คมู ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 339 41. ให a1 + a2 + a3 + เปนอนกุ รมเรขาคณิตทมี่ ีพจนแ รก คอื a1 อัตราสวนรว ม คือ r และผลบวกของอนุกรมเทากบั 1 จะไดวา r <1 และ a1 =1 ----- (1) 1− r นัน่ คือ a1 = 1− r จาก ผลบวกยอ ยสองพจนแรกของอนุกรมนคี้ ือ 3 4 จะไดว า a1 + a2 =3 4 น่นั คือ a1 (1+ r) =3 ----- (2) 4 จาก (1) และ (2) จะได (1− r )(1+ r ) = 3 4 1− r2 = 3 4 r2 = 1 4 ดังน้นั r = 1 หรอื r = − 1 22 กรณี r=1 จะได a1 = 1 2 2 ( )Sn =12 1 − 1 10 จาก = a1 1− rn จะได S10 2 =1 − 12 10 =1023 1− r 1024 1− 1 2 กรณี r = −1 จะได a1 = 3 2 2 ( )จาก 3 − − 1 10 a1 1− rn 2 1 2 10 Sn = 1− r จะได S10 = = 1 − − 1 = 1023 1 2 1024 1 − − 2 ดังนน้ั ผลบวก 10 พจนแ รกของลาํ ดบั เรขาคณติ น้ี คือ 1023 1024 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
340 คมู ือครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 42. 1) จาก 0.123 = 0.123123123 2) 3) = 0.123 + 0.000123 + 0.000000123 + = 123 + 123 + 123 + 1,000 1,000,000 1,000,000,000 = 123 + 123 + 123 + 103 106 109 จะไดวา 123 + 123 + 123 + เปน อนกุ รมเรขาคณติ ทมี่ ี a1 = 123 และ r = 1 103 106 109 103 103 เน่อื งจาก =r 1 < 1 จะไดว า อนกุ รมนีเ้ ปนอนกุ รมลูเ ขา และผลบวกของอนุกรม 103 123 คอื a1 = 103 = 41 1 333 1− r 1 − 103 จะไดว า 0.123 = 41 333 จาก 0.112 = 0.11222 = 0.11+ 0.002 + 0.0002 + 0.00002 + = 11 + 2 + 2 + 2 + 100 1,000 10,000 100,000 จะไดวา 2 + 2 + 2 + เปนอนกุ รมเรขาคณิตทม่ี ี a1 = 1, 2 และ r= 1 1,000 10,000 100,000 000 10 เนอื่ งจาก =r 1 <1 จะไดว า อนุกรมนีเ้ ปน อนุกรมลเู ขา และผลบวกของอนกุ รม 10 2 คือ a1 = 1, 000 = 1 1− r 1− 1 450 10 จะไดวา 0.112 = 11 + 1 = 101 100 450 900 จาก 1.9 = 1.999 = 1+ 0.9 + 0.09 + 0.009 + = 1+ 9 + 9 + 9 + 10 100 1,000 จะไดวา 9 + 9 + 9 + เปน อนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = 9 และ r= 1 10 100 1,000 10 10 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 341 เนอื่ งจาก =r 1 <1 จะไดว า อนุกรมนี้เปน อนุกรมลูเขา และผลบวกของอนุกรม 10 9 คอื a1 = 10 = 1 1−r 1− 1 10 จะไดว า 1.9 = 1+1 = 2 4) จาก 0.0989898 = 0.098 + 0.00098 + 0.0000098 + = 98 + 98 + 98 + 1,000 100,000 10,000,000 จะไดว า 98 + 98 + 98 + เปนอนุกรมเรขาคณิตทมี่ ี a1 = 98 1,000 100,000 10,000,000 1, 000 และ r = 1 100 เนื่องจาก=r 1 <1 จะไดว า อนุกรมน้เี ปนอนุกรมลเู ขา และผลบวกของอนกุ รม 100 98 คือ a1 = 1,000 = 49 1−r 1− 1 495 100 จะไดว า 0.0989898 = 49 495 จาก43. a1 + a1r + a1r2 + a1r3 + + a1rn−1 + = 3 2 จะเหน็ วา a1 + a1r + a1r2 + a1r3 + + a1rn−1 + เปน อนกุ รมเรขาคณิตทม่ี ีพจนแ รก คือ a1 อตั ราสวนรวม คือ r และมีผลบวกเปน 3 2 จะได a1 = 3 1−r 2 2a1 + 3r = 3 ----- (1) และจาก a1 − a1r + a1r 2 − a1r3 + + ( )−1 n−1 a1r n−1 + =3 4 จะเห็นวา a1 − a1r + a1r2 − a1r3 + + ( )−1 n−1 a1rn−1 + เปน อนุกรมเรขาคณิตทม่ี ี พจนแรก คอื a1 อัตราสว นรวม คือ −r และมผี ลบวก คอื 3 4 สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
342 คมู ือครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 จะได a1 =3 4 1− (−r) 4a1 − 3r = 3 ----- (2) จาก (1) และ (2) จะได a1 = 1 และ r=1 3 44. เน่อื งจากรปู สามเหลีย่ มดา นเทา รูปหนง่ึ มดี า นยาวดา นละ 10 นว้ิ จะได ครึ่งหนึ่งของดานของรปู สามเหลี่ยมดานเทายาว 1 (10) น้วิ 2 น่นั คือ ดา นของรูปสามเหล่ยี มดา นเทา รปู ที่ 2 ทเี่ กดิ จากการลากสวนของเสน ตรงเชอื่ ม จดุ กึ่งกลางดา นทั้งสามของรปู สามเหล่ยี มดานเทา รูปแรกยาว 1 (10) นิว้ 2 และ คร่ึงหน่งึ ของดา นของรปู สามเหลี่ยมดา นเทา รปู ที่ 2 ยาว 2.5 = 1 1 (10 ) นิว้ 2 2 นั่นคือ ดา นของรูปสามเหลีย่ มดา นเทา รปู ที่ 3 ท่เี กดิ จากการลากสวนของเสนตรงเช่อื ม จุดกึ่งกลางดา นทั้งสามของรปู สามเหลย่ี มดานเทารปู ที่ 2 ยาว 1 1 (10) นว้ิ ดงั รปู 2 2 จะได ความยาวของเสน รอบรูปของรปู สี่เหล่ียมดานเทารปู ท่ี 1 เทา กับ 3(10) น้ิว ความยาวของเสนรอบรปู ของรูปส่ีเหลีย่ มดานเทารูปท่ี 2 เทากบั 3 1 (10 ) น้ิว 2 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 343 ความยาวของเสนรอบรูปของรูปส่ีเหล่ยี มดานเทารูปท่ี 3 เทากบั 3 1 1 (10) = 3 1 2 (10 ) นวิ้ 2 2 2 ในทํานองเดียวกัน จะไดว า ความยาวของเสน รอบรูปของรูปสามเหลี่ยมดานเทา รปู ท่ี n เทากบั 3 1 n−1 (10) นิ้ว 2 จะไดว า ความยาวของเสน รอบรปู ของรปู สามเหลยี่ มดานเทารูปท่ี 1, 2, 3, , n, เทา กับ 1 1 2 1 n −1 นว้ิ 2 2 2 3 (10 ) , 3 (10 ) , 3 (10) , , 3 (10) , ถา สรางรูปสามเหลยี่ มดา นเทาตามกระบวนการท่ีกําหนดนไ้ี ปเร่ือย ๆ ไมส้นิ สดุ จะไดผลบวกของความยาวของเสนรอบรปู ของรปู สามเหล่ยี มดา นเทาทง้ั หมด 1 1 2 1 n −1 นว้ิ 2 2 2 3(10 ) + 3 (10 ) + 3 (10) + + 3 (10 ) + พิจารณาอนุกรม 3(10 ) + 3 1 (10 ) + 3 1 2 (10 ) + + 3 1 n−1 (10 ) + ซงึ่ เปน 2 2 2 อนุกรมเลขคณิตท่มี ี a1 = 3(10) และ r = 1 2 เน่ืองจาก =r 1 <1 จะไดว าอนุกรมนเ้ี ปน อนกุ รมลเู ขา 2 และผลบวกของอนุกรมนี้ คอื =a1 3=(10) 60 1− r 1− 1 2 ดงั น้ัน ถา สรา งรูปสามเหล่ียมดา นเทา ดวยกระบวนการทก่ี ําหนดไปเรอ่ื ย ๆ ไมส นิ้ สดุ ผลบวก ของความยาวของเสน รอบรูปของรปู สามเหลี่ยมดา นเทาท้ังหมด เทา กบั 60 นวิ้ 45. ในชว งเวลากลางวันของแตละวัน หอยทากจะคลานข้นึ มาได 5 เมตร และในเวลากลางคนื หอยทากจะลืน่ ลงไปเปนระยะทางครึ่งหน่งึ ของระยะหางระหวา งตวั มนั กับกน บอ ในวนั ท่ี 1 ชว งเวลากลางวนั หอยทากจะคลานขน้ึ มาได 5 เมตรจากกนบอนาํ้ และในเวลากลางคืนจะล่ืนลงไป 1 (5) = 5 เมตร 22 ดงั นั้น เม่อื สิน้ วนั ที่ 1 หอยทากจะอยูหา งจากกนบอ 5 − 5 = ( )5 = 5(1) = 5 21 −1 เมตร 22 21 2 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
344 คูมอื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 ในวันท่ี 2 ชว งเวลากลางวัน หอยทากจะคลานข้ึนมาได 5 เมตรจากวนั แรก ทาํ ใหอยทู ี่ ตาํ แหนง 5 + 5 =15 เมตร จากกนบอ 22 และในเวลากลางคืนจะลืน่ ลงไป 1 15 = 15 เมตร 2 2 4 ดังน้นั เมือ่ สน้ิ วนั ที่ 2 หอยทากจะอยูหางจากกน บอ 15 − 15 = 15 = 5(3) 5(22 −1) เมตร 244 22 = 22 ในวันท่ี 3 ชวงเวลากลางวนั หอยทากจะคลานขน้ึ มาได 5 เมตรจากวนั ทีส่ อง ทําใหอยูท่ี ตาํ แหนง 15 + 5 =35 เมตร จากกนบอ 44 และในเวลากลางคนื จะลนื่ ลงไป 1 35 = 35 เมตร 2 4 8 ดังนั้น เม่อื สน้ิ วันที่ 3 หอยทากจะอยูหางจากกนบอ 35 − 35 = 35 = 5(7) 5(23 −1) เมตร 48 8 = 23 23 ในทาํ นองเดียวกนั เม่ือส้นิ วนั ที่ n หอยทากจะอยูหางจากกน บอ 5(2n −1) เมตร 2n จะไดว า เมอื่ ส้นิ วนั ท่ี 1, 2, 3, …, n, … หอยทากจะอยูหา งจากกน บอ ( )5 , 15 , 35 , , 52n −1 , เมตร 2n 24 8 เมื่อหอยทากเคลื่อนท่ีในรูปแบบน้ีโดยไมมีที่ส้ินสุด จะไดวาหอยทากจะอยูหางจากกนบอ 5( )เทา กับ2n −1 lim 2n n→∞ จะได ( )5 2n −1 lim 5 ⋅ 1 − 1 = lim 5 ⋅ lim 1 − lim 1 = 5(1− 0=) 5 lim = 2n 2n n→∞ 2n n→∞ n→∞ n→∞ n→∞ จะเหน็ วา เมอื่ ส้นิ แตละวัน หอยทากตัวนีจ้ ะอยหู างจากกนบอไมเกิน 5 เมตร แตเ นอื่ งจากบอ นํ้านล้ี ึก 10 เมตร ดงั นน้ั หอยทากตัวน้ไี มสามารถคลานออกจากบอนาํ้ นี้ได สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 345 46. 1) จากอนุกรม (−2) + 8 + (−24) + + n(−2)n + จะได 2) S1 = −2 S2 = −2 + 8 = 6 S3 = −2 + 8 − 24 = −18 ----- (1) ให Sn แทนผลบวก n พจนแ รกของอนุกรมนี้ จะได Sn = 1(−2) + 2 ⋅(−2)2 + 3⋅(−2)3 + + n ⋅(−2)n จาก (1) จะได (−2) Sn = 1(−2)2 + 2 ⋅ (−2)3 + 3⋅ (−2)4 + + (n −1) ⋅ (−2)n + n( )−2 n+1 ----- (2) จาก (1) และ (2) จะได 3Sn = (−2) + (2 −1)(−2)2 + (3 − 2)(−2)3 + + (n − (n −1))(−2)n − n ⋅ ( )−2 n+1 ( )3Sn = (−2) + (−2)2 + (−2)3 + + (−2)n − n ⋅ (−2)n+1 ----- (3) จะเหน็ วา (−2) + (−2)2 + (−2)3 + + (−2)n เปน อนุกรมเรขาคณิตท่มี ี a1 = −2 และ r = −2 จาก (3) และสูตรการหาผลบวก n พจนแ รกของอนกุ รมเรขาคณติ จะได ( )(−2) 1− (−2)n 3Sn = 1− (−2) − n ⋅ ( )−2 n+1 ( )3Sn −2 − n ⋅ (−2)n+1 = 3 1− (−2)n − 2 1 − (−2)n n ⋅ (−2)n+1 9 − =( )Sn 3 ( )ดังนั้น ลําดับของผลบวกยอยของอนุกรมน้ี คือ −2, 6, −18, , − 2 1− (−2)n − n ⋅(−2)n+1 , 93 จากอนกุ รม 1+ 0.2 + 0.03 + + 10 n + จะได 10n S1 = 1 S2 = 1+ 0.2 = 1+ 2 10 S3 = 1+ 0.2 + 0.03 = 1+ 2 + 3 10 100 ให Sn แทนผลบวก n พจนแรกของอนุกรมนี้ สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
346 คูม อื ครูรายวชิ าเพิม่ เติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 จะได Sn =1 + 2 +3 + + n −1 ----- (1) 10 102 10n จาก (1) จะได 1 Sn = 1 +2 +3 + +n ----- (2) 10 10 102 103 10n จาก (1) และ (2) จะได 9 Sn = 1+ (2 −1) 1 + (3− 2 ) 1 ++ (n −(n )−1) 1 − n ⋅ 1 10 102 10n−1 10n 10 9 = 1+ 1 + 1 ++ 1 − n ⋅ 1 ----- (3) 10 Sn 10 102 10n−1 10n จะเห็นวา 1 + 1 + 1 + + 1 เปน อนุกรมเรขาคณติ ทมี่ ี a1 = 1 และ r= 1 10 102 10n−1 10 จาก (3) และสตู รการหาผลบวก n พจนแรกของอนกุ รมเรขาคณิต จะได − 1 n 11 10 9 = 1 − n ⋅ 1 10 Sn 10n 1− 10 9 Sn = 10 − 1 n − n 10 9 1 10 10n Sn = 100 − 1 n − 9 n −1 81 1 10 ⋅10n ดังนนั้ ลาํ ดับของผลบวกยอ ยของอนุกรมน้ี คอื 1, 1.2, 1.23, , 100 − 1 n − 9 n , 81 1 10 ⋅10n−1 3) จากอนุกรม 1+ 4 +18 + + n ⋅ n!+ จะได S1 = 1 S2 = 1+ 4 = 5 S3 = 1 + 4 +18 = 23 ให Sn แทนผลบวก n พจนแรกของอนุกรมนี้ จะได Sn = 1⋅1!+ 2 ⋅ 2!+ 3⋅ 3!+ + n ⋅ n! สงั เกตวา สาํ หรับจํานวนนับ k ใด ๆ จะได สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 347 k ⋅ k! = (k +1−1) ⋅ k! = ((k +1) −1) ⋅ k! = (k +1)k!− k! = (k +1)!− k! ดังนั้น Sn = 1⋅1!+ 2 ⋅ 2!+ 3⋅ 3!+ + n ⋅ n! = (2!−1!) + (3!− 2!) + (4!− 3!) + + (n!− (n −1)!) + ((n +1)!− n!) = −1!+ (n +1)! = (n +1)!−1! น่ันคือ ลาํ ดบั ของผลบวกยอยของอนุกรมนี้ คอื 1, 5, 23, , (n +1)!−1, 47. พนกั งานหางสรรพสนิ คาแหง หนงึ่ จดั เรียงสมสายน้ําผ้งึ ใหม ลี กั ษณะคลา ยพีระมิดฐาน ส่ีเหล่ยี มจัตรุ ัส โดย ในชั้นท่ี 1 (ชัน้ ลา งสุด) วางสม จาํ นวน 100 ผล ในชน้ั ท่ี 2 วางสม จาํ นวน 81 ผล ในช้นั ท่ี 3 วางสม จํานวน 64 ผล และวางสม เชน น้ีตอไปเรือ่ ย ๆ จนกระทัง่ ในช้นั ที่ n (ชั้นบนสุด) ซึง่ วางสม จาํ นวน 1 ผล จะไดวา พนักงานคนน้วี างสมในชัน้ ที่ 1, 2, 3, , n จาํ นวน 100, 81, 64, , 1 ผล 1) จาํ นวนสม ท้งั หมดท่ีวาง เทา กับ 100 + 81+ 64 + + 9 + 4 +1 พิจารณาอนุกรม 100 + 81+ 64 + + 9 + 4 +1 จะได 100 + 81+ 64 + + 9 + 4 +1 = 1+ 4 + 9 + +100 = 12 + 22 + 32 + +102 10 ∑= n2 n=1 10(10 +1)(20 +1) = 6 = 385 ดงั นั้น จะมสี ม วางอยูที่ชน้ั วางนี้ 385 ผล 2) เนอ่ื งจากในชนั้ ท่ี 5 และชัน้ ที่ 7 วางสมจํานวน 62 และ 42 ตามลําดบั จะไดวา ถา ไมน ับสมในชั้นท่ี 5 และ 7 จะเหลอื สม (385 − 62 )+ 42 =333 ผล สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
348 คูม อื ครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 3) ตอ งการนาํ สม 1,015 ผล มาจดั เรยี งเปน พีระมิดฐานสเี่ หลีย่ มจตั ุรัสในลักษณะเดียวกับทก่ี ําหนด โดยในชั้นที่ 1 (ช้นั ลางสุด) วางสมจาํ นวน n2 ผล ในช้ันที่ 2 วางสมจาํ นวน (n −1)2 ผล ในชั้นท่ี 3 วางสมจํานวน (n − 2)2 ผล และวางสม เชน นต้ี อ ไปเรอ่ื ย ๆ จนกระทง่ั ในชน้ั ที่ n (ช้ันบนสดุ ) ซึง่ วางสม จาํ นวน 1 ผล จะไดวา พนักงานคนน้ีวางสมในชัน้ ท่ี 1, 2, 3, , n จาํ นวน n2, (n −1)2 , (n − 2)2 , , 1 ผล ดงั นนั้ จาํ นวนสมทง้ั หมดท่วี าง เทา กบั n2 + (n −1)2 + (n − 2)2 + +1 ผล พิจารณาอนุกรม n2 + (n −1)2 + (n − 2)2 + +1 จะได n2 + (n −1)2 + (n − 2)2 + +1 = 1+ 4 + 9 + + n2 n ∑= i2 i =1 n(n +1)(2n +1) = 6 เนื่องจากมสี ม ท้ังหมด 1,015 ผล จะได นั่นคอื n(n +1)(2n +1) = 1,015 6 n = 14 ดังน้ัน จะตองวางสมในชั้นแรก 142 =196 ผล และจะวางสม ไดท ัง้ หมด 14 ชน้ั 48. ฝากเงิน 5,000 บาท ไดรบั อตั ราดอกเบ้ียรอยละ 1.5 ตอป โดยคิดดอกเบ้ยี แบบทบตนทุก 3 เดือน ในทนี่ ี้ไมม ีการฝากและถอนในระหวา ง 3 ป ให =P 5000=, k 4=, n 3 และ i =1.5 จะไดวา =r =i 1=.5 0.015 100 100 จากทฤษฎบี ท 10 จะไดวา จํานวนเงินในบญั ชีเมอื่ ฝากเงินครบ 3 ป คอื 5, 000 1 + 0.015 4(3) บาท 4 หรอื ประมาณ 5,229.70 บาท สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 349 49. ฝากเงนิ 18,600 บาท ไดรบั อัตราดอกเบ้ียรอยละ 4 ตอป โดยคดิ ดอกเบี้ยแบบทบตนทุก 6 เดือน ในทีน่ ไี้ มมกี ารฝากและถอนในระหวาง 15 ป ให =P 18600=, k 2=, n 15 และ i = 4 จะไดว า=r =i =4 0.04 100 100 จากทฤษฎีบท 10 จะไดวา จํานวนเงินในบญั ชีเมื่อฝากเงนิ ครบ 15 ป คือ 18, 600 1 + 0.04 2(15) บาท 2 หรอื ประมาณ 33,691.33 บาท 50. แมของสทุ ัศนตองการฝากเงนิ ในธนาคาร 10,000,000 บาท เปนเวลา 10 ป โดยไมม ีการ ฝากถอนในระหวาง 10 ปน ้ี พิจารณา ธนาคาร A ซึง่ กําหนดอัตราดอกเบีย้ 12% ตอ ป โดยคดิ ดอกเบย้ี ทบตน ทุกส้ินเดือน ให= P 1000000=0, k 1=2, n 10 และ i =12 จะไดว า=r =i 1=2 0.12 100 100 จากทฤษฎีบท 10 จะไดว า เม่อื แมข องสทุ ัศนเลือกฝากเงินในธนาคาร A ครบ 10 ป จะได เงนิ รวม 10, 000, 000 1 + 0.12 12(10) บาท หรอื ประมาณ 33,003,868.95 บาท 12 พิจารณา ธนาคาร B ซงึ่ กาํ หนดอตั ราดอกเบี้ย 12.5% ตอ ป โดยคดิ ดอกเบ้ียแบบทบตนทุกส้ินป =ให P 1=0000000, n 10 และ i = 12.5 จะไดวา =r =i 12=.5 0.125 100 100 จากทฤษฎีบท 9 จะไดว า เม่ือแมข องสทุ ัศนเลอื กฝากเงินในธนาคาร B ครบ 10 ป จะได เงนิ รวม 10,000,000(1+ 0.125)10 บาท หรอื ประมาณ 32,473,210.25 บาท ดังน้ัน แมของสทุ ศั นค วรเลอื กฝากเงินกับธนาคาร A จงึ จะไดเงินรวมมากที่สุด และไดเงินรวม เมือ่ ส้ินปท ่ี 10 ประมาณ 33,003,868.95 บาท 51. เอกฝากเงิน 100,000 บาท โดยธนาคารคดิ ดอกเบยี้ แบบทบตนทกุ 6 เดือน และอัตราดอกเบ้ยี คงที่ตลอดระยะเวลาท่ีฝากเงิน เมอื่ ฝากเงนิ ครบ 10 ป เขาพบวา มีเงนิ ในบัญชีประมาณ 148,595 บาท ให= P 100000=, k 2=, n 10 และมีเงินรวม 148,595 บาท สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
350 คูมือครูรายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 จากทฤษฎีบท 10 จะไดว า 148,595 = 100, 000 1 + r 2(10) 2 1.48595 = 1 + r 20 2 นั่นคอื 1 + r = 20 1.48595 2 ( )r = 2 20 1.48595 −1 r ≈ 0.04 ดงั นั้น ธนาคารแหงน้ีกาํ หนดอตั ราดอกเบ้ียประมาณ 4% ตอป 52. ตนตระการกเู งินจากวิทวัสจํานวน 200,000 บาท โดยมกี ําหนดชําระหน้ีท้งั หมดในอกี 2 ป ขา งหนา เปน เงิน 300,000 บาท และดอกเบีย้ ทีว่ ทิ วัสเรยี กเก็บคิดดอกเบ้ียแบบทบตน ทุกป =ให P 1=00000, n 2 และมเี งินรวม 300,000 บาท จากทฤษฎบี ท 9 จะไดวา 300,000 = 200,000(1+ r )2 นน่ั คอื 1.5 = (1+ r )2 r = 1.5 −1 r ≈ 0.2247 ดงั นั้น ดอกเบ้ยี ท่วี ทิ วสั เรียกเก็บสามารถคิดเปนอัตราดอกเบ้ียรอยละ 0.2247×100 =22.47 ตอ ป ซ่ึงอัตราดอกเบย้ี ดังกลาวไมเปนไปตามท่ีกฎหมายกําหนด 53. แตละเดือนบรษิ ัทตอ งจา ยเงนิ ชดเชยรายไดร วมเปน เงนิ 23,000 + 37,000 =60,000 บาท เปนเวลา 3 ป บริษัทแหงน้นี ําเงินที่จะใชใ นการจายเงินชดเชยรายไดไปฝากธนาคาร ซ่ึงกําหนดอัตราดอกเบยี้ 5% ตอ ป โดยคิดดอกเบย้ี แบบทบตนทกุ เดอื น (หรืออตั ราดอกเบ้ยี ตอเดือน คือ 5 % ) 12 5 จะไดว า =r 1=2 1 100 240 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 351 เขยี นแผนภาพแสดงมลู คาปจ จบุ ันของเงนิ ทบ่ี รษิ ัทนําไปฝากธนาคารเปน เวลา 36 เดอื น (3 ป) ไดดังนี้ จากแผนภาพจะไดว า มลู คาปจ จบุ ันของเงินชดเชยรายไดทต่ี องจายในเดอื นแรก คือ 60, 000 1 + 1 −1 =60, 000 240 บาท 240 241 มูลคาปจ จบุ ันของเงนิ ชดเชยรายไดท ตี่ องจายในเดอื นที่ 2 คอื 60, 000 1 + 1 −2 =60, 000 240 2 บาท 240 241 มลู คาปจจบุ นั ของเงนิ ชดเชยรายไดทต่ี องจา ยในเดอื นที่ 3 คอื 60, 000 1 + 1 −3 =60, 000 240 3 บาท 240 241 มูลคา ปจ จบุ นั ของเงินชดเชยรายไดท่ีตองจา ยในเดอื นที่ 36 คือ 60, 000 1 + 1 −36 =60,000 224401 36 บาท 240 สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
352 คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 น่นั คอื เม่ือครบ 3 ป ยอดเงนิ รวมของเงินชดเชยรายไดท่ีตองจา ย เทากับ 60, 000 240 + 60, 000 240 2 + 60, 000 240 3 + + 60, 000 240 36 บาท 241 241 241 241 ซ่ึงเปน อนุกรมเรขาคณิตทม่ี ี a1 = 60, 000 240 และ r= 240 241 241 จะได ยอดเงินรวมของเงินชดเชยรายไดท่ตี องจา ย เทา กบั 60, 000 240 − 240 36 241 1 241 ≈ 2,001,942.08 บาท 1− 240 241 ดงั น้ัน นายจางตอ งนําเงินไปฝากอยา งนอย 2,001,924.08 บาท 54. วชิ ยั ตอ งการฝากเงินกบั ธนาคารแหง หนึ่งซงึ่ กําหนดอัตราดอกเบย้ี 5% ตอป โดยคดิ ดอกเบีย้ แบบทบตน ทกุ ป และวิชยั ตองการใหมีเงนิ ในบัญชีประมาณ 250,000 บาท ในเวลา 10 ป โดยไมมกี ารฝากถอนในระหวาง 10 ปน ้ี ให=S 250000,=k 1,=n 10 และ i = 5 นัน่ คอื =r =5 0.05 100 จะได P = 250, 000 1 + 0.05 −1(10) ≈ 153, 478.31 1 ดังน้ัน วิชยั ตอ งฝากเงนิ ตน ไวอ ยา งนอย 153,479 บาท 55. ธรี ะฝากเงินไวกบั ธนาคารแหงหนึ่ง เมอื่ เวลาผานไป 10 ป โดยไมม ีการฝากถอนในระหวาง 10 ปน ้ี พบวา มเี งนิ ในบญั ชี 122,079.42 บาท โดยธนาคารกาํ หนดอัตราดอกเบย้ี 2% ตอ ป และคดิ ดอกเบ้ียแบบทบตนทุก 3 เดือน ให= S 122079.42=, k 4=, n 10 และ i = 2 น่ันคอื =r =2 0.02 100 จะได P= 122, 079.42 1 + 0.02 −4(10) ≈ 100,000 4 ดงั นัน้ เงินตนท่ธี รี ะฝากไวเ มือ่ 10 ปก อน ประมาณ 100,000 บาท สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 353 56. หมากฝากเงนิ กับธนาคารแหง หนง่ึ เดือนละ 2,000 บาท ทกุ สิน้ เดือน และธนาคารกาํ หนดอัตราดอกเบ้ยี รอยละ 3 ตอป โดยคิดดอกเบี้ยแบบทบตน ทุกเดือน น่ันคือ ธนาคารคดิ ดอกเบย้ี แบบทบตนรอยละ 3 = 1 ตอ เดอื น 12 4 1 จะไดวา =r =4 0.0025 100 เขียนแผนภาพแสดงการฝากเงินและมูลคา ของเงินเม่ือสิน้ เดือนที่ 24 ไดดงั นี้ จากแผนภาพจะไดวา เม่ือส้ินงวดท่ี 24 เงนิ ฝากเม่ือสิน้ เดอื นที่ 1 จํานวน 2,000 บาท จะมมี ลู คา 2,000(1.0025)23 บาท เงินฝากเมื่อสน้ิ เดือนท่ี 2 จํานวน 2,000 บาท จะมมี ลู คา 2,000(1.0025)22 บาท เงนิ ฝากเมื่อสิน้ เดือนที่ 3 จาํ นวน 2,000 บาท จะมมี ูลคา 2,000(1.0025)21 บาท เงนิ ฝากเมื่อสน้ิ เดือนท่ี 23 จาํ นวน 2,000 บาท จะมีมลู คา 2,000(1.0025) บาท เงนิ ฝากเม่ือสน้ิ เดอื นท่ี 24 จํานวน 2,000 บาท จะมมี ูลคา 2,000 บาท น่นั คอื เม่ือสน้ิ เดอื นที่ 24 หมากจะไดเงินรวม 2,000(1.0025)23 + 2,000(1.0025)22 + 2,000(1.0025)21 + + 2,000 บาท หรือ 2,000 + 2,000(1.0025) + 2,000(1.0025)2 + + 2,000(1.0025)23 บาท ซ่ึงเปนอนุกรมเรขาคณิตท่มี ี 24 พจน พจนแ รก คือ 2,000 และอัตราสว นรว ม คือ 1.0025 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
354 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 ( )จะไดผ ลบวก 24 พจนแ รกของอนุกรมน้ี คอื 2,000 (1.0025)24 −1 หรือประมาณ 49,405.64 บาท 1.0025 −1 ดังนนั้ เมื่อส้นิ เดือนท่ี 24 หมากจะมเี งนิ รวมประมาณ 49,405.64 บาท 57. มะปรางมีรายรบั เดอื นละ 20,000 บาท และตองการออมเงนิ ทกุ ส้นิ เดอื น เดอื นละ 10% ของรายรับ น่ันคอื มะปรางออมเงนิ ทุกสิ้นเดือน เดอื นละ 10 (20,000) = 2,000 บาท 100 มะปรางฝากเงินเขา บญั ชธี นาคารท่กี ําหนดอตั ราดอกเบ้ีย 12% ตอ ป และคดิ ดอกเบ้ยี แบบ ทบตนทุกเดอื น นนั่ คอื ธนาคารกาํ หนดอตั ราดอกเบีย้ 12 =1% ตอเดอื น 12 จะไดวา =r =1 0.01 100 เขยี นแผนภาพแสดงการฝากเงินและมูลคาของเงนิ เม่ือส้ินเดือนที่ 24 (ครบ 2 ป) ไดดังน้ี จากแผนภาพจะไดวาเมื่อสิ้นงวดที่ 24 เงินฝากเม่ือสิน้ เดือนที่ 1 จํานวน 2,000 บาท จะมมี ูลคา 2,000(1.01)23 บาท เงินฝากเม่ือส้ินเดือนท่ี 2 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา 2,000(1.01)22 บาท เงินฝากเม่ือสิน้ เดอื นท่ี 3 จํานวน 2,000 บาท จะมมี ลู คา 2,000(1.01)21 บาท เงินฝากเมื่อส้ินเดอื นที่ 23 จาํ นวน 2,000 บาท จะมีมูลคา 2,000(1.01) บาท เงินฝากเมื่อสิ้นเดอื นท่ี 24 (ครบ 2 ป) จาํ นวน 2,000 บาท จะมมี ูลคา 2,000 บาท สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 355 นน่ั คือ เมื่อเวลาผา นไป 2 ป มะปรางจะไดเ งินออมทั้งหมด 2,000(1.01)23 + 2,000(1.01)22 + 2,000(1.01)21 + + 2,000 บาท หรือ 2,000 + 2,000(1.01) + 2,000(1.01)2 + + 2,000(1.01)23 บาท ซึ่งเปน อนุกรมเรขาคณิตท่ีมี 24 พจน พจนแ รก คือ 2,000 และอตั ราสว นรวม คือ 1.01 ( )จะไดผ ลบวก 24 พจนแ รกของอนุกรมน้ี คือ 2,000 (1.01)24 −1 หรือประมาณ 53,946.93 บาท 1.01 − 1 ดงั นั้น เมือ่ เวลาผานไป 2 ป มะปรางจะมีเงนิ ออมทงั้ หมดประมาณ 53,946.93 บาท 58. ในวันที่ 1 มิถนุ ายน 2561 สม ซาฝากเงนิ 100,000 บาท เขา บัญชเี งนิ ฝากออมทรพั ยท่ีให อัตราดอกเบีย้ รอยละ 1.2 ตอป โดยคดิ ดอกเบี้ยแบบทบตนทุกเดือน นั่นคอื ธนาคารใหอ ตั ราดอกเบย้ี รอ ยละ 1.2 = 0.1% ตอเดือน 12 ถาไมมีการฝากถอนในระยะเวลา 1 ป จากทฤษฎีบท 10 จะไดว า เมอ่ื ครบ 1 ป สม ซา จะมเี งนิ ในบญั ชที ั้งหมด 100, 000 1 + 0.1 12(1) บาท หรอื ประมาณ 101,206.62 บาท 100 จาก สม ซา โอนเงินใหน อ งสาวทกุ วันที่ 1 ของเดือน ตัง้ แตเดือนมิถุนายน 2561 โดย ไมเ สยี คา ธรรมเนยี มในการโอน จะไดวา เมื่อตนเดือนที่ 1 (มิถุนายน) สม ซาถอนเงนิ ไป 5,000 บาท ทาํ ใหเมื่อครบ 1 ป เงินในบัญชีของสมซาจะลดลง 5,000(1.001)12 บาท เมื่อตนเดือนท่ี 2 สมซาถอนเงินไป 5,000 บาท ทําใหเมื่อครบ 1 ป เงนิ ในบัญชีของสม ซาจะ ลดลง 5,000(1.001)11 บาท เม่ือตนเดือนที่ 3 สมซาถอนเงินไป 5,000 บาท ทําใหเมื่อครบ 1 ป เงนิ ในบัญชีของสมซาจะ ลดลง 5,000(1.001)10 บาท ในทาํ นองเดยี วกัน จะไดวา เม่ือตน เดือนท่ี 12 สม ซาถอนเงินไป 5,000 บาท ทาํ ใหเ ม่ือครบ 1 ป เงนิ ในบัญชขี องสม ซา จะลดลง 5,000(1.001) บาท ดังนน้ั เมื่อครบ 1 ป เงนิ ในบญั ชขี องสมซาจะลดลงทั้งหมด 5,000(1.001)12 + 5,000(1.001)11 + 5,000(1.001)10 + + 5,000(1.001) หรอื 5,000(1.001) + 5,000(1.001)2 + 5,000(1.001)3 + + 5,000(1.001)12 ซงึ่ เปน สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
356 คมู อื ครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 อนกุ รมเรขาคณิตที่มี 12 พจน พจนแรก คือ 5,000(1.001) และอตั ราสว นรวม คอื 1.001 นั่นคอื เม่ือครบ 1 ป เงินในบัญชีของสม ซาจะลดลงท้ังหมด ( )(5,000(1.001)) 1.00112 −1 บาท 1.001 − 1 หรอื ประมาณ 60,391.43 บาท ดงั นัน้ เม่ือครบ 1 ป สมซา จะมีเงนิ เหลือในบัญชีประมาณ 101,206.62 – 60,391.43 = 40,815.19 บาท เน่อื งจาก เมอื่ ครบ 1 ป หากไมน าํ ดอกเบยี้ จากธนาคารมาคํานวณ สมซาจะเหลือเงนิ 100,000 −12(5,000) =40,000 จะไดวา เมอื่ ครบ 1 ป สม ซาจะไดรบั ดอกเบ้ยี จากบญั ชีเงินฝากนีป้ ระมาณ 40,815.19 – 40,000 = 815.19 บาท 59. ยอดรักผอ นตูเ ย็นราคา 30,000 บาท ดวยยอดชาํ ระเทากันทกุ เดือน เดอื นละ R บาท เปน เวลา 6 เดือน โดยผอ นชําระทกุ ส้ินเดือน อัตราดอกเบ้ีย 18% ตอ ป โดยคดิ ดอกเบ้ยี แบบ 18 ทบตน ทกุ เดอื น (หรอื อตั ราดอกเบี้ยตอ งวด คือ 18 % ) จะไดว า =r 1=2 203 12 100 200 เขียนแผนภาพแสดงการผอนตเู ย็นของยอดรักเปนเวลา 6 เดือน ไดด ังนี้ สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 357 จากแผนภาพจะไดวา มูลคา ปจ จบุ ันของเงินผอ นงวดที่ 1 คอื R 1+ 3 −1 =R 220003 บาท 200 มูลคาปจจุบันของเงินผอ นงวดท่ี 2 คอื R 1+ 3 −2 =R 220003 2 บาท 200 มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 3 คือ R 1+ 3 −3 =R 220003 3 บาท 200 มลู คาปจ จุบนั ของเงินผอ นงวดท่ี 6 คือ R 1+ 3 −6 =R 220003 6 บาท 200 น่ันคอื เม่ือครบ 6 เดอื น ยอดเงินรวมที่ยอดรกั จา ยเพ่อื ผอ นตูเย็น เทา กบั R 200 + R 200 2 + R 200 3 + + R 200 6 บาท 203 203 203 203 ซ่งึ เปน อนกุ รมเรขาคณิตท่ีมี 6 พจน พจนแ รก คือ R 200 และอัตราสวนรวม คือ 200 203 203 R 200 − 200 6 203 1 203 จะไดผ ลบวก 6 พจนแรกของอนกุ รมนี้ คือ บาท 1− 200 203 เน่อื งจาก ยอดรกั ผอนตเู ยน็ ราคา 30,000 บาท R 200 − 200 6 203 1 203 จะได 30,000 = 1− 200 203 นน่ั คอื 30, 000 1 − 200 203 R= ≈ 5,265.76 6 200 1 − 200 203 203 ดงั นัน้ ยอดรักจะตองผอนชาํ ระเดือนละประมาณ 5,265.76 บาท สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
358 คมู ือครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 60. อนงคซอ้ื รถยนตราคา 600,000 บาท โดยตกลงจายเงินดาวน 15% ของราคารถยนต นั่นคอื อนงคจ า ยเงนิ ดาวน 15 (600,000) = 90,000 บาท 100 และผอนชาํ ระสว นที่เหลือเปน จาํ นวนเงนิ เทากันทุกเดือน เปนเวลา 4 ป โดยผอ นชาํ ระทุก สนิ้ เดอื น เดอื นละ R บาท อัตราดอกเบ้ยี 6% ตอป (หรืออตั ราดอกเบย้ี ตอ งวด คอื 6 % ) 12 6 จะไดวา=r 1=2 1 100 200 เขยี นแผนภาพแสดงการจายเงนิ ผอ นรถยนตข องใบเตยเปนเวลา 4 ป (48 งวด) ไดด ังน้ี จากแผนภาพจะไดว า มูลคาปจจบุ นั ของเงินผอ นงวดที่ 1 คือ R 1 + 1 −1 =R 220001 บาท 200 มูลคา ปจ จบุ นั ของเงินผอ นงวดท่ี 2 คอื R 1+ 1 −2 =R 220001 2 บาท 200 มลู คา ปจจุบันของเงนิ ผอนงวดท่ี 3 คือ R 1+ 1 −3 =R 220001 3 บาท 200 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 359 มูลคาปจจุบันของเงนิ ผอ นงวดท่ี 48 คอื R 1+ 1 −48 =R 220001 48 บาท 200 นัน่ คือ เมอ่ื ครบ 4 ป (48 เดือน) ยอดเงินรวมท่อี นงคจา ยเพ่อื ผอ นรถยนต เทากับ R 200 + R 200 2 + R 200 3 + + R 200 48 บาท 201 201 201 201 ซ่ึงเปนอนกุ รมเรขาคณติ ท่ีมี 48 พจน พจนแรก คอื R 200 และอตั ราสวนรว ม คือ 200 201 201 R 200 − 200 48 201 1 201 จะไดผลบวก 6 พจนแ รกของอนกุ รมน้ี คือ บาท 1 − 200 201 เน่ืองจากอนงคเ หลอื เงินท่ีตอ งชําระอีก 600,000 – 90,000 = 510,000 บาท R 200 − 200 48 201 1 201 จะได 510,000 = 1 − 200 201 นั่นคอื R= 510,0001 − 200 ≈ 11,977.36 201 200 − 200 48 201 1 201 ดังนน้ั อนงคจ ะตอ งผอนชําระเดอื นละประมาณ 11,977.36 บาท และเสียดอกเบย้ี ทัง้ หมด 48(11,977.36) − 51,000 =64,913.28 บาท สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
360 คมู ือครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 บทท่ี 2 แคลคลู ัสเบื้องตน แบบฝกหัด 2.1ก 1. 1) แสดงคาของ f (x) = x −2 เม่ือ x เปน คา ตามทก่ี ําหนด x−4 x f (x) x f (x) 3.9 0.251582 4.1 0.248457 3.99 0.250156 4.01 0.249844 3.999 0.250016 4.001 0.249984 จากตารางจะเห็นวา f (x) เขา ใกล 0.25 เมื่อ x เขา ใกล 4 ท้ังทางดานซายและขวาของ 4 ดังนั้น lim x − 2 = 0.25 x→4 x − 4 2) แสดงคาของ f ( x) = x−2 6 เมอ่ื x เปน คา ตามท่กี าํ หนด x2 + x − x f (x) x f (x) 1.9 0.204082 2.1 0.196078 1.99 0.200401 2.01 0.199601 1.999 0.200401 2.001 0.199601 จากตารางจะเห็นวา f (x) เขาใกล 0.2 เม่ือ x เขาใกล 2 ทั้งทางดา นซา ยและขวาของ 2 ดังนนั้ lim x2 x−2 6 = 0.2 +x− x→2 3) แสดงคา ของ f ( x ) = 3x −3 เม่อื x เปน คา ตามทกี่ ําหนด x3 −1 x f (x) x f (x) 0.9 1.107011 1.1 0.906344 0.99 1.010067 1.01 0.990066 0.999 1.001001 1.001 0.999001 จากตารางจะเห็นวา f (x) เขาใกล 1 เมื่อ x เขา ใกล 1 ทงั้ ทางดานซา ยและขวาของ 1 ดงั นัน้ lim 3x −3 =1 x3 −1 x→1 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 361 4) แสดงคาของ f (x) = ex −1 เมอ่ื x เปนคา ตามท่ีกาํ หนด x x f (x) x f (x) −0.1 0.951626 0.1 1.051709 −0.01 0.995017 0.01 1.005017 −0.001 0.999500 0.001 1.000500 จากตารางจะเหน็ วา f (x) เขา ใกล 1 เม่ือ x เขา ใกล 0 ท้งั ทางดานซา ยและขวาของ 0 ดังน้นั lim ex −1 =1 x→0 x 5) แสดงคาของ f (x) = sin x เมือ่ x เปนคา ตามท่กี ําหนด x x f (x) x f (x) −1 0.841471 1 0.841471 −0.5 0.958851 0.5 0.958851 −0.1 0.998334 0.1 0.998334 −0.05 0.999583 0.05 0.999583 −0.01 0.999983 0.01 0.999983 จากตารางจะเห็นวา f (x) เขาใกล 1 เม่อื x เขา ใกล 0 ทง้ั ทางดา นซา ยและขวาของ 0 ดงั นน้ั lim sin x =1 x→0 x 6) แสดงคาของ f (x) = xln x เมือ่ x เปน คา ตามท่ีกําหนด x f (x) 0.1 −0.230259 0.01 −0.046052 0.001 −0.006908 0.0001 −0.000921 0.00001 −0.000115 จากตารางจะเห็นวา f (x) เขา ใกล 0 เม่ือ x เขา ใกล 0 ทางดา นขวาของ 0 ดงั นนั้ lim xln x = 0 x→0+ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
362 คมู ือครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 7) แสดงคา ของ f ( x) = | x| เม่อื x เปนคาตามท่ีกําหนด x2 +x x f (x) x f (x) −0.1 −1.111111 0.1 0.909091 −0.01 −1.010101 0.01 0.990099 −0.001 −1.001001 0.001 0.999001 จากตารางจะเห็นวา f (x) เขา ใกล −1 เมื่อ x เขาใกล 0 ทางดา นซายและ f (x) เขาใกล 1 เม่ือ x เขาใกล 0 ทางดานขวา ดังน้นั lim |x| ไมมีคา x2 + x x→0 2. 1) f (1) = 2 2) เม่ือ x →1− หมายถึง x เขา ใกล 1 ทางดานซา ย (x <1) จะไดว าคา ของ f (x) เขาใกล 2 ดงั นนั้ lim f ( x) = 2 x→1− 3) เม่ือ x →1+ หมายถงึ x เขาใกล 1 ทางดานขวา (x >1) จะไดว าคาของ f (x) เขา ใกล 3 ดงั นนั้ lim f ( x) = 3 x→1+ 4) เนอื่ งจาก lim f ( x) ≠ lim f ( x) x→1− x→1+ ดังนน้ั lim f (x) ไมม ีคา x→1 5) จาก f (x) ไมนยิ ามที่ x = 5 ดังน้นั f (5) ไมม ีคา 6) เม่ือ x → 5+ หมายถึง x เขา ใกล 5 ทางดานขวา (x > 5) จะไดว าคาของ f (x) เขาใกล 4 ดังน้ัน lim f ( x) = 4 x→5+ 7) เมื่อ x → 5− หมายถึง x เขาใกล 5 ทางดานซา ย (x < 5) จะไดว าคา ของ f (x) เขาใกล 4 ดังนน้ั lim f ( x) = 4 x→5− 8) เน่ืองจาก l=im f ( x) l=im f ( x) 4 x→5− x→5+ ดังนัน้ lim f ( x) = 4 x→5 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 363 3. 1) f (0) = 3 2) เม่ือ x เขา ใกล 0 ทั้งทางดา นซา ย (x < 0) และขวา (x > 0) จะไดว า คา ของ f (x) เขาใกล 3 ดังน้นั lim f ( x) = 3 x→0 3) f (3) = 3 4) เมื่อ x เขาใกล 3 ทางดา นซา ย (x < 3) จะไดว าคาของ f (x) เขา ใกล 4 ดังนั้น lim f ( x) = 4 x→3− 5) เมื่อ x เขา ใกล 3 ทางดานขวา (x > 3) จะไดวา คาของ f (x) เขาใกล 2 ดงั นน้ั lim f ( x) = 2 x→3+ 6) เน่อื งจาก lim f ( x) ≠ lim f ( x) x→3− x→3+ ดงั นน้ั lim f (x) ไมม ีคา x→3 4. 1) g (0) = −1 2) เมื่อ x เขา ใกล 0 ทางดา นซา ย (x < 0) จะไดวาคา ของ g (x) เขา ใกล −1 ดงั นั้น lim g ( x) = −1 x→0− 3) เม่ือ x เขา ใกล 0 ทางดานขวา (x > 0) จะไดว า คาของ g (x) เขา ใกล −2 ดงั น้ัน lim g ( x) = −2 x→0+ 4) เนื่องจาก lim g ( x) ≠ lim g ( x) x→0− x→0+ ดังนั้น lim g (x) ไมมีคา x→0 5) g (2) =1 6) เม่ือ x เขา ใกล 2 ทางดานซาย (x < 2) จะไดวาคาของ g (x) เขาใกล 2 ดงั นั้น lim g ( x) = 2 x→2− 7) เม่ือ x เขา ใกล 2 ทางดา นขวา (x > 2) จะไดวาคา ของ g (x) เขา ใกล 0 ดังนั้น lim g ( x) = 0 x→2+ 8) เนอื่ งจาก lim g ( x) ≠ lim g ( x) x→2− x→2+ ดงั นั้น lim g (x) ไมม ีคา x→2 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
364 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 9) เม่ือ x เขาใกล 4 ทั้งทางดา นซา ย (x < 4) และขวา (x > 4) จะไดว า คาของ g (x) เขาใกล 3 ดังนั้น lim g ( x) = 3 x→4 5. 1) f (1) = 0 2) เม่ือ x เขา ใกล 1 ทางดา นซา ย (x <1) จะไดวาคา ของ f (x) เขา ใกล −1 ดงั นั้น lim f ( x) = −1 x→1− 3) เมื่อ x เขา ใกล 1 ทางดา นขวา (x >1) จะไดว า คาของ f (x) เขา ใกล 0 ดงั นน้ั lim f ( x) = 0 x→1+ 4) เนื่องจาก lim f ( x) ≠ lim f ( x) x→1− x→1+ ดังนั้น lim f (x) ไมมีคา x→1 6. 1) เมื่อ x เขา ใกล 2 ทางดานซาย (x < 2) จะไดวา คา ของ f (x) เขา ใกล 2 ดังนน้ั lim f ( x) = 2 x→2− 2) เม่ือ x เขาใกล 2 ทางดานขวา (x > 2) จะไดว าคา ของ f (x) เขาใกล −2 ดงั นน้ั lim f ( x) = −2 x→2+ 3) เน่อื งจาก lim f ( x) ≠ lim f ( x) x→2− x→2+ ดงั นน้ั lim f (x) ไมม ีคา x→2 4) เม่ือ x เขา ใกล −2 ทางดา นซา ย (x < −2) จะไดว า คาของ f (x) เขาใกล 0 ดังน้ัน lim f ( x) = 0 x→−2− 5) เมื่อ x เขาใกล −2 ทางดานขวา (x > −2) จะไดวาคาของ f (x) เขาใกล 0 ดงั นน้ั lim f ( x) = 0 x→−2+ 6) เน่อื งจาก l=im f ( x) l=im f ( x) 0 x→−2− x→−2+ ดังนน้ั lim f ( x) = 0 x→−2 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 365 7. 1) เขยี นกราฟของฟง กชัน f (x)= 1+ x ไดดังรปู จากกราฟ เม่ือ x เขา ใกล 4 ทางดานซาย (x < 4) จะไดว าคาของ f (x) เขา ใกล 5 ดงั นนั้ lim (1+ x) =5 x→4− 2) เขยี นกราฟของฟง กชัน f ( x) = 2 1 ,x > 2 ไดดังรปู x + ,x≤2 จากกราฟ จะได lim f ( x) = 3 และ lim f ( x) = 2 x→2− x→2+ แต lim f ( x) ≠ lim f ( x) x→2− x→2+ ดงั นั้น lim f (x) ไมม คี า x→2 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
366 คมู อื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 แบบฝกหัด 2.1ข ( ) ( )1. 1) lim 3x2 + 7x −12 = lim 3x2 + lim(7x) − lim12 x→0 x→0 x→0 x→0 = 3lim x2 + 7 lim x −12 x→0 x→0 = 3(0)2 + 7(0) −12 = −12 ( )2) lim x5 − 2x ( )= lim x5 − lim (2x) x→−1 x→−1 x→−1 ( )= lim x5 − 2 lim x x→−1 x→−1 = (−1)5 − 2(−1) =1 3) lim x5 ( x − 2) ( )( )= lim x5 lim( x − 2) x→5 x→5 x→5 = (55 )(5 − 2) = 9,375 ( )( )( ) ( )4) lim ( x + 3) x2 + 2 = lim ( x + 3) lim x2 + 2 x→−1 x→−1 x→−1 ( )= (−1+ 3) (−1)2 + 2 =6 5) เนอื่ งจาก lim( 2x − 5) =2(3) − 5 =1 ≠ 0 x→3 จะได lim x +1 lim( x +1) x→3 x→3 2x − 5 = lim(2x − 5) x→3 = 3+1 1 =4 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 367 6) เนือ่ งจาก lim (x + 5) =0 จึงไมส ามารถใชท ฤษฎบี ท 2 ขอ 5 ไดโ ดยตรง x→−5 จัดรปู ฟงกชันใหม ดังนี้ x2 − 25 ( x − 5)( x + 5) x+5 = x+5 = x − 5 เม่ือ x ≠ −5 ดังนนั้ lim x2 − 25 =lim ( x − 5) =−5 − 5 =−10 x→−5 x + 5 x→−5 7) เนือ่ งจาก lim( x2 − )x − 2 =(1)2 −1− 2 =−2 ≠ 0 x→1 x +1 lim( x +1) x→1 lim x2 − x − 2 ( )จะได lim x2 − x − 2 = x→1 x→1 = 1+1 −2 = −1 8) เน่อื งจาก lim( x2 )+ 4x + 3 = (1)2 + 4(1) + 3 = 8 ≠ 0 x→1 จะได lim x2 − x − 2 = ( )lim x2 − x − 2 x2 + 4x + 3 x→1 x→1 ( )lim x2 + 4x + 3 x→1 12 −1 − 2 = 8 = −1 4 9) เนอ่ื งจาก lim(1− x) =0 จงึ ไมสามารถใชท ฤษฎีบท 2 ขอ 5 ไดโดยตรง x→1 จัดรูปฟง กช ันใหม ดงั นี้ ( )( )1− x = 1− x 1− x 1− x 1+ x ดังนน้ั 1 เมอื่ x ≠ 1 1= =1 1 = lim1+ lim x 1+ 1 2 lim 1 1+ x x→1 x→1 lim 1=− x lim =1 ( )x→1= x→1 1 − x x→1 1 + x lim 1+ x x→1 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
368 คูมือครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 10) เนือ่ งจาก lim(9 − x) =0 จงึ ไมส ามารถใชท ฤษฎีบท 2 ขอ 5 ไดโดยตรง x→9 จัดรปู ฟงกชันใหม ดังนี้ ( )( )3− x = 3− x 9−x 3− x 3+ x =1 เมอื่ x ≠ 9 3+ x lim 3=− x lim =1 lim 1 1= =1 1 x→9 9 − x x→9 3 + x x→9= lim3 + lim x 3+ 9 6 lim 3 + x ( )ดงั นัน้ x→9 x→9 x→9 11) เน่อื งจาก lim(x −1) =0 จึงไมสามารถใชท ฤษฎีบท 2 ขอ 5 ไดโ ดยตรง x→1 จดั รูปฟงกช นั ใหม ดังน้ี 2− x+3 = 2− x+3⋅2+ x+3 x −1 x −1 2+ x+3 4 − ( x + 3) ( )= ( x −1) 2 + x + 3 =− 1 เมอ่ื x ≠ 1 2+ x+3 ดังนั้น lim 2 − x + 3= lim − 2 + 1 x→1 x −1 x + 3 x→1 ( )lim(−1) =−1 =− 1 =− 1 x +3 2+ 1+3 4 =x→1 lim 2 + x + 3 lim 2 + lim x→1 x→1 x→1 ( )12) lim 3 x2 −1 2 ( )= 3 lim x2 −1 2 x→0 x→0 ( )( ) 2 = 3 lim x2 −1 x→0 ( )= 3 02 −1 2 =1 สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 369 2. 1) เน่ืองจาก x + 4 = −( x + 4) เม่อื x < − 4 จะได lim x + 4 = lim − ( x + 4) = 0 x→− 4− x→ − 4− เน่ืองจาก x + 4 = x + 4 เม่ือ x > −4 จะได lim x + 4 = lim ( x + 4) = 0 x→− 4+ x→− 4+ จะไดว า lim x + 4 =0 = lim x + 4 x→− 4− x→− 4+ ดังน้นั lim x + 4 =0 x→− 4 2) เนื่องจาก x − 2 = −( x − 2) เมื่อ x < 2 จะได x−2 = −(x − 2) = lim (−1) = −1 lim x→2− x − 2 lim x→2− x→2− x − 2 และเนอ่ื งจาก x − 2 = x − 2 เมือ่ x > 2 จะได x − 2 = lim x − 2 = lim 1 = 1 x→2+ x − 2 x→2+ lim x→2+ x − 2 จะไดว า lim x − 2 ≠ lim x − 2 x→2− x − 2 x→2+ x − 2 ดังนัน้ lim x−2 ไมม ีคา x−2 x→2 3) เนือ่ งจาก x + 4 = −( x + 4) เมื่อ x < −4 จะได x+4 = −(x + 4) = lim (−1) = −1 lim x→−4− x + 4 lim x→−4− x + 4 x→− 4− 4) เนือ่ งจาก x = −x เมื่อ x < 0 จะได lim 1 + 1 = lim 1 − 1 = lim 0 = 0 x x x x x→0− x→0− x→0− 5) เนื่องจาก 2x − 3 = −(2x − 3) เมือ่ x < 3 2 จะได 2x2 − 3x lim x(2x − 3) = lim (−x) = −3 lim = 2 x→3− 2x − 3 x→ 3 − − ( 2x − 3) x→ 3 − 222 เนือ่ งจาก 2x − 3 = 2x − 3 เมอ่ื x > 3 2 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
370 คูม ือครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 จะได 2x2 − 3x x(2x − 3) 3 lim = lim = lim x = x→3+ 2x − 3 x→3+ 2x − 3 x→ 3 + 2 22 2 จะไดวา lim 2x2 − 3x ≠ lim 2x2 − 3x x→3− 2x − 3 x→3+ 2x − 3 22 ดังน้นั 2x2 − 3x ไมม คี า lim x→3 2x − 3 2 3. 1) เมอ่ื x < 2 จะไดว า f ( x) = x −1 ดงั น้นั lim f ( x) = lim ( x −1) x→2− x→2− = 2–1 =1 2) เมอ่ื x > 2 จะไดวา f ( x) = x2 − 4x + 6 ดงั นั้น ( )lim f ( x) = lim x2 − 4x + 6 x→2+ x→2+ = 22 − 4(2) + 6 =2 3) จาก 1) และ 2) จะไดวา lim f ( x) ≠ lim f ( x) x→2− x→2+ ดังนนั้ lim f ( x) ไมม ีคา x→2 4) เมอ่ื x เขาใกล 0 จะไดวา f ( x) = x −1 และ lim f ( x) = lim( x −1) x→0 x→0 = 0–1 = −1 ดังนัน้ lim f ( x) = −1 x→0 5) เมื่อ x เขา ใกล 5 จะไดว า f ( x) = x2 − 4x + 6 ( )และ lim f ( x) = lim x2 − 4x + 6 x→5 x→5 = 52 − 4(5) + 6 = 11 ดงั นั้น lim f ( x) =11 x→5 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 371 4. 1) เมื่อ x เขาใกล 0 ทางดา นขวา จะไดว า f ( x) = x2 และ lim f ( x) = lim x2 = 02 = 0 x→0+ x→0+ ดังนนั้ lim f ( x) = 0 x→0+ 2) เมื่อ x เขา ใกล 0 ทางดานซา ย จะไดว า f (x) = x จะได lim f ( x) = lim x = 0 x→0− x→0− ดังน้ัน lim f ( x) = 0 x→0− 3) จาก 1) และ 2) จะไดว า l=im f ( x) l=im f ( x) 0 x→0− x→0+ ดังนัน้ lim f ( x) = 0 x→0 4) เม่ือ x เขาใกล 2 ทางดา นซาย จะไดว า f (x) = x2 และ lim f ( x) = lim x2 = 22 = 4 x→2− x→2− 5) เมือ่ x เขาใกล 2 ทางดา นขวา จะไดวา f (x) = 8 − x และ lim f ( x) = lim (8 − x) = 8 – 2 = 6 x→2+ x→2+ 6) จาก 4) และ 5) จะไดว า lim f ( x) ≠ lim f ( x) x→2− x→2+ ดงั น้ัน lim f ( x) ไมมีคา x→2 7) เมือ่ x เขา ใกล 1 จะไดว า f ( x) = x2 จะได lim f ( x) = lim x2 = 12 = 1 x→1 x→1 ดังนน้ั lim f ( x) =1 x→1 8) เมื่อ x เขา ใกล 6 จะไดว า f ( x) = 8 − x จะได lim f ( x) = lim(8 − x) = 8 – 6 = 2 x→6 x→6 ดังนนั้ lim f ( x) = 2 x→6 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
372 คูมือครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 5. 1) จาก x เขาใกล 0 ทางดานซาย น่นั คอื x < 0 จะได x = −x และ f ( x) = −x = −1 x ดงั น้ัน lim f ( x) = −1 x→0− จาก x เขาใกล 0 ทางดานขวา นั่นคอื x > 0 จะได x = x และ f ( x=) x= 1 x ดงั นั้น lim f ( x) =1 x→0+ จะไดว า lim f ( x) ≠ lim f ( x) x→0− x→0+ ดงั นนั้ lim f ( x) ไมม ีคา x→0 2) จะไดว า lim g ( x) = lim x = 0 x→0 x→0 ดงั นัน้ lim g ( x) = 0 x→0 3) กรณี x เขา ใกล 0 ทางดา นซา ย จะไดว า x < 0 ดงั น้นั x = −x จะไดวา f ( x) = x = −x = −1 xx นน่ั คอื lim ( f ( x) ⋅ g ( x)) = lim (−1) ⋅ x x→0− x→0− = lim (−x) x→0− =0 กรณี x เขา ใกล 0 ทางดานขวา จะไดวา x > 0 ดังนนั้ x = x จะไดวา f (x=) x x= 1 = xx จะได lim f ( x)⋅ g ( x) = lim 1⋅ x x→0+ x→0+ = lim x x→0+ =0 จะไดว า lim f ( x)⋅ g (=x) lim f ( x)⋅ g (=x) 0 x→0− x→0+ ดงั นน้ั lim f ( x)⋅ g ( x) =0 x→0 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 373 6. 1) เนื่องจาก f ( x) = 1 เมอื่ 1≤ x < 2 จะได lim f ( x) = lim 1 x→1+ x→1+ =1 2) เน่อื งจาก f ( x) = 0 เม่อื 0 ≤ x <1 จะได lim f ( x) = lim 0 x→1− x→1− =0 3) เน่ืองจาก lim f ( x) ≠ lim f ( x) x→1− x→1+ ดงั น้นั lim f ( x) ไมมีคา x→1 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
374 คมู ือครูรายวิชาเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 แบบฝกหดั 2.2 1. 1) จากฟงกชนั f ทก่ี ําหนด จะได f (0) = −1 และ lim f ( x) = lim(3x −1) = 3(0) −1 = −1 x→0 x→0 จะเห็นวา lim f ( x) = f (0) x→0 ดงั นั้น ฟงกช ัน f เปนฟงกชนั ตอเนอื่ งที่ x = 0 2) จากฟง กชนั f ทก่ี ําหนด จะได f (4) = − 1 4 และ lim f ( x) = lim x2 −16 x→4 x→4 x − 4 (x − 4)(x + 4) = lim x→4 x − 4 = lim( x + 4) x→4 =8 จะเหน็ วา lim f ( x) ≠ f (4) x→4 ดังน้นั ฟงกช นั f ไมเ ปนฟงกช ันตอเน่อื งท่ี x = 4 3) จากฟง กช นั f ทกี่ าํ หนด จะได f (1) = − 2 3 และ lim f ( x) = lim x2 −1 x3 −1 x→1 x→1 ( x −1)( x +1) ( )= lim x→1 ( x −1) x2 + x + 1 = lim x2 x +1 1 +x+ x→1 =2 3 จะเห็นวา lim f ( x) ≠ f (1) x→1 ดังน้ัน ฟงกชนั f ไมเ ปนฟงกชันตอ เนอ่ื งที่ x =1 สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 375 4) จากฟงกช นั f ที่กาํ หนด x เมือ่ x ≥ 0 เม่อื x < 0 จะได f ( x) = −x ดังนน้ั f (0) =0 จาก lim f ( x=) lim (−x=) 0 และ lim =f ( x) l=im x 0 x→0− x→0− x→0+ x→0+ จะไดวา lim f ( x)= 0= lim f ( x) x→0− x→0+ ดังนน้ั lim f ( x) = 0 x→0 เนื่องจาก lim f ( x) = f (0) x→0 ดงั น้ัน ฟงกช ัน f เปน ฟง กชันตอเนอื่ งท่ี x = 0 5) จากฟง กช นั f ที่กําหนด จะได f (−1) =−1 และจาก x +1 = x +1 เมอ่ื x ≥ −1 และ x +1 =− ( x +1) เมื่อ x < −1 จะได lim f ( x) = lim =x +1 lim =x +1 l=im 1 1 x→−1+ x→−1+ x + 1 x→−1+ x + 1 x→−1+ และ lim f ( x) = lim x +1 − ( x + 1) =− lim 1 =−1 =lim x→−1− x→−1− x + 1 x→−1− x + 1 x→−1− = lim (−1) x→−1+ = −1 ดังนั้น lim f ( x) ≠ lim f ( x) x→−1+ x→−1− นัน่ คือ lim f (x) ไมมีคา x→−1 ดงั น้ัน ฟง กชนั f ไมเ ปน ฟงกช ันตอ เนอ่ื งท่ี x = −1 2. 1) พจิ ารณาฟงกชัน f จะเห็นวา f (1) = 2 แต lim f ( x) มีคา นอยกวา 1 x→1− ซง่ึ ไดว า f (1) ไมเทากับ lim f (x) x→1− ดังนัน้ ฟงกช นั f ไมเ ปน ฟงกช ันตอเน่ืองบน [−1, 1] สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
376 คมู ือครรู ายวิชาเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 พิจารณาฟง กช นั g จะเหน็ วา g (0) = 2 แต lim g ( x) =1 จงึ ไดว า g (0) ≠ lim g ( x) x→0 x→0 นั่นคอื ฟงกชัน g ไมต อเนื่องที่ x = 0 จะไดวา ฟงกชนั g ไมตอเน่ืองทที่ กุ จุดในชวง [−1, 1] ดงั น้ัน ฟงกชนั g ไมเ ปนฟงกช ันตอ เนือ่ งบน [−1, 1] พิจารณาฟง กชนั h จาก lim h( x) = 2 และ lim h( x) =1 x→0− x→0+ จึงไดว า lim h( x) ≠ lim h( x) นั่นคอื lim h( x) ไมมีคา x→0− x→0+ x→0 นนั่ คือ ฟงกชนั h ไมตอเนื่องที่ x = 0 จะไดว า ฟงกชนั h ไมตอ เนื่องที่ทุกจดุ ในชวง [−1, 1] ดงั น้ัน ฟง กช ัน h ไมเ ปน ฟงกช ันตอเนื่องบน [−1, 1] 2) พจิ ารณาฟง กช ัน f ให c ∈(−1,1) จะเหน็ วา lim f ( x) = f (c) x→c นั่นคอื ฟงกชนั f เปน ฟงกช ันตอเน่อื งทที่ ุกจุดในชว ง (−1,1) ดังนัน้ ฟงกช ัน f เปนฟง กช นั ตอเนอ่ื งบน (−1,1) พจิ ารณาฟงกชนั g จะเห็นวา g (0) = 2 แต lim g ( x) =1 ซงึ่ ไดวา g (0) ≠ lim g ( x) x→0 x→0 ดังนน้ั ฟง กช นั g ไมตอเนื่องท่ี x = 0 นนั่ คอื ฟงกช ัน g ไมตอ เนื่องที่ทกุ จดุ ในชว ง (−1,1) ดังนัน้ ฟง กช นั g ไมเปนฟงกช ันตอ เนอื่ งบน (−1,1) สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 377 พิจารณาฟงกช นั h จะเหน็ วา lim h( x) = 2 และ lim h( x) =1 ซึ่งไดว า lim h( x) ≠ lim h( x) x→0− x→0+ x→0− x→0+ น่นั คอื limh( x) ไมมคี า x→0 ดงั นัน้ ฟงกช ัน h ไมตอเน่ืองท่ี x = 0 น่นั คอื ฟงกช นั h ไมต อเน่ืองที่ทุกจุดในชว ง (−1,1) ดังน้ัน ฟง กช ัน h ไมเ ปนฟงกช ันตอ เนื่องบน (−1,1) 3) พจิ ารณาฟง กช นั f เน่อื งจาก f (1) = 2 แต lim f ( x) มีคา นอยกวา 1 x→1− ซงึ่ ไดวา f (1) ไมเ ทา กบั lim f (x) x→1− นัน่ คือ f ไมเปน ฟง กช นั ตอเน่ืองท่ี x =1 จะไดว า f ไมเปน ฟงกช นั ตอ เน่ืองทุกจดุ บน [0,1] ดงั นนั้ ฟง กชนั f ไมเปนฟงกชันตอเนือ่ งบน [0,1] พิจารณาฟงกชนั g จะเห็นวา g (0) = 2 แต lim g ( x) =1 จะไดวา g (0) ≠ lim g ( x) x→0+ x→0+ นัน่ คอื g ไมเ ปนฟง กชนั ตอ เน่ืองท่ี x = 0 จะไดว า g ไมเปน ฟงกชนั ตอเนื่องทุกจดุ บน [0,1] ดงั นัน้ ฟง กช นั g ไมเปน ฟงกชันตอ เน่อื งบน [0,1] พจิ ารณาฟง กช นั h จาก h(0) = 2 แต lim h( x) =1 จะไดวา h(0) ≠ lim h( x) x→0+ x→0+ น่ันคือ h ไมเ ปน ฟงกชนั ตอเนื่องที่ x = 0 จะไดวา h ไมเปน ฟง กชนั ตอเน่ืองทุกจุดบน [0,1] ดงั น้ัน ฟงกช ัน h ไมเปนฟงกช ันตอ เน่ืองบน [0,1] สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
378 คมู อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 4) พจิ ารณาฟงกชัน f ให c∈(−1,0) จะเหน็ วา lim f ( x) = f (c) x→c พจิ ารณาที่ x = 0 จะไดว า f (0) =1 และ lim f ( x) =1 x→0− นั่นคอื f (0) = lim f (x) ดังนัน้ f เปนฟงกช นั ตอเน่ืองที่ x = 0 x→0 นนั่ คือ ฟงกช ัน f เปนฟง กช นั ตอเน่อื งทท่ี ุกจดุ ในชวง (−1,0] ดงั น้ัน ฟงกช นั f เปน ฟง กชันตอเนื่องบน (−1,0] พิจารณาฟงกช ัน g จะเห็นวา g (0) = 2 แต lim g ( x) =1 จึงไดว า g (0) ≠ lim g ( x) x→0− x→0− น่ันคือ g ไมเปน ฟง กช นั ตอเน่ืองท่ี x = 0 จะไดว า g ไมเ ปนฟงกช ันตอ เน่ืองทุกจุดบน (−1,0] ดงั น้ัน ฟง กชัน g ไมเปน ฟงกชันตอ เนื่องบน (−1,0] พจิ ารณาฟงกชนั h ให c∈(−1,0) จะเห็นวา limh(x) = h(c) ดงั น้ัน h เปน ฟงกช ันตอ เนื่องบนชว ง (−1,0) x→c พจิ ารณาที่ x = 0 จะได h(0) = 2 และ lim h( x) = 2 x→0− นัน่ คอื h(0)= 2= lim h( x) x→0− จะไดวา h เปน ฟง กช ันตอ เนอ่ื งทุกจดุ บนชว ง (−1,0] ดงั นน้ั ฟงกชนั h เปน ฟง กช ันตอเนอ่ื งบน (−1,0] 3. 1) ให c ∈(−∞,4) จะไดวา lim f=( x) =2 f (c) x→c c − 4 นน่ั คือ ฟงกช ัน f เปน ฟง กช นั ตอเน่ืองที่ทุกจดุ ในชว ง (−∞,4) ดงั นน้ั ฟงกช นั f เปน ฟง กช นั ตอเนอื่ งบน (−∞,4) 2) ให c∈(4,6) จะไดว า lim f=( x) =2 f (c) x→c c−4 นนั่ คอื ฟงกชัน f เปน ฟง กช ันตอเนื่องที่ทุกจดุ ในชวง (4, 6) พจิ ารณา กรณี x = 6 จะได f (6) =1 และ lim f=( x) =2 1 x→6 6−4 น่ันคือ f (6)= 1= lim f ( x) x→6− สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 379 ดงั นัน้ ฟง กชัน f เปน ฟงกช ันตอเนอ่ื งทจ่ี ดุ x = 6 จะไดวา ฟงกชัน f เปน ฟงกช นั ตอ เน่อื งทท่ี ุกจุดในชว ง (4,6] ดังน้นั ฟง กชนั f เปน ฟงกชนั ตอเนอ่ื งบน (4,6] 3) ให c∈(4,∞) จะไดวา lim f=( x) =2 f (c) x→c c−4 นั่นคือ ฟงกชนั f เปน ฟงกชนั ตอเน่อื งทที่ ุกจดุ ในชว ง (4,∞) ดังนนั้ ฟง กชัน f เปนฟงกชนั ตอเนือ่ งบน (4,∞) 4. 1) จาก (−∞,1] = (−∞,− 2) ∪{−2} ∪ (−2,1) ∪{1} และจากฟง กช ัน g ท่กี าํ หนดให จะไดว า (1) ให c ∈(−∞,−2) จะไดว า g ( x=) 2x − 2 และ lim g ( x) = lim(2x − 2) = 2c − 2 = g (c) x→c x→c นน่ั คอื ฟงกชัน g เปน ฟงกชันตอเน่ืองทที่ ุกจดุ ในชว ง (−∞,−2) ดังน้ัน ฟง กช นั g ตอเน่อื งบนชวง (−∞,−2) (2) พิจารณาความตอ เน่ืองทจี่ ุด x = −2 เมื่อ x เขาใกล −2 ทางดานซา ย จะได g (x=) 2x − 2 ดงั นน้ั lim g ( x) =lim (2x − 2) =2(−2) − 2 =−6 x→−2− x→−2− เมอื่ x เขาใกล −2 ทางดา นขวา จะได g (x)= x − 4 ดังนัน้ lim g ( x) =lim ( x − 4) =−2 − 4 =−6 x→−2+ x→−2+ จะไดวา lim g ( x) = lim g ( x) ดังนั้น lim g ( x) = −6 x→−2− x→−2+ x→−2 จาก g (−2) =(−2) − 4 =−6 จะไดว า g (−2) =−6 =lim g ( x) x→−2 ดังนัน้ ฟง กชนั g ตอเน่อื งที่จุด x = −2 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
380 คูม ือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 (3) ให c ∈(−2,1) จะไดว า g ( x)= x − 4 ดังนนั้ เนือ่ งจาก lim g ( x) = lim( x − 4) = c − 4 = g (c) x→c x→c น่นั คือ ฟงกชนั g เปน ฟง กช นั ตอเนอื่ งที่ทุกจดุ บนชว ง (−2,1) จาก lim g ( x) =lim ( x − 4) =1− 4 =−3 =g (1) x →1− x →1− จะไดวา ฟงกชัน g เปน ฟงกช ันตอเน่อื งท่ีจุด x =1 ดงั น้นั ฟงกช ัน g เปน ฟงกช นั ตอเน่อื งบนชวง (−2,1] จาก (1), (2) และ (3) จะไดว าฟง กช นั g เปน ฟงกชันทต่ี อเนื่องทท่ี ุกจดุ บนชว ง (−∞,−2), {−2} และ (−2,1] ดังนนั้ ฟง กชนั g เปนฟงกชันตอเนอื่ งบนชว ง (−∞,1] 2) จากขอ 1) จะไดว า ฟง กชัน g เปนฟง กช นั ตอเนื่องบนชว ง (−2,1] 3) จาก lim g ( x) =lim ( x − 4) =1− 4 =−3 x →1− x →1− แต lim g ( x) = lim (4 − x) = 4 −1 = 3 จะไดวา lim g ( x) ไมม ีคา x →1+ x →1+ x→1 น่ันคือ ฟงกช ัน g ไมตอเน่ืองท่ี x =1 ดังนน้ั ฟง กช ัน g ไมเปนฟงกชันตอเนอ่ื งบนชวง (−2,2] 4) จาก lim g ( x) = lim (4 − x) = 4 −1 = 3 แต g (1) = −3 x →1+ x →1+ จะไดวา lim g (x) ≠ g (1) ไมมีคา x→1+ น่นั คอื ฟงกชนั g ไมต อ เนื่องที่ x =1 ดังนน้ั ฟงกช ัน g ไมเปน ฟงกชันตอเนอ่ื งบนชว ง [1,∞) 5. 1) ตองการใหฟงกชัน f เปน ฟง กชนั ตอ เนอ่ื งทีท่ กุ จุด ซงึ่ คือ ฟง กชนั f เปน ฟง กชนั ตอเนอื่ งบนชว ง (−∞,∞) และ (−∞,∞) = (−∞,1) ∪{1} ∪ (1,∞) จะไดวา (1) f เปน ฟง กช ันตอเนอ่ื งท่ี x =1 (2) f เปนฟง กช ันตอ เน่ืองบนชวง (−∞,1) (3) f เปน ฟงกชนั ตอ เนื่องบนชวง (1,∞) จาก (1) พิจารณา ทจ่ี ุด x =1 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 381 จาก lim f =( x) lim (7x −=2) 5 และ lim=f ( x) l=im kx2 k x →1− x →1− x→1+ x→1+ และ f เปนฟงกชันตอ เน่ืองที่ x =1 จะไดวา lim f (x) = lim f ( x) x →1− x →1+ นน่ั คอื k = 5 ดงั นั้น lim f ( x) = 5 x→1 และจะเห็นวา f (1)= 5= lim f ( x) จรงิ x→1 จาก (2) พจิ ารณาบนชวง (−∞,1) จะไดวา f (x=) 7x − 2 ซ่ึงเปน ฟงกช ันพหุนาม โดยทฤษฎบี ท 6 จะไดว าฟง กชัน f เปนฟงกช ันตอเน่ืองที่ทุกจดุ บนชว ง (−∞,1) น่นั คอื f เปน ฟง กชนั ตอ เน่อื งบนชวง (−∞,1) จริง จาก (3) พจิ ารณาบนชว ง (1,∞) จะไดว า f (=x) k=x2 5x2 ซงึ่ เปนฟง กช นั พหนุ าม โดยทฤษฎบี ท 6 จะไดวาฟงกชัน f เปน ฟง กชนั ตอ เนื่องท่ีทุกจุดบนชว ง (1,∞) นนั่ คือ f เปน ฟงกช ันตอเนอื่ งบนชว ง (1,∞) จรงิ ดงั นั้น จาก (1), (2) และ (3) จะไดวา ถา k = 5 แลว ฟง กชัน f เปน ฟง กช นั ตอเน่อื งท่ี ทุกจุด 2) จาก f เปน ฟงกชนั ตอเน่ืองทุกจุด พิจารณาที่จุด x = 2 จะไดว า l=im f ( x) l=im (kx2 ) 4k x→2− x→2− lim f ( x) =lim (2x + k ) =4 + k x→2+ x→2+ เนอ่ื งจาก f เปนฟงกชนั ตอ เนื่องท่ี x = 2 จะได lim f (x)= lim f (x)= 4k= 4 + k x→2+ x→2− น่ันคือ k = 4 3 พิจารณา f (x) = 2x +4 ,x > 2 3 ,x ≤ 2 4 x2 3 จะเห็นวา กรณี x > 2 จะได f (x=) 2x + 4 ซึ่งเปน ฟงกช นั พหุนาม โดยทฤษฎบี ท 6 3 จะไดวา ฟงกช ัน f เปนฟง กชนั ตอเนื่องทท่ี ุกจดุ สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
382 คูม อื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 ในทํานองเดยี วกัน กรณี x ≤ 2 จะได f (x) = 4 x2 ซึ่งเปนฟง กช นั พหนุ าม 3 โดยทฤษฎีบท 6 จะไดว า ฟงกชัน f เปนฟง กชนั ตอเนื่องท่ีทุกจดุ ดงั นน้ั ฟง กชนั f เปน ฟงกชันตอเนื่องท่ีทุกจดุ เม่ือ k = 4 3 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 383 แบบฝกหัด 2.3 1. ให= y f (=x) 2x2 − 3 จะไดอัตราการเปลยี่ นแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x เมื่อ x เปล่ยี นจาก a เปน a + h คือ ( )f (a + h) − f (a) ( )2(a + h)2 − 3 − 2a2 − 3 h= h 4ah + 2h2 =h = 4a + 2h 1) อัตราการเปลย่ี นแปลงเฉลย่ี ของ y เทียบกบั x เมื่อ x เปลย่ี นจาก 2 เปน 2.2 คอื f (2 + 0.2) − f (2) = 4(2) + 2(0.2) 0.2 = 8.4 2) อัตราการเปล่ียนแปลงเฉลยี่ ของ y เทยี บกับ x เมอ่ื x เปลี่ยนจาก 2 เปน 2.1 คือ f (2 + 0.1) − f (2) = 4(2) + 2(0.1) 0.1 = 8.2 3) อตั ราการเปล่ยี นแปลงเฉลย่ี ของ y เทียบกบั x เมอ่ื x เปล่ยี นจาก 2 เปน 2.01 คอื f (2 + 0.01) − f (2) 4(2) + 2(0.01) = 0.01 = 8.02 4) อัตราการเปล่ียนแปลงของ y เทียบกบั x ขณะที่ x = 2 คอื f (2 + h) − f (2) = lim(4(2) + 2h) lim h→0 h h→0 =8 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
384 คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 2. ใ=ห y f=( x) 1 x จะไดอัตราการเปลีย่ นแปลงเฉล่ียของ y เทียบกบั x เมอื่ x เปลี่ยนจาก a เปน a + h คอื f (a + h)− f (a) 1 −1 a+h a h = h −h = ha(a + h) = − 1 h) a(a + 1) อตั ราการเปลีย่ นแปลงเฉลยี่ ของ y เทียบกับ x เมอ่ื x เปลีย่ นจาก 4 เปน 5 คอื f (4 +1) − f (4) = − 1 1 4(4 +1) = −1 20 2) อตั ราการเปล่ยี นแปลงเฉลี่ยของ y เทยี บกบั x เมอ่ื x เปลย่ี นจาก 4 เปน 4.1 คือ f (4 + 0.1) − f (4) = − 4(4 1 0.1) + 0.1 = − 1 =− 5 16.4 82 3) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉล่ยี ของ y เทยี บกบั x เมือ่ x เปลี่ยนจาก 4 เปน 4.01 คือ f (4 + 0.01) − f (4) = − 4(4 1 0.01 + 0.01) = − 1 =− 25 16.04 401 4) อตั ราการเปลย่ี นแปลงของ y เทียบกับ x ขณะท่ี x = 4 คอื f (4 + h) − f (4) = lim − 4 ( 1 h ) 4+ lim h→0 h→0 h = −1 16 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 385 3. 1) ให A เปนพนื้ ที่วงกลม (หนวยเปนตารางเซนตเิ มตร) r เปนรัศมีของวงกลม (หนว ยเปนเซนติเมตร) โดยท่ี A(r) = π r2 อัตราการเปล่ียนแปลงเฉลี่ยของพื้นท่วี งกลมเทยี บกับความยาวของรัศมี เม่อื ความยาวของรศั มีเปลย่ี นจาก r เปน r + h เซนตเิ มตร คือ A(r + h) − A(r) π (r + h)2 −π r2 = hh ( )π r2 + 2rh + h2 − π r2 = h = 2π rh + π h2 h = 2π r + π h ดังนัน้ อัตราการเปล่ียนแปลงเฉลยี่ ของพ้ืนทว่ี งกลมเทยี บกับความยาวของรัศมี เม่อื ความยาวของรัศมีเปล่ยี นจาก r เปน r + h เซนตเิ มตร คือ 2π r + π h ตาราง เซนตเิ มตรตอเซนติเมตร 2) อัตราการเปลย่ี นแปลงของพ้นื ทีว่ งกลมเทียบกบั ความยาวของรัศมี ขณะรศั มียาว r เซนติเมตร คอื A(r + h) − A(r) = lim(2π r + π h) lim h→0 h h→0 = 2π r ดงั น้ัน อตั ราการเปล่ยี นแปลงของพ้นื ท่ีวงกลมเทียบกบั ความยาวของรัศมี ขณะรัศมี ยาว r เซนติเมตร คอื 2π r ตารางเซนตเิ มตรตอเซนตเิ มตร 4. 1) ให x เปน ความยาวดานของรูปสี่เหล่ียมจตั รุ สั (หนว ยเปนเซนตเิ มตร) A เปนพืน้ ที่ของรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรสั (หนวยเปนตารางเซนติเมตร) โดยที่ A( x) = x2 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
386 คมู อื ครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลยี่ ของพื้นทรี่ ูปสีเ่ หลย่ี มจตั ุรสั เทียบกับความยาวดาน เมื่อความยาวดา นเปลยี่ นจาก 10 เปน 12 เซนติเมตร คือ A(10 + 2) − A(10) = (10 + 2)2 −102 22 = 22 ดงั นนั้ อตั ราการเปล่ียนแปลงเฉลีย่ ของพน้ื ท่รี ูปสเ่ี หลย่ี มจัตุรัสเทียบกบั ความยาวดา น เม่อื ความยาวดานเปลีย่ นจาก 10 เปน 12 เซนติเมตร คอื 22 ตารางเซนติเมตรตอ เซนตเิ มตร 2) อัตราการเปล่ยี นแปลงของพ้ืนทีร่ ปู สเ่ี หลย่ี มจตั รุ สั เทยี บกับความยาวดา น ขณะดา นยาว 10 เซนติเมตร คือ A(10 + h) − A(10) (10 + h)2 −102 lim = lim h→0 h h→0 h = lim 20h + h2 h→0 h = 20 ดังนนั้ อัตราการเปลี่ยนแปลงของพ้ืนทรี่ ปู สเ่ี หลี่ยมจตั รุ ัสเทียบกับความยาวดานขณะ ดานยาว 10 เซนตเิ มตร คอื 20 ตารางเซนติเมตรตอ เซนตเิ มตร 5. 1) ให x เปน ความยาวดานของรูปสามเหลีย่ มดานเทา (หนวยเปนเซนติเมตร) A เปน พน้ื ที่ของรปู สามเหล่ยี มดา นเทา (หนว ยเปนตารางเซนตเิ มตร) โดยท่ี A( x) = 3 x2 4 อัตราการเปล่ยี นแปลงเฉลย่ี ของพน้ื ทร่ี ูปสามเหลยี่ มดานเทา เทยี บกบั ความยาวดา น เม่ือความยาวดา นเปลย่ี นจาก 10 เปน 9 เซนตเิ มตร คอื A(10 −1) − A(10) = 3 (9)2 − 3 (10)2 −1 44 = −1 19 3 4 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 387 ดังน้นั อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลีย่ ของพ้ืนที่รูปสามเหล่ียมดา นเทาเทียบกับความยาวดาน เม่ือความยาวดา นเปลยี่ นจาก 10 เปน 9 เซนตเิ มตร คือ 19 3 ตารางเซนตเิ มตรตอ 4 เซนตเิ มตร 2) อตั ราการเปลีย่ นแปลงของพน้ื ทรี่ ูปสามเหล่ยี มดา นเทาเทยี บกับความยาวดา นขณะดา น ยาว 10 เซนตเิ มตร คอื A(10 + h) − A(10) = lim 4 3 (10 + h)2 − 3 (10)2 4 lim h→0 h h→0 h =5 3 ดังนัน้ อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นทร่ี ปู สามเหลีย่ มดา นเทา เทียบกบั ความยาวดาน ขณะดานยาว 10 เซนติเมตร คอื 5 3 ตารางเซนตเิ มตรตอเซนติเมตร 6. จากอตั ราการเปลีย่ นแปลงของ N เทียบกบั t ขณะที่ t = 3 คือ N (3 + h) − N (3) ( 3 + 8 + 1 − 3 8 1 + lim = lim h) h→0 h h→0 h = lim 32 − 8(4 + h) h→0 h(4 + h)(4) = −8 16 = −1 2 ดงั นนั้ อัตราการเปลี่ยนแปลงของ N เทียบกบั t ขณะที่ t = 3 คอื − 1 กรมั ตอนาที 2 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
388 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 7. จาก PV = 6,000 นั่นคือ P = 6,000 V ให P(V ) = 6,000 V จะได อัตราการเปล่ียนแปลงของ P เทียบกับ V ขณะท่ี V =100 คอื P (100 + h) − P (100) = 6,000 − 6,000 = lim 100 + h 100 lim h→0 h h→0 h lim 6000 − 60(100 + h) h→0 h(100 + h) = − 60 100 = −0.6 ดงั น้ัน อตั ราการเปลย่ี นแปลงของ P เทยี บกบั V ขณะที่ V =100 คือ −0.6 8. ให r แทน ความยาวของรัศมีของฐานของกรวยกลมตรง และ h แทน ความสงู ของกรวยกลมตรง 1) ให V แทน ปริมาตรของกรวยกลมตรงที่มรี ัศมขี องฐานยาว r โดยสว นสงู มีคาคงตวั เทา กับ h จะได V (r) = 1π r2h 3 ดังน้ัน อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของกรวยกลมตรงเทยี บกบั ความยาวของ รศั มีของฐาน ขณะรศั มียาว r หนวย เมื่อสว นสูงมีคา เทา กับ h คอื V (r + k)−V (r) 1π (r + k )2 h − 1π r2h = lim 3 3 lim k→0 k k→0 k = lim 2π rkh + π k 2h k→0 3k 2π rh + π kh = lim k→0 3 = 2π rh ลกู บาศกหนว ยตอหนว ย 3 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 568
Pages: