คุณสมบัตบิ างอยางของจุดตรึงรวมในปรภิ ูมิเมตริกคา เชงิ ซอน 181 ทฤษฎบี ท 3.5. ให (X, d) เปนปริภมู ิเมทริกคา เชงิ ซอ น และ S, T : X → X เปนการสงท่ีเขากันได แบบออน ซึ่ง (i) S และ T สอดคลอ งกับคณุ สมบัติ (E.A.) (ii) SX เปนปริภมู ยิ อ ยบรบิ รู ณของ X และ (iii) d(T x, T y) λd(Sx, Sy)+ µd(T x, Sy)d(T y, Sx) + γd(T x, Sx)d(Sy, T y) , สำหรบั 1 + d(Sx, Sy) ทุก ๆ x, y ∈ X โดยที่ λ, µ, γ เปน จำนวนจริงทไ่ี มตดิ ลบ ซึ่ง λ + µ < 1 แลว S และ T มจี ดุ ตรึงรวมเพียงจุดเดยี ว พิสจู น. จาก S และ T สอดคลอ งกบั คณุ สมบตั ิ (E.A.) จะมีลำดับ {xn} และ t ใน X ซึ่ง lim T xn = lim S xn = t (3.16) n→∞ n→∞ จาก SX เปน ปรภิ ูมิยอ ยบริบรู ณของ X จะมี u ∈ X ซง่ึ Su = t ดังนนั้ S และ T สอดคลอ งกับ คณุ สมบตั ิ (CLRS) เชน เดยี วกับทฤษฎีบท 3.1 เราจะไดวา Su เปน จดุ ตรงึ รว มเพียงจดุ เดียวของ S และ T 4. บทสรปุ จากการศึกษางานวจิ ยั น้ี เปนการศกึ ษาเก่ียวกับการหาจุดตรงึ รว มของการสง บนปรภิ ูมิเมตริก คาเชิงซอน จากทฤษฎบี ท 3.1 จะสามารถพสิ ูจนไดวาการสง S และ T บนปรภิ มู ิเมตรกิ คา เชงิ ซอน X ท่ีสอดคลอ งกับคณุ สมบตั ิบางประการ มีจดุ ตรงึ รวมเพียงจุดเดียวบนใน X และไดใชเปน ทฤษฎีบทหลัก ในการวจิ ยั นี้ เพอ่ื ใชรองรับทฤษฎีและบทแทรกอ่ืน ๆ วาสามารถหาจุดตรงึ รวมไดเชน เดียวกัน สำหรับ บทแทรก 3.2 จะเห็นวามีเงอ่ื นไข 2 ขอเหมอื นกบั ทฤษฎี 3.1 แตการสง S และ T สามารถสลบั ที่กนั ไดซ่งึ จะไดตอ มาวาการสงดงั กลาวจะเขา กนั ไดแบบออน ดงั น้ันจงึ พสิ จู นไดเหมือนกันกับทฤษฎบี ท 3.1 สำหรบั บทแทรก 3.3 มีเงื่อนไข 2 ขอ ซึ่งขอ (i) เหมอื นกบั ทฤษฎี 3.1 และจะพสิ ูจนไดภายหลงั วา ขอ (ii) ของบทแทรก 3.3 สอดคลอ งกบั ขอ (ii) ของทฤษฎี 3.1 สำหรับทฤษฎบี ท 3.4 มีเงอ่ื นไข 3 ขอ ซ่ึง จะพสิ จู นไดวาขอ (i) กบั (ii) สงผลใหเกดิ เงอ่ื นไขขอ (i) ในทฤษฎี 3.1 และเงอื่ นไขขอ (iii) ของบทแทรก เหมือนกบั ขอ (ii) ในทฤษฎีบท 3.1 อยูแลว สำหรบั ทฤษฎบี ท 3.5 มเี งือ่ นไข 3 ขอ ซึ่งจะพิสูจนไดวา ขอ (i) กับ (ii) สงผลใหเ งื่อนไขขอ (i) ในทฤษฎีบท 3.1 เปนจริง และเง่อื นไขขอ (iii) ของบทแทรกเหมอื นกบั ขอ (ii) ในทฤษฎบี ท 3.1 อยูแลว ซ่ึงจะพบวา ในแตล ะบทแทรกและทฤษฎี จะใชทฤษฎีบท 3.1 มาชวย ในการพสิ จู นหาคำตอบ ดงั นั้นจะไดวา การสง S และ T ใน ทุกบทแทรกและทฤษฎบี ทจะมีจดุ ตรงึ รว ม เพียงจดุ เดยี ว โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณติ ศาสตร ครง้ั ที่ 7 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค
182 วรนิ ทรญ า อินทรฉ ่ำ และคณะ 5. กติ ติกรรมประกาศ การศึกษางานวิจัยน้ีสำเรจ็ ลงไดดวยความกรณุ าจากอาจารย ดร.วันชัย ตาปญโญ อาจารยท่ี ปรึกษา ผูซึง่ ใหความรู คำแนะนำ คำปรกึ ษา และตรวจแกไ ขจนการศกึ ษาวจิ ยั เสร็จสมบรู ณ คณะผู ศึกษาขอกราบขอบพระคณุ เปนอยางสงู ไว ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณอาจารยบญุ ญฤทธ์ิ เงินคำ และอาจารย ดร.อาวีพร ปานทอง ท่ีกรณุ าให ความรูและคำแนะนำตา ง ๆ เก่ยี วกบั รปู แบบการจัดรปู เลม สัมมนา และโปรแกรม Latex ของการศึกษา วิจัยคร้งั น้ี รวมทั้งอาจารยทานอน่ื ๆในสาขาวิชาที่ไดใหความชว ยเหลอื และกำลังใจในการทำการศึกษา วจิ ยั ครั้งนี้ สุดทายน้ี หากมีสิง่ ขาดตกบกพรองหรอื ผิดพลาดประการใด คณะผูศึกษาขออภยั เปน อยางสูง ในขอ บกพรอ งและความผิดพลาดนั้น และคณะผูศกึ ษาหวงั วา การศกึ ษาวิจัยน้ีคงมีประโยชนบางไมมาก ก็นอยสำหรบั ผูที่สนใจในงานวิจยั นี้ เอกสารอา งองิ [1] อทิ ธิเดช มูลม่ังมี. Contraction Mapping [ออนไลน]. 2012, แหลงท่มี า: https://www.slideshare.net/profittidej/contraction-mapping [27 พฤศจกิ ายน 2562] [2] Ali, S. (2016). Some common fixed point theorems for two weakly compatible mapping in complex valued metric spaces. Thai Journal of Mathematics, articie inpress. [3] Azam, A., Brain, F., and Khan, M. (2011). Common fixed point theorem in complex valued metric space. Numer. Funce. Anal. Optim. 32(3): 243-253. [4] Banach, S. (1922). Sur operations dans les ensembles abstraits et leur application aux equations integrals. Fund. Math. 3: 133-181. [5] Bhatt, S., Chaukiyal, S., and Dimri, R. C. (2011). A common fixed point theorem for weakly compatible maps in complex valued metric space. Int. J. Math. Sci. Appl. 1(3):1385-1389. [6] Browder, F. E. (1965). Nonlinear monotone operators and convex sets in Banach spaces. Bull. Amer. Math. Soc. 71: 780-785. โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดานคณิตศาสตร ครั้งที่ 7 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค
คณุ สมบัตบิ างอยา งของจุดตรงึ รว มในปริภูมเิ มตรกิ คาเชงิ ซอน 183 [7] Datta, S. K., and Ali, S. (2012). A Common Fixed Point Theorem Under Contractive Condition in Complex Valued Metric Spaces. International journal of ad- vanced scientific and technical Research. 6(2): 467-475. [8] Frechet, M. (1906). Sur quelques points du calcul functional. Rendiconti del Circolo Mathematico di Palermo. 22(1): 1-72. [9] Jungck, G. (1976). Commuting maps and fixed points. Amer. Math. Monthly. 83: 261-263. [10] Jungck, G. (1996). Common fixed points for non-continuous non-self mappings on a non-numeric spaces. Far East J. Math. Sc. 4(2): 199-212. [11] Sintunavarat, W., and Kumam, P. (2011). Common fixed point theorem for a pair of weakly compatible mappings in fuzzy metric spaces. J. Appl. Math.14: 14 p. [12] Verma, R. K., and Pathak, H. K. (2013). Common fixed point theorems using property (E.A) in Complex valued metric spaces. Thai Journal of Mathematics. 11(2): 347-355. โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครัง้ ที่ 7 มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
184 วรนิ ทรญา อนิ ทรฉ ำ่ และคณะ โครงการสัมมนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครัง้ ท่ี 7 มหาวิทยาลัยราชภฏั นครสวรรค
Type of the Article: Seminar SE-PU 03 185 บนจุดสมดุลของสมการเชงิ ผลตา งตรรกยะในระนาบทีม่ ีส่พี ารา มเิ ตอร OSynsttehme EoqfuDilifibferiraenocfeaEFqouuart-pioanrsameter Rational Planar ผูแตง: Jacob Weiss จัดทำโดย: ศศวิ ิมล ต่ิงมัง1* 1คณะวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพิบลู สงคราม *Correspondence: [email protected] บทคดั ยอ ในบทความนี้เราไดพิจารณาจุดสมดลุ ของระบบสมการเชิงผลตา งในระนาบที่นยิ ามบนจตุภาคที่หนึ่งซึ่ง พฤติกรรมตา ง ๆ ของจุดสมดุลดังกลา วไดขึน้ อยูกับพารามิเตอรท่ีไมเปน ลบทง้ั สี่ของระบบสมการนี้และ ระบบสมการนไ้ี ดถกู ดชั นีไวเปน ระบบสมการท่ี (21, 21) โดย Ladas (Open problems and conjectures, J. Differential Equ. Appl., 15(3) (2009) pp. 303–323) ซ่ึงระบบสมการดงั กลาวเปนหนึ่งในปญหา ปลายเปดทถ่ี กู ใหไ วใ นบทความดงั กลา วเปน ระบบสมการทย่ี ังมีผศู ึกษาพฤตกิ รรมของระบบสมการนอย คำสำคญั : สมการเชิงผลตาง, สมการเชงิ ผลตา งตรรกยะ, ระบบสมการในระนาบ, ผลเฉลยสมดลุ Abstract In this paper, we consider aspects of equilibrium solutions of a planar system of difference equations defined on the open first quadrant and whose behavior is governed by four independent, nonnegative parameters. This system, indexed as (21,21) in the notation of Ladas (Open problems and conjectures, J. Differential Equ. Appl., 15(3) (2009) pp. 303– 323), is one of the open problems listed about which little is known. Keywords: Difference equation, rational difference equation, planer system, equilibrium solutions 1. บทนำ พจิ ารณาระบบสมการ xn+1 = a + bxn (1.1) yn (1.2) yn+1 = c + dyn xn โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดา นคณติ ศาสตร ครง้ั ที่ 7 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค
186 ศศิวมิ ล ต่งิ มัง เมอ่ื a, b, c และ d เปนพารามิเตอรที่ไมเปน ลบและเง่ือนไขเรม่ิ ตน (x0, y0) อยูในจตุภาคที่หนง่ึ นยิ าม โดย Q10 = (0, ∞) × (0, ∞) จากบทความ [1] ระบบสมการขางตนเปนปญ หาปลายเปด ซง่ึ เราตอ งการ ที่จะตอบคำถามดังตอ ไปน้ี (1) จดุ สมดลุ ระบบสมการคืออะไร (2) ความเสถยี รเฉพาะที่ของจุดสมดุลคืออะไร (3) ระบบสมการดงั กลาวมีไพรม พเี รียดสองอยูหรือไม ซึ่งการวิเคราะหเ ก่ียวกับคำถามขางตนไดทำการสำรวจในบทความ [2] กบั ระบบสมการท่ีตา งออกไป เราสามารถพิจารณาระบบสมการดังกลาวเปน การสง F (x, y) : Q01 → Q10 นิยามโดย F (x, y) = (f(x, y), g(x, y)) โดยที่ f (x, y) = a + bx , g(x, y) = c + dy yx กำหนดให F 0(x, y) = (x, y) และ F k(x, y) = F (F k−1(x, y)) ผลเฉลยของระบบสมการไดแก {(x0, y0), (x1, y1), . . .} ซง่ึ เปนการทำซำ้ จากเงื่อนไขเร่ิมตน (x0, y0) ดังน้นั จะไดอ อบทิ ของผลเฉลยท่ี มเี ง่อื นไขเริ่มตน (x0, y0) เขยี นแทนดว ย OF (x0, y0) = {F k(x0, y0)|k = 0, 1, 2, . . .} 2. สมบัติพ้ืนฐานของ F (x, y) สำหรบั a, b, c, d > 0 บทตงั้ 2.1. F เปน การสง ที่ตอ เนือ่ งจาก Q01 ไปยัง Q = [0, ∞) × [0, ∞) และถา max{a, b} > 0 และ max{c, d} > 0 แลว F เปน การสงทตี่ อ เนอ่ื งจาก Q01 ไปยงั Q01 พสิ ูจน. จากนพิ จน α+βr สำหรบั α, β ≥ 0 เปนฟง กชนั ตรรกยะของตวั แปร r, s ดงั น้ัน นพิ จนด งั กลา ว s เปน ฟงกชนั ตอ เน่อื ง บนโดเมนของ F ซงึ่ s ≠ 0 และหากเง่อื นไข max{α, β} > 0 และ r > 0 จะได วา α + βr > 0 และไดวา α+βr > 0 s บทตงั้ 2.2. กำหนดให a, b, c, d เปน จำนวนจรงิ บวกจะไดวา a. f (x, y) = x ←→ y = a + bx x b. g(x, y) = y ←→ y = c x−d c. F (x, y) มจี ดุ สมดลุ เพยี งหนึง่ เดียวใน Q01 d. F 2(x, y) มีจุดสมดุลเพียงหนึ่งเดียวใน Q01 โครงการสัมมนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณิตศาสตร คร้งั ที่ 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค
บนจดุ สมดุลของสมการเชงิ ผลตา งตรรกยะในระนาบท่มี ีส่พี ารามเิ ตอร 187 พิสจู น. สามารถพิสูจน a. และ b. ไดโดยงาย สำหรบั c. เราจะเริม่ ทำการหาจุดสมดลุ จากการแก สมการ a + bx c x = x−d ทำใหไ ดมาซงึ่ สมการกำลังสอง bx2 + (a − bd − c)x − ad = 0 และหน่ึงรากเปน เปน บวกของสมการกำสองไดแก √ −a + bd + c + (a − bd − c)2 + 4abd x= 2b ดงั น้ันจดุ สมดุลของ F เปนไปไดเพยี งหนึง่ เดยี วใน Q10 ตามตองการ สำหรับ d. เราจะพิจารณาสมการ f2(x, y) = x และ g2(x, y) = y สำหรบั เงื่อนไข f2(x, y) = x จะไดว า () a+b a+bx y =x c+dy x ซึง่ สมการดงั กลา วสามารถจดั ใหอยใู นรปู ของพาราโบลา x = d y2 + c −a − a b2 b2 y b ซึ่งเปนพาราโบลาเปด ขวาและตดั แกน y ท้ังบวกและลบ ในทำนองเดยี วกันจากเงื่อน g2(x, y) = y เรา จะไดพ าราโบลาทีอ่ ยใู นรปู ของ y = b x2 + a− c − c d2 d2 x d ซงึ่ เปนพาราโบลาเปด ดานบนและตดั แกน x ทง้ั บวกและลบ จากลกั ษณะของพาราโบลาท้ังสองทำใหไ ด จุดตดั ของพาราโบลาทง้ั สองทีอ่ ยใู น Q01 มีเพียงจุดเดียว เน่ืองจากจุดสมดลุ ของแตละฟงกช ัน F และ F2 มเี พียงหนึง่ เดียวเราจะเรียก จดุ สมดุลดงั กลาว วา (u, v) 3. สมบตั ขิ องจุดสมดลุ (u, v) จากการพิสจู นบ ทต้ัง 2.2 เราไดค า u ของจุดสมดลุ ไดแก √ −a + bd + c + (a − bd − c)2 + 4abd u= 2b สงั เกตไดวา (u, v) สอดคลองกบั เงื่อนไข a + bu c + dv u = ,v = vu โครงการสัมมนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดานคณิตศาสตร คร้งั ท่ี 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
188 ศศิวิมล ตง่ิ มัง ดังนั้น a + bu v= u ประพจน 3.1. จดุ สมดลุ (u, v) สอดคลอ งกับเง่อื นไข u > d และ v > b พิสจู น. เนอ่ื งจาก u คือ พิกัดท่ี 1 ท่ีเกิดจากการตดั กันของพาราโบลา y = a + bx และ y = c x − x d ในจตุภาคที่หนง่ึ และเสน กำกบั แนวตัง้ ของพาราโบลา y = x c d คอื x = d ทำใหยนื ยันไดวา u > d − และในทำนองเดยี วกันพาราโบลา y = a + bx มีเสน กำกบั แนวนอนคือ y = b ทำใหยนื ยันไดวา x v>b ประพจน 3.2. ถา (u, v) เปนจดุ สมดลุ ของ F (x, y) แลว a + bu = c + dv พิสูจน. กำหนดให (u, v) เปนจุดสมดุลของ F (x, y) จะไดวา bu2 + (a − bd − c)u − ad = 0 bu2 + au − bdu − cu − ad = 0 bu2 + au = bdu + cu + ad () ad u(a + bu) = u c + bd + u bdu + ad a + bu = c + u bu + a a + bu = c + d u a + bu = c + dv ประพจน 3.3. กำหนดให 0 < α < 1 และ 0 < β < 1 จะไดวา √√ (α − β)2 + 4 −1 < α + β − (α − β)2 + 4 α+β+ <0<1< 22 √ พสิ ูจน. เราจะเริ่มจากการแสดงวา −1 < α + β − (α − β)2 + 4 จากสมมตฐิ านขา งตน เราจะได วา 2 4α + 4β + 4αβ > 0 และไดวา 4 + 4α + 4β + 2αβ + α2 + β2 > α2 − 2αβ + β2 + 4 และไดวา √ 2 + α + β > (α − β)2 + 4 โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณติ ศาสตร ครง้ั ท่ี 7 มหาวิทยาลัยราชภฏั นครสวรรค
บนจุดสมดุลของสมการเชงิ ผลตา งตรรกยะในระนาบท่มี สี พี่ ารามเิ ตอร 189 ดงั นั้น √ −2 − α − β < − (α − β)2 + 4 น่ันคือ √ −1 < α + β − (α − β)2 + 4 2 √ จากนน้ั ทำการแสดงวา α + β − (α − β)2 + 4 < 0 จากสมมติฐานขา งตนเราจะไดวา 2 4αβ < 4 และไดว า α2 + 2αβ + β2 < α2 − 2αβ + β2 + 4 และไดว า √ α + β < (α − β)2 + 4 ดังนนั้ √ α + β − (α − β)2 + 4 < 0 นน่ั คอื √ α + β − (α − β)2 + 4 <0 2 √ สดุ ทา ยจะแสดงวา α + β + (α − β)2 + 4 > 1 เน่อื งจาก √ − β)2 + 4 > 2 จะไดว า (α 2 √ α + β + (α − β)2 + 4 > 2 ดังน้ัน √ ตามตอ งการ α + β + (α − β)2 + 4 >1 2 4. ผลวิจัยหลัก เนื่องจากฟงกช นั f(x, y) และ g(x, y) สามารถหาอนพุ นั ธยอยเทยี บกับตัวแปรทง้ั x และ y ไดโ ดยทฤษฎีบทใน [3] จะไดท ฤษฎบี ทดังตอไปน้ี ทฤษฎบี ท 4.1. F เปนฟง กช ันทส่ี ามารถที่ทำใหเปน เชงิ เสนไดในยานใกลเ คยี งของ (u, v) ทฤษฎบี ท 4.2. จดุ สมดลุ ของ F เปนจดุ อานมาท่มี กี ารสะทอ น พิสจู น. จาโคเบียนเมทริกซท่ีจุดสมดุลคือ b −(a+bu) JF (u, v) = v v2 −(c+dv) d u2 u โครงการสัมมนาวิชาการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร คร้งั ท่ี 7 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค
190 ศศวิ มิ ล ตง่ิ มัง และสมการลักษณะเฉพาะของจาโคเบยี นเมทริกซคือ () (a + bu)(c + dv) bd bd u2v2 λ2 − + λ + uv − = 0 vu จาก v = a + bu ดงั นน้ั u2v2 = (a + bu)2 และจากประพจน 3.2 a + bu = c + dv สมการลกั ษณะ เฉพาะสามารuถเขียนใหอยูในรปู () bd λ + bd − 1 = 0 λ2 − + vu uv และสามารถหาคา เฉพาะคือ √ b + d ± ( b − d )2 + 4 v u v u λ= 2 โดยประพจน 3.1 และ 3.3 จะไดดวา −1 < λ1 < 0 < 1 < λ2 โดยทฤษฎีบทใน [4] สามารถสรุปได วา จดุ สมดุลเปน จดุ อานมา สะทอ น 5. การวเิ คราะหใ นกรณที บี่ างพารามเิ ตอรเ ปน ศูนย ในหัวขอน้ีจะทำการพจิ ารณาคาของพารามิเตอร สองใน ส่พี ารามิเตอร a, b, c, d เปนศนู ย ( ) และเรา ไมสามารถหา F 2(x, y) ไดเราจึงไม ถา a = b = 0 แลว F (x, y) = 0, c+dy x พจิ ารณาในกรณีน้ี เชนเดียวกันกับกรณีท่ี c = d = 0 ดังน้ันเราจะยังคงเหลอื กรณีท่ีพิจารณาจำนวนสี่ กรณดี งั ตอ ไปน้ี 1. a = c = 0 และ b, d > 0 2. b = d = 0 และ a, c > 0 3. a = d = 0 และ b, c > 0 4. b = c = 0 และ a, d > 0 ในกรณแี รกจะทำการพจิ ารณาในกรณี a = c = 0 และ b, d > 0 นัน่ คือพิจารณาฟง กช นั () bx dy F (x, y) = , yx บทตง้ั 5.1. ถา a = c = 0 และ b, d > 0 แลว จะไดว า 1. F มีจดุ สมดุลเพียงหนง่ึ เดยี วคือ (d, b) 2. จดุ สมดุล (d, b) ไมเ สถยี ร 3. พฤติกรรมของการวนซำ้ มดี งั ตอไปนี้ โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครงั้ ที่ 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
บนจุดสมดุลของสมการเชงิ ผลตา งตรรกยะในระนาบที่มีสี่พารามิเตอร 191 a) ถา y < bx แลว F k(x, y) → (∞, 0) สำหรับ k →∞ d b) ถา y > bx แลว F k(x, y) → (0, ∞) สำหรับ k →∞ d c) ถา y = bx แลว F k(x, y) → (d, b) สำหรบั k ≥ 1 d พสิ ูจน. 1. จากการแกร ะบบสมการ x = bx และ y = dy จะไดจดุ สมดุล (d, b) ตามตองการ y x 2. จากการหาจาโคเบียนทจ่ี ดุ สมดลุ JF (d, b) = 1 −b −d d b 1 ซ่งึ จะไดคา เฉพาะไดแ ก λ = 0 และ λ = 2 และจากการท่ี pectral radius r(J) > 1 จะไดวา จดุ สมดุลไมเ สถียร 3. จากการหาการวนซำ้ ที่ k จะไดวา ( ( bx )2k−1 ( dy )2k−1 ) d F k(x, y) = , b dy bx เราสามารถแสดงไดวา a) - c) เปน จรงิ ไดโ ดยงา ย ตอไปจะทำการพจิ ารณากรณีท่ี b = d = 0 และ a, c > 0 เราจะแบง เปน กรณียอ ยไดแก a = c และ a ≠ c บทตง้ั 5.2. ถา b = d = 0 และ a = c > 0 แลว จะไดว า 1. ทกุ จดุ บนไฮเพอรโ บลา y = a เปน จุดสมดลุ ของ F x 2. ทกุ จุดใน Q10 เปน จุดสมดุลของ F 2k 3. ( ) () a a a a OF (x, y) = { y , x , (x, y), y , x , (x, y), . . .} บทตง้ั 5.3. ถา b = d = 0 และ a ≠ c > 0 แลวจะไดวา 1. F ไมม ีจุดสมดลุ 2. F 2 ไมมีจุดสมดุล 3. พฤติกรรมของการวนซ้ำมีดังตอ ไปน้ี a) ถา a < c แลว F k(x, y) → (0, ∞) สำหรับ k → ∞ b) ถา a > c แลว F k(x, y) → (∞, 0) สำหรบั k → ∞ บทตั้ง 5.4. ถา a = d = 0 และ b, c > แลว โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครง้ั ที่ 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
192 ศศวิ มิ ล ตง่ิ มัง 1. F มีจดุ สมดุลเพยี งหนง่ึ เดยี ว ( c , ) b b 2. จุดสมดลุ เปนจุดอานมาท่ีมกี ารสะทอน 3. F k(x, y) = ( )brk+2−1xrk+1 crk yrk−1 โดยที่ rk คอื สมาชิกที่ k ในลำดับฟโบโนนกั ชี ,crk+1−1yrk brk+1−1xrk {1, 1, 2, 3, 5, 8, ...} บทต้งั 5.5. ถา b = c = 0 และ a, d > 0 แลว 1. F มจี ุดสมดุลเพยี งหนึ่งเดียว ( a) d, d 2. จดุ สมดุลเปน จุดอานมาท่มี ีการสะทอน 3. F k(x, ( drk+2 −1 y rk+1 ) โดยท่ี คอื สมาชกิ ที่ ในลำดับฟโ บนักชี ark+1 −1 xrk y) = ark xrk−1 , rk k drk+1 −1 y rk {1, 1, 2, 3, 5, 8, ...} เอกสารอางอิง [1] G. Ladas, “Open problems and conjectures,” Journal of Difference Equations and Applications, vol. 15, no. 3 pp. 303–323, 2009. [2] A. Clark and J. Weiss, “On the geometry of a four-parameter rational planar system of difference equations,” Journal of Difference Equations and Applications, vol. 18, no. 3, pp. 509–524, 2012. [3] R. Bartle, The elements of Real Analysis. New York, NY: Wiley, 1964. [4] W. Kelley and A. Peterson, Difference Equations, An Introduction with Applica- tions. San Diego, CA: Academic Press, 2001. โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครงั้ ที่ 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
Type of the Article: Seminar SE-PU 04 193 สมบตั ขิ องกึง่ รงิ ปรกติบรบิ ูรณ Properties of Completely Regular Semirings ผแู ตง : เอ็น ซโู ลชานา (N.Sulochana) และ ที วาซานติ (T.Vasanthi) จัดทำโดย: สายชล ตายธานี1*, จุฑามาศ กลิ่นตาย1 และ มณรี ัตน เครอื ศรี1 1สาขาคณติ ศาสตรและสถิติ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค *Correspondence: [email protected] บทคดั ยอ งานวิจยั นี้ จะขยายแนวคิดของกึิง่ รงิ ปรกติบริบรู ณ และศกึ ษาสมบตั ิบางประการของกึ่งรงิ ปรกติ บริบูรณ นอกจากน้ไี ดพ ิสจู นว า ถา S เปน กึง่ ริงปรกตบิ ริบรู ณ และ S เปนกงึ่ ริงเกอื บนจิ พล แลว S เปนก่งึ รงิ นจิ พล คำสำคญั : กง่ึ กรุปปรกติบริบรู ณ, กงึ่ รงิ ปรกตบิ รบิ รู ณ, ลดทอนการบวก Abstract In this paper, we extend the concept of completely regular semirings and study some properties . Also we prove that, if S is a completely regular semirings and S is almost idempotent semirings, then S is an idempotent semirings. Keywords: Completely regular semigroups, Completely regular semirings, Additive reducts 1. บทนำ กง่ึ กรุปปรกติบริบูรณ เปน ก่งึ กรุปปรกติที่มีลักษณะพเิ ศษเพม่ิ ข้นึ ในการศึกษาของก่งึ กรุป ปรกติบริบูรณเปนการศกึ ษาที่ดีอยา งหนึ่งของกง่ึ กรุป เนือ่ งจากมีการอธิบายโครงสรางท่ีหลากหลาย ของก่ึงกรุป งานวจิ ยั แรกท่ีตีพมิ พเกย่ี วกับกง่ึ กรุป ไดตีพมิ พในป 1941 ซึง่ เปน ผลงานของ คลิฟฟอรด (Clifford) ในงานวิจัยน้ไี ดแ ยกกรปุ และก่งึ กรปุ บรบิ รู ณ หรอื กลาวไดอ ีกหนึ่งวา เปน การยูเนยี น ของกรปุ ตอจากนัน้ มีการศกึ ษากง่ึ ริงปรกติบริบูรณใน [9] เปน การกลาวถงึ กงึ่ รงิ ปรกติการบวกโดยรวม ที่ดี ในทศวรรษท่ีผานมาไดมีการกลา วถงึ กง่ึ ริงปรกติบรบิ ูรณท่ีมีลักษณะแตกตางกนั ดงั นัน้ เพ่ือการ ศึกษาโครงสรางเก่ียวกบั การลดทอนการบวกของก่งึ ริงปรกตบิ ริบูรณ พาสติจน (Pastijn) และ ก่ัว (Guo) ไดวเิ คราะหกงึ่ ริง ซง่ึ เปน สวนประกอบของกึ่งรงิ ทแ่ี ตกตางกนั ย่ิงไปกวานน้ั ไมตี้ (Maity) และ ซมู (Shum) เขาคาดวา สำหรับแตละสมาชิก a ของกึ่งรงิ ปรกติบริบรู ณ จะมีสมาชิก x ของกึง่ รงิ ปกติ บรบิ รู ณ ซ่ึง a = a + x + a , a + x = x + a และ a(a + x) = a + x นี้นำไปสู กึ่งริง ซ่ึงประกอบไป โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครั้งที่ 7 มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครสวรรค
194 สายชล ตา ยธานี และคณะ ดว ยริงเสมือน น่นั คือกง่ึ ริงท่มี ีลดทอนการบวกเปน กรุป แตไ มจ ำเปนตอ งมสี มบัตสิ ลับท่ี น้เี ปน วิธที ัว่ ไปทเ่ี ปลยี่ นการคดิ ของ ก่งึ กรปุ ปกตบิ รบิ รู ณในทฤษฎขี องพาสติจน (Pastijn) และ กัว่ (Guo) 2. ความรูพน้ื ฐาน บทนิยาม 2.1. กำหนดให S เปน เชตทีไ่ มเ ปนเชตวาง การดำเนินการทวภิ าค (binary operation) บน S คือ ฟง กชนั * : SxS → S เมื่อ SxS คอื ผลคณู คารท เี ซยี นของ S บทนิยาม 2.2. ให S เปน เชตที่ไมเปนเชตวาง และ * เปนการดำเนนิ การทวภิ าคบน S แลวจะเรียก (S, *) วา กงึ่ กรุป (semigroup) ถา * มีสมบตั ิการเปล่ียนหมูบนเชต S บทนิยาม 2.3. *(S, ) เรียกวา กรปุ (group) ถา มสี มบัติดังน้ี 1. มี e ∈ S ซึ่ง a*e = a = e*a สำหรบั ทกุ ๆ a ∈ S เรียก e วาเอกลกั ษณของ S 2. สำหรับทกุ ๆ a ∈ S จะมี b ∈ S ซึง่ a*b = e = b*a เรียก b วา ตัวผกผนั ของ a เขยี นแทนดว ย a−1 บทนิยาม 2.4. ให S เปน กรปุ เราจะกลา ววา S เปน กรุปอาบีเลียน (abelian group) หรือ กรปุ สลบั ที่ (commutative group) ถา ab = ba สำหรบั ทกุ ๆ a, b ∈ S บทนยิ าม 2.5. ให S เปน เชตที่ไมเปนเซตวาง และมีการดำเนนิ การทวิภาคคือการบวก + และการคณู · บน S เรยี ก S วา ริง (ring) ถา S มีสมบตั ดิ ังตอไปน้ี 1. (S, +) กรปุ อาบีเลยี น 2. (S, · ) เปนก่ึงกรุป 3. S มีสมบตั ิการแจกแจง นั่นคอื a· (b+c) = (a· b)+(a· c) และ (b+c)· a = (b· a)+(c· a) สำหรบั ทุกๆ a, b, c ∈ S บทนิยาม 2.6. ให S เปนเชตท่ไี มเ ปน เชตวาง เรยี ก (S, +, · ) วา ก่งึ ริง (semiring) ถา 1. (S, +) เปนก่ึงกรปุ 2. (S, · ) เปน กง่ึ กรปุ 3. S มีคณุ สมบัตแิ จกแจง นนั้ คือ a(b + c) = ab + ac และ (b + c)a = ba + ca สำหรบั ทุกๆ a, b, c ∈ S บทนิยาม 2.7. ก่งึ กรุป (S, +) เรียกวา แถบ (band) ถา a + a = a สำหรับทกุ ๆ a ∈ S บทนยิ าม 2.8. กงึ่ กรุป (S, · ) จะเรยี ก วา แถบ (band) ถา a2 = a สำหรบั ทกุ ๆ a ∈ S และ แถบสลับ ทีเ่ รยี กวา ก่ึงแลตทิซ (semilattice) นั่นคือ (S, · ) เรียกวากงึ่ แลตทซิ ถา 1. a2 = a 2. ab = ba 3. (ab)c = a(bc) โครงการสัมมนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครง้ั ท่ี 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
สมบตั ิของกง่ึ ริงปรกติบรบิ ูรณ 195 บทนยิ าม 2.9. สำหรบั สมาชกิ a ของก่งึ รงิ S เรยี ก a วา เกอื บนิจพล (almost idempotent) ถา a + a2 = a2 บทนิยาม 2.10. กง่ึ รงิ S เปน นิจพล (idempotent) ถา a + a = a และ a2 = a สำหรับทุกๆ a ∈ S บทนยิ าม 2.11. สำหรบั ก่งึ ริง S เรยี กวา เกอื บนจิ พล ถา ทุกๆ สมาชกิ ของ S เปนเกือบนิจพล เขยี น แทนเชต เกอื บนิจพลของกึง่ ริง S ดว ย Ek(S) บทนยิ าม 2.12. กึ่งริง (S, +, · ) เรยี กวา โดเมนตรรกยะบวก (positive rational domaim:PRD) กต็ อเม่ือ ถา (S, · ) เปนกรุปอาบเี ลยี น บทนยิ าม 2.13. กงึ่ ริง (S, +, · ) เรยี กวา กงึ่ ริงเดียว (mono semiring) ถา a + b = ab สำหรบั ทุกๆ a, b ∈ S บทนิยาม 2.14. ก่งึ กรปุ (S, · ) จะเรียกวา เอกฐานทางซาย (left singular) ถา สอดคลองกบั เอกลกั ษณ ทางซาย ab = a และเรยี กวา เอกฐานทางขวา (right singular) ถา สอดคลองกับเอกลักษณทางขวา ab = b สำหรับทกุ ๆ a, b ∈ S บทนยิ าม 2.15. กง่ึ กรุป (S, +) จะเรยี กวา เอกฐานทางซา ย ถาสอดคลอ งกบั เอกลักษณทางซาย ซึง่ a + b = a และเรยี กวา เอกฐานทางขวา ถา สอดคลองกับเอกลักษณทางขวา ซงึ่ a + b = b สำหรับ ทกุ ๆ a, b ∈ S บทนิยาม 2.16. ให (S, +) เปน กงึ่ กรุป และ a ∈ S เรยี ก a วา อี-ผกผนั (E-inverse) ถามีสมาชกิ x ∈ S ซ่งึ ax + ax = ax นนั้ คอื ax ∈ E(S) เมอื่ E(S) คอื เชตของสมาชกิ ของ S ที่เปน นจิ พลภาย ใตการบวก (addtive idempotent) บทนิยาม 2.17. กงึ่ กรุป S เรียกวา อ-ี ผกผันกึ่งกรุป (E-inverse semigroup) ถาทกุ ๆสมาชิกของ S เปน อ-ี ผกผนั บทนิยาม 2.18. ให S เปน กงึ่ รงิ และ a ∈ S เรียก a วา นจิ พลยอ ยภายใตการคณู (multiplicatively subidempotent) กต็ อเมอื่ a + a2 = a เรยี ก กง่ึ ริง (S, +, · ) วา นิจพลยอยภายใตการคูณ ก็ตอเม่อื สมาชิกทุกตัวของ S เปนนิจพลยอ ยภายใตการคูณ บทนยิ าม 2.19. สมาชกิ a เรยี กวา คาบ (periodic) ถา am = an โดยท่ี m และ n เปน จำนวนเตม็ บวก บทนยิ าม 2.20. กึ่งกรปุ (S, · ) จะเรยี กวา คาบ ถาสมาชิกทุกตัวของ S เปน คาบ บทนยิ าม 2.21. กึ่งรงิ (S, +, · ) ซงึ่ มีศูนยเปนเอกลักษณก ารบวกและการคูณ เปน ศูนยการคูณ เรยี กวา ก่ึงรงิ กำลังสองศูนย (zoro square semiring) ถา x2 = 0 สำหรับทุกๆ x ∈ S โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณติ ศาสตร ครัง้ ที่ 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
196 สายชล ตายธานี และคณะ บทนิยาม 2.22. เรียกก่ึงริง (S, +, · ) วา ปรกติภายใตการบวก (additive regular) ถา สำหรบั ทุกๆ สมาชิก a ∈ S จะไดวา มี x ∈ S ซึง่ a + x + a = a กงึ่ ริงปรกติบริบูรณภายใตการบวก ถูกศกึ ษาครงั้ แรก โดย เจ เซเลซเนโกว (J.Zeleznekow) [9] ในป 1981 และในป 2005 โดย เอม็ .เค.เซน (M.K.Sen), เอส.เค.ไมต้ี (S.K.Maity) และ เค.พ.ี ซมู (K.P.Shum) [4] ไดศกึ ษาเรอื่ ง ก่ึงรงิ ปรกติบรบิ ูรณ สำหรบั งานวจิ ยั น้ี จะศกึ ษาเก่ียวกับสมบตั ิของก่งึ ริง ปรกติบริบูรณ บทนิยาม 2.23. สำหรบั สมาชิก a ของกง่ึ รงิ (S, +, · ) เรยี กวา ปรกตบิ ริบรู ณ (completely regular) ถา มสี มาชกิ x ∈ S ซึ่ง 1. a + x + a = a 2. a + x = x + a 3. a(a + x) = a + x จะเห็นวา 1) และ 2) ไดถกู นิยามไวแลว ในบทนิยามของปรกติบรบิ ูรณ เมื่อลดทอนการบวก (S, +) ของกง่ึ รงิ (S, +, · ) เปน ก่ึงกรุปปรกติบรบิ รู ณ ย่ิงไปกวา นนั้ เงื่อนไข 3) เปน การเพมิ่ เง่ือนไข สำหรบั สมาชกิ a ในกึ่งริง (S, +, · ) ท่ีเปน ปรกติบรบิ ูรณ โดยทัว่ ไปจะเรียก (S, +, · ) วาปกติบริบูรณ ถา สำหรับสมาชกิ a ทกุ ตัวของ S เปน ปรกตบิ ริบูรณ บทนิยาม 2.24. S เรยี กวา อนั ดับทกุ สว น (totally ordered) (S, ≥) ก็ตอเมอื่ 1. ถา a ≥ b และ b ≥ a แลว a = b 2. ถา a ≥ b และ b ≥ c แลว a ≥c 3. a ≥ b หรือ b ≥ a บทนยิ าม 2.25. ก่งึ กรุปอันดบั ทกุ สวน (totally ordered semigroup : t.o.r.g) (S, · ) จะเรยี กวา ไมเปนอนั ดับเชงิ ลบ ( non-negatively ordered) ถา ทกุ ๆ สมาชิกไมเปนลบ (non-negative) และ จะเรียกวาไมเปนอนั ดับเชิงบวก (non-positively ordered) ถาทกุ ๆ สมาชกิ ไมเปน อบั ดับบวก (non- positive) (S, · ) เปน อันดับบวก ถา xy ≥ x และ xy ≥ y และ เปน อนั ดับลบ ถา xy ≤ x และ xy ≤ y สำหรบั ทกุ ๆ x, y ∈ S บทนยิ าม 2.26. กึ่งริง (S, +, · ) เรยี กวา ก่งึ ริงอนั ดับทุกสว น (totally ordered semiring: t.o.s.r) ถา ก่ึงกรุปการบวก (S, +) และกง่ึ กรุปการคณู (S, · ) เปนกึ่งกรุปอันดบั ทุกสว น ภายใตอันดบั ความ สัมพันธเดียวกัน (S, +, ≥) เรียกวา อนั ดับเชิงบวกทกุ สวน (positively totally ordered: p.t.o.) ถา a + b ≥ a และ a + b ≥ b สำหรับทุกๆ a, b ∈ S. บทนิยาม 2.27. กึ่งกรุปอันดับทุกสวน (S, +, ≤) เรยี กวา ไมเปนลบ (non-negatively) ถาทกุ ๆ สมาชกิ ของ S ไมเปนลบ และจะเรียกวา ไมเปน บวก (non-positively) ถา ทกุ ๆ สมาชิกของ S ไมเปน บวก โครงการสัมมนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครั้งที่ 7 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค
สมบตั ขิ องกง่ึ รงิ ปรกตบิ ริบรู ณ 197 บทนยิ าม 2.28. สำหรบั สมากชิก x ในกงึ่ ริงอันดบั ทุกสวน เรยี กวา ต่ำสุด (minimal) ถา x ≤ a และ จะเรียกวา สงู สดุ (maxsimal) ถา x ≥ a สำหรบั ทกุ ๆ a ∈ S. บทนยิ าม 2.29. ให I เปนเซตยอ ยที่ไมเปนเซตวางของรงิ R เรียก I วา กลมุ อดุ มคติ (ideal) ของ R ถา 1. I เปน กรุปยอ ยของ R ภายใตก ารบวก 2. สำหรบั ทุกๆสมาชกิ a ∈ I แลว ar, ra ∈ I เมือ่ r ∈ R 3. ทฤษฎีบทหลกั ในหัวขอนี้จะกลาวถึงทฤษฎบี ทที่ผูวิจยั ไดทำการศึกษาคดิ คน ซึ่งประกอบดว ยทฤษฎีบทจำนวน 12 ทฤษฎีบท ดังน้ี ทฤษฎีบท 3.1. ให S เปน ก่งึ รงิ ปรกติบริบูรณ และ e เปน เอกลกั ษณภายใตการบวกและการคูณ แลว a + x = a และ S เปนกึ่งรงิ นจิ พล พิสจู น. ให S เปน ก่งึ ริงปรกตบิ รบิ ูรณ แลวสำหรับทุกๆ a ∈ S จะมสี มาชิก x ∈ S ซง่ึ a + x + a = a และ a + x = x + a จากสมมตฐิ าน e เปน เอกลกั ษณก ารบวกและการคูณ พิจารณา a + (x + a) = a (1) a + (a + x) = a (a + a) + x = a a(e + e) + x = a a(e) + x = a a+x=a นำ a บวกเขาทัง้ สองขางของสมการ (1) จะได a+x+a=a+a a=a+a จากสมบตั ขิ องกึง่ ริงปกติบริบรู ณขอ 3) a(a + x) = a + x (2) จากสมการ (1) a + x = a แทนในสมการ (2) จะได a(a) = a โครงการสัมมนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณติ ศาสตร ครัง้ ท่ี 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
198 สายชล ตายธานี และคณะ ดงั น้ัน a2 = a น่ันคอื S เปน กึ่งริงนิจพล ทฤษฎบี ท 3.2. ให S เปนกึง่ รงิ ปรกตบิ ริบูรณ และ (S, +) เปนแถบ แลว 1. (S, · ) เปน แถบ 2. ถา (S, +) มีสมบัตกิ ารตดั ออก แลว (S, · ) เปนเอกฐานทางขวา พสิ ูจน. กำหนดให S เปนกึ่งริงปรกตบิ รบิ รู ณ และ (S, +) เปน แถบ ดังนั้นสำหรับทกุ ๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซ่ึง a + x + a = a และ a + x = x + a 1. พจิ ารณา a + (x + a) = a a + (a + x) = a (a + a) + x = a เน่อื งจาก (S, +) เปนแถบ ซึ่ง a + a = a สำหรบั ทุกๆ a ∈ S จะไดว า a+x=a จากสมบตั ขิ อ 3) ของกึ่งรงิ ปรกติบรบิ รู ณ ซ่งึ a(a + x) = a + x a(a) = a a2 = a ดงั น้นั (S, · ) เปน แถบ 2. จากสมบตั ขิ องกึง่ รงิ ปรกติบรบิ รู ณข อ 3) ซงึ่ a(a + x) = a + x ทำใหไดวา aa + ax = a + x a2 + ax = a + x จาก a2 = a จะได a + ax = a + x เน่อื งจาก (S, +) มีสมบัตกิ ารตดั ออก จะได ax = x ดงั้ นนั้ (S, · ) เปน เอกฐานทางขวา ทฤษฎีบท 3.3. ให S เปนกง่ึ ริงปรกตบิ ริบรู ณ ซ่งึ มี 0 เปน เอกลกั ษณภ ายใตการบวก ถา S เปน กง่ึ ริงกำลงั สองศนู ย แลว (S, +) เปน อ-ี ผกผัน และสำหรับทกุ ๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซง่ึ ax + a = a พสิ จู น. กำหนดให S เปนกึ่งรงิ ปรกติบริบรู ณ ซึ่งมี 0 เปน เอกลักษณภ ายใตการบวก สำหรับทุกๆ a ∈ S จะมี x ∈ S โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดานคณิตศาสตร ครงั้ ที่ 7 มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
สมบัติของกง่ึ รงิ ปรกติบรบิ ูรณ 199 แลว จะไดว า (3) a+x+a=a นำ x คูณทางขวาท้ังสองขา งของสมการ (3) จะได (a + x + a)x = ax ax + xx + ax = ax ax + x2 + ax = ax เนือ่ งจาก S เปน กำลังสองศนู ย จะได ax + 0 + ax = ax ax + ax = ax ดงั นน้ั (S,+) เปน อี-ผกผนั จากสมบัตขิ อ 3) ของกง่ึ ริงปรกติบรบิ รู ณ ซ่ึง a(a + x) = a + x a2 + ax = a + x จาก S เปนกำลังสองศนู ย จะได 0 + ax = a + x ax = a + x นำ a บวกทางขวาเขา ทงั้ สองขา งของสมการจะได ax + a = a + x + a ax + a = a ทฤษฎบี ท 3.4. ถา S เปน กึง่ ริงปรกตบิ รบิ ูรณ และ S เปนนลิ จพลยอ ยการคูณ แลว 1. (S, · ) เปนคาบ และสำหรบั ทกุ ๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซ่ึง ax + a = a 2. ถา (S, +) มสี มบัตกิ ารตดั ออก แลวสำหรบั ทุกๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซ่ึง a + x = ax พสิ ูจน. ให S เปน ก่งึ รงิ ปรกติบริบรู ณและ S เปนนจิ พลยอยภายใตก ารคูณ 1. ให S เปน กีง่ ริงปรกติบริบรู ณ ดงั น้นั จะไดว า สำหรบั ทกุ ๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซึ่ง จาก a + x + a = a (a + x) + a = a โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครัง้ ท่ี 7 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค
200 สายชล ตา ยธานี และคณะ นำ a คณู ทางซา ยทั้งสองขางของสมการ จะได a(a + x) + aa = aa a(a + x) + a2 = a2 จากสมบตั ิขอ 3) ของกึง่ ริงปรกติบรบิ รู ณ ซึง่ a(a + x) = a + x ดงั น้นั (a + x) + a2 = a2 จากสมบตั ิขอ 2) ของกึง่ ริงปรกติบรบิ รู ณ จะไดวา (x + a) + a2 = a2 (4) x + (a + a2) = a2 จาก S เปน นจิ พลยอยภายใตการคูณ ซึง่ a + a2 = a ดังน้ัน x + a = a2 a + x = a2 จากสมบัตขิ อ 3) ของกงึ่ ริงปรกตบิ ริบรู ณ ซ่ึง a(a + x) = a + x จาก สมการ (4) a + x = a2 จะได a(a2) = a2 a3 = a2 ดังนน้ั (S, · ) เปบ คาบ (a + x) + a = a ตอไปนีจ้ ะแสดงวา ax + a = a จาก a(a + x) + a = a a(x + a) + a = a (ax + a2) + a = a ax + (a2 + a) = a ax + (a + a2) = a ax + a = a 2. ให (S, +) มสี มบตั ิการตดั ออก จะแสดงวา สำหรับทกุ ๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซงึ่ a + x = ax จาก S เปนนจิ พลยอ ยการคณู ดังนน้ั สำหรบั ทกุ ๆ a ∈ S จะไดวา a + a2 = a จากสมบตั ิขอ 2) ของก่งึ รงิ ปรกติบรบิ ูรณ ทำใหไดวา a2 + a = a บวก ax เขาทางซา ยทง้ั สองขางของสมการ จะได ax + a2 + a = ax + a a(x + a) + a = ax + a โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครง้ั ที่ 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
สมบัตขิ องก่งึ รงิ ปรกตบิ รบิ รู ณ 201 เน่ืองจาก (S, +) มสี มบัตกิ ารตดั ออก จะได a(x + a) = ax จากสมบัตขิ อ 2) ของกึ่งริงปรกตบิ รบิ ูรณ จะไดวา a(a + x) = ax จากสมบตั ิขอ 3) ของกงึ่ ริงปรกตบิ ริบูรณ จะได a + x = ax ดังนัน้ a + x = ax ทฤษฎบี ท 3.5. ให S เปนกีง่ รงิ ปรกติบริบรู ณ ถา S กึง่ รงิ เกือบนลิ จพล แลว S เปน กง่ึ รงิ นจิ พล พสิ ูจน. ให S เปนก่ึงรงิ ปรกติบริบรู ณและ ถา S กง่ึ ริงเกอื บนลิ จพล ดังน้ัน สำหรบั ทุกๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซึ่ง a + x + a = a นำ a คูณเขา ทางซา ยท้ังสองขางของสมการ จะได a(a + x + a) = aa a2 + ax + a2 = a2 [a(a + x)] + a2 = a2 (a + x) + a2 = a2 (x + a) + a2 = a2 x + (a + a2) = a2 จาก Sเปนกงึ่ รงิ เกอื บนิจพล ซึ่ง a + a2 = a2 ดงั น้ัน x + a2 = a2 นำ ax บวกเขาทางขวาทง้ั สองขา งของสมการจะได x + a2 + ax = a2 + ax x + a(a + x) = a(a + x) x + (a + x) = a + x นำ a บวกเขา ทางขวาท้ังสองขางของสมการ จะได (x + a + x) + a = (a + x) + a x + (a + x + a) = a + x + a x+a=a บวก a เขาทางซาย a+x+a=a+a (5) a=a+a โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณิตศาสตร คร้งั ที่ 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
202 สายชล ตายธานี และคณะ จากเง่อื นไขขอ 3) ของกงี่ รงิ ปรกตบิ รบิ รู ณ ซ่ึง a(a + x) = a + x จะไดว า a(x + a) = a + x (6) (7) a(a) = a a2 = a จากสมการ (5) และ (6) ดงั นั้น S เปนกึง่ รงิ นิจพล ทฤษฎบี ท 3.6. ถา S เปน กง่ึ รงิ ปรกติบริบูรณ และ S เปน กง่ึ รงิ เดยี ว แลว 1. S เปนนิจพลยอยภายใตก ารคณู 2. สำหรับทุกๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซงึ่ a(a + ax) = a + x พิสูจน. ให S เปนกง่ึ รงิ ปรกตบิ รบิ รู ณ และ S เปน ก่งึ รงิ เดยี ว 1. จาก S เปนกึ่งริงเดยี วจะไดวา สำหรบั ทุกๆ a, x ∈ S และ ax = a + x จากเงื่อนไขขอ 1) ของกง่ึ ริงปรกติบรบิ ูรณ ซึง่ (a + x) + a = a ax + a = a จากเงื่อนไขขอ 3) ของกึ่งรงิ ปรกตบิ รบิ ูรณ ซึ่ง a(a + x) = a + x นำ a บวกเขา งทางขวาทั้งสองขาง จะได a(a + x) + a = a + x + a (a2 + ax) + a = a a2 + (ax + a) = a a2 + a = a a + a2 = a ดงั นัน้ S เปน นจิ พลยอ ยภายใตการคูณ 2. เน่อื งจาก S เปน ก่งึ ริงปรกติบรบิ รู ณ ดงั นน้ั สำหรบั ทุกๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซึ่ง a(a + x) = a + x และจาก S เปน ก่ึงริงเดียว ซึ่ง ax = a + x จะได a(ax) = ax a2x = ax (8) (9) จากเง่ือนไขขอ 3) ของกึ่งรงิ ปรกตบิ รบิ ูรณ ซง่ึ a(a + x) = a + x จะได a2 + ax = a + x แทนสมการ (8) ในสมการ (9) จะไดว า a2 + a2x = a + x a(a + ax) = a + x โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร คร้ังที่ 7 มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครสวรรค
สมบตั ขิ องกงึ่ ริงปรกติบรบิ รู ณ 203 หมายเหตุ C = {a | a เปน ปรกตบิ ริบรู ณ } หรือ C เปนเชตของสมาชกิ ปรกติบรบิ ูรณ ทฤษฎบี ท 3.7. ให S เปน กงึ่ ริง และ (S, +) เปนเอกฐานทางขวา ถา a ∈ C แลว ทกุ ๆ กำลงั ของ a เปนปรกติบริบรู ณ พิสจู น. ให S เปน กึ่งรงิ และ a ∈ S และให a ∈ C เปนสมาชกิ ปรกติบรบิ รู ณ แลว จะมี x ∈ S ซ่งึ a + x + a = a, a + x = x + a และ a(a + x) = a + x จาก (S, +) เปนเอกฐานทางขวา ซึ่ง a + x = x และจากเงอื่ นไข 3) พิจารณา a(a + x) = a + x a(x) = x ax = x a2x = ax a2x = x ดังนน้ั จะไดว า a2x = ax = x (10) จากเง่อื นไขขอ 1) ซง่ึ a + x + a = a คูณ a เขา ทางซายทัง้ สองขางของสมการ จะได a(a + x + a) = a(a) (11) a2 + ax + a2 = a2 a2 + x + a2 = a2 พจิ ารณาเง่อื นไขขอ 2) ซง่ึ a + x = x + a จะได a(a + x) = a(x + a) (12) a2 + ax = ax + a2 a2 + x = x + a2 พิจารณา a2 + x = a2 + ax = a(a + x) = a(x) = ax =x โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครง้ั ที่ 7 มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครสวรรค
204 สายชล ตายธานี และคณะ ดงั นัน้ a2(a2 + x) = a2x = x จาก a2(a2 + x) = a4 + a2x = a4 + x จะได a4 + x = x นั้นคอื a2(a2 + x) = x = a2 + x ดังน้นั a2(a2 + x) = a2 + x (13) จาก (11), (12), และ(13), a2 ∈ C สามารถทำไดใ นทำนองเดยี วกนั จะไดว า an ∈ C ดังนนั้ ทกุ กำลังของ a เปนปรกติบรบิ ูรณ ทฤษฎีบท 3.8. ให S เปนกง่ึ ริง และ (S, · ) เปนกึ่งแลตทซิ ถา a ∈ C แลว C เปน อดุ มคติการคูณของ S พิสจู น. ให S เปนกง่ึ รงิ และ a ∈ C แลว จะมี x ∈ S ซงึ่ จากสมบัตขิ องกึ่งริงปรกตบิ รบิ รู ณ ขอ 1) จะไดวา a + x + a = a (a + x + a)x = ax (14) ax + x2 + ax = ax เนอื่ งจาก (S, · ) เปนกง่ึ แลตทซิ จะไดวา (S, · ) เปน แถบ ดังนน้ั ทกุ ๆ x ∈ S จะไดว า x2 = x ดังน้นั จากสมการ (14) จะได ax + x + ax = ax (15) คูณ x เขาในเงอื่ นไข 2) ของกึ่งริงปรกติบรบิ ูรณ จะได (a + x)x = (x + a)x (16) ax + x2 = x2 + ax ax + x = x + ax ในทำนองเดียวกัน คูณ x เขาท้งั สองขา งของเงื่อนไข 3) ของก่ึงริงปรกตบิ รบิ รู ณ จะได [a(a + x)]x = (a + x)x เนื่องจาก (S, · ) เปน กึ่งแลตทิซ ดงั นน้ั (S, · ) มีสมบัติสลับท่ี จะไดวา x[a(a + x)] = (a + x)x ⇒ xa(a + x) = (a + x)x ⇒ ax(a + x) = (a + x)x คูณ x เขาทางขวาท้งั สองขา งของสมการขา งตน จะได ax(a + x)x = (a + x)xx ax(ax + x2) = (a + x)x2 โครงการสัมมนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครั้งท่ี 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
สมบตั ิของกึ่งริงปรกติบริบรู ณ 205 เน่ืองจาก (S, · ) เปน แถบ ทำใหไ ดว า ax(ax + x) = (a + x)x (17) ax(ax + x) = ax + x2 ax(ax + x) = ax + x จากสมการ (15), (16) และ (17) สรุปไดวา ax ∈ C และ จาก (S, · ) มีสมบตั ิการสลับท่ี จะได ax = xa ดงั นน้ั xa ∈ C สำหรับทกุ ๆ x ∈ S ดังน้ัน C เปน อุดมคตกิ ารคณู ของ S ทฤษฎบี ท 3.9. สมมติให S เปน โดเมนตรรกยะบวก แลว a = 1 (น่ันคอื 1 เปน สมาชิกปรกติบรบิ รู ณ เพยี งตวั เดยี วในโดเมนตรรกยะบวก) พสิ จู น. ให a ∈ C แลว จะมี x ∈ S ซง่ึ a(a + x) = a + x เนื่องจาก S เปน โดเมนตรรกยะบวก จะไดวา (S, · ) เปนกรุปอาบีเลียน จะไดวา จะมี (a + x)−1 ซึ่ง (a + x)(a + x)−1 = 1 ดังน้ัน a(a + x)(a + x)−1 = (a + x)(a + x)−1 a=1 ทฤษฎีบท 3.10. สำหรบั แตละสมาชกิ a ของก่ึงรงิ ปรกตบิ ริบรู ณ S จะมี x ∈ S ซงึ่ a + ax = x ถา (S, +) มีสมบัติการตัดออกทางซาย แลว a2 = 2a พิสจู น. ให S เปน ก่งึ รงิ ปรกตบิ รบิ รู ณ และ a ∈ S จะไดวา จะมี x ∈ S ซงึ่ a+x+a=a (18) x+a+a=a x + 2a = a จากเง่ือนไขขอ 3) และเง่อื นไขขอ 2) ของ S จะได a(x + a) = x + a (19) ax + a2 = x + a (20) บวก a เขาทัง้ สองขา งของสมการ (19) จะได a + ax + a2 = a + x + a จากกำหนดให a + ax = x และเง่อื นไขขอ 1) a + x + a = a จะไดว า x + a2 = a จาก (18) และ (20) จะไดวา x + a2 = x + 2a จากกฎการตัดออกทางซายจะไดว า a2 = 2a โครงการสัมมนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครงั้ ที่ 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
206 สายชล ตา ยธานี และคณะ ทฤษฎีบท 3.11. ให S เปนกึ่งร่ิงปกตบิ ริบูรณอ ันดับทกุ สวน และ (S, +, ≥) เปนอนั ดับเชงิ บวกทกุ สวน แลว จะไดว า 1. S เปน กง่ึ รงิ นจิ พล 2. สำหรับทุกๆ a ∈ S จะมี x ซง่ึ a ≥ x พิสูจน. ให S เปนก่ึงริงปรกตบิ รบิ ูรณ จะไดวา สำหรับทุกๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซง่ึ a + x = x + a 1. จาก S เปน กง่ึ ริงอนั ดับทกุ สว น จะไดวา สำหรบั a, x ∈ S จะไดวา a + x ≥ a และ a + x ≥ x นั้นคอื x + a ≥ a และ x + a ≥ x บวก a ทัง้ สองขา งของอสมการ จะได a + x + a ≥ a + a และ a + x + a ≥ x + a โดยใชเงอ่ื นไขขอ 1) ของกึง่ ริงปรกติบรบิ รู ณ จะได a ≥ a + a ≥ a และ a ≥ x + a ≥ a ดังนนั้ a = a + a และ a = a + x จากเง่ือนไข 3) ของกง่ึ ริงปรกตบิ รบิ ูรณ ซงึ่ a(a + x) = a + x a(a) = a a2 = a ดงั้ นน้ั S เปน กง่ึ ริงนจิ พล 2. เนือ่ งจาก a + x ≥ x คณู a เขาทงั้ สองขา งของอสมการขา งตน จะได a(a + x) ≥ ax และคูณ x เขาทัง้ สองขา งของอสมการขางตน จะได (a + x)x ≥ xx จากเงอื่ นไข 3) a(a + x) = a + x และใช a + x = a ดงั นนั้ จาก a(a + x) ≥ ax (21) a + x ≥ ax และจาก (a + x)x ≥ xx (22) ax ≥ x2 จากอสมการ (21) และ (22) จะได a + x ≥ ax ≥ x2 จาก a + x = a จะได a ≥ ax ≥ x2 ดังน้นั a ≥ x2 จะไดวา a ≥ x โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณติ ศาสตร ครัง้ ท่ี 7 มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
สมบัติของกึง่ ริงปรกติบริบูรณ 207 ทฤษฎบี ท 3.12. ให S กึ่งรงิ ปรกติบริบูรณอันดบั ทุกสว น และ (S, · ) เปน อนั ดบั เชงิ บวกทุกสว น แลว ขอความตอ ไปนเี้ ปนจรงิ 1. (S, +) ไมเ ปนอนั ดบั บวก 2. ถา (S, +) เปน การตัดออกางซาย แลว (S, · ) เปน เอกฐานทางขวาและเปนแถบ 3. ถา (S, +) เปน เอกฐานทางขวา แลว (S, +) เปนอนั ดับเชงิ บวกทุกสว น พสิ ูจน. เนอ่ื งจาก (S, · ) เปนอนั ดับเชงิ บวกทุกสว น น่นั คือ สำหรบั ทุกๆ a, x ∈ S จะไดว า a(a + x) ≥ a 1. จากเงื่อนไขขอ 3) ของกง่ึ รงิ ปรกติบริบูรณ ซง่ึ a(a + x) = a + x จะทำใหไดวา a+x≥a บวก a เขา ทง้ั สองขา งอสมการ จะได a + x + a ≥ a + a โดยสมบตั ขิ อ 1) ของกงึ่ ริงปรกตบิ รบิ รู ณ ทำใหไ็ ดว า a ≥ a + a ดังนนั้ (S, +) ไมเปนอันดบั เชงิ บวก 2. จาก (S, · ) เปนกง่ึ กรุปอนั ดับทกุ สว น ดังน้นั a2 ≥ a และ ax ≥ x สำหรบั ทุกๆ a, x ∈ S นำ ax บวกเขา ทงั้ สองขา งของอสมการ a2 ≥ a และนำ a บวกเขาท้ังสองขางของอสมการ ax ≥ x a2 + ax ≥ a + ax (23) a + ax ≥ a + x (24) จากอสมการ (23) และ (24) จะไดวา a2 + ax ≥ a + ax ≥ a + x เนอ่ื งจาก a2 + ax = a(a + x) = a + x ดังน้นั a + x ≥ a + ax ≥ a + x นนั่ คอื a + ax = a + x เนื่องจาก (S, +) มีสมบตั ิการตดั ออกทางซา ย ทำใหไดวา ax = x ในทำนองเดยี วกันจะไดวา ax = a นำ a2 บวกเขา ทงั้ สองขางของสมการ ax = x จะได ax + a2 = x + a2 a(x + a) = x + a2 a + x = x + a2 x + a = x + a2 จากกฎการตัดออกทางซายจะไดว า a = a2 ดังนนั้ (S, · ) เปน เอกฐานทางขวาและ (S, · ) เปนแถบ โครงการสัมมนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณิตศาสตร ครงั้ ท่ี 7 มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
208 สายชล ตา ยธานี และคณะ 3. เนื่องจาก (S, · ) เปน อันดบั เชงิ บวก จะไดว า ax ≥ a และ ax ≥ x สำหรับทุกๆ a, x ∈ S นำ a2 บวกเขา ท้ังสองขา งของอสมการ ax ≥ a จะได a2 + ax ≥ a2 + a (26) a(a + x) ≥ a2 + a a + x ≥ a2 + a และนำ a2 บวกเขาทงั้ สองขา งของอสมการ ax ≥ x จะได a2 + ax ≥ a2 + x (27) a(a + x) ≥ a2 + x a + x ≥ a2 + x เนื่องจาก (S, +) เปน เอกฐานทางขวา จะมี a2 + a = a และ a2 + x = x จากอสมการ (26) และ (27) ขางตน จะไดว า a + x ≥ a2 + a = a a+x≥a a + x ≥ a2 + x = x a+x≥x ดังน้ัน (S, +) เปนอันดับเชงิ บวกทุกสวน 4. บทสรุป การศกึ ษางานวจิ ยั สมบตั ิของก่ึงริงปรติบรบิ รู ณน้ี ไดทราบบทนยิ ามที่เกี่ยวกับการดำเนนิ การ ทวภิ าค กรุป กึ่งกรุป กรุปอาบีเลียน รงิ กึ่งริง แถบ เกอื บนิจพล กง่ึ นจิ พล โดเมนตรรกยะบวก ก่ึงริง เดยี ว นจิ พลยอยภายใตการบวกและการคณู คาบ ก่งึ รงิ ปกติบรบิ รู ณ ก่ึงริงอนั ดบั ทกุ สว น ก่งึ กรุปอันดับ ทกุ สวน และอันดับเชิงบวกทกุ สว น เปน ตน และทำใหไดท ฤษฎบี ทใหมท้งั หมดดงั น้ี ทฤษฎบี ท 1 ให S เปนกงึ่ ริงปรกติบริบรู ณ และ e เปนเอกลักษณภายใตการบวกและการคณู แลว a + x = a และ S เปนกง่ึ รงิ นิจพล ทฤษฎีบท 2 ให S เปน กึ่งริงปรกติบริบรู ณ และ (S, +) เปนแถบ ทฤษฎบี ท 3 ให S เปนกง่ึ ริงปรกตบิ ริบรู ณ ซง่ึ มี 0 เปนเอกลกั ษณภ ายใตการบวก ถา S เปนก่งึ รงิ กำลงั สองศนู ย แลว (S, +) เปน อ-ี ผกผนั และสำหรับทุกๆ a ∈ S จะมี x ∈ S ซ่ึง ax + a = a ทฤษฎบี ท 4 ถา S เปนกง่ึ ริงปรกตบิ รบิ รู ณ และ S เปนนิลจพลยอ ยการคณู ทฤษฎีบท 5 ให S เปนกงี่ รงิ ปรกติบรบิ ูรณ ถา S ก่ึงริงเกือบนิลจพล แลว S เปนกงึ่ ริงนิจพล โครงการสัมมนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครง้ั ที่ 7 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค
สมบตั ขิ องกึง่ ริงปรกติบรบิ ูรณ 209 ทฤษฎบี ท 6 ถา S เปนกึ่งริงปรกตบิ รบิ ูรณ และ S เปนก่งึ รงิ เดยี ว ทฤษฎีบท 7 ให S เปน กง่ึ ริง และ (S, +) เปนเอกฐานทางขวา ถา a ∈ C แลว ทุกๆ กำลังของ a เปนปรกติบรบิ รู ณ ทฤษฎบี ท 8 ให S เปน ก่ึงริง และ (S, · ) เปนกึง่ แลตทซิ ถา a ∈ C แลว C เปน อดุ มคตกิ ารคูณ ของ S ทฤษฎีบท 9 ให S เปนโดเมนตรรกยะบวก แลว a = 1 (นน่ั คอื 1 เปนสมาชิกปรกติบรบิ ูรณเพียงตัว เดียวในโดเมนตรรกยะบวก) ทฤษฎบี ท 10 สำหรบั แตล ะสมาชิก a ของก่งึ ริงปรกติบรบิ รู ณ S จะมี x ∈ S ซ่ึง a + ax = x ถา (S, · ) มสี มบัตกิ ารตัดออกทางซาย แลว a2 = 2a ทฤษฎบี ท 11 ให S เปนกึง่ ริ่งปกติบรบิ รู ณอันดบั ทกุ สว น แลว (S, +, ≥) เปน อันดับเชงิ บวกทุกสว น ทฤษฎบี ท 12 ให S กงึ่ ริงปรกติบริบูรณอนั ดบั ทุกสว น แลว (S, · ) เปนอนั ดับเชิงบวกทุกสว น เอกสารอางอิง [1] ววิ รรธน วณิชาภชิ าต,ิ พีชคณติ นามธรรม 1, มหาวิทยาลยั นเรศวร, 2545 [2] J.S. Golan, Semirings and their Applications, Kluwer Academic Publishers, Dor- drecht, 1999. [3] J. Hanumanthachari, T. Vasanthi, ”On the additive and multiplicative structure of certain classes of ordered semirings,” Asian Bull. Math. 17 (1) (1993) 3-10 [4] K.S.S. Nambooripad, Structure of regular semigroups, I fundamental regular Semi- groups, Semigroup Fourm 9 (1975) 354-363. [5] M.K. Sen, S.K. Maity, K.P. Shum, Clifford Semirings and generalized Clifford. semir- ings, Taiwanese Journal of Mathematics 9 (3) (2005) 433-444. [6] T. Vasanthi and N. Sulochana, Semirings satisfying the identities, Inter.J. Math Archieve 3 (9) (2012) 3393-3399. [7] T. Vasanthi, Semirings with IMP, Southeast Asian Bull. Math. 32 (3) (2008) 995- 998. [8] T. Vasanthi, Y. Monikarchana, K. Manjula, Structure of semirings, Southeast Asian Bull. Math. 35 (2011) 149-156. 18 [9] T. Vasanthi and N. Sulochana, On the additive and multiplicative structure of semir- ings, Annals of Pure and Applied Mathematics 3 (1) (2013) 78-84. [10] J. Zeleznekow, Regular semirings, Semigroup Forum 23 (1981) 119-136. โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดานคณิตศาสตร ครัง้ ที่ 7 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค
210 สายชล ตายธานี และคณะ โครงการสัมมนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณติ ศาสตร คร้งั ที่ 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
Type of the Article: Seminar SE-PU 05 211 ทฤษฎีบทจุดตรึงสำหรบั อนั ดับการหดตัวในปรภิ มู ิ b-เมตริกบาง สว น Some Fixed Point Theorem for Ordered Contractions in Partial b-Metric Spaces ผูแตง : Satish Shukla จดั ทำโดย: ปภาวดี ขมขำ1, กุญจเร ชเู ฉลิม1* และ เกศสรินทร สิงหโขง 1 1สาขาวิชาคณติ ศาสตรแ ละสถิติ คณะวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี มหาวอทยาลัยราชภฏั นครสวรรค *Correspondence: [email protected] บทคัดยอ ในบทความน้ี เปน การพสิ จู นทฤษฎีจุดตรึงในปริภูมิ b-เมตรกิ บางสวนประกอบกับอันดับบางสวน ผลลัพธ ของบทความนี้เปน วางนัยท่วั ไป และขยายหลักการหดตวั บานาค และผลลพั ธอื่นๆ ที่เปน ที่รูจกั ในปริภูมิ b-เมตรกิ บางสวนประกอบกับอนั ดับบางสวน มีตัวอยา งท่ีแสดงถงึ กรณีที่สามารถใชผลลัพธใหมไดในขณะท่ี ผลลพั ธเ กาไมส ามารถทำได คำสำคญั : อันดับบางสวน, ปริภูมิ b-เมตริกบางสว น, ปริภูมิ b-เมตรกิ , การหดตวั และจดุ ตรงึ Abstract In this paper, some fixed point theorems in a partial b-metric space endowed with a partial order are proved. The results of this paper generalize and extend the Banach contraction principle and some other known results in partial b-metric spaces endowed with a partial order. Some examples are given which illustrate the cases when new results can be applied while old ones cannot. Keywords: Partial order, Partial b-metric space, b-metric space, Contraction, Fixed point 1. บทนำ Bakhtin [8] และ Czerwik [29] แนะนำปริภูมิ b-เมตรกิ ซึง่ เปนวางนัยทว่ั ไปของปริภมู ิเมตรกิ ในปริภมู ินี้อสมการสามเหล่ียมของฟง กช ันเมตรกิ ปกติ ถกู แทนโดยอสมการวางนยั ทว่ั ไปซึง่ ประกอบ ดว ยคาคงที่ s ≥ 1 สำหรบั s = 1 จะไดเมตรกิ ปกติและวางนยั ทัว่ ไปของหลักการหดตวั บานาคใน ปริภูมิน้ัน ๆ หลังจากงานนี้ มนี กั วิจัยจำนวนมากใหค วามสนใจในปริภูมิ b-เมตริก เหน็ ไดจ ากในเอกสาร อา งอิง ([1],[17],[21],[23],[24],[26],[32]) โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครงั้ ที่ 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
212 ปภาวดี ขมขำ และคณะ ทฤษฎีบท 1.1. กำหนดให (X, d) เปนปริภมู ิเมตริกบริบูรณและ f : (X, d) −→ (X, d) เปน การสง แบบหดตวั แลว F มีจุดตรึงเพยี งจดุ เดียว หลงั จากงานนี้ มีนกั วิจัยจำนวนมากใหความสนใจในปริภมู ิ b-เมตริกเหน็ ไดจากเอกสารอางอิง ([1], [17], [21], [23], [24], [26], [32] และการอา งอิงในนนั้ ) Matthews [31] ไดแนะนำความคิดของปรภิ มู ิเมตรกิ บางสวนเปนสว นหนงึ่ ในปริภูมินี้เมตรกิ ปกติเปน วางนยั ทั่วไปโดยการแนะนำระยะทางในตัวเองที่ไมใ ชศูนยของจุดในปรภิ ูมิ Matthews จะ แสดงวา หลกั การหดตัวบานาคถกู ตอ งในปรภิ ูมิเมตริกบางสวน โดย ทฤษฎบี ท 1.2. (ทฤษฎีการสง หดตัวเมตรกิ บางสวน) สำหรับแตล ะ p-เมตริกบรบิ ูรณ P : U2 −→ R และ สำหรบั แตละฟง กช นั f : U −→ U จะไดว า สำหรับบาง 0 ≤ c ≤ 1 สำหรบั ทุก ๆ x, y ∈ U p(f(x), f(y)) ≤ c × p(x, y) เรียกวา การหดตวั ประการแรกจะไดวา a ∈ U เพยี งหนงึ่ เดยี ว จะไดวา a = f(a) และประการที่สอง p(a, a) = 0 ในทางกลับกนั Ran และ Reurings [4] และ Nieto และ Lopez [13], [14] ไดวา มีจุดตรึงของ การสงดว ยตัวเองของปริภมู ิเมตรกิ ซง่ึ ประกอบกบั อนั ดบั บางสวน ผลลพั ธของจดุ ตรึงในปรภิ มู ิประกอบ กบั อันดับบางสวน ทฤษฎบี ท 1.3. ให T เปน เซตอนั ดับบางสว น ซึ่ง ทกุ ๆ คู x, y ∈ T มีขอบเขตลา งและมีขอบเขตบน นอกจากน้ี ให d เปน เมตรกิ บน T ซ่ึง (T, d) เปนปริภูมิเมตริกสมบรู ณ ถา F ตอเนอื่ งเพยี งหน่ึงเดียว สงจาก T ไปยงั T ซง่ึ 1. สำหรบั บาง 0 < c < 1 ที่ d(F (x), F (y)) ≤ cd(x, y) สำหรับทุก ๆ x ≥ y 2. สำหรบั บาง x0 ∈ T ท่ี x0 ≤ F (x0) หรือ x0 ≥ F (x0) แลว F จะมี x เปนจดุ ตรงึ เพยี งหนง่ึ เดียว ยิ่งไปกวานั้น สำหรับทุก ๆ x ∈ T lim F n(x) = x h→∞ เราจะสามารถประยกุ ตในการพิสจู นวา มีจริงและความเปน ไปไดอยางเดียวของผลเฉลยสำหรับ สมการเมตริก เชน เดยี วกบั ขอ ปญ หาคา ขอบของสมการเชิงอนุพันธสามญั สมการปริพันธ สมการฟซ ซี ของปญ หาในปริภูมิแอล เปน ตน ( [2], [4], [7], [9], [10], [12], [13], [14], [15], [16], [25] ) ผลลัพธ ของ Ran และ Reuring [4] และ Nieto และ Lopez [13], [14] เปนวางนัยทั่วไปโดยผูเขยี นที่หลาก หลาย ( [2], [5], [6], [9], [11], [12], [18], [28], [33], [34] ) Shukla [32] b-เมตริกวางนัยทว่ั ไปและปริภูมิเมตรกิ บางสวนโดยแนะนำแนวคดิ ของปรภิ มู ิ b- เมตรกิ บางสว นและขอ พิสจู นโดยหลักการหดตัวบานาคในปรภิ ูมิ b-เมตริกบางสวน โดยทฤษฎีหลักการ หดตวั บานาค จะสามารถพบไดใน [3], [19], [20], [35] ในบทความน้ีเราพสิ ูจนวางนัยทว่ั ไปของหลกั การหดตวั บานาคในปริภมู ิ b-เมตรกิ บางสว นประกอบกับอนั ดับบางสว น ผลลพั ธของวางนยั ท่ัวไปใน โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร คร้ังท่ี 7 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค
ทฤษฎีบทจุดตรึงสำหรบั อนั ดับการหดตวั ในปรภิ มู ิ b-เมตรกิ บางสว น 213 ผลลพั ธของ Bakhtin [8], Czerwik [29], Ran และ Reurings [4], Nietonและ Lopez [13], [14], Matthews [31] และผลลัพธลา สุดของ Shukla [32] ตวั อยา งท่ีไดรับที่คำตอบของนทิ ศั นและแสดงให เห็นวา วางนยั ทว่ั ไปมคี วามเหมาะสม 2. ความรูพ้ืนฐาน บทนิยาม 2.1. ให X ไมเปน เซตวาง และ T : X −→ X เปนการสง จะเรยี ก x ∈ X วาจดุ ตรึง ถา T (x) = x และแทนสัญลักษณ T x = x บทนยิ าม 2.2. ให X ไมเปนเซตวา ง และ S และ T : X −→ X เปนฟงกช ันเรียกวา x ∈ X วา จดุ ตรงึ รว ม ถา T x = Sx = x บทนิยาม 2.3. ให X ไมเปน เซตวางและการสง d : X × X −→ R+ (R+ ยอ มาจากจำนวนจรงิ ท่ีไม เปน ลบ) สอดคลองกับเงอ่ื นไขตอไปนี้ (bM1) d(x, y) = 0 กต็ อเมอื่ x = y (bM 2) d(x, y) = d(y, x) (bM3) มจี ำนวนจรงิ s ≥ 1 จะไดว า d(x, y) ≤ s[d(x, z) + d(z, y)] สำหรับทุก ๆ x, y ∈ X แลว เรยี ก d วา b-เมตรกิ บน X และเรยี ก (X, d) วาปริภูมิ b-เมตริก ท่มี สี ัมประสิทธิ์ s บทนิยาม 2.4. เมตรกิ บางสวนไมเ ปน เซตวางบน X เปนฟง กช ัน p : X × X −→ R+ จะไดว า สำหรบั ทุก ๆ x, y, z ∈ X (P 1) x = y ก็ตอเม่อื p(x, x) = p(x, y) = p(y, y) (P 2) p(x, x) ≤ p(x, y) (P 3) p(x, y) = p(y, x) (P 4) p(x, y) ≤ p(x, z) + p(z, y) − p(z, z) ปริภูมเิ มตรกิ บางสว นเปน คู (X, p) จะไดวา X ไมเ ปนเซตวาง และ p คือ เมตริกบางสวนบน X บทนยิ าม 2.5. b-เมตรกิ บางสวนไมเ ปนเซตวา งบน X คือ ฟง กช นั b : X × X −→ R+ จะไดวา สำหรบั ทุก ๆ x, y, z ∈ X (P b1) x = y กต็ อเมือ่ b(x, x) = b(x, y) = b(y, y) (P b2) b(x, x) ≤ b(x, y) (P b3) b(x, y) = b(y, x) (P b4) มีจำนวนจรงิ s ≥ 1 จะไดว า b(x, y) ≤ s[b(x, z) + b(z, y)] − b(z, z) ปรภิ ูมิ b-เมตริกบางสวนเปนคู (X, b) จะไดวา X ไมเปนเซตวาง และ b เปน b-เมตรกิ บางสว นบน X เรยี กจำนวน s วา สัมประสทิ ธขิ์ อง (X, b) หมายเหตุ 2.6. ([32]) ในปรภิ มู ิ b-เมตริกบางสวน (X, b) สำหรับทุก ๆ x, y ∈ X ถา b(x, y) = 0 แลว x = y แตบ ทกลับอาจไมเปน จรงิ โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณิตศาสตร คร้งั ท่ี 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
214 ปภาวดี ขมขำ และคณะ เปน ที่ชัดเจนวา ทกุ ๆ ปรภิ มู ิเมตริกบางสวน เปน ปริภมู ิ b-เมตริกบางสวน ที่มีสัมประสิทธิ์ s = 1 และทกุ ปรภิ ูมิ b-เมตริก เปน ปรภิ ูมิ b-เมตริกบางสวน ท่ีมีสมั ประสทิ ธ์ิเดียวกัน และระยะทาง เปน ศนู ย อยางไรก็ตาม บทกลับของขอเท็จจริงนไ้ี มจำเปน ตองเปน จรงิ หมายเหตุ 2.7. ([32]) เปนท่ีชดั เจนวา ทุก ๆ ปรภิ มู ิเมตรกิ บางสว น คอื ปรภิ ูมิ b-เมตรกิ บางสว น ที่มี สมั ประสิทธ์ิ s = 1 และทกุ ปริภมู ิ b-เมตรกิ คือ ปรภิ มู ิ b-เมตรกิ บางสวน ท่ีมีสมั ประสทิ ธ์ิเดยี วกนั และ ระยะทางเปน ศนู ย อยา งไรก็ตาม บทกลบั ของขอเท็จจรงิ นี้ไมจำเปนตองเปน จรงิ ตวั อยาง 2.8. ให X = R+, p > 1 เปนคา คงที่ และ b : X × X −→ R+ แลวนยิ ามโดย b(x, y) = [max{x, y}]p + |x − y|p สำหรับทกุ ๆ x, y ∈ X แลว (X, b) เปนปรภิ ูมิ b-เมตริกบางสวน ที่มีสัมประสิทธ์ิ s = 2p > 1 แตไมใ ช b-เมตริก และไมเปน ปรภิ ูมิเมตริกบางสวน แทจริงแลว สำหรับทุก ๆ x > 0 เราจะไดวา b(x, x) = xp ≠ 0 ดงั น้ัน b ไมเปน b-เมตรกิ บน X เชนเดยี วกนั สำหรบั x = 5, y = 1, z = 4 เราจะได b(x, y) = 5p + 4p และ b(x, z) + b(z, y) − b(z, z) = [max{5, 4}]p + |5 − 4|p + [max{4, 1}]p + |4 − 1|p − ([max{4, 4}]4 + |4 − 4|4) = 5p + 1p + 4p + 3p − 4p − 0 = 5p + 1 + 3p ดังน้นั b(x, y) > b(x, z) + b(z, y) − b(z, z) สำหรับทุก ๆ p > 1 ดังน้นั b ไมเ ปน เมตรกิ บางสว นบน X สำหรบั ตวั อยางเพม่ิ เติมของปรภิ มู ิ b-เมตริกบางสว น เราอางอิงใน [32] เราจะนยิ ามลำดับโคชี และลำดับลูเขา ในปรภิ มู ิ b-เมตรกิ บางสวน บทนยิ าม 2.9. ให (X, b) เปนปริภมู ิ b-เมตริกบางสวน ที่มีสมั ประสิทธ์ิ s ให {xn} เปนลำดบั ใด ๆ ใน X และ x ∈ X จะไดวา 1. ลำดับ {xn} เรยี กวา ลำดบั ลเู ขา และลเู ขาสู x ก็ตอเมอื่ lim b(xn, x) = b(x, x) n→∞ 2. ลำดับ {xn} เรียกวา ลำดับโคชี (Cauchy Sequence) ใน (X, b) กต็ อเม่อื lim b(xn, xm) n,m→∞ มีอยูจริงและมีขอบเขตจำกัด 3. (X, b) เรียกวา ปรภิ ูมิ b-เมตริกบางสว นบริบรู ณ กต็ อ เมื่อสำหรับทุก ๆ ลำดบั โคชี (Cauchy Sequence) {xn} ใน X จะมี x ∈ X ซง่ึ lim b(xn, xm) = lim b(xn, x) = b(x, x) n,m→∞ n→∞ โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครั้งที่ 7 มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครสวรรค
ทฤษฎีบทจดุ ตรึงสำหรับอันดับการหดตัวในปริภูมิ b-เมตรกิ บางสวน 215 หมายเหตุ: ในปรภิ มู ิ b-เมตริกบางสว น ลิมติ ของลำดับลูเขา อาจจะไมม ีเพยี งจุดเดียว (สามารถดูไดจาก ตัวอยา งท่ี 2 ใน [32]) ถา X ไมเปนเซตวา งประกอบดว ยลำดับบางสว น ⊑ ซง่ึ (X, b) เปนปริภมู ิ b-เมตริกบางสว น ท่ี มีสัมประสิทธิ์ s ≥ 1 แลว (X, b, ⊑) เรียกวา อนั ดบั ปริภูมิ b-เมตรกิ บางสว น สมาชิก x, y ∈ X เรยี ก วา comparable ถา x ⊑ y หรอื y ⊑ x สบั เซต A ของ X จะเรียกวา อนั ดับอยางดี ถาสมาชกิ ทั้งหมด ของ A เปน ลำดบั {xn} ใน X เรียกวา ลำดับไมลดซงึ่ ขึ้นอยูกับ ⊑ ถา xn ⊑ xn+1 สำหรบั ทกุ ๆ n ∈ N การสง T : X −→ X เรียกวา การสงไมลดซงึ่ ข้นึ อยูกบั ⊑ ถา x ⊑ y แลว T x ⊑ T y เรา กำหนดให เซตของจดุ ตรึงท้ังหมดของ T โดย F ix(T ) ซึง่ F ix(T ) = {x ∈ X : T x = x} บทนยิ าม 2.10. ให (X, b, ⊑) เปน อนั ดบั ปรภิ มู ิ b-เมตรกิ บางสวน ท่มี สี มั ประสทิ ธิ์ s ≥ 1 และ T : X −→ X เปน การสง แลว T เรียกวา อนั ดับการหดตัวบานาค (ordered Banach contrac- tion) ก็ตอ เมือ่ มี λ ∈ [0, 1) ซึง่ ถา x ⊑ y แลว b(T x, T y) ≤ λb(x, y) สำหรับทุก ๆ x, y ∈ X (1) คา คงที่ λ เรยี กวา คาคงทีก่ ารหดตัวของ T บทนิยาม 2.11. ให (X, b) เปน ปริภมู ิ b-เมตรกิ บางสว น และ f : X −→ X เปนการสง แลว f เรยี ก วา 1. ตอ เนอ่ื ง ก็ตอ เมื่อสำหรบั ลำดับ {xn} ใน X lim b(xn, x) = b(x, x) n→∞ สำหรับบาง x ∈ X แลว lim b(f xn, f x) = b(f x, f x) n→∞ 2. f เรียกวา ลำดบั ลูเ ขา ก็ตอเมอ่ื สำหรับ ลำดบั {xn} ใน X ซ่งึ ถา lim b(xn, x) = b(x, x) n→∞ สำหรบั บาง x ∈ X เมอ่ื lim b(f xn , y) = b(y, y) n→∞ สำหรับบาง y ∈ X บทนิยาม 2.12. f จะเปนฟงกช ันไมลด (non decreasing) บนชวง A ก็ตอ เม่ือ สำหรับสมาชิก x1 และ x2 ใด ๆ ใน A ถา x1 ≤ x2 แลว f(x1) ≤ f(x2) บทนยิ าม 2.13. ให S เปนกึ่งกรุป และ ≤ เปน ความสมั พันธบน S จะเรยี ก ≤ วา อันดับบางสว น (partial order) ถา ≤ มคี วามสัมพันธด งั ตอไปน้ี โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครั้งที่ 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค
216 ปภาวดี ขมขำ และคณะ 1. ความสมั พันธส ะทอน(reflexive relation) a ≤ a สำหรับทกุ ๆ a ∈ S 2. ความสมั พันธปฏิสมมาตร(antisymmetric relation) ถา a ≤ b และb ≤ a แลว a = b สำหรบั ทกุ ๆ a, b ∈ S 3. ความสัมพนั ธถายทอด(transitive relation) น่นั คือ ถา a ≤ b และ b ≤ c แลว a ≤ c สำหรบั ทุกๆ a, b, c ∈ S บทนิยาม 2.14. หลกั การจัดอนั ดบั อยา งดี (Well-ordering principle) สำหรบั เซตยอ ยใด ๆ ของ จำนวนนับ โดยไมเปน เซตวา ง จะมสี มาชิกทีน่ อ ยทสี่ ดุ เสมอ นัน่ คือ ถา A ⊆ N และไมเปน เซตวาง จะมี a ∈ A ซึ่ง a x สำหรบั ทกุ ๆ x ∈ A 3. ทฤษฎบี ทจุดตรึง บทต้ัง 3.1. ให (X, b, ⊑) เปนปรภิ มู ิอนั ดบั b-เมตริกบางสว น และ T : X −→ X เปนการสง ถา T เปน การสง ไมล ดซ่ึงขึ้นอยกู ับ ⊑ และ T เปนอันดับการหดตวั บานาค (ordered Banach contraction) ทีม่ ี λ เปน คา คงท่ีการหดตัว แลว สำหรับทกุ ๆ k ∈ N การสง F : X −→ X นิยามโดย F x = T kx สำหรบั ทุก ๆ x ∈ X เปน การสง ไมล ด ซงึ่ ขน้ึ อยูก ับ ⊑ และ F เปน อันดบั การหดตวั บานาค (ordered Banach contraction) ท่ีมี λk เปน คา คงท่ีการหดตัว พสิ จู น. เนอื่ งจาก T เปนการสงไมล ด (non decreasing) ซึ่งขน้ึ อยกู บั ⊑ สำหรับทุก ๆ x, y ∈ X ซึ่ง x ⊑ y เราจะได Tx ⊑ Ty T (T x) ⊑ T (T y) kk T T...(T x) ⊑ T T...(T y) Tkx ⊑ Tky Fx ⊑ Fy ดังนนั้ F เปนการสงไมล ดซง่ึ ข้นึ อยูกับ ⊑ ถา x ⊑ y แลวเนอื่ งจาก T เปน การสง ไมล ดซึง่ ขนึ้ อยกู บั ⊑ เราจะไดว า T nx ⊑ T ny สำหรบั ทุก ๆ n ∈ N เราจะได อันดบั การหดตวั บานาค (ordered Banach contraction) b(F x, F y) = b(T kx, T ky) = b(T T k−1x, T T k−1y) โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครัง้ ท่ี 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค
ทฤษฎีบทจุดตรึงสำหรับอนั ดบั การหดตวั ในปรภิ ูมิ b-เมตรกิ บางสวน 217 ≤ λb(T k−1x, T k−1y) = λb(T T k−2x, T T k−2y) ≤ λλb(T k−2x, T k−2y) = λb(T T k−3x, T T k−3y) ... ≤ λkb(x, y) ดังนนั้ F เปน อันดบั การหดตวั บานาคท่มี ี λk เปนคาคงทก่ี ารหดตวั ทฤษฎบี ท 3.2. ให (X, b, ⊑) เปน อนั ดับและปรภิ ูมิ b-เมตริกบางสวน บรบิ รู ณ ที่มีสัมประสิทธ s ≥ 1 และ T : X −→ X เปนการสง ซง่ึ สอดคลองกบั เงอื่ นไขตอ ไปน้ี 1. T เปน อนั ดบั การหดตวั บานาคท่ีมคี า คงท่ีการหดตวั λ 2. มี x0 ∈ X ซงึ่ x0 ⊑ T x0 3. T เปนการสงไมล ดซึง่ ข้นึ อยกู ับ ⊑ 4. ถา {xn} เปน ลำดบั ไมล ดใน X และลเู ขา สูบาง z แลว xn ⊑ z สำหรับทุก ๆ n ∈ N แลว T มีจดุ ตรงึ u ∈ X และ b(u, u) = 0 ย่ิงไปกวานั้นแทนเซตของจดุ ตรงึ T เปน F ix (T ) เปน อันดับอยางดี ก็ตอ เมอ่ื จดุ ตรงึ ของ T มเี พยี งจุดเดียว พิสจู น เนอ่ื งจาก λ ∈ [0, 1) เราสามารถเลอื ก n0 ∈ N ซึง่ ให 0 < ε < 1 เราจะไดว า λn0 < ε ให T n0 ≡ F และ F kx0 = xk สำหรบั ทกุ ๆ k ∈ N 4s2 โดยบทตั้ง 3.1 F เปนการสง ไมล ดขน้ึ อยูก บั ⊑ และ F เปนอันดับการหดตัวบานาคกบั คา คงทก่ี ารหดตัว λn0 เน่อื งจาก x0 ⊑ T x0 และ T เปน การสง ไมล ดซึ่งขน้ึ อยูก บั ⊑ เราจะไดวา T x0 ⊑ T T x0 และ ดังนน้ั x0 ⊑ T x0 ⊑ T 2x0 ( ทำอยางตอ เน่อื งในลักษณะนี้ ) x0 ⊑ T x0 ⊑ T 2x0 ⊑ · · · ⊑ T nx0 ⊑ T n+1x0 ⊑ · · · สำหรบั ทกุ ๆ n ∈ N จะไดวา x0 ⊑ T n0x0 ⊑ T 2n0x0 ⊑ · · · ⊑ T nn0x0 ⊑ · · · สำหรบั ทกุ ๆ n ∈ N ดังนั้น x0 ⊑ F x0 ⊑ F 2x0 ⊑ · · · ⊑ F nx0 ⊑ · · · x0 ⊑ x1 ⊑ x2 ⊑ · · · ⊑ xk ⊑ xk+1 ⊑ · · · สำหรบั ทุก ๆ k ∈ N ดังนัน้ ลำดบั {xn} เปนลำดบั ไมล ดขนึ้ อยูก ับ ⊑ สำหรบั ทกุ ๆ k ∈ N เน่อื งจาก xk−1 ⊑ xk และ F เปนอนั ดบั การหดตัวบานาคสอดคลอ งกบั λn0 b(xk, xk+1) = b(F kx0, F k−1x0) = b(F (F k−1x0), F (F kx0)) = b((F xk−1, F xk) ≤ λn0 b(F k−1x0, F kx0) โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครง้ั ที่ 7 มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
218 ปภาวดี ขมขำ และคณะ ... ≤ λkn0b(x0, x1) −→ 0 k −→ ∞ ดงั นนั้ เราสามารถเลือก l ∈ N จะได b(xl, xl+1) < ε 8s2 XBb⊑: [xxll,⊑4εsy],ไbป(ยxังl,ตyวั )ม≤นั เอ4εงs ให Bb⊑[xl, ε ] := {y ∈ + b(xl, xl)} 4s เราจะแสดงวา F สง จาก ตอนนี้เปนทช่ี ัดเจนวา xl ∈ Bb⊑[xl, ε ] 4s ดังน้ัน Bb⊑[xl, ε ] ≠ ∅ 4s ให z ∈ Bb⊑[xl, ε ] แลว จะไดวา xl ⊑ z และ 4s เน่อื งจาก F เปนการสงไมลดถา xl ⊑ z แลว F xl ⊑ F z ดังนนั้ xl+1 ⊑ F z และ ดังนัน้ xl ⊑ xl+1 ⊑ F z และ ดงั นน้ั xl ⊑ F z เนอื่ งจาก F เปน อนั ดับการหดตัวบานาคขึน้ อยูกบั คาคงท่ีการหดตวั λn0 เราจะไดวา b(F xl, F x) ≤ λn0 b(xl, z) < εε + b(xl, xl)] 4s2 [ 4s เชน เดยี วกนั b(xl, F xl) = b(xl, F (F lx0)) = b(xl, F l+1x0) = b(xl, xl+1) < ε 8s2 ดังนั้น b(xl, F z) ≤ s[b(xl, F xl) + b(F xl, F z)] − b(F xl, F xl) < ε + ε { ε + b(xl, xl})] s[ 8s2 4s2 4s ε ε2 ε = 8s + 16s2 + 4s b(xl, xl) ε 2+ε ε =( ) + 4s b(xl, xl) 4s 4s ε < 4s + b(xl, xl) ดังนน้ั F z ∈ Bb⊑[xl, ε ] 4s ดงั นน้ั F สงจาก Bb⊑[xl, ε ] ไปยงั ตัวมันเอง ซ่ึง xl ∈ Bb⊑[xl, ε ] 4s 4s ดังน้นั F xl ∈ Bb⊑[xl, ε ] และทำซำ้ สง n รอบจะไดว า F nxl ∈ Bb⊑[xl, ε ] ทกุ ๆ n ∈ N 4s 4s ดังนน้ั xm ∈ Bb⊑[xl, ε ] ทุก ๆ m ≥ l ดงั น้นั สำหรับทุก ๆ m, n > l 4s จะไดวา b(xn, xm) ≤ s[b(xn, xl) + b(xl, xm)] − b(xl, xl) โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณติ ศาสตร ครง้ั ที่ 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
ทฤษฎบี ทจดุ ตรึงสำหรับอนั ดับการหดตัวในปริภูมิ b-เมตริกบางสว น 219 εε xl)] < s[ + b(xl, xl) + + b(xl, 4s 4s = 2ε + 2b(xl, xl)] s[ 4s ε = 2 + 2sb(xl, xl) ≤ ε + 2sb(xl, xl+1) 2 εε ε < 2 + 2s( 8s2 ) ; b(xl, xl+1) < 8s2 ε ε εε = + < + =ε 2 4s 2 2 ดังนั้น ลำดบั {xn} เปนลำดับโคชี และ b(xn, xm) < ε สำหรับทกุ ๆ n, m > l โดยความบรบิ ูรณ ของ X จะไดวา u ∈ X ซึ่ง lim b(xn, u) = lim b(xn, xm) = b(u, u) = 0 (2) (3) n→∞ n,m→∞ เราจะแสดงวา u เปนจุดตรึงของ T โดยบทนิยาม (2.9) เราจะไดว า Xn ⊑ u สำหรบั ทกุ ๆ n ∈ N โดย (1) เราจะมี b(u, T u) ≤ s[b(u, T xn) + b(T xn, T u)] − b(T xn, T xn) ≤ s[[s{b(u, xn) + b(xn, T xn)} − b(xn, xn)] + λb(xn, u)] ≤ s2(b(u, xn)) + s2b(xn, T xn) − s2b(xn, xn) + sλb(xn, u) = (s2 + sλ)b(xn, u)) + s2b(xn, T xn) ; b(u, xn) = b(xn, u) = (s2 + sλ)b(xn, u) + s2b(F nx0, T F nx0) = (s2 + sλ)b(xn, u) + s2b(F nx0, F nT x0) ทำอกี ครง้ั เนอ่ื งจาก x0 ⊑ T x0 ดงั นน้ั F nx0 ⊑ F nT x0 สำหรับทกุ ๆ n ∈ N ( ซึง่ F เปนการสงไมลดขึน้ อยกู บั ⊑ ) และเนื่องจาก F เปน อนั ดบั การหดตัวบานาคสอดคลอ งกับคาคงทกี่ ารหดตวั λn0 b(F nx0, F nT x0) = b(F F n−1x0, F F n−1T x0) ≤ λn0 b(F n−1x0, F n−1T x0) = λn0 b(F (F n−2x0), F (F n−2)T x0) ≤ λ2n0 b(F n−2x0, F n−2T x0) ... โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร คร้งั ที่ 7 มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
220 ปภาวดี ขมขำ และคณะ ≤ λnn0 b(x0, T x0) ดังน้ัน เราจะไดวา จากสมการ (3) ได b(u, T u) = (s2 + sλ)b(xn, u) + s2b(F nx0, F nT x0) ≤ (s2 + λs)b(xn, u) + s2λnn0b(x0, T x0) รว มกับสมการ (2) จะไดว า b(u, T u) = 0 ดงั นั้น u เปน จดุ ตรึงของ T จะแสดงวา T มจี ุดตรึงเพยี งหน่งึ เดียว สมมตวิ า F ix(T ) เปน อนั ดบั อยางดี และ u, v ∈ F ix (T ) จะได T u = u, T v = v สมมติวา b(u, v) > 0 เนอื่ งจาก Fix (T) เปนอันดับอยางดี สมมตวิ า u ⊑ v โดยนิยามอนั ดับการหดตวั บานาค จะไดว า b(u, v) = b(T u, T v) ≤ λb(u, v) < b(u, v) เกดิ ขอขัดแยง นี้จะไดว า b(u, v) = 0 ดงั นัน้ u = v ในทำนองเดยี วกัน ถา v ⊑ u จะไดว า u = v ดังน้ัน จดุ ตรงึ ของ T มเี พียงจุดเดยี ว ถาจดุ ตรงึ ของ T มีเพียงจุดเดยี ว แลว Fix (T) เปนเซตทีม่ สี มาชกิ เพยี งหนง่ึ เดียว และดงั นน้ั F ix (T ) เปน อนั ดับอยางดี ตัวอยา งตอ ไปนี้เปน ตวั อยางงายๆ ซึ่งแสดงถงึ ทฤษฏีขา งตน และแสดงเงื่อนไขของความเปน อันดับอยา งดีของ Fix(T) สำหรับการมีจดุ ตรึงเพยี งจุดเดียว นอกจากนี้ยังแสดงใหเหน็ วาทฤษฏีบท ขา งตน เปน วางนัยท่ัวไปของผลลพั ธท ่ที ราบ ตวั อยา ง 3.3. ให X = {1, 2, 3, 4} และ b : X × X −→ R นิยามโดย ถา x ≠ y |x − y|2 + max{x, y} ถา x = y ∈ {2, 3} ถา x = y ∈ {1, 4} b(x, y) = x 0 แลว (X, b) เปน ปรภิ มู ิ b-เมตรกิ บางสว นบรบิ ูรณ ทม่ี ีสัมประสิทธิ์ s = 4 > 1 ซ่ึง b(2, 2) = 2 ̸= 0 ดังนน้ั b ไมเ ปน b-เมตริก พิจารณา b(4, 1) = |4 − 1|2 + max{4, 1} = 9 + 4 = 13 โครงการสัมมนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครัง้ ที่ 7 มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครสวรรค
ทฤษฎบี ทจดุ ตรงึ สำหรับอันดบั การหดตวั ในปรภิ ูมิ b-เมตริกบางสวน 221 b(4, 3) + b(3, 1) − b(3, 3) = |4 − 3|2 + max{4, 3} + |3 − 1|2 + max{3, 1} − 3 =1+4+4+3−3=9 ดงั นั้น b(4, 1) > b(4, 3) + b(3, 1) − b(3, 3) ดังน้นั ไมเ ปน b-เมตรกิ บางสว น นิยามการสง T : X −→ X และอันดบั บางสว น ⊑ โดย T 1 = 1, T 2 = 1, T 3 = 2, T 4 = 4 และ ⊑ = {(1, 1), (2, 2), (3, 3), (4, 4), (1, 2), (2, 3), (1, 3)} จะไดว า T ไมสอดคลอ งกบั เง่อืิ นไขการหดตัวของ Ran and Reurings [4] ในปริภูมิเมตริกปกติ (X, d) ดงั นน้ั d(T 2, T 3) = |T 2 − T 3| = 1 = |2 − 3| = d(2, 3) ดงั น้ันจะมี λ ∈ [0, 1) ซง่ึ d(T 2, T 3) ≤ λd(2, 3) น่ันคือคำตอบของ Czerwik[29] และ Matthews[31] ไมสามารถใชได อกี คร้งั เน่ืองจาก b(T 2, T 4) = |T2 − T4|2 + max{T2, T4} = |1 − 4|2 + max{1, 4} = 9 + 4 = 13 b(2, 4) = |2 − 4|2 + max{2, 4} =4+4=8 ดงั นัน้ b(T 2, T 4) > b(2, 4) ดงั นั้นผลลพั ธ Ran and Reurings[4] ไมส ามารถใชกับ T เชนเดียวกับ (X, b) ตา งกไ็ มเปน b-เมตรกิ หรอื ปริภูมเิ มตรกิ บางสว น ดังนนั้ ผลลัพธ Czerwik[29] และ Matthews[31] ไมส ามารถใชไ ด เนอื่ งจาก b(T 2, T 4) = |T2 − T4|2 + max{T2, T4} = |1 − 4|2 + max{1, 4} = 9 + 4 = 13 b(2, 4) = |2 − 4|2 + max{2, 4} =4+4=8 ดังน้นั b(T 2, T 4) > b(2, 4) ดงั น้นั T ไมสอดคลอ งกับนยิ ามอันดับการหดตัวบานาค สำหรับทกุ ๆ x, y ∈ X โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครงั้ ท่ี 7 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค
222 ปภาวดี ขมขำ และคณะ และ ดังน้นั ผลลพั ธของ Shukla[32] ไมสามารถใชไ ด สรุปไดวา เงอื่ นไขของทฤษฎบี ทท่ี 3.2 ( ยกเวนเซตของ Fix (T) เปน อนั ดบั อยางดี ) สอดคลองกบั λ ∈ [ 3 , 1) และ T มจี ุดตรึง 2 จุด 4 แทจรงิ แลว F ix (T ) = {1, 4} และ (1, 4) กบั (4, 1) ∈/⊑ ดงั น้ัน F ix (T ) ไมเ ปน อนั ดับอยางดี ดังนน้ั เม่ือเราพิจารณาการมีจุดตรงึ เพียงจดุ เดียวของอนั ดบั การหดตัวบานาคในปรภิ ูมิ b-เมตรกิ บางสวน แลว อนั ดบั อยางดีของ Fix (T) เปน อันดับอยางดี บทนิยาม 3.4. ให (X, b, ⊑) เปนอนั ดับปริภูมิ b-เมตริกบางสวนบรบิ ูรณ ท่ีมีสมั ประสิทธิ์ s ≥ 1 และ f : X −→ X และ T : X −→ X เปนสองการสง จะเรียกวา อนั ดับ f–การหดตัว ถา มี λ ∈ [0, 1) ซึง่ ถาx ⊑ y แลว b(fT x, fT y) ≤ λb(fx, fy) สำหรบั ทุกๆ x, y ∈ X เรียกคาคงที่ λ วา คาคงที่การหดตวั ของ T ตอ ไป เราจะพสิ จู นจ ุดตรงึ รว มสำหรบั การสงของทฤษฎี 3.2 บทแทรก 3.5. ให (X, b, ⊑) เปน อนั ดบั ปริภูมิเมตริกบางสวนบรบิ รู ณ ท่ีมีสมั ประสทิ ธ s ≥ 1 ให f : X −→ X และ T : X −→ X เปน สองการสงซง่ึ เงื่อนไขตอ ไปน้เี ปน จริง 1. T เปนอันดบั f–การหดตัว 2. มี x0 ∈ X ซ่ึง x0 ⊑ T x0 3. T การสงท่ไี มลดลงท่ขี ้นึ อยูกับ ⊑ 4. ถา {fxn} เปน ลำดับไมลดใน X และลเู ขา สูบาง fz แลว xn ⊑ z สำหรบั ทุก ๆ n ∈ N ถา f เปนฟง กชันตอ เน่ือง ฟง กชนั หน่ึงตอ หนึง่ และลำดับลูเขา แลว T เปน จุดตรงึ u ∈ X และ b(u, u) = 0 ยิง่ ไปกวา นั้น เซตของจดุ ตรึงของ T, F ix (T ) เปนอันดบั อยางดี ก็ตอเมอื่ จดุ ตรึง ของ T มเี พยี งจุดเดียว พสิ จู น นยิ าม b1 : X × X −→ R+ โดย b1(x, y) = b(fx, fy) สำหรับทุก ๆ x, y ∈ X เราจะแสดงวา (X, b1) เปนปริภมู ิ b-เมตรกิ บางสว นบรบิ รู ณ ท่มี ีสัมประสิทธ s ≥ 1 แลว สำหรบั ทุก ๆ x, y, z ∈ X เราจะไดวา (P b1) ถา b1(x, y) = b1(x, x) = b1(y, y) แลว b(f x, f y) = b(f x, f x) = b(f y, f y) ดงั นั้น fx = fy และ f เปน ฟง กช นั หน่งึ ตอ หนึง่ ดังน้นั x = y (P b2) b1(x, x) = b(f x, f x) ≤ b(f x, f y) = b1(x, y) (P b3) b1(x, y) = b(f x, f y) = b(f y, f x) = b1(y, x) โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครั้งที่ 7 มหาวิทยาลัยราชภฏั นครสวรรค
ทฤษฎีบทจดุ ตรงึ สำหรบั อนั ดับการหดตวั ในปริภมู ิ b-เมตริกบางสว น 223 (P b4) b1(x, y) = b(f x, f y) ≤ s[b(f x, f z) + b(f z, f y)] − b(f z, f z) = s[b1(x, z) + b1(z, y)] − b1(z, z) ดังนนั้ (X, b1) เปนปริภมู ิ b-เมตริกบางสว น ท่ีมีสมั ประสิทธิ์ s ≥ 1 ให {xn} เปนลำดับโคชใี น (X, b1) แลว lim b1(xn, xm) = lim b(f xn, f xm) มีอยจู รงิ n,m→∞ n,m→∞ ดังนัน้ {fxn} เปนลำดับโคชีใน (X, b) และ (X, b) เปนบริบรู ณ ดังนน้ั จะมี y ∈ X ซึ่ง lim b(f xn , y) = b(y, y) n→∞ ดังน้ัน {fxn} ลเู ขา ใน (X, b) นัน่ คอื โดยนยิ ามของ f จะมี x ∈ X ซง่ึ lim b(xn, x) = b(x, x) n→∞ โดยนยิ ามของ f อีกครง้ั จะไดว า lim b(f xn, f x) = b(f x, f x) n→∞ นั่นคอื lim b1(xn, x) = b1(x, x) n→∞ ดงั น้นั {xn} ลูเขาใน (X, b1) และดงั นนั้ (X, b1) เปน บริบรู ณ ซง่ึ การหดตัวเง่ือนไข (a) คอื ลดลงดังเง่อื นไขตอ ไปนี้ ซง่ึ เง่อื นไขการหดตัว (a) เปน การแปลงรปู เปน (a’) ดังน้ี (a′)x ⊑ y แลว b1(T x, T y) ≤ λb1(x, y) สำหรบั ทุก ๆ x, y ∈ X ดงั นนั้ T เปน อนั ดบั การหดตัวบานาคใน (X, b1) โดยทฤษฎบี ท 3.2 จะไดวา T เปน จุดตรงึ u ∈ X และ b1(u, u) = b(fu, fu) = 0 เง่ือนไขการมีจดุ ตรึงเพยี งจดุ เดยี วใหพิสูจนเหมือนทฤษฎบี ท 3.2 หมายเหตุ 3.6. คู (T, f) ของการสง ของเซตไมวา ง X ไปยงั ตวั มนั เอง เรยี กวา คูบานาค ถา T fx = fT x สำหรับทุก ๆ x ∈ F ix (T ) ถาสอดคลองเงือ่ นไขทัง้ หมดของขอพสิ จู นข า งตน และยง่ิ ไปกวานนั้ (T, f) เปน คูบานาค แลว T และ f มจี ุดตรึงรวมเพียงจุดเดียว แทจริงแลว ถา (T, f) เปนคบู านาค และถา T เปน จุดตรึงเพยี งจุดเดียว u ∈ X (ซึง่ รองรับโดยบทแทรก 3.5) แลว T fu = fT u = fu และโดยการมีจุดตรึงรวมเพียงจุดเดยี วของ T จะไดว า fu = u ดงั นนั้ คู (T, f) มจี ดุ ตรึงเพยี งจดุ เดยี วรว มกนั โครงการสัมมนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครงั้ ท่ี 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
224 ปภาวดี ขมขำ และคณะ ในบทแทรกขางบน สำหรับ u ∈ F ix (T ) จะไดวา b1(u, u) = 0 แต b(u, u) ไมตอ งการให เปน 0 เม่ือเราจะพิจารณาการมีจุดตรงึ รว ม ของคู (T, f) แลว เง่อื นไข (T, f) เปนคูบ านาคไมสามารถ ละเวนได โดยจะแสดงในตัวอยา งตอ ไปนี้ ตัวอยาง 3.7. ให X = {1, 2, 3, 4} และ b : X × X −→ R นิยามโดย 0 ถา x = y = 4 b(x, y) = |x − y|2 + max{x, y} อน่ื ๆ แลว (X, b) เปนปรภิ มู ิ b-เมตรกิ ที่มีสมั ประสิทธ์ิ s = 4 > 1 นิยามใหก ารสง T และ ƒ: X −→ X โดย T 1 = 1, T 2 = 1, T 3 = 2, T 4 = 1 และ ƒ1 = 4,ƒ2 = 2,ƒ3 = 3,ƒ4 = 1 และอนั ดับบางสว นโดย ⊑= {(1, 1), (2, 2), (3, 3), (4, 4), (1, 2), (4, 2)} แลว f เปนการสงตอ เนอ่ื ง การสงหน่งึ ตอหน่งึ และเปนลำดบั ลูเ ขา ดังนนั้ T เปน อันดบั f −การหดตวั ทค่ี า คงทีก่ ารหดตวั λ ∈ [ 2 , 1) 3 ซง่ึ สอดคลองกบั เงื่อนไขทงั้ หมดของ บทแทรกท่ี 3.5 และ T มีจุดตรึงเพยี งจุดเดียวซง่ึ F ix (T ) = {1} จะไดว า b(ƒ1,ƒ1) = b(4, 4) = 0 แต b(1, 1) = |1 − 1|2 + max{1, 1} =0+1=1 เนื่องจาก T f1 ̸= fT 1 ดงั นน้ั (T,ƒ) ไมเ ปน คบู านาคแลว T และ f ไมมีจดุ ตรึงรวม สุดทายน้ี T ไมเปน อันดบั การหดตวั บานาค เนอื่ งจาก b(T 4, T 4) = b(1, 1) = 1 λ · 0 = λb(4, 4) สำหรบั ทุก λ ที่เปนจริง ในทฤษฎีถดั ไปความบริบูรณของปริภมู ิถูกแทนดว ยฟง กชันทางเดยี วของ T ทฤษฎีบท 3.8. ให (X, b, ⊑) เปน อันดบั ปริภมู ิ b-เมตริกบางสวนและ T : X −→ X เปนการสง สอดคลองกบั เง่ือนไขดังตอ ไปน้ี ถา x ⊑ y แลว b(T x, T y) ≤ λb(x, y) (4) สำหรับทกุ ๆ x, y ∈ X ท่ี λ ∈ [0, 1) สมมติวามี u ∈ X ซ่ึง u ⊑ T u และ b(u, T u) ≤ b(x, T x) สำหรบั ทุก x ∈ X แลว u เปน จดุ ตรงึ ของ T และ b(u, u) = 0 โครงการสัมมนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณิตศาสตร ครัง้ ท่ี 7 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค
ทฤษฎีบทจุดตรึงสำหรับอันดบั การหดตัวในปรภิ ูมิ b-เมตริกบางสว น 225 ยิ่งไปกวานน้ั เซตของจุดตรึงของ T, Fix (T ) เปน อนั ดับอยางดี (5) ก็ตอเมื่อ จุดตรึงของ T มเี พียงหนงึ่ เดียว พิสูจน ให F (x) = b(x, T x) สำหรบั ทุก ๆ x ∈ X แลว โดยขอ สมมตจิ ะไดว า F (u) ≤ F (x) สำหรบั ทกุ ๆ x ∈ X สมมตใิ ห F (u) > 0 แลว เนื่องจาก u ⊑ T u และจาก (4) จะไดว า F (T u) = b(T u, T T u) ≤ λb(u, T u) = λF (u) < F (u) ดังน้ัน เราจะไดว า F (T u) < F (u) ซ่งึ ขดั แยงกับอสมการ (5) ดังนนั้ เราจะตองมี F (u) = b(u, T u) = 0 นัน้ คอื T u = u ดงั นั้น u เปนจุดตรึงของ T ตอนน้ีสำหรับจดุ ตรงึ z ∈ X ของ T ถา b(z, z) > 0 แลว จาก (4) เราจะไดว า b(z, z) = b(T z, T z) ≤ λb(z, z) < b(z, z) ซ่งึ เกิดความขัดแยง แสดงวา b(z, z) = 0 สำหรบั การมจี ุดตรึงเพียงจดุ เดยี ว สมมติ F ix (T ) เปนอันดับอยา งดี และ u, v ∈ F ix (T ) แลว T u = u, T v = v และ b(u, u) = b(v, v) = 0 สมมติ b(u, v) > 0 แลว เน่ืองจาก F ix (T ) เปน อันดบั อยา งดี สมมตวิ า u ⊑ v โดย (5) จะไดวา b(u, v) = b(T u, T v) ≤ λb(u, v) < b(u, v) ดงั น้ัน เราจะตอ งมี b(u, v) = 0 นน้ั คือ u = v ในทำนองเดียวกัน v ⊑ u จะไดวา u = v ดงั นัน้ จุด ตรงึ ของ T มเี พียงจดุ เดียว ยงิ่ ไปกวา น้นั ถา จดุ ตรงึ ของ T มีเพียงจดุ เดียว Fix (T) เปนเซตโทนและอันดับอยางดี 4. บทสรุป โดยทฤษฎบี ท 1 ให (X, b, ⊑) อยูในอันดับและปริภูมิ b-เมตริกบางสวน ท่ีสมบรู ณซง่ึ สัมประสทิ ธ s ≥ 1 และ T : X −→ X เปนการสง จะไดเ งอ่ื นไขดังตอไปนี้เปน จรงิ 1. T คอื อันดับการหดตวั บานาคที่มีคา คงทก่ี ารหดตวั λ โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร คร้ังที่ 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
226 ปภาวดี ขมขำ และคณะ 2. จะมี x0 ∈ X ไดวา x0 ⊑ T x0 3. T คอื ฟง กชันไมลดซึง่ ข้นึ อยกู บั ⊑ 4. ถา {xn} คือลำดับไมลดลงใน X และกำลงั ลเู ขาสบู าง z เม่ือ xn ⊑ z สำหรบั ทุก ๆ n ∈ N แลว T คือจดุ ตรึง u ∈ X และ b(u, u) = 0 ในสวนที่เพ่มิ เซตของจุดตรงึ ของ T, F ix(T ) คืออนั ดับอยางดี กต็ อ เมื่อจุดตรึงของ T มเี พียงจดุ เดยี ว โดยทฤษฎบี ท 2 ให (X, b, ⊑) เปน อันดบั ปรภิ มู ิb-เมตรกิ บางสว น และ T : X −→ X เปนการสง สอดคลอ งกับเง่อื นไขดงั ตอ ไปนี้ ถา x ⊑ y แลว b(T x, T y) ≤ λb(x, y) (5) สำหรับทกุ ๆ x, y ∈ X ที่ λ ∈ [0, 1) สมมตวิ า จะมี u ∈ X จะได u ∈ T u และ b(u, T u) ≤ b(x, T x) สำหรบั ทุก ๆ x ∈ X แลว u กลายเปน จุดตรงึ ของ T และ b(u, u) = 0 ย่ิงไปกวา น้ัน เซตของจดุ ตรึง ของ T, F ix(T) คอื อันดับอยางดกี ต็ อ เมื่อจดุ ตรงึ ของ T มเี พยี งจุดเดยี ว 5. กติ ตกิ รรมประกาศ การนำเสนอสมั มนาทางวชิ าการ เรอื่ งทฤษฎีจดุ ตรงึ สำหรบั อนั ดับการหดตัวในปริภมู ิ b-เมตริก บางสว น ในครัง้ น้ีขา พเจาขอขอบคุณผูตรวจสอบความคิดเห็นเพ่ือพัฒนาบทความน้ี รวมถงึ ทำให ขา พเจามีความเขา ใจเก่ียวกบั ทฤษฎีบทตางๆ ในทฤษฎีจดุ ตรึงสำหรบั อนั ดบั การหดตัวในปริภูมิ b- เมตรกิ บางสวน สำหรับนำไปประยกุ ตใ นการศกึ ษางานวิจยั อื่นๆอกี ตอ ไป ทายสดุ นขี้ า พเจาขอขอบคณุ อาจารย ดร.อารรี ตั น อรณุ ชยั อาจารยท ี่ปรกึ ษาสัมมนา ซ่งึ มีสว น รวมในการใหขอมูลและใหความเขาใจเกยี่ วกับความรูในดา นตาง ๆ ทำใหการทำรายงานฉบับน้ีสำเร็จ ลลุ วงไปไดด ว ยดี เอกสารอางอิง [1] A. Aghajani, M. Abbas, and J. R. Roshan, “Common fixed point of generalized weak contractive mappings in partially ordered b-metric spaces,” Mathematica Slovaka, 64(4) (2014), 941-960. [2] A. Author, “The title of the article,” The name of the journal, vol. Volume, pp. FirstPage–LastPage, Month year. [3] P. J. Cohen, “The independence of the continuum hypothesi,” Nattional Academy of Science, vol. 50, no. 6, pp. 1143–1148, 1963. โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครั้งที่ 7 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค
ทฤษฎบี ทจดุ ตรงึ สำหรบั อนั ดบั การหดตวั ในปรภิ ูมิ b-เมตริกบางสวน 227 [4] A.C. M. Ran and M. C. B Reurings, “A fixed point theorem in partially ordered sets and some application to matrix equations,”Proc. Amer. Math.Sco., 132 (2004), 1435-1443. N [5] D. -Dorić, Z. Kadelburg, S. Radenović and P. Kumam, “A note on fixed point results without monotone property in partially ordered metric space,”Revista de la Real Academia de Ciencias Exactas, Fisicas y Naturales. Serie A. Matematicas (2013) DOI 10.1007/s13398-013-0121-y [6] D- Dorić, Z. Kadelburg, S. Radenović, “Coupled fixed point results for mappings without mixed monotone property,”Appl. Math. Lett. 25 (2012), 1803-1808. [7] D. O’ Regan, A. Petrusel, “Fixed point theorems for generalized contractions in ordered metric spaces,”J. Math. Anal. Appl. 341 (2008), 1241-1252. [8] LA. Bakhtin, “The contraction mapping principle in qeasi-metric spaces,”Funct. Anal., Unianowsk Gos Ped. Inst. 30 (1989), 26-37 [9] J. Caballero, J. Harjani, K. Sadaranganı, “ Contractive-like mapping principles in ordered metric spaces and application to ordinary differential cquations,”Fixed Point Theory Appl. (2010), Article ID 916064, 14 pages, doi:10.1155/2010/916064 [10] J. Harjani, K. Sadarangani, “Fixed peint theorems for monotone gencralizred contractions in partially ordered metric spaces and applications to integral cqua- tions,”J. Convex Anal. 19 (2012), 853-864 [11] J. Harjani, K. Sadarangani, “Fixed point thoorems for weakly contractive mappings in partially ordered sets,”Nonlinear Anal. 71 (2009), 3403-3410 [12] J. Harjani, K. Sadarangani, “Generalized contractions in partially ordered met- ric spaces and applications to ordinary differential equations,”Nontinear Anal. 72 (2010), 118x-1197 [13] JJ. Nieto. R. Rodrigucz-Lopez, “Contractive mapping thoorems in partially ordered sets and applications to ordinary differential cpuations,”Order 22 (2005), 223-239 [14] J.J. Nieto, R. Rodriguez-Lopez, “Exisience and uniqueness of fixced point in par- tially ordered sets and applications to ordinary differential equations,”Acta Math. Sinica, English series 23 (2007), 2205-2212. โครงการสัมมนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณติ ศาสตร ครงั้ ท่ี 7 มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครสวรรค
228 ปภาวดี ขมขำ และคณะ [15] [J.J. Nieto, R Rodriguez-Lopez, “Existence of extrenal solutions for quadratic fuzzy equations,”Fixed Point Theory Appl. 2005 (2005), 321-342 [16] JJ. Nieto, R. Rodriguez-Loper, “Fixed point theorcns in ordered abstract spaces,”Proc. Am. Math. Soc. 135 (2007), 2505-2517 [17] J.R. Roshan, V. Parvanch, S. Sedghi, N. Shobkolaci and W. Shatanawi, “Conmon fixed points of almost generalized ,”contractive marpings in ordered b-metric spaces. Fixed Point Theory and Applications 2013 2013:159 [18] Lj. Ciric, N. Cakie, M. Rajovic, J.S Ume, “Monoto generalized nonlincar contrac- tions in partially ordered metric spaces,”Fixed Point Thcory Appl. (2008), Article ID 131294, doi:10.1155/2008/131294. [19] N. Hussain, J.R. Roshan, V. Parvanch, A Latif, A unification of G-Metric, “partial metric, and b-metric spaces, Abstract and Applied Analysis,”Volume 2014 (2014). Article ID 180698, 14 pages http://dx.doi.org/10.1155/2014/1806.98 [20] N. Hussain, J.R. Roshan, V. Parvanch, Z Kadelburg. Fixed points of contrac- tive mappings in b-metric- like spaces, “The Scientific World Journal,”Volune 2014 (2014), Article ID 471827, 15 pages, http://dx.doi.org/10.1155/2014 471827 [21] M.A. Khamski, N. Hussain, KKM mappings in meric type spaces, “Nonlinear Anal.,” 73(9)(2010), 3123-3129. [22] M. Abbas, Vv. Parvanch, “A Razani Periodic points of T -Ciric generalized con- traction mappings in ordered metric spaces,”Georgian Mati. J. (2012) DO: 10.1515/ gmj-2012-0036 [23] M. Boriceanu, M. Bota, A. Petruscl, Mutivalued frctals in b-metric spaces, Cen. Eur. J. Math. 8(2) (2010), 367-377 [24] M. Bota, A. Molnar, V. Csaba, “On Ekcland’s variational principle in b-metric spaces,” Fixed Point Theory, 12(2011), 21-28 [25] M.C.B. Rcurings, “Contractive maps cn normed line: spaces and their applications to nonlinear matrix equations,”Lin. Algebra Appl. 418 1(2006). 292-311. [26] M. Jovanovic, Z. Kadelburg, and S Radcnovic, “Common fixed point results in metric type spaces,”Fixed Point Theory Appl. Vol. 2010, Article ID 315398 โครงการสมั มนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดานคณิตศาสตร ครัง้ ท่ี 7 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค
ทฤษฎบี ทจุดตรึงสำหรับอันดบั การหดตวั ในปรภิ มู ิ b-เมตรกิ บางสว น 229 [27] R. Kannan, “Some results on fixed points,”Amer. Math Monthly, 76, (1969), 405- 408 [28] R.P. Agarwal, W. Sintunavarat, P im, “Coupled coincidence point and common coupled fixed point theorems with lacking the mixed monotone property,”Fixed Point Theory Appl. 2013:22 (2013), doi:10.1186/1687-1812-2013-22. [29] S Czerwik, “Contraction Mappings in b-mctric Spaces,”Acta Mathematica et In- formatica Universitatis Ostraviensis, 1(1993), 5-11. [30] S. Czerwik, “Nonlincar set-valucd contraction mappings in b-metric spaces,”Atti Sem. Mat Univ. Modena, 1998, 46, 263-276 [31] S.G. Matthews, “Partial metric topology,”in: Proc. 8th Summer Conference on Gencral Topology and Application, in: Ann. New York Acad Sci., vol. 728, (1994) pp. 183-197 [32] S. Shukla, “Partial b-metric spaces and fixed point theorems,”Meditcrr. J. Math., May 2014, Volume 11, Issue 2, pp 703-711. DOI 10.1007/s00009-013-0327-4 [33] S. Shukla, “Reich type contractions on coae rectangular metric spaces endowed with a graph,” Theory and Applications of Mathematics and Computer Science 4(1) (2014), 14-25 [34] S. Radenovic, Z Kadelburg, “Generalized weak contractions in partially ordered metric spaces,”Comput. Math. Appl. 60 (2010), 1776-1783 [35] Z. Mustafa, JR. Roshan, V. Parvanch. Z. Kadelburg, “Some common fixed point results in ordered partial b-metric spaces,”Journal of Incqualitics and Applications 2013, 2013.562 [36] Xun Ge, Shou Lin, “A note on partial b-metric spaces,”Mediterr. J. Math. 13 (2016), 1273-1276. doi.10.1007/s00009-015-0548-9 โครงการสัมมนาวชิ าการและนำเสนอผลงานดา นคณิตศาสตร ครง้ั ท่ี 7 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค
230 ปภาวดี ขมขำ และคณะ โครงการสมั มนาวิชาการและนำเสนอผลงานดานคณติ ศาสตร ครง้ั ท่ี 7 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367