Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย

นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย

Published by inno vation, 2021-04-15 07:03:27

Description: นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย

Search

Read the Text Version

2. โครงการวิจยั “โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกยี่ วมะมว่ งนำ้� ดอกไม้ สที องเพอื่ การส่งออกตลาดประเทศญ่ีป่นุ โดยการขนสง่ ทางเรือ” การขนส่งมะม่วงน้�ำดอกไม้สีทองไปยังประเทศญ่ีปุ่นทางเรือมีต้นทุนต่�ำกว่าการขนส่งทาง เครื่องบินประมาณ 50% โดยการขนส่งทางเคร่อื งบินใชเ้ วลาประมาณ 3-4 วนั ในการขนสง่ จนถงึ รับสนิ คา้ ทญ่ี ่ปี นุ่ มตี ้นทุนในการขนส่งทงั้ สน้ิ 217.06 บาท/กิโลกรัม สำ� หรับการขนส่งทางเรือใชเ้ วลา ประมาณ 10-14 วนั มตี น้ ทนุ ในการขนส่งท้งั ส้นิ 92.67 บาท/กิโลกรัม ได้เทคนิควิธียืดอายุการเก็บรักษามะม่วงน้�ำดอกไม้สีทองในสภาพดัดแปลงบรรยากาศ MAP (Modified atmosphere packaging) โดยการบรรจุถงุ พลาสติก WEB (White ethylene absorbing bag) และเกบ็ รักษาทอ่ี ณุ หภูมิ 13 องศาเซลเซียส สามารถยดื อายุการเก็บรักษามะมว่ ง น้�ำดอกไมส้ ที องไดน้ าน 33 วัน มะม่วงน�้ำดอกไม้สีทองที่ส่งออกทางเรือไปยังประเทศญี่ปุ่นอยู่ในสภาพสดพร้อมจ�ำหน่าย และเป็นท่ีพงึ พอใจของผู้บรโิ ภค บริษัท WK Corporation และบริษทั พี เค สยาม จ�ำกัด แสดงความต้องการใช้เทคโนโลยีนี้ เพอ่ื ส่ังซอื้ มะม่วงน้�ำดอกไมส้ ีทองจากประเทศไทยและขนส่งทางเรือไปยังประเทศญปี่ ุน่ 3. โครงการวจิ ยั “การพฒั นาระบบมเิ ตอรอ์ จั ฉรยิ ะสำ� หรบั มอเตอร์ไซดร์ บั จา้ งเพอ่ื ตดิ ตาม สถานะและพฤตกิ รรมของผขู้ บั ขีต่ ามฐานเวลาปัจจบุ นั ” ได้พัฒนาอุปกรณ์ส�ำหรับค�ำนวณค่าโดยสารส�ำหรับมอเตอร์ไซด์รับจ้างด้วยเทคโนโลยีการ ตรวจวัดระยะทางในแบบ GPS โดยมุ่งเน้นเร่ืองความปลอดภัย ต�ำแหน่งที่ตั้ง และรูปแบบการว่ิง ระยะทาง และเวลาตามฐานเวลาจรงิ (real time) เพ่ือใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรมดา้ นราคาคา่ โดยสาร สงู สุด ระบบติดตามและการคิดค�ำนวณค่าโดยสารแบบมาตรฐานส�ำหรับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ในประเทศไทยน้ันไม่ใช่เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ แต่ได้น�ำเสนอรวมไปถึงระบบท่ีใช้ในการคิดค�ำนวณ ราคาค่าโดยสารซึ่งมุ่งเน้นไปที่มอเตอร์ไซด์รับจ้างที่สามารถตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ผ่าน อปุ กรณ์ สมารท์ โฟน ซงึ่ ในยคุ ปจั จบุ นั ยงั คงไมม่ อี ปุ กรณใ์ นรปู แบบดงั กลา่ ว และหากมกี ารใชง้ านจรงิ จะเป็นผลดีกับผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการท่ีได้รับความเป็นธรรม ปลอดภัย และลดการขัดแย้ง อกี ทงั้ ยงั สามารถสรา้ งมาตรฐานทย่ี อมรบั ไดใ้ นระดบั สากล ระบบดงั กลา่ วไดม้ กี ารศกึ ษาถงึ ผลกระทบ จากการติดต้ังทดสอบจริงรวมไปถึงสามารถน�ำไปใช้งานร่วมกับระบบขนส่งรูปแบบอ่ืน ๆ ได้อีก หลายประเภท ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวิจยั (สกว.) 249

250 นวตั กรรมการบริหารจดั การงานวจิ ยั ชุดโครงการวิจยั การบรหิ ารจัดการการท่องเที่ยว อตุ สาหกรรมการทอ่ งเทย่ี วเปน็ อตุ สาหกรรมทม่ี คี วามสำ� คญั อยา่ งยง่ิ ตอ่ ระบบเศรษฐกจิ สงั คม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดท�ำ แผนการตลาดด้านการท่องเที่ยว ประจ�ำปี 2560 โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยมีรายได้จาก การท่องเที่ยว2.89 ลา้ นล้านบาท เติบโตรอ้ ยละ 12 จากปี 2559 ซึง่ มีรายได้ 2.58 ล้านลา้ นบาท แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเท่ียวต่างชาติ 1.89 ล้านล้านบาท และรายได้จากตลาดในประเทศ 1 ลา้ นล้านบาท ซง่ึ หากเป็นไปตามเป้าหมายน้จี ะท�ำให้รายไดจ้ ากภาคการท่องเทีย่ วคิดเป็นสัดส่วน ประมาณร้อยละ 20 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพ่ิมข้ึนจากปี 2559 ซ่ึงอยู่ท่ี ประมาณร้อยละ 16 ส�ำหรับสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ มีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น รอ้ ยละ 35 จากเดิมรอ้ ยละ 33ในปี 2559 และรายได้จากต่างประเทศคดิ เปน็ สดั ส่วนร้อยละ 65 อุตสาหกรรมการท่องเท่ียวเป็นอุตสาหกรรมท่ีก่อให้เกิดธุรกิจเก่ียวเน่ืองอีกมากมาย อาทิ โรงแรมและทพ่ี กั ภตั ตาคารรา้ นอาหาร รา้ นจำ� หนา่ ยของทร่ี ะลกึ การคมนาคมขนสง่ เปน็ ตน้ ซง่ึ กอ่ ใหเ้ กดิ การคา้ และการลงทนุ การจา้ งงาน รวมทง้ั การกระจายรายไดแ้ ละความเจรญิ ไปสทู่ อ้ งถน่ิ เมอ่ื ประเทศ ประสบภาวะวกิ ฤตทางเศรษฐกจิ การทอ่ งเทย่ี วเปน็ อตุ สาหกรรมทมี่ บี ทบาทสำ� คญั ในการสรา้ งรายได้ ให้กับประเทศ สามารถช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ในเวลาท่ีรวดเร็วกว่าอุตสาหกรรมภาคการผลิต และภาคการบรกิ ารอื่น ๆ ดังน้ันรัฐบาลทุกยคุ ทุกสมยั จึงให้ความส�ำคัญกับการพัฒนาการทอ่ งเทีย่ ว เป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากเป้าหมายด้านการท่องเที่ยวในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) คือ “ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวไม่ต�่ำกว่า 3 ล้านล้านบาท และอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว (The Travel & Tourism Competitiveness Index หรือ TTCI) ไมต่ �่ำกวา่ อนั ดบั ท่ี 30” กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดท�ำแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2560-2564) เพ่ือให้ตอบสนองเจตนารมณ์ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของรัฐบาล (ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579)) แผนของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วาระพัฒนาท่ี 1 การ พัฒนาการท่องเที่ยว) ยุทธศาสตร์ประชารัฐดา้ นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และ MICE แผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) ยทุ ธศาสตรแ์ ผนการตลาดทอ่ งเทย่ี วของ การทอ่ งเทย่ี วแห่งประเทศไทย และแผนของหน่วยงานอนื่ ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง สามารถสรปุ ในภาพรวม ไดว้ า่ แผนพฒั นาการท่องเทีย่ วแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2564) มุ่งเนน้ 1) การส่งเสริมความ มั่นคง มั่งคั่ง ย่ังยืนของประเทศ 2) การเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพช้ันน�ำ 3) การน�ำรายได้และ ความเข้มแข็งสู่เศรษฐกิจฐานราก 4) การต่อยอดพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและน�ำเสนอสินค้า บริการ ด้านการทอ่ งเท่ียวทผ่ี กู โยงกับวถิ ไี ทย และ 5) การบริหารจัดการการทอ่ งเทย่ี วอยา่ งบูรณาการและ เป็นระบบ ด้วยการด�ำเนินงานที่มีประสิทธิภาพบนพ้ืนฐานความสมดุลในการท่องเท่ียวท้ังในเชิง วัฒนธรรมและสงิ่ แวดลอ้ ม

การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ชุมชน และภาคประชาชนต้ังแต่ ระดับท้องถนิ่ ประกอบด้วย 5 ยทุ ธศาสตร์ ได้แก่ 1) การพัฒนาคณุ ภาพแหล่งท่องเที่ยว สนิ ค้า และ บรกิ ารดา้ นการทอ่ งเทย่ี วใหเ้ กดิ ความสมดลุ และยง่ั ยนื 2) การพฒั นาโครงสรา้ งพนื้ ฐานและสง่ิ อำ� นวย ความสะดวกเพ่ือรองรับการขยายตัวของการท่องเท่ียว 3) การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว และสนบั สนนุ การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนในการพฒั นาการทอ่ งเทย่ี ว 4) การสรา้ งความสมดลุ ใหก้ บั การท่องเที่ยวไทยผ่านการตลาดเฉพาะกลุ่ม การส่งเสริมวิถีไทย และการสร้างความเช่ือม่ันของ นักท่องเทย่ี ว และ 5) การบรู ณาการการบรหิ ารจดั การการทอ่ งเท่ียวและการสง่ เสรมิ ความรว่ มมือ ระหวา่ งประเทศ นอกจากน้ันภายใตย้ ทุ ธศาสตร์การพัฒนาประเทศในระยะยาวในอีก 20 ปี (ยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579)) กระทรวงการท่องเทย่ี วและกีฬา ไดก้ ำ� หนดวสิ ัยทัศน์การท่องเที่ยวไทย พ.ศ. 2579 คอื “ประเทศไทยเปน็ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วคณุ ภาพชนั้ นำ� ของโลก ทเ่ี ตบิ โตอยา่ งมดี ลุ ยภาพ บนพน้ื ฐานความเปน็ ไทย เพอ่ื สง่ เสรมิ การพฒั นาเศรษฐกจิ สงั คม และกระจายรายไดส้ ปู่ ระชาชน ทุกภาคส่วนอย่างย่ังยืน” โดยมุ่งเพ่ิมค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการเป็นแหล่ง ท่องเที่ยวคุณภาพ การพัฒนาขีดความสามารถในการเเข่งขันเพ่ือเตรียมพร้อมส�ำหรับการเเข่งขันท่ี ทวีความรุนแรงข้ึน เพื่อรักษาอันดับของประเทศไทยให้ยังคงเป็นเเหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของโลก การสง่ เสรมิ ความยงั่ ยนื ทงั้ ในเชงิ วฒั นธรรมและสง่ิ แวดลอ้ มการเตบิ โตอยา่ งมดี ลุ ยภาพทงั้ ในเชงิ พน้ื ท่ี เวลา และกลุ่มนักท่องเที่ยวบนพ้ืนฐานวิถีไทย และการสร้างเสริมประสบการณ์ท้องถ่ิน เพ่ือการ กระจายรายได้เเละผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวสู่ทุกพ้ืนท่ีเเละภาคส่วนอันจะน�ำไปสู่ความย่ังยืน ของเศรษฐกิจและสังคมของชาติ ในการท่ีจะพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเท่ียวให้บรรลุเป้าหมายตามที่รัฐบาลได้ตั้งไว้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพนน้ั จำ� เปน็ ตอ้ งอาศยั ขอ้ มลู ทเ่ี ชอ่ื ถอื ได้ ถกู ตอ้ งตามหลกั วชิ าการ รวมทงั้ ไดร้ บั การยอมรบั จากทุกภาคส่วนท่ีเก่ียวข้อง ซึ่งวิธีการหนึ่งที่จะได้มาซึ่งข้อมูลเหล่าน้ัน คือ “การวิจัย” ซึ่งนับเป็น เคร่ืองมือส�ำคัญในการพัฒนาและแก้ปัญหาการด�ำเนินงานทุกสาขาและเป็นพื้นฐานส�ำคัญของ การพัฒนาประเทศ รวมท้ังเป็นเคร่ืองชี้น�ำสังคมให้เป็นไปในทิศทางท่ีถูกต้องและเหมาะสม เพ่ือเป็นการช่วยในการขับเคลื่อนนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเท่ียวของรัฐบาล ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นหน่วยงานท่ีมีภารกิจหลักท่ีส�ำคัญในการน�ำ นโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติไปปฏิบัติ รวมทั้งปฏิรูประบบการวิจัยของประเทศไปสู่ การปฏิบัติให้บรรลุผลสัมฤทธ์ิอย่างเป็นรูปธรรม ได้ตระหนักถึงความส�ำคัญของการวิจัย ด้านการท่องเที่ยว จึงได้ร่วมกับส�ำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดท�ำยุทธศาสตร์ การวจิ ยั การทอ่ งเทย่ี วแหง่ ชาตขิ นึ้ และไดม้ กี ารกำ� หนดใหก้ ารทอ่ งเทย่ี วเปน็ หนง่ึ ในกลมุ่ เรอื่ งการวจิ ยั ทม่ี ุ่งเปา้ ตอบสนองความตอ้ งการในการพัฒนาประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ัย (สกว.) 251

252 นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวจิ ยั ชดุ โครงการวจิ ยั การบรหิ ารจดั การการทอ่ งเทย่ี ว มภี ารกจิ หลกั ในการสนบั สนนุ ทนุ วจิ ยั บรหิ าร จดั การโครงการวจิ ยั พัฒนาโจทยว์ จิ ยั และตดิ ตามความกา้ วหนา้ โครงการวจิ ัยที่ไดร้ ับทุนสนับสนนุ ให้เปน็ ไปตามแผนพัฒนาการท่องเทย่ี วแหง่ ชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2564) ประเด็นเร่งด่วน และ กรอบการวิจัยด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยว รวมทั้งผลักดันผลการวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ ทง้ั ในเชงิ นโยบาย เชิงสาธารณะ เชิงพาณชิ ย์ เชิงชมุ ชนและพน้ื ท่ีและเชงิ วชิ าการ มีวตั ถุประสงคข์ อง แผนการท�ำกจิ กรรมสง่ เสริมและสนบั สนุนการวจิ ยั ดงั นี้ 1) เพ่ือบริหารจัดการแผนการท�ำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยให้สอดคล้องกับ แผนพฒั นาการทอ่ งเทย่ี วแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 2 (พ.ศ. 2560-2564) และกรอบการวจิ ยั ทไี่ ด้ กำ� หนดไว้ 6 ด้าน 2) เพื่อบริหารจัดการแผนการท�ำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยให้แล้วเสร็จตาม ระยะเวลาทก่ี ำ� หนด และไดผ้ ลการวจิ ยั ตามเปา้ หมายของแผนกจิ กรรม ตามยทุ ธศาสตร/์ กรอบการวิจัยทไ่ี ดก้ ำ� หนดไว้ 3) เพอ่ื บรหิ ารจดั การงบประมาณสำ� หรบั แผนการทำ� กจิ กรรมใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพสงู สดุ และ คุ้มค่ากบั การลงทุน 4) เพือ่ ผลกั ดนั ผลการวจิ ัยไปสู่การใชป้ ระโยชนใ์ นมิตติ ่าง ๆ ชดุ โครงการวิจัยการบริหารจัดการการท่องเทย่ี วได้กำ� หนดกรอบวิจัย 6 ดา้ น ประกอบด้วย การสรา้ งกลไกการบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั การทอ่ งเทยี่ วสกู่ ารนำ� ผลงานวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชน์ การพฒั นา ฐานทรัพยากรทางการท่องเที่ยวโดยการใช้พื้นที่เป็นตัวต้ัง การจัดการการตลาดการท่องเที่ยวบน ฐานอัตลักษณ์และพลวัตการท่องเท่ียวโลก การพัฒนาทุนมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเท่ียว สมู่ าตรฐานดา้ นคณุ ภาพ การแกป้ ญั หาการทอ่ งเทย่ี วเชงิ ประเดน็ และการเชอ่ื มโยงการทอ่ งเทย่ี วไทย กบั ภมู ภิ าคอื่น ดงั แผนผงั ภาพ กรอบการวจ� ัยโครงการวจ� ัยการบรห� ารจัดการการท‹องเทีย่ ว ยทุ ธศาสตรการทอ‹ งเทยี่ วไทย พ.ศ. 2558-2560 ยทุ ธศาสตรการวจ� ยั การท‹องเท่ยี วแห‹งชาติ กรอบว�จัยดŒานการบรห� ารจัดการการท‹องเทยี่ ว ประจำป‚ พ.ศ. 2560 กรอบงานว�จยั เพ่�อสรŒางกลไกการบรห� ารจดั การงานว�จยั กรอบว�จยั ท่ี 2กรอบวจ� ัยท่ี กรอบการวจ� ัยเพ�อ่ พฒั นาฐานทรพั ยากร ทางการท‹องเท่ียว โดยการใชŒพ�น้ ทเ่ี ปนš ตวั ตัง้ 1การทอ‹ งเท่ยี วสู‹การนำผลงานวจ� ัยไปใชŒประโยชน 3กรอบการวจ� ัยเพอ�่ จดั การตลาดการท‹องเท่ียว กรอบว�จัยที่ 4กรอบวจ� ยั ที่ กรอบการวจ� ยั เพอ่� พฒั นาทุนมนษุ ยในอตุ สาหกรรม การท‹องเทย่ี วส‹ุมาตรฐานดาŒ นคณุ ภาพ บนฐานอัตลักษณและพลวัตการทอ‹ งเทีย่ วโลก 5กรอบการวจ� ยั เพ่�อแกŒไขป˜ญหา กรอบว�จัยที่ 6กรอบว�จัยท่ี การท‹องเทย่ี วเชงิ ประเด็น กรอบการวจ� ยั เพอ�่ เชอ่ื มโยงการทอ‹ งเท่ียวไทย กนั ภูมิภาคอนื่

โดยภาพรวม ปี 2555-2561 ชุดโครงการวิจัยการบริหารจัดการการท่องเท่ียวมีแผนงาน/ โครงการวิจัย รวม 227 แผนงาน/โครงการ ใช้งบประมาณสนับสนุนรวม 648,323,685 บาท มีหน่วยงานท่ีใช้ประโยชน์งานวิจัยดังนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมการท่องเท่ียว การท่องเทยี่ วแหง่ ประเทศไทย สภาอตุ สาหกรรมท่องเที่ยวแหง่ ประเทศไทย หนว่ ยงานภาคเอกชน ภาคชมุ ชนและภาคประชาชน ตัวอยา่ งผลงานวจิ ยั 1. โครงการวิจยั “การศกึ ษาศกั ยภาพด้านการทอ่ งเทยี่ วในพน้ื ทีแ่ กง่ ผาไดและพนื้ ที่ เชื่อมโยง” ผลการศึกษานำ� ไปสู่การประชุมรว่ มระหว่างประเทศไทยและ สปป.ลาว ดังต่อไปนี้ 1) การประชมุ คณะกรรมาธกิ ารเขตแดนรว่ ม (Joint Boundary Commission หรอื JBC) ไทย-ลาว ครัง้ ท่ี 11 ณ กรงุ เทพมหานคร ในวนั ที่ 18 มกราคม 2561 ดำ� เนนิ การโดย กองเขตแดน กระทรวงการตา่ งประเทศ 2) การประชมุ คณะกรรมาธกิ ารรว่ มวา่ ดว้ ยความรว่ มมอื (Joint commission หรอื JC) ไทย-ลาว ครัง้ ที่ 21 ระหว่างวนั ท่ี 31 มกราคม-3 กมุ ภาพันธ์ 2561 ณ เมืองปากเซ แขวงจ�ำปาสกั โดยกรมเอเชียตะวนั ออก กระทรวงการตา่ งประเทศ ผลจากการศกึ ษาวจิ ยั เปน็ จดุ สรา้ งความรว่ มมอื ในการพฒั นาพรมแดนระหวา่ งประเทศ ทงั้ น้ี กระบวนการวิจัยก่อให้เกิดความร่วมมือและพัฒนาเส้นทางการท่องเท่ียวเช่ือมโยงร่วมกับ สปป. ลาว ถอื เปน็ เครือ่ งมอื ในการสรา้ งความสัมพันธอ์ ันดีระหว่างประเทศ และผอ่ นคลายความตงึ เครียด ในประเด็นปัญหาการปักหลักเขตแดน หลักท่ี 1 ระหว่างประเทศไทย และ สปป.ลาว ณ สันเขา บรเิ วณแกง่ ผาได โดยประชาชนในพืน้ ทแ่ี กง่ ผาได จงั หวัดเชยี งราย ยินยอมใหม้ กี ารปกั หลกั เขตแดน และพัฒนาพื้นท่ีบริเวณชายแดนเพ่ือส่งเสริมการท่องเท่ียว เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อความสัมพันธ์ ระหวา่ งประเทศ รวมไปถงึ ความเข้มแข็งของชมุ ชนในพน้ื ท่ใี นดา้ นเศรษฐกิจ สังคม รวมทงั้ สามารถ สรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ทัง้ สองประเทศ ทัง้ ในระดบั พนื้ ทแี่ ละภาพรวมของทัง้ สองประเทศ สำ� นักงานกองทุนสนับสนนุ การวิจยั (สกว.) 253

254 นวัตกรรมการบริหารจดั การงานวิจัย 2. โครงการวจิ ัย “การสร้างความเขม้ แขง็ ใหช้ ุมชนบนพน้ื ทสี่ ูงโดยใชก้ ารทอ่ งเที่ยว โดยชมุ ชนเปน็ เครอื่ งมือ ในเขตบรกิ ารศนู ย์การเรยี นบ้านนาโต่ อ�ำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวดั เชยี งราย” กระบวนการของแผนงานวิจัยนี้สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนบนพื้นท่ีสูงท่ีขาดโอกาส ในหลายๆ ด้าน โดยใช้การท่องเท่ียวโดยชุมชนเป็นเคร่ืองมือบริหารจัดการทรัพยากรในชุมชนท่ี อุดมสมบูรณ์ให้เกิดเป็นรายได้เสริม ซ่ึงใช้ตัวแบบการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่เกิดจากกระบวนการวิจัยตั้งแต่ปี 2555 โดยเปิดโอกาสให้คนในชุมชนและผู้มีส่วนเก่ียวข้อง มีส่วนร่วมในทุกกระบวนการและทุกกิจกรรม ต้ังแต่ร่วมคิด วางแผน ตัดสินใจ ท�ำ และรับผล กระบวนการดังกล่าวท�ำให้ชุมชนเกิดความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของและความตระหนักในการพึ่งพา และแกไ้ ขปญั หาดว้ ยตนเอง โดยมคี วามรจู้ ากนกั วชิ าการเขา้ ไปชว่ ยเสรมิ และเตมิ เตม็ ใหก้ ระบวนการ การพฒั นาในพนื้ ทที่ เี่ นน้ ใหเ้ กดิ ความสมดลุ ของเศรษฐกจิ สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม ซงึ่ เปน็ องคป์ ระกอบ ของการพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื ทำ� ใหค้ นในชมุ ชนสามารถดำ� รงอยใู่ นพนื้ ทไี่ ดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ นอกจากนน้ั กระบวนการวิจัยของแผนงานน้ียังสามารถน�ำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาให้แก่ชุมชนอ่ืน ๆ บน พน้ื ทีส่ ูงได้ด้วย ชุดโครงการวจิ ยั ยางพารา ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักท่ีท�ำรายได้อย่างมากมายเข้าสู่ประเทศไทยและภูมิภาค เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ โดยไทยมปี รมิ าณการสง่ ออกยางพาราเป็นอนั ดับ 1 ของโลกมากว่า 20 ปี จากยุทธศาสตร์ของประเทศ 20 ปี และไทยแลนด์ 4.0 ท�ำให้มีการกำ� หนดยทุ ธศาสตรป์ ระเทศไทย ในการสรา้ งขดี ความสามารถในการแข่งขนั (Growth & Competitiveness) เพ่ือการหลดุ พน้ จาก การเป็นประเทศรายได้ปานกลาง โดยกลยุทธ์ส�ำคัญ คือ การสร้างมูลค่าสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ พืชเศรษฐกิจหลักอย่างยางพารา เพราะเป็นแหล่งสร้างรายได้หลักและการจ้างงานขนาดใหญ่ของ ประเทศดว้ ยนโยบายการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวจิ ยั และนวตั กรรมในการสรา้ งมลู ค่าเพ่ิม จากการสง่ ออกวตั ถดุ บิ และผลติ ภณั ฑย์ างพาราทสี่ รา้ งรายไดป้ ลี ะหลายแสนลา้ นบาท เกดิ การลงทนุ ในอุตสาหกรรมยางพารา เกดิ ระบบเศรษฐกจิ ขนาดใหญห่ มุนเวียนในประเทศ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเป็นเพียงผู้ผลิตวัตถุดิบยางพาราอันดับหน่ึงของโลกที่ไม่ สามารถก�ำหนดราคาขายได้ ต้องพ่ึงพาตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ที่ผ่านมาราคายางพารามีความ ผนั ผวนไมม่ เี สถยี รภาพ สง่ ผลกระทบตอ่ ทงั้ เกษตรกรและผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งในอตุ สาหกรรมตน้ นำ้� ยางพารา เขา้ สวู่ ิกฤต ราคาผลผลติ ตน้ นำ�้ ตกตำ่� โดยเร่ิมลดตำ่� ลงตง้ั แตป่ ี 2546 เกษตรกรต้องขายยางในราคา ตำ่� กวา่ ทนุ ทำ� ใหร้ ายไดไ้ มพ่ อตอ่ รายจา่ ยในการดำ� รงชพี และเกดิ ปญั หาตามมามากมาย บางคนตอ้ งกหู้ น้ี ยมื สนิ สำ� หรบั ราคายางพาราไดต้ กตำ่� ถงึ ขดี สดุ ในปี 2557 ราคายางรมควนั ชนั้ 3 ตลาดกลางหาดใหญ่

อยทู่ รี่ าคากโิ ลกรมั ละ 47 บาท และมแี นวโนม้ ลดลงอกี อกี ทงั้ ประเทศเพอ่ื นบา้ นยงั เพม่ิ พนื้ ทป่ี ลกู ยาง มากขึ้น การแข่งขันด้านราคาจึงรุนแรงข้ึน ประกอบกับบางอุตสาหกรรมพยายามปรับเปลี่ยนไปใช้ ยางสังเคราะห์ทดแทน เนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนและคุณภาพการผลิตได้ง่ายกว่า อีกทั้งยัง ขาดมาตรการการกระตุ้นให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์ยางพาราในประเทศและการแสวงหาประเทศ คู่ค้าในตา่ งประเทศ ประเทศไทยจำ� เป็นตอ้ งหนจี ากการเปน็ ประเทศผผู้ ลิตวตั ถุดบิ ยางพารา ให้เปน็ ประเทศผผู้ ลติ ผลติ ภณั ฑย์ างพารามลู คา่ สงู แทน ดว้ ยงานวจิ ยั นวตั กรรม การพฒั นากระบวนการผลติ มาตรฐานสินคา้ ท่มี คี ุณภาพเป็นทย่ี อมรบั ในระดบั สากล คอบช. ไดม้ อบหมายให้ สำ� นักงานกองทนุ สนับสนนุ การวิจัย (สกว.) เป็นหน่วยงานบรหิ าร จดั การทนุ วจิ ยั มงุ่ เปา้ ตอบสนองความตอ้ งการในการพฒั นาประเทศ: กลมุ่ เรอ่ื งยางพารา ตงั้ แตป่ ี 2555 เป็นตน้ มา โดยมยี ทุ ธศาสตร์การวิจยั ยางพารา พ.ศ. 2555-2559 และยทุ ธศาสตรก์ ารวจิ ัยยางพารา พ.ศ. 2560-2564 เปน็ กรอบกำ� หนดทิศทางการสนบั สนุนทนุ วิจัยในแตล่ ะปี ส�ำนักประสานงานชุดโครงการยางพารา จัดท�ำแผนการท�ำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุน การวจิ ยั โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ ดังน้ี 1) เพอื่ พฒั นาและสนบั สนนุ การวจิ ยั และการสรา้ งนวตั กรรมทตี่ อบสนองความตอ้ งการเพมิ่ ความสามารถในการแข่งขนั และสรา้ งมลู ค่าเพมิ่ ใหก้ ับอุตสาหกรรมยางพาราทงั้ ระบบ 2) เพอื่ พฒั นาและสนบั สนนุ การวจิ ยั และการสรา้ งนวตั กรรมทต่ี อบสนองความตอ้ งการเพม่ิ ความสามารถในการแข่งขันและสร้างมลู คา่ เพม่ิ ให้กบั อุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) 255

256 นวตั กรรมการบริหารจดั การงานวิจยั 3) เพอื่ พฒั นาเทคโนโลยกี ารผลติ คณุ ภาพ การตลาด และเพอ่ื เพม่ิ มลู คา่ ผลติ ภณั ฑท์ ส่ี ามารถ ยกระดับกล่มุ วิสาหกจิ ชุมชนหรอื สหกรณ์ 4) เพ่ือพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราและเพ่ิมคุณภาพชีวิตประชาชนเพื่อศึกษาและจัดท�ำ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายส�ำหรับภาครัฐหรือผู้ท่ีเกี่ยวข้องสามารถน�ำไปใช้ประกอบการ ตดั สนิ ใจกำ� หนดนโยบายหรอื มาตรการตา่ งๆ ทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ อตุ สาหกรรมยางพารา ทัง้ ระบบ ชุดโครงการวจิ ยั กำ� หนดกรอบการวิจยั 4 ดา้ น ประกอบดว้ ย การวจิ ัยเชิงนโยบายเพื่อศกึ ษา แนวทาง/ มาตรการ/ นโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศท้ังระบบ การวิจยั และ พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตท่ีมีประสิทธิภาพเพ่ือให้ได้ยางพาราและไม้ยางพาราที่มีคุณภาพ (ต้นน�้ำ และกลางน�้ำ) การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ท่ีมีศักยภาพทางการตลาด (อุตสาหกรรมปลายน�้ำ) และการวจิ ัยมาตรฐานยางดิบ ผลิตภัณฑ์ยาง และไม้ยางพารา เกิด cluster งานวิจยั ยางพารา 8 กลุม่ เร่อื ง ดังแผนผงั ภาพ ในภาพรวม ปี 2555-2561 มีจ�ำนวน ตนŒ นำ้ แผนงาน/ โครงการ รวม 223 แผนงาน/โครงการ ในอุตสาหกรรมยาง ใช้งบประมาณสนบั สนนุ ทุน 350,339,531 บาท หน่วยงานท่ีใช้ประโยชน์งานวจิ ัย ได้แก่ กรมวชิ า กลางนำ้ ผลติ ภัณฑยาง การเกษตร การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ในอุตสาหกรรมยาง สำหรบั วส� าหกจิ ชุมชน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ส�ำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และ อตุ สาหกรรม วสั ดุอปุ กรณ ผลติ ภัณฑย าง สมาคมน้�ำยางข้น ท่ีส�ำคัญเกิดกลุ่มงานด้านยาง ไมŒยางพารา ทางการแพทย ทางวศ� วกรรม ครบวงจร ทั้งตน้ น้�ำ กลางน้�ำและปลายนำ้� อุตสาหกรรม มาตรฐานยางพารา ยางลอŒ แตล‹ ะผลิตภัณฑย าง คลัสเตอรง์ านวิจัยยางพารา ตัวอยา่ งผลงานวิจยั 1. โครงการวจิ ยั “วสั ดเุ ทอร์โมพลาสตกิ จากยางธรรมชาตสิ ำ� หรบั ทาเครอื่ งหมายบนผวิ ทาง” วัสดุเทอร์โมพลาสติกจากยางธรรมชาติท่ีเตรียมได้มีสมบัติผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน มอก. 542-2549 และมีต้นทุนในการแปรรูปต�่ำ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะสามารถน�ำยางธรรมชาติ มาผสมเพ่ือเตรียมเป็นวัสดุเทอร์โมพลาสติกส�ำหรับทาเคร่ืองหมายบนผิวทางที่สามารถน�ำไปใช้ งานได้จริง หากมีการศึกษาตอ่ ไปในระดบั สเกลทใี่ หญ่ข้นึ

2. โครงการ “การวิจัยเพื่อพัฒนามาตรฐานผลิตภณั ฑย์ างไทย” ไดจ้ ดั ทำ� ร่างมาตรฐานฉบับ Final Draft International Standard (FDIS) และฉบับพรอ้ ม ประกาศใช้ (ISO) ส�ำหรับถุงมือยางที่ใช้ในงานบ้านและเส้นด้ายยาง โดยอ้างอิงตาม มอก. 2476-2552 (ถุงมอื ยางทีใ่ ชใ้ นงานบา้ น) และ มอก. 2556-2554 (เส้นด้ายยาง) ของประเทศไทย ประกอบด้วย 1. ISO/FDIS 20057 Rubber household glove-General requirements and test methods 2. ISO/FDIS 20058 General Purpose Rubber Threads-Specification 3. SO/IS 2321 Rubber Threads-Methods of Tests ISO ได้มีการน�ำผลงานการวิจยั ไปใชป้ ระโยชนแ์ ลว้ โดยไดป้ ระกาศใชม้ าตรฐานท้งั 3 ฉบับ ในปี 2560 นอกจากนี้ ทางส�ำนกั งานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อตุ สาหกรรมก�ำลังปรบั ปรุงมาตรฐาน ผลติ ภณั ฑ์อตุ สาหกรรม (มอก.) ของประเทศไทยให้สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานผลิตภณั ฑถ์ ุงมอื ยาง ท่ีใช้ในงานบ้านและเส้นด้ายยางและวิธีทดสอบเส้นด้ายยางระดับระหว่างประเทศ (ISO) และ ผลกั ดนั ใหเ้ ปน็ มาตรฐานผลติ ภณั ฑท์ มี่ คี วามสอดคลอ้ งกนั ในระดบั อาเซยี น (Harmonization of standards for rubber-based products) 3. โครงการ “ชุดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพอื่ การรักษาและการเรียนการสอนแพทย์ จากยางธรรมชาติ” พฒั นาเฝอื กออ่ นประคองกนั ขอ้ เทา้ ตกในผปู้ ว่ ยอมั พาตจากยางธรรมชาตชิ นดิ ขาสนั้ (ตำ�่ กวา่ เข่าและยาวไปจนถึงปลายเท้า) โดยเฝือกยางพาราชนิดแข็ง (คัสต้ิง ทั้งภายนอกและภายใน) มคี วามเหมาะสมทจี่ ะนำ� มาใชก้ บั ผปู้ ว่ ย เพราะหลงั จากใสเ่ ฝอื กประคองเทา้ อาการปวดจะคอ่ ยๆ ลดลง อีกทั้งมีอาการระคายเคืองเฉพาะช่วงแรกที่ใส่เผือกเล็กน้อย และอาการระคายเคืองจะ คอ่ ย ๆ หายไป ผู้ป่วยที่ใช้งานมคี วามพงึ พอใจในการใช้ จดั ทำ� หนุ่ จำ� ลองตน้ แบบจากยางธรรมชาติ โดยมกี ารบรรจถุ งั นำ�้ ทดแทนของเหลวในชอ่ งปอด และติดตั้งระบบสัญญาณเตือนการท�ำหัตถการฉีดยา รวมถึงการติดต้ังระบบการเตือนเม่ือท�ำ หัตถการผดิ ต�ำแหนง่ โดยใชร้ ะบบการตรวจสัญญาณและเตอื นด้วยเสยี ง ระบบดังกลา่ วสามารถ น�ำไปเปน็ ตน้ แบบในการฝึกทำ� หตั ถการ ทดแทนการส่งั ซื้อหนุ่ จำ� ลองจากไฟเบอร์กลาสทต่ี ้องนำ� เขา้ จากตา่ งประเทศได้ โดยไดร้ บั คะแนนความพงึ พอใจในการใชง้ านจากบคุ ลากรทางการแพทย์ ในระดบั สูงกว่าการใช้งานของห่นุ ไฟเบอรก์ ลาสในทกุ ๆ ดา้ น สำ� นักงานกองทนุ สนบั สนุนการวิจยั (สกว.) 257

258 นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจัย ชุดโครงการวิจยั อ้อยและนำ้� ตาล อุตสาหกรรมอ้อยและน้�ำตาลเป็นอุตสาหกรรมเกษตรท่ีมีความส�ำคัญต่อเศรษฐกิจของ ประเทศไทย สร้างรายไดใ้ ห้กับประชาชนชาวไทยมากกวา่ 2 แสนครัวเรอื น และเป็นอตุ สาหกรรม ต้นทางท่ีสร้างอุตสาหกรรมต่อเน่ืองหลายอย่าง เช่น อุตสาหกรรมเอทานอล อุตสาหกรรมเย่ือ อุตสาหกรรมไม้อัดและเฟอร์นเิ จอร์ อุตสาหกรรมพลาสตกิ ชวี ภาพ เปน็ ตน้ งานวิจัยด้านอ้อยและน�้ำตาลด้านการพัฒนาด้านเทคโนโลยีการผลิตอ้อยและน้�ำตาล และ วิทยาการการจัดการ มีมายาวนานกว่า 30 ปี จุดอ่อนท่ีเป็นอุปสรรคใหญ่ของการพัฒนางานวิจัย ด้านอ้อยและน�้ำตาลของไทยมาจากขาดองค์กรหลักในการด�ำเนินการ ขาดยุทธศาสตร์งานวิจัย ขาดการบูรณาการระหวา่ งองค์กรตา่ ง ๆ ขาดนักวชิ าการและนกั วจิ ัยร่นุ ใหม่ และขาดการสนับสนนุ งบประมาณอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะในปี 2559 ประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน จึงต้องมีการพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้�ำตาลเพื่อรักษาต�ำแหน่งผู้น�ำอุตสาหกรรมน�้ำตาลใน ภมู ภิ าคอาเซยี น เพม่ิ ขดี ความสามารถเพอื่ ใหท้ ดั เทยี มประเทศผผู้ ลติ สำ� คญั ในระดบั โลกอยา่ ง บราซลิ อนิ เดยี และจนี สง่ เสรมิ และพฒั นาประสทิ ธภิ าพการผลติ ทง้ั ทางดา้ นการผลติ และเพาะปลกู ออ้ ยในไร่ และการผลิตน้�ำตาลทรายในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ อันจะนำ� ไปสูก่ ารพัฒนาอย่างยง่ั ยนื ของสังคมเกษตรกรชาวไร่ออ้ ยและอตุ สาหกรรมตอ่ ไป โครงการวิจัยด้านอ้อยและน้�ำตาลมุ่งเป้าตอบสนองความต้องการในการพัฒนาประเทศ ตามเป้าประสงค์ คอบช. โดยมุง่ หวงั ใหก้ ารวจิ ัยเป็นไปอย่างต่อเน่ือง และใชป้ ระโยชน์ในการพัฒนา อตุ สาหกรรมออ้ ยและนำ้� ตาลทรายของประเทศไทยอยา่ งสงู สดุ วตั ถปุ ระสงคข์ องแผนการทำ� กจิ กรรม ส่งเสรมิ และสนบั สนุนการวจิ ัย มีดงั น้ี 1) เพอ่ื บรหิ ารจดั การแผนการทำ� กจิ กรรมสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ การวจิ ยั อตุ สาหกรรมออ้ ย และน�ำ้ ตาล 2) เพื่อบริหารจัดการแผนการท�ำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยให้แล้วเสร็จตาม ระยะเวลาทกี่ ำ� หนด และไดผ้ ลการวจิ ยั ตามเปา้ หมายของแผนกจิ กรรม ตามยทุ ธศาสตร/์ กรอบการวจิ ัยทก่ี ำ� หนด 3) เพอ่ื บรหิ ารจดั การงบประมาณสำ� หรบั แผนการทำ� กจิ กรรมใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพสงู สดุ และ คุม้ ค่ากับการลงทุน 4) เพอื่ ผลกั ดันงานวจิ ัยทมี่ ีศกั ยภาพสู่การนำ� ไปใช้ประโยชน์ การด�ำเนินงาน มีการจัดแบ่งกรอบงานวิจัยตามกลุ่มเร่ือง (คลัสเตอร์) 6 กลุ่มเร่ือง ได้แก่ กลมุ่ โรคใบขาว กลมุ่ การปรบั ปรงุ พนั ธอ์ุ อ้ ย กลมุ่ ผลพลอยไดแ้ ละกระบวนการผลติ กลมุ่ งานวเิ คราะห์ เศรษฐศาสตร์ กลุม่ เครอ่ื งจกั รกล และกลมุ่ แผนทด่ี นิ ทกุ กลุม่ จะมกี รอบวจิ ยั กำ� กบั ดงั แผนผังภาพ

คลสั เตอรง์ านวจิ ัยโดยการวจิ ยั ออ้ ยและนำ้� ตาล แผนที่ดนิ โรคใบขาว กรอบ 1 กรอบ 1 01 การเพ�มประสิทธภิ าพในการผลติ การเพม� ประสิทธิภาพในการผลติ และเกบ็ เกีย่ วอŒอยโดยใชŒเทคโลยี และเก็บเกยี่ วอŒอยโดยใชเŒ ทคโลยี การปรับปรงุ พันธอŒอย กรอบ 1 01 การเพ�มประสิทธิภาพในการผลิต และเก็บเกย่ี วออŒ ยโดยใชŒเทคโลยี เคร�่องจักรกล 03 คงลาสันเวต�จอัยร 01 กรอบ 3 การว�จยั และพัฒนาเครอ่� งมือจักรกล ผกรละพบลวนอกยไาดรแŒผลละิต ทางการเกษตรอยา‹ งมีประสิทธิภาพ 02 04 กรอบ 4 เหมาะสมกับการจดั การดนิ และ แปลงปลูกอŒอย กระบวนการผลิตน้ำตาลและ การสราŒ งผลิตภณั ฑม ลู คา‹ เพ�ม การวเ� คราะหเ ศรษฐศาสตร กรอบ 2 การศึกษาวจ� ยั ทางนโนบายและเศรษฐศาสตร ของอุตสาหกรรมอŒอยและนำ้ ตาล ในภาพรวม ปี 2556-2561 มีแผนงาน/โครงการรวม 137 แผนงาน/โครงการ ใช้งบ สนับสนุน 343,732,430 บาท หนว่ ยงานทใ่ี ชป้ ระโยชน์ ไดแ้ ก่ เกษตรกรชาวไรอ่ อ้ ย โรงงานนำ�้ ตาล กรมวชิ าการเกษตร ส�ำนกั งานคณะกรรมการออ้ ยและน�้ำตาลทราย (สอน.) ตัวอยา่ งผลงานวิจยั 1. โครงการวิจัย “การผลิตท่อนพันธุ์อ้อยปลอดโรคใบขาวแบบประณีตแนวใหม่ในสภาพ โรงเรอื นอนบุ าลและแปลงปลกู ” ได้ออกแบบเครื่องแช่ท่อนพันธุ์อ้อย เพื่อท�ำการผลิตกล้าพันธุ์อ้อยปลอดโรคใบขาว โดยวิธี Hot tetracycline treatment พบว่ากล้าพันธ์อุ ้อยทผ่ี ่านการแชด่ ้วยวิธีดงั กล่าวทคี่ วามเขม้ ขน้ สาร 500 ppm อณุ หภูมิ 54 °C 30 นาที มีการเจริญเติบโตที่ดีกวา่ ออ้ ยทไ่ี ม่ผา่ นการแชท่ อ่ นพนั ธุ์ และ เมอ่ื นำ� กลา้ พนั ธอ์ุ อ้ ยดงั กลา่ ว มาทดสอบปลกู ดว้ ยระบบปลกู แบบประณตี แนวใหม่ (NIP) รว่ มกบั สาร ปอ้ งกนั การกำ� จัดแมลงพาหะ และใสป่ ยุ๋ ที่มคี วามเหมาะสมกับพน้ื ที่ พบว่าแมลงพาหะโรคใบขาวใน แปลงทดลองมีปรมิ าณน้อยกว่าเม่ือเทยี บกบั ชดุ ควบคุม มกี ารถ่ายทอดเทคโนโลยีใหแ้ กเ่ กษตรกรร่วมกับโรงงานนำ�้ ตาลวังขนาย (มหาวัง) ในการผลติ กล้าพนั ธ์อุ ้อยปลอดโรคใบขาวโดยวธิ ี Hot tetracycline treatment เพ่อื ลดการเกดิ โรคใบขาว ลด จำ� นวนทอ่ นพนั ธป์ุ ลกู และลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการลงทนุ กำ� จดั ศตั รพู ชื ชว่ ยใหเ้ กษตรกรไดร้ บั ผลกำ� ไรเพม่ิ ขน้ึ จากการผลิตออ้ ยท่มี คี ุณภาพและมปี รมิ าณเพมิ่ สูงข้นึ ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวจิ ยั (สกว.) 259

260 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ัย 2. โครงการวิจัย “การเพิม่ ประสทิ ธิภาพรถตดั อ้อยล�ำ” การเพิ่มประสิทธิภาพรถตัดอ้อยล�ำเป็นเทคโนโลยีการตัดอ้อยสด มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาการ ขาดแคลนแรงงานตัดอ้อยพันธุ์และปัญหาการเผาอ้อยของเกษตรกร ซึ่งสามารถตัดอ้อยพันธุ์ได้ 60 ตัน/วัน ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการตัดอ้อยพันธุ์ได้ 60 คน/วัน เทียบเท่าคนตัด ลดค่าแรงจ้างตัดอ้อยพันธุ์ ได้ 3,000 บาท/ไร่ มีการน�ำเทคโนโลยีดังกล่าวไปทดสอบใช้ในพ้ืนท่ี อ�ำเภอเมือง อ�ำเภอกุดรัง อ�ำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม และสมาคมชาวไร่อ้อยจังหวัด มหาสารคาม ทีม่ กั ประสบปญั หาการขาดแคลนแรงงานและต้นทุนการผลิตท่ีสงู ชุดโครงการวิจัยวิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) วสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises) หรอื SME เป็น ความสำ� คญั ในการพฒั นาเศรษฐกจิ ทวั่ ทกุ มมุ โลก ประเทศไทยถอื เปน็ เสน้ เลอื ดใหญใ่ นการขบั เคลอื่ น เศรษฐกจิ ของประเทศใหเ้ ตบิ โตอยา่ งมาก การดำ� เนนิ งานของ SME มกี ารบรหิ ารจดั การทไ่ี มซ่ บั ซอ้ น เมอื่ เทยี บกบั กจิ การขนาดใหญ่ สง่ ผลใหก้ จิ การ SME มคี วามคลอ่ งตวั ในการบรหิ ารจดั การธรุ กจิ และ สามารถปรบั ตัวเข้ากบั สถานการณ์ทว่ั ไปไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และด้วยบทบาทของ SME ทมี่ ีความส�ำคัญ ตอ่ ระบบเศรษฐกจิ ในหลาย ๆ ดา้ น อาทิ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นการจา้ งงาน การสรา้ งงาน เปน็ จดุ กำ� เนดิ ของผู้ประกอบการรายใหม่ สร้างรายได้ เป็นตน้ ปญั หาในระบบ SME ของไทยขาดการพฒั นาในเชงิ การแขง่ ขนั ทง้ั ดา้ นผลประกอบการ การตลาด ระบบการจัดการ แหลง่ เงนิ ทุน การพฒั นาผลติ ภัณฑ์และบริการ รวมถงึ การพัฒนาทกั ษะบคุ ลากร โดยเฉพาะในชว่ งทมี่ วี กิ ฤตการณท์ างเศรษฐกจิ หรอื ในยคุ ทม่ี กี ารเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ในปจั จบุ นั ยิ่งมีผลกระทบต่อการดำ� เนินงานของ SME เป็นอย่างมาก หากผู้ประกอบการปรับตัวไม่เทา่ ทนั กบั ยคุ สมยั ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป อาจไมส่ ามารถแขง่ ขนั ได้ การเพมิ่ ศกั ยภาพและยกระดบั ขดี ความสามารถใน การแขง่ ขนั ของ SME ดว้ ยงานวจิ ยั และการถา่ ยทอดเทคโนโลยที ไ่ี ดจ้ ากงานวจิ ยั เพอื่ สรา้ งมาตรฐาน คณุ ภาพ ความปลอดภยั ในสนิ คา้ ตลอดจนความยง่ั ยนื ทางธรุ กจิ จงึ เปน็ แนวทางหนง่ึ ทภี่ าครฐั สนบั สนนุ อย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะงานวิจัยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและการบริการให้ได้มาตรฐาน ควบคู่กับคุณภาพและความปลอดภัย รวมถึงพัฒนาแนวคิดนวัตกรรมเพ่ือสร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับ ตวั สนิ คา้ และตอบสนองความตอ้ งการ และความหลากหลายของผบู้ รโิ ภคใหส้ ามารถไดร้ บั ประโยชน์ สงู สุด

วตั ถปุ ระสงค์ของแผนการท�ำกิจกรรมสง่ เสริมและสนับสนนุ การวิจัยประกอบด้วย 1) เพอ่ื ใหเ้ กดิ แนวทางในการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการดำ� เนนิ งานของผปู้ ระกอบการวสิ าหกจิ ชุมชน และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดยอม (SME) ให้สามารถด�ำเนินงานได้เอง อยา่ งย่ังยืน 2) เพ่ือให้มีกลไกในการสนับสนุนการด�ำเนินงานของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน และ วสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ ม (SME) ทสี่ ามารถขยายสแู่ นวทางในการสรา้ งพนั ธมติ ร และเครอื ขา่ ย รวมถึงภาคสว่ นต่างๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง 3) เพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์ โดยมุ่งเน้นกลุ่มอัญมณีและ เคร่ืองประดับเซรามิก ส่ิงทอ และผลิตภัณฑ์ชุมชนอ่ืนๆ เพื่อเพ่ิมศักยภาพของงานวิจัย ดว้ ยการพฒั นากระบวนการถา่ ยทอดเทคโนโลยหี รอื องคค์ วามรทู้ ที่ รงประสทิ ธภิ าพใหเ้ กดิ ขนึ้ ชุดโครงการวิจัยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด�ำเนินการตามกรอบวิจัย 3 ด้าน ได้แก่ การพฒั นาอญั มณแี ละเครอ่ื งประดบั การพฒั นาอตุ สาหกรรมเซรามกิ ชมุ ชนและสงิ่ ทอ และการพฒั นา นโยบาย เทคโนโลยี ภมู ิปญั ญาเพือ่ สนับสนุน SME ทั้งระบบ ดังแผนผังภาพ กรอบท่ี 1 กรอบว�จัย กรอบที่ 2 การพฒั นาอญั มณีและเคร�่องประดับ ป‚งบประมาณ การพฒั นาอุตสาหกรรม • นครอญั มณี เซรามกิ ชุมชนและส�งิ ทอ • พฒั นาอุตสาหกรรมเครอ�่ งเงน� 2561 • เซรามิกชุมชน • ส�ิงทอ และโลหะมคี า‹ อื่น ๆ กรอบที่ 3 การพัฒนานโยบายเทคโนโลยี ภูมิป˜ญญา เพ่อ� สนับสนนุ SME ทั้งระบบ • วจ� ยั เชงิ นโยบาย กฎระเบยี บ มาตรฐาน และการตลาด • การพัฒนาเทคโนโลยีการผลติ เทคโนโลยสี ะอาด และเคร่อ� งจกั ร เครอ่� งมือ เพอ่� ตอบสนอง SME • ผลติ ภัณฑชมุ ชนจากภมู ปิ ˜ญญาไทย กรอบการวจิ ัยชดุ โครงการวิจัยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดยอ่ ม ในปี 2557-2561 มีแผนงาน/ โครงการรวม 162 แผนงาน/โครงการ ใช้เงินสนับสนุน 249,500,000 บาท มีผู้ใช้ประโยชน์งานวิจัยดังน้ี ส�ำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและ พัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมส่ิงทอ ส�ำนกั งานพฒั นาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแห่งชาติ สมาคมเซรามกิ ส์ สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ัย (สกว.) 261

262 นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวจิ ัย ตวั อย่างผลงานวจิ ัย 1. โครงการวิจัย “การพัฒนากระบวนการผลิตปลาร้าเพ่ือเพิ่มอัตราการผลิตและ สรา้ งอตั ลักษณ์ของผลิตภณั ฑ”์ • พฒั นาเทคโนโลยกี ารผลติ ปลารา้ ดว้ ยการเรง่ หมกั ดว้ ยกลา้ เชอ้ื สำ� หรบั ใชเ้ พมิ่ ประสทิ ธภิ าพ ของกระบวนการผลติ ปลารา้ ใหส้ ามารถผลติ ไดเ้ รว็ ขน้ึ โดยผปู้ ระกอบการสามารถนำ� ไป • ใชร้ ่วมกับกระบวนการผลิตแบบดัง้ เดมิ ได้โดยไมต่ ้องเพ่ิมพ้นื ทีห่ รอื เครอ่ื งมือใด ๆ เทคโนโลยีการผลิตหัวเชื้อปลาร้าใหม่ต้นทุนต่�ำ ส�ำหรับผลิตกล้าเช้ือปลาร้าพร้อมใช้ • ส�ำหรับหมักปลาร้า สร้างอัตลักษณ์ตามรูปแบบการผลิตในแต่ละพ้ืนท่ี สามารถลดระยะเวลาในการหมัก •• ปลาร้าใหส้ นั้ ลงได้อยา่ งนอ้ ยร้อยละ 50 ได้สทิ ธบิ ตั รการผลิตกล้าเชือ้ และกรรมวิธีกระบวนการหมัก ได้ตน้ แบบกล้าเชอื้ ปลาร้าพร้อมใช้ 3 รูปแบบ พร้อมคู่มอื การผลิตปลารา้ จากกล้าเชอื้ • ชีวภาพ ทีพ่ ฒั นาข้ึนสำ� หรับผ้ปู ระกอบการ ผลติ ภณั ฑป์ ลารา้ ผงและปลารา้ ฟทู รงเครอื่ งตน้ แบบทผ่ี ลติ จากปลารา้ หมกั จากกลา้ เชอ้ื ชวี ภาพ โดยกลมุ่ วสิ าหกจิ ชมุ ชน กลมุ่ แมบ่ า้ นเกษตรกรทา่ ตมุ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั อดุ รธานี น�ำไปผลิตเปน็ ผลติ ภัณฑส์ �ำหรบั จ�ำหนา่ ย ทำ� ให้เกิดรายไดเ้ พ่ิมไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 3 2. โครงการวิจัย “การพัฒนาโรงงานต้นแบบการผลิตแผ่นยางปูพื้นส�ำหรับกลุ่ม วิสาหกิจชมุ ชน” • ได้ผลิตภัณฑ์แผ่นยางปูพื้นท่ีมีสมบัติผ่านตามมาตรฐาน มอก.แผ่นยางปูพ้ืน (มอก. • 2377-2559) ซงึ่ มรี ปู แบบ สสี นั ทเ่ี หมาะกบั การใชง้ านจรงิ และแขง่ ขนั ไดใ้ นเชงิ พาณชิ ย์ ผลติ ภณั ฑแ์ ผน่ ยางปพู น้ื ทพี่ ฒั นาไดส้ ามารถสรา้ งมลู คา่ เพม่ิ ประมาณ 3-4 เทา่ เมอื่ เทยี บ • กับการขายในรูปของยางพาราดบิ ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตให้กับวิสาหกิจชุมชนอุตสาหกรรมแปรรูป ผลติ ภณั ฑย์ างพารา อ�ำเภอวงั จนั ทร์ จงั หวัดระยอง โดยแผ่นยางปูพืน้ มสี มบัติตา่ ง ๆ ท่ีดีกว่าแผ่นยางปูพ้ืนของกลุ่มวิสาหกิจท่ีเคยผลิตอยู่เดิม และยังสามารถลดต้นทุน • วัตถดุ บิ ลงไดอ้ กี ประมาณรอ้ ยละ 40 มกี ารตดิ ตง้ั ผลติ ภณั ฑแ์ ผน่ ยางปพู น้ื ในโรงพยาบาลวงั จนั ทร์ อำ� เภอวงั จนั ทร์ จงั หวดั ระยอง

ความร่วมมอื จากหน่วยงาน/ องคก์ รหลักของประเทศ ในช่วงปี 2555-2556 ที่ฝ่ายการวิจัยมุ่งเป้าเร่ิมบริหารจัดการทุนวิจัยประเภทนี้ มีหลาย หน่วยงานยังเกิดความลังเล เพราะติดอยู่กับความเข้าใจเดิม ๆ ที่ว่า “งานวิจัยคืองานวิชาการ” นักวิจัยเองก็มุ่งมั่นด�ำเนินการเพื่อให้ได้ค�ำตอบ และมีรายงานผลงานทางวิชาการเท่านั้น แต่ด้วย วสิ ยั ทศั นแ์ ละกลยทุ ธก์ ารบรหิ ารจดั การของ ดร.จนั ทรวภิ า ธนะโสภณ ผอู้ ำ� นวยการฝา่ ยอตุ สาหกรรม ในขณะนนั้ ฝา่ ยไดต้ งั้ คณะผทู้ รงคณุ วฒุ กิ ำ� กบั ดแู ลงานวจิ ยั ประกอบดว้ ยผแู้ ทนของหนว่ ยงานภาครฐั (ผู้ก�ำหนดนโยบาย ผู้น�ำนโยบายไปใช้ปฏิบัติ) หน่วยงานภาคเอกชน/ผู้ประกอบการ (ผู้น�ำผลงาน วิจัยไปใช้ประโยชน)์ และภาควชิ าการ / คณาจารย์ / นักวิชาการจากมหาวิทยาลยั (ผู้ที่สนบั สนุน/ ให้ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ เพ่ือให้นักวิจัยมีกระบวนการทางเทคนิค วิชาการ) ท�ำให้เกิดเป็น พนั ธมติ รเครือขา่ ยความร่วมมอื โดยอัตโนมตั ิ ทสี่ ำ� คญั ในระยะตอ่ มามหี ลายหนว่ ยงาน หลายองค์กร หลายสมาคม ขอเจรจาสรา้ งความร่วมมือทางดา้ นวชิ าการและการวิจัยจ�ำนวนมาก อาทิ • การบริหารจัดการการท่องเที่ยว มีความร่วมมือทางด้านวิชาการและการวิจัยกับ กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา การท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรม การทอ่ งเทย่ี วแหง่ ประเทศไทย สำ� นกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา สมาคมตา่ ง ๆ • ในภาคอตุ สาหกรรมการทอ่ งเท่ียว เปน็ ตน้ ยางพารา มีความร่วมมือทางด้านวิชาการและการวิจัยกับการยางแห่งประเทศไทย • (กยท) และหนว่ ยงานสำ� คญั ที่รบั ผดิ ชอบดา้ นยางพารา เป็นตน้ อ้อยและน้�ำตาล มีความร่วมมือทางด้านวิชาการและการวิจัยกับโรงงานน�้ำตาล กรมวิชาการเกษตร สำ� นักงานคณะกรรมการอ้อยและน�ำ้ ตาลทราย (สอน.) สำ� นักงาน พฒั นาเทคโนโลยอี วกาศและภมู สิ ารสนเทศ (องคก์ ารมหาชน) และเกษตรกรชาวไรอ่ อ้ ย • เปน็ ตน้ โลจิสติกส์ มีความร่วมมือทางด้านวิชาการและการวิจัยกับสมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย สภาอตุ สาหกรรมแห่งประเทศไทย สำ� นักงานเศรษฐกจิ การเกษตร และ กรมวชิ าการ • เกษตร เป็นตน้ SME มีความร่วมมือทางดา้ นวิชาการและการวจิ ยั รว่ มกบั ส�ำนกั งานสง่ เสริมวิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครอ่ื งประดบั สถาบันวจิ ยั และ พัฒนาอัญมณแี ละเคร่ืองประดบั แหง่ ชาติ (องค์การมหาชน) เปน็ ต้น ส�ำนักงานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ยั (สกว.) 263

264 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจยั บทส่งท้าย ตลอดระยะเวลาทผ่ี า่ นมา ฝา่ ยการวจิ ยั มงุ่ เปา้ ไดร้ บั แรงบนั ดาลใจจากผอู้ ำ� นวยการ สกว. ทใี่ ห้ การสนับสนนุ เสริมสร้างพลังการท�ำงานเปน็ อยา่ งดยี ิง่ อีกทง้ั ยังมีภาคเี ครอื ขา่ ยจากทุก ๆ ภาคสว่ น ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ชุมชน พ้ืนท่ี ให้ความร่วมมือกับสกว. และ คณาจารย์ นกั วจิ ยั ทที่ มุ่ เทกำ� ลงั ความสามารถ สบื สานปณธิ าน แนวทางการทำ� งานวจิ ยั รว่ มกบั สกว. เพ่ือ “สร้างสรรค์ปัญญา พัฒนาประเทศ” ท�ำให้ฝ่ายงานวิจัยมุ่งเป้า มีความเข้มแข็ง สามารถ ผลิตผลงานทางวิชาการท่ีน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ครอบคลุมทุก ๆ มิติ นับเป็นพลังหนุนเสริมให้ฝ่าย มีความแข็งแกร่งยิ่งขน้ึ บทเรียนจากการบริหารจัดการสนบั สนุนทุนวจิ ัยแบบม่งุ เป้า ในแนวใหม่ที่ “เร่งรดั แต่ได้ผลคุ้มค่า” ของ คอบช. มปี ัจจัยความสำ� เร็จประกอบด้วย ผ้บู รหิ ารมอบเป้าหมายชัดเจน พร้อมสนบั สนุนทุกรปู แบบ ผู้ปฏบิ ตั งิ านเขา้ ใจความตอ้ งการของ ผู้ใชป้ ระโยชน์ มกี รอบและแผนงานกำ� กับ มีวินยั ในการดำ� เนินงาน พันธมติ รเครอื ข่ายครบถว้ นพร้อมร่วมมอื ผทู้ รงคณุ วุฒิ มีความรู้และประสบการณ์ เข้มแขง็ ท่มุ เท ไม่เอนเอยี ง นกั วจิ ัยมีคุณภาพ กระหายการเรียนรู้ใหม่ ๆ และพรอ้ มถ่ายทอด ประสบการณ์ให้เป็นสาธารณะประโยชน์

วิจัยและพัฒนาโยคกรรงะกดาับร อตุ สาหกรรมเป้าหมายดว้ ยการ (S-curve & New S-curve) ในอนาคต ประเทศไทย ต้องเปน็ ประเทศอุตสาหกรรมกา้ วหน้า เปน็ ประเทศพฒั นาแล้ว หรอื ประเทศรายได้สูง เชน่ เดียวกบั ประเทศพัฒนาแลว้ ท้ังหลาย ทป่ี ระสบความสำ� เร็จ ซึง่ ล้วนขับเคลอื่ นเศรษฐกิจ และอตุ สาหกรรมดว้ ยงานวิจยั และพฒั นาท้งั สิน้ รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทพิ ย์ ผอู้ �ำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรม สำ� นักงานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ัย สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) มพี นั ธกจิ “สรา้ งสรรคป์ ญั ญาเพอื่ พฒั นาประเทศ” จึงมีกลุ่มงานท่ีก�ำกับดูแลและสนับสนุนทุนวิจัยทั้งกลุ่มวิชาการ และกลุ่มวิจัยและพัฒนา (Research Development หรอื R&D) โดยผลงานในกลมุ่ วจิ ยั และพฒั นาตอ้ งมกี ารนำ� ไปใช้ ในการแก้ปัญหาหรือสร้างการเปลี่ยนแปลงท่ีดีข้ึน หนึ่งในหลายฝ่ายของกลุ่มวิจัยและพัฒนา ของ สกว. คือ “ฝา่ ยอตุ สาหกรรม” ทมี่ ุ่งเนน้ งานวจิ ยั และพฒั นาด้านอุตสาหกรรม เสรมิ สรา้ ง ความสามารถในการแขง่ ขันของผู้ประกอบการทุกระดับ ตอบโจทย์ปัญหา และความตอ้ งการ ของผูผ้ ลิตตง้ั แต่ระดับผ้ปู ระกอบการรายยอ่ ยจนถึงระดับอตุ สาหกรรมขนาดใหญ่ สำ� นักงานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ัย (สกว.) 265

266 นวัตกรรมการบริหารจดั การงานวจิ ยั พฒั นาการงานสนบั สนนุ ทนุ วจิ ยั ดา้ นอตุ สาหกรรมของ สกว. ฝ่ายอุตสาหกรรม สกว. ถือก�ำเนิดในเดือนพฤศจิกายน 2540 ในช่วงแรกที่ด�ำเนินการ ได้มุ่งเน้นสนับสนุนงานวิจัยในภาคการผลิตท่ีเกิดผลประโยชน์กระจายอยู่ในประเทศ จึงเน้น การผลิตและบริการท่ีมี local content สูง เพราะจะได้กระจายประโยชน์ตลอดสายโซ่อุปทาน การผลิตในทุกระดับของประเทศ โดยบูรณาการเข้ากับการสร้างก�ำลังคนเพ่ือเป้าหมายระยะยาว ในการพัฒนาประเทศตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ต่อมาในปี 2554 ฝ่ายอุตสาหกรรมรับภารกิจ เพ่ิมเติมในส่วนการบริหารจัดการ “ทุนวิจัยมุ่งเป้า” ภายใต้นโยบายความร่วมมือในการพัฒนา ระบบวิจัยของ “เครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.)” ในปีถัดมา (2555) สกว. ต่อยอดสนับสนุนความส�ำเร็จของโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) เน้นการให้ทุน การศึกษาและวิจัยท้ังระดับปริญญาโทและปริญญาเอกด้านอุตสาหกรรมใน “โครงการพัฒนา นักวิจัยและงานวิจัยเพ่ืออุตสาหกรรม (พวอ.)” โดยมีข้อก�ำหนดว่าโจทย์วิจัยต้องมาจาก ผปู้ ระกอบภาคอุตสาหกรรม ตอ่ มาในปี 2559 เมอื่ รฐั บาลมนี โยบายสง่ เสรมิ 10 อตุ สาหกรรมเปา้ หมาย สกว. จงึ มอบภารกจิ ให้ฝ่ายอุตสาหกรรมเป็นผู้บริหารจัดการ ก�ำกับ ดูแล และรับผิดชอบงาน “โครงการยกระดับ อุตสาหกรรมเป้าหมายด้วยการวิจัยและพัฒนา” หรือที่เรียกกันว่าโครงการ S-curve โดยมี รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ ด�ำรงต�ำแหน่งผู้อ�ำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบ ในการบรหิ ารโครงการ

ฝา่ ยอุตสาหกรรม สกว. ท�ำงานรว่ มกับภาคเอกชนมาโดยตลอด ในช่วงเริม่ ตน้ ฝ่ายตอ้ งเผชญิ อปุ สรรคมากมาย เนือ่ งจากเอกชนคาดหวังตอ่ ความส�ำเรจ็ ของงานวิจยั สงู ผลงานวิจยั ต้องเปน็ แบบ พร้อมรับประทาน (ready to eat) คือพรอ้ มเสิรฟ์ ใหน้ ำ� ไปใชไ้ ดท้ ันที รวมทง้ั ภาคเอกชนยังไม่เข้าใจ และไมเ่ หน็ ความสำ� คญั ของการวจิ ยั และพฒั นา และยงั ไมไ่ วใ้ จในตวั นกั วจิ ยั นกั เพราะกงั วลวา่ ความลบั ของบริษัทจะรั่วไหล ฝ่ายจึงพยายามพูดคุยผ่านกลุ่มสมาคมต่าง ๆ เพื่อท�ำความเข้าใจและจูงใจ ให้เห็นความส�ำคัญของการวิจัยและพัฒนา งานวิจัยที่ฝ่ายสนับสนุนในช่วงแรก ๆ มีท้ังงานวิจัยท่ี สนบั สนนุ ดว้ ยเงนิ วจิ ยั ของ สกว. ทงั้ หมด เพอ่ื ศกึ ษาความเปน็ ไปได้ (feasibility study) หรอื โครงการ วิจัยน�ำร่อง (pilot project) ให้ได้ข้อมูลที่จะสามารถยืนยันว่าควรส่งเสริมต่อ เพราะมีแนวทาง ที่เป็นไปได้ถึงความส�ำเร็จในการผลิตจริงเชิงพาณิชย์ งานวิจัยที่ฝ่ายอุตสาหกรรมสนับสนุน จะมี ภาคเอกชนร่วมสนับสนุนทุนวิจัยทั้งในรูปเงินสด (in cash) และส่วนสนับสนุนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเงิน (in kind) โดยมีการก�ำหนดสัดส่วนการร่วมทุนวิจัยให้สอดคล้องกับรูปแบบการขออนุญาตใช้สิทธ์ิ และการเป็นเจ้าของร่วมของผลงานวิจัยที่จะเกิดข้ึน นอกจากนั้นในปัจจุบันยังพัฒนาไปจนถึงการ สนับสนุนทุนวิจัยในรูปแบบ Open Innovation และการพัฒนาเทคโนโลยีฐานหรือ Platform technology ที่จ�ำเป็นในการยกระดับอุตสาหกรรมในภาพรวม โดยเป็นเทคโนโลยีท่ีอุตสาหกรรม หลายรายท่เี ข้ามารว่ มสามารถน�ำไปพัฒนาตอ่ ยอดเพื่อผลักดนั เขา้ สู่ตลาดตอ่ ไปได้ สำ� นกั งานกองทนุ สนับสนุนการวิจยั (สกว.) 267

268 นวตั กรรมการบริหารจัดการงานวิจัย กลยทุ ธ์การดำ� เนินงานของฝ่ายอุตสาหกรรม ระหวา่ งปี พ.ศ. 2540-2554 ฝา่ ยอุตสาหกรรม สกว. ไดส้ นบั สนนุ ทนุ วิจัยในรายอุตสาหกรรม สาขาทสี่ ำ� คญั อาทิ ยางและไมย้ างพารา อญั มณแี ละเครอื่ งประดบั อตุ สาหกรรมอาหารและเวชสำ� อาง อุตสาหกรรมการท่องเทีย่ ว โลจิสติกส์และโซอ่ ุปทาน อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการพัฒนา กระบวนการผลติ ทว่ั ไปสำ� หรบั อตุ สาหกรรมขนาดกลางและขนาดยอ่ ม การคดั เลอื กกลมุ่ อตุ สาหกรรม พิจารณาจากแผนแม่บทของประเทศในยุคนั้น ๆ ประกอบ และหลังจากน้ันจึงจัดให้มีการประชุม เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย (focus group) โดยเชิญผู้ท่ีมีส่วนได้ส่วนเสียท้ังจากภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชนท่ีเก่ียวข้องในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมมาระดมสมองในการจัดต้ังชุดโครงการวิจัย และพัฒนา โดยศึกษาถงึ สถานภาพและสถานการณ์ ณ ขณะนน้ั ก�ำหนดเป้าหมายท่ีตอ้ งการเปลยี่ น สร้างความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลท่ีจะน�ำไปสู่การเปล่ียนแปลง และก�ำหนดกรอบการสนับสนุน การวจิ ยั การบริหารจัดการงานวิจัยภายใต้ความหลากหลายของแต่ละอุตสาหกรรม และภายใต้ ข้อจ�ำกัดของปริมาณบุคลากรที่มีจ�ำกัด (ผู้บริหาร 2 คน เจ้าหน้าที่บริหารโครงการ 5 คน และ เจ้าหน้าที่สนับสนุน 2 คน รวม 9 คน) ฝ่ายอุตสาหกรรมจึงต้องมีเครือข่ายในการบริหารงานวิจัย ท่ีมีความซับซ้อนของแต่ละอุตสาหกรรม โดยจัดให้มีระบบผู้ประสานงานชุดโครงการวิจัยและ พฒั นา มกี ารคัดสรรผ้ปู ระสานงานหลากหลายวธิ ี ไม่ว่าจะเปน็ การเสาะหาแบบ “แมวมอง” และ ทาบทามโดยตรง หรอื ประกาศให้ผ้สู นใจสมัคร หรือให้ตัวแทนกลุ่มอตุ สาหกรรมเสนอ คุณสมบัติของผู้ประสานงาน ผู้ที่จะมาเป็นผู้ประสานงานจะต้องเป็นผู้ที่รับฟังทุกทิศ (แต่ไม่เชื่อง่าย) มีพ้ืนฐานการเป็นนักวิจัยท่ีเช่ียวชาญ มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมด้วยยิ่งดี เป็นคนรู้จักวิธีการหลากหลายในการหาค�ำตอบให้กับปัญหาที่หลากหลาย มีวิจารญาณตัดสิน ความเหน็ ทแี่ ตกตา่ งได้ (ระดับหนึ่ง) รจู้ ักหลักการ optimization รู้จกั สร้างเครอ่ื งมือในการติดตาม งานและประเมินงาน ท่ีส�ำคัญเขา้ ใจบรบิ ทอตุ สาหกรรม บทบาทและหน้าท่ีผู้ประสานงาน ผู้ที่ได้รับคัดเลือกหรือตอบรับการทาบทามเข้ามาเป็น ผปู้ ระสานงาน จะต้องรับฟงั ปัญหาจาก user แลว้ แปลงเป็นโจทย์วิจยั ท่ีเหมาะสม ก�ำหนด output ทีอ่ ยากไดจ้ ากโจทย์ หานักวจิ ัยท่ีเหมาะสม จูงใจใหน้ ักวิจัยเขยี นขอ้ เสนอโครงการ ในกรอบวิจัยท่ีจะ สง่ มอบผลงานวจิ ัย (deliver output) ท่อี ยากได้ หาผรู้ ้ใู นวิธีการวจิ ัยมาชว่ ยประเมนิ และหาวธิ ีการ วจิ ยั ทด่ี ี แลว้ ประสานใหน้ กั วจิ ยั ปรบั แกข้ อ้ เสนอโครงการใหถ้ กู ตอ้ งและเหมาะสม ไมเ่ ปน็ งานทซ่ี ำ�้ ซอ้ น หรือมีสว่ นเกิน (redundant) ตอ้ งเจรจาการร่วมทุนกับผูป้ ระกอบการ สรปุ งานการพัฒนาโครงการ ให้ สกว. พจิ ารณา ตดิ ตามและประเมินผลงานวจิ ัยร่วมกบั สกว. ผู้ประกอบการ และผทู้ รงคณุ วุฒิ เม่ือโครงการแล้วเสร็จ ต้องผลกั ดนั ใหง้ านวจิ ัยนำ� ไปสู่การใชป้ ระโยชน์ได้จริง

การบรหิ ารงานวจิ ยั ในแตล่ ะโครงการ มผี เู้ ลน่ หลายคน ไมว่ า่ จะเปน็ user ผปู้ ระสานงาน นกั วจิ ยั ผู้ทรงคุณวุฒิ สกว. (ฝ่ายอุตสาหกรรม) เป็นต้น รศ.ดร.สุธีระ ประเสิรฐสรรพ์ อดีตผู้อ�ำนวยการ ฝ่ายอุตสาหกรรมในขณะนนั้ ไดเ้ ขยี นอธบิ ายบทบาทหนา้ ที่ของแต่ละคนท่ีแตกต่างกนั ไว้ชดั เจนดังน้ี • ผู้จะใช้ประโยชน์ (users) และผู้ประสานงานจะร่วมกันวาดภาพการเปล่ียนแปลงท่ี ตอ้ งการ เสมือนภาพบนฝากลอ่ ง jigsaw • ผปู้ ระสานงานทำ� หนา้ ทแ่ี ตกภาพออกเปน็ ตวั jigsaw และกำ� หนดรปู รา่ ง สสี นั (โจทยว์ จิ ยั ) • นักวิจยั คือคนวาดและตดั รปู jigsaw ตามทก่ี ำ� หนด (ทำ� วิจัย) • ผู้ทรงคุณวุฒิคือผู้ช่วยผู้ประสานงานในการก�ำกับเชิงวิชาการในการท�ำวิจัย (ตรวจ/แก้ • proposal รว่ มติดตามความก้าวหน้า และร่วมประเมนิ ผลสดุ ท้าย) ฝา่ ยอตุ สาหกรรม คอื ผกู้ ำ� หนดทศิ ทาง ชว่ ยอำ� นวยความสะดวก และแกไ้ ขปญั หาทเี่ กดิ ขน้ึ • ระหวา่ งการดำ� เนนิ งาน เพอื่ ใหง้ านสำ� เรจ็ ลุล่วงไปได้ดว้ ยดี และประเมนิ ผลในภาพรวม ผปู้ ระสานงาน ฝา่ ยอตุ สาหกรรม และ users รว่ มกนั เอาผลวจิ ยั (ตวั jigsaw จากนกั วจิ ยั ) มาประกอบเปน็ ภาพ (ผลักดันผลงานวิจยั ไปส่กู ารใช้ประโยชน์ไดจ้ ริง) ความสำ� เรจ็ จากหลายชดุ โครงการ เชน่ ชดุ โครงการ “การพฒั นาอตุ สาหกรรมขนาดกลางและ ขนาดยอ่ ม” ซ่งึ มี ผศ.ดร.บณั ฑติ อินณวงศ์ จากมหาวิทยาลยั ศลิ ปากร เปน็ ผู้ประสานงาน ทำ� ให้เกิด การเรยี นรวู้ ธิ กี ารและขน้ั ตอนการดำ� เนนิ งาน ตง้ั แตก่ ารลงพนื้ ทแ่ี ละคยุ กบั ผปู้ ระกอบการเพอ่ื Identify โจทย์ การคดั เลอื กนกั วจิ ยั การใชค้ วามเชย่ี วชาญในการมองทศิ ทางการพฒั นายกระดบั ผปู้ ระกอบการ ในอนาคต และการผลกั ดนั ทมี่ ใิ ชแ่ คจ่ บในระดบั ในหอ้ งทดลอง แตต่ อ้ งผลกั ดนั จนสามารถขายไดจ้ รงิ ประสบการณ์การบริหารจัดการทุนวิจัยในย่ีสิบปีแรกเกิดเป็นฐานคิดและมีเครื่องมือช่วยบริหาร จัดการในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ท�ำให้การบริหารจัดการในยุคต่อมาโดยเฉพาะหลังปี 2555 เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมชัดขึ้น ได้รับการยอมรับจากภาคอุตสาหกรรม สามารถเปล่ียนแนวคิด ผู้ประกอบการให้เช่ือมั่นใน สกว. มากขึ้น และ สกว. ก็สามารถก้าวขึ้นสู่องค์กรมีระดับ มีความ เช่ียวชาญการบรหิ ารจดั การงานวจิ ัยเฉพาะดา้ นและหลายดา้ นที่ภาครัฐให้ความศรัทธาและยอมรับ งานวิจัยท่ีจะก่อให้เกิดผลลัพธ์และผลกระทบ (outcome and impact) น้ัน ต้องอาศัย การดำ� เนนิ งานทม่ี กี ารบรู ณาการหลายโครงการ หลายมติ ิ หลายสาขาวชิ า รวมถงึ การทำ� งานในรปู แบบ ของเครือข่าย เพื่อก่อให้เกิดผลกระทบที่เห็นเป็นรูปธรรม ดังเช่นการด�ำเนินงานของชุดโครงการ “การพฒั นาอตุ สาหกรรมขนาดกลางและขนาดยอ่ ม” ทไ่ี ดร้ ว่ มกบั ผปู้ ระกอบการพฒั นาผลติ ภณั ฑ์ เพื่อรองรับความต้องการของตลาด และเพื่อให้ผลงานวิจัยเห็นผลเป็นรูปธรรมในเชิงพาณิชย์ ในปีงบประมาณ 2552 สกว. ฝ่ายอุตสาหกรรม ได้ต้ังชุดโครงการ Innovative House ข้ึน โดยน�ำผลงานวิจัยไปตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งการด�ำเนินการเหล่านี้ต้องใช้ ระยะเวลากวา่ 10 ปี ในการดำ� เนนิ งาน จนได้รบั การยอมรับจากกลุ่ม SMEs ในการขอใชต้ ราสินคา้ Innovative House By TRF เร่อื ยมาจนถึงปจั จุบนั และเกดิ การขยายผลในวงกวา้ ง ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) 269

270 นวตั กรรมการบริหารจัดการงานวิจัย โครงการยกระดบั อตุ สาหกรรมเปา้ หมายตอบโจทยป์ ระเทศ ในปีงบประมาณ 2560 รัฐบาลได้ประกาศมาตรการส�ำคัญด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม คือ การยกระดับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งเป็นกลไกขับเคล่ือนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) จึงต้องการการพัฒนาอุตสาหกรรม และจ�ำเป็นต้องส่งเสริมการวิจัยและ พัฒนา เพ่ือยกระดับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตบนฐานนวัตกรรม โดยทั้งภาครัฐและเอกชน ควรมีการลงทุนในการท�ำวิจัยและพัฒนาเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 1.5% ของผลผลิต มวลรวมประชาชาติ (GDP) เม่ือสิ้นระยะเวลาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (2564) ซ่ึงนับเป็นการก้าวกระโดดท่ีท้าทายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและ พัฒนาเป็นอย่างย่ิง ท�ำให้ฝ่ายอุตสาหกรรมต้องปรับโครงสร้างใหม่ เป็นการขยายผลรูปแบบ การดำ� เนนิ งานของ สกว. ฝา่ ยอตุ สาหกรรมเดมิ และขบั เคลอ่ื นนวตั กรรมทจ่ี ะชว่ ยสง่ เสรมิ การพฒั นา ภาคอุตสาหกรรมโดยด�ำเนินการสนับสนุนงานวิจัยภายใต้กรอบ “โครงการยกระดับอุตสาหกรรม เปา้ หมายด้วยการวจิ ยั และพัฒนา” หรือ S-curve อย่างไรก็ตาม แม้ สกว. จะด�ำเนินการสนับสนุนงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรมมานานและ ต่อเน่ืองหลายปี แต่ขนาดงบประมาณที่บริหารยังน้อยมากเมื่อเทียบกับงานวิจัยด้านอื่น ๆ เช่น งานวิจัยพ้ืนฐาน งานพัฒนาบุคลากรวิจัย ซึ่งรูปแบบการท�ำงานท่ีผ่านมาของฝ่ายอุตสาหกรรม สามารถมองได้ว่าเป็นต้นแบบท่ีส�ำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม เพราะเน้นการสนับสนุนตรงไปท่ีความต้องการของภาคเอกชน โดยเน้นงานวิจัยที่ประเทศไทย มีศักยภาพสูง เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร แต่ต้องการการขยายผลเพ่ือให้เกิดผลกระทบ ท่ชี ดั เจนมากขนึ้ ในบริบทของประเทศไทย หากมองย้อนหลังไปในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาก่อนเกิดรัฐประหาร ความขัดแย้งทางการเมืองท่ียืดเยื้อมาอย่างต่อเน่ือง และการที่เศรษฐกิจไทยมีความผันผวนตาม วัฏจักรเศรษฐกิจโลก ท�ำให้รัฐบาลและภาคเอกชนมีแนวโน้มท่ีจะให้ความสนใจเฉพาะการแก้ไข ปญั หาระยะสน้ั เฉพาะหนา้ โดยไมไ่ ดใ้ หค้ วามสนใจอยา่ งเพยี งพอตอ่ การแกไ้ ขปญั หาในเชงิ โครงสรา้ ง หรือเชิงระบบ ซึ่งต้องใช้เวลาในการแก้ไขที่ยาวนานกว่า เช่น การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย ให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) และการสร้างความสามารถในการ แขง่ ขนั ในเวทีโลก เป็นต้น1 1 สมเกียรติ ต้งั กจิ วานชิ ยแ์ ละคณะ, สกู่ ารเตบิ โตอยา่ งมีคุณภาพ: ความทา้ ทายและโอกาสของประเทศไทยในสามทศวรรษหนา้ , การสมั มนา วชิ าการประจำ� ปี TDRI 2557

กบั ดักประเทศรายไดป้ านกลางเปน็ อยา่ งไร ประเทศไทยจะก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ต้องมีการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เพราะเป็นที่ประจักษ์ทั่วโลกแล้วว่า ยุคแห่งนวัตกรรมซ่ึง สร้างมูลค่าให้กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจได้มาทดแทนยุคแห่งการใช้ แรงงานราคาถูกและใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นกลไกลากจูงให้ประเทศท่ีมีความพร้อมก้าวสู่ การพัฒนาทยี่ ่งั ยืนได้ ประเทศไทยตอ้ งใช้เวลา 25 ปี ในการก้าวขา้ มจาก Lower Middle Income มาเปน็ Upper Middle Income โดยในปี 2558 ประเทศไทยมรี ายไดเ้ ฉลย่ี ประมาณ 5,800 เหรยี ญ สหรัฐต่อหัวประชากรต่อปี หากจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรืออยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูงจะต้อง มีรายได้เฉลี่ยท่ีเกือบ 13,000 เหรียญสหรัฐต่อหัวประชากรต่อปี หรือเพ่ิมข้ึนเป็น 2.25 เท่าจาก รายได้ในปีดังกล่าว การลงทุนและส่งเสริมนวัตกรรมจะเป็นเคร่ืองมือหลักท่ีจะน�ำพาประเทศไปสู่ จดุ ม่งุ หมายนี้ได้ 2 กบั ดกั รายไดป้ านกลาง (Middle Income Trap) หมายถงึ สภาวะของประเทศทสี่ ามารถพฒั นา จากประเทศรายได้ต่�ำไปเป็นรายได้ปานกลางได้ส�ำเร็จในเวลาไม่นาน (รายได้ประชาชาติต่อจ�ำนวน ประชากรสงู ขน้ึ ) แตก่ ารขยายตวั ของเศรษฐกจิ หลงั จากนน้ั กลบั ชะลอตวั ลงมาก สง่ ผลใหป้ ระเทศ ดงั กลา่ วตอ้ งตดิ อยใู่ นฐานะรายไดป้ านกลางตอ่ ไปอกี หลายทศวรรษ และยงั ไมม่ แี นวโนม้ ทจ่ี ะยกระดบั กลายเป็นประเทศรายได้สงู ได้ 3 (ภาพที่ 1) ภาพท่ี 1 การจัดแบง่ สภาวะประเทศ ตามรายได้ประชาชาติต่อ จ�ำนวนประชากรเทยี บกับ สหรฐั อเมรกิ า ปี 1960 และ ปี 2008 2 สำ� นักงานคณะกรรมการนโยบายวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมแห่งชาติ, การปฏิรูปวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม ของประเทศไทย, 2557 3 World Bank, 2002. China 2030: Building a Modern, Harmonious, and Creative High-Income Society สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจยั (สกว.) 271

272 นวตั กรรมการบริหารจดั การงานวจิ ัย ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ประชาชาติกับการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาในภาพที่ 2 แสดงให้เห็นว่าการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่ประเทศรายได้สูงต้องพึ่งพาการสร้าง นวัตกรรมผ่านการลงทนุ ในการทำ� การวิจัยและพฒั นา4 โดยจะเห็นได้จากประเทศต่าง ๆ ที่เป็นต้น แบบสำ� คัญ เชน่ เกาหลใี ต้ และไต้หวนั เปน็ ตน้ GNI per capita, PPP (current international $) 50,000 United States (2009) 40,000 United Kingdom (2010) High income (2009) 30,000 European Union (2010) OECD members (2009) 20,000 10,000 Upper middle income (2009) World (2009) High income Middle income Thailand (2007) Lower middle income (2007) 0.50 1.00 1.50 2.00 2.50 3.00 3.50 ภาพที่ 2 ความสมั พันธร์ ะหว่างรายไดป้ ระชาชาตกิ ับการลงทุนวจิ ัยและพัฒนา R&D Expenditure (% of GDP) 4 World Bank 2013, Modified by Thaweesak Koanantakool, NSTDA

นโยบายประเทศไทยกับการวิจัยและพฒั นา ปลายปี พ.ศ. 2557 รฐั บาลทมี่ ี พล.อ.ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา เปน็ นายกรฐั มนตรี ไดแ้ ถลงนโยบาย ทปี่ ระกอบไปดว้ ย 11 ประเดน็ ใหญซ่ ง่ึ มงุ่ เนน้ การปรบั โครงสรา้ งของประเทศทงั้ ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม และสิ่งแวดล้อม โดยนโยบายด้านการเพ่ิมศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ในข้อ 6.16-6.18 ระบุชัดเจนถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยเน้นการวิจัยและพัฒนาควบคู่กับการออกแบบและ สร้างสรรค์ เพื่อเพม่ิ มลู คา่ ตลอดท้ังห่วงโซ่ และเน้นเพ่มิ ขีดความสามารถของผูป้ ระกอบการวสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดย่อมใหเ้ ข้มแข็ง สามารถแข่งขันไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ โดยการเพ่มิ องคค์ วาม รู้ที่จ�ำเป็นท้ังในด้านวิชาการ การบริหารจัดการ และการเงิน รวมท้ังการส่งเสริมเศรษฐกิจและ อตุ สาหกรรมดจิ ทิ ลั ใหเ้ รมิ่ ขบั เคลอ่ื นไดอ้ ยา่ งจรงิ จงั จากนโยบายหลกั ดงั กลา่ ว รวมทงั้ ไดม้ กี ารประกาศ มาตรการสำ� คัญด้านการพฒั นาอตุ สาหกรรม 2 ประเดน็ ใหญ่คอื 1. อนุมัติมาตรการจูงใจนักลงทุน ให้มาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบการ รวมกลมุ่ การผลติ แบบทกุ หว่ งโซ่ (Cluster) โดยแบง่ เปน็ 2 รปู แบบ คอื Super Cluster สำ� หรบั กจิ การทใี่ ชเ้ ทคโนโลยขี นั้ สงู และอตุ สาหกรรมแหง่ อนาคต ใน 9 จงั หวดั คอื พระนครศรอี ยธุ ยา ปทมุ ธานี ชลบุรี ระยอง ฉะเชงิ เทรา ปราจีนบรุ ี นครราชสีมา เชียงใหม่ และภูเกต็ คลัสเตอร์ เป้าหมายอ่ืน ๆ อาทิ เกษตรแปรรูป ส่ิงทอและเคร่ืองนุ่งห่ม โดยให้สิทธิประโยชน์ส�ำหรับ นักลงทนุ ทจ่ี ะเข้ามาลงทนุ ในคลัสเตอร์ ท้งั มาตรการทางภาษี การยกเว้นภาษีเงินไดน้ ิติบุคคล 8 ปี ลดหย่อนเพิ่มรอ้ ยละ 50 เพ่มิ เตมิ อกี 5 ปี ซึง่ หากเปน็ อุตสาหกรรมเพื่ออนาคต จะไดร้ ับ การพิจารณายกเว้นเงินได้นิติบุคคล 5-10 ปี การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร การยกเว้น ภาษเี งนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดาสำ� หรบั ผเู้ ชยี่ วชาญนานาชาตทิ ท่ี ำ� งานในพนื้ ทก่ี ำ� หนด ทงั้ คนไทยและ ตา่ งชาติ นอกจากนี้ ยงั มกี ารพจิ ารณาใหถ้ นิ่ ทอี่ ยถู่ าวรสำ� หรบั ผเู้ ชย่ี วชาญนานาชาติ การอนญุ าต ให้ต่างชาตถิ ือกรรมสิทธิทดี่ นิ เพอ่ื ประกอบกจิ การทีส่ ง่ เสรมิ ได้5 5 ส�ำนกั ข่าวกรมประชาสัมพันธ์ http://nwnt.prd.go.th/centerweb/news/NewsDetail?NT01_NewsID=WNECO5809220020005, 22 กันยายน 2558 สำ� นักงานกองทุนสนับสนุนการวจิ ยั (สกว.) 273

274 นวัตกรรมการบรหิ ารจดั การงานวจิ ัย 2. เหน็ ชอบข้อเสนอ 10 อุตสาหกรรมเปา้ หมาย ใหเ้ ป็นกลไกขบั เคลื่อนเศรษฐกจิ เพอ่ื อนาคต (New Engine of Growth) จำ� นวน 10 คลัสเตอร์ ประเทศไทยสามารถผลักดันการเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจ ได้ใน 2 รปู แบบ (ภาพท่ี 3) ไดแ้ ก่ รปู แบบท่ี 1 คือ First S-curve 5 กลุม่ ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเท่ียวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเท่ียวเชิงสุขภาพ การเกษตรและ เทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมการแปรรปู อาหาร ซ่งึ เปน็ การลงทนุ ในกลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีอยู่แล้วในประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปัจจัยผลิตโดยการลงทุนชนิดนี้ จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นและระยะกลาง แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มอุตสาหกรรมในปัจจุบันนั้นไม่เพียงพอท่ีจะท�ำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตได้ อย่างก้าวกระโดด จึงจ�ำเป็นต้องมีการพัฒนา S-curve ในรูปแบบที่ 2 คือ New S-curve 5 กลุ่ม ซึ่งได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรม เชอ้ื เพลิงชวี ภาพและเคมชี วี ภาพ อตุ สาหกรรมดิจติ อล และอุตสาหกรรมการแพทยค์ รบวงจร ซึ่งเป็นรูปแบบของการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ควบคู่ไปด้วย เพ่ือเปลี่ยนรูปแบบสินค้า และเทคโนโลยี โดยอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมอนาคตเหล่านี้จะเป็นกลไกที่ส�ำคัญ ในการขับเคล่ือนเศรษฐกิจ (New Growth Engines) ของประเทศ การต่อยอดจาก อตุ สาหกรรมเดิมจะสามารถเพ่ิมรายได้ของประชากรได้ประมาณ รอ้ ยละ 70 จากเปา้ หมาย ส่วนอกี รอ้ ยละ 30 จะมาจากอุตสาหกรรมใหม่ 6 6 ส�ำนักขา่ วอศิ รา http://www.isranews.org/thaireform/thaireform-data/item/42800-ขอ้ เสนอ-10-อตุ สาหกรรมเป้าหมาย-new- engine-of-growth.html, 18 พฤศจกิ ายน 2558

New S-Curve ห‹นุ ยนตเ พ่�อ อตุ สาหกรรม -curve อุตสาหกรรม อตุ สาหกรรม อตุ สาหกรรม เชื้อเพลิงชวี ภาพและ กลุ‹มอตุ สาหกรรใหม‹ การแพทยค รบวงจร การบนิ และโลจ�สตกิ ส เคมีชีวภาพ Industries เพ�ม 5 อตุ สาหกรรม พัฒนาจาก เป‡าหมาย อุตสาหกรรม ดจิ ท� ัล อุตสาหกรรม อตุ สาหกรรม อุตสาหกรรม อตุ สาหกรรม อุตสาหกรรม ยานยนตสมยั ใหม‹ อิเล็กทรอนิกสอ ัจฉร�ยะ การทอ‹ งเที่ยวกล‹มุ รายไดŒดี การเกษตรและ การแปรรูปอาหาร และการทง‹ เท่ียวเชิงสขุ ภาพ เทคโนโลยีชวี ภาพ First S-Curve กลุ‹มอตุ สาหกรรเดมิ ภาพท่ี 3 S-curve Industries หรือ 10 อตุ สาหกรรมเปา้ หมายตามนโยบายรัฐบาล7 นอกจากนั้นนโยบายรัฐบาลในข้อท่ี 8 ยังเน้นชัดเจนถึงความส�ำคัญของการการพัฒนาและ ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม โดยมี เป้าหมายในการใช้การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศด้วยฐานความรู้ ซ่ึงรัฐบาลต้อง เพิ่มการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาควบคู่กับการมีมาตรการส่งเสริมให้เอกชนลงทุนในการทำ� วิจัย เพ่ิมมากขึ้นในสัดส่วนที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นอกจากนั้น รัฐบาล ยังต้องปฏิรูประบบวิจัยเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและสถาบัน การศึกษาในการร่วมกันสร้างนวัตกรรมที่ท�ำให้เกิดผลกระทบเชิงเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับ การลงทนุ ในโครงสรา้ งพนื้ ฐานของประเทศโดยการปรบั เปลย่ี นเงอ่ื นไข และรปู แบบการจดั ซอ้ื จดั จา้ ง ท่ีท�ำให้เพม่ิ สัดส่วนการใชน้ วตั กรรมภายในประเทศ หรอื หากจ�ำเปน็ ต้องมกี ารน�ำเข้าเทคโนโลยีจาก ต่างประเทศ ต้องก�ำหนดให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพ่ือลดการพ่ึงพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ในอนาคต จากเหตุผลดังกล่าว ฝ่ายอุตสาหกรรม สกว. จึงได้เสนอโครงการยกระดับอุตสาหกรรม เป้าหมายด้วยการวิจัยและพัฒนา ในปลายปี พ.ศ. 2558 เพื่อขอรับงบประมาณประจ�ำปี 2560 ในกรอบวงเงิน 500 ล้านบาทต่อปี ซ่ึงโครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหม่ที่ใช้แนวทางการบริหาร จัดการงานวิจัยท่ี สกว. มีประสบการณ์มาแล้วอย่างต่อเน่ืองเป็นฐานการด�ำเนินงาน โดยเน้น การสนบั สนนุ ทนุ วจิ ยั และพฒั นาในรปู แบบสามประสาน (Triple helix model) ซง่ึ ยดึ ความตอ้ งการ 7 ส�ำนกั งานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรรม, 10 อตุ สาหกรรมเป้าหมาย กลไกขบั เคลอื่ นเศรษฐกิจเพอ่ื อนาคต (New Engine of Growth), กมุ ภาพนั ธ์ 2560 สำ� นักงานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ัย (สกว.) 275

276 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ัย ของภาคเอกชนเป็นหลักในการก�ำหนดโจทย์วิจัย (demand driven) ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็น โครงการแรกของ สกว. ท่ีต้องน�ำมาพิจารณาในกรอบงบประมาณบูรณาการเพ่ือการวิจัย โดยใน ปงี บประมาณ 2560 มีหน่วยงานเจ้าภาพ คือ สำ� นกั งานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และส�ำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยเป็นหน่ึงในสองโครงการขนาดใหญ่ประจ�ำ ปีงบประมาณน้ันท่ีอยู่ในกล่องท่ี 1 หรือยุทธศาสตร์ที่ 1 ของกรอบงบประมาณซึ่งเป็นกรอบการ สนับสนุนงบประมาณวิจัยและนวัตกรรมเพ่ือเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความม่ังคั่ง ทางเศรษฐกจิ โดยเนน้ การวจิ ยั และพฒั นาเพอ่ื สง่ เสรมิ ศกั ยภาพของผปู้ ระกอบการใน 10 อตุ สาหกรรม เปา้ หมายสอดคล้องกบั นโยบายของรฐั บาล เนอ่ื งจาก S-curve เปน็ โครงการขนาดใหญ่ ทมี่ กี ารออกแบบโครงการในรปู แบบสามประสาน โดยยึดความต้องการของเอกชนเป็นตัวต้ัง และมีการก�ำหนดเงื่อนไขให้เอกชนต้องร่วมสนับสนุน งบประมาณในการวิจัยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าโครงการ ท�ำให้โครงการน้ีเป็นท่ีสนใจ โดย สกว. ต้องเดินสายเพื่อท�ำความเข้าใจกับคณะอนุกรรมการ คณะกรรมการ และอีกหลาย หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง รวมท้ังได้น�ำเสนอต่อที่ประชุมเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ เพ่ือรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะในการด�ำเนินงานและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับ หน่วยงานต่าง ๆ ทีม่ ีการท�ำงานในรูปแบบทส่ี ามารถส่งเสริมกนั ได้ เช่น โครงการ ITAP (Innovation and Technology Assistant Program: โปรแกรมสนบั สนนุ การพฒั นาเทคโนโลยแี ละนวตั กรรม) ของสำ� นกั งานพฒั นาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยแี หง่ ชาติหรือ สวทช. เป็นตน้

ปรบั กลยุทธก์ ารดำ� เนินงาน แนวคดิ การทำ� งานแบบสามประสานซง่ึ ฝา่ ยอตุ สาหกรรม สกว. ไดย้ ดึ ถอื มาตงั้ แตต่ น้ เปน็ กลไก ท่ีเกิดจากสภาพของเศรษฐกิจไทยท่ีผู้ประกอบการส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 เป็นผู้ประกอบการ ขนาดกลางและขนาดเล็ก สว่ นใหญย่ งั ไมม่ กี ารลงทุนการท�ำวิจยั และพฒั นา ไม่มหี อ้ งปฏิบตั ิการวิจัย อุปกรณ์และเคร่ืองมือวิจัย รวมทั้งไม่มีนักวิจัยที่เป็นของตนเอง ดังนั้นการพัฒนาเพื่อยกระดับ ผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวจ�ำเป็นต้องดึงศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิจัย โดยเฉพาะของภาครัฐเข้ามาช่วย ทั้งในส่วนของนักวิจัยและเคร่ืองมือ โดย สกว. จะท�ำหน้าที่ เป็นผู้สนับสนุนและประสานงานระหว่างผู้ประกอบการกับนักวิจัย สนับสนุนปัจจัยต่าง ๆ ทั้ง งบประมาณวิจัย และการน�ำเครือข่ายความร่วมมือท่ีเก่ียวข้องเข้ามาหนุนเสริมเพ่ือผลักดันให้ งานวจิ ยั สำ� เรจ็ การขยายการดำ� เนนิ งานของฝา่ ย และโครงการ S-curve จงึ ตอ้ งมกี ารสรา้ งและปรบั กลยทุ ธ์ในการดำ� เนินงานใหม่ เพือ่ ให้สามารถใชท้ รัพยากรในการดำ� เนินงานได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันสามารถส่งมอบผลงานได้ตามเป้าหมายที่ก�ำหนดไว้ โดยมีกลยุทธ์ท่ีส�ำคัญในการ ด�ำเนนิ งานโครงการดงั น้ี 1. การปรบั โครงสร้างของฝา่ ยและการสร้างทีมงาน ความเช่ียวชาญท่ี สกว. สงั่ สมมานานคอื การบรหิ ารจัดการงานวจิ ัย โดยเฉพาะการท�ำงานใน ลกั ษณะสามประสานทีม่ เี อกชนรว่ มในโครงการ จากประสบการณ์ของ สกว. ทำ� ใหม้ ีการออกแบบ รูปแบบการท�ำงานที่เอื้อต่อการน�ำไปสู่ความส�ำเร็จตั้งแต่การจัดการต้นทาง จนกระทั่งได้ข้อเสนอ โครงการท่ีผ่านความเห็นชอบของทุกฝ่ายและผ่านการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิ และการจัดการ กลางทางท่ีเน้นการติดตามโครงการร่วมกับการบริหารจัดการงบประมาณที่สอดคล้องกับงวดงาน จนถึงการจัดการปลายทางที่ครอบคลุมการประเมินผล เพ่ือน�ำไปสู่การท�ำงานอย่างต่อเนื่องจน สามารถผลักดันผลสูก่ ารใชป้ ระโยชน์จรงิ เชิงพาณิชย์ได้ ท้งั นี้ ฝ่ายอตุ สาหกรรมไดอ้ อกแบบระเบยี บ การดำ� เนินงาน เอกสารแบบฟอรม์ ตา่ ง ๆ ท่ีมีการปรับเปล่ียนให้เหมาะสมกับบรบิ ทการทำ� งานและ สถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตามในการขยายงานต้องมีการเพิ่มก�ำลังคน โดยเฉพาะในส่วนของ เจา้ หน้าทีว่ ิเคราะห์โครงการที่ต้องรับเพิม่ เข้ามาใหม่ ต้องฝกึ ฝนการเรยี นรใู้ นรูปแบบ On the job training หรือเรียนรคู้ วบคู่กับการทำ� งานจริงไปด้วย สำ� นักงานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ัย (สกว.) 277

278 นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ัย นอกจากนั้น ต้องมีการคัดเลือกผู้ประสานงานและการจัดตั้งส�ำนักประสานงานใหม่มีการ เลอื กเฟน้ หาผปู้ ระสานงานทม่ี คี วามเหมาะสมกบั 10 อตุ สาหกรรมเปา้ หมายทเี่ ปน็ กรอบการดำ� เนนิ ใน โครงการ S-curve รวมท้ังช่วยผปู้ ระสานงานจัดตั้งสำ� นกั ประสานงาน หาทมี งาน และอบรมทมี งาน ของส�ำนักประสานงานให้เขา้ ใจรปู แบบการท�ำงานของ สกว. จากระยะเวลาในการเตรียมงานไมถ่ งึ หน่ึงปี ฝ่ายอุตสาหกรรมท่ีเดิมมีทีมงานเพียง 6 คน (ผู้บริหาร 1 คน เจ้าหน้าที่บริหารโครงการ 2 คน เจา้ หนา้ ทสี่ นบั สนนุ โครงการ 2 คน และเจา้ หนา้ ทส่ี นบั สนนุ ทวั่ ไป 1 คน) และสำ� นกั ประสานงาน 3 ส�ำนัก ได้ขยายทีมงานเป็น 11 คน และมีส�ำนักประสานงานที่อยู่ภายใต้ฝ่ายฯ รวม 11 ส�ำนัก กระจายอยใู่ นหลายมหาวทิ ยาลัย ดังน้ี • สำ� นกั ประสานงานอตุ สาหกรรมอาหารและเวชส�ำอาง • ภายใต้ชุดโครงการ Innovative House (มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร) สำ� นกั ประสานงานอตุ สาหกรรมอาหารแหง่ อนาคต • (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบุรี) ส�ำนักประสานงานอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยชี ีวภาพ • (มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์) ส�ำนกั ประสานงานอุตสาหกรรมยานยนตส์ มยั ใหมแ่ ละอิเล็กทรอนกิ สอ์ ัจฉรยิ ะ • (มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนอื ) ส�ำนักประสานงานอุตสาหกรรมห่นุ ยนตแ์ ละระบบอตั โนมัติ • (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ พระนครเหนอื ) ส�ำนักประสานงานอตุ สาหกรรมการขนส่งและการบิน • (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์) สำ� นักประสานงานอุตสาหกรรมเชอ้ื เพลงิ ชีวภาพและเคมีชวี ภาพ •• (มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี) ส�ำนักประสานงานอุตสาหกรรมดิจทิ ัล (มหาวทิ ยาลัยบรู พา) ส�ำนักประสานงานอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร • (ภายใต้ความรว่ มมือกบั มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร)์ ส�ำนกั ประสานงานอตุ สาหกรรมความม่นั คงและเทคโนโลยีอวกาศ • (มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนือ) สำ� นกั ประสานงานชดุ โครงการเชิงนโยบายเร่ืองกับดกั ประเทศรายไดป้ านกลาง (มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์)

ในปีงบประมาณ 2560 ซ่ึงเป็นปีแรกท่ีด�ำเนินโครงการ S-Curve ฝ่ายอุตสาหกรรม สามารถสนับสนุนทุนวิจัยได้ 185 โครงการ โดยมีบริษัทเอกชนที่ร่วมในโครงการ 160 ราย ใช้งบประมาณสนับสนุนการวิจัยจาก สกว. ประมาณ 380 ล้านบาท โดยเอกชนร่วมสนับสนุน งบประมาณเป็นเงินสดกว่า 75 ล้านบาท และได้รับงบประมาณสมทบจากหน่วยงานอื่นของรัฐ อีกประมาณ 25 ล้านบาท หรือรวมแล้วฝ่ายอุตสาหกรรมต้องบริหารโครงการมูลค่ารวมประมาณ 480 ล้านบาท (ไม่นบั รวมการสนบั สนนุ ในรูปแบบ in kind หรอื รปู แบบอน่ื ที่ไม่ใช่เงนิ สด) เนื่องจากการด�ำเนินงานในปีแรก (งบประมาณปี 2560) ท่ีเน้นรูปแบบการสนับสนนุตาม ความต้องการของเอกชนแต่ละราย ถึงแม้จะมีการประกาศกรอบการวิจัยที่ได้จากการ Focus group ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ก็ยังค่อนข้างกว้าง ท�ำให้โจทย์วิจัยในแต่ละชุดอุตสาหกรรม มีความหลากหลายพอสมควร อย่างไรก็ตามฝ่ายอุตสาหกรรมสามารถจัดกลุ่มโครงการได้ตาม Platform ส�ำคัญ ซึ่งมีทศิ ทางสอดคลอ้ งกบั เศรษฐกิจกระแสใหม่ ตวั อยา่ งเชน่ Platform ดา้ นวคั ซีน และยาจากสารชีวภาพเพ่ือรักษาและป้องกันโรคในสัตว์เศรษฐกิจ Platform การพัฒนาเช้ือเพลิง ชีวภาพจากเศษเหลือของอุตสาหกรรมการเกษตรและขยะจากครัวเรือน Platform การพัฒนา ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากเช้ือเพลิงชีวภาพกลุ่มไบโอเอทานอลและไบโอดีเซลรวมทั้งน้�ำมันปาล์ม ซึ่งอยู่ในกลุ่มเศรษฐกิจฐานชีวภาพ นอกจากน้ันยังมี Platform ด้าน Digital content และ อนิ เตอร์เนต็ ของทกุ สรรพส่ิง (Internet of Things หรอื IoTs) ซ่ึงอยู่ในกลมุ่ เศรษฐกิจดจิ ทิ ลั เปน็ ตน้ ความท้าทายในการเริ่มงานเกิดขึ้นจากทั้งการมีทีมใหม่ท่ียังไม่มีประสบการณ์ และการ ต้องเร่ิมงานกับกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่หรือ New S-curve Industries ซ่ึงในบางอุตสาหกรรม มีจำ� นวนผปู้ ระกอบการและนกั วจิ ัยนอ้ ยมาก เช่น อตุ สาหกรรมการบิน ท่ีแม้ฝ่ายอตุ สาหกรรม สกว. จะเป็นแกนหลักในการช่วยสร้างเครือข่ายผู้ที่เก่ียวข้องโดยการจัดสัมนาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบ Series เพื่อหาช่องทาง ให้โอกาสผู้สนใจ รวมทั้งท�ำให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมได้รู้จักและ รับทราบทิศทางและโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน รวมทั้งประโยชน์ของงานวิจัยและ กลไกการสนบั สนุนของ สกว. แล้วกต็ าม แตโ่ จทย์วจิ ยั ในกลุม่ ดังกล่าวกม็ ีจำ� นวนนอ้ ยมาก สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวจิ ัย (สกว.) 279

280 นวัตกรรมการบริหารจดั การงานวิจัย 2. การปรับยทุ ธศาสตรด์ ้านทรัพยส์ นิ ทางปัญญา เน่ืองจากการท�ำงานเพ่ือขับเคล่ือนนวัตกรรมโดยเฉพาะการร่วมงานกับภาคเอกชน คงหลกี เลี่ยงไม่พน้ ทีจ่ ะต้องพจิ ารณาเร่อื งทรัพยส์ ินทางปญั ญาอยา่ งรอบคอบ เนื่องจากประเทศไทย ยังขาดกฎหมายท่ีกล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากงบประมาณวิจัย ภาครัฐเชน่ เดยี วกันกบั หลายประเทศ ตัวอย่างเชน่ Bayh-Dole Act ท่นี บั วา่ เปน็ ตน้ แบบกฎหมาย ดา้ นนี้ของสหรฐั อเมริกา ดงั น้นั สกว. ต้องมีการปรับหลกั เกณฑท์ ี่เกี่ยวข้องโดยยึดหลกั สำ� คญั ดงั น้ี • สกว. เป็นหน่วยงานท่ีไม่แสวงหาก�ำไร ดังนั้นข้อบังคับและหลักเกณฑ์การจัดสรร สทิ ธปิ ระโยชนจ์ ากทพั ยส์ นิ ทางปญั ญา จะมงุ่ เนน้ เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ระกอบการทรี่ ว่ มในโครงการ • พยายามผลกั ดันให้ผลงานไปสู่การใช้ประโยชนเ์ ชิงพาณชิ ย์ ต้องท�ำให้เกิดแรงจูงใจกับนักวิจัยและหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อให้ออกมาท�ำงานวิจัย • รว่ มกับภาคเอกชนเพม่ิ มากข้ึน สร้างความเข้าใจและความชัดเจนในเร่ืองความเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา และ สทิ ธิประโยชนท์ ่ีเกิดขนึ้ เพือ่ ปอ้ งกนั กรณพี ิพาทในภายหลงั นอกจากหลักเกณฑ์ภายในหน่วยงาน สกว. ฝ่ายอุตสาหกรรม ได้ร่วมท�ำงานเป็นเครือข่าย กบั หนว่ ยงานอนื่ ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การมงุ่ ใชป้ ระโยชนข์ องทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา เชน่ เครอื ขา่ ยพนั ธมติ ร ผู้จัดการนวัตกรรมของประเทศไทย (Thailand Alliance of Innovation Managers) ท่ี สกว. ร่วมเป็นหนึ่งในหน่วยงานสนับสนุนงบประมาณด�ำเนินการของเครือข่ายดังกล่าว อีกท้ังยัง รว่ มมอื กบั สำ� นกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา (สกอ.) เพอ่ื พฒั นาหนว่ ยงานทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา (Technology Licensing Office หรือ TLO) ของมหาวทิ ยาลยั ตา่ ง ๆ ด้วย โดยคาดหวงั วา่ จะเป็น หนึ่งใน Catalyst ที่ท�ำให้เกิดความตระหนักและต่ืนตัวเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาในการร่วมกัน ท�ำงานระหว่างเอกชนและนักวิจัยภาครัฐ ที่เกิดจากงบประมาณวิจัยร่วมของภาครัฐและเอกชน หรืองานวิจัยจากภาครัฐ ท่ีจะน�ำไปสู่การท�ำความเข้าใจและยึดถือปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรมและ ยังประโยชน์ให้กับทุกฝ่าย และจะช่วยท�ำให้การบังคับใช้กฏหมายการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย ทอ่ี าจจะเกิดขน้ึ ในอนาคต เปน็ ไปได้อย่างราบร่นื

3. การสรา้ งเครือข่ายและการประชาสัมพนั ธ์ การทำ� ใหโ้ ครงการยกระดบั อตุ สาหกรรมเปา้ หมายดว้ ยการวจิ ยั และพฒั นาเปน็ ทรี่ จู้ กั ถอื เปน็ อีกหนึ่งความท้าทายส�ำคัญ ซึ่งต้องอาศัยท้ังการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและการประชาสัมพันธ์ เชิงรุก ในการประชาสัมพันธ์ต้องมุ่งเน้นเป้าหมายทั้งภาคเอกชนและกลุ่มมหาวิทยาลัย โดยได้มี การประชาสัมพนั ธ์ทนุ วจิ ยั ท้งั ในทปี่ ระชุมใหญข่ องสภาอุตสาหกรรมแหง่ ประเทศไทย ท่ีประชมุ ใหญ่ สภาหอการค้าไทย และการประชาสัมพันธ์กับสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมในจังหวัด ขนาดใหญ่ เปน็ ตน้ นอกจากนน้ั ยงั มที มี งานเดนิ สายประชาสมั พนั ธไ์ ปยงั 20 มหาวทิ ยาลยั ทวั่ ประเทศ เพือ่ สรา้ งการรบั ร้เู รอื่ งการสนับสนุนงบประมาณวจิ ยั ภายใต้กรอบ 10 อตุ สาหกรรมเปา้ หมาย การประชาสัมพันธ์ Online เป็นส่ิงที่ขาดไม่ได้ นอกเหนือจาก Website และ Social media ต่าง ๆ ฝา่ ยอตุ สาหกรรมสนบั สนุนช่องทางการสอื่ สาร Online ทเ่ี นน้ Interaction ระหวา่ ง ผู้ใช้เทคโนโลยีและผู้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อท�ำหน้าที่จับคู่ความต้องการเทคโนโลยีผ่านช่องทาง http://www.tech2biz.net/ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือเป็นหน่ึงในกลยุทธ์ส�ำคัญที่จะท�ำให้โครงการขนาดใหญ่ สามารถเดินไปได้เร็วข้ึน อีกท้ังเป็นท่ีทราบกันดีว่าการผลักดันงานวิจัยไปสู่ตลาดไม่สามารถท�ำได้ โดยหนว่ ยงานเดยี วหรอื องคาพยพเพยี งหนง่ึ เดยี ว แตต่ อ้ งอาศยั ระบบนเิ วศนน์ วตั กรรม (Innovation Ecosystem) ท่ีเอื้อต่อการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ เช่น ระบบมาตรฐาน ระบบทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งช่องทางการตลาด เป็นต้น ท่ีผ่านมาฝ่ายอุตสาหกรรม สกว. ได้ร่วมมือกับหน่วยงานหลากหลายอย่างใกล้ชิด ทั้งหน่วยงานท่ีก�ำกับดูแลมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เช่น อย. (องค์การอาหารและยา) และได้ร่วมเป็นหนึ่งในเครือข่ายผู้จัดการนวัตกรรมของประเทศ (AIMs) ทมี่ สี มาชกิ มาจากทง้ั หนว่ ยงานระดบั นโยบาย หนว่ ยงานสนบั สนนุ ทนุ วจิ ยั และหนว่ ยงานวจิ ยั เพอ่ื สรา้ งความเขม้ แขง็ ใหก้ บั ระบบนเิ วศนน์ วตั กรรมของประเทศ นอกจากนน้ั ฝา่ ยอตุ สาหกรรม สกว. ยังไดพ้ ัฒนาความสัมพันธ์กับหลายหน่วยงาน และไดน้ �ำไปส่กู ารลงนามความร่วมมอื กัน อาทิ ITAP สวทช. เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการด้านอาหารและเวชส�ำอาง โดยสนับสนุน งบประมาณท�ำการวิจัยและพัฒนาควบคู่กับการสนับสนุนการศึกษาตลาดเบ้ืองต้นและ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากงานวิจัยที่พร้อมขายจริง 80-100 ผลติ ภัณฑต์ อ่ ปี สำ� นกั งานกองทุนสนับสนุนการวจิ ยั (สกว.) 281

282 นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ยั โครงการ Talent Mobility เป็นโครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ใน มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ เพ่ือสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีบุคลากร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีศักยภาพรองรับการลงทุนวิจัยและพัฒนาและสร้าง นวัตกรรมเพ่ิมขึ้นอย่างเพียงพอ ก่อให้เกิดขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มข้ึน สกว. จะสนับสนุนงบประมาณวิจัยตามโจทย์ของผู้ประกอบการโดยมีนักวิจัยจากภาครัฐที่ได้ รับสนับสนุนผ่านโครงการ Talent Mobility เปน็ ผยู้ ืน่ ข้อเสนอโครงการ Food Innopolis สวทน. มกี ารจดั Seminar series เรอื่ ง Cutting-edge Technology for Food Industry เพอื่ ใหผ้ ปู้ ระกอบการดา้ นอาหารของประเทศไทยไดร้ จู้ กั เทคโนโลยี ใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมอาหาร และมองเห็นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมโดยใช้ เทคโนโลยีต่าง ๆ ธนาคารตา่ ง ๆ อาทิ ธนาคารพฒั นาวสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ มแหง่ ประเทศไทย (SME Bank) ธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารกสิกรไทย เพ่ือส่งต่อ ผู้ประกอบการ โดย สกว. สามารถรับพจิ ารณาสนับสนนุ งบประมาณวจิ ัยตามโจทย์ของ ผู้ประกอบการท่ีทางธนาคารแนะน�ำมา และในทางกลับกันธนาคารสามารถอนุมัติ วงเงินลงทุนในการผลิตสินค้านวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการที่ สกว. ให้การสนับสนุน ในอตั ราดอกเบย้ี พเิ ศษ ส�ำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดย สกว. สนับสนุน ดา้ นงบประมาณและการบรหิ ารงานวจิ ยั และพฒั นาใหก้ บั ผปู้ ระกอบการ SME ในขณะท่ี สสว. จะส่งเสริมผู้ประกอบการด้านการบริหารจัดการและการตลาดทั้งในและ ต่างประเทศ รวมไปถึงการท�ำการตลาดออนไลน์ เป้าหมายการส่งเสริมผู้ประกอบการ รวม 300 รายใน 3 ปแี รก ภายใตช้ อื่ โครงการวา่ TOMMI (TRF and OSMEP Marketing Meets Innovation)

4. การสนบั สนนุ การวจิ ยั เชงิ นโยบายเพอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทางในการดำ� เนนิ งาน ฝ่ายอุตสาหกรรม สกว. นอกจากสนับสนุนงบประมาณวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว ยังมี ชุดโครงการวิจัยเชิงนโยบายท่ีสนับสนุนงบประมาณวิจัยที่เก่ียวข้องกับการหลุดพ้นกับดักประเทศ รายได้ปานกลาง ซึ่งเปน็ หนง่ึ ในชดุ โครงการภายใต้กลุ่ม Strategic Research Issue (SRI 12) ของ สกว. โดยมุ่งสนับสนุนการวิจัยเชิงนโยบายเพ่ือยกระดับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายโดยเน้นการ ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพ่ือให้เกิดการปรับเปล่ียนกระบวนทัศน์ (Paradigm shift) ไปในทิศทางท่ีก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ธุรกิจใหม่ ๆ และ/หรือการเพ่ิมมูลค่าที่สูงขึ้น ในแต่ละ sector ท่ีส่งผลให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางอย่างมีนัยส�ำคัญ โดยดูจากบริบทของประเทศและตัวอย่างจากต่างประเทศ ท้ังน้ีการด�ำเนินงานภายใต้ชุดโครงการ ดังกล่าว มีคณะกรรมการท่ีปรึกษาที่มีประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นประธาน และมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ เลขาธิการ สวทน. (ส�ำนักงานคณะกรรมการนโยบาย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์) รองเลขาธิการ BOI (ส�ำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) และผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ผลที่ได้จากงานวิจัยนอกจากจะเป็นประโยชน์กับหน่วยงานอื่น ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งแลว้ ฝา่ ยอตุ สาหกรรมยงั สามารถใชเ้ ปน็ แนวทางในการสนบั สนนุ งานวจิ ยั ในอตุ สาหกรรม ตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งมที ิศทางอกี ดว้ ย สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจัย (สกว.) 283

284 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการงานวิจยั การด�ำเนินงาน ในปแี รกของการดำ� เนนิ งาน ฝา่ ยอตุ สาหกรรมไดจ้ ดั แนวทางการดำ� เนนิ งานสนบั สนนุ การวจิ ยั ในอตุ สาหกรรมเป้าหมายไว้ 3 กลมุ่ ใหญ่ คอื กลมุ่ อตุ สาหกรรมเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชวี ภาพ เป็นอุตสาหกรรมกลุม่ เดมิ ที่ใช้ local content สงู ตอ้ งเพมิ่ มูลค่าของทรัพยากรภายใน ประเทศให้เกดิ การกระจายผลประโยชน์ตลอดสายโซ่อปุ ทานการผลติ ในทุกระดับ และ ต้องสนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เพ่ือให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ส่งผลให้ เกิดการเพ่มิ ผลประโยชน์เชงิ เศรษฐกิจไดใ้ นระดับทีส่ ูง กลมุ่ อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเลก็ ทรอนิกส์ เปน็ อตุ สาหกรรมกลมุ่ เดมิ ทใ่ี ช้ local content ตำ่� เพราะขาดอตุ สาหกรรมตน้ นำ้� รองรบั เชน่ อตุ สาหกรรมเหลก็ อตุ สาหกรรมแมพ่ มิ พ์ และอตุ สาหกรรมเครอื่ งจกั ร ตอ้ งยกระดบั ผู้ประกอบการผลิตในประเทศโดยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการปรับเปล่ียนกระบวนทัศน์ (Paradigm shift) ไปในทิศทางท่ีก่อให้เกิด นวัตกรรมใหม่ ๆ ชักจูงให้ชาวต่างชาติเข้ามาท�ำวิจัยและพัฒนาในประเทศให้เกิด การถ่ายโอนเทคโนโลยี รวมทั้งผลักดันให้เกิดการย้ายฐานวิจัยจากต่างประเทศมาสู่ ประเทศไทย กลุม่ อุตสาหกรรมใหม่ อตุ สาหกรรมหนุ่ ยนตแ์ ละระบบอตั โนมตั ิ ขนสง่ และการบนิ เชอื้ เพลงิ ชวี ภาพ อตุ สาหกรรม การแพทย์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่มีผู้เก่ียวข้องน้อย ทั้งผู้ประกอบการและนักวิจัยมีจ�ำนวนไม่มากนัก ต้องสนับสนุนการสร้างและพัฒนา ผปู้ ระกอบการรายใหม่ (startups) หรอื สง่ เสรมิ ผปู้ ระกอบการจากกลมุ่ อตุ สาหกรรมเดมิ ใหย้ กระดบั เขา้ สอู่ ตุ สาหกรรมกลมุ่ ใหม่ สง่ เสรมิ การถา่ ยทอดเทคโนโลยจี ากตา่ งประเทศ ผา่ นการทำ� วจิ ยั และพฒั นาภายในประเทศ และสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ นกั วจิ ยั เพอ่ื อตุ สาหกรรม ในกลมุ่ New S-curve

การส่งเสริมการพัฒนานวตั กรรมในรูปแบบ Open Innovation และสนับสนุนการพฒั นาเทคโนโลยพี ้ืนฐาน ระบบนวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) คือการสร้างนวัตกรรมท่ีผสมผสานระหว่าง ภายในและภายนอกองค์กร โดยไม่จ�ำเป็นต้องค้นคว้าวิจัยตั้งแต่ต้นแบบปกปิดภายใต้องค์กร เดียวท้ังหมด แต่สามารถเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ทั้งแนวคิด ความรู้ หรือเทคโนโลยีจากภายนอกมา ต่อยอดได้ เป็นการลดความเส่ียงของการล้มเหลวจากลงทุนวิจัยและพัฒนา ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเร่งหรือลดระยะเวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดได้ รวมท้ังสามารถ ลดการใช้ทรัพยากรที่จ�ำเป็นในการลงทุนวิจัยและพัฒนาของแต่ละองค์กรลงได้อีกด้วย 8 สกว. อตุ สาหกรรมจะเนน้ สง่ เสริมการพฒั นาเทคโนโลยีในรปู แบบ Open Innovation มากข้นึ โดย เน้นการมีส่วนร่วมของบริษัทเอกชนมากกว่าหน่ึงรายในหน่ึงโครงการ ซึ่งจะร่วมกันสนับสนุนการ พัฒนาเทคโนโลยีในระดับท่ีเป็น Pre-competitive stage ซ่ึงจะท�ำให้การใช้งบประมาณวิจัยของ รัฐคุ้มค่ามากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เปิดการแลกเปลี่ยนของบริษัทเอกชนที่จะช่วยทำ� ให้การพัฒนา เทคโนโลยีฐานสามารถท�ำได้รวดเร็วมากข้ึน ตัวอย่างที่ สกว. ก�ำลังเร่ิมสนับสนุนเช่น โครงการ พฒั นาตวั เรง่ ปฏิกิรยิ าในการเปลย่ี นเชื้อเพลิงชีวภาพใหเ้ ปน็ สารที่มีมูลค่าสงู โดยมีบริษัทเอกชนร่วม ในโครงการ 6 รายและมนี ักวจิ ัยจากหลายมหาวทิ ยาลัยร่วมในโครงการโดยมนี ักวจิ ยั หลกั อยู่ทีภ่ าค วชิ าวิศวกรรมเคมี จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั 8 Open Innovation: The New Imperative for Creating and Profiting from Technology. Henry Chesbrough, HBS Press. 2003. ISBN 1422102831-978 ส�ำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจยั (สกว.) 285

286 นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การงานวิจัย นอกจากนนั้ จากการทำ� งานทีผ่ ่านมา ฝ่ายอุตสาหกรรม สกว. พบวา่ การพฒั นาเทคโนโลยใี น ภาคเอกชนส่วนใหญ่ยังเน้นท่ีเทคโนโลยีพร้อมใช้มากกว่าการพัฒนาเทคโนโลยีฐานท่ีมีความส�ำคัญ หรือเทคโนโลยีในอนาคต เนื่องจากยังมีความเส่ียงสูงและต้องการนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ สงู มาก ฝา่ ยอตุ สาหกรรมจงึ เปดิ โครงการสนบั สนนุ การวจิ ยั เทคโนโลพนื้ ฐาน ซง่ึ เปน็ เทคโนโลยใี นขนั้ Pre-competitive stage ท่ีจะเป็นกลไกส�ำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรม โดยเป็นเทคโนโลยี ท่ีไม่จ�ำเพาะเจาะจงใช้ได้เฉพาะผู้ประกอบการรายใดรายหน่ึง แต่ผู้ประกอบการแต่ละรายสามารถ น�ำไปต่อยอดเพ่ือพัฒนาต่อตามความต้องการของตนเองเพื่อเข้าสู่ Competitive stage ได้ ฝ่ายอุตสาหกรรมให้ความส�ำคัญกับเทคโนโลยีท่ีตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ และเป็น เทคโนโลยีที่มีความส�ำคัญ หรือสามารถชี้ให้เห็นได้ว่ามีโอกาสสูงที่จะต้องเตรียมการเผ่ือไว้ ในอนาคต โดยเฉพาะโครงการที่มีภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีในรูปแบบ นวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) นอกจากน้ัน โครงการปริญญาเอกกาญจนภิเษก สกว. เห็นควรสนับสนุนให้มีการสร้างนักวิจัยใหม่ในระดับปริญญาเอกผ่านการท�ำวิจัยร่วมในโครงการน้ี เพอื่ แกป้ ญั หาสำ� คญั ในประเดน็ ขาดแคลนนกั วจิ ยั ในสาขาทเี่ ปน็ ความตอ้ งการของประเทศ ทจี่ ะทำ� ให้ ประเทศไทยขับเคล่ือนไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างยั่งยืน เน่ืองจากการพัฒนาเทคโนโลยีฐาน จะใช้งบประมาณค่อนข้างสูง และระยะเวลาด�ำเนินงานค่อนข้างนาน ฝ่ายอุตสาหกรรม สกว. จงึ สนับสนนุ งบประมาณวิจัยรวม 3 ปีสงู ถงึ 40 ล้านบาท โดยงบประมาณต่อปีไมเ่ กิน 15 ล้านบาท และภาคเอกชนตอ้ งร่วมสนบั สนุนในลกั ษณะ Participation fee ในรูปของเงินสด (In cash) ผา่ น สกว. รวมกันแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าโครงการ โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก สกว. ร่วมสนับสนุนทุนนักศึกษาผู้ช่วยวิจัยในระดับปริญญาเอก โดยมีเงื่อนไขการสนับสนุน โครงการแบบกลุ่มซ่งึ เปน็ รปู แบบใหม่ท่ี คปก. พฒั นาขนึ้ ในปีงบประมาณ 2560 นี้เช่นกัน

เศรษฐกจิ กระแสใหม่..แนวทางใหม่ในการสนับสนนุ ทนุ วิจัย เศรษฐกจิ กระแสใหม่ (New Economy) 9 เป็นระบบเศรษฐกิจท่ีขับเคลอ่ื นด้วยนวตั กรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ โดยค�ำนึงถึงความยั่งยืนทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อ ต้องการยกระดับการพัฒนาประเทศ จากการเป็นประเทศ “รับจ้างผลิตสินค้า” เป็นประเทศท่ีมี ความสามารถใน “การพัฒนานวัตกรรม” โดยใช้จุดแข็งของประเทศ เช่น ต้นทุนทางสังคมและ วัฒนธรรม ต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นเครื่องมือส�ำคัญในการสร้าง ขีดความสามารถของระบบเศรษฐกิจผ่านการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ซ่ึงประกอบด้วย ภาคเศรษฐกิจ 5 สาขาหลัก คือ เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม (Creative and Cultural Economy) เศรษฐกิจเพ่ือสังคม (Social Economy) และเศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy) ซึ่งจัดท�ำโดย คณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจกระแสใหม่ ในคณะกรรมาธิการขับเคล่ือน การปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ สภาขับเคล่ือนการปฏิรูปประเทศ และผ่านความเห็นชอบ เรยี บรอ้ ยแลว้ โครงการ S-curve ฝา่ ยอตุ สาหกรรม สกว. จะไดน้ ำ� มาใชเ้ ปน็ แนวทางประกอบการทำ� กรอบวิจยั และจดั ใหม้ ชี ุดโครงการวิจยั ต่อไป CreatEivceon&omCuyltural EcSooncoiaml y EcoBnioomy EcDoigniotaml y EcSoinlvoemr y Future Economy ภาพที่ 4 เศรษฐกจิ กระแสใหม่ ทีเ่ ปน็ แนวทางในการสนบั สนุนทนุ วิจยั ของอุตสาหกรรม S-curve 9 https://www.nstda.or.th/th/news/5047-creative-cultural-economy, Available in April 2018 ส�ำนักงานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ัย (สกว.) 287

288 นวัตกรรมการบรหิ ารจดั การงานวจิ ัย บทส่งท้าย ทิศทางการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของประเทศไทยในอนาคตจะมีการ เปลีย่ นแปลงอย่างเหน็ ไดช้ ัด จากความพยายามในการปฏิรูประบบวิจัยของรฐั บาลและผทู้ ี่เก่ยี วข้อง โดยจะเห็นได้วา่ มแี นวทางการท�ำงานใหม่ ๆ เกิดขน้ึ ตลอดเวลา เช่น โครงการ Spearhead ซึ่งเปน็ โครงการขนาดใหญ่มีแนวคิดคล้ายกับโครงการยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วยการวิจัยและ พฒั นาที่ สกว. โดยฝ่ายอุตสาหกรรมกำ� ลังดำ� เนินการอยู่ แตเ่ ปิดโอกาสใหห้ นว่ ยงานท�ำวจิ ัยสามารถ เสนอของบประมาณในการดำ� เนนิ งานไดโ้ ดยตรง จากหนว่ ยงานระดบั นโยบายทพี่ จิ ารณาการจดั สรร งบประมาณร่วมกันกับส�ำนักงบประมาณ คงเป็นการบ้านท่ีผู้ที่มีอ�ำนาจหน้าที่ในประเทศไทย และ สกว. เองตอ้ งขบคดิ รว่ มกนั วา่ จะใชป้ ระโยชนจ์ ากความเชย่ี วชาญในการบรหิ ารจดั การโครงการ ชุดโครงการ และแผนงานวิจัยได้อย่างไร จึงจะท�ำให้เราสามารถใช้งบประมาณวิจัยได้คุ้มค่า ในขณะเดียวกันก็ท�ำให้เกิด Impact มากพอที่จะท�ำให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ฉุดเศรษฐกิจไทยให้หลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ได้ในที่สดุ ในอนาคต ประเทศไทยต้องเป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหนา้ เป็นประเทศพัฒนาแล้ว หรอื ประเทศ รายไดส้ งู เช่นเดยี วกบั ประเทศพัฒนาแล้วทัง้ หลายทป่ี ระสบความสำ� เร็จ ซึง่ ล้วนขบั เคล่อื นเศรษฐกจิ และอตุ สาหกรรมดว้ ยงานวจิ ยั และพฒั นาทง้ั สนิ้ ผปู้ ระกอบการของประเทศไทยยคุ 4.0 ตอ้ งเนน้ วจิ ยั และพัฒนา (R&D) สร้างนวัตกรรมท่ีจะช่วยสร้างชาติให้มั่งค่ัง และเป็นเป้าหมายใหญ่ของภาครัฐ ที่ต้องมุ่งมั่นไปให้ถึงเป้าหมายนี้ ผ่านการประกาศและด�ำเนินนโยบายอย่างจริงจังพาไทยหลุดจาก กบั ดักรายได้ปานกลาง ทัง้ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ท้งั การกำ� หนดอตุ สาหกรรมเป้าหมาย S-curve และ New S-curve รวมถึงให้การสนับสนุนเป็นรูปธรรมผ่านการเพ่ิมงบประมาณเพื่อการวิจัย สร้างชาติ และปฏิรูประบบวิจัยอย่างจริงจังโดยเฉพาะระบบงบประมาณวิจัย ให้ความส�ำคัญกับ การบริหารงานวิจัยและนวัตกรรม และระบบนิเวศน์นวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ที่มี ความส�ำคัญไมน่ อ้ ยไปกว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนวตั กรรม

ปจ˜ ฉมิ บท TRFManRaegseemarecnht

290 นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การงานวิจัย ปฏแลริะปู รกะบา้ บววจิตัย่อไปของ สกว. การปฏิรปู ระบบวจิ ยั กำ� ลงั ดำ� เนนิ ไปอย่างตอ่ เน่ืองและเปน็ รูปธรรม สง่ ผลใหร้ ะบบวจิ ัยของประเทศ เกดิ การเปลย่ี นแปลงและจะเปลย่ี นแปลงต่อไปอกี ในอนาคตซง่ึ จะมผี ลกระทบต่อ ระบบ โครงสรา้ ง ส่งิ แวดลอ้ ม องค์กร บุคลากร งบประมาณ การบรหิ าร และ ผ้มู สี ว่ นไดส้ ่วนเสยี ในระบบวจิ ยั ศาสตราจารย์ นพ.สทุ ธิพนั ธ์ จติ พมิ ลมาศ ผู้อ�ำนวยการ ส�ำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงดังกล่าว เนื้อหาในบทนี้จะกล่าวถึงการปฏิรูประบบวิจัย ทั้งในอดตี จนถึงปจั จุบันโดยย่อ ขอ้ มูลลา่ สดุ ในบทนเี้ ป็นขอ้ มลู ณ วันที่ตพี ิมพ์ นอกจากนจี้ ะกลา่ วถงึ สกว. (สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจยั ) ในอดตี ปัจจบุ ันและอนาคต การประเมนิ ผลกระทบของ การปฏิรูประบบวิจัยท่ีจะส่งผลต่อ สกว. รวมทั้งจะได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์ใหม่และนวัตกรรม การบรหิ ารทุนและองคก์ ร เพอ่ื ใหท้ ราบถึงทศิ ทางการทำ� งานใหม่ ๆ ของ สกว. ต่อไป

พฒั นาการและการปฏริ ปู ระบบวิจัยไทย จุดเร่ิมตน้ ของการวิจัยและระบบวจิ ยั ไทย เร่มิ จากการทป่ี ระเทศไทยใหค้ วามสำ� คญั ในการนำ� ความรจู้ ากการวจิ ัยมาใชป้ ระโยชน์ในการพฒั นาประเทศ ซงึ่ ย้อนหลงั ไปตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2499 จนถงึ ปจั จบุ นั เป็นระยะเวลา 62 ปี สว่ นการปฏิรูประบบวิจยั เรมิ่ ตน้ ในช่วงปี พ.ศ. 2545 และดำ� เนินการ ตอ่ เน่ือง ในช่วงเวลา 62 ปี การพัฒนาการการวิจยั ไทย อาจแบ่งออกได้ 4 ช่วงเวลา (ภาพที่ 1) รพัฒะบนาบกาวรแล�จะกัยารไปทฎิรยูป ระยะที่ 1 ยคุ เร�มตนŒ ของการวจ� ัย (2499-2520) (พ.ศ. 2499-2561) • การตราพระราชบัญญตั สิ ภาวจ� ัยแห‹งชาติ พ.ศ. 2499 • การจดั ต้ังสำนักงานคณะกรรมการว�จยั แหง‹ ชาติ ระบบ • การจดั ตัง้ หน‹วยงานระดบั นโยบายในการพัฒนาประเทศ 3 หนว‹ ยงาน วจ� ัยไทย ระยะที่ 2 ยคุ ความชดั เจนของการวจ� ยั (2520-2533) • รฐั บาลกำหนดใหŒว�ทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยเี ปนš เครอ�่ งมอื สำคัญในการพัฒนาประเทศ • การก‹อตง้ั หนว‹ ยงานสำคัญในระบบราชการและโอนยŒาย วช. มาสงั กดั กระทรวงวท� ยาศาสตร • จัดต้ังศูนยว �จยั แหง‹ ชาติ 3 ศนู ย • เรม� จัดทำ นโยบายและแนวทางการวจ� ยั แห‹งชาติ ระยะที่ 3 ยุคเพ�มประสิทธภิ าพในการบรห� ารจดั การการว�จยั (2534-2544) • จดั ต้งั สำนักงานพัฒนาวท� ยาศาสตรและเทคโนโลยีแหง‹ ชาติ (สวทช.) พ.ศ. 2534 • จดั ตงั้ สำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การว�จยั (สกว.) พ.ศ. 2535 • จัดตัง้ สถาบันวจ� ัยระบบสาธารณสขุ (สวรส.) พ.ศ. 2535 ระยะที่ 4 ยคุ สราŒ งความตระหนกั และการปฏริ ปู ระบบวจ� ยั (2545-2561) • จัดทำ สำนกั งานนวัตกรรมแห‹งชาติ พ.ศ. 2546 • จัดตงั้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวท� ยาศาสตรเ ทคโนโลยีและนวัตกรรมแหง‹ ชาติ พ.ศ. 2551 • เคร�อข‹ายองคก รบร�หารงานวจ� ยั แหง‹ ชาติ (คอบช.) พ.ศ. 2552 • โครงการปฏิรูประบบว�จัย พ.ศ. 2556 • จัดตงั้ สภาปฏิรปู แหง‹ ชาติ พ.ศ. 2557 • รฐั บาลจดั ทำ ยทุ ธศาสตรการว�จัยแหง‹ ชาติ 20 ป‚ และแผนปฏิรูประบบวจ� ัยแบบบูรณาการของประเทศ • คำสั่ง คสช. จดั ตงั้ สภานโยบายว�จยั และนวัตกรรมแห‹งชาติ พ.ศ. 2559 • จัดตั้ง สำนักงานการวจ� ยั และนวัตกรรมแห‹งชาติ พ.ศ. 2560 ภาพที่ 1 Timeline พฒั นาการและการปฏิรูประบบวจิ ยั ไทย 2499-2561 สำ� นักงานกองทุนสนบั สนุนการวิจัย (สกว.) 291

292 นวัตกรรมการบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั ระยะท่ี 1 พ.ศ. 2499-2520 เป็นชว่ งการเรมิ่ ตน้ ของการวิจัย ชว่ งน้เี ปน็ ระยะเวลา 21 ปี โดยทมี่ ีการตราพระราชบญั ญตั ิสภาวิจัย แหง่ ชาตใิ นปี พ.ศ. 2499 นบั ไดว้ า่ เป็นกฏหมายที่เกย่ี วกบั การวิจยั ของประเทศฉบบั แรก ตอ่ มาจึงมี การจัดต้ังส�ำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติข้ึน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มีการจัดต้ังหน่วยงาน ระดับนโยบายในการพัฒนาประเทศ 3 หน่วยงาน ได้แก่ สภาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ พ.ศ. 2493 สภา มหาวทิ ยาลยั แหง่ ชาติ พ.ศ. 2499 และสถาบนั วจิ ยั วทิ ยาศาสตรป์ ระยกุ ตแ์ หง่ ประเทศไทย พ.ศ. 2506 โดยทัง้ 3 หนว่ ยงานเก่ยี วขอ้ งกับการวจิ ัยโดยตรง ระยะที่ 2 พ.ศ. 2520-2533 เป็นช่วงเวลา 13 ปี การวิจยั เรมิ่ มที ศิ ทางและมคี วามชัดเจนมากข้นึ รัฐบาลกำ� หนดให้ นโยบายด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเครื่องมือส�ำคัญในการพัฒนาประเทศ มีการก่อต้ังหน่วยงานใน ระบบราชการ เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและพลังงาน พ.ศ. 2522 มีการโอนย้าย ส�ำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติมาสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ มีการตั้งศูนย์วิจัยแห่งชาติ 3 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์พันธุและวิศวกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2526 ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุ พ.ศ. 2529 และศนู ยเ์ ทคโนโลยอี เิ ลคทรอนกิ สแ์ ละคอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2529 ชว่ งเวลาน้ี สำ� นกั งานคณะ กรรมการวิจยั แหง่ ชาติ ได้เรมิ่ จดั ทำ� นโยบายและแนวทางการวจิ ยั แห่งชาติ ฉบับท่ี 1 (2520-2524) ฉบับท่ี 2 (2525-2529) และ ฉบับที่ 3 (2530-2534) ตามลำ� ดับ ระยะที่ 3 พ.ศ. 2534-2544 เป็นระยะเวลา 10 ปี เป็นช่วงท่ีมีการจัดต้ังหน่วยงานด้านการวิจัยแบบเป็นองค์กรอิสระจากการท่ี มแี นวคดิ วา่ การบริหารงานวิจยั ต้องใช้หน่วยงานที่ไมอ่ ยูใ่ นระบบราชการ จงึ จะมีประสทิ ธิภาพและ ประสิทธิผลสูงยิ่งข้ึน จึงมีการจัดต้ังส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พ.ศ. 2534 สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) พ.ศ. 2535 และสถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสขุ (สวรส.) พ.ศ. 2535 ระยะท่ี 4 พ.ศ. 2545-2561 ชว่ งนเ้ี ปน็ เวลา 16 ปี นบั จากปี พ.ศ. 2545 ถงึ ปจั จุบนั กระบวนการเปลยี่ นแปลงในระบบวจิ ัยยงั คง ด�ำเนนิ อยู่ หลังจากผ่านวิวฒั นาการ 3 ช่วง เปน็ ระยะเวลา 46 ปี มีการก่อตั้งหนว่ ยงานท่ีทำ� งานดา้ น การวิจยั และการบริหารงานวจิ ัยจำ� นวนมาก ปี พ.ศ. 2545 ไดเ้ ริ่มตระหนกั ถงึ ปญั หาและเกดิ การก่อ ตัวของแนวคิดในการปฏิรูประบบวิจัย มีการศึกษาและการจัดท�ำข้อเสนอเพ่ือการปฏิรูประบบวิจัย และมกี ารดำ� เนินการปฏริ ปู ระบบวิจัยอยา่ งเป็นรปู ธรรมเกิดขึน้ อยา่ งต่อเนอ่ื ง

การตระหนกั ถงึ ปญั หาและการกอ่ ตวั ของแนวคดิ ปฏริ ปู ระบบวจิ ยั การปฏริ ปู ระบบวจิ ยั เรมิ่ ตน้ ขน้ึ ในปี พ.ศ. 2545-2546 หนว่ ยงานวจิ ยั เรมิ่ ตระหนกั วา่ ชว่ งระยะ 24 ปีที่ผ่านมา (ช่วงระยะท่ี 2-3) สังคมมีความคาดหวังต่องานวิจัยเพ่ิมขึ้น แม้ว่ามีทุนวิจัยเพ่ิมขึ้น แต่การวิจัยของประเทศยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้มากเท่าท่ีควร จึงมี ความเห็นในระยะนั้นว่าท่ีเป็นเช่นนี้เนื่องจากส่ิงที่ประเทศและวงการวิจัยขาดคือ“ระบบวิจัยท่ีดี” ท่ีสามารถมองยุทธศาสตร์วิจัยในภาพกว้างและระยะยาว สามารถรวบรวม บูรณาการการวิจัย ใหเ้ ปน็ กลมุ่ กอ้ น เปน็ เอกภาพ มที ศิ ทางเดยี วกนั และเกดิ ประโยชนต์ อ่ ประเทศ จงึ ไดเ้ กดิ ความพยายาม ท่ีจัดท�ำข้อเสนอในการปรับระบบวิจัยของประเทศ ให้สามารถน�ำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง จึงมีการจดั ทำ� โครงการพฒั นาระบบวจิ ยั ของประเทศ พ.ศ. 2546 ในช่วงดังกล่าว มีแนวคิดและใหค้ วามส�ำคญั ต่อการวจิ ยั และนวัตกรรม ต่อเนื่องเช่อื มโยงกัน จึงได้มีการจัดต้ังส�ำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติข้ึนในปี พ.ศ. 2546 และได้จัดตั้ง ส�ำนักงาน คณะกรรมการนโยบายวทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยแี ละนวัตกรรมแห่งชาติ ข้นึ ในปี พ.ศ. 2551 ตอ่ มาในช่วงปี 2552 หนว่ ยงานบริหารงานวจิ ยั ของประเทศ ได้แก่ ส�ำนกั งานคณะกรรมการ วิจัยแห่งชาติ (วช.) สำ� นักงานกองทุนสนบั สนุนการวิจยั (สกว.) สำ� นักงานพัฒนาวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแหง่ ชาติ (สวทช.) สำ� นกั งานพฒั นาการวิจยั การเกษตร (สวก.) (องค์การมหาชน) สถาบัน วิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ส�ำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ นวตั กรรมแหง่ ชาติ (สวทน.) สำ� นกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา (สกอ.) ไดร้ ว่ มกนั จดั ตงั้ เครอื ขา่ ย การบริหารจัดการการวิจยั ท่เี รียกในระยะเริม่ ต้นวา่ 5ส. 1ว. ในเวลาต่อมาใช้ชอื่ “เครอื ข่ายองค์กร บริหารงานวิจัยแห่งชาติ” (คอบช.) โดยมีเป้าหมายเพ่ือร่วมบริหารจัดการและบรูณาการการวิจัย ของประเทศให้เป็นเอกภาพ มีประสทิ ธภิ าพ และลดความซ�้ำซอ้ นท้งั ดา้ นแผนงานและงบประมาณ การวจิ ยั สำ� นกั งานกองทุนสนับสนนุ การวิจัย (สกว.) 293

294 นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการงานวจิ ยั การจัดท�ำข้อเสนอเพ่ือการปฏริ ปู ระบบวิจัย ในช่วงปี พ.ศ. 2553-2556 มีความพยายามอีกคร้ังในการจัดท�ำข้อเสนอเพ่ือการปฏิรูป ระบบวิจยั โดยจดั ทำ� โครงการปฏิรูประบบการวิจัย (2556) ซง่ึ ได้เสนอองคป์ ระกอบของระบบวิจยั ใน 9 มติ ิ ประกอบด้วย 1) มติ นิ โยบายและยทุ ธศาสตร์ 2) มิติหน่วยจัดการทนุ วจิ ัย 3) มติ ทิ นุ และ งบประมาณการวิจัย 4) มิติหน่วยวิจัย 5) มิติบุคลากรวิจัย 6) มิติระบบมาตรฐานการวิจัย 7) มติ โิ ครงสรา้ งพนื้ ฐานรองรบั สนบั สนนุ การวจิ ยั 8) มติ กิ ารจดั การผลผลติ เเละ 9) มติ กิ ารประเมนิ ผล โดยเสนอให้มีการจัดโครงสร้างองค์กรในระบบวิจัยเป็น 4 ระดับ ได้แก่ หน่วยงานนโยบายวิจัย หน่วยจัดการทุนวิจัย หน่วยปฏิบัติการวิจัย และหน่วยถ่ายทอดและขยายผลจากงานวิจัย ซ่ึงจะ ต้องมีนโยบายวิจัยท่ีชัดเจน หน่วยงานแต่ละระดับจะต้องสามารถท�ำงานประสานเช่ือมโยงกัน มีงบประมาณของรัฐสนับสนุน มีการต้ังเป้าหมายร่วมกันภายใต้การประสานงานและก�ำกับจาก หนว่ ยงานนโยบายวจิ ัยระดบั ประเทศและสาขา มิติ 9 มิติ 1 มิติ 2 การประเมินผล และยนทุ โยธบศาายสตร หน‹วยจัดการ ทนุ วจ� ยั มิติ 8 ระ9บบมวิตจ� ยัิ มติ ิ 3 การจดั การ ทนุ และ ผลผลิต งบประมาณ การว�จัย มิติ 7 มิติ 4 โครงสรŒางพ�้นฐาน รองรับสนบั สนนุ หนว‹ ยว�จัย การวจ� ยั มิติ 6 มิติ 5 ระบบมาตรฐาน บุคลากรวจ� ยั การว�จัย

การปฏริ ปู ระบบวิจยั และการเปลย่ี นแปลงเชงิ โครงสรา้ งทีเ่ ป็นรูปธรรม พ.ศ. 2557 รัฐบาลได้จัดตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ และก�ำหนดให้การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วจิ ยั นวัตกรรมและทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา เป็นวาระในการปฏริ ปู โดยมีคณะกรรมาธิการ ปฏริ ปู จำ� นวน 2 วาระคอื วาระการปฏริ ปู ที่ 20 เรอื่ ง ระบบวจิ ยั เพอ่ื เปน็ โครงสรา้ งพน้ื ฐานทางปญั ญา ของประเทศ วาระการปฏิรูปท่ี 21 เรื่อง ระบบวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเป็น โครงสร้างพ้นื ฐานทางนวัตกรรมของประเทศ รฐั บาลไดจ้ ดั ทำ� ยทุ ธศาสตรก์ ารวจิ ยั แหง่ ชาติ 20 ปี และแผนการปฏริ ปู ระบบวจิ ยั แบบบรู ณาการ ของประเทศ กระบวนการจดั ท�ำอยา่ งมีส่วนร่วม รับฟงั ขอ้ เสนอแนะจากทกุ ภาคสว่ น มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือทุกหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรม ด�ำเนินการอย่างมีเอกภาพ ชัดเจน ลดความซ�้ำซ้อน และสง่ เสรมิ ใหร้ ะบบวจิ ยั ของประเทศเปน็ กลไกสำ� คญั ในการขบั เคลอ่ื นระบบเศรษฐกจิ และสงั คมของ ประเทศ โดยในยทุ ธศาสตร์ดังกล่าวไดก้ ำ� หนดวิสัยทัศน์ เปา้ หมาย ทิศทางการพัฒนา ยุทธศาสตร์ ภาพรวม ยทุ ธศาสตรร์ ายสาขาไวช้ ดั เจน ตุลาคม พ.ศ. 2559 มีค�ำส่ังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้จัดต้ัง สภานโยบายวิจัยและ นวัตกรรมแห่งชาติ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและ เลขาธกิ ารสำ� นกั งานคณะกรรมการนโยบายวจิ ยั และนวตั กรรมแหง่ ชาตเิ ปน็ เลขานกุ ารรว่ ม ทำ� หนา้ ท่ี ในการก�ำหนดทิศทางนโยบาย ยุทธศาสตร์ รวมท้ังปรับปรุงระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ตลอดจนก�ำกับติดตามการบริหารจัดการ การจัดสรรงบประมาณและประเมินผลการด�ำเนินการ มีการแต่งต้ังคณะอนุกรรมการ จ�ำนวน 5 คณะ คณะอนุกรรมการด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ วิจัยและนวตั กรรม ไดจ้ ดั ท�ำยทุ ธศาสตรก์ ารวจิ ยั และนวตั กรรมแหง่ ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) จากนั้นจะน�ำเสนอในท่ีประชุมคณะรัฐมนตรีเพ่ือจะได้ประกาศเป็นยุทธศาสตร์การวิจัยและ นวตั กรรมแหง่ ชาตติ อ่ ไป และไดม้ กี ารรา่ งแผนกลยทุ ธพฒั นาบคุ ลากรวจิ ยั และนวตั กรรมระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) เพอื่ เสนอตอ่ คณะรฐั มนตรตี อ่ ไป สำ� นกั งานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) 295

296 นวัตกรรมการบรหิ ารจดั การงานวิจัย มีการยกร่างพระราชบัญญัติการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ภารกจิ ในการจดั ทำ� และบรหิ ารนโยบายและยทุ ธศาสตรด์ า้ นการวจิ ยั และนวตั กรรมนำ� ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ อยา่ งเปน็ รปู ธรรม รวมทง้ั การกำ� กบั ตดิ ตามและประเมนิ ผลใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และทำ� ให้ โครงสรา้ งของระบบวจิ ยั มคี วามเขม้ แขง็ เปน็ ผลทางนติ นิ ยั สมบรู ณ์ รวมทง้ั มกี ารยกรา่ งพระราชบญั ญตั ิ ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวจิ ยั และนวตั กรรม เดอื นธนั วาคม พ.ศ. 2560 รฐั บาลไดป้ ระกาศระเบียบสำ� นกั นายกรัฐมนตรี ว่าด้วยส�ำนกั งาน การวจิ ยั และนวตั กรรมแหง่ ชาติ พ.ศ. 2560 ลงในราชกจิ จานเุ บกษาเมอ่ื วนั ที่ 29 ธนั วาคม พ.ศ. 2560 สาระส�ำคัญเป็นการจัดตั้งส�ำนักงานการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติข้ึน เป็นหน่วยงานภายในของ ส�ำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นการช่ัวคราว และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี มีหน้าท่ีและอ�ำนาจในการจัดท�ำนโยบายและยุทธศาสตร์ระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ และในเวลาต่อมาจะได้มีการปรับปรุงโครงสร้างและภารกิจของส่วนงานภายในให้สอดคล้องกับ พระราชบญั ญัตกิ ารวจิ ยั และนวัตกรรมตอ่ ไป กล่าวโดยสรุป การปฏิรูประบบวิจัยของประเทศยังคงด�ำเนินไปอย่างเข้มข้นและต่อเน่ือง ผลกระทบท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้น คือระบบวิจัยของประเทศจะรวมศูนย์มากข้ึน โดย สวนช. จะเป็น หนว่ ยงานในคณะกรรมการทมี่ บี ทบาทสำ� คญั ในการกำ� หนดทศิ ทางของงานวจิ ยั และกำ� หนดบทบาท หน้าทขี่ ององค์กรวิจยั ในระบบวจิ ยั อีกด้วย

สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวิจัย (สกว.) ในปัจจบุ นั สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) กอ่ ตง้ั ขน้ึ โดยพระราชบญั ญตั กิ องทนุ สนบั สนนุ การ วจิ ยั พ.ศ.2535มสี ถานะภาพเปน็ กองทนุ หมนุ เวยี นและเปน็ หนว่ ยงานในกำ� กบั ของสำ� นกั นายกรฐั มนตรี ด�ำเนินการมาถึงปัจจุบัน 26 ปี มีหน้าท่ีสนับสนุนทุนวิจัย ต้ังแต่ ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง รวมไปจนถึงการติดตามและประเมินผลงานวิจัย ตลอดจนการน�ำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และ การส่ือสารสังคม โดยที่ สกว. ต้องไม่ท�ำวิจัยเอง ด้วยสถานภาพการเป็นกองทุนหมุนเวียน สกว. สามารถใหท้ นุ วิจยั ไดต้ อ่ เน่อื งจนกว่าโครงการวิจยั นั้นเสรจ็ สน้ิ สมบูรณ์ สกว. ด�ำเนินการภายใต้การก�ำกับโดยคณะกรรมการ 2 คณะ ซ่ึงแต่งต้ังโดยคณะรัฐมนตรี ไดแ้ ก่ คณะกรรมการนโยบายกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั มอี ำ� นาจหนา้ ที่ กำ� หนดนโยบายและแผนการ ให้ทุนสนับสนุนการวิจัย และคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนการวิจัย มีอำ� นาจหนา้ ท่ี ติดตาม ตรวจสอบ และประเมนิ ผลงานวจิ ยั ทไ่ี ด้รบั การสนับสนุน โดยมผี ู้อำ� นวยการ สกว. เปน็ กรรมการและเลขานกุ ารของทงั้ 2 คณะ สกว. ท�ำหน้าท่ีสนับสนุนทุนวิจัย บริหารจัดการงานวิจัย สนับสนุนการสร้าง การพัฒนา นักวจิ ยั องค์กรวจิ ัย เครือขา่ ยวิจัย สนับสนุนการนำ� ผลงานวิจยั ไปใชป้ ระโยชนแ์ ละติดตามประเมิน ผลงานวจิ ยั สกว. ทำ� บทบาทในการสนับสนุนทุนวิจยั ครอบคลุมการวจิ ยั ในมิติตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1) สนับสนุน ทุนวิจัยทุกสาขาวิชาการ 2) สนับสนุนทุนวิจัยทุกประเภทท้ังงานวิจัยพื้นฐาน ประยุกต์ ชุมชน ทอ้ งถิน่ สงั คม 3) ครอบคลุมทกุ พน้ื ท่ีของประเทศ 4) บรหิ ารงานจัดการงานวจิ ยั ตลอดกระบวนการ ทงั้ ตน้ ทาง กลางทาง ปลายทาง ไปจนถงึ การน�ำผลงานวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ (ภาพที่ 2) สำ� นักงานกองทนุ สนบั สนุนการวิจยั (สกว.) 297

298 นวัตกรรมการบริหารจัดการงานวิจัย วจิ ัยและพฒั นา เผยแพร่และ วจิ ยั พ้ืนิ ฐาน นำ� ผลงานวจิ ัย • เชงิ ประเดน็ ไปใชป้ ระโยชน์ • วทิ ยาศาสตร์ & เทคโนโลยี • เชงิ พนื้ ท่ี • มนษุ ยศาสตร์ • เชงิ นโยบาย สกว. • สังคมศาสตร์ • ปญั หาเร่งด่วน • ความเข้มแข็งของชุมชน • สนับสนนุ ทนุ วิจัย • เกษตร • บรหิ ารงานวิจยั • สวัสดิภาพสาธารณะชุมชน • จดั หาการร่วมทุนวจิ ยั • อตุ สาหกรรม • รว่ มมือกบั หนว่ ยงานอื่น การพัฒนากำ� ลงั คน • ปรญิ ญาโท • ปรญิ ญาเอก • พวอ. • คปก. • อาชพี นักวจิ ัย: นักวจิ ยั รุ่นใหม่ เมธวี จิ ัย วฒุ ิเมธวี จิ ัย เมธีวิจยั อาวุโส ศ. วิจยั ดเี ด่น โดยร่วมมือกบั สถาบนั วจิ ัย / มหาวิทยาลยั ภาพท่ี 2 บทบาทการสนบั สนนุ การวจิ ยั ของ สกว. จากประสบการณก์ ารสนบั สนนุ ทนุ วจิ ยั ในระยะกวา่ 26 ปี ทำ� ให้ สกว. มคี วามสามารถบรหิ าร จัดการงานวจิ ยั ในทกุ ระดับ ตั้งแตร่ ะดับ โครงการ ชุดโครงการ แผนงาน (Program) และ ชดุ แผนงาน (Flagship Program) จงึ ถือไดว้ า่ สกว. เปน็ หนว่ ยงานสนบั สนนุ ทนุ วิจยั และ บรหิ ารงานวิจยั ท่ีครอบคลมุ ทกุ มติ ิ และ เปน็ ท่ยี อมรับว่า สกว. เปน็ หน่วยงานที่เช่ยี วชาญใน ดา้ นการบรหิ ารจดั การงานวจิ ยั ของประเทศ ทผี่ า่ นมา สกว. ไดส้ รา้ งนวตั กรรมการสนบั สนนุ ทุนวิจัยและงานวิจัยอย่างต่อเน่ือง สกว. จึงเป็นหน่วยงานสร้างนวัตกรรมการบริหารงาน วจิ ยั ที่ส�ำคญั ของประเทศ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook