บทที่ 2 | แคลคูลสั เบือ้ งตน 89 คมู ือครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 12. ทฤษฎบี ท 5 ถา f และ g เปน ฟงกช นั ตอเนื่อง ที่ x = a แลว 1) f + g เปนฟงกช นั ตอเนอ่ื งท่ี x = a 2) f − g เปน ฟงกชันตอเน่อื งที่ x = a 3) f ⋅ g เปน ฟง กชนั ตอ เนือ่ งที่ x = a 4) f เปน ฟงกชันตอ เน่อื งที่ x = a เม่ือ g (a) ≠ 0 g 13. ทฤษฎบี ท 6 สําหรบั จาํ นวนจริง a ใด ๆ ฟงกชนั พหนุ าม p เปน ฟงกช นั ตอเนื่องที่ x = a 14. ทฤษฎีบท 7 ถา f เปนฟงกชันท่ี f ( x) = p(x) เมื่อ p และ q เปนฟงกชันพหุนาม แลว f เปน q(x) ฟง กช ันตอ เนื่องท่ี x = a เม่อื a เปนจาํ นวนจริงใด ๆ ซ่งึ q(a) ≠ 0 15. ความตอ เนอ่ื งของฟง กช ันบนชว งที่กาํ หนด 1) ฟงกช ัน f เปนฟง กชนั ตอเน่ืองบนชว ง (a, b) ก็ตอเมื่อ f เปนฟง กช ันตอเน่ืองที่ ทุกจดุ ในชวง (a, b) 2) ฟง กช นั f เปนฟงกชนั ตอเนื่องบนชวง [a, b] ก็ตอ เมอ่ื (1) f เปนฟงกชันตอ เนือ่ งที่ทกุ จดุ ในชว ง (a, b) และ (2) lim f ( x) = f (a) และ lim f ( x) = f (b) x→a+ x→b− 3) ฟง กช ัน f เปน ฟง กช นั ตอ เนอ่ื งบนชวง (a, b] กต็ อเมอ่ื (1) f เปน ฟง กชนั ตอเน่ืองท่ีทุกจดุ ในชวง (a, b) และ (2) lim f ( x) = f (b) x→b− 4) ฟง กช ัน f เปน ฟงกช นั ตอเนื่องบนชว ง [a, b) ก็ตอ เม่ือ (1) f เปนฟง กช ันตอ เนือ่ งท่ที กุ จุดในชวง (a, b) และ (2) lim f ( x) = f (a) x→a+ สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลสั เบ้ืองตน 90 คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 16. บทนยิ าม 2 ให f เปนฟง กช นั และ a อยูในโดเมนของ f อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ f เทียบกับ x เมื่อคาของ x เปลี่ยนจาก a เปน a + h คือ f (a + h)− f (a) h อตั ราการเปล่ียนแปลงของ f เทยี บกบั x ขณะที่ x = a คอื f (a + h)− f (a) lim h→0 h 17. สําหรับฟงกชัน f ถาอัตราการเปล่ียนแปลงของ f เทียบกับ x เปนจํานวนจริงบวก แสดงวา เมื่อ x เพ่ิมข้ึน คาของ f ( x) จะเพ่ิมข้ึน แตถาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ f เทยี บกับ x เปน จาํ นวนจรงิ ลบ แสดงวาเมอื่ x เพิ่มข้ึน คา ของ f ( x) จะลดลง 18. บทนยิ าม 3 ให f เปน ฟง กช นั อนพุ ันธข องฟง กช นั f ท่ี x เขียนแทนดว ย f ′( x) คือ f ′( x) = lim f ( x + h) − f ( x) h→0 h 19. ถา f ′( x) มีคา จะกลา ววาฟง กชัน f มีอนพุ ันธที่ x หรือฟง กชัน f หาอนุพนั ธไดท่ี x ถา f ′( x) ไมมีคา จะกลาววาฟงกชัน f ไมมีอนุพันธที่ x หรือฟงกชัน f หาอนุพันธ ไมไดท ี่ x 20. กําหนดให f เปนฟงกชันท่ีนิยามโดยสมการ y = f (x) เขียนแทน อนุพันธของฟงกชัน f ที่ x ดว ยสัญลกั ษณ dy (อา นวา ดวี ายบายดเี อกซ) หรอื d f (x) หรือ y′ dx dx 21. จาก f ′( x) = lim f ( x + h) − f ( x) เปน อนพุ นั ธข องฟงกชัน f ท่ี x ใด ๆ h→0 h ดงั น้ัน สาํ หรบั a ใด ๆ ที่อยูในโดเมนของ f อนุพนั ธของฟงกช ัน f ท่ี x = a คือ f ′(a) = lim f (a + h) − f (a) h→0 h อาจใชสญั ลักษณ d f (x) หรอื dy แทน f ′(a) dx x=a dx x = a สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลสั เบ้อื งตน 91 คูมอื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 22. สูตรการหาอนพุ ันธข องฟงกช นั สูตรท่ี 1 ถา f (x) = c เมอื่ c เปนคาคงตวั แลว f ′(x) = 0 สตู รท่ี 2 ถา f ( x) = x แลว f ′( x) =1 สตู รท่ี 3 ถา f ( x) = xa เมอื่ a เปนจาํ นวนจรงิ แลว f ′( x) = a xa−1 สูตรท่ี 4 ถา ฟง กช ัน f และ g หาอนพุ นั ธไ ดที่ x แลว ( f + g)′ ( x) =f ′( x) + g′( x) สตู รท่ี 5 ถาฟง กชนั f และ g หาอนพุ นั ธไ ดท ่ี x แลว ( f − g)′ (x) =f ′(x) − g′( x) สูตรที่ 6 ถา c เปนคาคงตวั และฟงกช ัน f หาอนุพันธไดท่ี x แลว (cf )′ ( x) = c( f ′( x)) สตู รที่ 7 ถาฟงกชนั f และ g หาอนุพันธไ ดท ่ี x แลว =( fg )′ ( x) f ( x) g′( x) + g ( x) f ′( x) สูตรท่ี 8 ถา ฟง กชนั f และ g หาอนพุ ันธไ ดท่ี x และ g (x) ≠ 0 แลว f ′ ( x ) = g ( x) f ′(x)− f (x)g′(x) g (g (x))2 สูตรท่ี 9 กฎลูกโซ ถา f หาอนพุ นั ธไดท ่ี x และ g หาอนพุ นั ธไ ดท ่ี f (x) แลว ( g = f )′ ( x) g′( f ( x))⋅ f ′( x) 23. บทนยิ าม 4 กาํ หนดเสน โคงซึ่งเปนกราฟของฟงกชัน y = f (x) และ P(a, f (a)) เปนจดุ บนเสน โคง เสนสัมผัสเสนโคงที่จุด P(a, f (a)) คือ เสนตรงท่ีผานจุด P และมีความชันเทากับ f ′(a) จะเรยี กความชนั ของเสน สัมผัสเสนโคง ทีจ่ ดุ P วา ความชันของเสนโคง ท่ีจดุ P 24. บทนิยาม 5 ให f เปน ฟง กช ันที่สามารถหาอนุพนั ธได และอนุพันธข องฟงกชัน f ที่ x เปน ฟงกช นั ทีส่ ามารถหาอนพุ ันธไ ด จะเรยี กอนพุ นั ธข องฟง กชนั f ′ ท่ี x วา อนพุ นั ธอ นั ดับที่ 2 ของ ฟง กชัน f ท่ี x และเขยี นแทนดวย f ′′(x) 25. อาจใชส ญั ลักษณ d2y d2 f (x) หรือ y′′ แทนอนุพันธอ ันดับท่ี 2 ของฟง กช นั f ที่ x dx2 , dx2 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคลู สั เบือ้ งตน 92 คมู อื ครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 26. อนพุ นั ธอ นั ดบั อืน่ และสัญลักษณทใ่ี ชเ ขียนแทน มดี ังนี้ อนุพนั ธอ นั ดบั ที่ 3 ของ f เปน อนพุ ันธของอนพุ ันธอ ันดบั ที่ 2 ของ f เขียนแทนดว ย f ′′′( x) หรอื d3y หรือ y′′′ dx3 อนุพนั ธอ ันดับท่ี 4 ของ f เปนอนพุ นั ธของอนุพันธอันดับที่ 3 ของ f เขยี นแทนดว ย f (4) ( x) หรือ d4y หรอื y(4) dx4 อนพุ นั ธอ นั ดบั ท่ี n ของ f เปนอนุพันธข องอนุพนั ธอ ันดบั ที่ n −1 ของ f เขยี น แทนดวย f (n) ( x) หรือ dny หรือ y(n) dxn 27. เน่ืองจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของ y = f (x) เทียบกับ x ขณะ x ใด ๆ คืออนุพันธของ ฟงกชัน f ที่ x ดังน้ัน อนุพันธอันดับท่ี 2 ของ f ที่ x คือ อัตราการเปล่ียนแปลงของ y = f ′(x) เทยี บกับ x ขณะ x ใด ๆ 28. ในการเคล่ือนที่ของวัตถุในแนวตรง มีปริมาณ 3 ชนิดท่ีเกี่ยวของกับเวลา ไดแก ตําแหนง ของวตั ถุ ความเร็วของวตั ถุ และความเรง ของวัตถุ • การเคล่ือนท่ีของวัตถุสามารถอธิบายไดดวยฟงกชัน y = s(t) โดยท่ี s(t) คือ ตําแหนงของวัตถุ ณ ขณะเวลา t ใด ๆ • ความเร็วของวัตถขุ ณะเวลา t ใด ๆ คอื อตั ราการเปล่ยี นแปลงของ s เทียบกับ t ณ ขณะเวลา t นั่นคือ ความเร็ว v เปนอนุพันธของ s เทียบกับ t ดังน้ัน v เปนฟงกช นั ของเวลา t กําหนดโดย v=(t ) s=′(t ) s(t + h) − s(t) lim h→0 h จะเหน็ วา v เปน ฟง กชันของเวลา t สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลสั เบ้ืองตน 93 คูม อื ครูรายวิชาเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 • ความเรงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คืออัตราการเปล่ียนแปลงของความเร็ว v เทียบกับ t ณ ขณะเวลา t นั่นคือ ความเรง a เปนอนุพันธของ v เทียบกับ t นั่นคอื a=(t ) v=′(t ) s′′(t) ดงั นั้น ความเรง คืออนุพันธอ นั ดบั ท่ี 1 ของฟงกช ันความเร็ว v และเปน อนพุ นั ธอันดับ ที่ 2 ของฟงกชนั ตาํ แหนง s 29. กาํ หนดให f เปน ฟง กช ันซึ่งมีโดเมนและเรนจเปนสับเซตของเซตของจํานวนจริง และ A เปนสบั เซตของโดเมน f เปน ฟงกชันเพิ่ม บนเซต A ก็ตอเม่ือ สําหรับ x1 และ x2 ใด ๆ ใน A ถา x1 < x2 แลว f ( x1 ) < f ( x2 ) f เปน ฟงกชันลด บนเซต A ก็ตอเมื่อ สําหรับ x1 และ x2 ใด ๆ ใน A ถา x1 < x2 แลว f ( x1 ) > f ( x2 ) 30. ทฤษฎีบท 8 ให f เปน ฟง กช ันทห่ี าอนุพันธไ ดบนชว ง A ซึง่ เปน สบั เซตของโดเมนของฟงกช นั f ถา f ′(x) > 0 สําหรับทุก x ในชว ง A แลว f เปนฟงกช ันเพิ่มบนชวง A ถา f ′(x) < 0 สาํ หรับทกุ x ในชวง A แลว f เปนฟง กชันลดบนชวง A 31. บทนิยาม 6 ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธท่ี x = c ถามีชวง (a, b) ซ่ึง c∈(a, b) และ f (c) ≥ f (x) สําหรับทุก x ในโดเมนของฟงกชัน f ที่อยูในชวง (a, b) เรียก f (c) วา คาสูงสุดสัมพัทธ ของฟงกชัน f และเรียกจุด (c, f (c)) วา จุดสูงสุดสัมพัทธ ของ ฟงกชัน f ฟงกชัน f มีคาต่ําสุดสัมพัทธท่ี x = c ถามีชวง (a, b) ซึ่ง c∈(a, b) และ f (c) ≤ f (x) สําหรับทุก x ในโดเมนของฟงกชัน f ท่ีอยูในชวง (a, b) เรียก f (c) วา คาตํ่าสุดสัมพัทธ ของฟงกชัน f และเรียกจุด (c, f (c)) วา จุดต่ําสุดสัมพัทธ ของ ฟงกช นั f สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคลู สั เบ้ืองตน 94 คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 32. ทฤษฎบี ท 9 ให f เปนฟงกชันท่ีนิยามบนชวง (a, b) และ c∈(a, b) ถาฟงกชัน f มีคาสูงสุด สัมพัทธหรอื คาต่าํ สดุ สมั พัทธท่ี x = c และ f ′(c) มคี า แลว f ′(c) = 0 33. บทนิยาม 7 ให f เปน ฟง กชันท่ีนิยามบนชวง (a, b) เรียกจาํ นวนจริง c∈(a, b) ซึง่ ทาํ ให f ′(c) = 0 หรือ f ′(c) ไมมีคา วา คาวิกฤต ของฟงกชัน f และเรียกจุด (c, f (c)) วา จุดวิกฤต ของฟงกชนั f 34. ทฤษฎีบท 10 ให f เปนฟงกชันท่ีหาอนุพันธไดบนชวง (a, b) และ c∈(a, b) เปนคาวิกฤตของ f ถา f ′(x) เปล่ียนจากจํานวนจริงบวกเปนจํานวนจริงลบ เม่ือ x เพ่ิมขึ้นรอบ ๆ c แลว f (c) เปน คา สงู สุดสมั พัทธข อง f ถา f ′(x) เปลี่ยนจากจํานวนจริงลบเปนจํานวนจริงบวก เมื่อ x เพ่ิมข้ึนรอบ ๆ c แลว f (c) เปน คาตา่ํ สุดสัมพทั ธของ f 35. ทฤษฎีบท 11 กําหนดให f เปนฟงกชันท่ีตอเน่ืองบนชวง (a, b) และ c∈(a, b) เปนคาวิกฤตของ f ซึ่ง f ′(c) = 0 และ f ′′(c) มีคา 1) ถา f ′′(c) > 0 แลว f (c) เปน คา ต่าํ สุดสมั พทั ธของ f 2) ถา f ′′(c) < 0 แลว f (c) เปนคา สูงสดุ สัมพทั ธข อง f 36. บทนยิ าม 8 ฟง กช ัน f มีคาสงู สุดสัมบรู ณ ท่ี x = c เม่ือ f (c) ≥ f ( x) สําหรบั ทุก x∈ Df ฟง กชนั f มีคา ตา่ํ สุดสมั บูรณ ท่ี x = c เมือ่ f (c) ≤ f ( x) สาํ หรับทกุ x∈ Df 37. ทฤษฎบี ท 12 ถา f เปนฟงกชันตอเน่ืองบนชวงปด [a, b] แลว f จะมีท้ังคาสูงสุดสัมบูรณและ คา ตาํ่ สดุ สมั บูรณบ นชวงปด [a, b] สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบ้อื งตน 95 คูมือครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 38. ถา ฟง กช ัน f เปน ฟง กชันตอเนื่องบนชว งปด [a, b] และหาอนุพันธไดบนชวงเปด (a, b) แลว สามารถหาคาสูงสุดสัมบูรณและคาต่ําสุดสัมบูรณของฟงกชัน f บนชวงปด [a, b] ไดดงั นี้ 1) หาคา วกิ ฤตทงั้ หมดในชว งเปด (a, b) 2) หาคา ของฟง กช ัน ณ คา วิกฤตท่ีไดจ ากขอ 1) 3) หาคาของฟงกชนั ทจี่ ดุ ปลายของชว งปด [a, b] นนั่ คือ หา f (a) และ f (b) 4) เปรยี บเทียบคาทไี่ ดทงั้ หมดจากขอ 2) และ 3) ซ่งึ จะทําใหไดขอสรุปวา • คามากทสี่ ดุ เปนคา สูงสดุ สมั บูรณของฟงกชัน f • คานอ ยท่สี ุดเปน คาตาํ่ สดุ สมั บูรณข องฟง กช ัน f 39. หลกั การทัว่ ไปในการแกโ จทยปญหาเก่ียวกับคา สูงสดุ หรอื คาต่าํ สดุ 1) ทําความเขาใจปญหาอยางละเอียด วามีปริมาณใดบางท่ีเก่ียวของกัน และเขียน สมการแสดงความสัมพันธระหวางตัวแปรท่ีแทนปริมาณท่ีเก่ียวของใหอยูในรูปของ ฟงกช นั บนชว งทส่ี อดคลองกบั เง่ือนไขของโจทยป ญหา 2) หาคาสูงสดุ หรือคาต่ําสุดของฟง กชันนนั้ 40. บทนยิ าม 9 ให f เปนฟงกชัน ถา F เปนฟงกชันซึ่ง F′(x) = f (x) สําหรับทุก x ที่อยูในโดเมน ของ f แลว จะเรยี กฟง กชัน F วา เปน ปฏยิ านุพนั ธ หน่งึ ของฟง กช นั f 41. F (x) + c เปนรูปทั่วไปของปฏิยานุพันธของฟงกชัน f ซึ่งแทนดวยสัญลักษณ ∫ f (x)dx เรียกวา ปริพันธไมจํากัดเขต ของฟงกชัน f เทียบกับตัวแปร x เรียกส้ัน ๆ วา ปริพันธของฟงกช นั f เทียบกบั ตัวแปร x ดังน้ัน ถา F′(x) = f (x) แลว ∫ f (x)dx = F (x) + c เมอ่ื c เปน คา คงตวั กลาวคอื ปริพันธไมจ ํากัดเขตของ f กค็ ือ รปู ทว่ั ไปของปฏิยานพุ ันธของ f นน่ั เอง สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบอื้ งตน 96 คูมอื ครูรายวิชาเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 เรียกการหา ∫ f (x)dx วา การหาปริพันธ เรียกเครื่องหมาย “ ∫ ” วา เคร่ืองหมาย ปริพันธ และเรียก f (x) วา ปริพัทธ โดยสัญลักษณ dx คือ การบอกวาหาปริพันธน้ี เทยี บกับตวั แปร x เคร่ืองหมายปริพันธ ปรพิ ทั ธ รปู ท่ัวไปของปฏยิ านพุ นั ธข องฟง กชนั 42. สตู รสําหรับหาปรพิ นั ธไ มจ าํ กัดเขตของฟง กช นั บางฟงกชนั สูตรที่ 1 ถา k เปน คา คงตวั แลว ∫ k d=x k x + c เมอ่ื c เปนคา คงตัว สูตรที่ 2 ถา a เปน จาํ นวนจริงและ a ≠ −1 แลว ∫ x=a dx xa+1 + c a +1 เม่ือ c เปนคาคงตวั สูตรท่ี 3 ถา k เปน คาคงตวั แลว ` ∫ k f (x)dx = k∫ f (x)dx สูตรท่ี 4 ∫( f ( x) + g ( x))dx = ∫ f ( x)dx + ∫ g ( x)dx สตู รที่ 5 ∫( f ( x) − g ( x))dx = ∫ f ( x)dx − ∫ g ( x)dx 43. ถา k1, k2, , kn เปน คา คงตัว แลว ∫ ∫ ∫ ∫(k 1 f1 ( x) + k 2 f2 ( x) + + k n fn=( x)) dx k1 f1 ( x) dx + k2 f2 ( x) dx + + kn fn ( x) dx 44. ในการหาปฏิยานพุ ันธของฟง กช ัน f เมื่อกาํ หนด dy = f (x) มาให สามารถทําไดดังนี้ dx จาก dy = f ( x) dx ดงั น้นั ∫ dy dx = ∫ f ( x)dx dx หรอื y = ∫ f ( x)dx สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบือ้ งตน 97 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 45. ปรพิ ันธจํากัดเขต ของฟงกชนั f บนชวงปด [a, b] เขยี นแทนดว ยสัญลกั ษณ b ∫ f ( x)dx a เรียก a วา ลมิ ติ ลา ง ของปรพิ นั ธ และเรียก b วา ลมิ ติ บน ของปรพิ ันธ 46. ทฤษฎบี ท 13 ทฤษฎบี ทหลักมลู ของแคลคลู สั กําหนด f เปนฟงกชันตอเน่ืองบนชวง [a, b] ถา F เปนปฏิยานุพันธของฟงกชัน f แลว b f ( x=)dx F (b)− F (a) ∫ a 47. กาํ หนดให F (x) b คอื F (b) − F (a) a 48. ทฤษฎบี ท 14 ให f เปนฟง กชันตอเน่อื งบนชว ง [a, b] และ A เปนพนื้ ท่ที ปี่ ด ลอมดว ยเสน โคง y = f ( x) กบั แกน X จาก a ถึง b 1) ถา f (x) ≥ 0 สาํ หรบั ทกุ x∈[a, b] แลว b A = ∫ f ( x)dx a 2) ถา f (x) ≤ 0 สําหรบั ทกุ x∈[a, b] แลว b A = −∫ f ( x)dx a สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคลู สั เบ้ืองตน 98 คูมือครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 2.2 ขอเสนอแนะเกีย่ วกับการสอน ลมิ ิตของฟงกชนั กิจกรรม : ลิมิตของฟงกช นั จดุ มุงหมายของกิจกรรม กจิ กรรมน้ีใชเ พอื่ สอน เรอ่ื ง ลมิ ติ ของฟงกชนั แนวทางการดาํ เนนิ กิจกรรม 1. ครูใหนักเรียนพจิ ารณาและยกตวั อยา งประกอบขอความ “ x เขา ใกล 2 แต x ≠ 2 ” แนวคาํ ตอบ คําตอบของนักเรียนมไี ดหลายแบบ ซึ่งคําตอบของนักเรียนจะมี 2 กลุม คือ กลุม คาของ x ท่ีมีคานอยกวา 2 ท่ีเขาใกล 2 เชน 1.9 , 1.99, 1.999, … และกลุมคาของ x ที่มีคา มากกวา 2 ท่ีเขาใกล 2 เชน 2.1 , 2.01, 2.001, … 2. จากคําตอบท่ีไดในขอ 2 ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพื่อใหไดวา x เขาใกล 2 แต x ≠ 2 สามารถสรุปไดเ ปน 2 กรณี ดงั นี้ • กรณีที่ x เขาใกล 2 แต x ≠ 2 โดยที่ x < 2 จะเรียกวา x เขาใกล 2 ทาง ดานซา ย แทนดว ยสญั ลักษณ x → 2− x2 • กรณีที่ x เขาใกล 2 แต x ≠ 2 โดยที่ x > 2 จะเรียกวา x เขาใกล 2 ทาง ดานขวา แทนดวยสญั ลกั ษณ x → 2+ 2x 3. ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา x เขาใกล 2 แต x ≠ 2 เปนการพิจารณา x ที่เขาใกล 2 ทั้ง ทางดา นซา ยและขวาของ 2 ( x < 2 และ x > 2 ) แทนดวยสญั ลักษณ x → 2 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคลู สั เบอ้ื งตน 99 คูมือครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 4. ครูจบั คนู กั เรียนแบบคละความสามารถ แลวใหนักเรยี นแตล ะคูเ ปดไฟล ipst.me/11546 5. ครูใหนักเรียนแตละคูศึกษาการหาคาของฟงกชั=น y f=(x) x2 เม่ือ x เขาใกล 2 ทางดา นซาย โดยใหน ักเรียนคลกิ ท่รี ูปสี่เหล่ียมหนาขอความ “ x เขา ใกล 2 ทางดา นซาย” จากนั้นคลกิ ลากปุมบนสไลเดอร d และสังเกตคา ท่ีเปลี่ยนไปของ x และ f (x) 6. จากขอ 5 ครูและนักเรียนรวมกันสรุปใหไดวา “เม่ือ x เขาใกล 2 ทางดานซาย แลว f (x) จะมีคา เขาใกล 4” 7. ครใู หน ักเรียนแตละคูคลกิ ท่ีรูปสีเ่ หล่ยี มหนาขอ ความ “ x เขาใกล 2 ทางดา นซา ย” อีก ครั้ง เพื่อซอน x และ f (x) เมือ่ x เขาใกล 2 ทางดานซาย 8. ครูใหนักเรียนแตละคูศึกษาการหาคาของฟงกช=ัน y f=(x) x2 เมื่อ x เขาใกล 2 ทางดา นขวา โดยใหนักเรียนคลิกที่รูปสี่เหลี่ยมหนาขอความ “ x เขาใกล 2 ทางดา นขวา” จากน้ันคลิกลากปมุ บนสไลเดอร e และสังเกตคาทเ่ี ปลยี่ นไปของ x และ f (x) 9. จากขอ 8 ครูและนักเรียนรวมกันสรุปใหไดวา “เม่ือ x เขาใกล 2 ทางดานขวา แลว f (x) จะมีคา เขาใกล 4” 10. จากคําตอบที่ไดในขอ 7 และ 9 ครูสรุปวา • เม่ือ x เขาใกล 2 ทางดานซาย แลว f (x) จะมีคาเขาใกล 4 ซึ่งเรียกวา ลิมิตของ ฟงกชัน f (x) = x2 เมื่อ x เขาใกล 2 ทางดานซาย เทากับ 4 เขียนแทนดวย lim f ( x) = 4 x→2− • เม่ือ x เขาใกล 2 ทางดานขวา แลว f (x) จะมีคาเขาใกล 4 ซง่ึ เรียกวา ลมิ ติ ของ ฟงกชัน f (x) = x2 เมื่อ x เขาใกล 2 ทางดานขวา เทากับ 4 เขียนแทนดวย lim f ( x) = 4 x→2+ 11. จากขอ 10 ครูสรุปวา เมื่อ x เขาใกล 2 ทางดานซายและดานขวา แลว f (x) มีคาเขา ใกล 4 จะกลาววา ลิมิตของฟงกชัน f (x) = x2 เมื่อ x เขาใกล 2 เทากับ 4 เขียนแทน ดวย lim f ( x) = 4 x→2 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลสั เบื้องตน 100 คมู ือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 12. ครอู ธบิ ายสรปุ เกีย่ วกับกรณีท่ัวไปดงั นี้ • สําหรบั ฟง กชนั f ใด ๆ ทม่ี โี ดเมนและเรนจเปนสับเซตของเซตของจาํ นวนจริง ถาคาของ f (x) เขาใกลจํานวนจริง L เมื่อ x เขาใกล a ท้ังทางดานซาย และขวาของ a แลวจะเรียก L วา ลิมิตของ f ที่ a ซ่ึงเขียนแทนดวย สญั ลกั ษณ lim f (x) = L และกลาววา lim f (x) มคี าเทา กับ L x→a x→a แตถาไมมีจํานวนจริง L ซ่ึง f (x) เขาใกล L เมื่อ x เขาใกล a แลวจะ กลาววา “ f ไมม ลี ิมติ ท่ี a ” หรือกลาววา “lim f (x) ไมมคี า” x→a • สําหรับฟงกชัน f ใด ๆ ที่มีโดเมนและเรนจเปนสับเซตของจํานวนจรงิ ถา f (x) เขาใกลจํานวนจริง L1 เมื่อ x เขาใกล a ทางดานซายแลว จะ เรียก L1 วา ลิมิตซายของ f (x) เม่ือ x เขาใกล a ทางดานซาย เขียนแทน ดว ย lim f ( x) = L1 x→a− ถา f (x) เขาใกลจํานวนจริง L2 เมื่อ x เขาใกล a ทางดานขวา จะเรียก L2 วา ลิมิตขวาของ f (x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานขวา เขียนแทนดวย lim f (x) = L2 x→a+ สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบอ้ื งตน 101 คมู อื ครรู ายวิชาเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 ประเด็นสาํ คัญเก่ียวกับเนอื้ หาและสิ่งทค่ี วรตระหนกั เกยี่ วกบั การสอน • เม่อื สอนเร่อื งลิมิตของ f ที่ a ครคู วรใหน กั เรียนเขาใจความหมายของ x เขาใกล a กอน ซึ่งสามารถแบง ไดเ ปน 2 กรณี ไดแ ก o กรณีที่ x เขาใกล a โดยที่ x < a จะเรียกวา x เขาใกล a ทางดานซาย แทนดวย สัญลักษณ x → a− o กรณีที่ x เขาใกล a โดยท่ี a > 2 จะเรียกวา x เขาใกล a ทางดานขวา แทนดวย สัญลักษณ x → a+ ทั้งน้ี การพิจารณาวา x เขาใกล a ซึ่งแทนดวยสัญลักษณ x → a ตองพิจารณาท้ัง x เขาใกล a ทางดา นซา ยและ x เขาใกล a ทางดา นขวา • การพิจารณาวา lim f (x) มีคาหรือไม ในตัวอยางท่ี 2 อาจพิจารณาโดยไมใชกราฟได x→0 ดังนี้ จาก f (x) = 1 ;x≥ 0 −1 ;x< 0 เม่อื x เขาใกล 0 ทางดา นซา ย นนั่ คอื x < 0 จะไดวา f (x) = −1 ดังนั้น lim f ( x) =lim (−1) =−1 x→0− x→0− เมือ่ x เขา ใกล 0 ทางดา นขวา น่นั คือ x > 0 จะไดว า f (x) =1 ดังนน้ั lim f=( x) l=im 1 1 x→0+ x→0+ จะเห็นวา lim f ( x) ≠ lim f ( x) ดงั นั้น lim f ( x) ไมมคี า x→0− x→0+ x→0 • ครูควรเนนย้ํากับนักเรียนวา สําหรับฟงกชัน f ใด ๆ ถึงแมวา f (x) เขาใกล L เมื่อ x เขาใกล a แต L อาจไมเทา กบั f (a) ก็ได • การหา lim f (x) โดยใชทฤษฎีบท 2 ขอ 5 จะทําไดในกรณีท่ี lim f ( x) และ x→a g ( x) x→a lim g ( x) หาคาได และ lim g (x) ≠ 0 เทาน้ัน สําหรับกรณีท่ี lim g (x) = 0 อาจหา x→a x→a x→a lim f (x) ไดโ ดยการจัดรปู ของฟง กช นั ดังแสดงในตัวอยางท่ี 10 และ 11 g ( x) x→a สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลสั เบ้ืองตน 102 คมู อื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 • ลิมติ “ไมมีคา” ที่กลา วถงึ ในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 หมายถึงกรณีที่ลิมิตซายไมเทากับลิมิตขวา สําหรับลิมิตไมมีคาในกรณีอื่น ๆ นกั เรียนจะไดศึกษาในระดบั อดุ มศึกษา • ในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 น้ี สําหรับ ฟงกชัน f ที่มีโดเมนเปน [a, b], [a, b), (a, b] หรือ (a, b) จะไมพิจารณา lim f ( x) x→a และ lim f (x) เชน ฟง กชนั f (x) = x ที่มีโดเมนเปน [0, 1) จะไมพ จิ ารณา lim f (x) x→b x→0 และ lim f (x) แตน กั เรยี นจะไดศ กึ ษาในระดบั อุดมศึกษา x→1 • ในการจัดการเรียนรูในบทที่ 2 แคลคูลัสเบ้ืองตน ของหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 จะไมพ ิจารณาลมิ ติ ของฟงกชนั เมือ่ x เพ่มิ ขึ้น เร่ือย ๆ อยางไมมีท่ีสิ้นสุด (x → ∞) และลิมิตของฟงกชัน เม่ือ x ลดลงเร่ือย ๆ อยาง ไมม ีท่สี น้ิ สดุ (x → −∞) ซ่งึ นักเรียนจะไดศึกษาในระดบั อุดมศกึ ษา • ในการจัดการเรียนรูในบทท่ี 2 แคลคูลัสเบื้องตน ของหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติม คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 จะไมกลาวถึงฟงกชันเอกซโพเนนเชียล ฟง กช นั ลอการทิ ึม ฟง กชันตรีโกณมิติ ซ่ึงนกั เรียนจะไดศ ึกษาในระดับอุดมศกึ ษา ประเดน็ สําคัญเก่ยี วกบั แบบฝก หดั • การหาลิมิตของฟงกชันที่กําหนดให โดยพิจารณาจากกราฟของฟงกชัน เชน แบบฝกหัด 2.1ก ขอ 2 – 6 นั้น ครูควรสนับสนุนใหนักเรียนใหเหตุผลประกอบการพิจารณาวาลิมิต ของฟง กชนั ในขอ ใดมคี า และลมิ ิตของฟง กชนั ในขอ ใดไมม ีคา • การหาลิมิตของฟงกชันบางฟงกชันโดยใชทฤษฎีบท 2 อาจมีลําดับข้ันตอนการหาที่ แตกตา งกนั เชน แบบฝกหัด 2.1ข ขอ 1 4) อาจหาคําตอบโดย สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลัสเบอ้ื งตน 103 คมู ือครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 ( ( )) ( )วธิ ที ่ี 1 จาก lim ( x + 3) x2 + 2 = lim ( x + 3) lim x2 + 2 (ท.บ.2 ขอ 4) x → −1 x→ −1 x→ −1 ( )( )= lim x + lim 3 lim x2 + lim 2 (ท.บ.2 ขอ 2) x→−1 x→−1 x→−1 x→−1 ( )= (−1+ 3) (−1)2 + 2 (ท.บ.1) =6 ดังน้ัน ( )( )lim ( x + 3) x2 + 2 =6 x → −1 วิธีท่ี 2 ( )จาก ( x + 3) x2 + 2 = x3 + 3x2 + 2x + 6 จะได ( )( )lim ( x + 3) x2 + 2 x → −1 ( )= lim x3 + 3x2 + 2x + 6 x → −1 ( )= lim x3 + lim 3x2 + lim (2x) + lim 6 (ท.บ.2 ขอ 2) x → −1 x → −1 x → −1 x → −1 (ท.บ.2 ขอ 1) = lim x3 + 3 lim x2 + 2 lim x + lim 6 (ท.บ.1) x → −1 x → −1 x→−1 x→−1 = (−1)3 + 3(−1)2 + 2(−1) + 6 =6 ดงั นน้ั ( )( )lim ( x + 3) x2 + 2 =6 x → −1 • การหาลิมิตของฟงกชันท่ีมีการกําหนดโดเมนออกเปนชวงยอยมากกวา 1 ชวง เชน ใน แบบฝก หัด 2.1ข ขอ 4 ครูควรตรวจสอบวา นกั เรยี นเลือกใชคา ของฟงกช นั ไดตรงกบั ชวง ยอ ยท่ีพจิ ารณาหรอื ไม เชน เมอื่ พจิ ารณา lim f (x) ในขอ 2) ตอ งเลือกใช f (x) = x2 x→0− ความเขา ใจคลาดเคล่ือน • นักเรียนบางคนอาจเขาใจผดิ เกี่ยวกับสญั ลักษณ x → a− และ x → a+ วา x → 2− หมายถงึ x เขาใกล −2 ทงั้ นี้ ครูควรย้าํ นกั เรยี นวา x → a− แสดงถึงการพิจารณาคา ของ x ท่ีนอยกวา a และ x → a+ แสดงถึงการพิจารณาคา ของ x ทีม่ ากกวา a สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบ้ืองตน 104 คมู อื ครูรายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 • นกั เรยี นบางคนอาจเขา ใจผิดวา lim f (x) = f (a) เสมอ ทั้งนค้ี รคู วรยกตัวอยางฟงกชันท่ี x→a lim f ( x) ≠ f (a) เชน ฟง กช ัน f ( x ) = 1, x≠0 มี f (0) = 0 แต lim f ( x) = 1 0, x=0 x→a x→0 จะเห็นวา lim f ( x) ≠ f (0) x→0 ความตอเน่อื งของฟงกชนั กจิ กรรม : ฟงกชันตอ เนอ่ื ง จดุ มงุ หมายของกิจกรรม กิจกรรมนใ้ี ชเพอ่ื สอน เรอ่ื ง ความตอ เนอ่ื งของฟง กชัน แนวทางการดาํ เนนิ กิจกรรม 1. ครูจบั คนู ักเรียนแบบคละความสามารถ จากน้ันครูแสดงกราฟของฟงกช ันตอไปนี้ รปู ท่ี 1 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู ัสเบือ้ งตน 105 คูม ือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 รปู ท่ี 2 รปู ที่ 3 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลสั เบื้องตน 106 คมู อื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 2. ครูใหนักเรียนแตละคูพิจารณากราฟของฟงกชันในแตละรูปท่ีกําหนดใหในขอ 1 และ เตมิ ขอ มูลลงในตารางตอไปน้ีใหส มบรู ณ รูปท่ี lim f ( x) lim f ( x) lim f ( x) f (a) 1 x→a− x→a+ x→a f (a) 2 3 lim f ( x) lim f ( x) lim f ( x) L2 L2 แนวคําตอบ x→a− x→a+ x→a L รูปท่ี L1 L2 ไมมีคา 1 L1 L1 L L L1 2 3 L 3. จากคาํ ตอบทไี่ ดใ นขอ 2 ครูใหนกั เรียนพิจารณาวาฟงกชนั f รูปใดที่ lim f (x) = f (a) x→a แนวคาํ ตอบ รูปท่ี 3 4. ครูอธิบายวาฟงกชัน f ท่ีมีสมบัติ lim f (x) = f (a) จะกลาววา f เปนฟงกชัน x→a ตอ เน่อื งที่ x = a ดังน้ัน ฟง กชนั f ในรูปที่ 3 เปนฟง กชนั ตอ เนอื่ งที่ x = a 5. ครแู ละนกั เรียนรว มกันสังเกตลกั ษณะกราฟของฟงกช ันในรูปท่ี 1 – 3 ในประเด็นตอไปน้ี • กราฟของฟงกช นั ในแตละรปู ขาดตอนหรือไม • โดเมนของฟงกชันในแตล ะรูปมีการแบงเปน ชวงยอยหรือไม สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคลู สั เบือ้ งตน 107 คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 แนวคาํ ตอบ กราฟของฟงกชัน f ในรูปท่ี 1 มีลักษณะขาดตอน และโดเมนของฟงกชันแบง ออกเปน 2 ชว งยอ ย ไดแก x < a และ x ≥ a กราฟของฟงกชัน f ในรูปท่ี 2 มีลักษณะขาดตอน และโดเมนของฟงกชันแบง ออกเปน 2 ชว งยอย ไดแก x = a และ x ≠ a กราฟของฟงกชัน f ในรูปที่ 3 มีลักษณะไมขาดตอน และโดเมนของฟงกชันไมมี การแบงเปน ชว งยอ ย 6. ครอู ธบิ ายเก่ียวกบั บทนิยามของความตอ เน่ืองของฟงกช นั ตามบทนยิ าม 1 หมายเหตุ • จากคําตอบทีไ่ ดใ นขอ 2 และ 3 ครอู าจอธิบายเพิม่ เตมิ วา o จากรปู ที่ 1 จะเห็นวา f (a) หาคาได ( f นยิ ามที่ a ) แต lim f (x) ไมมคี า x→ a o จากรปู ที่ 2 จะเห็นวา f (a) หาคาได ( f นยิ ามท่ี a ) และ lim f (x) มีคา แต x→ a lim f ( x) ≠ f (a) x→ a • ฟง กชนั f ในรูปท่ี 1 และ 2 เปน ฟง กชนั ไมต อเนื่องที่ x = a • ครอู าจเปลย่ี นกราฟของฟงกช นั ทีใ่ หนักเรยี นพจิ ารณาในขอ 1 เปน รปู แบบอนื่ ประเดน็ สาํ คัญเกี่ยวกบั เนอ้ื หาและสง่ิ ที่ควรตระหนักเกยี่ วกบั การสอน • ในการยกตัวอยางฟงกชนั เพื่อใหนกั เรียนตรวจสอบการเปนฟงกชันตอเน่ืองที่ x = c ครู ควรเลอื กฟงกชนั ที่นยิ ามบนชว ง (a, b) และ c∈(a, b) • การพิจารณาวาฟงกชันท่ีกําหนดใหเปนฟงกชันตอเนื่องที่จุด x = c หรือไม อาจ พิจารณาโดยใชก ราฟ เชน ฟงกช นั f ในตัวอยางที่ 14 เขยี นกราฟไดด ังน้ี สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลสั เบ้ืองตน 108 คูมือครูรายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 จากกราฟจะเหน็ วา lim f ( x) = 4 แต f (2) = 3 x→2 ดังนัน้ f เปน ฟง กช นั ไมตอเน่อื งที่ x = 2 และฟง กชัน f ในตัวอยา งท่ี 15 เขยี นกราฟไดดังนี้ จากกราฟจะเหน็ วา lim f ( x) = 4 และ f (2) = 4 x→2 ดังนั้น f เปน ฟง กช นั ตอ เนือ่ งที่ x = 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบื้องตน 109 คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 • การตรวจสอบความตอเนอ่ื งของฟง กช นั ในตวั อยา งท่ี 17 อาจทาํ ไดดังน้ี จาก f (x) = x2 x2 − 9 6 − 5x + จะได f (0) = 02 − 9 = −9 = −3 6 2 02 − 5(0) + 6 และ lim f ( x) = lim x2 − 9 x→0 x→0 x2 − 5x + 6 เน่อื งจาก (lim x2 − 5x + 6) =6 ≠ 0 โดยทฤษฎบี ท 4 จะได x→0 lim x2 − 9 = 02 − 9 = −9 = −3 6 2 x→0 x2 − 5x + 6 02 − 5(0) + 6 เนื่องจาก lim f ( x) = f (0) x→0 ดงั น้ัน ฟง กชัน f เปน ฟง กชนั ตอเนื่องท่ี x = 0 • ครูควรเนนยํ้าเก่ียวกับการแสดงวา f เปนฟงกชันตอเนื่องบนชวง (a, b) น้ัน จะตอง แสดงวา f เปนฟงกชันท่ีตอเน่ืองท่ีทุกจุดในชวง (a, b) โดยสมมติให c เปนจุดใด ๆ ในชว ง (a, b) แลว แสดงวา f ตอเนอ่ื งที่ x = c • สําหรับฟงกชัน f ที่ตอเนื่องบนชวง [a, b], (a, b] หรือ [a, b) จะมีความตอเนื่องที่ จดุ ปลายของชวงเปน ดงั นี้ o สําหรับฟงกชัน f ท่ีตอเนื่องบนชวง [a, b] ซ่ึง lim f (x) = f (a) และ x→a+ lim f (x) = f (b) น้ัน จะไดวา f ตอเนื่องทางดานขวาท่ี x = a และ f x→b− ตอเนอื่ งทางดานซา ยท่ี x = b ตามลาํ ดบั o สําหรับฟงกชัน f ท่ีตอเน่ืองบนชวง (a, b] ซึ่ง lim f (x) = f (b) น้ัน จะไดวา x→b− f ตอเนื่องทางดา นซา ยท่ี x = b o สําหรับฟงกชัน f ท่ีตอเน่ืองบนชวง [a, b) ซึ่ง lim f (x) = f (a) น้ัน จะไดวา x→a+ f ตอ เนอ่ื งทางดานขวาท่ี x = a หมายเหตุ o f ตอเนื่องทางดานขวาท่ี x = a คอื f is continuous from the right at x = a o f ตอ เนื่องทางดานซายท่ี x = b คือ f is continuous from the left at x = b สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบื้องตน 110 คูมือครูรายวิชาเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 • ชวงท่ีพิจารณาความตอเน่ืองของฟงกชันตองเปนสับเซตของโดเมนของฟงกชันนั้น เชน ตวั อยางท่ี 18 – 19 ประเดน็ สําคัญเกีย่ วกับแบบฝก หัด การพิจารณาความตอเนื่องของฟงกชัน g บนชวง (−∞, 1] ในแบบฝกหัด 2.2 ขอ 4 ซ่ึงมี ขนั้ ตอนการพจิ ารณา ไดแ ก 1) g เปน ฟง กชนั ตอ เนอ่ื งทที่ ุกจดุ ในชว ง (−∞, 1) และ 2) lim g ( x) = g (1) x→1− เนื่องจากฟงกชัน g ท่ีกําหนดให มีโดเมนเปนชวงยอย 3 ชวง ไดแก (−∞, − 2), [−2, 1] และ (1, ∞) ดังนนั้ การพจิ ารณาความตอเน่ืองของฟงกชนั g ท่ีทุกจดุ ในชว ง (−∞, 1) ตอ ง พจิ ารณาความตอเนอื่ งของฟง กช นั g บนชวง (−∞,−2) และ [−2,1) อนพุ นั ธข องฟงกชนั ประเดน็ สาํ คัญเกี่ยวกบั เนอ้ื หาและสงิ่ ทค่ี วรตระหนักเก่ียวกับการสอน • การแกปญหาเกี่ยวกับอัตราการเปลี่ยนแปลงที่สอดคลองกับชีวิตจริง ครูควรสงเสริมให นักเรียนแปลความหมายจากผลลัพธท่ีได เชน จากตัวอยางท่ี 20 ซึ่งอัตราการเปลี่ยนแปลง ของ V เทียบกับ r เปนจํานวนจรงิ บวก แสดงวาเมื่อ r เพิ่มข้ึน V (r) จะเพ่ิมข้ึน จึง อธิบายไดวาเม่ือความยาวของรัศมีของลูกบอลเพ่ิมข้ึน ปริมาตรของลมในลูกบอลจะ เพิ่มขึ้น แตในตัวอยางท่ี 21 ซึ่งอัตราการเปลี่ยนแปลงของ Q เทียบกับ t เปนจํานวน จริงลบ แสดงวาเม่ือ t เพ่ิมข้ึน Q(t) จะลดลง จึงอธิบายไดวาเม่ือเวลาเพิ่มขึ้น ปรมิ าตรของนํา้ ในสระจะลดลง สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคลู ัสเบือ้ งตน 111 คมู อื ครูรายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 • นักเรียนสามารถเลือกใชสัญลักษณแทนอนุพันธของฟงกชัน f ท่ี x ดวย f ′(x), dy , dx d f (x) หรือ y′ โดยในกรณีที่ใชสัญลักษณ y′ ครูควรช้ีแนะใหนักเรียนระมัดระวัง dx วา เปนการเขียนแทนอนุพันธของฟงกชันท่ีมีการละตัวแปรตนไว ซ่ึงนักเรียนควรทราบ วาฟง กช นั ท่ีกาํ หนดใหม ีตวั แปรใดเปน ตวั แปรตน เชน สมการ y = f (x) ดังนัน้ y′ จะแทนอนพุ นั ธเทยี บกบั ตวั แปร x สมการ y = g(t) ดงั นน้ั y′ จะแทนอนพุ ันธเทียบกับตวั แปร t • สําหรบั ฟง กชันที่หาอนุพันธไดท่ี x ใด ๆ ในโดเมน จะพบวา ฟง กช ันนน้ั ตอเน่ืองท่ี x ดวย แตในทางกลับกัน ฟงกชันท่ีตอเนื่องที่ x อาจหาคาอนุพันธที่ x ไมได เชน ฟงกชัน f ( x) = x พบวา f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0 ( lim f ( x) = f (0) ) แตจาก x→0 ตวั อยางท่ี 25 จะเห็นวา f ′(0) ไมม คี า ประเดน็ สําคญั เกย่ี วกับแบบฝก หดั ปริมาตรของกรวยกลมตรงในแบบฝกหัด 2.3 ขอ 8 หาไดจาก V = 1π r2h เม่ือ r แทน 3 ความยาวของรัศมีของฐาน และ h แทนสวนสูง ทั้งน้ี ในขอ 1) กําหนดใหสวนสูงเปน คาคงตัว ดังนั้น V เปนฟงกชันของตัวแปร r ในทํานองเดียวกัน ขอ 2) V เปนฟงกชัน ของตวั แปร h สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลสั เบ้ืองตน 112 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 การหาอนพุ ันธข องฟง กชนั โดยใชส ูตร ประเดน็ สาํ คัญเกยี่ วกับเน้ือหาและสิ่งทีค่ วรตระหนักเกีย่ วกับการสอน • ครูควรยกตัวอยางฟงกชันที่จะหาอนุพันธโดยใชสูตรที่ 4 – 8 ใหสอดคลองกับความรู พ้นื ฐานของนกั เรยี น • การหา f ′(a) โดยใชสูตร จะตองหา f ′(x) กอน แลวจึงแทน x ดวย a ดังแสดงใน ตวั อยา งที่ 33 • การหาอนุพันธของฟงกชันที่จุดแบงของชวงในกรณีท่ีฟงกชันมีการกําหนดโดเมน ออกเปน ชว งยอ ยมากกวา 1 ชวง นน้ั ไมส ามารถหาอนุพนั ธข องฟงกชันทจ่ี ุดแบง ของชวง โดยใชสูตรได แตตองใชบทนิยาม 3 ในการหาอนพุ ันธของฟง กช นั ความเขา ใจคลาดเคลอ่ื น • นักเรียนบางคนอาจเขาใจผิดวา อนุพันธของผลคูณเทากับผลคูณของอนุพันธของ แตละฟงกชัน เชน นักเรียนเขาใจผิดวาอนุพันธของฟงกชัน y =(2x +1)(2x −1) คือ dy= d (2x +1)⋅ d (2x −1=) 2(2=) 4 ในกรณีนี้ ครูควรแสดงรายละเอียดการหา dx dx dx อนพุ นั ธข องผลคูณโดยใชสตู รที่ 7 ดังนี้ dy = d ((2x +1)(2x −1)) dx dx = (2x +1) d (2x −1) + (2x −1) d (2x +1) dx dx = (2x +1)(2) + (2x −1)(2) = 8x สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคลู ัสเบ้ืองตน 113 คมู ือครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 • นักเรียนบางคนอาจเขาใจผิดวา อนุพันธของผลหารเทากับผลหารของอนุพันธของแตละ ฟงกช นั เชน นักเรยี นเขา ใจผดิ วา อนพุ นั ธข องฟงกชนั y = x2 =คือ dy d (x2 ) =dx 2x x − 2 dx d ( x − 2) dx ในกรณีนี้ ครคู วรแสดงรายละเอยี ดการหาอนพุ ันธของผลหารโดยใชสตู รที่ 8 ดงั นี้ dy = d x2 dx dx x − 2 (x − 2) d (x2 ) − (x2 ) d (x − 2) = dx dx ( x − 2)2 (x − 2)(2x) − x2 = ( x − 2)2 = x2 − 4x ( x − 2)2 อนพุ นั ธของฟงกชันประกอบ ประเดน็ สาํ คญั เกยี่ วกับเนอ้ื หาและสง่ิ ทค่ี วรตระหนักเกีย่ วกบั การสอน นักเรียนอาจประสบปญหาในการกําหนดฟงกชัน u ซึ่งเปนฟงกชันของตัวแปร x และเขียน ฟงกชัน y ใหอยูในรูปของฟงกชันของตัวแปร u เมื่อกําหนด y เปนฟงกชันของตัวแปร x ดงั นั้น ครคู วรใหนักเรยี นฝก ทักษะเพิม่ เติม ตามลําดับขนั้ ตอนตอ ไปนี้ ขน้ั ที่ 1 กาํ หนดฟงกชนั u ซึ่งเปน ฟง กชันของตวั แปร x ขัน้ ท่ี 2 เขยี นฟง กช ัน y ใหอ ยูใ นรปู ของฟงกช นั ของตัวแปร u (ฟงกช นั y ตองเปนฟงกช ันทหี่ าอนพุ นั ธโดยใชส ตู รได) เชน สาํ หรบั ฟงกชนั =y 2x −1 สามารถทําไดด ังน้ี สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบ้ืองตน 114 คูม ือครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 วิธีท่ี ข้นั ที่ 1 ขนั้ ที่ 2 1 ให u = 2x จะได =y u −1 จะได y = u 2 ให =u 2x −1 จะเห็นวาในขั้นที่ 2 ของวิธีที่ 1 ฟงกชัน =y u −1 ไมสามารถหาอนุพันธโดยใชสูตรได โดยตรง แตในขัน้ ที่ 2 ของวิธีที่ 2 ฟงกช นั y = u สามารถหาอนพุ นั ธโ ดยใชสูตรได ดงั น้ัน ควรเลอื ก =u 2x −1 เสนสัมผัสเสน โคง ประเด็นสาํ คญั เกย่ี วกับเน้อื หาและสง่ิ ทค่ี วรตระหนักเก่ียวกับการสอน • การหาสมการของเสนสัมผัสเสนโคงท่ีจุด P(a, f (a)) หรอื ความชันของเสนสัมผัสเสนโคง ที่จดุ P(a, f (a)) ครคู วรตระหนกั วา จะพิจารณาเฉพาะจดุ ท่ี f ′(a) หาคา ได • การแกปญหาเกี่ยวกับเสนสัมผัสเสนโคงบางปญหาตองใชความรูเกี่ยวกับเรขาคณิต วเิ คราะห ดังน้ันครคู วรทบทวนเนือ้ หาที่เกีย่ วของใหกบั นักเรียนดว ย • จากหมายเหตุในตัวอยางที่ 42 สามารถใชความรูเรื่อง เรขาคณิตวิเคราะหในการหา ความชนั และสมการของเสนสมั ผสั วงกลมได ดงั น้ี จากสมการวงกลม x2 + y2 =25 จะไดว า วงกลมน้มี ีจดุ ศูนยกลางอยูที่ (0, 0) และมีรัศมียาว 5 หนวย เนอ่ื งจาก จุด (−3, 4) อยบู นเสนรอบวงของวงกลมนี้ จะไดวา สวนของเสน ตรงที่เช่ือมระหวา ง (0, 0) และ (−3, 4) เปน รัศมีของวงกลม ซึง่ มีความชนั เปน 4 − 0 = − 4 −3 − 0 3 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลสั เบื้องตน 115 คูม ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 เนอ่ื งจาก รศั มีของวงกลมท่ีลากผา น (−3, 4) ต้ังฉากกับเสนสมั ผัสวงกลมที่จดุ นน้ั จะไดว า ผลคณู ของความชนั ของรัศมวี งกลมทล่ี ากผาน (−3, 4) กบั ความชนั ของ เสนสัมผัสวงกลมที่จดุ น้ันเปน −1 เน่ืองจาก รัศมีของวงกลมที่ลากผา น (−3, 4) มีความชันเปน − 4 3 จะไดวา เสน สมั ผสั วงกลมท่ี (−3, 4) มคี วามชนั เปน 3 4 ดังน้นั สมการของเสนสมั ผสั วงกลมที่จดุ (−3, 4) คือ y −=4 3 (x − (−3)) 4 หรอื =y 3 x + 25 44 อนุพันธอ นั ดับสงู ประเดน็ สาํ คัญเก่ยี วกบั เนอื้ หาและสิง่ ทค่ี วรตระหนักเก่ียวกบั การสอน การหาอนุพันธอันดับสูงที่ x = a จะตองหาอนุพันธอันดับสูงท่ี x กอน แลวจึงแทน x ดว ย a ดังแสดงในตวั อยางที่ 48 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบื้องตน 116 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 การประยกุ ตของอนุพันธ กจิ กรรม : ความชันของเสนสัมผัสเสน โคง ของฟงกชนั เพิ่มและฟงกชนั ลด จดุ มุงหมายของกิจกรรม กิจกรรมน้ใี ชเ พือ่ สอน เร่ือง ความชนั ของฟงกชนั เพิ่มและฟงกช ันลด แนวทางการดาํ เนนิ กจิ กรรม 1. ครทู บทวนบทนยิ าม 4 2. ครูจบั คูนักเรียนแบบคละความสามารถ จากนน้ั ครใู หนักเรียนเปดเวบ็ ไซต ipst.me/11547 3. ครใู หนกั เรียนสํารวจความชันของเสน สัมผัสเสน โคง บนชวง (a, b), (b, c), (c, d ) และ (d, e) โดยคลิกลากจุด P ไปตามแนวเสนโคง พรอมท้ังสังเกตความชันของเสนโคงท่ี จดุ P ซึ่งแสดงบนหนา จอ แลว ตอบคําถามตอไปนี้ 3.1 ชว งใดบางท่ีความชนั ของเสน โคงเปนจาํ นวนจรงิ บวก แนวคําตอบ ชวง (b, c) และ (d, e) 3.2 ชวงใดบางทคี่ วามชันของเสน โคง เปนจาํ นวนจริงลบ แนวคําตอบ ชวง (a, b) และ (c, d ) 4. ครูทบทวนความรูข องนักเรยี นเกย่ี วกบั ฟงกช ันเพิ่มและฟง กช ันลด 5. จากขอ 2 ครใู หนกั เรยี นหาวาชวงใดบา งที่ f เปน ฟง กชันเพิม่ และฟง กชนั ลด แนวคําตอบ • f เปนฟงกชนั เพม่ิ ในชว ง (b, c) และ (d, e) • f เปน ฟงกชนั ลดในชวง (a, b) และ (c, d ) สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู ัสเบือ้ งตน 117 คูมอื ครูรายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 6. ครใู หน กั เรยี นเปรียบเทียบคําตอบท่ีไดในขอ 3 และขอ 5 โดยเตมิ ขอมลู ลงในตารางตอไปนี้ ชวง ความชนั ของเสน โคง ฟงกชนั เพม่ิ / ลด เปน จํานวนจริงบวก/ ลบ (a, b) (b, c) (c, d ) (d, e) แนวคาํ ตอบ ความชันของเสนโคง ฟง กชนั เพิม่ / ลด ชวง เปนจาํ นวนจริงบวก/ ลบ ฟง กชนั ลด (a, b) เปนจาํ นวนจริงลบ ฟงกชนั เพ่ิม (b, c) ฟงกชันลด (c, d ) เปน จํานวนจริงบวก ฟง กช ันเพ่มิ (d, e) เปนจํานวนจรงิ ลบ เปน จํานวนจรงิ บวก 7. ครูอธิบายสรุปวา ถาทุก ๆ จุดในชวงมีความชันของเสนโคงเปนจํานวนจริงบวก แลว ฟงกชันจะเปนฟงกชันเพ่ิมในชวงน้ัน ในทางตรงกันขาม ถาทุก ๆ จุดในชวงมีความชัน ของเสน โคง เปนจํานวนจริงลบ แลว ฟง กชนั จะเปน ฟงกชนั ลดในชว งนั้น 8. ครอู ธบิ ายทฤษฎบี ท 8 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบ้ืองตน 118 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 กิจกรรม : คาสงู สุดสัมพัทธ คาตํ่าสุดสมั พทั ธ และจดุ วกิ ฤต จุดมงุ หมายของกิจกรรม กิจกรรมนี้ใชสอนทฤษฎีบท 9 บทนิยาม 7 และทฤษฎีบท 10 ท้ังนี้ครูควรทบทวน ความหมายของคา สูงสุดสัมพทั ธแ ละคาตํ่าสุดสัมพทั ธใ นบทนยิ าม 6 กอ นใหนักเรยี นทํากิจกรรม แนวทางการดาํ เนนิ กจิ กรรม 1. ครจู บั คนู กั เรยี นแบบคละความสามารถ จากนนั้ ครูใหนกั เรยี นเปดเว็บไซต ipst.me/11548 2. จากกราฟของฟงกชัน f ที่แสดงบนหนาจอ ครูใหนักเรียนหาจุดสูงสุดสัมพัทธและจุด ต่าํ สดุ สัมพทั ธของฟง กชนั f แนวคําตอบ • ฟงกช นั f มีจุดสูงสดุ สัมพัทธอ ยูท ีจ่ ุด B(−1, 3) หรอื ท่ี x = −1 • ฟงกชัน f มีจุดตํ่าสุดสัมพัทธอยูท่ีจุด A(−8, −1) และ C (6, − 4) หรือ x = −8 และ x = 6 ตามลําดบั 3. ครูใหนกั เรียนสํารวจความชนั ของเสนโคงของฟงกชัน f ทจี่ ดุ สูงสดุ สมั พัทธและจุดต่ําสุด สัมพัทธ โดยคลิกลากจุด P ไปตามแนวเสนโคง แลวหาความชันของเสนโคงของฟงกชัน ทีจ่ ดุ สงู สุดสมั พทั ธและจดุ ตํ่าสุดสมั พัทธแ ตล ะจุด แนวคําตอบ • ความชนั ของเสนโคง ของฟงกช ัน f ทีจ่ ดุ สูงสดุ สมั พัทธ B เทากบั 0 • ความชันของเสน โคง ของฟง กช ัน f ทจ่ี ุดตา่ํ สดุ สมั พัทธ A เทากับ 0 • ความชันของเสน โคงของฟง กช ัน f ที่จุดต่ําสดุ สมั พทั ธ C เทา กบั 0 4. ครูอธบิ ายเชือ่ มโยงคําตอบที่ไดจากขอ 3 กบั บทนยิ าม 4 ดังน้ี • ที่จดุ สูงสุดสมั พัทธ B จะไดวา f ′(−1) =0 • ทีจ่ ดุ ตาํ่ สุดสมั พัทธ A จะไดวา f ′(−8) =0 • ท่จี ุดตํ่าสดุ สัมพทั ธ A จะไดวา f ′(6) = 0 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลัสเบอื้ งตน 119 คมู อื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 5. จากคําตอบที่ไดในขอ 4 ครอู ธิบายสรุปทฤษฎีบท 9 จากนั้นแนะนําคาวิกฤตและจุดวิกฤต ในบทนยิ าม 7 6. ครใู หนกั เรียนหาคาวกิ ฤตและจุดวกิ ฤตของฟงกชัน f ในขอ 1 แนวคาํ ตอบ • คา วกิ ฤตของฟงกชัน f คอื −8, −1 และ 6 • จดุ วิกฤตของฟง กช ัน f คือ (−8, −1), (−1, 3) และ (6, − 4) 7. ครูใหนักเรียนสํารวจการเปลี่ยนแปลงคาของอนุพันธของฟงกชัน f รอบ ๆ จุดวิกฤต โดยคลิกลากจุด P ไปตามแนวเสนโคง จากดานซายไปดานขวาของจุดวิกฤตแตละจุด และหาวา คา ของอนุพันธของฟงกช นั f มีการเปลย่ี นแปลงอยางไร แนวคาํ ตอบ • ท่ีจุดวกิ ฤต (−8, −1) พบวา คาของอนุพันธของฟงกช ัน f เปลี่ยนจากจํานวนจริงลบ เปน จํานวนจรงิ บวก • ท่ีจุดวิกฤต (−1, 3) พบวา คาของอนุพันธของฟงกชัน f เปล่ียนจากจํานวนจริงบวก เปนจาํ นวนจริงลบ • ท่ีจุดวิกฤต (6, − 4) พบวา คาของอนุพันธของฟงกชัน f เปลี่ยนจากจํานวนจริงลบ เปนจาํ นวนจรงิ บวก 8. ครอู ธบิ ายสรุปทฤษฎีบท 10 ประเด็นสําคญั เกย่ี วกับเนอ้ื หาและสิง่ ทค่ี วรตระหนักเกย่ี วกับการสอน • ความเร็วและอตั ราเรว็ ในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 มีความหมายไมแตกตางกันและสามารถใชแทนกันได แตในวิชาฟสิกสความเร็ว และอัตราเร็วมีความหมายที่แตกตางกัน โดยความเร็วเปนปริมาณเวกเตอร สวน อัตราเรว็ เปน ปริมาณสเกลาร สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลสั เบ้ืองตน 120 คูมอื ครรู ายวิชาเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 • การหาคาสูงสุดหรือคาต่ําสุดสัมพัทธ สามารถทําไดโดยใชบทนิยาม 6 หรือ ทฤษฎีบท 10 หรือ ทฤษฎีบท 11 แตการใชทฤษฎีบท 11 มีขอจํากัดท่ีคาวิกฤต c ของฟงกชัน f ซง่ึ f ′(c) =0 และ f ′′(c) มีคาและไมเทากับ 0 เชน ในการหาคาสูงสุดสัมพัทธหรือจุด ตํา่ สดุ สัมพัทธข องฟง กชัน f (x=) x4 − 2x3 ทาํ ไดดังนี้ จาก f ( x=) x4 − 2x3 จะได f ′( x) = 4x3 − 6x2 = x2 (4x − 6) ดังนั้น f ′( x) = 0 เม่ือ x = 0 หรอื x = 3 2 จะไดวา คาวิกฤตของฟงกช นั f มี 2 คา คอื 0 และ 3 2 ตอไปหาอนพุ นั ธอ นั ดบั ทีส่ องของฟง กชัน f จะได f ′′=(x) 12x2 −12x เนื่องจาก f ′′(0) = 0 และ f ′′ 3 = 9 2 จากทฤษฎบี ท 11 จะไดว า f ′ 3 = 0 และ f ′′ 3 = 9 ซึง่ มากกวา 0 2 2 ดงั น้นั f มคี าตาํ่ สุดสัมพัทธท่ี x= 3 และคาต่ําสดุ สมั พัทธ คอื f 3 2 2 แตในกรณีที่ x = 0 จะได f ′′(0) = 0 จงึ ไมส ามารถใชทฤษฎีบท 11 ได ดงั นน้ั จะพจิ ารณาคาสงู สดุ สัมพัทธแ ละคา ตา่ํ สุดสมั พัทธโ ดยใชทฤษฎีบท 10 ดังน้ี จาก f ′(=x) 4x3 − 6x2 และคาวิกฤตของฟงกชัน f มี 2 คา คือ 0 และ 3 2 จะไดว า การเปลย่ี นแปลงของอนพุ ันธข องฟง กช ัน f เปน ดังนี้ 0 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบ้ืองตน 121 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 จากรปู จะเห็นวา คา ของอนุพันธข องฟงกชนั f รอบ x = 0 ไมม ีการเปลี่ยนแปลง จากจํานวนจริงบวกเปนจํานวนจริงลบ หรือไมมีการเปล่ียนแปลงจากจํานวนจริง ลบเปน จํานวนจรงิ บวก ดังนัน้ x = 0 เปนคา วกิ ฤตท่ไี มไ ดทาํ ใหฟ ง กชัน f มคี าสงู สดุ สมั พัทธหรอื คา ตํ่าสุด สัมพัทธ ดังจะเหน็ ไดจ ากกราฟของฟง กช ัน f ดังนี้ • การแกโจทยปญหาเก่ียวกับคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดในหัวขอ 2.8.3 ครูควรเนนยํ้าวาการ กําหนดโดเมนของฟงกชันตองพิจารณาบริบทของปญหาดวย เชน ตัวอยางท่ี 56 ซึ่ง กําหนดฟงกชันแสดงความสัมพันธระหวางพ้ืนท่ีและความกวางของรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก จะไดว า 0 ไมอยใู นโดเมนของฟงกชันน้ี เนอื่ งจากความกวางของรปู ส่ีเหล่ยี มมมุ ฉากตอง มากกวา 0 หนวย และในตัวอยางที่ 59 ซึ่งกําหนดฟงกชันแทนรายไดตอวันของเจา ของ โรงแรม จะไดวา 0 อยูในโดเมนของฟงกชันนี้ เน่ืองจากเจาของโรงแรมอาจไมขึ้นราคา คา หอ งพกั ตอวัน สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลสั เบ้ืองตน 122 คมู ือครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 ปฏิยานุพันธแ ละปริพนั ธไ มจ ํากัดเขต ประเดน็ สําคัญเกี่ยวกบั เนอ้ื หาและสิง่ ท่คี วรตระหนกั เกี่ยวกบั การสอน • ในการหาปฏยิ านุพนั ธของฟงกช ัน f ที่กําหนดให นักเรียนอาจหาปฏิยานุพันธของฟงกชัน f ไดแตกตางกัน ครูควรใหนักเรียนตรวจสอบคําตอบที่ไดโดยหาอนุพันธของคําตอบที่ได แลวพิจารณาวาเทากับฟงกชัน f หรือไม เชน นักเรียนอาจตอบวาปฏิยานุพันธของ 2x − 1 คือ x2 + 1 + c หรือ x2 + x−1 + c เมื่อ c เปนคาคงตัว ทั้งน้ี ครูควรช้ีแนะ x2 x ใหนกั เรยี นตรวจสอบโดยหาอนพุ ันธข องปฏยิ านพุ ันธทไ่ี ด ซ่งึ จะไดวา d x2 + 1 + c = 2x − 1 dx x x2 d x2 + x−1 + c 1 dx x2 ( )และ = 2x − จะเหน็ วา อนพุ นั ธของคําตอบท้งั สองเทากัน ซง่ึ เทากับ 2x − 1 x2 • การหาปฏิยานุพันธของ 1 หรือ x−1 ไมสามารถทําไดโดยใชสูตรท่ี 2 ท้ังนี้นักเรียนจะได x ศึกษาในระดับอดุ มศึกษาตอไป • ตัวอยางท่ี 74 ขอ 3) จะไดคําตอบจากการแกสมการกําลังสองเปน t = 0 หรือ t = 4 แต t = 0 คอื เวลาเริม่ ตนโยนวัตถุไมใชเวลาทีว่ ตั ถุตกถึงพื้นดนิ ดังนั้นเม่ือเวลาผานไป 4 วนิ าที วตั ถจุ ึงจะตกถึงพ้นื ดิน สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลสั เบ้ืองตน 123 คมู อื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 ความเขาใจคลาดเคล่ือน นักเรียนอาจเขาใจผิดวา ∫ dy dx = ∫ dy dx = ∫ dy ท้ังน้ี ครูควรชี้แจงวา dy ไมใชเศษสวน dx dx dx แตเปนสัญลักษณท่ีใชแทนอนุพันธอันดับ 1 ของ y เทียบกับ x แต ∫ dy dx คือ การหา dx ปริพันธท่ีมี dy เปนปริพัทธ และมี dx เปนสัญลักษณท่ีบอกวาการหาปริพันธน้ีเทียบกับ dx ตวั แปร x ประเดน็ สาํ คญั เก่ยี วกบั แบบฝก หดั • การหาปริพันธไมจํากัดเขตของฟงกชันในแบบฝกหัด 2.9 ขอ 2 อาจตองจัดรูปฟงกชันท่ี กาํ หนดให กอนใชสูตรการหาปริพนั ธไมจํากัดเขต เชน ขอ 8) สามารถจดั รปู x2 (x − 3) ไดเปน x3 − 3x2 • แบบฝกหัด 2.9 ขอ 7 3) จะไดคําตอบจากการแกสมการกําลังสองเปน t = 3 หรือ t =17 ซึ่งเปนไปไดท้ัง 2 คําตอบ โดย t = 3 เปนเวลาท่ีวัตถุกําลงั เคล่ือนที่ขึ้นและอยูใน ตําแหนงท่ีสูงจากพ้ืนดิน 249.9 เมตร และ t =17 เปนเวลาท่ีวัตถุกําลังเคลื่อนที่ลงและ อยใู นตาํ แหนงทสี่ ูงจากพนื้ ดนิ 249.9 เมตร สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบื้องตน 124 คูมอื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 ปรพิ ันธจํากัดเขตและพื้นทปี่ ดลอ มดวยเสนโคง ประเด็นสาํ คัญเกยี่ วกับเนื้อหาและสง่ิ ที่ควรตระหนกั เกี่ยวกบั การสอน • ครูอาจเริ่มตนการสอนเก่ียวกับพนื้ ทีป่ ดลอมดวยเสนโคงโดยยกตวั อยางการหาพื้นที่ปดลอม ดวยเสนตรง y = x , แกน X , เสนตรง x =1 ถึง x = 2 โดยใชสูตรหาพื้นท่ีของรูป เรขาคณิตท่ีนักเรียนเคยเรียนมาแลว จากนั้นจึงเปรียบเทียบกับการใชป ริพันธจํากัดเขต ดงั นี้ วิธีที่ 1 การหาพืน้ ทสี่ วนทีแ่ รเงาโดยใชสตู รหาพืน้ ที่ของรปู เรขาคณติ จะเห็นวา พ้ืนท่สี ว นท่ีแรเงาเปนพน้ื ท่ีของรปู ส่ีเหลย่ี มคางหมู ดังนน้ั พื้นทส่ี วนท่แี รเงา = 1 × ผลบวกของความยาวดา นคขู นาน× ความสงู 2 = 1 × (1+ 2) ×1 2 = 3 ตารางหนวย 2 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู ัสเบื้องตน 125 คมู อื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 วธิ ีท่ี 2 การหาพน้ื ทส่ี วนทแี่ รเงาโดยใชป ริพันธจ าํ กดั เขต จะได พ้ืนทสี่ ว นทีแ่ รเงา = 2 ∫ x dx 1 = x2 2 2 1 = 4−1 22 = 3 ตารางหนว ย 2 จะเห็นวา พ้ืนทท่ี ี่ไดจากการหาวธิ ที ี่ 1 เทา กบั วธิ ที ี่ 2 • ให A เปน พื้นที่ทปี่ ด ลอ มดว ยเสน โคง y = f (x) กับแกน X จาก a ถงึ b จะพบวา o ถา f (x) ≥ 0 สาํ หรบั ทุก x ∈[a, b] แลว b A = ∫ f ( x )dx a o ถา f (x) ≤ 0 สําหรบั ทกุ x ∈[a, b] แลว A= b −∫ f ( x )dx a o ถา c∈[a,b] ซึ่ง f ( x) ≥ 0 สําหรับทุก x∈[a,c] และ f ( x) ≤ 0 สําหรับทุก x ∈[c,b=] แลว A cb ∫ f ( x )dx − ∫ f ( x )dx ac สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลสั เบื้องตน 126 คูมือครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 2.3 แนวทางการจดั กจิ กรรมในหนังสือเรยี น กจิ กรรม : สรางถนนอยา งไรใหป ระหยดั งบ หมูบาน A และหมูบาน B อยูหางกัน 2 กิโลเมตร และหมูบานทั้งสองอยูหางจากถนนสาย หลัก 10 กิโลเมตร ดังรปู ถาตองการสรางถนนเชื่อมระหวางหมบู านท้ังสองเชื่อมกับถนนสายหลักโดยมีเง่ือนไขวาระยะ ทางจากแตล ะหมบู านไปยงั ถนนสายหลักตองเทากัน จะสรางถนนใหม ีความยาวสัน้ ท่ีสดุ เพ่ือให ประหยดั งบประมาณในการสรา งมากที่สุด ไดอ ยางไร ขนั้ ตอนการปฏิบตั ิ 1. นักเรยี นมีแนวคิดที่จะสรา งถนนอยางไร ใหส อดคลองกับเง่ือนไขขางตน 2. นําแผนผงั ของหมูบา นท้ังสองและถนนสายหลัก มาเขยี นลงในระบบพกิ ดั ฉาก โดยใหแ กน X แทนถนนสายหลัก จุด A(−1, 10) แทนตําแหนงของหมูบาน A และจุด B(1, 10) แทน ตาํ แหนง ของหมูบาน B 3. กาํ หนด c∈[0, 10] และจุด C เปน จดุ บนเสนตรง y = c จงหาพกิ ัดของจุด C ทท่ี ําให AC = BC 4. ใหจดุ D อยูบนแกน X จงหาพกิ ัดของจุด D ท่ีทาํ ให CD นอ ยท่ีสุด และจงหา CD ท่ีนอยท่ีสุดในรูปของ c สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบ้ืองตน 127 คมู อื ครูรายวชิ าเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 5. จงหา c ทท่ี าํ ให AC + BC + CD นอ ยท่ีสุด และจงหา AC + BC + CD ทน่ี อยทีส่ ดุ 6. จากขอ 2 – 5 จงอธิบายวาจะสรางถนนเช่ือมระหวางหมูบานท้ังสองและเช่ือมกับถนนสาย หลักอยางไร ใหร ะยะทางจากแตละหมูบ านไปยังถนนสายหลักเทากัน และถนนมีความยาว สั้นท่ีสุด พรอมทั้งหาความยาวของถนนท่สี ั้นท่ีสุดและระยะทางจากแตละหมูบานไปยงั ถนนสายหลัก สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบื้องตน 128 คูมอื ครูรายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 เฉลยกิจกรรม : สรา งถนนอยา งไรใหป ระหยดั งบ 1. คําตอบในขอน้ีเปนเพียงการคาดการณ นักเรียนสามารถตอบไดอยางอิสระ ท้ังนี้ นักเรียน สวนใหญอาจมีแนวคิดที่จะสรางถนนโดยเริ่มจากสรางถนนเช่ือมระหวา งหมูบา นท้ังสอง แลวสรางถนนอีกเสนจากจุดกึ่งกลางถนนเสนแรกไปตั้งฉากกับถนนเสนหลัก จะได ความยาวของถนนท้ังหมด 12 กิโลเมตร ซ่ึงยังไมใชถนนที่ส้ันท่ีสุด โดยนักเรียนจะได ศกึ ษาวิธีการหาถนนที่ส้ันท่ีสุดในขน้ั ตอนตอ ๆ ไป 2. นาํ แผนผงั ของหมบู านทัง้ สองและถนนสายหลกั มาเขยี นลงในระบบพกิ ัดฉากไดด งั นี้ 3. พิกดั ของจุด C คอื (0, c) 4. CD นอ ยทีส่ ดุ เมอื่ CD ตั้งฉากกบั แกน X ดงั นน้ั จดุ D ตองมีพกิ ัดเปน (0,0) และ CD ท่ีนอ ยที่สดุ คือ c กโิ ลเมตร 5. เน่อื งจาก AC + BC + CD= 2 1+ (c −10)2 + c ให f (c)= 2 1+ (c −10)2 + c เมื่อ c ∈[0,10] =ดงั นน้ั f ′(c) 2(c −10) +1 1+ (c −10)2 ถา f ′(c) = 0 แลว จะได 2(c −10) +1 =0 นั่นคือ =c 10 − 1 1+ (c −10)2 3 ดงั นั้น คาวกิ ฤตในชว งเปด (0,10) คือ 10 − 1 3 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลสั เบอ้ื งตน 129 คูม อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 ตอ ไปคาํ นวณหา f (0), f 10 − 1 และ f (10) 3 จะได f (0) = 2 101 f 10 − 1 =10 + 3 3 f (10) = 12 สรุปไดวา =c 10 − 1 จะใหค าต่ําสุดสัมบูรณบ นชว ง [0,10] 3 และคา ตาํ่ สุดสัมบรู ณ คือ f 10 − 1 =10 + 3 ≈ 11.732 3 ดังนัน้ AC + BC + CD นอ ยทีส่ ดุ เมื่อ =c 10 − 1 3 และ AC + BC + CD ท่ีนอ ยท่สี ดุ คอื 10 + 3 ซ่ึงมคี า ประมาณ 11.732 6. จากรูป เนื่องจากจุด C มีพิกัดเปน 0, 10 − 1 ดังน้ัน จะตองสรางถนนจากแตล ะหมบู า น 3 มาเชื่อมกันที่จุดท่ีหางจากจดุ ก่ึงกลางระหวางหมูบานท้ังสอง (ซ่ึงมีพิกัดเปน (0, 10) ) เปน ระยะทาง 10 − 10 − 1 =1 กิโลเมตร หรือประมาณ 577 เมตร จากน้ัน สรางถนน 3 3 จากจดุ นีไ้ ปตงั้ ฉากกบั ถนนสายหลัก จึงจะทาํ ใหความยาวของถนนท่สี รางส้ันทส่ี ดุ โดยถนน ท่สี รางจะมคี วามยาวประมาณ 11.732 กิโลเมตร แตเนื่องจากระยะทางจากแตละหมบู านไป สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลสั เบ้อื งตน 130 คมู ือครูรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 ยังจุด C มีความยาวประมาณ − 10 − 1 2 +1 =2 กิโลเมตร หรือประมาณ 10 3 3 1.155 กโิ ลเมตร ดงั น้นั ระยะทางจากแตล ะหมบู า นไปยงั ถนนสายหลักมีความยาวประมาณ 11.732 −1.155 =10.577 กิโลเมตร สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบ้ืองตน 131 คมู ือครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 แนวทางการจัดกิจกรรม : สรา งถนนอยางไรใหประหยดั งบ เวลาในการจัดกิจกรรม 50 นาที กิจกรรมนี้เสนอไวใหนักเรียนใชความรู เรื่อง แคลคลู ัสเบ้ืองตน เพ่อื แกปญหาในสถานการณท่ี กาํ หนดให โดยกจิ กรรมนมี้ ีส่ือ/แหลงการเรยี นรู และขน้ั ตอนการดําเนินกจิ กรรม ดังนี้ สอ่ื /แหลงการเรียนรู 1. ใบกจิ กรรม “สรางถนนอยา งไรใหป ระหยดั งบ” 2. เคร่อื งคาํ นวณซ่ึงสามารถเขยี นกราฟได ข้ันตอนการดําเนินกิจกรรม 1. ครูจับคูนักเรียนแบบคละความสามารถ จากนั้นแจกใบกิจกรรม “สรางถนนอยางไรให ประหยัดงบ” ใหกบั นกั เรียนทกุ คน แลว ใหน ักเรียนศกึ ษาสถานการณป ญหา 2. ครคู วรนําอภิปรายเกีย่ วกับสถานการณปญ หาในใบกิจกรรมเพ่ือใหน ักเรียนทกุ คนเขาใจ ตรงกนั 3. ครใู หนักเรยี นตอบคําถามท่ีปรากฏในขั้นตอนการปฏิบตั ขิ อ 1 ในใบกิจกรรม 4. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายคําตอบท่ีไดในข้ันตอนการปฏิบัติขอ 1 – 3 โดยไมตอง คาํ นงึ ถึงความถูกตองของคําตอบ 5. ครูใหนักเรียนแตละคูรวมกันตอบคําถามที่ปรากฏในข้ันตอนการปฏิบัติขอ 2 – 6 ในใบ กิจกรรม ทั้งน้ีครูควรช้ีแนะใหนักเรียนใชเคร่ืองคอมพิวเตอรเปนเครื่องมือชวยในการ เขยี นกราฟและการคํานวณหาคา ประมาณ 6. ครูและนักเรียนรวมกนั อภิปรายเกย่ี วกับคาํ ตอบทไี่ ดในขนั้ ตอนการปฏิบัติขอ 2 – 6 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบอ้ื งตน 132 คูมือครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 2.4 การวดั ผลประเมนิ ผลระหวา งเรียน การวัดผลระหวางเรียนมีจุดมุงหมายเพ่ือปรับปรุงการเรียนรูและพัฒนาการเรียนการสอน และ ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเรื่องที่ครูสอนมากนอยเพียงใด การให นักเรียนทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหน่ึงท่ีครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของ นักเรียน ซ่ึงหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 ไดนําเสนอ แบบฝกหัดท่ีครอบคลุมเนื้อหาท่ีสําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทท่ี 2 แคลคูลัสเบื้องตน ครูอาจใชแ บบฝก หดั เพือ่ วัดผลประเมินผลความรใู นแตล ะเน้อื หาไดด ังนี้ เน้ือหา แบบฝก หดั การหาลิมิตของฟง กช นั จากตารางและกราฟ 2.1ก ขอ 1 – 7 การหาลิมติ ของฟง กชันโดยใชท ฤษฎีบทเกยี่ วกบั ลมิ ิต 2.1ข ขอ 1 – 6 การพจิ ารณาความตอ เน่ืองของฟง กช นั ทจ่ี ดุ 2.2 ขอ 1, 5 การพิจารณาความตอ เน่ืองของฟง กช ันบนชวง 2.2 ขอ 2 – 4 อัตราการเปล่ยี นแปลงเฉลี่ยและการหาอนุพันธข องฟงกช นั โดยใช 2.3 ขอ 1 – 12 บทนยิ าม การหาอนพุ นั ธของฟงกช ันโดยใชส ตู ร 2.4 ขอ 1 – 7 การหาอนพุ นั ธของฟงกช นั ประกอบ 2.5 ขอ 1 – 7 การหาความชนั ของเสน โคง และเสนสมั ผสั เสน โคง 2.6 ขอ 1 – 11 การหาอนพุ นั ธอ นั ดับสูง 2.7 ขอ 1 – 5 การประยุกตของอนุพันธเ ก่ียวกบั การเคล่ือนท่ีแนวตรง 2.8.1 ขอ 1 – 4 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคลู สั เบ้ืองตน 133 คูม อื ครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 เน้อื หา แบบฝกหัด การประยุกตข องอนุพันธเกี่ยวกับคาสงู สุดและคาต่ําสุดของฟง กช นั 2.8.2 ขอ 1 – 4 การแกโ จทยป ญ หาเกี่ยวกบั คาสูงสดุ และคาตํา่ สดุ 2.8.3 ขอ 1 – 16 การหาปฏยิ านุพันธและปริพนั ธไ มจํากัดเขต และการแกโจทยป ญหา 2.9 ขอ 1 – 12 โดยใชความรเู ก่ยี วกับปฏยิ านุพันธและปริพนั ธไ มจ ํากัดเขต การหาปริพันธจํากัดเขตและการแกโจทยปญหาโดยใชความรู 2.10 ขอ 1 – 2 เก่ยี วกับปรพิ ันธไมจ ํากัดเขต การหาพื้นทปี่ ดลอ มดว ยเสน โคง 2.11 ขอ 1 – 4 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลสั เบอ้ื งตน 134 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 2.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท หนงั สอื เรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 มีจุดมุงหมายวาเม่ือนักเรียน ไดเรยี นจบบทท่ี 2 แคลคลู สั เบือ้ งตน แลว นักเรียนสามารถ 1. หาลมิ ติ ของฟง กชนั ที่กาํ หนดให 2. ตรวจสอบความตอเนอื่ งของฟงกชนั ทก่ี าํ หนดให 3. หาความชนั ของเสน โคง 4. หาอนุพันธของฟง กช นั ทก่ี าํ หนดใหแ ละนาํ ไปใชแกปญหา 5. หาปริพันธไมจ ํากัดเขตและจํากัดเขตของฟงกช ันท่กี าํ หนดให และนาํ ไปใชแกป ญ หา ซ่ึงหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 ไดนําเสนอแบบฝกหัด ทา ยบททป่ี ระกอบดว ยโจทยเ พ่ือตรวจสอบความรูห ลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อวัดความรูความ เขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ซ่ึงประกอบดวยโจทยฝกทักษะหรือโจทยที่มีความนาสนใจ และโจทยทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตาม จุดมุงหมายของบทเพื่อตรวจสอบวานักเรียนมีความสามารถตามจุดมุงหมายเมื่อเรียนจบ บทเรยี นหรือไม ทงั้ นี้ แบบฝกหัดทายบทแตล ะขอในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 6 บทท่ี 2 แคลคลู สั เบื้องตน สอดคลองกับจุดมงุ หมายของบทเรียน ดงั น้ี จดุ มุงหมาย แบบฝก หดั ทา ยบทขอ ท่ี 1. หาลมิ ิตของฟงกช นั ทก่ี าํ หนดให 1 1) – 8) 2 1) – 6) 3 1) – 4) 9* 10 1) สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบอ้ื งตน 135 คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 จดุ มงุ หมาย แบบฝกหดั ทา ยบทขอ ที่ 2. ตรวจสอบความตอ เน่ืองของฟงกช ันท่กี าํ หนดให 4 1) – 4) 3. หาความชนั ของเสนโคง 5 1) – 4) 4. หาอนพุ นั ธข องฟง กช นั ทก่ี าํ หนดใหและนาํ ไปใชแกปญหา 6 1) – 4) 7 1) – 2) 8 9* 10 2) 12 1) – 2) 15 1) – 2) 16 17 19 20 13 1) – 4) 14 1) – 10) 18 21 22 23 24 25 26 27 1) – 4) สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลสั เบือ้ งตน 136 คูมอื ครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 จุดมุง หมาย แบบฝกหดั ทา ยบทขอ ที่ 4. หาอนพุ นั ธของฟงกช ันที่กําหนดใหและนําไปใชแกป ญหา (ตอ ) 28 1) – 3) 5. หาปรพิ นั ธไ มจ าํ กดั เขตและจํากดั เขตของฟงกช ันที่กาํ หนดให 29 1) – 2) และนาํ ไปใชแกปญหา 30 1) – 4) 31 32 1) – 2) 33 34 35 36 1) – 2) 37 1) – 4) 38 1) – 2) 39 40 44 45 1) – 8) 46 47 1) – 2) 48 1) – 2) 50 51 52 53 1) – 3) 55 1) – 4), 6) – 7) สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบอ้ื งตน 137 คมู ือครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 จุดมงุ หมาย แบบฝก หัดทา ยบทขอที่ 5. หาปริพันธไมจาํ กัดเขตและจาํ กดั เขตของฟง กชนั ท่ีกาํ หนดให 56 1) – 3) และนําไปใชแ กปญหา (ตอ) 57 58 โจทยฝกทักษะ/โจทยที่มคี วามนาสนใจ 59 โจทยทาทาย 60 62 1) – 2) 63 1) – 2) 64 11 49 41 42 43 1) – 2) 54 55 5), 8) 61 หมายเหตุ แบบฝก หัดทายบทขอ 9 สอดคลองกับจดุ มุง หมายของบทเรียนมากกวา 1 จุดมงุ หมาย สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคลู สั เบอ้ื งตน 138 คูมอื ครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 2.6 ความรูเ พมิ่ เตมิ สําหรบั ครู ความรูเพ่ิมเติมสําหรับครูที่จะกลาวถึงในคูมือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 บทท่ี 2 แคลคลู สั เบ้ืองตน มี 3 หวั ขอ ไดแก 1. การพิสูจนทฤษฎีบทเก่ียวกับแคลคูลัสที่กลาวถึงแตไมไดแสดงการพิสูจนไวใน หนังสอื เรยี นรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 2. ความสัมพนั ธระหวา งอนพุ ันธแ ละความตอเนื่องของฟง กช นั f ทจ่ี ุด c 3. ปรพิ ันธไมต รงแบบ (Improper Integral) โดยมีรายละเอียดในแตละหัวขอ เปน ดังน้ี การพิสูจนทฤษฎีบทเกยี่ วกับแคลคลู ัสที่กลา วถึงในหนงั สอื เรยี น หวั ขอนแ้ี บง การนาํ เสนอเปน 2 สว น ไดแก สว นท่ี 1 ทฤษฎีบท บทนิยาม และบทแทรกทใ่ี ชใ นการพิสจู น สวนท่ี 2 แนวทางการพิสูจนทฤษฎีบทในหนงั สอื เรยี น โดยมีรายละเอยี ดในแตล ะสวนเปน ดงั น้ี สวนที่ 1 ทฤษฎบี ท บทนยิ าม และบทแทรกท่ีใชในการพิสจู น • ทฤษฎีบท i ให a และ b เปน จาํ นวนจรงิ ใด ๆ 1. a − b = b − a 2. a + b ≤ a + b (อสมการสามเหลี่ยม : Triangle Inequality) 3. a − b ≤ a + b 4. a − b ≤ a − b • ทฤษฎีบท ii ให x และ a เปนจาํ นวนจรงิ ใด ๆ และ n เปน จาํ นวนเตม็ บวก แลว ( )xn − an = ( )x − a ⋅ xn−1 + axn−2 + a2 xn−3 + ... + an−1 สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 568
Pages: