178 สอ่ื การเรยี นการสอน 1. เอกสารใบงานประจาบท 2. เอกสารประกอบการสอน เนอ้ื หาประจาบท 3. เทคนิคนาเสนอดว้ ย Power point 4. เครือ่ งคานวณ 5. สื่อประสม การวดั และประเมนิ ผล 1. ความสามารถในการการวิเคราะห์และในใบงานท่ีกาหนด 2. ความสามารถในการคานวณเรื่องการบริหารสินคา้ คงคลังในใบงานท่ีกาหนด แลกเปลยี่ น เรยี นรู้ ซักถาม 3. ความสามารถในการตอบคาถามท้ายบทคิดเป็นร้อยละ 80 ของจานวนข้อคาถามประจาบท
179 บทท่ี 7 การบริหารสนิ ค้าคงคลงั (Inventory Management) จากการวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์จนได้มาซ่ึงสินค้ามิใช่ว่าสินค้าที่จัดจาหน่ายจะขายได้หมด ภายในคราวเดียวเสมอไป หรือแม้แต่สินค้ารอจัดจาหน่ายก็จะต้องเก็บไว้ในคลังสินค้าในช่วงฤดูกาลที่ สินค้าบางชนิดได้รับความนิยมท่ีสูงข้ึนการมีสินค้าคงคลังจัดขนส่งได้เท่าทันคาส่ังซ้ือย่อมทาให้สถาน ประกอบการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในกรณีท่ีสินค้าเหลือจากขายก็จะต้องมีพื้นที่หรือ อาคารเก็บและเรียกวิธีดูแลสถานท่ีแห่งน้ีว่า การบริหารคลังสินค้า สาระสาคัญของบทนี้จะเก่ียวข้อง กับการเปล่ียนแปลงระดับสินค้าคงคลัง พิภพ ลลิตาภรณ์ (2556) อมรศิริ ดิสสร (2550) หริรักษ์ สูตะบุตร (2545) คานาย อภิปรัชญาสกุล (2550) กฤช ชาวดอน (2544) ได้อธิบายลักษณะของสินค้าคงคลังและการบริหาร สินค้าคงคลังไว้สรุปได้ว่า สินค้าคงคลังจัดเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนชนิดหน่ึงซ่ึงเป็นปัจจัยสาคัญใน การดาเนนิ งานของธุรกจิ หรือสถานประกอบการแต่นักวิชาการทุกท่านอาจขยายขอบเขตคาอธิบายใน แต่ละมุมมองแตกต่างกันไปบ้าง ฉะนั้นผู้บริหารจึงต้องสามารถตัดสินใจ จัดการสินค้าคงคลังให้มี การหมุนเวียนอยู่เสมอ และมีการวางแผนควบคุมสินค้าคงคลังไม่ให้มากหรือน้อยจนเกินไป นอกจากน้ันการมีสินค้าคงคลังที่เพียงพอยังเป็นการตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าได้ทันเวลา เพราะการจัดการสินค้าคงคลังท่ีมีประสิทธิภาพจึงส่งผลกระทบต่อผลกาไรจากการปร ะกอบการ โดยตรง ในเบ้ืองต้นขอทาความตกลงกับผู้เรียนก่อนว่า เม่ือใดที่กล่าวถึง สินค้าคงคลัง จะเรียกเป็น ภาษาอังกฤษว่า Inventory ลักษณะของสินค้าคงคลังนั้น ผู้ประกอบการมีความต้องการให้สินค้า คงคลังมีมากเพียงพอท่ีจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าส่ังเข้ามาใน จานวนไม่เพียงพอจะเกิดสินค้าขาดมือ แต่ในขณะเดียวกันเม่ือมองในมุมมองของฝุายการเงินและ การบัญชีกลับมองว่าสินค้าคงคลังมีสภาพคล่องน้อยกว่าเงินสด ถ้าปริมาณของสินค้าคงคลังมีมาก เกินไปจะทาให้เกิดการสูญเสียในรูปของดอกเบ้ียเงินจมในรูปของสินค้านอกจากน้ียังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามมาอีกมาก เช่น ค่าดูแลรักษาสินค้า ค่าเช่าท่ีเก็บสินค้า เป็นต้น เม่ือสินค้ามีจานวนมากล้นพ้ืนที่ จัดเก็บในโรงงาน จึงเป็นเหตุให้ผู้ประกอบการจาเป็นต้องให้ใช้เงินจานวนมากเพ่ือลงทุนสร้าง คลงั สินค้า
180 สาหรับคาอีกคาที่ผู้เรียนมักจะพบในบทนี้คือ คลังสินค้า หรือภาษาอังกฤษ เรียกว่า Warehouse นน้ั ในมุมมองของผูป้ ระกอบการเม่อื มคี วามจาเป็นตอ้ งสรา้ งคลงั สินค้าจะมีวิธีบริหารและ ควบคมุ อยา่ งไรให้มีประสิทธิภาพโปรดตดิ ตามในหวั ขอ้ ต่อไป 7.1 ความหมายและความสาคัญของสินคา้ คงคลัง 7.1.1. ความหมายของสินค้าคงคลงั นักวิชาการได้นยิ ามความหมายของสินคา้ คงคลงั ไว้ ดังนี้ สมุ น มาลาสิทธ์ิ (2548 : 329) กลา่ วว่า สินค้าคงคลัง (Inventory) หมายถึงวัสดุที่มี ไว้ใช้ในอนาคต วสั ดุเหลา่ นีไ้ ดแ้ ก่ วตั ถดุ ิบ ชน้ิ สว่ น อะไหล่ สนิ ค้าระหว่างผลติ และสนิ คา้ สาเรจ็ รปู อมรศริ ิ ดสิ สร (2550 : 20) กลา่ วว่า สนิ คา้ คงคลัง (Inventory) หมายถึง สินค้าหรือ วสั ดุต่างๆ ทีส่ ถานประกอบการจะต้องมีไว้เพอ่ื การดาเนินการผลิตและขายใหล้ กู ค้าในอนาคต มาตรฐานการบัญชีฉบับท่ี 31 (2550) กล่าวว่า สินค้าคงคลัง (Inventory) หมายถึง ทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อขายตามลักษณะการประกอบธุรกิจโดยปกติอยู่ในระหว่างกระบวนการผลิตเพ่ือให้ เป็นสินค้าสาเรจ็ รูปเพ่อื ขายมีไวเ้ พ่อื จะนาไปใช้ในการผลติ สินคา้ หรอื บริการ จากความหมายดงั กล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า สินค้าคงคลัง (Inventory) หมายถึง สินค้า หรอื วสั ดตุ ่างๆ หมายรวมถึงวตั ถุดบิ ชิน้ สว่ น อะไหล่ สินค้าระหว่างผลิตและสินค้าสาเร็จรูปท่ีกิจการ มี ไวเ้ พือ่ ดาเนนิ การในปจั จุบนั และอนาคต 7.1.2 ความสาคญั ของสินค้าคงคลัง สินค้าคงคลังเป็นสินทรัพย์ที่สาคัญอย่างหนึ่งในการดาเนินธุรกิจ เพราะสินค้าคงคลัง ต้องใช้เงินลงทุนในจานวนที่สูง ถ้าสินค้าหรือวัตถุดิบมีมากเกินไปย่อมทาให้เงินลงทุนจมอยู่ในสินค้า หรือวัสดุจานวนมาก ทาให้ธุรกิจไม่สามารถที่จะนาเงินลงทุนไปใช้ในกิจกรรมอื่นท่ีก่อให้เกิดรายได้ใน ธุรกิจ และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการในการเก็บรักษาเป็นจานวนมากตามมา หากมีสินค้าคงคลังน้อย เกินไปก็จะส่งผลให้ขาดสภาพคล่องในการดาเนินธุรกิจ สินค้าขาดมือ และอาจทาให้ลูกค้าไม่ได้รับ สินค้าตรงตามความต้องการ 7.2 ประเภทของสินค้าคงคลงั สินค้าคงคลังสามารถแยกประเภทด้วยเกณฑต์ า่ งๆ ไดด้ ังน้ี 7.2.1 ประเภทของสินคา้ คงคลงั ตามลกั ษณะของสินคา้ Heizer & Barry (2011) และ Stevenson (2002) ได้ศึกษาและแบ่งประเภทของ สนิ คา้ คงคลงั ตามลักษณะของสินค้าออกเป็น 4 ประเภท ดังน้ี
181 1) สนิ คา้ คงคลงั ทเี่ ป็นวัตถดุ บิ (Raw material inventory) คือส่งิ ของหรือช้ินส่วน ทีซ่ ื้อเขา้ มาเพื่อเขา้ สู่กระบวนการผลิตหรือบริการสาหรับลูกคา้ ซงึ่ จะมคี วามสัมพนั ธโ์ ดยตรงกบั ผูข้ าย ปจั จยั การผลิต (Supplier) 2) สินค้าคงคลังระหว่างการผลิต (Work-in-Process : WIP) คือ สินค้าหรือ ชิ้นงานท่ีอยู่ในขั้นตอนการผลิตและผ่านกระบวนการผลิตมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เสร็จส้ินครบตาม กระบวนการผลิต หรือรอเข้ากระบวนการถัดไปเพื่อให้ครบรอบเวลาของการผลิตเพื่อเป็นสินค้า สาเร็จรูป 3) สินค้าคงคลังประเภทอะไหล่สาหรับการซ่อมบารุง (Maintenance / Repair / Operating, MROs) คือ ชิ้นส่วน วัสดุที่ใช้ในการสนับสนุนการดาเนินงานของสถานประกอบการ เป็นกลุ่มสินค้าท่ีจาเป็นต้องมีสารองไว้เพ่ืองานซ่อมบารุงท้ังนี้เพื่อปูองกันไม่ให้เกิดภาวะอะไหล่ขาด แคลน กรณหี าซอ้ื ไมไ่ ดใ้ นยามท่ีอุปกรณ์ชารดุ เสียหายหรอื หมดอายุการใช้งาน 4) สินค้าคงคลังประเภทสินค้าสาเร็จรูป (Finished goods inventory) คือกลุ่ม สินค้าที่ผ่านกระบวนการผลิตข้ันสุดท้ายแล้ว มีความพร้อมที่จะส่งขายทันที ทาการเก็บรักษาเพื่อ สารองไว้ขายใหล้ กู ค้า ผูค้ า้ ส่ง ค้าปลกี ไดต้ ลอดเวลา และนับว่าเปน็ ทรพั ยส์ ินของบริษทั 7.2.2 ประเภทของสินค้าคงคลังในเส้นทางของระบบโลจิสติกส์ (Logistics Pipeline) วิทยา สุหฤทดารง (2546) ไดส้ รปุ ประเภทของสินค้าคงคลังท่ีช่วยปูองกันความเส่ียง จากการดาเนินงานในลกั ษณะต่าง ๆ ไดเ้ ป็น 5 ประเภท คือ 1) สนิ คา้ คงคลังเพ่ือรองรบั ความตอ้ งการตามวงจรและความต้องการในช่วงเวลา ปกติ (Cycle / Regular Stock) เป็นการสารองสินค้า เพ่ือรองรับความต้องการในช่วงเวลาหนึ่งให้ พอเพียงกบั ความต้องการของลูกค้าจนกวา่ จะถึงเวลาทจ่ี ะได้รบั สินค้าอกี คร้งั 2) สนิ คา้ คงคลังสารอง (Safety Stock) เปน็ สนิ คา้ คงคลังสารองท่ีมีไว้ เพ่ือปูองกัน ในเรื่องความเส่ียงจากความแปรเปล่ียนไปในการจัดส่งจากผู้จัดส่งวัตถุดิบ ความต้องการที่ เปล่ียนแปลงของลกู ค้าหรอื เหตกุ ารณ์ไมแ่ น่นอนบางอย่างที่อาจเกิดในขบวนการผลติ 3) สินค้าท่ีถูกเก็บในช่วงฤดูกาล (Seasonal stock) เก็บเพื่อทาให้กระบวนการ ผลติ เปน็ ไปอย่างตอ่ เนอื่ งตลอดฤดูกาลที่ที่ความต้องการไมแ่ นน่ อน 4) สินค้าท่ีอยู่ซึ่งอยู่ในระยะต่างๆ ของเส้นทางการขนส่ง (Pipeline stock) สินค้าผลิตจากโรงงานและสถานประกอบการได้จัดส่งและสินค้ากาลังเดินทางไปยังลูกค้าตลอด เส้นทาง 5) สนิ ค้าคงคลังสารองเพิ่มเตมิ เพ่อื เหตผุ ลอน่ื ๆ (Other stock) สาหรับกระบวน การท่ีต่อเนือ่ งกัน เป็นสินคา้ คงคลังสารองทม่ี ีไวเ้ พอ่ื แกป้ ัญหาความแตกตา่ งหรือความแปรผนั ของกาลัง
182 การผลิตกระบวนการท่เี ปน็ คอขวดนที้ าการผลิตเตม็ กาลงั เพอ่ื สารองผลผลติ สาหรับปูอนให้ กระบวนการถดั ไปได้อยา่ งต่อเน่ือง 7.3 ความหมายของคลังสนิ ค้าและการบริหารสินค้าคงคลัง 7.3.1 ความหมายของคลังสนิ ค้า คลังสินค้า (Warehouse) หมายถึง พื้นที่ท่ีได้วางแผนแล้วเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ในการใช้สอยและการเคลื่อน ย้ายสินค้าและวัตถุดิบ โดยคลังสินค้าทาหน้าที่ในการเก็บสินค้าระหว่าง กระบวนการเคล่ือนย้ายเพ่ือสนับสนุนการผลิตและการกระจายสินค้าซึ่งสินค้าที่เก็บในคลังสินค้า สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรก ได้แก่ วัตถุดิบซ่ึงอาจจะอยู่ในรูป วัตถุดิบ ส่วนประกอบ และช้ินส่วนต่าง ๆ ส่วนประเภทท่ีสอง ได้แก่ สินค้าสาเร็จรูปจะนับรวมไปถึงงาน ระหว่างการผลิต ตลอดจนสินค้าท่ีต้องการท้ิงและวัสดุที่นามาใช้ใหม่ (เข้าถึงได้จาก http : // www. logisticsorner.com 2560, พฤษภาคม 16) 7.3.2 ความหมายของการบรหิ ารสินค้าคงคลัง นกั วิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของการบริหารคลังสนิ คา้ ไว้ดงั น้ี อมรศิริ ดิสสร (2550 : 4) กล่าวว่า การบริหารสินค้าคงคลัง หมายถึง การวางแผน และควบคมุ สินค้าคงคลังในระดบั ปรมิ าณที่เหมาะสมโดยพจิ ารณาถงึ จดุ สัง่ ซื้อและปริมาณการสั่งซื้อที่ดี ท่ีสุดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันเวลาและเสียค่าใช้จ่ายเก่ียวกับสินค้าคงคลังรวม ตา่ สดุ กมลชนก สุทธิวาทนพุฒิและคณะ (2547 : 200) กล่าวว่าการบริหารสินค้าคงคลัง หมายถึง การพยากรณ์ผลกระทบของนโยบายของธุรกิจท่ีมีต่อระดับสินค้าคงคลัง ซ่ึงทาให้ต้นทุนรวม ของธุรกิจ การจัดส่งทั้งหมดต่าลง ณ ระดับการให้บริการลูกค้าที่กาหนดไว้ และเพิ่มความสามารถใน การทากาไรของธุรกิจ กฤช ชาวดอน (2544 : 35) กล่าวว่าการบริหารสินค้าคงคลัง หมายถึง การบริหาร การดาเนินงานที่สาคัญโดยศึกษาพฤติกรรมของต้นทุนของสินค้าคงคลังกับระดับสินค้าท่ีมี การเปล่ยี นแปลง หรริ ักษ์ สูตะบุตร (2545 : 11) กลา่ ววา่ การบรหิ ารสินคา้ คงคลัง หมายถงึ การดแู ล การเกบ็ สินคา้ คงคลังให้อยู่ในสภาพท่เี หมาะสมไปจนถงึ การขนส่งภายในและภายนอกสถานที่ จากแนวความคิดดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การบริหารสินค้าคงคลัง หมายถึง การควบคุมและวางแผนในการรักษาระดับสินค้าคงคลัง ในปริมาณที่เหมาะสม เพ่ือ ตอบสนอง ความตอ้ งการของลูกคา้ และเสียคา่ ใช้จ่ายเก่ยี วกบั สนิ ค้าคงคลงั ต่าทสี่ ุด
183 7.4 วัตถุประสงคข์ องการบริหารสนิ คา้ คงคลัง Heizer & Berry (2011) อมรศิริ ดิสสร (2550) พิภพ ลลิตาภรณ์ (2556) ได้กล่าวสรุป ภาพรวมตรงกันวา่ ปัจจยั นาเข้าของกระบวนการผลติ ทม่ี ีความสาคญั อย่างย่ิง คือ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนและ วัสดุต่าง ๆ ที่เรียกรวมกันว่า สินค้าคงคลังซึ่งเป็นส่วนประกอบทางต้นทุนของผลิตภัณฑ์ท่ีสูงท่ีสุด นอกจากน้ันการท่ีสินค้าคงคลังมีเพียงพอ ยังเป็นการตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าในด้านเวลา การจัดการสินค้าคงคลังเป็นหน้าท่ีของผู้บริหาร เมื่อมีการวางแผนและมีการดาเนินการตามแผน ตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงานเน่ืองจากสินค้าคงคลังไม่ใช่สินทรัพย์ท่ีก่อให้เกิดรายได้ โดยตรงจนกว่าจะมีการขายเกิดข้นึ สินค้าคงคลังจงึ ต้องมปี ริมาณที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป การจัดการคลังสินค้าท่ีมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการวางแผนควบคุมหรือการจัดซื้อ จัดหาสินค้าคง คลังจะส่งผลกระทบต่อผลกาไรจากการประกอบการผู้เขียนได้รวบรวมจากนักวิชาการหลายท่านถึง เหตุผลในการคงไว้ซ่ึงสนิ ค้าคงคลังดงั วัตถปุ ระสงค์ แบง่ เป็นรายข้อ ดังน้ี 7.4.1 เพอ่ื แสดงศักยภาพของผปู้ ระกอบการวา่ การมสี ินคา้ คงคลังไวร้ องรบั ความตอ้ งการ ของลกู ค้าในปรมิ าณทีเ่ พียงพอและทนั ต่อความต้องการของลูกค้าอยา่ งสม่าเสมอ 7.4.2 เพื่อสรา้ งสร้างยอดขายและรกั ษาระดบั ของส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ 7.4.3 เพอ่ื ลดระดับการลงทุนในสนิ ค้าคงคลงั ต่าทสี่ ดุ เทา่ ทจ่ี ะทาได้ เพ่ือทาใหต้ น้ ทนุ การผลติ ต่าลงดว้ ย 7.4.4 เพอื่ ใหก้ าหนดปริมาณการส่ังซื้อและจุดสง่ั ซอื้ ทด่ี ที ี่สุด 7.4.5 เพ่ือรักษาสภาพคล่องของสถานประกอบการโดยการกาหนดอัตราการหมุนเวียนของ สนิ คา้ ใหม้ อี ัตราการหมนุ เรว็ ข้ึน 7.4.6 เพอ่ื เพ่มิ ความสามารถในการทากาไร และลดค่าใชจ้ ่ายเก่ียวกับสนิ ค้าคงคลัง 7.4.7 เพื่อปูองกนั ความเสยี่ งท่ีอาจจะเกิดข้นึ ในอนาคต 7.4.8 เพ่อื ควบคุมไมใ่ ห้มีสนิ ค้ามากเกนิ จนทาให้พนื้ ท่ใี นการจดั เก็บไม่เพียงพอและ จัดการพน้ื ทีจ่ ัดเกบ็ สนิ ค้าคงคลังให้ค้มุ คา่ 7.5 ประโยชน์ของการบรหิ ารสนิ ค้าคงคลงั Vogt & Wit (2002) และฐาปนา บุญหลา้ และนงลกั ษณ์ นมิ ิตภวู ดล (2555) ได้กล่าวสรุปถึง ประโยชนข์ องการบรหิ ารสินค้าคงคลงั ไว้ดงั นี้ 7.5.1 ไดร้ ักษาการผลิตใหม้ ีอัตราคงที่สมา่ เสมอ เพ่อื รักษาระดบั การวา่ จ้างแรงงาน การเดินเคร่ืองจกั ร ฯลฯ ให้สม่าเสมอ 7.5.2 ลดค่าใช้จ่ายเก่ียวกบั สินคา้ คงคลังซงึ่ มีอิทธิพลในการกาหนดตน้ ทนุ 7.5.3 วางแผนและควบคมุ สินคา้ อย่างเหมาะสมและมปี ระสิทธภิ าพ 7.5.4 ได้ทาใหธ้ ุรกิจมสี ภาพคลอ่ งมากขึน้ 7.5.5 ไดต้ อบสนองความตอ้ งการของลกู ค้าทปี่ ระมาณการไว้ในแต่ละชว่ งเวลา 7.5.6 ไดส้ ร้างความสามารถเหนือคู่แข่งขันดว้ ยการตัง้ ราคาขายไดต้ า่ กว่าคู่แข่งขัน
184 เพอ่ื กอ่ ใหป้ ระโยชน์ของการบรหิ ารสนิ ค้าคงคลังเกิดประโยชนแ์ ก้ผู้ประกอบการอย่างแท้จริง ในทางปฏิบัติสถานประกอบการตอ้ งตระหนักในเร่ืองการควบคมุ ระบบการบรหิ ารสนิ คา้ คงคลงั ดงั หัวข้อถดั ไป 7.6 วิธีบรหิ ารและการควบคุมสินค้าคงคลัง Stock & Lambert (2001) พิภพ ลลิตาภรณ์ (2556) และฐาปนา บุญหล้าและนงลักษณ์ นิมิตภูวดล (2555) สรปุ ภาพรวมตรงกันวา่ การควบคุมจานวนสินค้าคงคลังหรือการจัดการพัสดุคงคลัง ในคลังสินค้า (Warehouse) ของโรงงานอุตสาหกรรม (Manufactory) จะมีผลต่อต้นทุนการเก็บ รักษา (Inventory carrying costs) ต้นทนุ ในการสงั่ ซือ้ (Order costs) ตน้ ทุนสนิ คา้ เสียหาย (Defect costs) และจะมีผลต่อต้นทุนสินค้าขาดแคลนเพราะถ้าส่ังเข้ามาในจานวนไม่เพียงพอจะเกิดสินค้า ขาด ถ้าสั่งเข้ามามากจะทาให้เกิดการสูญเสียในรูปของดอกเบ้ีย (Interest) เงินลงทุนจม (Sleeping Capital)ในรูปของสินค้า (Stock) อีกท้ังเป็นเหตุให้ใช้เงินจานวนมากเพ่ือลงทุนสร้างคลังสินค้า (Warehouse) เก็บสินค้านอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอ่ืน ๆ ตามมาอีกมาก เช่น ค่าใช้จ่ายในการดูแล รกั ษาสนิ คา้ คา่ เชา่ ทเี่ กบ็ สนิ คา้ เปน็ ตน้ ต่อไปน้ีจะขอนาเสนอภาพประกอบเก่ียวกับลักษณะการบริหารสินค้าคงคลังที่มีระบบเนื่อง ด้วยผูเ้ รยี นอาจจะมโี อกาสน้อยนกั ทจ่ี ะได้เข้าไปเห็นบทบาทของกิจกรรมเหล่านี้ในสถานท่ีจริง ดังภาพ ที่ 7.1 ภาพท่ี 7.1 ลกั ษณะการบรหิ ารสินคา้ คงคลังที่มีระบบ ที่มา : เข้าถงึ ได้จาก http://soiha.com/v2/about-us.php [2559, ธันวาคม 19]
185 สาหรับการควบคมุ สินค้าคงคลงั ที่เหมาะสมควรจะมเี ท่าใดจึงจะพอเพียงเหมาะสมในแตล่ ะ ประเภทจงึ ต้องมีการศึกษาวิธีการควบคุมสินคา้ คงคลงั ซง่ึ มีวิธกี ารด้วยกันการควบคมุ ปรมิ าณสินคา้ คง คลังให้เป็นไปตามแผนท่วี างไว้ (การบรหิ ารงานผลิตในงานอตุ สาหกรรม. เขา้ ถึงได้จาก http://www. pimtraining.com. 2559, กุมภาพันธ์ 19) โดยมรี ายละเอียดดงั น้ี 7.6.1 วิธกี ารควบคุมสินคา้ คงคลงั หน้าที่ของการบริหารสินค้าคงคลังอีกประการหน่ึงท่ีสาคัญ คือ การลงบัญชีและตรวจ นับสินคา้ คงคลัง เพราะแต่ละธุรกจิ จะมสี นิ คา้ คงคลงั หลายชนดิ แตล่ ะชนดิ อาจมีความหลากหลาย เช่น ขนาด น้าหนัก สี ซึ่งทาให้การตรวจนับสินค้าคงคลังต้องใช้พนักงานจานวนมาก เพื่อให้ได้จานวนที่ ถูกต้องภายใต้ระยะเวลาที่กาหนด และจะได้ทราบว่าชนิดสินค้าคงคลังที่เริ่มขาดมือ ต้องซื้อมาเพ่ิม และปริมาณการซอ้ื ทีเ่ หมาะสม ระบบการควบคมุ สินคา้ คงคลงั ทม่ี อี ยู่ 3 วธิ ี คือ 1) วิธีการควบคุมสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่อง (Continuous Inventory System หรือ Perpetual System) เป็นระบบสินค้าคงคลังท่ีมีวิธีการลงบัญชีทุกครั้งท่ีมีการรับและจ่ายของ ทาให้บัญชีคุมยอดแสดงยอดคงเหลือท่ีแท้จริงของสินค้าคงคลังอยู่เสมอ ซ่ึงจาเป็นอย่างยิ่งในการ ควบคุมสินค้าคงคลังรายการท่ีสาคัญท่ีปล่อยให้ขาดมือไม่ได้ แต่ระบบน้ีเป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายด้านงาน เอกสารคอ่ นข้างสงู และต้องใช้พนักงานจานวนมากจงึ ดูแลการรับจา่ ยได้ทวั่ ถงึ ในปัจจุบันการนาเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาประยุกต์ใช้กับงานสานักงานและงานด้าน ระบบบัญชีสามารถช่วยเพ่ิมความสะดวกและรวดเร็วในการจัดเก็บและส่งมอบและกากับรหัสแท่ง (Bar Code) หรือรหัสสากลสาหรับผลิตภัณฑ์ (Universal Product Code หรือ UPC) ปิดบนสินค้า แล้วใช้เคร่ืองกราดสัญญาณเลเซอร์อ่านรหัส (Laser Scan) ซึ่งวิธีน้ีนอกจะมีความถูกต้อง แม่นยา เทีย่ งตรงดังแสดงไว้ในแผนภาพที่ 7.2 ภาพท่ี 7.2 ตัวอย่าง Barcode ในปจั จุบัน ทม่ี า : เขา้ ถึงไดจ้ าก https://www.Barcodesaustrail .com [2560, พฤษภาคม 16]
186 2) วิธีการควบคุมสินค้าคงคลังเมื่อสิ้นงวด (Periodic Inventory System) เป็นระบบ สินค้าคงคลังที่มีวิธีการลงบัญชีเฉพาะในช่วงเวลาที่กาหนดไว้เท่านั้น เช่น ตรวจนับและลงบัญชีทุก ปลายสปั ดาหห์ รือปลายเดือน เม่ือของถกู เบิกไปก็จะมีการส่ังซื้อเข้ามาเติมให้เต็มระดับที่ตั้งไว้ ระบบน้ี จะเหมาะสมกับสินค้าท่ีมีการส่ังซื้อและเบิกใช้เป็นช่วงเวลาท่ีโดยข้อดีของการเลือกใช้ระบบสินค้าคง ระบบสินค้าคงคลังเม่ือสิ้นงวดคือ ช่วยลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเอกสาร ลดค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ และ สะดวกตอ่ การตรวจนับ 3) วิธีการควบคุมสินค้าคงคลังด้วยการจาแนกเป็นหมวดเอบีซี (ABC) ระบบนี้เป็น วิธีการจาแนกสินค้าคงคลังออกเป็นประเภทโดยพิจารณาปริมาณและมูลค่าของสินค้าคงคลังแต่ละ รายการเป็นเกณฑ์ เพ่ือลดภาระในการดูแล ตรวจนับ และควบคุมสินค้าคงคลังท่ีมีอยู่มากมายซึ่งถ้า ควบคุมทุกรายการอย่างเข้มงวดเท่าเทียมกัน จะเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากเกินความจาเป็นเพราะใน บรรดาสนิ ค้าคงคลงั ทง้ั หลายของแต่ละธรุ กิจมกั เป็นไปตามเกณฑ์ดังตอ่ ไปนี้ 3.1 วัสดุ A หรือสินค้า A เป็นวัสดุคงคลัง เป็นรายการท่ีมีมูลค่าสูง (High-Value Items) คือสินค้าคงคลังรอ้ ยละ 15 ถงึ ร้อยละ 20 ของสินค้าคงคลังท้ังหมด แต่มูลค่ารวมสูงถึงร้อยละ 80 ของ มลู คา่ ท้ังหมดของการวสั ดคุ งคลังใน 1 ปี 3.2 วัสดุ B หรือสินค้า B เป็นวัสดุคงคลังเป็นรายการที่มีมูลค่าปานกลาง ใช้วิธีการ ลงบัญชีคุมยอดบันทึกเสมอรายการท่ีมีมูลค่าปานกลาง (Medium- Value Items) คือสินค้าคงคลัง ร้อยละ 25 ถึงรอ้ ยละ 30 ของสินค้าคงคลังทั้งหมด แต่มูลค่ารวมปานกลางอยู่ท่ีร้อยละ 15 ของมูลค่า ท้ังหมดของการวัสดคุ งคลงั ใน 1 ปี 3.3 วัสดุประเภท C เป็นวัสดุคงคลังเป็นรายการท่ีมีมูลค่าต่า (Low- Value Items) คือ สินค้าคงคลังร้อยละ 50 ถึงร้อยละ 60 ของสินค้าคงคลังทั้งหมด แต่มูลค่ารวมต่าถึงร้อยละ 5 ของ มลู ค่าทั้งหมดของการวัสดุคงคลงั ใน 1 ปี โดยแสดงไว้ในแผนภมู ทิ ่ี 7.1 แผนภูมิที่ 7.1 การบริหารสนิ ค้าคงคลงั แบบ ABC ทม่ี า : เข้าถึงไดจ้ าก http://www.checkstockpro.com [2559, มกราคม 15]
187 3.3.1 ควบคุมอยา่ งเขม้ มากด้วยการลงบญั ชอี ยูส่ ม่าเสมอ เช่น การลงบัญชีทุก สัปดาห์ การควบคมุ จงึ ควรใช้ระบบสินคา้ คงคลังอยา่ งต่อเนอื่ งและตอ้ งเกบ็ ของไว้ในที่ปลอดภัย ในดา้ น การจัดซอื้ จึงควรหาผู้ขายไวห้ ลายรายเพอ่ื ลดความเสียงจากการขาดแคลนสนิ คา้ และสามารถเจรจา ตอ่ รองราคาได้ 3.3.2 ควบคุมอย่างเข้มงวดปานกลาง สาหรับการคุมนี้จะมีการทาบัญชีคุมยอด บันทึกเสมอเช่นเดียวกบั A ควรมกี ารเบิกจา่ ยอยา่ งเปน็ ระบบเพอ่ื ปอู งกนั การสญู หาย การตรวจนับจานวน จริงก็ทาเช่นเดียวกับ A แต่ความถ่ีน้อยกว่า (เช่น ทุกสิ้นเดือน) และการควบคุม B จึงควรใช้ระบบสินค้า คงคลังอย่างตอ่ เน่อื งเช่นเดยี วกับ A 3.3.3 ไมม่ ีการจดบนั ทกึ หรอื มีก็เพียงเลก็ น้อย สินค้าคงคลังประเภทนี้จะวางให้หยิบ ใชไ้ ด้ตามสะดวก เน่ืองจากเป็นของราคาถูกและมีปริมาณมาก ถ้าทาการควบคุมอย่างเข้มงวด จะทาให้มี ค่าใช้จ่ายมากซ่ึงไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ท่ีได้ปูองกันไม่ให้ของสูญหาย การตรวจนับ C จะใช้ระบบสินค้าคง คลังแบบส้นิ งวดคือเวน้ ระยะจะมาตรวจนบั ดูวา่ พร่องไปเทา่ ใดแลว้ ก็ซื้อมาเตมิ หรืออาจใช้ระบบสองกล่อง (Two-bin System) ซง่ึ มกี ลอ่ งวสั ดุอยู่ 2 กลอ่ ง เป็นการเผอ่ื สารองไว้ พอใช้ของในกล้องแรกหมดก็นาเอา กลอ่ งสารองมาใช้แล้วรบี ซ้อื ของเตมิ ใสก่ ลอ้ งแรกทหี่ มดไว้เป็นกลอ่ งสารองแทนทาใหไ้ มม่ กี ารขาดมือ ตวั อย่าง ฝุายซ่อมบารงุ ในโรงงานแหง่ หน่ึงรับผิดชอบในการสารองอะไหลใ่ นการซ่อมบารุงเคร่ือง จกั รซงึ่ ไดเ้ ก็บประวัตกิ ารใชง้ านทผ่ี ่านมา มีหมายเลขชน้ิ ส่วน ดังแสดงในตารางท่ี 7.1 ตารางที่ 7.1 รายการสินค้า ราคาตอ่ หนว่ ยและการใช้งานประจาปี ช้นิ ส่วนที่ ต้นทนุ ตอ่ หนว่ ย จานวนหน่วยทใี่ ช้ 1 150 90 2 1400 40 3 15 130 4 550 60 5 20 10 6 110 180 7 75 170 8 400 50 9 300 6 10 40 120 ทมี่ า : เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.check stockpro.com [2559, มกราคม 15] สามารถหาช้ันของอะไหล่โดยคณู ระหวา่ งตน้ ทุนตอ่ หน่วยกับจานวนหน่วยท่ีใช้ และจัดช้นั ของ ชน้ิ ส่วนทีม่ ูลค่าสงู ลงมาต่า ได้ดังน้ี
188 ตารางท่ี 7.2 การจดั ลาดบั สนิ ค้าคงคลงั ตามมลู ค่าการใช้ ชิน้ ส่วนที่ เรยี งลาดับ ราคาตอ่ หนว่ ย จานวนใชป้ ระจาปี มูลคา่ รวม 1 5 150 90 13,500 2 1 1,400 40 56,000 3 8 15 130 1,950 4 2 550 60 33,000 5 10 20 10 200 6 4 110 180 19,800 7 6 75 170 12,750 8 3 400 50 20,000 9 9 300 6 1,800 10 7 40 120 4,800 ที่มา : เข้าถงึ ได้จาก http://www.check stockpro.com [2559, มกราคม 15] จากนัน้ นารายการสินค้ามาจดั เรยี งใหมจ่ ากมลู คา่ สงู ลงมาสู่มูลคา่ น้อยไดต้ ามตารางที่ 7.3 ตารางที่ 7.3 การจดั ลาดับสนิ คา้ คงคลังตามมลู ค่าการใช้สะสม ลาดบั ท่ี ช้ินสว่ นท่ี มลู ค่ารวม มลู คา่ สะสมที่ใช้ประจาปี ร้อยละของมลู คา่ สะสมท่ีใช้ 1 2 56,000 56,000 34.18 2 4 33,000 89,000 54.33 3 8 20,000 109,000 66.54 4 6 19,800 128,000 78.63 5 1 13,500 142,300 86.87 6 7 12,750 155,050 94.65 7 10 4,800 159,850 97.58 8 3 1,950 161,800 98.77 9 9 1,800 163,600 99.87 10 5 200 163,800 100 ที่มา : เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.check stockpro.com [2559, มกราคม 15] ผลการวิเคราะหร์ ะบบสินคา้ คงคลังด้วยระบบ ABC นามาสรุปผลไดด้ งั ตารางท่ี 7.4 ตารางที่ 7.4 ผลการจัดลาดับสนิ ค้าคงคลงั ด้วยระบบ ABC ช้ัน ร้อยละของรายการ รายการ %ของมูลค่ารวม %ของปริมาณ สนิ ค้า A 40 2,4,6 8 75.69 109,000 B 20 1,7 18.23 26,250 C 40 3,5,9,10 6.08 8,750 ทมี่ า : เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.checkstockpro.com [2559, มกราคม 15]
189 7.6.2 การตรวจนับจานวนสินคา้ คงคลัง 1) วิธีปิดบัญชีตรวจนับ คือเลือกวันใดวันหน่ึงที่จะทาการปิดบัญชีแล้วห้ามมิให้มี การเบิกจ่าย เพิ่มเตมิ หรอื เคลือ่ นย้ายสินคา้ คงคลังทกุ รายการ โดยต้องหยุดการซ้ือ-ขายตามปกติ แล้ว ตรวจนับของทั้งหมด วิธีนี้จะแสดงมูลค่าของสินค้าคงคลัง ณ วันท่ีตรวจนับได้อย่างเที่ยงตรง แต่ก็ทา ให้เสียรายไดใ้ นวันที่ตรวจนบั ของ 2) วิธีเวียนกันตรวจนับ (Cycle Counting) จะปิดการเคลื่อนย้ายสินค้าคงคลังเป็น สว่ นๆ เพอื่ ตรวจนับเมื่อสว่ นใดตรวจนับเสร็จก็เปิดขายหรือเบิกจ่ายได้ตามปกติและปิดแผนกอื่นตรวจ นบั ต่อไป จนครบทุกแผนก วิธนี จี้ ะไมเ่ สยี รายไดจ้ ากการขายแตโ่ อกาสทจี่ ะคลาดเคล่ือนมีสงู 7.7 ระบบการบริหารและการควบคุมสนิ ค้าคงคลัง Heizer & Berry (2011) Vogt, Pienaar & De Wit (2002) Stock & Lambert (2001) และ Stevenson (2002) มแี นวคิดในโดยภาพรวมเป็นไปในทิศทางเดียวกันถึงระบบการจัดการสินค้า คงคลังที่เป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายในธุรกิจอุตสาหกรรม ได้แก่ ระบบขนาดการส่ังซ้ือท่ีประหยัด (EOQ) ระบบการวางแผนความต้องการวัสดุ (MRP) ระบบสนิ ค้าคงคลังของการผลิตแบบทันเวลาพอดี (JIT) และระบบห่วงโช่อุปาทาน (Supply Chain Management) เนื่องจากรายละเอียดของแต่ละ ระบบมคี วามหลากหลายในเอกสารทางวิชาการหลายเล่ม สาหรับเอกสารประกอบการสอนฉบับนี้ขอ นาเสนอระบบทน่ี ่าสนใจดงั น้ี ระบบแรกท่ีจะนาเสนอ คือ ระบบการส่ังซ้ือโดยใช้แบบจาลองปริมาณการส่ังซ้ือแบบ ประหยัดหรือท่ีเรียกโดยทั่วไปว่า ตัวแบบการส่ังซื้อที่ประหยัดที่สุด (Economic Order Quantity : EOQ) ซึ่งเป็นการตัดสินใจใช้เป็นทางเลือกระหว่างต้นทุนค่าจัดเก็บและต้นทุนการส่ังซื้อสินค้า นอกจากน้ันยังสามารถใช้ในการตัดสินใจในการพิจารณาเลือกในการลงทุนให้มีต้นทุนการสั่งซื้อต่าสุด และสามารถลดตน้ ทนุ สินค้าคงคลงั ท้ังระบบผปู้ อู นปจั จยั การผลิต รูปแบบการคานวณของระบบ EOQ มีหลากหลายวิธีภายใต้ข้อสมมติฐานท่ีแตกต่างกัน สาหรับเอกสารฉบับน้ีขอนาเสนอรูปแบบการ คานวณอยา่ งงา่ ยดังนี้ 7.7.1. ระบบขนาดการสั่งซื้อที่ประหยัด (Economic Order Quantity : EOQ) ขนาด การสั่งซื้อที่ประหยัด เป็นระบบสินค้าคงคลังที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมานาน โดยที่ระบบนี้ใช้กับสินค้า คงคลังที่มีลกั ษณะของความต้องการทเ่ี ป็นอิสระไม่เกยี่ วข้องตอ่ เน่ืองกับความต้องการของสินค้าคงคลัง ตัวอื่น จึงต้องวางแผนพิจารณาความต้องการอย่างเป็นเอกเทศด้วยวิธีการพยากรณ์อุปสงค์ของลูกค้า โดยตรง เช่น การวางแผนผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เป็นต้น ระบบขนาดการสั่งซื้อท่ีประหยัดจะ พิจารณาต้นทุนรวมของสินค้าคงคลังท่ีต่าสุดเป็นหลักเพื่อกาหนดระดับปริมาณการสั่งซ้ือต่อครั้งท่ี เรียกว่า “ขนาดการส่ังซื้อที่ประหยัด” การใช้ระบบขนาด การส่ังซ้ือท่ีประหยัดมีทั้งหลายกรณีซ่ึง
190 ผเู้ รยี นสามารถสบื ค้นได้ต่อไป สาหรบั ในการศึกษาน้ีขอนาเสนอเฉพาะกรณีขนาดการส่ังซื้อท่ีประหยัด ทอ่ี ุปสงคค์ งทแี่ ละสนิ ค้าคงคลังไม่ขาดมือ โดยมีสมมติฐานท่ีกาหนดเปน็ ขอบเขตไว้วา่ อยา่ งชดั เจน 1) ทราบปรมิ าณอุปสงค์อย่างชัดเจน และอุปสงค์คงท่ี 2) ได้รับสินค้าท่สี ัง่ ซ้ือพร้อมกันทง้ั หมด 3) เวลารอคอย (Lead time) ซึ่งเปน็ ช่วงเวลาต้ังแตซ่ อ้ื จนได้รบั สนิ คา้ คงที่และถกู ระบุ 4) ตน้ ทุนการเก็บรกั ษาสินค้าและตน้ ทนุ การสง่ั ซ้ือคงท่ี 5) ราคาสนิ ค้าท่สี ง่ั ซ้ือคงท่ี 6) ไม่มสี ภาวะของขาดมือเลย การหาขนาดการส่ังซ้ือประหยัด (EOQ) และต้นทุนรวม (TC) จะทาไดจ้ ากสูตรดังนี้ EOQ = 2DO C TC = D Q C Q O 2 โดย EOQ = ขนาดการสงั่ ซื้อต่อครัง้ ที่ประหยัด (Q*) D = อุปสงค์หรอื ความต้องการสินคา้ ตอ่ ปี (หน่วย) O = ตน้ ทุนการส่งั ซื้อ หรือต้นทุนการต้ังเครื่องจักรใหม่ต่อคร้งั (บาท) C = ตน้ ทนุ การเกบ็ รักษาต่อหน่วยตอ่ ปี (บาท) Q = ปริมาณการสง่ั ซ้ือต่อคร้ัง (หน่วย) TC = ต้นทุนสินค้าคงคลังโดยรวม (บาท) ตน้ ทนุ การส่ังซื้อต่อปี = D Q O ต้นทนุ การเกบ็ รักษาต่อปี = Q C 2 จานวนการส่งั ซื้อต่อปี = D Q*
191 รอบเวลาการสั่งซ้ือ = Q D* ถา้ ต้องการตน้ ทุนรวมที่ตา่ สุด จานวนสัง่ ซอ้ื ตอ่ ปี หรือรอบเวลาการสงั่ ซ้ือทีจ่ ะสามารถ ประหยัดได้มากท่ีสุด ใหแ้ ทน Q ดว้ ย EOQ หรือ Q* ทคี่ านวณได้ ตวั อย่างกรณศี ึกษา สถานประกอบการแห่งหนึ่งจาหน่ายวัสดุฝูาเพดานประมาณการว่า ปีน้ีจะมีอุปสงค์รวม 4,000 ตารางเมตร ต้นทุนการเก็บรักษาเท่ากับ 0.25 บาท ต้นทุนการสั่งซ้ือครั้งละ 16 บาท จง คานวณหา ขนาดการส่ังซื้อที่ประหยัด ต้นทุนรวมที่ต่าสุด จานวนคร้ังของการสั่งซ้ือที่ประหยัดที่สุด และถ้าหากเวลาเปิดทาการขายมีทงั้ สิ้น 340 วันตอ่ ปี รอบการสั่งซ้ือประหยัดที่สุดจะเปน็ เทา่ ไร วธิ ีการคานวณ 1. ขนาดการสง่ั ซ้ือท่ีประหยัด (EOQ) EOQ = 2DO C = 2(4,000)(16) (0.25) = 715.54 ตารางเมตร หรอื 716 ตารางเมตร 2. ต้นทนุ รวมท่ีตา่ สุด = D Q C TC Q O 2 = (4000)(16) (716)(0.25) 716 2 = 89.40 +89.50 = 178.88 บาท หรือ 179 บาท 3. จานวนครงั้ ของการส่ังซื้อท่ีประหยัดที่สดุ = 4000 = 5.6 ครง้ั ตอ่ ปี หรอื 6 ครั้งตอ่ ปี 716
192 4. ถ้าสถานประกอบการแห่งนี้เปิดขาย 340 วันต่อปี รอบการส่ังซอ้ื ประหยัดทีส่ ุดคือ = Q * = 716x340 = 60.90 วนั หรอื 61 วัน D 4,000 7.7.2 ระบบการวางแผนความต้องการวสั ดุ (Material Requirement Planning : MRP) ระบบการวางแผนความต้องการวัสดุได้มีการพัฒนาข้ึนพร้อมกับความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ โดยแนวคิดของระบบ MRP มงุ่ เน้นการสั่งวัสดุให้ถูกต้อง เพียงพอกับจานวน ท่ีต้องการ และในเวลาที่ต้องการ การจะดาเนินการให้บรรลุตามเปูาหมายดังกล่าวน้ีได้ จาเป็นต้องมี การประสานงานภายในระบบ เป็นอย่างดี ระหว่าง ความต้องการของลูกค้า (Customers) ผู้ผลิต และผู้ส่งมอบ (Suppliers) โดยมีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ช่วยในการประสานและรวบรวมข้อมูลของ ฝุายต่างๆมาทาการประมวลผลและจัดทาเป็นแผนความต้องการวัสดุแต่ละรายการ ซ่ึงผลจากระบบ MRP จะเป็นรายงานที่บอกให้ทราบว่าจะต้องทาการสั่งซ้ือหรือส่ังผลิตวัสดุอะไร จานวนเท่าไรและ เมื่อไร โดยแผนการส่ังวัสดุท้ังหมดจะมีเปูาหมายที่สอดคล้องกัน คือผลิตภัณฑ์ หรือวัสดุข้ันสุดท้ายท่ี กาหนดไว้ในตารางการผลิตหลัก ด้วยเหตุนี้แผนความต้องการวัสดุน้ีจึงเปรียบเสมือนเป็นตัวประสาน เปูาหมายของบริษัทกับทุกฝุาย ดังนั้นการทางานของทุกฝุายจึงต้องพยายามยึดแผนเป็นหลัก และ ทางานประสานเป็นทีมยิ่งขึ้น ระบบ MRP บางคร้ังมักจะถูกเรียกว่าเป็นระบบผลัก (Push System) เน่ืองจาก การผลิตจะเหมือนกับถูกผลักให้ทาการผลิต นับจากวัตถุดิบและ/หรือ ชิ้นส่วน ท่ีไหลเข้ามา ในโรงงานผ่านการส่ังซื้อ และจะถูกส่งให้ทาการผลิตเป็นช้ินส่วนและช้ินส่วนประกอบย่อย และส่ง ต่อไปเพ่ือผลิตเป็นชิ้นส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ในลาดับสุดท้าย โดยมีแผนที่ได้จากระบบ MRP เป็นกลไกในการส่ังให้หน่วยงานต่างๆทาการผลิต และมีตารางการผลิตหลัก (Master Production Schedule) เป็นตัวขับเคล่ือนกลไกท่ีสาคัญ (การวางแผนความต้องการวัสดุ. เข้าถึงได้จาก http://www.pimtraining.com. 2559,พฤษภาคม 19) 1) ความหมายของ MRP พิภพ ลลิตาภรณ์ (2556 : 393-459) ได้อธิบายระบบ MRP ไว้ว่าเป็นกระบวนการ การวางแผนอย่างเป็นระบบเพื่อแปลงความต้องการผลิตภัณฑ์หรือวัสดุขั้นสุดท้ายของโรงงาน ท่ี กาหนดในตารางการผลติ หลกั ไปส่คู วามตอ้ งการ ชนิ้ สว่ นประกอบ ช้นิ ส่วนประกอบย่อย ช้ินส่วน และ วัตถุดิบ ท้ังชนิดและจานวนให้เพียงพอและทันเวลากับความต้องการในแต่ละช่วงเวลาตลอด ระยะเวลาของการวางแผน อย่างไรก็ตามในการคานวณความต้องการวัสดุในระดับต่างๆของการผลิต ได้อย่างถูกต้อง และ ตรงเวลานั้น เราจาเป็นต้องรู้ข้อมูลวัสดุต่างๆที่จาเป็นต่อการผลิตผลิตภัณฑ์ เหล่าน้ันซ่ึงข้อมูลดังกล่าวประกอบด้วยแฟูมข้อมูลบัญชีรายการวัสดุ (Bill of Materials) และ แฟูมข้อมูลสถานะคงคลัง (Inventory status files) สรุปก็คือ MRP เป็นระบบสารสนเทศ คอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการจัดทาแผนความต้องการวัสดุ วางแผนการสั่งวัสดุให้สอดคล้องกับความ
193 ตอ้ งการ ท้งั ประเภทของวัสดุที่ต้องการ เวลาท่ีต้องการ และจานวนที่ต้องการ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะ ให้บรรลุความสาเร็จโดยมีองค์ประกอบของข้อมูลนาเข้าท่ีสาคัญ 3 รายการ คือ ตารางการผลิตหลัก แฟูมข้อมูลบัญชีรายการวัสดุ (Bill of material File) และ แฟูมข้อมูลสถานะคงคลัง (Inventory status file) แผนจากระบบ MRP จะให้สารสนเทศในการตัดสินใจเกี่ยวกับ ช่วงเวลาท่ีควรออกใบสั่ง และจานวนการสงั่ ทเ่ี หมาะสม 2) องคป์ ระกอบของระบบ MRP ในการทางานภายใต้ระบบ MRP จะมีองค์ประกอบ ท่ีสาคัญอยู่ 3 ส่วน ส่วนที่หนึ่ง การนาเข้าข้อมูล (Input) ส่วนท่ีสอง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ MRP (MRP Computer Program) และส่วนที่สามผลได้ (Output) ในการทางานของระบบนี้แสดงไว้ใน แผนภาพท่ี 7.3 แผนภาพที่ 7.1 องค์ประกอบของระบบ MRP ทมี่ า : พภิ พ ลลิตาภรณ์ (2556 : 393)
194 7.7.3. ระบบสินค้าคงคลงั ของการผลติ แบบทนั เวลาพอดี (Just in Time Production Systems) ศูนย์ข้อมูลธุรกิจและข้อมูลทางการตลาด (2559) กล่าวสรุปว่า การผลิตแบบ JIT คือ การท่ีช้ินส่วนท่ีจาเป็นเข้ามาถึงกระบวนการผลิตในเวลาที่จาเป็นและด้วยจานวนที่จาเป็นหรืออาจ กล่าวได้ว่า JIT คือ การผลิตหรือการส่งมอบ “ส่ิงของท่ีต้องการ ในเวลาท่ีต้องการ ด้วยจานวนท่ี ตอ้ งการ” ใชค้ วามต้องการของลูกค้าเป็นเคร่อื งกาหนดปริมาณการผลิตและการใช้วัตถุดิบ ซึ่งลูกค้าใน ที่น้ีไม่ได้หมายถึงเฉพาะลูกค้าผู้ซ้ือสินค้าเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงบุคลากรในส่วนงานอ่ืนที่ต้องการ งานระหว่างทาหรือวัตถุดิบเพื่อทาการผลิตต่อเนื่องด้วย โดยใช้วิธีดึง (Pull Method of Material Flow) ควบคุมวัสดุคงคลังและการผลิต ณ สถานที ่ที าการผลิตนั้นๆ ซ่ึงถ้าทาได้ตามแนวคิดนี้แล้ววัสดุ คงคลังทไ่ี มจ่ าเปน็ ในรปู ของวัตถดุ ิบ งานระหวา่ งทาและสนิ ค้าสาเรจ็ รปู จะถกู ขจัดออกไปอย่างสน้ิ เชิง 1) วตั ถปุ ระสงคข์ องการผลิตแบบทนั เวลาพอดี ก. ควบคมุ วัสดุคงคลงั ให้อย่ใู นระดับท่ีน้อยทีส่ ดุ หรือใหเ้ ทา่ กับกับศนู ย์ (Zero inventory) ข. ลดเวลานาหรอื ระยะเวลารอคอยในกระบวนการผลติ (Zero lead time) ค. ขจดั ปัญหาของเสียที่เกิดข้ึนจากการผลติ (Zero failures) ง. ขจดั ความสญู เปลา่ ในการผลติ (Eliminate 7 Types of Waste) 2) ผลกระทบจากการผลิตแบบทันเวลาพอดี ก. ปริมาณการผลิตขนาดเล็ก (Small lot size) ระบบผลิตแบบทันเวลาพอดีจะ พยายามควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับท่ีน้อยท่ีสุดเพื่อไม่ก่อให้เกิดต้นทุนในการจัดเก็บและต้นทุน ค่าเสยี โอกาส จงึ ผลติ ในปริมาณที่ตอ้ งการ ข. ระยะเวลาการติดต้งั และเริ่มการดาเนินงานสนั้ (Short setup time) ผลจากการลด ขนาดการผลิตให้เล็กลง ทาให้ฝุายผลิตต้องเพ่ิมความถี่ในการจัดการขึ้น ดังน้ันผู้ควบคุมกระบวนการ ผลติ จึงตอ้ งลดเวลาการติดตั้งใหส้ ัน้ ลง เพ่ือไมใ่ ห้เกิดเวลาว่างเปล่าของพนักงานและอุปกรณ์และให้เกิด ประสทิ ธิภาพเตม็ ที่ ค. วัสดุคงคลังในระบบการผลิตลดลง (Reduce WIP inventory) เหตุผลที่จาเป็นต้อง มีวัสดุคงคลังสารองเกิดจากความไม่แน่นอน ไม่สม่าเสมอท่ีเกิดข้ึนระหว่างกระบวนการผลิตระบบ ทันเวลาพอดีมนี โยบายท่ีจะขจัดวัสดุคงคลังสารองออกไปจากกระบวนการผลิตให้หมด โดยให้คนงาน ช่วยกนั แกไ้ ขปญั หาความไมส่ ม่าเสมอทเ่ี กดิ ขึ้น ง. สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างทั่วถึง ในระบบผลิตทันเวลาพอดีผู้ปฏิบัติงาน จะเป็นผ้คู วบคุมและตรวจสอบคุณภาพด้วยตนเอง หรือที่เรียกว่า คุณภาพ ณ แหล่งกาเนิด (Quality at the source)
195 3) ประโยชนท์ เ่ี กดิ จากการผลิตแบบทนั เวลาพอดี ก. เปน็ การยกระดบั คณุ ภาพสินคา้ ให้สูงขน้ึ และลดของเสียจากการผลิตให้น้อยลง เม่ือผู้ปฏิบัติการฝุายงานผลิตได้ดาเนินการผลิตช้ินส่วนเสร็จก็จะส่งต่อไปให้กับผู้ปฏิบัติการคนต่อไป ทันที ถ้าพบข้อบกพร่องคนงานที่รับช้ินส่วนมาก็จะรีบแจ้งให้คนงานท่ีผลิตทราบทันทีเพ่ือหาสาเหตุ และแกไ้ ขให้ถกู ตอ้ ง คุณภาพสินค้าจงึ ดีขน้ึ ต่างจากการผลิตคร้ังละมากๆ คนงานที่รับชิ้นส่วนมากมัก ไม่สนใจข้อบกพร่องแตจ่ ะรบี ผลิตต่อทนั ทีเพราะยังมีช้ินสว่ นท่ีตอ้ งผลติ ต่ออีกมาก ข. ตอบสนองความต้องการของตลาดได้เรว็ เนอื่ งจากการผลิตมีความคลอ่ งตัวสงู การ เตรยี ม การผลิตใชเ้ วลานอ้ ยและสายการผลิตกส็ ามารถผลติ สินค้าได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน จึงทา ใหส้ นิ คา้ สาเรจ็ รูปคงคลงั เหลืออยูน่ อ้ ยมาก เพราะเป็นไปตามความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง การ พยากรณ์การผลิตแม่นยาขึ้นเพราะเป็นการพยากรณ์ระยะส้ัน ผู้บริหารไม่ต้องเสียเวลาในการแก้ไข ปัญหาต่างๆในโรงงาน ทาให้มีเวลาสาหรับการกาหนดนโยบาย วางแผนการตลาดและเร่ืองอ่ืนๆ ได้ มากขึ้น ค. คนงานจะมีความรับผดิ ชอบตอ่ งานของตนเองและงานของส่วนรวมสูงมาก ความรับผิดชอบต่อตนเองก็คือจะต้องผลิตสินค้าที่ดี มีคุณภาพสูง ส่งต่อให้คนงานคนต่อไปโดยถือ เหมอื นวา่ เป็นลูกค้า ด้านความรับผิดชอบต่อส่วนรวมก็คือคนงานทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ปัญหาเม่ือมี ปัญหาเกิดขนึ้ ในการผลติ เพือ่ ไมใ่ หก้ ารผลิตหยุดชะงกั เปน็ เวลานาน (ระบบการผลติ แบบทันเวลาพอดี. เข้าถึงไดจ้ าก: http://www.bus.tu.ac.th. 2559, เมษายน 5) 7.7.4. ระบบสินค้าคงคลังของการผลิตโดยใช้ระบบห่วงโซ่อุปาทาน (Supply Chain Management: SCM) ศากุน บุญอติ (2558 : 19-42) ได้กล่าวถึงการจัดการห่วงโซ่อุปทานหรือเอกสารทาง วิชาการบางเล่มเรียกว่า ซัพพลายเชน เลยก็มี ส่วนคาศัพท์เทคนิคในภาษาอังกฤษใช้คาว่า Supply Chain Management : SCM) วัตถุประสงค์ของ SCM เป็นระบบซ่ึงมุ่งเน้นการตอบสนองตอบต่อ ความต้องการของลูกค้าโดยให้ความสาคัญกับประสิทธิภาพการผลิตและการดาเนินงาน สาหรับ หลักการบริหารจะเน้นความร่วมมือทั่วทั้งระบบ สาหรับปริมาณคลังสินค้าท่ีจัดเก็บน้ันจะมีสินค้าคง คลงั คงเหลอื นอ้ ย จงึ ใช้กลยทุ ธ์ในการเตมิ สนิ ค้าใหท้ ันตามความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ SCM ยัง ม่งุ เนน้ เรอื่ งของการตอบสนองทกุ ฝุายท่ีมสี ว่ นเก่ียวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ผู้ปูอนปัจจัยการผลิต (Supplier) ผู้ผลิต (Producer) ผู้กระจายสินค้า (Distributor) รวมท้ังลูกค้าผู้รับมอบผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย (Customer) ผมู้ สี ่วนเกีย่ วข้องทุกฝาุ ยมีเปาู หมายร่วมกนั ในการดาเนินงานผลิตของสถานประกอบการ สาหรับบทบาทของการจัดการหว่ งโซอ่ ปุ ทานกบั บทบาทของการจัดการโลจิสติกส์ที่มีความแตกต่างกัน ซ่ึงผู้เรียนจะได้ศึกษาในบทท่ี 9 ซ่ึงผู้เขียนได้แบ่งเนื้อเรื่องเพ่ือให้เห็นความแตกต่างของสองคานี้ไว้คน ละบทเรียนอีกด้วย วตัตาถมดุ แบิ นจวาคสกิดาจหขุดรอตบั1งน้ )บทศชทาา่วนกงไงุนข้ี ปตอสบ้นนจูุ่ญนาดุ เ้าอสทิต(นเี่ Iกnอ(ิด2นbก5าo5าเuรส8ผnน:ลdอ1ิตบ9Lท)oบดgาังisนทtี้ขicอ-Uงหp่วsงtอreปุ aทmาน)ในหบมาทยบถาึงทกขาอรงขโนลสจ่งิสเตคกิลสอ่ื ์นยา้ ย
196 2) ช่วงปลายน้า (Outbound Logistics-Downstream) หมายถึง การขนส่ง เคลอื่ นยา้ ยสนิ ค้าสาเรจ็ รปู จากจดุ ทเ่ี กิดการผลติ ไปสู่จุดหมายปลายทางอันไดแ้ กผ่ ูบ้ รโิ ภค 3) ช่วงกลบั (Reverse Logistics) หมายถงึ การขนส่งเคลอื่ นยา้ ยสินค้าสาเรจ็ รูปที่ เสียหาย หมดอายุการใชง้ าน รวมถึงสนิ ค้าที่ขายไม่ได้ จากจุดของผ้บู รโิ ภคกลับสจู่ ดุ การผลิตอีกคร้ัง กรอบแนวคิดของห่วงโซ่อุปทานตามแนวคิดของ Cooper Lambert & Pagh (1997 : 1-14) นักวิชาการผู้น้ีได้แบ่งองค์ประกอบหลักท่ีสาคัญเป็นสามส่วนได้แก่ ส่วนแรกโครงสร้างของ เครือข่าย (Supply Chain Network) หมายถึงสมาชิกหลักที่เช่ือมโยงกระบวนการทางธุรกิจเข้าไว้ ด้วยกันต้ังแต่ผู้ปูอนปัจจัยการผลิตจนถึงผู้บริโภค ส่วนที่สองกระบวนการทางธุรกิจ (Supply Chain Business Process) หมายถึง กระบวนการทางธุรกิจที่เช่ือมโยงระหว่างกันของสมาชิกนับจากบริษัท ศนู ยก์ ลางออกไปสู่ลาดบั ถดั ไปโดยสมาชิกท่ีสาคัญจะอยู่ใกล้ศูนย์กลาง และส่วนที่สามองค์ประกอบใน การจัดการ (Supply Chain Management Components) หมายถึง ระดับของการบูรณาการและ จัดการท่ีใช้ในการเช่ือมโยงกระบวนการทางธุรกิจท่ีเก่ียวข้องโดยองค์ประกอบในการจัดการห่วงโซ่ อุปทานมี 2 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบด้านแรกด้านกายภาพและเทคนิค เช่น เคร่ืองมือในการ วางแผนควบคุม โครงสร้างการทางาน โครงสร้างของสถานประกอบการ เป็นต้น การติดต่อส่ือสาร และการรับข้อมูลและโครงสร้างการผลิต เป็นต้น องค์ประกอบด้านท่ีสอง ได้แก่ องค์ประกอบด้าน การจัดการและพฤติกรรมศาสตร์ เช่น กลยุทธ์การบริหาร โครงสร้างอานาจคาส่ังภายในสถาน ประกอบการ โครงสร้างด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน ตลอดจนวัฒนธรรมและทัศนคติของ ผู้ประกอบการ เปน็ ต้น จากท่ีกล่าวมาข้างต้นเร่ืองระบบการบริหารและการควบคุมสินค้าคงคลังจึงขอสรุปตาราง เปรยี บเทยี บการใชร้ ปู แบบการบรหิ ารสนิ ค้าคงคลงั ดังตารางที่ 7.5 ตารางที่ 7.5 เปรียบเทยี บการใช้ระบบการบริหารสนิ คา้ คงคลงั รปู แบบ EOQ JIT MRP SCM Just in time Supply Chain ศัพท์เทคนิค Economic Order Material Management Quantity การผลติ ทันเวลาพอดี Requirement Planning การจดั การหว่ งโซ่ คาแปล การสั่งซือ้ ทป่ี ระหยัด ลดต้นทนุ และ อุปทาน ที่สดุ การไหลของระบบ การจดั การ การตอบสนองความ ความตอ้ งการวสั ดุ ต้องการของลูกคา้ วตั ถปุ ระสงค์ ตน้ ทุนตา่ ท่ีสุด เนน้ ประสิทธภิ าพ ลดตน้ ทนุ และ การผลิต ประสทิ ธภิ าพใน การบรหิ ารสนิ คา้ คงคลัง
197 ตารางท่ี 7.5 เปรียบเทยี บการใช้ระบบการบรหิ ารสินคา้ คงคลัง (ตอ่ ) รปู แบบ EOQ JIT MRP SCM หลักการ คานงึ ถงึ การสัง่ ซื้อ ลดการเก็บสนิ คา้ มสี ินคา้ คงคลัง สนิ คา้ คงคลงั คงเหลือ บรหิ าร ท่ีประหยดั เมอื่ จานวน คงคลงั ทีเ่ ปน็ ศูนย์ สารองเผ่อื ฉุกเฉิน น้อยเนน้ การเตมิ สินคา้ คงคลงั ถึงจดุ (Zero Stock) จานวนหนง่ึ สนิ คา้ ให้ทนั ความ สงั่ ซ้อื ต้องการของลกู คา้ หนว่ ยงานท่ี หน่วยงานทเ่ี กี่ยวข้องมี หนว่ ยงานทเ่ี กีย่ วขอ้ ง มลี กั ษณะคลา้ ยงกนั ตอบสนองความ เก่ยี วขอ้ ง เฉพาะภายในองคก์ าร ยงั คงมเี ฉพาะภายใน กบั การผลติ ทนั เวลา ต้องการของผู้มีสว่ น ได้แก่แผนกตา่ งๆ เชน่ สถานประกอบการ พอดี คือ หน่วยงาน ได้สว่ นเสียทกุ ฝาุ ยที แผนกบัญชี แผนก แต่มีความเชือ่ มโยงไป ท่เี กยี่ วขอ้ งยงั คงมี เกีย่ วขอ้ ง ได้แก่ การเงิน แผนกบรหิ าร ยังผ้ปู อู นปจั จัยการผลติ เฉพาะภายในสถาน ผ้ปู ูอนปจั จัยการผลติ ทรพั ยากรมนุษย์ และ ประกอบการแตม่ ี ผผู้ ลิต ผกู้ ระจาย แผนกผลิต ความเช่อื มโยงไป สนิ ค้า รวมทง้ั ลกู คา้ ยงั ผู้ปูอนปัจจัย ผรู้ ับมอบผลติ ภณั ฑ์ การผลิต ขั้นสุดทา้ ยผู้ ความสมั พนั ธ์ ไม่มเี ปาู หมายร่วมกนั ไม่มเี ปูาหมายรว่ มกนั ใช้ข้อมูลรว่ มกนั แต่ มีเปาู หมายรว่ มกัน กับหน่วยงาน จะไมม่ กี ารเปดิ เผย ส่วนใหญจ่ ะไมม่ ี ไม่ไดม้ เี ปาู หมาย ใช้ข้อมูลรว่ มกนั เป็น ภายนอก ขอ้ มูลซึ่งกนั และกัน มี การเปิดเผยข้อมลู ร่วมกัน ลกั ษณะพนั ธมติ รทาง ลักษณะการใชก้ ลยทุ ธ์ แต่มขี อ้ มูลบางประการ การค้า แขง่ ขนั สามารถเปดิ เผยได้ ทีม่ า : ดัดแปลงจาก ศากุน บุญอติ (2558) และ Stock & Lambert (2001) บทสรปุ สินค้าคงคลังเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนชนิดหน่ึงซึ่งกิจการต้องมีไว้เพ่ือขายหรือผลิตรวมถึง วตั ถุดบิ คือ สงิ่ ของหรอื ชิ้นสว่ นท่ีซอ้ื มาเพอ่ื ใช้ในการผลติ สินค้าทีอ่ ยใู่ นระหวา่ งผลิต คอื ชิน้ งานที่อยู่ใน ข้ันตอนการผลิตหรือรอคอยท่ีจะผลิตขั้นต่อไป โดยยังผ่านกระบวนการผลิตไม่ครบทุกตอน วัสดุซ่อม บารงุ คือ ชน้ิ สว่ นหรืออะไหล่เครอื่ งจกั รทีส่ ารองไวเ้ ผอื่ เปล่ียนเมื่อช้ินส่วนเดิมเสียหายหรือหมดอายุการ ใช้งานและสินค้าสาเร็จรูป คือ ผลผลิตท่ีผ่านทุกกระบวนการผลิต ครบถ้วนพร้อมที่จะนาไปขาย ให้ ลูกค้าได้ประโยชน์ของสินค้าคงคลังมีหลายประการ ได้แก่ ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าท่ี ประมาณการไวใ้ นแตล่ ะชว่ งเวลา ท้ังในและนอกฤดกู าล โดยธรุ กิจตอ้ งเก็บสินค้าคงคลังไว้ในคลังสินค้า และรักษาการผลติ ใหม้ ีอตั ราคงทีส่ ม่าเสมอ เพื่อรักษาระดับการว่าจา้ งแรงงาน การเดินเครื่องจักร ฯลฯ ให้สม่าเสมอได้ โดยจะเก็บสินค้าที่ขายไม่หมดในช่วงขายไม่ดีไว้ขายตอนช่วงขายดีซึ่งช่วงนั้นอาจจะ ผลิตไม่ทันขาย ทาให้ธุรกิจได้ส่วนลดปริมาณจากการจัดซ้ือคร้ังละมากๆ สาหรับกลยุทธ์ของการใช้ ระบบการบริหารและควบคุมสินค้าคงคลัง มีหลายวิธีได้แก่ การบริหารสินค้าคงคลังต้นทุนต่าที่สุด
198 การผลิตทนั เวลาพอดีที่เน้นการลดต้นทุนและการไหลของระบบ การจัดการความต้องการวัสดุการลด ต้นทุนและประสิทธิภาพในตอบสนองความต้องการของลูกค้า เน้นประสิทธิภาพการผลิตการจัดการ หว่ งโซ่อปุ ทานต้งั แต่ตน้ น้า ปลายนา้ และช่วงกลับซ่ึงมีความต่างกับเรื่องของการจัดการโลจิสติกส์ซ่ึงจะ ไดศ้ ึกษาในบทต่อไป
199 คาถามและกจิ กรรมทา้ ยบทท่ี 7 1. ใหอ้ ธิบายคาถามต่อไปน้ี 1.1 จงบอกความหมายของการบริหารสนิ คา้ คงคลงั 1.2 จงอธิบายความสาคัญของสินคา้ คงคลัง 1.3 จงบอกประเภทของสินค้าคงคลงั 1.4 ค่าใชจ้ า่ ยทเ่ี กยี่ วข้องกบั สนิ ค้าคลังมกี ่ีประเภทอะไรบา้ ง 1.5 จงบอกวัตถุประสงคข์ องการบริหารสินคา้ คงคลงั พรอ้ มคาอธิบายพอสังเขป 1.6 การจัดการสินคา้ คงคลงั ทม่ี ีประสทิ ธิภาพจะสง่ ผลในการดาเนนิ ธุรกิจอย่างไร 1.7 ประโยชน์ของการบริหารสนิ ค้าคงคลงั 1.8 อธบิ ายเชงิ เปรยี บเทยี บระบบการบริหารและการควบคุมสนิ คา้ คงคลัง 2. ให้กาเครื่องหมาย ในขอ้ ความท่สี รปุ ได้ถกู ต้องและกาเครื่องหมาย เพ่อื ปฏิเสธขอ้ ความท่ี สรปุ ผดิ หนา้ ข้อต่อไปนี้ ................ 2.1 การจดั การสินค้าคงคลัง เกยี่ วขอ้ งกับการเปล่ยี นแปลงระดับสนิ ค้าคงคลัง ……………. 2.2 สนิ ค้าสาเร็จรปู ท่ีมีอยู่ในคลังสนิ ค้า และยงั ไมไ่ ด้ขาย ไมใ่ ช่สนิ คา้ คงคลงั ……………. 2.3 สินค้าคงคลัง หมายถงึ วตั ถดุ ิบอยา่ งเดยี วเทา่ น้ัน ……………. 2.4 การมสี นิ คา้ คงคลังที่เพียงพอเป็นการตอบสนองความพึงพอใจของลกู ค้าได้ทนั เวลา ............... 2.5 การจัดการสนิ ค้าคงคลัง หมายถงึ การควบคุมและวางแผนในการควบคุมสนิ ค้าคง คลังให้มปี ริมาณมากท่ีสุดเพือ่ ตอบสนองความต้องการของลกู ค้าได้ทันเวลา .............. 2.6 ระบบสนิ คา้ คงคลังเม่ือสิน้ งวดใช้เวลามากกว่าและเสียค่าใชจ้ า่ ยในการควบคุม มากกวา่ ระบบต่อเน่ือง .............. 2.7 ค่าใชจ้ า่ ยทเ่ี กิดขนึ้ จากการมสี นิ ค้าคงคลงั ไม่เพยี งพอต่อการผลิตหรือการขาย ทาให้ ลูกค้ายกเลิกคาส่งั ซ้อื จดั เปน็ ค่าใชจ้ า่ ยในการเกบ็ รักษา …………… 2.8 ในบรรดาค่าใช้จ่ายเก่ียวกับสินค้าคงคลงั ต่างๆ เหล่านี้ คา่ ใชจ้ า่ ยในการเก็บรกั ษาจะ สูงขึ้นถ้ามีระดบั สินคา้ คงคลังสูง และจะต่าลงถา้ มีระดับสินคา้ คงคลังต่า .............. 2.9 การควบคมุ ไมใ่ หม้ สี ินคา้ มากหรือน้อยจนเกินไปเปน็ การจดั การพนื้ ทีจ่ ัดเก็บสินคา้ คงคลงั ใหค้ ุม้ ค่า ............. 2.10 การจดั ทาแผนการผลิตไดม้ าจากข้อมลู การพยากรณย์ อดขายของฝุายการตลาด 3. ฝาุ ยโรงงานของสถานประกอบการแหง่ หนงึ่ ต้องการคานวณขนาดการส่งั ซอ้ื ที่ประหยัดทีส่ ุดและ ต้นทุนรวมทตี่ า่ สดุ ซ่ึงมีข้อมลู อุปสงคต์ ่อปี 20,000 ตารางเมตร ตน้ ทนุ การเก็บรกั ษา 0.70 บาทตอ่ ชิ้น ตน้ ทนุ การส่งั ซ้ือ 50 บาท จงแสดงวธิ ที าโดยมีสตู รการคานวณท่ีกาหนดให้ดังน้ี หมายเหตุ : ให้ตอบทศนยิ มสองตาแหน่ง ถา้ มากกว่า 5 ให้ปัดขน้ึ น้อยกว่า 5 ใหป้ ัดลง
200 สูตรคานวณ EOQ = 2DO TC = D Q C Q O 2 C 3.1 ขนาดการสั่งซ้ือทปี่ ระหยัดที่สดุ สตู รคานวณ วธิ ีคดิ ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… สรปุ ขนาดการส่งั ซ้ือที่ประหยัดท่สี ุดเทา่ กับ…………………………… ตารางเมตร ANS # 3.2 ตน้ ทนุ รวมทต่ี ่าสุด สูตรคานวณ วิธีคิด……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… สรปุ ต้นทนุ รวมทตี่ า่ สดุ เทา่ กับ…………………………… บาท ANS #
201 เอกสารอ้างองิ บทท่ี 7 การจัดการคลังสนิ ค้าคงคลงั . (2560). [Online]. เขา้ ถึงได้จาก : http://www.logisticsorner.com [2560, พฤษภาคม 16] การวางแผนความต้องการวัสดุ. (2559). [Online]. เข้าถึงได้จาก : http://www.pimtraining .com, [2559, กมุ ภาพนั ธ์ 19] การบริหารงานผลิตในงานอุตสาหกรรม. (2559). [Online]. เขา้ ถึงได้จาก : http://www.nsru. ac.th [2559, เมษายน 9] การบริหารสนิ คา้ คงคลัง. (2559). [Online]. เขา้ ถึงไดจ้ าก : http://e- learning.mfu.ac.th [2559, กรกฎาคม 13] กมลชนก สทุ ธิวาทนฤพฒุ ิและคณะ. (2547). การจัดการโซ่อุปทานและโลจสิ ติกส์. กรงุ เทพฯ : ทอ้ ปแมคกรอฮลิ . กฤช ชาวดอน. (2544). การพยากรณอ์ ปุ สงคใ์ นห่วงโซ่อุปทานสาหรบั การจดั การสนิ ค้าคงคลังที่ เหมาะสม. มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ กรุงเทพฯ คานาย อภปิ รชั ญาสกุล. (2550). โลจิสติกส์และการจดั การซัพพลายเชน : กลยุทธ์สาหรับลดต้นทนุ และเพ่มิ กาไร. (พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2). กรุงเทพฯ : กัสมีเดยี แอนด์ พบั ลชิ ชง่ิ จากัด. ความหมายการจดั การสินค้าคงคลัง. (2552). [Online] เขา้ ถึงได้จาก : http://www.luckydrag onlogistics [2552, กรกฎาคม 16] ฐาปนา บุญหลา้ และนงลักษณ์ นิมิตภวู ดล. (2555). การจัดการโลจิสตกิ ส์มติ ซิ ัพพลายเชน. กรงุ เทพฯ : ซีเอด็ ยเู คชนั่ . ตัวอยา่ ง Barcode ในปัจจบุ นั . (2560). [Online]. เข้าถงึ ได้จาก : https://www.Barcode saustrail .com [2560, พฤษภาคม 16] พิภพ ลลิตาภรณ.์ (2556). การวางแผนลุควบคุมการผลติ . กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยเู คช่นั . มาตรฐานบญั ชีฉบับที่ 31. (2560). [Online] : เขา้ ถึงได้จาก http://www.dbd.go.th/download /PDF_ law/Tas_31_2550_.pdf [2560 พฤษภาคม 15] ระบบการควบคุมสนิ คา้ คงคลัง. (2559). [Online]. เข้าถงึ ได้จาก http://www .luckydragon logistic.com. [2559, ตลุ าคม 30] ระบบการจาแนกสนิ ค้าคงคลังเปน็ หมวดเอบีซ.ี (2559). [Online]. เขา้ ถงึ ได้จาก : http://www. checkstockpro.com [2559, มกราคม 15] ระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี. [Online]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.bus.tu.th [2559, เมษายน 5] ลักษณะการบริหารสนิ ค้าคงคลงั ทม่ี ีระบบ. [Online]. เข้าถึงไดจ้ าก http://soiha.com/v2 /about-us.php [2559, ธันวาคม 19]
202 ศากุน บญุ อติ . (2558). การจดั การซพั พลายเชนเพื่อความเปน็ เลิศ. คณะพานชิ ยศาสตรแ์ ละ การบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ : ซกิ มา กราฟฟคิ ส์. สมุ น มาลาสิทธ์.ิ (2548). การจัดการการผลติ และการดาเนนิ งาน. กรุงเทพฯ : สานักพิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . หรริ กั ษ์ สตู ะบตุ ร. (2545). เอกสารการสอนชุดวชิ าการควบคุมคุณภาพและการจัดการสนิ คา้ คง คลัง. (พิมพ์ครั้งที่ 3). นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมมาธิราช. อมรศริ ิ ดสิ สร. (2550) การบริหารสินคา้ คงคลงั . โอเดยี นสโตร์.กรงุ เทพฯ. ศนู ยข์ อ้ มูลธุรกจิ และขอ้ มูลทางการตลาด. (2559). ระบบสินค้าคงคลงั ของการผลติ แบบทันเวลา พอดี. [Online]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.businessthailand.org. [2559, กรกฎาคม 13] Cooper, M.C., Lambert, D.M. & Pagh, J.D. (1997). Supply Chain Management : Mor Than a newname for Logistics, The international Joural of Logistic Management, 8(1), 1-14. [Online]. Available : http://www.emeraldinsight.com /doi/abs/10.1108/09574099710805556. [2017, May 30] Heizer J. & Berry R. (2011). Production and Operation Management. (10thed.) : New Jersey Prentice Hall. Inc. Stevenson, W.J. (2002). Operations Management. U.K. : Amazon, [Online]. Available : http://www.amazon.com/William-J.-Stevenson /e/ B001ITYC9C. [2017, May 17] Stock, J.R. & Lambert D.M. (2001). Strategic Logistic Management. (4thed.) : McGraw- Hill. [Online]. Avialable : https://www.amazon.com/Strategic-Logistics- Management-James-Stock/dp/0256136874 [2017, May 19] Vogt J.J., Pienaar, W.J., & De Wit, P.W.C. (2002). Business Logistics Management. Theory and Practice. Oxford University : Press Southern Africa. [Online]. Avialable : http://www.abebooks.com/book-search/author/vogt-j-j-pienaar-w- de-wit-p-w-c/. [2017, May 20]
203 แผนการสอนประจาบทท่ี 8 ชื่อบทภาษาไทย การจดั การโลจสิ ตกิ ส์ เวลาเรยี น 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์ หัวข้อเนอ้ื หาประจาบท 8.1 ความเป็นมาของการจัดการโลจสิ ติกส์ 8.2 ความหมายของการจัดการโลจสิ ตกิ ส์ 8.3 ประโยชน์ของการจัดการโลจิสติกส์ 8.4 องค์ประกอบของการจัดการโลจสิ ติกส์ 8.5 กจิ กรรมและต้นทนุ ของการจัดการโลจสิ ตกิ ส์ 8.6 บทบาทของโลจิสติกสต์ อ่ ระบบเศรษฐกจิ วตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. เพ่อื ให้ผู้เรียนทราบความเป็นมาของการจัดการโลจิสติกส์ 2. เพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนทราบและเขา้ ใจความหมายของการจัดการโลจสิ ตกิ ส์ 3. เพอ่ื ให้ผู้เรยี นเข้าใจถงึ ประโยชนข์ องการจัดการโลจสิ ติกส์ 4. เพ่ือให้ผเู้ รียนทราบและเขา้ ใจองค์ประกอบของการจัดการโลจิสตกิ ส์ 5. เพอื่ ให้ผู้เรียนแยกประเภทกจิ กรรมและต้นทุนของการจัดการโลจสิ ติกส์ได้ 6. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นทราบบทบาทของโลจิสติกสต์ ่อระบบเศรษฐกจิ วธิ ีการสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. ผ้เู รียนศกึ ษาจากเอกสารที่กาหนดใหโ้ ดยผสู้ อนบรรยายสรุปในหัวข้อเร่ืองการจดั การ โลจสิ ตกิ ส์ 2. ใหผ้ ู้เรียนทาแบบฝกึ หัดจากคาถามทา้ ยบทเป็นรายบคุ คลโดยผูส้ อนคอยใหค้ าชี้แนะในกรณี ซกั ถาม 3. มอบงานการวิเคราะห์กรณีศึกษาว่าสถานประกอบการท่ีสืบค้นใช้กลยุทธ์การจัดการ โลจสิ ติกสใ์ นสว่ นใดบ้างในกจิ กรรมการผลติ
204 สอื่ การเรียนการสอน 1. เอกสารใบงานประจาบท 2. เอกสารประกอบการสอน เนือ้ หาประจาบท 3. เทคนิคนาเสนอด้วย Power point 4. ส่ือประสม การวัดและประเมนิ ผล 1. ความสามารถตอบคาถามในใบงานทีก่ าหนด 2. ความสามารถในการแยกประเภทกจิ กรรมและตน้ ทนุ ของการจดั การโลจิสติกส์ได้ 3. ความสามารถในการตอบคาถามทา้ ยบทคิดเปน็ ร้อยละ 80 ของขอ้ คาถามประจาบท
205 บทท่ี 8 การจดั การโลจสิ ติกส์ (Logistic Management) หลังจากผู้เรียนได้เข้าใจเร่ืองการบริหารสินค้าคงคลังแล้วในบทนี้จะว่าด้วยเร่ืองของ การเคล่ือนยา้ ยแต่ไม่ไดห้ มายความวา่ จะเคลอื่ นยา้ ยสินคา้ เพยี งอยา่ งเดียวการจัดการโลจิสติกส์มีหน้าที่ มากกว่านั้นผู้เรียนจะได้ศึกษาต่อไป ก่อนอ่ืนขอทาความเข้าใจที่มาของคาว่า “โลจิสติกส์” กันก่อน กล่าวคือการจัดการโลจิสติกส์น้ันคาน้ีมีต้นกาเนิดมาจากกองทัพอังกฤษก่อนสงครามโลกครั้งที่ หน่ึงมี การจัดระบบการส่งกาลังบารุงทางทหาร มีการสร้างสาธารณูปการ เช่น ถนน รถไฟ ท่าเรือ สนามบิน สถานทีจ่ ดั เกบ็ สินค้า รวมทงั้ ยานพาหนะท่ีใช้ในการลาเรยี งอาวธุ ยุทโธปกรณ์ การจัดการ โลจิสติกส์มี การวิวัฒนาเรื่อยมาจนถึงปลายศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาได้เริ่มมีการกระจายสินค้าด้านพืชผลทาง การเกษตรก็มกี ารแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์กันอย่างแพร่หลายท่ัวทวีปอเมริกา ต่อมาประมาณ ค.ศ. 1870 ก็มีการจัดรูปแบบการกระจายสินค้าด้านอุตสาหกรรมมาข้ึนเป็นลาดับ และใน ค.ศ. 1961 ปี เตอร์ ดรักเกอร์ ได้แต่งตาราเร่ือง \"The Economy's Dark Continent\" ได้กล่าวถึงบทบาทสาคัญ ของการจดั การโลจิสตกิ สต์ ่อระบบเศรษฐกิจโลกในยุคน้ัน ต่อมาปี ค.ศ. 1964 ก็ได้เกิดศาสตร์ทางด้าน การจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management Science) อย่างเป็นทางการขึ้นท่ีสหรัฐอเมริกาส่วน ในภาคเอกชน ก็ได้นาเอาแนวคิดการจัดการโลจิสติกส์มาประยุกต์ใช้ในการดาเนินธุรกิจเพื่อสร้าง ความเตบิ โตและความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขันอย่างยั่งยืนในระยะยาว (เข้าถึงได้จากhttp://www.jb- mhg.com//logistic System, 2559 มิถนุ ายน 30) 8.1 ความเป็นมาของการจัดการโลจสิ ติกส์ ฐาปนา บุญหล้าและนงลักษณ์ นิมิตภูวดล (2555) ได้กล่าวถึงการกาเนิดของโลจิสติกส์ว่า แบ่งเป็นสามยุคได้แก่ยุคการทหาร ยุคการค้า และยุคการแข่งขันระดับประเทศ ซ่ึงในยุคแรกหรือยุค ทหารประมาณในศตวรรษท่ี 19 ได้มีระบบส่งบารุงกาลังขนถ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์มีการนาคาศัพท์มา จากภาษากรีกโบราณโดยใช้คาว่า Logistikos ต่อมาทวีปยุโรปได้นาคาศัพท์น้ีมาใช้ว่า Logistique ประมาณปี พ.ศ. 2312-2364 ถัดมายุคท่ีสองจะเป็นยุคการค้าซึ่งยังเกิดควบคู่กับยุคทหารยุคนี้จะทา การค้าต้ังแต่ยุคธุรกิจครอบครัวจวบจนกระทั่งทาการตลาดระหว่างประเทศ ยุคที่สามคือยุคของ การแข่งขันระหว่างประเทศที่มีอัตรากาการขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีบริษัทข้ามชาติจึงมีกิจกรรมการ จัดส่งสินค้าไปยังสถานท่ีต่าง ๆ แนวคิดทางการจัดการโลจิสติกส์ในเชิงพาณิชย์อยู่ภายใต้เง่ือนไขที่ว่า จัดส่งสินค้าให้ถูกต้องไปยังสานที่ถูกต้องในเวลาและราคาท่ีถูกต้องเพื่อตอบสนองความพึงพอใจให้
206 ลูกค้า เม่ือโลจิสติกส์ มีความสาคัญในการสนับสนุนการดาเนินธุรกิจในยุคแห่งการแข่งขันสถาน ประกอบการส่วนใหญ่จึงให้ความสนใจเพ่ือสร้างประสิทธิภาพในกระบวนการดาเนินธุรกิจและสร้าง ศักยภาพในการแข่งขัน ดังน้ัน โลจิสติกส์จึงเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและให้กับธุรกิจสร้าง ความสามารถในการแขง่ ขันและได้ผลตอบแทนทคี่ ุม้ คา่ กับการลงทนุ ในปัจจุบันการจัดการโลจิสติกส์มี การบรู ณาการกับเรือ่ งหว่ งโซอ่ ปุ าทาน หรือท่เี รยี กเป็นภาษาองั กฤษว่า Supply chain Management ที่ผู้เรียนได้ศึกษาไว้พอสังเขปแล้วในบทที่ 7 เร่ืองการบริหารสินค้าคงคลังซ่ึงการจัดการห่วงโซ่แห่ง อุปทานนี้คือการรวมการวางแผนการจัดกิจกรรมทุกประการที่เกี่ยวข้องกับการสรรหา การแปรรูป กิจกรรมโลจิสติกส์ท้ังระบบที่ผู้เรียนจะได้ศึกษาในบทน้ี รวมท้ังเรียนรู้เร่ืองการประสานความร่วมมือ กบั คู่ค้า พอ่ คา้ คนกลางเช่ือมโยงไปจนถึงลูกค้าในที่สุด โดยเร่ืองการจัดการห่วงโซ่แห่งคุณค่าน้ีเริ่มเป็น ท่ีสนใจของนักบริหารในประเทศไทยประมาณปี 2553 และถ้าผู้เรียนศึกษาในศาสตร์ทางด้าน บริหารธุรกิจก็จะค้นพบว่าเร่ืองของห่วงโซ่แห่งคุณค่านี้มีการกล่าวถึงทั้งในรายวิชาการจัดการเชิง กลยทุ ธ์ การจัดการสารสนเทศ การตลาดตลอดจนการเงนิ การลงทนุ เลยทีเดียว ฐาปนาบุญหล้าและนงลักษณ์ นิมิตภูวดล (2555 : 28-29) สรุปวิวัฒนาการของการจัดการ โลจิสติกส์กบั ความเชือ่ มโยงเร่ืองของหว่ งโซแห่งคุณค่าหรอื ในผลงานวชิ าการของท่านใช้คาศัพท์ซ่ึงอ่าน ว่า “ซัพพลายเชน” นั้นได้แบ่งกลุ่มวิชาโลจิสติกส์เป็นสองเร่ืองด้วยกัน เร่ืองแรก คือ การจัดการพัสดุ หรือเรียกอีกอย่างว่า โลจิสติกส์ขาเข้า ประกอบด้วยเรื่องการพยากรณ์ความต้องการ การจัดซ้ือ การวางแผนความต้องการวัสดุ การวางแผนการผลิตรวม การบริหารคลังสินค้า เป็นต้น ส่วนเรื่องท่ี สอง คือ การจัดการการกระจายตัวสินค้าหรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า โลจิสติกส์ขาออก ได้แก่การศึกษา เรื่อง การจัดการสินค้าสาเร็จรูป การวางแผนการกระจายตัวของสินค้า การขนส่งตลอดจน การให้บรกิ ารลูกค้า เป็นต้น นบั จากนตี้ อ่ ไปขอเสนอความหมายในหลากหลายแนวคดิ ดงั ต่อไปน้ี 8.1 ความหมายของการจัดการโลจิสติกส์ โดยท่ัวไปมีผู้ให้ความหมายของโลจิสติกส์ไว้หลายท่านซึ่งคานิยามดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุปโดย เด่นชัด เนื่องจากนักวิชาการมีแนวความคิดที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีคานิยามท่ี แตกต่างกัน แต่สาระสาคัญจะไม่แตกต่างกันเลย จึงขอยกตัวอย่างคานิยามของโลจิสติกส์ของผู้ที่ให้ ความหมายดังตอ่ ไปน้ี คานาย อภิปรัชญาสกุล (2550 : 12) ให้ความหมายของคาว่า การจัดการโลจิสติกส์ว่าเป็น ส่วนหนึง่ ของกระบวนการจัดการหว่ งโซ่แห่งอุปทาน เพือ่ ชว่ ยในการวางแผนการสนับสนุนการไหลของ สนิ ค้า อย่างมีประสทิ ธภิ าพและมปี ระสิทธิผลและการเก็บรกั ษาสนิ ค้า บรกิ ารกับสารสนเทศที่เก่ียวข้อง จากจดุ เร่ิมตน้ ไปส่จู ดุ สดุ ท้าย เพ่อื ตอบสนองความต้องการของลกู ค้า
207 ฐาปนา บญุ หล้า (2549) ให้แนวคิดว่าความหมายของการจัดการโลจิสติกส์คือการเคล่ือนย้าย ของสินค้าประกอบด้วยเรื่องโลจิสติกส์ขาเช้า โลจิสติกส์ขาออกตลอดจนโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับ การขนยา้ ยพัสดุภายในโรงงานและใชว้ ีการจัดการซพั พลายเชนรว่ มดว้ ย ทวีศักด์ิ เทพพิทักษ์ (2548 : 14-15) ให้ความหมายของการจัดการโลจิสติกส์ว่า เป็นการวาง กรอบการทางานและสร้างแผนงานการเคลื่อนย้ายสินค้าและข้อมูลของธุรกิจการจัดการโลจิสติกส์ท่ีมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลมีสาเหตุสองประการ คือ ประการแรก โลจิสติกส์จะช่วยสร้าง ความได้เปรียบทางการแข่งขันได้ทั้งในแง่การสร้างความพึงพอใจให้แ ก่ลูกค้าโดยใช้กระบวนการ จัดการโลจิสติกส์เข้ากับกระบวนการอ่ืนๆ ท่ีประการที่สอง โลจิสติกส์ที่ดีจะช่วยให้การดาเนินงาน การผลติ เกดิ ต้นทุนต่าและสร้างความสามารถในการทากาไรไดส้ งู Vogt & Wit (2002) ให้ความหมายคาว่าโลจิสติกส์ ไว้ คือ กลยุทธ์การจัดการเคลื่อนย้าย จัดเก็บและสารสนเทศที่เก่ียวข้องกับพัสดุช้ินส่วนและสินค้าสาเร็จรูปในหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ต้ังแต่ ช่วงการจัดหา งานระหว่างกระบวนแปรรูปจนถึงการกระจายสินค้า เปูาหมายทั้งหมดก็เพ่ือการ สนับสนุนสูงสุดในปัจจุบันและการสร้างกาไรในอนาคต ตลอดจนการบรรลุต้นทุนท่ีต่าสุดในการส่ังซ้ือ ของลูกค้า โลจิสติกส์ คือ เวลาที่มีความสัมพันธ์กับตาแหน่งของทรัพยากรหรือกลยุทธ์การจัดการของ หนว่ ยงานท่ีเกี่ยวข้องทง้ั หมดซ่ึงหมายถึงการจดั ลาดับของเหตุการณ์ท่ีมุ่งสู่ความพอใจลูกค้า ได้แก่ การ จดั หา การผลิต การกระจายสนิ คา้ และกาจัดของเสีย การขนส่ง การจัดเกบ็ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ Stock & Lambert (2001) ให้ความหมายคาว่าการจัดการโลจิสติกส์ ไว้ว่าเป็นการจัดการ เชงิ กลยุทธ์ในการจัดซ้อื จดั หา การเคลอ่ื นย้ายและจัดเกบ็ วัตถดุ ิบ ชนิ้ ส่วนและสนิ ค้าคงคลังซึ่งเกี่ยวข้อง กบั การไหลของข้อมูลสารสนเทศ ตลอดทุกหน่วยขององค์กรโดยผ่านช่องทางทางการตลาด เพื่อสร้าง ประโยชน์สูงสุดเพื่อให้บรรลุเปูาหมายในด้านต้นทุนท่ีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมถึงการ ให้บริการและสารสนเทศที่เก่ียวข้อง ตั้งแต่จุดกาเนิดจนถึงจุดการบริโภคสินค้า เพ่ือวัตถุประสงค์ใน การตอบสนองความตอ้ งการของลูกคา้ กล่าวโดยสรุป การจัดการโลจิสติกส์ คือ กระบวนการในการวางแผน การเคลื่อนย้าย การเก็บสินค้า บริการ ตลอดจนสารสนเทศท่ีเกี่ยวข้องให้ถูกต้อง รวดเร็วในการส่งมอบ ตรงเวลา การควบคุมและข้อมูล ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จากจุดเร่ิมต้นไปสู่จุดสุดท้ายของการบริโภค เพ่ือที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยวิธีประหยัดต้นทุนก่อกาไรและสร้างความได้เปรียบ ทางการแข่งขันได้ 8.3 ประโยชนข์ องการจัดการโลจิสติกส์ ฐาปนา บุญหล้าและนงลักษณ์ นิมิตภูวดล (2555) และ Vogt & Wit (2002) ได้กล่าวถึง คุณคา่ ของการจัดการโลจสิ ติกส์วา่ มีประโยชนต์ ่อธุรกจิ ดังนี้
208 1. การจัดการโลจิสติกส์ก่อให้เกิดกระบวนการขับเคล่ือนประสิทธิภาพและประสิทธิผลแก่ สถานประกอบการทั้งระบบต้ังแต่การวางแผนการจัดซ้ือการบริหารคลังสินค้าตลอดจนการบริการ ลูกคา้ ส่งผลต่อการลดต้นทุนและสรา้ งกาไรทางธรุ กจิ 2. การจดั การโลจิสตกิ ส์สามารถสร้างมูลค่าที่แตกต่าง ด้วยการมงุ่ เนน้ การใหบ้ ริการเฉพาะ ด้าน เช่น การจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การขนส่ง คลังสินค้าให้มีความหลากหลายแตกต่าง ตามความต้องการของลูกคา้ เปลี่ยนระบบการทางานจากตามหน้าท่ีเป็นกระบวนการแทนประสานงาน ให้บรรลุเปูาหมายและนโยบายขององค์การเป็นการเพ่ิมประสิทธิภาพในการบริการลูกค้าก่อให้เกิด การใช้ทรพั ยส์ นิ ทีค่ มุ้ คา่ มากกว่าเดมิ 3. การจัดการโลจิสติกส์ก่อให้เกิดการปรับปรุงและเปลี่ยนระบบของการจัดการธุรกรรมใหม่ ด้วยการจัดตั้งระบบที่มีคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ฝุายผลิตและการดาเนินงาน ฝุาย การตลาด และส่งมอบความพงึ พอใจไปยงั ลกู ค้าได้อย่างต่อเน่อื ง 4. การจัดการโลจิสติกส์เป็นเคร่ืองมือสาคัญในการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และการสร้าง ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจอย่างย่ังยืนด้วยกระบวนการโลจิสติกส์ประกอบด้วยการนา เทคโนโลยีข้ันสูงแบบอัตโนมัติแบบทันเวลาพอดีท่ีมีความยืดหยุ่น รวดเร็วต่อการตอบสนองงานให้กับ ผูเ้ ก่ยี วขอ้ งทุกฝุาย 8.4 องคป์ ระกอบของการจดั การโลจสิ ตกิ ส์ จากการที่ผู้เรียนได้ทาความเข้าใจในความหมายของการจัดการโลจิสติกส์ไปแล้ว บัดน้ีขอ อธิบายองค์ประกอบของการจัดการโลจิสติกส์ซึ่ง Stock & Lambert (2001) ฐาปนา บุญหล้าและ นงลักษณ์ นิมิตภูวดล (2555) ได้สรุปไว้ว่าองค์ประกอบของการจัดการโลจิสติกส์จะประกอบด้วย ปัจจัยนาเข้า ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรเงินและทรัพยากรสารสนเทศ ถดั ไปเปน็ กระบวนการดาเนนิ การหรอื กระบวนการไหลของวัตถุดิบหรอื สินค้าจะอยู่ทวั่ ทงั้ องค์กร ส่งผล ให้การจัดการโลจิสติกส์เป็นระบบงานที่ครอบคลุมการบริหารงานในธุรกิจเกือบจะทั้งหมด เพื่อที่จะ ให้ผลการดาเนินงานที่ออกมามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด จะเห็นได้จากองค์ประกอบโดย ภาพรวมของการจัดการโลจิสติกส์ ในขั้นกระบวนการน้ีประกอบไปด้วยการวางแผน การปฏิบัติงาน และการควบคุม สาหรับส่วนของกระบวนการโลจิสติกส์ต้ังแต่ผู้ค้าจนถึงลูกค้า ประกอบด้วย วัตถุดิบ งานระหว่างผลิต และสินค้าสาเร็จรูป ในส่วนของกิจกรรมหลักของโลจิสติกส์ประกอบด้วยโลจิสติกส์ ขาเข้า ได้แก่ การพยากรณ์ความต้องการวัสดุ การจัดซื้อวัสดุ การวางแผนการผลิต การจัดการวัสดุ ผลิต การคลังวัสดุและบรรจุภัณฑ์วัสดุ ในส่วนงานโลจิสติกส์ขาออก ประกอบด้วยการบริหาร คลังสินค้า การเคลื่อนย้ายสินค้า การบรรจุภัณฑ์สินค้า การควบคุมสินค้า การวางแผนการกระจาย
209 สินค้า กระบวนการส่ังซ้ือสินค้า การขนส่งสินค้า และการบริการลูกค้า ส่วนสุดท้ายผลลัพธ์โลจิสติกส์ ประกอบด้วย ความได้เปรียบทางการแข่งขัน การใช้เวลาและสถานท่ีอย่างคุ้มค่ามีประสิทธิภาพ การเคลื่อนย้ายสินคา้ สลู่ กู คา้ และทรัพยส์ ิน ดงั แสดงภาพรวมไวใ้ น แผนภาพท่ี 8.1 แผนภาพที่ 8.1 องคป์ ระกอบการจัดการโลจิสติกส์ ท่ีมา : ดัดแปลงจาก ฐาปนา บุญหลา้ และนงลักษณ์ นิมิตภูวดล (2555 : 27) 8.5 กิจกรรมและต้นทุนด้านโลจิสตกิ ส์ 8.5.1 กิจกรรมดา้ นโลจิสติกส์ กิจกรรมหลักด้านโลจิสติกส์ มีท้ังหมดสิบสามกิจกรรมด้วยกัน โดยสามารถแบ่ง ได้เป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่เป็นกิจกรรมหลักและกลุ่มท่ีเป็นกิจกรรมสนับสนุนการทางานของสถาน สาหรบั กิจกรรมหลกั ในการจดั การโลจิสติกส์แบง่ เปน็ ห้าประการ ได้แก่ ประการแรก กิจกรรมทางด้าน การดาเนินการผลิต ประการที่สองกิจกรรมการตลาดและการบริการลูกค้า ประการที่สามกิจกรรม การจัดหาวัตถุดิบและอุปกรณ์ต่างๆ ประการที่ส่ีกิจกรรมการกระจายสินค้าและการจัดการสินค้า คงคลงั ประการทห่ี ้ากิจกรรมการจดั สง่ สาหรับสว่ นทเี่ หลอื จากห้าประการท่ีกล่าวมาถือเป็นกิจกรรมที่ สนับสนุนการดาเนินงาน เพื่อความสะดวกในการจดจารายการท้ังสิบสามกิจกรรมอย่างง่ายดังนี้ “บรกิ ารลูกคา้ มาดาเนินการตามคาสัง่ ซ้ือ หารือการคาดการณค์ วามต้องการลกู ค้า เร่งมาบริการสินค้า คงคลัง มีพลังขนส่ง จงบริหารโกดังเก็บสินค้า มายอมรับส่งคืนกลับคลัง ฟังคาส่ังซื้อ ฝึกปรือการจัด
210 อะไหล่และชิ้นส่วน ประมวลเร่ืองคลังและที่ตั้งทาเล หันเหเคลื่อนย้ายวัสดุ บรรจุภัณฑ์มิดชิดดีมี ประสิทธิภาพสอ่ื สาร” จากคาคล้องจองแบบงา่ ยที่ผูเ้ รียนไดจ้ ดจา นาไปสกู่ ารอธบิ ายรายละเอียด ดังนี้ 1) การบริการลูกค้า (Customer Service) เป็นกิจกรรมท่ีสถานประกอบการ พยายามตอบสนองความต้องการของลูกค้าซึ่งจะทาได้ดีเพียงใดต้องขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของ กจิ กรรมโลจิสตกิ สด์ า้ นอ่ืน ๆ เขา้ มาประกอบ โดยเฉพาะการส่งมอบสินคา้ ท่ตี รงเวลาและครบถ้วน 2) การดาเนินการตามคาสั่งซ้ือของลูกค้า (Order Processing) เป็นกิจกรรมท่ีจะ ต้องใช้ความพยายามในการดาเนินการให้รวดเร็วท่ีสุดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าใน ปัจจุบันสถานประกอบการส่วนใหญ่มักนาเทคโนโลยีการจัดการสารสนเทศ ได้แก่ ระบบคอมพิวเตอร์ และการจดั การธุรกจิ เชงิ อิเล็คทรอนคิ สเ์ ข้ามาชว่ ยเพอื่ ความสะดวกและรวดเร็วในการสง่ มอบ 3) การคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า (Demand Forecasting) เป็นเรื่องของ การคาดการณ์ความตอ้ งการในสนิ คา้ หรือการบรกิ ารลกู คา้ ในอนาคตซ่ึงนับเป็นกิจกรรมท่ีมีความสาคัญ ในการที่จะสร้างความสามารถในการทากาไรหรืออาจส่งผลให้ขาดทุนในการดาเนินการก็เป็นได้ เพราะฉะน้ันการคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าล่วงหน้าจะช่วยให้ สถานประกอบการ สามารถ กาหนดทิศทางและกลยุทธ์การดาเนินงานว่าจะผลิตสินค้าจานวนเท่าไรหรือเตรียมบุคลากรและ อุปกรณ์มากน้อยเพียงใดหากการคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าผิดพลาดย่อมจะส่งผลกระทบต่อ ต้นทนุ และผลประกอบการ จากการท่ีไม่มสี นิ ค้าใหล้ ูกค้าหรือในทางตรงกันข้ามอาจมีสินค้าในคลังมาก เกินไป 4) การบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory Management) เป็นกิจกรรมท่ีสาคัญ อย่างหนึ่งเน่ืองจากปริมาณสินค้าคงคลังท่ีมีอยู่ย่อมส่งผลต่อสถานประกอบการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองของเงินทุน สถานประกอบการที่มีระดับปริมาณสินค้าคงคลังที่สูงย่อม สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีแต่ในขณะเดียวกันปริมาณสินค้าที่มากก็ส่งผลให้ สถานประกอบการเกิด ค่าเสียโอกาสด้านการนาเงินทุนไปหมุนเวียน เสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา สินค้า ดังน้ัน สถานประกอบการจะต้องคานึงถึงระดับความต้องการของสินค้าคงคลังท่ีเหมาะสมท่ีจะ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกคา้ ได้ เพ่ือที่จะสามารถลดตน้ ทนุ ให้ต่าทสี่ ุด 5) กิจกรรมการขนส่ง (Transportation) ครอบคลุมถึงทุกกิจกรรมที่เป็นการเคลื่อน ย้ายตัวสินค้าจากจุดกาเนิดไปยังจุดท่ีมีการบริโภคให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยจะต้องจัดส่งสินค้า ปลายทางให้มีความถูกต้อง รวดเร็ว ตรงเวลาและครบตามจานวนในสภาพท่ีสมบูรณ์พร้อมใช้งาน อาจกลา่ วไดว้ ่าในมมุ มองของคนท่ัวไปการขนส่งเปน็ กจิ กรรมโลจิสติกสท์ มี่ บี ทบาทชัดเจนท่ีสุด 6) การบริหารคลังสินค้า (Warehousing and Storage) เป็นกิจกรรมการบริหาร คลังสนิ คา้ ได้แก่ การจัดเก็บสนิ คา้ ในคลัง การจัดการพน้ื ท่ใี นคลังสินคา้ การจัดเตรียมอุปกรณ์เคร่ืองใช้
211 ต่าง ๆ ที่จาเป็นในการดาเนินกิจกรรมภายในคลังสินค้าซึ่งในปัจจุบันกิจกรรมการบริหารคลังนับเป็น กิจกรรมทส่ี ร้างมลู ค่าเพมิ่ ใหก้ ับตวั สินคา้ อกี ทางหนึง่ ดว้ ย 7) การจดั การสง่ คนื สินคา้ (Reverse Logistics) คอื กระบวนการจัดการสินค้าท่ีถกู สง่ กลบั คืน ไมว่ ่าจะเปน็ สินคา้ ทีเ่ สียหาย หมดอายกุ ารใช้งาน หรือผดิ แบบหรือข้อตกลงที่ทาไว้กับลูกค้า ต้ังแต่ต้นทาง เป็นตน้ 8) การจัดซื้อ (Purchasing) เป็นกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการจัดซ้ือ จัดหาวัตถุดิบ และบริการท้ังในส่วนของการเลือกผู้จาหน่ายวัตถุดิบ การกาหนดช่วงเวลาและปริมาณในการส่ังซ้ือ และสร้างความสัมพันธ์กับผจู้ าหน่ายวตั ถดุ ิบ 9) การจดั เตรยี มอะไหล่และชนิ้ ส่วนต่าง ๆ (Part and Service Support) นบั เปน็ ความรับผิดชอบต่อสินค้าหลังการขายเป็นส่วนหนึ่งของบริการหลังการขายที่ผู้ประกอบการให้กับ ลูกค้า โดยการจัดหาชิ้นส่วน อะไหล่และเคร่ืองมืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมในการให้บริการท่ี รวดเร็วและมีประสิทธิภาพแก่ลูกค้าในกรณีที่สินค้าเกิดความชารุด ความรับผิดชอบต่อสินค้าหลัง การขายเป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าซ่ึงจะส่งผลระยะยาวต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าใน อนาคต เกิดความร้สู ึกทีด่ กี บั ตราสินค้าสินคา้ ดงั นน้ั กล่าวได้วา่ กจิ กรรมนีม้ ีสว่ นชว่ ยใหผ้ ปู้ ระกอบการ สามารถรักษาความสัมพนั ธก์ ับลูกค้าในระยะยาวได้ 10) การเลือกทาเลที่ต้ังโรงงานและคลังสินค้า (Plant and Warehouse Site Selection) สาหรับการเลือกที่ตั้งโรงงานของฝุายโรงงานในสถานประกอบการ และการจัดการ คลังสินค้านั้นจะต้องให้ความสาคัญกับความใกล้หรือไกลของแหล่งวัตถุดิบและลูกค้า เพื่อสะดวกใน การเข้าถึงและเกี่ยวข้องกับระยะทางการขนส่ง รวมถึงความสามารถในการตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าดว้ ย 11) การเคลื่อนย้ายวัสดุ (Material Handling) ในเรื่องนี้นับเปน็ กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง กับการเคลอ่ื นย้ายวตั ถดุ ิบและสนิ คา้ คงคลงั ในระหว่างการผลิต รวมถึงการขนย้ายตัวสินค้าท่ีผลิตเสร็จ แล้วจัดวางไว้ภายในพ้ืนที่โรงงานหรือเก็บไว้ในคลังสินค้า วัตถุประสงค์ของงานด้านน้ี คือ มีไว้เพ่ือลด ระยะทางการเคล่ือนย้ายให้ได้มากท่ีสุด เพื่อแก้ไขกระบวนการที่เป็นคอขวดให้มีการไหลได้ดีข้ึน เพื่อ ลดการขนถ่ายให้มากที่สุดเพื่อการประหยัดแรงงานและค่าใช้จ่ายและเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ดังกล่าว สถานประกอบการต้องพยายามลดจานวนการเคลื่อนย้ายวัตถุต่าง ๆ ให้มากท่ีสุด เพราะใน ทุกคร้ังที่มีการเคล่ือนย้ายจะมีต้นทุนที่เกิดข้ึน ถ้าผู้ประกอบการสามารถลดค่าใช้จ่ายในด้านนี้ก็จะ สง่ ผลให้ต้นทุนการผลิตต่อชิ้นลดลงด้วย 12) บรรจุภัณฑ์ (Packaging) เร่ืองของบรรจุภณั ฑใ์ นมุมมองของนักบริหารการตลาด เป็นสิ่งที่แสดงถึงลักษณะภายนอกของสินค้าซึ่งคุณลักษณะของบรรจุภัณฑ์จะต้องดึงดูดความสนใจ ของผู้บริโภคให้ได้ แต่ในมุมมองของนักบริหารการผลิตและการดาเนินงาน บรรจุภัณฑ์จะมีบทบาท
212 สาคัญตา่ งออกไป คือ ประการแรก บรรจุภัณฑจ์ ะเป็นสง่ิ ท่ีปกปูองตัวผลิตภัณฑ์ไม่ให้เกิดความเสียหาย ในขณะที่มีการเคลื่อนย้าย ประการท่ีสอง บรรจุภัณฑ์ที่ดีจะช่วยให้กระบวนการเคลื่อนย้ายและเก็บ รกั ษาสนิ ค้ามีความสะดวกมากขึ้น 13) การติดต่อสื่อสารทางด้านโลจิสติกส์ (Logistics Communications) สาหรับ เรื่องของการส่ือสารทางด้านโลจิสติกส์ท่ีมีประสิทธิภาพน้ัน เป็นปัจจัยที่สาคัญอย่างหนึ่งท่ีมีผลต่อ ความสาเร็จของผู้ประกอบการ การแลกเปล่ียนข้อมูลและการตัดสินใจต่าง ๆ ต้องสามารถทาได้ รวดเร็ว ชัดเจนและถูกต้อง สาหรับลักษณะของการส่ือสารท่ีประสิทธิภาพควรจะมีมีการส่ือสาร ระหว่างผู้ผลิตและผู้ปูอนปัจจัยการผลิตตลอดจนลูกค้า มีการส่ือสารระหว่างหน่วยงานภายใน เช่น ฝุายการบัญชี ฝาุ ยการผลติ และฝุายการการตลาด เป็นตน้ นอกจากจะต้องประสานงานแต่ละฝุายแล้ว ยังมีการสอ่ื สารระหว่างกิจกรรมโลจิสตกิ สท์ ุกกิจกรรมของหน่วยงานยอ่ ย มีการสื่อสารระหว่างสมาชิก ในระบบห่วงโซอ่ ุปทานรว่ มดว้ ย เชน่ ผูป้ ูอนปจั จัยการผลิตรายแรกสุดในหว่ งโซ่อุปทาน 8.5.2 ต้นทนุ โลจิสตกิ ส์ มีแนวคิดของนกั วิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงต้นทนุ โลจสิ ตกิ ส์ไวห้ ลากหลาย ดังน้ี Vogt & Wit (2002) ได้อธิบายการลดต้นทุนกับงานด้านโลจิสติกส์ไว้ว่า ความสาเร็จ ของสถานประกอบการนั้นย่อมขึ้นอยู่กับการประเมินความจาเป็นและความต้องการของตลาด เปาู หมาย รวมทง้ั การส่งมอบความพงึ พอใจเหลา่ นนั้ อยา่ งมีประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลที่เหนอื ค่แู ขง่ วิทยา สุหฤทดารง (2544) ไชยยศ ไชยมั่นคงและมยุขพันธ์ุ ไชยม่ันคง (2550) กล่าว สรุปตรงกันว่า การวิเคราะห์ต้นทุนรวมเป็นส่ิงสาคัญในการจัดการด้านโลจิสติกส์ การลดต้นทุนรวม มากกวา่ ทจ่ี ะลดตน้ ทุนในแต่ละกิจกรรม เน่ืองจากการที่มุ่งลดต้นทุนเพียงกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งอาจ ส่งผลกระทบต่อตน้ ทนุ ของกจิ กรรมอ่นื ให้สูงข้นึ ได้ เช่นการมศี ูนย์กระจายสนิ คา้ จานวนน้อยสามารถลด ต้นทุนในการเก็บสินค้าและต้นทุนคลังสินค้า แต่จะส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพ่ิมมากข้ึน หรือ อาจกระทบตอ่ ยอดขายเนื่องจากระดับการบริการลูกค้าท่ีลดลง ในทานองเดียวกันการลดค่าใช้จ่ายใน การจดั ซ้อื โดยการซ้ือสินค้าเป็นจานวนมากในแต่ละคร้ังกจ็ ะทาใหต้ น้ ทนุ การดแู ลสนิ คา้ เพิ่มขนึ้ Stock & Lambert (2001) กล่าวถึงต้นทุนโลจิสติกส์ถูก ขับเคล่ือนหรือก่อตัวขึ้น โดยกิจกรรมต่างๆท่ีสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านโลจิสติกส์ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของต้นทุนที่เกิด จากแต่ละส่วนงานหลักได้ดังน้ี การบริการลูกค้า การขนส่ง การคลังสินค้า กระบวนการคาส่ังซ้ือและ ข้อมูล ปรมิ าณการผลิตและสินคา้ คงคลัง สรปุ ว่า ความสาเร็จของสถานประกอบการข้ึนอยกู่ บั การบรหิ ารต้นทุนโลจิสติกส์ให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด การวิเคราะห์ต้นทุนรวมเป็นสิ่งสาคัญในการจัดการด้านโลจิสติกส์ การลดต้นทุน
213 รวมมากกว่าที่จะลดต้นทุนในแต่ละกิจกรรม เพื่อความเข้าใจท่ีชัดเจนย่ิงข้ึนขอนาเสนอแผนภาพ การขับเคลอ่ื นการลดต้นทุนในกิจกรรมโลจิสตกิ ส์ ดงั แผนภาพท่ี 8.2 แผนภาพที่ 8.2 การขบั เคลื่อนการลดตน้ ทุนในกิจกรรมโลจิสติกส์ ที่มา : ดัดแปลงจาก Stock & Lambert (2001) จากภาพที่ 8.2 เปน็ การกาหนดระดบั การขับเคล่ือนการลดต้นทุนในกจิ กรรมโลจสิ ตกิ ส์ท่มี ี ผลกระทบต่อคา่ ใช้จ่ายในส่วนตา่ ง ๆ 6 ประเภท ดงั นี้ 1) การกาหนดระดับการให้บริการ (Place/Customer Service Levels) เป็นกิจกรรมที่ ต้องทาควบคไู่ ปกบั การตลาด การกาหนดระดบั การให้บรกิ ารจะมกี ารตง้ั มาตรฐานการให้บริการไว้ด้วย ว่าจะมีบริการลักษณะใดบ้างเสนอแก่ลูกค้า และระดับการให้บริการท่ีเพ่ิมสูงข้ึนจะส่งผลให้ต้นทุน สงู ขนึ้ ด้วย อย่างไรก็ตามกิจกรรมจะเกดิ ได้ก็ต้องขึ้นอยู่กบั นโยบายของผปู้ ระกอบการท่ีตัง้ ไว้ด้วย 2) ต้นทนุ สินค้าคงคลัง (Inventory Carrying Costs) เป็นเรอื่ งที่เก่ียวกับการดาเนินงาน เพอื่ ใหม้ สี ินค้าวางขายในตลาดโดยไม่ขาดมือและมีอยู่ในระดับปริมาณทเี่ หมาะสมหากเกินความจาเป็น ย่อมก่อให้เกิดต้นทุนในการเก็บรักษา แต่หากมีไม่เพียงพอกับความต้องการจะก่อให้เกิดความเสีย โอกาสในการขาย ได้ ในกิจกรรมด้านนี้มีเร่ืองการพยากรณ์ยอดขายท่ีผิดพลาดมีผลต่อต้นทุนสินค้าคง คลังเข้ามามบี ทบาทรว่ มด้วย
214 3) ต้นทุนการจัดการคลังสินค้า (Warehousing Costs) ต้นทุนด้านนี้เกิดจากงานท่ี เก่ียวข้องกับการจัดทิศทางของการเคล่ือนไหวของสินค้า การกาหนดสถานท่ีจัดเก็บผลิตภัณฑ์แต่ละ ประเภท การกาหนดทาเลทีต่ ง้ั ของคลังสินคา้ เพ่ือประหยัดเวลาและค่าใช้จา่ ยในการเคลอื่ นยา้ ย 4) ต้นทุนกระบวนการส่ังซื้อ (Order Processing and Information Costs) เกิดจาก กิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับกระบวนการสั่งซื้อโดยเริ่มต้นต้ังแต่การได้รับคาสั่งซื้อจากลูกค้า การจัดการ ข้อมูลคาส่ังซื้อรวมไปถึงการพยากรณ์ความต้องการสินค้า เช่น การออกเอกสารคาสั่งซื้อ การปูอน ขอ้ มลู คาสัง่ ซอื้ การยนื ยันคาสั่งซ้ือ เป็นต้น 5) ตน้ ทนุ การบรหิ ารและการจดั การ (Lot Quantity Costs) เป็นต้นทนุ ท่ีเกิดจากกิจกรรม การส่ังซื้อและสั่งผลิตโดยผันแปรกับปริมาณสินค้าท่ีจัดหาและการผลิตหรือความถ่ีในการสั่งซ้ือ การยืนยันคาส่ังซื้อ เป็นต้น โดยต้นทุนที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางด้านการจัดหาวัตถุดิบ การวางแผนการสารวจ การกาหนดผู้จัดส่งและสถานท่ีในการผลิต ซ่ึงการกาหนดตัวเลขของปริมาณ ผลิตที่เหมาะสมในช่วงระยะเวลาหน่ึงและเวลาที่ใช้ในการผลิตมีผลต่อประสิทธิผลในการบริหาร ต้นทนุ โลจิสติกส์ 6) ต้นทุนการขนส่ง (Transportation Costs) นับเป็นกิจกรรมท่ีมีความจาเป็นและเป็น ต้นทุนในส่วนที่สาคัญที่สุด ซึ่งผู้บริหารคานึงถึง วิธีการขนส่ง การรวบรวมสินค้าก่อนทาการขนส่ง การกาหนดเส้นทางการขนส่ง การวางแผนด้านเวลาท่ีใช้ในการขนส่ง รวมไปถึงเรื่องเครื่องมือหรือ อุปกรณท์ ใ่ี ชส้ าหรบั การขนส่ง เพ่ือใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพสูงสดุ ความสามารถในการจัดการและควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดน้ัน ส่งผลให้ นักบริหารการผลิตมองเห็นค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เกินความจาเป็นต่างๆและหาทางปูองกันหรือแก้ไข ในการประกอบการให้ประสบความสาเร็จ ผู้บริหารทุกฝุายจาเป็นต้องรับรู้ทราบต้นทุนท่ีเกิดขึ้นจริง หรอื ต้นทุนในทุกกิจกรรมใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากท่ีสุด เพื่อนาข้อมูลไปใช้ในการกาหนดกลยุทธ์ ใหเ้ หมาะสมท่สี ุดเพื่อสร้างความอยู่รอดอย่างยั่งยนื ในระยะยาว 8.6 บทบาทของโลจิสติกสต์ ่อระบบเศรษฐกิจ โลจิสติกส์มีส่วนสาคัญในการสร้างความสามารถในการทากาไรแก่ผู้ประกอบธุรกิจ จึงมีส่วน สนับสนุนให้เศรษฐกิจดีขึ้นตามไปด้วยซึ่งวัดได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ การกระจายตัวของ สนิ ค้าท้ังในประเทศและตา่ งประเทศตลอดจนความหลากหลายในงานด้านการให้บริการโลจิสติกส์ท่ีมี การแข่งขันกันสงู ในยุคน้ี ประเด็นสาคญั ทนี่ กั บรหิ ารการผลิตตอ้ งให้ความสาคญั เพือ่ ให้มีชัยชนะเหนือคู่ แข่งขันรวมทัง้ อยูร่ อดได้อย่างยั่งยืนน้ันย่อมข้ึนอยู่กับว่าผู้ประกอบการรายใดมีความสามารถลดต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการขนส่งและบริการ ต้นทุนการบริหารคลังสินค้า ต้นทุนจมในสินค้านับรวมไปถึง
215 ค่าใชจ้ ่ายในการดาเนนิ งานและคา่ ใช้จ่ายในการบรหิ าร หากผูป้ ระกอบการสามารถลดต้นทุนที่กล่าวมา น้ีไดจ้ ะส่งผลใหส้ ร้างเพมิ่ กาไรไดม้ ากทีส่ ุด ระบบโลจสิ ติกส์ทาหน้าที่จัดส่งสินค้าท่ีถูกต้องไปยังสถานท่ีถูกต้องในเวลาท่ีถูกต้องในเงื่อนไข ที่ถูกต้องและด้วยต้นทุนที่ถูกต้อง มุมมองของการจัดการโลจิสติกส์คือความพอใจของลูกค้าเก่ียวข้อง กบั การใช้เวลาและสถานที่ให้เกดิ ประโยชนส์ งู สุดแก่ผู้ค้าวัตถุดิบลูกค้าคนกลางและผู้บริโภคคนสุดท้าย โลจิสติกส์สามารถให้บริการลูกค้าควบคู่กับความสามารถของฝุายการตลาดในการสร้างความเชื่อม่ัน การยอมรับ ความพอใจและไดร้ ับความจงรกั ภักดีในทสี่ ุด ฐาปนา บุญหล้าและนงลักษณ์ นิมิตภูวดล (2555) ระบุชัดเจนถึงบทบาทของโลจิสติกส์ต่อ เศรษฐกิจของประเทศไว้สองเรื่องคือ เร่ืองแรก แนวคิดโลจิสติกส์กับการสนับสนุนการตลาดโดยใช้ กลยุทธ์ด้านการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ก่อกาไรแก่สถานประกอบการในระยะยาวภายใต้ต้นทุน รวมต่าสุดท่ียอมรับได้ตลอดจนบรู ณาการส่วนประสมทางการตลาดได้แก่ผลิตภัณฑ์นั้นต้องสะดวกบวก กับราคาทพ่ี อเหมาะเจาะจาหน่ายได้ถูกช่องทางและไม่เว้นว่างในการส่งเสริมการตลาดผู้ประกอบการ จะกวาดกาไรเพราะได้ส่ือสารกับคู่ค้าได้ถูกต้อง และหากมองอีกเรื่องคือโลจิสติกส์มีกลไกการทางาน อยู่ทก่ี ารใชเ้ วลาและพน้ื ทสี่ องประการนถี้ า้ ใชไ้ ด้นอ้ ยทสี่ ดุ ก็จะก่อให้เกิดประสิทธภิ าพมากทส่ี ุดนน่ั เอง บทสรปุ โลจิสติกส์ มีความสาคัญในการสนับสนุนการดาเนินธุรกิจในยุคแห่งการแข่งขันนักบริหาร การผลิตส่วนใหญ่จึงให้ความสนใจเพื่อสร้างประสิทธิภาพในกระบวนการดาเนินธุรกิจและสร้าง ศักยภาพในการแขง่ ขนั ดงั นั้นโลจสิ ตกิ ส์จึงเปรยี บเสมอื นกลไกในการขับเคล่ือนเพ่ือสร้างความสามารถ ในการแข่งขันและผลตอบแทนให้กับสถานประกอบการ การจัดการโลจิสติกส์เป็นกระบวนการใน การวางแผน การเคลื่อนย้าย การเก็บสินค้า การให้บริการ การควบคุมและข้อมูลท่ีเก่ียวข้องที่มี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล จากจุดเร่ิมต้นไปสู่จุดสุดท้ายของการบริโภคเพื่อท่ีจะตอบสนอง ความต้องการของผู้บริโภค ประโยชน์ของการจัดการโลจิสติกส์ มีหลายประการด้วยกัน เช่น เป็น เคร่ืองมือสาคัญในการแข่งขันทางธุรกิจ สามารถลดต้นทุนและสร้างกาไรทางธุรกิจ เพ่ิมประสิทธิภาพ ในการบริการลูกค้าและช่วยในการลดต้นทุนในการดาเนินธุรกิจได้ ฯลฯ โลจิสติกส์ประกอบด้วย กิจกรรมหลักมีสิบสามกิจกรรมด้วยกันโดยสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มท่ีเป็นกิจกรรมหลัก และกลมุ่ ท่เี ปน็ กิจกรรมสนบั สนนุ ตน้ ทุนโลจิสติกส์มหี กประการ ได้แก่ การกาหนดระดับการให้บริการ ต้นทุนสินค้าคงคลัง ต้นทุนการจัดการคลังสินค้า ต้นทุนกระบวนการส่ังซ้ือ ต้นทุนการบริหารและ การจัดการ และตน้ ทนุ การขนสง่
216 โลจิสติกส์มีบทบาทสาคัญต่อระบบเศรษฐกิจอย่างมากเพราะจะเป็นการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ด้วยประสิทธิภาพการใช้พ้ืนท่ีและเวลา ระบบโลจิสติกส์ทาหน้าที่จัดส่งสินค้าที่ถูกต้องไปยังสถานที่ ถูกต้องในเวลาท่ีถูกต้องในเงื่อนไขที่ถูกต้องและด้วยต้นทุนท่ีถูกต้องมีประสิทธิภาพและเกิดต้นทุนรวม ต่าสุด ที่สาคัญท่ีสุดระบบโลจิสติกส์เหมือนเป็นทรัพย์สินท่ีสัมผัสได้แต่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ทันที
217 คาถามและกิจกรรมท้ายบทที่ 8 1. จงอธบิ ายความหมายของการจัดการโลจิสติกส์ 2. จงอธิบายถงึ คุณค่าหรือประโยชน์ของการจดั การโลจสิ ตกิ ส์มาพอสงั เขป 3. กิจกรรมโลจิสตกิ ส์มีแนวคดิ เรอื่ งลดตน้ ทนุ รวดเร็วในการส่งมอบและใช้เทคโนโลยีสารสารเทศ ใหอ้ ธบิ ายกจิ กรรมและต้นทุนดา้ นโลจิสติกส์ ใหอ้ ธิบายแต่ละข้อตอ่ ไปน้ี 3.1 การบริการลกู ค้า (Customer Service) “บรกิ ารลกู ค้า” 3.2 การดาเนนิ การตามคาสั่งซ้ือของลกู ค้า (Order Processing) “มาดาเนินการตามคาสั่งซื้อ” 3.3 การคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า (Demand Forecasting) “หารอื การคาดการณ์ ความต้องการลกู ค้า” 3.4 การบริหารสินคา้ คงคลัง (Inventory Management) “เร่งมาบริการสนิ คา้ คงคลัง” 3.5 กิจกรรมการขนสง่ (Transportation) “มีพลงั ขนสง่ ” 3.6 การบรหิ ารคลังสินคา้ (Warehousing and Storage) “จงบริหารโกดังเก็บสนิ ค้า” 3.7 กระบวนการจดั การสนิ ค้าทถ่ี ูกสง่ กลับคืน (Reverse Logistics) “มายอมรับสง่ คนื กลับคลงั ” 3.8 การจัดซือ้ (Purchasing) “ฟังคาสง่ั ซ้อื ” 3.9 การจัดเตรียมอะไหล่และช้ินสว่ นต่างๆ (Part and Service Support) “ฝึกปรือการจดั อะไหล่และชิน้ ส่วน” 3.10 การเลือกที่ต้ังโรงงานและคลังสินค้า (Plant and Warehouse Site Selection) “ประมวลเร่อื งคลงั และทตี่ ้งั ทาเล” 3.11 การเคล่ือนยา้ ยวัตถุดบิ (Material Handling) “หันเหเคล่ือนย้ายวัสดุ” 3.12 การบรรจุภัณฑ์ (Packaging) “บรรจภุ ณั ฑม์ ดิ ชิดดี” 3.13 การตดิ ตอ่ สื่อสารทางด้านโลจสิ ตกิ ส์ (Logistics Communications) “มีประสทิ ธภิ าพ ส่ือสาร” 4. กรณศี ึกษาท่สี ืบค้นสถานประกอบการมกี ิจกรรมและต้นทุนดา้ นโลจิสติกส์ อย่างไรบ้างอธบิ าย 5. อธิบายต้นทนุ ในกจิ กรรมโลจิสตกิ ส์มาพอสงั เขป โดยให้ตอบเปน็ รายข้อ
218 เอกสารอ้างองิ บทที่ 8 โกศล ดีศลี ธรรม. (2551). Modern Business Logistic & Supply Chain Management: how to make companies globally competitive โลจิสติกส์และห่วงโซ่อปุ ทาน สาหรบั การแขง่ ขันยุคใหม่. กรงุ เทพฯ : ฐานบุ๊คส์. ความสาคัญของการจัดการโลจิสตกิ ส์. (2559). [Online]. เขา้ ถึงได้จาก http://www.jb- mhg .com//logistic System [2559, มถิ นุ ายน 30] คานาย อภิปรัชญาสกุล. (2550). โลจสิ ติกสแ์ ละการจัดการซพั พลายเชน: กลยุทธ์สาหรับลดตน้ ทนุ และเพ่มิ กาไร. (พมิ พ์คร้ังท่ี 2). กรุงเทพฯ : ซี.วาย. ซิสเทม็ พร้ินติ้ง. ไชยยศ ไชยมนั่ คงและมยุขพนั ธ์ุ ไชยมั่นคง. (2550). Logistics and Supply Chain Strategy Competing in the global market กลยทุ ธ์โลจิสติกส์และซพั พลายเชนเพือ่ แขง่ ขันใน ตลาดโลก. กรุงเทพฯ : ซ.ี วาย. ซสิ เทม็ พร้นิ ติ้ง จากัด. ฐาปนา บญุ หลา้ . (2549). โลจิสติกสป์ ระเทศไทย. กรุงเทพฯ. สมาคมส่งเสรมิ เทคโนโลยีไทย-ญ่ปี ุน. ______. และนงลักษณ์ นมิ ติ ภูวดล. (2555). การจดั การโลจสิ ตกิ ส์ มติ ิซัพพลยเชน. กรงุ เทพฯ : ซเี อด็ ยูเคชัน่ . ทวีศุกดิ์ เทพพิทักษ.์ (2548). การจัดการลอจิสติกส์. กรงุ เทพฯ : เอกเปอรเ์ นต็ . วทิ ยา สหุ ฤทดารง. (2544). โลจิสตกิ สแ์ ละการจัดการโซอ่ ุปทานอธบิ ายไดง้ า่ ยนดิ เดยี ว. กรุงเทพฯ. : ซเี อ็ด ยเู คชน่ั จากัด. Vogt, J.J., Pienaar, W.J., & De Wit, P.W.C. (2002). Business Logistics Management. Theory and Practice. Oxford University : Press Southern Africa. [Online]. Avialable : http://www.abebooks.com/book-search/author/vogt-j-j-pienaar-w- de-wit-p-w-c/. [2017, May 20] Stock, J.R. & Lambert, D.M. (2001). Strategic Logistic Management. (4thed.) : McGraw- Hill. [Online]. Avialable : https://www.amazon.com/Strategic-Logistics- Management-James-Stock/dp/0256136874 [2017, May 19]
219 แผนการสอนประจาบทท่ี 9 ชือ่ บทภาษาไทย การควบคุมคุณภาพ ชอื่ บทภาษาองั กฤษ Quality Control เวลาเรยี น 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ หวั ข้อเน้อื หาประจาบท 9.1 ความหมายของการควบคุมคุณภาพ 9.2 ประโยชนข์ องการควบคุมคณุ ภาพ 9.3 ความเป็นมาของการควบคมุ คุณภาพ 9.4 หลักการและกฎของการควบคมุ คุณภาพ 9.5 เครอื่ งมือที่ใชก้ ารควบคุมคุณภาพ 9.6 ระบบการควบคุมคุณภาพ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. เพอ่ื ให้ผู้เรียนทราบและเขา้ ใจความหมายและความจาเป็นในการควบคุมคุณภาพ 2. เพอื่ ให้ผู้เรยี นทราบและเขา้ ใจประโยชน์ของการควบคุมคุณภาพ 3. เพื่อให้ผ้เู รยี นทราบและเข้าใจถึงความเปน็ มาของการควบคุมคุณภาพ 4. เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนทราบและเขา้ ใจในหลักการและกฎของการควบคมุ คุณภาพ 5. เพือ่ ให้ผูเ้ รยี นทราบและเข้าใจและสามารถเลือกใช้เครื่องมือท่ีใชก้ ารควบคุม 6. เพื่อให้นักศกึ ษาอธิบายถงึ ระบบการควบคุมคุณภาพได้ วิธกี ารสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. ผเู้ รยี นศึกษาจากเอกสารท่ีกาหนดให้โดยผู้สอนบรรยายสรุปในหวั ขอ้ เร่ืองควบคมุ คุณภาพ 2.ใหผ้ เู้ รยี นทาแบบฝกึ หดั จากคาถามท้ายบทเป็นรายบุคคลโดยผสู้ อนคอยให้คาชแี้ นะในกรณี ซกั ถาม 3. มอบงานใหผ้ ูเ้ รยี นการวิเคราะห์กรณีศึกษาว่าสถานประกอบการทีส่ บื คน้ สามารถเลอื กใช้ เครื่องมอื ท่ีใชก้ ารควบคุมคุณภาพใหเ้ หมาะสมได้ 4. นาเสนอในช้นั เรียนเพ่ือแลกเปล่ยี นเรียนรู้
220 สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารใบงานประจาบท 2. เอกสารประกอบการสอน เนอ้ื หาประจาบท 3. เทคนิคนาเสนอด้วย Power point 4. สื่อประสม ได้แก่ วีดทิ ศั น์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.thaifactory.com การวดั และประเมนิ ผล 1. ความสามารถตอบคาถามในใบงานทีก่ าหนด 2. ความสามารถในการแยกประเภทระบบควบคมุ คุณภาพและสามารถเลือกใช้เคร่อื งมอื ให้ เหมาะสมกับกรณศี ึกษา 3. ความสามารถในการตอบคาถามท้ายบทคิดเปน็ รอ้ ยละ 80 ของขอ้ คาถามประจาบท
221 บทที่ 9 การควบคณุ ภาพ (Quality Control) ยุคแห่งการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อ ความรวดเร็วในการส่งมอบและสร้างต้นทุนต่าและนาไปสู่กาไรให้แก่สถานประกอบการตามท่ีผู้เรียนได้ ศกึ ษาในบทที่ 8 น้นั ความถกู ต้องของการส่งมอบสินค้าจนเกิดการยอมรับและความเชื่อม่ันในสินค้าท่ี ลูกค้ามอบใหน้ นั้ เป็นสิง่ ทผี่ ปู้ ระกอบการปรารถนาแตป่ รากฏการณ์น้ีจะมีข้ึนก็ต่อเม่ือมีความดีเด่นในตัว สนิ คา้ และความดีเดน่ เหล่านัน้ เริ่มตน้ มาจากการแรกรบั วัตถดุ ิบเข้าสู่กระบวนการผลิตท่ีมีประสิทธิภาพ จึงจะได้ชอ่ื ว่ามีชัยชนะเหนือคแู่ ขง่ ขันอยา่ งแท้จริงซ่ึงเรียกกันโดยทั่วไปว่า คุณภาพ หรือ Quality และ คานีเ้ องเปน็ เรอ่ื งที่ละเอียดอ่อนท่ีนักบริหารการผลิตและดาเนินงานควรใส่ใจและความใส่ใจนั้นจะต้อง กระทาอย่างต่อเนอ่ื งจึงจะต้องมกี ารควบคุมคณุ ภาพ (Quality Control) ให้มอี ย่เู สมอไป นักวิชาการชาวต่างประเทศอย่างเช่น Montgomery (2009) กล่าวว่าปัจจุบันเราทุกคน ต่างใช้ชีวิตอยู่ในสังคมท่ีให้ความสาคัญกับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ การควบคุมคุณภาพได้ กลายเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจและผู้ประกอบการท่ีประสบความสาเร็จใน การปรับปรุงคุณภาพสามารถ เพมิ่ ผลผลติ เพิม่ การเจาะตลาดและบรรลผุ ลกาไรมากข้ึนและมคี วามไดเ้ ปรยี บทางการแขง่ ขัน สาหรบั นักวิชาการชาวไทยอย่างเช่น กิติศักด์ิ พลอยพานิชเจริญ (2553) กล่าวว่าการควบคุม คุณภาพจะเป็นการรักษาความพอใจของลูกค้าใช้แนวทางสองประการ ประการแรกการควบคุมเชิง เทคนิคถือเป็นเง่ือนไขท่ีจาเป็น ประการที่สองการควบคุมคุณภาพเชิงการจัดการถือเป็นเงื่อนไขท่ี เพียงพอ โดยแนวคิดสาคัญของการควบคุมคุณภาพคือการตรวจจับปัญหาการออกนอกการควบคุม เพ่ือการแก้ไข จากน้ันก็เป็นการตรวจจับปัญหาเร้ือรังท่ีเกิดจากความไม่พึงพอใจของลูกค้าที่มีผลจาก การดาเนนิ งานไม่ตรงกบั ความต้องการของลูกค้าที่กาหนดรวมถึงความต้องการของลูกค้าที่ควรจะเป็น ในอนาคต เม่ือผู้เรียนเล็งเห็นแล้วว่าเร่ืองการควบคุมคุณภาพเป็นประเด็นสาคัญที่น่าสนใจตามท่ี นกั วิชาการทา่ นกล่าวไวต้ ่อจากน้ีไปขอนาเสนอความหมายของการควบคมุ คณุ ภาพ 9.1 ความหมายของการควบคุมคณุ ภาพ ความหมายของคาว่าคุณภาพและการควบคุมคุณภาพมีนักวิชาการได้ให้ความหมายไว้ หลากหลาย ดงั น้ี Deming (1952) ได้ให้ความหมายของคุณภาพผ่านการควบคุมคุณภาพว่าคุณภาพ คือ การออกแบบผลิตภัณฑ์และการผลิตให้ตรงตามแบบท่ีกาหนดเพ่ือต อบสนองต่อความต้องการของ ผู้บริโภค ดังนั้น คุณภาพจะประกอบด้วยส่วนคือ คุณภาพในการออกแบบและคุณภาพแห่ง ความถกู ต้องและในบางโอกาสอาจมีการนาวิธีการทางสถิติมาช่วยเปน็ เครื่องมือในการควบคุมคุณภาพ
222 Verma & Boyer (2008) อธิบายความหมายของคุณภาพไว้ว่าเป็นความสามารถของสินค้า และบริการในการตอบสนองความตอ้ งการของลกู ค้าอยา่ งเที่ยงตรงและเกนิ ความคาดหวังของลกู คา้ Russell & Taylor (2011) ให้ความหมายของการควบคุมคุณภาพไว้สองมุมมอง มุมมอง แรกเรอ่ื งการควบคุมคุณภาพในการผลติ จะประกอบไปดว้ ยคณุ ลกั ษณะพิเศษของสินค้า ประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ ความทนทาน ความปลอดภยั เป็นต้น ส่วนมุมมองของการควบคุมคุณภาพด้านบริการ เช่น เรื่องของการส่งมอบทันเวลา ความสมบูรณ์ ความสุภาพ ความสะดวกสบาย ความคงเส้นคงวา และความสามารถในการตอบสนอง เปน็ ต้น Ramasamy (2009) กล่าวถึงการขยายหน้าท่ีงานด้านคุณภาพว่าเป็นการพัฒนางานโดย การนาความต้องการของลูกค้าเข้าสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ท่ีมีผู้ปูอนปัจจัยการผลิตไม่อาจรับรู้ได้ว่ามี ใครบ้างเป็นผู้บริโภคคนสุดท้าย ดังน้ันในแง่มุมของนักวิชาการผู้น้ีท่านได้เชื่อมโยความต้องการของ ลกู คา้ กับเรอื่ งของวิศวกรรมการออกแบบการผลติ และการบรกิ าร ปรียาวดี ผลเอนก (2558) กล่าวสรุปความหมายของการจัดการคุณภาพไว้ว่าเป็นการผลิต สนิ คา้ และบรกิ ารโดยมุ่งเน้นการออกแบบสินคา้ ใหต้ รงตามมาตรฐานท่ีกาหนดไว้ด้วยการกาจัดของเสีย ในการผลิตด้วยการทาให้ถูกต้องต้ังแต่คร้ังแรกเพื่อให้ได้สินค้าที่มีความสมบูรณ์คงเส้นคงวา เน้น ความรวดเร็วในการส่งมอบเพอื่ ตอบสนองความต้องการของลกู คา้ ได้เกนิ ความคาดหมาย จากการทบทวนความหมายของการควบคุมคุณภาพสรุปได้ว่าคุณภาพคือการทาสิ่งที่เกิน ความคาดหมายจากความตั้งใจของลูกค้าท่ีจะได้รับสินค้าและบริการให้ได้ระดับมาตรฐานข้ึนไป เป็น ความใส่ใจของผู้ผลิตท้ังในด้านความสมบูรณ์ของการออกแบบการสร้างคุณลักษณะพิเศษให้ลูกค้า จดจาและเกิดความประทับใจจนยอมรับ เชื่อม่ันและยังคงความตอ้ งการอยเู่ สมอ เมื่อสินค้าได้รับการยอมรับและซ้ือซ้าย่อมแสดงว่าผู้ประกอบการย่อมตระหนักถึง ประโยชน์ในการสรา้ งกระบวนการผลิตให้ได้สนิ ค้าท่มี คี ุณภาพอยู่อย่างสม่าเสมอดังหวั ขอ้ ต่อไป 9.2 ประโยชนข์ องการควบคุมคณุ ภาพ การควบคมุ คุณภาพเปน็ เร่อื งของทุกฝุายในสถานประกอบการทจ่ี ะต้องประสานงานและ ร่วมมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นระบบเริ่มตั้งแต่การควบคุมการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ ตามท่ีกาหนดตลอดทั้งการควบคุมคุณภาพในการผลิตซ่ึงประกอบด้วยการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบ การควบคุมการผลติ การตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑท์ ท่ี าสาเร็จรปู แลว้ สาหรับประโยชน์ที่แท้จริง ของงานด้านคุณภาพคือสร้างคุณภาพอย่างไรให้ได้เปรียบคู่แข่งขันอันเกิดจากการควบคุมคุณภาพนั้น James & William (2011) และ Russell & Taylor (2011) สรุปได้ดงั น้ี 9.2.1 การควบคมุ คุณภาพจะช่วยลดคา่ ใช้จ่าย เชน่ ลดความสูญเสยี ในกระบวนการผลติ ลดทางานซ้าซ้อนลดการซ่อมแซมหรือแก้ไขผลผลิตใหม่ อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการคัดเลือก ผลติ ภณั ฑด์ ไี มด่ ีออกจากกันและลดระยะเวลาท่หี ยดุ ชะงักในการผลิต ลดคาร้องเรียนจากลกู ค้า 9.2.2 การควบคุมคุณภาพทาให้ยอดจัดจาหน่ายสูงข้ึน ในทางตรงกันข้ามหากผลผลิต ด้อยคุณภาพอาจไม่สามารถจัดจาหน่ายตามราคาท่ีต้ังไว้ เมื่อผลผลิตไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานไม่มี คุณภาพยอ่ มไมไ่ ดร้ บั ความนยิ มจากลูกคา้ อาจจะต้องใชน้ โยบายการลดราคาจงึ จะจาหน่ายได้
223 9.2.3 ทาใหบ้ รรยากาศและแรงจูงใจในการทางานดขี นึ้ ซง่ึ จะสง่ ผลให้เกดิ พัฒนาคุณภาพ แบบทกุ คนมีส่วนร่วมในท่ีสุดงานก็สาเรจ็ 9.2.4 การควบคุมคุณภาพให้สินค้ามีความคงทนและมีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่ คู่แข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกันลอกเลียนแบบได้ยากส่งผลให้สถานประกอบการแห่งน้ันมี ประสทิ ธิภาพเหนอื คู่แข่งขันทางการคา้ 9.2.5 การควบคุมคุณภาพที่บรรจุคุณค่า ความต้องการท่ีจะใช้ลงไปถือได้ว่าสถาน ประกอบการแห่งนัน้ มกี ารเตรยี มความพร้อมโดยทคี่ ู่แขง่ ขนั ไมไ่ ด้เตรียมการไวย้ อ่ มเหนือกว่าคู่แข่งขัน 9.2.6 การปรบั ปรุงคุณภาพอยา่ งตอ่ เนอ่ื งจะเป็นพ้นื ฐานในการปรับปรุงซ้า แท้ท่ีจริงแล้วงานทางด้านการควบคุมคุณภาพอาจมิใช่เร่ืองใหม่เสียทีเดียว หากแต่มี ประวตั ิความเป็นมาพอสมควรดังทผี่ ู้เรียนจะไดท้ ราบในตอนต่อไป 9.3 ความเป็นมาของการควบคมุ คณุ ภาพ วิวัฒนาการของการควบคุมคุณภาพได้รับการพัฒนามาเป็นลาดับระยะเวลาที่ผ่านไป แนวความคิดของนกั วิชากรแต่ละยุคสมัยก็แปรเปล่ียนไปตามปัจจัยและสภาพแวดล้อมในช่วงเวลานั้น เราเรียกว่า กระบวนทศั น์ซ่ึงกระบวนทศั น์ของวธิ กี ารทางคณุ ภาพแสดงไวใ้ นตารางที่ 9.1 ตารางท่ี 9.1 กระบวนทัศน์วิธกี ารทางคุณภาพ ปี ค.ศ. กระบวนทัศนก์ ารควบคุมคณุ ภาพ 1700–1900 Eli Whitney เสนอแนะการทาคุณภาพใหเ้ ป็นมาตรฐาน (Standardized) ใน การเปลยี่ นและประกอบชนิ้ ส่วนในงานอุตสาหกรรม 1875 Frederick W. Taylor นาหลักการจดั การแบ่งงานออกเป็นช้นิ เล็ก ๆ ง่ายตอ่ จัดการ กบั ผลิตภณั ฑ์และกระบวนการ Frank Gilbreth และ Henry Gantt เน้นเรอ่ื งคณุ ภาพผลผลิต 1900-1930 Henry Ford กลา่ วถงึ การปรับปรงุ ประสทิ ธภิ าพวธิ ีทางาน และการตรวจสอบ 1901 เริม่ มหี ้องปฏิบตั ิการมาตรฐานแหง่ แรกในประเทศสหราชอาณาจักร 1907-1908 AT & T ทาการตรวจสอบและทดสอบผลติ ภัณฑแ์ ละวัสดุอย่างเป็นระบบ 1908 W. S. Gosset แนะนา การกระจายผลการทางานในการควบคมุ คณุ ภาพ (Quality Control : QC)
224 ตารางที่ 9.1 กระบวนทัศน์วธิ ีการทางคุณภาพ (ต่อ) ปี ค.ศ. กระบวนทศั น์การควบคมุ คุณภาพ 1930s PDCA เริ่มข้นึ เปน็ คร้งั แรกโดยนักสถติ ิ Walter Shewhart ซง่ึ ได้พัฒนาจาก การควบคมุ กระบวนการเชงิ สถติ ทิ ี่ Bell Laboratories ในสหรัฐอเมรกิ า 1946 5 S เกิดในประเทศญปี่ ุนหลังแพส้ งครามโลกครง้ั ท่ี 2 ได้มีการเรียกรอ้ งใหม้ ี การรักษาคุณภาพของช้ินส่วนอปุ กรณ์โทรคมนาคมพัฒนามาจากแนวคดิ QC 1950s PDCA มกี ารเผยแพรโ่ ดย W.Edwards Deming ปรมาจารย์ทางด้านการบรหิ าร คณุ ภาพ หลายคนจึงเรียกวงจรน้ีว่า “วงจร Deming” 1951 การบารงุ รกั ษาแบบทวผี ลทีท่ กุ คนมสี ่วนร่วม (Total Productive Maintenance : TPM) มาใชใ้ นการซ่อมบารงุ เครอ่ื งจกั รบรษิ ทั Nippon Deso ในประเทศญีป่ ุน 1960 บริษทั Nippon Deso ซ่ึงเปน็ ผูป้ อู นปจั จัยการผลิตหลัก ของบรษิ ัทโตโยต้า มอเตอร์ และไดน้ ามาใช้เป็นองคป์ ระกอบใหมใ่ นระบบผลิตแบบโตโยต้า (Toyata Production System : TPM) 1971 ประเทศสหรฐั อเมริกา มีกฎหมายวา่ ดว้ ยสุขลักษณะการผลติ อาหารทกุ ประเภท (Good Manufacturing Product : GMP) 1975-1978 แนวคดิ การจดั การคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management : TQM) เร่ิม นามาใช้ในทวีปอเมริกาเหนอื 1980s ประเทศสหรฐั อเมริกาออกแบบผลติ ภณั ฑ์เชิงทดลองในอตุ สาหกรรมอิเล็กทรอนกิ ส์ อวกาศและยานยนต์ 1984 จัดตั้งคณะกรรมการควบคมุ คณุ ภาพเพอ่ื กอ่ ให้เกิดผลติ ภาพ (ASA : American Statistical Association) 1987 เผยแพร่มาตรฐานระบบคณุ ภาพ ISO (International Organization Standardization) และเรมิ่ ต้นโครงการ Six Sigma ของบรษิ ทั โมโตโรล่า MBNQA เป็นรางวัลผู้นาคุณภาพจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา มีแนวปฏบิ ัติ คอื การดาเนนิ ธุรกจิ ทีเ่ ป็นเลศิ เปรียบเทียบจากอุตสาหกรมเดียวกัน (Benchmarking) 1988 รางวลั Malcolm Baldrige National Quality Award ได้รับการจัดตั้งขน้ึ โดย ประเทศสหรัฐอเมริกาใหร้ างวลั คณุ ภาพเพอื่ มงุ่ สู่ความเป็นเลิศ 1990s กิจกรรมการรับรองมาตรฐาน ISO 9000 เร่ิมขนึ้ ในอุตสาหกรรมของประเทศ สหรัฐอเมริกา โครงการ Six Sigma ของบรษิ ัทโมโตโรลา่ เข้าร่วมกบั บรษิ ัทไอบเี อ็มและ โกดกั กอ่ ตั้งสถาบนั วิจัยและฝึกอบรมด้านน้ี 1993 เร่ิมแนวคิดในการบริหารจัดการแบบ Business Process Re-engineering หรือ การ ปรับรอื้ ระบบการทางานแบบใหมจ่ าก Michael Hammer และ James Champy 1995 มีการนาเอาเทคนคิ ทางสถิติมาชว่ ยวัดการควบคมุ คณุ ภาพขยายมากข้ึน
225 ตารางท่ี 9.1 กระบวนทัศนว์ ธิ ีการทางคุณภาพ (ต่อ) ปี ค.ศ. กระบวนทัศนก์ ารควบคมุ คุณภาพ 1997 แนวทาง Six Sigma ของโมโตโรลา่ แพร่หลายไปยงั อุตสาหกรรมอน่ื การใช้ระบบการวิเคราะห์อนั ตรายและจุดวิกฤตทตี่ ้องควบคุม (HACCP : Hazard Analysis and Critical Control Point) 2000s ISO 9000: 2000 มาตรฐานห่วงโซ่อุปทานและเครือขา่ ยผปู้ อู นปัจจัยผลิตใน อตุ สาหกรรมและขยายไปในงานการเงิน งานประกันภยั สุขภาพ และสาธารณูปโภค ทมี่ า : ดดั แปลงจาก Lester et al. (1992) และ Russell & Taylor (2011) นับจากน้ีตอ่ ไปในภายภาคหนา้ งานด้านจดั การคุณภาพจะเปน็ เช่นไรนัน้ เป็นเรอื่ งท่ีท้าทายและ นา่ ติดตามเป็นอยา่ งมากเพราะงานดา้ นการควบคมุ คุณภาพเป็นส่ิงใหม่ ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและเป็น เร่อื งที่ทนั สมยั อยู่ตลอดเวลาเอกสารประกอบการสอนี้จงึ ขอยกเพียงบางสว่ นของเรอ่ื งราวท้ังหมดท่ีงาน ด้านการควบคมุ คุณภาพทีม่ เี พ่ือนาเสนอในมมุ มองทีป่ ระเทศไทยนาไปศึกษาและประยุกตใ์ ชไ้ ด้ 9.4 หลกั การและกฎของการควบคุมคุณภาพ 9.4.1 หลกั การของการควบคมุ คุณภาพ ปรยี าวดี ผลเอนก (2558) ไตรภพ อินทุใส และคณะ (2546) ไดก้ ล่าวสรปุ ภาพรวมของ งานทางด้านควบคมุ คมุ คุณภาพว่าความสาเรจ็ ของงานตอ้ งวางอยู่บนพน้ื ฐานวธิ คี ิดและวิธีการทางานที่ ทกุ คนมสี ว่ นรว่ มมหี ลกั การขนั้ พ้นื ฐาน 3 ประการ คอื 1) ความมีส่วนรว่ มของทุกคน (Company-wide) การควบคมุ คุณภาพสมยั ใหมน่ นั้ จะต้องอาศัยหลักการบริหารท่ัวทั้งสถานประกอบการเพ่ือให้ทุกฝุายมีความเข้าใจในวิธีปฏิบัติงานได้ ถูกต้องตรงกันเพ่ือความราบรื่นในการบริหารงาน เมื่อผู้ปฏิบัติงานการผลิตมีหน้าที่รับผิดชอบหลักใน การสังเกตปญั หาและค้นหาแนวทางการแกไ้ ขเพื่อใหก้ ารดาเนินการควบคุมคุณภาพและนาเสนอข้อมูล ประกอบการตดั สนิ ใจและรายงานไปยงั ผ้บู รหิ ารระดับสูงต่อไป 2) หลกั ความมีระบบ (Systematic) หลักการน้ีจะทาใหก้ จิ กรรมควบคมุ คุณภาพได้ รับการประยกุ ต์ใชต้ ลอดทว่ั ท้ังกระบวนการทางธรุ กจิ จนกระท่ังขน้ั ตอนตรวจสอบผลติ ภณั ฑ์ใน ข้ันสุดทา้ ยจนได้มาซึ่งสนิ ค้าสาเรจ็ รปู พรอ้ มส่งมอบเพ่ือเปน็ การการประกนั คณุ ภาพโดยตรง 3) หลกั ของความมีเหตุผล (Scientific) หลักการการตดั สินใจภายใต้เหตแุ ละผลที่ จะตอ้ งดาเนนิ การภายใตอ้ งคค์ วามรูร้ ่วมกบั การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศมาจากการวิเคราะห์ข้อมลู 9.4.2 กฎของการควบคมุ คณุ ภาพ ปรียาวดี ผลเอนก (2558) มีแนวคิดสอดคล้องกับ Russell & Taylor (2011) กล่าว โดยสรุปคือหลกั การควบคุมคุณภาพท่ีทาให้สถานประกอบการประสบความสาเร็จได้แก่ การยึดมั่นใน หลักการปรับปรุงคุณภาพภายใต้ปรัชญาคุณภาพโดยรวมของวงจร Deming อันประกอบด้วย Plan Do Check Act หรือนิยมเรียกอย่างย่อว่า PDCA หรือถ้าทาความเข้าใจอย่างย่อคือ การวางแผน การลงมอื ทาการนาข้อมูลหรือชิ้นงานมาตรวจสอบให้แน่ชัดและพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดอยู่เสมอส่ิง
226 ใดดีพัฒนาต่อส่ิงใดเริ่มยาแย่ให้รีบปรับปรุง โดยผู้ประกอบการท่ีประสบความสาเร็จน้ันจะมีกฎของ คุณภาพถึงสิบส่ีขอ้ ดังนี้ 1) สร้างวัตถปุ ระสงค์ท่ีชัดเจนในการปรบั ปรงุ สนิ ค้าเพอ่ื ความย่งั ยืนในระยะยาว 2) ผลิตสนิ ค้าท่ีมีคุณภาพในระดับทีย่ อมรบั ได้ 3) เลือกผปู้ อู นปจั จัยการผลิตมากกวา่ หน่ึงรายเพ่ือยึดคณุ ภาพมากกว่าการแข่งขัน 4) ปรับปรงุ กระบวนการผลติ อย่างตอ่ เนื่อง 5) หมั่นอบรมพนักงานระดบั ปฏิบัติการเพ่ือให้การดาเนินงานผลิตไดป้ ระสิทธภิ าพ 6) ใช้การทางานเปน็ ทมี 7) จดั ทาปรมิ าณงานรูปของตัวเลขเพอื่ ใชว้ ัดงานทีท่ า 8) หม่นั ฝึกอบรมพนกั งานระดบั ปฏิบตั ใิ ห้รู้เทคนคิ การทางานและรู้จกั แกป้ ญั หา 9) สรา้ งขวญั กาลังใจให้พนกั งานระดบั ปฏิบตั ิงาน 10) ปรบั วธิ ีการทางานและกระจายวธิ คี ิดให้ทุกคนทราบและลงมือทาอยา่ งต่อเน่ือง 11) จัดให้มีการศึกษาและวางแผนการฝกึ อบรมวธิ ีการปรับปรุงการทางานทกุ ฝาุ ย 12) พัฒนาผบู้ รหิ ารระดับสงู ใหย้ อมรับความเปล่ยี นแปลงและรจู้ ักปรับตัว 13) จัดทาคาขวญั และเปาู หมายงานเพ่อื ให้ทกุ คนรู้วา่ ถา้ ไร้คุณภาพจะสญู เสยี ตน้ ทุน 14) ใชเ้ คร่อื งมอื ทางสถิตคิ วบคุมคณุ ภาพงานผลติ สาหรับกฎคณุ ภาพขอ้ สุดทา้ ยนเ้ี องนาไปสูก่ ารทาความเขา้ ใจในสถติ ทิ ่ีนามาเปน็ เคร่ืองมือใน การควบคมุ คุณภาพ ดงั แสดงไวใ้ นหวั ข้อถดั ไป 9.5 เคร่ืองมอื ท่ีใช้การควบคมุ คณุ ภาพ ถึงแมว้ า่ เครือ่ งมือทางสถติ ิจะมีกลวิธีที่หลากหลายเพยี งใดสถานประกอบการก็ยงั คงต้องใช้ การประสานงานและความรว่ มมอื ร่วมใจของทกุ ฝุายและทุกคนจึงจะทาให้งานควบคุมคุณภาพประสบ ความสาเร็จ ผู้เขียนได้ทบทวนแนวทางการศึกษาของ Montgomery (2009) และ Stevenson (2001) ทั้งสองแนวคิดมีทิศทางเดียวกันคือมีแนวทางการควบคุมคุณภาพเชิงสถิติที่หลากหลายแต่ สาหรับเอกสารประกอบการสอนนข้ี องนาเสนอพอสงั เขป ดังนี้ 9.5.1 ผังพาเรโต (Pareto Chart) คือ แผนผังหรือแผนภูมิแท่งหรือกราฟท่ีแสดงถึง ความ สัมพันธ์ ระหว่างค่าความถี่ใช้ในการตรวจพบปัญหาอาจจะเป็นหน่วยวัดลักษณะจาเพาะใน การควบคุมท่ีมกี ารจาแนกประเภทออกจากโดยเรียงลาดับความสาคัญ วธิ กี ารทางาน ใชแ้ สดงรายการจานวน ประเภทตา่ งๆ ของเหตุการณ์ท่ีไม่พึงประสงค์ ต่างๆ พร้อมกบั ระบขุ นาดความสาคญั ของแตล่ ะปัจจัยท่ีนาเสนอ มีการเรียงลาดับความสาคัญจากมาก ที่สุดไวท้ างซา้ ยมือสุดแล้วเรียงลดหลน่ั กนั ไปทางขวา สาหรบั แทง่ สุดท้ายในแผนภูมิจะแทนสาเหตุอ่ืนๆ ทไี่ มไ่ ดจ้ าแนกไว้ แต่จะต้องแน่ใจวา่ มีค่าไม่มากเกนิ ไปนกั ตัวอย่างผังพาโตแสดงไวใ้ นแผนภมู ทิ ่ี 9.1
227 แผนภูมิที่ 9.1 แผนภมู ิพาเรโต ทีม่ า : ดัดแปลงจากประจวบ กลอ่ มจติ ร (2557 : 230) เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.keyword suggests.com [2559, พฤษภาคม 23] 9.5.2 ผังก้างปลา (Fish Diagram) เป็นผังท่ีแสดงสาเหตุของปัญหาตลอดจนผลกระทบ (Cause and Effect Diagram) อันเป็นอุปสรรคต่อการดาเนินงานการผลิตและดาเนินงานผังชนิดน้ี ประกอบดว้ ยเสน้ ตรงหลายลักษณะซง่ึ ประกอบกนั แลว้ มรี ูปร่างคล้ายก้างปลา เพ่ือแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างต้นเหตุเหลา่ นนั้ อยา่ งเป็นระบบ วิธีทางาน ใช้สาหรับค้นหาสาเหตุของปัญหาที่เป็นหัวเร่ืองของปัญหาท่ีจะต้องแก้ไข โดยแยกสาเหตุหลักกับสาเหตุรองออกเป็นกลุ่มเดียวกัน วิธีน้ีจะช่วยให้จดบันทึกลงไปได้อย่างเป็น ระบบ ผู้วิเคราะห์ควรพยายามดึงความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่มให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้ครอบคลุม สาเหตุทั้งหมดของปัญหาที่ต้องการแก้ไขดังแผนภาพนี้แสดงปัญหาหลักอยู่ทางขวามือของแผนภาพ ส่วนในกรอบส่ีเหลี่ยมอ่ืน ๆ ที่แตกแขนงออกไปเป็นกลุ่มของปัญหาซึ่งจะเรียกว่าปัญหารองเมื่อ วเิ คราะหด์ ้วยแผนภาพจะทาให้มองเหน็ ปัญหาไดค้ รอบคลุมรอบด้าน ดังแสดงตัวอย่างไว้ในแผนภาพที่ 9.1
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366