Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย

นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย

Published by inno vation, 2021-04-15 07:03:27

Description: นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย

Search

Read the Text Version

การจบดัรกิหาารร งานวจิ ัยและพฒั นา งานวจิ ยั และพฒั นา (Research and Development หรอื R&D) เปน็ งานทมี่ สี องสว่ นประกอบกนั คอื “งานวจิ ยั ” เปน็ กระบวนการสรา้ งความรอู้ ยา่ งเปน็ ระบบ และ “งานพฒั นา” เป็นกระบวนการใชค้ วามรู้ ดงั น้ัน ค�ำวา่ “วจิ ยั และพัฒนา” จึงหมายถึง กระบวนการสร้างความรู้อย่างเป็นระบบ และ น�ำความรู้เหล่านั้นไปใช้เพื่อช่วยในการพัฒนา ซึ่งท�ำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น งานวิจัยและพัฒนา จงึ ไมไ่ ดห้ ยดุ อยูเ่ พียงแค่การสรา้ งผลงานวจิ ัยเทา่ นน้ั แตย่ งั หมายความรวมถึงกระบวนการบริหารจัดการเพ่ือให้เกิด การใช้ประโยชนจ์ ากผลงานวิจัยเหลา่ น้นั ด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.พรี เดช ทองอ�ำไพ รองผอู้ �ำนวยการ ส�ำนักงานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั ดา้ นวจิ ัยและพฒั นา (2546-2554) ผอู้ �ำนวยการสถาบันคลังสมองของชาติ (ปัจจุบนั ) พฒั นาการฝา่ ยตา่ ง ๆ ใน สกว. การก่อตั้งส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในปี 2535 ได้ก่อให้เกิดการ เปล่ียนแปลงในวงการวิจัยของประเทศ ท้ังในด้านการสร้างความเข้มแข็งของงานวิจัยเชิงวิชาการ การสรา้ งนกั วจิ ยั รนุ่ ใหม่ การสนบั สนนุ งานวจิ ยั และพฒั นา (R&D) สกว. ไดส้ รา้ งรปู แบบการสนบั สนนุ งานวิจัยและพัฒนาขึ้นใหม่ ต้ังแต่การต้ังโจทย์วิจัยโดยกระบวนการระดมความคิด มีการเชิญ ผ้ทู ่ีเก่ียวข้องทกุ ฝา่ ยเขา้ มามสี ่วนร่วมในการก�ำหนดโจทย์วจิ ยั การเชิญชวนใหน้ ักวจิ ัยเสนอโครงการ วิจัย ไปจนถึงข้ันตอนของการน�ำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ รวมทั้งมีการประเมินผลการวิจัย ท้ังในเชงิ คุณภาพ ผลสมั ฤทธิ์ และผลกระทบท่ีเกดิ จากการวิจัย สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจัย (สกว.) 99

100 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ัย ระบบบริหารของ สกว. มคี วามคลอ่ งตัว รวดเร็ว สามารถสนับสนนุ การวิจยั ได้หลายรปู แบบ ที่ส�ำคัญ มีการสนับสนุนทุนเพียงพอต่อการด�ำเนินการอย่างสมเหตุสมผล รูปแบบการสนับสนุน โครงการเปลี่ยนไปเปน็ “ชดุ โครงการ” มลี กั ษณะเป็นสหวิชาการมากขน้ึ ให้ความสำ� คัญกับการน�ำ ผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างชัดเจน เห็นได้จากการน�ำผลงานวิจัยจ�ำนวนมากไปใช้ประโยชน์ เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในวงการวิจัยของประเทศ เกิดกระบวนการสร้างนักวิจัยท่ีมีคุณภาพสูง ผา่ นโครงการและฝา่ ยตา่ ง ๆ ตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมายในการผลติ นกั วจิ ยั ชน้ั หนง่ึ ของประเทศ ซงึ่ ผลงานเหลา่ นี้ มพี ฒั นาการเกดิ ขน้ึ เปน็ ระยะ ๆ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง การเปลยี่ นแปลงทเี่ กดิ ขน้ึ สรา้ งความ เข้มแขง็ และตนื่ ตัวในการทำ� วจิ ัย ฝ่ายต่าง ๆ ในกลุ่มวิจัยและพัฒนาท่ีเกิดมาพร้อมกับ สกว. ได้แก่ ฝ่ายสนับสนุนการวิจัย ด้านความสัมพนั ธข์ า้ มชาติและทางเลือกในการพฒั นา ฝ่ายสนบั สนนุ การวจิ ัยดา้ นวิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยีเพ่ือการผลติ การตลาดและการบรกิ าร และฝ่ายสนับสนนุ การวจิ ัยด้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยีเพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เป็นที่น่าสังเกตว่าช่ือแต่ละฝ่ายจะสื่อถึงภารกิจได้ ชัดเจน แต่ช่อื ยาวมากและจำ� ยาก จึงใชห้ มายเลขเรียกแทนช่อื ฝ่ายเรอื่ ยมา เรยี งตามล�ำดบั การเกิด ก่อนหลัง โดยงานวิจัยและพัฒนามี 4 ฝ่าย งานวิจัยพื้นฐานอีก 1 ฝ่าย ดงั นี้ ฝ่าย 1 ฝ่าย 2 ฝ่าย 3 ฝ่าย 4 งานวิจัยพน้ื ฐาน ฝา่ ยสนับสนนุ ฝ่ายสนบั สนนุ ฝ่ายสนับสนนุ ฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายสนับสนนุ การวิจยั ดา้ น การวิจยั เก่ยี วกับ การวิจัย การวจิ ยั ด้าน การวิจัยด้าน วิทยาศาสตร์ ชุมชนและสงั คม เชิงวชิ าการ และเทคโนโลยี ความสมั พนั ธ์ขา้ มชาติ วิทยาศาสตรแ์ ละ เพ่อื การจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ และทางเลอื ก เทคโนโลยเี พอื่ ในการพัฒนา การผลิต การตลาด และการบริการ

ตอ่ มา ในปี 2543 มีการน�ำเสนอขออนุมัติคณะกรรมการนโยบายของ สกว. เพื่อเปล่ียนช่อื ฝ่ายตา่ ง ๆ ใหม้ ีความเหมาะสมย่งิ ขน้ึ ได้กำ� หนดชื่อฝ่ายใหม่ โดยฝ่าย 1-5 เป็นงานวจิ ัยและพัฒนา ส่วนฝา่ ยสนับสนุนการวจิ ยั เชงิ วชิ าการเปลีย่ นเป็น ฝา่ ยวชิ าการ และมีการใชช้ ่อื ฝา่ ยมาจนถึงปจั จบุ ัน ดังน้ี 01ฝ†ายนโยบายชาติและ 02 ฝ†ายเกษตร ความสัมพันธข Œามชาติ 06ฝ†ายวช� าการ TRF 03 ฝา† ยสวัสดภิ าพ สาธารณะ 05ฝา† ยอตุ สาหกรรม 04 ฝ†ายชมุ ชนและสังคม อยา่ งไรกต็ าม เมอื่ สกว. เตบิ โตขน้ึ มรี ปู แบบการบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั ทห่ี ลากหลายมากขนึ้ โดยเฉพาะในส่วนของงานวิจัยและพัฒนา ซึ่งนอกจากจะด�ำเนินงานตามฝ่ายต่าง ๆ ที่ระบุไว้แล้ว ยงั มกี ารสร้างกลไกใหม่ ๆ ขึน้ อกี ดว้ ย เชน่ การทำ� งานบูรณาการโดยใชพ้ นื้ ที่เป็นตัวตง้ั เป็น “หนว่ ย บรู ณาการวจิ ยั และความรว่ มมอื เพอ่ื พฒั นาเชงิ พนื้ ที่ (Area-based Collaborative Research หรอื ABC)” การสรา้ งความรโู้ ดยนกั วจิ ยั ในชมุ ชนท้องถนิ่ เพอื่ การแกไ้ ขปญั หาของตนเองและชมุ ชน และเพ่ือการพัฒนาท้องถ่ิน เป็น “ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น” การพัฒนากลุ่มโครงการใหม่ตามความ ต้องการในการพฒั นาประเทศ เป็น “ฝา่ ยการวิจัยม่งุ เป้า” ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) 101

102 นวัตกรรมการบริหารจดั การงานวิจัย ฐานคดิ ในการสนบั สนนุ การสรา้ งนกั วจิ ยั คณุ ภาพ ชว่ งแรกของการจดั ตงั้ สกว. องคก์ รยงั ขาดแคลนองคค์ วามรใู้ นการพฒั นาประเทศอกี หลายดา้ น ดงั นนั้ เมอื่ มกี ารเลอื กประเดน็ เรง่ ด่วนและส�ำคัญตอ่ การพฒั นาประเทศ เชน่ งานวิจยั ดา้ นนโยบาย ทั้งนโยบายหรือทางเลือกของประเทศในการพัฒนา และนโยบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ข้ามชาติ งานวิจัยด้านการเกษตร งานวิจัยด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม สกว. จึงต้องสร้างนักวิจัยใหม่ เพื่อ สนับสนุนนักวิจัยที่มีฝีมือให้มีโอกาสท�ำงานวิจัยอย่างเต็มท่ี สกว. โดย “ฝ่ายสนับสนุนการวิจัย เชิงวิชาการ” หรือ “ฝ่ายวิชาการ” ในปัจจุบัน ควบคู่กับการมีฝ่ายวิจัยและพัฒนา ซึ่งต่อมาได้ พบว่าฝ่ายวชิ าการกลายเป็นจดุ แขง็ ท่สี ำ� คญั ของ สกว. ทีน่ อกจากจะสรา้ งคน/นกั วิจัยคณุ ภาพ และ สร้างความรู้เพ่ือชาติแล้ว ยังขยายผลบูรณาการร่วมกับงานวิจัยและพัฒนา โดยบริหารจัดการ ทงั้ ในรูปแบบโครงการและฝ่าย อาทิ โครงการพัฒนานกั วิจยั และงานวจิ ยั เพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.) ฝา่ ยมนษุ ยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศลิ ปกรรมศาสตร์ เปน็ ตน้ ฐานคดิ ของ สกว. ในขณะน้นั มีเปา้ หมายเพ่อื สนับสนนุ งานวิจยั ด้านต่าง ๆ ท่ไี ม่ซ้�ำซอ้ นกบั ภารกจิ ขององคก์ รอืน่ แตม่ ุ่งเสริมการดำ� เนนิ งานของหนว่ ยงานทีม่ บี ทบาทหน้าทท่ี างด้านนน้ั ๆ โดย ใหค้ วามรว่ มมอื ทำ� งานกบั หนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งและหลากหลาย อาจพดู ไดว้ า่ รปู แบบการดำ� เนนิ งาน ของ สกว. เปน็ ตัวอยา่ งของการบรู ณาการทแี่ ท้จรงิ ตัง้ แต่เร่มิ ต้น

ภารกิจของกลุม่ งานวิจัยและพฒั นา การกำ� หนดบทบาทและภารกจิ ของฝา่ ยวจิ ยั และพฒั นา แตกตา่ งจากฝา่ ยวจิ ยั เชงิ วชิ าการ คือ มีการก�ำหนดเป้าหมายมุ่งเน้นการสร้างผลงานวิจัยที่สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้จริงใน ด้านใดด้านหน่ึง ซึ่งอาจเป็นการใช้ประโยชน์เชิงนโยบาย เชิงสาธารณะ เชิงพาณิชย์หรือเชิง อตุ สาหกรรม ดงั นนั้ การสนบั สนนุ โครงการวจิ ยั ของแตล่ ะฝา่ ยในกลมุ่ งานวจิ ยั และพฒั นาตอ้ งเรมิ่ ตง้ั แตก่ ารกำ� หนดโจทยว์ จิ ยั ทช่ี ดั เจน เหน็ ตวั ผใู้ ชป้ ระโยชนช์ ดั เจน และรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผทู้ ี่ มีส่วนได้สว่ นเสียจากผลของโครงการน้นั ๆ ก่อนเริ่มโครงการจริง ข้ันตอนการพัฒนาโจทย์และโครงการวิจัยของงานวิจัยและพัฒนามีมากกว่างานวิจัยเชิง วิชาการ มีความคาดหวังในการน�ำผลงานไปใช้ประโยชน์ชัดเจนกว่า จึงมีการจัดการท่ีแตกต่างกัน เช่น ความพยายามในการใหผ้ ู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยหรือผทู้ ่มี ีส่วนไดส้ ่วนเสยี เขา้ มีบทบาทร่วมใน โครงการไมท่ างใดกท็ างหนง่ึ โดยการรว่ มเปน็ นกั วจิ ยั หรอื เปน็ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ใหค้ วามเหน็ และวพิ ากษ์ ขอ้ เสนอโครงการ รวมถงึ การเขา้ รว่ มลงทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั กบั สกว. เปน็ ตน้ เมอ่ื ผใู้ ชป้ ระโยชนจ์ าก ผลงานวิจัยได้เข้ามีส่วนร่วมในโครงการทุกขั้นตอน จึงมีความเข้าใจและสามารถน�ำผลงานไปใช้ได้ โดยตรง สำ� นกั งานกองทุนสนับสนนุ การวิจัย (สกว.) 103

104 นวัตกรรมการบริหารจดั การงานวจิ ยั แตล่ ะฝา่ ยมบี ทบาทและหนา้ ทต่ี ามชอ่ื ทก่ี ำ� หนด โดยมเี ปา้ หมายชดั เจน การกำ� หนดกรอบวจิ ยั ของแตล่ ะฝา่ ยเปน็ ผลจากการหารอื รว่ มกนั ระหวา่ งผบู้ รหิ ารในทป่ี ระชมุ ผบู้ รหิ าร สกว. แตก่ ารบรหิ าร จัดการงานวิจยั มีความหลากหลายตามธรรมชาตขิ องฝา่ ย มกี ารระดมความคดิ โดยเชิญผู้ทเ่ี กีย่ วข้อง ทุกภาคส่วนร่วมสร้างกรอบการวิจัย เสาะหาและเชิญนักวิจัยที่มีศักยภาพในแต่ละสาขาเข้าร่วม ทำ� งานวจิ ยั รวมทงั้ มกี ารประกาศโจทยว์ จิ ยั ผา่ นชอ่ งทางทหี่ ลากหลายเพอื่ เปดิ โอกาสใหน้ กั วจิ ยั ทว่ั ไป สามารถเข้าถงึ และยืน่ ขอ้ เสนอโครงการขอรับการสนบั สนนุ ทนุ ได้ตามความสนใจอกี ดว้ ย พร้อมกันน้ี สกว. ได้สร้างฐานข้อมูลรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ เพื่อท�ำหน้าที่ให้ ความเหน็ ทางวชิ าการเกย่ี วกบั โครงการทน่ี กั วจิ ยั ยน่ื ขอทนุ การตดั สนิ ใจสนบั สนนุ โครงการหรอื ไมน่ นั้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อ�ำนวยการ สกว. และผู้อ�ำนวยการฝ่าย ซ่ึงโดยส่วนใหญ่จะรับฟัง ความคดิ เห็นของผู้ประสานงานและผทู้ รงคณุ วฒุ เิ ปน็ หลัก ความเหน็ ของผ้ทู รงคณุ วุฒิอาจไมถ่ ูกตอ้ ง เสมอไป บางกรณผี ปู้ ระสานงานหรอื ผอู้ ำ� นวยการฝา่ ยอาจมคี วามคดิ เหน็ ไมต่ รงกบั ความคดิ เหน็ ของ ผู้ทรงคณุ วุฒิ ผอู้ ำ� นวยการฝ่ายตอ้ งพิจารณาอยา่ งถ่ถี ้วน และใช้วิจารณญาณในการตดั สนิ ว่าสมควร สนบั สนนุ โครงการหรอื ไม่ โดยมเี หตผุ ลทช่ี ดั เจนเสนอผอู้ ำ� นวยการ สกว. ประกอบการพจิ ารณาอนมุ ตั ิ โครงการ ดงั นน้ั ผปู้ ระสานงานหรอื ผอู้ ำ� นวยการฝา่ ยตอ้ งมคี วามรอบรงู้ านวจิ ยั ดมี ากในระดบั หนง่ึ และ สามารถพจิ ารณาใหค้ วามเหน็ ไดว้ า่ ความคดิ เหน็ ของผทู้ รงคณุ วฒุ นิ น้ั เหมาะสมเพยี งใด ผบู้ รหิ ารงาน วิจัยจึงไม่ได้ท�ำหน้าท่ีเพียงเป็นผู้ส่งผ่านข้อมูลหรือความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิเท่าน้ัน แต่ต้องมี ขอ้ คิดเหน็ ของตนเองดว้ ยทง้ั ท่ีเป็นความเหน็ ในแนวเดยี วกนั หรอื ความเห็นขดั แย้ง และตอ้ งมสี ว่ นใน การตดั สินใจหลกั ด้วย

การสนบั สนนุ ชดุ โครงการวจิ ยั ท่ีใหญก่ วา่ โครงการวจิ ยั เดย่ี ว แนวคิดในการออกแบบการสนับสนนุ การวิจัยเรม่ิ จากการทผี่ ูบ้ ริหาร สกว. มองเหน็ ว่า การ สนบั สนนุ งานวจิ ยั ในลกั ษณะของการใหเ้ งนิ ทนุ สนบั สนนุ จำ� นวนนอ้ ยและคาดหวงั ผลงานมาก รวมทง้ั ความพยายามในการสรา้ งจำ� นวนงานวจิ ยั จำ� นวนมากนนั้ ไมใ่ ชแ่ นวทางทเี่ หมาะสมสำ� หรบั การสรา้ ง องคค์ วามรเู้ พอื่ นำ� ไปสกู่ ารใชป้ ระโยชนใ์ นการพฒั นาประเทศ ดงั นน้ั สกว. จงึ ใหก้ ารสนบั สนนุ งานวจิ ยั ในรูปแบบของชดุ โครงการ (program) แทนการสนบั สนนุ งานวจิ ยั โครงการเด่ียว (project) การจัดการให้เกิดชุดโครงการ ต้องอาศัยกระบวนการหลายข้ันตอน ต้ังแต่กระบวนการ ตั้งโจทย์ การก�ำหนดเป้าหมาย ไปจนถึงการเสาะแสวงหาโครงการที่เหมาะสมตามกรอบหรือ เปา้ หมายทกี่ ำ� หนด และตอ้ งมกี ารบรหิ ารจดั การทดี่ เี พอื่ ชว่ ยใหน้ กั วจิ ยั สามารถสรา้ งผลงานจนบรรลุ เป้าหมายได้ งานวิจัยในลักษณะชุดโครงการเป็นงานท่ีใหญ่เกินกว่าโครงการใดโครงการหนึ่งจะ สามารถด�ำเนินการได้ส�ำเร็จเพียงโครงการเดียว ดังนั้น นิยามของชดุ โครงการ จงึ หมายถึง กลุม่ ของ โครงการที่มากกว่าหน่ึงโครงการรวมตัวกัน เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายใหญ่ร่วมกัน การบริหารงาน วิจัยในลักษณะชุดโครงการ เป็นส่ิงท่ีหลายคนต้องการและคาดหวัง การบริหารชุดโครงการต้องมี ผูบ้ รหิ ารจดั การงานวจิ ยั ท่มี ีความสามารถสงู เนือ่ งจากลกั ษณะงานของชดุ โครงการเป็นรูปแบบของ โครงการบูรณาการ ต้องใชศ้ าสตร์หลายศาสตร์ร่วมกัน การบริหารจัดการมีความยุง่ ยากพอสมควร ไมเ่ หมือนการบริหารโครงการเด่ียวซ่ึงนักวิจัยแตล่ ะคนบรหิ ารงานโครงการของตนเองเพียงลำ� พงั ได้ ส�ำนกั งานกองทุนสนับสนุนการวจิ ยั (สกว.) 105

106 นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจยั ชดุ โครงการหรอื โครงการบรู ณาการมลี กั ษณะเหมอื นกบั การออกแบบสรา้ งบา้ น ทตี่ อ้ งมชี า่ ง หลายคน มฝี มี ือและความถนดั คนละดา้ น ร่วมกันท�ำในบทบาทหนา้ ท่ีและความเชย่ี วชาญทีต่ ่างกนั ตอ้ งมผี กู้ ำ� กบั ควบคมุ งานเพอื่ ใหก้ ารกอ่ สรา้ งเปน็ ไปตามแบบทก่ี ำ� หนด บทบาทของผคู้ วบคมุ งานและ ช่างแต่ละคนจึงแตกต่างกัน ดังน้ัน นักวิจัยแต่ละคนจึงต้องเป็นผู้มีความเช่ียวชาญจากแต่ละสาขา สร้างสรรค์ผลงานวิจัยตามสาขาท่ีตนเช่ียวชาญ ในขณะที่ผู้บริหารงานวิจัยต้องท�ำหน้าที่ผู้จัดการ ชุดโครงการ ประสานให้ผู้เชย่ี วชาญนำ� ความรู้ในสาขาทถ่ี นัด มาประกอบกนั จนเกิดเป็นรปู เปน็ ร่างท่ี ตอ้ งการได้ ผู้บรหิ ารงานวิจัยไม่จ�ำเปน็ ต้องเป็นผเู้ ช่ยี วชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ต้องมี คุณสมบัตใิ นดา้ นการบรหิ ารจดั การเปน็ หลกั ศาสตร์ในการบรหิ ารจัดการงานวจิ ัยมีความจำ� เพาะคอ่ นข้างสงู เชน่ นกั บรหิ ารงานวิจัยต้อง มคี วามสามารถในการจดั การตน้ ทาง คอื การพฒั นาโจทยว์ จิ ยั และพฒั นาขอ้ เสนอโครงการวจิ ยั รวม ทง้ั สามารถใหข้ ้อเสนอแนะแก่นกั วจิ ยั ในด้านการเขียนข้อเสนอโครงการเปน็ อยา่ งดี มคี วามสามารถ ในการวิเคราะห์และประเมินโครงการ ทั้งก่อนเร่ิมโครงการและระหว่างการด�ำเนินงาน มีหน้าท่ีให้ ความช่วยเหลือนักวิจัยในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นระหว่างการด�ำเนินงาน รวมท้ังให้ข้อเสนอ แนะทเี่ ปน็ ประโยชน์ ไมใ่ ช่ในฐานะผู้สง่ั การ แต่เป็นลกั ษณะของ “กลั ยาณมติ ร” มากกว่า ข้อส�ำคัญมากอีกประการหนึ่งคือ ต้องมีความสามารถในการสื่อสารและผลักดันผลงานสู่การใช้ ประโยชน์ ซ่ึงทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบหลักที่สำ� คัญในการขับเคล่ือนงานวิจัยและพัฒนาให้ประสบ ผลสำ� เรจ็ ตามเปา้ หมายทคี่ าดหวงั ไว้ สกว. ใหค้ วามสำ� คญั กบั การสรา้ งนกั บรหิ ารงานวจิ ยั ควบคกู่ บั การพฒั นานักวิจัย เพื่อใหส้ ามารถบริหารจดั การโครงการขนาดใหญไ่ ด้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ สกว. ลงทนุ ในการพัฒนานกั บริหารงานวจิ ัยในรูปแบบ “ผู้ประสานงานชดุ โครงการ” สนับสนุนสง่ิ อำ� นวย ความสะดวกในการทำ� งานตา่ ง ๆ และเปดิ โอกาสใหเ้ กดิ การพฒั นาความรคู้ วามชำ� นาญในการบรหิ าร งานวิจัย ทส่ี �ำคัญไมต่ อ้ งเป็นบุคลากรประจำ� ของ สกว. ผลท่ีไดจ้ ากกระบวนการนี้คือ ผูป้ ระสานงาน หลายท่านเป็นผูม้ บี ทบาทอย่างมากในวงการบริหารงานวจิ ัยในเวลาต่อมา

พัฒนานกั บริหารจัดการงานวิจัย การบริหารจัดการงานวิจัยของ สกว. เป็นรูปแบบใหม่ท่ีได้รับการพัฒนาข้ึนโดยผู้บริหาร ของ สกว. มีทฤษฎีและเครื่องมือการบริหารงานวิจัยสนับสนุนที่หลากหลาย โดยริเริ่มแนวคิดใหม่ ในลกั ษณะการลองผดิ ลองถูก จนท�ำให้ สกว. สามารถพัฒนาเครื่องมอื เพอื่ ใช้เปน็ คู่มือในการบรหิ าร งานวจิ ยั เช่น คู่มอื หัวหน้าโครงการ การจดั ประชุมร่วมกันระหวา่ งฝา่ ย การจดั อบรมผ้ปู ระสานงาน และการประชุมผปู้ ระสานงานอยา่ งสม�่ำเสมอ เปน็ ตน้ สิ่งตา่ ง ๆ เหลา่ นี้นอกจากจะชว่ ยพัฒนางาน วจิ ัยแล้วยงั มีผลต่อการพฒั นาคนอกี ดว้ ย ทง้ั ตัวนกั วิจยั และผบู้ ริหารงานวจิ ัย คมู่ อื การบริหารงานวิจยั ในช่วงที่ ศาสตราจารย์ ดร.ปิยะวัติ บญุ -หลง เปน็ ผ้อู ำ� นวยการฝ่าย 2 ทา่ นได้รเิ ร่มิ จัดท�ำค่มู อื หัวหน้าโครงการประเภทวิจัยและพัฒนา โดยอาศัยเวทีการประชุมระดมความคิดระหว่างหัวหน้า โครงการ ทป่ี รกึ ษา สกว. และเจา้ หนา้ ทรี่ ะดบั สงู ของ สกว. เมอ่ื เดอื นตลุ าคม 2539 และไดจ้ ดั ทำ� คมู่ อื ทีม่ ีความสมบรู ณ์ มรี ายละเอียดท่สี ามารถใช้อ้างองิ ในการแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ได้ ค่มู ือดังกลา่ วสะทอ้ น วธิ คี ดิ และแนวทางการปฏบิ ตั อิ ยา่ งเปน็ รปู ธรรมในดา้ นการบรหิ ารงานวจิ ยั สำ� หรบั ผปู้ ระสานงานหรอื นักบรหิ ารงานวจิ ัยการพัฒนา เป็นเอกสารเรม่ิ ต้นฉบับแรก ๆ เพ่อื สร้างความเขา้ ใจใหผ้ ู้ประสานงาน หรอื ผบู้ รหิ ารงานวจิ ยั ไดเ้ ขา้ ใจบทบาทและวธิ กี ารในการบรหิ ารงานวจิ ยั อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ มกี ตกิ า ร่วมกัน รวมไปถึงค�ำแนะน�ำในการด�ำเนินงานเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ท�ำให้งานประสาน ด้านวิจัยและพัฒนามีการพัฒนาข้ึนเป็นล�ำดับ มีการระบุข้อปฏิบัติไว้ชัดเจน สามารถน�ำไปปฏิบัติ ได้จริง และทุกฝ่ายยอมรับเป็นกติการ่วมกัน คู่มือที่จัดท�ำจึงเป็นเสมือนค�ำแนะน�ำแนวทางการ ปฏิบัติท่ีดี (Good practices) มากกว่ากฎกติกา ในขณะเดียวกัน ท�ำให้นักวิจัยมีความเข้าใจและ สามารถปฏบิ ตั งิ านไดโ้ ดยไมล่ ำ� บาก ตอ่ มามกี ารปรบั ปรงุ เนอื้ หาทจี่ ำ� เปน็ ตามสถานการณ์ คมู่ อื บรหิ าร งานวิจยั น้จี ะแจกให้นักวิจัยทุกโครงการเม่ือมีการลงนามในสญั ญารับทนุ สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวิจยั (สกว.) 107

108 นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจัย การเพิ่มพนู ความรู้ให้กับผู้ประสาน (ผ้บู ริหารงานวิจยั ) การพัฒนาผู้ประสานงาน ซ่ึงท�ำหน้าท่ีเป็นตัวกลางระหว่างหัวหน้าโครงการวิจัยและ สกว. มบี ทบาทเปน็ ผบู้ รหิ ารงานวิจัย ในอดีต การบรหิ ารงานวิจัยเปน็ เรื่องคอ่ นข้างใหมส่ �ำหรบั สงั คมไทย เพราะนักบริหารงานวิจัยที่มีความสามารถด้านการบริหารงานวิจัยอย่างแท้จริงน้ันหายากมาก จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งสรา้ งและพฒั นานกั บรหิ ารงานวจิ ยั เพม่ิ ขนึ้ ดว้ ยการเพม่ิ พนู ความรดู้ า้ นการบรหิ ารงาน วจิ ยั ใหก้ บั ผปู้ ระสานงานเพอื่ เปน็ ชอ่ งทางสำ� คญั ในการพฒั นาอกี ชอ่ งทางหนง่ึ รปู แบบของการเพม่ิ พนู ความรูท้ ำ� ได้หลายรูปแบบ เชน่ การจัดอบรม การประชมุ ร่วมกนั โดยมกี ารวางแผนทด่ี ี และการร่วม กนั ปฏบิ ตั จิ รงิ ในประเดน็ ส�ำคัญบางเรอ่ื ง การออกแบบการประชุมร่วมกันของแต่ละฝ่ายมีรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น ฝ่ายเกษตร (ฝ่าย 2) มีการจัดประชุมผู้ประสานงานทุก ๆ 2-3 เดือน ส่วนใหญ่เป็นการประชุมนอกสถานที่ ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน โดยมีสาระการประชุมหลัก 3 ส่วน คือ 1) การแจ้งสถานการณ์ความ กา้ วหนา้ ท่เี กี่ยวข้องกับ สกว. 2) การระดมความคดิ ในประเด็นตา่ ง ๆ เพอื่ ก�ำหนดเปน็ กตกิ าร่วมกัน หรือเพ่ือให้ได้ค�ำตอบอย่างใดอย่างหนึ่งท่ีต้องการ และ 3) การเพ่ิมพูนความรู้ให้แก่ผู้ประสานงาน โดยเชญิ ผทู้ มี่ คี วามรใู้ นประเดน็ ทต่ี อ้ งการใหผ้ ปู้ ระสานงานไดร้ บั ทราบมาเปน็ วทิ ยากร การดำ� เนนิ งาน ใน 3 ส่วนน้ี เกิดผลท่ีหลากหลาย ประการแรก ท�ำให้ผู้ประสานงานมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของ สกว. มสี ว่ นรว่ มในการพฒั นางานและสรา้ งกตกิ าบางอยา่ งเพอ่ื ใชร้ ว่ มกนั ประการทส่ี อง สกว. ไดร้ ปู แบบ และแนวคิดการด�ำเนินงานบางส่วนจากการระดมสมองของผู้ประสานงาน ซ่ึงถือได้ว่าเป็นผู้ท่ีมี ประสบการณ์สงู ในสายงานของตน อกี ประการคอื ผู้ประสานงานมโี อกาสแลกเปล่ยี นเรียนรเู้ ทคนิค การบริหารงานวิจัยในมิติต่าง ๆ และสามารถเติบโตก้าวหน้าต่อไปในสายงานบริหารงานวิจัยได้ ท้ังหมดน้ีเป็นประเด็นท่ี สกว. ให้ความส�ำคัญในการสร้างและพัฒนาบุคลากรด้านการบริหารงาน วิจัย ท�ำใหเ้ กดิ ผบู้ ริหารงานวจิ ยั ที่ประสบความสำ� เร็จสูงในวงการต่าง ๆ จ�ำนวนมาก รวมท้ังเกิดเปน็ แนวทางในการพัฒนาผู้บริหารงานวิจยั ส�ำหรับหน่วยงานอน่ื ๆ ดว้ ย

การพฒั นานักวิจยั นอกจากการให้ความส�ำคัญกับนักบริหารงานวิจัยหรือผู้ประสานงานแล้ว การพัฒนา นกั วจิ ยั ถอื เปน็ อกี หนง่ึ ภารกจิ ที่ สกว. ดำ� เนนิ การมาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง รปู แบบการพฒั นานกั วจิ ยั สว่ นใหญ่ ไม่ใช่เรอ่ื งการพัฒนาทางวชิ าการ สกว. เชื่อวา่ นักวจิ ัยแต่ละคนมีความสามารถทางวิชาการในสาขา วชิ าของตนอยูแ่ ล้ว แตก่ ารสร้างผลงานทม่ี คี ุณภาพน้นั ตอ้ งเกิดจากการจัดการทด่ี ี สกว. จึงใหค้ วาม ส�ำคัญกับการเรียนรู้ของนักวิจัย เช่น การจัดประชุมร่วมกันเพ่ือน�ำเสนอผลงานวิจัย เพ่ือเป็นการ แลกเปลี่ยนเรยี นร้ซู ่ึงกนั และกนั เปน็ การสร้างเครือข่ายทีด่ ี จดั ใหม้ รี ูปแบบการประเมนิ ผลโครงการ อย่างสรา้ งสรรคม์ ากกวา่ การจบั ผิด ท�ำใหน้ ักวิจยั เกิดการเรยี นรู้ และไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการบริหาร จดั การโครงการของ สกว. นกั วจิ ยั ทม่ี คี ณุ ภาพสามารถสรา้ งผลงานวจิ ยั ทม่ี คี ณุ ภาพ ตรงเวลา มกี ารใชจ้ า่ ยเงนิ ทปี่ ระหยดั ชัดเจน ตรวจสอบได้ จึงได้รับความไว้วางใจมากข้ึน และจะได้รับการส่งเสริมให้พัฒนาต่อไปได้ มากข้ึน บางกรณีนักวิจัยมีโอกาสในการรับทุนโครงการต่อเนื่อง ได้รับการผ่อนปรนเรื่องของการ ตรวจสอบทเ่ี ขม้ ขน้ รวมทง้ั อาจไดร้ บั มอบหมายใหด้ ำ� เนนิ งานวจิ ยั ทมี่ คี วามสำ� คญั มากขน้ึ หรอื ยกระดบั เป็นผปู้ ระสานงานชุดโครงการ การพฒั นาระบบสนับสนุน การทำ� งานวจิ ยั และพฒั นานนั้ นอกจากตวั นกั วจิ ยั จะมบี ทบาทในการสรา้ งผลงานแลว้ จำ� เปน็ ต้องมีกระบวนการจัดการต่าง ๆ เข้ามาช่วย เช่น มีผู้ประสานงานชุดโครงการ โครงสร้างพื้นฐาน อน่ื ๆ รวมท้ังกฎระเบยี บทเ่ี อ้อื อำ� นวยต่อการท�ำวจิ ยั กระบวนการจดั การเหล่านล้ี ้วนเป็นปจั จยั บวก ทส่ี ่งผลกระทบตอ่ คุณภาพและความสำ� เรจ็ ของโครงการ สกว. ได้จดั ระบบสนับสนนุ การวิจยั และพฒั นาในด้านต่าง ๆ ค่อนข้างมากและสมบูรณ์แบบ เช่น กลไกการติดตามและประเมินผลโครงการวิจัย การผลักดันผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ การสรา้ งแรงจงู ใจใหแ้ กน่ กั วจิ ยั ในการผลติ ผลงานวจิ ยั ทม่ี คี ณุ ภาพ เปน็ ตน้ ระบบและกลไกสนบั สนนุ ท่ีส�ำคัญ ได้แก่ ระบบฐานข้อมูลเพ่ือการบริหารงานวิจัย (Electronic Project Management System หรอื EPMS) ห้องสมุดอเิ ล็กทรอนิกส์ การจดั การทรัพย์สินทางปญั ญา การส่ือสารกบั สงั คม และกลไกการผลักดนั ผลงานสูก่ ารใชป้ ระโยชน์ สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจัย (สกว.) 109

110 นวัตกรรมการบริหารจดั การงานวิจยั ระบบฐานข้อมูลเพ่อื การบรหิ ารงานวิจัย ในระยะแรกนั้น จ�ำนวนโครงการวิจัยยังมีไม่มาก จึงสามารถใช้โปรแกรมฐานข้อมูลทั่วไป ที่มีอยู่น�ำมาดัดแปลงใช้ได้ ต่อมาเมื่อมีจ�ำนวนโครงการวิจัยมากข้ึน ความซับซ้อนของโครงการจึงมี มากขึ้นด้วย ประกอบกับรูปแบบของโครงการมีความหลากหลาย ดังน้ัน ระบบฐานข้อมูลแบบ ง่าย ๆ ท่เี คยท�ำไวต้ ง้ั แตต่ น้ จงึ ไมเ่ อ้อื อำ� นวยต่องานวจิ ยั ได้อีกต่อไป สกว. ไดพ้ ัฒนาระบบฐานขอ้ มูล เพื่อการบริหารงานวิจัยหรือ EPMS ขึ้น เป็นระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มีความเช่ือมโยงในมิติ ต่าง ๆ ระบบฐานข้อมูล EPMS ท่ีสร้างขึ้นนี้ เป็นหัวใจส�ำคัญของการบริหารงานวิจัยของ สกว. ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ระบบฐานข้อมูลนี้ประกอบด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับนักวิจัย ผู้ประสานงานหรือผู้บริหาร งานวิจัย รายละเอียดของโครงการ และรายละเอียดอื่น ๆ ที่จ�ำเป็น โดยทุกส่วนมีความเช่ือมโยง ถึงกัน เมือ่ เจา้ หน้าทีผ่ ูร้ บั ผดิ ชอบโครงการของ สกว. ไดร้ บั ข้อเสนอโครงการจากนักวิจยั แลว้ สิง่ แรก ที่ต้องท�ำคือ การบันทึกข้อมูลทั้งหมดลงในฐานข้อมูล ต่อจากน้ันจะต้องบันทึกการด�ำเนินงาน ทกุ ขนั้ ตอนอยา่ งตอ่ เนอื่ งในฐานขอ้ มลู นน้ั จนกระทง่ั โครงการไดร้ บั การอนมุ ตั ิ จงึ จะเรมิ่ กระบวนการ เบกิ จา่ ยและตดิ ตามงาน ขน้ั ตอนทงั้ หมดนจ้ี ะทำ� ผา่ นระบบ EPMS นเ้ี ชน่ กนั รวมถงึ การพมิ พใ์ บเบกิ เงนิ หรือใบอนุมัติจ่ายเงินงวดให้แก่นักวิจัย ต้องพิมพ์ออกจากระบบดังกล่าวนี้เท่าน้ัน หมายความว่า ทุกกระบวนการต้องมีการบันทึกข้อมูลรายละเอียดท้ังหมดให้เรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถจัดพิมพ์ ใบเบิกเงินออกมาจากระบบได้ ซ่ึงระบบ EPMS จะเช่ือมโยงกับระบบการเงินและการบัญชี และ ระบบติดตามงานของเจ้าหน้าท่ีผู้รับผิดชอบ รวมท้ังผู้บริหารสามารถเรียกดูความคืบหน้าของการ ด�ำเนินงานในรายละเอียดของแต่ละโครงการหรือดูในภาพรวมได้ทุกเมื่อ ท�ำให้การบริหารงานวิจัย ของ สกว. มปี ระสทิ ธิภาพค่อนขา้ งสงู นอกจากนี้ ยังมกี ารออกแบบตวั ชว้ี ัดขององค์กรให้เช่อื มโยงกับขอ้ มูลในระบบไดเ้ ป็นอยา่ งดี เจ้าหน้าท่ีแต่ละคนจึงไม่มีภาระงานเพ่ิมเติมในการรายงานผลการปฏิบัติงาน เพราะสามารถ สรปุ จากระบบโดยตรงผา่ นเจา้ หนา้ ทงี่ านสารสนเทศ ระบบนชี้ ว่ ยลดขอ้ ผดิ พลาดของการดำ� เนนิ งาน ลงได้มาก ผู้บริหารทุกระดับสามารถเรียกดูข้อมูลได้ทุกเม่ือ และน�ำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุง แกไ้ ขได้ทนั เหตกุ ารณ์ ระบบ EPMS ของ สกว. จงึ เป็นเคร่ืองมือสำ� คัญส�ำหรับการบรหิ ารงานวจิ ยั ใช้ตดิ ตามโครงการจำ� นวนมากไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สามารถใชค้ วบคุมหรอื ประเมินผลการปฏบิ ัติ งานของส�ำนักงานได้เป็นอย่างดี และเป็นต้นแบบให้หน่วยงานบริหารจัดการงานวิจัยอ่ืน ๆ ได้ใช้ ในการพฒั นางานของตนเองตอ่ ไป

ห้องสมุดอิเล็กทรอนกิ ส์ การจัดท�ำห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ([email protected]) เป็นการริเริ่มงานเผยแพร่ความรู้ จากการวจิ ยั สสู่ าธารณะ โดยเรมิ่ ดำ� เนนิ การตงั้ แตป่ ี 2551 ดว้ ยการใชป้ ระโยชนจ์ ากระบบสารสนเทศ การเผยแพรร่ ายงานการวจิ ยั ของ สกว. ในระยะแรกนนั้ เมอื่ นกั วจิ ยั สง่ รายงานผลงานวจิ ยั ตามสญั ญา ในรูปของเอกสารจ�ำนวน 10 เล่ม สกว. จะจัดส่งไปยังห้องสมุดของมหาวิทยาลัยใหญ่ในภูมิภาค แห่งละเล่ม มหาวทิ ยาลัยส่วนกลางบางแห่ง หอสมดุ แหง่ ชาติ และเก็บไวท้ ี่ สกว. 2 เลม่ โดยอยใู่ น ห้องสมุดกลางของ สกว. 1 เล่ม และห้องสมุดของฝ่ายอีก 1 เล่ม และไม่มีการก�ำหนดให้นักวิจัย ส่งผลงานในรูปแบบดิจิทัล ดังนั้น เมื่อ สกว. มีนโยบายจัดท�ำห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ จึงต้องน�ำ เอกสารรายงานผลงานวิจัยดังกล่าวมาถ่ายเอกสารและเก็บในรูปแบบดิจิทัลจ�ำนวนหลายแสนหน้า เพอ่ื เข้าระบบหอ้ งสมุดอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ประมาณช่วงปี 2540 เร่ิมมีข้อก�ำหนดให้นักวิจัยส่งรายงานผลการวิจัยได้ท้ังในรูปแบบ เอกสารเย็บเลม่ และรปู แบบดจิ ิทลั ซงึ่ ยังไมไ่ ดก้ ำ� หนดรปู แบบ (format) ท่ตี ายตวั จึงมีไฟลเ์ อกสาร หลากหลายรูปแบบ ส�ำนกั งานกองทุนสนับสนุนการวจิ ยั (สกว.) 111

112 นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย ประมาณก่อนปี 2550 กำ� หนดใหน้ ักวิจัยส่งเอกสารทัง้ ในรปู เอกสารเยบ็ เลม่ และแผน่ ขอ้ มลู (Compact Disc หรอื CD) ให้ สกว. ซงึ่ จากจดุ นน้ั เองทำ� ให้ สกว. เรม่ิ เปลยี่ นนโยบายการเกบ็ เอกสาร รายงานผลงานวจิ ยั เปน็ รปู ของแผน่ ซดี แี ทนการเกบ็ รกั ษาในรปู ของเอกสารเปน็ เลม่ และไดน้ ำ� เอกสาร เลม่ ไปเก็บรกั ษาไว้ในคลังเอกสารภายนอก สกว. เพ่อื ประหยัดพนื้ ทจี่ ัดเก็บ และเริม่ มีการให้บริการ ถา่ ยสำ� เนาแผน่ ซดี รี ายงานผลการวจิ ยั ตามทม่ี กี ารรอ้ งขอมาจากผใู้ ชภ้ ายนอก โดยมกี ารเกบ็ คา่ บรกิ าร และคา่ จดั ส่งเลก็ นอ้ ย ปี 2551 เร่ิมจัดท�ำห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก และเป็นการริเริ่มงาน เผยแพร่ความรู้จากการวิจัยสู่สาธารณะ โดยการน�ำรายงานผลการวิจัยในรูปส่ือดิจิทัลเข้าสู่ระบบ อนิ เทอรเ์ นต็ และเปดิ ใหบ้ รกิ ารแกผ่ สู้ นใจทวั่ ไปไดด้ าวนโ์ หลดไปใชป้ ระโยชนโ์ ดยไมค่ ดิ คา่ ใชจ้ า่ ย ทำ� ให้ การเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั ของ สกว. เกดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งกว้างขวาง สะดวก รวดเรว็ แทนทจี่ ะถกู เก็บไวใ้ น หอ้ งสมุดเชน่ วิธีการเดมิ ปัจจุบัน สกว. มีผลงานวจิ ัยอย่ใู นระบบจำ� นวน 10,983 โครงการ มีสมาชิก มากถึง 253,545 คน มีการดาวน์โหลดผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ประมาณ 2.5 ล้านครั้ง ผลงาน รอ้ ยละ 98.3 ถกู ดาวนโ์ หลดไปใชป้ ระโยชน์ และบางผลงานถกู ดาวนโ์ หลดไปใชม้ ากกวา่ 45,000 ครงั้ (ข้อมูล ณ วันท่ี 22 มกราคม 2560) ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ หรือห้องสมุดดิจิทัลจัดได้ว่าเป็นนวัตกรรมการบริหารงานวิจัย อย่างหน่ึง เพ่ือเปิดโอกาสให้สังคมและสาธารณะ สามารถเข้าถึงผลงานวิจัยได้โดยสะดวก ท�ำให้ ผลงานวจิ ยั ไมส่ ญู เปลา่ และไดเ้ ปน็ ตน้ แบบใหห้ ลายหนว่ ยงานหนั มาใชร้ ปู แบบนมี้ ากขน้ึ รวมทง้ั ขยายวง เปน็ เครอื ขา่ ยมากข้นึ ตามล�ำดับ การจัดการทรัพยส์ ินทางปัญญา ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นเครื่องมือส�ำคัญอย่างหนึ่งในการผลักดันผลงานวิจัยสู่การใช้ ประโยชน์ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การใชป้ ระโยชนเ์ ชงิ พาณชิ ย์ และอตุ สาหกรรม การจดทะเบยี นทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา เป็นการใชส้ ิทธิ์ตามกฎหมาย ท่จี ะประกาศให้สาธารณะรับร้วู ่า ผลงานดงั กล่าวไดม้ กี าร สรา้ งขน้ึ โดยมผี ปู้ ระดษิ ฐแ์ ละมเี จา้ ของ ดงั นนั้ ผใู้ ดจะนำ� ไปใชป้ ระโยชนต์ อ้ งไดร้ บั อนญุ าตจากเจา้ ของ ผลงานก่อน ผู้ใดที่น�ำผลงานไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจมีความผิดตามกฎหมาย และต้องชดใช้ คา่ เสยี หายตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ ได้ การอนญุ าตใหบ้ คุ คลใดใชส้ ทิ ธใิ์ นทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาตอ้ งมกี ารเจรจา เร่ืองผลประโยชน์กันก่อน โดยเฉพาะอย่างย่ิงกรณีท่ีมีการใช้สิทธ์ินั้นไปผลิตสินค้าหรือบริการซึ่ง สามารถกอ่ ใหเ้ กดิ รายได้ ซง่ึ เจา้ ของหรอื ผปู้ ระดษิ ฐค์ วรมสี ทิ ธท์ิ จี่ ะไดร้ บั สว่ นแบง่ รายไดน้ นั้ ดว้ ยเชน่ กนั

หลายคนยังไม่อาจเข้าใจเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา และอาจไม่เห็นด้วยท่ีจะให้มีการจด ทะเบยี นคมุ้ ครองดงั กลา่ ว เพราะมคี วามเชอื่ วา่ จะทำ� ใหช้ าวบา้ นหรอื ผปู้ ระกอบการรายเลก็ รายยอ่ ย ไม่สามารถเข้าถึงหรือน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ในความเป็นจริงการขอรับการคุ้มครองทรัพย์สินทาง ปญั ญา เป็นการแสดงสทิ ธิ์ในทรัพยส์ นิ เจ้าของสิทธจ์ิ ะอนุญาตใหใ้ ครใช้ หรือไมอ่ นญุ าตให้ใครใช้นนั้ ถือเป็นสิทธ์ิของเจ้าของ การเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมหรือจะให้ใช้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายย่อมถือเป็น สทิ ธขิ์ องเจ้าของเชน่ กัน ดังนัน้ การยนื่ ขอรบั ความคมุ้ ครองทางทรัพยส์ นิ ทางปัญญาจึงเปน็ เครือ่ งมือ ท่สี ำ� คญั ในการควบคมุ การใชส้ ิทธ์ดิ ังกลา่ วได้อยา่ งเตม็ ที่ มีผลดีมากกว่าผลเสีย เพราะเราอาจใช้สิทธิ์ ตามกฎหมายเพ่ือยับยั้งไม่ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ เอาเปรียบรายย่อยได้ โดยการควบคุมการใช้ ตามสิทธ์ิที่เรามีอยู่ การดำ� เนินงานดา้ นทรัพยส์ ินทางปญั ญาของ สกว. เริ่มมตี ้งั แตช่ ่วงเร่มิ ดำ� เนินงานของ สกว. และไดพ้ ฒั นาอยา่ งเปน็ รปู ธรรมตงั้ แตป่ ี 2549 โดยมกี ารแตง่ ตง้ั กรรมการทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา เพอ่ื จดั ท�ำขอ้ บังคับทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การจัดการทรัพยส์ ินทางปัญญาของ สกว. ฉบบั แรก ขอ้ บังคับดังกลา่ วได้ จดั ทำ� ขน้ึ และประกาศใชใ้ นปี 2550 มกี ารกำ� หนดหลกั เกณฑต์ า่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การบรหิ ารจดั การ ทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา เชน่ เกณฑก์ ารพจิ ารณาจดั สรรผลประโยชนอ์ นั เกดิ จากงานวจิ ยั เปน็ ตน้ ตอ่ มา ในปี 2551 มกี ารแกไ้ ขใหมใ่ หส้ มบรู ณข์ นึ้ เปน็ ขอ้ บงั คบั วา่ ดว้ ยการบรหิ ารจดั การทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา ซ่งึ ข้อบังคับดังกล่าวถูกน�ำมาใช้ตอ่ เนอื่ งจนถงึ ปี 2560 จงึ ได้มีการปรับปรุงใหม้ ีความทันสมัยมากขึน้ นอกจากระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ท่ีออกมาเพื่อเป็นแนวทางในการสนับสนุนการท�ำงานแล้ว สกว. ได้แต่งตั้งผู้รับผิดชอบงานด้านน้ีโดยตรง และส่งไปเข้ารับการอบรมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาใน หลักสูตรฝึกอบรมตัวแทนสิทธิบัตร จนได้ใบอนุญาตข้ึนทะเบียนเป็นตัวแทนสิทธิบัตร สามารถให้ ความชว่ ยเหลอื นกั วจิ ยั ในการรา่ งค�ำขอรบั สทิ ธบิ ตั รและทรัพย์สนิ ทางปญั ญาประเภทอื่น ๆ รวมทัง้ ทำ� หนา้ ทตี่ ดิ ตาม และชว่ ยเหลอื ในการเจรจาถา่ ยทอดเทคโนโลยี และดแู ลเรอ่ื งการแบง่ ผลประโยชน์ ใหก้ บั นกั วิจยั ประเดน็ หลกั ๆ ทเ่ี กี่ยวข้องกับงานทรัพย์สินทางปัญญามอี ยู่ 3 ประเดน็ คือ สิทธิใ์ น ความเป็นเจา้ ของผลงาน การบริหารจัดการ และการจัดสรรผลประโยชน์ ซง่ึ ทงั้ สามประเด็นน้ี เปน็ แกนหลกั ในการพจิ ารณาบริหารจดั การทรพั ยส์ ินทางปัญญาของ สกว. โดยมีหลกั การ ดังนี้ สทิ ธิ์ในความเปน็ เจา้ ของผลงาน สกว. ก�ำหนดให้เป็นสทิ ธริ์ ว่ มกันระหวา่ ง สกว. และหน่วย งานรบั ทนุ (หนว่ ยงานตน้ สงั กดั ของนกั วจิ ยั ) โดยมชี อื่ ของนกั วจิ ยั เปน็ ผปู้ ระดษิ ฐ์ หากเปน็ โครงการทม่ี ี การร่วมทนุ จากภาคเอกชนหรือหน่วยงานอนื่ จะมีชอ่ื เจ้าของผลงานร่วมด้วย จากเดมิ มกี ารก�ำหนด ใหน้ ักวจิ ัยเปน็ เจา้ ของรว่ มในผลงาน แต่เนือ่ งจากปัญหาดา้ นการบรหิ าร ซ่งึ บางครงั้ เมอ่ื มีการเจรจา ตอ่ รองเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยเี จา้ ของร่วมทกุ รายต้องใหค้ วามยนิ ยอม และหากหาตัวนกั วิจัยไมพ่ บ จะไมส่ ามารถเจรจาตอ่ รองหรือถา่ ยทอดเทคโนโลยีดังกลา่ วได้ ส�ำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.) 113

114 นวัตกรรมการบรหิ ารจดั การงานวิจยั การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา มีหลายขั้นตอน เช่น การย่ืนขอรับการคุ้มครอง การเจรจาต่อรองเพ่ือการถ่ายทอดเทคโนโลยี การป้องกันการละเมิดสิทธ์ิในทรัพย์สินทางปัญญา ซ่ึงการบริหารจัดการในส่วนน้ี ก�ำหนดให้สิทธ์ิในการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาเป็นของ สกว. แต่เพียงผู้เดยี ว เวน้ แตจ่ ะตกลงเปน็ อยา่ งอ่ืน เน่ืองจากมีหลายคร้งั ท่ีการเจรจาตอ่ รองผลักดัน ผลงานไปสู่การใช้ประโยชน์เกิดขึ้นไม่ได้เพราะทรัพย์สินทางปัญญามีเจ้าของร่วม และต้องได้รับ ความยนิ ยอมพรอ้ มใจจากเจา้ ของรว่ มทงั้ หมดกอ่ นจะเจรจากบั ภาคเอกชน ทำ� ใหก้ ารเจรจาถา่ ยทอด เทคโนโลยที ำ� ไมไ่ ดห้ ากเจา้ ของรว่ มบางรายไมพ่ อใจในผลประโยชนท์ จี่ ะไดร้ บั ทำ� ให้ สกว. ไมส่ ามารถ ดำ� เนนิ งานตอ่ ได้ สกว. จงึ กำ� หนดในขอ้ บงั คบั วา่ ดว้ ยการบรหิ ารจดั การทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาในปี 2551 อยา่ งชัดเจน และปรากฏอยใู่ นสญั ญารบั ทนุ ของผ้รู บั ทุนด้วยเช่นกนั อย่างไรก็ตาม สกว. ได้ออกหลักเกณฑ์ในการโอนสิทธ์ิทรัพย์สินทางปัญญาให้ผู้รับทุน ในกรณีท่ีหน่วยงานผู้รับทุนมีขีดความสามารถในการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาได้เอง ทาง สกว. จะโอนสิทธิ์ในการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาให้หน่วยงานน้ันรับไปด�ำเนินการ ด้วยตนเอง และหากสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ จะมีค่าบริหารจัดการให้แก่หน่วยงานน้ันด้วย วิธีน้ีคอื กระบวนการสรา้ งความเข้มแข็งในการบริหารจัดการงานวิจยั โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในส่วนของ การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาของมหาวิทยาลัยให้มีความเข้มแข็งข้ึน จนสามารถบริหาร จดั การงานทรพั ย์สินทางปญั ญาอื่น ๆ ท่ีไม่ใช่ผลงานโครงการวิจัยจาก สกว. ได้ดว้ ย การจดั สรรผลประโยชน์ การแบง่ ผลประโยชนท์ เี่ กดิ ขนึ้ จากการใชท้ รพั ยส์ นิ ทางปญั ญา เปน็ ประเด็นส�ำคัญและเป็นการสร้างแรงจูงใจทั้งในส่วนของนักวิจัย หน่วยงานต้นสังกัด และเอกชน ทเ่ี ขา้ มารว่ มลงทนุ วจิ ยั โดยกำ� หนดหลกั เกณฑก์ ารจดั สรรผลประโยชนท์ เี่ ปน็ ธรรมและสรา้ งแรงจงู ใจ ส�ำหรับกลุ่มตา่ ง ๆ ในเน้ือหาหลัก คือ หากเป็นการสนบั สนุนทนุ วจิ ยั ตามปกตแิ ละคสู่ ัญญาคือ สกว. กับหน่วยงานต้นสังกัดของนักวิจัย เม่ือมีผลประโยชน์เกิดข้ึนจากการใช้ทรัพย์สินทางปัญญานั้น จะแบง่ ผลประโยชนเ์ ปน็ สดั สว่ นเทา่ กนั โดยในสว่ นของหนว่ ยงานตน้ สงั กดั จะแบง่ ใหน้ กั วจิ ยั ตามเกณฑ์ หรือกติกาของหน่วยงานนั้น ๆ ในกรณีที่มีหน่วยงานอื่นหรือเอกชนร่วมลงทุนด้วย เอกชนรายนั้น สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาได้ โดยมีกติกาหรือข้อจ�ำกัดต่าง ๆ ซึ่งสิทธิ์ที่ได้รับ จะมากหรอื นอ้ ยขนึ้ อยกู่ บั สดั สว่ นการลงทนุ ในการสรา้ งทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญานน้ั ทงั้ หมดนเ้ี ปน็ แรงจงู ใจ ให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนสนบั สนนุ การวิจยั กับ สกว. มากขึ้น

สกว. ออกข้อบังคับว่าด้วยการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และด�ำเนินการบริหาร จัดการทรัพย์สินทางปัญญา โดยมีการต้ังผู้รับผิดชอบเพื่อช่วยเหลือนักวิจัยในการด�ำเนินการ และ มีการก�ำหนดระเบียบข้อบังคับและกติกาต่าง ๆ ท่ีเอ้ือต่อการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ท�ำให้การดำ� เนนิ งานด้านน้ขี อง สกว. ค่อนข้างโดดเด่น และมีส่วนชว่ ยผลกั ดนั ใหม้ หาวทิ ยาลยั ตา่ ง ๆ ได้พฒั นางานทรพั ย์สนิ ทางปญั ญาของหนว่ ยงานตนเองจนกา้ วหนา้ เปน็ ลำ� ดับ แนวคิดเรื่องการออกแบบข้อบังคับว่าด้วยการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา คือความ พยายามชใ้ี หเ้ หน็ ความสำ� คญั ของทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาและผลประโยชนท์ เี่ กดิ ขน้ึ ซงึ่ สถาบนั ตน้ สงั กดั ของนักวิจัยและตัวนักวิจัยเองต้องได้รับประโยชน์ในส่วนน้ี ใจความหลักคือความพยายามในการ โน้มน้าวหรือสร้างแรงจูงใจให้เอกชนยินดีท่ีจะร่วมลงทุนในการวิจัยมากข้ึน โดยระเบียบข้อบังคับ ดงั กลา่ วตอ้ งไมย่ ดึ ตดิ กรอบมากเกนิ ไป และเปดิ โอกาสใหม้ กี ารเจรจาตอ่ รองไดพ้ อสมควร เพอ่ื ใหก้ าร ขับเคลอื่ นงานส่กู ารใช้ประโยชน์เกดิ ไดง้ า่ ยขึ้น บทสรุปจากการจัดการทรัพย์สินทางปัญญาที่ส�ำคัญของ สกว. คือ เป้าหมายส่งเสริมให้มี การใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยมากกว่าการมุ่งแสวงหาผลก�ำไรจากผลงาน เพื่อใช้เป็นกลไกใน การกระต้นุ ใหเ้ อกชนสว่ นใหญข่ องประเทศซ่งึ ดำ� เนินธุรกิจขนาดกลางหรอื ขนาดเล็ก มโี อกาสเขา้ ถึง เทคโนโลยีท่ีคนไทยสร้างขึ้น ดังนั้นการเจรจาต่อรองเรื่องผลประโยชน์ ซ่ึงส่วนใหญ่มีสองส่วน คือ ค่าเปิดเผยเทคโนโลยี (disclosure fee) และค่าใช้สิทธ์ิ (royalty fee) จึงให้ความส�ำคัญกับ ความสามารถทเี่ อกชนจะจา่ ยไดแ้ ละเปน็ ธรรม เชน่ การคดิ คา่ ใชส้ ทิ ธจิ์ ะไมม่ กี ารกำ� หนดตวั เลขแนน่ อน แต่ใหใ้ ชอ้ ัตราตามปรมิ าณยอดขาย เป็นตน้ การสร้างแรงจูงใจให้เอกชนร่วมลงทุนในการวิจัยมากข้ึน โดยก�ำหนดสัดส่วนการลงทุน รว่ มของเอกชน ให้สัมพันธก์ บั การจ่ายค่าใช้สิทธิ์ บางครง้ั รวมไปถึงการมคี วามเป็นเจ้าของในผลงาน ทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญานน้ั ดว้ ย หากเอกชนรายใดมคี วามกลา้ เสยี่ งลงทนุ รว่ มวจิ ยั ตง้ั แตต่ น้ ในปรมิ าณมาก แสดงวา่ มีความยนิ ดียอมรับความเสีย่ งจากการวิจัยร่วมกบั สกว. มาก ดังนั้น เมอื่ ผลงานออกมาแล้ว หากเอกชนรายนั้นต้องการน�ำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานของตนเอง อาจได้รับการยกเว้นการ จ่ายค่าเปิดเผยเทคโนโลยีและค่าใช้สิทธ์ิภายในระยะเวลาหน่ึง แต่หากเอกชนรายนั้นไม่กล้าเสี่ยง ต้ังแต่ต้นและได้ร่วมลงทุนวิจัยเพียงส่วนน้อย เม่ือผลงานเกิดข้ึนและเอกชนรายดังกล่าวต้องการนำ� ไปใช้ประโยชน์ในกิจการของตน จ�ำต้องจ่ายค่าเปิดเผยเทคโนโลยีและค่าใช้สิทธิ์ในอัตราที่สูงข้ึน เปน็ ตน้ สำ� นกั งานกองทนุ สนับสนนุ การวจิ ัย (สกว.) 115

116 นวัตกรรมการบริหารจดั การงานวิจัย การสรา้ งแรงจูงใจใหน้ ักวิจยั กำ� หนดให้มกี ารมอบค่าเปดิ เผยเทคโนโลยีให้แก่นักวิจยั และ แบ่งค่าใช้สิทธ์ิท่ีได้รับมาบางส่วนให้แก่นักวิจัยและหน่วยงานต้นสังกัดของนักวิจัย ตามสัดส่วนที่ เหมาะสม ดังน้ันนักวจิ ยั ท่ีสร้างผลงานจนกระท่ังได้รบั ความคมุ้ ครองทรพั ย์สินทางปัญญาและถกู นำ� ไปใช้ประโยชนแ์ ลว้ โดยภาคเอกชน จะไดร้ ับส่วนแบง่ จากคา่ ใช้สทิ ธิด์ งั กล่าวอยา่ งตอ่ เน่อื ง จนกวา่ จะ ส้ินสุดสัญญาการขอใช้ประโยชน์ รวมท้ังมีการก�ำหนดกติกาว่า หากมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานใด ไมม่ รี ะเบยี บเร่ืองการแบง่ ผลประโยชนท์ ่ีชดั เจน สกว. จะด�ำเนินการแบง่ ให้ตามสัดส่วนท่ี สกว. เห็น ว่าเหมาะสม แต่หากหน่วยงานใดมีระเบยี บหรอื ขอ้ ปฏิบัติทช่ี ดั เจนเกีย่ วกับการจดั แบ่งผลประโยชน์ ดังกล่าวแล้ว สกว. จะปฏิบัติตามกฎระเบียบของหน่วยงานนั้น ๆ ทั้งน้ีเพ่ือเป็นการกระตุ้นให้ มหาวทิ ยาลยั และหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทม่ี ศี กั ยภาพในการสรา้ งผลงานทใ่ี ชป้ ระโยชนไ์ ด้ มกี ารพฒั นาการ บรหิ ารจดั การงานวจิ ยั ของตนเอง โดยการออกระเบยี บรองรบั ซง่ึ แตเ่ ดมิ หนว่ ยงานและมหาวทิ ยาลยั ส่วนใหญ่ ยงั ไม่มีระเบยี บเร่ืองการแบ่งผลประโยชน์ทีเ่ กิดข้นึ จากงานวิจัย ท�ำให้นักวิจยั ไมม่ แี รงจงู ใจ ในการสร้างผลงานทมี่ ีคุณภาพและสามารถใชป้ ระโยชน์ไดใ้ นเชิงพาณชิ ย์ การสรา้ งความเขม้ แขง็ ใหม้ หาวทิ ยาลยั ในการจดั การทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา ประเดน็ นเ้ี ปน็ เร่ืองสำ� คญั ที่ สกว. มองวา่ หากทุกมหาวิทยาลยั เห็นวา่ สกว. มคี วามเขม้ แข็งในการจัดการทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาแลว้ หนว่ ยงานของตนไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งพฒั นางานดา้ นนข้ี น้ึ มา ซงึ่ จะเปน็ ผลเสยี ในระยะยาว ดงั นน้ั สกว. จงึ ไดอ้ อกหลกั เกณฑใ์ นการโอนสทิ ธใ์ิ นทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาใหผ้ รู้ บั ทนุ โดยมหี ลกั การวา่ หากมหาวิทยาลัยใดมีความพร้อม มีหน่วยงานรองรับ มีกฎกติกาหรือระเบียบที่เหมาะสม และมี บคุ ลากรดา้ นนี้โดยตรง สกว. จะมอบสทิ ธใ์ิ นการบรหิ ารทรัพยส์ ินทางปัญญานน้ั ใหก้ บั มหาวิทยาลัย เพอื่ ไปบรหิ ารเองโดยตรง และหากผลงานดงั กลา่ วสามารถถา่ ยทอดไปยงั ผใู้ ชไ้ ดแ้ ละเกดิ ผลประโยชน์ สกว. จะมอบค่าบริหารจัดการให้แก่มหาวิทยาลัยนั้น ๆ ก่อนจะน�ำผลประโยชน์ส่วนท่ีเหลือมา แบ่งสรรปนั สว่ นกนั ต่อไป นอกจากกติกาและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพ่ือช่วยให้การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา เป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพแล้ว การเจรจาเร่อื งผลประโยชนจ์ ากการใช้สทิ ธิใ์ นทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา ถือเป็นประเด็นส�ำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องอาศัยทักษะในการเจรจาต่อรองมากกว่าการก�ำหนดเกณฑ์ เขม้ งวด ดังน้นั สกว. จึงได้กำ� หนดเกณฑ์อยา่ งหลวม ๆ เพือ่ เปิดโอกาสให้มกี ารเจรจาต่อรองได้มาก ท่ีสดุ โดยไม่ยึดตดิ กบั กรอบของระเบยี บข้อบงั คบั ทส่ี ร้างขึน้ สง่ ผลให้ผลงานวจิ ัยทไี่ ด้รับการคุ้มครอง ทรัพยส์ นิ ทางปญั ญาหลายช้ิน และสามารถนำ� ไปใชป้ ระโยชนใ์ นเชิงพาณชิ ยไ์ ดจ้ ริงจนถงึ ทุกวนั นี้

กลไกการผลักดนั ผลงานสกู่ ารใช้ประโยชน์ “งานประชาสมั พนั ธ”์ เป็นกิจกรรมซง่ึ หนว่ ยงานต่าง ๆ ใชเ้ พือ่ เผยแพรช่ ่ือเสียงขององคก์ ร และผู้บริหารของหน่วยงานให้เป็นที่รู้จักแก่สาธารณะ ส�ำหรับ สกว. ใช้การประชาสัมพันธ์เป็น เคร่ืองมือในการผลักดนั ผลงานสู่การใช้ประโยชน์ในรูปแบบท่ีหลากหลาย ดังนัน้ งานประชาสมั พันธ์ ของ สกว. ทผี่ า่ นมาจงึ ไมม่ งุ่ เนน้ ทกี่ จิ กรรมของผบู้ รหิ ารในวาระตา่ ง ๆ แตเ่ ปน็ การนำ� เสนอผลงานวจิ ยั ของนกั วิจยั ทไ่ี ด้รับทนุ สนบั สนุนจาก สกว. เป็นการประกาศเกียรตคิ ุณและเผยแพรค่ วามร้ทู ่ีไดจ้ าก การวจิ ยั ของนกั วจิ ัยเป็นหลัก และใชโ้ อกาสน้นั ในการชักชวนใหผ้ ู้ทส่ี นใจเข้าใช้ประโยชน์จากผลงาน ดงั กลา่ ว สกว. จงึ ใช้ช่ือกจิ กรรมนว้ี ่า ‘งานสือ่ สารกับสงั คม’ เน่ืองจากงานวิจัยและพัฒนาของ สกว. ส่วนใหญ่เป็นชุดโครงการขนาดใหญ่ และมี ผู้ประสานงานท�ำหน้าที่ในการบริหารโครงการ ผู้ประสานงานจึงควรรู้เกี่ยวกับงานประชาสัมพันธ์ และการเผยแพร่งานวจิ ัยดว้ ย ในปี 2541 สกว. จัดสัมมนาเรื่องการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ผลงานวิจัย ใหก้ บั ผูบ้ ริหาร สกว. และผปู้ ระสานงานของชุดโครงการต่าง ๆ โดยการเชญิ วทิ ยากรทเ่ี ป็นนักเขยี น และสอ่ื มวลชน มาฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารให้ โดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื เสรมิ สรา้ งทกั ษะการประชาสมั พนั ธ์ ให้กบั นักวิจยั และนักบรหิ ารงานวจิ ัยทั้งหลายได้รับทราบ รวมท้ังมองเหน็ ชอ่ งทางในการสื่อสารเพ่ือ ให้ผลงานวิจัยได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณชนมากข้ึน ซึ่งประสบความส�ำเร็จพอสมควรในการสร้าง ความตระหนักในเรื่องความสำ� คญั ของการเผยแพร่ผลงานวจิ ัยผา่ นสือ่ มวลชนแขนงตา่ ง ๆ สกว. ให้ความสำ� คัญกบั งานสอ่ื สารกับสังคม โดยมอบหมายใหร้ องผ้อู ำ� นวยการ เป็นผู้ดูแล รบั ผดิ ชอบ มกี ารจดั จา้ งเอกชนเขา้ ดำ� เนนิ งานโดยมขี อ้ กำ� หนดรปู แบบทชี่ ดั เจน ตอ่ มาคณะกรรมการ นโยบายไดเ้ สนอให้มกี ารจัดตง้ั หน่วยงานชอ่ื “งานสื่อสารสงั คม” ข้ึนภายใน สกว. เพ่ือด�ำเนนิ การ แทนการจดั จา้ งตามวธิ กี ารเดมิ รปู แบบการสอ่ื สารสงั คมของ สกว. อาทิ การจดั แถลงขา่ ว การสง่ ขา่ วให้ ส่ือมวลชน การน�ำส่ือมวลชนลงพ้ืนที่วิจัยจริง เป็นต้น ซ่ึงรูปแบบการด�ำเนินงานดังกล่าวได้ผลดี พอสมควร และสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับส่ือมวลชนได้ในท่ีสุด สกว. จึงเป็นหน่วยงานท่ี สามารถใหค้ ำ� ตอบกบั สงั คมไดใ้ นหลายเรอ่ื งในกรณที เ่ี กดิ วกิ ฤติ เชน่ จากผลงานวจิ ยั ของฝา่ ย 3 เกย่ี วกบั แผน่ ดนิ ไหวในประเทศ สกว. สามารถใหข้ อ้ มลู ทางวชิ าการทถ่ี กู ตอ้ งและชดั เจนแกส่ อ่ื มวลชนเพอื่ นำ� ไปเผยแพรส่ สู่ าธารณะไดภ้ ายในระยะเวลาอนั สนั้ ทนั ตอ่ ความตอ้ งการขา่ วสารของประชาชน เปน็ ตน้ ส�ำนกั งานกองทุนสนับสนนุ การวิจยั (สกว.) 117

118 นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั การลงทุนสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ เป็นอีกภารกิจหน่ึงท่ี สกว. เล็งเห็นความส�ำคัญ เพราะหากสื่อมวลชนมีความเข้าใจในเน้ือหาวิชาการของนักวิจัยได้มาก พอควรแล้วจะสามารถถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นสู่สาธารณะได้ถูกต้องและแทนตัวนักวิจัยได้เป็น อย่างดี ดังน้ันกิจกรรมการน�ำสื่อมวลชนลงพ้ืนท่ีวิจัยจริงจึงเป็นอีกช่องทางหน่ึงท่ีได้ผลดี เป็นการ สร้างความรู้เชิงลึกในเนื้อหาวิชาการให้แก่ส่ือมวลชน เพ่ือให้ส่ือมวลชนได้น�ำความรู้ไปเผยแพร่ ตามความเข้าใจของตนต่อไป ทำ� ให้สงั คมได้รบั รผู้ ลงานวจิ ยั ผ่านสือ่ ได้ถูกตอ้ งและแมน่ ย�ำขึ้น จากการทดลองนำ� สอ่ื มวลชนสาขาตา่ ง ๆ ไปดงู านการเลยี้ งกระบอื มรู า่ ห์ ทจ่ี งั หวดั ฉะเชงิ เทรา มีสื่อมวลชนมากกว่า 20 รายร่วมเดินทาง ผลที่ได้คือ สื่อมวลชนมีโอกาสเห็นสภาพจริงในพื้นที่ มโี อกาสซกั ถามทำ� ความเขา้ ใจในเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ จากนกั วจิ ยั และผปู้ ระกอบการโดยตรง เกดิ ความเขา้ ใจ และมมี มุ มองซงึ่ สะทอ้ นออกมาในรปู ของบทความในหนงั สอื พมิ พห์ ลายฉบบั และมเี นอ้ื หาทห่ี ลากหลาย ตามความเข้าใจของส่ือมวลชนแต่ละราย จากการลงทุนค่าใช้จ่ายเพียงไม่กี่หม่ืนบาทในการจัดการ เดินทางพาส่ือมวลชนลงพื้นท่ีในครั้งนั้น ส่ิงท่ีได้รับคือบทความตีพิมพ์ในสื่อหนังสือพิมพ์ ซ่ึงหาก คิดเป็นมูลค่าประชาสัมพันธ์ (PR Value) แล้ว ปรากฏมูลค่าสูงเกินสิบล้านบาท และท�ำให้สังคม ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารงานวิจัยในรูปแบบท่ีนักข่าวแต่ละคนเรียบเรียงขึ้น ไม่ใช่ข่าวท่ีจัดท�ำข้ึน โดย สกว. ซ่ึงจะท�ำให้เหน็ มมุ มองเพียงดา้ นเดยี ว ตวั อย่างงานวิจัยและพฒั นาแบบบูรณาการ รูปแบบการบริหารจัดการงานวิจัยและพัฒนาของ สกว. มีหลายรูปแบบ มุ่งเน้นท่ีการน�ำ ผลงานไปใช้ประโยชน์ ตัวอย่างต่อไปน้ี เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการบริหารจัดการผลงานเด่น ที่ถูกน�ำไปใช้ประโยชน์ เพื่อแสดงให้เห็นมิติของการบริหารจัดการงานวิจัย การเช่ือมโยงงานวิจัย ขา้ มฝ่ายทีเ่ กิดขึ้น มที ้ังการเช่ือมโยงข้ามฝ่ายระหว่างฝ่ายสนบั สนนุ งานวจิ ัยและพฒั นาดว้ ยกัน และ การเชอ่ื มโยงระหวา่ งฝา่ ยวชิ าการและฝา่ ยวจิ ยั และพฒั นา ตวั อยา่ งการดำ� เนนิ งานดงั กลา่ ว เชน่ เรอ่ื งของ การผลักดันการค้นพบไรน�้ำนางฟ้าน�ำไปสู่การใช้ประโยชน์ เป็นตัวอย่างในการเชื่อมโยงระหว่าง งานวิจัยเชิงวิชาการและงานวิจัยเชิงพาณิชย์ เร่ืองการผลักดันผลงานวิจัยเร่ืองปุ๋ยสั่งตัดที่อ�ำเภอ นครไทย เปน็ ตวั อยา่ งการเชอื่ มโยงขา้ มฝา่ ยระหวา่ งงานวจิ ยั และพฒั นาของฝา่ ยเกษตรและฝา่ ยชมุ ชน จนเกิดการขับเคล่อื นผลงานสูก่ ารใชป้ ระโยชน์ท่เี ปน็ รูปธรรม

การคน้ พบไรน้ำ� นางฟ้า ศาสตราจารย์ ดร.ละออศรี เสนาะเมอื ง นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านอนุกรมวิธานของสัตว์ คน้ พบไรนำ้� นางฟา้ ชนดิ ใหมข่ องโลก 3 ชนดิ และ พบว่าไรน้�ำนางฟ้าดังกล่าวมีโปรตีนและแคโร- ทนี อยดส์ งู มาก สงู กวา่ อารท์ เี มยี ซงึ่ เปน็ ไรนำ�้ เคม็ ท่ีต้องน�ำเข้าไข่ไรจากต่างประเทศมาเพาะเลี้ยง เพื่อใช้เป็นอาหารเล้ียงสัตว์น�้ำท่ีมีมูลค่าสูง ค�ำถามคือ เราสามารถประยุกต์ใช้ไรน้�ำนางฟ้า ทดแทนอาร์ทีเมยี ได้หรือไม่ นักวจิ ัยไดเ้ ปรียบเทียบระหวา่ งการใชอ้ ารท์ ีเมยี กบั ไรนำ�้ นางฟ้าในการเล้ียงปลาหมอสี พบว่า การใช้ไรน�้ำนางฟ้าเลี้ยงปลาหมอสี ท�ำให้สีข้างล�ำตัวของปลาหมอมีความเด่นชัดและสวยงาม มากกวา่ การเลย้ี งดว้ ยอาหารเมด็ เพยี งอยา่ งเดยี ว หรอื ดว้ ยการเลยี้ งโดยใชอ้ าหารเมด็ รว่ มกบั อารท์ เี มยี จากจุดนี้ท�ำให้ความต้องการใช้ไรน�้ำนางฟ้าในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้�ำมูลค่าสูงส�ำหรับธุรกิจ ปลาที่ต้องการสีสันสวยงามเพ่ิมสูงข้ึน ในขณะที่ผลผลิตซ่ึงมีอยู่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ของตลาด ตอ่ มา ในปี 2550 ไดร้ บั การสนับสนนุ ทนุ วิจยั เพ่อื พฒั นารูปแบบทีเ่ หมาะสมและการจัดการ การเพาะเลย้ี งไรนำ�้ นางฟา้ เชงิ พาณชิ ยใ์ นประเทศไทยจากฝา่ ยเกษตร จนไดร้ ปู แบบการเพาะเลยี้ งใน บอ่ ดินและกระชงั ซงึ่ ไดเ้ ผยแพรใ่ หเ้ กษตรกรได้น�ำไปใชใ้ นการเพาะเลี้ยงเชงิ พาณิชย์ ปัจจุบนั ไรน�้ำนางฟ้ามีจ�ำหน่ายทว่ั ไป และเกดิ เปน็ อาชพี ใหมจ่ ากการเพาะเลี้ยงไรนำ�้ นางฟา้ ในหลายจงั หวัด เกิดธรุ กจิ การจ�ำหน่ายไรน�ำ้ นางฟ้าแชเ่ ยือกแข็ง การจ�ำหน่ายไขไ่ รน้�ำนางฟา้ เพ่ือน�ำ ไปเพาะเลยี้ งจำ� หนา่ ยหรอื ใชเ้ องในกลุ่มของผู้เพาะเล้ยี งปลาสวยงาม ทั้งหมดน้ีเป็นการสร้างธุรกิจใหม่จากงานวิจัยเชิงวิชาการท่ีเป็นรูปธรรม ความส�ำเร็จของ โครงการนอ้ี ยทู่ คี่ วามมงุ่ มนั่ ของนกั วจิ ยั ทเ่ี กาะตดิ ในสงิ่ ทตี่ นเองไดค้ น้ พบอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และการไดร้ บั การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากแหล่งทุนวิจัยเช่น สกว. ซ่ึงได้ต้ังโจทย์ท่ีท้าทายและเปิดโอกาส ให้นักวิจัยได้ค้นคว้าทดลองจนสามารถผลักดันให้ผลงานดังกล่าวออกเผยแพร่และใช้กันอย่าง แพรห่ ลายในทสี่ ดุ สำ� นักงานกองทนุ สนบั สนุนการวิจยั (สกว.) 119

120 นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวจิ ยั ป๋ยุ สัง่ ตัดท่นี ครไทย ฝ่ายชุมชนและสังคม (ฝ่าย 4) ผลักดันเร่ืองการจัดท�ำบัญชีครัวเรือนให้กับชุมชนต่าง ๆ ไดท้ ำ� การวเิ คราะหเ์ หตุของความยากจนและหาทางแก้ไขปัญหา เช่นเดียวกบั การสนับสนุนให้ชมุ ชน ตำ� บลหว้ ยเฮยี ะ อำ� เภอนครไทย จงั หวดั พษิ ณโุ ลก จดั ทำ� บญั ชคี รวั เรอื น เพอื่ ดรู ายรบั รายจา่ ยทเี่ กดิ ขนึ้ ซงึ่ เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ทำ� ใหเ้ กษตรกรผปู้ ลกู ขา้ วโพดในพน้ื ทดี่ งั กลา่ ว คน้ พบวา่ ตน้ ทนุ ครง่ึ หนงึ่ ของการปลกู ขา้ วโพด เปน็ ค่าปุ๋ยเคมี จงึ ได้สง่ โจทย์น้ันผา่ นมาทางฝ่ายชุมชนเพ่ือหาวธิ ีการลดต้นทนุ การใช้ปุ๋ยลง ฝ่ายเกษตร (ฝ่าย 2) มผี ลงานวิจยั เร่ืองการพัฒนาระบบค�ำแนะนำ� การใชป้ ยุ๋ เคมสี �ำหรบั การ ผลิตขา้ วโพด ต้ังแตป่ ี 2540 ดำ� เนนิ การวจิ ยั โดย ศาสตราจารย์ ดร.ทศั นยี ์ อตั ตะนันทน์ และทีมวิจัย ได้ผลักดันผลงานดังกล่าวสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้างจนประสบความส�ำเร็จในระดับหนึ่ง ในขณะ เดียวกัน สกว. มีงานวิจยั เชิงพน้ื ท่ีมอบให้ผบู้ ริหารแตล่ ะคนดูแลและทดลองใช้รปู แบบที่คดิ วา่ เหมาะ สมและตอบสนองความตอ้ งการในการจดั การงานวจิ ยั สำ� หรบั แตล่ ะพนื้ ที่ ในสว่ นของพน้ื ทภ่ี าคเหนอื ตอนล่าง เม่ือได้รับโจทย์ดังกล่าว จึงประสานงานกับผู้ประสานงานในพ้ืนท่ีภาคเหนือตอนล่าง คือ รองศาสตราจารย์ ดร.เสมอ ถานอ้ ย ซง่ึ ดแู ลชดุ โครงการเชงิ พน้ื ทใ่ี นเขต เชญิ เกษตรกรในพน้ื ทท่ี ต่ี อ้ งการ แกป้ ญั หาเขา้ รว่ มประชมุ เกอื บ 200 คน และนำ� เสนอโครงการปรบั เปลย่ี นวธิ กี ารใชป้ ยุ๋ ของเกษตรกร โดยการหาอาสาสมคั รเกษตรกรทต่ี อ้ งการเขา้ รว่ มโครงการ มผี แู้ จง้ ความจำ� นงเขา้ รว่ มโครงการจำ� นวน 84 ราย ท�ำการปลูกข้าวโพดตามวิธีการท่ีเคยปฏิบัติมาและแบ่งพ้ืนที่ในเขตของตนเองประมาณ รายละ 1 ไร่ทำ� เป็นแปลงทดสอบปุ๋ยตามคำ� แนะนำ� ของนกั วิชาการ ไดข้ อ้ ค้นพบร่วมกันของทมี วิจัย และเกษตรกรคือ สามารถลดต้นทุนค่าปุ๋ยลงได้ ท�ำให้ต้นทุนรวมในการผลิตข้าวโพดลดลงทันที เพราะค่าปุ๋ยลดลง

ตามวธิ ดี ง้ั เดมิ นนั้ เกษตรกรใสป่ ยุ๋ ดว้ ยความไมร่ ใู้ นปรมิ าณมาก ปรมิ าณทมี่ ากเกนิ ไปกลายเปน็ การให้ไนโตรเจนสูงแต่ไม่ได้ให้โพแทสเซียม ผลคือล�ำต้นอ่อนแอ ล้มง่าย ผลผลิตต่�ำ ฝักเล็ก เม่ือเปล่ียนมาใช้ปุ๋ยตามค�ำแนะน�ำซ่ึงอิงค่าการวิเคราะห์ดิน ผลคือค่าฝักโตขึ้นจากเดิมประมาณ 10 ฝกั ไดน้ ำ�้ หนกั 1.2 กโิ ลกรมั กลายมาเปน็ 4 ฝกั ตอ่ 1.2 กโิ ลกรมั ผลผลติ เดมิ ประมาณ 600 กโิ ลกรมั ต่อไร่ เพม่ิ ขึน้ ถึง 800-1,000 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ ตน้ ทุนค่าปุย๋ มีทัง้ เพิ่มข้ึนเล็กน้อยในดินท่ขี าดธาตอุ าหาร มาก ๆ แต่ส่วนใหญ่ต้นทุนค่าปุ๋ยลดลงเกือบคร่ึงหน่ึง หลังจากนั้น การใช้ปุ๋ยตามค�ำแนะน�ำของ นกั วชิ าการจงึ กลายเป็นเครอื่ งมอื สำ� คญั ของการผลติ ขา้ วโพดท่นี ครไทยจนถงึ ปจั จุบัน ตัวอย่างชดุ โครงการวจิ ยั และพฒั นาขนาดใหญ่ ชุดโครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพ ในประเทศไทย (โครงการ BRT) โครงการ BRT เกิดจากความร่วมมือและลงทุนสนับสนุนการวิจัยร่วมกันระหว่าง สกว. และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ศช.) โดยมีเป้าหมายสนับสนุนการวิจัย ด้านความหลากหลายทางชวี ภาพเพ่ือคน้ หาขอ้ มลู พนื้ ฐานเกย่ี วกบั สิ่งมชี วี ติ ตา่ ง ๆ ที่กระจัดกระจาย อยู่ตามสภาพนิเวศวิทยาท่ีหลากหลายในประเทศไทย และหาทางอนุรักษ์และปกป้องทรัพยากร ชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพ่ือให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนอย่างเป็นธรรม งานน้ีเป็นชุดโครงการ ขนาดใหญ่ มีผลงานเกิดข้ึนในแต่ละปีหลายร้อยเรื่อง มีการลงทุนร่วมกันจากสองแหล่งทุน มีศาสตราจารย์ ดร.วสิ ุทธ์ิ ใบไม้ เปน็ หัวหน้าโครงการ ผลจากการดำ� เนนิ งานของโครงการนี้ กอ่ ใหเ้ กดิ ความตนื่ ตวั อยา่ งมากในวงวชิ าการ เพราะจากเดมิ ไมม่ หี นว่ ยงานใดลงทนุ สนบั สนนุ งานวจิ ยั ดา้ นนอี้ ยา่ งจรงิ จงั ทำ� ใหน้ กั วจิ ยั ดา้ นอนกุ รมวธิ านและดา้ นที่ เกย่ี วขอ้ งมโี อกาสสรา้ งองคค์ วามรสู้ ำ� หรบั ประเทศอยา่ งมากมาย เกดิ การคน้ พบพชื สตั ว์ และสงิ่ มชี วี ติ ชนิดใหม่ต่าง ๆ ของโลกอย่างมากมายเช่นกันในช่วงเวลาดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของ งานวจิ ยั ดา้ นความหลากหลายทางชวี ภาพของประเทศ กอ่ ใหเ้ กดิ ผลตอ่ เนอื่ งตามมา คอื เกดิ การจดั ตงั้ หนว่ ยงานระดบั ชาตเิ พอื่ ดแู ลการวจิ ยั และใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละความหลากหลาย ทางชวี ภาพ นกั วชิ าการดา้ นนจ้ี ำ� นวนมากกา้ วเขา้ สตู่ ำ� แหนง่ ทางวชิ าการสงู สดุ และเกดิ ผลงานตพี มิ พ์ ในระดบั สากลเป็นจ�ำนวนมากตามมา ส�ำนักงานกองทุนสนบั สนนุ การวิจัย (สกว.) 121

122 นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจยั การพฒั นาและรับรองคณุ ภาพโรงพยาบาล โครงการนเี้ กดิ จากการรว่ มทนุ ระหวา่ งสถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสขุ (สวรส.) และสำ� นกั งาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพ่ือพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลที่เหมาะสม งานวิจัยประเภทน้ี เป็นงานในลักษณะกึ่งวิจัยกึ่งปฏิบัติการ มีเป้าหมายให้โรงพยาบาลน�ำร่องมีการพัฒนาคุณภาพ อย่างต่อเน่อื ง มีการพัฒนาศักยภาพ คณุ ธรรม และจรยิ ธรรมของคนในองคก์ ร เพ่อื รว่ มกันปรับปรุง ระบบงานและวธิ ดี ำ� เนนิ งานทส่ี ามารถตรวจสอบได้ และตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของผรู้ บั บรกิ าร มีการร่วมกันสร้างเกณฑ์มาตรฐานท่ีเหมาะสม เพื่อใช้เป็นกรอบการประเมินกระบวนการคุณภาพ ของโรงพยาบาล ในที่สุดได้ก่อให้เกิดองค์กรท่ีรับผิดชอบดูแลเร่ืองนี้โดยตรงในรูปแบบขององค์การ มหาชน (สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล) ซึ่งเป็นกลไกระดับประเทศ ท่ีจะส่งเสริม การพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลอย่างตอ่ เนอื่ ง โดยอาศัยการประเมนิ ตนเองรว่ มกบั การประเมิน จากภายนอกเป็นกลไกกระตุ้นท่ีส�ำคญั ลักษณะการด�ำเนินงานเช่นน้ี เป็นการใช้งานวิจัยเป็นเคร่ืองมือในการผลักดันเชิงนโยบาย หรือเป็นโครงการนำ� รอ่ ง ทดลองสรา้ งรปู แบบและกลไก จนเกิดองคก์ รทม่ี าทำ� หน้าท่ีเรอ่ื งน้โี ดยตรง นักวิจัยของโครงการนี้หลายท่านได้เป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่ต้ังข้ึนใหม่แห่งนี้ และสามารถ ผลกั ดนั ใหห้ น่วยงานดงั กล่าวมคี วามก้าวหน้ามากขึน้ ตอ่ ไป การใชส้ ารโพแทสเซยี มคลอเรตกับการผลิตลำ� ไยอย่างปลอดภัย ปี 2542 เกดิ เหตกุ ารณส์ ารเรง่ ดอกลำ� ไยระเบดิ ทอ่ี ำ� เภอสนั ปา่ ตอง จงั หวดั เชยี งใหม่ ทำ� ใหผ้ คู้ น บริเวณใกล้เคียงเสียชีวิตหลายสิบคน เกิดความเสียหายมากมาย สาเหตุเนื่องจากสารโพแทสเซียม คลอเรตซ่ึงถูกน�ำมาใชใ้ นการกระตุน้ การออกดอกของล�ำไยเกิดการระเบิด สารโพแทสเซยี มคลอเรต เปน็ องคป์ ระกอบหลกั ของดินระเบิด ตัวสารโพแทสเซียมคลอเรต บริสทุ ธเ์ิ อง หากไดร้ บั การกระแทกอยา่ งรุนแรงก็สามารถระเบิดไดเ้ ช่นกนั เนือ่ งจากเปน็ ออกซไิ ดซิ่ง- เอเจนท์ (oxidizing agent) อย่างแรง สามารถท�ำปฏกิ ริยากับสารอนิ ทรีย์ และปลดปล่อยออกซเิ จน ออกมาอยา่ งรวดเรว็ เมอ่ื ไดร้ บั แรงกระตนุ้ เชน่ การกระทบกระแทกหรอื มปี ระกายไฟจะเกดิ การระเบดิ อย่างรนุ แรง และหากสารน้ีผสมอยู่กบั สารอินทรีย์อ่นื ๆ การกระทบกระแทกเพยี งเล็กน้อยจะก่อให้ เกดิ การระเบิดได้อย่างรวดเร็วเช่นกนั

หลังจากเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าวเพียงไม่นาน ฝ่ายเกษตรจึงตั้งโจทย์วิจัยส�ำคัญเป็นค�ำถาม 4 ข้อให้ นักวจิ ยั ยืน่ ขอ้ เสนอโครงการเขา้ มา ได้แก่ 1) จำ� เป็นต้องใช้ สารโพแทสเซยี มคลอเรตในการผลติ ลำ� ไยหรอื ไม่ หากจำ� เปน็ จะมวี ธิ กี ารใดทำ� ใหโ้ พแทสเซยี มคลอเรตไมร่ ะเบดิ ไดอ้ กี ตอ่ ไป 2) มีสารอื่นหรือวิธีการอ่ืนที่จะทดแทนการใช้โพแทสเซียม คลอเรตในการกระตนุ้ การออกดอกของลำ� ไยหรอื ไม่ 3) หาก ตอ้ งใชส้ ารโพแทสเซยี มคลอเรตในการผลติ ลำ� ไยแลว้ จะมผี ล เสียต่อสภาพแวดลอ้ ม ดิน และนำ้� อย่างไร 4) โพแทสเซียม คลอเรตมผี ลตกค้างและเป็นอนั ตรายตอ่ ผู้บริโภคหรอื ไม่ สกว. ได้ประกาศโจทยใ์ หน้ ักวจิ ัยทส่ี นใจยืน่ ขอ้ เสนอโครงการเขา้ มา และไดโ้ ครงการเขา้ ร่วม ทั้งส้ินจ�ำนวน 6 โครงการ ด�ำเนินการโดย 1) ดร.สมคิด พรหมมา เป็นผู้สนใจเรื่องพลุและดินปืน มานาน เสนอโครงการพฒั นาใหส้ ารโพแทสเซยี มคลอเรตหมดสภาพการเปน็ วตั ถรุ ะเบดิ 2) ผศ.ยทุ ธนา เขาสุเมรุ จากสถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรล�ำปาง (สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในปัจจุบัน) ศกึ ษาสารทดแทนโพแทสเซียมคลอเรต และวิธีการใชค้ ลอเรตทเ่ี หมาะสม 3) รศ.สมชาย องคป์ ระเสริฐ จากมหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ ศกึ ษาเรอ่ื งผลกระทบและการตกค้างของสารในดิน นำ�้ และ สภาพแวดล้อม รวมท้ังวิธีการเร่งการสลายตัวของคลอเรตในสภาพแวดล้อมดังกล่าว 4) ดร.อุษณีย์ วินิจเขตค�ำนวณ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศึกษาประเมินความปลอดภัยของ ล�ำไยภายหลังการใช้สาร 5) รศ.รัตนา อัตตปัญโญ จากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ ศึกษาว่าล�ำไยที่ได้รับสารโพแทสเซียมคลอเรต มีผลต่อการเปล่ียนสีของกระป๋องบรรจุ ล�ำไยหรือไม่ (หากมคี ลอเรตตกคา้ ง อาจทำ� ให้กระปอ๋ งเป็นสีดำ� ) และ 6) ดร.สุกัญญา มหาธีรานนท์ จากคณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ศกึ ษาการเปลย่ี นแปลงองคป์ ระกอบทางเคมขี องลำ� ไย ภายหลงั มกี ารใชส้ ารโพแทเซยี มคลอเรตเรง่ ดอก เปน็ ตน้ ทง้ั หมดนเี้ ปน็ ชดุ โครงการใหญ่ สรา้ งองคค์ วามรู้ ที่ส�ำคัญ ภายใน 1 ปี หลังการระเบิดของสารโพแทสเซียมคลอเรตที่สันป่าตอง งานวิจัยเหล่านี้ ได้ค�ำตอบต่าง ๆ ท่ีเป็นประโยชน์และตอบข้อสงสัยของสังคมและผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี รวมทั้ง เกิดแนวทางการปฏิบัติท่ีน�ำไปสู่การเปล่ียนแปลงแก้ไขกฎกระทรวงกลาโหม เก่ียวกับการควบคุม สารโพแทสเซยี มคลอเรตในเวลาต่อมา จากงานวจิ ยั นี้ จะเหน็ มติ ขิ องการตอบสนองตอ่ โจทยส์ ำ� คญั และเรง่ ดว่ นของประเทศอยา่ งหนง่ึ โดยการสรา้ งชดุ งานวจิ ยั เพอ่ื หาคำ� ตอบ พรอ้ มทงั้ ใหก้ ารสนบั สนนุ อยา่ งเตม็ ทที่ งั้ ในรปู ของทนุ วจิ ยั และ การบริหารจัดการผลักดันผลงานสู่การใช้ประโยชน์ จึงเกิดผลงานที่สามารถน�ำมาใช้ประโยชน์ได้ใน เวลาอนั ส้นั สำ� นักงานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ัย (สกว.) 123

124 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ัย การพฒั นา UAV การท�ำโครงการขนาดใหญ่ที่มีการบูรณาการข้ามหน่วยงานหลายหน่วย เป็นเรื่องที่ท�ำได้ ยากมาก และคอ่ นขา้ งใหมส่ ำ� หรบั ประเทศไทย โครงการการพฒั นาอากาศยานไรน้ กั บนิ เปน็ ตวั อยา่ ง ที่ดีของการบูรณาการข้ามหน่วยงานซ่ึง สกว. ด�ำเนินการให้เกิดข้ึน งานวิจัยน้ีเป็นการตอบสนอง ความต้องการของกระทรวงกลาโหม เป็นการลงทุนวิจัยร่วมระหว่างกระทรวงกลาโหมและ สกว. มหี นว่ ยงานเขา้ รว่ มดำ� เนนิ งานทง้ั สนิ้ 11 หนว่ ยงาน มนี กั วจิ ยั มากกวา่ รอ้ ยคน จดั เปน็ โครงการขนาดใหญ่ ทีม่ กี ารบรหิ ารจัดการค่อนข้างซบั ซ้อน การบรหิ ารจดั การโครงการนี้ มที มี ประสานงานกลางเปน็ เหมอื นผถู้ อื พมิ พเ์ ขยี วของโครงการ ทั้งหมด และก�ำกับตดิ ตามใหห้ น่วยงานยอ่ ยตา่ ง ๆ ท�ำตามแผนงาน แลว้ จงึ นำ� ผลงานมาประกอบกนั โดยต้องมคี วามสอดคลอ้ งกนั อย่างดี ตัวอยา่ งเช่น ทมี งานออกแบบและติดต้ังกลอ้ งส�ำหรับเครอ่ื งบิน ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ ความเปน็ ไปไดใ้ นการรบั นำ�้ หนกั เครอ่ื งบนิ ในขณะเดยี วกนั ทมี ออกแบบโครงสรา้ งเครอ่ื ง บนิ ตอ้ งพจิ ารณาความเปน็ ไปไดใ้ นการตดิ ตงั้ กลอ้ งบนเครอ่ื งบนิ ดงั กลา่ วดว้ ย การออกแบบเครอื่ งยนต์ ตอ้ งเหมาะสมกบั นำ้� หนกั ของเครอื่ งบนิ และมกี ารออกแบบระบบนำ� รอ่ งทต่ี อ้ งผสานเขา้ กบั ตวั เครอ่ื ง บินไดอ้ ย่างเหมาะเจาะ เป็นตน้

จากงานพฒั นาเครอ่ื งบนิ ไรน้ กั บนิ ดงั กลา่ ว นอกจากไดผ้ ลเปน็ เครอ่ื งบนิ แลว้ ยงั ไดอ้ งคค์ วามรู้ ใหมท่ ส่ี ามารถนำ� ไปตอ่ ยอดในดา้ นอน่ื ๆ อกี หลายเรอ่ื ง เชน่ นกั วจิ ยั ในทมี ออกแบบระบบควบคมุ การ ทรงตัวของเครอื่ งบิน ได้สรา้ งความรู้ใหม่เกีย่ วกับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และได้นำ� ความรู้ นนั้ ไปพัฒนาตอ่ เปน็ ผลติ ภณั ฑ์ท่เี รียกวา่ “ระบบสมองกลฝงั ตวั ” น�ำไปสู่การสรา้ งผลติ ภณั ฑอ์ ่นื เพ่ือ ใชใ้ นเชงิ พาณชิ ย์ได้ การบริหารโครงการขนาดใหญ่เช่นน้ี จ�ำเป็นต้องส่ือสารกันตลอดเวลา และต้องมีระบบ บรหิ ารงานชดั เจนและสามารถแกป้ ญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งทนั ทว่ งที ผลสำ� เรจ็ จากโครงการ คอื การได้ ต้นแบบของเคร่ืองบินไร้นักบนิ ตามเป้าหมาย และไดอ้ งคค์ วามรู้มากมาย รวมทง้ั รูปแบบการบรหิ าร จดั การโครงการขนาดใหญ่ ซงึ่ สามารถนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชแ้ ละเปน็ บทเรยี นสำ� หรบั การบรหิ ารโครงการ อื่นต่อไป ปญั หา อุปสรรค และการปรบั ตวั การบรหิ ารโครงการวจิ ยั และพฒั นา มคี วามยากลำ� บากบนความคาดหวงั ของสงั คม ทต่ี อ้ งการ ใหผ้ ลงานวจิ ยั สามารถนำ� ไปใชใ้ นการแกป้ ญั หาตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งทคี่ าดหวงั ไวใ้ นทกุ ๆ โครงการ หลายคน ไมเ่ ขา้ ใจวา่ งานวจิ ยั ไมเ่ หมอื นกบั งานอนื่ ไมเ่ หมอื นงานกอ่ สรา้ ง ทส่ี ามารถสรา้ งตามแบบและคาดหวงั ผลงานทไี่ ดอ้ ยา่ งชัดเจน เพราะงานกอ่ สรา้ งเป็นการทำ� ซ�ำ้ เดิมจากความรู้ที่มอี ยแู่ ลว้ แต่งานวจิ ัยและ พฒั นาเป็นการสรา้ งองค์ความรใู้ หม่ ดงั นัน้ โอกาสเสย่ี งท่จี ะไมไ่ ดผ้ ลตามทีค่ าดหวงั ไวจ้ ึงมสี ูง นอกจากน้ี เมอื่ มีผลงานวิจยั เกิดข้นึ ไม่ได้หมายความวา่ จะสามารถนำ� ไปใชไ้ ดท้ นั ที ในหลาย กรณจี ำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารทำ� ตอ่ เนอื่ ง หรอื มกี ระบวนการตอ่ ไปตามขน้ั ตอนของกฎหมาย เชน่ การพฒั นายา ซ่ึงต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง หลายกรณีต้องมีกระบวนการผลักดันหรือสร้าง ความมั่นใจในผลงานดังกล่าวก่อน เรื่องต่าง ๆ เหล่าน้ี หากผู้บริหารหรือผู้ก�ำหนดนโยบาย ไม่มี ความเข้าใจอยา่ งถ่องแท้ อาจกล่าวต�ำหนิ และทมี่ ักจะได้ยนิ อยู่เสมอ ๆ คอื มีผลงานวิจัยมากมายแต่ ไมไ่ ดน้ ำ� ไปใช้ประโยชน์อะไร หรือทเี่ รยี กว่า ‘งานวิจัยขึน้ หง้ิ ’ ดงั นัน้ การสรา้ งความเขา้ ใจในเรอ่ื งน้ี จึงเป็นสิ่งจ�ำเป็น การสร้างความเข้าใจว่างานวิจัยเป็นงานท่ีมีความเสี่ยงที่จะไม่ประสบผลส�ำเร็จ ตามทคี่ าดหวงั รวมทง้ั งานวจิ ยั เปน็ เรอ่ื งของการลงทนุ ระยะยาว ไมไ่ ดห้ มายความวา่ เมอ่ื ลงทนุ ไปแลว้ หนงึ่ โครงการจะตอ้ งไดผ้ ลงานวจิ ัยท่ีสามารถนำ� ไปใชไ้ ด้หน่ึงโครงการ เพียงแต่ความรู้และผลทีไ่ ดม้ า เหลา่ นน้ั อาจเปน็ ฐานความรสู้ ำ� หรบั ใชใ้ นระยะยาว หรอื ตอ้ งนำ� ไปผนวกกบั ความรอู้ นื่ จงึ จะสามารถ น�ำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ ส�ำนักงานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ยั (สกว.) 125

126 นวตั กรรมการบริหารจดั การงานวิจัย อย่างไรก็ตาม การจะกล่าวโทษผู้บริหารหรือผู้ก�ำหนดนโยบายเพียงอย่างเดียวว่าไม่เข้าใจ ธรรมชาติของงานวิจัยและพัฒนาอาจไม่ถูกต้องนัก เพราะส่วนหนึ่งของปัญหาเกิดจากนักวิจัยเอง ซง่ึ ไมเ่ ขา้ ใจการทำ� งานของงานวจิ ยั และพัฒนาอยา่ งแท้จริง โดยมุ่งหวงั เพยี งแค่การสร้างผลงานวจิ ยั และส่งมอบตามก�ำหนดถือวา่ หมดหนา้ ทแ่ี ล้ว ตามหลกั ความจริงการสง่ มอบผลงานตามสัญญา เปน็ เพียงการส้ินสุดการท�ำงานวิจัยกลางทางเท่าน้ัน กระบวนการผลักดันผลงานสู่การใช้ประโยชน์เป็น กระบวนการปลายทางทจ่ี ำ� เป็นตอ้ งทำ� ต่อเพื่อใหง้ านเหล่าน้นั ถูกนำ� ไปใชโ้ ดยกลุ่มเปา้ หมาย ค�ำถามคือ บทบาทในการผลักดันผลงานสู่การใช้ประโยชน์หรือกระบวนการจัดการปลาย ทางน้ัน เป็นบทบาทหน้าที่ของใคร ระหว่างนักวิจัยและผู้บริหารงานวิจัย ค�ำตอบคือ เป็นบทบาท หนา้ ทร่ี ่วมกนั โดยมผี ูบ้ รหิ ารงานวิจัยเป็นแกนหลกั เครอื่ งมอื ท่จี ะใช้ในการผลักดันผลงานวจิ ยั สูก่ าร ใช้ประโยชน์มีอยู่หลากหลาย เช่น การประชาสัมพันธ์ การเจรจาต่อรอง การเข้าถึงผู้ใช้ประโยชน์ จากผลงานวจิ ัย และการประเมินผลของโครงการเพอ่ื วเิ คราะหเ์ สน้ ทางดำ� เนินงานขน้ั ตอ่ ไป เปน็ ต้น เหลา่ นี้ ถงึ แมจ้ ะไมใ่ ชก่ ารวจิ ยั หรอื สว่ นหนง่ึ ของการวจิ ยั โดยตรง แตเ่ ปน็ สว่ นสนบั สนนุ หรอื สว่ นเสรมิ ให้งานวิจัยและพัฒนาเป็นไปอย่างครบวงจร เนื่องจากงานวิจัยและพัฒนาต้องครอบคลุมต้ังแต่ การสร้างความรู้ ไปจนถงึ การใช้ความร้ทู ี่สรา้ งข้ึนน้ัน เพ่อื ใหเ้ กดิ การพัฒนา มีข้อสังเกตว่า บทบาท สว่ นน้ีมกั จะเปน็ หน้าทีห่ ลกั ของผู้บรหิ ารงานวิจัยโดยตรง ดังนนั้ ผู้บริหารงานวิจัยที่มีความสามารถ จะตอ้ งเข้าใจธรรมชาตขิ องงานและสามารถด�ำเนนิ การในสว่ นน้ีไดด้ ี

บทสง่ ท้าย การบริหารงานวิจัยของ สกว. ด้านงานวิจัยและพัฒนาจนเกิดเป็นต้นแบบ หรือรูปแบบ การบรหิ ารงานวิจยั ของประเทศ เกิดจากการเปดิ โอกาสใหผ้ บู้ รหิ ารระดบั ตา่ ง ๆ ของ สกว. ได้สรา้ ง พฒั นา และทดลองรปู แบบงานวจิ ยั ทหี่ ลากหลาย โดยมคี วามคดิ รเิ รม่ิ ในการลองของใหมอ่ ยตู่ ลอดเวลา การเป็นหน่วยงานท่ีไม่ได้อยู่ในระบบราชการ สกว. จึงไม่ต้องใช้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของทางราชการ โดยตรง สามารถออกระเบยี บท่ไี มข่ ัดแย้งกบั กฎหมายหลกั ของประเทศ จึงเกดิ ความคลอ่ งตัว และ สามารถทดลองรูปแบบการบรหิ ารจดั การใหม่ ๆ ไดต้ ลอดเวลา นอกจากน้ี ยังสามารถเชอ้ื เชญิ ผ้ทู ่ีมี ความสามารถเขา้ มารว่ มงานไดง้ า่ ย โดยไมต่ ดิ ขดั ขอ้ จำ� กดั ในเรอื่ งของงบประมาณหรอื ระเบยี บขน้ั ตอน ตา่ ง ๆ มากนัก เปดิ โอกาสให้ได้ผ้ทู ีม่ คี วามสามารถสงู จากหน่วยงานตา่ ง ๆ เขา้ ร่วมงานและร่วมกัน พฒั นางานของ สกว. ไดม้ าก จากการตงั้ สกว. โดยมพี ระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั เปน็ การเฉพาะ ไดก้ ลายเปน็ ต้นแบบในการสร้างพระราชบัญญัติองค์การมหาชนในปัจจุบัน ซ่ึงเป็นรูปแบบการบริหารราชการ แบบใหม่ คงความกะทัดรดั มีภารกจิ เฉพาะทช่ี ดั เจน มีเปา้ หมายรวมและตัวชว้ี ดั ท่สี ามารถประเมิน ผลได้ เปน็ รปู แบบการด�ำเนนิ งานทีม่ ปี ระสิทธิภาพสงู ในปัจจบุ ัน สำ� นกั งานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั (สกว.) 127

128 นวัตกรรมการบรหิ ารจดั การงานวิจยั ความส�ำเร็จของ สกว. ในการบริหารงานวิจัยท่ีสามารถตอบสนองความต้องการในการ พฒั นาประเทศนน้ั มตี วั อยา่ งความสำ� เรจ็ ใหเ้ หน็ หลายประการ นอกจากการเปน็ พนื้ ฐานหรอื ตน้ แบบ ของหน่วยงานท่ีมีประสิทธภิ าพอน่ื ๆ แล้ว สกว. เองยังต้องพฒั นาและเดนิ หน้าต่อไปเร่อื ย ๆ รวมทงั้ สร้างนวัตกรรมในการบริหารงานวิจัยให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นต้นแบบหรือเป็นส่วนหน่ึงของการพัฒนา ระบบวจิ ยั ของประเทศ ความสำ� เรจ็ ในดา้ นการบรหิ ารจดั การชดุ โครงการของงานวจิ ยั และพฒั นา จดั ไดว้ า่ เปน็ รปู แบบหรอื ตวั อยา่ งทด่ี ขี องงานวจิ ยั แบบบรู ณาการในปจั จบุ นั สว่ นงานวจิ ยั ทม่ี เี ปา้ หมายเชงิ ยทุ ธศาสตร์ (Strategic Research) ซง่ึ เรม่ิ เมอ่ื ประมาณสบิ กวา่ ปที แี่ ลว้ และพฒั นาตอ่ มาเปน็ รปู แบบ การสนับสนุนงานวิจยั ทต่ี อบสนองตอ่ ความต้องการของชาติมากขน้ึ อยา่ งไรกต็ ามการเตบิ โตของ สกว. ในระยะหลงั ทงั้ งบประมาณสนบั สนุน ก�ำลงั คนและความ คาดหวงั จากสังคม ท�ำให้ สกว. ตอ้ งรเิ ริม่ หาแนวทางการพัฒนารปู แบบการสนบั สนุนงานวิจยั ใหม่ที่ ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศมากข้ึน ในขณะเดียวกันยังต้องคงลักษณะ ของความเป็น องคก์ รขนาดเลก็ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพในการดำ� เนนิ งานสงู มคี วามคลอ่ งตวั และสามารถสง่ มอบผลงาน วิจัยทีม่ คี ณุ ภาพแก่สังคมได้ การเติบโตโดยการแบ่งภารกจิ ทห่ี ลากหลายของ สกว. ออกเปน็ สว่ นตา่ ง ๆ และแยกตวั ออก มาเป็นหน่วยงานใหม่ ท่ีมีภารกิจเฉพาะ จะท�ำให้เกิดความคล่องตัวมากข้ึน เช่น ฝ่ายอุตสาหกรรม ของ สกว. มคี วามแตกตา่ งจากฝา่ ยชมุ ชนค่อนข้างมาก หากสามารถแยกภารกจิ ของฝา่ ยดังกลา่ ว ให้ชัดเจน โดยจัดต้ังเป็นหน่วยงานใหม่เพ่ือท�ำหน้าท่ีสนับสนุนการวิจัยโดยเฉพาะในงานวิจัยเชิง อตุ สาหกรรม ซงึ่ มคี วามหลากหลายในสาขาแลว้ นนั้ นา่ จะสง่ ผลดใี หเ้ กดิ ผลงานวจิ ยั ดา้ นอตุ สาหกรรม มากข้ึนอย่างเปน็ รปู ธรรม

กล‹มุ งเาพน�มพบัฒูรนณาาการ TRFMReasneaagrecmh ent

130 นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ัย การจบดัรกิหาารร งานวจิ ยั เพือ่ ท้องถน่ิ ท�ำอย่างไรจึงจะสามารถสร้างความรูแ้ ละ การเปลี่ยนแปลงทีด่ ีขน้ึ ในชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ? ท�ำอยา่ งไรจงึ จะสามารถระเบดิ พลังภายในของ คนในชมุ ชนให้เป็นพลังบวกเพ่ือจดั การและแก้ไข ปญั หาต่าง ๆ ของตนเองไดอ้ ยา่ งเหมาะสม สรา้ งความเป็นธรรม ลดความเหล่ือมลำ�้ และนำ� ไปสูก่ ารพัฒนาอย่างยง่ั ยนื ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ชูพกั ตร์ สุทธสิ า ผู้อ�ำนวยการฝ่ายวิจยั เพอ่ื ท้องถิน่ ส�ำนักงานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ัย งานวจิ ยั ทอ้ งถนิ่ สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) กำ� เนดิ ขน้ึ ในปี 2541 จากการสรา้ งสรรค์ แนวคดิ ใหม่ในการสนบั สนนุ งานวิจยั ของศาสตราจารย์ ดร.ปิยะวตั ิ บุญ-หลง เพือ่ เปิดโอกาสให้คน ในชุมชนท้องถิ่นเข้าถึงความรู้ได้อย่างไร้ข้อจ�ำกัด โดยการท�ำวิจัยที่น�ำไปสู่การสร้างความรู้และ การเปลี่ยนแปลงท่ีดีขึ้นของชุมชน ก่อให้เกิดพลังการเปลี่ยนแปลงที่ระเบิดจากภายในสู่การจัดการ แก้ไขปัญหาของตนเองอย่างเหมาะสม เม่ือมีการท�ำวิจัยในหลาย ๆ ชุมชนจึงเกิดการสั่งสมความรู้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับท้องถิ่น สังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ เพื่อผลักดันสู่การเปล่ียนแปลง นโยบาย และก่อให้เกดิ การพัฒนาทย่ี ัง่ ยืน

พัฒนาการและการปฏริ ปู ระบบวจิ ัยไทย เป้าหมายของการวิจัยเพ่ือท้องถ่ินเป็นการสร้างเสริมพลังการสร้างสรรค์ปัญญาเพื่อการ พฒั นาทอ้ งถน่ิ ผลของการพฒั นานนี้ ำ� ไปสกู่ ารสรา้ งความเปน็ ธรรมและการลดความเหลอ่ื มลำ�้ ซง่ึ เปน็ ยุทธศาสตร์ส�ำคัญของการพัฒนาประเทศ การใหโ้ อกาสคนจนและผดู้ อ้ ยโอกาสลกุ ขน้ึ มารว่ มทำ� วจิ ยั กอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง 3 ดา้ น ได้แก่ 1) การสร้างคน เป็นการเสรมิ พลัง (empowerment) ใหค้ นในท้องถน่ิ สามารถดงึ ศักยภาพ ภมู ปิ ญั ญาภายในท้องถนิ่ มาใช้เพื่อใหช้ มุ ชนสามารถจัดการปัญหาและชวี ิตของตนเองได้ โดย “คน” และ “กล่มุ คน” ทีผ่ า่ นกระบวนการวิจัย จะสร้างกระบวนการเรียนรู้ มที ักษะและมีความพรอ้ มใน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมในอนาคต ก่อให้เกิดการปรับเปล่ียนพฤติกรรมและสร้าง จิตส�ำนึกเกิดความม่ันใจและความภูมิใจ 2) การสร้างความรู้ เป็นความรู้ท่ีชุมชนร่วมกันค้นหารู้ อย่างเป็นระบบ ค้นหาในเหตุแห่งปัญหา ค้นหาทุนความรู้และประสบการณ์จากภายในท้องถิ่น รวมถึงทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรม ประเพณี ทุนทรัพยากรและแสวงหาความรู้จากภายนอก น�ำมาผสมผสานเพื่อวิเคราะห์และแสวงหาทางเลือก หาแนวทางท่ีเหมาะสมท่ีชุมชนจะสามารถ น�ำเอาความรู้เหล่านั้นไปแก้ไขปัญหาตนเองและสังคมได้ 3) การสร้างการเปล่ียนแปลง ด้วยการ น�ำทางเลือกที่ได้มาวิเคราะห์และไตร่ตรองร่วมกัน ข้อมูลท่ีได้จากงานวิจัยจะนำ� ไปสู่การปฏิบัติและ การเปล่ยี นแปลงท่ดี ขี น้ึ ของชมุ ชนท้องถ่ิน งานวจิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่ จงึ ใหค้ วามสำ� คญั กบั “กระบวนการวจิ ยั ” เพราะมสี ว่ นสำ� คญั ในการทำ� ให้ ทีมวิจัยได้คิดใคร่ครวญ และวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วยเหตุและผล งานวิจัยจึงเป็น เครื่องมือเสริมพลังด้วยหลักการที่ส�ำคัญของการวิจัย คือ 1) หัวข้อวิจัยเป็นเร่ืองท่ีชุมชนต้องการ 2) คนในชมุ ชนเขา้ รว่ มในการทำ� งานวจิ ยั อยา่ งเขม้ ขน้ และ 3) ผลงานวจิ ยั ทำ� ใหเ้ กดิ ความเปลยี่ นแปลง ท่ีเปน็ รูปธรรมกบั ผู้เขา้ รว่ มงานวิจัยทุกทา่ นและชุมชนท้องถ่นิ ฐานคิดเร่อื งวจิ ัยเพือ่ ท้องถิ่น การวิจัยเพ่ือท้องถิ่นเป็นงานวิจัยท่ีมีรากฐานวิธีคิดและวิธีวิจัยแตกต่างจากการวิจัยทาง วิชาการท่ัวไป ซ่ึงมีวิธีหาความรู้อย่างมีกระบวนการแบบดั้งเดิมซ่ึงมนุษย์คิดและเช่ือว่า ‘ความรู้ แบบนนั้ แยกความจรงิ ออกเปน็ คนละสว่ น’ วธิ กี ารในการคน้ หาความจรงิ จงึ ไมย่ ดื หยนุ่ นกั วจิ ยั ตอ้ ง เปน็ กลาง ทำ� การวจิ ยั โดยปราศจากอคติ และเปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญในเรอ่ื งนน้ั ๆ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความนา่ เชอ่ื ถอื ในการค้นหาความรู้ ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) 131

132 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจัย ในขณะทงี่ านวจิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่ (ซง่ึ เปน็ กลมุ่ งานวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม) มสี มมตฐิ าน ว่า ความจริงทางกายภาพอาจแยกจากความคิดมนุษย์ แต่ความรู้มักมองผ่านฐานทางวัฒนธรรม มนษุ ยไ์ มส่ ามารถเขา้ ถงึ ความเปน็ จรงิ ได้ หากปราศจากการพดู คยุ และสรา้ งความเขา้ ใจวา่ โลก มนษุ ย์ และสรรพสิ่งท่กี ระท�ำอยู่ ดงั นน้ั ความร้จู ึงเปน็ ผลติ ผลของการปฏิบตั ิ ความรู้เก่ยี วกับกระบวนการ ปฏิบัติ (know-how) และประสบการณ์ การตคี วามหมาย เพื่อเขา้ ใจปรากฏการณ์ทมี่ คี วามรจู้ าก ภายในทอ้ งถน่ิ และภมู ิปญั ญา (local and indigenous knowledge) ท่ผี ลิตและสร้างข้ึนภายใต้ บริบทของท้องถ่ินหนึ่ง ๆ เป็นความรู้ผสมผสานในการอธิบายและตอบค�ำถามให้กับการด�ำรงชีวิต ของคนในท้องถิ่นภายใต้บริบททางประวัติศาสตร์ สังคม ซ่ึงเปิดโอกาสให้คนในชุมชนมีโอกาสผลิต สรา้ ง และไดป้ ระโยชนจ์ ากความรใู้ นการวจิ ยั นำ� ความรไู้ ปใชใ้ นการพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ มสี ทิ ธมิ เี สยี ง ในเรื่องที่เก่ยี วกับตนเองและชุมชนของตน วิธีการค้นหาความรู้แบบใหม่น้ี ท�ำให้เกิดความสมดุลระหว่างนักวิจัยกับคนในชุมชน เพิ่ม ศักยภาพ และท�ำให้คนในชุมชนสามารถตัดสินชะตาชีวิตในอนาคตของตนได้ ดังนั้นกระบวนการ วิจัยจึงมีความส�ำคัญเท่าเทียมกับผลการวิจัย ในการพัฒนาความสามารถให้สมาชิกในชุมชน มที กั ษะในการวจิ ยั เพอ่ื ระบปุ ญั หาของตนเอง ตง้ั คำ� ถามเพอื่ เกบ็ ขอ้ มลู วเิ คราะหแ์ ละตดั สนิ ใจใชข้ อ้ มลู ในการจดั การกับปัญหาของตนเอง ดงั น้นั คุณคา่ ของงานวจิ ัยเพื่อทอ้ งถ่นิ จงึ แฝงด้วยคุณคา่ ด้านการสร้าง การมสี ว่ นรว่ มทนี่ ำ� ไปสูก่ ารจัดการสถานการณ์ทเ่ี ปน็ ปัญหาของตนเองและชมุ ชน และคุณคา่ ดา้ นขอ้ มูลความรู้ในการสร้างอำ� นาจการต่อรอง ซ่ึงเป็นพลังสำ� คญั ในการสร้างความเข้มแขง็ ของชมุ ชน เนอื่ งจากเปน็ การเปดิ พน้ื ทใ่ี หค้ วามรทู้ ชี่ มุ ชนเปน็ ผสู้ รา้ งใหเ้ ขา้ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของกระบวนการ สร้างความรู้ โดยการน�ำความรู้ใหม่บูรณาการกับความรู้เดิมของชุมชน และเป็นความรู้ท่ีสามารถ ตอบสนองความตอ้ งการของชมุ ชน และสรา้ งโอกาสใหก้ ลมุ่ ผดู้ อ้ ยโอกาสไดเ้ ขา้ ถงึ การวจิ ยั ในประเดน็ ทสี่ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการและปญั หาของกลมุ่ ชมุ ชน วธิ วี ทิ ยา (methodology) จงึ ใหค้ วามสำ� คญั กับการสร้างการเรียนรู้ให้กับผู้ร่วมปฏิบัติการวิจัย (learning through action) ด้วยการสะท้อน ประสบการณ์และสถานการณ์จริงของคนในชุมชน น�ำความรู้ท่ีสร้างขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิต ไมต่ อ้ งนำ� ไปตคี วามใหมอ่ กี รอบ

พัฒนาการงานวิจัยเพ่อื ท้องถิ่น ปลายปี พ.ศ. 2541 เป็นช่วงก�ำเนิดงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นพร้อมกับยุทธศาสตร์การพัฒนา ประเทศท่ีเน้นการให้ความส�ำคัญกับการพัฒนาขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่น และเป็นช่วงท่ี ประเทศเพิ่งประสบวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มย�ำกุ้ง” ในปี 2540 ประชากรจ�ำนวนมากกลายเป็น ผู้ไร้งานท�ำ เกิดช่องว่างทางสังคม และในช่วงน้ันระบบการศึกษาวิจัยไม่ตรงกับปัญหาและไม่ ตอบโจทย์ผู้ใช้ประโยชน์ จากเสียงสะท้อนที่ว่างานวิจัยในประเทศแต่เดิมน้ัน ส่วนใหญ่จ�ำกัดอยู่ใน วงวิชาการ มีเพียงนักวิชาการท่ีท�ำงานวิจัย จึงเร่ิมมีการหาแนวคิดและวิธีการสนับสนุนการวิจัย ใหม่ ๆ เพอื่ ให้เหมาะสมกบั กล่มุ เปา้ หมายทเี่ ปน็ ชมุ ชนท้องถ่ิน สามารถลดช่องว่างและการแก้ปัญหา ในท้องถน่ิ ได้ งานวิจัยเพ่ือท้องถ่ินมีการพัฒนามาเป็นระยะต้ังแต่ช่วงการก่อเกิด (พ.ศ. 2540-2544) ช่วงการพัฒนา (พ.ศ. 2545-2549) ช่วงประกาศตัวตน (พ.ศ. 2550-2551) และช่วงขยายผล (พ.ศ. 2551-2559) ชว่ งการกอ่ เกดิ พ.ศ. 2440-2544 ช่วงการก่อเกิด (พ.ศ. 2540-2544) เป็นช่วงแสวงหารูปแบบวิธีการท�ำงาน และการสนับสนุน ทนุ วิจยั เนอื่ งจากเปน็ เรอ่ื งใหม่ ฝ่ายวิจัยเพอ่ื ท้องถนิ่ สกว. จึงตอ้ งเรมิ่ วางระบบการทำ� งาน กลไก สนับสนุนแนวทาง และวิธีการที่จะสนับสนุนงานวิจัยเพื่อสร้างโอกาสให้ชาวบ้านได้เข้ามาท�ำงาน วิจัยตอบปัญหาของท้องถิ่น เกิดกลไกในการท�ำหน้าท่ีบริหารจัดการงานวิจัยมีศูนย์ประสานงาน ภาคละ 2-3 แห่ง โดยชักชวนบุคคลและกลุ่มท�ำงานเก่ียวกับท้องถ่ิน เช่น กลุ่มนักพัฒนาจาก องคก์ รพฒั นาอสิ ระ (NGOs) อาจารย์ นกั วชิ าการ ในสถาบนั อดุ มศกึ ษาทท่ี ำ� งานรว่ มกบั ภาคประชาชน เข้าร่วมในฐานะผู้ท�ำวิจัยร่วมกับคนในท้องถ่ิน รูปแบบการสนับสนุนทุนวิจัยยังคงเป็นการให้ ทุนวิจัยชุมชนเดี่ยวเพ่ือให้เกิดกระบวนการเรียนรู้กับผู้ร่วมวิจัยและชุมชนวิจัย และใช้งานวิจัย เปน็ เครอื่ งมอื ในการแกไ้ ขปญั หาของทอ้ งถน่ิ ได้ ชว่ งการกอ่ เกดิ นจี้ งึ นบั ไดว้ า่ เปน็ “ชว่ งการทดลอง” เพ่ือหารูปแบบการบริหารจัดการงานวิจัย จึงเป็นการท�ำงานแบบร่วมกันคิด หาเครื่องมือ หากระบวนการสนับสนนุ งานวิจยั ที่เหมาะสมระหวา่ งฝา่ ยกับศูนยป์ ระสานงานในพื้นท่ี ช่วงการพัฒนา พ.ศ. 2545-2549 ช่วงการพฒั นา (พ.ศ. 2549-2545) เป็นช่วงการสรปุ เครือ่ งมอื และกระบวนการสนับสนุนงานวจิ ัย ท่ชี ดั เจนขึ้น เกิดงานวิจยั แบบ “ชดุ โครงการ” มากขึ้น นอกจากการสนับสนุนทนุ แบบเดิม ๆ เชน่ ประเดน็ เกษตรทางเลอื ก ประเดน็ การศึกษา ประเดน็ การจดั การทรัพยากรฯ มกี ารสนับสนุนทนุ วจิ ัยเพื่อหากลไกในการทำ� งานระดบั ภาคในแตล่ ะภาค สำ� นักงานกองทุนสนบั สนุนการวิจยั (สกว.) 133

134 นวตั กรรมการบริหารจัดการงานวิจัย ชว่ งประกาศตน พ.ศ. 2550-2551 มกี ารสังคราะหง์ านวจิ ัยเพ่ือทอ้ งถนิ่ ในรอบ 10 ปี มีการสรปุ วิธวี ทิ ยาการพัฒนาท้องถนิ่ ในช่วงสบิ ปี ทผี่ า่ นมา มขี อ้ สรปุ วา่ งานวจิ ยั เพอื่ ทอ้ งถน่ิ มคี ณุ คา่ มรี ะบบสนบั สนนุ ทเี่ ออื้ ตอ่ การเรยี นรู้ แตค่ วามรจู้ าก งานวจิ ยั นนั้ ยงั ขาดพลงั ในการขบั เคลอื่ นทางสงั คม แมใ้ นการลงมอื ปฏบิ ตั จิ ะมกี ารเปลยี่ นแปลงชมุ ชน ใหเ้ ห็นเป็นจุด ๆ ความร้แู ละวธิ กี ารยังคงเปน็ แบบเดมิ แม้จะมนี ักวจิ ัย พ่ีเลยี้ ง และภาคหี ลากหลาย ข้นึ ก็ตาม จงึ เกิดค�ำถามว่า อะไรคือความร้ทู ้องถิน่ และความรู้ใหมท่ ่ีจะตอบโจทย์สังคมคอื อะไร ? ชว่ งขยายผล พ.ศ. 2551-2560 งานวจิ ัยเพื่อทอ้ งถ่นิ เร่มิ ทำ� งานร่วมกับกล่มุ เปา้ หมายทห่ี ลากหลายมากข้นึ มที ้ังชาวบ้าน นักวิชาการ เจา้ หนา้ ทใ่ี นองคก์ ร และหนว่ ยงานทต่ี อ้ งการตดิ ตงั้ เครอื่ งมอื CBR ในการพฒั นางาน มผี ใู้ ชป้ ระโยชน์ กับงานวจิ ัย (users) มากขน้ึ โดยมีการเปล่ยี นแปลงตามลำ� ดับคือ ในปี พ.ศ. 2552 เป็นช่วงบูรณาการระหว่างวิธีวิทยางานวิจัยเพื่อท้องถ่ินแบบชาวบ้าน และนักวิชาการ เพื่อเสริมพลังให้สามารถตอบโจทย์สังคมในยุคท่ีมีการเปลี่ยนวิกฤติหลายมิติ รูปธรรมของพลังในพื้นที่สามารถยกระดับไปสู่การเปล่ียนแปลง เกิดบันทึกความร่วมมือหลาย หน่วยงาน โดยเฉพาะกับสถาบันการศึกษาระดบั อดุ มศึกษาเพื่อสนับสนุนใหน้ ักวิชาการลงไปท�ำงาน รว่ มกับชุมชน ในปี พ.ศ. 2553 ส�ำนักงานภาคเหนือย้ายมารวมอยู่ที่ส่วนกลางในกรุงเทพฯ ช่วงน้ีมี จ�ำนวนโครงการมากข้ึน 2 เท่า ในขณะท่ีจ�ำนวนบุคลากรในฝ่ายลดลง เน่ืองจากข้อจ�ำกัดในเชิง งบประมาณ ในปี พ.ศ. 2560 มีการสรุปบทเรียนการท�ำงานของเครือข่ายพี่เลี้ยงและผู้ทรงคุณวุฒิ มีการตั้งประเด็นว่าภายใต้สังคมท่ีเปล่ียนแปลงมีความเป็นเมืองมากขึ้น ฐานเศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรมเปลย่ี น ระบบการสนบั สนนุ และวธิ วี ทิ ยาควรปรบั รปู แบบใหส้ อดคลอ้ งกบั ชมุ ชนทซี่ บั ซอ้ น และวิกฤติท่ีรุนแรงมากขึ้น การท�ำงานโดยล�ำพังเฉพาะงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นอาจจะไม่ทันรับกับ สถานการณ์ ในชว่ งนจ้ี งึ เรม่ิ มกี ารปรบั เปลย่ี นรปู แบบและวธิ กี ารทำ� งาน เพอ่ื ยกระดบั และมกี ารขยาย ผลการท�ำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในท้องถ่ินมากข้ึน เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ส�ำนักงาน สร้างเสริมสุขภาพ สมัชชาสุขภาพ กรมชลประทาน เป็นต้น เป็นช่วงที่มีการค้นหารูปแบบและวิธี การทำ� งานภายใตน้ เิ วศงานวจิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถน่ิ ใหม่ ๆ มปี ระเดน็ ทที่ า้ ทายในการยกระดบั การทำ� งานของ ศนู ยป์ ระสานงาน การสนบั สนนุ ทนุ วจิ ยั ในรปู แบบมงุ่ เปา้ ตอบโจทยย์ ทุ ธศาสตร์ สกว. และยทุ ธศาสตร์ ประเทศมากข้นึ

โครงสรา้ งใหมเ่ พอ่ื ตอบโจทยก์ ารขาดพลังขบั เคล่อื นทางสงั คม งานวิจัยเพ่ือท้องถ่ินเป็นการเปิดพื้นท่ีให้กับนักวิจัยชุมชนเป็นผู้สร้างและใช้ความรู้ กลุ่ม เปา้ หมายจงึ มคี วามหลากหลายทง้ั ระดบั การศกึ ษา อายุ เพศ วยั กลมุ่ อาชพี กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ฯลฯ ดงั นนั้ การออกแบบการบรหิ ารจดั การงานวิจยั จงึ มลี ักษณะทแี่ ตกต่างจากการวจิ ยั ทว่ั ๆ ไป การออกแบบ งานวิจัยเน้นการเสริมสร้างพลังกับผู้เข้าร่วมในกระบวนการวิจัยผ่านศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อ ทอ้ งถนิ่ หรอื NODE มชี ดุ ประสานงานเปน็ กลไกสำ� คญั ในการสนบั สนนุ และบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั แยก เป็นศนู ย์ประสานงาน 37 ศนู ย์ 14 ชุดโครงการ และคณะทำ� งานระดับภาค 4 ภาค (ข้อมูลเมื่อเดอื น มกราคม 2561) ทำ� หนา้ ทสี่ นับสนุนและเอ้ือใหเ้ กิดการเรยี นรู้ (learning facilitator) เปน็ ทปี่ รกึ ษา (coach) และเป็นผ้ฝู ึกอบรม (trainer) สนับสนุนกระบวนการวจิ ัย หนนุ เสริมและติดตามเป็นระยะ ตง้ั แตต่ น้ ทาง กลางทาง จนถงึ ปลายทาง ทงั้ ในเชงิ กระบวนการวจิ ยั และในเชงิ เนอ้ื หา เพอื่ ใหส้ ามารถ ดำ� เนนิ โครงการต่อได้อย่างมปี ระสิทธิภาพและประสิทธผิ ล พเ่ี ลย้ี งหรอื ผปู้ ระสานงานวจิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่ ตอ้ งมคี ณุ สมบตั เิ ดน่ คอื มคี วามสนใจในการทำ� งาน วจิ ัยกบั ชาวบ้าน เป็นผู้ท่ีมีจติ อาสา มีจิตใจใฝ่เรยี นรู้ มจี ติ บริการ มีความมุ่งมั่น มีทกั ษะและความรู้ ในเชิงเคร่ืองมอื เทคนิคการท�ำงานการวจิ ัยแบบมีส่วนรว่ ม มีความรอบรูใ้ นสถานการณ์ทจ่ี ะเกดิ ข้นึ บางส่วนเป็นผู้ท�ำงานภาคประชาสังคมหรือเครือข่าย อาจารย์ เจ้าหน้าท่ีรัฐ หรือเอกชนท่ีมีความรู้ ในเรือ่ งการท�ำวิจัย และท�ำงานเก่ยี วขอ้ งกบั ชมุ ชนท้องถิน่ ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจัย (สกว.) 135

136 นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจยั ขั้นตอนและการดำ� เนินงานของ NODE เน่ืองจากศูนย์ประสานงาน มีบทบาทส�ำคัญในการบูรณาการความรู้และงานพัฒนา เป็น ช่องทางให้ชมุ ชนทอ้ งถ่นิ เขา้ ถงึ งานวจิ ยั และเปน็ ผรู้ ่วมกระบวนการวิจัยต้ังแต่การกำ� หนดโจทย์วิจยั การออกแบบการวิจัย รวบรวมข้อมูล การทดลองปฏิบัติการเพ่ือแก้ปัญหาในพ้ืนที่ร่วมกับชุมชน ดังนั้นข้ันตอนและกระบวนการต่าง ๆ จึงมีความส�ำคัญ เร่ิมต้ังแต่การส�ำรวจ ประเมินศักยภาพ จนถงึ การถอดบทเรยี น ดังนี้ 1. การสำ� รวจและประเมนิ ศกั ยภาพ พน้ื ที่ กลมุ่ คนและประเดน็ วจิ ยั เบอื้ งตน้ เพอื่ ทำ� ความเขา้ ใจ สถานการณใ์ นพน้ื ที่ องคก์ รชมุ ชน กลมุ่ คนทที่ ำ� งานรว่ มกบั ชมุ ชน และประเมนิ ความเปน็ ไปได้ ในการพัฒนาโครงการวิจัย ซ่งึ อาจเริ่มต้นดว้ ยการเปิดเวทใี นระดับพ้ืนทใ่ี หก้ ลมุ่ คนตา่ ง ๆ หรอื การสัมภาษณ์แกนน�ำ ผู้รู้ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ ถกปัญหาของ ชุมชนทอ้ งถน่ิ 2. การศกึ ษาวเิ คราะหส์ ถานการณ์ ศกึ ษาสถานการณใ์ นพน้ื ท่ี (mapping) บรบิ ทชมุ ชน ทนุ บคุ คล ทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรม ทุนทางเศรษฐกิจและสังคม ทุนส่ิงแวดล้อม ศักยภาพของ ชุมชน สถานการณ์ปัญหา แนวทางการพัฒนาของหน่วยงาน ประสบการณ์การท�ำงานของ คนในพนื้ ทด่ี า้ นการวจิ ยั และพฒั นา เพอื่ ทำ� ความเขา้ ใจสถานการณป์ ญั หาในพนื้ ที่ เขา้ ใจศกั ยภาพ และความเป็นไปได้ในการพฒั นาโครงการเพอ่ื ใหส้ อดคล้องกบั ปัญหาและศักยภาพของพ้ืนที่ 3. การรว่ มพัฒนาโจทยว์ จิ ัยและพฒั นาขอ้ เสนอโครงการวิจัยกับคนในพนื้ ท่ี ด้วยกระบวนการ คน้ หาโจทยป์ ญั หาทคี่ นในชมุ ชนสนใจ โดยมพี เ่ี ลย้ี งทำ� หนา้ ทก่ี ระตนุ้ ชวนคดิ ชวนคยุ ในประเดน็ ปัญหาช่วยเชื่อมโยงและวิเคราะห์เชิงระบบ ล�ำดับความส�ำคัญของปัญหา คัดเลือกประเด็นท่ี จะทำ� วจิ ยั ภายใตโ้ จทยท์ ต่ี อ้ งยดึ ถอื หลกั วา่ ปญั หานน้ั ตอ้ งเปน็ ปญั หารว่ มของคนในชมุ ชนอยใู่ น วิสัยทัศน์ท่ีชุมชนจัดการได้ ส่วนใหญ่งานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจะมีผู้ร่วมวิจัยจ�ำนวนอย่างน้อย 7-10 คน หรือมากกวา่ และมผี เู้ ขา้ ร่วมทมี่ ีส่วนกับประเด็นทำ� วิจัยภายในชมุ ชนในบางขัน้ ตอน ของกระบวนการวจิ ัย 4. ร่วมพัฒนาและยกร่างเค้าโครง โดยทีมวิจัยด้วยการท�ำความเข้าใจเร่ืองการวิจัยเพื่อท้องถ่ิน วธิ กี ารวจิ ยั การตงั้ คำ� ถามงา่ ย ๆ หากจะทำ� เรอื่ งนต้ี อ้ งหาความรเู้ รอื่ งอะไรบา้ ง ตอ้ งไปหาความรู้ จากใคร ด้วยวธิ กี ารอยา่ งไร และตอ้ งใช้เครือ่ งมืออะไร 5. การพิจารณากลั่นกรองโครงการวิจัย เวทีการพัฒนาข้อเสนอโครงการเป็นการออกแบบเพื่อ สรา้ งการเรยี นรขู้ องทมี วจิ ยั ดงั นน้ั จงึ มรี ะบบการพจิ ารณากลนั่ กรองเปน็ 2 ระดบั ระดบั NODE เป็นการน�ำชาวบ้านท่ีเป็นทีมวิจัยเข้ามาร่วมในกระบวนการกลั่นกรองในเบ้ืองต้นเพ่ือให้

ทีมวิจัยน�ำเสนอ ทบทวนความเข้าใจ และเป้าหมายในการท�ำวิจัย ทบทวนถึงความเป็นไปได้ ในประเด็นและทีมวิจัย หลังจากน้ันจึงมีการกล่ันกรองในระดับฝ่าย โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความเข้าใจในงานวิจัยท้องถิ่นและมีความเช่ียวชาญในประเด็นวิจัย ซ่ึงส่วนใหญ่เป็น นักวชิ าการ ปราชญ์ชาวบ้าน หรือ NODE พี่เล้ยี งท่ีทำ� งานเชิงประเด็นในเรื่องนัน้ ๆ 6. การทำ� ความเขา้ ใจการบรหิ ารจดั การงบประมาณ หลงั จากไดร้ บั อนมุ ตั โิ ครงการแลว้ ฝา่ ยสนบั สนนุ จะชีแ้ จงหลักเกณฑ์ เงอื่ นไข เอกสารการเงิน และการบัญชแี ก่ทมี วจิ ยั เพือ่ ใหร้ ับร้แู ละสามารถ จดั การไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพและโปรง่ ใส 7. กระบวนการทำ� วจิ ยั และการตดิ ตามสนบั สนนุ กบั ชมุ ชน พเ่ี ลย้ี งมกี ารพฒั นาศกั ยภาพนกั วจิ ยั ด้วยการเตมิ แนวคิดเรื่องงานวจิ ยั เพอื่ ท้องถิน่ อบรมวิธกี าร เครื่องมือ การแตกกรอบประเดน็ เก็บข้อมูล พัฒนาทักษะ ต้ังค�ำถาม จดบันทึก สรุป รายงาน จับประเด็น วิเคราะห์ จัดกระบวนการ และมีส่วนร่วมในชุมชน โดยส่วนใหญ่ใช้วิธีการอบรมเชิงปฏิบัติการในพื้นที่ จริงตามข้ันตอนการวิจัยตั้งแต่ต้นน้�ำ กลางน�้ำ และปลายน้�ำ ด้วยการจัดเวทีเรียนรู้ระหว่าง ทมี วิจัยกบั ชุมชน หรือเวทแี ลกเปลี่ยนข้ามพนื้ ท่ี 8. การร่วมออกแบบกิจกรรม ด้วยการน�ำความรู้ท่ีได้จากการศึกษาวิจัยมาวิเคราะห์และดึง ศกั ยภาพของชมุ ชนและหลาย ๆ ภาคเี ครอื ขา่ ยเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการสรา้ งความรู้การแลกเปลย่ี น เรยี นรู้ และวิเคราะหท์ างเลือกเพ่อื ปฏบิ ัตกิ ารรว่ มกันในการแก้ไขปัญหาในระดับท้องถน่ิ ได้ 9. การถอดบทเรียนและการคืนข้อมูลให้ชุมชน โดยพี่เล้ียงช่วยในการถอดและสรุปบทเรียน สร้างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชน การถอดบทเรียนมี 2 ระยะคือ ระยะกลางทางเมื่อมี การศกึ ษาข้อมลู จากการวิจยั เพื่อให้เห็นว่ามขี ้อมลู ความรู้เพยี งพอในการสร้างทางเลือกในการ แกไ้ ขปญั หาหรอื ไม่ และระยะท่ี 2 หลงั การรว่ มทำ� กจิ กรรมในการแกไ้ ขปญั หาวา่ การดำ� เนนิ การ เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป็นตามแผนที่วางไว้หรือไม่ มีข้อมูลและความรู้ใหม่เกิดข้ึน ในกระบวนการท�ำงาน การเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนกับนักวิจัย การเปล่ียนแปลงในพื้นท่ีและ ชุมชนวิจัย มีปัจจัยและเงื่อนไขใดที่ท�ำให้งานวิจัยประสบผลส�ำเร็จหรือเกิดอุปสรรคและ การแกไ้ ขปญั หาดว้ ยเทคนคิ และวธิ ีการใดบา้ ง เปน็ ตน้ หากเป็นการท�ำงานร่วมกับหน่วยงาน ภาคีเครอื ข่าย เช่น สถาบนั การศึกษา หน่วยงานเอกชน ท่ีต้องการติดตั้งการวิจัยเพื่อท้องถิ่นเป็นเคร่ืองมือในการช่วยพัฒนางานในหน้าท่ี จะมีการพัฒนา ทักษะการท�ำงานร่วมกับชุมชนให้กับกลุ่มบุคลากรของหน่วยงาน โดยจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ ไปพรอ้ ม ๆ กนั ในสถานการณจ์ รงิ กบั โครงการวจิ ยั ในพน้ื ที่ มฝี า่ ยและศนู ยป์ ระสานงานทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ พี่เล้ียง ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ัย (สกว.) 137

138 นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจัย รปู แบบการสนับสนนุ ทนุ วิจยั งานวจิ ัยเพ่อื ทอ้ งถิน่ ใหก้ ารสนับสนุนทุนวจิ ยั ลักษณะต่าง ๆ ได้แก่ 01 เปน็ การใหก้ ารสนบั สนนุ งบประมาณวิจัยเบอื้ งตน้ เพอื่ ส�ำรวจสถานะความรู้ พื้นท่ี และ ทุน PDG ทุนดา้ นต่าง ๆ ทม่ี ีอยูใ่ นพนื้ ท่ี และสำ� รวจปญั หาเพือ่ ประเมินสถานการณ์ปัญหาในชมุ ชน และการทำ� งานร่วมกับคนในทอ้ งถน่ิ เพอื่ การพัฒนาโครงการ 02 ทนุ RDG เปน็ การสนับสนุนทนุ วจิ ัยเพ่ือการวิจัยเตม็ รูปแบบ 03 เป็นทนุ สนับสนุนศนู ย์ประสานงาน หนว่ ยบริหารจัดการโครงการโดยมี ผ้ปู ระสานงานและ ทุน PDC ผู้ชว่ ยผู้ประสานงานท�ำหนา้ ท่ีบริหารจดั การงานวจิ ยั ในพนื้ ที่และจังหวดั 04 เป็นทุนสนบั สนนุ การส่ือสารงานความรจู้ ากงานวจิ ยั ทนุ PUR เชน่ การทำ� เวที (forum) การทำ� หนงั สือ ส่อื ส่ิงพมิ พ์ เปน็ ตน้ นอกจากนี้ ยงั มรี ปู แบบการสนบั สนนุ ทนุ วจิ ยั อกี 3 รปู แบบ คอื การสนบั สนนุ การทำ� งานเชงิ พนื้ ที่ (Area-based) เชงิ สถาบนั และเชงิ ประเดน็ (Issue-based) 1. การท�ำงานเชิงพื้นท่ี (Area-based) พ้ืนท่ีต�ำบล อ�ำเภอ กลุ่มจังหวัดหรือพ้ืนท่ีภูมินิเวศ ลุ่มน�้ำ ฯลฯ ที่สามารถเปิดช่องทางรับปัญหาของชุมชนเพื่อน�ำไปสู่การพัฒนาโครงการได้ ค่อนข้างหลากหลาย ครอบคลุมและเป็นไปตามความต้องการในการแก้ไขปัญหาของชุมชน เช่น ภาคใต้มีทุนของความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และ ทรัพยากรธรรมชาติ จึงให้ความส�ำคัญกับการเสริมพลังของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ และฟื้นวิถีวัฒนธรรมของชุมชน โดยกระบวนการวิจัยเพ่ือท้องถ่ินเพ่ือ การพฒั นาทยี่ งั่ ยนื มยี ทุ ธศาสตรเ์ ฉพาะพน้ื ทส่ี ำ� หรบั สามจงั หวดั ชายแดนภาคใตท้ มี่ สี ถานการณ์ ความรุนแรงในพ้ืนท่ี ได้แก่ การฟื้นระบบความสัมพันธ์ของคนกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มท่ี ดอ้ ยโอกาสสสู่ งั คมพหวุ ฒั นธรรม พนื้ ทชี่ ายแดนฝง่ั ภาคตะวนั ตก (ไทย-พมา่ ) ท่ี จงั หวดั กาญจนบรุ ี และภาคเหนือที่ จังหวัดตาก จังหวัดแม่ฮ่องสอน เน้นการหาความสมดุลในการด�ำรงอยู่ของ คนพน้ื เมอื ง คนชนเผา่ ทมี่ ฐี านการดำ� รงชพี อยกู่ บั ทรพั ยากรปา่ ไม้ แมน่ ำ้� เปน็ ตน้ และในหลาย ๆ จังหวัดก็ใช้พ้ืนที่จังหวัดเป็นขอบเขตเป้าหมายในการท�ำงานหลากหลายมิติ เช่น จังหวัด สมุทรสงคราม จงั หวัดสตลู จงั หวัดตรัง เปน็ ตน้

กรณีตัวอย่างของ NODE จังหวัดสตูล มีการก�ำหนดเป้าหมายของจังหวัดสตูลเพ่ือการ จัดการตนเองท่ีย่ังยืน ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม ประเด็นการสนับสนุนทุนวิจัยครอบคลุม ด้านทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกจิ สังคม วฒั นธรรม เศรษฐกิจฐานราก การจดั การท่องเทย่ี ว ท่ีรับผิดชอบต่อสังคม การจัดการศึกษาผ่านประวัติศาสตร์คนสตูล ฯลฯ ด้วยความร่วมมือ กับภาคี โดยศูนย์ประสานงานจังหวัดสตูล ท�ำหน้าท่ีเป็นหน่วยสนับสนุนงานวิจัยเพ่ือหา ความรกู้ บั เครอื ขา่ ยจงั หวดั เชน่ สำ� นกั งานกองทนุ ฟน้ื ฟแู ละพฒั นาเกษตรกร เครอื ขา่ ยทอ่ งเทยี่ ว โดยชมุ ชน ส�ำนักงานท่องเทีย่ วและกฬี าจังหวัดสตลู เครือข่ายรกั ษ์จงั หวดั สตูล และยังรว่ มกนั ในการขับเคลือ่ นนโยบายสาธารณะ สรา้ งพลังประชาชนส่กู ารขับเคลือ่ นสตลู ยง่ั ยืน 2. การสนับสนุนเชิงสถาบัน เป็นการสนับสนุนทุนวิจัยให้หน่วยงานเพื่อพัฒนาระบบกลไกใน การบริหารจัดการงานวิจัยพัฒนาศักยภาพและบทบาทสถาบันในการเข้าไปสนับสนุนการ ทำ� วิจยั ให้คนในทอ้ งถ่นิ เพือ่ ให้คนในท้องถิ่นนนั้ ๆ ได้ท�ำวจิ ัยเสรมิ สร้างและพฒั นาทอ้ งถิ่นของ ตนเองไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ เชน่ การสนบั สนนุ สถาบนั การศกึ ษาในทอ้ งถน่ิ ประเดน็ สขุ ภาพ หมอเมอื ง และสมุนไพร 3. การสนบั สนนุ เชงิ ประเดน็ (Issue-based) การสนบั สนนุ งานวจิ ยั ทม่ี ที ศิ ทางและประเดน็ มงุ่ สู่ การแก้ไขปัญหา ประเด็นการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อท้องถ่ินครอบคลุมหลากหลายประเด็น เนอื่ งจากเปน็ ปญั หาหรอื ความตอ้ งการทเ่ี กดิ จากพน้ื ท่ี ไดแ้ ก่ ประเดน็ เกษตรกรรมยงั่ ยนื ประเดน็ ชมุ ชนกบั การจดั การทรพั ยากร ประเดน็ เศรษฐกิจชุมชน ประเด็นการศกึ ษากับชุมชน ประเดน็ เด็ก เยาวชน และครอบครัว ประเด็นการบรหิ ารจัดการท้องถ่ิน ประเด็นศิลปวัฒนธรรม และ ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถิ่น ประเดน็ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ประเด็นอิสลามศึกษาและวฒั นธรรม ประเดน็ เกษตรกรรมยงั่ ยนื มเี ปา้ หมายในการสรา้ งความมนั่ คงทางอาหารใหก้ บั ชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ฟื้นฟทู รพั ยากรธรรมชาติทเ่ี ปน็ ฐานสำ� คัญในการด�ำรงชีวิตของคนในทอ้ งถ่นิ เช่น การวิจยั เพ่ือคน้ หา ตน้ ทางการผลติ ดา้ นเทคนิค วิธีการผลติ ลดละเลกิ สารเคมใี นการเกษตร ลดต้นทุนการผลิต และ ความหลากหลายของการผลิตเกษตรอินทรีย์ พัฒนาปัจจัยการผลิต เช่น พันธุกรรมท้องถิ่น เคร่ืองจักรกลที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพ่ิมมูลค่า การแปรรูป เชื่อมโยงกับตลาด ขยายความเข้มแข็งของกลุ่มกับเครือข่าย การสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ การท�ำ ในเชิงธุรกิจเพ่ือสังคม (social enterprise) เช่น ที่จังหวัดล�ำพูน ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ได้แก่ ครวั เรอื น ชมุ ชน เครอื ขา่ ยหนว่ ยงาน ผปู้ ระกอบการเอกชน เปน็ ตน้ การขบั เคลอื่ นเชงิ นโยบายเกษตร อนิ ทรยี โ์ ดยรว่ มกบั ภาคเี ครอื ขา่ ยงานพฒั นา เชน่ สสส. สช. โดยมกี ารสนบั สนนุ ทนุ วจิ ยั ผา่ นกลมุ่ และ เครือขา่ ยเกษตรกร เช่น ภาคอีสานตอนกลางมศี ูนยป์ ระสานงานยโสธร และมหาสารคาม เป็นต้น ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) 139

140 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจัย ประเดน็ ชมุ ชนกบั การจดั การทรพั ยากรอยภู่ ายใตป้ ญั หาการแยง่ ชงิ ทรพั ยากรในพนื้ ที่ โดย มแี นวทางการสนบั สนุนการวิจัย 4 แนวทาง แนวทางที่ 1 การวจิ ัยเพ่อื ส่งเสรมิ สทิ ธชิ ุมชนในการอยู่ร่วมกนั การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ ดิน น�ำ้ ปา่ และ สรา้ งกลไกชมุ ชนเข้ากบั การจัดการทรพั ยากร ดว้ ยการทำ� ความเข้าใจกบั หน่วยงานทร่ี บั ผดิ ชอบ เช่น เจา้ หนา้ ทปี่ า่ ไม้ อทุ ยาน เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ มกี ารหาแนวทางรว่ มทำ� ใหค้ นอยกู่ บั ปา่ ได้ การอนรุ กั ษ์ และใช้ประโยชน์อย่างสมดุลของกลุ่มชาติพันธุ์ ภาคเหนือ ได้แก่ อาข่า ม้ง ลาหู่ญิ ปกาเกอะญอ ลั้วะ ละเว๊อื ะ ไทยอง ไทด�ำ คะฉ่นิ ไทลื้อ ไทเขิน มอญ เมง็ และคนพนื้ เมอื งภาคใต้ กลุ่มชาตพิ ันธุ์ มานิ (ซาไก) โดยกลมุ่ ชาตพิ ันธสุ์ ่วนใหญย่ ังคงตอ้ งมวี ถิ ีพง่ึ พาทรัพยากรป่าไม้ในการด�ำรงชีวิต รวมถงึ การวิจัยเพื่อสร้างการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการความขัดแย้ง บนฐานทรัพยากรของ ชุมชนประมงพื้นบา้ น จังหวัดปัตตานี ทไี่ ด้รับผลกระทบจากเรือประมงเชงิ พาณชิ ย์ เช่น กล่มุ ชมุ ชน รอบอา่ วบา้ นดอน ดว้ ยการสง่ เสรมิ สทิ ธชิ มุ ชนในการจดั การอา่ ว กรณคี วามขดั แยง้ ในการใชท้ รพั ยากร ทด่ี นิ การออกเอกสารสทิ ธท์ิ บั ทด่ี นิ ของชมุ ชนและทท่ี ำ� กนิ ในทะเล สง่ ผลกระทบทอี่ ยอู่ าศยั กรณกี ลมุ่ ชาติพันธุ์ชาวเล บ้านราไวย์ อ�ำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต งานวิจัยเชิงประวัติศาสตร์และโบราณคดี เพื่อสืบค้นหลักฐานการต้ังถ่ินฐานและวิถีวัฒนธรรมให้สามารถน�ำไปสู่การยืนยันสิทธิชุมชนด้ังเดิม และช่วยแก้ปัญหาความม่ันคงด้านที่อยู่อาศัยของชุมชนได้ การยกระดับองค์ความรู้เพื่อการพัฒนา พน้ื ทค่ี มุ้ ครองทางวฒั นธรรมชาตพิ นั ธช์ุ าวเล ในพนื้ ที่ 5 จงั หวดั คอื ภเู กต็ พงั งา สตลู ระนอง และกระบี่ การบริหารจัดการท่ีดินสาธารณประโยชน์ท้ังระบบด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน องค์กรบริหาร สว่ นต�ำบลและส�ำนกั งานทดี่ ินอ�ำเภอ เชน่ อ�ำเภอบ้านควน จังหวัดตรัง เป็นตน้ แนวทางท่ี 2 ส่งเสริมการฟื้นฟูและอนุรักษ์ชุมชนกับการจัดการทรัพยากรน�้ำและลุ่มน้�ำ ภายใต้สถานการณ์ ความเส่ือมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ การท�ำลายทรัพยากรทางทะเล และสัตว์น�้ำ เช่น จงั หวดั สงขลา การคน้ หาความรเู้ พอื่ เนน้ การสรา้ งกลไกการจดั การลมุ่ นำ�้ คลองหลา การสรา้ งรปู ธรรม การแก้ปัญหา การสร้างระบบฝายมีชีวิตเพ่ือฟื้นฟูระบบนิเวศ การจัดการลุ่มน้�ำล�ำโดมใหญ่ใน จงั หวดั อบุ ลราชธานี

แนวทางที่ 3 การบูรณาการการจัดการทรัพยากรน�้ำ กรณีน�้ำท่วม น้�ำแล้ง การสร้างความร่วมมือและกลไก การจัดการน้�ำของชุมชนท้องถ่ินและหน่วยงานที่เก่ียวข้องในระดับท้องถ่ินเชิงบูรณาการ เช่น กลมุ่ เกษตรกรชลประทานระบบทอ่ รว่ มกบั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั อบุ ลราชธานกี บั มหาวทิ ยาลยั ในพื้นท่ี เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้�ำแบบมีส่วนร่วมน�ำไปสู่การเสริมสร้าง ความเข้มแข็งและพัฒนาคุณภาพชีวิตขององค์กรชุมชน การร่วมมือกับกรมชลประทานใน การบริหารจัดการน้ำ� กับชมุ ชนแบบมีส่วนรว่ มในเขตภาคกลาง แนวทางที่ 4 แนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจบนฐานทรัพยากร การท�ำวิจัยท�ำให้เกิดการสร้างความตระหนักใน การจัดการทรัพยากรน�ำมาสู่การท�ำท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการสร้างเศรษฐกิจฐานรากเช่น กรณี จงั หวดั ตรงั มกี ารรวบรวมความรภู้ มู ปิ ญั ญา แนวเขตหญา้ ทะเล เพอื่ การอนรุ กั ษฟ์ น้ื ฟู การจดั การเขต อนุรักษพ์ ันธ์ุสตั วน์ �้ำปลาพะยนู การศกึ ษาวถิ ีชีวิตนกยงู ในการอาศัยอยใู่ นปา่ ของพื้นที่ จงั หวัดลำ� พูน เพือ่ น�ำไปสูก่ ารฟื้นฟนู เิ วศและพ้ืนที่ป่า กรณกี ลุ่มประมงพนื้ บา้ นในอ่าวปตั ตานี มกี ารเสรมิ ศกั ยภาพ และจัดการความรดู้ ้านทนุ ทางทรัพยากรและดา้ นทุนทางสังคมของชมุ ชน การสร้างโรงเรียนประมง พ้ืนบ้านเพ่ือเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อสืบทอดภูมิปัญญาสู่เยาวชน เมื่อทรัพยากรเพ่ิมมากข้ึนก็น�ำไปสู่ การแปรรปู ผลผลิตจากทะเลเพื่อพัฒนามลู ค่าเพ่มิ การจดั การตลาด การสง่ เสริมธุรกิจชุมชนน�ำไปสู่ การสรา้ งตน้ ทนุ ทางเศรษฐกิจในพ้นื ทชี่ ายแดนใต้ ประเด็นเศรษฐกจิ ชุมชน มเี ป้าหมายคือการวิจยั เพื่อสง่ เสริมเศรษฐกิจฐานราก ซ่ึงแยกเปน็ กลมุ่ ตามฐานการผลติ ไดแ้ ก่ 1) เศรษฐกจิ จากฐานเกษตร เชน่ การวจิ ยั เพอื่ ลดตน้ ทนุ การผลติ ยางพารา ของกลมุ่ เกษตรกรผปู้ ลกู ยางพาราในจงั หวดั สงขลา การวจิ ยั และพฒั นาพน้ื ทนี่ ารา้ งในจงั หวดั นราธวิ าส กลมุ่ เกษตรกรทที่ ำ� นาในภาคกลางและภาคอสี าน 2) เศรษฐกจิ จากฐานการผลติ หตั ถกรรมของชมุ ชน เชน่ การทอผ้าในกลมุ่ ชนเผา่ ผไู้ ท จังหวดั กาฬสินธ์ุ 3) เศรษฐกิจชมุ ชนเพื่อการรักษาฐานทรพั ยากร การพัฒนารูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากฐานการเกษตรและการแสวงหาตลาดของกลุ่ม ผู้ท�ำการประมงและการแปรรูปปลาทับทิม อ�ำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส กลุ่มประมงเพาะเลี้ยง สตั วน์ ำ้� อำ� เภอโกสมุ พสิ ยั จงั หวดั มหาสารคาม 4) เศรษฐกจิ บนฐานตลาด เชน่ ตลาดสเี ขยี ว ซงึ่ จำ� หนา่ ย สินค้าเกษตรปลอดสาร หรือสินค้าปลอดภัยที่เกิดข้ึนในหลายจังหวัด เช่น จังหวัดมหาสารคาม จงั หวดั ขอนแกน่ 5) เศรษฐกจิ ชมุ ชนทเ่ี นน้ การบรหิ ารจดั การและพฒั นากลมุ่ กองทนุ และกลมุ่ เศรษฐกจิ ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มออมทรัพย์ หรือการพัฒนากองทุนหมู่บ้าน กองทุนชุมชน ท่เี นน้ ไปท่กี ารจัดการหนส้ี ินและการสรา้ งสวัสดิการชมุ ชน สำ� นักงานกองทุนสนับสนนุ การวิจัย (สกว.) 141

142 นวตั กรรมการบริหารจัดการงานวิจัย ประเด็นการศึกษากับชมุ ชน การค้นหาองคค์ วามรู้ ภูมปิ ญั ญา ทรพั ยากรของทอ้ งถิ่น น�ำมา สร้างการเรียนรู้และการเรียนการสอนในระบบของโรงเรียน การจัดการศึกษานอกระบบกับกลุ่ม ชาติพันธุ์ หรือการพัฒนางานจากกลุ่มนักพัฒนาท่ีท�ำงานด้านการศึกษาทางเลือก การสังเคราะห์ งานวจิ ัยประเด็นการศึกษาเพอื่ การเสนอเชิงนโยบาย เชน่ เสนอคณะกรรมการอสิ ระเพือ่ การปฏริ ูป การศกึ ษา ประเดน็ การวจิ ยั ทางดา้ นภาษาวกิ ฤตทท่ี ำ� วจิ ยั เพอื่ อนรุ กั ษก์ ลมุ่ ตระกลู ภาษาตา่ ง ๆ นำ� ไปสู่ การเก็บฐานข้อมูลและพัฒนาต่อยอด โดยการพัฒนาเครื่องมือทางภาษาเพื่อการเรียนรู้ภาษา ภมู ปิ ญั ญา วถิ ีวัฒนธรรม อยา่ งมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน เชน่ ชุดประเดน็ ภาษาวิกฤตของสถาบนั ภาษา มหาวิทยาลัยมหิดล โดยต้องท�ำการอบรมการเขียนภาษา การผลิตหนังสือเก่ียวกับภาษา ส�ำหรับ ภาษาท่ีกำ� ลังสญู หาย ประเด็นเด็ก เยาวชน และครอบครัว เพ่ือพัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชน พัฒนา กระบวนการเรียนรู้ การมีคุณธรรม จริยธรรม ส�ำนึกจิตอาสา ด้วยการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้ กับเด็กและเยาวชน ให้เรยี นรวู้ ถิ ีชีวติ สงิ่ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม ประวตั ิศาสตรท์ ้องถน่ิ เพื่อการพฒั นา เยาชน 4.0 เชน่ ทจี่ งั หวดั นา่ น จงั หวดั สมทุ รสงคราม จงั หวดั นครปฐม จงั หวดั ราชบรุ ี จงั หวดั กาญจนบรุ ี จังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจล และการหารูปแบบการขยายผลกับภาคีเครือข่าย เกย่ี วขอ้ งกบั ประเดน็ เดก็ เพมิ่ อกี 5 จงั หวดั ในทกุ ภาค การพฒั นาทกั ษะชวี ติ ในกลมุ่ เดก็ ทอี่ ยนู่ อกระบบ การศกึ ษา เด็กตั้งแก๊ง (Gang) เด็กผดู้ ้อยโอกาส ศึกษาความร้จู ากประเดน็ ปญั หาและความต้องการ ของเด็ก ครอบครัวและชมุ ชนท่ีตอ้ งการพฒั นาความรเู้ พ่อื พัฒนาศกั ยภาพ ทกั ษะชวี ิตในการปอ้ งกนั ความเสยี่ ง เด็กกล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุหรือเดก็ กลุ่มมปี ัญหาพเิ ศษในการเรียนรู้ ประเด็นการบริหารจัดการท้องถิ่นเพ่ือพัฒนาศักยภาพและกลไกร่วมกับองค์กรปกครอง สว่ นท้องถน่ิ ในการจัดการประเด็นปญั หาทอ่ี ยใู่ นเขตบริการ เชน่ การจดั การความเส่ียงจากภยั พิบตั ิ ของชุมชนด้านน�้ำท่วม ความรู้สวัสดิการโดยท้องถิ่นส�ำหรับผู้สูงอายุในจังหวัดชัยนาท การบริหาร จัดการธุรกิจชุมชน (ตลาดริมน้�ำ) การบูรณาการด้านบริหารจัดการน้�ำขององค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ินในจังหวัดอุบลราชธานี การวิจัยเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะของคนในท้องถ่ิน องค์กรปกครอง สว่ นท้องถนิ่ ในจังหวดั อยธุ ยา เปน็ ต้น ประเด็นศิลปวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน การค้นหาความรู้ ทบทวนทุนทาง วฒั นธรรม การละเลน่ ภาษา ตำ� นาน ระบบความเชอ่ื และพธิ กี รรม ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ พฒั นาการ ด้านการเปลี่ยนแปลงของชุมชน ซงึ่ มกี ารศึกษามติ ิเหลา่ น้ใี นเกอื บทุกโครงการ การใชข้ ้อมลู ดังกล่าว สรา้ งความตระหนกั ในการเปลย่ี นแปลงของชุมชนท้องถิ่น น�ำไปสกู่ ารฟื้นฟูอัตลักษณ์จากภูมปิ ัญญา เทศกาลและพิธีกรรม ประยุกต์พิธีกรรม ความเชื่อ การฟื้นฟูภูมิปัญญาการจัดการ โบราณสถาน ประเพณที อ้ งถนิ่ ฟน้ื ฟวู ถิ ชี วี ติ ชมุ ชนอนรุ กั ษก์ ารสรา้ งหลกั สตู รทอ้ งถนิ่ เพอ่ื สรา้ งการเรยี นรแู้ ละฟน้ื ฟู รกั ษาวัฒนธรรม การผลิตซ�้ำซงึ่ สอดรบั กบั บรบิ ทของการเปลีย่ นแปลงเชงิ สงั คม

ประเดน็ สุขภาพ หมอเมือง และสมนุ ไพร ในเร่ืององคค์ วามร้แู ละภมู ิปญั ญาทอ้ งถิน่ ความรู้ ในการรกั ษาและดแู ลสขุ ภาพ วถิ กี ารรกั ษาแบบแพทยพ์ น้ื บา้ น และการดแู ลสขุ ภาพพนื้ บา้ นโดยอาศยั องคค์ วามรแู้ ละภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เชน่ ความรชู้ นเผา่ อาขา่ ดอยแมส่ ะลอง อำ� เภอแมฟ่ า้ หลวง จงั หวดั เชียงราย การแพทย์พื้นบ้านล้านนา โครงการรูปแบบการแปรรูปยาสมุนไพรพ้ืนบ้านเพ่ือเศรษฐกิจ ชุมชนในอ�ำเภอพญาเม็งราย โดยได้ขยายพรมแดนของความรู้ออกไปไกลกว่าการแพทย์พ้ืนบ้าน ครอบคลุมการค้นหาวิธีการในการดูแลสุขภาพในเชิงกลไกความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ภาครัฐท่ี มหี นา้ ทโ่ี ดยตรงในการใหบ้ รกิ ารทางการดแู ลและรกั ษาสขุ ภาพเผา่ ลาหใู่ นพน้ื ทบี่ า้ นหว้ ยปา่ ไร่ ตำ� บล แม่คะ อำ� เภอฝาง จงั หวดั เชยี งใหม่ ประเด็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มุ่งเน้นใช้การท่องเที่ยวเป็นเคร่ืองมือในการสร้างความ เข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่น จัดการท่องเท่ียว และพัฒนารูปแบบการท่องเท่ียวโดยชุมชน สร้าง นวัตกรรมการบริการ มาตรฐานการท่องเท่ียว ส่งเสริมกิจกรรมการท่องเท่ียวเชื่อมโยงเข้ากับ เครือข่ายการท่องเที่ยวผ่านสถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน ผ่านงานระดับพ้ืนท่ีที่มีศักยภาพ วิจยั และพฒั นาขีดความสามารถในการรองรับ (carrying capacity) การท่องเท่ยี วโดยชุมชน และ การบูรณาการภาคีการท�ำงานด้านการท่องเที่ยว เช่น จังหวัดเลย ในประเด็นการวิจัยท่องเที่ยว ยังเช่อื มโยงประเดน็ อนื่ ๆ อีก อาทิ ประเดน็ ความมนั่ คงทางอาหาร ประเด็นการจัดการทรพั ยากร ประเด็นศลิ ปวฒั นธรรมและประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ ประเด็นวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทางสังคม ในเรื่องความสัมพันธ์ของคนชายขอบ ในพื้นที่ชายแดน ด้วยการร่วมท�ำวิจัยของคนในท้องถ่ินชายแดนระหว่าง 2 ฝั่ง เช่น ชายแดน ไทย-กัมพูชา จังหวัดศรีสะเกษ ด้วยการค้นเครือญาติ และการค้นหาความรู้ด้านการท�ำการ เกษตรอินทรีย์ ชายแดนไทย-พม่า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วยการศึกษาความสัมพันธ์พ้ืนที่สองฝั่ง ในมติ คิ วามม่ันคงทางอาหาร ชายแดน ไทย-ลาว จังหวัดอบุ ลราชธานี ด้วยการคน้ หามิติของการค้า และตลาดท้องถ่นิ ของคนสองฝัง่ โขง ประเด็นพลังงานทางเลอื ก ในจงั หวดั สรุ นิ ทร์และจงั หวดั กาฬสินธ์ุ เนน้ การจัดการพลังงาน ทางเลือกเพ่ือการพึ่งตนเองด้านพลังงานของชุมชน การพัฒนายกระดับช่างพลังงานทางเลือกเพ่ือ การประกอบการ ส�ำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.) 143

144 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจยั นอกจากเชิงประเด็นแล้วยังมีการส่งเสริมงานวิจัยที่เน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะในบางพ้ืนที่ อาทิ กลุ่มผู้พิการนครราชสีมา การวิจัยและพัฒนาความเข้มแข็งของกลุ่มผู้ช่วยเหลือคนพิการ ในมิติกายอุปกรณ์ส�ำหรับคนพิการ การจัดสวัสดิการที่เหมาะสมส�ำหรับคนพิการ ศึกษาศักยภาพ เครือข่ายชมรมคนพิการ การมีส่วนร่วมของครอบครัว ชุมชน และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ในพื้นที่ การบริการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล การร่วมมือกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความ ม่ันคงของมนุษย์ ในการสร้างผู้ช่วยเหลือคนพิการ (personal assistant) กลุ่มเด็กและเยาวชน การเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพกลุ่มเด็กและเยาวชน การเรยี นร้ขู องเยาวชนคนร่นุ ใหม่ เพ่ิมทกั ษะชวี ิต และ การสร้างเดก็ ที่มสี ำ� นึกสาธารณะและห่วงใยตอ่ สังคม การพฒั นาชมุ ชนท้องถิ่น (concern citizen) กลุ่มชาติพันธุ์ การวิจัยและพัฒนาคุณภาพชีวิตในการอยู่อาศัยในเขตวัฒนธรรมพิเศษ และเขต ป่าสงวนฯ หน่วยงานภาครี ว่ มสร้างความส�ำเร็จ ในการท�ำงานวิจัยเพ่ือท้องถิ่นนั้น การท�ำงานร่วมกับภาคีมีความจ�ำเป็นและเกื้อหนุนความ ส�ำเร็จของงานวิจัยเป็นอย่างมาก จากการทบทวนยุทธศาสตร์ท่ีผ่านมาพบว่าการสนับสนุนทุนวิจัย โดย สกว. เพยี งล�ำพังอาจไม่สามารถเสรมิ สรา้ งพลงั ความรู้เพ่อื สรา้ งความเขม้ แข็งของชมุ ชนทอ้ งถ่นิ กระจายและทั่วถึงได้ ดังน้ัน สกว. ฝ่ายวิจัยเพ่ือท้องถิ่น จึงให้การสนับสนุนงานวิจัยโดยขยายการ ท�ำงานกับภาคีหน่วยงานมากขึ้น รวมไปถงึ นักพฒั นา เจา้ หนา้ ทีร่ ัฐ อาจารยม์ หาวิทยาลยั และกลุ่ม บริษัทต่าง ๆ การท�ำงานผ่านหน่วยงานเป็นการสนับสนุนการใช้เคร่ืองมือวิจัย CBR ร่วมกับหน่วย งาน ซ่ึงเปน็ ตวั กลางในการท�ำงานรว่ มกับชุมชนท้องถ่นิ ภาคีหลักในความร่วมมอื มีอยู่ 4 กลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่มวิชาการ กลมุ่ ภาคเี ครือขา่ ย ภาคเอกชน และกลุ่มภาคียทุ ธศาสตร์ โดยแต่ละกลมุ่ มีฐานคิดและ วิธกี ารการขยายงานและเกิดวธิ ีการทำ� งานใหม่ ๆ ที่เปน็ นวตั กรรมในการวิจยั หลายแบบ ดังนี้ 1. กลมุ่ นกั วชิ าการ เกดิ จากแนวคดิ เบอ้ื งตน้ เพอ่ื ขยายผลการวจิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถน่ิ ใหม้ กี ารสรา้ งตวั คณู ท้ังนักวิจัยและโครงการวิจัยมากขึ้น ท�ำให้เกิดนักวิจัยเพื่อไปท�ำงานกับชุมชนโดยใช้เคร่ืองมือ CBR ได้มากข้ึน เมื่อการประกาศคณะกรรมการอุดมศึกษา (ก.พ.อ) สนับสนุนให้มีการสร้าง นกั วชิ าการเพอ่ื รบั ใชช้ มุ ชนและกำ� หนดเกณฑ์ รปู แบบและมาตรฐานเอกสารวชิ าการรบั ใชส้ งั คม เพอ่ื ประกอบการขอตำ� แหนง่ ทางวชิ าการ (ประกาศ ก.พ.อ. ฉบบั ท่ี 9 ตง้ั แตเ่ ดอื น มถิ นุ ายน 2556) และการก�ำหนดสถานะให้มหาวิทยาลัยราชภัฏท่ัวประเทศเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนา ท้องถิ่นตามพระราโชบายรัชกาลท่ี 10 (พ.ศ.2560-2579) จึงเกิดการพัฒนานวัตกรรม การท�ำวจิ ัยทีน่ กั วชิ าการทำ� กบั ชมุ ชนซ่งึ ตอบตอ่ เป้าหมายของมหาวทิ ยาลยั และประเทศ โดยมี เปา้ หมายสนบั สนนุ งานวจิ ยั และพฒั นาตอบโจทยพ์ นั ธกจิ ทง้ั ของนกั วชิ าการคอื การเรยี นการสอน

การวจิ ยั การบรกิ ารวชิ าการ การทำ� นศุ ลิ ปวฒั นธรรม และตอบสนองตอ่ งานวจิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถน่ิ คอื การให้ชุมชนเป็นผู้ก�ำหนดโจทย์วิจัย คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการท�ำวิจัยและน�ำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงของชมุ ชน โดยให้การสนับสนุนใน 2 แนวทาง คอื 1) การสนบั สนนุ เชิงประเด็น ท่ีนักวิชาการและชุมชนมีความสนใจสร้างความรู้และใช้ความรู้น�ำไปสู่การจัดการเฉพาะใน เรอื่ งใดเรอ่ื งหนงึ่ เชน่ ชุดการวจิ ยั และพัฒนานารา้ งในพนื้ ที่ 3 จังหวดั ชายแดนภาคใต้ ชดุ การ สนับสนุนนวัตกรรมการผลิตสินค้าการเกษตรของโหนดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2) สนับสนุน การสรา้ งกลไกเชงิ สถาบนั เพอ่ื พฒั นางานวจิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่ เชน่ สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา กลมุ่ นกั วจิ ยั หรือคณะวิชาของสถาบัน โดยมุ่งพัฒนาให้เป็นกลไกประสานงานและสนับสนุนนักวิชาการ เขา้ ไปท�ำวจิ ัยในพนื้ ที่ โจทยว์ ิจัยและความรู้ต้องตอบสนองตอ่ ชุมชนทอ้ งถน่ิ งานวจิ ยั ดงั กล่าวนี้ ตอ้ งกอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงกบั มหาวทิ ยาลยั ในการขยายจำ� นวนนกั วชิ าการเพอ่ื รบั ใชช้ มุ ชน การบรู ณาการการเรยี นการสอน เชอื่ มโยงกบั การผลติ บณั ฑติ การใชผ้ เู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง การใช้ ชมุ ชนเปน็ หอ้ งเรยี น การปฏริ ปู การเรยี นรดู้ ว้ ยการลงมอื ทำ� กอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงตามนยั ยะ ของการปฏิรปู การศกึ ษาท้ังการปฏริ ปู ผู้สอน การปฏริ ปู ความรู้ และการปฏริ ปู ผเู้ รียน การปรบั การเรยี นการสอนจาก passive learning เปน็ active learning เนน้ การสรา้ งกระบวนการ เรียนรู้รว่ มกนั ระหว่างอาจารย์ นสิ ิต และชุมชน เช่น มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม มหาวทิ ยาลัย เชียงใหม่ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยเกริก มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร เป็นตน้ กล่าวได้ว่า การสนับสนุนนักวิชาการท�ำวิจัยกับชุมชน ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการจัด การศึกษาและการเรียนการสอน การท�ำงานของนักวิชาการและในเชิงสถาบันเพื่อการพัฒนา ท้องถิ่นเป็นการสร้างความรู้ สร้างการเรียนรู้เพื่อสร้างพลังในตัวผู้เรียนและสร้างการ เปลยี่ นแปลงในวธิ กี ารสอน เชน่ การเรยี นรบู้ นฐานชมุ ชน (Community Based Learning-CBL) หรือการเรียนรู้บนฐานสถานการณ์ปัญหาและความต้องการของชุมชน (Problem Based Learning หรอื PBL) และภาคใี นชมุ ชนรว่ มในการสรา้ งการเรยี นรู้ โดยการผา่ นกระบวนการวจิ ยั เพื่อการสรา้ งความรูแ้ ละกระบวนการเรียนรู้ (Research Based Learning หรอื RBL) ใหก้ บั ท้งั นักวิชาการ ผ้เู รยี นและชาวบา้ นผรู้ ่วมวจิ ยั 2. กลุ่มภาคีเครือข่าย องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคม จากแนวคิดที่ต้องการเชื่อมโยง กับภาคีท่ีท�ำงานเชิงยุทธศาสตร์สามารถท่ีจะขยายผลเพ่ือการวิจัย ด้วยกระบวนการวิจัย สร้างคนและความรู้ไปสนับสนุนการปฏิบัติการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของกลุ่มองค์กรพัฒนา ที่ท�ำงานกบั คนผ้ดู ้อยโอกาสในพ้นื ที่ เชน่ มลู นธิ ิชมุ ชนไท บริษัท ปนั้ เมือง จ�ำกดั สถาบันพฒั นา องค์กรชุมชน (พอช.) ที่ท�ำงานกับชุมชนในเขตเมือง กับคณะกรรมการประสานงานองค์กร พัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และภาคประชาสังคมท่ีท�ำงานเชิงประเด็นและพ้ืนที่ เพ่ือพัฒนา ความเข้มแข็งและการพฒั นาทย่ี ่งั ยืนจากฐานชุมชนท้องถิน่ สำ� นักงานกองทุนสนับสนนุ การวิจัย (สกว.) 145

146 นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจัย 3. ภาคเอกชน ด้วยกระแสแนวคิดการให้การด�ำเนินธุรกิจควรมีความรับผิดชอบของธุรกิจต่อ สงั คม (Corporate Social Responsibility หรอื CSR) งานวิจัย CBR ได้พฒั นานวตั กรรม งานวจิ ยั รว่ มกับหนว่ ยงานเอกชน เชน่ บริษัท ปูนซิเมนตไ์ ทย (ลำ� ปาง) จำ� กดั บริษทั เอสซีจี เคมิคอลส์ จ�ำกัด (ระยอง) ด้วยการพัฒนาบุคลากรที่ท�ำงานด้านส่งเสริมการพัฒนาชุมชน ให้มีความรู้และทักษะการสนับสนุนงานวิจัยด้วยเครื่องมือ CBR เพ่ือส่งเสริมการท�ำวิจัยเพื่อ พฒั นา ให้กับชาวบ้านในพื้นที่เขตบริการของบริษัทฯ โดยร่วมมือกันในลักษณะ co-working และ co-funding เช่น เรื่องการจัดการและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบริเวณรอบพ้ืนที่เขายายดา จงั หวดั ระยอง และการจัดการน�ำ้ จดั การปา่ กบั บริษัทปูนซเี มนตไ์ ทย (ลำ� ปาง) เปน็ ตน้ 4. กลุ่มภาคียุทธศาสตร์ (strategic partners) ด้วยแนวคิดการต้องการขยายผลการท�ำงาน เพื่อให้หน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่หลัก ใช้เครื่องมือการวิจัยเพ่ือไปขยายผลในการท�ำงาน อยา่ งมสี ว่ นรว่ มกบั กลมุ่ คนในพน้ื ที่ และตอบสนองกลมุ่ เปา้ หมายและยทุ ธศาสตรข์ องหนว่ ยงาน เชน่ ศนู ยอ์ ำ� นวยการบรหิ ารจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในพนื้ ทสี่ ามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ กระทรวงพฒั นาสงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ยท์ ที่ ำ� งานกบั กลมุ่ เดก็ ผพู้ กิ าร ผสู้ งู อายุ เปน็ การ สนบั สนุนหน่วยงานน�ำเคร่ืองมอื ไปใชใ้ นองคก์ ร อกี สว่ นหน่ึง คอื การท�ำงานกบั ผู้ใชป้ ระโยชน์ จากงานวจิ ยั เชน่ กรณีการท�ำงานรว่ มกับองค์กรบริหารส่วนต�ำบล และสำ� นกั งานทด่ี นิ อำ� เภอ ในการแก้ปัญหาที่ดิน บ้านควน อ�ำเภอเมือง จังหวัดตรัง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เครอื ขา่ ยปา่ ชมุ ชนรอยตอ่ 5 จงั หวดั ภาคตะวนั ออก ศนู ยฝ์ กึ อบรมวนศาสตรช์ มุ ชนแหง่ ภมู ภิ าค เอเชียแปซิฟิก (RECOFTC) กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช สถาบันพัฒนาองค์กร ชุมชน (องค์การมหาชน) และนกั วิชาการสถาบันตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ การบรหิ ารผลงานวิจัยและกลไกการจัดการ การบรหิ ารผลงานวจิ ยั ใหเ้ กดิ การนำ� ไปใชป้ ระโยชนแ์ ละสอ่ื สารสงั คม หรอื การจดั การความรู้ เป็นการน�ำความรู้และผลกระทบท่ีเกิดขึ้นจากงานวิจัย หรือรูปธรรมการแก้ปัญหาในเรื่องที่สนใจ และได้รับการยอมรับในพ้ืนท่ีไปสู่การสร้างการเรียนรู้และการขยายผล โดยมีการจัดการความรู้ใน งานวจิ ัยเพอื่ ท้องถ่ิน 3 รปู แบบ รปู แบบที่ 1 น�ำความรู้ที่ได้จากงานวิจัยรายโครงการไปขยายผลในพ้ืนที่อื่น โดยการแลกเปล่ียน เรียนรขู้ องเครือขา่ ยนกั วิชาการและโหนด รปู แบบท่ี 2 การสงั เคราะหค์ วามรเู้ ชงิ ประเดน็ เพอ่ื นำ� ไปสกู่ ารขยายผลเชงิ นโยบาย เชน่ การสงั เคราะห์ งานด้านการศึกษา และได้องค์ความรู้ในมิติต่าง ๆ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตาม นัยยะของการปฏิรูปการศึกษาทั้งการปฏิรูปผู้สอน การปฏิรูปความรู้และการปฏิรูป ผเู้ รยี น และสานต่อโดยน�ำเสนอตอ่ คณะกรรมการอสิ ระปฏิรปู การศกึ ษา

รปู แบบท่ี 3 การจัดการเรียนรู้ด้วยการเผยแพร่ต่อสาธารณะในรูปแบบการจัดสัมมนาเพื่อสื่อสาร และการต่อยอดการใช้ประโยชน์ เช่น การสัมมนาระหว่างชุมชนกับนักวิชาการเพ่ือ น�ำความรู้ไปสู่การจัดการปัญหาเร่ืองที่ดินของชาวเลราไวย์ จังหวัดภูเก็ต การพัฒนา พ้ืนท่ีคุ้มครองทางวัฒนธรรมชาติพันธุ์ชาวเล การเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ ส่อื สารสาธารณะ เชน่ กรณอี า่ วปตั ตานี กรณเี ครอื ขา่ ยกีรออาตี กรณชี าวเลราไวย์ ศนู ยป์ ระสานงานเปน็ กลไกสำ� คญั ในการบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั เพอื่ ทอ้ งถน่ิ ในระดบั พน้ื ที่ เพอื่ สนบั สนนุ ใหโ้ ครงการวจิ ยั มคี ณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพ ดงั นน้ั ฝา่ ยวจิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่ จงึ ใหก้ ารสนบั สนนุ ศนู ยป์ ระสานงานหรอื พเ่ี ลยี้ ง โดยจัดใหม้ กี ารพฒั นาศักยภาพอยา่ งตอ่ เนื่อง งานวิจยั เพอื่ ท้องถิน่ จงึ มี การสนับสนนุ กลไกบรหิ ารจัดการในรปู แบบการสนบั สนุน 2 ระดบั คอื 1. ระดับศูนย์ประสานงาน เพ่ือการพัฒนาศักยภาพการท�ำวิจัยท่ีจ�ำเป็นส�ำหรับพ่ีเล้ียงที่เป็น คนหนนุ งานวจิ ยั และเพ่ือเป็นการเสรมิ และทบทวนกระบวนการทำ� งานและเครอื่ งมือใหม่ ๆ ให้กับพี่เล้ียงทั้งเก่าและใหม่ เช่น วิธีคิด แนวคิดต่าง ๆ ความรู้ในเชิงประเด็นในการพัฒนา ทอ้ งถน่ิ ทกั ษะการจดั ระบบขอ้ มลู การวเิ คราะหข์ อ้ มลู อยา่ งเปน็ เหตเุ ปน็ ผล เชอ่ื มโยง วเิ คราะห์ ปญั หาและปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ อยา่ งละเอยี ด ลกึ ซง้ึ และการใชข้ อ้ มลู ในการวางแผน การพัฒนาข้อเสนอโครงการ การประเมินโครงร่างงานวิจัย (proposal) การถอดบทเรียน การเขียนรายงาน โดยการเสริมศักยภาพบุคลากรหนุนวิจัย โดยใช้กรณีศึกษาปฏิบัติการ แต่ละพ้ืนทข่ี องการทำ� วิจัย มีผทู้ รงคณุ วฒุ จิ ดั ฝึกอบรมในระหวา่ งการปฏบิ ัตกิ าร (on the job training) 2. คณะท�ำงานระดับภาค เป็นการรวมตัวกันของพ่ีเลี้ยงในแต่ละภาคอย่างหลวม ๆ และการมี ผู้ประสานงานและศูนย์ประสานงานระดับภาคทั้ง 4 ภาค ในปี พ.ศ.2561-2562 เพ่ือให้ เป็นหน่วยและพ้ืนที่ในการประสานงาน แลกเปลี่ยนสถานการณ์การท�ำงานในแต่ละพ้ืนท่ี เพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน ก�ำหนดยุทธศาสตร์การท�ำงานเพื่อตอบโจทย์สถานการณ์และ บริบทในพื้นที่ และเป็นเวทีของฝ่ายและ NODE ในการติดตามงานด้านการบริหารจัดการ ในด้านการข้ึนสัญญาโครงการ และการปิดโครงการ เป็นต้น มีประเด็นในการเสริมสร้าง ศักยภาพพี่เล้ียง เช่น กระบวนการเสริมพลังข้างใน การเสริมความรู้ ด้านสถานการณ์และ การเปลี่ยนแปลงสังคมประเทศท้ังในเชิงประเด็นและในเชิงพ้ืนท่ี ความรู้ในด้านกฎหมาย นโยบายที่เก่ียวข้องกับประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่และภาค เพื่อน�ำความรู้ไป สนบั สนนุ ใหช้ มุ ชนไดแ้ ลกเปลยี่ นใหเ้ กดิ ความรเู้ ทา่ ทนั สถานการณ์ มกี ารจดั ประชมุ แลกเปลย่ี น เป็นระยะราย 6 เดือน เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ปฏิบัติงานของศูนย์ประสานงานวิจัยเพ่ือ ทอ้ งถนิ่ มที ป่ี รกึ ษาผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ มี่ บี ทบาทสำ� คญั ในการเตมิ ความรแู้ ละฝกึ ปฏบิ ตั กิ าร (coaching) ส�ำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.) 147

148 นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การงานวจิ ัย ในการท�ำงานในแต่ละภาคอย่างต่อเนื่อง มีการวางแผนการวิจัยเพื่อการพัฒนากลไกในการ บริหารจัดการงานวิจัยเพ่ือท้องถิ่นในระดับภาคเพ่ือให้เกิดการสนับสนุนงานวิจัยตอบสนอง ตอ่ ความตอ้ งการของพน้ื ท่ี และสอดคลอ้ งกบั การพฒั นาภมู ภิ าค และตดิ ตามงานมปี ระสทิ ธภิ าพ และประสิทธผิ ลเพมิ่ มากย่งิ ขน้ึ 3. การท�ำงานระดับฝ่าย องค์ประกอบการบริหารจัดการในระดับฝ่ายคือ เจ้าหน้าท่ีบริหาร โครงการและเจา้ หนา้ ทสี่ นบั สนนุ โครงการ มหี นา้ ทใ่ี นการตดิ ตามสนบั สนนุ โครงการวจิ ยั ในพน้ื ท่ี ใหบ้ รรลปุ ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล โดยรว่ มวางแผนกบั คณะทำ� งานระดบั ภาคและฝา่ ยรวม ทงั้ คณะทปี่ รกึ ษาผทู้ รงคณุ วฒุ ใิ นการกำ� หนดทศิ ทางและใหข้ อ้ เสนอแนะในการทำ� งานของฝา่ ย ยกระดบั ศนู ย์ประสานงานเป็นหน่วยจัดการความรู้อสิ ระ ในปี 2561 มกี ารปรบั เปลยี่ นเพอ่ื ยกระดบั การทำ� งานของศนู ยป์ ระสานงาน ปรบั บทบาทและ ปรับยุทธศาสตร์การท�ำงานให้มุ่งเป้าและเพ่ือสร้างผลงานวิจัยให้มีผลกระทบ (impact) ต่อสังคม มากขึ้น แต่ยังคงคุณค่าของงานวิจัยเพื่อท้องถ่ินท่ีน�ำไปสู่การเสริมสร้างพลัง (empowerment) ด้วยการเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสได้ท�ำงานวิจัยเพื่อสร้างความรู้ สร้างการเปล่ียนแปลงของ ชุมชนและเสรมิ สรา้ งความเขม้ แข็งของชมุ ชนท้องถน่ิ ศูนยป์ ระสานงานท่ีเคยสนับสนุนการทำ� งานในพ้ืนทีม่ านาน ถกู นำ� มาขยายผลและยกระดับ ด้วยการสร้างนวัตกรรมของชุมชนท้องถ่ิน สร้างตัวคูณในการขยายผลงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นผ่าน หน่วยงานภาคี และการบูรณาการกลไกการสนบั สนุนชุมชนทอ้ งถิ่นใหม้ ีความเข้มแขง็ มากขนึ้ มีการ นำ� กลยทุ ธม์ าใชห้ ลายดา้ น ไดแ้ ก่ 1) การพฒั นายกระดบั เครอื่ งมอื และระบบการบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั เพ่ือท้องถ่ินแบบใหม่ ๆ 2) การแสวงหากลไกพ่ีเลี้ยงใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนการวิจัย โดยเฉพาะ กลุ่มที่เป็น strategic partners และการท�ำงานร่วมกับหน่วยงานภาคีต่าง ๆ อย่างมีเป็นระบบ 3) การพัฒนาระบบข้อมูลเป็นฐาน 4) การขับเคล่ือนงานเชิงนโยบายและการส่ือสารสังคมใน หลากหลายลักษณะ เช่น การจัด policy forum กับหน่วยที่เกยี่ วขอ้ งกับการก�ำหนดนโยบาย หรอื การศกึ ษาแนว rapid research ในประเดน็ ที่สงั คมสนใจและสื่อสารสาธารณะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook