51 แห่งชาติกาหนดคุณลักษณะของคนไทยพึงควรรู้ว่า ชีวิตในอนาคตของเด็กไทยจะต้องเผชิญกับชีวิต เชน่ ไร ซง่ึ สรปุ ผลจากการระดมความคิดของผูเ้ ชีย่ วชาญว่าในอนาคตคนไทยจะเปน็ ดังนคี้ ือ การวิเคราะหค์ ุณลักษณะท่ีพึงประสงคซ์ ่ึงประมวลจากพระบรมราโชวาททป่ี รากฏใน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั เร่ืองพระมหาชนก และพระราชดารสั เก่ียวกบั เด็กและ เยาวชนจากหนังสือคาพ่อสอนรวมทั้งปาฐกถาด้านการศึกษาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี ในหนังสือช่ือ รัตนพินิจ นิทิศการศึกษา ได้ข้อสรุปคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ดังนี้ ความ เพียรท่ีบริสุทธ์ิ ปัญญาที่เฉียบแหลม และกาลังกายท่ีสมบูรณ์ความเพียรท่ีบริสุทธิ์ (Pure Perseverance ) คือ ความขยันหม่ันเพียรไม่ท้อถอยในกิจการที่ทา โดยแยกคุณสมบัติออกเป็นสอง ด้านคือ 1) ความสามารถในการกระทา และ 2) คณุ ธรรม จิตสานกึ ในการกระทา ปัญญาท่ีเฉียบแหลม คือความฉลาดรู้ และสติปัญญา-ความคิด ซ่ึงเป็นคุณลักษณะ ของการรจู้ ริง รู้ครบถ้วน รเู้ หตุรูผ้ ล รเู้ ทา่ ทนั รู้เช่ือมโยงความเปน็ ไทยกับความรู้สากล รู้จักตนเอง รูจ้ ัก สังคมกาลังกายท่ีสมบูรณ์ หมายถึงการมีสุขภาวะท้ังทางกายและจิตการท่ีเด็กในช่วงวัยรุ่น ที่มีอายุ ในช่วง 13 - 18 ปี จะมคี ณุ ลกั ษณะทงั้ 3 ประการได้ ต้องมีความพรอ้ ม 7 ประการ ได้แก่ 1. ความพร้อมในการแสวงหาความรู้และค้นพบความรู้ 2. ความพรอ้ มทางด้านคณุ ธรรมและวฒั นธรรม 3. ความพร้อมทางดา้ นทกั ษะชวี ติ และวนิ ยั ชีวติ 4. ความพร้อมทางด้านการคดิ และจินตนาการ 5. ความพรอ้ มทางด้านสังคมและมนษุ ยสัมพันธ์ 6. ความพร้อมทางด้านการทางานและความสามารถในการงานอาชพี 7. และความพร้อมของสมรรถนะในการแข่งขัน ในส่วนของความพร้อมใน ทางด้านการทางานและความสามารถในอาชีพ เอกสารวิถีการเรียนรู้เสนอของเด็กจะต้องมีลักษณะ เหลา่ นเ้ี ป็นฐานคือ 1) การเรียนวชิ าการอยา่ งเปน็ ระบบกบั การเรยี นรู้ในการทางาน 2) การนาผู้เรียนออกสู่สถานประกอบการในชุมชน กับการนาความรู้เร่ือง งานอาชีพในชุมชนเข้าสชู่ ัน้ เรยี น 3) การปลูกฝังคุณธรรมการทางานกับการเรียนรู้คุณธรรมจากการทางาน จริง
52 4) การฝึกทักษะความสามารถเฉพาะตน กับการทางานเป็นกลุ่มการสร้าง ทีมงาน 5) การฝึกใช้แรงงาน (ฝึกทา) กับการฝึกใช้ปัญญาในการทางาน (ฝึกคิด ประยุกต)์ 6) การใฝห่ าความเปน็ เลศิ ในงาน กบั การประเมนิ ผลงานแตล่ ะขน้ั ตอน จากการวิเคราะห์ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแนวคิดของนักการศึกษาที่ได้สังเคราะห์ คณุ ลักษณะด้านมีความสามารถในด้านเศรษฐกิจ สานกั คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน (2554) ได้กล่าวถงึ การสร้างกระบวนการ เรียนรู้ ให้แก่นักเรียนได้มีความรู้ ทัศนคติ และทักษะที่ดีต่อการทางานและการดาเนินชีวิตในสังคม อย่างมีความสุขกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ของประเทศไทย สามารถนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้ในการเรียนในการดาเนิน ชีวติ ได้อยา่ งเหมาะสม ตลอดจนเปน็ การส่งเสริมให้สถานศึกษาได้พัฒนาการเรียนรใู้ ห้แก่นักเรยี น การ เรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียง คือ การเรียนรู้ถึงปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราช ดารัชชีแ้ นะแนวทางการดาเนินชวี ิตแก่พสกนิกรชาวไทย รวมถงึ การพฒั นาและบริหารประเทศที่ตั้งอยู่ บนพื้นฐานของ ทางสายกลาง คานึงถึงหลักสาคัญของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคือ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข 3 หว่ งประกอบไปด้วย 1. ความพอประมาณ 2. ความมีเหตุผล 3. การสร้างภูมิคุ้มกันท่ีดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบครอบ และ คุณธรรมประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทาในการบริหารจัดการชีวิต 2 เงื่อนไข ประกอบไปด้วย กรอบแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาท่ีชี้แนวทางการดารงอยู่และปฏิบัติตน ในทางที่ควรจะเป็นโดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตด้ังเดิมของสังคมไทย สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลามุ่งเน้นการรอดพ้นจาก ภัย และวกิ ฤติ เพื่อความม่ันคงและความยงั ยื่นของการพฒั นา สานักคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2549) แผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) มุ่งสู่ “สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน” ภายใต้แนวปฏิบัติ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”โดยมียุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาประเทศ 5 ยุทธศาสตร์
53 1. ยุทธศาสตร์ การพัฒนาคุณภาพคนและสังคมไทยสู่สังคมแห่งภูมิปัญญา และการเรียนรู้ ใหค้ วามสาคัญกบั การพัฒนาคนและสังคมไทยไปสู่สังคมแหง่ ภูมิปัญญา และการเรยี นรู้ เป็นการลงทุนในทรัพยากรมนษุ ย์ เพือ่ ช่วยใหป้ ระชากรมที กั ษะความรเู้ พม่ิ ข้นึ และนาไปสูร่ ายไดต้ อ่ หัว ท่เี พิม่ ขนึ้ ในระยะยาว และการเสริมสร้างคนไทยใหม้ ีสขุ ภาพแข็งแรง ซง่ึ เป็นปจั จยั สนับสนุนใหพ้ ลเมอื ง มีคุณภาพ ในการสร้างองค์ความรู้ได้อย่างย่ังยืน และการเสริมสร้างให้คนไทยให้อยู่ร่วมกันในสังคม อย่างสันติสุขเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดการสร้างกระบวนการเรียนรู้ ช่วยให้เพ่ิมผลิตภาพการผลิต ต่อไป โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้ 1.1 การพัฒนาคนให้มีคุณธรรมนาความรู้ เกิดภูมิคุ้มกัน โดย พัฒนาจติ ใจควบคู่กับการพฒั นาการเรียนร้ขู องคนทุกกลุ่มทกุ วยั ตลอดชวี ติ 1.2 การเสริมสร้างสขุ ภาวะคนไทยให้มีสุขภาพแข็งแรงท้ังกายและ ใจ และอยใู่ นสภาพแวดล้อมทน่ี ่าอยู่ 1.3 การเสรมิ สรา้ งคนไทยให้อยู่รวมกนั ในสังคมได้อยา่ งสันติสุข มุ่ง เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของคนในสังคมบนฐานของความมีเหตุมีผล ดารงชีวิตอย่างม่ันคงทั้งใน ระดับครอบครัวและชุมชน 2. ยทุ ธศาสตรก์ ารสร้างความเขม้ แขง็ ให้กับชมุ ชน และสงั คมใหเ้ ป็นรากฐาน ที่มั่นคงของประเทศ ให้ความสาคัญกับ การสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างเครือข่ายทางสังคมต่างๆ บนพ้ืนฐานของความไว้เน้ือเชื่อใจต่างๆ กันอันจะช่วยให้เกิดการสั่งสม กระจาย และถ่ายทอดความรู้ ในระดับบุคคล และชุมชน ซึ่งจะช่วยให้เพิ่มผลติ ภาพการผลติ และการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นปัจจัยให้ เกดิ การขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้ 2.1การบริหารจัดการกระบวนการชุมชนเข้มแข็ง ด้วยการ เสรมิ สรา้ งการรวมตวั รว่ มคิด รว่ มทาในรูปแบบท่ีหลากหลาย และจดั กจิ กรรมอย่างต่อเนื่องตามความ พร้อมของชุมชน มกี ระบวนการจดั การองค์ความรู้ และระบบการเรยี นรู้ของชมุ ชนอยา่ งเป็นขั้นตอน มี เครือข่ายการเรยี นรู้ท้งั ภายนอกและภายในชุมชน 2.2การสร้างความมั่นคงของเศรษฐกิจชุมชน ด้วยการบูรณการ กระบวนการผลิตบนฐานศักยภาพ และความเขม้ แขง็ ของชมุ ชนอย่างสมดลุ 2.3ก า ร เ ส ริ ม ส ร้ า ง ศั ก ย ภ า พ ข อ ง ชุ ม ช น ใ น ก า ร อ ยู่ ร่ ว ม กั น กั บ ทรพั ยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดล้อมอยา่ งสนั ตสิ ขุ
54 3. ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและยั่งยืน ให้ ความสาคัญกับ การเพิ่มผลิตภาพ และคุณค่าของสิ้นค้าและบริการบนฐานของความรู้ และส่งเสริม การออม เปน็ ปจั จัยทีก่ อ่ ให้เกิดการขยายตวั ทางเศรษฐกจิ ในระยะยาวโดยมีรายละเอยี ดดังนี้ 3.1 การปรับโครงสรา้ งการผลติ เพื่อเพิ่มผลผลิต และคณุ ค่าของสิ้น ค้า และบรกิ ารบนพน้ื ฐานของความรู้ และความเปน็ ไทย 3.2 การสร้างภูมิคุ้มกันของระบบเศรษฐกิจ โดยการบริหาร เศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้มั่นคง และสนับสนุนการปรับ โครงสร้างการผลิตโดยการระดมทนุ ไปสภู่ าคการผลิตที่มปี ระสิทธภิ าพ 3.3 การสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม และกระจาย ผลประโยชนจ์ ากการพฒั นาอย่างเปน็ ธรรม 4. ยุทธศาสตร์การพัฒนาบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ และการ สร้างความม่ันคงของฐานทรัพยากร และส่ิงแวดล้อม ให้ความสาคัญกับ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ไม่สามารถช่วยให้เกิดความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพฟ้ืนคืนมาได้เสมอไป การรักษาความ หลากหลายทางชีวภาพเป็นปัจจัยสาคัญท่ีช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่าง ยง่ั ยนื รายละเอยี ดมดี ังน้ี 4.1 การักษาทรัพยากรและความสมดุลของระบบนิเวศ เพื่อรักษา สมดุลระหว่างการอนรุ ักษแ์ ละการใชป้ ระโยชน์ 4.2 การสรา้ งสภาพแวดลอ้ มทด่ี เี พื่อยกระดบั คุณภาพชวี ิต และการ พัฒนาท่ียั่งยืน โดยการปรับแบบแผนการผลิตและพฤติกรรมการบริโภคไปสู่การบริโภคท่ีย่ังยืน เพื่อ ลดผลกระทบตอ่ ฐานทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม 4.3 การพฒั นาคุณค่าความหลากหลายทางชวี ภาพ และภมู ิปัญญา ท้องถ่ิน 5. ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างธรรมภิบาลในการบริหารจัดการประเทศ ให้ ความสาคญั กับ การเสริมสรา้ งการบริหารจัดการท้ังภาครัฐและภาคเอกชนท่ีดี รวมถงึ กฎระเบียบและ การกากับดูแลที่มีประสิทธิภาพและความเป็นธรรม การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย การลดปัญหา คอรัปชนั่ ช่วยจงู ใจใหภ้ าคเอกชนมีการคิดค้นนวตั กรรมใหมๆ่ ในการเพิ่มความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี และยังชว่ ยลดตน้ ทนุ การผลิตเพ่ิมผลติ ภาพการใช้ทนุ เพ่ือเป็นการเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในระยะยาว รายละเอียดดงั น้ี
55 5.1 การเสริมสร้าง และการพัฒนาวัฒนธรรมประชาธิปไตย และ ธรรมภิบาลใหเ้ ป็นสว่ นหนง่ึ ของวิถีการดาเนินชวี ิตในสังคมไทย 5.2 เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนให้สามารถเข้าร่วมใน การบรหิ ารจัดการประเทศ 5.3 สรา้ งภาคราชการท่ีมปี ระสิทธิภาพ และมธี รรมภบิ าล 5.4 การกระจายอานาจการบริหารจัดการประเทศสู่ภูมิภาค ท้องถนิ่ และชุมชนเพมิ่ ขน้ึ ตอ่ เนอ่ื ง 5.5 ส่งเสริมภาคธุรกิจเอกชนให้มีความเข้มแข็ง สุจริต และมีธรรม ภบิ าล 5.6 การปฏิรูปกฎหมาย กฎระเบียบ และข้ันตอน กระบวนการ เกี่ยวกบั การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพ่ือสรา้ งความสมดุลในการจดั สรรประโยชน์จาการพฒั นา 5.7 การรักษาและส่งเสริมความม่ันคงเพื่อสนับสนุนการบริหาร จัดการประเทศสูด่ ลุ ยภาพและความย่ังยืน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.2542 มงุ่ พฒั นาสงั คมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อันเป็นเง่อื นไขไปสรู่ ะบบเศรษฐกิจ ฐานความรู้ (Knowledge Based Economy) คุณลักษณะเด็กไทยท่ีพึ่งประสงค์ตามแนวการจัด การศึกษาท่ีกาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ให้ความสาคัญกับคุณภาพ การศึกษาโดยการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและคุณธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมี ความสุข ในการการจัดการเรยี นรู้มงุ่ ปลกู ฝังจิตสานึกท่ีถูกต้องเก่ียวกับการเมือง การปกครอง ระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิหน้าท่ี เสรีภาพ ความ เคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ ภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จัก รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเอง มี ความคดิ ริเรมิ่ สร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และเรยี นรูด้ ว้ ยตัวเองอยา่ งต่อเนอ่ื ง 3. มคี ุณธรรม (Morality/Virtue) และมคี วามรบั ผดิ ชอบต่อสังคม (Social Responsibility) 3.1 ความหมายของคณุ ธรรม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2525: 189) ให้ความหมายของคุณธรรม ไว้ส้นั ๆ ว่า “สภาพคุณงามความดี” และตามท่ีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542
56 “คณุ ธรรม” หมายถึง สภาพคุณงามความดี เปน็ สภาพคณุ งามความดีทางความประพฤติและจติ ใจ ซง่ึ สามารถแยกออกเปน็ 2 ความหมาย คือ 1. ความประพฤติดีงาม เพ่ือประโยชน์สุขแก่ตนและสังคม ซ่ึงมีพ้ืนฐานมา จากหลกั ศีลธรรมทางศาสนา ค่านิยมทางวัฒนธรรม ประเพณี หลกั กฎหมาย จรรยาบรรณวชิ าชพี 2. การรจู้ กั ไตร่ตรองวา่ อะไรควรทา ไมค่ วรทา และอาจกล่าวไดว้ ่า คุณธรรม คือ จริยธรรมแต่ละข้อทีนามาปฏิบัติจนเป็นนิสัย เช่น เป็นคนซ่ือสัตย์ เสียสละ อดทน มีความ รบั ผิดชอบ ฯลฯ กระทรวงศึกษาธิการ (2554) ประกาศนโยบายเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษา โดยยึด หลักคุณธรรมนาความรู้สร้างความตระหนักสานึกในคุณค่าของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความ สมานฉันท์ สันติวิธี วิถีประชาธิปไตย พัฒนาคนโดยใช้คุณธรรมเป็นพ้ืนฐานของกระบวนการเรียนรู้ท่ี เชื่อมโยง ความร่วมมือของสถานบันครอบครัว ชุมชน สถาบันศาสนาและสถาบันการศึกษาโดยมี จุดเน้นเพื่อพัฒนาเยาวชนให้เป็น คนดี มีความรู้ และอยู่ดีมีสุข การขับเคล่ือนดังกล่าวเพื่อให้เกิดเป็น รูปธรรมและสามารถนาไปปฏิบัติ และเกิดประสิทธภิ าพสงู สุดควรปลูกฝังคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ ประกอบด้วย 1) ขยัน 2) ประหยัด 3) ซื่อสัตย์ 4) มีวินัย 5) สุภาพ 6) สะอาด 7) สามัคคี และ8) มี วนิ ยั แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 10 (พ.ศ. 2550-2554) จัดทา นโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาล ท่ีมีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง การมี ธรรมาภบิ าลของภาครัฐและภาคเอกชน มีการนาเสนอคุณธรรมเปน็ องคป์ ระกอบหนง่ึ ใน 6 องคป์ ระกอบหลักของการมีธรรมภิบาลคือ หลกั นติ ิธรรม หลกั คณุ ธรรม หลกั ความโปรง่ ใส หลกั ความ มสี ่วนร่วม หลักความรับผดิ ชอบ และหลักความคมุ้ คา่ การนาเอาหลกั ครธุ รรมมาใชเ้ พ่ือควบคุม กากับ การปฏิบัติงานของภาครัฐให้ยึดถือหลักคุณธรรมในสังคม หมายถึง การยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม การสง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหป้ ระชาชนพฒั นาตนเองไปพรอ้ มกนั เพือ่ ให้คนไทยมีความซ่ือสตั ย์ จริงใจ ขยัน อดทน มรี ะเบียบวินยั ประกอบอาชพี สุจรติ จนเปน็ นิสยั ประจาชาติ หลักคุณธรรมในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 10 (พ.ศ. 2550- 2554) ได้นาเรื่องคุณธรรมมาเป็นหลักในการขับเคลื่อนกระบวนการทุกข้ันตอน โดยการเสริมสร้าง ศีลธรรม และให้ประชาชนสานึกในคุณธรรม จริยธรรมในการปฏิบตั ิหน้าที่ และดาเนินชีวิตด้วยความ เพียร อันจะเป็นภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี พร้อมที่จะเผชิญการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึน ท้ังในระดับครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ได้ระบุในวิสัยทัศน์ประเทศไทยว่า “สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน คน
57 ไทยมีคุณธรรมนาความรอบรู้ รู้เท่าทันโลก ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมสันติสุข เศรษฐกิจมี คณุ ภาพ เสถียรภาพ และเปน็ ธรรม” การขับเคล่ือนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 มีการ ยึดหลักคุณธรรมเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญของการพัฒนา “ ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพคน และ สังคมไทยสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้” ให้ความสาคัญกับการพัฒนาคนให้มีคุณธรรมนา ความรู้ เกิดภมู ิค้มุ กัน และ “ยทุ ธศาสตร์การเสริมสรา้ งธรรมภิบาลในการบริหารจัดกรประเทศ” ไดใ้ ห้ ความสาคญั กับการพัฒนาความเป็นผู้นาประชาธิปไตยทม่ี คี ุณธรรม จริยธรรม และธรรมภิบาล สานักงานมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้กาหนด มาตรฐานการศึกษาข้ันพื้นฐานรอบที่สอง (พ.ศ. 2549-2553) ตัวชี้วัดหลักคุณธรรมในโรงเรียน คุณธรรมเป็นตัวชี้วัดท่ีสาคัญในการประเมินคุณภาพของผู้เรียน ทางด้านผู้เรียนมาตรฐานที่ 1 ว่า ผูเ้ รียนมีคณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มพึงประสงคด์ ังน้ี วรี ะ บารุงรักษ์ (2523: 131) ไดใ้ หค้ วามหมายของคณุ ธรรมไว้วา่ หมายถงึ ความรู้สึก นึกคิด (Mental Attitude) หรือสภาพจิตใจท่ีเป็นกุศล คุณธรรมเป็นพื้นฐานของการแสดงออก เน้น การกระทาพฤติกรรม หรือกิจกรรมท่ีเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อ่ืน สภาพจิตใจที่เป็นกุศลที่ เรียกว่า “คุณธรรม” นี้ เกิดขึน้ ได้เพราะจิตรูจ้ กั ความจริง (Truth) ความดี (Goodness) และความงาม (Beauty)” สงวน สุทธิเลิศอรุณ (2527: 10-11) ได้ให้ความหมายของคุณธรรมไว้ว่า คุณธรรม หมายถึงความดี ความงามของบุคคลที่กระทาไปด้วยความสานึกในจิตใจ โดยมีเป้าหมายว่าเป็นการ กระทาความดี หรือเป็นพฤติกรรมท่ีดี เป็นท่ีรักของสังคม เช่น ความเสียสละ ความมีน้าใจงาม ความ เกรงใจ ความยตุ ธิ รรม ความรักเดก็ ความรักเพอื่ นมนุษย์ และความเหน็ อกเหน็ ใจผอู้ ื่นเป็นต้น พระเทพวิสุทธิเมธี (2539: 90 อ้างถึงใน สมจิตต์ เครือสุคนธ์, 2539: 10) ให้ ความหมายคุณธรรมไว้ว่า “คุณสมบัติฝ่ายดี โดยส่วนเกี่ยวข้องเป็นท่ีต้ัง หรือเป็นประโยชน์แก่สันติสุข ของมนษุ ย์” ทิศนา แขมมณี ( 2546 : 4 ) ไดใ้ ห้ความหมายไวว้ า่ คุณธรรมหมายถึง คณุ ลกั ษณะ หรอื สภาวะภายในจิตใจของมนุษยท์ เ่ี ป็นไปในทางทถ่ี ูกตอ้ ง ดงี าม ซงึ่ เป็นภาวะนามธรรมอยใู่ นจิตใจ ลิขิต ธีรเวคิน ( 2548 ) ได้กล่าวไว้ว่า คุณธรรม คือ จิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล ศาสนาและอุดมการณ์ เปน็ ดวงวิญญาณของปจั เจกบคุ คลและสงั คมด้วย ปัจเจกบุคคลตอ้ งมีวิญญาณ สงั คมตอ้ งมจี ิตวญิ ญาณคุณธรรมของปจั เจกบคุ คลอยู่ทก่ี ารกล่อมเกลาเรียนร้โู ดยพ่อ
58 สรุป คุณธรรม หมายถึง หลกั ของความดีความงาม ความถูกต้อง ซงึ่ จะแสดงออกมา โดยการกระทา ทางกาย วาจาและจติ ใจของแต่ละบคุ คล ซงึ่ อาจเป็นสภาพความดงี ามทีเ่ กดิ จากการ ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติตามผู้ทรงคุณงามความดี หรือ เกิดจากมโนธรรมของตนเอง ซึ่งเป็นหลักประจา ใจในการประพฤติปฏิบัติจนเกิดเป็นนิสัยเป็นส่ิงท่ีมีประโยชน์ต่อตนเองผู้อ่ืน และสังคม เช่น ความ เสยี สละ ความซือ่ สตั ย์ เปน็ ต้น 3.2 ความรบั ผิดชอบต่อสงั คม (Social Responsibility) 3.2.1 ความหมายของความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม สุรศักด์ิ หลาบมาลา (2009) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความรับผิดชอบต่อสังคม หมายถึง การรับเป็นภาระ รักษา แก้ปัญหาและพัฒนาสังคม การสอนให้เด็กเกิดจิตสานึกในความ รับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility)นั้นเป็นเร่ืองยากมาก เพราะครูไม่รู้ว่าปัญหาสังคมและ ปัญหาสงิ่ แวดล้อมแต่ละเร่อื งนน้ั จะแกอ้ ยา่ งไร และครไู มร่ ู้วา่ ในอนาคตเด็กจะเผชญิ กบั ปญั หาอะไรบ้าง 3.2.2 ความสาคญั ของความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม Schmidt (2009) ได้กล่าวถึงความสาคัญของความรับผิดชอบต่อสังคมไว้ว่า เด็ก และเยาวชนเม่ือเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เด็กสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เช่น ปัญหาความยากจน เชื้อ โรค อาชญากรรมข้ามชาติ ความโหดร้ายทารณุ สงคราม การขาดแคลนน้า ฯลฯ เปน็ ปัญหาระดบั โลก การแก้ปัญหาเหล่านี้ต้องใช้การแก้ปัญหามากกว่าการเมือง การเงิน และเศรษฐกิจ แต่การอ่านออก เขียนได้ และการคิดเลขเป็นจาเป็นต่อมนุษย์ และท่ีสาคัญมากกว่าการอ่านออกเขียนได้ก็คือ มนุษย์ท่ี อ่านออกเขียนได้ต้องเป็นคนท่ีมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่คิดแต่จะมาเอาประโยชน์จากสังคม อย่างเดียว ครูผู้สอนสามารถให้ความรู้ ทัศนคติแนวปฏิบัติในการแก้ปัญหาสังคมได้ ด้วยการนาเสนอ ปัญหาสังคมให้กับเด็กต้องมีการวางแผน เตรียมข้อมูล ส่ือการสอน และศึกษางานวิจัยต่างๆ ไว้เป็น อย่างดี Seider (2009) ได้ศึกษาเก่ียวกับการเรียนการสอนความรับผิดชอบต่อสังคม กลุ่ม ตัวอย่างเป็นเด็กมัธยมปลาย จานวน 83 คน เป้าหมายของงานวิจัยครั้งน้ีคือการให้เด็กเข้าร่วม กิจกรรมบริการทางสงั คม พบว่า 1.ไม่ควรให้ขอ้ มลู เก่ียวกับปญั หาสงั คมมากจนเกนิ ไปจนทาใหเ้ ดก็ เหน็ ว่าไม่มี ทางทาได้สาเร็จ ครูให้ข้อมูลว่าเด็กในกลุ่มประเทศท่ีกาลังพัฒนามีความหิวโหยปีละ 10 ล้านคน เด็ก ตอบว่ามีมากจนเกนิ ไปไมม่ ีทางทีจ่ ะแก้ปญั หาได้ เพราะมมี ากจนเกินไปจนไมส่ ามารถแกป้ ญั หาอะไรได้ จงึ ไม่ทาอะไรเลย
59 2.ไม่ควรให้ข้อมลู ทีเ่ ป็นเรื่องสะเทือนใจมากจนเกนิ ไป ทาให้เด็กคิดถึงตัวเอง มากกว่าปัญหาท่ีครูนาเสนอ ครูเสนอภาพคนท่ีไร้ท่ีอยู่อาศัยในบอสตัน 6,000 คน เด็กตอบสนองว่า หากครอบครวั เธอตกอยใู่ นสภาพเช่นนนั้ เธอจะทาอย่างไร 3.ไม่ควรใช้การกระตุ้นที่รุนแรงเกินไปเพราะจะทาให้เด็กรู้สึกต่อต้าน ไม่ ชอบคนท่ีให้เหตุผลในลักษณะเช่นน้ัน เช่น ครูเสนอบทบาทให้เด็กเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือเด็ก กาพร้า โดยใช้คาพูดว่า ถ้าหากไม่เข้าไปช่วยเหลือเด็กกาพร้าก็เท่ากับว่าเป็นคนไม่มีคุณธรรม เป็นต้น เด็กจะชอบตดั สนิ ใจดว้ ยตวั เองมากกวา่ 4.การเสนอข้อมูลเป็นประโยชน์บอกเล่า เช่น เด็กชาวเขาไม่มีโอกาสเรียน หนังสือ มีชีวิตอยู่อย่างยากจนหน้าหนาวต้องนอนผิงไฟ เป็นต้น จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกเด็กได้น้อย กว่าการใช้ประโยคคาถาม เช่น เด็กยากจนส่วนมากอยู่ที่ไหน หน้าหนาวเด็กในภูเขามีความเป็นอยู่ อยา่ งไร เป็นตน้ Weissbound (2009) ได้ทาการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสร้างจิตสานึกในตัวเด็ก พบว่า ผู้ใหญ่ในชุมชนควรสารวจค่านิยม คุณธรรม และทัศนคติของตนเองต่อสภาพสังคมในปัจจุบัน และควรมองว่าโรงเรียนเป็นส่ิงแวดล้อมท่ีหล่อหลอมคุณธรรมในตัวเด็ก ผู้ปกครอง และครูควรตกลง กันว่าการจะส่งเสริมคุณธรรมใดบ้างให้เกิดกับเด็ก บ้าน วัด และโรงเรียนควรร่วมมือกันอย่างไร เพื่อ แก้ปัญหาของบ้าน วัด และโรงเรียนโดยให้เด็กเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนในโรงเรียนครูควรปลูกจิตสานึก ในตัวเด็ก โดยครพู ยายามสอดแทรกกจิ กรรมเข้าไปในบทเรียนหรือกจิ กรรมโรงเยนดงั น้ี 1.ใหเ้ ดก็ ศึกษาว่าการเป็นประชาชนมีความหมายว่าอยา่ งไร 2.ศึกษาหรือสารวจวิธีการท่ีเด็กสามารถเข้าไปมีบทบาทในการบริหาร และ บริการชุมชนใกล้ตัวจนกระท่ังถึงระดับประเทศและระดับโลก เช่น แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน ความรูก้ ับเพ่อื นตา่ งแดน เขา้ ร่วมกิจกรรมชุมชน 3.ให้เด็กอภิปรายภาวะผู้นาทางการเมือง ผู้นาของชุมชน หน่วยงานของรัฐ หนว่ ยงานของการกุศลและเอกชน บทบาทสารสนเทศ และสือ่ มวลชนในการแก้ปัญหาสังคม 4.ให้เด็กค้นหา เข้าถึง จัดระบบ และประยุกต์ใช้สาระสนเทศท่ีเก่ียวกับ ปัญหาของสังคม และแนวทางแก้ปัญหาสังคมทุกรูปแบบ เช่น การค้ามนุษย์ การเอารัดเอาเปรียบผู้ ด้อยการศึกษา การหลอกลวงในรูปแบบตา่ งๆ เปน็ ตน้ 5.ปรึกษาผู้รู้ และศึกษาหาความรู้เก่ียวกับการปกครองกฎหมายและ การเมอื ง เพ่อื การตดั สินใจในการแกป้ ญั หาของสงั คม ต้งั แต่ระดบั ทอ้ งถิน่ จนถึงระดับชาติ
60 6.สังเกต ตรวจสอบ และวิเคราะห์พัฒนาการ การให้เหตุผลเชิงคุณธรรม ของตนเอง เพอ่ื จะเข้าใจแนวความคดิ ของคนเหลา่ นน้ั ต่อปัญหาของสงั คมในปจั จุบนั 7.ใหเ้ ด็กทาบันทกึ วา่ ในแต่ละสัปดาห์ตนเองทาความดีอะไรบา้ ง เพราะอะไร ใครช่วยเหลอื เราบ้าง และเพราะอะไร Haynes (2009) ได้ทาการศึกษาวิจัยเก่ียวกับความรู้สึกผิดชอบในโรงเรียนของเด็ก พบว่า การกระทาส่ิงต่างๆ ด้วยความกล้า ความดี ความเมตตาเป็นนิสัยของจิต (Habit of mind) ที่ สั่งสมมาตลอดชีวิตและจะแสดงออกเมื่อเห็นเพ่ือนมนุษย์ถูกทาร้าย เหยียดหยาม เอารัดเอาเปรียบ และถูกใช้เป็นเคร่ืองมือในการกระทาช่ัว ความรู้สึกรับผิดชอบอยู่ในตัวตน ช่วยให้คนแยกผิดจากถูก ซ่ึงอาจเกิดจากการเลี้ยงดูของครอบครัวต้ังแต่เยาว์วัย เกิดจากการสั่งสอนท่ีโรงเรียน เกิดจากเพ่ือน และการมีชีวิตอยู่ในชุมชน ความรู้สึกผิดชอบจะกระตุ้นจิตให้คนทาในสิ่งที่ว่าถูกต้อง ชีวิตในโรงเรียน วนั ละ 6-8 ชวั่ โมง หรอื มากกว่านนั้ โรงเรียนควรสนับสนนุ และสอนใหเ้ ดก็ ทาเพ่ือส่วนรวม และส่วนตน โดยไม่ลิดรอนสิทธิของคนอ่ืน เด็กควรมีโอกาสได้ใช้สามัญสานึก หรือความรู้สึกรับผิดชอบในกิจกรรม ตา่ งๆ ดังน้ี 1.การตัดสินใจร่วมกันทากจิ กรรมของกลมุ่ 2.เรยี นรู้การชว่ ยเหลือเพอ่ื นๆในกจิ กรรมต่างๆ 3.ไกล่เกลีย่ ความขัดแยง้ ท่ีเกดิ ข้นึ ระหว่างเพื่อน 4.ใชอ้ ินเตอรเ์ น็ตอย่างมคี ณุ ธรรมและศีลธรรม 5.ใช้จรยิ ธรรมในการเรียนวิชาต่างๆ เชน่ เศรษฐศาสตร์ ควรพจิ ารณาในการ ตอบแทนสงั คมควบคู่กบั การมองหาแนวทางให้ได้ประโยชนเ์ ฉพาะตน 6.สร้างสงั คมท่ีรักกันฉนั ทพ์ ีน่ ้อง 7.ให้เด็กเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนท่ีให้เด็กมีบทบาท มากกวา่ การใช้แรงงานเดก็ 8.ให้เด็กมีเสรีภาพในการแสดงออกท้ังวาจา การเขียน และการแสดง โดย เปน็ การลิดรอนเสรภี าพของคนอื่น 9.สง่ เสริมการจดั ต้ังโรงเรียนและหลักสูตรคุณธรรม เชน่ โรงเรียนวิถพี ุทธให้ เด็กได้เลือกเรยี น เป็นตน้ 10.ให้เด็กได้มีโอกาสอภิปรายปัญหาสังคมในชั้นเรียน และนาไปสู่การ แก้ปัญหาสังคมท่ีเด็กสามารถทาได้ในบริบทของตน เช่น ปัญหาการท้ิงขยะไม่เป็นท่ีในโรงเรียน หรือ
61 การระดมทรัพย์ ส่ิงของช่วยเหลือโรงเรียนท่ียากจน เป็นต้น ในการฝึกให้เด็กและเยาวชนมีบทบาท ดังกล่าว ครหู รือผ้ใู หญ่ควรมที ัศนะดงั น้ี 1.เด็กและเยาวชนท่ีมีคุณค่าสามารถช่วยเหลือสังคมได้เม่ืออยู่ใน สภาพทเ่ี อ้อื อานวย และเดก็ มิใชป่ ัญหาสังคม 2.การให้การศึกษาโดยเฉพาะปัญหาส่ิงแวดล้อม และบริการสังคม เปน็ งานของสงั คม ศาสนา และโรงเรียนรว่ มกัน 3.การแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาของสังคมเป็นหน้าท่ีและสิทธิ ของทุกคนในสังคม ไม่ใช่เฉพาะคนท่ีมีอิทธิพลเท่านั้น การเสนอความคิดเห็นควรเสนอแนวทางการ แก้ไขควบค่ไู ปดว้ ย ท้งั นีเ้ พือ่ ให้เกิดการเปลยี่ นแปลงเพอ่ื ประโยชน์สขุ รว่ มกันของทุกคนในสงั คม 4.ควรเข้าถงึ เดก็ ทกุ คนในการนาเด็กออกมาช่วยสังคม 3.2.3 ประโยชนท์ ่ีเดก็ เข้าร่วมกจิ กรรมบริการสงั คม การชักชวนเด็กเข้าร่วมกิจกรรมบริการสังคม เพราะเด็กท่ีเข้าร่วมจะได้การพัฒนา ด้านจติ ใจ และสติปญั ญา จากการวิจยั พบว่า เด็กท่เี ขา้ ร่วมกจิ กรรมบริการสังคมได้รับประโยชนด์ งั นี้ 1.มีโอกาสประสบความสาเร็จในชวี ติ เม่ือเปน็ ผู้ใหญ่ 2.ได้เสนอความคิดเห็นในมุมมองของเด็กซึ่งมักจะแตกต่างในมุมมองของ ผู้ใหญ่ และสงั คมเรากป็ ระกอบไปด้วยเด็กและผู้ใหญ่ไม่ใชม่ ีเฉพาะผใู้ หญ่เท่าน้นั 3.ได้รับประสบการณ์และความรู้ในการแก้ปัญหาของสังคม และสิ่งน้ีจะ ทักษะในการแก้ปญั หาของเด็กไดใ้ นอนาคต 4.ความรู้ ทักษะและความผูกพันกับบุคคลต่างๆ ในสังคมเอื้อต่อเด็กในการ เรียนวิชาต่างๆ การทากิจกรรมของเด็ก และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กที่เข้าร่วมในกิจกรรม บริการสงั คมจะสูงขน้ึ กว่าเดิม 5.การสนับสนุนให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมทางบริการสังคม โรงเรียนควรจัด วิชาหนึ่งเข้าไปไว้ในหลักสูตรมีวัตถุประสงค์เพ่ือส่งเสริมการเรียน การพัฒนาบุคลิกภาพ ทักษะการ แก้ปัญหา ทักษะทางสังคม สามารถเข้าใจสังคมได้ดีขึ้น และเป็นการเตรียมเด็ก เพ่ือเป็นพลเมือง คณุ ภาพ และมีสว่ นรว่ มในการบรหิ ารสงั คมในอนาคตตอ่ ไป 3.2.4 การวดั ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม (Measuring Social Responsibility) Rothstein and Joachbson (2009) ได้กล่าวถึงการวัดความรับผิดชอบตอ่ สังคมไว้ วา่ สงั คมจะมคี วามสงบสุข และสันตกิ ต็ ่อเมื่อผู้ที่อยู่ในสังคมมีความรบั ผิดชอบต่อสังคม โรงเรยี นสอน
62 ความรับผิดชอบต่อสังคมโดยการให้ความรู้ พัฒนาทัศนคติ และการปฏิบัติต้องมีการวัดผู้เรียนว่ามี ความเขา้ ใจมากน้อยเพียงใด การวัดความรบั ผิดชอบตอ่ สังคมในประเทศองั กฤษ และอเมรกิ ามดี งั น้ี 1. National Assessment of Education Progress ของอเมริกา วดั ความ รบั ผดิ ชอบต่อสังคมโดยการแบ่งเด็กออกเป็น 2 กลมุ่ แข่งกนั ว่าเด็กกลุ่มไหนจะทาได้ก่อน เดก็ ตกลงกัน ว่าจะตง้ั คาถามอะไร และจะต้องหมนุ เวียนกนั ถามคะแนนจะพจิ ารณาจาก 1.เด็กเสนอคาแนะนาในการต้งั คาถามไมซ่ ้ากัน 2.ใหเ้ หตุผลในการตงั้ คาถาม 3.ค้นหาขอ้ มลู เพม่ิ เติมจากแหล่งอื่น 4.ช่วยกันกาหนดกระบวนการทางาน 5.การให้ความร่วมมือกับเพ่ือนๆ กรรมการจะให้คะแนนติดลบถ้า หากเดก็ พูดทาใหเ้ พ่ือนเสยี กาลังใจ และการพูดนอกเรื่อง 2. Civil Liberties and Citizenship ของอเมริกา กรรมการสัมภาษณ์เด็ก อายุ 13 และ 17 ปี คาถามมีลักษณะดงั น้ี 1.ถ้าเหน็ คนขายหนงั สือหรอื ภาพลามกอนาจาร เด็กจะทาอย่างไร 2.เดก็ ควรจะซ้ือลอตเตอรี่หรอื ไม่ 3.เด็กควรจะชวนเพ่ือนท่ีพ่อของเขาเป็นผู้ต้องโทษไปเล่นท่ีบ้าน หรอื ไม่ 4.ควรจะอนุญาตให้คนพูดผ่านสื่อโทรทัศน์ว่า ประเทศใดประเทศ หนงึ่ เปน็ คู่แขง่ กับเรา มีการพฒั นามากกว่าประเทศเราหรือไม่ 5.เด็กควรจะเก็บของที่มีคนทาเก็บไว้เป็นของตนเองหรือไม่ เพราะ อะไร 3. Ethical Questions ของอเมริกา กรรมการสัมภาษณ์เด็กอายุ 13 และ 17 ปเี ก่ียวกบั แนวความคิดทางจริยธรรม โดยมคี าถามในลักษณะดงั ต่อไปนี้ 1.ถ้าเหน็ คนทาลายเด็กและสตรีจะทาอยา่ งไร 2.ถ้าเหน็ คนไมส่ บายนอนอยขู่ า้ งถนนจะทาอย่างไร 3.ถ้าเหน็ คนนาเด็กทารกมาน่ังขอทานขา้ งถนนหรือบนสะพานลอย ขา้ มถนนจะทาอย่างไร 4.ถ้าเห็นคนแอบเข้าไปในบ้านท่เี จ้าของบ้านไม่อยู่จะทาอยา่ งไร
63 5.ถ้าเห็นคนชวนสาววัยรุ่นไปทางานต่างประเทศโดยไม่ให้บอกให้ ใครทราบจะทาอย่างไร 6.ถ้าเหน็ คนยกพวกตีกันจะทาอย่างไร 4. Office for Standard in Education (Ofsted) เป็นการตรวจเยี่ยม โรงเรียนในอังกฤษ ออกตรวจโรงเรียน 3 ปีต่อคร้ังต่อโรง เป็นการแต่งตั้งครูใหญ่ท่ีมีผลงานดีให้เป็น ผตู้ รวจราชการของสมเดจ็ พระราชินี (Her Majesty Inspectors) ภาระงานมีดังนี้ 1.ตรวจความเป็นอยู่และความก้าวหน้าในการพัฒนาตนเองของ เด็ก 2.ตรวจพัฒนาดา้ นจติ ใจ จริยธรรม สงั คม และวฒั นธรรมของเดก็ 3.ตรวจรูปแบบการดารงชีวติ ทเี่ ปน็ สุข (Healthy life style) 4.ตรวจการช่วยเหลอื หรอื บริการสังคมของเดก็ ผู้ตรวจการจะประเมิน และให้คาแนะนาและจะกลับมาตรวจสอบอีกคร้ังเม่ือเวลา ผ่านไป 1-2 ปี เพ่ือตรวจดูว่าโรงเรียนปฏิบัติตามคาแนะนาได้เพียงใด ถ้าทาไม่ได้ครูใหญ่และครูอาจมี การเปลย่ี นแปลง สุรศักดิ์ หลาบมาลา (2543) ได้เสนอภาพรวมการสอนความรบั ผิดชอบต่อสังคมที่ครู ควรดาเนนิ ตามขน้ั ตอนดังน้ี 1.ให้เด็กศึกษาตนเองตามความคิดเห็นของตนเอง และเพื่อนในเรื่อง จดุ ออ่ น จุดแขง็ ลักษณะนิสยั 2.เตรียมความพร้อมของเด็กโดยการสร้างจติ สานึก และความรสู้ กึ ผิดชอบ 3.แนะนาเดก็ ให้เหน็ ปญั หาของสังคมในขอบเขตทเ่ี หมาะสมกบั อายขุ องเด็ก 4.สอนแนวทางแกป้ ัญหาของสงั คมในอดีตและปัจจุบนั 5.ให้เดก็ คดิ โครงงานของตนเองในลกั ษณะของทีมงาน 6.นาโครงงานไปปฏิบัติหรือร่วมปฏิบัติกับหน่วยงานการกุศลท่ีทาเร่ืองน้นั ๆ อย่แู ล้ว 7.ครูประเมนิ โครงงาน และความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คมของเด็ก
64 2. แนวคดิ การบรหิ ารโรงเรียนและการบรหิ ารงานวิชาการโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา 2.1 แนวคดิ การบริหารโรงเรยี น พัฒนาการของการบรหิ ารโรงเรยี นตง้ั แต่ช่วง ค.ศ. 1980 เริ่มจากแนวคิดการบริหาร วิทยาศาสตร์ให้ความสาคัญกับการจัดการศึกษาทมี่ ีประสิทธฺภาพ โดยมีการวเิ คราะห์การทางาน (Job Analysis) ต่อมาการบริหารการศึกษาได้แนวคิดการบริหารเชิงมนุษยสัมพันธ์ที่ให้ความสาคัญกับการ นาประชาธิปไตยมาใช้ในการบริหาร โดยเปิดให้ครู บุคลากร และผ้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วม และหลงั จากนัน้ การบรหิ ารการศึกษาไดน้ าแนวคิดการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ใหค้ วามสาคัญกับ ทักษะของผู้บริหาร พฤติกรรมผู้นา การจัดระบบและการบริหารเชิงระบบเปิด โดยการเปิดโอกาสให้ ครู ผูป้ กครอง ชมุ ชน สงั คม และผู้มสี ว่ นได้สว่ นเสียเข้ามามีสว่ นร่วม และตรวจสอบ ศาสตร์ด้านการบริหารงานโรงเรียน มีนักวิชาด้านการบริหารการศกึ ษาได้นาแนวคิด ของทฤษฎีการบริหารต่างๆ มาต่อยอด และประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา ตลอดจนค้นคว้าวิจัยรูปแบบ และแนวคิดในการพฒั นาประสิทธิภาพ ประสทิ ธผิ ล และคณุ ภาพของสถานศึกษา แนวคิดกระแสหลัก ของการบริหารสถานศึกษา ได้มุ่งเน้นให้สถานศึกษาเป็นฐานหรือหน่วยบริหารหลักเพ่ือความ สอดคล้องกับบริบทสถานศึกษาซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Sake Hlder) ประกอบด้วยผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง ชุมชน นักเรียน และองค์กรท่ีเก่ียวข้อง มีส่วนร่วมในการวางแผน ดาเนินการ ติดตาม และ ประเมิน แนวคิดกระบวนการบรหิ าร ในการปฏิบัติตามแผนงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายท่ีได้ตั้งเอาไว้โด ย ใช้กระบวนการบริหารเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการบริหารงาน ผู้วิจัยได้ศึกษาเก่ียวกับแนวคิดในการ บรหิ ารงานโรงเรียนดังนี้ 1. กระบวนการ POCCC ของ Fayol (1916) ประกอบด้วย P- Planning คือ การวางแผน O- Organnizing คือ การจัดการองค์การแบ่งงานการจัดสายบังคับ บญั ชา C- Commonding คือ การบังคับบญั ชา C- Coordination คอื การประสานงาน C- Controlling คือ การควบคุมให้เปน็ ไปตามแผน 2. กระบวนการ POSDCORB Model ของ Glick&Urwick (1936) ประกอบไปด้วย P- Planning คือ การวางแผน
65 O- Organnizing คอื การจดั การองคก์ ารแบง่ งานการจดั สายบงั คบั บญั ชา S- Staffing คือ การเลอื กสรรบคุ ลากรและมอบหมายผรู้ ับผดิ ชอบ D- Directing คือ การกากบั ตดิ ตามหรอื การอานวยการ CO- Coordinating คอื การประสานงาน R- Reporting คือ การรายงาน B- Budgeting คือ การจดั ทางบประมาณ 3. กระบวนการ PODCC ของ Sears (1950) P- Planning คอื การวางแผน O- Organnizing คอื การจัดการองคก์ ารแบง่ งานการจัดสายบงั คบั บัญชา D- Directing คอื การกากับตดิ ตามหรอื การอานวยการ C- Coordinating คอื การประสานงาน C- Controlling คือ การควบคุมงาน 4. กระบวนการ PDCA ของ Deming (1993) P- Planning คอื การวางแผน D- Do คือ การปฏบิ ัติตามแผน C- Check คอื การตรวจสอบหรือประเมินผลการปฏิบตั ิงาน A- Action คือ การปรับปรุง ศกึ ษาแนวคดิ กระบวนการบรหิ ารเพอ่ื นามาจัดทาตารางสงั เคราะห์กระบวนการบรหิ าร สรปุ ได้ดงั ตารางที่ 2
66 ตารางที่ 2 สังเคราะห์กระบวนการบริหาร กระบวนการบรหิ าร แนวคดิ เกี่ยวกับกระบวนการบรหิ าร Fayol (1916) Glick & Urwick (1936) Sears(1950) Deming (1993) 1.Planing Planing √√ √√ 2.Implementation Organizing √√ √ Commanding √ 3.Evaluation Coordinating √√ √ Staffing √ Budgeting √ √ Do √ Controlling √ Directing √ √ Reporting √ Check √ Action จากการศึกษาแนวคิดกระบวนการบรหิ ารได้สงั เคราะห์เพื่อนามากาหนดเป็นกรอบแนวคิดในการวจิ ัย คือ กระบวนการบริหารโรงเรียน ประกอบด้วย 3 ข้ันตอน คือ 1 การวางแผน (Planing) 2การนา แผนไปปฏบิ ัติ (Implementation) 3 การประเมนิ ผล (Evaluation) โดยมีรายละเอยี ดดังน้ี 1. การวางแผน (P-Planing) คาว่า plan มาจากภาษาลาตินว่า Planum หมายถึง การกาหนดแบบฟอร์มในทาง ราบ เชน่ แผนที่ และแบบพมิ พเ์ ขียวของสง่ิ ก่อสรา้ ง ตอ่ มาการวางแผนได้นามาใชใ้ นองค์การทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนอยา่ งกวา้ งขวาง มนี ักการศกึ ษาได้ให้ความหมายการวางแผนไว้ดังน้ี Fayol (1916) ไดใ้ หค้ วามหมายการวางแผนไวว้ า่ หมายถึง ภาระหนา้ ที่ของผบู้ รหิ าร ทีจ่ ะต้องคาดการณ์ลว่ งหน้าทจ่ี ะมีผลกระทบต่อธรุ ะกจิ และไดก้ าหนดข้ึนเป็นแผนปฏบิ ัติงาน เพ่ือเป็น แนวทางของการปฏบิ ตั ิงานในอนาคต
67 Glick & Urwick (1936) ได้ให้ความหมายการวางแผนไว้ว่า หมายถึง การคาด เหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต้องนึกถึงทรัพยากรภายในองค์การ และสภาพแวดล้อม ภายนอก เพอ่ื ให้แผนทก่ี าหนดข้ึนมคี วามรอบครอบ และสามารถนาไปปฏบิ ัตใิ ช้ได้ Kast and Rosenzweig (1970: 435-436) ได้ให้ความหมายการวางแผนไว้ว่า หมายถึง กระบวนการในการคาดการณ์ล่วงหน้าในการตัดสินใจไว้ล่วงหน้าว่าจะทาอะไร อย่างไร มี วตั ถุประสงค์ โครงการ และวธิ ปี ฏบิ ตั ิอยา่ งไรท่ีจะทาใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ได้ Robbins (1980: 421) ได้ให้ความหมายการวางแผนไว้ว่า หมายถึง การกาหนด วัตถุประสงค์ หรือวิธีการที่ทาให้บรรลุวัตถุประสงค์เอาไว้ล่วงหน้า โดยมีการตัดสินใจว่าต้องทาอะไร ทาเม่ือไร และใครเป็นผู้ทา การวางแผนต้องมุ่งลดผลกระทบที่จะเกิดขันในองค์การทั้งระยะสั้นและ ระยะยาวจึงจะประสบความสาเร็จ Hicks and Gullett (1981: 248) ได้ให้ความหมายการวางแผนไว้ว่า หมายถึง เป็น หน้าท่ีประการแรกของการบริหารงานที่จะต้องกาหนดกิจกรรมในองค์การ และการวางแผนจะต้องมี การวิเคราะหข์ ้อมูลในอดดี การตัดสนิ ใจในปจั จบุ ันและประเมนิ ผลในอนาคตจงึ จะประสบความสาเร็จ Deming (1993) ได้ให้ความหมายการวางแผนไว้ว่า หมายถึง การดาเนินงานอย่าง รอบครอบ เป็นการกาหนดหัวข้อในการท่ีจะกาหนดการเปล่ียนแปลง การแก้ปัญหาในการปฏิบตั งิ าน และพัฒนาส่ิงใหม่ๆ การวางแผนประกอบไปด้วย การกาหนดการดาเนินงาน การกาหนดระยะเวลา กาหนดผู้ดาเนินการ และกาหนดงบประมาณ โดยมีการเขียนแผนงานไว้ล่วงหน้าสามารถแก้ไข หรือ ปรับเปลยี่ นได้ การวางแผนสามารถช่วยให้คาดเหตกุ ารณใ์ นอนาคตได้ Dessler (1999) ได้ให้ความหมายการวางแผนไว้ว่า หมายถึง กระบวนการกาหนด วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และชดุ กิจกรรม เพือ่ นาไปสู่ผลสัมฤทธ์ิตามวตั ถุประสงคค์ เป้าหมายที่ตงั้ ไว้ Robbins and Coulter (2008) ได้ให้ความหมายการวางแผนไว้ว่า หมายถึง การ กาหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และกลยุทธ์ขององค์การ เพ่ือให้บรรลุจุดประสงค์ การวางแผน เกี่ยวข้องทั้งเป้าหมายและวิธีการ คือจะต้องมีการบูรณาการ และประสานกิจกรรมที่เก่ียวข้องให้เป็น หนึ่งเดียว สรุปได้ว่าการวางแผน หมายถึง เป็นการกาหนดกระบวนการ วัตถุประสงค์ เป้าหมายไวล้ ว่ งหนา้ เพือ่ เปน็ แนวทางในการนาไปปฏบิ ตั ใิ ห้บรรลตุ ามวตั ถุประสงค์ท่ีตั้งไว้
68 2. การนาแผนไปปฏบิ ัติ I- Implementation จากแนวคิดของนักการศึกษา ขน้ั ตอนการนาแผนไปปฏิบัติมอี งค์ประกอบสาคัญมาก ท่ีสุด และได้สังเคราะห์มาประกอบด้วย การบังคับบัญชา การประสานงาน การจัดสรรบุคคล การ บรหิ ารงบประมาณ การปฏบิ ตั ิงาน และการนา การจดั องค์การ (Organizing) Fayol (1916) ได้ให้ความหมายของการจัดการองค์การไว้ว่า หมายถึง หน้าที่ของ ผบู้ รหิ ารทจี่ ะต้องจดั โครงสร้างของงานต่างๆ และอานาจหน้าที่ เพ่อื ให้เคร่ืองจักร สิง่ ของ บุคคลอยู่ใน สว่ นประกอบทเ่ี หมาะสมเพอ่ื ช่วยให้งานขององค์การบรรลผุ ลสาเรจ็ Glick & Urwick (1936) ได้ให้ความหมายของการจัดการองค์การไว้ว่า หมายถึง การจัดแบ่งงานตามความชานาญเฉพาะอยา่ งแบ่งออกเปน็ กรม กอง ฝา่ ย แผนก จะพจิ ารณาปริมาณ งาน คุณภาพงาน ขนาดของการควบคุม และพิจารณาแบ่งสายงานหลัก และสายงานที่ปรึกษา โดย คานึงถงึ อานาจหนา้ ที่ และความรับผิดชอบ Koonz and Weihrich (1990) ได้ให้ความหมายของการจัดการองค์การไว้ว่า หมายถึง การจัดงาน จัดคน และวัตถุประสงค์ท้ังหมดขององค์การเป็นการจัดกระบวนการจัด โครงสร้างงานขององค์การ รวมถึงการแบ่งงานการกาหนดหน้าท่ีความรับผิดชอบใหผ้ ู้ปฏบิ ัติงาน การ กาหนดกลุ่มงาน กาหนดความสัมพันธ์ในสายบังคับบัญชา การประสานหน่วยงานต่างๆ การจัดสรร ทรัพยากรใหก้ ับหน่วยงานต่างๆ Holt (1993) ได้ให้ความหมายของการจัดการองค์การไว้ว่า หมายถึง การรวบรวม ทรัพยากร การจดั สรรทรพั ยากรให้กบั หนว่ ยงานตา่ งๆ และการจดั โครงงาน เพื่อใหก้ ารดาเนินงานของ องคก์ ารบรรลุวัตถปุ ระสงค์ Robbins (1998) ได้ให้ความหมายของการจัดการองค์การไว้ว่า หมายถึง การแบ่ง งาน หรอื การมอบหมายงาน การกาหนดโครงสร้างขององค์การ การกาหนดกลุม่ งาน การประสานงาน และการบังคับบัญชา Robbins and Coulter (2003) ได้ให้ความหมายของการจัดการองค์การไว้ว่า หมายถึง การแบ่งงานการกาหนดหน้าที่ตวามรับผิดชอบให้ผู้ปฏิบัติงาน การกาหนดกลุ่มงาน การ กาหนดความรบั ผิดชอบในสายบงั คบั บญั ชา และการประสานงานของหนว่ ยงานต่างๆ สรุปความหมายของการจัดการองค์การได้ว่า กระบวนจัดโครงงานขององค์การ ประกอบไปด้วย การแบ่งงาน การมอบหมายงาน การกาหนดกลุ่มงาน การประสานงาน การจัด ทรพั ยากร เพือ่ ให้การดาเนนิ งานบรรลุวัตถุประสงค์
69 3. การประเมินผล (E- Evaluation) จากการสังเคราะห์จากแนวคิดของนักการศึกษาพบว่า การประเมินผลประกอบไป ด้วยกระบวนการควบคุม การรายงานผล การตรวจสอบ และการแก้ไชปรับปรุง มีนักการศึกษาได้ให้ ความหมายการประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ านไวด้ งั น้ี Deming (1993:135) ได้ให้ความหมายของการประเมินผลไว้ว่า หมายถึง การปะ เมินผลการปฏิบัติบัติงานว่าบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ มีปัญหาเกิดข้ึนในขณะ ปฏิบัติงานหรือไม่ มีการแก้ปัญหาระหว่างปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร โดยติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลควบคู่กนั ไป Kaplan and Narton (1996) ได้ให้ความหมายของการประเมินผลไว้ว่า หมายถึง การท่ีจะทาให้ผู้บริหารระดับสูงเห็นภาพรวมขององค์การได้อย่างชัดเจน ควรใช้การประเมินผลของ Balanced Scarecard 4 ด้านคือ ด้านการเงิน ด้านความพอใจของลูกค้า ด้านกระบวนการบริหาร และดา้ นการมุ่งสร้างการเรยี นรู้ นวัตกรรมและการเจริญเติบโต Pearce and Robinson (2009: 409) ได้ให้ความหมายของการประเมินผลไว้ว่า หมายถึง การคอยตรวจสอบปัญหาหรือการเปล่ียนแปลงต่างๆ ท่ีเกี่ยวกับแผนโดยตรง และหาทาง ปรับปรงุ แกไ้ ขใหด้ ีข้นึ สรุป ความหมายของการวัดและประเมินผลได้ว่า หมายถึง การติดตามการ ดาเนินงานตามแผน เป็นการตรวจสอบ และแก้ปัญหาระหว่างปฏิบัติงานควบคู่กันไปเพื่อประเมิน ความเหมาะสมของแผนงานใหบ้ รรลุเปา้ หมายท่ตี ั้งไว้ 2.2 แนวคิดการบริหารงานวชิ าการ งานบริหารวชิ าการเปน็ งานหลักของสถานศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม(ฉบับที่ 2)พ.ศ.2545 มุ่งกระจายอานาจในการบริหารจัดการไปให้ สถานศึกษามากที่สุด ด้วยมีเจตนารมณ์ท่ีจะให้สถานศึกษาดาเนินการได้โดยอิสระ คล่องตัว รวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนซ่ึงเป็นปัจจัยสาคัญทาให้สถานศึกษามีคุณภาพในการบริหาร และการจัดการ สามารถพัฒนาหลักสตู ร การจัดเรยี นการสอน การนเิ ทศการสอน การใช้สอื่ เทคโนโลยี สื่อการสอน และการประเมินผลการเรยี นการสอน เพื่อพัฒนาความเป็นพลเมืองคุณภาพของนกั เรียน ดังมาตราตอ่ ไปนี้ มาตรา 24 จัดกระบวนการเรียนรู้ มาตรา25 รัฐต้องส่งเสริมการดาเนินงานและการจัดต้ังแล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตทุก รปู แบบ
70 มาตรา 26 จัดประเมนิ ผเู้ รียน มาตรา 27 จัดทาสาระหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรแกนกลางในส่วนท่ี เป็นปัญหาในชุมชน และสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของ ครอบครวั มาตรา 30 พัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้ผสู้ อน สามารถทาวิจัยเพอ่ื พฒั นาการเรียนรู้ทเี่ หมาะสมกับผูเ้ รยี น มาตรา 48 จัดให้มีการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และจัดทารายงาน ประจาปีเสนอต่อหน่วยงานทเี่ กีย่ วขอ้ ง และเปดิ เผยต่อสาธารณะชน มาตรา 66 พฒั นาขดี ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยเี พอ่ื การศึกษาของผู้เรยี น 2.2.1ความหมายของการบรหิ ารงานวชิ าการ เอกชัย กีส่ ขุ พนั ธ์ (2528) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการไวว้ ่า หมายถงึ การดาเนินงานกิจกรรมทุกชนิดในสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมพัฒนา ปรับปรุงการเรียนการสอนให้มี ประสทิ ธภิ าพ ไม่ว่าจะเปน็ งานท่ีเก่ียวข้องกับครหู รือนกั เรียน อดุลย์ เพียรเสมอ (2539) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการไว้ว่า หมายถึง กระบวนการดาเนินการต่างๆ ของโรงเรียน เพ่ือปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมการเรียนการ สอน ให้บรรลจุ ดุ มงุ่ หมาย ไดผ้ ลดีมปี ระสทิ ธภิ าพ และเกิดประโยชนส์ งู สดุ กับผูเ้ รยี น พิชัย เสงี่ยมจิต (2542) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการไว้ว่า หมายถึง กระบวนการบรหิ าร ในการจดั กิจกรรมในการพัฒนาหรอื ปรับปรุงการเรียนการสอนในสถานศึกษา ให้ เกิดผลตามเปา้ หมายของหลักสูตร และมปี ระสิทธิภาพเกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ กับผู้เรียน มนี กั การศกึ ษาได้ ให้ความหมายของการบรหิ ารงานวชิ าการไวด้ ังนี้ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2544) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการไว้ว่า หมายถึง การบริหารสถานศึกษา โดยมีการจัดกิจกรรมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เก่ียวกับการปรับปรุง พฒั นาการเรียน การสอนใหไ้ ด้ผลดี และมีประสิทธภิ าพใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสุดกบั ผเู้ รยี น สรุป การบริหารงานวิชาการ หมายถึง การบริหารสถานศึกษา โดยมีการจัดการทุก สิ่งทุกอย่างท่ีเก่ียวกับการปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอนให้ได้ผลดี และมีประสิทธิภาพให้เกิด ประโยชนส์ งู สุดกบั ผ้เู รียน
71 2.2.2ความสาคญั ของงานวิชาการ งานวิชาการเป็นงานหลักของการบริหารสถานศึกษา ไม่ว่าสถานศึกษาจะเป็น ประเภทใด มาตรฐานและคุณภาพของสถานศึกษาจะพิจารณาได้จากผลงานทางวิชาการ เน่ืองจาก งานวิชาการเก่ียวข้องกับหลักสูตร การจัดโปรแกรมการศึกษา และการจัดการเรียนการสอน ซึ่งเป็น หัวใจของสถานศึกษา และ เก่ียวข้องกับผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรทุกระดับของสถานศึกษา ซงึ่ อาจเก่ยี วขอ้ งทางตรงทางออ้ มก็อยทู่ ี่ลกั ษณะของงานนัน้ พนัส หันนาคินทร์ (2538) ได้ให้ความสาคัญของงานวิชาการในโรงเรียนไว้ว่า งาน วิชาการเป็นหัวใจของโรงเรียนเป็นชีวิตของสถาบัน ส่วนงานอื่นเป็นองค์ประกอบที่จะทาให้ชีวิต สถาบันดาเนินไปด้วยความราบร่ืนเท่านั้นโรงเรียนมีหน้าที่ให้ความรู้ ความสามารถอ่านออกเขียนได้ คดิ เปน็ ทาเป็นแก้ปญั หาเป็น มคี วามรู้ด้านอาชีพ ใหก้ ารอบรมดา้ นศลี ธรรมวฒั นธรรม ซ่ึงเปน็ ขอบขา่ ย ที่กวา้ งขวางของการดาเนินงานทางวชิ าการในโรงเรียนตา่ ง ๆ ไม่ ว่าขนาดใหญ่หรือเล็กจะแตกต่างกัน ทปี่ รมิ าณและความรับผิดชอบเท่านั้น อุทัย บุญประเสริฐ (2539) ให้ความสาคัญทางการบริหารงานวิชาการไว้ว่า งาน วิชาการเป็นหัวใจของโรงเรียนจุดประสงค์ของการจัดการศึกษาในโรงเรียนคือการจัด กิจกรรมให้ นักเรยี นได้พัฒนาความรู้ทักษะ และเจตคตผิ ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรียนจะเป็น เคร่ืองชีใ้ หเ้ ห็น ถึงความสาเร็จหรือความล้มเหลวของการปฏิบัติงานด้านวิชาการของโรงเรียนอย่างชัดเจนและจาก ผลสรุปในการประชุมเพื่อระดมความคิดของครูปฏิบัติการสอนผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา ศึกษานิเทศก์หวั หนา้ การประถมศึกษาอาเภอและผ้อู านวยการการประถมศึกษาจังหวดั ได้เสนอแนะไว้ ว่าผู้บริหารโรงเรียนควรใชเ้ วลาในการบริหารงานวิชาการ เช่น ด้านการวางแผนและโครงการควบคุม กากบั และนเิ ทศเฉลี่ยสปั ดาหล์ ะประมาณ 12-13ชว่ั โมงหรือประมาณร้อยละ 35 ของเวลาทง้ั หมด อุทัย บุญประเสริฐ (2540) ได้ให้ความสาคัญของงานวิชาการไว้ว่า งานวิชาการของ โรงเรียนจะมีหลักสูตรเป็นแกนกลางในกิจกรรมของโรงเรียนซ่ึงเป็นงานการเรียนการสอนหลกั สูตรจะ เป็นตัวกากับในเรื่องเน้ือหาความรู้ เรื่องทักษะ เร่ืองคุณลักษณะที่พึ่งประสงค์ตามจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร และภาวะสุขภาพของผเู้ รยี น เสรี ลาชโรจน์ (2540) กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการมีความสาคัญในการจัดการ เรียนการสอนเป็นกิจกรรมท้ังหลายทั้งมวลท่ีเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนและหลักสูตรอันเป็นงาน หลักของสถานศึกษาและการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ต่างๆให้แก่นักเรียนตลอดจนการอบรม ศีลธรรม จรรยาและความประพฤติของนักเรียนเพ่ือให้เป็นคนท่ีมีความรู้ ความสามารถพอท่ีจะทามา หากินเล้ียงชีพได้มีความสุขความพอใจตามมาตรฐานและสภาพความเป็นอยู่และช่วยเหลือเผื่อแผ่
72 เพื่อนบ้านและสังคมตามสมควร ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2545) การบริหารงานวิชาการ เป็นงานท่ีสาคัญสาหรับผู้ บริหารงานสถานศึกษา เน่ืองจากงานบริหารวิชาการเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทุกชนิดใน สถานศึกษา โดยเฉพาะเก่ียวกับการปรับปรุงคุณภาพของสถานศึกษา ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหลักของ สถานศกึ ษา และเปน็ เครื่องชค้ี วามสาเรจ็ และความสามารถของผบู้ รหิ าร จันทรานี สงวนนาม (2551) ได้กล่าวไว้ว่า การบริหารงานวิชาการเป็นหัวใจสาคัญ ของการบริหารสถานศึกษา และเป็นส่วนหน่ึงของการบริหารงานการศึกษาที่ผู้บริหารจะต้องให้ ความสาคัญเป็นอย่างย่ิงส่วนการบริหารงานด้านอ่ืนๆ น้ันแม้จะมีความสาคัญเช่นเดียวกันแต่ก็เป็น เพยี งส่วนส่งเสรมิ สนบั สนุนใหง้ านวชิ าการดาเนนิ ไปไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ Smith and others (1961) ได้กล่าวถึง การบริหารงานวิชาการไว้ว่า การใช้เวลาใน การบริหารงาน และการให้ความสาคัญกับการบริหารงานในสถานศึกษา งานในความรับผิดชอบของ ผูบ้ ริหาร แยกงานออกเปน็ 7 ประเภทพบวา่ 1. การบริหารงานวิชาการ คิดเปน็ รอ้ ยละ 40 2. ง า น บ ริ ห า ร บุ ค ล า ก ร ไ ด้ แ ก่ ค รู อ า จ า ร ย์ แ ล ะ เ จ้ า ห น้ า ที่ คิ ด เ ป็ น ร้อยละ 20 3. งานบรหิ ารกิจการนกั เรยี น นักศึกษา คดิ เป็นรอ้ ยละ 20 4. งานบรหิ ารการเงินคดิ เป็นร้อยละ 5 5. งานบรหิ ารอาคารสถานท่ี คิดเปน็ ร้อยละ 5 6. งานบริหารความสัมพันธก์ ับชมุ ชน คิดเปน็ ร้อยละ 5 7. งานบริหารทัว่ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ 5 สรุป ความสาคัญของการบริหารงานวิชาการ คือ สถานศึกษาทุกประเภท และทุก แหง่ ทกุ หนว่ ยงานต้องจัดใหม้ ีหน่วยงานวชิ าการในสถานศึกษาของตน งานวิชาการจึงถือว่าเปน็ งานที่ มีความสาคัญ หรือเรียกได้ว่า เป็นงานหลักของสถานศึกษา ส่วนงานบริหารบุคลากร งานกิจการ นักเรียน งานธุรการ และงานด้านอ่ืนๆ ล้วนมาสนับสนุนงานด้านวิชาการให้มีคุณภาพดีย่ิงขึ้น ดังน้ัน การบริหารงานวิชาการจึงมิใช่ให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้ หรือคิดเลขเป็นเท่าน้ัน แต่ยังรวมถึงการ นาเอาไปประกอบอาชีพ การดารงชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ให้นักเรียนรู้จักการ แสวงหาความรู้ และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเน่ืองไปตลอดชีวิต การบริหารงานวิชาการจึงเป็นงานท่ี รับผิดชอบต่อบุคคลซ่ึงเป็นทรัพยากรมนุษย์ท่ีสาคัญ ท่ีจะออกไปพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคตให้ ยง่ั ยืน
73 2.2.3ขอบขา่ ยของการบริหารงานวิชาการ ขอบข่ายการบรหิ ารงานวชิ าการถือว่าเปน็ หวั ใจสาคัญในการบริหารสถานศึกษาท้ังนี้ เพราะจุดมุ่งหมายของการบริหารสถานศึกษาคือการจัดการศึกษา คุณภาพและมาตราฐานของ สถานศกึ ษาจงึ อยู่ทีง่ านด้านวิชาการ อุทัย บุญประเสริฐ (2540) ได้กล่าวถึงขอบข่ายของงานการบริหารงานวิชาการของ สานักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติที่ได้กาหนดไว้ในขณะน้ัน ได้แก่ (1) งานด้านหลักสูตร และการนาหลักสูตรไปใช้ (2) งานด้านการเรียนการสอน (3) งานวัสดุประกอบหลักสูตรและสื่อการ เรียนการสอน (4) งานวัดและประเมินผล (5) งานห้องสมุด (6) งานนิเทศภายในและ (7) งานอบรม เชงิ วชิ าการ พิชัย เสง่ียมจิต (2542) ได้กล่าวถึงขอบข่ายของการบริหารวิชาการไว้ว่า การ บริหารงานวิชาการเป็นเรื่องท่ีคลอบคลุมงานวิชาการในเร่ืองทส่ี าคัญดังนี้ (1) การวางแผนงานวชิ าการ (2) การจัดดาเนินงานเก่ียวกับการเรียนการสอน (3) การจัดระบบงานวิชาการ (4) การจัดกิจกรรม เสริมหลักสตู ร (5) การนิเทศงาน (6) การวดั และประเมินผล (7) การพัฒนางานวิชาการ กมล ภู่ประเสริฐ (2544) ได้กล่าวถึงขอบข่ายการบริหารงานวิชาการท่ีสาคัญไว้ดังน้ี (1) การบริหารหลักสูตร (2) การบริหารการเรียนการสอน (3) การบริหารการประเมินการเรียนการ สอน (4) การบริหารนิเทศภายในสถานศึกษา (5) การบริหารพัฒนาบุคลากรทางวิชาการ (6) การ บริหารการวิจัยและพัฒนา (7) การบริหารโครงการทางวิชาการอ่ืนๆ (8) การบริหารระบบข้อมูลและ สาระสนเทศทางวิชาการ (9) การบริหารการประเมินผลงานทางวชิ าการ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2544) ได้กล่าวถึงขอบข่ายของการบริหารงานวิชาการไว้ วา่ ความสาเรจ็ ของสถานศึกษาอยทู่ ี่กาบริหารงานวชิ าการ มีขอบข่ายกวา้ งขวางในดา้ นหลักสตู ร และ การเรียนการสอนและครอบคลุมต้ังแต่ การวางแผนเกี่ยวกับงานวิชาการ การจัดดาเนินงานเกี่ยวกับ การเรียนการสอน การจัดบริการการสอน และการจัดการวัดและประเมนิ ผล รวมทั้งการติดตามผล ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ (2549) ได้กล่าวถึงขอบข่ายการบริหารงานวิชาการไว้ว่า ถ้าจะบริหารงาน วิชาการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ผู้บริหารโรงเรียนจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมี ความสามารถ ต้องรู้ขอบข่ายงานวิชาการท่ีแยกย่อยออกไปในแต่ละประเภท มีลักษณะความสาคัญ ควรจะบริหารควรจะส่งเสริมอย่างไรจึงจะบังเกิดผลดีที่สุด จึงได้กาหนดขอบข่ายการบริหารงาน วิชาการไว้ดังนี้ (1) การบริหารหลักสูตร (2) บทบาทและหน้าที่ของผู้บริหารงานวิชาการ (3) การ จัดการงานวิชาการในสถานศึกษา (4) นักเรียนกับการเรียนรู้ (5) การจัดการและบริหารห้องสมุด (6) สือ่ การสอน (7) การนิเทศภายในสถานศึกษา (8) การประกันคุณภาพสถานศึกษา
74 ท้ังน้ีการพัฒนาพลเมืองคุณภาพกระทรวงศึกษาธิการ (2557)ได้กาหนดแผนการ ส่งเสริมการศึกษาเพ่ือสร้างความเป็นพลเมือง มุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีความเข้าใจ เห็น ความสาคัญ และร่วมเป็นพลังขับเคล่ือนการปฏิรูปการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่ต้ังไว้ในทิศทาง เดียวกัน คือ สรา้ งเดก็ ใหเ้ ปน็ คนดี คนเก่ง มคี วามสขุ มคี วามสามารถสนับสนุนการแข่งขันของประเทศ อยู่รวมกันในสังคมโลกได้อย่างย่ังยืนบนพ้ืนฐานของความเป็นไทย จึงมีนโยบายสง่ เสริมการศึกษาเพอ่ื สร้างความเป็นพลเมือง โดยบูรณนาการการกับวิชาลูกเสือ ปรับปรุงหลักสูตร กระบวนการจัดการ เรียนการสอน การอบรมครูผู้สอนและการจัดกิจกรรมหรือนิเทศการศึกษา การใช้ส่ือในการเรียนการ สอน และการวัดประเมินผลที่เน้นความเป็นพลเมืองคุณภาพ จากกฎกระทรวงศึกษาธิการ ขอบข่าย งานการบริหารงานวชิ าการ และกมล รอดคลา้ ย(2557) ไดก้ ล่าววา่ การพัฒนาเยาวชนของชาติให้เป็น พลเมืองคุณภาพตามขอบข่ายการบริหารงานวชิ าการที่เก่ียวข้องได้แก่งานด้าน 1)การพัฒนาหลกั สูตร 2)การจัดการเรียนการสอน 3)การนิเทศการสอน 4)การพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยี 5)การวัดและ ประเมินผล งานบริหารวชิ าการเปน็ งานหลักของสถานศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับท่ี 2)พ.ศ.2545 มุ่งกระจายอานาจในการบริหารจัดการไปให้ สถานศึกษามากท่ีสุด ด้วยมีเจตนารมณ์ท่ีจะให้สถานศึกษาดาเนินการได้โดยอิสระ คล่องตัว รวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนซ่ึงเป็นปัจจัยสาคัญทาให้สถานศึกษามีคุณภาพในการบริหาร และการจดั การ สามารถพฒั นาหลักสูตร การจัดเรยี นการสอน การนิเทศการสอน การใช้สื่อเทคโนโลยี ส่ือการสอน และการประเมนิ ผลการเรยี นการสอน เพื่อพฒั นาความเปน็ พลเมอื งคณุ ภาพของนกั เรียน กระทรวงศึกษาธิการได้กาหนดขอบข่ายและภาระกิจการบรหิ ารงานวิชาการ ตามที่ กาหนดในกฎกระทรวงศึกษาธิการ การบริหารงานวิชาการตามแนวทางการกระจายอานาจ การ บริหารจัดการการศกึ ษา พ.ศ. 2550 มรี ายละเอียดดงั นี้ 1. หลักการและแนวคดิ สาคญั 1) ยึดหลักให้สถานศึกษาจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาให้เป็นไปตามกรอบหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ใหส้ อดคล้องกบั สภาพปัญหา ความต้องการของชุมชนและสังคมอย่าง แท้จรงิ โดยมคี รู ผ้บู ริหาร ผ้ปู กครอง และชมุ ชนมีส่วนรว่ ม 2) มงุ่ ส่งเสรมิ สถานศึกษาใหจ้ ัดกระบวนการเรียนรู้ โดยถอื ว่าผ้เู รยี นมีความสาคัญทสี่ ุด 3) มุ่งส่งเสริมให้ชุมชน และสังคมมีส่วนร่วมในการกาหนดหลักสูตร กระบวนการ เรยี นรู้ รวมทงั้ เป็นเครือข่ายและกระบวนการเรยี นรู้
75 4) มุ่งจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน โดยจัดให้มีดัชนีชี้วัดคุณภาพการจัด หลักสตู ร กระบวนการเรยี นรู้ สามารถตรวจสอบตรวจสอบคณุ ภาพจัดการศึกษาได้ทกุ ชว่ งชั้นทงั้ ระดับ เขตพื้นทีข่ องสถานศึกษา 5) มุ่งส่งเสริมให้มีการร่วมมือเป็นเครือข่าย เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพและประสิทธิภาพ ในการจัดการ และพฒั นาคุณภาพการศึกษา 2. ขอบข่ายและภารกจิ งาน ตามท่ีกฎกระทรวงกาหนด มีรายละเอียดดงั น้ี 1) การพฒั นาหรอื การดาเนินการเกีย่ วกับการให้ความเห็นการพฒั นาสาระหลักสูตร ท้องถน่ิ 2) การวางแผนงานด้านวิชาการ 3) การจดั การเรียนการสอนในสถานศึกษา 4) การพฒั นาหลกั สตู รของสถานศึกษา 5) การพฒั นากระบวนการเรียนรู้ 6) การวัดประเมินผล และดาเนนิ การเทยี บโอนผลการเรียน 7) การวิจยั เพือ่ พัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา 8) การพฒั นาและการสง่ เสริมใหม้ แี หล่งการเรยี นรู้ 9) การนเิ ทศการศึกษา 10) การแนะแนว 11) การพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา 12) การส่งเสริมชมุ ชนให้มีความเข้มแขง็ ทางวิชาการ 13) การประสานความรว่ มมือในการพัฒนาวชิ าการกับสถานศกึ ษาและองคก์ ารอน่ื 14) การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแกบ่ คุ คล ครอบครัว องค์การ หน่วยงาน สถานประกอบการและสถาบนั อน่ื ทจี่ ดั การศกึ ษา 15) การจัดทาระเบยี บและแนวปฏิบตั ิเกยี่ วกับงานดา้ นวิชาการของสถานศึกษา 16) การคัดเลือกหนังสอื แบบเรยี นเพอื่ ใชใ้ นสถานศกึ ษา 17) การพัฒนา และใชส้ อื่ เทคโนโลยเี พื่อการศกึ ษา 3. การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา ดาเนินการได้ทุกรายการตามภาระงานที่ กฎกระทรวงฯ และประกาศสานกั งานคณะกรรมการศึกษาขั้นพืน้ ฐานกาหนด
76 4. การกระจายอานาจการบรหิ ารและการจัดการศึกษาดา้ นวิชาการ โดยภาระงานด้านการ บริหารงานวิชาการของสถานศึกษาต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ 1) การวางแผนงานด้านวิชาการ 2) การพฒั นาหลกั สตู รของสถานศกึ ษา 3) การพัฒนาระบบประคณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา 5. ขอบข่ายการดาเนนิ งานและบทบาทหนา้ ที่ของสถานศกึ ษา 1) การพัฒนาหรือกาพัฒนาเก่ียวกับการให้ความเห็นการพัฒนาสาระหลักสูตร ทอ้ งถ่นิ (1) วิเคราะห์กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา จดั ไวใ้ ห้ (2) วเิ คราะหห์ ลกั สตู รสถานศึกษาเพ่ือกาหนดจดุ เน้นหรอื ประเด็นการศึกษา ให้ความสาคัญ (3) ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษา และชุมชนเพื่อ นามาเป็นขอ้ มลู จดั ทาสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นของสถานศกึ ษาให้สมบรู ณย์ ิ่งขน้ึ (4) จัดทาสาระการเรียนรู้ท้องถ่ินของสถานศึกษา เพื่อนาไปจัดทารายวิชา พ้ืนฐานหือรายวิชาเพ่ิมเติม จัดทาคาอธิบายรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการ เรียนรู้เพื่อจัด ประสบการณ์ และจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนให้แกผ่ ้เู รียนประเมนิ ผลและปรบั ปรงุ (5) ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติ 2) การวางแผนด้านวชิ าการ (1)วางแผนด้านวิชาการโดยการเก็บข้อมูล และกากับ ดูแล นิเทศและ ติดตามเกี่ยวกับงานวิชาการ ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้รู้ การวดั ประเมนิ ผล และการเทียบโอนผลการเรียน การประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา การพัฒนาและกาใช้สื่อเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา การพัฒนาและการส่งเสริมให้มีแหลง่ เรียนรู้การวิจัย เพ่อื พัฒนาคณุ ภาพการศึกษา และการส่งเสริมชุมชนให้มคี วามเข้มแขง็ ทางวชิ าการ (2)ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ สถานศึกษาข้ันพนื้ ฐาน 3) การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา (1) จดั ทาแผนการเรียนรู้ทกุ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
77 (2) จัดการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกช่วงชัน้ ตามแนวปฏิรปู การเรียนรู้ โดยเน้นผู้เรยี นเปน็ สาคัญ พฒั นาคุณธรรมนาความรูต้ ามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง (3) ใชส้ อื่ การเรียนการสอนและแหล่งเรยี นรู้ (4) จดั กิจกรรมหอ้ งสมดุ หอ้ งปฏบิ ตั ิการตา่ งๆ ให้เอ้ือต่อการเรยี นรู้ (5) ส่งเสริมการวิจัย และการพัฒนาการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการ เรียนรู้ (6) ส่งเสริมการพัฒนาความเป็นเลิศของนักเรียน และช่วยเหลือนักเรียน พกิ าร ด้อยโอกาส และมคี วามสามารถพิเศษ 4) การพฒั นาหลกั สูตรของสถานศึกษา (1) จัดทาหลกั สูตรสถานศกึ ษาเปน็ ของตนเอง โดย (1.1)จัดให้มีการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรข้ึนใช้เอง ให้ทันกับการ เปลีย่ นแปลงทางดา้ นเศรษฐกจิ และสังคม และเป็นตน้ แบบใหก้ บั โรงเรยี นอ่ืน (1.2)จัดทาหลักสูตรที่มุ่งเน้นพัฒนานักเรียนให้เป็นให้เป็นมนุษย์ท่ี สมบรู ณท์ งั้ รา่ งกาย จิตใจ สตปิ ัญญา มีความรูแ้ ละคณุ ธรรม สามารถอย่รู ว่ นกันได้อย่างมีความสขุ (1.3)จัดให้มีวิชาต่างๆ ครบถ้วนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพ้นื ฐานของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร (1.4)เ พิ่ ม เ ติ ม เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ใ ห้ สู ง แ ล ะ ลึ ก ซ้ึ ง ม า ก ข้ึ น ส า ห รั บ กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ได้แก่ การศึกษาด้านศาสนา ดนตรีนาฏศิลป์ กีฬา อาชีวศึกษา การศึกษาที่ สง่ เสริมความเปน็ เลิศ ผ้บู กพรอ่ ง พกิ าร และการศกึ ษาทางเลือก (1.5)เพ่ิมเติมเนื้อหารสาระของรายวิชาที่สอดคล้องสภาพปัญหา ความต้องการของผู้เรียน ผปู้ กครอง ชมุ ชน สังคม และโลก (2)สถานศึกษาสามารถจัดทาหลักสูตร การจัดกระบวนการเรยี นรู้ การสอนและ อน่ื ๆ ให้เหมาะสมกบั ความสามารถของนักเรยี นตามกลุ่มเป้าหมายพิเศษ (3)คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานให้ความเห็นชอบหลกั สูตรสถานศกึ ษา (4)นเิ ทศ ตดิ ตาม ประเมนิ ผล และปรบั ปรงุ หลกั สูตรสถานศึกษา และรายงานผล ใหส้ านักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษารับทราบ 5) การพฒั นากระบวนการเรียนรู้ (1)จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของ ผู้เรยี นโดยคานง่ึ ถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคล
78 (2)ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ ความรู้มาใช้เพอ่ื ปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหา (3)จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเปน็ ทาเปน็ รักการอา่ นและเกดิ การใฝ่รอู้ ยา่ งตอ่ เนื่อง (4)จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วน สมดุลกัน รวมท้งั ปลกู ฝัง่ คุณธรรม คา่ นยิ มที่ดีงาม และคณุ ลักษณะอนั พง่ึ ประสงค์ไวใ้ นวิชา (5)ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อกาเรียน การสอน และอานวยความสะดวกเพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้ง สามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึง่ ของกระบวนการเรียนรู้ ท้ังน้ีท้ังผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนร้ไู ปพร้อม กันจากสือ่ การเรียนการสอนจากแหล่งวทิ ยาการประเภทต่างๆ (6)จัดการเรียนรู้ให้เกิดขนึ้ ไดท้ ุกเวลา ทกุ สถานท่ี มีการประสานความรว่ มมือกับ บิดา มารดา และบคุ คลในชมุ ชนทุกฝา่ ย เพือ่ ร่วมกนั พัฒนาผู้เรียนตามศกั ยภาพ (7)ศึกษาค้นคว้าพัฒนารูปแบบ หรือการออกแบบกระบวนการเรยี นรู้ที่ก้าวหนา้ เพื่อเป็นการนาจัดกระบวนการเรยี นรู้ เพือ่ เป็นตน้ แบบให้กับสถานศกึ ษาอ่นื 6) การวดั ประเมินผลและการดาเนนิ การเทยี บโอนผลการเรียน (1)กาหนดระเบยี บการ วดั ประเมนิ ผลของสถานศึกษาตามหลักสตู รสถานศึกษา โดยให้สอดคลอ้ งกับนโยบายระดบั ประเทศ (2)จัดทา เอกสารหลักฐานการศึกษาให้เป็นไปตามระเบียบการวัดประเมินผล ของสถานศึกษา (3)วัดผล เทียบโอนประสบการณผ์ ลการเรียน และอนมุ ัติผลการเรยี น (4)จัดให้มีประเมินผลการเรียนทุกช่วงช้ัน และจัดให้มีการซ่อมเสริมกรณีที่มี ผู้เรียนไมผ่ า่ นเกณฑก์ ารประเมิน (5)จัดให้มกี ารพัฒนาเครอ่ื งมอื ในการวัดประเมินผล (6)จัดระบบสารสนเทศด้านการวัดประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียน เพ่ือใชใ้ นการอา้ งองิ ตรวจสอบและใชป้ ระโยชนใ์ นการพฒั นาการเรียนการสอน (7)ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติผลการประเมินการเรียนด้านต่างๆ รายปี2/ราย ภาค และตัดสนิ ผลการเรยี นการผา่ นชว่ งช้ัน และจบการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน (8)ก า ร เ ที ย บ โ อ น ผ ล ก า ร เ รี ย น เ ป็ น อ า น า จ ข อ ง ส ถ า น ศึ ก ษ า ที่ จ ะ แ ต่ ง ต้ั ง คณะกรรมการดาเนินการเพ่ือกาหนดหลักเกณฑ์วิธีการ ได้แก่ คณะกรรมการเทียบระดับเทียบระดับ
79 การศึกษาท้ังในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย คณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียน และเสนอ กรรมการบริหารหลกั สูตร และวชิ าการ พร้อมทั้งให้ผู้บรหิ ารศึกษาอนมุ ตั กิ ารเทียบโอน 7) การวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาคุณภาพการศกึ ษาในสถานศึกษา (1) กาหนดนโยบายและแนวทางการใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เรียนรู้ และกระบวนการทางาของนกั เรียน ครู และผเู้ กย่ี วขอ้ งกับการศึกษา (2) พัฒนาครู และนักเรียนให้มีความรู้เก่ียวกับการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยใช้ กระบวนการวิจัยเป็นสาคัญในการเรียนรู้ที่ซับซ้อนข้ึน ทาให้ผู้เรียนได้ฝึกการคิด การจัดการ การหา เหตผุ ลในการตอบปัญหา การผสมผสานความรู้แบบสหวิทยาการ และการเรียนร้ใู นปัญหาทต่ี นสนใจ (3) พฒั นาคุณภาพการศกึ ษาดว้ ยกระบวนการวจิ ยั (4) รวบรวม และเผยแพร่การวิจัยเพื่อการเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมทั้งสนับสนุนให้ครูนาผลการวิจัยมาใช้เพื่อพัฒนา การเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ สถานศกึ ษา 8) การพฒั นาและส่งเสรมิ ใหม้ ีแหล่งเรยี นรู้ (1)จัดให้มีแหล่งเรียนรู้อย่างหลากหลายท้ังภายในและภายนอกสถานศึกษาให้ พอเพียง เพ่อื สนับสนุนการแสวงหาความรูด้ ว้ ยตนเองกับการจดั กระบวนการเรียนรู้ (2)จัดระบบแหล่งการเรียนรู้ภายในโรงเรียนให้เอ้ือต่อการจัดการเรียนรู้ของ ผู้เรียน เช่น การพัฒนาห้องสมุดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ จัดให้มีห้องสมุดหมวดวชิ า ห้องสมุดเคล่ือนท่ี มุม หนังสือในห้องเรียน ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องมัลติมีเดีย ห้องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์ วทิ ยาบรกิ าร Resource Center สวนสุขภาพ สวนวรรณคดี สวนหนงั สือ สวนธรรมะ เป็นตน้ (3)จัดระบบข้อมูลแห่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ของ สถานศึกษาของตนเอง เช่น จัดเส้นทาง แผนที่และระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายห้องสมุดประชาชน ห้องสมดุ สถาบันการศึกษา พพิ ธิ ภัณฑ์ พพิ ธิ ภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ภูมิปัญญาทอ้ งถ่นิ ฯลฯ (4)ส่งเสริมให้ครูและผู้เรียนได้ใช้แหล่งเรียนรู้ ทั้งในและนอกสถานศึกษา เพ่ือ พัฒนาการเรยี นรู้และนเิ ทศ กากับติดตาม ประเมินและปรับปรงุ อยา่ งต่อเนือ่ ง (5)สง่ เสรมิ ให้ครู และผู้เรยี นใชแ้ หลง่ เรียนรู้ในตา่ งประเทศ 9) การนิเทศการศึกษา (1)สร้างความตระหนักให้แก่ครู และผู้เกี่ยวข้องให้เข้าใจกระบวนการนิเทศ ภายในว่าเป็นกระบวนทางานรว่ มกันที่ใช้เหตุผล การนิเทศเป็นการพัฒนา ปรับปรุงวิธีการทางานของ
80 แต่ละบุคคลให้มีคุณภาพ การนิเทศเป็นส่วนหนึ่งของการบริหาร เพ่ือให้ทุกคนเกิดความเช่ือมั่นว่าได้ ปฏิบตั ิถกู ตอ้ ง กา้ วหน้าและเกดิ ประโยชนส์ ูงสุดตอ่ ผู้เรยี นและตวั ครูเอง (2) จัดการนิเทศภายในสถานศึกษาให้มีคุณภาพท่ัวถึง และต่อเนื่องเป็นระบบ และกระบวนการ (3) จัดระบบนิเทศภายในสถานศึกษาให้เช่ือมโยงกับระบบนิเทศการศึกษาของ สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษา 10) การแนะแนว (1)กาหนดนโยบายการจัดการศึกษาท่มี ีการแนะแนวเปน็ องคป์ ระกอบสาคัญ โดย ให้ทุกคนในสถานศึกษาตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในกระบวนการแนะแนวและการดูแลช่วยเหลือ นักเรียน (2)จัดระบบงานและโครงสร้างองค์กรแนะแนว และดูแลช่วยเหลือนักเรียนของ สถานศึกษาใหช้ ดั เจน (3)สร้างความตระหนักให้ครูทุกคนเห็นคุณค่าของการแนะแนวและดูแล ชว่ ยเหลอื นักเรยี น (4)ส่งเสริมและพัฒนาให้ครูได้รับความรู้เพ่ิมเติมในเรื่องจิตวิทยา การแนะแนว ดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพ่ือให้สามารถบูรณการในการจัดการเรียนรู้ และเชื่อมโยงสู่การเรียนรู้ใน ชวี ิตประจาวนั (5)คัดเลือกบุคลกรท่ีมีความรู้ความสามารถ และบุคลิกภาพที่เหมาะสมทาหน้าท่ี ครแู นะแนว ครทู ่ปี รึกษา ครปู ระจาชนั้ และอนกุ รรมการแนะแนว (6)ดูแล กากับ นิเทศ ติดตามและสนับสนุนการดาเนินงานแนะแนว ดูแล ช่วยเหลือนกั เรียนอย่างเป็นระบบ (7)สง่ เสริมความร่วมมือ ความเขา้ ใจอนั ดีระหว่าง ครู ผูป้ กครองและชุมชน (8)ประสานงานดา้ นการแนะแนวระหวา่ งสถานศกึ ษา องค์กร ภาครัฐ และเอกชน บา้ น ศาสนาสถาน ชุมชน ในลักษณะเครอื ข่ายการแนะแนว (9)เชอ่ื มโยงระบบการแนะแนว และระบบดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น 11) การพฒั นาระบบประกันคณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา (1)กาหนดมาตรฐานการศกึ ษาเพ่ิมเติมของสถานศึกษาใหส้ อดคล้องกบั มาตรฐาน การศึกษาชาติ มาตรฐานการศึกษาข้ันพื้นฐาน มาตรฐานสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา และความ ตอ้ งการของชุมชน
81 (2)จัดระบบบริหารสาระสนเทศ โดยจัดโครงสร้างการบริหารทเี่ อื้อต่อการพฒั นา งาน และสร้างระบบประกันคุณภาพภายใน จัดระบบสารสนเทศให้เป็นหมวดหมู่ ข้อมูลมีความ สมบูรณ์เรยี กใช้งา่ ย สะดวก รวดเรว็ ปรับปรงุ ใหเ้ ป็นปัจจบุ ันอยู่เสมอ (3)จัดทาแผนสถานศึกษาท่ีมุ่งเน้นคุณภาพสถานศึกษา (แผนกลยุทธ์แผน ยุทธศาสตร)์ (4)ดาเนินการตามแผนพัฒนาการสถานศึกษา ในการดาเนินโครงการ/ กิจกรรม สถานศึกษา ต้องสร้างระบบการทางานท่ีเข้มแข็งเน้นการมีส่วนร่วม และวงจรการพัฒนาคุณภาพของ เดมม่งิ (Deming Cycle) หรือท่ีรู้จักกันวา่ วงจร PDCA (5)ตรวจสอบทบทวนคุณภาพการศึกษา โดยดาเนินอย่างจริงจังต่อเน่ืองด้วยการ สนับสนุนให้ครู ผปู้ กครองและชมุ ชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ ม (6)ประเมินคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามมาตรฐานท่ีกาหนดเพ่ือ รองรบั การประเมินคุณภาพภายนอก (7)จัดทารายงานคุภาพการศึกษาประจาปี (SAR) และสรุปรายงานประจาปี โดย ความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด และเผยแพร่ต่อ สาธารณชน 12) การส่งเสรมิ ชมุ ชนให้เขม้ แขง็ ทางวชิ าการ (1)จดั กระบวนการเรยี นร้รู ว่ มกับบุคคล ครอบครัว ชมุ ชน องค์กรปกครองท้องถ่ิน เอกชน องคก์ รเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถานบนั ศาสนา สถานประกอบการและสถาบนั อนื่ (2)ส่งเสริมความเข้มแขง็ ของชมุ ชน โดยการจัดกระบวนการเรยี นรู้ภายในชุมชน (3)ส่งเสริมให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรม มีการแสวงหาความรู้ ข้อมูล ขา่ วสาร และรูจ้ ักเลอื กสรรภมู ิปัญญา และวทิ ยาการต่างๆ (4)พฒั นาชมุ ชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการรวมทั้งหาวิธีการ สนบั สนุนใหม้ ีการเปล่ียนประสบการณ์ระหว่างชมุ ชน 13) การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กร อ่ืน (1)ระดมทรัพยากรเพ่ือการศึกษา ตลอดจนวิทยากรภายนอก และภูมิปัญญา ท้องถ่ิน เพ่ือเสริมสร้างพัฒนาการของนักเรียนทุกด้าน รวมทั้งสืบสานจารีตประเพณี ศิลปวัฒนธรรม ทอ้ งถนิ่
82 (2)เสริมสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างสถานศึกษากับชุมชนตลอดจนประสานงาน กับองค์กรท้ังภาครัฐและภาคเอกชน เพ่ือให้สถานศึกษาเป็นแหล่งวิทยาการของชุมชนและมีส่วนร่วม ในการพัฒนาชมุ ชนและท้องถ่ิน (3)ให้บริการด้านวิชาการที่สามารถเชื่อมโยงหรือ แลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารกับ แหลง่ วิชาการในที่อ่นื ๆ (4)จัดกิจกรรมร่วมกับชุมชน เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม การสร้างความสัมพันธ์อันดี กับศิษย์เก่า การประชุมผู้ปกครองของนักเรียน การปฏิบัติงานร่วมกับชุมชน การร่วมกิจกรรมกับ สถาบันการศึกษาอน่ื เป็นต้น 14) การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หนว่ ยงาน สถานประกอบการและสถานบันอื่นที่จดั การศกึ ษา (1)ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถานบันสถานศึกษา สถาน ประกอบการ และสถานบนั สังคมอน่ื ในเรอื่ งเกย่ี วกับสทิ ธิในการจดั การ (2)จัดให้มีการสร้างความรู้ ความเข้าใจการเพิ่มความพร้อมให้กับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถานบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอน่ื ท่ีรว่ มจัดการศกึ ษา (3)ร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เอกชน องคก์ รเอกชน องคก์ รวชิ าชีพ สถานบันศาสนา สถานประกอบการ และสถานสังคมอ่ืนร่วมกัน จดั การศกึ ษา และใชท้ รัพยากรร่วมกนั ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ แก่ผูเ้ รียน (4)ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสถานศึกษา กับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กร วชิ าชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบนั สังคมอ่นื (5)ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครอง ส่วนท้องถ่ิน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถานบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาน สังคมอื่นไดร้ บั ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการตามความเหมาะสม และจาเป็น (6)ส่งเสริมและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ ทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ เพื่อการเรียนรู้ ตลอดชีวติ อย่างมีประสิทธิภาพ
83 15) การจัดทาระเบียบและแนวปฏบิ ตั เิ กี่ยวกบั งานด้านวิชาการของสถานศึกษา (1)ศึกษาและวิเคราะห์ระเบียบและแนวปฏิบัติเก่ียวกับงานด้านวิชา การของ สถานศึกษา เพื่อใหผ้ ู้เกีย่ วขอ้ งทกุ ฝา่ ยรบั รู้ และถอื ปฏบิ ตั เิ ป็นแนวเดยี วกนั (2)จัดทาร่างระเบียบ และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา เพอ่ื ให้ผู้ทีเ่ กย่ี วข้องทุกฝ่ายรบั รู้ และถือปฏิบัตเิ ปน็ แนวเดียวกัน (3)ตรวจสอบร่างระเบียบ และแนวปฏิบัติเก่ียวกับงานด้านวิชาการของ สถานศึกษา แก้ไขและปรบั ปรุง (4)นาระเบียบและแนวปฏิบัติเก่ียวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา ไปสู่การ ปฏิบัติ (5)ตรวจสอบและประเมินผลการใชร้ ะเบียบ แนวทางปฏบิ ัติเกี่ยวกับงานวชิ าการ ของสถานศกึ ษา และนาไปแก้ไขปรบั ปรงุ ให้เหมาะสมตอ่ ไป 16) การคดั เลอื กหนังสือแบบเรยี นเพอื่ ใช้ในสถานศึกษา (1)ศกึ ษา วิเคราะห์ คัดเลือกหนังสือเรียนกลมุ่ สาระการเรียนรู้ตา่ งๆ ทม่ี ีคณุ ภาพ สอดคล้องกับหลกั สตู รสถานศกึ ษา เพื่อเปน็ หนังสอื แบบเรียนใชใ้ นการจัดการเรียนการสอน (2)จัดทาหนังสือเรียน หนังสือเสริมประสบการณ์ หนังสืออ่านประกอบ แบบฝกึ หดั ใบงาน ใบความรู้ เพื่อใชใ้ นการประกอบการเรียนการสอน (3)ตรวจพิจารณาคุณภาพหนังสือเรียน หนังสือเสริมประสบการณ์ หนังสืออ่าน ประกอบ แบบฝึกหัด ใบงาน ใบความรู้เพอื่ ใชป้ ระกอบการเรยี นการสอน 17) การพฒั นาและใชส้ อื่ เทคโนโลยเี พื่อการศกึ ษา (1)จัดให้มีการร่วมกันกาหนดนโยบาย วางแผนในเรื่องการจัดหา พัฒนาส่ือการ เรียนรู้ และเทคโนโลยีเพ่อื การศกึ ษาของสถานศึกษา (2)พัฒนาบุคลากรในสถานศึกษา ในเรื่องเก่ียวกับการพัฒนาส่ือการเรียนรู้ และ เทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา พร้อมท้ังให้มีการจัดตั้งเครือข่ายทางวิชาการ ชมรมวิชาการ เพ่ือเป็นแหล่ง การเรยี นรู้ของสถานศกึ ษา (3)พัฒนาการใช้ส่ือและเทคโนโลยีทางการศึกษา โดยมุ่งเน้นการพัฒนาส่ือ และ เทคโนโลยที างการศึกษา ทีใ่ ห้ข้อเทจ็ จรงิ ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ เกิดข้นึ โดยเฉพาะหาแหล่งสื่อท่ี เสรมิ การจัดการศกึ ษาของสถานศกึ ษาใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ (4)พัฒนาหอ้ งสมุดของสถานศึกษาใหเ้ ป็นแหลง่ การเรยี นรู้ของสถานศกึ ษา และชมุ ชน
84 (5)นิเทศ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรในการจัดหา ผลิต พัฒนาส่ือและเทคโนโลยที างการศึกษา Miller (1965) ได้กล่าวถึงขอบข่ายงานวิชาการไว้ 4 ด้านคือ 1) การจัดโปรแกรมเรียน 2) การปฏิบตั ิตามโปรแกรม 3) การตดิ ตามการเรยี นการสอน 4) การจัดบรกิ ารการสอน Faber & Sherron (1970) ได้กล่าวถึงขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ ไว้ว่า งานบริหาร วชิ าการมคี วามสาคัญโดยแบง่ งานออกเปน็ 6 ดา้ น คือ กาหนดจุดมงุ่ หมายของหลกั สูตร การจัดเนอื้ หา ของหลักสูตร การนาหลักสูตรไปใช้ การจัดอุปกรณ์การสอน การนิเทศการสอน และการส่งเสริมครู ประจาในดา้ นความรู้ Campbell, Bridges & Nystrrand (1977) ได้กลา่ วถงึ ขอบข่ายการบรหิ ารงานวชิ าการ ไวว้ ่า เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการวางแผน การดาเนินงาน การประเมินผล เป็นการกาหนดจุดมุ่งหมายของ สถานศึกษา เช่น กาหนดโปรแกรมการเรียนการสอนในจุดมุ่งหมาย เพ่ือการพัฒนาและการนา หลกั สูตรไปใช้ การจัดอปุ กรณ์ส่อื การสอน และการประเมนิ ผลการเรียนการสอน Sergiovanni and other (1980) ได้กล่าวถึงขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ ไว้ว่า ประกอบด้วย1) การต้ังปรัชญาการศึกษาข้ึนมาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์2) การจัดทาโครงการทาง การศึกษาต่างๆ3) จัดให้มีการประเมินผลหลักสูตรและมีการเรียนการสอน4) การสร้างบรรยากาศใน สถานศกึ ษาใหพ้ ร้อมท่ีจะเปล่ยี นแปลง และ5) การจดั หาวัสดสุ าหรับการเรยี นการสอน Kimbrough & Nunnery (1988) ได้กล่าวถึงขอบข่ายการบริหารงานวชิ าการ ไว้ว่า เป็นการ กาหนดนโยบาย และหลักการชัดเจน เช่น การกาหนดจุดมุ่งหมายของการศึกษา การจัดระบบการ เรียนการสอนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย การกาหนดโครงสร้างของการเรียนการสอน การจัดอุปกรณ์ การเรียนการสอน และการวดั ประเมินผลการเรียนการสอน David (1995) ไดก้ ลา่ วถึงขอบข่ายการบรหิ ารงานวิชาการ ไว้ว่า การบรหิ ารงานด้านวิชาการ ประกอบด้วยกิจกรรมหลักพ้ืนฐานได้แก่ การวางแผนการจัดการองค์การการนาและการควบคุมเป็น กระบวนการท่ีต่อเนือ่ งสัมพันธ์กันเปน็ วงจรกระบวนการท่ีสาคญั ต่อการสรา้ งกลยุทธ์ ขอบข่ายงานการบริหารงานวิชาการ ถือว่าเป็นหัวใจของการบริหารสถานศึกษา ทั้งนี้เพราะ จุดมงุ่ หมายของการบรหิ ารสถานศึกษาก็คือ การจัดการศกึ ษา คณุ ภาพ และมาตรฐานของสถานศึกษา จึงอยู่ที่งานด้านวิชาการ ซึ่งประกอบด้วยงานด้าน การพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน การจัดบุคลากรที่เก่ียวข้อง การจัดสิ่งส่งเสริมงานด้านวิชาการ รวมถึงงานด้านการวัดและประเมินผล ข้ันตอน การดาเนนิ งานด้านวิชาการ จะมีการวางแผนงานด้านวชิ าการ ขัน้ การจัดและดาเนนิ การ และ ขนั้ สง่ เสรมิ และตดิ ตามผลด้านวชิ าการการจัดการศึกษาเพ่ือให้เกิดประสิทธภิ าพและประสิทธิผล ไมว่ า่
85 กิจกรรมใดๆ ท่ีเก่ียวกับการเรียนการสอน ถือว่างานนั้นเป็นบทบาทหน้าท่ีของผู้บริหารงานด้าน วิชาการทัง้ หมด กระทรวงศึกษาธกิ าร(2557 )ได้กาหนดแผนการสง่ เสริมการศึกษาเพื่อสร้างความเปน็ พลเมือง มุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีความเข้าใจ เห็นความสาคัญ และร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนการปฏิรูป การศึกษาให้บรรลุเป้าหมายท่ีต้ังไว้ในทิศทางเดียวกัน คือ สร้างเด็กให้เป็นคนดี คนเก่ง มีความสุข มี ความสามารถสนับสนุนการแข่งขันของประเทศ อยู่รวมกันในสังคมโลกได้อย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของ ความเป็นไทย จึงมีนโยบายส่งเสริมการศึกษาเพ่ือสร้างความเป็นพลเมือง โดยบูรณนาการการกบั วชิ า ลูกเสือ ปรับปรุงหลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนการสอน การอบรมครูผู้สอนและการจัดกิจกรรม หรือนิเทศการศึกษา การใช้ส่ือในการเรียนการสอน และการวัดประเมินผลที่เน้นความเป็นพลเมือง คุณภาพ จากกฎกระทรวงศึกษาธิการ ขอบข่ายงานการบริหารงานวิชาการ และ กมล รอดคล้าย (2557) ได้กล่าวว่า การพัฒนาเยาวชนของชาติให้เป็นพลเมืองคุณภาพตามขอบข่ายงานการ บริหารงานวิชาการท่ีเกยี่ วขอ้ งไดแ้ กง่ านด้าน 1)การพฒั นาหลักสูตร 2)การจัดการเรียนการสอน 3)การ นเิ ทศการศกึ ษา 4)การพฒั นาและการใชส้ อื่ และเทคโนโลยกี ารศึกษาถ 5)การวดั และประเมนิ ผล ดั้งน้ันผู้วิจัยจึงนาแนวคิดการบริหารงานวิชาการโรงเรียนตามกฎกระทรวงศึกษาธิการ (2551)และกมล รอดคล้าย(2557)มาเปน็ กรอบแนวคิดในการวิจยั ไดแ้ ก่ 1.การพฒั นาหลกั สูตร 2.การจดั การเรียนการสอน 3.การนเิ ทศการศกึ ษา 4.การพัฒนาและการใช้สือ่ และเทคโนโลยกี ารศกึ ษาถ 5.การวดั และประเมนิ ผล 1. การพฒั นาหลกั สูตร 1.1 ความหมายของหลกั สตู ร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร 2557 ได้กล่าวถึงความหมายของไว้วา่ หลกั สตู ร หมายถงึ มวล ประสบการณ์ในการพัฒนาผู้เรียนท้ังระบบ หลักสูตรหรือ Curriculum มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตนิ หมายถึง race course เป็นลวู่ ่งิ ไปสู่เป้าหมาย หลักสูตรจึงเปน็ ชุดการสอน และประสบการณ์ต่างๆ ที่ จัดให้ผู้เรียน โดยเฉพาะหลักสูตรชาตินั้นเป็นการจัดการศึกษาสาหรับ การเตรียมเด็กให้เปน็ ผู้ใหญ่ จึง มีความสาคัญมากอาจกล่าวได้ว่า “หลักสูตรเป็นการออกแบบทางสังคม หรือ the curriculum is a social engineering” มนี ักการนักศึกษาได้ให้ความหมายของหลักสูตรไวด้ งั นี้
86 ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2546: 25) ได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ว่า หมายถึง หลักสูตรเป็นศาสตร์ท่ีมีทฤษฎี หลักการและการนาไปใช้ในการจัดการเรยี นการสอนตามที่มุ่งหมายไว้ อย่างเป็นระบบในการจัดการศึกษา เป็นแผนจัดการเรียนการสอน โดยมีปัจจัยนาเข้า (Input) ได้แก่ ครู นักเรียน วัสดุอุปกรณ์ อาคารสถานท่ี กระบวนการ (Process) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผลผลิต (Output) ได้แก่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ความสาเร็จทางการศึกษา ท่ีมุ่งฝึกฝนผู้เรียนให้ เป็นไปตามเปา้ หมายทต่ี ัง้ ไว้ Taba (1962:10-11) ได้ให้ความหมายของหลกั สูตรไว้ว่า หมายถึง แผนการเรยี นรูท้ ่ี ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ และจุดหมายเฉพาะการเลือกและการจัดเนื้อหา วิธีกาจัดเนื้อหาและการ ประเมินผล Johnson (1970: 25) ได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ว่า หมายถึง สิ่งที่เกี่ยวข้อง กบั สิง่ ท่ีผู้เรียนตอ้ งเรยี นรู้ หรือสามารถทาได้ ผลทอี่ อกมาไม่ใช่สง่ิ ทเ่ี กิดขน้ึ แต่เปน็ การคาดหวงั ละตั้งใจ Babbit (1973: 42) ได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ว่า หมายถึง รายการของส่ิงต่างๆ ที่เด็กและ เยาวชนตอ้ งทา และมีประสบการณ์ดว้ ยวธิ พี ัฒนาความสามารถในการทาสงิ่ ต่างๆ ให้ได้ดีเพ่ือสามารถ ดารงชวี ิตอยใู่ นวยั ผู้ใหญ่ได้ Good (1973: 157) ได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ว่า หมายถึง กลุ่มรายวิชาท่ีจัด ไว้อย่างเป็นระบบหรือลาดับวิชาที่บังคับสาหรับการจบการศึกษา หรือเพ่ือรับประกาศนียบัตรใน สาขาวชิ าหลักๆ Saylor & Alexander (1974: 6) ไดใ้ หค้ วามหมายของหลักสูตรไวว้ ่า หมายถงึ แผน สาหรับจัดโอกาสการเรียนรู้ให้แก่บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือจุดหมายท่ีวาง เอาไว้ โดยมีโรงเรยี นเป็นผู้รับผิดชอบ สรุป ความหมายของหลักสูตรได้ว่า หมายถึง แผนการเรียนรู้ท่ีประกอบด้วย วตั ถปุ ระสงค์ และจุดหมายเฉพาะการเลอื กและการจัดเน้ือหา วิธกี าจดั เนือ้ หาและการประเมนิ ผล 1.2 ความหมายของการพฒั นาหลกั สูตร การพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกประเภท เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมตามความมุ่งหมายและจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ และเป็น การวางแผนการประเมินผลให้ทราบถึงการเปล่ียนแปลงในตัวผู้เรียน ว่าได้บรรลุตามความมุ่งหมาย และจุดประสงค์จริงหรือไม่ เพ่ือผู้ท่ีมีหน้าที่รับผิดชอบจะได้รู้และคิดเพ่ือแก้ไขปรับปรุงต่อไป ดังน้ัน หลักสูตรท่ีดีและเหมาะสมจะต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา
87 สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการปกครองของประเทศตลอดจนความก้าวหน้าทางวิทยาการ และเทคโนโลยตี า่ ง ๆ ในอดีตนักพัฒนาหลักสูตรจะให้ความสาคัญเก่ียวกับเป้าหมาย เน้ือหาและวิธีการ สอนของหลักสูตรโดยไม่ค่อยสนใจหรือคานึงผู้เรียนว่าจะมีความรู้สึกหรือมีผลกระทบอย่างไร ปกติ นักพัฒนาหลักการสูตรจะกาหนดจุดมุ่งหมายให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนเป็นสาคัญ และเนื้อหาสาระ ตลอดท้ังกระบวนการเรียนการสอนก็จะต้องเป็นเรื่องของครูที่จะต้องคิด ครูมักจะหาเนื้อเรื่องและ วิธีการเรียนการสอนโดยคานึงว่าผู้เรียนคิดอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไร และมีความต้องการอย่างไร แต่ในปัจจุบันแนวคิดนี้ได้เปล่ียนไป จึงเป็นหน้าท่ีของนักพัฒนาหลักสูตรท่ีจะต้องหาแนวทางในการ พัฒนาหลักสูตรให้มีความถูกต้อง ชัดเจนและเป็นประโยชน์กับผู้เรียนมากท่ีสุด ท้ังนี้ได้มีนักการศึกษา กลา่ วถงึ ความหมายของการพฒั นาหลกั สตู รไวด้ ังนี้ สันต์ ธรรมบารุง (2527 : 92) ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาหลักสูตรไว้ว่า การพัฒนาหลักสูตร (curriculum development) จะมีความหมายครอบคลุมถึงการสร้างหลักสูตร การวางแผนหลักสูตรการปรับปรุงหลักสูตร การพัฒนาหลักสูตรซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณภาพของ หลักสูตรให้ดีขึ้นทั้งระบบ ตั้งแต่จุดมุ่งหมาย การเรียนการสอน การใช้ส่ือการเรียนการสอน การวัด และประเมนิ ผล บุญมี เณรยอด (2531 : 18) กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การปรับปรุง โครงการที่ประมวลความรู้และประสบการณ์ทั้งหลาย เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้ดีข้ึนให้เหมาะสมและ สอดคล้องกบั สภาพสงั คมและเพื่อบรรลุตามจดุ ม่งุ หมายท่วี างไว้ สงัด อุทรานันท์ (2532 : 30) กล่าวคาว่า “การพัฒนา” หรือ คาในภาษาอังกฤษว่า “development” มีความหมายท่ีเด่นชัดอยู่ 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรก หมายถึง การทาให้ดีขึ้น หรือ ทาให้สมบูรณ์ข้ึน และอีกลักษณะหนึ่ง หมายถึง ทาให้เกิดข้ึน โดยเหตุน้ีความหมายของการ พัฒนาหลักสูตรจึงอาจมีความหมายได้ 2 ลักษณะเช่นเดียวกัน คือ ความหมายแรก หมายถึง การทา หลักสูตรที่มีอยูแ่ ล้วให้ดีขนึ้ หรือสมบูรณ์ข้ึน และอกี ความหมายหน่ึงก็ คอื เป็นการสร้างหลักสตู รข้ึนมา ใหม่ โดยไมม่ ีหลกั สูตรเดิมเป็นพ้ืนฐานอยู่เลย หัทยา เจียมศักด์ิ (2539 : 12) ให้ความหมายว่า การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง กระบวนการท่ีเก่ียวข้องกับการวางแผนพัฒนาหรือคิดประสบการณ์เรียนรู้ต่างๆ เพ่ือให้เกิดความ เหมาะสมหรือดียิง่ ข้ึน สวัสดิ์ จงกล (2539 : 19) ได้ให้ความหมายว่าการพัฒนาหลักสูตร คือ การเกี่ยวข้อง กบั การวางแผนพัฒนาหรือคิดประสบการณ์เรียนรู้ตา่ ง ๆ เพือ่ ให้เกดิ ความเหมาะสมหรอื ดียิ่งข้นึ
88 Good V. Carter , (1973 : 157 -158 ) ได้ให้ความหมายไว้วา่ การพัฒนาหลกั สูตร เกิดข้ึนได้ 2 ลักษณะ คือ การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร การปรับปรุงหลักสูตรเป็นวิธีการ พัฒนาหลักสูตรอย่างหน่ึง เพื่อให้เหมาะกับโรงเรียนและระบบโรงเรียน จุดมุ่งหมายของการสอนวัสดุ อุปกรณ์ วิธีสอนรวมทั้งการประเมินผล ส่วนคาว่า การเปล่ียนแปลงหลักสูตร หมายถึง การแก้ไข หลกั สตู รให้แตกต่างไปจากเดมิ เป็นการสร้างโอกาสทางการเรียนใหม่ สรุปได้ว่า การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การปรับปรุง แต่ง เสริม เติมต่อ หรือการ ดาเนินงานอ่ืน ๆ เพื่อให้ได้มาซ่ึงความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของสภาพสังคมท่ี เปล่ยี นแปลงไปและสนองตอ่ ความตอ้ งการของผู้เรียน 1.3 เป้าหมายของพัฒนาหลักสูตรเพอ่ื พฒั นาความเป็นพลเมืองคณุ ภาพของผู้เรยี น กระทรวงศึกษาธิการ (2551)ได้กล่าวถึงหลักสูตรเปรียบเสมือนแนวทางในการ จัดการเรียนการสอนและเป็นแนวทางสาคัญในการบรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของ ประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นหน่ึงในตัวชี้วัดสาคัญของมาตรฐานการศึกษาในแต่ละประเทศ ท้ังนี้เพราะ การศึกษาของแต่ละประเทศจะดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับหลักสูตรและการนาหลักสูตรไปใช้เป็น สาคัญ หลักสูตรยังมีความสาคัญอีกประการหน่ึงต่อการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน กล่าวคือ ผู้สอนจะใช้หลักสูตรเป็นเสมือนแม่แบบในการดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนต่างๆ เพ่ือให้การจัด กิจกรรมการเรยี นการสอนไม่หลงทางและบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ทีต่ ้งั ไว้อยา่ งครบถ้วน สาหรับความสาคัญ ของหลักสูตรกับผู้เรียน หากหลักสูตรนั้นเป็นหลักสูตรที่ดีจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะการ เรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงสร้างทักษะอ่ืนๆทั้งการเคารพสิทธิมนุษยชนและสามารถยอมรับในความ หลากหลายของผู้คนได้ หลักสูตรเปรียบเสมือนแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและเป็นแนวทางสาคัญ ในการบรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของประเทศ นอกจากน้ียังเป็นหน่ึงในตัวช้ีวัดสาคัญของ มาตรฐานการศึกษาในแต่ละประเทศ ทั้งน้ีเพราะการศึกษาของแต่ละประเทศจะดีหรือไม่ดีน้ันข้ึนอยู่ กับหลักสูตรและการนาหลักสูตรไปใช้เป็นสาคัญ หลักสูตรยังมีความสาคัญอีกประการหน่ึงต่อการ จัดการเรียนการสอนในห้องเรียน กล่าวคือผู้สอนจะใช้หลักสูตรเป็นเสมือนแม่แบบในการดาเนิน กิจกรรมการเรียนการสอนต่างๆ เพ่ือให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไม่หลงทางและบรรลุ วัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้อย่างครบถ้วน สาหรับความสาคัญของหลักสูตรกับผู้เรียน หากหลักสูตรน้ันเป็น หลักสูตรท่ีดีจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงสร้างทักษะอ่ืนๆท้ังการ เคารพสทิ ธมิ นษุ ยชนและสามารถยอมรบั ในความหลากหลายของผูค้ นได้
89 กระทรวงศึกษาธิการ ได้กาหนดแผนการส่งเสริมการศึกษาเพ่ือสร้างความเป็น พลเมือง มุง่ หวังให้ทุกภาคสว่ นในสงั คมมีความเข้าใจ เหน็ ความสาคัญ และร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนการ ปฏิรูปการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่ต้ังไว้ในทิศทางเดียวกัน คือ สร้างเด็กให้เป็นคนดี คนเก่ง มี ความสุข มีความสามารถสนับสนุนการแข่งขันของประเทศ อยู่รวมกันในสังคมโลกได้อย่างย่ังยืนบน พืน้ ฐานของความเปน็ ไทย จึงมีนโยบายส่งเสริมการศึกษาเพ่ือสรา้ งความเป็นพลเมือง โดยบรู ณนาการ การกับวิชาลูกเสือ ปรับปรุงหลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนการสอน การประเมินผลและการจัด กิจกรรมที่เน้นความเปน็ พลเมอื งคณุ ภาพ เป้าหมายของพัฒนาหลกั สูตรเพ่อื พฒั นาความเปน็ พลเมืองคุณภาพของผูเ้ รยี น 1.พัฒนาผเู้ รยี นใหม้ ีความรู้ ความเข้าใจ ทกั ษะ เจตคติ คา่ นยิ ม และลักษณะ นิสัย ซึ่งผู้เรียนจาเป็นต้องมีส่วนร่วมในวิถีชีวิตพลเมือง ในฐานะท่ีเป็นพลเมืองที่แข็งขันในชุมชน ประเทศชาติ ภูมิภาคและโลก 2.พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจ แบบมีตัวแทน ระบบกฎหมาย และ วถิ ีชวี ติ แบบพลเมอื งของไทย 3.พัฒนาผู้เรียนให้เห็นในสิทธิ ความรับผิดชอบ ของความเป็นพลเมือง รวมทั้งวิถีชีวิต แบบพลเมืองท้ังในระดับประเทศ ประชาคมอาเซียนและระดับโลก รวมถึง ความสามารถทาหน้าท่ีพลเมือง ท่ีมีความรู้และความรับผิดชอบ กากับและติดตาม การนาค่านิยม และหลักการประชาธปิ ไตยไปสู่การปฏิบตั ิจรงิ 4.พัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจ และเห็นคุณค่าของลักษณะพหุวัฒนธรรม ในสังคมไทย และยดึ มน่ั ตอ่ หลักสิทธิมนษุ ยชน 1.4ลักษณะสาคัญของลักสูตรการพัฒนาความเป็นพลเมืองคุณภาพของนักเรียนโรงเรียน มัธยมศกึ ษามีลักษณะสาคัญดงั น้ี 1.เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจพ้ืนฐานของการเมือง (Political Literacy) ท่ี ถูกต้องเพื่อปรับมโนทัศน์ใหม่ต้องจัดการเรียนรู้ ให้เกิดการปรับเปลี่ยนมโนทัศน์ด้านการเมืองของ ผเู้ รียน เพ่ือสรา้ งความรเู้ ป็นของตนเอง ตามแนวคดิ สรา้ งสรรค์ความรู้ (Construction) และไมล่ ดทอน ความเปน็ การเมือง (Depoliticize) 2.เน้นให้ผู้เรียนคิดอย่างมีวิจารณญาณ(Critical Thinking) เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ท่ีมีความยั่งยืนและปราศจากการครอบงาทางความคิด ด้วยการจัดการเรียนรู้ ท่ีส่งเสริมให้ ผู้เรียนเกิดการพัฒนา ความคิดอย่างมวี ิจารณญาณ ท้ังคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ คิดสืบหาสาเหตุปัจจัย คิดแก้ปัญหา คิดริเร่ิมสร้างสรรค์ คิดเปรียบเทียบ คิดประเมินค่า ด้วยการจัดการเรียนรู้ เช่น การ
90 สนทนาแบบโสเครตีส (Socratic Dialogus) การโต้วาที (Debate) การอภิปรายถกเถียงปัญหาใน ประเด็นท่ีเป็นปัญหาของสังคม(Controversial Issue) เป็นต้น หลักสูตรและกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทา ใหผ้ ู้เรยี น คดิ เปน็ และคิดเก่ง จะทาให้ผเู้ รยี นไม่ต้องเรยี นเน้อื หามากจนเกนิ ไป 3.เน้นออกแบบหลักสูตร ท่ตี รงกับสภาพปัญหาที่แทจ้ รงิ และจติ วทิ ยาการเรียนรู้ของ ผู้เรียน เช่น ผู้เรียนในระดับปฐมวัยและประถมศึกษาสมองส่วนปัญญายังไม่พัฒนา หลักสูตรจึงควร เน้นเจตคติ มากว่าความรู้ความเข้าใจและความคิดเน้น “วัฒนธรรมประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นพื้นฐาน สาคัญ จนกระทั่งพัฒนาต่อเนื่อง จนเป็นผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาซ่ึงสมองส่วนปัญญาพัฒนามากข้ึน หลักสูตรจึงเน้นการพัฒนาผู้เรยี นในด้านความรู้ ความเข้าใจ และความคิด เน้นประชาธิปไตยในฐานะ ระบอบการปกครองมากขึ้น 4.เน้นให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะ พฤติกรรม และการนาไปใช้สาหรับผู้เรียนท้ังในระดับ ปฐมศึกษา และมัธยมศึกษาให้ปฏิบัติจริง ไม่ใช่เน้นแต่ ความรู้ ความเข้าใจ แต่การเรียนรู้ด้วยการลง มือปฏบิ ตั ิมีจุดม่งุ หมายสาคญั อยู่ที่การพัฒนาการเรยี นรู้ของผู้เรียนมากกวา่ การใหผ้ เู้ รียนออกไปรับใช้ ชุมชน และสังคม (Service Learning) ในลักษณะกิจกรรมจิตอาสา งานสังคมสงเคราะห์ หรือ กิจกรรมขององค์การเอกชน เป็นการเน้นการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดจิตสานึกรับใช้สังคมผ่านคาถาม ศึกษาหาข้อมูล คิดอย่างมีวิจารณญาณ ทั้งนี้เพื่อให้มองเห็นวิธีการแก้ปัญหาอย่างถอนรากถอนโคน ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การจัดการเรียนรู้จึงเน้นการพัฒนาผู้เรียนท้ังความรู้ความเข้าใจ การคิด เจตคติ ทกั ษะและพฤติกรรม และการนาไปใชอ้ ย่างแท้จริง 5.เน้นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยควบคู่ไปกับการเปน็ สมาชิกท่ีดีของสังคม โดยเอาลักษณะเด่นของสังคม และวัฒนธรรมไทยที่สอดคล้องกับประชาธิปไตย มาเป็นแนวทางในการพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสม เช่นความมีน้าใจเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเก้ือกูลกัน (Solidarity) คารวะธรรม มกี ารนาเอาหลกั ธรรม ทงั้ คาส่งั สอนของพระพุทธศาสนา 6.เน้นการวัดประเมินผล (Measurement, Assessment and Evaluation) อย่าง จริงจัง และครบรอบด้านทุกมิติ ต้องมีการเปรียบเทียบการเรียนรู้ ก่อนและหลังการเรียนรู้ซ่ึงการ เปรียบเทียบจะนาไปสู่การปรับปรุงคุณภาพการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิผลจริง ใช้แนวทาง การประเมินที่หลากหลาย การประเมินแบบมีส่วนร่วม รวมท้ังการประเมินแบบคิดไตร่ตรอง (Reflection Thinking) เปน็ ส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ และใชเ้ ปน็ ข้อมลู ในการปรบั กระบวนการเรยี นรู้ กระทรวงศึกษาธิการ (2551) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ได้กาหนด คุณลักษณะที่พึ่งประสงค์ ไว้ว่า หลักสูตรพัฒนาผู้เรียนให้มีลักษณะอันพึ่งประสงค์สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างมีความสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลเมืองโลก มีดังนี้1)รักชาติ ศาสน์ กษัตริย
91 2)ซ่ือสัตย์ สุจริต 3)มีวินัย 4)ใฝ่เรียนรู้ 5)อยู่อย่างพอเพียง 6)มุ่งมั่นในการทางาน 7)รักความเป็นไทย 8)มจี ติ สาธารณะ 2. การจดั การเรียนการสอน 2.1 ความหมายการจดั การเรยี นการสอน กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนการสอน การไว้ว่า หมายถึง การพัฒนาคุณภาพมนุษย์ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรม ค่านิยม ความคิด การประพฤติปฏิบัติ โดยคาดหวังว่า คนที่มีคุณภาพจะทาให้สังคมมีความ มั่นคง สงบสุข เจริญก้าวหน้าทันโลก แข่งขันกับสังคมอื่นในเวทีระดับประเทศได้ คนในสังคม มี ความสามารถในการประกอบอาชีพการงานอย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ การจัดการศึกษามีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการศึกษาในสถานศึกษา นอกสถานศึกษา ตาม อัธยาศัย ย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกันไป การจัดการศึกษา เป็นกระบวนการท่ีเป็นระบบ ดังน้ันการจัดการศึกษาจึงจาเป็นต้องดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง มีบุคคล และหน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าร่วมดาเนินการ มีรูปแบบ มีข้ันตอน กติกาและวิธีการดาเนินการ มี ทรัพยากรต่างๆ สนับสนุน และต้องมีกระบวนการประเมินผลการจัดการศึกษาที่เที่ยงตรงและเช่อื ถอื ได้ ผลผลติ ทางการศึกษา คอื ผู้ที่ได้รบั การศกึ ษา ส่วนผลลพั ธ์หรอื ผลสะท้อนสุดทา้ ยคอื การมพี ลเมือง คุณภาพ และสังคมท่มี สี ภาพทพ่ี ึงประสงค์ เอกชัย กี่สุขพันธ์ (2525) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนการสอนไว้ว่า หมายถึง เป็นการดาเนินงานเพื่อให้เกิดการเรียนการสอนตามหลักสูตร หรือโปรแกรมการศึกษา เช่น การจัดตารางสอน การจัดครผู ู้สอน และการอานวยความสะดวกในเรอื่ งเกีย่ วกับการสอนวชิ าต่างๆ 2.2 ขัน้ ตอนการจดั การเรยี นการสอน สานักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2542) ได้จัดกระบวนการเรียนการ สอน โดยมขี ัน้ ตอนสาคัญดังนี้ - สารวจความต้องการ ความสนใจ และความร้เู ดิมของผู้เรียน - การเตรยี มการ ครูเตรยี มการเรียนท่เี ออ้ื ต่อการเรียนรู้ เชน่ การวางแผน - การดาเนินกจิ กรรมการเรยี น - การประเมนิ ผล - การสรุปและนาไปประยกุ ตใ์ ช้ Carroll (1974) ได้เสนอหลักการสาคัญจากงานวิจัย เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนท่ี ประสบความสาเร็จ ไว้ 5 ประการดงั นี้
92 1.ความถนัดของผู้เรียน (Learner’s Aptitude) ผู้เรียนย่อมมีความแตกต่างกันใน ด้านความถนัดในการเรียนรู้ การใช้เวลาของผู้เรียนแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน แต่ทุกคนสามารถ ประสบความสาเร็จในการเรียนร้ไู ด้ 2.ความสามารถทางสติปัญญาของผู้เรียน (Learner’s Intelligence) ผู้เรียนย่อมมี ความสามารถทางสติปัญญาท่ีแตกต่างกัน เวลาท่ีใช้ในการเรียนรู้ก็ย่อมแตกต่างกันด้วยในชั้นเรียนแต่ ละช้ัน ย่อมจะมีผเู้ รียนทมี่ รี ะดบั สติปญั ญาแตกตา่ งกนั 3.ความอุตสาหพยายามของผู้เรียน (Learner’s Perseverance) ผู้เรียนแต่ละคน ย่อมมคี วามสนใจและความต้องการในการเรยี นรู้ที่แตกต่างกัน และยอ่ มจะมีผลต่อแรงจูงใจ พรอ้ มท้ัง ความใฝ่สัมฤทธ์ใิ นการเรียนรูแ้ ตกต่างกนั ด้วย 4.คุณภาพในการสอน (Quality of Instruction) กลวิธีการสอนท่ีแตกต่างกัน ย่อม มผี ลในการเรียนรู้ของผู้เรยี นแตกตา่ งกนั การสอนทีด่ ยี อ่ มทาใหผ้ ู้เรียนมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ดี 5.โอกาสในการเรียนรู้ (Learning Opportunities) ผู้เรียนท่ีมีโอกาสในการเรียนรู้ มากย่อมมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ได้ดี ผู้สอนจะเป็นผู้ให้โอกาสในการเรียนรู้แก่ผู้เรียนได้โดยการจัด ประสบการณ์การเรียนรแู้ กผ่ เู้ รียนอยา่ งเหมาะสม องค์ประกอบสาคัญ 5 ประการของการเรียนการสอนที่ประสบความสาเร็จนั้น ผู้สอนจะต้องคานึงถึงผู้เรียน (ข้อ 1-3) ในด้านความแตกต่างทางสติปัญญา ความสามารถแลความ สนใจความสามารถของผู้สอน (ข้อ 4-5) จะเก่ียวข้องกับความสามารถในการจัดการเรียนการสอนที่ เหมาะสมกับผู้เรียนให้ผู้เรียนมีโอกาสในการเรียนรู้มากที่สุด กลวิธีการสอนท่ีเหมาะสม จึงควรจัดให้ เหมาะกบั ขัน้ ตอนในการเรยี นรขู้ องผูเ้ รียนแตล่ ะคนให้บรรลเุ ปา้ หมายของการเรยี นอยา่ งรแู้ จ้ง Carroll (1974) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนที่เรียกว่า Mastery Learning ดังนี้ 1.ขั้นรับรู้ (Acquisition Stage) ในข้ันนี้ผู้เรียนเข้าใจส่ิงท่ีเรียนโดยการลองผิดลอง ถูกและยงั ไม่มคี วามชานาญมากนัก ยกตัวอย่างเชน่ เมือ่ เรม่ิ การรบั รู้การสอนของผสู้ อนใหม่ๆ 2.ขน้ั คล่องตัว (Fluency Stage) ในขนั้ นีผ้ ูเ้ รียนจะได้รับการฝึกฝนส่ิงทเ่ี รยี นรู้มากขึ้น ผเู้ รยี นจะมคี วามชานาญในความรทู้ ี่เรยี นมา เช่น การฝกึ ทาแบบฝกึ หดั ต่าง ๆ 3.ขั้ น ค ง ท่ี (Maintenance Stage) ใ น ข้ั น น้ี ผู้ เ รี ย น จ ะ มี ค ว า ม ช า น า ญ แ ล ะ ความสามารถจดจาสิ่งท่ีเรียนรู้ได้อย่างคงท่ีเนื่องจากประสบความสาเร็จในการฝึกฝนจนคล่องตัวแล้ว ในข้นั ที่ 2 จงึ ทาให้เกิดความทรงจาระยะยาวไดใ้ นส่ิงที่เรียนรู้ เชน่ การจาคาศพั ท์ การจัดรปู ประโยค
93 4.ขั้นนาไปใช้ (Application Stage) ในข้ันน้ีผู้เรียนจะสามารถนาความรู้ท่ีมีความ แม่นยาไปใช้ เชน่ การลงมือปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตา่ ง ๆ โดยใชค้ วามรทู้ ไ่ี ด้เรยี นมาในสถานการณจ์ ริง 5.ขั้นปรับตัว (Adaptation Stage) ในขั้นน้ีผู้เรียนจะสามารถปรับการนาความรู้ไป ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เช่น การสร้างโครงงาน หรือ แผนงาน ด้วยความคิด สร้างสรรค์ของผู้เรยี น ขั้นตอนการเรียนรู้ดังกล่าว สามารถนาไปใช้ในการสร้างแผนการสอน รวมท้ัง การวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ เพื่อให้ม่ันใจว่า ผู้เรียนสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างแม่นยา และสามารถนาความร้ไู ปใช้ได้จริง 2.3 องค์ประกอบในการจดั แผนการเรยี นการสอน การจัดแผนการเรียนการสอนท่ีประสบผลสาเร็จควรคานึงถึงองค์ประกอบสาคัญ 6 ประการดงั นี้ 1.หลักการและแนวทฤษฎีของวิชาท่ีทาการสอน (Approach) ศึกษาหลักการและ ทฤษฎีของวิชาท่ีทาการสอนอย่างละเอียด โดยพิจารณาหลักการและเหตุผลของแนวโน้มในการ จดั การเรียนการสอนทเ่ี หมาะสมจากตารา หรอื ผลงานวิจัยตา่ ง ๆ จากอดตี ถึงปจั จบุ นั 2.วิธีการสอน (Method of Teaching) ศึกษาแนวโน้มของหลักการและทฤษฎีหรือ ผลงานวิจัยวิธีการสอนที่ได้ผลของวิชาที่ทาการสอนท่ีเหมาะสมและจัดลาดับขั้นตอนการสอนให้ สอดคล้องตามแนวโน้มของหลักการและทฤษฎที ี่ได้ศกึ ษา 3.เทคนิคการสอน (Techniques of Teaching) ศึกษากลวิธีการสอนต่าง ๆ ที่จะ ช่วยทาให้ขั้นตอนการสอนต่าง ๆ ประสบความสาเร็จได้ เช่น วิธีการสอนโดยใช้การเรียนรู้ดว้ ยคาถาม เป็นหลัก (Problem-Based Learning) เทคนิคหรือกลวิธีการสอนที่สาคัญคือ การใช้คาถาม การนา การอภิปราย การเสริมต่อการเรียนรู้ ฯลฯ 4.หลักสูตร (Curriculum) ผู้เรียนต้องเข้าใจรายละเอียดของหลักสูตรตั้งแต่ ปรัชญา หลักการ วัตถุประสงค์ รายละเอียดของรายวิชาท่ีกาหนด รวมทั้งการวัดและประเมินผล เพื่อการวาง แผนการจดั การเรียนการสอนทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพท้งั ใน ระยะยาวและระยะส้ัน 5.สอื่ การเรียนการสอน อุปกรณก์ ารสอน (Teaching Materials) การเตรียมการเพื่อ นาเสนอเน้ือหาแก่ผู้เรียนเป็นเรื่องสาคัญที่ต้องมีการวางแผน และการเตรียมการว่าจะนาเสนอเนอื้ หา หรือแนวคิดอย่างไรจึงจะเหมาะสม ส่ือการเรียนการสอน และอุปกรณ์ใดบ้างที่สมควรนามาใช้ให้
94 เหมาะสมกับวัย ระดับความสามารถและความสนใจ สอดคล้องกับเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ของ หลกั สูตร 6.บทบาทของผู้สอนและผู้เรียน (Roles of Teachers and Students) การ เตรียมการจัดการเรียนการสอนท้ังระยะยาวและระยะสั้น เพ่ือพิจารณาบทบาทของผู้สอนและผู้เรียน จากกิจกรรมการเรยี นการสอนต่าง ๆ ในแตล่ ะข้ันตอนเพื่อการจัดกจิ กรรมท่เี หมาะสมให้การเรียนการ สอนเป็นไปอย่างราบร่ืน 2.4 หลกั การจดั แผนการเรยี นการสอนทีไ่ ด้ผล การจัดแผนการเรียนการสอนท่ีได้ผล ควรพิจารณาแผนการสอนระยะสั้น หรือ แผนการสอนในแต่ละคาบเรียนให้สอดคล้องกับแผนการสอนระยะยาว ซ่ึงกาหนดไว้ตามหลักสูตร และแบง่ ชว่ งของการสอนออกเปน็ 3 ช่วง ดังนี้ 1.การให้รูปแบบการสอน (Modeling) พิจารณาการนาเสนอรูปแบบของแนวคิด หรือเน้ือหาให้ผู้เรียนสนใจ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การใช้รูปภาพ การใช้สื่อทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ การเล่า เรื่อง การใช้กรณีศึกษา การใช้คาถาม ฯลฯ การใช้รูปแบบการสอน จะเน้นการนาเสนอท่ีสามารถ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแนวคิด หรือ การค้นคว้าที่ต่อเน่ือง โดยการนา หรือ เสนอแนะวิธีการจากผู้สอน เป็นตัวอยา่ ง 2.การให้ฝึกปฏิบัติ (Practicing) ในช่วงนี้ให้ผู้เรียนมีโอกาสฝึกปฏิบัติในกลุ่มย่อยกับ เพ่ือน ๆ หรือตามลาพัง ภายใต้การดูแลเอาใจใส่และการแนะนาของผู้สอนการปฏิบัติกิจกรรมอย่าง อิสระ (Conducting Independent Activities) ในช่วงน้ีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระตามแนวคิดของตนเอง หรือของกลุ่มโดยให้ประยุกต์ความรู้และแนวคิดท่ี ได้เรียนรู้มาใชด้ ้วยความคิดสร้างสรรคข์ องตนเอง ทสี่ าคัญในการพิจารณากระบวนการจดั กิจกรรมการ เรียนการสอนคือการพิจารณาหลักการจัดการเรียนรู้ ซึ่งถือเป็นเสาหลักของการศึกษา (Delors, 1998) ในยุคศตวรรษใหม่ ใหผ้ ู้เรียนมโี อกาสไดป้ ระการณก์ ารเรียนรดู้ งั กลา่ วดงั น้ี 3.การเรียนรู้เพื่อเข้าใจ (Learning to know)ให้ผ้เู รียนได้รับรู้และเรียนรู้ เน้ือหาต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณด้วยเหตุและผล เพ่ือเข้าใจรายละเอียดของเนื้อหาหรือแนวคิดต่าง ๆ ลักษณะ ของการเรียนร้จู งึ ควรเนน้ กระบวนการทางการคิด เช่น การอภปิ ราย การคดิ วเิ คราะห์ ฯลฯ 4.การเรียนรู้เพ่ือปฏิบัติ (Learning to do)ให้ผู้เรียนมีโอกาสลงมือปฏิบัติกิจกรรม ตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเอง เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประสบการณก์ ารเรยี นรูโ้ ดยตรงจากการปฏิบัติ
95 5.การเรียนรู้เพ่ืออยู่ร่วมกัน (Learning to live together)ให้ผู้เรียนมีโอกาสทางาน ร่วมกันกับผู้อื่น เพื่อให้รู้จักการแบ่งปัน ความรับผิดชอบร่วมกัน การช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน และการ รับฟังความคดิ เห็นของผ้อู ่นื 6.การเรียนรู้เพื่อเป็นตัวของตัวเอง (Learning to be)ให้ผู้เรียนมีโอกาสได้รับ ประสบการณ์การเรียนโดยการรู้จักคิดและตัดสินใจในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเองอย่างมีเหตุผล เพ่ือให้เกิดความมั่นใจในตนเอง และมีความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจ เป็นท้ังคนดี คนเก่ง และมีความสุขในการเรยี นรู้ สรุปหลักการและกระบวนการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนควรทาความเข้าใจ ธรรมชาติของการเรียนรู้ โดยเฉพาะการทางานของสมอง ซึ่งเป็นกลไกการเรียนร้ทู ่ีสาคัญ แนวคิดจาก กลไกการเรียนรู้จะช่วยให้เข้าใจระบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ซ่ึงแนวโน้มใน การจัดการเรียนการสอนให้ประสบความสาเร็จย่อมมีองค์ประกอบสาคัญที่ควรพิจารณาท้ังในด้านตวั ผู้เรียน และคุณสมบัติของผู้สอน อันได้แก่ คุณภาพของการจัดการเรียน การสอน และเวลาในการ เรียนรู้ของผู้เรียน การพิจารณาจัดข้ันตอนการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถได้อย่าง แท้จริง ก็นับว่าเป็นเร่ืองสาคัญที่ผู้สอนต้องตระหนักในการจัดวางแผนการ สอนระยะยาว และระยะ ส้ันให้สอดคล้องกัน รวมท้ังการพิจารณารายละเอียดขององค์ประกอบในการจัดการเรียนการสอน นับต้ังแต่การเข้าใจหลักการและทฤษฎีของวิชาท่ีทาการสอน การเลือกหรือสร้างสรรค์วิธีการสอน และเทคนิคการสอน รวมทั้งความเข้าใจกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ส่ือการสอน บทบาทของผู้สอน และผเู้ รยี น รวมทง้ั ลกั ษณะของการเรยี นรู้ทีผ่ ู้เรียนควรมีโอกาสในการจัดการเรียนรู้อย่างครบวงจร 2.5 ความจาเปน็ ในการจัดการศกึ ษา การศึกษาเป็นเรื่องท่ีต้องมีการจัดการ มีเป้าหมาย มีมาตรฐาน มีคุณภาพ เพราะกระบวนการศึกษาจะซึมทราบเข้าไปในใจของผู้เรียน เช่น ค่านิยมต่าง การจัดการศึกษาเป็น เร่ืองของการลงทุนที่จาเป็นสาหรับการดารงชีวิตของมนุษย์แต่ละคน เป็นการลงทุนเพื่อการอยู่รอด และพัฒนาสังคม เพราะการศึกษาส่งผลกระทบ และมีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม วิทยาการ และเทคโนโลยีท่ีจาเป็นในการทางาน และการใช้ชีวิต ในการ เปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว การจัดการศึกษาจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพ่ือให้เหมาะสมกับความจาเป็นในแต่ละยุคสมัย ปัจจุบันโลกก้าวสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ และเข้าสู่ เศรษฐกิจฐานความรู้ ความรู้จึงเป็นเครื่องมือท่ีจาเป็น ในสังคมสมัยใหม่ความรู้ท่ีทันสมัยที่เหมาะสมท่ี เหมาะสมกบั สภาพการณจ์ ะช่วยแก้ปญั หาได้ และนาไปสูก่ ารพัฒนาอย่างตอ่ เน่ือง
96 2.6 วตั ถปุ ระสงคใ์ นการจดั การศึกษา การจัดการศึกษามุ่งเป้าหมายระยะยาวสาหรับการพัฒนาของแต่ละบุคคล และพฒั นาสงั คม การจัดการศึกษามีวัตถุประสงคท์ ี่มุง่ บรรลุเปา้ หมายหลายประการ ได้แก่ 1,ให้บริการทางการศึกษาท่ีสอดคล้องกับความต้องการในการดาเนินชีวิต และการ ประกอบอาชพี 2.เตรียมเดก็ อ่อนในวยั เรยี นใหม้ ีความพร้อมในการเรยี นรู้ 3. ใหโ้ อกาสทางการศึกษา 4. ตอบสนองความต้องการทางการศกึ ษาระดับสูงในเชิงคุณภาพ 5. พัฒนาศักยภาพของแต่ละบุคคลให้เต็มความสามารถ และตอบสนองวิสัยทัศน์ใน การพฒั นาประเทศ 2.7 เป้าหมายของการจดั การศกึ ษา เป้าหมายของการจัดการศึกษาในภาพรวม คือ สมาชิกทุกคนในสังคม เพ่ือให้เกิดการครอบคลุมจึงมีการแบ่งกลุ่มประเภทของเป้าหมายออกตามความเหมาะสมในการจัด เช่น แบ่งตามกลุม่ แบ่งตามสาระเนอื้ หา แบ่งตามลักษณะของบคุ คล ดังน้ี 1.เด็กก่อนวัยเรียน กลุ่มแรกที่เลี้ยงดูเด็กคือ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ปยู่ า่ ตายาย ญาติหรือคนเลีย้ งดู ขณะเดยี วกนั กใ็ ห้การศึกษาอบรมอย่างไม่เป็นระบบ แตเ่ ปน็ ธรรมชาติ ยังไม่ถือว่าเป็นการจัดการศึกษา ทางเลือกอีกประการหนึ่งคือ ส่งบุตรหลานเข้าไปในศูนย์การเรียน ปฐมวัย ศูนย์เลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เด็กในวัยน้ีเป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะการเตรยี มพร้อม เพ่ือส่งเสริมพัฒนาการท้ัง 4 ด้านคือ ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ซ่ึงถือว่าเป็น สถานศึกษาเบ้อื งต้นท่ีมีการจดั การศึกษา 2.บุคคลในวัยเรียน หมายถึง รัฐกาหนดให้ผู้ปกครองต้องนาไปเข้า เรียน คืออยู่ในข่ายการศึกษาภาคบังคับ โดยแต่ละประเทศกาหนดอายุไว้แตกต่างกันไปตามความ เหมาะสม ในประเทศไทยกาหนดให้การศึกษาระดับประถมถึงชั้นมัธยมปีที่สามเป็นการศึกษาภาค บังคับ หากผู้ปกครองมีความพร้อมต้องการส่งเสียบุตรหลานของตนให้เรียนสูงข้ึนไปอีกตามกาลังของ ตน ความสามารถระดับการศกึ ษาของกลมุ่ เป้าหมายแบง่ ได้อีกหลายระดับ ไดแ้ ก่ 2.1การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน การศึกษาข้ันพ้ืนฐานมักใช้เวลาใน การศึกษาประมาณสิบสองปี คือ ช้ันประถมปีที่หนึ่งถึงช้ันประถมปีท่ีหก และช้ันมัธยมศึกษาปีท่ีหน่ึง ถึงมัธยมปที ีห่ ก หรอื เยาวชนทส่ี นใจเรียนสายอาชพี ได้แก่ โรงเรยี นอาชีวะระดบั ต้นต่างๆ
97 2.2การศึกษาระดับอุดมศึกษา ระดับปริญญาตั้งแต่ระดับปริญญา ตรี โท เอก หรือศึกษาเฉพาะด้าน 3.ผู้ด้อยโอกาส หรือบุคคลลักษณะพิเศษ มีลักษณะท่ีแตกต่างไปจากบุคคล ท่ัวไป อาจเกิดจากฐานะทางเศรษฐกิจ คือคนจนท่ีด้อยโอกาสในการเล่าเรียนตามปกติ เช่น เด็กท่ี ผู้ปกครองไม่ส่งเสริมให้การศึกษาเล่าเรียน เด็กไร้ผู้อุปการะ หรือมีความแตกต่างทางร่างกาย จิตใจ และสมอง เช่น เด็กพิการ เด็กปัญญาอ่อน เด็กที่มีปัญหาทางจิตใจและอารมณ์ เด็กอัจฉริยะ เด็ก เหล่าน้ีต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ครูต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างย่ิงต้อง อดทน มี ความเมตตา ความเขา้ ใจ สาหรบั ผูบ้ รหิ ารที่จดั การศึกษาสาหรับผู้ด้อยโอกาสต้องมีความเข้าใจ ทักษะ และไดรบั การอบรมมาอย่างเพยี งพอในการปฏบิ ตั ิหน้าท่ี 4.ผู้มีงานทา บุคคลเหล่าน้ีได้รับการศึกษามาแตกต่างกันไป และมุ่งศึกษา เพ่ิมเติมโดยมีเหตุผลแตกต่างกันไป ส่วนหน่ึงเข้าศึกษาระดับสูงข้ึนในสถาบนั การศึกษาปกติ หรือเข้า อบรมตามโครงการพิเศษ การจดั การศกึ ษาเช่นนี้ อาจมีการรบั รองวุฒิใหห้ รือไม่อาจเทียบวฒุ ิกไ็ ด้ หรอื อาจจดั การศกึ ษานอกระบบตามอธั ยาศยั การจัดอบรมสาหรับผมู้ ีงานทา รวมถงึ ครูผ้สู อนควรสนใจรับ การอบรมตามหลักสูตรต่างๆ เพ่ือพัฒนาและส่งเสริมความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพของ ตน เนื่องจากการเปลีย่ นแปลงวิทยาการและ เทคโนโลยีต่างๆ เกิดขึน้ รวดเร็ว จึงจาเป็นผูท้ ี่ทางานแล้ว ควรได้รับเนอ้ื หาใหม่ๆ เพอื่ ยกระดบั ความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพของตนตลอดเวลา 5.ประชาชนทั่วไป ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสาคัญในการจัดการศึกษา เพื่อให้ สมาชิกของสังคม ได้มีโอกาสได้เรียนรสู้ ิ่งแปลกใหม่ ที่เปน็ ประโยชน์ สาหรบั เปน็ พลเมืองคณุ ภาพ และ เพิ่มพูนความคิดอ่านของตนอย่างต่อเนื่อง การจัดการศึกษาลักษณะน้ีถือเป็นส่วนท่ีได้เรียนรู้จาก สื่อมวลชน จากกลุ่มคนใกล้ชิด โดยผ่านสอ่ื ต่างๆ ได้หลากหลายเปน็ การพัฒนาคุณภาพของประชาชน ให้รเู้ ท่าทนั สถานการณท์ ่เี ปลย่ี นแปลงไป 2.8 องค์ประกอบของการจดั การศึกษา องคป์ ระกอบของการจัดการศกึ ษามี 8 องค์ประกอบ ได้แก่ 1.สาระเนื้อหาในการศึกษาผู้จัดการศึกษามักจัดทาหลักสูตรเป็นตัวกาหนด เน้ือหาสาระ เป็นหลักสูตรกลางท่ีใช้สาหรับการศึกษาแต่ละระดับ แต่ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ สถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถจัดเนื้อหาสาระที่เหมาะสมตามท้องถิ่นได้ด้วย เน้ือหาสาระในการจัด การศึกษาท่ีควรทันสมัยต่อเหตุการณ์ เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนและสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษา ครูต้องทบทวนเน้ือหาสาระท่ีตนสอนเพื่อปรับแก้ไขให้ถูกต้อง ทันสมยั และให้ข้อมลู ท่ีถูกตอ้ งแกผ่ ู้เรยี น
98 2.ครูผู้สอน หรือผู้ให้การเรียนรู้ ผู้ถ่ายทอดเน้ือหาสาระ ได้แก้ ครูอาจารย์ ซ่ึงถือว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพช้ันสูง บุคคลเหล่าน้ีต้องได้รับการศึกษาอบรม ท้ังในด้านเนื้อหาและ วิธีการถ่ายทอด เพ่ือสามารถถ่ายทอดความรู้ และสาระวิชาท่ีเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ 3.ส่ือและอุปกรณ์สาหรับการศึกษา สื่อและอุปกรณ์ต่างๆ เช่น อาคาร สถานที่ โต๊ะ เก้าอี้ กระดานเขียน หนังสอื แบบเรียน สมุด ดินสอ ตลอดจนอุปกรณ์ท่ีทนั สมัยที่มีราคา แพงทั้งหลาย เช่น อุปกรณ์ปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เหล่าน้ีเป็น ส่วนประกอบจาเป็นในการจัดการศึกษา ครูและผู้บริหารสถานศึกษาจึงมีหน้าที่รับผิดชอบ ดูแลส่ิง เหล่านี้มีอย่างเพียงพอ อยู่ในสภาพใช้งานได้ และใช้สื่อเหล่านี้เป็นส่วนช่วยในการเกิดการถ่ายทอด เนื้อหาความรู้ไดอ้ ย่างเหมาะสมและมปี ระสทิ ธิภาพ 4.รปู แบบและวธิ ีการเรยี นการสอน ระบบการศึกษายคุ ใหมเ่ นน้ ความสาคัญ ของผู้เรียนเป็นสาคัญ รูปแบบการเรียนการสอนแตกต่างไปจากเดิม จึงเกิดคาว่า “ปฏิรูปการเรียนรู้” เป็นการนาไปสู่กระบวนการเรียนการสอนที่หลากหลาย เช่น การระดมความคิด การจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน การไปทศั นะศกึ ษานอกสถานท่ี 5.ผู้บริหารและบุคลากรท่ีทาหน้าท่ีสนับสนุนทางการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหาร ซึ่งมีหน้าที่จัดการศึกษาท่ีตนรับผิดชอบให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย นาไปสู่เป้าหมายท่ีต้องการ มี เจ้าหน้าท่ีบุคลากรทางการศึกษาอื่นร่วมด้วย เช่น เจ้าหน้าท่ีธุรการ งานทะเบียน งานโภชนาการและ อนามัย รวมทั้งฝา่ ยสนับสนนุ อื่นๆ 6.เงินทุนสนับสนุน การจัดการศึกษาเป็นเรื่องของการลงทุน ผู้ลงทุนอาจ เป็นรัฐบาลในฐานะท่ีเป็นผู้รับผิดชอบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ผู้ปกครอง ผู้เรียน ชุมชน เป็นต้น รวมทงั้ ฝา่ ยสนับสนุนอน่ื ๆ 7.สถานที่ศกึ ษาและบรรยากาศแวดล้อม การจัดการศึกษายงั อาศยั ชั้นเรียน ยังเป็นส่ิงจาเป็น ดังนั้นอาคารสถานท่ี ห้องเรียนท่ีมีความเหมาะสม ปลอดภัย เพียงพอ และ บรรยากาศแวดลอ้ มทีเ่ ออ้ื ตอ่ การเรยี นร้ใู ชใ้ นการจัดการศึกษาเปน็ ส่ิงจาเปน็ 8.ผู้เรียน ถือว่าเป็นผู้ท่ีเป็นองค์ประกอบสาคัญท่ีสุดของการจัดการศึกษา เพราะผูเ้ รียน คือผ้ทู ่ีรบั การศึกษา และเปน็ เป้าหมายหลกั ของการจัดการศึกษา การปรับเปลีย่ นความรู้ และพฤติกรรมของผู้เรียนเป็นตัวช้ีวัดผลสัมฤทธ์ิของการจัดการศึกษา การจัดการศึกษาจึงครอบคลุม ข้ันตอนที่เก่ียวข้องกับการเรียนรู้ของผู้เรียน ต้ังแต่การเตรียมความพร้อมสาหรับการเรียนรู้ การให้ การศึกษาอบรม การประเมิน และการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง มุ่งที่ตัวผู้เรียนเป็น
99 สาคัญ โดยมีปรชั ญาพ้นื ฐานสาคญั คอื “ทกุ คนตอ้ งเป็นสว่ นสาคญั ของการจัดการศึกษา และการศกึ ษา ต้องจัดสาหรบั ทุกคน 2.9 ตัวช้วี ดั และการประเมินผลสมั ฤทธข์ิ องการจัดการศึกษา ผลสัมฤทธ์ิของการจัดการศึกษา เน้นที่คุณภาพการของผลผลิตของ กระบวนการศึกษาเป็นหลัก ส่วนปริมาณเป็นปัจจัยรอง การจัดการศึกษามุ่งถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้เชิง คุณภาพเปน็ เกณฑ์ โดยมดี ัชนตี ัวช้ีวัดบางประการดังนี้ 1. คณุ ภาพของผู้เรยี น 2. คุณภาพของการจัดการเรยี นการสอน 3. ความคุ้มค่าในการจัดการศึกษา 4. ผลลพั ธข์ องการจดั การศกึ ษา 2.10 แนวทางการจดั การเรียนการสอน แนวทางในการจัดการเรียนรู้เพ่ือยกระดับผู้เรียนมัธยมศึกษาในด้านความเป็น พลเมืองคุณภาพ คือ ต้องคานึงถึงความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ดาเนินการอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้อย่าง หลากหลาย และให้เรียนรู้ท้ังเป็นทางการและไม่เป็นทางการ การจัดการศึกษาเพ่ือสร้างความเป็น พลเมืองคณุ ภาพประกอบด้วย 5 ประการดังนี้ กระทรวงศึกษาธกิ าร (2551) 1.การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) ผู้เรียน เรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เพื่อให้ผู้เรียน รู้จักท่ีจะเรียนรู้จากการร่วมกันวางแผนการเรียนรู้จัดกิจกรรม และวิธีการเรียนรู้ และการประเมินผลการเรียนรู้ ตลอดจนการมีปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือน บุคคล และสื่อ ต่างๆ เพือ่ ใหก้ ารเรียนรมู้ คี วามหมายอยา่ งแท้จริง 2.การจัดการเรียนรู้แบบลงมือทา (Learning by doing) ผู้เรียนเรียนรู้จาก สถานการณ์จริง หรอื เสมือนจริง โดยฝกึ การวางแผน ฝึกปฏบิ ัติ และฝกึ การแก้ปัญหา ทั้งนเ้ี พ่ือร่วมกัน สรุป โดยมีเป้าหมายสงู สุด คอื การเรยี นร้รู ว่ มกนั ของผ้เู รียน 3.การจัดการเรียนรู้เพื่อเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ (Learner centered) เน้น บทบาทผู้เรียนในการแสวงหาความรู้ และสร้างความรู้ เปน็ ของตนเอง 4.การจัดการเรียนรู้ท่ีไม่ชี้ความคิดเห็น (Prohibition against impassion of point of view) เคารพและให้ความสาคัญกับความเป็นมนุษย์ของผู้เรียน คือต้องไม่ชี้นาความ คิดเห็น ไม่ครอบงา ไม่โฆษณาชวนเช่ือ เพื่อให้ผู้เรียน เข้าใจผิด หรือหลงผิดด้วยวิธีการใด ด้วยการ จัดการเรยี นรคู้ ิดอยา่ งมวี ิจารณญาณ
100 5.การจัดการเรียนรู้ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงทางการเมือง (Prohibition against political bias-nonpartisan learning) ไม่ใช้อานาจหน้าที่ในการจัดการเรียนรู้ โดยลาเอียง เขา้ ขา้ งฝ่ายใดฝ่ายหนงึ่ 2.11 แนวทางจัดการเรียนรู้ที่จะพัฒนาความเป็นพลเมืองคุณภาพนักเรียนโรงเรียน มัธยมศึกษาในระบอบประชาธปิ ไตยดังน้ี 1.แนวทางจัดการเรียนการสอน จัดกลุ่มวิธีการสอนเพ่ือพัฒนาพลเมือง คณุ ภาพ ใหเ้ หมาะสมตามวตั ถปุ ระสงค์ และลกั ษณะปจั จยั ในสถานการณน์ น้ั ๆ 2.การสอนทักษะกระบวนการ เป็นการประมวลการจัดกิจกรรม ที่ทาให้ ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ เรียนรู้เชิงกระบวนการ ที่สามารถใช้ได้กับทุกวิชา วิธีการหลัก ที่จะช่วยให้เป็น พลเมืองคุณภาพในสังคมไทย ประมวลมาจากเอกสารและประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการนาไปใช้ การสอน เป็นสรรพาวุธ หากครูผู้สอนมีมากพอ สามารถเลือกใช้ ได้อย่างไม่จากัด และหากเข้าใจหลักสาคัญของการสอนนั้น ก็สามารถประยุกต์ใช้ในการสอนได้ วิธีการสอนสามารถจดั เป็น 5 กลมุ่ เนน้ ตามผลกระบวนการเรยี นรทู้ ี่ต้องการให้เกิดข้นึ ดงั น้ี 2.1)การจัดการเรียนรู้เน้นไปที่พฤติกรรมการเรียนรู้ (Behavior- focused learning) เป็นแนวคิดพฤติกรรมนิยม (Behaviorist Approach) เช่ือว่าสิ่งแวดล้อมหรือส่ิง เร้าที่จัดขึ้นจะกระตุ้นให้มนุษย์ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ตามแนวคิดดังกล่าว พฤติกรรมของนักเรียนจะ ได้รับการส่งเสริมหรือเปล่ียนแปลงไป โดยกระตุ้นหรือให้แรงเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่พึ่งประสงค์ จาเปน็ ต้องประกอบดว้ ยองค์ประกอบตา่ งๆ ดังนี้ 1.1 กจิ กรรม ออกแบบให้เหมาะสม 1.2 ทบทวนและประยุกตใ์ ช้ 1.3 การให้การเสรมิ แรง 1.4 เป้าหมายหรอื พฤตกิ รรมทต่ี อ้ งการความชัดเจน 2)การจัดการเรียนรู้เน้นไปที่ทักษะกระบวนการคิด (Focus on thinking) เป็น กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นพฤติกรรม เพราะการคิดเป็นกระบวนการทางปัญญา ไม่สามารถแสดง ออกมาเป็นพฤติกรรมได้ วิธีทางปัญญา มนุษย์จะเรียนรู้จากการเช่ือมโยงข้อมูลระหวา่ งการลงขอ้ สรปุ ความคาดหวงั และเหตกุ ารณ์ต่างๆ หลกั ในการพฒั นาการคิดมดี ังน้ี 2.1 การเตรยี มข้อมลู ท่ชี ดั เจน 2.2 การรับรขู้ อ้ มลู 2.3 การรบั ความรใู้ หม่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306