Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิทยาศาสตร์การเกษตร ปีที่ 40 ฉบับที่ 1 (crdc2)

วารสารวิทยาศาสตร์การเกษตร ปีที่ 40 ฉบับที่ 1 (crdc2)

Published by Plely Miwy, 2017-01-12 22:57:43

Description: วารสารวิทยาศาสตร์การเกษตร ปีที่ 40 ฉบับที่ 1 (พิเศษ) ม.ค.-เม.ย.2552(การประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัยพืชเขตร้อนและกึ่งร้อน ครั้งที่ 2)

Keywords: crdc2,วารสารวิทยาศาสตร์การเกษตร,full paper

Search

Read the Text Version

ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร ปที่ 40 ฉบับที่ 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 การเจริญเติบโต และการสะสม 147µM หรือมากกวา ทําใหน าํ้ หนกั สดและแหงของตนและรากปวยเลงลดลงอยางมีนัยสําคญั ยิง่ และเมื่อพจิ ารณาการสะสมไอโอไดดแ ละไอโอเดตในตนและราก พบวา มีการสะสมไอโอไดดในปรมิ าณมากกวา ไอโอเดต ทง้ั นเ้ี น่ืองจากคุณลกั ษณะทางเคมขี องไอโอดีน โดยพืชจะดดู ไอโอดนี ลดลงเม่อื จาํ นวนวาเลนซีเพมิ่ มากข้นึ ซ่งึ ไอโอไดด (I-) มีจํานวนวาเลนซี เทากับ -1 ในขณะทไี่ อโอเดต (IO3-) มจี าํ นวนวาเลนซีเทากับ +5 ดงั น้นั การดูดไอโอไดดไปสะสมในเนอ้ื เย่ือพชื จงึ มากกวา ไอโอเดต (Umaly และ Poel,1971) อีกทั้งพืชสามารถดูดไอโอไดดไ ดโ ดยตรง ในขณะทไี่ อโอเดตตอ งเปลี่ยนรูปไปเปนไอโอไดดกอนทพ่ี ืชจะดูดไปใชทําใหอตั ราการดดู ไอโอเดตชา ลงเน่อื งจากกระบวนการรดี กั ชั่น สง ผลใหก ารเจริญเตบิ โตของตนท่ีปลกู ในสารละลายทีเ่ ติมไอโอไดดTable 1 The plant width of leaf lettuce cv. Red Oak grown in nutrient solution with five different concentrations of iodide and iodate compared with a control treatment. Concentration The plant width (cm) 1/ (days after planting) (µM) 14 21 28 35 42 0 5.08 ± 0.37ab 9.14 ± 0.66ab 18.47 ± 1.35ab 27.36 ± 0.58a 32.01 ± 1.47a KI 1 4.18 ± 0.72cd 7.98 ± 0.64b 17.35 ± 1.51b 26.00 ± 0.41ab 28.54 ± 0.40b 5 5.53 ± 0.40a 9.54 ± 0.17a 19.97 ± 0.97a 26.07 ± 0.50ab 29.90 ± 1.16ab 10 4.82 ± 0.56abc 8.63 ± 0.81ab 16.99 ± 1.47b 24.51 ± 1.34b 25.92 ± 1.91c 50 3.89 ± 0.55d 5.00 ± 1.37c 5.70 ± 1.60c 6.23 ± 1.92c 6.06 ± 1.73d 100 2.17 ± 0.36e 3.21 ± 0.30d 4.01 ± 0.97c 4.24 ± 1.03d 4.28 ± 1.12d KIO3 1 5.55 ± 0.60a 9.55 ± 0.30a 19.39 ± 0.83ab 26.91 ± 0.66a 30.60 ± 0.94ab 5 5.38 ± 0.64a 9.68 ± 0.84a 18.89 ± 1.68ab 27.29 ± 1.10a 29.45 ± 1.84b 10 4.90 ± 0.29abc 8.72 ± 0.63ab 18.53 ± 0.93ab 26.87 ± 1.14a 30.37 ± 0.98ab 50 4.98 ± 0.13ab 8.91 ± 0.48ab 17.92 ± 1.84ab 26.11 ± 2.09ab 28.92 ± 1.17b 100 4.51 ± 0.51bcd 8.46 ± 1.00ab 17.63 ± 2.33ab 26.03 ± 1.38ab 28.65 ± 0.64b F-test ** ** ** ** ** C.V. (%) 10.70 9.30 9.27 5.44 5.50 I form (S) ** ** ** ** ** I concentration (C) ** ** ** ** ** S x C ** ** ** ** ** Mean ± standard deviation (SD) 1/ Average means in the column having the same letter (s) are not significantly different at the 99% by DMRT ** Highly significantly different at 1% levelTable 2 The fresh and dry weight of leaf lettuce cv. Red Oak shoot grown in nutrient solution with five different concentrations of iodide and iodate compared with a control treatment. Concentration (µM) Shoot weight (g)1/ fresh dry 0 78.09 ± 7.84ab 3.57 ± 0.37abc KI 1 75.29 ± 6.15ab 3.69 ± 0.66ab 5 58.54 ± 2.16c 3.11 ± 0.19bc 10 54.85 ± 9.44c 2.84 ± 0.64c 50 0.85 ± 0.61d 0.09 ± 0.05d 100 0.24 ± 0.17d 0.03 ± 0.02d KIO3 1 85.46 ± 11.53a 4.35 ± 0.54a 5 81.92 ± 5.32ab 4.17 ± 0.45a 10 78.64 ± 12.64ab 4.16 ± 0.50a 50 78.91 ± 10.61ab 4.14 ± 0.69a 100 70.43 ± 5.51b 4.05 ± 0.65a F-test ** ** C.V. (%) 12.82 15.87 I form (S) ** ** I concentration (C) ** ** S x C ** ** Mean ± standard deviation (SD) 1/ Average means in the column having the same letter (s) are not significantly different at the 99% by DMRT ** Highly significantly different at 1% level

148 การเจริญเตบิ โต และการสะสม ปท ี่ 40 ฉบบั ท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเกษตรไดรบั ผลกระทบมากกวา ตนทปี่ ลกู ในสารละลายทีเ่ ตมิ ไอโอเดต (Whitehead, 1975) ยกเวน ไอโอเดตทีค่ วามเขมขนสูง จากการทดลอง จะเห็นไดว า การเติมไอโอไดดห รือไอโอเดตความเขมขน 1 µM ไมม ีผลตอการเจรญิ เติบโตของผกั กาดหอมพันธุ RedOak และปรมิ าณไอโอไดด (1.10 ± 0.36 mg/kg นํา้ หนักสด) หรอื ไอโอเดต (0.29 ± 0.26 mg/kg น้าํ หนกั สด) ท่พี บในตน มีมากเพยี งพอตอการบรโิ ภค ดงั นั้นจึงแนะนาํ ใหเ ติมไอโอไดดห รือไอโอเดตทคี่ วามเขมขน 1 µM ในสารละลายเพอ่ื ปลูกผักกาดหอมพนั ธุ Red Oak เสรมิ ไอโอดนีTable 3 The accumulations of iodide and iodate in shoot and root of leaf lettuce cv. Red Oak grown in nutrientsolution with five different concentrations of iodide and iodate compared with a control treatment. Concentration The accumulations of iodide (mg/kg)1/ (µM) shoot root I- 0 0.00 ± 0.00e 00.00 ± 0.00d 1 1.10 ± 0.36e 0.81 ± 0.48d 5 8.90 ± 1.59d 1.95 ± 0.45d 10 22.41 ± 3.26c 4.97 ± 0.92c 50 181.91 ± 5.62b 20.00 ± 2.21b 100 401.60 ± 7.10a 87.47 ± 3.71a F-test ** ** C.V. (%) 4.55 10.31 Concentration The accumulations of iodate (mg/kg) 1/ (µM) shoot root IO3- 0 0.00 ± 0.00c 0.00 ± 0.00b 1 0.29 ± 0.26bc 1.12 ± 0.20a 5 0.54 ± 0.38bc 1.57 ± 0.18 a 10 0.68 ± 0.59b 1.44 ± 0.21a 50 0.41 ± 0.16bc 1.25 ± 0.67a 100 2.29 ± 0.74a 1.80 ± 0.69a F-test ** ** C.V. (%) 16.76 11.02Mean ± standard deviation (SD)1/ Average means in the column having the same letter (s) are not significantly different at the 99% by DMRT** Highly significantly different at 1% level สรุปการเติมไอโอไดดความเขม ขนต้ังแต 10 µM ขน้ึ ไป สงผลใหความกวา งทรงพุมของผักกาดหอมพนั ธุ Red Oak ลดลงสว นการเติมไอโอไดดค วามเขม ขน 1 µM และไอโอเดตความเขมขน 1-50 µM ไมม ผี ลตอ นาํ้ หนักสดและแหง ของตนผักกาดหอมปรมิ าณไอโอไดดเ พิ่มมากขน้ึ เม่ือความเขม ขน ของไอโอไดดใ นสารละลายเพิ่มขน้ึ และปรมิ าณไอโอเดตในตนสงู สดุ ทไี่ อโอเดตความเขมขน 100 µM การเติมไอโอไดดหรือไอโอเดตความเขม ขน 1 µM ไมมผี ลตอการเจรญิ เติบโตของผักกาดหอมพันธุ RedOak และมีไอโอไดดแ ละไอโอเดตสะสมในตนเพียงพอตอ ความตองการของรางกาย เอกสารอา งองินธิ ิยา รัตนาปนนท. 2545. เคมอี าหาร. สาํ นกั พิมพโ อเดียนสโตร. กรุงเทพฯ. 487 หนา.นพดล เรียบเลิศหริ ัญ. 2538. การปลูกพชื ไรดนิ . พมิ พครง้ั ท่ี 1. รว้ั เขยี ว. กรุงเทพฯ. 99 หนา.เยาวพา จริ ะเกียรติกลุ และนภาพร ยังวิเศษ. 2551. อทิ ธิพลของไอโอดีนตอการเจริญเติบโตและการสะสมในผักโดยการปลกู ในสารละลายธาตุ อาหาร. รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ คณะวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร. กรงุ เทพฯ. 111 หนา.เสาวนีย จักรพทิ ักษ. 2532. หลกั โภชนาการปจจบุ ัน. ไทยวฒั นาพานิช จาํ กดั . กรุงเทพฯ. 222 หนา.สภุ าวดี เมืองพรหม. 2533. ผลการรณรงคโ รคคอพอก : เดก็ นกั เรียนโรงเรยี นบานยา นดู ตาํ บลทาปลา จังหวดั อตุ รดติ ถ. สารนิพนธ สาํ นกั บณั ฑติ อาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร, กรุงเทพฯ, 57 น.Mackowiak, C. L. and P. R. Grossl. 1999. Iodate and iodide effect on iodine uptake and partitioning in rice (Oryza sativa L.) grown in solution culture. Plant Soil 212: 135-143.Shinohara, Y. and Y. Suzuki. 1988. Quality improvement of hydroponically grown leaf vegetables. Acta Horticulturae 230: 279-286.Umaly, R.C. and L.W. Poel. 1971. Effects of iodine in various formulations on the growth of barley and pea plants in nutrient solution Culture. Ann. Bot. 35: 127–131.Whitehead, D. C., 1975. Uptake by perennial ryegrass of iodide, elemental iodide, and iodate added to soil as influenced by various Amendments. J. Sci. Food Agric. 26: 361 – 7.Zhu, Y. G., Y. Z. Huang., Y. Hu, and Y. X. Liu. 2003. Iodine uptake by spinach (Spinacia oleracea L.) plants grown in solution culture: effects of iodine species and solution concentrations. Environmental International 29: 33 - 37.

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 149-152 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พิเศษ) : 149-152 (2552) การตรวจหาอาการแกนของสบั ปะรดแบบไมท าํ ลายNondestructive Testing for Defected Pineapple Detection ปรชี า นา้ํ กล่นั 1 สมชาย อรุณรุงรศั มี1 และ ธเนศ ธนติ ยธ รี พนั ธ 1 Numklun, P.1 , Arunrungrasmee, S.1 and Tanitteerapan, T. 1 Abstract This research proposed the nondestructive testing for defected pineapple detection using Fast FourierTransform (FFT) to analyze rap sound of pineapples to find their frequency and to fine the damping constant ofexponential equation. Furthermore, the percent of dry-weight of pineapple was determined to compare defectedpineapple and good pineapple. Later, pineapples were sorted out by neural network program. Results of sortingout defected pineapple from good pineapple using FFT in analysis and the damping constant of exponentialequation gave accuracy of 100%. From experiment on 100 pineapples, there were 17 defected pineapples and 83good pineapples.Keywords : Fast Fourier Transform (FFT), percent of dry-weight, nondestructive, pineapple บทคดั ยอ งานวิจัยน้ีเสนอวิธีการตรวจหาอาการแกนของสับปะรดแบบไมทําลาย โดยใชหลักการของการนําเสียงเคาะของสับปะรดไปวิเคราะหดวย Fast Fourier Transform (FFT) เพื่อหาคา Frequency และหาคา Damping constant ของสมการExponential ท้ังยังหาคา Percent of Dry-Weight ของสับปะรดเพื่อเปรียบเทียบระหวางสับปะรดแกนและสับปะรดสุกจากนั้นนําไปทําการคัดแยกดวยโปรแกรม Neural network ผลการทดลองของการคัดแยกสับปะรดแกนออกจากสับปะรดสุกโดยการวิเคราะหดวย FFT และคา Damping constant ของสมการ Exponential ใหความถูกตอง 100% จากการทดลองกับสับปะรดจาํ นวน 100 ลูก พบสบั ปะรดแกน 17 ลกู และสบั ปะรดสุก 83 ลูกคาํ สําคัญ : การแปลงฟูเรยี รแบบเร็ว รอ ยละของนํ้าหนกั แหง การทดสอบแบบไมทาํ ลาย สบั ปะรด คาํ นาํ ประเทศไทยเปนประเทศที่มีพื้นฐานและโครงสรางทางสังคมเปนแบบเกษตรกรรม และเนนการผลิตเพื่อการสงออกเปนหลัก สับปะรดเปนผลไมชนิดหน่ึงท่ีมีความสําคัญตอเศรษฐกิจ สับปะรด (Pineapple) เปนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวในวงศBromeliaceae มีช่ือทางวิทยาศาสตรวา Ananas comosus (L.) Merr. ในอุตสาหกรรมการแปรรูปสับปะรดปญหาอยางหนึ่งก็คือ การคัดแยกสับปะรดผลแกนออกจากสับปะรดผลสุก ปจจุบันการตรวจสอบคุณภาพผลไมมีหลากหลายวิธีอาทิ Ventura etal,. (1998) เสนอการตรวจหาองคประกอบของของแข็ง ท่ีมีผลตอระดับความแกของผลแอปเปลโดยใช Near InfraredSpectroscopy Mizrach et al., (1999) เสนอการวัดความแกของมะมวงโดยการวิเคราะหคลื่นทางกลดวย Fast FourierTransform (FFT) Lee et al., (1997) เสนอวิธีการตรวจวัดองคประกอบทางเคมี ของนํ้า และน้ําตาล ภายในเนื้อผลมะเขือเทศพีท และแอปเปล Mizrach et al., (1991) ไดเสนอการใชสัญญาณอุลตราโซนิกส (Ultrasonic Signal) ในการตรวจวัดคุณภาพและระดับความแกออนของผลอะโวคาโดและแตงโม Anupun et al., (1997) เสนอวิธีการตรวจสอบคุณภาพจากเสียงเคาะโดยใชไมโครโฟนวัดเสียงเคาะ และนําไปวิเคราะหดวย FFT Abbott et al., (1968) ไดเสนอวิธีการตรวจสอบผลไม (แอปเปลมะเขือเทศ อะโวคาโด แตงโม และมะมวง) ดวยการใชคลื่นเสียง Watanabe et al., (1992) ไดศึกษาถึงองคประกอบของน้ําตาลในผลพีทและสม ดวยการวิเคราะห Spectroscopy จากสาเหตุขางตนงานวิจัยน้ีเสนอวิธีการคัดแยกสับปะรดแกนออก1ภาควิชาครุศาสตรไ ฟฟา คณะครศุ าสตรอตุ สาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา ธนบุรี 126 ถนน ประชาอทุ ศิ แขวงบางมด เขตทุงครุ กรงุ เทพฯ101401 Department of Electrical Technology Education, Faculty of Industrial Education and Technology, King Mongkut’s University of Technology Thonburi. 126Prachautid, Bangmod, Toongkru, Bangkok, Thailand 10140.

150 การตรวจหาอาการแกนของสับปะรด ปท่ี 40 ฉบบั ท่ี 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเ กษตรจากสับปะรดสุก ดวยวิธี Nondestructive จากการวิเคราะห Fast Fourier Transform เพ่ือหา Frequency และคาDamping constant กับคา Percent of Dry-Weight และนาํ ไปคัดแยกดว ย Neural networkข้นั ตอนการวจิ ยั แบงออกเปน 6 ข้ันตอน คือ อุปกรณและวิธกี าร1. บันทึกเสยี งเคาะสับปะรดดวยโปรแกรม sound recorder2. พจิ ารณาตัดขอ มูลเสียงเฉพาะชว งสญั ญาณเสียงเคาะ3. หาคา Frequency ดวยวิธี Fast Fourier Transform (FFT)4. หาคา Damping constant จากสมการ x(t ) = −α t5. หาคา Percent of Dry-Weight Ae6. ประมวลผลดวยโปรแกรม Neural network พจิ ารณาชวงสญั ญาณของเสียงเคาะแลวนาํ ไปประมวลผลดว ยคอมพวิ เตอร โดยวิธี fast fourier transformSpectrum Analysis เปนการวิเคราะหส ัญญาณ โดยเปลี่ยนสัญญาณท่อี ยูบ นโดเมนของเวลาไปเปน โดเมนของความถ่ี 0.8 Amplitude spectrum |X(f)| 9000 0.6 8000 0.4 Time x = Asin(2π f t) −α t 7000 0.2 6000 e 5000 0 4000-0.2 50 100 150 200 250 300 350 400 450 3000 1 1.5-0.4 2000 x 104-0.6 TimTime e 1000-0.8 0 -1 -1.5 -1 -0.5 0 0.5 0 frequency (f)Figure 1 สญั ญาณเสยี งบน Time Domain Frequency Domain Figure 2 สญั ญาณเสียงบนFast Fourier Transform (FFT) เปน วธิ ีสําหรบั หาคา Discrete Fourier Transform (DFT) ของสัญญาณวิธหี นงึ่ ท่สี ามารถลดเวลาการคาํ นวณลงไดม ากกวา การหา DFT แบบปกติ N −1 (1) x ∑ w(n) = (2) x(k) −nk (3) (4) N (5) k =0 a(k) = x(2k) ; k = 0,1,2,…,N/2-1 b(k) = x(2k+1) ; k = 0,1,2,…,N/2-1 N / 2−1 N / 2−1 x ∑ w ∑ w(n) = x(2k) −(2n)k + x(2k+1) −( 2 n+1) k N N k=0 k=0 N/ 2−1 N / 2−1 x ∑ w ∑ w(n) = a(k) −(2n)k + b(k) −( 2 n ) k N N k=0 k=0 w j2π / N (6) N =e j 2 π /( N / 2 ) e w w2= = N /2 (7) N

ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร ปท ี่ 40 ฉบบั ท่ี 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 การตรวจหาอาการแกนของสบั ปะรด 151 N / 2−1 N / 2−1 (8) x ∑ w w ∑ w(n) = (9) a(k) −nk + −n b(k) −nk (10) (11) N/2 N N/2 k =0 k=0 N / 2−1 ; n = 0,1,2,…,N/2-1 ∑ wA(n) = a( k ) −nk N/2 k=0 ∑ wB(n) =N / 2−1 −nk ; n = 0,1,2,…,N/2-1 b( k ) N/2 k=0 x( n ) w= A(n-N/2) + −n B(n-N/2) ; n = N/2,N/2+1,…,N-1 N DFT computational cost = N2 (12) FFT computational cost = (1/2) N log 2 N (13) Complex multipications required by DFT and FFT 25 DFT FFT 20 FLOPs/1000 15 10 5 0 0 50 100 150 200 250 N Figure 3 กราฟแสดงการเปรียบเทยี บของการคาํ นวณแบบ DFT และ FFT ผลและวจิ ารณ การวิเคราะห frequency และ Damping constant ของสบั ปะรด ดวยการพจิ ารณาชวงสญั ญาณของเสยี งเคาะแลว นําไปประมวลผลดวยโปรแกรม matlab ดวยวธิ ี fast fourier transform (fft) 1 1 0.8 0.6 x(t) = 0.9405 − 0.0096 t 0.8 x(t) = 0.9056 − 0.0149 t 0.4 0.2 e e 0 0.6 -0.2 -0.4 0.4Amplitude - Amplitude 0.2 -0.6 0 -0.2 -0.4 -0.8 50 100 150 200 250 300 350 400 450 -0.6 50 100 150 200 250 300 350 400 450 -1 -0.8 0 Time t 0 Time Figure 4 Damping constant ของสับปะรดสุก Figure 5 Damping constant ของสับปะรดแกน 0.12 0.02 0.1 0.018 X: 818.5 0.016 Y: 0.07985 0.08 A m plitude s pec trum |X (f)| A m plitude s pec trum |X (f)| 0.014 X: 1034 0.012 Y: 0.01222 0.06 0.01 0.04 0.008 0.006 0.02 0.004 0.002 0 2.5 0 -2.5 -2 -1.5 -1 -0.5 0 0.5 1 1.5 2 x 104 -1.5 -1 -0.5 0 0.5 1 1.5 frequency (f) Figure 7 frequencyfrequency(f) ของสบั ปะรดแกนx104 Figure 6 frequency ของสบั ปะรดสุก

152 การตรวจหาอาการแกนของสับปะรด ปท ี่ 40 ฉบับท่ี 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเกษตรPercent of Dry-Weight มคี า จุดเร่ิมเปลยี่ น อยูท ี่รอยละ 15.50 โดยการนําเนือ้ ผลสับปะรด 100 กรัม อบท่อี ุณหภมู ิ 65องศาเซลเซียส เปนเวลา 120 ช่วั โมง แลว นํามาคํานวณหาคา Percent of Dry-WeightFigure 8 ลกั ษณะสบั ปะรดสุก Percent of Dry-Weight 20 y = 0.0091x + 6.5744 18 R2 = 0.8037 16 14 y 12 เชงิ เสน (y) 10 500 1000 1500 8 Frequency 6 4 2 0 0Figure 9 ลกั ษณะสับปะรดแกน Figure 10 กราฟ Frequency and Percent of Dry-Weight สรุป1. สบั ปะรดผลสกุ ทดี่ มี ี Frequency ระหวา ง 692 - 950 เฮริ ต และสับปะรดแกนมี Frequency ระหวาง 990 - 1310 เฮิรต2. ผลสับปะรดสกุ ที่ดีมคี า Damping constant ระหวาง 0.0050 ≤ α ≤ 0.0103 และสบั ปะรดแกนมีคาระหวาง 0.0103 < α ≤ 0.01923. Percent of dry-weight ของสับปะรดสกุ อยรู ะหวา ง 11.50 - 15.50 และของสับปะรดแกนอยูระหวาง 15.51 -18.804. การทดสอบจากโปรแกรม Neural network จากการตรวจวดั อาการแกนของผลสบั ปะรดพบวา ถูกตอง 100 เปอรเซน็ ต เอกสารอา งอิงVentura, M., A. De Jager, H. De Putter, and P.M.M. Roelofs Frans. 1998. Nondestructive Determination of Solids in Apple Fruit by Near Infrared Spectroscopy (NIRS). Postharvest Biology and Technology. 21-27.Mizrach, A., U. Flitsanov, Z. Schmilovitch. and Y. Fuchs. 1999. Determination of Mango Physiological Indices by Mechanical Wave Analysis. Postharvest Biology and Technology. 83-88Lee, K.L., W.R. Hruschka, J.A. Abbott, S.H. Noh. and Y.R. Chen. 1997. Comparison of statistical methods for calibrating soluble solid measurement from NIR interactance in apple. Proceedings Koream Society Agriculture Machinery.97 Winter, Vol. 1, 206-212.Mizrach, A., N. Galili, G. Rosenhouse. and D.C. Teitel. 1991. Acoustical mechanical and quality parameters of winter grown melon tissue. Transaction American Society of Agricultural Engineers. 34 : 2135-2138.Anupum, T., S. Wichet. and S. Anek. 1997. Investigation of change in resonant frequency related index with respect to durian quality. Research report to Thailand research fund division of science and technology research for manufacturing and administration. 3-23.Abbott, J.A., N.F. Childers, G.S. Bachman, J.V. Fitzgerald. and F.J. Matusik. 1968. Acoustic vibration for detectingtextural quality of apples. Proceeding of American Society for Horticultural Science. 93 : 725-737.Watanabe, H., S. Kawano. and M. Iwamoto. 1992. Determination of sugar content intact peaches by near infrared spectroscopy with fiber optics in interactance mode. Journal of Japan Society for Horticulture Science. 61 : 445-451.

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 153-156 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พิเศษ) : 153-156 (2552) ผลของระดับความเขมขนของแนฟทาลนี อะซีตกิ แอซดิ ทม่ี ตี อ ลกั ษณะการเจรญิ เติบโตและพฒั นาการของ สว นทไ่ี มเก่ียวกับเพศบางประการของหนา ววั ตดั ดอกพนั ธุซพี สี ่ี Effect of Concentrated Level of Naphthaleneacetic Acid on Some Asexual Growth and Development Characteristics of Anthurium (Anthurium andraeanum var.CP4) Cutflower นิตพิ ัฒน พัฒนฉัตรชัย1 Pattanachatchai, N. 1 Abstract The purpose of the research was to promote some growth and development characteristics of anthurium‘CP4’ using naphthaleneacetic acid (NAA) solution at the concentrations of 0, 10, 20, 30, 40, 50 and 60 mg/l. Itwas found that NAA at 10 mg/l was the most suitable solution that could significantly enhance leave area andshorten the time of new root forming (153.84 square centimeters and 18.86 days, respectively). NAA at 20 mg/lresulted in the highest values of leave width, leave length, petiole length and number of day of new leaves fullyunfurling with means (11.69, 21.29, 21.05 centimeters and 54.18 days, respectively). However, NAA at 30 mg/lsignificantly prolonged the longest number of leave senescence with a mean of 67.71 days, whereas at 60 mg/lresulted in the lowest number of day to form new leaves with a mean of 32.41 days.Keywords : leaf area, leaves full unfurling, leaf senescence, new root บทคดั ยอ การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงคในการสงเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการบางประการของหนาวัวตัดดอกพันธุซีพีส่ีที่ไดรับสารละลาย naphthaleneacetic acid (NAA) ความเขมขน 0 10 20 30 40 50 และ 60 มิลลิกรัม/ลิตร พบวาความเขมขน10 มิลลิกรัม/ลิตร เปนระดับที่เหมาะสมที่สุดในการเพิ่มพ้ืนที่ใบและการชักนําใหเกิดการสรางรากใหมในระยะเวลาอันส้ันอยางมีนัยสําคัญโดยมีคาเฉลี่ย 153.84 ตารางเซนติเมตรและ 18.86 วัน ตามลําดับ ในขณะที่ความเขมขน 20 มิลลิกรัม/ลิตร มีผลตอคาเฉล่ียความกวางของใบ ความยาวของใบ ความยาวของกานใบสูงที่สุดและจํานวนวันที่นอยท่ีสุดสําหรับการคลี่บานของใบใหมอยางมีนัยสําคัญโดยมีคา 11.69 21.29 21.05 เซนติเมตร และ 54.18 วันตามลําดับ อยางไรก็ตามความเขมขนท่ีสูงข้ึนถึง 30 มิลลิกรัม/ลิตร มีผลอยางมีนัยสําคัญตอจํานวนวันเฉล่ียท่ีใบใหมเส่ือมตามอายุยาวนานท่ีสุดถึง 67.71 วัน ในขณะที่ความเขมขน 60 มิลลิกรมั /ลิตรมีผลตอจํานวนวนั เฉลีย่ ทนี่ อยที่สุดในการสรางใบใหมอ ยางมนี ยั สาํ คัญเพยี ง 32.41 วันคําสาํ คัญ : พน่ี ท่ใี บ การคลี่บานเต็มที่ ใบเสอ่ื มสภาพ รากใหม คาํ นาํ หนา วัวพันธซุ พี ีสเ่ี ปนพชื ทอี่ ยูในวงศ Araceae สกุล Anthurium มีช่อื วทิ ยาศาสตรวา Anthurium andreanum จัดเปนหนาวัวประเภทตดั ดอกพันธลุ ูกผสมทีเ่ กิดจากการปรบั ปรงุ พนั ธุในประเทศไทย อยา งไรก็ตามการปลูกตนพนั ธทุ ไ่ี ดจ ากการเพาะเลีย้ งเนอื้ เย่ือจะใหผ ลผลติ เต็มท่ีเมอื่ นับตั้งแตนําออกจากขวดเพาะเลี้ยงเนอื้ เยื่ออาจตอ งใชเ วลาเฉลย่ี นาน 18 ถึง 20เดือนท้ังน้เี น่ืองจากหนาววั มอี ตั ราการเจรญิ เติบโตทค่ี อนขา งชาซ่งึ เฉล่ียจะสรา งใบใหมเดือนละหนง่ึ ใบ และดวยเหตุทห่ี นา ววั เปนพชืประเภท perennial – herbaceous (นติ พิ ัฒน, 2547) ซงึ่ ลําตนหลกั จะมกี ารสรางใบใหม ประมาณ 3 ถึง 8 ใบตอปข้ึนอยกู บัธาตอุ าหารพืช สภาพแวดลอ ม และพันธุ (Rimando, 2001) ท้ังนแ้ี นฟทาลนี อะซตี ิกแอซิดเปนสารสังเคราะหท ีเ่ กยี่ วขอ งกับการสง เสริมหรอื ยับยงั้ การเจริญเตบิ โตและพฒั นาการในสวนตา งๆ ของพืชขน้ึ อยูกับระดบั ความเขมขน สว นของเน้ือเยอ่ื พชื หรืออวยั วะ ชนิดของพืช และระยะการเจริญเติบโต (Preece และ Read, 1993) การใชในระดับความเขมขนตาํ่ สามารถสง เสรมิ การเจรญิ เติบโตของเซลล การแบงเซลลและการเกิดรากของพชื (Srivastava, 2002) ซึ่งการขยายขนาดของเซลลและการแบง เซลลในแคมเบยี มถูกสง เสริมโดยกิจกรรมของออกซนิ (Davies, 1995) โดยฮอรโ มนพชื ท่ีใหจากภายนอกสามารถเปลี่ยนแปลงสมดุล1คณะวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั สุรินทร 186 หมู 1 ถนนสุรนิ ทร- ปราสาท อ.เมือง จ.สุรินทร 320001 Faculty of Science and Technology, Surindra Rajabhat University, 186 Moo 1 Surin-Prasart Rd., Muang District, Surin Province 32000

154 ผลของระดบั ความเขมขนของ ปท ่ี 40 ฉบับที่ 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเกษตรชั่วคราวของระดบั ฮอรโ มนทีม่ ีผลตอ การขยายขนาดของเซลลพ ืชในสภาพภายนอกตน พืชได (Srivastava, 2002) ดังนนั้ การทดลองนี้จงึ มีวัตถปุ ระสงคเพ่อื ศึกษาผลของระดับความเขมขน ของแนฟทาลีนอะซีติกแอซิดท่ีมีตอการเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการบางประการของหนา ววั ตดั ดอกพนั ธุซพี ีสี่ (Anthurium andraeanum var.CP4) เพื่อกําหนดระดับความเขม ขนที่เหมาะสมตอ การนาํ ไปใชป ระโยชน อุปกรณและวิธกี าร วางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD) ซ่ึงกาํ หนดความเขมขน ของแนฟทาลนี อะซีติกแอ-ซดิ (naphthaleneacetic acid; NAA) ท่ีแตกตาง 7 ระดับ ไดแก 0 10 20 30 40 50 และ 60 มิลลิกรัม/ลิตร เปน สงิ่ ทดลองแตละส่งิ ทดลองกระทํา 4 ซํ้า แตล ะซ้ําใชพืชทดลองจาํ นวน 8 ตน โดยใชตน พันธุหนา ววั พันธุซพี สี อ่ี ายุ 9 เดอื น ที่ไดจากการเพาะเล้ยี งเน้อื เย่ือจํานวน 224 ตน ปลูกลงในกระถางพลาสติกสีดําขา งทึบ เสนผาศูนยก ลางปากกระถาง 18 เซนติเมตรกระถางละ 1 ตน โดยใชกาบมะพรา วสบั และถา นหุงตม ในอัตราสว น 1 : 1 โดยปริมาตรเปนวัสดุปลูก จากน้ันจึงนาํ พืชทดลองไปปรับสภาพ (acclimatization) เปนเวลา 4 สปั ดาห แลวจึงใหสิ่งทดลองจํานวน 2 ครัง้ ใน สัปดาหท่ี 6 และ 9 โดยฉดี พน ใหท วั่ ทั้งสว นของหลงั ใบ ทองใบ กานใบ ยอด และราก บันทึกจํานวนใบและรากเดมิ ที่ติดอยูกับพืชทดลองและทําสญั ลักษณไ ว หลงั จากน้นั เรม่ิ บันทึกผลการตอบสนองดานพฒั นาการตั้งแตไ ดรับสง่ิ ทดลองครั้งแรกและดา นการเจรญิ เติบโต เมื่อสิ้นสดุ การทดลองไดแ ก จํานวนวันท่ีสรา งใบใหม จาํ นวนวันที่ใบใหมค ลเี่ ต็มที่ จาํ นวนวนั ทใี่ บใหมเสื่อมตามอายุ จาํ นวนใบใหม จํานวนวนั ท่ีสรา งรากใหม จาํ นวนรากใหม พ้นื ที่ใบ ความกวา งของใบ ความยาวของใบ ความยาวของกา นใบ และปรมิ าณคลอโรฟลลภ ายในใบ ผลและวจิ ารณการเจรญิ เตบิ โตบางประการ NAA ท่รี ะดับความเขมขน 10 มิลลกิ รัม/ลติ ร สง เสริมการเพ่ิมพ้นื ทใ่ี บไดดที ส่ี ดุ อยางมนี ัยสําคัญ โดยเพิม่ ข้ึนถึง 3.96ตารางเซนตเิ มตรเม่ือเทียบกับ control สวนความเขมขน 20 มิลลกิ รัม/ลติ ร สงเสรมิ ความกวางของใบ ความยาวของใบ และความยาวของกานใบไดด ีท่สี ุดอยา งมีนัยสาํ คญั โดยเพิ่มขน้ึ 1.20 1.70 และ 2.05 เซนติเมตรตามลําดับ เม่ือเทียบกับ controlแตทุกระดับความเขมขน ไมมีผลตอ ปรมิ าณคลอโรฟล ลภายในใบอยางมีนยั สาํ คัญ (Table 1) ซ่ึงการใช NAA ท่ีระดับความเขม ขนตํ่าสงเสริม การเจริญเติบโตของเซลล และการเกดิ รากของพืช (Srivastava, 2002) แตเ มอื่ เพ่มิ ระดบั ความเขม ขนพบวาคาเฉล่ียของท้งั สี่ลกั ษณะมีแนวโนม ลดลง ซึ่งความเขม ขน ทเี่ พ่มิ ขน้ึ มผี ลตอการชะลอ หรือยบั ยั้งการขยายขนาดของเซลล และการแบงเซลล (Hopkins, 1995; Fosket, 1994) แสดงใหเ หน็ วาใบและกานใบของหนาววั พันธซุ พี ีส่ี เปนอวัยวะที่ตอบสนองตอออกซินที่ใหจากภายนอกไดด ีTable 1 Average of some growth characteristics after treating with NAA 0 – 60 mg/lConcentrated Leaf area1 Leaf width1 Leaf length1 Petiole length1 Leaf chlorophylllevel (cm2) (cm) (cm) (cm) content1 (SPAD-unit)0 149.88b 10.49c 19.59b 19.00cd 45.17a10 153.84a 10.49c 20.07b 20.30ab 45.00a20 151.30ab 11.69a 21.29a 21.05a 45.61a30 144.65dc 11.31ab 21.02a 19.87bc 45.55a40 145.94c 10.90bc 19.49b 19.40bcd 44.92a50 142.58d 10.71c 18.50c 18.59de 44.89a60 143.08dc 10.39c 18.45c 17.97e 44.55aF-test ∗∗ ∗∗ ∗∗ ∗∗ nsCV (%) 1.42 3.20 2.15 3.28 1.351Within columns means followed by same letter are not significantly different at P = 0.05

ว. วิทยาศาสตรเกษตร ปที่ 40 ฉบับท่ี 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ผลของระดับความเขมขน ของ 155พัฒนาการบางประการ NAA ทรี่ ะดับความเขมขน 20 มิลลกิ รมั /ลติ ร มีผลตอ การคลบ่ี านเต็มทข่ี องใบใหมแ ละจํานวนวนั ทใ่ี ชส รา งรากใหมไดเร็วทีส่ ดุ อยางมีนัยสาํ คัญถงึ 2.2 และ 1.66 วัน ตามลําดับ (Table 2) เทียบกับ control โดยผลการศกึ ษาของ Keller (2007)พบวา ออกซนิ ทใ่ี หจ ากภายนอกในชวงเวลาส้ันๆ มผี ลตอ การขยายขนาดของใบพชื จําพวกถ่วั และออกซินยังมผี ลตอ การควบคมุ การขยายขนาดของแผน ใบทม่ี อี ายุนอย (Fosket, 1994) สวนระยะเวลาทใ่ี ชใ นการสรา งรากใหมท ่สี ้นั กวา control น้ันแสดงใหเหน็ ถึงบทบาทของออกซินในการควบคุมการสรางรากแขนงและจดุ เริ่มตน ในการกําเนิดราก (Marschner, 1995) ท้งั นี้เนอื่ งจาก NAA อาจมผี ลตอ การทาํ ใหเซลลในช้ันเพรไิ ซเคิลกลบั สูสภาพท่ีเหมาะสมตอ การสรา งจดุ กําเนิดรากไดใหมอ ีก (Lloretและ Pulgarín, 1992) สวน NAA ความเขม 30 มิลลิกรมั /ลิตร มคี าเฉลยี่ จํานวน วนั ท่ใี บใหมเส่อื มตามอายยุ าวนานกวาcontrol อยา งมีนยั สําคัญถงึ 4.15 วนั (Table 2) ซึ่งระดับความเขมขน ทเ่ี หมาะสมสามารถชะลอการเสอื่ มตามอายขุ องใบพืชได (Davies, 1995) เนอ่ื งจากออกซินสามารถยับยงั้ การสรา งบริเวณการรวงทบ่ี ริเวณฐานของใบพชื ได (Fosket , 1994) จงึ มีความเปน ไปไดว า NAA ท่ใี หจากภายนอกสามารถทดแทนออกซินทถ่ี ูกสรางไดน อยลงในใบพชื อายุมากขึน้ ซ่ึงการฉดี พน NAAจากภายนอกสามารถชะลอการเสอ่ื มตามอายุ และการหลุดรวงของใบไดอยางเดนชดั (Zhang et al., 1987) ในขณะท่ี NAAความเขม ขน 60 มลิ ลิกรัม/ลติ ร ใหค าเฉล่ียของจํานวนวันทใ่ี ชส รางใบใหมส้ันกวา control อยา งมนี ัยสาํ คัญ ถึง 5.71 วัน (Table2) เนอื่ งจาก NAA ท่ีใหจ ากภายนอกอาจชดเชยออกซินทไี่ มส ามารถถกู สรางขึน้ หรอื ถกู สรา งไดน อยในใบพชื ทีม่ ีอายุคอ นขางมากและมกี ารเคล่ือนยายจากแผน ใบไปตามกานใบลงสูบรเิ วณปุมกําเนดิ ใบดา นขางของปลายยอดจนกระทง่ั มีระดบัความเขมขนเหมาะสมตอ การควบคุมการสรา งใบTable 2 Average duration and number of some development characteristics after treating with NAA 0 - 60 mg/lConcentrated No. of day to No. of day to No. of day to No. of new No. of day to No. oflevel form new leaves fully leaves fully leaves1 form new new roots1(mg/l) leaves1 unfurling1 senescent1 (leaves) roots1 (roots) (days) (days) (days) (days)0 38.12a 56.38ab 63.56c 1.82a 20.40a 2.69a10 38.07a 55.04bc 65.70ab 1.90a 18.86c 2.57a20 35.09bc 54.18c 66.19ab 1.90a 18.74c 2.60a30 34.50bc 57.16a 67.71a 1.69 19.56b 2.72a40 34.10c 55.00bc 66.22ab 1.85a 18.97c 2.44a50 36.07b 54.31c 65.56b 1.85a 19.47b 2.35a60 32.41d 57.50a 65.88ab 1.88a 19.21bc 2.38aF-test ** ** * ns ** nsCV (%) 3.02 1.72 1.98 6.19 1.66 11.621 Within columns means followed by same letter are not significantly different at P = 0.05 สรุป จากการทดลองใช NAA เพือ่ สง เสรมิ ลักษณะการเจริญเตบิ โตและพัฒนาการบางประการของหนาววั ตดั ดอกพันธซุ พี ีส่ี พบวา สารละลาย NAA ระดับความเขมขน 10 มลิ ลิกรัม/ลิตรมีความเหมาะสมตอ การเพ่ิมพน้ื ท่ีใบมากทสี่ ุด ในขณะท่คี วามเขมขน 20 มลิ ลิกรมั /ลติ ร มีความเหมาะสมตอ การเพม่ิ ความกวา งของใบ ความยาวของใบ และความยาวของกานใบท่เี พมิ่ ข้นึมากทส่ี ุด นอกจากนยี้ งั ลดระยะเวลาในการคลี่บานเตม็ ทขี่ องใบใหม และการสรา งรากใหมไดมากที่สดุ สวนความเขม ขน 30มิลลิกรัม/ลติ ร ยืดอายุการเสอื่ มตามอายขุ องใบใหมไ ดยาวนานทีส่ ดุ อยา งไรก็ตามความเขมขน 60 มิลลิกรมั /ลิตรชว ยลดระยะเวลาในการสรา งใบใหมไ ดมากทีส่ ุด คําขอบคุณ ผวู จิ ัยขอขอบคุณสถาบันวจิ ัยและพฒั นา มหาวิทยาลยั ราชภฏั สุรนิ ทรท่สี นบั สนุนเงนิ ทุนวจิ ยั

156 ผลของระดบั ความเขมขน ของ ปท่ี 40 ฉบบั ท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร เอกสารอา งองินิตพิ ัฒน พฒั นฉตั รชัย. 2547. เทคโนโลยีการผลติ ไมดอกสกุลหนา ววั : วสั ดปุ ลกู และแนวทางการใชป ระโยชนจากสารควบคมุ การเจริญเตบิ โตของพชื ในการชกั นําใหเกดิ การออกดอก. สาํ นักพมิ พร าชภัฏสรุ ินทร. สุรนิ ทร. 80 น.Davies, P.J. 1995. The Plant hormones : their nature, occurrence, and functions, In P.J. Davies (Ed.), Plant hormones : physiology biochemistry and molecular biology (pp. 1-12), Kluwer Academic Publ., Dordrecht. 833 p.Fosket, D.E. 1994. Plant Growth and Development : A Molecular Approach, Academic Press, Inc., San Diego. 580 p.Hopkins, W.G. 1995. Introduction to plant physiology, John Wiley & Sons, Inc., New York, 464 p.Keller, C.P. 2007. Leaf expansion in Phaseolus : transient auxin-induced growth increase, Physiologia Plantarum, 130 (4) : 580-589.Lloret, P.G. and A. Pulgarín. 1992. Effect of naphthaleneacetic acid on the formation of lateral roots in the adventitious root of Allium cepa : number and arrangement of laterals along the parent root, Canadian Journal of Botany, 70 (9) : 1891-1896.Marschner, H. 1995. Mineral Nutrition of Higher Plants (2nd ed.), Academic Press Ltd., London. 889p.Preece, J.E. and Read, P.E. 1993. The biology of horticulture, John Wiley & Sons, Inc., New York. 480 p.Rimando, T.J. 2001. Ornamental Hoticulture : A Little giant in the tropics, SEAMEO - SEARCA and UPLB, College, Los Baños, Laguna. 333 p.Srivastava, L.M. 2002. Plant growth and Development : Hormones and Environment, Academic Press, Amsterdam, 772 p.Zhang, R., D.S. Letham, C.W. Parker, H. Schroeder and T.J.V. Higgins. 1987. Retardation of soybean leaf senescence and associated effects on seed composition, Journal of Plant Growth Regulation, 6 (1) : 15- 21.

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 157-160 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พิเศษ) : 157-160 (2552) ผลของสารสกดั จากลําตน หญาดอกขาวตอการงอกและการเจรญิ เติบโตของวัชพชื 3 ชนดิ Effects of Red Spragle Stem Extracts on Seed Germination and Growth of Three Weeds ศานิต สวัสดิกาญจน1 วมิ ลพรรณ รงุ พรหม1 และ ศริ ริ ตั น ศิริพรวศิ าล1 Sawatdikarn, S. 1, Rungprom, W. 1 and Siripornvisal, S. 1 Abstract Stems of red spragle (Leptochloa chinensis (L.) Nees.) were extracted by ethyl acetate and used at 0,0.25, 0.75 and 1.25 g/L. The red spragle extracts were tested on the inhibition of seed germination and growth ofthree weed seeds [jungle rice (Echinochloa colona (L.) Link), phasey bean (Phaseolus lathyroides L.) andpopping pod (Ruellia tuberosa (Burm.f.) Hochr.]. Results showed that crude extracts at 1.25 g/L resulted ininhibition of seed germination of jungle rice, phasey bean, and popping pod with 15.41, 49.05 and 6.87%,respectively. For inhibition of seedling growth, a concentration of crude extract of 1.25 g/L inhibited shoot length,root length, and seedling dry weight in all three weeds. Seedling dry weight of jungle rice, phasey bean, andpopping pod was inhibited by crude extracts of 1.25 g/L with 23.17, 72.00 and 35.74 %, respectively. A raise inconcentration resulted in increased inhibition of seed germination and growth of three weeds.Keywords : red spragle, seed germination, growth, weed seeds บทคดั ยอ ทดสอบผลของสารสกัดจากลาํ ตน หญา ดอกขาวดวยเอทิลแอซิเตต ที่มีความเขมขน 4 ระดบั คือ 0 0.25 0.75 และ1.25 กรัม/ลิตร ตอการยบั ย้งั การงอกและการเจรญิ เตบิ โตของวัชพืช 3 ชนิด คือ หญานกสีชมพู ถ่ัวผี และตอ ยต่ิง ผลการทดลองพบวา สารสกดั จากหญาดอกขาวท่มี ีความเขม ขน 1.25 กรัม/ลติ ร สามารถยับยัง้ การงอกของหญา นกสชี มพู ถัว่ ผี และตอยตง่ิไดม ากท่ีสดุ โดยมีเปอรเ ซ็นตย ับยงั้ การงอกเทากบั 15.41 49.05 และ 6.87% ตามลําดบั สว นการยบั ยง้ั การเจริญเตบิ โตของตนกลา พบวา สารสกดั จากหญา ดอกขาวทีม่ คี วามเขม ขน 1.25 กรัม/ลติ ร มีฤทธิ์ในการยับยงั้ ความยาวยอด ความยาวราก และน้ําหนักแหง ของตนกลา ของวัชพืชทดสอบทง้ั สามชนดิ มากท่ีสดุ โดยเฉพาะน้ําหนกั แหง ของตนกลาที่มีการยบั ย้ังเทากบั 23.1772.00 และ 35.74 % ในหญา นกสีชมพู ถว่ั ผี และตอ ยติ่ง ตามลําดบั การเพ่มิ ความเขม ขน ของสารสกดั จากหญาดอกขาวทําใหการยบั ยง้ั การงอกและการเจรญิ เตบิ โตของตน กลาวัชพชื ทดสอบทงั้ สามชนดิ เพ่ิมข้ึนคําสําคญั : หญา ดอกขาว การงอกและการเจริญเติบโต วชั พืช คํานํา หญา ดอกขาว (red spragle) เปน วัชพืชทมี่ ีคณุ สมบตั ิในการปลดปลอ ยสารชวี เคมีสสู ิ่งแวดลอ ม สารที่ถูกปลดปลอยออกมาจากหญาดอกขาว เรยี กวา สารแอลลโี ลเคมิคอล (allelochemical substance) จัดเปน สารพษิ ที่มีผลตอ การงอกและการเจริญเติบโตของพชื ชนิดอ่นื (Rizvi และ Rizvi, 1992; Inderjit และ Dakshini, 1996) ผลกระทบของสารแอลลีโลเคมิคอลจากวชั พืชท่ีมีตอ การงอกและการเจริญเตบิ โตของวัชพชื ดวยกัน เชน สารสกัดจากใบของสาบหมาตอ การงอกของไมยราบยกั ษ(ศริ ิพร และชอุม, 2537) สารสกัดจากใบของผักแครดตอ การงอกของวชั พืช จาํ นวน 4 ชนิด คือ ผักแครด ถว่ั ผี หญาเจา ชู และตอ ยต่งิ (ภาคภูมิ และวรญั ญา, 2548) สารสกัดจากลําตนของหญาแพรกตอการงอก และการเจริญเติบโตของผกั เบ้ีย(Alsaadawi et al., 1990) สารสกดั จากลําตนและรากของวชั พืช Echinacea angustifolia DC. กับวัชพชื ทดสอบ 2 ชนิดคือ Panicum virgatum L., และ Sporobulus heterolepsis (A. Gray) A. Gray (Viles และ Reese, 1996) โดยสารสกัดจากวชั พืชทงั้ 4 ชนิด มีผลในการยบั ยงั้ การงอกของเมลด็ และการเจริญเติบโตของตนกลาวชั พืชท่ีใชทดสอบทุกชนิดและจากการศกึ ษาฤทธทิ์ างชวี ภาพของสารสกดั จากลําตนของหญา ดอกขาว พบวา มีผลในการยับยงั้ การงอกและการเจริญเตบิ โตของพชื หลายชนิด เชน ขา วและผกั กาดขาว (ศานิต และวมิ ลพรรณ, 2551) ผกั กาดกวางตุงและผักกาดหอม (ศานิต และคณะ,2551) นอกจากมีผลยบั ยัง้ การงอกและการเจริญเติบโตของพชื บางชนิดแลว สารสกดั จากหญา ดอกขาวยังมีผลยับย้งั การงอก1คณะวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนครศรีอยธุ ยา จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา 130001 Faculty of Science and Technology, Phranakhon Si Ayutthaya Rajabhat University, Phranakhon Si Ayutthaya,13000

158 ผลของสารสกัดจากลําตน หญา ดอกขาว ปท ่ี 40 ฉบับที่ 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเกษตรและการเจรญิ เติบโตของวัชพชื จํานวน 2 ชนิดดวย คือ ไมยราบยกั ษ และหญา ขาวนก (ศานิต และวิมลพรรณ, 2551)วัตถปุ ระสงคข องการทดลองน้ีเพอื่ ทดสอบผลของสารสกัดหญา จากลําตนของหญา ดอกขาวตอการยับยัง้ การงอก และการเจริญเติบโตของวชั พชื จํานวน 3 ชนิด คือ หญานกสีชมพู ถัว่ ผี และตอ ยติง่ อปุ กรณและวิธกี าร การทดลองนี้ดาํ เนนิ การทค่ี ณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนครศรอี ยุธยา ตง้ั แตเ ดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2550 การทดสอบสารสกัดจากลาํ ตน ของหญาดอกขาวท่ีสกัดดว ยเอทิลแอซิเตต ตอการงอก และการเจรญิ เตบิ โตของเมล็ดวัชพืช 3 ชนดิ คอื หญานกสีชมพู ถั่วผี และตอยตง่ิ โดยใชสารสกดั จากหญาดอกขาวที่ระดับความเขม ขน ตา งกนั 4 ระดบั คือ 0 0.25 0.75 และ 1.25 กรมั /ลติ ร ทาํ การเพาะเมล็ดพันธุพืชวชั พืชทดสอบท้ังสามชนดิ ในตคู วบคุมการเจริญเติบโต อณุ หภมู ิ 25oซ. แลว ใหสารสกดั จากหญา ดอกขาวท่ีระดบั ความเขม ขนตา งกัน โดยวางแผนการทดลองแบบCompletely Randomized Design มี 3 ซํา้ เมอื่ ครบกําหนดการเพาะ นับจํานวนเมลด็ พืชทงี่ อกอายุ 5 วัน แลว คํานวณเปนเปอรเ ซน็ ตการงอก และเมื่อตนกลามีอายุ 7 วัน วดั การเจริญเตบิ โตในดา นความยาวยอด ความยาวราก และนํ้าหนกั แหงของตน กลา แลว นําผลการงอกและการเจรญิ เตบิ โตของตน กลา มาคาํ นวณเปน เปอรเ ซน็ ตย ับยง้ั การงอก และเปอรเซ็นตย ับยง้ั การเจรญิ เตบิ โตของตน กลา ของพชื ทดสอบทั้งสามชนดิ ตามสูตรของ Chung et al. (2003) สว นการทดสอบคณุ ภาพของเมลด็ พนั ธุดําเนนิ การตามวิธขี อง ISTA (1996) สาํ หรบั การคํานวณการยบั ย้ังการเจริญเตบิ โตมีสูตรดงั น้ี การยบั ยง้ั การเจรญิ เตบิ โต = การเจริญเตบิ โตในสภาพควบคมุ – การเจรญิ เติบโตในสภาพที่ไดร ับสารสกัด X 100 การเจรญิ เตบิ โตในสภาพควบคมุ ผลและวิจารณ การทดสอบสารสกัดจากลําตน หญาดอกขาวตอการยับยั้งการงอกและการเจรญิ เตบิ โตของวัชพชื จาํ นวน 3 ชนิด คือหญานกสีชมพู ถ่วั ผี และตอ ยติ่ง พบวา สารสกัดท่ีมีความเขมขน 1.25 กรัม/ลิตร สามารถยบั ยั้งการงอกของหญานกสีชมพไู ดมากทส่ี ุด โดยมีการยบั ยง้ั การงอกเทา กับ 15.41% รองลงมาคอื สารสกัดท่มี ีความเขมขน 0.75 และ 0.25 กรัม/ลิตร ท่มี ีการยับย้ังการงอก เทา กับ 5.14 และ 2.39% ตามลําดับ (Table 1) สําหรบั การยบั ยั้งการเจริญเตบิ โตท้ังสามดานของหญา นกสชี มพูคอื ความยาวยอด ความยาวราก และน้ําหนักแหงของตน กลา พบวา สารสกดั ทีม่ คี วามเขม ขน 1.25 กรัม/ลติ ร สามารถยับยง้ัความยาวยอด ความยาวราก และนํา้ หนักแหงของตน กลา ของหญา นกสชี มพไู ดมากท่สี ดุ รองลงมาคอื สารสกดั ทมี่ ีความเขม ขน0.75 และ 0.25 กรัม/ลิตร ตามลําดบั การยับย้ังการงอกและการเจริญเตบิ โตของถวั่ ผที ีไ่ ดร ับสารสกดั จากลําตน หญา ดอกขาวท่ีมีความเขมขนตางกนั พบวา สารสกดั ท่ีมีความเขม ขน 1.25 กรมั /ลติ ร สามารถยับยงั้ การงอกของถั่วผไี ดมากทีส่ ดุ โดยมีการยบั ย้ังการงอกเทากับ 49.05% รองลงมาคือ สารสกดั ทมี่ ีความเขมขน 0.75 และ 0.25 กรมั /ลิตร ที่มกี ารยบั ย้งั การงอก เทา กบั32.35 และ 30.20% ตามลําดับ (Table 2) สําหรับการยบั ย้งั การเจริญเติบโตของถ่วั ผี พบวา สารสกดั ที่มีความเขมขน 1.25กรัม/ลติ ร สามารถยบั ยงั้ ความยาวยอด ความยาวราก และนาํ้ หนกั แหง ของตน กลาไดมากท่ีสดุ รองลงมาคือ สารสกัดท่ีมคี วามเขม ขน 0.75 และ 0.25 กรมั /ลิตร ตามลาํ ดับ สําหรบั การยบั ย้ังการงอกและการเจริญเติบโตของตอยต่ิง พบวา สารสกัดทม่ี คี วามเขม ขน 1.25 กรัม/ลิตร สามารถยับยง้ั การงอกของตอยตง่ิ ไดมากทส่ี ดุ แตไ มแตกตางกันทางสถิติกับสารสกดั ที่มีความเขมขน 0.75 และ 0.25 กรัม/ลติ ร (Table3) สาํ หรบั การยับย้ังการเจรญิ เติบโตในดานความยาวยอด ความยาวราก และนํ้าหนักแหง ของตน กลา พบวา สารสกดั ที่มคี วามเขม ขน 1.25 กรมั /ลิตร สามารถยบั ย้งั ความยาวยอด ความยาวราก และน้ําหนกั แหงของตนกลา ของตอ ยติง่ มากท่ีสุดเชน เดยี วกบั การทดสอบในหญา นกสีชมพแู ละถ่ัวผี โดยมกี ารยับย้งั ความยาวยอด ความยาวราก และน้าํ หนักแหง ของตนกลาเทากบั 32.94 18.38 และ 35.74% ตามลําดับ รองลงมาคอื สารสกัดท่ีมคี วามเขม ขน 0.75 และ 0.25 กรมั /ลิตร ตามลาํ ดับการใชสารสกดั จากลําตน ของหญาดอกขาวทีม่ ีความเขมขน 1.25 กรมั /ลติ ร มีผลยับยง้ั การงอกและการเจรญิ เติบโตของวัชพชืทงั้ สามชนดิ มากทีส่ ดุ ซ่งึ การยับย้ังแตกตา งกันในวัขพืชแตละชนิด โดยการทดสอบกับถัว่ ผี (Table 2) มกี ารยับย้ังการงอกและการยับยงั้ การเจริญเติบโตในดา นความยาวยอด ความยาวราก และนาํ้ หนักแหงของตนกลาไดด ีกวา หญานกสชี มพแู ละตอยต่งิ(Table 1 และ 3) การใชสารสกัดจากลําตนของหญา ดอกขาวทมี่ ีความเขมขน สูงสามารถยับยั้งการงอกและการเจรญิ เติบโตของพชื ไดดีกวาความเขม ขนตํ่าเชนเดยี วกับการทดสอบผลของสารสกดั จากหญา ดอกขาวตอ การงอกและการเจรญิ เติบโตของวัชพืช2 ชนดิ คือ ไมยราบยักษ และหญา ขา วนก ท่ีไดร ับสารสกดั จากหญา ดอกขาวท่มี คี วามเขมขน 100 กรัม/ลติ ร มกี ารยบั ยัง้ การ

ว. วิทยาศาสตรเกษตร ปท ่ี 40 ฉบับท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ผลของสารสกัดจากลําตน หญาดอกขาว 159งอกได 100% (ศานติ และวมิ ลพรรณ, 2551) และการทดสอบสารสกดั จากวชั พืชชนิดอน่ื ตอการงอกของวชั พชื บางชนิด ท่พี บวาการใชสารสกัดทม่ี ีความเขม ขนสูงใหก ารยับย้งั การงอกและการเจริญเตบิ โตดกี วาการใชสารสกดั ที่มีความเขม ขน ต่าํ เชน ผักปอดนา (ชอุม และศิริพร, 2533) สาบหมา (ศริ ิพร และชอุม, 2537) ผกากรองและสาบเสอื (Sahid และ Sagau, 1993)Pluchea lanceolata (Inderjit และ Dakshini, 1996) และหญาแพรกกบั หญาจอหนสนั (Vasilakoglou et al., 2005)การศกึ ษานจ้ี งึ เปนขอมูลท่ีสนบั สนุนในการนาํ สารสกดั จากลําตนหญาดอกขาวมาใชป ระโยชนใ นควบคุมวัชพชืTable 1 Inhibitory of seed germination, inhibitory of shoot length, inhibitory of root length and inhibitory of seedlingdry weight of jungle rice as affected by different concentration of red spragle compared with watertreatment Inhibitory ofConcentration of Inhibitory of seed Inhibitory of Inhibitory of root seedling dryred spragle (g/L) germination shoot length length (%) (%) weight (%) (%)0.25 2.39b 37.50 5.49b 12.19b0.75 5.14b 40.65 7.35b 14.63b1.25 15.41a 43.64 13.84a 23.17aF-test * NS * *C.V. (%) 6.35 7.38 9.56 3.45In the same column, mean values followed by a common letter are not significantly different at the 5% level by DMRTTable 2 Inhibitory of seed germination, inhibitory of shoot length, inhibitory of root length and inhibitory of seedling dry weight of phasey bean as affected by different concentration of red spragle compared with watertreatmentConcentration of Inhibitory of seed Inhibitory of Inhibitory of root Inhibitory ofred spragle (g/L) germination shoot length length seedling dry (%) (%) (%) weight (%)0.25 30.20b 44.84b 47.02b 51.99b0.75 32.35b 47.85b 48.29b 56.00ab1.25 49.05a 59.37a 56.58a 72.00aF-test * * * *C.V. (%) 5.32 6.34 4.85 9.64In the same column, mean values followed by a common letter are not significantly different at the 5% level by DMRT สรปุ สารสกัดจากหญา ดอกขาวที่มคี วามเขมขน 1.25 กรมั /ลิตร สามารถยบั ยั้งการงอกของหญานกสีชมพู ถวั่ ผี และตองต่ิง ไดมากท่ีสดุ โดยมีเปอรเ ซ็นตยบั ยง้ั การงอก เทากับ 15.41 49.05 และ 6.87% ตามลําดับ สวนการยับยง้ั การเจรญิ เตบิ โตของตน กลา พบวา สารสกัดจากหญาดอกขาวท่ีมคี วามเขม ขน 1.25 กรัม/ลิตร มฤี ทธใิ์ นการยบั ยงั้ ความยาวยอด ความยาวราก และนํา้ หนกั แหงของตน กลาของวัชพืชทดสอบทงั้ สามชนดิ มากที่สุด โดยเฉพาะนํ้าหนกั แหงของตน กลาทีม่ กี ารยับยง้ั เทา กับ 23.1772.00 และ 35.74% ในหญานกสชี มพู ถั่วผี และตอยต่งิ ตามลาํ ดบั การเพิ่มความเขมขนของสารสกดั จากหญาดอกขาวทําใหการยับยง้ั การงอกและการเจรญิ เติบโตของตน กลาวชั พชื ทดสอบทั้งสามชนิดเพ่ิมขึ้น

160 ผลของสารสกัดจากลําตนหญาดอกขาว ปท ี่ 40 ฉบับท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเกษตรTable 3 Inhibitory of seed germination, inhibitory of shoot length, inhibitory of root length and inhibitory of seedlingdry weight of popping pod as affected by different concentration of red spragle compared with watertreatmentConcentration of Inhibitory of seed Inhibitory of Inhibitory of root Inhibitory ofred spragle (g/L) germination shoot length length seedling dry weight (%) (%) (%) (%)0.25 3.43 11.24c 4.66c 12.66c0.75 5.42 20.08b 11.12b 28.51b1.25 6.87 32.94a 18.38a 35.74aF-test * ** *C.V. (%) 4.98 8.94 5.68 8.24In the same column, mean values followed by a common letter are not significantly different at the 5% level by DMRT คําขอบคุณ ขอขอบคุณสาํ นักงานคณะกรรมการวิจัยแหง ชาตทิ ีส่ นบั สนุนทุนวิจัยประจาํ ป 2551 และศนู ยว ทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎพระนครศรอี ยุธยา ทสี่ นบั สนุนเครือ่ งมอื และอุปกรณในการทาํ วิจยั เอกสารอา งองิชอมุ เปรมษั เฐยี ร และศิรพิ ร ซึงสนธิพร. 2533. อทิ ธพิ ลจากสารสกดั จากผกั ปอดนาตอการเจริญเติบโตของวัชพืช. ว. วิชาการ เกษตร 8 : 29-34.ภาคภมู ิ พรประเสริฐ และวรญั ญา นามนาเมือง. 2548. ผลของสารสกัดจากผักแครด (Synedrella nodiflora (L.) Gaertn.) ดว ยตัวทาํ ละลายชนิดตาง ๆ ตอการงอกและการเจริญเตบิ โตของพชื บางชนดิ . ว. วิทยาศาสตรบ ูรพา 1: 68-75.ศานติ สวัสดิกาญจน และวมิ ลพรรณ รุงพรหม. 2551. การสกัดสารจากหญา ดอกขาวและผลของสารสกดั ตอ การงอกและการ เจริญเตบิ โตของพชื บางชนดิ . ใน การประชมุ ทางวิชาการของมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร ครัง้ ที่ 46, หนา 380-388.ศานติ สวัสดิกาญจน. วมิ ลพรรณ รุงพรหม และศริ ริ ตั น ศิริพรวิศาล. 2551. ผลของสารสกัดจากหญา ดอกขาวตอ การงอกและ การเจรญิ เติบโตของพชื ผัก 2 ชนิด. ใน การประชมุ วชิ าการพชื สวนแหง ชาติ ครง้ั ท่ี 7. หนา 268.ศริ ิพร ซงึ สนธพิ ร และชอมุ เปรมัษเฐียร. 2537. ผลของสารสกัดจากวัชพชื สาบหมาตอ การงอกและการเจริญเติบโตของพืชปลูก และวัชพชื บางชนดิ . ว. วิชาการเกษตร 12 : 37-41.Alsaadawi. I. S., F. A. K. Sakeri and S. M. Al-Dulaimy. 1990. Allelopathic inhibition of Cynodon dactylon (L.) Pers. and other plant species by Euphorbia prostate L. J. Chem Ecol. 16 : 2747-2754.Chung, I. M., K. H. Kim., J. K. Ahn., S. B. Lee., S. H. Kim and S. J. Hahn. 2003. Comparision of allelopathic potential of rice leaves, straw and hull extract on barnyardgrass. Agron J. 95 : 1063-1070.Inderjit and K. M. M. Sakshini. 1996. Allelopathic potential of Pluchea lanceolata : comparative studies of cultivated fields. Weed Sci. 44 : 393-396.ISTA. 1996. International Rules for Seed Testing. Seed Science and Technology 24, Supplement. 335 p.Rizvi, S. J. H. and V. Rizvi. 1992. Allelopathy Basic and Applied Aspects. Chamoman & Hall, London. 480 p.Sahid, I. B. and J. B. Sagau. 1993. Allelopathic effect of Lantana (Lantana camara) and siam weed (Chromolaena odorata) on selected crops. Weed Sci. 41:303-308.Vasilakoglou, I., K. Dhima and I. Eleftherohornios. 2005. Allelopathic potential of Burmudagrass and Johnsongrass and their interference with cotton and corn. Agron J. 97 : 303-313.Viles, A. L. and R. N. Reese. 1996. Allelopathic of Echinacea angustifolia DC.. Environ. Exp. Bot. 36:39-43.

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 161-164 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พิเศษ) : 161-164 (2552) การเจริญเติบโตของผลขนุนพนั ธทุ องสดุ ใจ Fruit Growth and Development of Jackfruit (Artocarpus heterophyllus) cv. Thongsudjai กาญจนา เหลอื งสุวาลัย 1, ประพนธ ปญ ญาสรา งสรรค 1 และ สธุ ิภรณ ศริ กิ าํ เลิศ 1 Luangsuwalai, K. 1, Panya-srangsan, P. 1 and Sirikamlert, S. 1 Abstract Fruit growth and development of jackfruit cv. Thongsudjai were studied. The fruits were harvested fromjackfruit tree grown at Pranburi, Prajuabkhirikhan province during August-December 2006. Fruit growth anddevelopment were observed from the female inflorescence bracts opened (full bloom) until fully mature stage (0-17 weeks fruits). It was found that the fruit grows very fast. The growth pattern of fruit has shown as doublesigmoid curve. Colour of young fruit rind was green and changed to yellowish-green in fully mature fruit. Affter 17weeks of full bloom. There were a lot of brown spots on the rind at the 4-week. Pulp thickness increased during the6-17 weeks after full bloom. Pulp colour changed from white to yellow at week 13-14 and pulp colour developedwith maturity advanced. The starch accumulation of pulp started at 9 weeks after full bloom, but in seed (storagetissue) started at 10 weeks after full bloom. Harvesting period of jackfruit fruit was15-17 weeks after full bloom.However, fruit at 16 weeks after full bloom gave the best eating quality after ripen.Keywords : fruit growth, starch accumulation, jackfruit, Artocarpus heterophyllus บทคดั ยอ การศกึ ษาการเจรญิ เติบโตของผลขนุนพันธุทองสุดใจ โดยเก็บเกี่ยวผลขนุนท่ปี ลกู ในแปลงของเกษตรกร ในเขตอําเภอปราณบรุ ี จงั หวัดประจวบคริ ีขันธ ระหวางเดอื นสิงหาคมถึงเดือนธนั วาคม 2549 ตัง้ แตระยะกาบหุมชอดอกเพศเมียเปดจนกระทงั่ ผลบริบรู ณเ ต็มท่ี (อายุ 17 สัปดาหหลงั จากกาบหุมชอดอกเพศเมียเปด) พบวา ผลขนุนมกี ารเจริญเติบโตอยางรวดเร็วและมีการเจริญเติบโตเปนแบบ double sigmoid curve เม่อื ผลแกเต็มท่ี สีผิวผลเปลย่ี นจากสีเขียวสดเปน สเี ขียวอมเหลืองในสัปดาหท่ี 17 ทผ่ี ิวผลเร่ิมมีจดุ กระสนี าํ้ ตาลเม่อื ผลมีอายุ 4 สัปดาห และมีจํานวนจดุ กระเพิ่มมากขึน้ และสจี ุดกระเขมขนึ้ เมอื่ ผลมอี ายมุ ากขน้ึ สําหรับการพัฒนาภายในผลพบวา เรมิ่ มกี ารติดเมลด็ และพัฒนาของเมลด็ เมอื่ ผลมอี ายุ 1-3 สัปดาห เมื่อผลมีอายุ 6-17 สปั ดาห เนอื้ ยวงขนนุ มีความหนาเพ่ิมขึน้ ตามอายุผลที่เพิ่มขึ้น เนอื้ ผลเร่มิ เปลี่ยนจากสีขาวเปน สเี หลอื งเมอ่ื ผลมอี ายุ11 สัปดาห และมีสเี หลืองเขม ข้ึนเมื่อผลมีอายุมากขน้ึ ภายในผลขนนุ เริ่มมกี ารสะสมแปงเม่ืออายุ 9 สปั ดาห โดยเรม่ิ มกี ารสะสมในบรเิ วณเนอ้ื ยวงดานที่ติดกบั แกนผล และเริ่มพบการสะสมแปงภายในเมลด็ เม่ือผลอายุ 10 สปั ดาห อายุทเี่ หมาะสมในการเก็บเกี่ยวคือเมอื่ ผลมอี ายุ 15-16 สปั ดาห แตผลทมี่ ีอายุ 16 สัปดาหมคี ุณภาพดีทส่ี ุดเมือ่ บม ใหสุก โดยไดร ับคะแนนประเมนิความชอบโดยรวมสงู ท่สี ุดคาํ สาํ คัญ : การเจริญเติบโตของผล การสะสมแปง ขนุน Artocarpus heterophyllus คํานาํ ขนนุ เปนไมผลเขตรอ นท่มี ถี ่นิ กาํ เนิดในอนิ เดียและคาบสมทุ รมาเลเซยี ในประเทศไทยมีการปลูกขนุนทั่วทกุ ภาค แตมีแหลง ปลูกท่ีสําคัญไดแ ก ชลบุรี ปราจีนบรุ ี กาญจนบรุ ี ราชบุรี ชุมพร และประจวบครี ขี นั ธ (อภิชาต,ิ 2543) มพี ื้นท่ีปลูกขนนุ รวม224,767 ไร ใหผลผลติ รวม 656,134 ตัน (กรมสงเสริมการเกษตร, 2545) สามารถนาํ ไปใชประโยชนไ ดห ลากหลาย เชน ท้งั ผลออ น และ ผลแกสุก บริโภคเปนผลไมส ด หรือแปรรูปเปน ขนนุ อบกรอบ บรรจุกระปองเพื่อการสงออกตา งประเทศ เมล็ดนาํ มาตมรบั ประทาน หรือนําไปทาํ เปน แปงเพอื่ ใชท ดแทนแปง สาลี (กนกวรรณ, 2542) เปลือกและซงั ใชเลย้ี งสัตว (นฤมล, 2547) ขนุนออกดอกเปน ชออยตู ามลําตน และกิง่ กา นที่มีขนาดใหญ ชอดอกแยกเพศแตอยูบนตนเดียวกัน ผลเปนผลรวม รูปรีหรอื กลม มีขนาดใหญ เนือ้ สีเหลอื ง หรอื สดี อกจําปา กลน่ิ หอมแรง รสหวานจดั ขนุนพันธุท องสดุ ใจจดั อยูในกลมุ ขนุนหนัง ผลมีลักษณะทรงรีคอ นขา งยาว เนื้อสีเหลือง (นฤมล, 2547) ซึ่งขนุนพันธทุ องสุดใจเปน สายพันธุท่มี ีศักยภาพในการนาํ ไปแปรรูปเปน ขนุนอบ1 ภาควิชาวทิ ยาศาสตรป ระยกุ ต คณะวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั บานสมเด็จเจา พระยา1 Department of Applied Science, Faculty of Science and Technology, Bansomdejchaopraya Rajabhat University

162 การเจริญเตบิ โตของผลขนุน ปท ี่ 40 ฉบบั ท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเกษตรกรอบ ดงั นัน้ การศึกษาการเจริญเตบิ โตและการเปลย่ี นแปลงทางชวี เคมใี นระหวา งการพฒั นาของผลขนนุ สามารถใชในการหาอายกุ ารเกบ็ เก่ียวทเ่ี หมาะสมเพ่ือใหไดผลผลิตขนนุ ท่มี ีคุณภาพดี เปน ท่ีตองการของตลาด อุปกรณแ ละวิธกี าร คดั เลือกตนขนุนพันธทุ องสุดใจท่ีปลูกในสวนของเกษตรกรในอาํ เภอปราณบรุ ี จังหวัดประจวบคิรขี ันธ ระหวา งเดือนสิงหาคมถึงเดอื นธนั วาคม 2549 เมอ่ื ตนขนุนออกดอกผูกปายท่ชี อ ดอกตัวเมียระยะท่กี าบหมุ ชอดอกเปด ออก เพื่อใหท ราบอายุผลทแ่ี นนอน เก็บเกย่ี วผลขนนุ สปั ดาหละครง้ั จนกระทัง่ ผลสกุ บนตน โดยเก็บเกี่ยวครัง้ ละ 10 ผล นาํ ผลที่เกบ็ เกี่ยวมาศึกษาและบนั ทึกขอมูลตา งๆ ดงั ตอ ไปน้ี นาํ้ หนกั ผล ขนาดผล ความหนาของยวง และตรวจการสะสมแปงภายในผลดวยสารละลายโพแทสเซยี มไอโอไดด (KI) บนั ทึกการพัฒนาของผลขนนุ ทส่ี ังเกตไดต ั้งแตระยะกาบหมุ ชอดอกเพศเมียเปดจนกระทงั่ ถงึ ระยะผลสกุ บนตน และเม่อื ผลมอี ายุตงั้ แต 12 สปั ดาหขึ้นไป นาํ ผลขนุนมาบมอายุละ 5 ผล นาํ เนอื้ สกุ มาตรวจสอบ ปรมิ าณของแข็งท่ีละลายนํ้าได (soluble solids; SS) ปรมิ าณกรดทไี่ ตเตรทได (titratable acidity; TA) ในรูปของกรดซิตรกิ อตั ราสวนระหวา งปรมิ าณของแข็งทล่ี ะลายน้าํ ไดกับปริมาณกรดท่ีไตเตรทได (SS/TA) คณุ ภาพการรับประทานโดยการประเมินดวยสายตา และการชมิ โดยใหคะแนนเปน 5 ระดบั คือ คะแนน 0 (ไมชอบ) – 4 คะแนน (ชอบมาก) ผลและวิจารณ ผลขนุนใชเ วลาในการเจริญเตบิ โตตง้ั แตร ะยะกาบหุมดอกเปดจนกระทัง่ ผลสมบูรณเ ตม็ ทปี่ ระมาณ 16-17 สัปดาหซึง่ ระยะเวลาทใี่ ชในการเจริญอาจแตกตา งกันบางขึ้นอยูกบั ปจ จยั ตา งๆ เชน แหลงปลกู อณุ หภมู ิ สภาพลมฟาอากาศ และการเขตกรรม (Pantastico et al., 1975; Quintana et al., 1984) การเจริญของผลขนุน พบวา เปนแบบ double sigmoidเชนเดียวกบั ท่ีพบในผลไมพวก stone fruit และ สตรอเบอรี (Miura et al., 1990) โดยแบงการเจริญออกเปน 2 ชวงคือ ชว งแรกเม่อื ผลขนนุ มีอายุ 3-11 สัปดาห ชวงทีส่ อง เม่ือผลมีอายุ 11 สัปดาหข ้ึนไป (Figure 1a) ผลขนนุ มกี ารขยายขนาดทางดานความกวา งอยางตอเนื่อง และเพิ่มขึน้ อยา งมากในชวงทายของการเจริญเตบิ โต ทําใหผ ลมรี ปู รางเปล่ียนจากทรงกระบอกยาวเปน รูปทรงรี (Figure 1b) เนื้อยวงมคี วามหนาเพิ่มขน้ึ เมือ่ ผลขนุนมีอายุมากขึ้น และเพิม่ สูงทสี่ ดุ เมอื่ ผลอายุ 16-17 สปั ดาห(Figure 1c) น้ําหนกั แหง ของเน้ือยวงเพิ่มขึน้ อยา งรวดเร็วเม่อื ผลมอี ายุ 10-14 สัปดาห หลังจากน้นั น้าํ หนักแหงไมเ พมิ่ ข้ึน(Figure 1d) SS และ TA ในเนอ้ื ผลสุกมีคาใกลเคยี งกัน เม่ือผลมีอายุ 13-17 สปั ดาห เน้อื ขนุนมี SS คอนขางสงู ขณะท่ี TAคอ นขางต่าํ (Figure 1e) ทาํ ให SS/TA คอนขา งสงู โดยมีคา สูงท่ีสดุ เม่อื ผลมอี ายุ 13 สปั ดาห และลดลงเมอื่ ผลมีอายุมากขนึ้(Figure 1f) สําหรบั คณุ ภาพในการรับประทานของเนื้อผลขนนุ เมอื่ บม ผลใหสกุ ดว ยเอทฟี อนเปนเวลา 2 วัน พบวา ผลขนุนพันธุทองสดุ ใจท่ีมีอายุ 16 สัปดาหหลังจากการหมุ ชอดอกเปด มีคะแนนความชอบของผูชมิ สูงทสี่ ุด 3 คะแนน รองลงมาคือ เนอ้ื ขนุนจากผลที่มีอายุ 15 และ 17 สัปดาห ตามลาํ ดับ ซงึ่ การท่ีผูช ิมใหคะแนนความชอบผลขนนุ ที่มีอายุ 17 สัปดาห คอ นขางต่ําเนอื่ งจากขนนุ สุกมากเกนิ ไป มีลกั ษณะเน้ือคอนขางนิม่ และแฉะเปน น้ําไดงาย ดังนนั้ การนับอายุผลขนนุ เหมาะสมท่ีจะใชเ ปนดชั นีในการเก็บเก่ียวผลขนนุ มากท่ีสดุ เน่อื งจากสภาพภายนอกของผลขนนุ ท่มี อี ายตุ ้งั แต 14-16 สปั ดาหม ีลักษณะใกลเคยี งเคยี งกันมาก ทาํ ใหยากแกการบงชวี้ าผลขนนุ มีความบรบิ รู ณเตม็ ท่ี ลกั ษณะภายนอกของผลขนนุ พบวาชอ ดอกเปนรูปทรงกระบอก สเี ขียวสด กานชอดอกขนาดใหญ คอ นขา งสน้ั อายุ0-2 สัปดาหหลงั จากกาบหุมชอ ดอกเปด มสี วนของยอดเกสรติดอยูท่ีบริเวณปลายหนาม ซ่งึ เปน ระยะทีม่ ีการผสมเกสร(pollination) อายุ 3-4 สปั ดาห ผลมขี นาดใหญขนึ้ ผวิ ผลเร่ิมปรากฏจดุ กระสีนํ้าตาล ซงึ่ จุดกระน้ีเพ่มิ ขึ้นเม่ือผลมอี ายมุ ากขึน้จนบดบังผิวสีเขยี วเกอื บหมด อายุ 4-6 สัปดาห กานผลสว นเหนือรอยตอ เรม่ิ เปลี่ยนจากสเี ขียวเปนสีนํา้ ตาล กานผลใตรอยตอเปนสเี ขียวสด อายุ 10 สัปดาหขึน้ ไป กา นผลใตร อยตอ เปล่ียนเปน สีนํ้าตาล อายุ 11 สัปดาห ผลขนุนมีการขนายขนาดดา นความกวางมากกวา ความยาวทําใหผลเปน ทรงรีปองตรงกลาง ฐานหนามขยายขนาดขึ้นเมอ่ื ผลขนนุ มีอายุมากขึน้ อายุ 17สัปดาห ผลขนุนบางสว นเรมิ่ สกุ ผลนมุ มกี ล่ินหอม และผิวเปลือกบางปรแิ ตก การพฒั นาภายในผลขนุน เมอ่ื อายุ 1-2 สปั ดาห ยงั มองไมเ หน็ เมล็ดภายในผล ผลอายุ 3 สัปดาหเริ่มมองเหน็ เมล็ดขนาดเลก็ มาก ผลอายุ 4 สัปดาหมองเหน็ ชองเนอ้ื ชัดเจน เมล็ดมีขนาดใหญข้นึ ผลอายุ 5 สัปดาห มองเห็นเมล็ดชัดเจนขึน้บรเิ วณเมลด็ มีสวนของเน้ือเย่ือบางๆ หมุ รอบเมล็ด ผลขนนุ อายุ 6 สปั ดาห เมล็ดขนาดใหญขนึ้ รูปรางคอนขางกลม ภายในเมล็ดมีเนอื้ เยอ่ื สะสมอาหารทีม่ ีลักษณะเปน วุน ใส ผลอายุ 7 สปั ดาห เนื้อเยอ่ื สะสมอาหารเริ่มเปนสีขาวขนุ ขึน้ เล็กนอ ย เนื้อยวงหนาขนึ้ อายุ 8 สัปดาห เน้ือเย่ือสะสมอาหารสีขาวขุนเปนแปง เนอื้ ยวงหนาขนึ้ อายุ 9-10 สัปดาห เมลด็ เร่ิมเปนรูปรี ยาวข้นึเล็กนอย เนอ้ื ยวงหนาขึ้น อายุ 12 สปั ดาห เมล็ดเปนรูปรมี คี วามยาวมากกวาความกวา ง เนอื้ ยวงสขี าวครีม อายุ 13-14

ว. วิทยาศาสตรเกษตร ปท ี่ 40 ฉบบั ท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 การเจรญิ เติบโตของผลขนุน 163สัปดาห เน้ือยวงสเี หลอื งออ น มีชอ งวา งระหวางเน้ือยวงกบั เมล็ดเพิม่ ข้ึน อายุ 15-16 สัปดาห เนือ้ ยวงหนาขน้ึ และสเี หลืองเขมขน้ึ เปลอื กบาง อายุ 17 สัปดาห ผลสุกบน เน้อื ยวงสกุ เปนสีเหลอื งเขม (Figure 2) มีกลน่ิ หอม รสหวาน การสะสมแปง พบวาภายในผลขนนุ เริ่มมีการสะสมแปงเมื่ออายุ 9 สปั ดาหห ลงั กาบหุม ชอดอกเปดออก โดยเร่ิมมีการสะสมในบรเิ วณเน้อื ยวงดา นที่ติดกบั แกนผล อายุ 10-12 สัปดาหมกี ารสะสมแปงทง้ั ท่ีเนื้อยวงและเมล็ดเพ่ิมขน้ึ อายุ 13 สัปดาหเร่ิมมีการสะสมแปงบรเิ วณเปลือกและแกน อายุ 14-16 สปั ดาห มีการสะสมแปง บรเิ วณเปลอื กผลเพ่ิมขนึ้ อายุ 17 สัปดาห ไมพบการสะสมแปงในเนือ้ ยวงขนุนบรเิ วณใกลเ ปลือก เน่อื งจากผลขนุนเรมิ่ สุกทําใหมีการเปลยี่ นแปง ไปเปน น้ําตาลFru it w eig h t (g ) 20,000 Fruit diameter (cm) 40 Pulp thickness (cm) 1.4 15,000 a b 1.2 c 30 1.0 0.8 10,000 20 0.6 0.4 5,000 10 0.2 0.0 0 0 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 Weeks weeks 100 40 Weeks 25.0 1 0.8 80 f d 20.0 e 0.6 % 0.4 60Dry weight (%) 30 S 15.0 Titratable Acidity (%) S S S /TA 40 20 10.0 20 10 5.0 0.2 0 0.0 0 0 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 11 12 13 14 15 16 17 18 12 13 14 15 16 17 Weeks Weeks Weeks SS TAFigure 1 Fruit weight (a), fruit diameter (b), pulp thickness (c), dry weight (d), SS (e), TA (e), and SS/TA (f) of jackfruit fruit 0 week 1 week 2 weeks 3 weeks 4 weeks 5 weeks 7 weeks 8 weeks 9 weeks endosperm 6 weeks 10 weeks 11 weeks 12 weeks 13 weeks 14 weeks 15 weeks 16 weeks 17 weeks rind seed pulp endosperm pithFigure 2 Changes in the female inflorescence and fruits during growth and development สรปุ ผลขนุนพันธทุ องสดุ ใจ มกี ารเจริญเตบิ โตแบบ double sigmoid curve อายุการเกบ็ เกีย่ วขนนุ ที่เหมาะสมที่สุด คือชวงอายุ 16 สัปดาหน บั จากกาบหุมดอกเปด ซึ่งการนบั อายุผลขนนุ เหมาะสมท่ีจะใชเ ปน ดัชนีในการเกบ็ เก่ียวผลขนุนมากท่ีสดุ

164 การเจริญเติบโตของผลขนนุ ปท ่ี 40 ฉบับที่ 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเกษตร เอกสารอา งอิงกนกวรรณ สิทธิ์ธนังกรู . 2542. การใชแ ปง จากเมลด็ ขนนุ เพอ่ื ทดแทนแปงสาลใี นผลติ ภัณฑคุกก้ี. เทคโนโลยีทางอาหาร คณะ วิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั . [Online], Available: http://www.nfi.or.th/stat/Abstract/rd_detail.asp?id =69 (August 10, 2008)กรมสง เสรมิ การเกษตร. 2545. ตารางแสดงพนื้ ทีเ่ พาะปลกู ไมผ ลรวมท้ังประเทศไทย. [Online], Available: http//www.2doae.go.th/baseinfor/MIS/kpp/rpt2-18.htm (October 21, 2007).นฤมล มานพิ พาน. 2547. การเพาะปลกู และขยายพันธุขนนุ . สาํ นักพิมพส งเสรมิ อาชีพธุรกิจ เพชรกะรตั , กรงุ เทพฯ. 78 น.อภิชาต ศรีสะอาด. 2543. คมู ือการทําสวนขนุนอยา งมืออาชพี . บรษิ ัท นาคา อินเตอรมีเดียจาํ กดั , กรงุ เทพฯ. 128 น.Miura H., S. Imada. and S. Yabuuchi. 1990. Double sigmoid growth curve of strawberry fruit. J. Japan. Soc. Hort. Sci. 59(3): 527-531.Pantastico Er.B., H. Subramanyam, M.B. Bhatti, N. Ali. and E.K. Akamine. 1975. Harvesting indices, pp. 56-74. In Pantasico Er.B. (ed.). Postharvest Physiology Handling and Utilization of Tropical and Subtropical Fruits and Vegetables. The AVI Publishing Co., Inc., Westport, Connecticutt.Quintana, E.G., P. Nanthachai, H. Hiranpradit, D.B. Mendoza. and S. Ketsa. 1984. Growth and development of mango, pp 21-27. In D.B. Mendoza. and R.B.H. Wills. (eds.). Mango : Fruit Development, Postharvest Physiology and Marketing in ASEAN. ASEAN Food Handling Bureau, Kuala Lumpur. Malaysia.

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 165-168 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พเิ ศษ) : 165-168 (2552)การเจริญเติบโตและการออกดอกของผกั ชฝี รงั่ ภายใตก ารพรางแสงและใหป ยุ ยูเรยี อัตราตางๆPlant Growth and Flowering of Culantro under Different Shading and Urea Application Rates ภาณุมาศ ฤทธไิ ชย1 และ นภาพร ยังวเิ ศษ2 Rithichai, P.1 and Youngvises, N.2 Abstract Plant growth and flowering of culantro grown under 0, 50, 60, 70 and 80% shading and 0, 7.5, 15 and 30kg/rai of urea application rates were investigated. The results revealed that culantro cultivation for fresh marketshould be shaded. Decreased shading percentage and increasing urea application rate enhanced plant growth.The greatest plant growth was found under 50% shading and 30 kg/rai of urea application rate. Plant growthdeclined under 80% shading regardless of urea application rate. Culantro flowered 4 weeks after planting. Thehighest flowering percentage occurred under open field. Increased shading percentage resulted in lowerflowering percentage and the plants did not flower under 70 and 80% shading. Flowering tended to increasewhen urea application rates increased.Keywords : Eryngium foetidum L., light intensity, urea, flowering บทคดั ยอ ศกึ ษาการเจรญิ เตบิ โตและการออกดอกของผักชีฝรัง่ เมือ่ พรางแสง 0 50 60 70 และ 80 เปอรเ ซน็ ต และใหป ุย ยเู รยีอัตรา 0 7.5 15 และ 30 กิโลกรัมตอไร พบวา การผลิตผักชีฝรง่ั เพื่อบริโภคสดควรมีการพรางแสง ผกั ชฝี ร่งั มกี ารเจรญิ เติบโตเพมิ่ ข้นึเม่อื ลดระดบั การพรางแสงลงและใหป ยุ ยเู รียในอัตราท่เี พิม่ ขึน้ โดยการพรางแสง 50 เปอรเ ซน็ ตและใหปยุ ยูเรีย 30 กิโลกรัมตอ ไร ผักชีฝร่ังเจริญเติบโตดีทส่ี ุด แตการเจรญิ เตบิ โตลดลงอยางเหน็ ไดชัด เมอ่ื พรางแสง 80 เปอรเ ซน็ ตและใหป ุยยูเรียทัง้ 4 อตั รา ผกั ชีฝรง่ัออกดอกเมอ่ื อายุ 4 สปั ดาหหลงั ยา ยปลูก โดยเปอรเซน็ ตก ารออกดอกสงู สดุ เมื่อปลกู กลางแจงและลดลงเมื่อระดบั การพรางแสงเพิ่มมากขน้ึ ผักชฝี รงั่ จะไมออกดอกเมื่อพรางแสง 70 และ 80 เปอรเ ซน็ ต และการออกดอกมีแนวโนม เพมิ่ ขน้ึ ตามอตั ราปุยคาํ สาํ คญั : Eryngium foetidum L. ความเขมแสง ยเู รีย การออกดอก คาํ นํา ผักชีฝร่ัง (Eryngium foetidum L.) จดั อยใู นวงศ Apiaceae มีถิ่นกําเนิดในเขตรอนชื้นของทวีปอเมรกิ า ใบมีกลิ่นหอมใชบ รโิ ภคสด เปนเคร่ืองปรุงรส และดับกลน่ิ คาว สรรพคณุ ทางสมุนไพร ใบชว ยใหเ จรญิ อาหาร รากสดใชกนิ เพอื่ แกพษิ แมงปองแกปวดทอง สวนน้ําตม ของใบและราก ใชด ื่มแกไขหวดั ใหญ ไขมาลาเรยี แกอาเจยี น หรอื แกทองเสยี (สถาบันการแพทยแผนไทย กรมการแพทย กระทรวงสาธารณสุข. 2538; Jacquat และ Bertossa, 1990; Ramcharan, 1999) ผกั ชีฝรั่งสามารถเจริญเติบโตไดท้ังในพน้ื ทท่ี ี่มีรมเงา พืน้ ที่กลางแจง หรอื ในพ้ืนที่ช้ืนแฉะ โดยการปลูกในสภาพทีม่ รี มเงา จะใหตนทมี่ ีใบขนาดใหญ สีเขยี วสด มีกลิน่ หอม อีกทง้ั ยงั ออกดอกชา ลง (Ramcharan, 1999) แตใบพืชจะบางและออ นนุม(An และ Shangguan, 2008) ผักชีฝรงั่ เปนพืชที่ใชป ระโยชนจากใบเปนหลัก การใชปยุ ยเู รียจงึ มีผลตอ ทงั้ การเจรญิ เตบิ โต การใหผ ลผลติ และคณุ ภาพของใบ อยางไรก็ตาม ขอมูลเกี่ยวกับการปลกู และการใชปุยในผักชฝี รงั่ มคี อ นขางจํากัด โดยเฉพาะในประเทศไทย ทีย่ ังไมม ีการทดลองที่ชัดเจน ซ่ึงกรมสง เสรมิ การเกษตร ไดแ นะนาํ ใหป ลกู ผักชีฝรงั่ โดยมีการพรางแสง 60-80 เปอรเซ็นตและใชปุยสูตร 20-20-0 ผสมสูตร 46-0-0 อตั รา 50 กโิ ลกรัมตอไร (http://www.2doae.go.th/library/vegetable/www/plant/pugchee_f.htm) สวนการปลูกผักชีฝรั่งท่ี Massachusetts สหรฐั อเมรกิ า Casey et al., (2004) พบวา การพรางแสง 40เปอรเ ซน็ ต และใหปยุ ไนโตรเจน 90 กโิ ลกรัมตอ แฮกตาร ใหผลผลิตดีท่ีสดุ สําหรับในการทดลองน้มี ีวัตถปุ ระสงค เพอ่ื ศึกษาการเจรญิ เติบโตและการออกดอกของผกั ชฝี รั่ง เม่อื ปลูกภายใตการพรางแสงและใหปยุ ยูเรียอัตราตา งๆ1 ภาควชิ าเทคโนโลยกี ารเกษตร และ 2 ภาควชิ าเคมี คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร ศนุ ยรงั สติ1 Department of Agricultural Technology and 2 Department of Chemistry, Faculty of Science and Technology, Thammasat University, Rangsit Campus

166 การเจรญิ เติบโตและการออกดอก ปที่ 40 ฉบับที่ 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร อุปกรณและวิธีการ วางแผนการทดลองแบบ split plot มี 3 ซ้าํ โดยมี main plot คือ การพรางแสง ที่ระดบั 0 50 60 70 และ 80เปอรเซ็นต และ sub plot คือ ปุยยูเรีย โดยใหอ ัตรา 0 7.5 15 และ 30 กโิ ลกรมั ตอไร นําเมล็ดผกั ชฝี รงั่ จากบริษทั ทเี อสเอ จาํ กัดมาแชในนา้ํ อุนอณุ หภมู ิ 40 องศาเซลเซียส นาน 3 ชัว่ โมง จากน้นั นาํ เมล็ดไปวางบนกระดาษกรองทใ่ี หความชน้ื และบรรจใุ นpetridish แลวเก็บทอ่ี ณุ หภมู ิ 25 องศาเซลเซียส เปนเวลา 15 วัน เม่อื รากงอกยาวประมาณ 2 มลิ ลเิ มตร ยายปลูกในพีทมอสและเมอื่ ตน กลาอายุ 38 วันหลงั ยา ยปลกู ในพที มอส ยา ยปลูกลงในกระถางขนาด 15 X 75 X 15 เซนติเมตร (กวาง X ยาว X สงู )จาํ นวน 3 กระถาง/ส่ิงทดลอง/ซ้ํา ใชว ัสดปุ ลูก คือ ทรายหยาบ ถานแกลบ ปยุ คอก ใบกา มปู หมัก และกาบมะพราวสบั แบบเล็กผสมในอตั ราสว น 1:1:1:2:2 โดยปริมาตร ตามลําดบั ในแตละกระถางปลูก 10 ตน ระยะปลูก 7 X 15 เซนตเิ มตร วางกระถางทั้ง3 กระถางตดิ กันในโรงเรือนพรางแสง 50 60 70 และ 80 เปอรเซน็ ต สว นการพรางแสง 0 เปอรเซ็นต วางกระถางในแปลงกลางแจง โรงเรือนพรางแสง มีขนาด 5 X 6 X 2 เมตร (กวา ง X ยาว X สูง) ใชตาขา ยพรางแสงตามระดับท่กี าํ หนด คลุมโรงเรือนทง้ั ดา นบนและดานขาง โดยดา นขา งคลุมตาขา ยพรางแสงยาว 1.5 เมตรจากดา นบน และเหลือชองวาง 0.50 เมตรจากพน้ื ดนิบันทกึ ความเขม แสงในแปลงปลกู และในโรงเรอื นทม่ี กี ารพรางแสงในระดบั ตา ง ๆ ในวนั ท่ีฟา ใส เวลาประมาณ 12.00-14.00 น. โดยใชเคร่อื ง illuminance meter Model 51002 ยหี่ อ Yokogawa ใหปยุ ยเู รยี อัตรา 0 7.5 15 และ 30 กโิ ลกรมั ตอ ไร โดยแบง ใส 3ครงั้ เม่อื ตน ผักชีฝร่ังมีอายุ 1 3 และ 5 สปั ดาหห ลังยายกลา บนั ทึกขอมูล เม่ืออายุ 8 สัปดาหหลังยา ยกลา ดังน้ี ความสูงและนาํ้ หนักแหง ของสว นเหนือดิน คา SPAD โดยใชเ คร่ืองchlorophyll meter รนุ SPAD-502 ยห่ี อ Minolta สวนจํานวนตนทอี่ อกดอก บันทึกทุก ๆ สัปดาหหลังยา ยกลา พรอมท้ังเด็ดชอ ดอกทง้ิ และคาํ นวณเปอรเ ซ็นตก ารเกิดดอกนํา ขอ มูลมาวิเคราะหความแปรปรวนและเปรียบเทียบความแตกตา งของคาเฉลี่ยโดยวธิ ีDMRT ทีร่ ะดบั ความเชอ่ื มัน่ 95 เปอรเซ็นต โดยใชโ ปรแกรม SAS version 6.12 ผลและวิจารณ งานวจิ ยั นี้ปลูกผักชีฝร่ังในแปลงทดลองในชว งเดือนสงิ หาคม-กันยายน 2550 ซ่งึ ในแปลงปลูกกลางแจง มคี วามเขมแสงเฉลย่ี 105,283 lux แตเ มือ่ พรางแสง 50 60 70 และ 80 เปอรเ ซน็ ต ความเขม แสงเฉลี่ยลดลงเปน 37,842 26,725 17,988 และ8,800 lux ตามลําดับ การปลูกผักชีฝรัง่ โดยพรางแสง 0 50 60 70 และ 80 เปอรเซ็นต และใหป ยุ ยูเรยี อตั รา 0 7.5 15 และ 30กิโลกรัมตอไร พบวา ผักชีฝรั่งมคี วามสงู คา SPAD และนาํ้ หนกั แหงตน แตกตางกันอยางมีนัยสาํ คัญ และมอี ิทธิพลรวมอยางมีนัยสําคัญระหวา งระดับการพรางแสงกับอตั ราการใหป ุย ผักชีฝรงั่ จะมีการเจรญิ เติบโตเพิม่ มากข้นึ เมอ่ื ลดการพรางแสงลงและใหป ุยในอัตราที่เพม่ิ ขึ้น โดยการพรางแสง 50 เปอรเ ซ็นต และใหป ุย 30 กโิ ลกรัมตอ ไร ผกั ชฝี รั่งมีน้าํ หนักแหง ตนสงู สดุ และแตกตา งอยา งมีนัยสาํ คญั กับส่ิงทดลองอน่ื (Figure 1C) มคี า SPAD สูง ซึ่งแตกตางกนั อยา งไมมนี ยั สําคัญกับการปลูกกลางแจง (Figure 1B)ถึงแมว า การพรางแสง 60 และ 70 เปอรเ ซ็นต และใหป ยุ 30 กโิ ลกรัมตอไร ผกั ชีฝร่ังมีความสงู แตกตางกนั อยางไมมนี ัยสําคญั กับการพรางแสง 50 เปอรเซ็นต และใหป ุย 30 กโิ ลกรมั ตอไร (Figure 1A) แตระดับการพรางแสงทเ่ี พ่ิมข้ึนดังกลา ว ผักชฝี รง่ั มีนํ้าหนกัแหง ตนตา่ํ กวา มากและแตกตา งกันอยางมนี ยั สาํ คัญ อีกทัง้ ยังมีปรมิ าณคลอโรฟลลลดลงอกี ดวย เนื่องจากทรี่ ะดบั ความเขมแสงตา่ํใบพืชจะบางลง ปรมิ าณคลอโรฟลลลดลง สีใบจะออ นลง แตมคี วามออนนมุ มากขึน้ (An และ Shangguan, 2008) จึงสง ผลใหน้าํ หนกั แหง ของพืชลดลง สาํ หรับการพรางแสง 80 เปอรเซ็นต พบวา ทัง้ ความสูงและนํ้าหนกั แหง ตน มคี า คอ นขางตํา่ และแตกตา งกนั อยางมนี ัยสาํ คญั กับการพรางแสงในระดับท่ีลดลง และเม่อื ใหปุยในทกุ อัตราที่ระดบั การพรางแสงขา งตน ผักชีฝรงั่ จะมีคา ความสงูและนํา้ หนักแหง ตนแตกตางกันอยางไมม ีนัยสาํ คัญ แสดงวา การพรางแสงมากเกินไปในระดบั 80 เปอรเซน็ ต ความเขมแสงจะเปนปจจยั ที่สําคัญในการจํากัดการเจรญิ เตบิ โตของพชื ซึ่งสงผลตอ การสังเคราะหแ สงทาํ ใหพชื สรา งอาหารไดล ดลง ดังนนั้ ท่รี ะดบั การพรางแสงดงั กลาวเมอ่ื ใหป ุยในอตั ราท่ีเพ่ิมขึ้น พืชจงึ ไมสามารถเจริญเติบโตเพ่ิมข้นึ ได ซึง่ ใหผ ลเชนเดยี วกับงานทดลองในผักชีฝรงั่(Casey et al., 2004) หรือ โหระพา (Chang et al., 2008) สว นการปลกู กลางแจง ความสูงมีคาตาํ่ กวา อยา งมีนยั สําคญั กับ การพราง แสง 50 60 และ 70 เปอรเซ็นต ในทกุ ระดบั ของอัตราปุย อยางไรกต็ าม การปลูกกลางแจงกลบั มีนาํ้ หนกั แหงตน สูงกวาอยางมนี ัยสาํ คัญกับการพรางแสง 60 และ 70 เปอรเ ซน็ ต แตมนี ้าํ หนกั แหงตนต่ํากวาอยางมนี ยั สําคัญกับการพรางแสง 50เปอรเซ็นต ในทุกระดับของอัตราปุย ผกั ชีฝร่งั จะออกดอก ต้ังแตอายุ 4 สัปดาหหลังยา ยปลกู ตน ทป่ี ลูกกลางแจง มีเปอรเซน็ ตก ารออกดอกมากทสี่ ุด และลดลงเมอื่ ระดับการพรางแสงเพ่มิ มากขึ้น (Figure 1D, 1E และ 1F) สวนการพรางแสง 70 และ 80 เปอรเ ซ็นต ผกั ชีฝร่งั จะไมออกดอก จะเหน็ไดวา ระดบั ความเขมแสงทเี่ พม่ิ มากข้ึนจะสงผลใหผกั ชีฝรั่งออกดอกเร็วข้ึน ซงึ่ ใหผ ลสอดคลองกบั Casey et al., (2004) นอกจากนี้เปอรเ ซน็ ตการออกดอกมแี นวโนมเพิม่ ขึ้นตามอตั ราปุยท่เี พม่ิ ข้นึ ผักชฝี ร่งั ทป่ี ลูกกลางแจง มีเปอรเ ซ็นตก ารออกดอกคอ นขา งสูงอยาง

ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร ปท่ี 40 ฉบับที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 การเจรญิ เตบิ โตและการออกดอก 167ตอ เนอื่ ง ต้ังแตอ ายุ 4 สปั ดาหห ลังยายปลูก แมว า จะเดด็ ดอกทง้ิ ในทกุ ๆ สปั ดาหแ ลวกต็ าม การออกดอกจะสง ผลใหการเจรญิ เตบิ โตทาง vegetative ของพืชลดลง เนอ่ื งจากดอกเมื่อมีการผสมและพฒั นาไปเปน เมลด็ จะเปน sink ท่สี าํ คญั กวา ใบออ น อาหารทีไ่ ดจากการสังเคราะหแสงจึงถกู สงไปยงั เมล็ดมากกวาทีจ่ ะสงไปเล้ียงที่ใบ (Wien, 1997) ผกั ชีฝรัง่ ท่ีปลูกกลางแจง จึงมีตนที่คอนขา งแก ใบหนา เหนยี ว มีเสยี้ นมาก โดยท่ัวไปผกั ชีฝรัง่ ที่ปลูกในแถบเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตจ ะออกดอกตลอดทง้ั ป (Ekpong และSukprakarn, 2006) ดงั น้นั การปลกู ผักชีฝร่ังเพ่ือบรโิ ภคสวนของใบเปนหลกั จงึ ควรปลูกภายใตสภาพการพรางแสงทีเ่ หมาะสมเนื่องจากสามารถชะลอการออกดอก และสงผลใหผกั ชฝี รง่ั มรี ะยะการเจริญเติบโตทาง vegetative ยาวนานขน้ึ (Wien, 1997)นอกจากนกี้ ารเด็ดชอดอกท้งิ จะสง เสริมใหพืชมีการเจริญเติบโตทาง vegetative ดยี ิ่งข้ึน แตจะตอ งใชเวลาและแรงงานมากRamcharan (1999) รายงานวา ผักชีฝรงั่ สามารถเจริญเติบโตไดท ้งั ในพน้ื ที่ท่มี รี ม เงา พืน้ ที่กลางแจง หรือในพ้นื ทช่ี นื้ แฉะสําหรับในประเทศไทย กรมสงเสรมิ การเกษตร ไดแนะนาํ ใหปลกู ผักชฝี รง่ั ภายใตการพรางแสง ประมาณ 60-80 เปอรเซ็นต(http://www.2doae.go.th/library/vegetable/www/plant/pugchee_f.htm) และจากผลการทดลอง พบวา การปลกู ผักชฝี รง่ั เพอ่ื เกบ็ผลผลิตสดควรปลกู ในทีท่ มี่ ีการพรางแสง ซง่ึ จะใหผลผลติ ที่มีคุณภาพดกี วา การปลูกกลางแจง แตก ารพรางแสงมากเกินไปจะสง ผลตอ การเจริญเติบโตของพืชเชน กนั โดยการพรางแสง 50 เปอรเซน็ ต และใหป ยุ ยูเรีย 30 กิโลกรัมตอไร จะใหตน สงู ใบขนาดใหญส เี ขยี วสด ไมเ ปน เสยี้ น นาํ้ หนกั มาก มคี ุณภาพดี เหมาะตอ การบรโิ ภคสด แตจะเรม่ิ ออกดอกเพม่ิ ขนึ้ เมอื่ อายุ 8 สปั ดาหห ลงัยา ยปลูก การพรางแสงมากเกินกวา 50 เปอรเ ซ็นต และใหป ุยยูเรยี ในอตั ราท่เี พ่ิมขน้ึ จาก 0 เพ่มิ เปน 7.5 15 และ 30 กโิ ลกรัมตอไร ถงึ แมพชื จะสูงและมใี บมากขึน้ ออกดอกนอยลง แตก ลับมกี ารสะสมนา้ํ หนักแหงลดลง และถาพรางแสงถึง 80 เปอรเ ซน็ ต พืชจะมีการเจรญิ เติบโตนอยมากในทุกระดับของอัตราปุย จะเห็นไดวา การลดระดบั การพรางแสงลง ผักชีฝร่งั จะมีการเจรญิ เติบโตดขี นึ้ซึ่งใหผลสอดคลองกบั Casey 3et al., (2004) ท่ีรายงานวา การพรางแสง 20 เปอรเ ซน็ ต ผักชฝี ร่ังมีนาํ้ หนกั ตน สูงกวาการ พรางแสง40 เปอรเซ็นต แตเน่ืองจากเมอ่ื ความเขมแสงลดลงการออกดอกจะเกิดชาลง ซึ่งจะชว ยประหยัดแรงงานในการเด็ดดอก และใหใบที่มีคณุ ภาพดี จึงแนะนําใหปลูกผักชีฝรั่งโดยพรางแสง 40 เปอรเ ซ็นต อยา งไรก็ตาม Casey et al., (2004) ไมไ ดรายงานเกยี่ วกับความเขมแสงในชวงท่ีมกี ารทดลอง สว นการปลกู กลางแจง แมวาพืชจะเจริญเติบโตไดดี แตไมเ หมาะในการผลติ เพ่ือบริโภคสด เน่ืองจากออกดอกเร็ว ใบหนาและเหนียว ไมเ ปนทีต่ องการของตลาด (Ramcharan, 1999) ผักชฝี ร่ังเปน พืชท่ีใชประโยชนจากใบ จงึ ตอ งการธาตไุ นโตรเจนในปรมิ าณมาก การใหธาตุอาหารในอตั ราทเ่ี พยี งพอ พืชจะมกี ารเจริญเติบโตสูงสดุ และคงระดบั นีต้ อ ไปแมวา จะใหธ าตุอาหารในอัตราที่เพม่ิ ข้ึน แตเ มื่อเพมิ่ ธาตุอาหารมากเกินกวา อัตราทเี่ พยี งพอ พืชจะมีการเจรญิ เติบโตลดลง เน่ืองจากธาตอุ าหารมคี วามเขมขนมากจนเปน พิษ (ยงยุทธ, 2546) สาํ หรบั ในการทดลองน้ี การใหปุยยูเรยี อตั รา 30 กิโลกรัมตอไร ผักชฝี รั่งมีการเจริญเตบิ โตสูงสุดทัง้ ความสงู และน้ําหนกั แหงตนในทกุ ระดับของการพรางแสง ซึ่งการใหปุยในอัตราดงั กลาวอาจจะเปนระดับทีเ่ พยี งพอหรือไมเพียงพอตอ การเจรญิ เตบิ โตของผกั ชฝี รงั่ ดังน้นั จงึ ควรมีการศกึ ษาการใหป ุยยเู รยี ในอัตราท่ีสูงเกนิ กวา 30 กโิ ลกรมั ตอ ไร เพ่อื พิสจู นห าอตั ราทเี่ พยี งพอและเหมาะสมกับผักชีฝรัง่ ตอไปสาํ หรบั การใหปุยไนโตรเจนกับผักชฝี รัง่ Casey et al., (2004) รายงานวา การใชปยุ แอมโมเนยี มไนเตรต อัตรา 90 กิโลกรมั ตอแฮกตาร หรือ 14.4 กิโลกรัมตอไร สงผลใหผักชีฝรง่ั เจริญเติบโตไดด ที ่สี ุด สวนการปลูกในประเทศไทย กรมสง เสรมิ การเกษตรแนะนาํ ใหใชปุยสูตร 20-20-0 ผสมกับปุยสตู ร 46-0-0 อตั รา 50 กิโลกรมั ตอไร (http://www.2doae.go.th/library/vegetable/www/plant/pugchee_f.htm) สรปุ1. การผลิตผกั ชีฝรั่งเพอื่ บริโภคสดควรมกี ารพรางแสง ผกั ชีฝร่งั มีการเจรญิ เตบิ โตเพิ่มขนึ้ เม่ือลดการพรางแสงลงและใหป ยุ ยูเรียในอตั ราท่ีเพม่ิ ขน้ึ โดยการพรางแสง 50 เปอรเซ็นต และใหป ยุ ยเู รีย 30 กโิ ลกรัมตอ ไร ผักชฝี รั่งเจรญิ เติบโตดที ่สี ุด ใหตนสงู ใบใหญส ีเขียวสด นาํ้ หนักมาก แตก ารเจริญเตบิ โตลดลงอยา งเหน็ ไดชัด เมอื่ พรางแสง 80 เปอรเ ซ็นต และใหปุย ยเู รียทงั้ 4 อตั รา2. ผกั ชีฝร่ังออกดอก เม่ืออายุ 4 สัปดาหหลังยา ยปลูก โดยเปอรเซ็นตการออกดอกสงู สุดเมอื่ ปลกู กลางแจง และลดลงเมือ่ ระดับการพรางแสงเพ่ิมมากขึ้น ผักชีฝร่ังจะไมออกดอกเมอื่ พรางแสง 70 และ 80 เปอรเ ซ็นต และการออกดอกมแี นวโนมเพิม่ ข้นึ ตามอตั ราปุย

168 การเจรญิ เติบโตและการออกดอก ปท ี่ 40 ฉบบั ที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเกษตร cm A SPAD g/plant C 50 B15 0.812 40 0.6 309 0.4 206 103 0.2 00 0.0 0% 50% 60% 70% 80% 0% 50% 60% 70% 80% 0% 50% 60% 70% 80% shading % %% 60 6060 50 E 50 F50 D 40 4040 30 30 20 2030 10 1020 0 010 45 678 45678 0 weeks after planting 45678 0 Kg/rai 7.5 Kg/rai 15 Kg/rai 30 Kg/raiFigure 1 Plant growth at 8 weeks after planting and flowering of culantro grown under 0, 50, 60, 70 and 80% shading and 0, 7.5, 15 and 30 kg/rai of urea application rates. A: shoot height, B: SPAD value, C: shoot dry weight , D: flowering percentage under 0% shading, E: flowering percentage under 50% shading and F: flowering percentage under 60% shading เอกสารอา งองิยงยุทธ โอสถสภา. 2546. ธาตุอาหารพืช. พิมพครง้ั ที่ 2. สํานกั พมิ พมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพ, 424 หนา.สถาบันการแพทยแ ผนไทย กรมการแพทย กระทรวงสาธารณสุข. 2538. ผักพน้ื บาน : ความหมายและภูมปิ ญญาของสามญั ชน ไทย. โรงพมิ พองคการสงเคราะหทหารผา นศึก, กรุงเทพ, 261 หนา.An, H. and Z. P. Shangguan. 2008. Specific leaf area. leaf nitrogen content, and photosynthetic acclimation of Trifolium repens L. seedlings grown at different irradiances and nitrogen concentration, Photosynthetica, 46: 143-147.Casey, C. A., F. X. Mangan, S. J. Herbert, A. V. Barker and A. K. Carter. 2004. The effect of light intensity and nitrogen fertilization on plant growth and leaf quality of ngo gai (Eryngium foetidum L.) in Massachusetts, Acta Horticulturae, 629 : 215-229.Chang, X., P. G. Alderson and C. J. Wright. 2008. Solar irradiance level alters the growth of basil (Ocimum basilicum L.) and its content of volatile oils, Environmental and Experimental Botany, 63: 216-223.Ekpong, B. and S. Sukprakarn. 2006. Harvest stages and umbel order contribution on eryngo (Eryngium foetidum L.) seed yield and quality, Kasetsart J. (Nat. Sci.), 40: 273-279.Jacquat, C. and G. Bertossa. 1990. Plants from the Markets of Thailand, D.K. Book House, Thailand, 251 p.Ramcharan, C., 1999. Culantro : a much utilized. little understood herb. Perspectives on New Crops and Uses, In : J. Janick (ed.), Proceedings of the Fourth National Symposium New Crops and New Uses: Biodiversity and Agricultural Sustainability, ASHA Press, Alexandria, V.A., p. 506-509.Wien, H. C., 1997. Correlative growth in vegetables. In: H.C. Wien (ed.), The Physiology of Vegetables Crops, CABI, UK, p.181-206.http://www.2doeae.go.th/library/vegetable/www/plant/pugchee_f.htm. [June 8, 2005].

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 169-172 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พิเศษ) : 169-172 (2552) การเปรยี บเทยี บสูตรอาหารที่เหมาะสมในการเพาะเลยี้ งเนือ้ เยื่อมันสําปะหลงั The Comparative Study on an Appropriate Medium for in vitro Growth of Cassava (Manihot esculenta Cratz) สธุ าทิพย อํานวยสนิ 1 โชคพิศษิ ฐ เทพสทิ ธา1 และ กลุ นาถ อบสวุ รรณ1 Umnouysin, S. 1, Thepsithar, C. 1 and Obsuwan, K. 1 Abstract Cassava is an important economic crop as well as an energy crop in Thailand. Therefore, the demand ofstem cuttings for propagation is remarkably increased. In vitro culture is the best techniques for a large scaleplant propagation in the short period of time. The objective of this study was to investigate the proper media forthe growth of node and shoot-tip of cassava cv. Kasetsart 50 (KU 50). Nodes and shoot-tips of cassava cv. KU 50cultured on semi-solid Murashige and Skoog (MS), Almehdi and Parfitt (AP) and Woody Plant Medium (WPM)medium compared with modified MS, AP and WPM medium supplemented with 10 mg/L adenine sulfate. It wasfound that modified WPM semi-solid media supplemented with 10 mg/L adenine sulfate gave the significantlyhighest growth rate for both nodes and shoot-tip culture significantly.Keywords : cassava, micropropagation, adenine sulfate, node, shoot-tip บทคัดยอ มันสําปะหลังเปนพืชเศรษฐกิจที่สําคัญของไทย และเปนพืชพลังงานท่ีกําลังไดรับความนิยมในปจจุบัน ทําใหมีความตองการทอ นพันธุสําหรับใชในการขยายพันธุมากข้ึน การขยายพันธุโดยใชเทคนิคการเพาะเลี้ยงเน้ือเย่ือพืชเปนวิธีที่ทําใหไดตนพันธุจํานวนมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว วัตถุประสงคของงานวิจัยนี้คือหาสูตรอาหารท่ีเหมาะสมในการทําใหเน้ือเย่ือสวนขอและปลายยอดของมันสําปะหลังสายพันธุเกษตรศาสตร 50 (KU 50) เจริญเติบโตไดดีที่สุด การทดลองเล้ียงขอและยอดมันสําปะหลังสายพันธุ KU 50 ในอาหารก่ึงแข็งสูตร Murashige และ Skoog (MS), Almehdi และ Parfitt (AP) และ WoodyPlant Medium (WPM) เปรยี บเทียบกบั อาหารกึ่งแข็งสูตร MS, AP และ WPM ดัดแปลงที่มีการเติมอะดีนีนซัลเฟต 10 มิลลิกรัมตอลิตร พบวาการเพาะเล้ียงในอาหารก่ึงแข็งสูตร WPM ดัดแปลงทําใหเนื้อเยื่อสวนขอและสวนยอดมีการเจริญเติบโตดีที่สุดอยางมีนัยสาํ คัญทางสถิติคําสาํ คญั : มันสําปะหลงั การขยายพนั ธุโดยการเพาะเลีย้ งเนอื้ เยือ่ อะดีนนี ซัลเฟต ขอ ปลายยอด คาํ นํา มนั สาํ ปะหลงั (Manihot esculenta Cratz) อยใู นวงศ Euphorbiaceae เปนไมพุมท่ีมีอายุหลายป รากเปนรากสะสมอาหาร (ศนู ยว ิจยั พืชไรร ะยอง, 2537) นํามาทาํ เปน อาหาร และเปน วตั ถุดิบสําหรบั การแปรรูปในระดับอตุ สาหกรรมเพอื่ ใชใ นประเทศและสงออกไปยังตา งประเทศ ไดแก แปงมันสาํ ปะหลงั มันเสน มันอดั เม็ด และการผลติ เอทานอลเพื่อนาํ มาทาํ แกสโซฮอล (กลาณรงค และคณะ, 2551) จากความสําคญั ของมนั สาํ ปะหลงั ท่ีกลา วมาทําใหมีความตอ งการมันสาํ ปะหลงั ทใี่ หผลผลิตและปรมิ าณแปง สงู จึงมีความจําเปน ตอ งขยายพันธุมนั สําปะหลังเพ่ือใหเ พียงพอตอ ความตอ งการและเพอื่ ประโยชนในการปรบั ปรุงพนั ธุ ซึ่งการขยายพันธดุ วยวิธกี ารเพาะเล้ียงเนอ้ื เย่อื จะทาํ ใหไดม นั สําปะหลังทต่ี รงตามสายพันธจุ ํานวนมากในเวลาอนั รวดเร็ว เนอ่ื งจากมนั สาํ ปะหลังสายพันธุเกษตรศาสตร 50 (KU 50) มีลักษณะเดนที่สามารถปรับตวั เขา กับสภาพแวดลอมไดดีทรงตน สูง ปฏิบัติดแู ลรกั ษางาย ตนพนั ธแุ ขง็ แรง มีความงอกดีและและเกบ็ รักษาไดนาน ผลผลติ คุณภาพสูงและคุณภาพดี ทําใหไดป รมิ าณแปงสูง (ศูนยวจิ ยั พืชไรระยอง, 2537) และการเพาะเลย้ี งเนอ้ื เยื่อมันสําปะหลงั ในแตล ะพนั ธุใชสตู รอาหารและสารเรงการเตบิ โตตา งกัน จงึ เปน ที่มาของการศกึ ษาในครงั้ นี้1 ภาควิชาชวี วทิ ยา คณะวิทยาศาสตร มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ต.สนามจันทร อ.เมือง จ.นครปฐม 730001 Department of Biology, Faculty of Science, Silpakorn University, Nakorn Pathom 73000.

170 การเปรียบเทียบสตู รอาหารทเี่ หมาะสม ปที่ 40 ฉบับท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร อุปกรณแ ละวิธีการทดลอง นาํ เนือ้ เยอื่ สว นขอและปลายยอดมนั สาํ ปะหลงั สายพันธเุ กษตรศาสตร 50 (KU 50) ที่เพาะเลย้ี งในสภาพปลอดเชื้อมาเลีย้ งบนอาหารสงั เคราะหต ามสูตรของ Murashige และ Skoog, (1962) (MS), Almehdi และ Parfitt, (1986) (AP) และ Lloydและ McCown, (1980)Table 1 Three different medium used for in vitro propagation of cassavaTreatments adenine sulfate (mg/l) 1. MS 0 2. AP 0 3. WPM 0 4. MS 10 5. AP 10 6. WPM 10 อาหารท้งั หมดปรบั pH เทา กับ 5.7 (ปรบั ดว ย KOH 1 N หรอื HCl1 N) นึ่งฆาเช้ือท่ี อณุ หภมู ิ 121 °C เปน เวลา 15นาที ทําการทดลองสูตรละ 10 ซํา้ ท้ังสวนของขอและปลายยอด เพาะเล้ยี งในท่ีไดร ับแสงสวางจากหลอดฟลูออเรสเซนตท่ีมคี วามเขม แสงเฉลยี่ 30-35 µmol.m-2.s-1 เปน เวลา 16 ช่วั โมงตอ วนั และมอี ุณหภมู ิเฉลย่ี ประมาณ 25±2 องศาเซลเซียส ทําการบันทึกผลหลังจากเพาะเล้ียงเปนเวลา 3 สัปดาห บันทึกลักษณะการเจริญเติบโต เปรียบเทียบในแตละสูตร นําขอมลู ทีไ่ ดม าวิเคราะหท างสถิตโิ ดยวธิ ี Duncan’s new multiple range test ท่รี ะดบั ความเช่ือมน่ั 95 เปอรเซ็นต ผล การศกึ ษาการเจริญเตบิ โตเม่อื เพาะเลี้ยงเนอื้ เยือ่ สวนขอ และปลายยอดของมนั สาํ ปะหลังสายพนั ธุเกษตรศาสตร 50พบวา อาหารกึ่งแขง็ สตู รท่ี WPM ท่ีเติมอะดีนีนซลั เฟต 10 มิลลิกรัมตอ ลิตร มกี ารเจริญเตบิ โตสูงทส่ี ุด ในดา นความสงู และนาํ้ หนกั สด โดยมคี วามสงู เฉลี่ย 1.54 และ 2.79 เซนตเิ มตร และน้ําหนกั สด 0.0649 และ 0.1086 กรัม ตามลาํ ดับ (Table 2, 3และ Figure 1)Table 2 Growth and development of Cassava’s node culture on different media for 3 weeksTreatments Root number node fresh weight (g) height (cm.) (root) root length (cm.) 0.0312 ± 0.0066 cd 1 0.70 ± 0.12 cd 1.3 ± 0.45 bcd 2.83 ± 0.74 abc 0.0220 ± 0.0038 d 2 0.55 ± 0.09 d 0.9 ± 0.18 cd 1.63 ± 0.51 cd 0.0383 ± 0.0085 bcd 3 0.64 ± 0.11 cd 0.5 ± 0.17 d 0.73 ± 0.39 d 0.0567 ± 0.0090 ab 4 1.03 ± 0.18 bc 1.5 ± 0.37 abc 4.37 ± 0.75 a 0.0464 ± 0.0052 abc 5 1.39 ± 0.21 ab 2.3 ± 0.34 a 2.37 ± 0.29 bcd 0.0649 ± 0.0096 a 6 1.54 ± 0.16 a 1.9 ± 0.31 ab 3.53 ± 0.82 ab




















































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook