Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิทยาศาสตร์การเกษตร ปีที่ 40 ฉบับที่ 1 (crdc2)

วารสารวิทยาศาสตร์การเกษตร ปีที่ 40 ฉบับที่ 1 (crdc2)

Published by Plely Miwy, 2017-01-12 22:57:43

Description: วารสารวิทยาศาสตร์การเกษตร ปีที่ 40 ฉบับที่ 1 (พิเศษ) ม.ค.-เม.ย.2552(การประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัยพืชเขตร้อนและกึ่งร้อน ครั้งที่ 2)

Keywords: crdc2,วารสารวิทยาศาสตร์การเกษตร,full paper

Search

Read the Text Version

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 201-204 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พิเศษ) : 201-204 (2552) อิทธิพลของวนั ปลกู และระยะปลูกตอคณุ ภาพและผลผลิตของฟาทะลายโจร Effect of Planting Date and Spacing on Quality and Yield of Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall. ex Nees สุภาวดี บูระพันธ1 และยง่ิ ยง ไพสขุ ศานติวฒั นา1* Suphawadee, B. 1 and Yingyong, P. 1* Abstract Andrographis paniculata (creat) is one of the most important medicinal plants in Thailand. At present,yield of creat has not met with national demand and the quality is low. To increase yield and quality of rawmaterials research on factors affecting yield and quality is needed. Three factors were used in this experimentincluding planting dates, row spacing, and plant spacing. The experiment was performed at Pakchong ResearchStation, Pakchong district, Nakhonratchasima province. The results showed that creat grown in February werehigh significantly (p=0.01) difference in the higher plant’s height (55.16 cm.), plant’s diameter (41.15 cm.) andfresh weight of the aerial part (1.58 kg/m2). The crop grown in March gave significantly (p=0.05) higher dry weightof aerial part (0.42 kg/m2), dried leaf weight (0.25 kg/m2) and more number of days to 50% flowering (133.3 day).Creat grown in February and March gave higher total lactones content (11.43% and 11.05%) than the later crops(p=0.01). Row spacing at 25 centimeters gave significantly (p=0.05) higher fresh weight of the aerial part (1.34kg/m2), dry weight of the aerial part (0.39 kg/m2), dried leaf weight (0.23 kg/m2) and total lactones content(11.09%). The total lactones content obtained from plant spacing at 15 centimeters (10.88%) and at 20centimeters (10.81%) were significantly higher (p=0.01) than at 25 centimeters. From the above result, plantingdate and narrow spacings are the most important factors for increasing yield and quality of creat.Keywords : planting date, spacing, quality, Andrographis paniculata บทคดั ยอ ฟาทะลายโจรเปนพืชสมุนไพรที่มีความสําคัญชนิดหนึ่งของประเทศไทย แตผลผลิตในปจจุบันยังไมเพียงพอกับความตองการและคุณภาพต่ํา การศึกษาวิจัยเพื่อหาแนวทางเพ่ิมผลผลิตตอพ้ืนที่และเพ่ิมคุณภาพของฟาทะลายโจรใหสูงขึ้น จึงเปนสิ่งจําเปนอยางยิ่ง โดยศึกษาผลของ 3 ปจจัย ประกอบดวย ปจจัยที่ 1 วันปลูก ปจจัยท่ี 2 ระยะปลูกระหวางแถว และปจจัยที่ 3ระยะปลูกระหวางตน ทาํ การทดลอง ณ สถานีวจิ ัยปากชอง อําเภอปากชอง จังหวัดนครราชสีมา ผลการศึกษาพบวา ฟาทะลายโจรที่ปลูกในเดือนกุมภาพันธมีความสูง (55.16 เซนติเมตร) ความกวางทรงพุม (41.15 เซนติเมตร) น้ําหนักสดสวนเหนือดิน(1.58 กิโลกรัม/ตารางเมตร) สูงกวาวันปลูกอ่ืนอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ สวนการปลูกในเดือนมีนาคมมีน้ําหนักแหงสวนเหนือดิน (0.42 กิโลกรัม/ตารางเมตร) นํ้าหนักแหงของใบ (0.25 กิโลกรัม/ตารางเมตร) และอายุออกดอก 50% (133.3 วัน)มากกวาการปลูกในเดือนอ่ืน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ การปลูกในเดือนกุมภาพันธและเดือนมีนาคมใหปริมาณสารสําคัญแลคโตนรวม (11.43% และ 11.05%) สูงกวาการปลูกในเดือนอื่นอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ การใชระยะระหวางแถวปลูกท่ี25 เซนติเมตร ใหน้ําหนักสดสวนเหนือดิน (1.34 กิโลกรัม/ตารางเมตร) นํ้าหนักแหงสวนเหนือดิน (0.39 กิโลกรัม/ตารางเมตร)น้ําหนักแหงของใบ (0.23 กิโลกรัม/ตารางเมตร) และปริมาณสารสําคัญแลคโตนรวม (11.09%) มากกวาระยะปลูกอื่น อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ และการใชระยะระหวางตน 25 เซนติเมตร ใหความสูง (52.01 เซนติเมตร) ความกวางทรงพุม (39.72เซนติเมตร) มากกวาระยะปลูกอื่น อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ แตระยะระหวางตนท่ี 15 เซนติเมตร (10.88%) และ 20เซนตเิ มตร (10.81%) ใหป รมิ าณสารสําคญั แลคโตนรวมมากกวาระยะปลูก 25 เซนตเิ มตร อยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ จากผลการทดลองขางตนสรปุ ไดว า วนั ปลูกและระยะปลกู ถีเ่ ปน ปจ จยั ทสี่ ําคัญในการเพิม่ ผลผลิตและคณุ ภาพของฟาทะลายโจรคาํ สาํ คญั : วันปลกู ระยะปลูก คุณภาพ ฟาทะลายโจร1 ภาควิชาพชื สวน คณะเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร วิทยาเขตบางเขน กรุงเทพฯ 109001 Department of Horticulture, Faculty of Agriculture, Kasetsart University Bangkhen Campus, Bangkok 10900, Thailand* Corresponding author. ([email protected])

202 อทิ ธพิ ลของวนั ปลกู และระยะปลกู ปท ่ี 40 ฉบับที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเ กษตร คาํ นาํ ปจจุบันมีการปลูกฟาทะลายโจรเพ่ิมข้ึน แตมีปริมาณสารออกฤทธิ์ไมแนนอนแตกตางกันตามถิ่นที่ปลูก และฤดูกาลเก็บเกี่ยว (คณิต และ ชัยโย, 2534) ในขณะที่การผลิตยาตองใชวัตถุดิบที่มีคุณภาพดี คือมีปริมาณของสารออกฤทธิ์แลคโตนรวมไมนอยกวา 6 เปอรเซ็นต (Jewvachdamrongkul et al., 1987) ทําใหเปนปญหาในการกําหนดอัตราการใชยาท่ีเหมาะสมการปลกู ฟาทะลายโจรใหไดผ ลผลิตและคุณภาพทางยาสูงเพื่อนํามาใชเปนวัตถุดิบผลิตยาแผนปจจุบันนั้น นอกจากขึ้นกับพันธุปลูกแลวปจจัยสิ่งแวดลอมก็มีสวนรวมอยางมาก ระยะปลูกและวันปลูกท่ีแตกตางกันเปนปจจัยท่ีนาจะมีผลตอคุณภาพของวัตถุดิบใบฟาทะลายโจร จากการศึกษาของ อํานวย (2540) พบวา วิธีการเพาะเมล็ดแลวยายกลาปลูกท่ีระยะปลูกแคบใหผลผลิตสูง ในขณะท่ี หัทยา (2539) รายงานวาวันปลูกในเดือนมิถุนายนใหสารสําคัญตอพื้นท่ีสูงที่สุดเม่ือเทียบกับการปลูกในเดือนมีนาคมและระยะปลูกไมมีอิทธิพลตอการสรางสารสําคัญของฟาทะลายโจร สวนองอาจ และคณะ., (2545-2546)รายงานวาฟาทะลายโจรท่ีปลูกในเดือนเมษายนใหปริมาณสาร andrographolide ในใบฟาทะลายโจรสูงสุดเม่ือเทียบกับการปลูกในเดือนกรกฎาคม การทดลองครั้งน้ีมีวัตถุประสงคศึกษาความแปรปรวนของผลผลิตวัตถุดิบและสารสําคัญแลคโตนรวมของฟา ทะลายโจรที่ปลกู ในวนั ปลกู ตางๆ ในชวงตน ฤดูฝนและทรี่ ะยะปลูกตา งๆ กนั อปุ กรณและวิธีการ เพาะเมลด็ พันธฟุ าทะลายโจรจากแหลง พนั ธปุ ากชอง หมายเลข 3 ในแปลงเพาะเม่ือตนกลามีใบจริงประมาณ 4-5 ใบหรือประมาณ 45 วันหลังเพาะเมล็ด จึงยายลงแปลงปลูก โดยการศึกษาผลของ 3 ปจจัย ประกอบดวย ปจจัยที่ 1 วันปลูกเพาะเมล็ดฟาทะลายโจรในวันที่ 3 กุมภาพันธ 6 มีนาคม 5 เมษายน และ 6 พฤษภาคม 2549 ในแปลงเพาะ และยายลงแปลงปลูกเมื่อวันท่ี 20 มนี าคม 20 เมษายน 20 พฤษภาคม และ 20 มิถุนายน 2549 ตามลําดับ ปจจัยที่ 2 คือระยะปลูก ระหวางแถว 25,50 และ 75 เซนติเมตร ปจจัยที่ 3 คือ ระยะปลูกระหวางตน 15, 20 และ 25 เซนติเมตรโดยปลูกในแปลงยอยขนาด 3X4 ตารางเมตร มี 3 ซ้ํา บันทึกขอมูลการเจริญเติบโต เชน ความสูง ความกวางทรงพุม จํานวนขอ โดยทําการวัดทุก ๆ เดือน เปนเวลา 5เดือน ทําการวิเคราะหหาปริมาณแลคโตนรวมตามวิธีการของกรมวิทยาศาสตรการแพทย (Department of MedicalSciences, 1998) ผลและวจิ ารณ เพาะเมล็ดในเดือนกุมภาพันธ มีนาคม เมษายน และพฤษภาคม สามารถเก็บเก่ียวผลผลิตไดในเดือน มิถุนายนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน ตามลําดับ พบวาการเพาะเมล็ดในเดือนกุมภาพันธและมีนาคมนํ้าหนักแหงสวนเหนือดินน้ําหนักแหงใบตอพ้ืนที่ และปริมาณแลคโตนรวมสูงที่สุด (Table 1) การเพาะเมล็ดในเดือนกุมภาพันธและมีนาคม ใหปริมาณผลผลิตและสารแลคโตนรวมสูงกวาเดือน เมษายน และพฤษภาคม เน่ืองจากในเดือนดังกลาวชวงการเจริญเติบโตจนถึงระยะเก็บเก่ียวไดรับปริมาณนํ้าฝนเพิ่มขึ้นอยางตอเน่ือง ในขณะที่ปลูกเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปริมาณน้ําฝนเพ่ิมขึ้นเฉพาะเดือนแรกของการเจริญเติบโต หลังจากน้ันปริมาณน้ําฝนลดนอยลงตลอด ซ่ึงสอดคลองกับงานวิจัยของ ราเชนทร และคณะ(2539) ซ่ึงทําการทดลองที่สถานีวิจัยกาญจนบุรี จากการทดลองพบวาเพาะเมล็ดในเดือนกุมภาพันธใหผลผลิตสูงกวาเดือนอ่ืนจากงานทดลองน้ีพบวาปริมาณแลคโตนรวมของชุดท่ีเพาะเมล็ดและปลูกในเดือนกุมภาพันธและเดือนมีนาคมสูง เม่ือวิเคราะหหาคาสหสัมพันธระหวางปริมาณแลคโตนรวมกับปริมาณน้ําฝนตลอดฤดูกาล พบวาคาสัมประสิทธ์ิ (Correlation coefficient,r) = 0.95 เมอื่ ทดสอบคา r พบวามีความสมั พนั ธทางสถิติ ซง่ึ หมายความวาปรมิ าณนํ้าฝนมคี วามสัมพันธกับปริมาณสารสําคัญในแลคโตนรวมในเชิงลบ ผลการศึกษาระยะระหวางแถวที่ระยะ 25 50 และ 75 เซนติเมตร พบวาที่ระยะ 25 และ 50 เซนติเมตร ใหนํ้าหนักสดสวนเหนือดินตอพ้ืนท่ีสูงสุด และท่ีระยะ 25 เซนติเมตร มีน้ําหนักแหงสวนเหนือดิน นํ้าหนักใบแหงและปริมาณสารแลคโตนรวมสูงสุด ระยะระหวางตนไมมีผลตอนํ้าหนักสด นํ้าหนักแหง และน้ําหนักใบแหง แตที่ระยะ 15 และ 20 เซนติเมตรมีปริมาณสารแลคโตนรวมสูง กวาระยะ 25 เซนติเมตร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ จากงานทดลองของอํานวย (2540) พบวาระยะปลูกที่เหมาะสมเปนปจจัยที่สําคัญตอการเพิ่มผลผลิตฟาทะลายโจร และ พรรณนีย (2548) พบวาวิธีการปลูกใหไดระยะปลูกที่เหมาะสมและถูกตองเปนเร่ืองท่ีตองคํานึงถึง ในแตละวันปลูกเมื่อเพิ่มระยะปลูกใหมากข้ึนจะเห็นวามีขนาดตนที่ใหญข้ึนเนื่องจากระยะปลูกที่แคบกวาพืชจะมีการแกงแยงการเจริญเติบโต เชน แสง ปริมาณน้ําในดิน ธาตุอาหาร เปนตน จึงมีน้ําหนักแหงตอตนไดมากกวาแตเมื่อคิดน้ําหนักแหงตอพื้นที่ปรากฎวาการปลูกโดยใชระยะปลูกท่ีนอยลงจะไดน้ําหนักแหงตอพื้นท่ีสูงกวาการใชระยะปลูกกวาง ดังนั้นในการปลูกโดยใชระยะปลูกระหวางแถว 25 เซนติเมตร จะไดผลผลิตตอพื้นที่สูง สวนระยะ

ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร ปท่ี 40 ฉบับที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 อทิ ธิพลของวนั ปลูกและระยะปลกู 203ปลูกระหวางตนไมมีความแตกตางกันทางสถิติ ในการใหผลผลิตตอพ้ืนที่ สอดคลองกับงานวิจัยของ เกียรติเกษม (2539) ซ่ึงพบวา ระยะปลูกไมมีผลตออายุเม่ือดอกแรกบานของดาวเรือง สวนระยะระหวางตน พบวาท่ีระยะ 15 เซนติเมตร ออกดอกชากวา ทรี่ ะยะปลกู อื่น สรุป 1. การเพาะเมล็ดในเดือนกุมภาพันธและเดือนมีนาคม ใหน้ําหนักสดสวนเหนือดิน นํ้าหนักแหงสวนเหนือดิน นํ้าหนักแหงของใบตอ พนื้ ท่ี และปรมิ าณแลคโตนรวมสงู กวาเพาะในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2. การปลูกฟาทะลายโจรท่ีใชระยะระหวางแถว 25 เซนติเมตร ไดนํ้าหนักสดสวนเหนือดิน น้ําหนักแหงสวนเหนือดินน้ําหนักใบตอพืน้ ท่ี และปริมาณแลคโตนรวมสงู กวาท่รี ะยะอนื่ 3. วนั เพาะเมล็ดทแ่ี ตกตา งกันทาํ ใหอ ายกุ ารออกดอก 50% (ระยะเก็บเก่ียว) แตกตางกัน คือ การปลูกในเดือนมีนาคมออกดอกชาทส่ี ดุ (133.3 วัน) ในเดอื นพฤษภาคมออกดอกเรว็ สุด (125.8 วัน) คําขอบคุณ ขอขอบคุณบณั ทติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร ท่ใี หความอนุเคราะหสนับสนนุ ทุนวิจยั ในคร้ังน้ี เอกสารอางอิงเกียรติเกษม ปาลศรี. 2539. อิทธิพลของวันปลูกและระยะปลูกที่มีตอผลผลิตและคุณภาพเมล็ดพันธุดาวเรือง. วิทยานิพนธ ปรญิ ญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.คณติ สุวรรณบริรักษ และชยั โย ชัยชาญทิพยทุ ธ. 2534. นํา้ ลายพงั พอน ฟา ทะลายโจร. วารสารสมาคมสมุนไพรแหง ป ร ะ เ ท ศ ไทย 7(1): 3 – 9.พรรณนยี  วิชชาช.ู 2548. เพ่มิ มลู คาใหฟ า ทะลายโจร. วารสารผลใิ บ 8(7) : 2-5.ราเชนทร ถริ พร. อาํ นวย โยธาศิร.ิ นคร เหลืองประเสรฐิ . สมพร ทองแดง. สมชาย ปยพันธวานนท. จรงค รุงชวง, ธนพนธ จุน ขุนทด. ชวนพิศ อรุณรงั สิกุล และ สคุ นั ธรส ธาดากิตสิ าร. 2539.การเขตกรรมและปรบั ปรงุ พันธุฟา ทะลายโจร, น.62- 69. ใน สรุปผลการดําเนินงานวิจัย/โครงการวิจัยอุดหนุนวิจัย มก. ประเภท ข ประจําป 2537 และ 2538 การวิจัยและ พัฒนาพชื สมนุ ไพรและเครอ่ื งเทศ. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรงุ เทพฯ.หัทยา พรมโต. 2539. อทิ ธพิ ลของวนั ปลกู และจาํ นวนตน ตอ พ้ืนท่ีตอคุณภาพและการใหผลผลิตของฟาทะลายโจร. วิทยานิพนธ ปรญิ ญาโท, มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.อํานวย โยธาศิริ. 2540. อิทธิพลของวิธีการปลูกตอการเจริญเติบโตและผลผลิตของฟาทะลายโจร. รายงานผลการวิจัยฉบับสมบูรณ ทุนอุดหนุนการวิจยั มก. ปง บประมาณ 2539. ภาควิชาพืชไรน า คณะเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ.องอาจ หาญชาญเลิศ. ย่ิงยง ไพสุขศานติวัฒนา และฉลองชัย แบบประเสริฐ. 2545-46. การศึกษาอิทธิพลของวันปลูกตอ ผลผลิตและปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลดในใบฟาทะลายโจร.รายงานผลการวิจัยฉบับสมบูรณโครงการวิจัย ประจําป 2545-2546. รหสั โครงการ 0410754–003 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.Department of Medical Sciences. 1998. Thai Herbal Pharmacopoeia. Vol. 1. Ministry of Public Health, Bangkok.Jewvachdamrongkul, Y. , O. Chokechaijaroenporn, P. Chavalittumrong, and T. Dechatiwongse. 1987. Chemical quality evaluation of fah talai joan. Bull. Dept. Med. Sci. 29(3) : 231 – 237.

204 อิทธิพลของวันปลกู และระยะปลกู ปท ่ี 40 ฉบบั ที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเ กษตรTable 1 Days to 50% flowering, plant height, plant diameter, fresh weight of the aerial part, dried weight of the aerial part, dried leaf weight and total lactones due to planting date and spacing. 50% Plant Plant Fresh Dry weight Leaf Total of the dry lactonesFactor flowering height diameter weight of weight blooming (cm) (cm) the aerial aerial part (kg/m2) (%) (kg/m2) (days) part (kg/m2) 0.23 a 11.43 a 0.41 a 0.25 a 11.05 aPlanting date (A) 0.42 a 0.17 b 10.34 b3 February 2006 130.9 b1/ 55.16 a 41.15 a 1.58 a 0.29 b 0.14 b 10.16 b 0.25 b 0.05 0.286 March 2006 133.3 a 53.09 ab 38.79 ab 1.47 a 0.11 0.23 a 11.09 a5 April 2006 132.2ab 49.08 bc 36.00 b 0.97 b 0.39 a 0.21 b 10.64 b 0.36 b 0.16 c 10.39 c6 May 2006 125.8 c 47.45 c 38.16 ab 0.92 b 0.29 c 0.02 0.25 0.02LSD0.01 2.11 4.62 4.33 0.49 0.20 10.88 a 0.34 0.20 10.81 aRow spacing (B) 0.34 0.20 10.42 b 0.35 ns 0.2025 cm 130.2 47.32 c 31.49 c 1.34 a ns * 3/ ** 3/ ns ns **50 cm 130.7 52.61 b 40.84 b 1.32 a ns ns ** ns ns **75 cm 130.8 53.65 a 43.25 a 1.05 b nsLSD0.05 ns 0.97 1.13 0.07Plant spacing (C)15 cm 131.2 a 50.22 b 37.62 b 1.2420 cm 130.3 b 51.35ab 38.23 b 1.2125 cm 130.2 b 52.01 a 39.72 a 1.26LSD0.05 0.78 1.27 1.19 ns 2/AXB ns ns ns nsA X C ns ns ns nsB X C ns ns ns nsAXBXC ns ns ns ns1/ Mean separation with in columns by Least Significant difference (LSD)2/ ns nonsignificant3/*, ** is significant of p ≤ 0.05 and p ≤0.01, respectively

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 205-208 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พิเศษ) : 205-208 (2552) วธิ ีการปลกู เช้ือและปริมาณเชอื้ เหด็ ตับเตา ตอ การเจริญเตบิ โตของกลา ไมยูคาลิปตสั Inoculation Methods and King Bolete Spawn Quantities Affecting the Eucalyptus (Eucalyptus. camaldulensis Dehnh.) Seedling Growth ประภาพร ต้งั กจิ โชต1ิ และ สาวิตรี วีระเสถียร1 Tangkijchote, P.1 and Verasathiean, S.1 Abstract The inoculation methods and the king bolete spawn quantities affecting the growth of eucalyptusseedlings were studied at Department of Horticulture, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, KasetsartUniversity, Nakhon Pathom province. This experiment was conducted by using a completely randomized design(CRD). The results showed that all inoculation methods had no effect on the percentage of the bolete culturecolonization. Nevertheless, the utilization of 40 and 60 grams of sorghum spawn provided those seedlings to havethe maximum height, width, biomass, leaf area, leaf area index (LAI), crop growth rate (CGR). Whereas, theutilization of slurry mycelium yielded those ones with the highest leaf area ratio (LAR), specific leaf area (SLA).Keywords : ectomycorrhizal fungi, bolete culture, eucalyptus seedling growth บทคัดยอ การศึกษาวธิ ีการปลกู เช้อื และปรมิ าณหัวเชื้อเหด็ ตบั เตาตอ การเจริญเตบิ โตของกลาไมยูคาลิปตัส ณ ภาควิชาพืชสวนคณะเกษตร กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร จ. นครปฐม วางแผนการทดลองแบบสุมสมบูรณ (CRD) ผลการทดลองพบวา วิธีการปลูกเช้ือเห็ดทุกวิธีไมมีผลตอเปอรเซ็นตการเขาอยูอาศัยของเชื้อเห็ดตับเตา แตการใชหัวเชื้อขาวฟาง 40 และ 60กรัม ทําใหตนกลาดังกลาวมีความสูง ความกวาง มวลชีวภาพ พ้ืนที่ใบ ดัชนีพื้นท่ีใบ (LAI) อัตราการเจริญเติบโต (CGR) สูงสุดในขณะท่ีการใชเสนใยแขวนลอยทําใหตนกลามีสัดสวนพื้นท่ีใบตอมวลแหงรวม (LAR) สัดสวนพื้นท่ีใบตอมวลแหงของใบ(SLA) สูงสดุคาํ สาํ คญั : เช้อื ราเอ็คโตไมคอรไรซา เช้ือเห็ดตับเตา ตน กลายคู าลิปตสั การเจริญเติบโต คํานาํ เห็ดตับเตา (Boletus edulis Bull. ex Fr.) เปนเช้ือราเอ็คโตไมคอรไรซา (ectomycorrhizal fungi) โดยเจริญเติบโตรวมกบั ไมยืนตนแบบพึ่งพาอาศัยกัน (symbiosis relationships) กลาวคือเช้ือราเจริญหอหุมรากพืช ชวยใหรากพืชสามารถเก็บรักษาความช้นื ไดด ี และยงั ชวยละลายธาตุอาหารจากหินรวมท้ังแรที่สลายตัวยากใหอยูในรูปท่ีพืชสามารถนํามาใชประโยชนไดสงผลใหตน ไมเจริญเตบิ โตดี (ดีพรอ ม, 2541) สว นพืชใหค วามชื้น สารอาหารบางอยาง เชน วิตามิน คารโบไฮเดรต และกรด-อะมิโนบางชนดิ แกเชอ้ื ราดังกลาวเปนการตอบแทน (อนงค และอัจฉรา, 2530) ซง่ึ ออมทรัพย และคณะ (2544) พบวา ตนกลายูคาลิปตัสท่ไี ดร ับการปลกู เชื้อเหด็ ตับเตาโดยการรองกนหลุม มีความสูงเพิ่มข้ึน 16.9% การปลูกเช้ือราเอ็คโตไมคอรไรซาใหกับกลาไมนัน้ มีหลายวธิ ี เชน การใชเ ชื้อเปย ก การใชเชอื้ จากดนิ หรอื การใชเสนใยโดยตรงกับรากพืช ฯลฯ (Riffle และ Maronek, 1982)และควรปลูกเช้ือในระยะตนกลาซ่ึงใหผลดีท่ีสุด เพราะรากของตนกลามีลิกนินสะสมนอย ทําใหเช้ือราเจริญเขาสูรากไดงาย แตเนือ่ งจากในสภาพธรรมชาติปริมาณของเชือ้ เห็ดตบั เตามีนอย (นงนุช และณัฐนิสา, 2543) ดังน้ันการทดลองน้ีจึงมีวัตถุประสงคเพ่ือศึกษาวิธีการปลูกเช้ือและปริมาณหัวเชื้อเห็ดตับเตาที่เหมาะสมตอการเจริญเติบโตของกลายูคาลิปตัสเพ่ือเปนแนวทางในการประยุกตใชเ ช้อื เห็ดตับเตาสําหรับสงเสริมการเจรญิ เติบโตของกลา ไมย คู าลปิ ตัส และกลาไมอน่ื ๆ ตอไป1 ภาควชิ าพืชสวน คณะเกษตร กําแพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร วทิ ยาเขตกําแพงแสน จ. นครปฐม 731401 Dept. of Horticulture, Fac. of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, Nakhon Pathom 73140

206 วธิ กี ารปลูกเชอ้ื และปรมิ าณเชือ้ เหด็ ตบั เตา ปท ี่ 40 ฉบับที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเ กษตร อปุ กรณแ ละวธิ กี ารการเตรียมหวั เชอื้ เห็ดตับเตา เล้ียงชิ้นเชื้อเห็ดตับเตาพรอมอาหารวุน ขนาดเสนผาศูนยกลาง 7 มิลลิเมตร ในอาหารเหลว PDB (potato dextrosebroth) และในขาวฟางตมกับอาหารเหลว PDB ที่ผานการนึ่งฆาเช้ือดวยหมอน่ึงความดัน อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส ความดัน 1.05 กิโลกรัมตอตารางเซนติเมตร เปนเวลา 30 นาที บมที่อุณหภูมิหอง (25±2 องศาเซลเซียส) จนเสนใยเจริญท่ัวอาหารซึ่งใชเวลานาน 40 วันศึกษาการเจริญเตบิ โตของกลา ไมยคู าลปิ ตัสหลังไดร ับการปลกู เชือ้ เหด็ ตบั เตา ปลูกหัวเช้ือเห็ดตับเตาขางตนใหกับกลายูคาลิปตัส (Eucalyptus camaldulensis Dehnh.) โคลนซีที 76 อายุ 1 เดือนจากการเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อ ซึ่งไดรับความอนุเคราะหจากบริษัท สยามฟอเรสทรี จํากัด ดวยวิธีการตางๆ วางแผนการทดลองแบบ CRD ประกอบดวย 5 ทรีทเมนตๆ ละ 3 ซํ้า (กระถาง) คือ ไมปลูกเชื้อ (control) จุมรากตนกลาในเสนใยแขวนลอย(mycelial suspension/slurry) รองและโรยหัวเช้อื ขาวฟางรอบตมุ ราก ปริมาณ 20, 40 และ 60 กรัมตอตน ตามลําดับ และยายปลูกในกระถางพลาสติกขนาด 10 น้ิว (1 ตนตอกระถางตอวัสดุปลูก 8 กิโลกรัม) ใชทรายท่ีผานการนึ่งฆาเช้ือดวยไอนํ้าเดือดอุณหภูมิ 90-100 องศาเซลเซียส เปนเวลา 3 ชั่วโมง และผสมธาตุอาหารตางๆ ตามสูตรของ Burgess et al. (1993) เปนวัสดุปลูก บันทึกขอมูลทุกเดือน เปนเวลา 4 เดือน โดยบันทึกการเขาอยูอาศัยของเชื้อเห็ดตับเตา ดวยการยอมสี (Brundrett et al.,1984) คํานวณเปอรเซ็นตการเขาอยูอาศัยของเช้ือเห็ด และศึกษาการเจริญเติบโตของตนกลาโดยวัดความสูง ความกวางทรงพุม และวัดพ้ืนที่ใบดวย leaf area meter, LI-3100, LICOR Inc., U.S.A. ชั่งมวลสด มวลแหงของตนพืช หลังการอบที่อุณหภูมิ70 องศาเซลเซียสจนมวลแหงคงท่ี คํานวณองคประกอบของการเจริญเติบโตดังน้ี ดัชนีพื้นท่ีใบ (Leaf Area Index: LAI)สัดสวนของพื้นที่ใบตอมวลแหงรวม (Leaf Area Ratio: LAR) อัตราสวนยอดตอราก (shoot to root ratio: S/R) สัดสวนระหวางพ้ืนที่ใบตอมวลแหงของใบ (Specific leaf Area: SLA) อัตราการเจริญเติบโต (Crop Growth Rate: CGR) อัตราการเจรญิ เตบิ โตสมั พทั ธ (Relative Growth Rate: RGR) และ Net Assimilation Rate (NAR) ตามวิธีการของ Radford (1967) ผลและวจิ ารณ จากการศกึ ษาเปอรเ ซน็ ตก ารเขาอาศยั ของเชอื้ เห็ดตับเตา ในรากตน กลายูคาลิปตสั อายุ 4 เดือน พบวาวิธีการปลูกเช้ือทุกวิธี ไมมีผลตอเปอรเซ็นตการเขาอาศัยของเช้ือเห็ดตับเตาในราก นอกจากน้ียังพบวาการเจริญของเช้ือเห็ดในรากมีแนวโนมลดลงตามอายุของตนกลาที่เพ่ิมข้ึน ท้ังน้ีอาจเปนเพราะตนกลาท่ีมีอายุมากขึ้น รากเจริญแผขยายออกนอกตุมรากเร็วกวาเช้ือเห็ดซง่ึ มีมากบรเิ วณรอบตุมราก สง ผลใหร ากสัมผัสกบั เชอ้ื นอย ดงั น้ันการสุมตรวจตัวอยางรากเฉพาะบริเวณนอกตุมรากจึงพบเช้ือเห็ดเขา อยูอาศัยนอ ย (Figure 1)control slurry spawn 20 g spawn 40 g spawn 60 gFigure1 Eucalyptus seedling roots after various inoculation methods for 4 months สําหรบั การศึกษาการเจริญเตบิ โตของตน กลา ยคู าลิปตสั ภายหลังการปลูกเช้อื เหด็ ตับเตา เปนเวลา 4 เดือน พบวาการปลูกเช้ือเห็ดทุกวิธี ทําใหตนยูคาลิปตัสมีความสูงมากที่สุดและมีแนวโนมเพิ่มข้ึนตามปริมาณของเชื้อเห็ด ท้ังน้ีอาจเปนเพราะเชื้อเห็ดปริมาณมากชวยใหรากดูดซับนํ้าและธาตุอาหารไดมากขึ้น (Pope, 1993) สงผลใหตนกลามีความสูงเพ่ิมข้ึน ในขณะท่ีการใชเสนใยแขวนลอยทําใหตนกลามีความสูงนอยท่ีสุด แตไมแตกตางจาก control สวนความกวางทรงพุมน้ัน พบวา ตนกลา

ว. วิทยาศาสตรเกษตร ปท ี่ 40 ฉบับที่ 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 วธิ ีการปลกู เชือ้ และปรมิ าณเช้อื เห็ดตับเตา 207ท่ีปลูกเช้ือดวยหัวเชื้อขาวฟางทุกอัตรามีความกวางมากท่ีสุดและมีแนวโนมเพิ่มข้ึนตามปริมาณของหัวเชื้อเห็ดเชนเดียวกัน(Figure 2) control slurry spawn 20 g spawn 40 g spawn 60 gFigure 2 Growth of eucalyptus seedlings after various inoculation methods for 4 months มวลชวี ภาพของตนกลา ยูคาลปิ ตัส ซง่ึ พิจารณาจากมวลแหง รวมของทั้งตนและมวลแหงในแตละสวนของตน โดยแยกเปนสวนเหนือดินและสวนใตดิน พบวามวลชีวภาพของตนกลาที่ปลูกเชื้อดวยหัวเชื้อขาวฟาง 60 กรัม มีคามากที่สุด ในขณะที่ตนกลาท่ีปลูกเชื้อดวยเสนใยแขวนลอย และ control มีคาดังกลาวนอยท่ีสุด สวนพ้ืนท่ีใบเฉล่ียตอตนน้ัน พบวา การใชหัวเช้ือขา วฟา งทุกอตั รา สง ผลใหต น กลามีพน้ื ท่ีใบมากที่สดุ ต้ังแตเ ดือนท่ี 2 จนส้ินสดุ การทดลอง จากการคํานวณองคป ระกอบการเจรญิ เตบิ โตของตนกลายูคาลิปตัสภายหลังไดรับการปลูกเชื้อเห็ดตับเตาดวยวิธีการตางๆ พบวา ดชั นีพ้นื ทใี่ บ (LAI) ซ่ึงเปนดัชนีบงบอกปริมาณพื้นทใ่ี บตอ หน่งึ หนว ยพื้นที่การเจริญเติบโตของพืชน้ัน พบวาตนกลาท่ีปลูกเช้ือดวยหัวเชื้อขาวฟางทุกอัตรามีคา LAI เพิ่มข้ึนตลอดการทดลอง และมีคาสูงสุดเม่ือใชหัวเชื้อ 60 กรัม ซึ่งแสดงใหเห็นวาตนกลามีพื้นที่ใบในการรับแสงตอหนวยพื้นที่ใบมาก สงผลใหตนกลาเจริญเติบโตดี และคา LAI มีแนวโนมเพิ่มขึ้นตามปริมาณของเช้อื เหด็ (Figure 3A) สดั สวนของพนื้ ทีใ่ บตอ มวลแหงรวม (LAR) มีคา สงู สุดเม่อื ใชหัวเชื้อทุกอัตรา และคา LAR ลดลงเมื่อตนกลามีอายุมากขึ้น ท้ังน้ีอาจเปนเพราะอาหารสะสมถูกนําไปใชสรางสวนของลําตนและรากมากกวาสวนของใบ จึงสงผลใหตนกลามีพ้ืนท่ีใบนอยกวา มวลแหง รวม สวนในเดือนสุดทา ยตนกลา ท่ีปลูกเช้อื ดวยเสนใยแขวนลอย และ control มคี า LAR สูงสุด (Figure 3B) อัตราการเจริญเติบโต (CGR) เปนดัชนีบงบอกอัตราการสะสมนํ้าหนักของพืชตอหนึ่งหนวยเวลา ซ่ึงพิจารณาจากคาเฉลี่ยมวลแหงรวมของตนและระยะเวลาปลูก โดยพบวา คา CGR ของตนกลายูคาลิปตัสที่ปลูกเช้ือดวยวิธีการตางๆ เพ่ิมข้ึนเม่ือตนกลามีอายุมากขึ้น และคา CGR มีแนวโนมเพิ่มข้ึนตามปริมาณของเชื้อเห็ด ดังน้ันการใชหัวเช้ือปริมาณมาก จึงสงผลใหตนกลาเจริญเติบโตดีและสะสมอาหารไวในสวนตางๆ ในรูปของมวลแหงรวมสูงกวาการใชเสนใยแขวนลอย และ control(Figure 3C) อัตราการเจริญเติบโตสัมพัทธ (RGR) เปนคาแสดงประสิทธิภาพในการสรางน้ําหนักแหงของพืชตอหน่ึงหนวยเวลา(Hunt, 1990) ซ่ึงพบวาตนกลายูคาลิปตัสท่ีปลูกเช้ือดวยวิธีการตาง ๆ มีคา RGR สูงในระยะแรกของการเจริญเติบโต และลดลงเมือ่ ตนกลา มอี ายมุ ากขน้ึ โดยตน กลา ท่ปี ลูกเช้ือดวยหัวเชื้อ 60 กรัม มีคา RGR สูงสุด อาจเนื่องมาจากเชื้อเห็ดบริเวณรากชวยดดู ซับนํา้ และธาตอุ าหารใหแกตนกลาเพอ่ื ใชใ นการเจริญเตบิ โต และสังเคราะหแสง (Figure 3D) สัดสวนของพ้นื ที่ใบตอ มวลแหงของใบ (SLA) พบวา การใชเสนใยแขวนลอย และ control ทําใหตนยูคาลิปตัส อายุ 4เดือน มีคา SLA สูงสุด สวนการใชหัวเชื้อเห็ดทุกอัตราทําใหตนกลามีคา SLA ลดลง เน่ืองจากใบขยายตัวเต็มที่ เริ่มเก็บสะสมอาหารไวในรูปของมวลแหงภายในใบ ประกอบกับแผนใบหนา ทําใหการรับแสงตอหนวยพ้ืนท่ีใบลดลง สงผลใหคา SLA ต่ํา(Vlahos et al., 1991) (Figure 3E) คา net assimilation rate (NAR) ซึ่งเปนดัชนีบงช้ีประสิทธิภาพในการสังเคราะหแสงน้ัน พบวาตนกลายูคาลิปตัสท่ีปลูกเชื้อดวยวิธีการตา งๆ มคี า NAR ไมแ ตกตา งกนั โดยมคี าระหวา ง 0.01-0.03 กรมั ตอ ตารางเซนติเมตรตอเดือน แตมีแนวโนมวา NAR มคี า เพิม่ ขนึ้ สงู สดุ ในเดือนที่ 2 และลดลงเมื่อตน กลามีอายุมากขนึ้ (Figure 3F)

208 วธิ ีการปลูกเชือ้ และปรมิ าณเชือ้ เหด็ ตับเตา ปที่ 40 ฉบบั ที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเ กษตร 1.2 160 (B) 100 (C) 80RGR, g -g1 month-1…. (A) LAR , cm2 g-1 CGR, g mont -h1... 60 LAI 40 120 20 0.8 80 0.4 40 0.0 0 0 2 3 4 0 1 2 3 4 1 2 3 4 250 12 0 1 NAR, x10-4 g cm-2 month-1…. (D) (E) (F)0.12 200 0.08 150 SLA cm2 g-1 8 0.04 23 100 23 4 4 23 4 plant age, month plant age, month plant age, month 0.00 50 0 1 1 0 41 Figure 3 Growth characteristics of eucalyptus seedlings: (A) Leaf Area Index (B) Leaf Area Ratio (C) Crop Growth Rate (D) Relative Growth Rate (E) Specific Leaf Area and (F) Net Assimilation Rate after various inoculation methods for 1, 2, 3 and 4 months สรปุ วิธกี ารปลูกเชื้อเห็ดตบั เตา ใหแ กต น ยคู าลิปตสั ทกุ วิธีไมม ีผลตอ การเขา อยอู าศัยในรากของเช้อื สวนการเจรญิ เตบิ โตของตน ยคู า ลิปตัสภายหลังการปลูกเชื้อ พบวาการใชหัวเชื้อขาวฟาง 40 และ 60 กรัม สงผลใหตนกลามีการเจริญเติบโตทุกดานดีที่สุด เมื่อวิเคราะห องคประกอบการเจริญเติบโตพบวา ตนกลาที่ปลูกเช้ือดวยหัวเชื้อขาวฟางทุกอัตรา มีคา LAI และ CGR สูงสุด ในขณะที่ตนกลาท่ีไดรับ การปลูกเชอื้ ดว ยเสนใยแขวนลอย มคี า LAR, SLA สงู สดุ แตว ิธกี ารปลูกเชอ้ื ทุกวิธีไมม ผี ลตอคา RGR และ NAR ของตนกลา ดงั กลาว คําขอบคุณ ขอขอบคณุ บริษทั สยามฟอเรสทรี จํากดั ทใี่ หความอนเุ คราะหต น กลา ยคู าลิปตสั ในการทําวิจัยครั้งน้ี เอกสารอางอิง ดีพรอ ม ไชยวงศเ กยี รต.ิ 2541. มะกอกน้ํากบั เห็ดตับเตา . ภาควชิ าจุลชีววิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. นงนุช จิรเสาวภาคย และณฐั นสิ า ชอบรัมย. 2543. การศกึ ษาการเจริญเตบิ โตของเชือ้ เหด็ ตับเตา ในอาหารสูตรตา งๆ และการพฒั นาของ เชอ้ื เหด็ ตับเตา ในพชื อาศยั . ปญหาพิเศษปริญญาตรี, สถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกลา เจา คณุ ทหารลาดกระบัง. อนงค จนั ทรศรกี ลุ และอจั ฉรา พยัพพานนท. 2530. ตบั เตา เหด็ ท่คี วรพฒั นา. วารสารกสิกร 60(5): 441-445. ออมทรัพย นพอมรบด.ี สริ วิ ิภา สัจจพงษ และสมเพชร เจริญสขุ . 2544. การคดั เลือก รวบรวม และผลการใชเชอ้ื เอ็คโตไมคอรไ รซา ในไมโ ต เรว็ และไมผ ล. น. 72-76. ใน เหด็ ไทย 2544. นวิ ธรรมดาการพิมพจํากดั , กรุงเทพฯ. Brundrett, M., Y. Piche and R.L. Peterson. 1984. A new method for observing the morphology of vesicular-arbuscular mycorrhizae. Can. J. Bot. 62: 2128-2134. Burgess, T., N. Malajezuk and N. Grove. 1993. The ability of 16 ectomycorrhizal fungi to increase growth and phosphorus uptake by Eucalyptus globulus. Plant Soil. 153: 155-164. Hunt, R. 1990. Basic Growth Analysis: Plant growth analysis for Beginners, Unwin hyman, Ltd., London Pope, P.E. 1993. Some Soil Fungi are Beneficial to Tree Seedling Growth [Online], Available: http://www.ces.purdue.edu/extmedia/FNR/FNR-104.html. December 29, 2003 Radford, P.J. 1967. Growth analysis formulae-their use and abuse. Crop Sci. 7: 171-175. Riffle, J.W. and D.M. Maronek. 1982. Ectomycorrhiza inoculation procedures for greenhouse and nursery studies, pp. 147-156. In N.C. Schenck (ed.) Methods and Principles of Mycorrhizal Research. Amer Phytopathol, Soc. Press, St. Paul. Vlahos, J., C. Heuvelink and G.F.P. Martakis. 1991. A growth analysis study of three Achimens cultivars grown under regimes. Sci Hort. 46: 275-282.

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 209-212 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พิเศษ) : 209-212 (2552) การชักนําใหเ กิดแคลลัสในใบชาอสั สมั (Camellia sinensis var. Assamica)Induction of Callus in Assam Tea Leaves (Camellia sinensis var. Aassamica) ภทั รานษิ ฐ ตรีเพ็ชร1 อรพิน เกิดชูชน่ื 1 ณัฎฐา เลาหกุลจติ ต1 และ รัฐ พิชญางกรู 2 Tripetch, P.1, Kerdchoechuen, O.1, Laohakunjit, N.1 and Pitchayangkura, R.2 Abstract Assam tea (Camellia sinensis var. Assamica) leaves were cultured on modified Murashige and Skoog(MS) medium (1962) containing 2,4 dichlorophenoxyacetic acid (2,4-D) at 0.1, 0.5 and 1.0 mg/l plus 6-Benzyladenine (BA) at 0.1, 0.5 and 1.0 mg/l or 6-furfurylaminopurine (kinetin) at 0.1, 0.5 and 1.0 mg/l. Cultureswere incubated for 6 week at 30+2°C and 16 hr photoperiod at light intensity of 2000 Lux. It was found that thecultured leaves produced compact callus. The amount of callus produced rounged from 45% to 65%, dependingon the concentrations of 2,4-D, BA and kinetin in the medium. The hightest percentage (65%) of explantsproducing callus was obtained on modified MS medium supplemented with 2,4-D at 1 mg/L in combination withkinetin at 0.1 mg/L 6 week after cultured.Keywords : Assam tea, callus, 2,4-dichlorophenoxyacetic acid (2,4-D), 6-benzyladenine (BA), kinetin บทคดั ยอ การเพาะเลี้ยงชิ้นสวนใบชาอัสสัม บนอาหารแข็งสูตร Murashige and Skoog (MS) (1962) ท่ีมีสารควบคุมการเจริญเติบโต 2,4-dichlorophenoxyacetic acid (ความเขมขน 0 0.1 0.5 และ 1 mg/L) กับ 6-Benzyladenine และ kinetin(ความเขมขน 0 0.1 0.5 และ 1 mg/L) ในสภาวะไดรับแสงความเขม 2000 Lux นาน 16 ช่ัวโมงตอวัน อุณหภูมิ 30+2 องศาเซลเซียส ภายหลังการเลี้ยงแคลลัส นาน 6 สัปดาห พบวา สูตรอาหารที่สามารถ ชักนําใหใบชาอัสสัมสรางแคลลัสไดดี คืออาหารสูตร MS ที่มี 2,4-D 1 mg/L รวมกับ BA 0.1 0.5 mg/L และอาหารสูตร MS ท่ีมี 2,4-D 1 mg/L รวมกับ kinetin 0.1 0.5mg/L โดยพบปริมาณของแคลลัส เทากับรอยละ 45 57.5 52.5 และ 65 ตามลําดับ และแคลลัสมีการเจริญและพัฒนาเปนแคลลัสแบบ compact callus และโดยแคลลัสในอาหารสูตร MS ที่มีสารควบคุมการเจริญเติบโต 2,4-D เขมขน 1 mg/Lรว มกบั kinetin เขมขน 0.5 mg/L มปี รมิ าณการพัฒนาของแคลลัสสงู สุด (รอยละ 65)คาํ สําคญั : ชาอัสสัม 2,4-dichlorophenoxyacetic acid (2,4-D) 6-benzyladenine (BA) kinetin Introduction Assam tea (Camellia sinensis var. Assamica) is a small tree measuring 10-15 m in hight. For the purposeof cultivation on plantations, however, assam tea plants appear as big shrubs as they are prunedapproximately 1m from the ground. The veined leaves are large, thin and shiny (Willson and Clifford, 1992; Willson,1999). Tea has received much attention for its attractive aroma, pleasant taste and numerous medicinal benefitsand has been socially and habitually consumed by people since 3000 B.C (Lin et al, 2003). The occurrenceproduction of secondary metabolites in tea such as alkaloids (e.g., caffeine), polyphenols (e.g., catechins, tannin)vitamins (A, B1, B2, E, C), polysaccharides, volatile oils, and minerals are content in tea leaves (Park, 2004). Thebiological studies have show that the quality determinants of tea polyphenols, especially catechins and phenolicacids are associated with medicinal properties such as antidiabetic, antimicrobial, anticancer, antioxidant andantiaging activities (Khan and Mukhtar, 2007) Recently, the tea plants is initially use as a medicine and1คณะทรพั ยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบรุ ี 83 หมู 8 ถนนเทยี นทะเล แขวงทา ขา ม เขตบางขนุ เทยี น กรงุ เทพฯ 101501 School of Bioresources and Technology, King Mongkut’s University of Technology Thonburi, 83 Mu 8 Tientalya Rd., Thakam, Bangkhuntein, Bangkok 101502ภาควชิ าชวี เคมี คณะวิทยาศาสตร จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลัย2 Division of Biochemistry , Faculty of Science, Chulalongkorn University

210 การชกั นําใหเกิดแคลลสั ในใบชาอสั สัม ปท ่ี 40 ฉบบั ท่ี 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเกษตรsubsequently as a beverage and now has proven well to be a future potential as an important raw material for thepharmaceutical industry (Mondal et al, 2001). Tissue culture techniques for plant regeneration in vitro by somatic embryogenesis or adventious budformation have been improved for potential application to plant breeding. There are many reports on thesuccessful induction of somatic embryogenesis and adventitious bud differentiation without callus formation, fromnodal segment (Akula and Dodd, 1998), mature seed (Akula et al. 2000), cotyledons (Furukawa and Tanaka2004) or immature leaves of in vitro grown shoots (Kato, 1996) of tea plants. Among the three economic beveragecrops (tea, cocoa and coffee), only coffee has been progressively improved qualitatively and quantitativelythrough the application of tissue culture techniques. There has been a few reports on the induction of somaticembryogenesis from leaves via callus formation in assam tea plant. Besides, most of the reports on application ofdifferent tissue culture techniques in tea are from China, Japan, Sri Lanka and Taiwan (There are few reports on invitro culture of tea varieties grown in Thailand. The aim of this present study was to evaluate the concentration of 2,4-D, BA and kinetin for callusinduction from leaves explant of assam tea (Camellia sinensis var. Assamica). Materials and MethodsPlant material The experiment was conducted using 2-year-old assam tea (Camellia sinensis var.assamica) plant, which grown from seeds in with commercial soil (pH at 5.5-6) under controlled conditions theplastic-house of the School of Bioresources and Technology, King Mongkut’s University of Technology Thonburi(Bangkuntein), Bangkok, Thailand. Using full strength Hewitt’s nutrient solution will be applied every 7-day andwater supply every day.Callus induction The explants were surface sterilization for 30 second in 70% ethanol (EtOH), 10 min with2% sodium hypochlorite (NaOCl) and rinsed three times with sterile distilled water. The explants were placed onmodified solidified MS medium supplemented with 0.1-1 mg/l 2,4-D in combination with 0.1 -1 mg/l BA or kinetin.The cultures were incubated at 30oC with 16 hr. photoperiods, the light intensity was set to 2000 lux (cool whitefluorescent lights). The fresh weight of callus was measured every 7 day. Sub-culture cell was done every 4 weeksinterval on the same media.This work with tests two cytokinins (BA; 6-Benzylaminopurine and kinetin; 6-Furfurylaminopurine) and withthe auxin is 2,4-D (2,4-Dichlorophenoxyacetic acid) because of 2,4-D is known to induce callusing. The amountsof medium supplements in the spaces below:Treatment 1 = none Treatment 15 = 0.5 mg/l 2,4-D + 1 mg/l BATreatment 2 = 0.1 mg/l 2,4-D Treatment 16 = 1 mg/l 2,4-D + 1 mg/l BATreatment 3 = 0.5 mg/l 2,4-D Treatment 17 = 0 mg/l 2,4-D + 0.1 mg/l KinetinTreatment 4 = 1 mg/l 2,4-D Treatment 18 = 0.1 mg/l 2,4-D + 0.1 mg/l KinetinTreatment 5 = 0 mg/l 2,4-D + 0.1 mg/l BA Treatment 19 = 0.5 mg/l 2,4-D + 0.1 mg/l KinetinTreatment 6 = 0.1 mg/l 2,4-D + 0.1 mg/l BA Treatment 20 = 1 mg/l 2,4-D + 0.1 mg/l KinetinTreatment 7 = 0.5 mg/l 2,4-D + 0.1 mg/l BA Treatment 21 = 0 mg/l 2,4-D + 0.5 mg/l KinetinTreatment 8 = 1 mg/l 2,4-D + 0.1 mg/l BA Treatment 22 = 0.1 mg/l 2,4-D + 0.5 mg/l KinetinTreatment 9 = 0 mg/l 2,4-D + 0.5 mg/l BA Treatment 23 = 0.5 mg/l 2,4-D + 0.5 mg/l KinetinTreatment 10 = 0.1 mg/l 2,4-D + 0.5 mg/l BA Treatment 24 = 1 mg/l 2,4-D + 0.5 mg/l KinetinTreatment 11 = 0.5 mg/l 2,4-D + 0.5 mg/l BA Treatment 25 = 0 mg/l 2,4-D + 1 mg/l KinetinTreatment 12 = 1 mg/l 2,4-D + 0.5 mg/l BA Treatment 26 = 0.1 mg/l 2,4-D + 1 mg/l KinetinTreatment 13 = 0 mg/l 2,4-D + 1 mg/l BA Treatment 27 = 0.5 mg/l 2,4-D + 1 mg/l KinetinTreatment 14 = 0.1 mg/l 2,4-D + 1 mg/l BA Treatment 28 = 1 mg/l 2,4-D + 1 mg/l Kinetin

ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร ปท ี่ 40 ฉบับท่ี 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 การชักนาํ ใหเ กดิ แคลลัสในใบชาอัสสัม 211 Results The MS medium supplemented with 0.5 -1 mg/l 2,4-D in combination with 0.1 -0.5 mg/l kinetin or 0.1 -0.5mg/l BA were effective to induce color and morphological changes of callus. The color and morphology of calluswere changed after cultured on the medium for 4-6 weeks. After 3 weeks MS medium with 2,4-D at 0.5-1 mg/l pluskinetin at 0.1-0.5 mg/l induced succulent compact callus formation, callus was characterized growth on as whiteand light yellow colored. While, leaves explant growth on MS medium with 2,4-D at 0.5 -1 mg/l in combinationwith BA at 0.1 -0.5 mg/l callus was characterized growth on as dark yellow colored and sometimes, brownishcallus. The percentage of callus formation was observed on MS medium supplemented with 0.5-1 mg/l 2,4-Dcombination with 0.1- 0.5 mg/l BA were 37.5, 45, 51.5, respectively and 0.5-1 mg/l 2,4-D combination with 0.1-0.5 mg/l kinetin were 17.5, 52.5, 65, respectively. The greatest percentage of callus formation rate on MS mediumwith 2,4-D at 1 mg/l plus kinetin 0.5 mg/l (65%) (Table 1) . Summary The present paper is the first report on induction callus from leaves expants of assam tea. The ratio ofauxin more than cytrokinin 2-5 time was suitable for callus formation from leaves of assam tea. Result will be usedto determine the suitable concentrations of plant growth regulators for an induction of proper friable callus andsuspension in efforts to develop plant cell culture as and alternative source of secondary metabolites independentfrom seasonal variation and disease in the future. ReferenceAkula, A., W.A. Dodd. 1998. Direct somatic embryogenesis in a selected tea clone, ‘TRI-2025’ (Camellia sinensis (L.) O. Kuntze) from nodal explants, Plant Cell Rep. Vol.17, 804–809 p.Akula, A., D. Becker and M. Bateson. 2000. High-yielding repetitive somatic embryogenesis and plant recovery in a selected tea clone,’TRI-2025’, by temporary immersion, Plant Cell Rep., Vol. 19. 1140-1145 p.Furukawa, K. and J. Tanaka. 2004. ‘Makura-Ck2’: A ea strain with a high somatic embryogenesis. Breeding Research, Vol. 6, 109-115 p.Khan, N., and H. Mukhtar. Tea polyphenols for health promotion. Life Sci. 2007 81(7):519-33. ReviewLin, Y.S., Y.J. Tsai, J.S. Tsay and J.K. Lin. 2003. Factors affecting the levels of tea polyphenols and caffeine in tea leaves. Journal of Agriculture Food Chemestry, Vol. 51(7) pp.1864-1873Mondal, T.K., A. Bhattacharya and P.S. Ahuja. 2001. Induction of synchronous secondary somatic ebryogenesis in Camellia sinensis (L.) O. Kuntze, Jouranal Plant Physiology, Vol. 158, 945-951 p.Mondal, T.K., A. Bhattacharya, M. Laxmikumaran and P.S. Ahuja. 2004. Recent advances of tea (Camellia sinensis) biotechnology, Plant Cell, Tissue and Organ Culture, Vol. 76, 195-254 p.Park, J.S., J.B. Kim, B.S. Hahn, K.H. Kim, S.H. Ha, J.B. Kim and Y.H. Kim. 2004. EST analysis of genes involved in secondary metabolism in Camellia sinensis (tea), using suppression subtractive hybridization, Plant Science, Vol. 166, 953–961 p.Razdan M.K., 2003, Introduction to plant tissue culture, Science Publishers, Inc., India, 375 p.Willson, K.C. and M.N. Clifford. 1992. Tea; Cultivation to consumption, Chapman & Hall, 2-6 Boundry Row. London, 769 p.Willson, K.C.1999. Coffee, Cocoa and Tea, CABI publishing. London, 300 p.

212 การชักนําใหเ กิดแคลลัสในใบชาอัสสัม ปท ่ี 40 ฉบับที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเ กษตรTable 1 Effect of different concentrations of 2,4-D plus BA and 2,4-D plus kinetin on callus formation from leaves of Assam tea.Treatment MS medium Callus Description of callus Remark supplemented with formation rate color Texture - 2,4-D BA Kinetin (%) - (mg/l) (mg/l) (mg/l) -1 0- - -2 0.1 - - - - - - -3 0.5 - - - - - Slow growth4 1- - - - - - -5 0 0.1 - - - - - -6 0.1 0.1 - - - - fast growth7 0.5 0.1 - - - - 37.5 yellow compact callus -8 1 0.1 - 45.0 light yellow -9 0 0.5 - - - - -10 0.1 0.5 - - - - -11 0.5 0.5 - - - - -12 1 0.5 - 57.5 dark yellow compact callus -13 0 1 - -14 0.1 1 - - - Slow growth Slow growth15 0.5 1 - - - -16 1 1 - - - - -17 0 - 0.1 - - Fast growth18 0.1 - 0.1 - - - 17.5 - -19 0.5 - 0.1 Light yellow compact callus -20 1 - 0.1 52.5 light yellow and compact callus - white21 0 - 0.5 -22 0.1 - 0.5 - -23 0.5 - 0.5 - - -24 1 - 0.5 65.0 light yellow and compact callus white,25 0 - 126 0.1 - 1 - - -27 0.5 - 1 - - -28 1 - 1 - - - - - -

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 213-216 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พิเศษ) : 213-216 (2552)ผลของหินฟอสเฟตและปุย single superphosphate ตอ การเจริญเติบโตของขาวโพดฝก ออ น (Zea mays L.) และลกั ษณะของดนิ Influence of rock phosphate and single superphosphate on the growth of maize (Zea mays L.) and soil characteristics วรางคณา เปรมชนม1 วรี พงศ วุฒพิ นั ธชุ ยั 2 ศริ ิพรรณ บรรหาร 3 พชิ าญ สวางวงศ4 และสุบัณฑิต นม่ิ รัตน5 Premchon, W.1, Vuthiphandchai, V.2, Banhan, S.3, Sawangwong, P.4 and Nimrat, S.5 Abstract In this study, influence of rock phosphate and single superphosphate on the growth of maize (Zea maysL.) and characteristics of planted soils were investigated. Three treatments were established (treatment 1: control;treatment 2: urea with rock phosphate; treatment 3: urea with single superphosphate) for 28 days. Results showedthat treatment 2 and 3 increased the higher growth of maize (p > 0.05). In addition, At the end of experiment,treatment 2 showed the highest value of available phosphorus (p < 0.05). There were no effect on pH and organicmatter in all treatments (p > 0.05). In control, there was significant difference (p < 0.05) with the highest number ofbacteria in treatment 2. Results concluded that treatment 2 demonstrated the highest influence on the maizegrowth and improved the characteristics in planted soils (with the difference in available phosphorus values andbacterial population).Keywords : maize, rock phosphate, single superphosphate, available phosphorus บทคดั ยอ ในการศึกษาครั้งน้ีทําการศึกษาผลของหินฟอสเฟตและปุย single superphosphate ตอการเจริญเติบโตของขาวโพดฝกออน (Zea mays L.) และลักษณะของดิน โดยเปรียบเทียบวิธีการทดลอง 3 วิธี ไดแก (1) ชุดควบคุม (2) ใสปุยยูเรียรวมกับหินฟอสเฟต และ (3) ใสปุยยูเรียรวมกับปุย single superphosphate โดยทําการทดลองเปนระยะเวลา 28 วัน จากผลการทดลองพบวาชุดการทดลองท่ี (2) และชุดการทดลองที่ (3) ทําใหขาวโพดฝกออนเจริญเติบโตไดดีท่ีสุด (ไมแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ p>0.05) และดีกวาชุดควบคุมเนื่องจากมีความสูงของตนขาวโพดสูงกวาชุดควบคุม (p<0.05) นอกจากน้ันในวันสุดทายของการทดลองพบวาชุดการทดลองที่ (2) มีปริมาณฟอสฟอรัสท่ีเปนประโยชนตอพืชมากท่ีสุด (p<0.05) โดยมีคาpH และปริมาณอินทรียวัตถุในแตละชุดการทดลองไมแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ (p>0.05) สวนปริมาณจุลินทรียทั้งหมดในดินของทั้ง 3 วิธีน้ัน มีปริมาณแตกตางกัน (p<0.05) โดยชุดการทดลองที่ 2 มีคาปริมาณจุลินทรียสูงที่สุด ดังน้ันจากผลการศกึ ษาสามารถสรุปไดว า ชุดการทดลองท่ี (2) สามารถเพิ่มการเจริญเติบโตของขาวโพดฝกออนไดดีท่ีสุดและชวยปรับปรุงลักษณะของดินในการเพาะปลูกใหด ขี ้นึ (คอื ปรมิ าณฟอสฟอรัสที่เปนประโยชนต อพชื และปรมิ าณจุลินทรยี ท ้งั หมดเพ่มิ สูงขนึ้ )คําสาํ คัญ : ขา วโพดฝกออ น หนิ ฟอสเฟต ปุย single superphosphate ฟอสฟอรัสทเี่ ปน ประโยชนต อ พืช คาํ นํา1โครงการวทิ ยาศาสตรส ง่ิ แวดลอ ม คณะวิทยาศาสตร มหาวทิ ยาลยั บรู พา ต.แสนสขุ อ.เมอื ง จ.ชลบุรี 201311 Environmental Science Program, Faculty of Science, Burapha University, Saensuk, Muang, Chonburi 201312ภาควิชาวารชิ ศาสตร คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลยั บูรพา ต.แสนสุข อ.เมอื ง จ.ชลบุรี 201312 Department of Aquatic Science, Faculty of Science, Burapha University, Saensuk, Muang, Chonburi 201313ภาควิชาชวี วทิ ยา คณะวิทยาศาสตร มหาวทิ ยาลยั บูรพา ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบรุ ี 201313 Department of Biology, Faculty of Science, Burapha University, Saensuk, Muang, Chonburi 201314ภาควิชาวาริชศาสตรและโครงการวิทยาศาสตรส ่ิงแวดลอ ม คณะวทิ ยาศาสตร มหาวทิ ยาลัยบูรพา ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี 201314 Department of Aquatic Science and Environmental Science Program, Faculty of Science, Burapha University, Saensuk, Muang, Chonburi 201315ภาควชิ าจุลชีววทิ ยาและโครงการวทิ ยาศาสตรสิ่งแวดลอ ม คณะวทิ ยาศาสตร มหาวิทยาลัยบูรพา ต.แสนสขุ อ.เมอื ง จ.ชลบุรี 201315 Department of Microbiology and Environmental Science Program, Faculty of Science, Burapha University, Saensuk, Muang, Chonburi 20131

214 ผลของหินฟอสเฟตและปยุ ปท ่ี 40 ฉบับท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร ขาวโพดฝกออนเปนพืชอุตสาหกรรมเพ่ือการสงออกที่สําคัญของประเทศไทยทั้งยังมากเปนอันดับหน่ึงของโลก ซ่ึงทํารายไดใหแกประเทศไทยปละไมต่ํากวาหน่ึงพันลานบาท โดยการสงออกมีท้ังการแปรรูปบรรจุกระปอง การสงออกฝกสด และการแชแ ขง็ ทงั้ น้เี นื่องจากเปน พืชท่ีใหผ ลตอบแทนคอนขางสงู แกเ กษตรกร มเี ทคโนโลยีการผลติ ท่ไี มยงุ ยาก ระบบตลาดที่สะดวกไมตองใชสารเคมีอันตรายและเปนพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น สงผลใหขาวโพดฝกออนเปนพืชท่ีนิยมปลูกสําหรับเกษตรกร(ทิพย, 2543) ซึ่งในการทําเกษตรกรรมของประเทศไทยน้ันตองมีการนําเขาแมปุยจากตางประเทศทําใหสูญเสียเงินตราปละนับหมื่นลานบาท เน่ืองจากดินขาดธาตุอาหารหลักของพืชโดยเฉพาะไนโตรเจนและฟอสฟอรัส โดยเฉพาะฟอสฟอรัสเปนธาตุท่ีจําเปนตอการเจริญเติบโตและการใหผลผลิตของพืช (Zaidi และ Khan, 2005) ซึ่งดินโดยทั่วๆ ไปมีธาตุฟอสฟอรัสในดินที่ตํ่ามากเมือ่ เทียบกับธาตไุ นโตรเจน (สุบัณฑิต, 2549) เน่ืองจากฟอสฟอรัสในดินสวนใหญจะถูกตรึงหรือเปล่ียนรูปไดงายกลายเปนสารประกอบที่ละลายน้ําไดยาก เชน ตกตะกอนกับเหล็ก อะลูมินัม แคลเซียมและแมกนีเซียม เปนตน (Zaidi และ Khan,2005, Hameeda et al., 2008) ปุยท่ีใหธาตุฟอสฟอรัสที่นํามาใชในการปลูกพืชปจจุบันมีอยู 2 รูปแบบ คือ หินฟอสเฟตและปุยเคมีฟอสเฟต เชน ปุย single superphosphate, double superphosphate และ triple superphosphate โดยหินฟอสเฟตเปนปุยที่มีราคาถูก เปนประโยชนตอพืชไดนาน นอกจากนี้หินฟอสเฟตยังชวยไมใหเกิดมลภาวะตอสิ่งแวดลอม อยางไรก็ตามหนิ ฟอสเฟตมปี รมิ าณฟอสฟอรัสทล่ี ะลายออกมาต่ําซ่ึงอาจจะไมเพียงพอกบั ความตองการของพชื สว นปุยเคมีฟอสเฟสเปนปุยท่ีละลายนํ้าไดดีทําใหพืชนําฟอสฟอรัสไปใชไดทันที แตจะหมดประสิทธิภาพเร็วเพราะฟอสฟอรัสจะถูกตรึง (fixed) ในดินไดงายจงึ ทาํ ใหตองมีการใสปยุ ใหกบั พืชอยา งสมา่ํ เสมอ และยงั มีตน ทนุ ในการผลติ สูงอกี ดว ย (Reddy et al., 2002) ดังนั้นการทดลองนี้จึงมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลของหินฟอสเฟตและปุย single superphosphate ตอการเจริญเติบโตของขาวโพดฝกออน และลักษณะของดินเพื่อนําไปใชในการเพิ่มการเจริญเติบโตและผลผลิตของขาวโพดฝกออน ซ่งึ เปน แนวทางในการเลอื กชนดิ ของปุยฟอสฟอรสั เพ่อื ใชป ระกอบการปลูกขา วโพดฝกออ นตอ ไป อุปกรณแ ละวิธีการ นําเมล็ดขาวโพดฝกออนพันธุแปซิฟค 271 มาฆาเชื้อที่ผิวดวย 1% sodium hypochlorite 5 นาที และลางดวยน้ํากลั่น 5 ครั้ง ปลูกในแปลงทดลอง ใชระยะปลูก 75 x 30 ซม. ชุดการทดลองละ 20 ตน โดยปลูก 3 เมล็ดตอหลุมแลวเลือกตนที่สมบูรณ 1 ตน ใสไนโตรเจนที่ใชในรูปของยูเรียอัตรา 50 กก./ไร และฟอสฟอรัสท่ีใสในรูปของ single superphosphate (SSP)หรือหินฟอสเฟต (RP) อัตรา 40 กก./ไร แบงใส 2 คร้ัง (คร้ังแรกระหวางปลูกและหลังจากปลูก 20 วัน) โดยแบงเปนชุดการทดลอง ไดแก (1) ชุดควบคุม (2) ใสปุยยูเรียรวมกับหินฟอสเฟต และ (3) ใสปุยยูเรียรวมกับปุย single superphosphate โดยใหนํ้าในชวง 1-10 วันแรกหลังจากปลูกใหน้ําทุกวัน หลังจากนั้นใหน้ําสัปดาหละ 1 ครั้ง (ดัดแปลงจากวิธีของ Hameeda et al.,2008) วัดการเจริญเติบโตของพืช ไดแก วัดความสูงตน และวิเคราะหคุณสมบัติของดิน ไดแก คา pH ปริมาณอินทรียวัตถุปริมาณฟอสฟอรัสที่เปนประโยชนตอพืช และจํานวนจุลินทรียท้ังหมด (Carter และ Gregorich, 2006) โดยทําการวิเคราะหกอ นปลูก และเมือ่ ขา วโพดฝกออนมีอายุ 7 14 21 และ 28 วนั ผล จากการศึกษาการเจริญเติบโตของขาวโพดฝกออนจากการใสหินฟอสเฟตและปุย single superphosphate พบวาชุดการทดลองที่ 2 และชุดการทดลองท่ี 3 ทําใหขาวโพดฝกออนเจริญเติบโตไดดีไมแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ (p >0.05) และดีกวาชุดควบคุมเนื่องจากมีความสูงของตนขาวโพดสูงกวาชุดควบคุมอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ (p < 0.05) (Figure1) นอกจากนั้นผลของหินฟอสเฟตและปุย single superphosphate ตอลักษณะของดินพบวาลักษณะของดินท่ีทําการปลูกขาวโพดฝกออน โดยทําการวิเคราะหคา pH ปริมาณอินทรียวัตถุ ปริมาณฟอสฟอรัสท่ีเปนประโยชนตอพืช และจํานวนจุลินทรียท้ังหมด พบวา ชุดการทดลองท่ี 2 มีปริมาณฟอสฟอรัสที่เปนประโยชนตอพืชมากที่สุดอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ (p <0.05) ในวันสุดทายของการทดลอง นอกจากนั้นพบวาในทุกชุดการทดลองมีคา pH และปริมาณอินทรียวัตถุในดินไมแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ (p > 0.05) สวนปริมาณจุลินทรียท้ังหมดในดินพบวาในวันสุดทายของการทดลองชุดการทดลองท่ี 2 มีปริมาณมากที่สุด รองลงมาคือ ชุดการทดลองท่ี 3 และชุดการทดลองที่ 1 ตามลําดับ (Figure 2) เม่ือนํามาวิเคราะหทางสถิติ พบวา มีความแตกตา งกนั อยางมนี ัยสําคญั ทางสถติ ิ (p < 0.05) ทกุ ชดุ การทดลอง

ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร ปท ่ี 40 ฉบับที่ 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ผลของหนิ ฟอสเฟตและปุย 215 Plant height (cm.) 80 b,1 a,1 a,1 60 40 a,3 a,3 a,3 c,2 a,2 b,2 20 b,4 a,3 a,4 0 7 14 21 28 Day after planting Control Urea + Rock phosphate Urea + Single superphosphateFigure 1 Influence of rock phosphate and single superphosphate on the growth of maize (Zea mays L.). Different letters on each day indicate significant difference at p < 0.05 and different numbers on each day indicate significant difference at p < 0.05.Available P (ppm) 12 a,1 a,1 b,2 5.0 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 b,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 10 8 4.0 6 a,2 b,4 a,4 c,1 b,2 a,3 c,5 a,3 b,5 c,4 a,5 b,6 Colony x103 CFU/g pH 3.0 C,6 4 c,3 b,5 2.0 2 1.0 0 0.0 Before After 7 14 21 28 Before After planting 7 14 21 28 planting planting planting Day after planging Day after planting 5 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 a,1 250 c,1 a,1 b,1 4 200 b,4 b,4 a,4 a,4 a,3 a,3 b,3 a,2 a,2 a,3 a,4 b,6 a,2 b,3 c,5%OM 3 150 2 100 1 50 0 0 Before After planting 7 14 21 28 Before After planting 7 14 21 28 planting planting Day after planting Day after planting Control Urea + Rock phosphate Urea + Single superphosphateFigure 2 Influence of rock phosphate and single superphosphate on characteristics in soils. Different letters on each day indicate significant difference at p < 0.05 and different numbers on each day indicate significant difference at p < 0.05. วจิ ารณผ ล การใสหินฟอสเฟตในการปลูกขาวโพดฝกออนชวยเพ่ิมการเจริญเติบโตในดานความสูงตนไดดีเทากับการใสปุยsingle superphosphate โดยไมแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ p > 0.05 ผลท่ีไดเน่ืองจากในดินท่ีทําการศึกษาครั้งน้ีมีสภาวะเปนกรดคือ pH เทากับ 4.2 น้ันทําใหเมื่อมีการเติมหินฟอสเฟตลงไปในดินจะทําใหเกิดการปลดปลอยฟอสฟอรัสท่ีเปนประโยชนตอพืช (Stamford et al., 2007) สวนการใสปุย single superphosphate พบวาหลังจากการใสปุยในวันแรกของการปลูกและวันที่ 21 ทําใหปริมาณฟอสฟอรัสท่ีเปนประโยชนตอพืชเพิ่มสูงข้ึน แตในสัปดาหตอมามีปริมาณลดลงมากอาจจะเกิดจากฟอสฟอรัสไดถูกตรึงในดิน ดังที่ Zhang et al. (2004) ไดกลาวไววาดินที่เปนกรดจะทําใหปุยเคมีฟอสเฟตตกตะกอนในรูปเหล็กฟอสเฟต อะลูมินัมฟอสเฟต ซ่ึงละลายนํ้ายาก และสอดคลองกับรายงานของ Kwabiah et al. (2003) ในการใสปุย triplesuperphosphate ทาํ ใหม ปี รมิ าณฟอสฟอรัสที่เปนประโยชนตอพืชลดลงในทุกสัปดาห แตอยางไรก็ตามชุดการทดลองที่ 2 และ3 มีความสูงตนใกลเคียงกัน โดยแตกตางจาก Stamford et al. (2007) พบวาในการใสหินฟอสเฟตทําใหการเจริญเติบโตและผลผลติ นอยกวาการใสป ุย triple superphosphate สวนคา pH ในดินมีคาเปนกรดซึ่งในแตละชุดการทดลองมีผลไมแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ p > 0.05อาจจะเนื่องจากระยะเวลาในการทดลองไมนานคา pH ในดนิ จงึ ไมเ ปลีย่ นแปลง แตรายงานของ Stamford et al. (2007) พบวาการใสหินฟอสเฟตและปุย triple superphosphate ทําให pH ลดลงกวาชุดควบคุมหลังจากปลูกเปนระยะเวลา 6 เดือน

216 ผลของหนิ ฟอสเฟตและปุย ปที่ 40 ฉบับท่ี 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเกษตรนอกจากนี้ปุยเคมีไมมีผลตอการเพ่ิมปริมาณอินทรียวัตถุในดินในระยะเวลาอันจํากัด (Wu et al., 2005) จึงทําใหปริมาณอินทรียวัตถุในดินไมเปล่ียนแปลงและไมแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ p > 0.05 สวนปริมาณจุลินทรียในดินมีความแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ p < 0.05 ทุกชุดการทดลองในวันสุดทายของการทดลอง โดยในชุดการทดลองท่ี 2 มีปรมิ าณมากทสี่ ดุ รองลงมาคือ ชุดการทดลองท่ี 3 อาจจะเน่ืองจากการใสปุยชวยเพิ่มแรธาตุในดินทําใหจุลินทรียเจริญเติบโตไดเพิ่มขึ้น (Barabasz et al., 2002) ดังนั้นการใสหินฟอสเฟตในการปลูกขาวโพดฝกออนเปนวิธีท่ีเหมาะสม เนื่องจากทําใหขาวโพดฝกออนเจริญเติบโตไมแตกตางกับการใสปุย single superphosphate แลวยังชวยปรับปรุงลักษณะของดิน โดยการใสหินฟอสเฟตเปนวิธีท่ีประหยัดตนทุนในการผลิต และชวยอนุรักษพลังงาน ไมทําลายระบบนิเวศ และลดปญหาส่ิงแวดลอมท่ีเกดิ ขึน้ ในกระบวนการอุตสาหกรรมจากการผลิตปุยเคมีฟอสเฟตเน่ืองจากหินฟอสเฟตเปนสารประกอบธรรมชาติ และทําใหการใสหินฟอสเฟตในการเพาะปลูกจึงจัดเปนการทําเกษตรอินทรีย รวมท้ังหินฟอสเฟตยังมีราคาที่ถูกกวาปุย singlesuperphosphate สรปุ ชุดการทดลองท่ี 2 คือใสปุยยูเรียรวมกับหินฟอสเฟตและชุดการทดลองที่ 3 คือใสปุยยูเรียรวมกับปุย singlesuperphosphate ทําใหขาวโพดฝกออนเจริญเติบโตไดดีท่ีสุดและดีกวาชุดควบคุม ปริมาณฟอสฟอรัสท่ีเปนประโยชนตอพืชในวันสุดทายของการทดลองพบวาชุดการทดลองท่ี 2 มีปริมาณฟอสฟอรัสท่ีเปนประโยชนตอพืชมากท่ีสุด คา pH และปริมาณอินทรียวัตถุในแตละชุดการทดลองไมแตกตางกัน สวนจุลินทรียท้ังหมดในดินพบวาในวันสุดทายของการทดลองชุดการทดลองที่ 2 มีปริมาณมากที่สุด ดังนั้นจากผลการศึกษาสามารถสรุปไดวาชุดการทดลองที่ 2 เหมาะสมตอการเจริญเติบโตของขาวโพดฝกออนและปรับปรุงลกั ษณะของดินในการเพาะปลูก ในแงของการเพิ่มปริมาณฟอสฟอรัสท่ีเปนประโยชนตอพืชและปริมาณจลุ ินทรยี ท้ังหมดดที ีส่ ุด เอกสารอา งองิทพิ ย เลขะกุล. 2543. การปลูกขา วโพดฝกออ นเพอื่ อตุ สาหกรรม, โรงพมิ พชุมนมุ สหกรณการเกษตร. กรุงเทพฯ. 292 หนา.สบุ ัณฑติ นิ่มรัตน. 2549. จุลชีววทิ ยาทางดิน, สํานกั พิมพโ อเดยี นสโตร. กรงุ เทพฯ. 258 หนา.Barabasz, W., D. Albinska, M. Jaskowska and J. Lipiec. 2002. Biological effects of mineral nitrogen fertilization on soil microorganisms. Polish Journal of Environmental Studies. 11(3): 193-198.Carter, M.R. and E.G. Gregorich. 2006. Soil sampling and methods of analysis. Taylor & Francis group. United States of America. 1224 p.Hameeda, B., G. Harini, O.P. Rupela, S.P. Wani and G. Reddy. 2008. Growth promotion of maize by phosphate solubilizing bacteria isolated from composts and macrofauna. Microbiological Research. 163: 234-242.Kwabiah, A.B., N.C. Stoskopf, C.A. Palm, R.P. Voroney, M.R. Rao and E. Gacheru. 2003. Phosphorus availability and maize response to organic and inorganic fertilizer inputs in a short term study in western Kenya. Agriculture Ecosystems and Environment. 95: 49-59.Reddy, M.S., S. Kumar and K. Babita. 2002. Biosolubilization of poorly soluble rock phosphates by Asperillus tubingensis and Aspergillus niger. Bioresource Technology. 84: 187–189.Stamford, N.P., P.R. Santos, C.E.S. Santos, A.D.S. Freitas, S.H.L. Dias and M.A. Lira. 2007. Agronomic effectiveness of biofertilizers with phosphate rock. sulphur and Acidithiobacillus for yam bean grown on a Brazilian tablel and acidic soil. Bioresource Technology. 98: 1311-1318.Wu, S.C., Z.H. Cao, Z.G. Li, K.C. Cheung and M.H. Wong. 2005. Effects of biofertilizer containing N-fixer. P and K solubilizers and AM fungi on maize growth: a greenhouse trial. Geoderma. 125: 155-166.Zaidi, A. and S. Khan. 2005. Co-inoculation effects of phosphate solubilizing microorganisms and Glomus fasciculatum on green Gram- Bradyrhizobium symbiosis, Turkish Journal of Agriculture and Forestry Sciences. 30: 223-230.Zhang, T.Q., A.F. Mackenzie, B.C. Liang and C.F. Drury. 2004. Soil test phosphorus fractions with long-term phosphorus adding and depletion, Soil Science Society of America Journal. 68: 519-528.

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 217-220 (2009) ว. วทิ ย. กษ. 40 : 1 (พเิ ศษ) : 217-220 (2552) การทดสอบประสทิ ธภิ าพของปยุ อนิ ทรยี ทีผ่ สมสารปรบั ปรงุ ดินตอการเจริญเตบิ โตของผกั บุงจนีThe Efficiency Test of Organic Fertilizer Plus Soil Amendment on the Growth of Water Convolvulus วณิช ลิ่มโอภาสมณี1 ฐติ ิมา คงรตั นอ าภรณ1 ทศพล แทนรนิ ทร1 วไลลกั ษณ แพทยว บิ ลู ย1 สชุ าดา เสกสรรควริ ยิ ะ1 เสาวพงศ เจรญิ 1 สรุ ศกั ด์ิ สัจจบตุ ร1 จารรุ ตั น เอยี่ มศิร1ิ วิชยั ภรู ิปญ ญาวานชิ 1 วชริ าภรณ ผวิ ลอง1 และ งามนจิ เสริมเกียรตพิ งศ1Limohpasmanee, W. 1, Kongratarporn, T. 1, Teanarin, T. 1, Peadvibul, V. 1, Segsarnviriya, S. 1, Charoen, S., Sajjabut, S., Eamsiri, J., Phuripunyavanich, V. 1, Peawlong, W. and Sermkaitpong, N. Abstract The organic fertilizer plus soil amendment trial was conducted at Troknong sub-district, Khlung district inChanthaburi province. The water convolvulus (Ipomoea aquatica Var. reptans) was cultivated in cement blocks,150 cm. pitch diameter and 40 cm. height. The objective was to study the efficiency among organic fertilizer plussoil amendment , organic fertilizer , organic fertilizer plus chemical fertilizer and chemical fertilizer on the growth ofwater convolvulus. The results showed that average weight per plant of organic fertilizer plus soil amendmenttreatment tented to be higher than organic fertilizer treatment and was significantly higher than the other 2treatments (p<0.01). The average stem height , root length and leaf area of organic fertilizer plus soil amendmenttreatment were significantly higher than other treatments (p<0.01). In addition, the preliminary survey onsatisfaction of 10 farmers who used organic fertilizer plus soil amendment in orchards revealed that all farmerswere satisfied.Keywords : organic fertilizer, organic agriculture, water convolvulus บทคัดยอ ไดทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพของปุยอินทรียผสมสารปรับปรุงดิน ปุยอินทรียท่ีเกษตรกรผลิต ปุยอินทรียเคมีปุยเคมี และดินท่ีไมใสปุย โดยทําการปลูกผักบุงจีน (Ipomoea aquatica Var. reptans) ท่ีตําบลตรอกนอง อําเภอขลุง จังหวัดจนั ทบุรี ในทอ ซีเมนตขนาดเสนผาศูนยกลาง 150 ซม. สูง 50 ซม. ดวยดินท่ีผสมปุยสูตรตางๆ พบวาผักบุงจีนที่ใสปุยอินทรียผสมสารปรับปรุงดินมีแนวโนมวาน้ําหนักเฉลี่ยตอตนมากกวาผักบุงจีนที่ใสปุยอินทรียท่ีเกษตรกรผลิตและมีนํ้าหนักเฉล่ียตอตนมากกวาผักบุงจีนท่ีใสปุยอินทรียเคมี ปุยเคมี และไมใชปุยอยางมีนัยสําคัญย่ิง สวนความสูงลําตน ความยาวรากและพ้ืนที่ใบของผักบุงจีนที่ใสปุยอินทรียผสมสารปรับปรุงดิน มากกวาผักบุงจีนที่ใสปุยอินทรียท่ีเกษตรกรผลิต ปุยอินทรียเคมี ปุยเคมี และไมใสปุยอยางมีนัยสําคัญย่ิง การสํารวจความพึงพอใจเบื้องตนของเกษตรกรท่ีใชปุยอินทรียผสมสารปรับปรุงดินในสวนไมผลจาํ นวน 10 ราย พบวาเกษตรกรทุกรายมคี วามพงึ พอใจมากคาํ สาํ คัญ : ปุยอนิ ทรีย เกษตรอนิ ทรยี  ผกั บงุ จีน คาํ นํา ความเขมงวดในการเลือกสรรผลิตผลเพอื่ บรโิ ภคที่ปลอดภัยจากสารพิษและส่ิงแวดลอมของผูบริโภคท่ัวโลกมีแนวโนมจะทวีความสําคัญมากขน้ึ และการกาํ หนดมาตรการตางๆในระดับสากล เชน การอนุรักษความหลากหลายทางชีวภาพ ผลิตผลทางเกษตรที่ปลดภัยจากสารพิษ กระบวนการผลิตที่รักษาสิ่งแวดลอมเปนตัวผลักดันใหเกษตรกรตองปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตใหสอดคลองกับความตองการของผูบริโภค แตปจจุบันเกษตรกรไทยนิยมใชปุยเคมีในการเพาะปลูก ซ่ึงการใชปุยเคมีเปนระยะเวลานานจะทําใหสภาพของดินเสียไป เชน ทําใหดินเปนกรด โครงสรางของดินจับตัวแนน เชื้อจุลินทรียและสัตวที่มีประโยชนต อระบบนิเวศน เชนไสเดือน ถูกทําลายไป การใชปุยเคมีเปนการเรงการเจริญเติบโตของพืชทําใหสมดุลของพืชเสียไปจงึ งายตอ การทําลายของศัตรูพืช นอกจากนีป้ ยุ เคมยี งั ราคาแพง ทําใหตนทุนในการผลิตของเกษตรกรสูงจนในบางคร้ังไมคุมกับการลงทุน เกษตรกรบางกลุมไดผลิตปุยอินทรียข้ึนใชเองตามนโยบายการสงเสริมของภาครัฐ แตปุยอินทรียที่ผลิตข้ึนมามีคุณภาพไมดีหรือไมมีความสมํ่าเสมอ เนื่องจากผูผลิตยังขาดองคความรู การวิเคราะหธาตุอาหารในองคประกอบของปุยหมัก1 กลุมวจิ ัยและพฒั นานวิ เคลยี ร สถาบนั เทคโนโลยนี ิวเคลยี รแหง ชาติ (องคการมหาชน) 16 ถนนวิภาวดีรงั สติ จตจุ กั ร กรุงเทพฯ 109001 Nuclear Research and development Division, Thailand Institute of Nuclear Technology (Public Organization) 16 Vibhavadirangsit Rd. , Jatujak, Bangkok 10900

218 การทดสอบประสิทธภิ าพของปยุ อินทรีย ปที่ 40 ฉบบั ท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเกษตรดิน และความตองการธาตุอาหารของพืชยังมีการศึกษาคอนขางนอย วัตถุประสงคของการทดลองนี้ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของปุยอินทรียที่ใสสารปรับปรุงดิน ปุยอินทรียที่เกษตรกรผลิต ปุยอินทรียเคมีและปุยเคมีที่จําหนายในทองตลาดเพื่อพัฒนาคุณภาพปยุ อนิ ทรียแ ละสง เสริมใหเ กษตรกรใชป ยุ อนิ ทรีย อปุ กรณและวิธกี าร ไดทําการทดลองปลูกผักบุงจีน (Ipomoea aquatica var. reptans) ในทอซีเมนตขนาดเสนผาศูนยกลาง 150 ซม. สูง50 ซม. จาํ นวน 250 ตน /ทอซีเมนต วางแผนการทดลองแบบ RCBD ท่ีมีการทดลอง 4 ซ้ํา โดยมีการทดลองดังนี้ ดินผสมปุยอนิ ทรยี ทใ่ี สสารปรับปรุงดิน (rock phosphate, clinoptilolite และ dolomatic limstone ในอัตรา 6.6, 3.4 และ 6.6 %) ในอัตรา3/1, ดินผสมปุยอินทรียท่ีกลุมเกษตรกรตําบลตรอกนองผลิตในอัตรา 3/1, ดินผสมปุยอินทรียเคมีท่ีวางจําหนายในทองตลาด(KP ดาวแดง) ในอัตรา 3/1, ปุยเคมี (ยูเรีย) อัตรา 20 กรัมตอนํ้า 10 ลิตร รดทุก 7 วัน และดินท่ีไมใสปุยเลย เม่ือผักบุงจีนอายุ25 วัน ทําการสุมเก็บตัวอยางผักบุงจีนจํานวน 25 ตน/ทอซีเมนต มาตรวจวัดความสูงจากโคนตนถึงยอด, ความยาวราก, พื้นที่ใบและช่ังน้าํ หนักผักบงุ จีนแตละตน ไดศึกษาโดยการสํารวจการยอมรับเบื้องตนการใชปุยอินทรียที่ใสสารปรับปรุงดินของเกษตรกรในตําบลตรอกนองอําเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี โดยผลิตปุยอินทรียที่ใสสารปรับปรุงดิน จํานวน 90 ตัน ที่ศูนยวิจัยนิวเคลียรองครักษ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียรแหงชาติ (องคการมหาชน)และนําไปจําหนายใหเกษตรกรในตําบลตรอกนองทดลองใชในสวนผลไมในชวงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2550 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 สํารวจความพึงพอใจของเกษตรกรของเกษตรกรโดยใชแบบสอบถามและการสํารวจผลการใชปยุ อินทรียท ีใ่ สส ารปรบั ปรงุ ดินในสวนผลไม ผล ผลการทดสอบตวั อยางปุยอนิ ทรยี ท ใี่ สสารปรับปรุงดิน ท่ีสงใหสํานักงานวิจัยและพัฒนาปจจัยการผลิตทางการเกษตรกรมวิชาการตรวจ แสดงไวใน Table 1Table 1 ผลการทดสอบปุยอินทรยี ท ่ีใสสารปรับปรงุ ดิน (สาํ นักงานวจิ ัยและพฒั นาปจ จยั การผลติ ทางการเกษตร) รายการทดสอบ ผลทดสอบ รายการทดสอบ ผลการทดสอบ1. pH 6.4 12. Germination Index 52.912. Moisture Content at 75 oC 20 h 4.85 13. Total Cadmium (mg/kg) 0.403. Total Nitrogen (%) 1.28 14. Total Chromium (mg/kg) 31.04. Total Phosphate (%) 3.64 15. Total Mercury (mg/kg) ND5. Total Potash (%) 0.40 16. Total Lead (mg/kg) 8.66. Total Calcium (%) 10.62 17. Plastic, Glass Etc.7. Total Magnesium (%) 2.14 18. Gravel (%) ไมม ี8. EC (dS/m) 0.55 19. Sieve Size (12.5X12.5 mm.) (%)9. Organic Carbon (%) 12.52 20. Total Arsenic (mg/kg) 1.5910. Organic Matter (%) 21.59 21. Total Copper (mg/kg) 97.0511. C/N 10/1 3.5 80.8 ผลการเจริญเติบโตของผักบุงจีนที่ใสปุยอินทรียที่ใสสารปรับปรุงดิน, ปุยอินทรียที่เกษตรกรตรอกนองผลิต, ปุยอินทรยี เคมที จ่ี ําหนายในทองตลาด, ปุยเคมีและไมใสปุย แสดงไวใน Table ที่ 2 ความสูงลําตน, ความยาวรากและพื้นท่ีใบของผักบงุ จีนทใ่ี สป ยุ อนิ ทรียผสมสารปรับปรุงดินมากกวาผักบุงจีนท่ีใสปุยอินทรียที่เกษตรกรผลิต, ปุยอินทรียเคมี, ปุยเคมีและไมใสปยุ อยา งมนี ยั สาํ คญั ย่งิ สว นน้าํ หนักของผกั บงุ จีนทีใ่ สป ยุ อินทรยี ท ใี่ สส ารปรับปรงุ ดนิ มากกวา ผักบุงจีนท่ีใสปุยอินทรียที่เกษตรกรผลติ อยา งไมมีนยั สําคัญ แตมากกวา ผักบุงจนี ท่ีใสป ยุ อนิ ทรียเ คมี, ปยุ เคมีและไมใ สปยุ อยา งมนี ยั สาํ คัญย่งิ

ว. วิทยาศาสตรเกษตร ปท ี่ 40 ฉบบั ที่ 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 การทดสอบประสทิ ธิภาพของปยุ อนิ ทรีย 219Table 2 ผลของการใสปุยสตู รตางๆตอการเจริญเติบโตของผักบงุ จีนการทดลอง คา เฉล่ีย ความสงู (ซม.) ความยาวราก(ซม.) พ้ืนทใี่ บ (ตร.ซม.) นํา้ หนัก (กรัม)ปยุ อนิ ทรยี  + สารปรับปรงุ ดิน 58.02a1 28.99a 32.12a 41.62aปยุ อนิ ทรยี  53.02b 25.92b 28.80b 38.33aปุยอนิ ทรยี เคมี 36.26c 22.59c 21.74c 26.22bปยุ เคมี 17.97d 16.55d 9.43d 7.07cไมใ สปุย 12.44e 15.34d 4.89e 4.59cF-test ** ** ** **CV (%) 34.93 24.17 41.35 52.101 Mean within the same column followed by the same letter are not significant difference at 1 % level according toDMRT** Significant at 1% level การยอมรับเบื้องตนของเกษตรกรในตําบลตรอกนอง อําเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ที่นําปุยอินทรียที่ใสสารปรับปรุงดินไปทดลองใชในสวนผลไม เชน มังคุด ทุเรียน ลองกอง สละ กลวยไข และมะยงชิด พบวาเกษตรกรทั้ง 10 รายมีความพึงพอใจมากในการใชปุยอินทรียที่ใสสารปรับปรุงดินและมีความตองการท่ีจะใชอีก เกษตรกรจํานวน 8 รายมีความเห็นวามีคุณภาพดีสามารถใชท ดแทนปุยเคมีได สวนเกษตรกรอีก 2 รายมีความเห็นวาผลผลิตที่ไดไมแตกตางจากท่ีใชปุยอินทรียรวมกับปุยเคมีที่เคยใช มังคุดที่ใสปุยอินทรียท่ีใสสารปรับปรุงดินในอัตรา 10 กก./ตน พบวาใหผลผลิตดีสมํ่าเสมอ ผลโต ตนไมโทรมหลังเก็บเกยี่ ว ลองกองทใ่ี สปยุ อนิ ทรยี ที่ใสส ารปรบั ปรุงดนิ ในอตั รา 5 กก./ตน พบวาทําใหแตกใบออนเพิ่มมากขึ้น ใบเขียวเขม ผลผลิตดีชอผลยาว ทุเรียนท่ีใสปุยอินทรียท่ีใสสารปรับปรุงดินในอัตรา 5 กก./ตน พบวาทําใหใบเขียว แตกใบออน และพูของผลใหญมะไฟทีใ่ สป ยุ อนิ ทรียท ่ใี สสารปรบั ปรงุ ดินในอตั รา 5 กก./ตน พบวาทําใหติดชอผลดี ผลดก สละที่ใสปุยอินทรียท่ีใสสารปรับปรุงดินในอัตรา 10 กก./ตน พบวาทําใหติดชอดอกยาว ผลโตและชอผลใหญ ยาว กลวยไขที่ใสปุยอินทรียท่ีใสสารปรับปรุงดินในอัตรา 1.5 กก./ตนพบวาทําใหผลโต เครือใหญ ยาว นํ้าหนักตอเครือเพิ่มข้ึนมาก (10-13 กก./เครือ) มะยงชิดท่ีใสปุยอินทรียท่ีใสสารปรบั ปรงุ ดินในอตั รา 5 กก./ตน ในชว งหลังเก็บเกี่ยว พบวา ทําใหแตกใบออนและยอดทง้ั ตน วจิ ารณผล จากผลการทดสอบประสิทธิภาพของปุยอินทรียที่ใสสารปรับปรุงดินกับปุยอินทรียท่ีเกษตรกรผลิต, ปุยอินทรียเคมีท่ีจําหนายในทองตลาด, ปุยเคมีและไมใสปุย พบวาผักบุงจีนท่ีใสปุยอินทรียท่ีใสสารปรับปรุงดินและปุยอินทรียที่เกษตรกรผลิตมีการเจริญเติบโตดีกวาผักบุงจีนท่ีใสปุยอินทรียเคมี, ปุยเคมีและไมใสปุย ซ่ึงอาจเปนผลจากโครงสรางของดินท่ีใชปลูกท่ีรวมตัวกันแนนเม่ือแหง ทาํ ใหรากของผกั บุงจีนเจริญเติบโตไดไมดีและไมสามารถนําแรธาตุไปใช สวนผักบุงจีนที่ใสปุยอินทรียพบวาปุยอินทรียทําใหดินรวนซุย รากของผักบุงจีนจึงเจริญเติบโตดี แพรกระจายไดท่ัวและมีจํานวนรากฝอยมาก ผลการทดลองน้ีสอดคลองกับการทดลองของศศิกานตและคณะ (2550) ท่ีพบวาการใชปุยอินทรียทําใหความพรุน, CEC (Cation exchangecapacity), และปริมาณไนเตรทในดินเพิ่มข้ึน แตความหนาแนนและคาความเปนกรดดางของดินลดลง เม่ือเปรียบเทียบการเจรญิ เติบโตของผกั บงุ จีนทใี่ สป ยุ อนิ ทรียที่ใสสารปรับปรุงดินกับปุยอินทรียที่เกษตรกรผลิตพบวาในสัปดาหแรกผักบุงจีนที่ใสปุยอินทรียที่เกษตรกรผลิตเจริญเติบโตเร็วกวา แตหลังจากน้ันผักบุงท่ีใสปุยอินทรียที่ใสสารปรับปรุงดินเจริญเติบโตไดดีกวา ท้ังน้ีเนื่องจากปุยอินทรียที่เกษตรผลิตมีอัตราการปลดปลอยแรธาตุสูงในชวงแรกแลวลดลงในชวงตอไป สวนปุยอินทรียท่ีใสสารปรับปรุงดินมีสารกลุมซีโอไลทที่จับแรธาตุไวแลวคอยๆปลดปลอยออกมาตามความตองการของพืช ลดการสูญเสียแรธาตุนอกจากน้ีการทดลองของนงลักษณ (2541) พบวาการใชสารซีโอไลทรวมกับวัสดุอ่ืนๆ เชน หินฟอสเฟต ปุยอินทรียและวัสดุอินทรียจะเพ่ิมประสิทธิภาพในการปรับปรุงดิน โดยชวยสงเสริมซึ่งกันและกัน ทําใหพืชสามารถใชธาตุอาหารไดอยางเต็มประสทิ ธิภาพ การใชป ุยอินทรยี ทใ่ี สส ารปรับปรงุ ดินใหม ีประสทิ ธิภาพสงู สดุ ในพชื ควรมกี ารวิเคราะหโครงสรางของดิน ความตองการธาตุอาหาร และอัตราการใชป ุยทเี่ หมาะสมของพชื แตล ะชนดิ ซงึ่ จะตองดําเนินงานวจิ ยั ตอไป

220 การทดสอบประสิทธภิ าพของปยุ อินทรยี  ปท ี่ 40 ฉบบั ท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเ กษตร สรุป สรุปการใชปุยอินทรียท่ีใสสารปรับปรุงดินในการปลูกพืช ทําใหพืชไดรับธาตุอาหารในปริมาณท่ีเพียงพอตอเจริญเติบโต ชวยปรับโครงสรางของดินใหดีขึ้น ลดการสูญเสียธาตุอาหาร เพ่ิมปริมาณจุลินทรียและสัตวท่ีมีประโยชนในดินสามารถใชทดแทนปยุ เคมี เปนการลดตน ทนุ ในการเพาะปลกู พชื คาํ ขอบคุณ ขอขอบคุณรองศาสตราจารย ธวัช ลวะเปารยะ รองประธานชมรมเกษตรอินทรียแหงประเทศไทย ที่ใหคําแนะนําในดานเกษตรอนิ ทรยี  และสนับสนนุ ในการผลติ ปุยอนิ ทรยี ท่ีใสส ารปรับปรุงดนิ เอกสารอา งองิจิรพงษ ประสิทธเิ ขตร. นรีลกั ษณ ชวู รเวช. มนตส รวง เรืองขนาบ. ทวิ าพร ผดงุ . พีรพรษ เชาวนพงษ และ ศรสี ดุ า รน่ื เจริญ. 2548. เอกสารวิชาการ ปยุ อนิ ทรีย : การผลิต การใช มาตรฐานและคุณภาพ, กรมวชิ าการเกษตร 82 หนา.นงลกั ษณ วบิ ูลสุข. 2541. การใชส ารซีโอไลทเปนสารปรบั ปรุงดิน, เอกสารประกอบการบรรยายในการสัมมนาวิชาการเร่อื ง สาร ปรับปรงุ ดินทางการเกษตร คร้งั ที่ 2 วันท่ี 22 พฤษภาคม 2541, หอ งประชุมกรมพัฒนาทดี่ นิ กรุงเทพฯ, 9 หนาศศกิ านต เกิดแสงสุรยิ งค. อรพนิ เกดิ ชชู ่ืน และณฏั ฐา เลาหกลุ จติ ต. 2550. การเปลีย่ นแปลงคณุ ภาพของดนิ ในระบบเกษตร อินทรยี , ว. วิทย. กษ. 38 (6)(พเิ ศษ) : 99-102 (2550).

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 221-224 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พิเศษ) : 221-224 (2552) การประยุกตระบบสารสนเทศภูมศิ าสตรใ นการประเมนิ ความเหมาะสมของทีด่ ิน สาํ หรบั ยางพาราจังหวัดปราจีนบรุ ี Application of Geographic Information System(GIS) on Land Suitability Assessment for Para Rubber (Hevea brasiliensis Muell. Arg.) in Prachinburi Province สมพร คนยงค 1 สรัล ชมู ณี 2 และ สพุ าภรณ วงศท อง2 Konyong, S.1, Choomanee, S.2 and Wongthong,S.2 Abstract The objective of this study was to establish a spatial land suitability model in land evaluation for Pararubber in Prachinburi province using Geographic Information System(GIS). Land evaluation in terms of thesuitability was based on the method as described in the FAO guideline for rainfed agriculture. A land unit resultingfrom the overlay process of theme layers has unique information of land qualities on which the suitability is based.The analyzed theme layers for Para rubber include weather (w), oxygen availability to root (o), nutrient availabilityand retention(n), acidity-alkalinity (ak), rooting conditions (r), physical properties (pp), flood hazard (f), erosionhazard (e) and gravel (g). The land suitability classes for Para rubber were analyzed by using land suitabilitymodel = (w) x (o) x (n) x (ak) x (r) x (pp) x (f) x (e) x (g). As a result, the application of the model for analysis candivide the land suitability into 4 classes : highly suitable, moderately suitable, marginally suitable and unsuitable.The suitability class covers the area of 1.21%,26.14%, 3.84% and 68.28 % for highly suitable, moderatelysuitable, marginally suitable and unsuitable respectively. The resultant suitability classes were checked againstthe Para rubber yield collected by interviewing the farmers and the suitability map done by Land DevelopmentDepartment. Most of the results obtained agree with the Para rubber yields from the farmers interviewed.Keywords : Para rubber, Land suitability, GIS, Hevea brasiliensis Muell. Arg. บทคดั ยอ การศกึ ษาในครั้งน้มี ีวตั ถุประสงค เพื่อสรา งแบบจําลองการประเมนิ ความเหมาะสมของทีด่ ินสําหรับยางพาราในจงั หวัดปราจีนบุรีดวยระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร (GIS) การประเมนิ ความเหมาะสมของทด่ี นิ อาศัยวธิ ีการประเมนิ ตามแนวทางขององคก ารอาหารและเกษตรแหง สหประชาชาติ (FAO) หนวยทดี่ ินทีใ่ ชใ นการประเมินสรางขึ้นมาจากการซอนทับคณุ ภาพทดี่ นิ 9 ชน้ั คุณภาพที่ดินซงึ่ ประกอบดวย คุณภาพทดี่ นิ ดา นความเหมาะสมของภมู อิ ากาศ (w) ความเปนประโยชนของออกซิเจนตอรากพชื (o) ความอดุ มสมบูรณของดิน(n) ความเปนกรด-ดาง (ak) สภาวะการหยง่ั ลึกของรากพืช (r) สมบัตทิ างกายภาพของดิน (pp) ความเสียหายจากน้าํ ทว ม (f) ความเสียหายจากการกัดกรอนของดิน (e) และความลึกของดนิ ทีพ่ บกอนกรวด, ลูกรัง (g) การวิเคราะหค วามเหมาะสมของคณุ ภาพท่ดี นิ สาํ หรบั ยางพาราใชส มการช้นั ความเหมาะสม = (w) x (o) x(n) x (ak) x (r) x (pp) x (f) x (e) x (g) แบง ระดับชน้ั ความเหมาะสมเปน 4 ระดับคือ เหมาะสมมาก ปานกลาง นอ ย และไมเหมาะสม ผลการประเมนิ พบวามีพืน้ ทีร่ อ ยละ 1.21, 26.14, 3.84 และ 68.28 สาํ หรบั พื้นท่ที ี่มีความเหมาะสมมาก ปานกลางนอย และไมเ หมาะสมตามลําดบั การตรวจสอบความถูกตองของการประเมนิ ใชวธิ เี ปรียบเทียบกับขอ มลู การสํารวจเกษตรกรที่ปลกู ยางพาราในจงั หวดั ปราจีนบุรีและเปรยี บเทียบกบั ผลการประเมินของกรมพัฒนาท่ดี ิน พบวา สวนใหญผ ลการประเมินจากการศกึ ษาครัง้ นี้มคี วามสอดคลองกบั ขอ มูลการสํารวจเกษตรกรทปี่ ลูกยางพาราในจังหวดั ปราจีนบรุ ีคาํ สาํ คญั : ยางพารา ความเหมาะสมของที่ดิน ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร1 คณะเทคโนโลยกี ารเกษตร มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี ต. คลองหก อ. ธญั บุรี จ. ปทมุ ธานี 121101 Faculty of Agriculural Technology, Rajamangala University of Technology Thunyaburi, Klong 6, Thunyaburi, Pathum Thani 121102 คณะวศิ วกรรมศาสตร มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี ต. คลองหก อ. ธัญบรุ ี จ. ปทมุ ธานี 121102 Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thunyaburi, Klong 6, Thunyaburi, Pathum Thani 1211

222 การประยุกตระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร ปท ่ี 40 ฉบับท่ี 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเกษตร คํานํา การประเมนิ ความเหมาะสมของท่ีดินสาํ หรบั ปลูกยางพาราในจงั หวัดปราจนี บรุ ี โดยใชระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตรเ ปนเคร่อื งมือในการประเมินความเหมาะสมทด่ี ินตามแนวทางขององคก ารอาหารและเกษตรแหง สหประชาชาติ (FAO) ซึ่งใชปจ จยัหลายประการอยา งบูรณาการในการประเมนิ ความเหมาะสมของทดี่ ินนา จะชว ยใหผลการประเมนิ มีความถูกตองมากข้ึน การศกึ ษาครงั้ นจ้ี งึ มีวัตถปุ ระสงคเพื่อสรา งแบบจําลองวเิ คราะหค วามเหมาะสมของทดี่ นิ สาํ หรับยางพารา และเพ่ือประเมินความเหมาะสมของที่ดนิ สําหรบั ปลูกยางพาราในจังหวัดปราจนี บุรดี วยระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร อุปกรณแ ละวิธีการ การศึกษาคร้งั นี้ใชโปรแกรม ArcView 3.2 วิธกี ารประเมนิ ความเหมาะสมของทด่ี ินสาํ หรบั ยางพาราเปน การประเมินศักยภาพของที่ดินตามแนวทางของ FAO โดยพิจารณาความสัมพนั ธร ะหวา งความตอ งการของยางพารากับคณุ ภาพที่ดิน 9คุณภาพทด่ี นิ ไดแก ภมู ิอากาศ (w) ความเปนประโยชนของออกซเิ จนตอ รากพืช (o) ความอดุ มสมบูรณของดิน (n) ความเปนกรด-ดา ง (ak) สภาวะในการหยัง่ ลกึ ของรากพชื (r) สมบัติทางกายภาพของดิน (pp) ความเสียหายจากนํ้าทวม (f) ความเสยี หายจากการกัดกรอนของดิน (e) และความลึกทพี่ บกอ นกรวด,ลูกรัง (g) ขนั้ ตอนการศึกษาคร้ังนี้ประกอบดวยการสรา งหนวยท่ดี นิ การประเมนิ ความเหมาะสมของท่ีดินโดยใชสมการคํานวณชน้ั ความเหมาะสม = ( w ) x (o ) x ( n ) x (ak ) x ( r ) x( pp ) x ( f ) x ( e ) x ( g ) และการประเมนิ ความถกู ตอ ง โดยนําผลการประเมนิ ทไ่ี ดจากการศึกษามาเปรียบเทยี บกบั ผลการประเมนิ ซงึ่ ดําเนินการโดยกรมพัฒนาทด่ี ิน และขอมลู ทไ่ี ดจากการสมั ภาษณเกษตรกรทปี่ ลูกยางพาราในจงั หวดั ปราจีนบรุ ี ผลและวิจารณ จากการตรวจเอกสารและการตรวจสอบความถูกตองของผลการประเมินครัง้ นีก้ ับผลการประเมินของกรมพัฒนาทีด่ นิและผลการสาํ รวจเกษตรกรในสภาพพืน้ ท่ีจรงิ ไดทาํ การปรับใชคณุ ภาพที่ดนิ ตวั บงชี้ และคา คะแนนของตัวบงช้ี (ดังแสดงในTable 1) เพือ่ ใชเปนเกณฑก ารประเมนิ หาความเหมาะสมของท่ดี ินสําหรับยางพารา ผลการจําแนกความเหมาะสมของทดี่ ินในการปลกู ยางพารา สามารถแสดงเปน แผนท่ีความเหมาะสมของที่ดนิ สาํ หรบั ยางพาราประเมนิ โดยระบบสารสนเทศภมู ิศาสตรดัง Figure 1 ซ่ึงพบวา มพี ืน้ ที่ความเหมาะสมมาก 37,657.34 ไร หรือรอยละ 1.2 เหมาะสมปานกลาง 814,200.29 ไร หรอื รอยละ 26.1 เหมาะสมนอ ย 119,555.25 ไรหรือรอยละ 3.8 ไมเหมาะสม 2,126,600.49 ไรหรอื รอ ยละ 68.3 เมอื่ ทําการเปรียบเทียบผลการประเมนิ ท่ีไดจากการศกึ ษาครัง้ น้ีกับผลการประเมินของกรมพฒั นาทีด่ ินพบวา ผลการประเมินในช้นั ความไมเหมาะสมมีความใกลเคียงกันมาก ชั้นความเหมาะสมนอ ยมีความแตกตา งกนั ไมม ากนกั สว นชั้นความเหมาะสมมากและความเหมาะสมปานกลางมคี วามแตกตางกันมาก เนือ่ งจากเกณฑท ีใ่ ชใ นการศึกษาครัง้ น้ไี ดนาํ ปจจัยสภาพภมู อิ ากาศเขามาประเมนิ รว มกับปจ จัยทางดินหลายปจ จัยอยา งบูรณาการ แตกรมพฒั นาที่ดินมไิ ดใ ชวิธีการดังกลาว เมอื่พจิ ารณาเปรยี บเทยี บความถูกตองของผลการประเมนิ จากการศึกษาครัง้ นี้และผลการประเมินของกรมพฒั นาท่ีดินกบั ขอ มูลผลผลิตยางพาราท่ีไดจากการสัมภาษณเกษตรกรโดยการนาํ ขอ มูลผลผลิตยางพารามาจดั อันดับช้ันความเหมาะสมของดนิ สําหรับยางพาราตามเกณฑข องสทุ ัศน และสมยศ (2542) ดังแสดงใน Table 2 จะเห็นไดวาขอมูลจากการศกึ ษาครงั้ นมี้ คี วามสอดคลองกับขอ มลู การสํารวจเกษตรกรที่ปลูกยางพาราในจังหวัดปราจนี บรุ ี สรุป การศกึ ษาการประเมินความเหมาะสมของที่ดนิ ตอการปลกู ยางพาราในจังหวัดปราจนี บุรีคร้งั นี้ พบวามพี ื้นท่คี วามเหมาะสมมากรอยละ 1.21 ความเหมาะสมปานกลางรอยละ 26.14 ความเหมาะสมนอยรอยละ 3.84 และไมเหมาะสมรอ ยละ 68.28 เม่อื ทําการตรวจสอบความถกู ตองกับขอ มลู การสํารวจเกษตรกรทปี่ ลูกยางพาราในจงั หวัดปราจนี บุรีพบวา มีความสอดคลอ งกันกับผลการประเมินและเมื่อเปรยี บเทียบกับผลการประเมินของกรมพัฒนาท่ดี นิ พบวา การประเมินในระดับชนั้ความไมเหมาะสมใหผลตรงกัน การประเมินในระดบั ชั้นความเหมาะสมมากและชั้นความเหมาะสมปานกลางมคี วามแตกตางกันมาก สว นการประเมินในระดับชนั้ ความเหมาะสมนอยมีความแตกตางกันไมมากนกั

ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร ปท ่ี 40 ฉบับท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 การประยุกตระบบสารสนเทศภูมิศาสตร 223 เอกสารอางอิงกรมพัฒนาที่ดิน. 2529. รายงานแผนการใชที่ดนิ จงั หวัดระยอง. กรุงเทพ ฯ. 273 หนา.กองสํารวจและจาํ แนกดิน. 2541. คูม ือการจําแนกความเหมาะสมของดินสาํ หรับพชื เศรษฐกิจของประเทศไทย, กรมพัฒนา ทีด่ นิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ, กรงุ เทพ ฯ. 67 หนา .บณั ฑิต ตนั สิริ และ คาํ รณ ไทรฟก. 2542. คูมอื การประเมินคุณภาพที่ดนิ สาํ หรับพืชเศรษฐกิจ. กองวางแผนการใชท่ีดิน, กรม พัฒนาทด่ี ิน, กระทรวงเกษตรและสหกรณ กรงุ เทพ ฯ. 63 หนา .สทุ ศั น ดานสกุลผล และสมยศ สินธุรหสั . 2542. การกําหนดเขตการปลูกยางในภาคใตข องประเทศไทยโดยอาศัยการประเมนิ ศักยภาพทดี่ ินควบคกู ับการสาํ รวจขอ มลู ระยะไกลและจดั ระบบสารสนเทศทางภูมศิ าสตร, ศูนยวิจยั ยางสุราษฎรธ านี สถาบนั วจิ ยั ยาง กรมวิชาการเกษตร, กรงุ เทพ ฯ. 242 หนา .Table 1 Para rubber requirement in this study. Para rubber requirement factor rating land quality diagnostic factor unit S1 S2 S3 N o C 26-28 29-34 22-20 >34weather (w) mean temperature in 25-23 <20 growing period (t) Average 10 year rainfall (ra) mm. 1500-2000 2000-3000 3000-4000 >4000 1200-1500 1100-1200 <1100 dry month period (dm) months <2 3-4 4-5 >5 (<75 mm.) w = (t x ra x dm) - 0.8-1.0 0.4-0.8 0.2-0.4 0-0.2oxygen availability drainage (d) drainage 5,6 4 3 1,2 classesto root (o)nutrient phosphorus (P) ppm >15 <15 - -availability potassium (K) ppm >30 <30 - -and retention (n) organic matter(OM) % >2.5 <2.5 - - - - C.E.C. meq/100g.soil >10 <10 B.S. % >35 <35 - - n = (Px Kx OMxC.E.Cx B.S.) - 0.8-1.0 0.4-0.8 - -acidity-alkalinity pH - 5.0-7.3 7.3-8.0 3.5-4.0 >8.0(ak) 4.0-5.0 - <3.5rooting conditions effective soil depth (sd) cm. >150 100-150 50-100 <50(r) watertable depth (wd) cm. >150 100-150 50-100 <50 class 1,2 3 4- root penetration (rd) - 0.8-1.0 0.4-0.8 0.2-0.4 0-0.2 r = (sd x wd x rd)soil physical soil texture / structure (s) type 1,2 3 45properties (pp)flood hazard (f) flooding frequency (f) yrs / time 10 6-9 3-5 1-2erosion hazard (e) slope (sp) class ABC D E >Edepth of gravel, depth found gravel, cm. 50-100 25-50 15-25 <15ironstone nodules ironstone nodules > 35 %(g) (gd)Source : Modified from Bandit and Kamron (2542) ; Land Development Department (2529) ; Soil Survey and Land Classification Division (2541) ; Sutat and Somyot (2542)

224 การประยุกตร ะบบสารสนเทศภูมิศาสตร ปท ่ี 40 ฉบับที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเ กษตร N WE S 10 0 10 Kilometers สัญSลักษyณm bol S1 S2 S3 N แWหatลeงrนreำsource ขbAอomuบpnเhdขoaตeryอำเภอ Figure 1 Land suitability assessment for Para rubber by GISTable2. Comparison among land suitability assessment done by Para rubber yield rating, Land DevelopmentDepartment and this study (GIS) in Prachinburi Province. Soil Para rubber Land suitability assessment by series dry matterPara rubber plantation area group Para rubber Land This study Yield yield rating1 / Development (GIS) (kg/rai/year) DepartmentNo.1 Tambon Ban Na, Amphoe Kabin Buri 35 345 S1 1 S2No.2 Tambon Kaeng Dinso, Amphoe Na D 35C 604 S1 1 S2No.3 Tambon Kaeng Dinso, Amphoe Na D 35 318 S1 1 S2No.4 Tambon Kaeng Dinso, Amphoe Na D 35/35B 358 S1 1 S2No.5 Tambon Kaeng Dinso, Amphoe Na D 35/35B 498 S1 1 S2No.6 Tambon Kaeng Dinso, Amphoe Na D 35/35B 477 S1 1 S2No.7 Tambon Nong Ki, Amphoe Kabin Buri 35 508 S1 1 S2No.8 Tambon Nong Ki, Amphoe Kabin Buri 35B 366 S1 1 S2No.9 Tambon Wang Tha Chang, Amphoe Kabin Buri 35/56 255 S2 1 S2No.10 Tambon Wang Tha Chang, Amphoe Kabin Buri 46 - - 2g S2No.11 Tambon Wang Tha Chang, Amphoe Kabin Buri 46 498 S1 2g S2 S1 2g S2No.12 Tambon Lat Takhian, Amphoe Kabin Buri 46 358 S1 3f N 6 318No.13 Tambon Nonsi, Amphoe Kabin BuriNo.14 Tambon Bo Thong, Amphoe Kabin Buri 17 120 S3 3f NNo.15 Tambon Ban Na, Amphoe Kabin Buri 25 347 S1 3f NS1,1 = highly suitable S2 = moderately suitable S3, 2g = marginally suitable N, 3f = unsuitable1 / Sutat and Somyot (2542)

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 225-228 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พเิ ศษ) : 225-228 (2552) เชื้อจลุ นิ ทรยี ท ่ีสามารถละลายฟอสเฟสในดนิ เพ่อื นาํ ไปใชเ ปนปุยชวี ภาพ Phosphate Solubilizing Micro-organisms for Biofertilizer สฐุ ติ า สงิ คารวานชิ 1 และทวรี ัตน วจิ ติ รสุนทรกลุ 1 Singkaravanit, S.1 and Vichitsoonthonkul, T.1 Abstract To isolate phosphate solubilizing micoorganisms for biofertilizer, 15 soil and 3 wastewater samples werecollected. Forty-five bacterial and one fungal isolates showed ability in inorganic phosphate solubilization inPicovskaya (PVK) medium. Thirty bacterial phosphate solubilizers (PSB) were able to grow on cellulose medium.Phosphate Solubilization Index (PSI), the ratio of diameter of colony and clear zone of phosphate solubilization,was used for secondary screening of phosphate solubilizing activity. It was found that 22 PSB showed PSI valueshigher than 1.5. The rate of phosphate solubilization was determined in a liquid medium containing rockphosphate as a sole phosphate source. Soluble phosphate concentrations in most of the PSB were reduced.However, a Bacillus sp. strain B25 released and accumulated phosphate at a concentration of 5.44 mg/l in 48 hrof cultivation. To prepare low-cost inoculation, some media containing agricultural wastes as energy and nutrientsources, were examined. Bacillus sp. strain B25 grew well in the medium which composes of 1% molasses, 20mM NaNO3 and 0.1% fish soluble.Keywords : phosphate solubilizing microorganisms, rock phosphate, biofertilizer, Bacillus sp. บทคัดยอ ในการคัดแยกจลุ ินทรียท่ีสามารถละลายฟอสเฟตไดเพอ่ื นําไปใชใ นการเตรียมปุยชีวภาพ จากตัวอยางดินในธรรมชาติและนํ้าทิ้งจากโรงงาน จํานวน 15 และ 3 ตัวอยางตามลําดับ พบวามีแบคทีเรีย 45 ไอโซเลท และ รา 1 ชนิด (species) ท่ีสามารถละลายฟอสเฟตในอาหารเล้ียงเชื้อ Picovskaya (PVK) ในจํานวนนี้มีเชื้อแบคทีเรีย 30 ไอโซเลท ท่ีสามารถเจริญในอาหารท่ีมีเซลลูโลสเปนแหลงคารบอนไดและเมื่อประเมินอัตราสวนของเสนผาศูนยกลางของวงใสรอบโคโลนีตอเสนผาศูนยกลางของโคโลนี (Phosphate Solubilization Index, PSI) พบวาเชื้อที่มี PSI สูงกวา 1.5 มีจํานวน 22 ไอโซเลท สวนการทดสอบการละลายและใชฟอสเฟตของเช้ือเหลานี้ในอาหารเหลวท่ีมีหินฟอสเฟต (rock phosphate) เปนแหลงฟอสเฟตเทานั้น พบวาเช้ือสวนใหญสามารถละลายหินฟอสเฟตได แตความเขมขนของฟอสเฟตที่ละลายน้ําลดลง อยางไรก็ตาม เช้ือท่ีสามารถสลายฟอสเฟตไดดีและไมไดใชฟอสเฟตไปทั้งหมดเปนเช้ือ Bacillus sp. strain B25 ซ่ึงทําใหมีฟอสเฟตที่ละลายนํ้าไดเหลืออยูในอาหารเล้ียงเชื้อประมาณ 5.44 มิลลิกรัมตอลิตร เม่ือเล้ียงเช้ือนาน 48 ชม. เม่ือศึกษาอาหารเล้ียงเชื้อที่มีตนทุนตํ่าเพอ่ื นําไปใชในการเตรยี มเช้อื ตัง้ ตนในการเตรียมปุยชีวภาพ เชื้อ Bacillus sp. strain B25 สามารถเพ่ิมจํานวนไดดีในอาหารท่ีมีกากนํา้ ตาล โซเดยี มไนเตรต และ fish soluble ความเขม ขน 1%, 20 มิลลิโมลาร, และ 0.1% ตามลาํ ดับคําสาํ คัญ : จุลนิ ทรยี ละลายฟอสเฟต หินฟอสเฟต ปยุ ชีวภาพ Bacillus sp. Introduction Plants contain from 0.1 to 0.6 percent phosphorus (P) in tissue. Phosphorus promotes root growth, seeddevelopment, and maturation. It is also important in energy storage and transfer such as ADP and ATP. Most ofthe inorganic phosphate fertilizer applied to soil is restricted because it is readily fixed by clay, organic matter,lime, calcium, magnesium, aluminum, iron, and manganese (Altomare, 1999) and becomes unavailable andresulting in low accumulation of P in soil (Richardson, 1994). Soil microbes are effective to convert insoluble P toavailable forms through solubilization and mineralization (Hildra and Fraga, 1999). Although, PSM are found in soil,their number is not high enough to compete with other microbes in rhizosphere. Recently, phosphate solubilizing1สายวชิ าเทคโนโลยชี วี ภาพ คณะทรัพยากรชวี ภาพและเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกลาธนบุรี กรุงเทพฯ 101501 Biotechnology Division, School of Bioresources and Technology, King Mongkut’s University of Technology Thonburi, Bangkok 10150

226 เช้ือจลุ นิ ทรียท ส่ี ามารถละลายฟอสเฟส ปท ่ี 40 ฉบับท่ี 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเ กษตรmicroorganism (PSM) are attractive to agriculturist as soil inoculum to improve the plant growth and yield. Thisreport describes isolation of PSM from soil and waste water for use as biofertilizer. Materials and MethodsIsolation of PSM and identification. Fifteen soil samples were collected from many places in Thailand such as ricefields, sugar cane fields, forests, and fruit gardens. Waste water was collected from 3 factories in Nakhon Prathomand Prathum Thani provinces. Approximately 10 grams of soil or 10 ml. of waste water were added to 90 ml.0.85% NaCl. The serial diluted solutions were plated on Picovskaya (PVK) agar medium as described inPicovskaya (1948) for selectively screening for PSM. After 1-3 day incubation at 30oC, PSM developing clear zonewere purified on NA or PDA plates. Bacterial isolates were primarily identified by gram straining and morphology,and spore formation. Pseudomonas spp. were identified in succinate medium and cetrimide agar base medium(Krieg and Holt, 1994). The fungal isolate was identified up to the genus level by morphological and sporeformation method. The PSMs were tested for ability to use cellulose as a sole C source on cellulose medium.Phosphate Solubilization Index (PSI) determination. Phosphate Solubilization Index (PSI), the ratio of diameter ofcolony and clear zone of phosphate solubilization was determined on PVK medium containing cellulose as a soleC source.Quantitative assay of phosphate solubilization. Selected bacterial isolates showing PSI higher than 1.5 weregrown in cellulose medium containing 5% rock phosphate (fertilizer grade) at 30oC. After 24 or 48 h of incubation,bacterial cells were removed by centrifugation. The pH of the supernatant was measured and soluble phosphateconcentrations in culture broth were determined by spectophotometric method (Bray and Kurtz, 1945).Medium for PSM inoculant preparation. The medium is composed of 1% molasses, 20 mM NaNO3 and 0.1% fishsoluble was used to grow PSM for inoculum preparation. Results and Discussion A total of 45 bacteria and one fungus were isolated from soil and waste water samples collected by usingPVK medium. Based on gram straining, morphology and growth in succinate medium and cetrimide agar basemedium, bacteria were classified into 4 groups: Bacilli (B), Pseudomonas (PS), Streptococcus (SC) andunidentified bacteria (UN) with the number of 35, 3, 2, and 5, respectively. The genus of only one species offungal isolate was identified to be Penicillium based on colony morphology and spore formation characteristics.PSM should have ability to compete with native microorganisms and colonize properly in soil environment. PSMsthat can utilize most abundant substrate in soil such as cellulose are preferred for biofertilizer, therefore all PSMwere grown in a PVK medium amended with cellulose as a sole carbon source. The results showed that 30phosphate solubilizing bacteria (PSB) could grow in cellulose medium. Secondary screening of PSB wasperformed by determining Phosphate Solubilization Index (PSI) on PVK medium with cellulose as a sole C source.Twenty-two bacterial isolates showed PSI values higher than 1.5 and were selected for further studies (Table 2). The quantitation of P-solubilizing activity of these 22 bacterial isolates were carried out in liquid mediumcontaining rock phosphate as an insoluble P source and cellulose as a sole C source. Rock phosphate istheoretically a cheapest P fertilizer and it is an alternative P fertilizer thus it was used as a phosphate source in thismedium. Soluble P concentrations in controls (culture broth with non-living bacterial cells) increased in themedium after 48 h cultivation suggesting that P was released from rock phosphate without microbial activity.Soluble P contents in the culture broth of most PSB were lower than controls as shown in Table 3. This could bedue to P consumption by rapidly growing PSB cells. On the other hand, three isolates, i.e. UN9, B2, and B25,could accumulate soluble P in culture broth with P-solubilizing activity of 4.32, 2.36, and 5.44 mg/L in 48hcultivation, respectively (Table 3). P-solubilization by all PSB was not accompanied by a decrease in pH of themedium because the final pH was about 8.2 to 8.7 (data not shown). This could indicate that the PSB did not

ว. วทิ ยาศาสตรเกษตร ปท ี่ 40 ฉบับที่ 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 เชือ้ จุลนิ ทรียที่สามารถละลายฟอสเฟส 227produce organic acids to solubilize rock phosphate under the condition in this study. It should be noted that themedium used in phosphate solubilization activity determination comprised of cellulose as a sole C source. Incontrast, in previous in vitro studies, glucose was usually used as a sole C source in culture media (such as Tao etal., 2008; Mittral et al., 2008) as a result this could promote acid production in microorganisms. Other mechanismsof the test PSM for phosphate solubilization such as chelating agent production and acid/alkaline phosphataseproduction are required to be investigated. A cheap medium containing agricultural wastes as energy and nutrientsources must be formulated for PSB inoculum preparation for biofertilizer. It revealed that the medium containing1% molasses, 20 mM NaNO3 and 0.1% fish soluble promoted growth of the bacteria (approximately 1x107CFU/ml). The best phosphate solubilizer isolated in this work was Bacillus strain B 25 with activity of 5.44mg P/L.The experiments in pot and field of this bacteria should be conducted to test its activity and effect on plant growth. Summary This study was undertaken to isolate an efficient PSM that can compete with other microorganisms in soilfor biofertilizer. To achieve this, PVK, a conventional medium for screening of PSM, was modified by usingcellulose as a C source so that the nutrient status in the medium is similar to that found in soil. The medium fordetermining phosphate solubilization activity of PSM were also different from other studies because rockphosphate, a cheapest P fertilizer, was used as an alternative P source. The screening result showed that mostPSB could mineralize rock phosphate rather than sobilize it. The bacterial isolate that gave highest soluble Pcontent (5.44 mg P/L) in liquid medium was Bacillus strain B25. Acknowledgements This work was financially supported by National Research Council of Thailand. ReferencesAltomare, C., W. A. Norvell, T. Bjorkman and G.E. Harman. 1999. Solubilization of phosphates and micronutrients by the plant-growth-promoting and biocontrol fungus Trichoderma harzianum Rifai 1295-22. Applied and environmental microbiology. 65, 2926-2933.Bray R. H. and L. T. Kurtz. 1945. Determination of total, organic, and available forms of phosphorus in soils. Soil Science 59, 39-45.Krig, N.R. and J.G. Holt. 1994. Enrichment and isolation. In P. Gerhard. and R.G.E. Murrey, W.A. Wood. and N.R. Krieg, (Eds.). Method for General and Molecular Bacteriology. American Society for Microbiology, Washington D.C. pp.179-215.Mittal, V., O., Singh, N., Harsh, J., Kaur and R. Tewari. 2008. Stimulatory effect of phosphate-solubilizing fungal strains (Aspergillus awamori and Penicillium) on the yield chickpea (Cicer arietinum L. cv. GFR2) Soil Biology and Biochemistry. 40, 718-727.Pikovskaya, R.I. 1948. Mobilization of phosphorus in soil in connection with the vital activity of some microbial species. Mikrobiologiya 17, 362-370.Richardson, A.E. 1994. Soil microorganisms and phosphorus availability. In Pankhurst, C.E. Doube, B.M. Gupta, V.V.S.R. and Grace, P.R. (eds) Soil Biota: Management in Sustainable Farming Systems. CSIRO, Melbourne, Australia. pp. 50-62.Rodriguez, H. and R. Fraga. 1999. Phosphate solubilizing bacteria and their role in plant growth promotion. Biotechnology Advances, 17, 319-339.Tao, G. C., S.J. Tian, M.Y. Ca and G.H. Xie. 2008. Phosphate-solubilizing and –mineralizing abilities of bacteria isolated from soils. Pedospere 18, 515-523.

228 เชอื้ จุลินทรียท ่ีสามารถละลายฟอสเฟส ปท่ี 40 ฉบับท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วทิ ยาศาสตรเ กษตรTable 2 PSI (Phosphate Solubility Index) of 30 bacterial Table 3 Phosphate solubilization and accumulation in culture broth by 22 bacterial isolates using cellulose-rockisolates grown on PVK agar and cellulose broth at phosphate medium at 300C ,180 rpm for 48 h.30oC. Phosphorus After 48 h incubationAfter 24 h incubation After 48 h incubation Code content in Phosphorus Control NetCode Growth PSI on Growth PSI on inoculum content in phosphorus phosphoruson PVK on PVK (mg/L) culture content contentcellulose medium cellulose medium broth (mg/L) (mg/L)broth broth (mg/L)UN 1 + 1.5 ++ 2.0 UN 1 3.98 21.13 36.11 -14.98UN 4 + 2.4 ++ 2.2 UN 4 2.22 27.65 30.27 -2.62UN 7 + 1.9 ++ 2.0 UN 7 3.06 23.59 38.74 -15.15UN 8 +++ 2.2 +++ 2.1UN 9 +++ 1.6 +++ 1.2 UN 8 2.35 25.28 30.68 -5.4B 2 + 2.2 ++ 1.9B 6 + 1.3 ++ 1.1 UN 9 3.36 34.67 30.35 4.32B 8 + ND ++ 1.04 B 2 2.74 39.5 37.14 2.36 B 9 2.63 27.09 33.48 -6.39B 9 + 1.9 ++ 2.3 B 10 4.11 32.78 37.82 -5.04B 10 + 1.7 + 1.5 B 14 2.78 27.72 25.19 2.53B 7 + 1.4 + 1.5B 12 + 1.2 + 1.1 B 15 3.61 25.91 31.23 -5.32B 13 + 1.3 + 1.2B 14 +++ 1.6 +++ 1.4 B 17 2.78 23.36 38.13 -14.77 B 25 4.29 37.92 32.48 5.44 B 26 5.55 35.1 36.68 -1.58B 15 +++ 1.6 +++ 1.4 B 29 6.21 35.1 40.84 -5.74B 17 +++ 2.0 +++ 1.5B 21 +++ 1.3 +++ 1.2 B 31 4.68 27.23 31.55 -4.32B 23 +++ 1.3 +++ 1.3 B 32 6.22 31.04 41.51 -10.47 B 34 2.88 26.07 36.49 -10.42B 24 +++ 1.3 +++ 1.2 SC 1 5.18 29.46 33.03 -3.57B 25 +++ 1.6 +++ 1.3 SC 2 2.9 24.72 37.52 -12.8B 26 +++ 1.5 +++ 1.3 PS 1 2.54 22.46 31.37 -8.91B 29 +++ 1.6 +++ 1.4B 31 ++ 1.6 +++ 1.8 PS 2 3.28 25.55 27.96 -2.41B 32 +++ 1.5 +++ 1.2 PS 3 2.38 33.75 32.48 1.27B 34 + 1.9 +++ 1.9SC 1 +++ 1.5 +++ 1.2SC 2 + 1.7 ++ 2.3PS 1 + 2.1 + 2.3PS 2 +++ 1.6 +++ 1.2PS 3 + 2.5 + 2.0ND = not detectable+++ = good growth ++ = moderate growth + = poorgrowth

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 229-232 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พเิ ศษ) : 229-232 (2552) การศกึ ษาลักษณะทางสรรี ะของเมล็ดพนั ธุขาว 3 พนั ธุ Studies on Physiological Characteristics of Three Cultivars of Rice Seeds นนั ทรัตน มหาสวสั ด1ิ์ ทรงศลิ ป พจนชนะชยั 1 ณัฏฐา เลาหกุลจิตต1 อรพิน เกิดชชู น่ื 1 และวาริช ศรลี ะออง1 Mahasawat, N.1, Photchanachai, S.1, Laohakunjit, N.1, Kerdchoechuen, O.1 and Srilaong, V.1 Abstract Three cultivars of rice seeds (‘Suphanburi 2’, ‘Pathumthani 1’, and ‘Pitsanulok 2’), purchased from theRice Department and harvested in December, 2007, were analyzed in terms of their physiological characteristics.The seeds exhibited a moisture content between 11.1-12.5%. Husk appeared yellow brown (b* = 27.8-28.9). Thesignificantly lowest 1000 seed weight was found in ‘Pitsanulok 2’ (26.9 g) followed by ‘Pathumthani 1’ (27.3 g) and‘Suphanburi 2’ (28.5 g). Germination of the three cultivars was higher than the standard stated in the Thai SeedAct (80%). However, the lowest germination was found in ‘Pitsanulok 2’ (86.5%). Seed of ‘Suphanburi 2’ hadsignificantly higher head yield of whole brown rice (61.3%) compared to ‘Pitsanulok 2’ (52.2%) and ‘Pathumthani 1’(43.2%). The 1000 kernel weight of brown rice of ‘Pitsanulok 2’ (22.3 g) was the highest. Kernel appearance of thethree cultivars was light brown yellow (b* = 22.4-23.4). ‘Suphanburi 2’ exhibits the highest protein content (9.1%)and lipid content (2.7%). The amylose content of ‘Pitsanulok 2’ was higher than ‘Suphanburi 2’ and ‘Pathumthani 1’(23.3, 21.6 and 16.0%respectively). However, catalase activity (1.6 unit/mg protein) and total phenolic compounds(0.6 mg/g dry weight) in ‘Pitsanulok 2’ was lower than ‘Pathumthani 1’ and ‘Suphanburi 2’.Keywords : physiological characteristics, rice seed, catalase, total phenolic compound บทคัดยอ การศกึ ษาลักษณะทางสรรี ะของขา วพันธสุ ุพรรณบรุ ี 2 ปทมุ ธานี 1 และพิษณุโลก 2 ซ้ือจากกรมการขาว และเก็บเกี่ยวในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 พบวา ขาวเปลอื กท้งั 3 พนั ธมุ ีความช้นื รอ ยละ 11.1-12.5 และสีเปลอื กเปนสีฟางขาวโดยมีคา b* =27.8-28.9 ขาวเปลือกพันธุพิษณุโลก 2 มีน้ําหนัก 1000 เมล็ด (26.9 กรัม) ต่ําที่สุดอยางมีนัยสําคัญ รองลงมาคือปทุมธานี 1(27.3 กรัม) และสุพรรณบุรี 2 (28.5 กรัม) ขาวทั้ง 3 พันธุมีความงอกสูงกวามาตรฐานกําหนดตามพระราชบัญญัติพันธุพืชของไทย (รอ ยละ 80) โดยที่พันธุพษิ ณุโลก 2 มคี วามงอกตํา่ ทส่ี ดุ (รอยละ 86.5) ขา วพนั ธสุ ุพรรณบุรี 2 ใหขาวกลองเต็มเมล็ดรอยละ61.3 สูงกวาขาวพันธุพิษณุโลก 2 (รอยละ 52.2) และพันธุปทุมธานี 1 (รอยละ 43.2) ตามลําดับ ขาวกลองพันธุพิษณุโลก 2 มีน้ําหนัก 1000 เมล็ด (22.3 กรัม) สูงที่สุด และขาวกลองท้ัง 3 พันธุมีสีเหลืองนวล โดยมีคา b* = 22.4-23.4 ขาวกลองพันธุสุพรรณบรุ ี 2 มีปริมาณโปรตีน รอ ยละ 9.1 และไขมัน รอยละ 2.7 สูงที่สุด ในขณะท่ีพันธุพิษณุโลก 2 มีปริมาณอะไมโลสสูงกวาสุพรรณบุรี 2 และปทุมธานี 1 (รอยละ 23.3 21.6 และ 16.0 ตามลําดับ) อยางไรก็ตามขาวกลองพันธุพิษณุโลก 2 มีกิจกรรมของ catalase (1.6 unit/mg protein) และ total phenolic compounds (0.6 mg/g dry weight) ต่ํากวาพันธุปทุมธานี 1 และสุพรรณบุรี 2คําสําคญั : ลกั ษณะทางสรีระ เมลด็ พนั ธุข าว catalase, total phenolic compounds คํานาํ ขาวเปนพืชเศรษฐกิจที่สําคัญและเปนอาหารหลักของคนไทย มีการเพาะปลูกทั่วไปเกือบทุกภูมิภาคของประเทศจึงมีการพัฒนาสายพันธุใหม ๆ ขึ้นเพ่ือใหมีคุณคาทางอาหารสูง ทนตอสภาพแวดลอม โรคและแมลง ดังนั้นขาวแตละพันธุจะมีลักษณะแตกตางกันหรือแมแตขาวพันธุเดียวกันแตปลูกในสภาพแวดลอม และการจัดการท้ังกอนและหลังการเก็บเกี่ยวที่ตางกัน ทําใหไดลักษณะทั้งทางดานกายภาพและทางเคมีที่แตกตางกัน (Juliano, 1985) สําหรับพันธุขาวในประเทศไทยที่สงเสรมิ ใหเกษตรกรปลกู อยา งกวางขวางจดั อยูใ นกลุม Indica สวนใหญมีขนาดของเมล็ด (กวาง x ยาว x หนา) อยูระหวาง 2.11คณะทรพั ยากรชวี ภาพและเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา ธนบุรี 83 หมู 8 ถนนเทยี นทะเล ทาขา ม บางขนุ เทยี น กรุงเทพ 101501 School of Bioresources and Technology, King Mongkut’s University of Technology Thonburi, 83 Moo 8 Tein-talay Rd., Tha-knam, Bangkhuntein, Bangkok10150

230 ผลของสารสกดั จากลําตนหญา ดอกขาว ปท่ี 40 ฉบับที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเ กษตรx 7.3 x 1.6 - 2.2 x 7.9 x 1.8 มิลลิเมตร โดยขนาดของเมล็ดสามารถบอกถึงคุณภาพและประสิทธิภาพในการขัดสีขาวได (อางในอรอนงค, 2547) สีของเปลือกสวนใหญมีสีฟางขาว แตอาจมีสีนํ้าตาลถึงนํ้าตาลเขมในบางพันธุ เชน ขาวพันธุหอมนิล พันธุหอมแดง เปนตน (อางในอรอนงค, 2547) เมล็ดขาวโดยทั่วไปมีไขมันประมาณรอยละ 1.6-2.8 และโปรตีนเฉลี่ยประมาณรอยละ 7.1-8.3 สวนปริมาณอะไมโลสท่ีเปนดัชนีคุณภาพดานการหุงตมมีปริมาณแตกตางกันตามลักษณะพันธุ (Juliano, 1972)สําหรับคุณภาพของเมล็ดพันธุขาวสามารถช้ีวัดไดจาก ความงอกหรือความมีชีวิต ความแข็งแรงและความสามารถในการเก็บรักษา นอกจากนี้ปจจัยของความช้ืนสัมพัทธ อุณหภูมิของสภาพแวดลอม ลักษณะทางกายภาพ เคมี และชีวเคมียังสามารถใชเปนเคร่ืองมือช้ีวัดได เชน องคประกอบทางเคมีของเมล็ดพันธุท่ีมีแปงและน้ําตาลเปนสวนใหญจะมีอายุการเก็บรักษายาวนานกวาเมล็ดท่ีมีโปรตีนและไขมันเปนองคประกอบสูง (วันชัย, 2537) อีกท้ังองคประกอบทางเคมีสามารถใชเปนขอมูลอธิบายคณุ ภาพการหุงตม และการนําขาวไปแปรรูปใหเหมาะสมได นอกจากนี้การศึกษาปริมาณสารตานอนุมูลอิสระ เชน สารในกลุมphenolic compound ซ่ึงเปนประโยชนตอผูบริโภคและมีรายงานวาเมล็ดพันธุที่มีสารในกลุม phenolic compound มากสามารถปองกันการเขาทําลายของจุลินทรียและแมลงได (วันชัย, 2537) งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงคท่ีจะศึกษาลักษณะทางกายภาพ องคประกอบทางเคมีและชีวเคมขี องเมล็ดพันธุขาวเพ่ือนําไปใชเปนขอมูลพ้ืนฐานสําหรับการปรับปรุงพันธุใหมีคุณคาทางอาหาร การหุงตม และการแปรรูปตลอดจนการเก็บรกั ษาตอไปในอนาคต อปุ กรณแ ละวิธกี าร ขาวพันธุสุพรรณบุรี 2 ปทุมธานี 1 และ พิษณุโลก 2 ซื้อจากกรมการขาว และเก็บเก่ียวในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550นํามาทําความสะอาด กําจัดเมล็ดลีบและแตกหัก จากน้ันนําขาวเปลือกมาวิเคราะหรอยละความงอก (ISTA, 1993) สีเปลือกดวยเคร่ือง colorimeter (Minolta Model CR 300, Japan) น้ําหนัก 1000 เมล็ด ความช้ืน (AOAC, 2000) และขาวกลองเต็มเมล็ด และนําขาวกลองมาวิเคราะหนํ้าหนัก 1000 เมล็ด สีผิวดวยเครื่อง colorimeter (Minolta Model CR 300, Japan)ปริมาณโปรตีนดวยวิธี Kjeldahl Method (AOAC, 2000) ไขมันดวยวิธี Soxhlet (AOAC, 2000) อะไมโลส (Juliano, 1981)total phenolic compound (Zielinski และ Kozlowska, 2000) และกิจกรรมของ catalase (Aebi,1984) ผลและวจิ ารณผล ขาวเปลอื กทง้ั 3 พนั ธุม คี วามชื้นรอยละ 11.1-12.5 (Table 1) เปนความชื้นที่เหมาะสมตอการเก็บรักษาและปลอดภัยตอการเขาทําลายของเชื้อราและชะลอการเส่ือมสภาพไดไมตํ่ากวา 1 ป (จวงจันทร, 2529) แตเปนความชื้นท่ีต่ําเกินไปสําหรับการนํามาขัดสีใหไดเปนขาวสาร (อางในอรอนงค, 2547) สีเปลือกของขาวท้ัง 3 พันธุเปนสีฟางขาวโดยมีคา b* อยูระหวาง27.8-28.9 (Table 1) ซึ่งเปนสีท่ีพบทั่วไปในขาวท่ีนิยมเพาะปลูกในประเทศไทย (กรมการขาว, 2551) ซึ่งสีเปลือกสามารถบอกอายุและคุณภาพของเมล็ดพันธุได เชน เมล็ดถั่วเขียวท่ีเก็บรักษาเปนเวลานานและเสื่อมสภาพมากจะมีสีไมสดใส (วันชัย,2537) ขาวเปลือกพันธุพิษณุโลก 2 มีน้ําหนัก 1000 เมล็ด (26.9 กรัม) ตํ่าที่สุดอยางมีนัยสําคัญเม่ือเทียบกับพันธุปทุมธานี 1(27.3 กรัม) และสุพรรณบุรี 2 (28.5 กรัม) ซ่ึงนํ้าหนักของเมล็ดท่ีแตกตางกันนั้นขึ้นอยูกับชนิดของพันธุขาวและสภาพการเพาะปลูก ขาวท้ัง 3 พนั ธุมคี วามงอกสูงกวามาตรฐานกําหนดตามพระราชบัญญัติพันธุพืชของไทย (รอยละ 80) พันธุพิษณุโลก2 มคี วามงอกตาํ่ ทีส่ ดุ (รอ ยละ 86.5) (Table 1) ความแตกตางของความงอกของเมล็ดขาวทงั้ 3 พันธุ อาจเกดิ จากเปนขาวท่ีเก็บเกี่ยวใหมอาจมีการพักตัว และแมวาขาวทั้ง 3 พันธุผลิตจากแหลงผลิตเดียวกัน (จากกรมการขาว) แตการปฏิบัติการหลังการเก็บเก่ียวอาจแตกตางกัน ดังจะเห็นไดจากความชื้นของเมล็ดท่ีแตกตางกัน (Table 1) จึงอาจจะสงผลตอความงอกของเมล็ด(อา งในวันชยั , 2537) ขา วพันธุส พุ รรณบรุ ี 2 ใหข า วกลองเต็มเมล็ดรอ ยละ 61.3 สูงกวา ขา วพันธุพิษณุโลก 2 (รอยละ 52.2) และพันธุปทุมธานี 1 (รอยละ 43.2) แสดงวาขาวพันธุสุพรรณบุรี 2 มีความแข็งแกรงกวาขาวพันธุอ่ืน ๆ จึงทําใหทนทานตอแรงกระแทกจากการขดั สีไดดีกวา จงึ ทาํ ใหไดข า วกลอ งเตม็ เมลด็ สงู กวา พนั ธอุ ืน่ จาก Table 2 พบวาขาวกลองท้ัง 3 พันธุมีสีเหลืองนวล โดยมีคา b* อยูระหวาง 22.4-23.4 ซ่ึงเปนสีที่พบไดทั่วไปในขาวที่สงเสริมใหเกษตรกรปลูกเปนการคา (กรมการขาว, 2551) ขาวกลองพันธุพิษณุโลก 2 มีนํ้าหนักสูงที่สุดรองลงมาคือปทุมธานี 1 และสุพรรณบุรี 2 ซึ่งสีของขาวและน้ําหนักของเมล็ดที่แตกตางกันขึ้นอยูกับพันธุกรรมและสภาพแวดลอมในการเพาะปลูก สวนปริมาณโปรตีนพันธุสุพรรณบุรี 2 มีปริมาณสูงสุดรองลงมาคือพันธุพิษณุโลก 2 และพันธุปทุมธานี 1 ปริมาณโปรตีนที่แตกตางกันน้ันจะสงผลตอคุณภาพการหุงตม และสีของขาวโดยขาวท่ีมีโปรตีนสูงเมื่อนํามาผานกระบวนการลดความชื้นมักกอใหเกิดสีเหลืองไดมากกวาขาวท่ีมีโปรตีนตํ่ากวาเนื่องจากปฏิกิริยาเมลลารด (Juliano, 1985) สวนไขมันในขาวสะสมอยูในรูปหยดไขมันเล็ก ๆ เมล็ดขาวมีปริมาณไขมันประมาณ 1.6-2.8 % (Juliano, 1972) จากการศึกษาขาวทั้ง 3 พันธุ

ว. วิทยาศาสตรเกษตร ปท่ี 40 ฉบบั ท่ี 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ________________________________ 231พบวาปริมาณไขมันในพันธุสุพรรณบุรี 2 และปทุมธานี 1 มีคาสูงกวาพันธุพิษณุโลก 2 เล็กนอย ขาวพันธุพิษณุโลก 2 และสุพรรณบุรี 2 มีปริมาณอะไมโลสรอยละ 21.6 – 23.3 จัดอยูในกลุมท่ีมีอะไมโลสปานกลาง สวนพันธุปทุมธานี 1 เปนขาวในกลุม อะไมโลสต่ํา (Juliano, 1985) สวนกิจกรรมของ catalase ซ่ึงเปนเอ็นไซมท่ีชวยกําจัดอนุมูลอิสระ โดยจะเปลี่ยน H2O2 เปนH2O พบวาขาวกลองพันธุพิษณุโลก 2 มีกิจกรรมของ catalase ต่ํากวาพันธุปทุมธานี 1 และสุพรรณบุรี 2 โดยท่ัวไปถากิจกรรมของ catalase ต่าํ จะสง ผลใหเ มลด็ เกิดการเสื่อมไดเ รว็ เมื่อนํามาเก็บรักษาและอาจสงผลตอความตานทานตอสภาวะแวดลอมท่ีแปรปรวนได เชน เม่ือมีการเกิด heat shock หรือ chilling stress ในเมล็ดสงผลใหเกิดอนุมูลอิสระขึ้น ดังนั้นในเมล็ดท่ีมีกิจกรรมของ catalase ท่ีสูง จะทําใหเมล็ดสามารถทนตอสภาพแวดลอมที่ไมเหมาะสมไดมากกวาเมล็ดท่ีมีกิจกรรมของcatalase ต่ํา เนื่องจากกิจกรรมของ catalase สามารถกําจัดอนุมูลอิสระได (Sato et al., 2001) แตอยางไรก็ตามยังไมมีรายงานวากิจกรรมของ catalase ที่ตางกันจะสงผลตอการตานทานสภาพแวดลอมท่ีแปรปรวนได ดังนั้นจึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงผลของกิจกรรมของ catalase ตออายุการเก็บรักษาและความสามารถในการตานทานตอสภาพแวดลอม สวนปริมาณ total phenolic compound ในพันธุพิษณุโลก 2 ตํ่ากวาพันธุปทุมธานี 1 และสุพรรณบุรี 2 ซึ่งปริมาณ total phenoliccompounds ท่ีสูงจะสามารถชวยปองกันเช้ือราในระหวางการเก็บรักษา เชนเดียวกับสาร vanillic และ caffeic acid ที่ความเขมขน 0.2 mg/ml สามารถยับยั้งการเจริญและการผลิตสารพิษของเชื้อรา A. flavus และ A. parasiticus ได (Aziz et al.,1998) และยังชว ยกาํ จดั อนมุ ูลอิสระชะลอการเสื่อมของเมลด็ ขาวในระหวา งการเกบ็ รักษาไดTable 1 Moisture content, 1000 kernel weight, b* value, head yield of whole brown rice and germination in paddy cv. Suphanburi 2, Pathumthani 1 and Pitsanulok 2.Cultivars Moisture content 1000 kernel weight b* Head yield of whole Germination (%) (g) brown rice (%) (%)‘Suphanburi 2’ 11.3 28.5a 97.0a‘Pathumthani 1’ 11.1 27.3b 28.9 61.3a 95.3a‘Pitsanulok 2’ 26.9c 29.4 43.2c 86.5b 12.5 27.8 52.2bMeans in the same column followed by same letter are not significantly different by Duncan’ s New Multiple Range Test at P = 0.05Table 2 1000 kernel weight, b* value, protein content, lipid content, amylose content, catalase activity and total phenolic compound in brown rice cv. Suphanburi 2, Pathumthani 1 and Pitsanulok 2.Cultivars 1000 kernel b* Protein Lipid Amylose Catalase activity Total phenolic (%) compounds weight (g) (%) (%) 21.6b‘Suphanburi 2’ 20.0c 23.4 9.1a 2.7 16.0c (unit/mgprotein) (mg/g dryweight)‘Pathumthani 1’ 21.7b 22.4 7.5c 2.7 23.3a 0.74a 1.8a‘Pitsanulok 2’ 22.3a 22.4 8.6b 2.3 0.76a 1.7ab 0.56b 1.6bMeans in the same column followed by same letter are not significantly different by Duncan’ s New Multiple Range Test at P = 0.05 สรุป สีของขาวเปลอื กทง้ั 3 พันธุเ ปนสฟี างขา ว มีนํา้ หนกั 1000 เมล็ดอยรู ะหวาง 26.9-28.5 กรัม มีความช้ืนอยูระหวางรอยละ 11.1-12.5 และใหขาวกลองเต็มเมล็ดมากกวารอยละ 43.2 ขาวพันธุสุพรรณบุรี 2 ทนทานตอการขัดสีดีที่สุด สวนขาวกลองทั้ง 3 พันธุมีสีเหลืองนวล มีนํ้าหนัก 1000 เมล็ดอยูระหวาง 20.0-22.3 กรัม ขาวกลองพันธุสุพรรณบุรี 2 มีปริมาณโปรตีนและไขมันสงู ทสี่ ดุ ในขณะทพี่ นั ธพุ ษิ ณุโลก 2 และสุพรรณบุรี 2 เปนขาวในกลุมอะไมโลสปานกลาง สวนพันธุปทุมธานี 1 เปนขาวในกลุมอะไมโลสตํ่า แตพันธุพิษณุโลก 2 มีปริมาณ total phenolic compounds ตํ่าท่ีสุด และขาวกลองพันธุพิษณุโลก 2 มีกจิ กรรมของ catalase ตํ่ากวาพันธอุ ่ืน

232 ผลของสารสกดั จากลําตนหญา ดอกขาว ปที่ 40 ฉบับที่ 1 (พิเศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเ กษตร คาํ ขอบคุณ ขอขอบคุณสายวชิ าเทคโนโลยหี ลังการเก็บเกีย่ ว คณะทรพั ยากรชวี ภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบรุ ี ท่เี อ้อื เฟอ สถานท่ใี นการทํางานวิจัยครงั้ น้ี เอกสารอา งองิกรมการขา ว. 2551. พันธุขา ว [สืบคน ], http://www.ricethailand.go.th/rkb/data_002/rice_xx2-02_New_index.html [5/ August/ 08].จวงจนั ทร ดวงพัตรา. 2529. เทคโนโลยเี มลด็ ขา ว, มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร, กรงุ เทพฯ, 194 หนา.วนั ชยั จนั ทรป ระเสรฐิ . 2537. สรรี วิทยาเมลด็ พันธุ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ, 213 หนา .อรอนงค นยั วิกุล. 2547. ขาว: วทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี, มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร, กรงุ เทพฯ.Aebi, H., 1984. Catalase in vitro, Methods Enzymol, 105:121-126.AOAC., 2000. Official Methods of Analysis, 18th ed., The Association of Official Analytical Chemists Arlington, Virginia.Aziz, N.H., S.E. Farag, L.A. Mousa and M.A. Abo-Zaid. 1998. Comparative Antibacterial and Antifungal Effects of Some Phenolic Compounds, Microbios , 93: 43-54.ISTA., 1993, International Rules for Seed Testing Rules, Seed Sci. and Technol., 21: 3-49.Juliano, B.O., 1972, The Rice Caryopsis and Its Composition In D.F. Houston (ed.), Rice Chemistry and Technology, American Association of Cereal Chemistry, Inc., St. Paul. Minnesota, 16-74.Juliano, B.O., 1985. Rice: Chemistry and Technology, Amer. Assoc. Cereal Chem. Inc., St. Paul, Minnesota, 755 p.Sato, Y., T. Murakami, H. Funatsuki, S. Matsuba, H. Saruyama and M. Tanida. 2001. Heat Shock–Mediated APX Gene Expression and Protection Against Chilling Injury in Rice Seedling, Journal of Experimental Botany, 52(354):145-151.Zielinski, H. and H. Kozlowska. 2000. Antioxidant Activity and Total Phenolics in Selected Cereal Grains and Their Different Morphological Fractions, Journal of Agricultural and Food Chemistry, 48: 2008–2016.

Agricultural Sci. J. 40 : 1 (Suppl.) : 233-236 (2009) ว. วิทย. กษ. 40 : 1 (พเิ ศษ) : 233-236 (2552)การตรวจสอบคุณภาพภายในของสมเขียวหวานโดยไมท าํ ลายดวยแสงเนยี รอ ินฟราเรดสเปกโตรสโกป Non-Destructive Internal Quality Evaluation of Tangerine by using Near Infrared Spectroscopy ศมุ าพร เกษมสาํ ราญ1 วารณุ ี ธนะแพสย1 และ อนพุ ันธ เทอดวงศว รกลุ 2 Kasemsumran, S.1, Thanapase, W.1 and Terdwongworakul, A.2 Abstract Short-Wavelength Near Infrared Spectroscopy (SW-NIRS) was used to investigate the internal quality oftangerines based on Total Soluble Solid (TSS) and acidity levels. The tangerine fruits cv. Thanatorn Number One,Sai Nam Pung, Keaw Wan, Shokun and Fremont were examined in this study. Each tangerine fruit was divided intotwo sets, one was a calibration set and the other was a prediction set. SW-NIR spectra of these tangerines werecollected with transmission mode in the region of 643 to 970 nm and their TSS and acidity levels were determinedby using the brix-refractometer and the auto titrator, respectively. The data of calibration fruits were employed forcalculating Partial Least Squares (PLS) calibrations of TSS and acidity levels, respectively. All PLS calibrationmodels were verified on the data of prediction fruits. Furthermore, the universal PLS calibration models of TTS andacidity levels for entire tangerine fruits were also developed and compared to those PLS calibration models foreach tangerine. The results showed high possibility of the use of SW-NIRS for quality assurance of tangerine fruits,which can deeply reveal the internal quality without damage.Keywords : near infrared spectroscopy, tangerine, total soluble solid, acidity บทคดั ยอการศกึ ษาเพ่อื ตรวจสอบคุณภาพภายในของสม เขยี วหวาน ไดแ ก ปริมาณของแขง็ ทั้งหมดทล่ี ะลายไดแ ละปริมาณกรดดว ยแสงเนยี รอินฟราเรดในชวงคลนื่ สัน้ นัน้ ใชส ม 5 ชนิด ไดแก ธนาธรนมั เบอรวนั สายนาํ้ ผงึ้ เขยี วหวาน โชกุน และฟรีมองตสม แตล ะชนิดจะแบง เปน สองกลุม คือ กลมุ ท่ีใชสรา งสมการและกลมุ ทีใ่ ชทดสอบสมการ นาํ ผลสม มาสแกนเกบ็ สเปกตรมั แสงเนียรอนิ ฟราเรดระบบแสงสอ งผาน ในชวงคลื่นสน้ั ท่คี วามยาวคล่นื 643 ถึง 970 นาโนเมตร จากนน้ั คน้ั นํา้ สมเพอ่ื วเิ คราะหปริมาณของแขง็ ท้งั หมดทล่ี ะลายไดดวยเครือ่ งรแี ฟรกโตรมิเตอรและวิเคราะหป ริมาณกรดท้ังหมดดวยเครอื่ งไทเทรตอัตโนมัติตามลําดับ นําขอ มูลสเปกตรมั และคาปรมิ าณของแขง็ ทั้งหมดท่ลี ะลายไดข องกลมุ สมที่ใชส รา งสมการ มาคาํ นวณเพ่อื สรา งสมการสําหรบั ทาํ นายปริมาณของแข็งท้งั หมดที่ละลายได และคํานวณสรา งสมการสําหรับทาํ นายปริมาณกรดเชน กนั โดยใชขอ มลูสเปกตรัมและคาปรมิ าณกรด สมการท่ีไดท ั้งหมดจะถกู ทดสอบประสิทธภิ าพการทํานายดว ยขอ มลู ของสม กลุม ทดสอบนอกจากนน้ั ยังสรางสมการทาํ นายคุณภาพภายในสม ท่ีใชว เิ คราะหไดสาํ หรับสมทง้ั 5 ชนิด และเปรียบเทยี บประสิทธิภาพของสมการชนิดน้กี ับสมการทาํ นายคุณภาพภายในสม ทส่ี รา งข้นึ จาํ เพาะชนิดสม ผลการศึกษาแสดงใหเ หน็ ถึงความเปน ไปไดในการใชแสงเนียรอ นิ ฟราเรดสเปกโตรสโกปใ นชว งคล่ืนส้ันเพอื่ ประกนั คุณภาพของสม ซ่ึงสามารถตรวจสอบคณุ ภาพไดถ งึ ภายในผลโดยปราศจากความเสียหายคําสําคัญ : แสงเนียรอนิ ฟราเรด สม ปรมิ าณของแขง็ ทั้งหมดท่ลี ะลายได ปรมิ าณกรด คํานํา สม นับวาเปนหนึ่งในผลไมยอดนิยมของคนไทย มูลคาสง ออกสม เขยี วหวานสดของไทยในป 2550 มกี ารขยายตัวอยางมากถงึ 218 ลา นบาท เม่ือเทยี บกับป 2549 ท่ีมมี ูลคาการสงออกสมเขียวหวานสดเพียง 30 ลา นบาท (ศนู ยส ารสนเทศการเกษตร, 2550) การกาํ หนดมาตรฐานของผลสม นับวา มีความสาํ คญั ผลไมท่ีมีคุณภาพดียอ มจาํ หนายไดราคามากกวา ผลไม1สถาบันคันควาและพฒั นาผลติ ผลทางการเกษตรและอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร 50 พหลโยธนิ จตจุ กั ร กรุงเทพฯ 109001 Kasetsart Agricultural and Agro-Industrial Product Improvement Institute, Kasetsart University, 50 Phahonyotin, Chatuchak, Bangkok 109002ภาควชิ าวศิ วกรรมการอาหาร คณะวศิ วกรรมศาสตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน จ.นครปฐม 731402 Department of Food Engineer, Faculty of Engineering, Kasetsart University, Kampangsan campus, Nakornprathom 73140

234 การตรวจสอบคุณภาพภายในของสม เขยี วหวาน ปท ่ี 40 ฉบับท่ี 1 (พเิ ศษ) มกราคม-เมษายน 2552 ว. วิทยาศาสตรเกษตรที่มีคุณภาพตา่ํ ดังน้ันในการกําหนดเกณฑคุณภาพจึงมีความสําคญั ย่งิ คุณภาพภายนอกสามารถวิเคราะหไ ดงา ย หากสามารถวเิ คราะหคุณภาพภายในผลโดยไมต อ งทําลายจะยงิ่ สง เสริมใหการคดั เลือกผลไมมีประสิทธภิ าพสูงข้ึน การตรวจสอบคณุ ภาพโดยวธิ ีไมทาํ ลายวธิ ีหนึง่ ท่ีใชอยา งกวา งขวาง ไดแก แสงเนยี รอ ินฟราเรดสเปกโตรสโกป (Near Infrared Spectroscopy; NIRS) ในประเทศไทยการใชเทคนคิNIRS เพ่อื ตรวจสอบคณุ ภาพของผลไมไ ทยยังไมแ พรห ลายนัก แมว าจะมีงานวิจยั ท่ีศกึ ษาเพ่อื ประยกุ ตใชเ ทคนิค NIRS ในการตรวจสอบคุณภาพของผลไมห ลากหลายชนดิ ออกมาอยางตอเน่ือง อาทิ พชี กวี ี แอปเปล มะมว ง สมเปน ผลไมอกี ชนิดหนึ่งท่ีมีงานวจิ ัยดาน NIRSออกมาเพ่ือวเิ คราะหคณุ ภาพ ไดแ ก Satsuma Mandarin (Kawano et al., 1993) และ Valencia Late (Cayuela, 2008) เปนตน การศึกษาน้มี วี ตั ถปุ ระสงคเ พ่ือประยุกตใ ชเ ทคนิค NIRS ในการตรวจสอบคุณภาพภายในของสมเขยี นหวาน 5 ชนิดท่ีนิยมปลกูในประเทศไทย โดยสรางสมการสาํ หรับทาํ นายคณุ ภาพ 2 สวน ไดแ ก สมการทํานายปริมาณของแข็งทง้ั หมดท่ีละลายได (Total SolubleSolid; TSS) และสมการทาํ นายปริมาณกรดในผลสม ทําการสรา งสมการทง้ั แบบจําเพาะชนดิ สม และสมการทใี่ ชท าํ นายไดก บั สมทัง้ 5ชนดิ และคดั เลอื กสมการทด่ี ีที่สุด อุปกรณแ ละวิธีการ ขั้นตอนการสรา งสมการทํานายปรมิ าณ TSS และปรมิ าณกรดในสมดวยเทคนคิ NIRS เลอื กใชส มขนาดเบอร 6 ผิวสวยและยงัไมผานการเคลือบไข ไดแก สม ธนาธรนัมเบอรว นั 550 ผล สายนาํ้ ผง้ึ 496 ผล เขยี วหวาน 200 ผล โชกุน 470 ผล และฟรีมองต 400ผล ทง้ั หมด 2116 ผล นําสม มาวดั การดดู กลืนแสง NIRS (PureSpect ของ SAIKA, JAPAN) ชว งคลืน่ สนั้ 643 ถงึ 970 nm วัดลกู ละ 2ครั้ง บันทึกคา สเปกตรมั (Figure 1A) จากน้นั ค้ันนา้ํ จากผลสมนาํ มาวดั ปรมิ าณ TSS (Digital Refractometer ATAGO PR 110) และวเิ คราะหหาปรมิ าณกรดดว ยวิธกี ารไทเทรต (AOAC, 1990) คาํ นวณสรางสมการสาํ หรบั สมแตล ะชนิดซงึ่ แยกระหวางสมการสาํ หรับทํานายปริมาณ TSS และ ปริมาณกรด โดยคํานวณหาความสมั พันธร ะหวางสเปกตรมั NIRS กับปริมาณท่ีตอ งการทํานายของสม ใชว ิธีทางสถติ ิ Partial Least Square Regression (PLSR) ดว ยโปรแกรม Unscramble (ver.9.8: CAMO) ดงั นี้ แบง กลุมสม ชนิดเดยี วกนั เปน2 กลุมในอัตราสวน ~70:30 กลมุ แรกใชใ นการสรา งสมการ (Calibration set) และกลมุ ทสี่ องใชทดสอบสมการ (Prediction set) เลอื กผลสมทม่ี คี า TSS และกรดสูงสุดและตํ่าสดุ อยใู นกลมุ Calibration set เทานน้ั ศึกษาเปรียบเทียบสมการที่คาํ นวณจาก NIR สเปกตรมั ดบิและสเปกตรมั ทท่ี าํ การปรบั แตงดว ยวธิ ี 1) Multiplicative Scattering Correction (MSC) และ 2) อนุพันธอันดบั สอง (Secondderivative) ทําการสรา งและศกึ ษาผลของสมการทใ่ี ชท าํ นายสม ไดท ัง้ 5 ชนิด (Universal calibration) อีกดวย โดยใชข อ มลู การคาํ นวณจากสม ทง้ั 5 ชนดิ เลอื กสมการ Calibration ทดี่ ที ี่สดุ โดยใชส มการท่ีสรา งข้นึ ทํานายปริมาณ TSS และปรมิ าณกรดของสมในกลุมPrediction set ดูผลทางสถิติ ไดแ ก Correlation (R) ตอ งสงู เขาใกล 1.0 และคา ความผดิ พลาดในการทาํ นาย Root Mean SquaredError of Calibration (RMSEC) และ Root Mean Squared Error of Prediction (RMSEP) ตองตํ่า ผลและวจิ ารณ จาก Table 1 สมการทดี่ ีทสี่ ุดสาํ หรับทํานายปรมิ าณ TSS ของสม ธนาธรนมั เบอรวนั สายน้ําผึง้ และโชกุนสรา งจาก- ABFigure 1 Five mean normalized NIR spectra in the region of 643-970 nm of each tangerine vs. Thanatorn Number One (T.N.T), Sai Nam Pung (S.N.), Keaw Wan (K.W.), Shokun (C.K.) and Fremont (F.M.) (A), and the correlation between TSS results of a NIR universal calibration (y-axis) and reference method (x-axis) for all 5 tangerines (B)
























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook