คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 289 12. ให a เปนจํานวนทบี่ วกกับ 5, 22 และ 107 แลว 5 + a, 22 + a, 107 + a เปนลาํ ดบั เรขาคณติ จะไดอตั ราสว นรว มของลําดบั เรขาคณติ นี้หาไดจาก 22 + a หรอื 107 + a 5 + a 22 + a นั่นคอื 22 + a = 107 + a 5+a 22 + a (22 + a)(22 + a) = (107 + a)(5 + a) 484 + 44a + a2 = 535 +112a + a2 −68a = 51 a = −3 4 ดงั นั้น a = − 3 ทําให 5 + a, 22 + a, 107 + a เปน ลาํ ดับเรขาคณติ 4 13. ให a1, a1r และ a1r2 เปน สามพจนแ รกของลาํ ดับเรขาคณติ ทมี่ ีอัตราสว นรวม คือ r (r ≠ 0) เนือ่ งจากผลบวกของสามพจนน้ี คอื −3 จะไดวา a1 + a1r + a1r2 = −3 ( )a1 1+ r + r2 = −3 ----- (1) เนอื่ งจากผลคูณของสามพจนน ้ี คอื 8 จะไดวา ( )(a1 )(a1r ) a1r2 = 8 a13r3 = 8 a1r = 2 a1 = 2 r แทน a1 ดว ย 2 ใน (1) จะได r ( )2 1+ r + r2 = −3 r 2r2 + 5r + 2 = 0 (2r +1)(r + 2) = 0 นน่ั คือ r = − 1 หรือ r = −2 2 กรณี r = − 1 จะได a1 = − 4 2 ดังน้นั พจนทัว่ ไปของลําดับนี้ คือ ( − 4) − 1 n−1 2 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
290 คมู ือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 กรณี r = −2 จะได a1 = −1 ดงั นั้น พจนท ่ัวไปของลําดบั น้ี คือ (−1)( )−2 n−1 14. การรณรงคลดการใชถ งุ พลาสติกในอาํ เภอหนึง่ ทําใหจ ํานวนถุงพลาสตกิ ท่ใี ชแ ลวลดลงปล ะ 5% ของจํานวนถงุ พลาสตกิ ทใ่ี ชแลว ในปกอ นหนา จาก ปที่เรม่ิ ตนการรณรงคมีจํานวนถงุ พลาสติกท่ีใชแ ลว 100,000 ถงุ จะไดว า ในการรณรงคปท่ี 1 จะมจี ํานวนถงุ พลาสตกิ ท่ใี ชแ ลว 100,000(0.95) ถุง ในการรณรงคปที่ 2 จะมีจาํ นวนถงุ พลาสติกท่ีใชแลว 100,000(0.95)(0.95) =100,000(0.95)2 ถงุ ในการรณรงคป ที่ 3 จะมีจํานวนถุงพลาสติกทใ่ี ชแลว 100,000(0.95)2 (0.95) =100,000(0.95)3 ถงุ ในทํานองเดียวกนั ในการรณรงคป ท ี่ n จะมจี ํานวนถุงพลาสติกทใ่ี ชแลว 100,000(0.95)n ถงุ จะไดวา ในการรณรงคปที่ 1, 2, 3, , n จะมจี ํานวนถุงพลาสติกใชแลว 100000(0.95), 100000(0.95)2 , 100000(0.95)3 , , 100000(0.95)n ซ่งึ เปนลําดบั เรขาคณิตทมี่ ีพจนแรก คือ 100,000(0.95) อัตราสว นรว ม คือ 0.95 และพจนท่วั ไป คือ 100,000(0.95)n ดังน้ัน สตู รการคาํ นวณจาํ นวนถุงพลาสตกิ ทีใ่ ชแ ลวในการรณรงคแตล ะป คือ 100,000(0.95)n และจาํ นวนถุงพลาสตกิ ท่ีใชแลว ในการรณรงคป ท่ี 10 คอื 100,000(0.95)10 หรือประมาณ 59,874 ถุง 15. พิจารณาเมือง A ซ่งึ มพี ืน้ ทป่ี า 400 ตารางกโิ ลเมตร โดยพืน้ ที่ปา ลดลงเฉลย่ี ปละ 4% ของ พ้นื ทป่ี า ในปก อนหนา จะไดว า อีก 1 ปข างหนา เมือง A จะมีพน้ื ทป่ี า 400(0.96) ตารางกิโลเมตร อกี 2 ปขา งหนา เมอื ง A จะมพี น้ื ทปี่ า 400(0.96)(0.96) = 400(0.96)2 ตารางกิโลเมตร อกี 3 ปขางหนา เมอื ง A จะมพี ืน้ ท่ีปา 400(0.96)2 (0.96) = 400(0.96)3 ตารางกโิ ลเมตร จะเหน็ วา อกี 1, 2, 3, … ปขางหนา เมอื ง A จะมีพ้ืนทีป่ า 400(0.96), 400(0.96)2 , 400(0.96)3 , ตารางกโิ ลเมตร ซงึ่ เปน ลาํ ดับเรขาคณติ ที่มพี จนแรก คือ 400(0.96) และอัตราสวนรว ม คือ 0.96 ให an แทนลาํ ดบั ของพืน้ ทีป่ าของเมอื ง A โดยพจนท วั่ ไป คือ an = 400(0.96)n ----- (1) สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 291 พจิ ารณาเมือง B ซง่ึ มีพ้นื ท่ีปา 60 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นทปี่ าเพมิ่ ขึน้ ทกุ ปเ ฉลีย่ ปล ะ 2% ของพ้นื ท่ปี าในปก อ นหนา จะไดวา อีก 1 ปข างหนา เมือง B จะมีพ้นื ทปี่ า 60(1.02) ตารางกโิ ลเมตร อกี 2 ปข า งหนา เมือง B จะมีพ้นื ท่ีปา 60(1.02)(1.02) = 60(1.02)2 ตารางกโิ ลเมตร อกี 3 ปขางหนา เมือง B จะมพี ้นื ทป่ี า 60(1.02)2 (1.02) = 60(1.02)3 ตารางกิโลเมตร จะเหน็ วา อีก 1, 2, 3, … ปขางหนา เมอื ง B จะมีพ้นื ท่ีปา 60(1.02), 60(1.02)2 , 60(1.02)3 , ตารางกิโลเมตร ซึ่งเปนลําดบั เรขาคณิตท่ีมีพจนแรก คอื 60(1.02) และอตั ราสว นรวม คอื 1.02 ให bn แทนลาํ ดับของพนื้ ท่ีปา ของเมอื ง B โดยพจนท ว่ั ไป คอื bn = 60(1.02)n ----- (2) 1) พจิ ารณาพื้นที่ปาในอีก 10 ปข างหนาของเมือง A และ B โดยแทน n ดว ย 10 ใน (1) และ (2) =จะได a10 400(0.96)10 ≈ 265.93 =และ b10 60(1.02)10 ≈ 73.14 ดงั นน้ั อกี 10 ปข างหนา เมือง A จะมีพืน้ ท่ีปา มากกวาเมอื ง B อยูประมาณ 265.93 − 73.14 =192.79 ตารางกิโลเมตร 2) สมมตใิ หอกี n ปข างหนา เมอื ง B มพี นื้ ทปี่ า มากกวาเมือง A นั่นคือ bn > an จาก (1) และ (2) จะไดวา 60(1.02)n > 400(0.96)n 1.02 n > 400 0.96 60 17 n > 20 16 3 log 17 n > log 20 16 3 n log 17 > log 20 16 3 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
292 คูมือครูรายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 log 20 3 n> ≈ 31.29 17 จาก n เปนจํานวนเตม็ บวก log 16 จะไดวา อีกอยางนอย 32 ป เมอื ง B จะมีพื้นท่ีปามากกวา เมือง A 16. 1) พจนทห่ี ายไปของลาํ ดบั นี้ คอื a4, a5 และ a6 กรณีทีล่ ําดับนเ้ี ปนลาํ ดบั เลขคณิต จะตอ งไดวา a2 − a1 = a3 − a2 เนอ่ื งจาก a2 − a1 = 27 −11 = 5 และ a3 − a2 =16 − 27 = 5 2 2 2 2 จะเห็นวา a2 − a1 = a3 − a2 ดังนั้น ลาํ ดับนเ้ี ปนลาํ ดับเลขคณิต ที่มี a1 = 11 และ d = 5 2 จาก an = a1 + (n −1) d จะได a4 = 11 + (4 − 1) 5 = 37 2 2 a5 = 11+ (5 − 1) 5 = 21 2 a6 = 11 + (6 − 1) 5 = 47 2 2 ดงั นนั้ พจนท ่ขี าดหายไป คอื 37 , 21 และ 47 ตามลาํ ดบั 22 กรณที ลี่ ําดับนเี้ ปน ลําดับเรขาคณติ จะตอ งไดวา a2 = a3 a1 a2 27 เนือ่ งจาก a=2 =2 27 และ =a3 1=6 32 ซงึ่ 27 ≠ 32 a1 11 27 22 a2 27 22 27 2 จะเห็นวา a2 ≠ a3 a1 a2 ดงั น้นั ลําดับนีไ้ มเ ปนลาํ ดับเรขาคณติ สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 293 2) พจนท่ีหายไปของลาํ ดับนี้ คือ a3, a5 และ a6 กรณีทลี่ ําดบั นเ้ี ปนลําดบั เลขคณิต จะตองไดว า d = a2 − a1 = 11 − 7 = 72 7 11 77 a1 = 7 และ a4 = 265 11 77 จาก an = a1 + (n −1) d จะได a4 = 7 + (4 −1) 72 = 265 77 11 77 ดงั นั้น ลําดบั นเี้ ปน ลําดับเลขคณติ ทม่ี ี a1 =7 และ d = 72 11 77 จะได a3 = 7 + (3 −1) 72 = 193 11 77 77 a5 = 7 + (5 − 1) 72 = 337 11 77 77 a6 = 7 + (6 − 1) 72 = 409 11 77 77 ดังนนั้ พจนท ี่ขาดหายไป คอื 193, 337 และ 409 ตามลาํ ดับ 77 77 77 11 กรณที ลี่ าํ ดับน้ีเปน ลําดับเรขาคณิต จะตอ งไดว า =r a=2 7= 121 และ a4 = 265 a1 7 49 77 11 จาก an = a1rn−1 =จะได a4 17=1 14291 3−1 102, 487 ซึ่ง 102, 487 ≠ 265 539 539 77 นั่นคอื ลาํ ดับนไ้ี มเปน ลําดับเรขาคณิต 3) พจนท ี่หายไปของลาํ ดบั น้ี คอื a4, a5 และ a6 กรณีที่ลาํ ดบั นเ้ี ปนลาํ ดบั เลขคณติ จะตอ งไดว า a2 − a1 = a3 − a2 เนือ่ งจาก a2 − a1 =4 − 6 =−2 และ a3 − a2 =8 − 4 =− 4 33 จะเห็นวา a2 − a1 ≠ a3 − a2 ดังนน้ั ลาํ ดบั นี้ไมเ ปน ลาํ ดบั เลขคณติ สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
294 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 กรณที ล่ี ําดบั นี้เปน ลําดบั เรขาคณิต จะตอ งไดว า a2 = a3 a1 a2 8 เน่ืองจาก a2= 4= 2 และ a3= 3= 2 a1 6 3 a2 4 3 จะเหน็ วา a2 = a3 a1 a2 ดังน้นั ลําดับนีเ้ ปน ลาํ ดบั เรขาคณติ ทีม่ ี a1 =6 และ r = 2 3 จาก an = a1rn−1 จะได= a4 6= 23 4−1 16 9 =a5 6= 32 5−1 32 27 =a5 6= 32 6−1 64 81 ดงั นนั้ พจนท ขี่ าดหายไป คอื 16 , 32 และ 64 ตามลําดับ 9 27 81 4) พจนท ี่หายไปของลาํ ดบั น้ี คอื a3, a5 และ a6 กรณที ่ีลําดับน้ีเปนลาํ ดบั เลขคณิต จะตองไดว า d =a2 − a1 =− 5 − 5 =− 15 3 6 6 a1 = 5 และ a4 = − 20 6 3 จาก an = a1 + (n −1) d จะได a4 =5 + (4 − 1) − 15 =− 20 6 6 3 ดงั นน้ั ลาํ ดบั นี้เปน ลําดับเลขคณิต ทมี่ ี a1 = 5 และ d = − 15 6 6 จะได a3 =5 + (3 − 1) − 15 =− 25 6 6 6 a5 =5 + (5 − 1) − 15 =− 55 6 6 6 a6 =5 + (6 − 1) − 15 =− 35 6 6 3 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 295 ดงั นัน้ พจนที่ขาดหายไป คือ − 25 , − 55 และ − 35 ตามลาํ ดบั 3 66 กรณที ่ีลาํ ดบั น้เี ปนลาํ ดบั เรขาคณิต จะตอ งไดว า r = a2 = −5 = −2 a1 3 5 6 a1 = 5 และ a4 = − 20 6 3 จาก an = a1rn−1 จะได a4 =5 (−2)4−1 =− 20 3 6 ดงั นัน้ ลําดับนเี้ ปนลําดับเรขาคณิต ที่มี a1 = 5 และ r = −2 6 จะได a3 =5 ( )−2 3−1 =10 6 3 a5 =5 ( )−2 5−1 =40 6 3 a6 =5 (−2)6−1 =− 80 3 6 ดงั น้ัน พจนท ขี่ าดหายไป คือ 10 , 40 และ − 80 ตามลําดบั 33 3 17. ให t เปน จํานวนจรงิ ใด ๆ และกาํ หนดให a = t เนอื่ งจาก a,b,c เปนลําดบั เรขาคณิต ทม่ี ีอตั ราสว นรว ม คอื r จะไดวา b = tr และ c = tr2 เนือ่ งจาก b,a,c เปน ลาํ ดบั เลขคณติ ที่มผี ลตา งรว ม คอื d จะไดวา t= b + d และ c= t + d ดงั น้ัน tr = t − d ----- (1) tr2 = t + d ----- (2) จาก (1) และ (2) จะได tr2 + tr − 2t = 0 t (r + 2)(r −1) = 0 ดังน้ัน t = 0 หรอื r = −2 หรอื r =1 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
296 คมู ือครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 กรณี t = 0 จะไดวา=a 0=, b 0=, c 0 ซ่ึงไมเ ปนลาํ ดับเรขาคณิต เนอ่ื งจากอตั ราสว นรวมไมนิยาม กรณี r = −2 จาก (1) จะได d = 3t นั่นคอื b = −2t และ c = 4t จะไดวา a, b และ c คอื t, − 2t และ 4t ตามลาํ ดบั เม่อื t เปนจํานวนจริงใด ๆ ทไี่ มเทากับ 0 กรณี r =1 จาก (1) จะได d = 0 นั่นคอื b = t และ c = t จะไดวา a, b และ c คือ t, t และ t ตามลาํ ดบั เมื่อ t เปนจาํ นวนจรงิ ใด ๆ ที่ไมเทากบั 0 ดังนัน้ จาํ นวนจริง a,b และ c ทัง้ หมด ทท่ี าํ ใหล าํ ดับ a,b,c เปนลาํ ดับเรขาคณิต และลาํ ดับ b,a,c เปนลําดับเลขคณิต มี 2 กรณี คือ กรณที ่ี 1 a = t, b = −2t และ c = 4t กรณีที่ 2 =a t,=b t และ c = t เมื่อ t เปนจํานวนจริงใด ๆ ที่ไมเทากบั 0 18. ให 10, a2, a3 เปนลาํ ดับเลขคณติ ท่ีมีผลตางรว ม คือ d และ 10, b2, b3 เปนลาํ ดบั เรขาคณติ ท่ีมีอตั ราสว นรวม คอื r เน่อื งจาก a2 = b2 และ b3 − a3 =2.5 จะไดวา 10 + d = 10r d = 10r −10 ----- (1) ----- (2) และ 10r2 − (10 + 2d ) = 2.5 จาก (1) และ (2) จะไดว า 10r2 − (10 + 2(10r −10)) = 2.5 10r2 − 20r +10 = 2.5 4r2 − 8r + 3 = 0 (2r − 3)(2r −1) = 0 จะไดวา r = 3 หรือ r = 1 22 กรณี r = 3 จะได d = 5 2 ดงั น้นั พจนท วั่ ไปของลาํ ดบั เลขคณติ คือ 10 + (n −1)(5) สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 297 และ พจนท ่ัวไปของลาํ ดับเรขาคณิต คือ 3 n −1 2 10 กรณี r = 1 จะได d = −5 2 ดังน้ัน พจนท ัว่ ไปของลําดบั เลขคณิต คอื 10 + (n −1)(−5) และ พจนทัว่ ไปของลาํ ดับเรขาคณิต คอื 1 n −1 2 10 19. พิจารณาบรษิ ัท A ซึง่ ใหเงนิ เดอื นเริ่มตน 20,000 บาท และแตละปจ ะขนึ้ เงนิ เดอื นให 1,500 บาท จะไดว า ปท่ี 1 ของการทํางาน เจาหนาทฝ่ี ายทรัพยากรบุคคลของบริษัท A จะไดร ับเงินเดือน 20,000 บาท ปท ี่ 2 ของการทาํ งาน เจา หนา ท่ฝี ายทรพั ยากรบคุ คลของบริษัท A จะไดรับเงินเดอื น 20,000 +1,500 บาท ปท ่ี 3 ของการทํางาน เจาหนา ทีฝ่ า ยทรพั ยากรบุคคลของบริษัท A จะไดร ับเงนิ เดือน (20,000 +1,500) +1,500= 20,000 + 2(1,500) บาท ในทาํ นองเดยี วกัน จะไดว า ปที่ n ของการทํางาน เจาหนาที่ฝา ยทรพั ยากรบุคคลของบริษัท A จะไดร บั เงนิ เดอื น 20,000 + (n −1)(1,500) บาท นน่ั คอื ปท ่ี 1, 2, 3, , n ของการทํางาน เจาหนาทฝ่ี า ยทรัพยากรบุคคลของบรษิ ัท A จะได รับเงนิ เดอื น 20000, 20000 +1500, 20000 + 2(1500), , 20000 + (n −1)(1500) บาท ซึ่งเปน ลําดบั เลขคณิตทมี่ ีพจนแ รก คอื 20,000 และผลตา งรว ม คอื 1,500 ให an แทนลาํ ดับของเงนิ เดือนของเจาหนา ท่ฝี ายทรัพยากรบุคคลของบรษิ ทั A โดยพจนท ั่วไป คือ a=n 20000 + (n −1)(1500) ----- (1) พิจารณาบริษทั B ซงึ่ ใหเงินเดือนเรมิ่ ตน 20,000 บาท และแตล ะปจ ะขึน้ เงินเดอื นให 5% ของเงนิ เดอื นปก อ นหนา จะไดวา ปท ่ี 1 ของการทํางาน เจา หนาท่ฝี า ยทรพั ยากรบุคคลของบริษัท B จะไดรบั เงินเดือน 20,000 บาท ปท่ี 2 ของการทํางาน เจาหนา ทฝ่ี ายทรัพยากรบุคคลของบริษัท B จะไดรบั เงนิ เดือน 20,000(1.05) บาท ปท ่ี 3 ของการทํางาน เจาหนาท่ฝี ายทรพั ยากรบคุ คลของบริษทั B จะไดรบั เงินเดอื น 20,000(1.05)(1.05) = 20,000(1.05)2 บาท สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
298 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 ในทํานองเดยี วกนั จะไดวา ปท่ี n ของการทาํ งาน เจาหนาท่ีฝา ยทรพั ยากรบุคคลของบริษัท B จะไดร บั เงนิ เดือน 20,000(1.05)n−1 บาท นนั่ คือ ปท่ี 1, 2, 3, , n ของการทาํ งาน เจา หนา ทฝี่ ายทรัพยากรบคุ คลของบริษัท B จะไดร ับ เงนิ เดือน 20000, 20000(1.05), 20000(1.05)2 , , 20000(1.05)n−1 บาท ซง่ึ เปนลําดบั เรขาคณิตทมี่ พี จนแรก คอื 20,000 และผลอัตราสวนรวม คอื 1.05 ให bn แทนลําดับของเงินเดือนของเจา หนาทฝ่ี า ยทรพั ยากรบคุ คลของบรษิ ัท B โดยพจนท่ัวไป คอื bn = 20000(1.05)n−1 ----- (2) 1) สําหรับเจา หนา ท่ีทรัพยากรบคุ คลของบรษิ ทั A จาก ปที่ 1, 2, 3, , n ของการทาํ งาน เจาหนาที่ฝา ยทรัพยากรบุคคลของบรษิ ัท A จะไดร บั เงนิ เดือน 20000, 20000 +1500, 20000 + 2(1500), , 20000 + (n −1)(1500) บาท ดังน้ัน ลําดบั แทนเงินเดอื นเจา หนา ท่ฝี า ยทรัพยากรบคุ คลของบรษิ ทั A ในแตล ะป คือ 20000, 20000 +1500, 20000 + 2(1500), , 20000 + (n −1)(1500) สําหรับเจา หนาทท่ี รพั ยากรบคุ คลของบริษทั B จาก ปท่ี 1, 2, 3, , n ของการทาํ งาน เจาหนา ท่ีฝายทรัพยากรบุคคลของบรษิ ัท B จะไดร ับ เงินเดอื น 20000, 20000(1.05), 20000(1.05)2 , , 20000(1.05)n−1 บาท ดังนน้ั ลาํ ดับแทนเงินเดือนเจาหนาที่ฝายทรัพยากรบุคคลของบรษิ ัท B ในแตละป คือ 20000(1.05), 20000(1.05)2 , 20000(1.05)3 , , 20000(1.05)n 2) พิจารณาเงินเดอื นในปที่ 10 โดยแทน n ดว ย 10 ใน (1) และ (2) จะได a1=0 20000 + (10 −1)(1500=) 33,500 =และ b10 20000(1.05)10−1 ≈ 31,027 น่ันคือ เงนิ เดือนในปท่ี 10 ของเจาหนา ทฝ่ี า ยทรัพยากรบุคคลของบริษัท A เทา กบั 33,500 บาท และบริษทั B ประมาณ 31,027 บาท ดงั นน้ั ผลตางของเงนิ เดอื นในปที่ 10 ของเจา หนา ทฝ่ี ายทรัพยากรบคุ คลของทง้ั สอง บรษิ ัทประมาณ 33,500 – 31,027 = 2,473 บาท สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 299 20. 1) จาก an = 2cos nπ 6 เขยี นกราฟของลาํ ดบั ไดดงั นี้ จากกราฟ จะเหน็ วา แตละพจนของลาํ ดบั an คือ จาํ นวนจรงิ ซ่ึงอยใู นชว ง [−2, 2] น่ันคือ เม่ือ n มากขนึ้ โดยไมมที ่ีสน้ิ สุด an ไมเ ขา ใกลจ ํานวนใดจาํ นวนหน่ึง ดงั นน้ั ลําดบั นีเ้ ปนลาํ ดบั ลูออก 2) จาก an = 1 sin 2 nπ n 12 เขยี นกราฟของลาํ ดับไดดงั น้ี จากกราฟ จะเห็นวา แนวของจุดในกราฟจะเขาใกล 0 ซ่งึ หมายความวา เมื่อ n มากข้ึนโดยไมม ีที่สิ้นสุด an จะเขา ใกล 0 แตไ มเ ทากบั 0 ดงั นัน้ ลําดบั น้เี ปนลําดบั ลเู ขา และลมิ ิตของลําดับเทากบั 0 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
300 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 3) จาก an = 8 n2 + 8 เขียนกราฟของลําดบั ไดด ังนี้ จากกราฟ จะเห็นวา แนวของจุดในกราฟจะเขาใกล 0 ซึ่งหมายความวา เมื่อ n มากขึ้นโดยไมมที ีส่ ้นิ สุด an จะเขา ใกล 0 แตไมเทา กับ 0 ดังนั้น ลําดับนีเ้ ปน ลาํ ดบั ลูเ ขา และลมิ ติ ของลาํ ดบั เทา กับ 0 4) จาก an = log(n +10) n เขียนกราฟของลําดับไดดังนี้ จากกราฟ จะเหน็ วา แนวของจดุ ในกราฟจะเขาใกล 0 ซ่ึงหมายความวา เมื่อ n มากขึ้นโดยไมม ีทส่ี ิน้ สุด an จะเขา ใกล 0 แตไมเทากบั 0 ดังนั้น ลาํ ดบั นีเ้ ปน ลําดับลูเขา และลิมิตของลาํ ดับเทากบั 0 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 301 5) จาก an = 2n n2 เขียนกราฟของลําดับไดด งั นี้ จากกราฟ จะเห็นวา เมื่อ n มากขน้ึ โดยไมมที ่ีส้นิ สดุ an มีคา เพ่ิมขึ้นและไมเขาใกล จํานวนใดจาํ นวนหนึ่ง ดงั นัน้ ลําดับน้ีเปนลําดับลูอ อก 6) จาก an = 2n n! เขียนกราฟของลําดับไดดงั น้ี จากกราฟ จะเห็นวา แนวของจุดในกราฟจะเขาใกล 0 ซ่ึงหมายความวา เมื่อ n มากข้ึนโดยไมม ที ่ีส้นิ สุด an จะเขาใกล 0 แตไมเทา กับ 0 ดงั น้นั ลาํ ดบั นเี้ ปนลําดบั ลูเขา และลมิ ิตของลําดับเทา กับ 0 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
302 คูมอื ครรู ายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 เนื่องจาก 1 n2 1 2n2 +1 n2 21. 1) lim = lim 1 2) n→∞ n→∞ n2 2 + n2 3) 1 = lim n2 n→∞ 2 + 1 n2 = lim 1 n2 n→∞ lim 2 + 1 n2 n→∞ = lim 1 n2 n→∞ lim 2 + lim 1 n2 n→∞ n→∞ =0 2+0 =0 ดังนนั้ lim 1 = 0 2n2 + 1 n→∞ นัน่ คือ ลําดับน้ีเปนลาํ ดับลูเ ขา และลิมิตของลาํ ดับคือ 0 เน่อื งจาก lim 2n = lim 2 n 7n 7 n→∞ n→∞ และ 2 <1 จะได lim 2 n = 0 7 7 n→∞ นนั่ คอื lim 2n =0 7n n→∞ ดังน้นั ลําดับน้ีเปน ลาํ ดับลเู ขา และลมิ ติ ของลําดบั คือ 0 ( )เนอื่ งจาก ( )−1 4n+3 =(−1)4n (−1)3 =(−1)4 n (−1) =1n (−1) =1(−1) =−1 สําหรับ ทุกจาํ นวนนบั n จะได lim ( )−1 4n+3 =lim (−1) =−1 n→∞ n→∞ ดังนัน้ ลาํ ดบั น้ีเปน ลาํ ดับลเู ขา และลมิ ิตของลาํ ดบั คอื 0 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 303 4) พจิ ารณา lim 1 1 n→∞ an = lim 5 n 2 n→∞ 3 = 1 lim 2 n 3 5 n→∞ เน่ืองจาก 2 <1 จะได lim 2 n = 0 5 5 n→∞ น่นั คอื 1 lim =52 n 1=(0) 0 3 n→∞ 3 จากทฤษฎีบท 4 จะไดวา ลําดับ an เปน ลําดับลูอ อก 5) จาก an =2 + n =6 + n 3 3 พจิ ารณา 1 = lim 6 1 n lim + n→∞ an n→∞ 3 = lim 6 3 n + n→∞ n 3 n = lim 6 n n→∞ n n + n 3 = lim 6 n + n→∞ 1 n = lim 3 n n→∞ lim 6 + 1 n n→∞ 3 lim 1 n = n→∞ lim 6 + lim 1 n n→∞ n→∞ สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
304 คูมอื ครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 3 lim 1 n = n→∞ 6 lim 1 + lim 1 n n→∞ n→∞ = 3(0) 6(0) +1 =0 1 =0 จากทฤษฎีบท 4 จะไดว า ลาํ ดบั an เปนลาํ ดบั ลอู อก 6) เนือ่ งจาก 3n2 (n − 2)! 3n2 (n − 2)! 3n n(n −1)(n − 2)! = n −1 = n! จะได 3n2 (n − 2)! lim 3n lim = n→∞ n −1 n→∞ n! 3 = lim n→∞ 1− 1 n lim 3 = n→∞ lim1 − lim 1 n→∞ n→∞ n =3 1− 0 =3 ดังน้นั 3n2 (n − 2)! lim = 3 n→∞ n! นั่นคอื ลาํ ดบั น้เี ปนลาํ ดับลเู ขา และลิมติ ของลาํ ดับน้ี คอื 3 7) เนือ่ งจาก lim 1 = 1 และ lim=3 3 lim=1 3=(0) 0 n→∞ 2 2 n→∞ n n→∞ n จะได lim 1 + 3 = lim 1 + lim 3 2 n n→∞ 2 n→∞ n n→∞ = 1+0 2 =1 2 ดงั นนั้ ลาํ ดบั นีเ้ ปนลาํ ดบั ลเู ขา และลิมติ ของลําดับน้ี คอื 1 2 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 305 8) เน่อื งจาก ( ) ( )(n +1)2 − (n −1)2 n2 + 2n +1 − n2 − 2n +1 4=n 2 == 2n 2n 2n จะได (n +1)2 − (n −1)2 lim = l=im 2 2 = lim 2 n→∞ 2n n→∞ n→∞ ดังน้ัน ลาํ ดับนเี้ ปนลําดบั ลูเขา และลิมิตของลําดบั นี้ คือ 2 9) เนื่องจาก lim (n +1)2 = lim n2 + 2n +1 n2 − 2n + 2 n→∞ (n − 1)2 +1 n→∞ n2 1 + 2 + 1 n n2 = lim n→∞ n2 1 − 2 2 n + n2 1+ 2 + 1 n n2 = lim 2 2 n→∞ 1− n + n2 lim1 + lim 2 + lim 1 n n2 = n→∞ n→∞ n→∞ lim 1 − lim 2 + lim 2 n n2 n→∞ n→∞ n→∞ = 1+0+0 1− 0 + 0 =1 ดงั นัน้ lim (n +1)2 =1 n→∞ (n − 1)2 +1 น่ันคอื ลาํ ดบั นเ้ี ปนลําดบั ลูเ ขา และลมิ ติ ของลาํ ดบั น้ี คือ 1 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
306 คมู ือครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 ( () )จาก10) =an 23=nn−+33 3n 1 3 n = 27 ⋅8 2 27 ⋅ 8 2n พิจารณา lim 1 1 n→∞ an = lim 1 n 27 ⋅8 n→∞ 3 2 = lim 27 ⋅8 3 n n→∞ 2 1 = ( 27 ⋅8) lim 3 n n→∞ 2 = ( 27 ⋅ 8) lim 2 n 3 n→∞ เน่ืองจาก 2 <1 จะได lim 2 n = 0 3 3 n→∞ นั่นคือ ( 27 ⋅ 8) lim 2 n =(27 ⋅8)(0) =0 3 n→∞ จากทฤษฎีบท 4 จะไดวา ลาํ ดับ an เปน ลําดับลูออก จาก ( ) ( )11) 4 4n an = 4n+1 + 23n+2 = 9n 4 8n = 4 4 n + 4 8 n 32n + 9 9 9n พิจารณา lim 4 4 n + 4 8 n = lim 4 4 n + lim 4 8 n 9 9 9 9 n→∞ n→∞ n→∞ = 4 lim 4 n + 4 lim 8 n 9 9 n→∞ n→∞ สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 307 เนอื่ งจาก 4 <1 และ 8 <1 จะได lim 4 n =0 และ lim 8 n =0 9 9 9 9 n→∞ n→∞ ดังนัน้ lim 4 4 n + 4 8 n = 4(0) + 4 (0) = 0 9 9 n→∞ นน่ั คอื ลําดับนเี้ ปน ลาํ ดับลเู ขา และลมิ ติ ของลาํ ดบั คือ 0 12) จา=ก an =n 1 และ 3 n +1 n2 1 n3 +1 lim 1 1 n→∞ an n3 +1 = lim 1 n→∞ n 2 1 n3 1 = lim 1 + n 2 1 n→∞ n2 = −1 −1 lim n 6 +n 2 n→∞ 1 1 = lim + 1 1 n→∞ 6 n2 n 1 1 = lim 1 + lim 1 n→∞ n6 n→∞ n2 = 0+0 =0 จากทฤษฎีบท 4 จะไดวา ลําดบั an เปน ลาํ ดับลอู อก สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
308 คูมือครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 13) เน่ืองจาก lim n3 + 8 n3 1 + 8 n→∞ 8n3 + n − 8 n3 = lim n→∞ 1 8 n3 8 + n2 − n3 1+ 8 n3 = lim n→∞ 1 8 8+ n2 − n3 lim 1 + lim 8 n3 = n→∞ n→∞ lim 8 + lim 1 − lim 8 n2 n→∞ n3 n→∞ n→∞ = 1+0 8+0−0 =1 8 จะได lim n3 + 8 = lim n3 + 8 8n3 + n − 8 n→∞ n→∞ 8n3 + n − 8 =1 8 =2 4 ดงั นน้ั ลาํ ดบั นี้เปน ลําดบั ลูเขา และลิมติ ของลําดับ คอื 2 4 ( ) ( )=14) จาก (n +1)3 − (n −1)3 n3 + 3n2 + 3n + 1 − n3 − 3n2 + 3n −1 3n2 + 1 = 2n 2n n จะได lim 1 = lim 1 n→∞ an n→∞ 3n2 + 1 n = lim n 3n2 + 1 n→∞ n2 n n2 = lim 1 3n2 n2 n→∞ n2 n2 + สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 309 1 n = lim 1 n→∞ 3 + n2 = lim 1 n n→∞ lim 3 + 1 n2 n→∞ = lim 1 n n→∞ lim 3 + lim 1 n2 n→∞ n→∞ =0 3+0 =0 จากทฤษฎีบท 4 จะไดวา ลําดบั an เปนลําดบั ลูออก ( )15) จาก =n − n2 + 3 n(n − 7) − n2 + 3 −7n − 3 = n−7 n−7 n−7 จะได lim n − n2 + 3 = lim −7n − 3 n−7 n−7 n→∞ n→∞ n − 7n − 3 n n = lim n→∞ n 7 n n − n = lim −7 − 3 n n→∞ 1− 7 n lim −7 − 3 n = n→∞ lim 1 − 7 n n→∞ สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
310 คูมือครูรายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 lim ( −7 ) − lim 3 n = n→∞ n→∞ lim 1 − lim 7 n n→∞ n→∞ lim ( −7 ) − 3 lim 1 n = n→∞ n→∞ lim 1 − 7 lim 1 n n→∞ n→∞ −7 − 3(0) = 1− 7(0) = −7 ดังนั้น ลําดบั นี้เปนลําดับลเู ขา และลิมติ ของลําดับ คอื −7 ( )16) จาก=n +1 + n − 3n2 2 6n − 5 (n +1)(6n − 5) + 2 n − 3n2 3n − 5 2=(6n − 5) 12n −10 จะได lim n +1 + n− 3n2 = lim 3n −5 2 6n −5 12n − 10 n→∞ n→∞ n 3n − 5 n n = lim 12n 10 n→∞ n n − n 3 − 5 − = lim n 10 n→∞ 12 n lim 3 − 5 n = n→∞ lim 12 − 10 n n→∞ lim 3 − lim 5 n = n→∞ n→∞ lim 12 − lim 10 n n→∞ n→∞ สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 311 lim 3 − 5 lim 1 n = n→∞ n→∞ lim 12 − 10 lim 1 n n→∞ n→∞ 3 − 5(0) = 12 −10(0) =1 4 ดงั นั้น ลาํ ดบั นี้เปนลาํ ดบั ลเู ขา และลิมิตของลําดับ คอื 1 4 22. วธิ ีการหาลมิ ติ ของลําดับ an ท่ีกําหนดให ซง่ึ เปนการใชทฤษฎบี ท 3 ขอ 6) นัน้ ไมถ ูกตอง เนื่องจาก การหาลิมิตโดยใชความรูวา lim an = lim an จะใชไดเม่ือ lim an และ lim bn n→∞ n→∞ n→∞ bn→∞ lim bn n n→∞ หาคา ได และ lim bn ≠0 n→∞ แต (lim 2n4 )− n2 และ (lim 3n4 +13) ไมม คี า จึงไมส ามารถใชวธิ ดี งั กลาวได n→∞ n→∞ 23. ให x เปน จาํ นวนเต็ม สมมตใิ หล าํ ดับ an เปนลําดบั ลูเ ขา โดยที่ an = 2x2 +1 n x2 + 5 จะไดว า ลําดับ an เปน ลาํ ดบั เรขาคณิตท่มี ี a1 = 2x2 +1 และ r = 2x2 +1 x2 + 5 x2 + 5 จากลาํ ดบั an เปน ลาํ ดับลูเ ขา จะไ=ดวา r 2x2 +1 <1 x2 + 5 ดังน้ัน −1 < 2x2 +1 <1 ----- (1) x2 + 5 จาก x เปนจํานวนเต็ม จะไดว า x2 ≥ 0 ดงั นนั้ x2 + 5 > 0 จาก (1) จะไดวา −x2 − 5 < 2x2 +1 < x2 + 5 พจิ ารณา −x2 − 5 < 2x2 +1 จะไดว า −2 < x2 ซง่ึ เปนจรงิ สาํ หรับทกุ จํานวนเต็ม x พิจารณา 2x2 +1 < x2 + 5 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
312 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 จะไดวา x2 < 4 ดังน้นั −2 < x < 2 จะไดว า จาํ นวนเตม็ x ท่ีสอดคลอ งกับ −2 < x < 2 คอื −1, 0 และ 1 ดังนั้น จํานวนเต็ม x ทัง้ หมดทที่ ําให an เปนลําดับลูเขา คือ x =−1, x =0 และ x = 1 24. จาก an = a1 + (n −1) d อนุกรมทก่ี ําหนดใหม ี a1 =19, d = 4 และ an = 999 จะได 999 = 19 + (n −1)(4) 999 = 19 + 4n − 4 n = 246 จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 จะได S246 = 246 (19 + 999) = 125,214 2 ดงั น้ัน ผลบวกของอนกุ รมเลขคณิตน้ี คือ 125,214 25. 1) อนุกรมทีก่ ําหนดใหมี a1 = 2 และ d = 4 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S40 = 40 (2(2) + (40 −1)(4)) = 3,200 2 ดังน้ัน ผลบวก 40 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 3,200 2) อนุกรมท่ีกําหนดใหมี a1 = 20 และ d = −3 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S70 = 70 (2(20) + (70 −1)(−3)) = −5,845 2 ดังน้ัน ผลบวก 70 พจนแรกของอนุกรมเลขคณติ นี้ คือ −5,845 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 313 3) อนกุ รมทกี่ าํ หนดใหมี a1 = −1 และ d = 2 3 3 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S100 = 100 2 − 1 + (100 − 1) 2 = 9,800 2 3 3 3 ดงั นัน้ ผลบวก 100 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 9,800 3 26. จาํ นวนเต็มต้งั แต 9 ถึง 357 ทน่ี อยท่สี ดุ ทีห่ ารดว ย 7 ลงตัว คอื 14 = 7(2) และจํานวนเต็มตงั้ แต 9 ถงึ 357 ท่ีมากท่สี ุดท่ีหารดวย 7 ลงตัว คือ 357 = 7(51) จะไดวา ลําดบั ของจาํ นวนเตม็ ตงั้ แต 9 ถงึ 357 ทีห่ ารดวย 7 ลงตัว คือ 14, 21, 28, , 357 ซ่ึงเปน ลาํ ดับเลขคณติ ทีม่ ีพจนแ รกเปน 14 ผลตา งรวมเปน 7 และพจนท่ี n เปน 357 จาก an = a1 + (n −1) d จะไดว า 357 =14 + (n −1)(7) น่นั คอื n = 50 จากผลบวกของจาํ นวนเตม็ ตงั้ แต 9 ถงึ 357 ทีห่ ารดว ย 7 ลงตวั คอื 14 + 21+ 28 + + 357 พจิ ารณา 14 + 21+ 28 + + 357 = 14 + 21+ 28 + + (14 + (50 −1)(7)) 50 = ∑(14 + (i −1)(7)) i =1 50 = ∑(7i + 7) i =1 50 50 = ∑(7i) + ∑7 =i 1 =i 1 50 50 = 7∑i + ∑7 =i 1 =i 1 = 7 50 ( 50 + 1) + 50 ( 7) 2 = 9,275 ดังนน้ั ผลบวกของจํานวนท่ี 7 หารลงตัว ตั้งแต 9 ถึง 357 คอื 9,275 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
314 คมู อื ครูรายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 27. ให a4 = 11 และ a9 = − 4 ----- (1) จะได 11 = a1 + (4 −1)d ----- (2) นนั่ คอื 11 = a1 + 3d และ − 4 = a1 + (9 −1)d นน่ั คือ − 4 = a1 + 8d จาก (1) และ (2) จะได d = −3 และ a1 = 20 พจิ ารณาผลบวกของพจนท ี่ 12 ถึงพจนท ี่ 25 คอื a12 + a13 + a14 + + a25 = (a1 + a2 + a3 + + a25 ) − (a1 + a2 + a3 + + a11 ) = S25 − S11 จาก S=n n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S25 = 25 (2(20) + (25 −1)(−3)) = − 400 2 และ S11 = 11(2(20) + (11−1)(−3)) = 55 2 นน่ั คือ S25 − S11 =− 400 − 55 =− 455 ดงั น้ัน ผลบวกของพจนท่ี 12 ถงึ พจนท่ี 25 ของลําดับเลขคณิตนี้ คอื −455 28. โรงละครแหงหนงึ่ จัดเกาอ้ีแถวแรกไว 12 ตวั แถวทส่ี อง 14 ตัว แถวที่สาม 16 ตัว เชน นี้ไปเรื่อย ๆ นน่ั คอื จํานวนเกาอี้ในแถวที่ 1, 2, 3, … เทากับ 12, 14, 16, … ซึง่ เปนลําดับเลขคณิตท่มี ี พจนแรก คอื 12 และอัตราสว นรวม คือ 2 1) ตอ งการจดั เกา อีไ้ วทัง้ หมด 20 แถว พิจารณาผลบวกของจาํ นวนเกาอี้ตั้งแตแ ถวที่ 1 ถึงแถวที่ 20 คือ a1 + a2 + a3 + + a20 =S20 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S20 = 20 (2(12) + (20 −1)(2)) = 620 2 ดังนน้ั ถา ตอ งการจัดเกา อ้ีไวทงั้ หมด 20 แถว จะตองใชเกาอท้ี ัง้ หมด 620 ตัว สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 315 2) จากขอ 1) ถาจัดเกาอี้ 20 แถว จะมเี กาอท้ี ้งั หมด 620 ตวั แตตองการจดั เกา อีเ้ พยี ง 600 ตวั ดงั นนั้ จะพิจารณาวา ถามีเกา อ้ี 19 แถว จะมีเกาอ้ีทง้ั หมดกี่ตัว นั่นคือ ตอ งหาคา ของ S19 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S19 = 19 (2(12) + (19 −1)(2)) = 570 2 จะเหน็ วาเมอื่ จดั เกาอี้ตามเงอ่ื นไขที่กําหนดจาํ นวน 19 แถว จะมีเกาอที้ ั้งหมด 570 ตวั จึงตอ งจัดเกาอ้ีเพิ่มเปน แถวที่ 20 อีก 30 ตวั จึงจะไดเกา อีท้ ัง้ หมด 600 ตัว ดังนนั้ จะตอ งจัดเกาอ้ีท้ังหมด 20 แถว และในแถวสุดทาย (แถวที่ 20) จะมเี กาอ้ี 30 ตัว 29. 