งต้นกรุงเชน่ เดียวกนั มีนามปรากฏอย่ใู นทำ�เนียบว่า “ปืนรักษาพระศาสนา” ดงั นีเ้ ป็นตน้ ที่ว่าทรงอุปถัมภ์บำ�รุงพุทธศาสนานอกจากทรงดูแลป้องกันภยันตรายทั้งจากภายนอกภายในท่ีจะมาเบียนบ่อนพระพทุ ธศาสนาแล้ว ยังทรงอปุ ถัมภบ์ ำ�รงุ พระภกิ ษุสามเณรผูร้ ูธ้ รรม คือสอบไลไ่ ด้เป็นเปรียญ และพระภิกษุผมู้ ตี ำ�แหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ ได้แก่ พระสงั ฆาธิการและพระราชาคณะทั้งปวง ด้วยการพระราชทานนิตยภตั คอื ปัจจยัส�ำ หรบั บำ�รุงสมณบรโิ ภคท่ีทรงปวารณาถวายไว้เป็นประจ�ำ (แตจ่ ะเทียบว่าเปน็ เงนิ เดือนนน้ั หามไิ ด้ เพราะไมใ่ ช่เรื่องท่ีสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงบังคับบัญชาหรือใช้สอยให้พระภิกษุสงฆ์เหล่าน้ันทำ�คุณทำ�ประโยชน์แก่บ้านเมืองหากแต่ทรงถวายนิตยภัตเพราะทรงพระราชศรัทธาและต้องพระราชประสงค์จะบำ�เพ็ญพระราชกุศลเป็นการสมำ่�เสมอ)ทรงสง่ เสริมการศึกษาของพระภิกษสุ ามเณรโดยการจดั สอบสนามหลวงดังได้กล่าวมาแล้ว ทรงสถาปนาหรอื บูรณะวดั วาอารามสำ�หรับพระภกิ ษสุ ามเณรทม่ี าจากจาตรุ ทศิ จะได้ใช้พำ�นักอาศยั ศกึ ษาและปฏบิ ตั ธิ รรมได้โดยสะดวก พระราชกจิ ส�ำ คญั อีกเรอ่ื งหนึ่งทีเ่ กีย่ วกบั การคณะสงฆ์คอื ทรงปกครองดูแล เปน็ ธรรมเนียมสบื มาหลายรอ้ ยปที ีจ่ ะพระราชทานสมณฐานนั ดรศกั ดิ์ใหพ้ ระสงฆ์มีอสิ รยิ ยศและตำ�แหนง่ หนา้ ที่ในทางปกครอง ดังความท่ีปรากฏในตอนท้ายของสญั ญาบตั รพระราชทานสมณศักด์วิ า่ “ขอพระคุณจงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระส่ังสอน ช่วยระงับอธกิ รณ์อนเุ คราะห์พระภกิ ษุสามเณรในพระอารามโดยควร” แต่เดมิ มาในยคุ เกา่ การปกครองคณะสงฆ์มไิ ด้รวมเปน็ เน้ือเดียวกันตลอดทง้ั พระราชอาณาจักรดงั ท่ีสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสได้ทรงอธบิ ายวา่ “คณะใหญ่ทั้งส่ี (คือคณะเหนอื คณะใต้ คณะกลาง คณะอรญั วาสี) น้ัน ตา่ งไม่ไดข้ ึ้นแก่กัน เมื่อมกี ิจอันพึงจะท�ำ รว่ มกัน เสนาบดีกระทรวงธรรมการรบั พระบรมราชโองการส่งั ฯ เจ้าคณะรปู ใดมสี มณศักดิส์ งู เสนาบดกี ็พูดทางเจา้ คณะรูปนั้น ๆ ...แต่กอ่ นคณะแยกกนั ครอง หรอื บางสมยั มีสงั ฆราช กเ็ จริญอายุพรรษามอี ย่กู ็เปน็ แตเ่ พยี งกิตติมศักด์ิ กระทรวงธรรมการจ�ำ ตอ้ งทำ�หน้าท่สี ังฆราช” ดังน้นั จึงกลา่ วได้โดยยอ่ วา่ กอ่ นที่จะมีพระราชบัญญัตลิ ักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑(ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๔๕ ในรชั กาลท่ี ๕) การปกครองคณะสงฆด์ ำ�เนินการโดยคฤหสั ถ์ คฤหสั ถ์เป็นผแู้ ตง่ ต้งั และถอดถอนพระอุปัชฌาย์ ตลอดไปจนถงึ เป็นผูช้ ำ�ระวินิจฉยั อธิกรณ์มเี จ้าพนกั งานในกรมสังฆการี มบี นั ดาศักดหิ์ รือราชทนิ นามว่าขนุ วนิ จิ ฉยั ชาญคดี และขุนเมธาวนิ จิ ฉยั เป็นตน้ 81
ก่อนพระราชบัญญัตลิ กั ษณะปกครอง ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕)คณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวในรชั กาลท่ี ๕) ขนึ้ ไป เร่ืองราวเกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ในช่วงน้ันคฤหัสถ์ปกครองพระ คฤหัสถ์เปน็ ผ้ตู ง้ั เป็นเรอื่ งเก่าท่คี นทว่ั ไปมกั จะไมท่ ราบความเสยี แล้ว แต่และถอดถอนพระอปุ ชั ฌาย์ คฤหสั ถเ์ ปน็ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงมโี อกาสไดร้ บั ประทานพระเมตตาผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ มีขุนนางเจ้าหน้าที่ จากสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ฯทรงเลา่ เหตกุ ารณ์ในชว่ งเวลาช�ำ ระอธกิ รณม์ ชี อ่ื วา่ ขนุ วนิ จิ ฉยั ชาญคดี ท่ีกรมธรรมการทำ�หน้าที่ดูแลการคณะสงฆ์ต่างพระเนตรขุนเมธาวินิจฉัย พระสงฆ์ที่ละเมิด พระกัณฑ์ โดยสมเด็จพระสังฆราชเจา้ ฯ ได้เสดจ็ มาท่ีกุฏิพระวนิ ยั ตอ้ งรบั โทษทางบา้ นเมอื งอกี ของเจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ และเลา่ เรื่องตา่ ง ๆ ให้ฟัง เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทรงบนั ทกึ เร่ืองที่สว่ นหน่งึ สถานการณข์ องคณะสงฆ์ได้ รับสง่ั เล่าไวว้ ่า “ในสมยั สมเดจ็ กรมพระยาบ�ำ ราบปรปกั ษ์ (ในรัชกาลที่ ๕) มเี สด็จออกพระด�ำ เนนิ มาในลกั ษณะนจ้ี นถงึ รชั กาลท่ี ๕ กอ่ น ๑ ยามเปน็ ก�ำ หนดเสดจ็ ออกพระ ประทบั นง่ั บนเตยี ง พระหมอบเฝา้ ทพ่ี น้ื เวลา ๑ ยามแหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ก�ำ หนดเฝ้าพระพทุ ธเจ้าหลวง จงึ เสดจ็ ออกพระกอ่ น ๑ ยาม กรมหมนื่ ปราบปรปักษ์โอรส ของเสดจ็ ในกรมเคยรบั สงั่ วา่ ไมน่ ับถือพระ เหน็ จะเปน็ เพราะเห็นอาการเข้าเฝา้ ของพระ...” เหตกุ ารณด์ �ำ เนนิ มาในลกั ษณะนจ้ี นถงึ พ.ศ. ๒๔๔๕ พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครอง คณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ไดว้ างระเบยี บการปกครองคณะสงฆแ์ บบใหมต่ ามแนวพระดำ�ริ ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส แตถ่ งึ กระนน้ั พระราชอ�ำ นาจของ พระมหากษตั รยิ ท์ ท่ี รงปกครองคณะสงฆก์ ย็ งั มอี ยคู่ ลา้ ยเดมิ (หากแตเ่ กดิ มหาเถรสมาคมขน้ึ ) ประกอบดว้ ยเจา้ คณะใหญแ่ ละรองเจา้ คณะใหญร่ วมแปดรปู เพอ่ื ทรงปรกึ ษาเกย่ี วกบั กจิ การ พระศาสนาประกอบพระบรมราชวินิจฉัย พอดกี บั ที่เหตกุ ารณช์ ว่ งน้ันเป็นเวลาว่างสมเด็จ พระสังฆราช หลงั จากสมเด็จพระอรยิ วงศาคตญาณ (ปสุ ฺสเทโว สา) สมเดจ็ พระสังฆราช สิน้ พระชนม์เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๒ แล้ว มิได้ทรงพระกรณุ าโปรดสถาปนาสมเดจ็ พระสงั ฆราช องค์ใหมอ่ ยนู่ านปี หากแตท่ รงพระกรณุ าโปรดใหพ้ ระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหลวงวชริ ญาณวโรรส (พระยศในขณะนนั้ ) ทรงเป็นประธานในทปี่ ระชุมมหาเถรสมาคมจนตลอดรชั กาล พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อย่หู วั คร้ันลว่ งมาถงึ รชั กาลท่ี ๖ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอย่หู ัวทรงพระกรณุ า โปรดถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส เป็นสมเดจ็ พระสังฆราช พระองค์ท่ี ๑๐ แห่งกรุงรตั นโกสินทร์ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๓ หลังจาก นัน้ ราวปีเศษ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ทรงหารือกบั กระทรวงธรรมการว่า “เวลาน้ีได้ ฉันเป็นสงั ฆราชขึ้น น่าท่กี ระทรวงธรรมการจะปลดเปล้ืองการพระสงฆ์ท่ตี นไม่ถนัดถวาย ฉันเสยี ให้เป็นการเดด็ ขาด จะไดเ้ บาแรงและการจะดีขึน้ ” เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระบรมราชโองการ มอบการทั้งปวงซึ่งเป็นกิจธุระพระศาสนาถวายแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู้เป็นมหา สงั ฆปริณายกเพอ่ื ทรงเปน็ ธรุ ะปกครอง ตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๔๕๕ เป็นตน้ มา สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์น้ันจงึ ทรงเป็น สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกที่ได้ทรงปกครองคณะสงฆ์โดยแทจ้ ริง และทรงทำ�ใหพ้ ระสงฆ์ไดป้ กครองกนั เองเป็น คร้งั แรกในประวตั ิการณ์ของคณะสงฆ์ไทยสบื มาจนปจั จุบนั82
หลังการปฏิวัติเปลีย่ นแปลงการปกครอง และเมื่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๔ นี้มีผลบังคับใช้เป็นระบอบประชาธปิ ไตย พ.ศ. ๒๔๗๕ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ กไ็ ดท้ รงเขา้ มาปฏบิ ตั พิ ระภารกจิ ทางการคณะสงฆท์ ส่ี �ำ คญั ๆ ตงั้ แตร่ ะยะเริ่มแรก ดงั นี้ ตอ่ มาอกี ราวเกอื บ ๓๐ ปี ภายหลงั พ.ศ. ๒๔๘๔การเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบ พระชนมายุ ๒๘ พรรษาสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบ ทรงไดเ้ ปน็ สมาชกิ สงั ฆสภาโดยต�ำ แหนง่ประชาธิปไตยท่ีมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ในฐานะเปน็ พระเปรยี ญธรรม ๙ ประโยคพระประมขุ ทางฝา่ ยบา้ นเมอื งมกี ารแบง่ แยกอธปิ ไตยออกเปน็ สามสว่ น มรี ฐั สภา คณะรฐั มนตรี และศาลยตุ ธิ รรมใชอ้ �ำ นาจอธปิ ไตย พ.ศ. ๒๔๙๐ พ.ศ. ๒๔๘๘ดา้ นนติ บิ ญั ญตั ิ บรหิ าร และตลุ าการตามล�ำ ดบัรฐั บาลในยคุ นน้ั มคี วามประสงคท์ จ่ี ะจดั การ พระชนมายุ ๓๔ พรรษา พระชนมายุ ๓๒ พรรษาปกครองของคณะสงฆ์ ใหม่ให้อนุวัติหรือคล้อยตามทำ�นองเดียวกันกับประเพณีการ ได้รบั พระราชทานสมณศกั ดิ์เป็น เป็นพระวินยั ธรชนั้ อทุ ธรณ์ พระราชาคณะชนั้ สามัญ ในราชทนิ นามท่ี พระโศภนคณาภรณ์ปกครองของฝา่ ยอาณาจกั ร จงึ มกี ารตราพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ขน้ึตามกฎหมายใหมน่ ้ี สมเดจ็ พระสงั ฆราชทรง พ.ศ. ๒๔๙๕ พ.ศ. ๒๔๙๙บญั ญตั สิ งั ฆาณตั โิ ดยค�ำ แนะน�ำ ของสงั ฆสภาทรงบริหารคณะสงฆท์ างสงั ฆมนตรี ทรง พระชนมายุ ๓๙ พรรษา พระชนมายุ ๔๓ พรรษาวนิ จิ ฉยั อธกิ รณท์ างคณะวนิ ยั ธร กลา่ วเฉพาะฝา่ ยบรหิ าร การบริหารคณะสงฆแ์ บ่งเปน็ ส่ี ไดร้ ับพระราชทานเลอื่ นสมณศักดิ์ เปน็ พระวินยั ธรชนั้ ฎกี า และไดร้ ับองคก์ าร คอื องคก์ ารปกครอง องคก์ ารศกึ ษา เปน็ พระราชาคณะชั้นราช พระราชทานเลอื่ นสมณศกั ดิเ์ ป็นองคก์ ารเผยแผ่ และองคก์ ารสาธารณปู การ ในราชทนิ นามเดมิ พระราชาคณะชน้ั ธรรมในราชทนิ นามมีพระสงฆ์ผู้ดำ�รงตำ�แหน่งสังฆณายก พ.ศ. ๒๔๙๘ ท่ี พระธรรมวราภรณ์รบั ผดิ ชอบการบรหิ ารคณะสงฆ์ แตล่ ะองคก์ าร พระชนมายุ ๔๒ พรรษา ได้รับพระราชทานเลอื่ นสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชัน้ เทพ ในราชทินนามเดมิมสี งั ฆมนตรวี า่ การและสงั ฆมนตรชี ว่ ยวา่ การรว่ มกันรบั ผิดชอบสองรูป ประกอบกันเปน็คณะสังฆมนตรี ท�ำ นองเดยี วกนั กบั คณะรฐั มนตรที ท่ี �ำ หนา้ ทด่ี า้ นบรหิ ารประเทศ พ.ศ. ๒๕๐๑ สมเด็จพระสังฆราชเจา้ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ส้ินพระชนม์ พระศพประดิษฐานอยู่ ณ พระต�ำ หนกั เพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร เปน็ เวลาถงึ ๓ ปี จงึ พระราชทานเพลงิ พระศพ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๓ หลงั จากพระราชทานเพลงิ พระศพแลว้ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ สถาปนา สมเด็จพระวันรัต (ปลด กิตฺติโสภิณ) สังฆนายกพ.ศ. ๒๕๐๓ วดั เบญจมบพติ รดสุ ติ วนาราม เปน็ สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก พระองคท์ ่ี ๑๔ แหง่พระชนมายุ ๔๗ พรรษา กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ (จวน อฏุ ฺฐาย)ี วดั มกฏุ กษัตริยาราม ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆนายก จึงมีการตั้งคณะทรงได้รบั แต่งต้ังเป็นสังฆมนตรีชว่ ยวา่ การองคก์ ารปกครอง สงั ฆมนตรชี ุดใหม่ตามพระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ สั่งการองคก์ ารปกครองคณะธรรมยตุ ในคราวน้ัน เปน็ ผลใหท้ รงมีหนา้ ทีส่ ่ังการดแู ลรับผิดชอบการปกครองคณะธรรมยตุ พรอ้ มกนั กบั ทรงรักษาการเจ้าคณะภาคธรรมยุตทกุ ภาคด้วย เท่ากบั ทรงปกครองดแู ลวัดและพระภิกษสุ ามเณรฝ่ายธรรมยตุ กิ าท่ัวราชอาณาจกั ร 83
คณะสังฆมนตรี พ.ศ. ๒๕๐๓ แถวหนา้ สุด : สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) สมเดจ็ พระสังฆราชพระองคท์ ี่ ๑๔ แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์ วดั เบญจมบพติ รดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร กรงุ เทพมหานคร ทรงฉายภาพกับคณะสงั ฆมนตรี ดังน้ี แถวท่ี ๒ จากซา้ ย : ๑. พระธรรมคุณาภรณ์ (ฟน้ื ชตุ ินฺธโร) วดั สามพระยา (สดุ ท้ายได้รบั พระราชทานสถาปนา เป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย)์ เป็นสังฆมนตรีวา่ การองค์การศึกษา ๒. พระธรรมรตั นากร (ทรัพย์ โฆสโก) วัดสังเวชวิศยาราม (สุดทา้ ยไดร้ บั พระราชทานสถาปนาเป็น สมเดจ็ พระวันรตั ) เป็นสงั ฆมนตรวี ่าการองค์การ ปกครอง ๓. สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (จวน อฏุ ฺฐาย)ี วัดมกฏุ กษตั รยิ าราม (ต่อมาได้รับพระราชทานสถาปนา เปน็ สมเด็จพระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช) เป็นสงั ฆนายก ๔. พระธรรมวโรดม (ปุ่น ปุณฺณสริ )ิ วดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม (สุดท้ายไดร้ ับพระราชทานสถาปนาเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จ พระสงั ฆราช) เป็นสงั ฆมนตรวี า่ การองคก์ ารเผยแผ่ ๕. พระอุบาลีคณุ ปู มาจารย์ (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธ สถติ มหาสมี าราม (สดุ ทา้ ยไดร้ บั พระราชทานสถาปนาเป็น สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช) เป็นสังฆมนตรวี า่ การองคก์ ารสาธารณูปการ แถวหลังสุด จากซ้าย : ๖. พระธรรมวราภรณ์ (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนเิ วศวหิ าร (คือ สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก) เป็นสังฆมนตรชี ว่ ยว่าการองค์การปกครอง ๗. พระธรรมทัศนาธร (ทองสุก สุทสฺโส) วดั ชนะสงคราม เปน็ สังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การสาธารณปู การ ๘. พระธรรมปาโมกข์ (วนิ ธมมฺ สาโร) วัดราชผาติการาม (สดุ ท้ายได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ)์ เป็นสงั ฆมนตรี ช่วยว่าการองคก์ ารศกึ ษา ๙. พระธรรมจนิ ดาภรณ์ (ทองเจือ จินตฺ ากโร) วัดราชบพธิ สถิตมหาสมี าราม (สดุ ทา้ ยได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น สมเด็จพระพุทธปาพจนบด)ี เปน็ สังฆมนตรชี ว่ ยว่าการองคก์ ารเผยแผ่ ๑๐. พระธรรมมหาวรี านวุ ตั ร (ไสว ฐติ วีโร) วัดไตรมิตรวิทยาราม (สุดทา้ ยไดร้ ับพระราชทานสถาปนาเปน็ พระวสิ ทุ ธาธบิ ด)ี เป็นสังฆมนตรี คณะสังฆมนตรีชดุ นี้ เปน็ ชุดสดุ ทา้ ยตามพระราชบญั ญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ต่อมาได้ประกาศใช้ พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆฉ์ บับใหมค่ ือ พระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕84
พ.ศ. ๒๕๐๔ พ.ศ. ๒๕๐๕ เร่อื งการใช้พระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ปรากฏว่าเกิดความขัดขอ้ งพระชนมายุ ๔๘ พรรษา และขัดแย้งข้ึนในการปกครองคณะสงฆ์ จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ไดเ้ ข้าไปสงั เกตการประชุมสงั ฆสภาแลว้ พิจารณาเห็นว่ารูปแบบการปกครองตามไดท้ รงเปน็ เจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ไม่เหมาะสมแก่การปกครองคณะสงฆ์เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ และรบั พระราชทาน จึงไดม้ กี ารยกเลิกกฎหมายฉบับดังกล่าวและประกาศใช้พระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์สถาปนาเป็นพระราชาคณะชั้น พ.ศ. ๒๕๐๕ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยก�ำ หนดใหส้ มเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ คณะรองท่ี พระสาสนโสภณ สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ทรงบญั ชาการคณะสงฆ์ทางมหาเถรสมาคม ทรงมีอำ�นาจ ทางกฎหมายและพระธรรมวินัยกรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรก พ.ศ. ๒๕๐๖๑. สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศ พระชนมายุ ๕๐ พรรษาผู้ปฏบิ ตั ิหน้าทีส่ มเด็จพระสงั ฆราช ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ(สุดท้ายได้รบั พระราชทานสถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสงั ฆราช) มหาเถรสมาคมชดุ แรกดว้ ยรปู หนึง่ และได้ทรงอยใู่ นมหาเถรสมาคม๒. สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ (จวน อฏุ ฺฐายี) วดั มกฏุ กษัตรยิ าราม มาจนถึงทสี่ ุดแหง่ พระชนมชีพ(สดุ ท้ายได้รับพระราชทานสถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช) พ.ศ. ๒๕๑๕๓. สมเดจ็ พระวันรตั (ปุน่ ปณุ ณฺ สริ )ิ วัดพระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม พระชนมายุ ๕๙ พรรษา(สดุ ทา้ ยได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสังฆราช) ได้ทรงดำ�รงตำ�แหน่งเจ้าคณะ นครหลวงกรุงเทพธนบุรี และ๔. พระอบุ าลคี ุณูปมาจารย์ (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพธิ สถติ มหาสีมาราม เจ้าคณะจังหวัดสมุทรปราการ (ธรรมยตุ ) และทรงได้รบั สถาปนา(สุดทา้ ยได้รบั พระราชทานสถาปนาเป็น สมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสงั ฆราช) เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเดจ็ พระญาณสงั วร๕. พระธรรมปญั ญาบดี (วน ฐติ ญาโณ) วัดอรุณราชวราราม(สดุ ท้ายได้รับพระราชทานสถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระพุฒาจารย)์๖. พระสาสนโสภณ (เจรญิ สุวฑฒฺ โน)คอื สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก๗. พระมหาโพธวิ งศาจารย์ (สาลี อินฺทโชโต) วัดอนงคาราม พ.ศ. ๒๕๑๗ พระชนมายุ ๖๑ พรรษา ได้ทรงเปน็ ประธาน กรรมการคณะธรรมยตุ พ.ศ. ๒๕๓๒ พระชนมายุ ๗๖ พรรษา ทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก พระองคท์ ี่ ๑๙ แหง่ กรงุ รตั นโกสินทร์ และทรงไดเ้ ป็นเจ้าคณะใหญค่ ณะธรรมยตุ 85
กหาลรพกั รกะศาารสบนาริหาร จากทเ่ี ลา่ สกู่ นั ฟงั มานเ้ี ราจะเหน็ ไดว้ า่ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไดท้ รงปฏบิ ตั พิ ระภารกจิ ของคณะสงฆ์ ในตำ�แหน่งสำ�คัญต่างๆ มาตั้งแต่พระชนมายุยังน้อย และน่าจะเป็นเพราะพระปรีชาในการหลักขอ้ ท่ี ๑ บรหิ ารงานคณะสงฆ์ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จงึ ไดท้ รงท�ำ หน้าทส่ี �ำ คญั เหลา่ นัน้ ตั้งแต่พระชนมายุ ยงั น้อยและทวีความสำ�คัญเพ่มิ ขึ้นตามลำ�ดบั ตลอดจนพระชนมชีพ ในการท�ำ หนา้ ทบี่ ริหารการ าตุ จิรํ สตํ ธมโฺ ม พระศาสนาในต�ำ แหน่งใดก็ตามทรงถือหลกั ส�ำ คัญสามประการ กลา่ วคือคือการบริหารพระศาสนานั้น เพื่อ หลกั ขอ้ ที่ ๒ หลกั ขอ้ ท่ี ๓ความดำ�รงอยู่แห่งพระสัทธรรม คอืธรรมวินัย หรอื พระพทุ ธศาสนา ซงึ่ ธมฺมธรา จ ปุคฺคลา สงฺโฆ โหตุ สมคโฺ ค วหมายถงึ การจดั การศกึ ษาใหพ้ ระภกิ ษุสามเณรและอบุ าสกอบุ าสกิ าไดศ้ กึ ษา คือการบริหารพระศาสนานั้นตอ้ ง คอื ผ้บู ริหารพระศาสนาจะตอ้ งบรหิ ารเล่าเรยี นพระธรรมวนิ ัย หนา้ ทข่ี องผู้ ใหม้ ีผทู้ รงธรรม ทรงวนิ ัย ซง่ึ หมาย ใหพ้ ระสงฆ์มีความสามคั คีพรอ้ มบรหิ ารพระศาสนาจ�ำ เปน็ จะตอ้ งรกั ษา ถงึ ตั้งแตท่ รงจำ� และทรงไวด้ ้วยการ เพรยี งกันโดยธรรมวนิ ยั และหลกัพระธรรมวนิ ยั ไว้เปน็ หลัก แต่ก็ตอ้ ง ปฏิบตั ิ คือให้มีผู้ปฏบิ ตั ิพระธรรมวนิ ัย ของความพร้อมเพรียงกนั นัน้ ก็คือผอ่ นไปในทางโลก คอื ใหก้ ารศึกษา ใหม้ ีพระธรรมวนิ ัยขน้ึ ในตน หลักสาราณยี ธรรม ๖ นั้นเองทางโลกตามสมควร เพราะเป็นสมยัท่จี ะยนื ยันไปในทางเดยี วไมไ่ ด้ หลักท้ังสามประการนี้ ถ้าว่าโดยยอ่ กค็ อื การสร้างโรงเรยี น สร้างคน และสรา้ ง สามัคคี โดยเฉพาะอย่างยงิ่ เร่อื งความสามคั คนี นั้ ทรงย�ำ้ อยเู่ สมอวา่ “ตอ้ งพยายามรกั ษาความสามคั คี ความพร้อมเพรียงกนั ในระหว่างนกิ าย อย่าให้เปน็ ศตั รกู ัน แต่ใหเ้ ป็นมิตรกันและช่วยเหลือซงึ่ กนั และกนั เพ่ือ ชว่ ยกันรกั ษาพระศาสนา” ขณะเดยี วกนั ยงั มอี กี เรอ่ื งหนง่ึ ทท่ี รงย�ำ้ อยเู่ สมอคอื เปน็ พระตอ้ ง มีงานท�ำ ถา้ ไม่มงี านทำ�อย่วู ่างๆ ก็เป็นท่ีร�ำ คาญ ฟงุ้ ซา่ น อยไู่ ม่ได้ และงานโดยตรงของพระกค็ อื กรรมฐาน เปน็ งานทข่ี าดไมไ่ ด้ ควรท�ำ อยเู่ สมอ ยง่ิ วา่ งจากงานอ่ืน ๆ ยงิ่ ตอ้ งท�ำ กรรมฐาน ถา้ ทง้ิ กรรมฐาน เสียแลว้ ใจกม็ ากไปด้วยกามตัณหาแล้วก็ร้อน แลว้ อยู่ไม่ได้ ท้ายท่ีสุดทรงสรุปว่าทุกคนมีหน้าท่ีปกครองอยู่ด้วยกันทั้งน้ัน คือการปกครองตนเอง ไม่ว่าจะเป็นพระหรือเป็นฆราวาสจะต้อง ปกครองตวั เอง โดยจะตอ้ งมธี รรมส�ำ หรบั ปกครองตวั เองใหด้ �ำ เนนิ ไป ในทางทด่ี ที ช่ี อบ และในการปกครองตนเองนน้ั ถา้ ท�ำ กรรมฐานแลว้ จะปกครองตนเองได้งา่ ยขน้ึ หลักสาราณียธรรม ๖ หมายถงึ หลักธรรมอนั เป็นท่ตี ้งั แห่งความ ระลึกถึงกันหรือหลักธรรมที่เป็นพลังสร้างความสามัคคีหกประการ ไดแ้ ก่ กายกรรมอันประกอบดว้ ยเมตตา วจกี รรมอนั ประกอบด้วย เมตตา มโนกรรมอันประกอบด้วยเมตตา สาธารณโภคคี อื การรู้จกั แบง่ ปนั สง่ิ ของใหแ้ ก่กนั ตามควร สลี สามญั ญตา คือความรักใคร่ สามัคคีรักษาศีลอย่างเคร่งครัดและประพฤติสุจริตตามกฏเกณฑ์ ของหมู่คณะ และขอ้ สดุ ท้าย ทิฏฐสิ ามัญญตา คอื การมคี วามเห็น รว่ มกนั รจู้ กั เคารพและรบั ฟังความเห็นผอู้ นื่86
ทรงรับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช“คสำ�วัง่ฆา ราช” กรงุ ศรีอยุธยา ตามความหมายที่เข้าใจกันอยู่โดยท่ัวไป ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ตามท�ำ เนียบสมณศกั ด์คิ รั้งกรุงเก่ามตี ำ�แหนง่ สงั ฆปริณายก มาแตเ่ ก่ากอ่ น หมายถงึ ผู้ท่ีเปน็ ประมขุ สององคเ์ รียกวา่ พระสงั ฆราชซ้าย ขวา มี “สมเดจ็ พระอรยิ วงศาสงั ฆราชาธบิ ด”ี เปน็ ของคณะสงฆ์ และไดร้ บั ต�ำ แหนง่ นั้นเพราะ พระสังฆราชฝ่ายขวา ปกครองคณะเหนือคือบรรดาหัวเมืองท่อี ยตู่ อนเหนอื ของราชธานี พระมหากษตั รยิ ท์ รงแตง่ ต้งั มไิ ด้เปน็ เอง ขน้ึ ไป นบั จากราชธานเี ปน็ เกณฑ์ และมี “พระพนรตั ” เปน็ พระสงั ฆราชฝา่ ยซา้ ยปกครอง ตามใจชอบหรือยกย่องกันเองในหมู่ท่ีเป็น คณะใต้ ทั้งสององค์มเี กียรตยิ ศได้รบั พระสุพรรณบฏั จารกึ นาม แตพ่ ระพนรัตนนั้ ไมไ่ ด้ ลกู ศษิ ย์ คำ�ว่าสงั ฆราชนี้ มมี าต้ังแตส่ มัย เป็น “สมเด็จ” ส่วนพระสงั ฆราชฝา่ ยขวาเป็นสมเดจ็ พระอรยิ วงศาสังฆราชาธิบดที ุกองค์ กรุงสโุ ขทยั ดงั ปรากฏความในศลิ าจารกึ จงึ เรยี กวา่ “สมเดจ็ พระสงั ฆราช” ถอื กนั วา่ มศี กั ดส์ิ งู กวา่ สงั ฆราชฝา่ ยซา้ ย เปน็ ดงั นเ้ี สมอ หลกั ท่ี ๑ มีเน้อื ความตอนหนง่ึ ว่า มาตลอดจนสมัยกรุงธนบรุ ี “มปี คู่ รู มเี ถร มมี หาเถร...สงั ฆราชปราชญ์ เรียนจบปิฎกไตร...” และ “...โปรยทานแก่ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ มหาเถรสั (งฆราช) ปราชญเ์ รยี นจบปฎิ กไตร หลวกกวา่ ปู่ครูในเมอื งนี้ทุกคน...” ครั้นมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลก็ได้ทรงดำ�เนิน ความท้ังสองตอนนี้เมื่ออ่านประกอบกับ ตามรอยแบบแผนที่มีมาแต่ก่อน โดยทรงสถาปนาพระมหาเถรผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพ หลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นแล้วเป็นที่ สกั การะของมหาชนทว่ั ไป และบางองคก์ ม็ คี ณุ ปู การเปน็ การสว่ นพระองคด์ ว้ ย เชน่ เปน็ เข้าใจได้วา่ การปกครองคณะสงฆค์ ร้งั น้ัน พระราชอุปัธยาจารยบ์ ้าง พระราชกรรมวาจาจารย์บา้ ง ในสมัยท่ีทรงพระผนวชหรอื ได้ แบง่ เปน็ สองคณะ เรยี กวา่ คามวาสคี ณะหนง่ึ ถวายศาสโนวาทอยู่เป็นนิจบ้าง ขึ้นเปน็ สมเดจ็ พระสังฆราช บางพระองค์ก็ไม่ปรากฏ จดั เปน็ ฝา่ ยขวา เรยี กวา่ อรญั วาสอี กี คณะหนง่ึ ราชทินนาม เชน่ สมเด็จพระสงั ฆราช (ศร)ี และ สมเด็จพระสงั ฆราช (สกุ ) เม่อื ครง้ั จดั เป็นฝา่ ยซ้าย ผ้เู ป็นหวั หนา้ ของท้ังสอง แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช และ สมเด็จพระสงั ฆราช คณะ ด�ำ รงตำ�แหนง่ “สังฆราช” (ดอ่ น) ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลยั ทั้งสามพระองคน์ ้ีไม่ปรากฏ หลกั ฐานพระนามท่ีทรงสถาปนา บางพระองคก์ ็ปรากฏราชทนิ นามคลา้ ยคลึงกนั บา้ ง แตกตา่ งกันบา้ ง แต่ยงั พอเหน็ เค้าแบบธรรมเนยี มทีม่ ีมาแต่สมัยอยธุ ยา เช่น สมเด็จ พระอรยิ วงษญาณ ปรยิ ตั วราสงั ฆราชาธบิ ดี ศรสี มณตุ มปรนิ ายก พระนามนไ้ี ด้ใชส้ �ำ หรบั สมเดจ็ พระสงั ฆราชหลายองค์ ไดแ้ กส่ มเดจ็ พระสงั ฆราชองคท์ ่ี ๓ องคท์ ่ี ๔ และองคท์ ่ี ๖ อกี พระนามหนง่ึ ทป่ี รากฏพบบอ่ ยไดแ้ กพ่ ระนามวา่ สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก พระนามนไ้ี ด้ใชส้ �ำ หรบั สมเดจ็ พระสงั ฆราชองคท์ ่ี ๙ องคท์ ่ี ๑๒ และองคท์ ่ี ๑๔ จนถงึ องคท์ ่ี ๑๘ มขี อ้ ยกเวน้ อยวู่ า่ หากเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราชท่ี เปน็ พระราชวงศจ์ ะทรงไดร้ บั พระราชทานเกยี รตยิ ศในทางพระราชวงศเ์ ปน็ หลกั เชน่ ไดท้ รง กรมเปน็ กรมพระยาในกรณขี องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชองค์ท ่ี ๘ และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเดจ็ พระสงั ฆราชองคท์ ่ี ๑๐ ทรงกรมเปน็ กรมพระ ในกรณขี องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส สมเดจ็ พระสงั ฆราชองคท์ ่ี ๗ ทรงกรมเปน็ กรมหลวง ในกรณขี อง พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหลวงชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ และสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชองคท์ ี่ ๑๑ และองคท์ ่ี ๑๓ ตามลำ�ดบั 87
การสถาปนาสมเดจ็ พระสังฆราช ขอ้ ทคี่ วรกลา่ วอกี เรือ่ งหนง่ึ คอื หากมใิ ช่สมเดจ็ พระสงั ฆราช ย้อนกลับไปกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อ ท่ีเป็นพระราชวงศ์ซึง่ จะทรงจัดพระราชพิธีสถาปนาข้ึน ทรงด�ำ รงตำ�แหนง่ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเปน็ การพิเศษ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสโน วาสน์) เชน่ การพระราชพธิ ีมหาสมณตุ มาภิเษกท่ีจดั พระราชทาน สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สิ้นพระชนม์เมื่อ วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ และได้ทรง และสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสแล้ว พระกรุณาโปรดพระราชทานเพลิงพระศพเม่ือ การสถาปนาพระมหาเถระทไ่ี ม่ไดเ้ ป็นพระราชวงศข์ นึ้ เป็น วนั ที่ ๑๘ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๓๒ แล้ว เปน็ เวลา สมควรท่ีจะได้นำ�ความกราบบังคมทูลพระกรุณา สมเด็จพระสงั ฆราช ก็ไม่ได้มีแบบแผนท่ีแนน่ อนตายตัวแต่อย่างใด เพื่อโปรดสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะรูปใด เมอ่ื ครัง้ ต้นกรุงรตั นโกสนิ ทร์ปรากฏร่องรอยแต่เพียงวา่ เม่อื พระมหาเถร รูปหน่งึ ข้นึ ดำ�รงตำ�แหน่งสมเด็จพระสังฆราชตาม พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๗ องค์ใดได้รับสถาปนาข้ึนเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราช ก็แหม่ าสถิต ณ กำ�หนดให้การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุ อนั เป็นวัดส�ำ หรับตำ�แหน่งสมเด็จพระสงั ฆราช ตอ่ มา เป็นพระราชอำ�นาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่ง ในช้ันหลงั ในรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล ตามโบราณราชประเพณี จะทรงสถาปนาจาก พระอฐั มรามาธิบดินทร และ ในรัชกาลปัจจบุ นั ในชว่ งตน้ รัชกาล สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่ง ในเวลานั้น พธิ สี ถาปนาสมเดจ็ พระสังฆราชมไิ ด้แยกเป็นการพระราชพิธีต่างหาก พลเอกมานะ รัตนโกเศศ รัฐมนตรีกระทรวง แตม่ กั กระท�ำ ตอ่ เนอ่ื งหรอื รวมกนั ไปกบั พระราชพธิ ปี ระจ�ำ ปที ม่ี คี วามส�ำ คญั ศกึ ษาธกิ ารซง่ึ เปน็ ผรู้ กั ษาการตามพระราชบญั ญตั ิ เช่น พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา หรือพระราชพธิ ีฉตั รมงคล จึงได้นำ�รายนามสมเด็จพระราชาคณะและข้อมูล เพิ่งจะทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมให้ต้งั พิธสี ถาปนาขน้ึ ที่เกี่ยวข้องขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา เพื่อ เปน็ พระราชพิธีเฉพาะท่ามกลางมหาสงั ฆสันนบิ าต พรอ้ มดว้ ย ทรงมีพระบรมราชวนิ ิจฉยั พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการฝา่ ยทหารพลเรือน ณ พระอโุ บสถ วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม กเ็ มอ่ื คราวทรงสถาปนาสมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ (อฏุ ฺฐายี จวน) เปน็ สมเด็จพระสงั ฆราช เมอื่ วันท่ี ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๘ เปน็ คราวแรก และได้ถอื เป็นแบบพระราชประเพณี ส�ำ หรบั การสถาปนาสมเดจ็ พระสงั ฆราชองคต์ อ่ ๆ มา ตราบกระทง่ั ปจั จบุ นั88
สมเด็จพระราชาคณะ ในขณะนั้นมี ๖ รูป เรียงลำ�ดับอาวุโสตามสมณศักดิ์ ดังนี้ สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระราชาคณะเมื่อวนั ท่ี๑. สมเดจ็ พระญาณสงั วร (สวุ ฑฒฺ โน เจรญิ คชวตั ร ป.ธ.๙) อายุ ๗๕ พรรษา ๕๕ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ อาย ุ ๘๔ พรรษา ๖๒ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ วัดบวรนเิ วศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร อายุ ๘๒ พรรษา ๖๐ ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ อายุ ๘๓ พรรษา ๖๒ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐๒. สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ชตุ ินธฺ โร ฟน้ื พรายภู่ ป.ธ.๙) อาย ุ ๘๕ พรรษา ๖๕ ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ อายุ ๗๘ พรรษา ๕๗ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ วัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร๓. สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (ธมมฺ สาโร วนิ ทปี านเุ คราะห์ ป.ธ.๙) วดั ราชผาตกิ าราม กรุงเทพมหานคร๔. สมเดจ็ พระวนั รตั ( ธมฺโม จับ สนุ ทรมาศ ป.ธ.๙) วดั โสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร๕. สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ (อาสโภ อาจ ดวงมาลา ป.ธ.๘) วัดมหาธาตุยวุ ราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร๖. สมเดจ็ พระธีรญาณมนุ ี (เขมจารี สนธิ ทั่งจันธร ป.ธ.๙) วดั ปทมุ คงคา กรงุ เทพมหานคร 89
อนง่ึ สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทส่ี มเดจ็ พระสงั ฆราช หมอ่ มหลวงทวีสันต์ ลดาวัลย์ ราชเลขาธกิ าร ได้นำ� ได้มีสังฆทัศนะเก่ียวกับการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชว่า ความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ควรจะเปน็ สมเดจ็ พระญาณสงั วรวดั บวรนเิ วศวหิ าร และสมเดจ็ แลว้ ทรงพระกรุณาโปรดใหส้ ถาปนา สมเดจ็ พระญาณสงั วร พระพฒุ โฆษาจารย์ วัดสามพระยา ได้มีลขิ ิตขอถอนชื่อหาก วดั บวรนเิ วศวิหาร เป็นสมเด็จพระสังฆราช จะพึงมีเก่ียวกับการเสนอรายนามเพ่ือพิจารณาสถาปนา สมเด็จพระสังฆราชในครงั้ น้ี อน่ึง ส�ำ หรับราชทินนามที่จะไดร้ ับพระราชทานสำ�หรบั พลเอกมานะ รัตนโกเศศ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวง ต�ำ แหนง่ สมเด็จพระสงั ฆราชคราวนน้ี ัน้ ตามแบบธรรมเนียม ศึกษาธิการได้เสนอรายนามพระราชาคณะทง้ั ๖ รปู พร้อม ทไ่ี ดเ้ ลา่ สกู่ นั ฟงั มาแลว้ ขา้ งตน้ เราจะพบวา่ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สงั ฆทศั นะขา้ งตน้ ตอ่ นายกรฐั มนตรี และคณะรฐั มนตรไี ด้ ที่ไม่ใช่พระราชวงศ์และได้รับสถาปนาในรัชกาลปัจจุบันจะมี ประชมุ ปรกึ ษา ณ วันที่ ๒๘ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ลงมติ พระนามวา่ “สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ” ดว้ ยกนั ทง้ั สน้ิ แต่ เห็นควรนำ�ความกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายความเห็นว่า ส�ำ หรบั ครง้ั น้ี ทรงพระกรณุ าโปรดเปน็ พเิ ศษให้ใชร้ าชทนิ นาม สมเดจ็ พระราชาคณะทม่ี อี าวโุ สสงู ทางสมณศกั ดเ์ิ ปน็ ผเู้ หมาะสม “ญาณสังวร” เช่นเดียวกันกับที่ได้ทรงใช้ เมื่อทรงได้รับ ได้แก่ สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวหิ าร สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระราชาคณะ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๕ เพยี งแต่ นายอนันต์ อนันตกลู เลขาธกิ ารคณะรัฐมนตรีจึงไดม้ ี เมอ่ื เปน็ สมเด็จพระสังฆราชแล้ว กม็ ีสร้อยพระราชทานนาม หนงั สอื ถงึ ราชเลขาธกิ าร ขอใหน้ �ำ ความกราบบงั คมทลู พระกรณุ า เพม่ิ เขา้ ไปตามตำ�แหนง่ วา่ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหา การจะควรประการใดสุดแตจ่ ะทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ สงั ฆปริณายก เทา่ น้นั90
พระรูปปน้ั สมเด็จพระสังฆราช (สกุ ) พระนาม “ญาณสงั วร” นี้ นอกจากจะเป็นราชทนิ นามของเจ้าพระคณุ สมเดจ็ พระสังฆราชประดิษฐาน ณ วดั ราชสิทธาราม พระองคน์ แ้ี ลว้ ในอดีตได้เคยใช้เปน็ พระนามของสมเดจ็ พระราชาคณะรปู อืน่ เพียงรปู เดียวใน ประวตั ศิ าสตร์ ไดแ้ ก่ สมเดจ็ พระญาณสงั วร(สกุ ) แหง่ วดั ราชสทิ ธารามหรอื วดั พลบั ทางฝง่ั ธนบรุ ี ตง้ั แต่ ครง้ั ทรงเปน็ พระราชาคณะชน้ั สามญั ทพ่ี ระญาณสงั วรเถร และไดเ้ ลอ่ื นเปน็ สมเดจ็ พระราชาคณะ ทส่ี มเดจ็ พระญาณสงั วรในภายหลงั เปน็ ทเ่ี ลา่ ขานกนั มาจนทกุ วนั นว้ี า่ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ พระสงั ฆราช พระองคน์ ้นั ทรงสังวรในญาณเปน็ อยา่ งย่ิง เปน็ เหตุใหพ้ ระกรณุ าคุณและพระเมตตาคุณเด่นชดั ทรงมฉี ายาท่ีเรียกกันท่วั ไปในเวลานนั้ วา่ “สมเด็จพระสังฆราชสกุ ไกเ่ ถ่อื น” อันมคี วามหมายว่า แม้ไกป่ า่ ทไ่ี มค่ นุ้ เคยกบั คน กย็ อมสงบนง่ิ เมอ่ื เขา้ ใกลส้ มเดจ็ พระสงั ฆราชพระองคน์ น้ั อยา่ งไรกด็ ี สมเดจ็ พระสงั ฆราชสุกไก่เถอื่ นเมือ่ ถงึ คราวที่ทรงรับสถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเม่ือพ.ศ. ๒๓๖๓ ในรัชกาลที่ ๒ ก็ทรงได้รับพระราชทานพระราชทนิ นามใหมว่ ่า สมเดจ็ พระอรยิ วงษญาณ ปริยัติวราสงฆราชาธิบดี ศรีสมณุตมปริณายก ตามแบบธรรมเนียม หาได้ใช้ราชทินนาม “ญาณสงั วร” เม่อื ทรงดำ�รงตำ�แหนง่ พระสังฆราชไม่ คราวนีจ้ งึ เปน็ คร้งั แรกทรี่ าชทินนาม “ญาณสังวร” ได้เปน็ ทัง้ ราชทินนามส�ำ หรบั พระมหาเถรรูปเดยี วกัน ท้ังเมอ่ื ทรงเป็นสมเด็จพระราชาคณะ และทัง้ เมื่อทรงเป็นสมเดจ็ พระสังฆราช ท่เี ปน็ ดงั นก้ี ็นา่ จะเนื่องมาจากพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ได้ทรงพระราชด�ำ ริเห็นว่าราชทนิ นามดงั กล่าวเหมาะแกพ่ ระคุณธรรมของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ เป็นอยา่ งย่งิ นนั่ เอง ดูก่อนอชิตะ กระแส (ตัณหา) เหล่าใดในโลกมีอยู่ สติย่อมเป็นเครอื่ งหา้ มกระแสเหลา่ นน้ั เราตถาคตกล่าวสติวา่ เปน็ เคร่อื งระวังกระแสทั้งหลาย กระแสเหล่าน้นั อนั บคุ คล ยอ่ มละดว้ ยปญั ญานเ้ี รียกว่า “ญาณสงั วร” อ.มลู ปรยิ ายสตู ร ม.ม.ู ๑๗/๕๘ 91
พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ดว้ ยเหตุท่พี ระราชพิธสี ถาปนาสมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายกเป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ ซึ่งเป็นเวลากว่าเสี้ยวศตวรรษแล้ว การเล่าความย้อนหลังเกี่ยวกับพระราชพิธดี งั กล่าวโดยสงั เขปนา่ จะเปน็ ประโยชน์ และท�ำ ใหเ้ ราสามารถนกึ ยอ้ นเหตุการณ์สำ�คญัในครง้ั นัน้ ได้โดยชดั เจน หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยท่ี แบบลายพดั ยศสมณศกั ดสิ์ มเด็จพระสงั ฆราชจะทรงพระกรุณาโปรดให้สมเดจ็ พระญาณสังวร ไดร้ บั สถาปนาเป็นสมเดจ็ ทีส่ รา้ งขน้ึ ใหม่พระสังฆราชแลว้ สว่ นราชการทเ่ี ก่ยี วข้องกไ็ ดด้ ำ�เนินการเพอื่ เตรยี มความพรอ้ มในการพระราชพธิ ดี งั กลา่ วตามราชประเพณี เรอ่ื งแรกทต่ี อ้ งเตรยี มการคอื การจัดสรา้ งพัดยศสำ�หรับตำ�แหน่งสมเด็จพระสงั ฆราชองค์ใหม่ กรมการศาสนาซ่ึงเป็นเจ้าหน้าที่ในเร่ืองนี้ได้นำ�ความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่าพัดยศสมเด็จพระสังฆราชเล่มที่ใช้ในราชการอยู่ในเวลาน้ันได้ใชม้ าเปน็ เวลานานแลว้ จงึ มลี กั ษณะคอ่ นขา้ งเกา่ ประกอบกบั ใน พ.ศ. ๒๕๓๒ซึง่ เปน็ ปีแห่งการพระราชพธิ นี ี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ทรงครองราชย์มานานกว่าพระมหากษัตริย์องค์อื่นๆ ในราชวงศ์จักรี (มีการพระราชพิธีรัชมงั คลาภเิ ษก เมอ่ื เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๑) กรมการศาสนาจงึ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดสร้างพัดยศสมเด็จพระสังฆราชขึ้นใหม่เมอ่ื ความทราบฝา่ ละอองธลุ พี ระบาทแลว้ ไดพ้ ระราชทานพระบรมราชานญุ าตใหจ้ ดั สร้างพัดยศสมเด็จพระสงั ฆราชเล่มใหม่ได้ ลกั ษณะพดั ยศสมณศักดิท์ ี่สร้างใหม่คราวนี้ เปน็ พดั แฉกทรงพ่มุ ข้าวบิณฑ์ พ้นื บุผ้าตาดเงินสลบั ลกู ค่นั ผ้าตาดทอง ปกั ดิ้นเลื่อมเงนิ และทองแล่ง ขอบพัดที่ เป็นแฉกปักเป็นลายชอ่ ใบเทศ ถัดเข้ามาปักลายน่องสิงหอ์ ยา่ งลายเนอื่ ง ต่อเขา้ มาปักเป็นลายเกลียวใบเทศกระหนาบแม่ลายซึ่งปักเป็นลายเกลียวกนก ชั้นที่ ล้อมใจกลางพัดปักเป็นลายน่องสิงห์เนื่องกันทั้งสองข้าง ใจกลางเป็นรูปโคม ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ปักเป็นรูปพระราชลัญจกรประจำ�รัชกาลที่ ๙ ประกอบด้วย รูปพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ภายใต้สัปตปฎลเศวตฉัตร ตรงกลางมี พระมหาอณุ าโลมอยใู่ นวงพระแสงจกั รมพี ระรศั มเี ปลง่ ออกโดยรอบ เปน็ ลกั ษณะ พเิ ศษแตกตา่ งจากพัดสมณศกั ดิ์สมเด็จพระสงั ฆราชทม่ี ีมาแต่ก่อน เพื่อแสดงให้ เห็นถึงพระบรมเดชานุภาพ และการศาสนปู ถัมภกในพระพทุ ธศาสนา และเปน็ พระเกยี รตแิ กส่ มเดจ็ พระสงั ฆราชพระองค์ใหม่ ดา้ มพดั เปน็ งาตนั ตน้ ดา้ มเปน็ เมด็ ทรงมณั ฑ์แกะลาย คอแกะลายเทพพนม ยอดพดั เป็นงาแกะเปน็ รูปฉตั รสามชั้น92
เม่ือใกล้ถึงวันพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จ สว่ นการพระราชพธิ ี ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหห้ มอ่ มเจา้ ปยิ ะรงั สติ รงั สติพระสังฆราช โหรหลวงคำ�นวณพระฤกษถ์ วาย ในภาคเช้า เสด็จไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์แล้ว ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้กำ�หนดการพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏในเช้าวันศุกร์ ณ พระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวงั ก�ำ หนดเวลา ๐๖.๔๙ น.ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๒ และในภาคบ่ายวันเดียวกันเป็นการพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จ เป็นประถมพระฤกษ์ สุดพระฤกษ์เวลา ๐๗.๑๙ น. เมื่อผู้แทนพระองค์เสด็จถึงพระสงั ฆราช พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ ๕ รูป มี พ ร ะ น า ม จ า รึ ก ใ น พ ร ะ สุ พ ร ร ณ บั ฏ สมเดจ็ พระวนั รตั ( ธมโฺ ม จบั ) วดั โสมนสั วหิ าร เปน็ ประธานสงฆ์ ขน้ึ นง่ั ยงั อาสนส์ งฆ์สมเดจ็ พระญาณสงั วร บรมนริศรธรรมนีติภบิ าล ผู้แทนพระองค์ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสงั ฆปริณายก สมเดจ็ พระวนั รตั ถวายศลี ตรปี ฎิ กปริยัตธิ าดา วสิ ุทธจรยิ าธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสงฆวสิ ตุ ปาวจนุตตมพิสาร ครน้ั ไดเ้ วลาพระฤกษ์ นายอ�ำ พนั ชอบใช้ เจา้ หนา้ ทล่ี ขิ ติ ๔ กองประกาศติ ส�ำ นกั สขุ มุ ธรรมวิธานธ�ำ รง วชริ ญาณวงศวิวฒั พทุ ธบรษิ ัทคารวสถาน วจิ ติ รปฏิภาณพัฒนคณุ เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรี ท�ำ หนา้ ทอ่ี าลกั ษณ์ เรม่ิ จารกึ พระสพุ รรณบฏั ตามพระนามดงั น้ี วิบุลสีลาจารวตั รสุนทร บวรธรรมบพติ รสรรพคณิศร มหาปธานาธิบดี คามวาสี อรัณยวาสี สมเดจ็ พระสังฆราช เสดจ็ สถติ ณ วดั บวรนิเวศราชวรวิหาร พระอารามหลวง ทรงเจริญพระชนมายุ วรรณ สขุ พล ปฏิภาณ คุณสารสิรสิ วสั ดิ์ จริ ัฏฐิติวริ ุฬหไิ พบลู ย์ ในพระพทุ ธศาสนาเทอญ เมอ่ื จารกึ พระสพุ รรณบฏั เสรจ็ แลว้ พระราชครอู ษั ฎาจารย์ (ละเอยี ด รตั นพราหมณ)์ประธานคณะพราหมณห์ ลัง่ น้ำ�เทพมนตรท์ ีพ่ ระสพุ รรณบฏั เจิมแลว้ วางใบมะตูมท่พี ระสุพรรณบฏั เจา้ พนักงานเชญิ พระสุพรรณบฏั บรรจุถุงผ้าตาดทองวางไว้บนพาน จากนั้นเชิญพานพระสุพรรณบัฏไปยังธรรมาสน์ศิลา เชิญพระสุพรรณบัฏขึ้นวางบนพานแว่นฟ้ากลีบบัวประดบั มกุ ครอบดว้ ยคลมุ ปักดิ้นทอง เมอื่ เสรจ็ การพระราชพิธจี ารึกพระสุพรรณบัฏแลว้ เจ้าหน้าทก่ี องประกาศิตเชญิ พระสุพรรณบฏัไปยังสำ�นักราชเลขาธกิ าร มอบราชเลขาธกิ าร (หมอ่ มหลวงทวีสันต์ ลดาวัลย์) เชิญขึน้ ทูลเกลา้ ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวเพ่ือทรงเจมิ เม่อื ทรงเจมิ แลว้ เชญิ กลับมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม ส�ำ หรับการพระราชพิธใี นชว่ งบา่ ย 93
ประกาศพระบรมราชโองการใหญ่ สถาปนาสมเด็จพระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก94
ใบก�ำ กบั พระสพุ รรณบฏั 95
สว่ นการพระราชพิธี ~เวลา ๑๖ นาฬกิ า ๓๐ นาที~ในภาคบ่าย พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินนี าถ เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ พรอ้ มด้วย สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองค์เจา้ โสมสวลี พระวรชายาฯ และพระเจา้ หลานเธอ พระองค์เจา้ พชั รกติ ยิ าภา มายงั พระอโุ บสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม เม่ือเสดจ็ ฯ เขา้ ในพระอโุ บสถแล้วทรงจุดธปู เทียนเครือ่ งนมสั การ ทรงกราบ แล้วประทบั พระราชอาสน์ สมเดจ็ พระญาณสังวร ถวายศีล ทรงศีล จบแลว้ ~เวลา ๑๗ นาฬิกา~ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจา้ พนักงานอาลักษณ์อา่ นกระแสพระบรมราชโองการสถาปนาสมเดจ็ พระสงั ฆราช ผู้เฝา้ ทลู ละอองธุลีพระบาทท้ังปวง ณ ที่น้นั ยนื ขนึ้ เคารพพระบรมราชโองการพรอ้ มกนั เมอ่ื จบประกาศพระบรมราชโองการแล้ว สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเลอ่ื นพระองค์จากท่ีประทับเดมิ ไปประทบั เหนืออาสนะ ซงึ่ ปูลาดดว้ ยพระสจุ หน่ีสีเหลืองสำ�หรับต�ำ แหน่งสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟนื้ ชุตินฺธโร) น่งั กระโหย่งเทา้ และสวด “สงฺฆราชฏฺ ปนานโุ มทนา” จบแล้ว พระสงฆ์ในพธิ มี ณฑลพนมมือถวายอนุโมทนาและเปลง่ วาจาสาธขุ น้ึ พร้อมกัน จากนั้นสมเด็จพระวนั รัตน�ำ สวด โส อตถฺ ลทฺโธ สขุ โิ ต วริ ฬุ โฺ ห พทุ ธสาสเน สห สพฺเพหิ ญาตภิ ิ. อโรโค สุขิโต โหหิ พระสงฆท์ ง้ั ปวงในพธิ ีมณฑลพนมมอื สวดรบั พร้อมกนั สามจบ96
จากน้นั สมเด็จพระญาณสังวร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก เสด็จไปประทับทีอ่ าสนะ ซง่ึ ปูลาดไวข้ ้างพระแทน่ เศวตฉัตรท่ีต้นอาสนส์ งฆส์ งฆมณฑล สว่ นสมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะ กรรมการมหาเถรสมาคมตามไปนั่งทอ่ี าสน์สงฆล์ ำ�ดับถัดจากสมเด็จพระสงั ฆราช ~เวลา ๑๗ นาฬกิ า ๒๔ นาท~ี พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปถวายน้�ำ พระมหาสงั ข์ทกั ษิณาวฏั แดส่ มเดจ็ พระสังฆราช ขณะนัน้ พระสงฆ์เจริญชยั มงคลคาถา พร้อมกันกบั ที่พระสงฆ์ทว่ั ราชอาณาจักรเจรญิ ชัยมงคลคาถา และยำ่�ระฆังพรอ้ มกับระฆงั วดั พระศรีรตั นศาสดาราม เจา้ พนกั งานประโคมสังข์ แตรดุริยางค์ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงถวายพระสพุ รรณบัฏ พระตราต�ำ แหนง่ สมเด็จพระสังฆราช พดั ยศ ไตรแพร และเครือ่ งสมณศกั ดิร์ วม ๑๙ รายการ ภายหลงั เมอ่ื เสรจ็ พระราชพิธใี นช่วงส�ำ คัญข้างต้นแล้ว สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ พระเถระผู้ใหญฝ่ า่ ยมหานกิ าย และสมเดจ็ พระวนั รตั พระเถระผู้ใหญฝ่ า่ ยธรรมยตุ ถวายเครอ่ื งสกั การะ สมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ และ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร เสด็จฯ ไปถวายเครอ่ื งสกั การะตามล�ำ ดบั ลำ�ดับจากน้นั นายสญั ญา ธรรมศกั ดิ์ ประธานองคมนตรี พลเอกชาตชิ าย ชณุ หะวัณ นายกรฐั มนตรี นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานรฐั สภา นายจำ�รสั เขมะจารุ ประธานศาลฎีกา เขา้ ถวายเครอื่ งสกั การะตามล�ำ ดับ เสร็จแล้วสมเด็จพระสังฆราชทรงกราบพระพทุ ธมหามณรี ัตนปฏิมากร เสดจ็ ลงท่ีระเบยี งหนา้ พระอุโบสถ ทรงรับเครอื่ งสักการะของบรรพชติ ญวน และบรรพชิตจีน จากน้ันจงึ เสดจ็ ออกจากพระอุโบสถไปประทบั รถยนต์พระประเทยี บ ทป่ี ระตเู กยหนา้ วัดพระศรีรัตนศาสดารามทางฝงั่ ดา้ นกระทรวงกลาโหม เสด็จไปยังวัดบวรนเิ วศวิหาร 97
พระตราตำ�แหนง่ สมเด็จพระสังฆราช อนง่ึ สมควรเลา่ เพม่ิ เตมิ ดว้ ยวา่ พระตราส�ำ หรบั ต�ำ แหนง่ สมเดจ็ พระสงั ฆราชนน้ั แรกสรา้ งขน้ึ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ ไดเ้ คยเลา่ มาแลว้ ว่าเป็นคราวแรกท่ีพระสงฆ์ในตำ�แหน่งพระสังฆราชได้ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ด้วย พระองคเ์ อง พระตราน้ี สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงให้ อยา่ ง พระตรามลี กั ษณะเปน็ ดวงกลม ท�ำ ดว้ ยงากลงึ กวา้ ง ๘ เซนตเิ มตร กลางดวงตรา เป็นจกั ร (หมายถึงธรรมจักร) มกี �ำ ใหญ่ ๔ ซี่ ในระหว่างน้ันมกี ำ�เลก็ ช่องละ ๒ ซี่ เปน็ ๘ ซี่ รวมกนั ท้ังหมดเป็น ๑๒ ซ่ี ท่ีดุมมีอักษร ธ ตัวขอม ขา้ งบนมีอุณาโลม ทั้งหมดน้ีอยู่ในบุษบกซ่ึงตั้งบนบัลลังก์ปลายเรียวรูปเหมือนพระท่ีน่ังบุษบกมาลา มีฉัตร ๕ ชั้นหนึ่งคู่ ตาลปัตรแฉกหนึ่งคู่อยู่ข้างทั้งซ้ายและขวา พื้นตราผูกลาย กระหนกนกคาบ หมายความวา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงประกาศพระธรรมจกั รปฐมเทศนา ด้วยกำ�ลังพระปัญญา มีอักษรที่ขอบว่า “สกลคณาธิเบศร์ มหาสังฆปริณายก” ดวงตราทั้งดวงมีเส้นวงกลมลอ้ มรอบ ๓ ชน้ั พระตราน้สี ร้างข้ึนต้งั แตค่ ราวนน้ั แล้ว ก็ได้ใช้ในราชการเสมอมา จนทกุ วันน้ียังมไิ ด้มีการสรา้ งใหมแ่ ตป่ ระการใด ในวนั ท่ี ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ จงั หวัดกาญจนบุรี ซึง่ ประกอบด้วยคณะสงฆ์ ข้าราชการ และพทุ ธศาสนกิ ชนทัว่ ไป ได้บ�ำ เพญ็ กศุ ลน้อมเกล้าถวายเนอ่ื งในวโรกาสได้รบั พระราชทานสถาปนาเปน็ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ณ ศาลากลางจังหวดั ในโอกาสน้ี เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ได้โปรดใหจ้ ดั สร้างเหรยี ญพระรปู ข้นึ สำ�หรบั เปน็ ปฏิการ แกพ่ ทุ ธศาสนกิ ชนผู้มาร่วมงาน เป็นเหรียญพระรูปครง่ึ พระองค์ เน้ือทองแดง ทรงรปู ไข่ ขนาด ๑.๕ x ๒ เซนตเิ มตรขน้ึ ดา้ นหน้าเปน็ พระรูปเหมือน ดา้ นหลังเปน็ รปู เจดีย์ ๓ องค์ จงั หวัดกาญจนบรุ ี มีอักษรลายพระหัตถ์ อุ อ ม ในองคพ์ ระเจดีย์ ดา้ นบนมคี าถาอำ�นวยพร อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ โดยมีอณุ าโลมคน่ั กลาง ใตฐ้ านเจดีย์มีลายพระหตั ถ์พระนามยอ่ ญสส และ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๒ เป็นเหรยี ญท่ีทรงออกแบบด้วยพระองค์เอง ลายพระหตั ถต์ น้ แบบ ---------------------- ด้านหลังเหรียญรูปเหมือน มีแบบธรรมเนียมมาแต่โบราณกาลว่า สมโภชสมเดจ็ พระญาณสงั วร เมอ่ื พระภกิ ษรุ ปู ใด ไดร้ บั สถาปนาใหท้ รงด�ำ รง สมเด็จพระสังฆราช ที่ทรง ต�ำ แหนง่ พระสงั ฆราชแลว้ ยอ่ มมอี สิ รยิ ศกั ดเ์ิ สมอ ออกแบบเอง เพื่อประทาน ดว้ ยเจา้ นายชน้ั “หมอ่ มเจา้ ” ส�ำ หรบั เจา้ พระคณุ ให้กับพุทธศาสนิกชนที่ไป สมเดจ็ ฯ นน้ั ทรงพระกรณุ าโปรดพระราชทาน ร่วมในพธิ สี มโภช ณ จงั หวดั พระอสิ รยิ ยศเสมอเจา้ นายชน้ั “พระองค์เจา้ ” กาญจนบรุ ี การกราบทลู หรอื การปฏบิ ตั ทิ ง้ั ปวงทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ต้องใช้ราชาศพั ท์ใหถ้ ูกต้องเหมาะสม ในขณะซง่ึ พระภกิ ษทุ ท่ี รงสมณศกั ดเ์ิ ปน็ สมเด็จพระราชาคณะหาได้มีฐานะเสมอด้วย เ-จ-า้ น-าย-ช-น้ั ห-น-ง่ึ -ชน้ั -ใด-ไ-ม่- - - - - - - - - - -98
เป็นอันว่านับตั้งแต่วันศุกร์ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๒สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายกกไ็ ดท้ รงรบั พระภารกจิ ในหนา้ ทป่ี ระธานในสงั ฆมณฑลทว่ั ราชอาณาจกั ร“ทรงรบั ธรุ ะพระพทุ ธศาสนา เป็นภาระส่งั สอน ช่วยระงบั อธกิ รณ์และอนุเคราะหพ์ ระภกิ ษุสามเณรในสงฆมณฑลท่วั ไป โดยสมควรแกพ่ ระอิสริยยศ” ที่ทรงไดร้ ับพระราชทาน 99
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369