1) ระยะหา งระหวา งตะกรากับชามใบท่ี 1 เทากบั 5 เมตร 2) ระยะหางระหวางตะกรากบั ชามใบท่ี 2 เทา กับ 5 + 3 =8 เมตร 3) ระยะหา งระหวางตะกรา กับชามใบท่ี 3 เทากับ 5 + 3 + 3 =11 เมตร 4) จากขอ 1), 2) และ 3) จะไดวา ระยะหางระหวา งตะกรากับชามใบที่ 1, 2, 3, … คอื 5, 8, 11, … ซงึ่ เปน ลาํ ดบั เลขคณิตท่ีมี a1 = 5 และ d = 3 จาก an = a1 + (n −1)d จะได an = 5 + (n −1)(3) = 5 + 3n − 3 = 3n + 2 ดังนน้ั ระยะหางระหวา งตะกรากับชามใบที่ n เทา กับ 3n + 2 เมตร 5) ใหก ารแขง ขนั นีม้ ีชาม n ใบ จากขอ 4) จะไดวา 23 = 3n + 2 n=7 ดังนนั้ จาํ นวนชามทั้งหมด เทา กบั 7 ใบ สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
316 คูมือครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 6) 6.1) จากขอ 5) และผูเขา แขงขนั ไมทาํ ลกู ปง ปองตกเลย จะไดว า การตักลูกบอลลูกที่ 1 ไปยงั ชามใบท่ี 1 ผเู ขา แขงขันตองวง่ิ ไปและกลับเปนระยะทาง 5 +=5 2(5=) 2a1 เมตร การตกั ลูกบอลลูกที่ 2 ไปยังชามใบที่ 2 ผูเขาแขงขันตอ งวิง่ ไปและกลับเปน ระยะทาง 8 +=8 2(8=) 2a2 เมตร การตกั ลกู บอลลูกที่ 3 ไปยังชามใบที่ 3 ผเู ขา แขงขันตองวิง่ ไปและกลบั เปนระยะทาง 11+1=1 2(11=) 2a3 เมตร ในทาํ นองเดยี วกัน จะไดวา การตกั ลูกบอลลูกท่ี 7 ไปยงั ชามใบที่ 7 ผูเขาแขง ขันตอง วง่ิ ไปและกลับเปนระยะทาง 2a7 เมตร ดังนน้ั ระยะทางจากจดุ เร่มิ ตน จนสิน้ สดุ การแขงขัน เทากบั 2a1 + 2a2 + 2a3 + + 2a7 = 2(a1 + a2 + a3 + + a7 )= 2S7 เมตร จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S7 = 7 (2(5) + (7 −1)(3)) = 98 2 ดงั นั้น ถาผเู ขาแขงขนั ไมทําลูกปง ปองตกเลย จะได ระยะทางจากจดุ เรมิ่ ตน จนสนิ้ สุดการแขงขัน คือ 2×98 =196 เมตร 6.2) จากผเู ขาแขง ขันทําลกู ปงปองตกระหวางทน่ี ําลูกปง ปองไปใสใ นชามใบท่ี 4 โดยทาํ ตกหางจากตะกรา 3 เมตร จะไดว า ผูเขา แขงขันตอ งวงิ่ กลบั ไปยงั จุดเริ่มตนเปนระยะทาง 3 เมตร เพ่ือตักลกู ปงปองลูกใหม ดังนั้น ผูเขาแขงขันจะตอ งว่ิงเปน ระยะทางที่เพ่มิ ขนึ้ 3 + 3 =6 เมตร จากขอ 6.1) จะไดว า ผูเขาแขงขันจะตองวิ่งเปนระยะทางทั้งหมด 196 + 6 = 202 เมตร ดงั นั้น ถาผูเ ขาแขง ขันทําลูกปงปองตกระหวา งทนี่ าํ ลกู ปง ปองไปใสในชามใบที่ 4 โดยทาํ ตกหา งจากตะกรา 3 เมตร จะไดร ะยะทางจากจดุ เริ่มตน จนส้ินสุดการ แขงขนั คือ 202 เมตร สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 317 30. ปรมิ าตรของอิฐท่ใี ชส รา งบันไดขน้ั ท่ี 15 (ขนั้ บนสดุ ) คือ 1× 0.25× 0.35 ลกู บาศกเมตร ปรมิ าตรของอิฐท่ใี ชส รางบนั ไดขน้ั ท่ี 14 คือ 1× 0.25× 2(0.35) ลูกบาศกเมตร ปริมาตรของอิฐท่ีใชส รางบนั ไดขน้ั ที่ 13 คือ 1× 0.25×3(0.35) ลกู บาศกเมตร ในทํานองเดียวกนั จะไดว า ปรมิ าตรของอิฐทีใ่ ชส รา งบนั ไดขั้นที่ 1 คือ 1× 0.25×15(0.35) ลกู บาศกเมตร ดงั นั้น ปริมาตรรวมของอิฐท่ใี ชสรา งบันไดนี้ เทากับ (1× 0.25× 0.35) + (1× 0.25× 2(0.35)) + (1× 0.25× 3(0.35)) + + (1× 0.25×15(0.35)) =1× 0.25× 0.35(1+ 2 + 3 + +15) ลูกบาศกเ มตร ∑เนอ่ื งจาก 1+ 2 + 3 + +15=15 15 (1+15=) 120 =i i=1 2 จะได ปรมิ าตรรวมของอิฐที่ใชส รา งบนั ไดน้ี เทากับ 1× 0.25× 0.35(1+ 2 + 3 + +15) =1× 0.25× 0.35(120) =10.5 ลกู บาศกเ มตร 31. อนุกรมเลขคณิตทกี่ าํ หนดใหมี =a1 6=, r 3 และ an =1,458 จาก an = a1rn−1 จะได 1,458 = 6( )3 n−1 243 = ( )3 n−1 นน่ั คือ 35 = (3)n−1 n −1 = 5 n= 6 ( )Sn แทน n ดวย 6 ใน = a1 rn −1 r −1 จะได 6(36 −1) S6 = 3 −1 = 2,184 ดงั นั้น 6 +18 + 54 + +1, 458 =2,184 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
318 คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 31. จากอนุกรมเรขาคณิต 6 +18 + 54 + +1,458 จะได =a1 6=, r 3 และ an = 1,458 จาก an = a1rn−1 จะได 1,458 = 6( )3 n−1 243 = ( )3 n−1 นนั่ คอื 35 = ( )3 n−1 จะได n −1 = 5 n= 6 ( )Sn แทน n ดวย 6 ใน = a1 rn −1 r −1 จะได 6(36 −1) S6 = 3 −1 = 2,184 ดังนน้ั 6 +18 + 54 + +1, 458 =2,184 32. 1) จากลาํ ดับเรขาคณิต 1, 4,16, 64, จะได a1 =1 และ r = 4 แทน n ดว ย 30 ใน Sn = ( )a1 rn −1 r −1 ( ) ( )จะได S30 1 430 −1 = 1 430 −1 = 3 4 −1 2) จากลาํ ดบั เรขาคณติ − 3 , 3 , − 3 , 3 , 32 16 8 4 จะได a1 = −3 และ r = −2 32 แทน n ดว ย 43 ใน Sn = ( )a1 1− rn 1− r − 3 1 − (−2)43 ( )จะได (−2)43 −1 S43 = 32 = 1− (−2) 32 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 319 3) จากลาํ ดับเรขาคณติ 27 , 9 , 3, 1 , 32 16 8 4 จะได a1 = 27 และ r=2 32 3 แทน n ดว ย 28 ใน Sn = ( )a1 1− rn 1− r 27 − 2 28 28 32 1 3 1 จะได S28 = = 81 2 1− 2 32 − 3 3 33. ให a5 = − 4 และ a8 = 1 2 จะได − 4 = a1r5−1 นน่ั คือ − 4 = a1r4 ----- (1) และ 1 = a1r8−1 2 นั่นคือ 1 = a1r7 ----- (2) 2 จาก (1) และ (2) จะได r = −1 และ a1 = − 64 2 พจิ ารณาผลบวกของพจนท ่ี 2 ถึงพจนท่ี 9 คือ a2 + a3 + a4 + a5 + a6 + a7 + a8 + a9 = (a1 + a2 + a3 + a4 + a5 + a6 + a7 + a8 + a9 ) − a1 = S9 − a1 ( )จาก Sn = a1 1 − rn 1− r − 64 − − 1 9 1 2 จะได S9 = = − 171 1 4 1 − − 2 จะได S9 − a1 = −171 − (− 64) = 85 4 4 ดงั น้ัน ผลบวกของพจนท ่ี 2 ถงึ พจนท ่ี 9 คอื 85 4 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
320 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 34. วิทยามเี งนิ 6,561 บาท เขาไปเท่ยี วและใชเงินทกุ วนั โดยที่แตล ะวันใชเงนิ 1 ของเงินทเ่ี หลือจากวันกอ นหนา จะไดว า 3 วันที่ 1 วทิ ยาใชเงินไป 1 (6,561) บาท 3 นัน่ คอื เมอ่ื ครบ 1 วัน วิทยาเหลอื เงินอยู 6,561− 1 (6,561) =2 (6,561) บาท 33 วันท่ี 2 วทิ ยาใชเ งนิ ไป 1 2 ( 6, 561) บาท 3 3 น่นั คอื เมอื่ ครบ 2 วัน วทิ ยาเหลือเงนิ อยู 2 ( 6, 561) − 1 2 ( 6, 561) = 32 2 (6,561) บาท 3 3 3 วนั ท่ี 3 วิทยาใชเงินไป 1 2 2 ( 6, 561) บาท 3 3 นน่ั คอื เมอื่ ครบ 3 วนั วทิ ยาเหลอื เงนิ อยู 2 2 ( 6, 561) − 1 2 2 ( 6, 561) = 23 3 (6,561) บาท 3 3 3 ในทาํ นองเดียวกนั วนั ท่ี วิทยาใชเงินไป 1 2 n −1 บาท 3 3 n ( 6, 561) นัน่ คอื เม่อื ครบ n วนั วทิ ยาเหลือเงินอยู 2 n ( 6, 561) บาท 3 ดังนน้ั เมือ่ ครบ 8 วัน วิทยาจะมีเงนิ เหลือ 2 8 ( 6, 561) = 256 บาท 3 35. 1) การแขง ขันรอบที่ 1 มผี เู ขา แขงขนั ทัง้ หมด 32 คน จะมีการแขงขัน 16 คู การแขง ขันรอบที่ 2 มีผเู ขา แขง ขนั คอื ผูช นะจากรอบท่ี 1 ซึง่ มี 16 คน จะมกี ารแขงขัน 8 = 1 (16) คู 2 การแขง ขนั รอบที่ 3 มีผูเขาแขงขนั คือ ผชู นะจากรอบท่ี 2 ซึ่งมี 8 คน จะมกี ารแขง ขนั 4 = 1 2 (16 ) คู 2 ในทาํ นองเดยี วกัน จะไดวา การแขง ขนั รอบท่ี n จะมีการแขง ขนั 1 n−1 (16) คู 2 ดังนน้ั ในรอบท่ี n มผี ูเขาแขงขัน 1 n−1 (16) คู 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 321 2) เนอ่ื งจากรอบสดุ ทายทจี่ ะไดผ ชู นะ จะมกี ารแขง ขนั เพยี ง 1 คู นนั่ คอื หา n ทท่ี าํ ให an =1 จะไดว า 1 = 1 n−1 (16) 2 1 = 1 n−1 16 2 1 4 = 1 n−1 2 2 4 = n −1 นัน่ คอื n = 5 ดงั นั้น รายการลกู ทงุ เสียงทองมกี ารแขงขนั ทั้งหมด 5 รอบ 3) จาก 1) และ 2) จะไดว า รายการลกู ทุงเสยี งทองมกี ารแขงขันทั้งหมด 5 รอบ โดยรอบท่ี 1, 2, 3 และ 5 มกี ารแขงขัน 16, 8, 4 และ 1 คู ตามลาํ ดบั พจิ ารณาการแขงขนั รอบท่ี 4 จะไดวา มีการแขง ขัน 1 4−1 (16) = 2 คู 2 ดังนน้ั รายการลกู ทงุ เสยี งทองมีการแขงขันทัง้ หมด 16 + 8 + 4 + 2 + 1 = 31 คู 36. คอนโดมิเนียมแหงหนึ่งไดป ระมาณจํานวนแมลงสาบท่ีมีอยูข ณะเรมิ่ ตน โครงการไว 6,000 ตัว หลังจากวางยากําจัดแมลงสาบในจดุ ตา ง ๆ พบวา อตั ราการลดลงของจาํ นวนแมลงสาบ เทากบั 17% ตอ วนั นนั่ คือ จํานวนแมลงสาบลดลงวนั ละ 17% ของจํานวนแมลงสาบท่เี หลืออยูในวันกอนหนา ถา ไมมแี มลงสาบเพิ่มข้นึ ในระยะเวลา 7 วัน จะไดว า จํานวนแมลงสาบทถี่ ูกกําจดั ในวนั ที่ 1 ท่ดี ําเนินโครงการ เทากบั 17 (6,000) ตวั 100 ทาํ ใหเหลือจํานวนแมลงสาบอยู 6,000 − 17 (6,000) =83 (6,000) ตัว 100 100 จํานวนแมลงสาบท่ถี ูกกาํ จดั ในวนั ที่ 2 ที่ดําเนินโครงการ เทากับ 17 83 (6, 000) ตัว 100 100 ทาํ ใหเ หลือจาํ นวนแมลงสาบอยู 83 ( 6, 000 ) − 17 83 ( 6, 000 ) = 18030 2 (6,000) ตัว 100 100 100 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
322 คูมอื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 จํานวนแมลงสาบท่ีถูกกาํ จดั ในวันที่ 3 ทด่ี ําเนนิ โครงการ เทา กบั 17 83 2 ( 6, 000) ตัว 100 100 ทําใหเ หลือจํานวนแมลงสาบอยู 83 2 ( 6, 000 ) − 17 83 2 ( 6, 000) = 18030 3 (6,000) ตวั 100 100 100 ในทาํ นองเดยี วกนั จาํ นวนแมลงสาบท่ถี กู กาํ จัดในวันที่ n ที่ดําเนินโครงการ เทา กับ 17 83 n−1 ( 6, 000 ) ตวั ทําใหเ หลือจํานวนแมลงสาบอยู 83 n ( 6, 000) ตวั 100 100 100 1) เนอื่ งจาก จํานวนแมลงสาบที่ถูกกําจัดในวันที่เริ่มตน โครงการ คอื จํานวนแมลงสาบที่ ถกู กาํ จัดในวนั ท่ี 1 ทดี่ ําเนินโครงการ ซ่งึ เทา กบั 17 (6,000) =1,020 ตวั 100 ดังนน้ั จาํ นวนแมลงสาบทถี่ ูกกําจดั ในวันที่เรม่ิ ตน โครงการ เทา กับ 1,020 ตวั 2) เน่ืองจาก จํานวนแมลงสาบขณะเริ่มตนโครงการ เทากับ 6,000 ตวั และจาํ นวนแมลงสาบท่ีถูกกาํ จัดในวนั ท่ี 1 ทด่ี าํ เนนิ โครงการ เทา กบั 1,020 ตัว ดงั น้นั จาํ นวนแมลงสาบที่เหลืออยหู ลงั จากดาํ เนนิ โครงการไปแลว 1 วัน เทากับ 6,000 – 1,020 = 4,980 ตัว 3) เน่ืองจาก จาํ นวนแมลงสาบที่ถูกกาํ จัดในวันที่ 1, 2, 3, , n ทีด่ ําเนินโครงการ เทากับ 17 17 83 17 83 2 17 83 n −1 100 100 100 100 100 100 100 ( 6, 000 ) , ( 6, 000) , ( 6, 000 ) , , ( 6, 000 ) ซึ่งเปนลาํ ดบั เรขาคณิตที่มีพจนแ รก คือ 17 (6,000) ผลตางรวม คอื 83 และ 100 100 พจนทัว่ ไป คือ 17 83 n−1 ( 6, 000) 100 100 และจํานวนแมลงสาบท้ังหมดทถ่ี ูกกําจดั หลงั จากดําเนินโครงการไปแลว 7 วัน คอื ผลรวมของ จาํ นวนแมลงสาบทถี่ ูกกําจดั ในวันที่ 1, 2, 3, , 7 ทด่ี ําเนนิ โครงการ ซึ่งเทา กับ a1 + a2 + a3 + a4 + a5 + a6 + a7 =S7 ( )จาก Sn = a1 1− rn 1− r สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 323 6, 000 17 − 83 7 100 1 100 จะได S7 = ≈ 4,372 ตัว 1− 83 100 ดังนน้ั จาํ นวนแมลงสาบทงั้ หมดท่ีถูกกาํ จดั หลังจากดําเนนิ โครงการไปแลว 7 วัน มปี ระมาณ 4,372 ตัว 4) เน่ืองจาก จาํ นวนแมลงสาบขณะเร่มิ ตน โครงการ เทากบั 6,000 ตวั และจํานวนแมลงสาบท้ังหมดที่ถกู กาํ จัดหลงั จากดาํ เนินโครงการไปแลว 7 วนั ประมาณ 4,372 ตัว ดังนน้ั จาํ นวนแมลงสาบท่ีเหลืออยูห ลงั จากดําเนนิ โครงการไปแลว 7 วนั ประมาณ 6,000 – 4,372 = 1,628 ตัว 37. จาก จํานวนวนั ในการปฏิบตั ิภารกจิ 25 วัน จะไดว า แบบที่ 1 เศรษฐีจะจายคาตอบแทนท้ังหมด 25×50,000 =1,250,000 บาท แบบที่ 2 เศรษฐจี ะจายคาตอบแทน ในวนั ท่ี 1, 2, 3, … เปน เงิน 5, 10, 20, … สตางค ซึง่ เปนลําดับเรขาคณติ ที่มี a1 = 5 และ r = 2 จะไดว า เศรษฐจี ะจายคาตอบแทนรวมในแบบที่ 2 เทากับ S25 ( )จาก Sn = a1 rn −1 r −1 ( )จะได S25 5 225 −1 = = 167,772,155 2 −1 นนั่ คอื เศรษฐีจะจายคา ตอบแทนรวมในแบบที่ 2 เทา กับ 167,772,155 สตางค หรอื 1,677,721.55 บาท 1) เนอื่ งจาก เศรษฐีจะตองจา ยคา ตอบแทนรวมในแบบที่ 1 เทากบั 1,250,000 บาท และ เศรษฐีจะตอ งจา ยคา ตอบแทนรวมในแบบท่ี 2 เทา กับ 1,677,721.55 บาท ดังนน้ั เศรษฐคี วรเลือกจายคา ตอบแทนแบบที่ 1 จงึ จะประหยัดเงนิ ที่สุด สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
324 คูมอื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 2) ถาใชเวลาปฏิบตั ภิ ารกิจ 30 วนั 3) แบบที่ 1 จะเสียคา ตอบแทน 30× 50,000 =1,500,000 บาท 38. 1) แบบที่ 2 จะเสียคา ตอบแทน S30 = ( )5 1− 230 หรอื เทากับ 1− 2 5,368,709,115 สตางค หรอื 53,687,091.15 บาท ดงั นนั้ ถา เลอื กจา ยคาตอบแทนแบบที่ 1 จะประหยัดเงินกวาการจายคาตอบแทน แบบท่ี 2 เปนจํานวนเงิน 52,187,091.15 บาท การจา ยคา ตอบแทนแบบทีเ่ ลอื กในขอ 1) อาจไมประหยดั กวาอกี แบบ เชน เม่อื จาํ นวนวัน ในการปฏบิ ัตภิ ารกิจเปน 24 วนั จะไดวา แบบที่ 1 จะเสยี คา ตอบแทน 24× 50,000 =1,200,000 บาท แบบท่ี 2 จะเสยี คาตอบแทน S24 = ( )5 1− 224 หรือเทากับ 1− 2 83,886,075 สตางค หรอื 838,860.75 บาท จะเห็นวา การจา ยคา ตอบแทนแบบที่ 2 ประหยัดกวา การจา ยคา ตอบแทนแบบท่ี 1 กรณีทอี่ นกุ รมนี้เปน อนกุ รมเลขคณิต จะตองไดว า a2 − a1 = a3 − a2 เนื่องจาก a2 − a1 = 8 − 2 = 6 และ a3 − a2 = 32 − 8 = 24 จะเหน็ วา a2 − a1 ≠ a3 − a2 ดงั นั้น อนุกรมน้ไี มเ ปนอนกุ รมเลขคณิต กรณที อ่ี นกุ รมนี้เปนอนกุ รมเรขาคณิต จะตอ งไดวา a2 = a3 a1 a2 เน่ืองจาก a2= 8= 4 และ a=3 3=2 4 a1 2 a2 8 จะเห็นวา a2 = a3 a1 a2 ดงั นัน้ อนุกรมนเี้ ปนอนุกรมเรขาคณิต ทีม่ ี =a1 2=, r 4 และ an = 8,192 จาก an = a1rn−1 จะได 8,192 = 2( )4 n−1 4,096 = 4n−1 46 = 4n−1 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 325 น่ันคือ n −1 = 6 n=7 ดงั นน้ั 8,192 เปน พจนที่ 7 ของอนุกรมนี้ ( )จาก Sn = a1 rn −1 r −1 ( )จะได S7 = 2 47 −1 = 10,922 4 −1 ดังนน้ั 2 + 8 + 32 + + 8,192 เปนอนุกรมเรขาคณติ ที่มีผลบวกของอนกุ รม เทา กับ 10,922 2) กรณีท่ีอนุกรมนเ้ี ปน อนุกรมเลขคณติ จะตองไดว า a2 − a1 = a3 − a2 เนื่องจาก a2 − a1 = 14 − 7 = 7 และ a3 − a2 = 21−14 = 7 จะเหน็ วา a2 − a1 = a3 − a2 ดงั นัน้ อนกุ รมนเี้ ปนอนกุ รมเลขคณติ ทีม่ ี=a1 7=, d 7 และ an = 98 จาก an = a1 + (n −1) d จะได 98 = 7 + (n −1)(7) 98 = 7n n = 14 ดังนั้น 98 เปน พจนท ่ี 14 ของอนุกรมน้ี จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 จะได S14 = 14 (7 + 98) = 735 2 ดังนน้ั 7 +14 + 21++ 98 เปน อนกุ รมเลขคณิตทมี่ ีผลบวกของอนุกรม เทา กบั 735 กรณที ่ีอนกุ รมนีเ้ ปน อนกุ รมเรขาคณิต จะตองไดว า a2 = a3 a1 a2 เนื่องจาก a=2 1=4 2 และ a=3 2=1 3 a1 7 a2 14 2 จะเหน็ วา a2 ≠ a3 a1 a2 ดงั นั้น อนุกรมนไ้ี มเปน อนุกรมเรขาคณิต สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
326 คูมอื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 3) กรณีที่อนุกรมนเ้ี ปน อนุกรมเลขคณิต จะตอ งไดวา a2 − a1 = a3 − a2 เน่อื งจาก a2 − a1 =1 − 1 =1 และ a3 − a2 = 3 −1= 1 2 2 2 2 จะเหน็ วา a2 − a1 = a3 − a2 ดงั นนั้ อนุกรมนี้เปน อนกุ รมเลขคณติ ท่ีม=ี a1 1=, d 1 และ an = 30 2 2 จาก an = a1 + (n −1) d จะได 30 = 1 + ( n − 1) 1 2 2 30 = 1 n 2 n = 60 ดงั นน้ั 30 เปน พจนท่ี 60 ของอนกุ รมน้ี จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 จะได S60 = 60 1 + 30 = 915 2 2 ดังน้ัน 1 +1+ 3 ++ 30 เปน อนกุ รมเลขคณิตทีม่ ีผลบวกของอนุกรม เทา กบั 915 22 กรณีทอี่ นกุ รมนี้เปน อนกุ รมเรขาคณิต จะตองไดวา a2 = a3 a1 a2 3 เนื่องจาก a2= 1= 2 และ a3= 2= 3 a1 1 1 2 a2 2 จะเหน็ วา a2 ≠ a3 a1 a2 ดงั นน้ั อนกุ รมนไี้ มเปน อนกุ รมเรขาคณิต 4) กรณที ี่อนุกรมนีเ้ ปนอนกุ รมเลขคณิต จะตอ งไดว า a2 − a1 = a3 − a2 เนอ่ื งจาก a2 − a1 =8 −16 =−8 และ a3 − a2 =4 − 8 =− 4 จะเหน็ วา a2 − a1 ≠ a3 − a2 ดังนัน้ อนุกรมนี้ไมเ ปน อนุกรมเลขคณิต สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 327 กรณที ีอ่ นกุ รมนี้เปน อนกุ รมเรขาคณิต จะตองไดวา a2 = a3 a1 a2 เนอ่ื งจาก a=2 8= 1 และ a3= 4= 1 a1 16 2 a2 8 2 จะเห็นวา a2 = a3 a1 a2 ดังนนั้ อนุกรมนีเ้ ปน อนกุ รมเรขาคณิต ที่ม=ี a1 1=6, r 1 และ an = 1 2 32 จาก an = a1rn−1 จะได 1 = 16 1 n−1 32 2 1 1 n −1 25 2 = 24 1 1 n−1 25 ⋅ 24 = 2 1 9 = 1 n−1 2 2 นัน่ คือ n −1 = 9 n = 10 ดังน้นั 1 เปน พจนที่ 10 ของอนุกรมนี้ 32 ( )จาก Sn = a1 1 − rn 1− r 16 − 1 10 1 2 จะได S10 1, 023 = 1− 1 = 32 2 ดงั นน้ั 16 + 8 + 4 ++ 1 เปนอนุกรมเรขาคณติ ทม่ี ผี ลบวกของอนกุ รม เทากบั 1,023 32 32 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
328 คูมือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 5) กรณที อี่ นุกรมน้ีเปนอนกุ รมเลขคณิต จะตองไดวา a2 − a1 = a3 − a2 เน่อื งจาก a2 − a1 = 3 − (−1) = 4 และ a3 − a2 =−9 − 3 =−12 จะเหน็ วา a2 − a1 ≠ a3 − a2 ดงั นัน้ อนกุ รมนีไ้ มเ ปนอนุกรมเลขคณติ กรณที ่ีอนกุ รมนเ้ี ปนอนุกรมเรขาคณติ จะตองไดวา a2 = a3 a1 a2 เน่ืองจาก a2 = 3 = −3 และ a3 = −9 = −3 a1 −1 a2 3 จะเห็นวา a2 = a3 a1 a2 ดังนนั้ อนุกรมนเ้ี ปน อนกุ รมเรขาคณติ ที่มี a1 =−1, r =−3 และ an = −729 จาก an = a1rn−1 จะได −729 = −1( )−3 n−1 729 = ( )−3 n−1 (−3)6 = ( )−3 n−1 นน่ั คอื n −1 = 6 n=7 ดังนน้ั −729 เปนพจนท ่ี 7 ของอนุกรมน้ี ( )จาก Sn = a1 1 − rn 1− r ( )จะได S7 = (−1) 1− (−3)7 = −547 1− (−3) ดงั นัน้ (−1) + 3 + (−9) ++ (−729) เปนอนกุ รมเรขาคณิตท่ีมีผลบวกของอนุกรม เทา กับ −547 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 329 6) กรณีท่อี นุกรมนเ้ี ปนอนกุ รมเลขคณิต จะตองไดว า a2 − a1 = a3 − a2 39. 1) เนอ่ื งจาก a2 − a1 =−6 − (−10) =4 และ a3 − a2 =−2 − (−6) =4 จะเห็นวา a2 − a1 = a3 − a2 ดังน้นั อนกุ รมน้เี ปน อนุกรมเลขคณติ ท่มี ี a1 =−10, d =4 และ an = 90 จาก an = a1 + (n −1) d จะได 90 = −10 + (n −1)(4) 90 = −14 + 4n n = 26 ดังนัน้ 90 เปน พจนท ่ี 26 ของอนุกรมน้ี จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 จะได S26 = 26 (−10 + 90) = 1,040 2 ดังนน้ั −10 − 6 − 2 ++ 90 เปนอนกุ รมเลขคณิตทม่ี ีผลบวกของอนุกรม เทากับ 1,040 กรณที ีอ่ นุกรมนเี้ ปนอนุกรมเรขาคณติ จะตอ งไดว า a2 = a3 a1 a2 เน่อื งจาก =a2 =−6 3 และ a=3 −=2 1 a1 −10 5 a2 −6 3 จะเห็นวา a2 ≠ a3 a1 a2 ดงั นน้ั อนกุ รมน้ไี มเปนอนกุ รมเรขาคณติ จากอนุกรม 9 3 n −1 จะได 5 5 5+3+ + + 5 + S1 = 5 S2 = 5 + 3 = 8 S3 = 5+3+ 9 = 49 5 5 พิจารณาผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรมน้ี (Sn ) จากอนุกรมที่กาํ หนดใหเ ปน อนกุ รมเรขาคณติ ท่ีมี a1 =5 และ r = 3 5 และผลบวกยอ ย n พจนแรกของอนุกรมเรขาคณติ คือ Sn = ( )a1 1− rn 1− r สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
330 คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 5 − 3 n n 1 5 1 จะไดว า Sn = = 25 − 3 1− 3 2 5 5 ดังนนั้ ลาํ ดบั ของผลบวกยอยของอนุกรมนี้ คือ 5, 8, 49 , , 25 − 3 n , 5 2 1 5 2) จากอนุกรม 9 + 3 + 1 + + 9 5 n−1 + จะได 25 5 25 3 S1 = 9 25 S2 = 9 +3 = 24 25 5 25 S3 = 9 + 3 +1 = 49 25 5 25 พจิ ารณาผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรมนี้ (Sn ) จากอนุกรมท่ีกําหนดใหเ ปนอนุกรมเรขาคณติ ที่มี a1 = 9 และ r =5 25 3 และผลบวกยอย n พจนแ รกของอนุกรมเรขาคณติ คือ Sn = ( )a1 1− rn 1− r จะได Sn = 9 5 n = 27 5 n 25 3 − 1 50 3 − 1 5 −1 3 ดงั นั้น ลําดบั ของผลบวกยอ ยของอนกุ รมน้ี คอื 9 , 24 , 49 , , 27 5 n 25 25 25 50 3 − 1 , 3) จากอนุกรม 1 + − 1 + 1 ++ ( )−1 n−1 + จะได 9 27 81 3n+1 S1 = 1 9 S2 = 1 + − 1 = 2 9 27 27 S3 = 1 + − 1 + 1 = 7 9 27 81 81 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 331 พิจารณาผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรมน้ี (Sn ) จากอนุกรมที่กาํ หนดใหเปน อนกุ รมเรขาคณิต ที่มี a1 = 1 และ r = −1 9 3 และผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรมเรขาคณติ คือ Sn = ( )a1 1− rn 1− r 1 − − 1 n 1 1 n 9 1 3 12 1 3 จะได Sn = = − − 1 1 − − 3 ดังนนั้ ลําดับของผลบวกยอ ยของอนกุ รมน้ี คือ 1, 2 , 7, , 1 − − 1 n 9 27 81 12 1 3 , 4) จากอนุกรม 1+ (−1) + (−3) + + (3 − 2n) + จะได S1 = 1 S2 = 1+ (−1) = 0 S3 = 1+ (−1) + (−3) = −3 พิจารณาผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรมน้ี (Sn ) จากอนุกรมท่ีกาํ หนดใหเ ปนอนกุ รมเลขคณิต ท่มี ี a1 =1 และ d = −2 และผลบวกยอ ย n พจนแ รกของอนุกรมเลขคณติ คอื =Sn n ( a1 + an ) 2 จะได Sn = n (1+ (3 − 2n)) = n (4 − 2n) = 2n − n2 2 2 ดงั นัน้ ลาํ ดับของผลบวกยอ ยของอนุกรมน้ี คอื 1, 0, − 3, , 2n − n2, 5) จากอนุกรม (4 + 0 + (−14) + + 4 + n2 )− n3 + จะได S1 = 4 S2 = 4 + 0 = 4 S3 = 4 + 0 + (−14) = −10 พจิ ารณาผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรมน้ี เน่อื งจากผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรมน้ี คือ ∑(n )− i3 4 + i2 i =1 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
332 คมู อื ครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 จะได n ∑( )Sn = 4 + i2 − i3 i =1 nn n = ∑4 + ∑i2 − ∑i3 =i 1 =i 1 =i 1 n(n +1)(2n +1) n(n +1) 2 = 4n + − 6 2 ( ) ( )48n + 4n3 + 6n2 + 2n − 3n4 + 6n3 + 3n2 = 12 = −3n4 − 2n3 + 3n2 + 50n 12 ดังนัน้ ลาํ ดับของผลบวกยอยของอนกุ รมนี้ คือ 4, 4, −10, , −3n4 − 2n3 + 3n2 + 50n , 12 6) จากอนุกรม 18 +1.8 + 0.18 + +18(0.1)n−1 + จะได S1 = 18 S2 = 18 +1.8 = 19.8 S3 = 18 +1.8 + 0.18 = 19.98 พจิ ารณาผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรมนี้ (Sn ) จากอนุกรมท่ีกําหนดใหเปน อนกุ รมเรขาคณิต ที่มี a1 =18 และ r = 0.1 และผลบวกยอย n พจนแรกของอนกุ รมเรขาคณติ คือ Sn = ( )a1 1− rn 1− r ( ) ( )จะได 18 1− (0.1)n Sn = 1− 0.1 = 20 1− (0.1)n ( )ดังนัน้ ลาํ ดบั ของผลบวกยอยของอนกุ รมนี้ คอื 18, 19.8, 19.98, , 20 1− (0.1)n , 7) จากอนกุ รม 3 + 5 + 7 ++ 2n +1 + จะได 1⋅ 4 4⋅9 9 ⋅16 n2 (n +1)2 S1 = 3 4 S2 =3 + 5 =8 4 36 9 S3 =3 + 5 + 7 =15 4 36 144 16 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 333 สําหรบั จํานวนนับ k ใด ๆ จะได ( )2k +1 2k +1+ k2 − k2 = k 2 (k +1)2 k 2 (k +1)2 ( )k 2 + 2k +1 − k 2 = k 2 (k +1)2 (k +1)2 − k 2 = k 2 (k +1)2 = (k +1)2 − k2 k2 k 2 (k +1)2 (k +1)2 = 1− 1 k 2 (k +1)2 น่ันคือ 3 + 5 + 9 7 + + 2n +1 1⋅ 4 4⋅9 ⋅16 n2 (n + 1)2 = 1 − 1 + 1 − 1 + 1 − 1 + + 1 − (n 1 1 4 4 9 9 16 n2 + 1)2 = 1 − ( 1 n + 1)2 n(n + 2) = (n +1)2 ดงั นน้ั ลาํ ดับของผลบวกยอ ยของอนกุ รมนี้ คือ 3, 8 , 15 , , n(n + 2) , 4 9 16 (n +1)2 8) สําหรับจาํ นวนนบั k ใด ๆ จะได k +1− k k +1 − k = 1− 1 = k ⋅ k +1 k ⋅ k +1 k ⋅ k +1 k k +1 จะได S1 = 2 −1 = 1− 1 1⋅ 2 2 S2 = 2 −1+ 3− 2 = 1− 1 + 1− 1 = 1− 1 1⋅ 2 2⋅ 3 2 2 3 3 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
334 คูม อื ครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 S3 = S2 + 2 − 3 = 1− 1 + 1 − 1 =1 3 2 3 3 2 2 ⋅ สาํ หรับพจนท ่ัวไปของลําดบั ของผลบวกยอ ยของอนุกรม พิจารณา Sn = 2 −1+ 3 − 2 + 2− 3 ++ n+1− n 1⋅ 2 2⋅ 3 3⋅2 n ⋅ n+1 = 1 − 1 + 1− 1 + 1− 1 + + 1− 1 2 2 3 3 4 n n +1 = 1− 1 n +1 ดงั นน้ั ลาํ ดบั ของผลบวกยอ ยของอนุกรมน้ี คอื 1− 1 , 1− 1 , 1 , , 1− 1 , 2 32 n +1 40. 1) 5+3+ 9 + + 5 3 n−1 + เปน อนุกรมเรขาคณติ ที่มี a1 =5 และ r = 3 2) 5 5 5 3) เนอื่ งจาก r= 3 <1 จะไดวา อนุกรมนเ้ี ปน อนุกรมลเู ขา 4) 5 และผลบวกของอนกุ รม คอื a1 = 5 = 25 1− 3 2 1− r 5 9 + 3 + 1 + + 9 5 n−1 + เปน อนกุ รมเรขาคณิตท่มี ี a1 = 9 และ r=5 25 5 25 3 25 3 เนือ่ งจาก r= 5 >1 จะไดว า อนุกรมนีเ้ ปน อนกุ รมลูออก 3 1 + − 1 + 1 + + ( )−1 n−1 + เปน อนกุ รมเรขาคณติ ท่ีมี a1 = 1 และ r = −1 9 27 81 9 3 3n+1 เนือ่ งจาก r= 1 <1 จะไดวา อนกุ รมน้เี ปน อนกุ รมลเู ขา 3 1 และผลบวกของอนกุ รม คือ a1 = 9 = 1 1− r 12 1 − − 1 3 1+ (−1) + (−3) + + (3 − 2n) + เปนอนุกรมท่ีมีผลบวกยอย n พจนแรกคือ S=n 2n − n2 จากลําดับของผลบวกยอ ยของอนุกรมซ่ึงคือ S1, S2, S3, , Sn, สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 335 พจิ ารณา lim 1 = lim 1 n→∞ Sn n→∞ 2n − n2 n2 1 n2 = lim n→∞ 2 − 1 n2 n 1 = lim n2 n→∞ 2 −1 n = lim 1 n2 n→∞ lim 2 − 1 n n→∞ = lim 1 n2 n→∞ lim 2 − lim 1 n n→∞ n→∞ = lim 1 n2 n→∞ 2 lim 1 − lim 1 n n→∞ n→∞ = 0 2(0) −1 =0 จากทฤษฎีบท 4 จะไดว า ลาํ ดบั นเี้ ปนลําดบั ลอู อก ดงั นน้ั อนุกรมนี้เปน อนุกรมลูออก ( )5) 4 + 0 + (−14) + + 4 + n − n3 + เปน อนุกรมทม่ี ผี ลบวกยอย n พจนแรกคอื Sn = −3n4 − 2n3 + 3n2 + 50n 12 จากลาํ ดับของผลบวกยอยของอนุกรมซึ่งคือ S1, S2, S3, , Sn, สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
336 คูมอื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 พจิ ารณา 1 = lim −3n4 − 12 3n2 + 50n lim 2n3 + n→∞ Sn n→∞ n 4 12 n4 = lim n→∞ 2 3 50 n 4 −3 − n + n2 + n3 12 = lim 2 n4 50 n→∞ n +3 n3 −3 − + n2 = lim 12 n4 n→∞ lim −3 − 2 + 3 + 50 n n2 n3 n→∞ = lim 12 n4 n→∞ lim (−3) − lim 2 + lim 3 + lim 50 n n2 n3 n→∞ n→∞ n→∞ n→∞ 12 lim 1 n4 = n→∞ − lim 3 − 2 lim 1 + 3 lim 1 + 50 lim 1 n n→∞ n2 n3 n→∞ n→∞ n→∞ = 12(0) −3 − 2(0) + 3(0) + 50(0) =0 จากทฤษฎีบท 4 จะไดว า ลาํ ดบั น้ีเปนลําดบั ลูออก ดงั นน้ั อนุกรมน้ีเปนอนุกรมลูออก 6) 18 +1.8 + 0.18 + +18(0.1)n−1 เปนอนกุ รมเรขาคณิตท่ีมี a1 = 18 และ r =1 10 เนื่องจาก =r 1 <1 จะไดว า อนกุ รมนี้เปน อนกุ รมลูเ ขา 10 และผลบวกของอนุกรม คือ a1 = 18 = 20 1− r 1− 1 10 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 337 7) 3 + 5 + 7 + + 2n +1 + 1⋅ 4 4⋅9 9 ⋅16 n2 (n +1)2 เปนอนกุ รมทม่ี ีผลบวกยอย n พจนแ รก=คือ Sn n(n + 2) n2 + 2n n2 + 2n +1 = (n +1)2 จากลาํ ดบั ของผลบวกยอ ยของอนกุ รมซง่ึ คือ S1, S2, S3, , Sn, พจิ ารณา 1 n2 + 2n +1 lim = lim n→∞ Sn n→∞ n2 + 2n n2 1 + 2 + 1 n n2 = lim n→∞ 1 2 n2 + n 1 +2+ 1 n n2 = lim 1+ 2 n n→∞ lim 1 + 2 + 1 n n2 = n→∞ lim 1 + 2 n n→∞ lim 1 + lim 2 + lim 1 n n2 = n→∞ n→∞ n→∞ lim 1 + lim 2 n n→∞ n→∞ lim 1 + 2 lim 1 + lim 1 n n2 = n→∞ n→∞ n→∞ lim 1 + 2 lim 1 n n→∞ n→∞ 1+ 2(0) + 0 = 1+ 2(0) =1 ดังนน้ั อนกุ รมนีเ้ ปนอนุกรมลูเ ขา และผลบวกของอนุกรม คอื 1 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
338 คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 8) 2 −1 + 3 − 2 + 2 − 3 + + n +1 − n + 1⋅ 2 2 ⋅ 3 3 ⋅2 n ⋅ n+1 เปน อนุกรมทีม่ ีผลบวกยอย n พจนแ รกคอื Sn =1− 1 =1− 1 n +1 n +1 จากลําดับของผลบวกยอ ยของอนกุ รมซงึ่ คือ S1, S2, S3, , Sn, พิจารณา lim Sn = − 1 lim 1 n +1 n→∞ n→∞ = lim 1 − lim 1 n +1 n→∞ n→∞ = lim 1 − lim n 1 1 + n→∞ n→∞ n 1 n = lim 1 − lim n→∞ n 1 + 1 n→∞ n 1 = lim 1 − lim n n→∞ n→∞ 1+ 1 n = lim1− lim 1 n n→∞ n→∞ lim 1 + 1 n n→∞ = lim1− lim 1 n n→∞ n→∞ lim 1 + lim 1 n n→∞ n→∞ = 1− 0 1+ 0 =1 ดังนน้ั อนกุ รมนี้เปน อนุกรมลูเขา และผลบวกของอนกุ รม คอื 1 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 568
Pages: