Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรแกนกลาง_1539205573

หลักสูตรแกนกลาง_1539205573

Description: หลักสูตรแกนกลาง_1539205573

Search

Read the Text Version

41 2.15 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 4 ระดับ ได้แก่ 1) การประเมินระดับชัน้ เรียน เป็ นการวัดและประเมิ นผลท่ีอยู่ในกระบวนการ จดั การเรียนรู้ เน้นการวดั และประเมินผลตามสภาพจริง 2) การประเมินระดบั สถานศึกษา เป็ นการวดั และประเมินผลการเรียนเป็ นรายปี รายภาค รวมทงั ้ การอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขียน คุณลกั ษณะอันพึง ประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผู้เรียน 3) การประเมินระดับเขตพนื ้ ท่กี ารศกึ ษา เป็ นการประเมิ นคณุ ภาพผู้เรียนตามมาตรฐาน การเรียนรู้ เพื่อใช้เป็ นข้อมูลพืน้ ฐานสาหรับการพัฒนาคุณภาพ การศกึ ษาของเขตพืน้ ที่การศกึ ษา 4) การประเมินระดับชาติ เป็ นการประเมิ นคุณภาพผู้เรี ยนในระดบั ชาติ ตามมาตรฐานการเรียนร้ทู ี่สถานศกึ ษาต้องจดั ให้ผู้เรียนทกุ คนท่ีเรียน ในชนั ้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 ชนั ้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ชนั ้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 และชนั ้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 เข้ารับการประเมิน

42 2.16 เกณฑ์การจบการศึกษา 1) ระดับประถมศึกษา 1.1) ผู้เรียนเรียนสาระพืน้ ฐาน และสาระ / กิจกรรม เพ่ิมเตมิ ตามโครงสร้ างเวลาเรียนที่หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา ขนั ้ พืน้ ฐานกาหนด 1.2) ผู้เรียนต้องมีผลการประเมินสาระพืน้ ฐาน ผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด 1.3) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน วิเคราะห์ และเขยี น ในระดับท่ีผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษา กาหนด 1.4) ผู้ เรี ย น มี ผ ล ก าร ป ร ะ เมิ น คุณลัก ษ ณ ะ อันพึงประสงคใ์ นระดบั ท่ีผา่ นเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศกึ ษา กาหนด 1.5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผล การประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศกึ ษากาหนด 2) ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 2.1) ผู้เรียนเรียนสาระพืน้ ฐานและเพ่ิมเติมไม่เกิน 81 หน่วยกิต โดยเป็นสาระพืน้ ฐาน 63 หน่วยกิต และสาระเพ่ิมเติม ตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด

43 2.2) ผู้เรี ย นต้ อ งได้ หน่วยกิ ต ตลอ ดหลักสูต ร ไม่น้ อยกวา่ 77 หน่วยกิต โดยเป็ นสาระพื น้ ฐาน 63 หน่วยกิ ต และสาระเพิ่มเตมิ ไม่น้อยกวา่ 14 หน่วยกิต 2.3) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน วิเคราะห์ และเขยี น ในระดบั ท่ีผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษา กาหนด 2.4) ผู้ เรี ย น มี ผ ล ก าร ป ร ะ เมิ น คุณลัก ษ ณ ะ อนั พงึ ประสงคใ์ นระดบั ท่ีผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษา กาหนด 2.5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผล การประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด 3) ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย 3.1) ผู้เรียนเรียนสาระพืน้ ฐานและเพ่ิมเติมไม่เกิน 81 หน่วยกิต โดยเป็นสาระพืน้ ฐาน 39 หน่วยกิต และสาระเพ่ิมเติม ตามที่สถานศกึ ษากาหนด 3.2) ผู้เรี ย นต้ อ งได้ หน่วยกิ ต ตลอ ดหลักสูต ร ไม่น้ อยกวา่ 77 หน่วยกิต โดยเป็ นสาระพื น้ ฐาน 39 หน่วยกิ ต และสาระเพ่ิมเตมิ ไมน่ ้อยกวา่ 38 หน่วยกิต 3.3) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน วิเคราะห์ และเขียน ในระดบั ท่ีผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ีสถานศึกษา กาหนด

44 3.4) ผู้ เรี ย น มี ผ ล ก าร ป ร ะ เมิ น คุณลัก ษ ณ ะ อนั พึงประสงคใ์ นระดบั ที่ผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศกึ ษา กาหนด 3.5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนและมีผล การประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด 2.17 การเทยี บโอนผลการเรียน สามารถดาเนินการได้ดงั นี ้ 1) พิจารณาจากหลกั ฐานการศกึ ษาและเอกสาร อ่ืนๆ ที่ให้ข้อมูลแสดงความรู้ ความสามารถของผู้เรียน 2) พิจารณาจากความรู้ ความสามารถของผู้เรียน โดยการทดสอบด้วยวธิ ีการตา่ งๆ ทงั ้ ภาคความร้แู ละภาคปฏิบตั ิ 3) พิจารณาจากความสามารถและการปฏิบตั ิ ในสภาพจริง 2.18 การบริหารจดั การหลักสูตร สถานศกึ ษามีหน้ าที่สาคญั ในการพัฒนาหลักสูตร สถานศกึ ษา การวางแผนและการดาเนินการใช้หลกั สตู ร การเพ่ิมพูน คณุ ภาพด้วยกระบวนการวิจยั และพัฒนา จดั ทาระเบียบการวัด และประเมินผล การพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษาต้องพิจารณา ให้สอดคล้องกับหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั ้ พืน้ ฐาน

45 เม่ือได้ศกึ ษาสาระสาคญั หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขนั ้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551แล้ว ลาดบั ตอ่ จะได้กล่าวถึงความคิด รวบยอดเกี่ยวกบั หลกั สตู รสถานศกึ ษา (school curriculum) ซงึ่ จะ นาเสนอตามขนั ้ ตอนเริ่มตงั ้ แตม่ ุมมองทางด้านกฎหมายของหลกั สตู ร สถานศึกษา แล้ วขยายรายละเอียดไปตามแต่ละองค์ประกอบ ของหลกั สตู รสถานศกึ ษา

46 3. หลกั สูตรสถานศกึ ษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และท่ีแก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) มาตรา 27 วรรคหนึ่ง กาหนดให้ คณะกรรมการการศึกษาขนั ้ พืน้ ฐานกาหนดหลักสตู รแกนกลาง การศึกษาขัน้ พื น้ ฐาน เพ่ื อความเป็ นไทย ความเป็ นพลเมื อง ที่ดีของชาติ การดารงชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจน เพ่ือการศึกษาตอ่ ส่วนในวรรคที่สองได้กาหนดให้ สถานศกึ ษา ขนั ้ พื น้ ฐานมี หน้ าที่จัดทาสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ ตามวรรคหนึง่ ในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเป็ นสมาชิกท่ีดี ของครอบครวั ชมุ ชน สงั คมและประเทศชาติ เมื่อกลา่ วถงึ หลกั สตู รหลายครัง้ ที่ไม่สามารถสื่อสารตรงกัน สบื เนื่องมาจากความแตกตา่ งระหวา่ งประสบการณ์ กระบวนทัศน์ ของผู้เก่ียวข้ องทัง้ หลาย ถ้ าเป็ นผู้บริ หาร หลกั สตู รจะหมายถึง การบริหารจดั การทงั ้ หมดในโรงเรียน ถ้ าเป็ นผู้สอนก็จะหมายถึง การจัดการเรี ยนรู้ และถ้ าเป็ นผู้ปกครองจะหมายถึงแบบเรียน เครื่องแตง่ กาย ผู้บริหาร : การบริหารจดั การ หลกั สตู ร ครู : การจดั การเรียนการสอน / สอื่ ผู้ปกครอง : แบบเรียน เครื่องแตง่ กาย

47 หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั ้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 มี 2 มิติ ได้แก่ รูปแบบและสาระ (curriculum) ส่วนหลักสูตร สถานศกึ ษามี 3 มิติ ได้แก่ รูปแบบ สาระ และกระบวนการซงึ่ ครอบคลุมประเด็นทัง้ หลักสูตรและการจัดการเรี ยนการสอน (curriculum & instruction) ดงั แผนภาพตอ่ ไปนี ้ หลกั สตู รสถานศกึ ษามี 3 มิติ 1. รูปแบบ curriculum 2. สาระ 3. กระบวนการและเปา้ หมาย instruction การขบั เคลื่อนให้หลกั สตู รสถานศกึ ษารวมทงั ้ การจดั การเรียน การสอนสามารถพฒั นาผู้เรียนให้มีคณุ ภาพ ควบคกู่ ับการสร้างชมุ ชน เข้มแข็งได้อย่างย่ังยืนนัน้ มีหลกั สาคญั อยู่ที่ว่าหลักสตู รและการ จัดการเรี ยนการสอนนัน้ จะต้ องสอดคล้ องกับสภาพปั ญหา ความต้องการของครอบครัวและชมุ ชนที่อยู่บนพืน้ ฐานของการวิจัย และพัฒนามีการสร้ างสรรค์องค์ความรู้และนวตั กรรมทางด้าน หลกั สตู รและการจดั การเรียนการสอนอยา่ งตอ่ เนื่อง เหมือนกับการ วจิ ยั ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่ีทรงใช้ กระบวนการวิจัย

48 และพัฒนาเป็ นหลกั ในการทรงงาน มาแก้ ไขปัญหาที่ เกิดกับ ประชาชน พระองคท์ รงนาหลกั อริยสจั ส่ีมาประยุกต์ใช้ในการทรง งานดงั นี ้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ กระบวนการวิจัย และพัฒนามาแก้ไขปัญหาที่เกิดกบั ประชาชน พระองค์ทรงนาหลัก อริยสจั สมี่ าประยุกต์ใช้ในการทรงงาน ท่ีเราควรเรียนรู้และน้ อมนา มาสกู่ ารปฏิบตั ิ ดงั นี ้ 1) ทุกข์ (ปัญหาของประชาชนคอื อะไรจะมีแนวทางการ แก้ ไขอย่างไร) 2) สมุทัย (เหตปุ ัจจยั ของปัญหาคืออะไร เหตปุ ัจจยั ที่จะ สง่ ผลตอ่ ความสาเร็จคอื อะไร การทา SWOT) 3) นิโรธ (ตงั ้ เปา้ ประสงค์) 4) มรรค (วิเคราะห์ทางเลือก 2 – 4 ทาง และดาเนินการ ด้วยกระบวนการ PDCA (Plan Do Check Action) โครงการพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็ น ความสาเร็จท่ียิ่งใหญ่ ท่ีสะท้อนให้เห็นวา่ พระองค์ทรงใช้หลกั อริยสจั สี่ ในการทรงงานอย่างชดั เจน สอดคล้องกับหลกั ภูมิสังคม หมายถึง ภมู ิประเทศและส่งิ แวดล้อม

49 ภูมิศาสตร์ ได้แก่ ดนิ นา้ ลม ไฟ ป่า เขา สังคมศาสตร์ ได้แก่ คน ครอบครวั ชมุ ชน ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา วฒั นธรรม ความเชอื่ คา่ นิยม หลักสตู รสถานศึกษาคือหลักสตู รท้องถ่นิ เม่ือวเิ คราะห์พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ มาตรา 27 และหลักภูมิ สังคมแล้ ว ทาให้ เห็ นว่าหลักสูตรสถานศึกษา คือหลักสูตรท้องถ่นิ ด้วยเหตผุ ลตอ่ ไปนี ้ 1) สถานศึกษาตงั ้ อยู่ในชุมชนที่ มีบริบททางสังคม วฒั นธรรมที่แตกตา่ งกันแตล่ ะพืน้ ท่ีของท้องถ่ิน 2) หลกั สตู รสถานศกึ ษา ได้ปรบั สาระหลกั สตู รแกนกลาง ให้เหมาะสมกบั แต่ละท้ องถ่ิน รวมทัง้ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ตาม พ.ร.บ. การศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ปรับปรุง พ.ศ. 2545 มาตรา 27 วรรคที่ 2 3) หลกั สตู รสถานศกึ ษาจงึ มีลกั ษณะความเป็ นท้ องถิ่น ที่มีเอกลกั ษณแ์ ละความหลากหลาย แตม่ งุ่ สเู่ ปา้ หมายเดียวกัน คือ คณุ ภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กาหนด โดยหลักสูตร แกนกลาง หรือเรียกวา่ หลายเส้นทางเปา้ หมายเดยี วกัน 4) การจัดทาสาระเพิ่มเติมของหลกั สูตรสถานศกึ ษา สะท้ อนจดุ เน้ นของแต่ละท้ องถิ่นเก่ียวกับภูมิปัญญา การอาชีพ สภาวะแวดล้อมที่ต้องการอนุรกั ษ์และพฒั นา

50 3.1 ความหมายของหลกั สตู รสถานศกึ ษา หลกั สตู รสถานศกึ ษา หมายถึง หลกั สตู รที่เกิดจากการ วางแผนรว่ มกันของบคุ ลากรภายในสถานศึกษา คณะกรรมการ สถานศกึ ษาและบคุ ลากรในชมุ ชน การออกแบบหลกั สตู รมีความ ครอบคลุมภาระงานการจดั การศึกษาทุกด้ านของสถานศึกษา การกาหนดคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของผู้เรียนเป็นเปา้ หมายของ คณุ ภาพการศกึ ษาอันเป็นแนวทางการจดั กระบวนการเรียนการสอน ซ่งึ เป็ นมวลประสบการณ์ท่ี จะเกิดขนึ ้ กับผู้เรียนตามศักยภาพ ของแต่ละบุคคล สอดคล้องกับคากุญแจ (keyword) ภูมิสังคม หลักสูตรสถานศึกษาจะต้ องสอดคล้ องกับความเชื่อ ค่านิ ยม วฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชมุ ชนท่ีสถานศกึ ษาตงั ้ อยู่ การพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษาจะต้องคานึงถึงบริบท ทางภูมิสงั คมให้มาก ทาหลกั สตู รให้เหมาะกบั ผ้เู รียน มากกวา่ การทา ให้ผู้เรียนเหมาะสมกบั หลกั สตู ร จดุ นีเ้ป็นจดุ เริ่มต้นท่ีสาคญั ของการ จดั ทาหลักสูตรและเป็ นกระบวนทัศน์พืน้ ฐานท่ีต้องปรับเปลี่ยน หลัก สูต รต้ อ งเตรี ยมเด็ก ไป สู่สังคม ในอ นาคต คร อบ คลุม ทุกกลมุ่ เปา้ หมาย เป็นการจดั การศกึ ษาแบบ inclusive education หลกั สตู รจะต้องทาให้ ผู้เรียนทุกคนมีพืน้ ท่ีที่จะยืนอยู่ได้ในสงั คม และสามารถแขง่ ขนั ในเวทีโลกได้อยา่ งสงา่ งาม

51 3.2 องค์ประกอบของหลกั สูตรสถานศกึ ษา (school curriculum) 1) วิสยั ทัศน์ 2) พนั ธกิจ 3) จดุ หมาย 4) สมรรถนะที่สาคญั ของผู้เรียน (เป็นทักษะหลกั ในการเรียนร้แู ละการดาเนินชวี ิต) 5) คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ มีองคป์ ระกอบ 3 ด้าน ก) การร้คู ดิ ข) คณุ ธรรมจริยธรรม ค) ทกั ษะทางสงั คมและจิตอาสา 6) โครงสร้างเวลาเรียน 7) คาอธิบายสาระการเรียนรู้ 8) การจดั การเรียนรู้ 9) กิจกรรมพฒั นาผู้เรียน 10) การวดั และประเมินผล ภาคผนวก 11) คณะกรรมการบริหารหลกั สตู รกลมุ่ สาระ การเรียนร้ ู 12) คณะกรรมการบริหารหลกั สตู รสถานศกึ ษา/ คณะกรรมการบริหารสถานศกึ ษาขนั ้ พืน้ ฐาน

52 หมายเหตุ ในกรณีที่เป็ นสถานศึกษาขนาดเล็กท่ีมี ผู้สอนในแตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้จานวนน้ อย ไม่จาเป็ นต้องมี ข้อ 11 ให้ไปมีข้อ 12 ได้เลย ทัง้ นีส้ าเหตุที่ต้องให้ มีคณะกรรมการ บริหารหลกั สตู รเพื่อให้มีการควบคมุ และสง่ เสริมคณุ ภาพทางวิชาการ ตามหลกั การกระจายอานาจ โครงสร้างหลกั สตู รสถานศึกษาท่ีดีควรมีความชดั เจน ในประเด็นสาคญั ดงั นี ้ 1) เรียนร้สู าระหลกั ๆ อะไร (what know) มีปริมาณ เทา่ ใด เป็นแนวทางการออกแบบเรียนร้ไู ด้อยา่ งเหมาะสม 2) เป็นแนวทางวิธีการเรียนร้สู าหรับผ้เู รียน 3) มีความหมายและเชื่อมโยงกับส่ิงที่มีความหมาย ตลอดขนวิถีชีวติ ของผู้ผู้เรียน 4) องค์ประกอบทงั ้ 3 ประการดกั งกลา่ วจะต้องสะท้อน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรี ยนและเวลาที่เหมาสมกับ หลกั สตู ร

53 3.3 ความ เช่ื อ มโย งระ หว่ าง หลัก สูตร แกน กลาง การศกึ ษาขัน้ พนื ้ ฐานกบั หลักสตู รสถานศึกษา หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั ้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 เป็นหลักสตู รองิ มาตรฐาน (standard – based curriculum) ซงึ่ มีมาตรฐานการเรียนร้เู ป็นเปา้ หมายในการพฒั นาคณุ ภาพผู้เรียน และเป็นกรอบแนวทางในการจัดทาหลกั สตู รสถานศกึ ษา ดังนัน้ หลกั สตู รสถานศกึ ษาจึงมีความสอดคล้องกับหลกั สตู รแกนกลาง การศกึ ษาขนั ้ พืน้ ฐานเป็นแนวเดยี วกนั คือความเช่อื มโยงตลอดแนว (alignment) ควา ม เ ชื่อ ม โ ยง ตลอ ดแ น ว จา กห ลักสูตร แก น ก ลา ง การศึกษาขนั ้ พืน้ ฐานมาสหู่ ลักสตู รสถานศึกษา หมายถึง ความ เช่ือมโยงจากมาตรฐานหลกั สตู ร (curriculum standard) ซงึ่ เป็ น คุณลกั ษณะและพฤติกรรมท่ีคาดหวงั ตามมาตรฐานการเรียนรู้ ท่ีกาหนด ซ่งึ แบง่ เป็ น 2 ประเภท ได้ แก่ 1) มาตรฐานวิชาการ (academic standard) ซงึ่ เป็นสิ่งท่ีผู้เรียนต้องร้แู ละเข้าใจอยา่ งลกึ ซงึ ้ และสามารถทาได้ในชว่ งเวลาที่กาหนด และ 2) มาตรฐานการปฏิบตั ิ (performance standard) เป็ น ผ ล ก าร ป ฏิ บัติ ห รื อ ร ะ ดั บ ความสามารถท่ีผู้เรียนจะต้องแสดงออก จากนนั ้ จะเป็นการเชื่อมโยง มาสตู่ วั ชวี ้ ดั ชนั ้ ปี / ตวั ชวี ้ ดั ชว่ งชนั ้ ซ่ึงจะระบุคากุญแจ (keywords) หรือความคิดรวบยอดหลกั (main concept) อย่างชดั เจน สว่ นที่ กลา่ วมานนั ้ เป็นการเช่อื มโยงภายในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขนั ้ พืน้ ฐานท่ี มี 2 มิติมาประกอบกัน คือ 1) รูปแบบ 2) สาระ

54 (กรอบหลักสตู ร curriculum framework) ต่อจากนัน้ ก็จะเป็ นการ เช่อื มโยงมาสหู่ ลกั สตู รสถานศกึ ษา ได้แก่ การเชื่อมโยงสู่คาอธิบาย สาระการเรียนรู้ การกาหนดหน่วยการเรียนรู้ การจัดทาแผนการ จดั การเรียนรู้ และสดุ ท้ายเป็นการเชื่อมโยงสกู่ ารวดั และประเมินผล การเรี ยนรู้ ท่ี เน้ นการป ระเมิ นตาม สภาพจริ งแ ละเสริ มพลัง (empowerment evaluation) สรปุ เป็นแผนภาพดงั นี ้ มาตรฐานหลกั สูตร (curriculum standards) คุณลกั ษณะและพฤติกรรมตามมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกาหนด ตวั ชวี ้ ัดชนั้ ปี / ตวั ชวี ้ ดั ชว่ งชนั้ คากญุ แจ (keywords) ความคดิ รวบยอดหลกั (main concept) การเช่อื มโยง มาตรฐานวิชาการ (academic standards / content standards) (alignment) ส่งิ ท่ผี ้เู รียนเข้าใจอย่างลกึ ซงึ ้ และทาได้ในช่วงเวลาทก่ี าหนด มาตรฐานด้านการปฏิบตั ิ (performance standards) ผลการปฏิบตั ิ / ระดับความสามารถท่ผี ้เู รียนจะต้องแสดงออก คาอธิบายสาระการเรียนรู้ / หนว่ ยการเรียนรู้ / แผนการจดั การเรียนรู้ การวัดและประเมินผล (วิธีการวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์ เน้น empowerment evaluation) การเช่อื มโยงตลอดแนว (alignment) เป็ นลักษณะเฉพาะ ของหลกั สูตรองิ มาตรฐาน

55 การเชือ่ มโยงตลอดแนวท่ีกลา่ วมาแล้วนนั ้ เป็ นการเช่ือมโยง ตลอ ดแน วจากม า ตรฐาน ห ลักสูตรไ ปถึงการ วัดและ ป ระ เมิ น ผ ล ซง่ึ ภายในแตล่ ะกลมุ่ สาระการเรียนรู้ ก็จะมีการเชื่อมโยงตลอดแนว ด้วยเชน่ กัน ดงั แผนภาพตอ่ ไปนี ้ กล่มุ สาระการเรียนรู้ สาระ (strands) การเช่อื มโยง มาตรฐานการเรียนร้ ู (alignment) ความคิดรวบยอด (main concept) คาอธิบายสาระการเรียนร้ ู การเชอ่ื มโยงตลอดแนวภายในกลมุ่ สาระการเรียนรู้

56 3.4 จดุ เน้นของคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ในหลักสูตร สถานศึกษา คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ หมายถึง ลกั ษณะที่โดดเดน่ ของบุคคลหรือผู้เรียน เชน่ ระบบคิด การใฝ่ รู้ คา่ นิยม คุณธรรม จริยธรรม จติ อาสา ซงึ่ หลอมรวมเป็ นบุคลิกภาพและแสดงออกมา อย่างเหมาะสม คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์เป็ นส่ิงท่ีต้องบม่ เพาะ ตงั ้ แตว่ นั ท่ีผู้เรียนมาโรงเรียนวันแรกจนกระท่ังวนั สุดท้ ายที่ผู้เรียน จะสาเร็จการศกึ ษาไปจากโรงเรียน องค์ประกอบของคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1) ด้านคณุ ธรรมจริยธรรม เชน่ มีวนิ ัย มีความรับผิดชอบ ซื่อสตั ย์สจุ ริต 2) ด้านการเรียนร้แู ละการคดิ เชน่ การใฝ่รู้ การคิดอย่าง เป็นระบบ การคดิ วิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ 3) ด้ านทั กษะ ทางสังคม และ จิตอ าสา เช่น มี จิ ต สาธารณะ การแบง่ ปัน การเคารพ ในคุณค่าความเป็ นมนุษย์ ของผ้ ูอ่ื น การกาหนดคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ของผู้เรียนในหลกั สตู ร สถานศกึ ษาสามารถกาหนดเพิ่ มเติมจากหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขนั ้ พืน้ ฐานได้ ทัง้ นี เ้ ป็ นไปตามจุดเน้ น สภาพปัญหา และความต้องการของชมุ ชน และสงั คม

57 ประเทศญีป่ ่นุ ได้กาหนดคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ที่สง่ ผลตอ่ คณุ ภาพของประชากรไว้ 7 ประการ ดงั นี ้ 1) ตรงเวลา 2) รบั ผิดชอบงานที่ได้รบั มอบหมาย 3) ทาทกุ สิ่งทกุ อยา่ งด้วยความกระตอื รือร้น 4) สะอาดเป็นระเบียบ 5) อ่อนน้อมถอ่ มตน ไมพ่ ดู โอ้อวด 6) ประหยัด ร้คู ณุ คา่ ของเงนิ สิง่ ของและของใช้ตา่ งๆ 7) ซอ่ื สตั ย์สจุ ริต ไม่คดโกง ระลกึ ถึงผู้มีพระคณุ สาหรบั คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ของคนไทยที่สาคัญคือ ความซ่ือสตั ย์สุจริต ดงั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 พระราชทานไว้ ณ โรงเรียนยพุ ราชวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ วา่ “...ข้าไม่ต้องการตาราท่เี ดนิ ได้ ท่ขี ้าอยากได้นัน้ คอื เยาวชนท่เี ป็ นสุภาพบุรุษ ซ่ือสัตย์สจุ ริตมีอปุ นิสัยใจคอดี…”

58 เชน่ เดยี วกบั ท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวภมู ิพลอดุลยเดช พระราชทานไว้เม่ือวนั ที่ 18 พฤศจิกายน 2530 ณ พระตาหนัก จติ รลดารโหฐานวา่ “...ความซ่ือสัตย์สุจริตเป็ นพนื ้ ฐานของความดีทุกอย่ าง เดก็ ๆ จงึ ต้องฝึ กฝนอบรมให้เกดิ ขึน้ ในตนเอง เพ่อื จกั ได้เตบิ โต ขึน้ เป็ นคนดี มีประโยชน์และมีชีวิตท่สี ะอาดท่เี จริญม่ันคง...” นอกจากนีใ้ นเรื่ องความรับผิดชอบก็ยังเป็ นคุณลกั ษณะ อนั พงึ ประสงค์ที่สาคญั อีกประการหน่ึงท่ีจะต้องมุ่งปลกู ฝังให้ กับ ผู้เรียนทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างย่ิงความรับผิดชอบตอ่ ตนเอง เพราะนนั่ ก็คือความรับผิดชอบตอ่ บ้านเมือง ตามพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวท่ีปรากฏอยบู่ นปกหลงั ของหนงั สอื คาพอ่ สอนวา่ “...ความรับผิดชอบท่ตี นมตี ่อบ้านเมอื ง ก็เป็ นความรับผิดชอบทต่ี นมีต่อตวั เอง...”

59 การเหน็ คณุ ค่าในตนเอง (self – esteem) เป็นพืน้ ฐานการ เรียนร้ขู องผู้เรียนทกุ คนเป็นความต้องการพืน้ ฐานของมนุษย์ เป็ นสิ่ง สาคญั ที่ทาให้ ชีวิตมีความสุขและประสบความสาเร็จ เด็กที่เห็น คณุ คา่ ในตนเองจะมีความเช่อื มนั่ และภาคภูมิใจในตนเอง มีความ กล้าหาญ กระตือรือร้น อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ และใช้ศักยภาพของ ตนเองอยา่ งเต็มที่ เด็กที่มีพฤติกรรมตดิ ยาเสพติด ยกพวกตีกัน เกเร อนั ธพาล สาสอ่ นทางเพศ เฉ่ือยชาและไม่อยากเรียนรู้ เป็ นเพราะ ค้นหาตนเองไม่พบและขาดการเห็นคณุ คา่ ในตนเอง คณุ ลกั ษณะด้านการมีวินัยในตนเอง (self - discipline) เป็ นคณุ ลักษณะท่ี สาคัญซึ่งการฝึ กให้ ผู้เรี ยนมี วินัยในตนเอง จากงานวิจยั พบวา่ ถ้าให้ความรักมากแตม่ ีการควบคมุ พฤติกรรม น้อยเด็กจะมีวินยั ในตนเองถ้าให้ความรกั มากและควบคมุ พฤตกิ รรม มากเดก็ จะมีความก้าวร้าวแตถ่ ้าไมใ่ ห้ความรกั ขาดการเอาใจใสด่ แู ล เด็กจะมีพฤติกรรมที่ไม่พงึ ประสงค์ รกั มาก ควบคุมน้อย มวี นิ ยั ในตนเอง รักมาก ควบคมุ มาก มพี ฤติกรรมก้าวร้าว ไมใ่ ห้ความรัก ขาดการเอาใจใส่ดูแล มีพฤติกรรมไมพ่ ึงประสงค์

60 3.5 แนวการจัดโครงสร้ างเวลาเรียนของหลักสูตร สถานศึกษา หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั ้ พื น้ ฐานกาหนด โครงสร้างเวลาเรียนไว้อย่างชดั เจนซง่ึ สถานศกึ ษามีหลักการกาหนด โครงสร้างเวลาเรียนสาระพืน้ ฐานและสาระเพิ่มเตมิ ดงั นี ้ ระดบั ประถมศกึ ษาสามารถปรบั เวลาเรียนสาระพืน้ ฐาน ของแตล่ ะกลมุ่ สาระการเรียนร้ไู ด้ตามความเหมาะสมทงั ้ นีต้ ้องมีเวลา เรียนรวมตามท่ีกาหนดไว้ในโครงสร้างเวลาเรียนพืน้ ฐานและผู้เรียน ต้องมีคณุ ภาพตามมาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ชวี ้ ดั ท่ีกาหนด ระดบั มัธยมศกึ ษา ต้องจดั โครงสร้างเวลาเรียนพืน้ ฐาน ให้เป็นไปตามท่ีกาหนดและสอดคล้องกบั เกณฑ์การจบหลกั สตู ร สาหรับเวลาเรียนเพ่ิมเติม ทัง้ ในระดับประถมศกึ ษา และมธั ยมศกึ ษาให้จดั เป็นสาระเพ่ิมเติม หรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยพิจารณาให้สอดคล้องกบั ความพร้ อม จดุ เน้ นของสถานศึกษา และเกณฑ์การจบหลกั สตู ร เฉพาะระดับชนั ้ ประถมศึกษาปี ที่ 1 - 3 สถานศกึ ษาอาจจดั ให้เป็นเวลาสาหรับสาระการเรียนร้พู นื ้ ฐานในกลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทยและกลมุ่ สาระการเรียนร้คู ณิตศาสตร์ กิจกรรมพฒั นาผู้เรียนท่ีกาหนดไว้ในชนั ้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 1 ถงึ ชนั ้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ปีละ 120 ชว่ั โมง และชนั ้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 – 6 จานวน 360 ชว่ั โมงนนั ้ เป็นเวลาสาหรบั ปฏิบตั กิ ิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรียน และกิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์

61 ในสว่ นกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ให้ สถานศกึ ษา จดั สรรเวลาให้ผู้เรียนได้ปฏิบตั ิกิจกรรม ดงั นี ้ ระดบั ประถมศกึ ษา รวม 6 ปี 60 ชว่ั โมง ระดบั มัธยมศกึ ษา รวม 3 ปี 45 ชว่ั โมง ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย รวม 3 ปี 60 ชว่ั โมง 3.6 ขอบข่ายสาระหลกั (strand) หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั ้ พืน้ ฐาน กาหนด ขอบขา่ ยสาระหลกั ของแตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้ทัง้ 8 กล่มุ สาระ การเรียนรู้ ดงั นี ้ 1) ขอบขา่ ยสาระหลักกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ประกอบด้วย 1.1 การอา่ น (ท 1.1) 1.2 การเขยี น (ท 2.1) 1.3 การฟัง การดู และการพูด (ท 3.1) 1.4 หลกั การใช้ภาษาไทย (ท 4.1) 1.5 วรรณคดแี ละวรรณกรรม (ท 5.1)

62 2) ขอบขา่ ยสาระหลกั กลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ประกอบด้วย 2.1 จานวนและการดาเนินการ (ค 1.1 – ค 1.4) 2.2 การวดั (ค 2.1 – ค 2.2) 2.3 เรขาคณติ (ค 3.1 – ค 3.2) 2.4 พีชคณิต (ค 4.1 – ค 4.2) 2.5 การวเิ คราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น (ค 5.1 – ค 5.3) 2.6 ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ (ค 6.1) 3) ขอบขา่ ยสาระหลกั กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 3.1 ส่งิ มีชีวิตกบั กระบวนการดารงชีวติ (ว 1.1 – ว 1.2) 3.2 ชวี ติ กับสงิ่ แวดล้อม (ว 2.1 – ว 2.2) 3.3 สารและสมบตั ิของสาร (ว 3.1 – ว 3.2) 3.4 แรงและการเคล่ือนที่ (ว 4.1 – ว 4.2) 3.5 พลงั งาน (ว 5.1) 3.6 กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก (ว 6.1) 3.7 ดาราศาสตร์และอวกาศ (ว 7.1 – ว 7.2) 3.8 ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ว 8.1)

63 4) ขอบขา่ ยสาระหลกั กลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ประกอบด้วย 4.1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม (ส 1.1 – ส 1.2) 4.2 หน้าท่ีพลเมือง วฒั นธรรม และการดาเนิน ชีวติ ในสงั คม (ส 2.1 – ส 2.2) 4.3 เศรษฐศาสตร์ (ส 3.1 – ส 3.2) 4.4 ประวตั ศิ าสตร์ (ส 4.1 – ส 4.3)* 4.5 ภมู ิศาสตร์ (ส 5.1 – ส 5.2) 5) ขอบขา่ ยสาระหลกั กลมุ่ สาระการเรียนรู้สุขศึกษา และพลศกึ ษา ประกอบด้วย 5.1 การเจริญเติบโตและพฒั นาการของมนุษย์ (พ 1.1) 5.2 ชวี ิตและครอบครวั (พ 2.1) 5.3 การเคลือ่ นไหว การออกกาลงั กาย การเลน่ เกม กีฬาไทยและกีฬาสากล (พ 3.1 – พ 3.2) 5.4 การสร้างเสริมสขุ ภาพ สมรรถภาพ และการปอ้ งกันโรค (พ 4.1) 5.5 ความปลอดภยั ในชวี ิต (พ 5.1) * จดั ทาคาอธิบายสาระการเรียนร้เู ฉพาะแยกออกมาจากคาอธิบาย สาระการเรียนร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม

64 6) ขอบขา่ ยสาระหลักก ลุ่มสาระการเรี ยนรู้ศิลปะ ประกอบด้วย 6.1 ทัศศลิ ป์ (ศ 1.1 – ศ 1.2) 6.2 ดนตรี (ศ 2.1 – ศ 2.2) 6.3 นาฏศลิ ป์ (ศ 3.1 – ศ 3.2) 7) ขอบข่ายสาระหลกั กลมุ่ สาระการเรียนรู้ การงาน อาชีพและเทคโนโลยี ประกอบด้วย 7.1 การดารงชวี ติ และครอบครัว (ง 1.1) 7.2 การออกแบบและเทคโนโลยี (ง 2.1) 7.3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร (ง 3.1) 7.4 การงานอาชพี (ง 4.1) 8) ข อ บ ข่า ย ส าร ะ ห ลัก ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เรี ย น รู้ ภาษาต่างประเทศ* ประกอบด้วย 8.1 ภาษาเพ่ือการส่ือสาร (ต 1.1 – ต 1.3) 8.2 ภาษาและวฒั นธรรม (ต 2.1 – ต 2.2) 8.3 ภาษากบั ความสมั พนั ธ์กบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้ อ่ืน (ต 3.1) 8.4 ภาษากบั ความสมั พนั ธ์กบั ชมุ ชนและโลก (ต 4.1 – ต 4.2) * สาระการเรียนร้ภู าษาตา่ งประเทศ หมายถึง สาระการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ บาลี สนั สกฤต ฝร่ังเศส เยอรมัน จีน ญีป่ ่นุ

65 3.7 คากุญแจจากมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชีว้ ดั คากุญแจ (keywords) เป็ นคาศพั ท์ท่ีเปรียบเสมือน กญุ แจสาหรบั เปิดไขดงึ เอาความทรงจาออกมาใช้ สาหรับจดั ระเบียบ และใช้ประโยชน์จากสารสนเทศในลกั ษณะที่เป็นความคิดรวบยอด ซงึ่ มีอยู่ 9 ประเภท ดงั นี ้ 1) กฎ ข้อกาหนด คอื ข้อบญั ญตั ทิ ่ีบงั คบั ให้ต้องปฏิบตั ิ 2) วิธี ก าร คื อ ขัน้ ตอ น ก าร ปฏิ บัติ งานใ ห้ บ ร ร ลุ วตั ถุประสงค์ 3) ระเบียบ คือ แบบแผนท่ีวางไว้เป็ นแนวปฏิบัติหรือ ดาเนินการ 4) ความจริง คอื ข้อเท็จจริง แนแ่ ท้ ไม่กลบั เป็นอย่างอ่ืน 5) คณุ สมบตั ิ คือ ลกั ษณะเฉพาะตวั ที่แตกตา่ งจากส่งิ อ่นื 6) ลกั ษณะร่วม คือ สมบัติเฉพาะตัวท่ีปรากฏให้ เห็น รว่ มกัน 7) การคาดการณ์ลว่ งหน้ า คือ การทานายเหตกุ ารณ์ บนพืน้ ฐานของข้อมูล 8) การแสดงความจริงท่ีสอดคล้องกนั คือ ลักษณะร่วม ของข้อเท็จจริง 9) การแสดงความเป็นเหตเุ ป็นผลกนั คอื เหตปุ ัจจยั ที่ทา ให้ผลเกิดขนึ ้ ร่วมกนั

66 ผู้สอนจะต้ องวิเคร าะห์ คากุ ญแจจาก มาตรฐาน การเรียนรู้และตัวชีว้ ดั ให้ ได้วา่ เป็ นความคิดรวบยอดประเภทใด ในขนั ้ ตอนการทาใบงานท่ี 2 ทงั ้ นีเ้พ่ือให้การจดั ทาคาอธิบายสาระ การเรี ยนรู้และการจัดการเรี ยนรู้มีความสอดคล้ องกับลกั ษณะ ธรรมชาติของความคดิ รวบยอด ยกตัวอย่างเช่นการจัดการเรี ยนรู้ความคิดรวบยอด ความตงึ ของผิวนา้ ท่ีอยใู่ นกลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ซึง่ เป็ น ความคิดรวบยอดประเภทคณุ สมบตั ิ (คณุ สมบตั ิความตงึ ของผิวนา้ ) ผู้สอนจงึ ใช้กระบวนการเรียนร้โู ดยการปฏิบตั จิ ริงควบคกู่ ับการสงั เกต และทกั ษะการทานาย โดยกาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ ผู้เรียน ทานายวา่ จะสามารถ ใสล่ วดเสยี บกระดาษลงในแก้ วท่ีบรรจนุ า้ เต็ม พอดไี ด้มากท่ีสดุ ทีละอนั โดยท่ีไม่มีนา้ หกล้นออกนอกแก้ ว จากนัน้ ให้ผู้เรียนแบง่ กลมุ่ และร่วมกนั วิเคราะห์จานวนลวดเสียบกระดาษ ท่ีจะสามารถใส่ลงในแก้ วนา้ ได้ แล้ วให้ ผู้เรียนทดลองปฏิ บัติ ด้วยตนเอง ซงึ่ ผู้เรียนก็จะต้องใช้ทักษะการสงั เกตความตงึ ของผิวนา้ ขณะที่ลวดเสียบกระดาษมีจานวนมากขนึ ้ และในท่ีสดุ จะค้นพบวา่ ยิ่งมีลวดเสยี บกระดาษในแก้วนา้ มากเท่าใด ผิวนา้ ก็จะนูนขนึ ้ สูจ่ ดุ ศนู ย์กลางของแก้ว และเกิดองคค์ วามร้ใู นความคดิ รวบยอดเกี่ยวกับ คณุ สมบตั ิความตงึ ของผิวนา้ ในท่ีสดุ

67 ความคิดรวบยอดเรื่องแบบรูป (pattern) ก็เชน่ เดียวกัน ผู้สอนให้ผู้เรียนฝึกการสงั เกตและวเิ คราะห์วา่ แบบรูปที่กาหนดให้ มี ความสัมพันธ์กันอย่างไร จนกระทั่งผู้เรี ยนสามารถมองเห็ น ความสมั พนั ธ์ของจานวนหรือรูปภาพตา่ งๆ อย่างเป็ นระบบ เช่น แบบรปู ตอ่ ไปนี ้ 1 2 3 4 ..…. 2 4 6 8 …… …… ……

68 การวิเคราะห์คากญุ แจจากมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชีว้ ัด เป็นขนั ้ ตอนท่ีนาไปสกู่ ารเขียนคาอธิบายสาระการเรียนร้ทู ี่ผู้สอนต้อง วิเคราะห์คากุญแจ หรือความคิดรวบยอดหลกั ที่อยู่ในมาตรฐานการ เรียนร้แู ละตวั ชวี ้ ดั ซงึ่ ต้องอาศยั ความแม่นยาในเนือ้ หาสาระจงึ จะ สามารถวิเคราะห์ได้อยา่ งถกู ต้อง เคร่ืองมือในการวิเคราะห์คากุญแจ จากมาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ชวี ้ ดั ท่ีดีชนิดหนึง่ ก ารวิเ คราะ ห์ คากุญ แจจา ก ม าตร ฐาน ก ารเรี ย น ร้ ูแล ะ ตวั ชวี ้ ดั เป็นขนั ้ ตอนท่ีนาไปสูก่ ารเขียนคาอธิบายสาระการเรียนรู้ ท่ีผู้สอนต้องวเิ คราะห์คากญุ แจ หรือความคิดรวบยอดหลักที่อยู่ใน มาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ชวี ้ ดั ซงึ่ ต้องอาศยั ความแมน่ ยาในเนือ้ หา สาระจึงจะสามารถวิเคราะห์ ได้อย่างถูกต้ อง เคร่ื องมื อในการ วเิ คราะห์คากุญแจจากมาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวชีว้ ัดที่ดีชนิดหนึ่ง คือ ผังมโนทัศน์ความคิดรวบยอด (concept mapping) ซง่ึ จะชว่ ยให้ การวิเคราะห์ถูกต้องรวดเร็วมากขนึ ้ เชน่ การวิเคราะห์คากุญแจ จากมาตรฐานการเรีย นรู้และตัวชีว้ ัดในกลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ สาระท่ี 1 มาตรฐาน ค 1.4 ตวั ชีว้ ดั ท่ี 2 ระดบั ชนั ้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 เขียนเป็นผังมโนทศั น์ความคดิ รวบยอดดงั นี ้

69

70

71 เมื่อเราทาผงั มโนทัศน์ความคิดรวบยอดแล้วก็จะพบว่า อะไรคอื คากญุ แจหรือ main concept ในที่นีม้ ีคากุญแจ 5 คา ซ่งึ จะ นาไปสกู่ ารเขยี นคาอธิบายสาระการเรียนร้ตู อ่ ไป ได้แก่ 1) ตวั ประกอบ 2) จานวนเฉพาะ 3) การแยกตวั ประกอบ 4) ห.ร.ม. 5) ค.ร.น.

72 การทาผงั มโนทัศน์ความคิดรวบยอดสามารถนาไปใช้ ได้ ทกุ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ซึ่งจะยกตัวอย่างให้ เห็นอีกในกลุ่มสาระ การเรี ยนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม และกลุ่มสาระ การเรียนร้สู ขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา

73

74

75

76

77 ปัญหาหนึ่งที่พบจากการฝึกอบรมสัมมนาการจดั ทา หลกั สตู รสถานศกึ ษา คอื การวเิ คราะห์สาระสาคญั หรือความคดิ รวบ ยอดหลกั (main concept) ท่ีอยใู่ นมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชีว้ ัด มาจดั ทาคาอธิบายสาระการเรียนรู้ ซง่ึ ไม่ต้องนาความคิดรวบยอด รอง (sub concept) มาเขียนเพราะจะทาให้ เกิดความไม่ชดั เจน ในการออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้ในขนั ้ ตอน ตอ่ ไป กลา่ วโดยสรุป การวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และ ตวั ชวี ้ ดั จะต้องดงึ เฉพาะในสว่ นที่เป็นความคิดรวบยอดหลักออกมา ทงั ้ นีเ้พื่อนาไปสกู่ ารเขยี นคาอธิบายสาระการเรียนรู้และการกาหนด หน่วยการเรียนรู้ อย่างชดั เจนและครบวงจร ส่วนรายละเอียด ปลีกยอ่ ยไม่ต้องดงึ ออกมา โดยต้องยึดถือเกณฑ์ การเลือกสาระ ที่ต้องให้ผู้เรียนได้เรียนในส่งิ ท่จี าเป็ นต้องรู้ (must know) สว่ นส่งิ ท่ี ควรรู้ (should know) และส่ิงที่ น่ารู้ (nice to know) ให้ นาไปจดั บรู ณการกับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนจะเป็ นการเพิ่มเวลาสาหรับ การเรียนรู้สาระสาคญั ให้ กับเด็กและลดเวลาการจัดการเรียนรู้ ที่ซา้ ซ้อน

78 เกณฑ์ การเลือกสาระ สง่ิ ที่นา่ รู้ สิ่งที่ควรร้ ู ส่งิ ท่ตี ้องรู้ must know main concept should know nice to know

79 3.8 การจัดทาคาอธิบายสาระการเรียนรู้ คาอธิบายสาระการเรียนร้เู ป็นข้อความท่ีระบวุ า่ ผู้เรียน จะต้ องเรี ยนรู้สาระสาคัญหรื อความคิดรวบยอดหลัก (main concept) อะไรบ้าง ใช้กระบวนการเรียนร้อู ยา่ งไร และมีคณุ ลกั ษณะ อันพึงประสงค์ที่มุ่งปลกู ฝังให้ กับผู้เรียนอะไรบ้ าง ซ่ึงการเขียน คาอธิบายสาระการเรียนร้มู ีหลกั การดงั นี ้ 1) แสดงความคดิ รวบยอดหลกั (main concept) 2) ใช้ คากริ ยา (action verb) สาหรับการบ่งชี ้ พฤตกิ รรมของผู้เรียนและกระบวนการเรียนร้ทู ี่จะนาไปสอู่ งคค์ วามรู้ 3) กาหน ดคุณลักษณะ อันพึ งประ สงค์ชัดเจน ครบถ้วนทุกองค์ประกอบ (คณุ ธรรมจริยธรรม การเรียนร้แู ละการคิด และทักษะทางสงั คม จติ อาสา) 4) ใช้ คากระชับ ชัดเจน ระบุประ เด็นสาคัญๆ สะท้อนจดุ เน้นภาพรวมของสาระการเรียนรู้ 5) ไม่ขยายรายละเอี ยด (ไม่ใช้ คาว่า ได้แก่ เช่น ประกอบด้วย) กระบวนการจัดทาคาอธิ บายสาระการเรี ยนรู้ จาเป็นต้องวเิ คราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชีว้ ัดเสียก่อนดงั ที่ กล่าวมา เพราะจะทาให้ สกัดเอาสาระสาคัญมาเขียนจริ งๆ การวเิ คราะห์จะต้องพิจารณาขอบข่ ายสาระหลัก (strand) ทัง้ ยัง ต้องวเิ คราะห์ทงั ้ มาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ชวี ้ ดั ควบคกู่ นั ทงั ้ นีเ้ พราะ

80 ขอบข่ายสาระหลัก มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชีว้ ดั มีความ เช่อื มโยงกนั ตลอดแนว ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี ้ สาระท่ี 1 จานวนและการดาเนินการ มาตรฐาน ค1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจานวน และการใช้จานวนในชวี ิตจริง ตวั ชวี ้ ดั ชนั้ ปี ป.1 ป.2 ...... ม.6 1. เขียนและอา่ น 1. เขียนและอา่ น . ตวั เลขฮินดูอารบกิ ตัวเลขฮนิ ดอู ารบกิ ตัวเลขไทย แสดง ตวั เลขไทย และ ปริมาณของสิ่งของ ตวั หนังสอื แสดง หรือจานวนท่ไี ม่เกนิ ปริมาณของสง่ิ ของ หน่ึงร้อยและศนู ย์ หรือจานวนที่ไม่เกนิ หนึ่งพนั และศูนย์

81 ดงั นนั ้ การจดั ทาคาอธิบายสาระการเรียนร้จู งึ ต้องวิเคราะห์ ขอบข่ายสาระหลัก มาตรฐานการเรี ยนรู้และตวั ชีว้ ัดให้ ครบ ทุกขอบขา่ ยสาระหลกั มาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ชวี ้ ดั ในแตล่ ะชนั ้ ปี เชน่ การเขียนคาอธิบายสาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ ชนั ้ มธั ยมศกึ ษา ปีท่ี 1 ซง่ึ มีอยู่ 6 ขอบขา่ ยสาระหลกั 14 มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการ วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชีว้ ดั ทัง้ ชนั ้ ปี พบว่ามีจานวน 9 ความคิดรวบยอดหลกั ได้แก่ 1) สมบตั ิของจานวนนับ 2) ระบบจานวนเต็ม 3) เลขยกกาลงั 4) พืน้ ฐานทางเรขาคณติ 5) ทศนิยมและเศษสว่ น 6) การประมาณคา่ 7) คอู่ ันดบั และกราฟ 8) สมการเชิงเส้นตวั แปรเดียว 9) ความสมั พันธ์ระหวา่ งรปู เรขาคณติ สองมิติ และสามมิติ จากนัน้ นาความคิดรวบยอดหลกั ทัง้ 9 มาเขียนลงใน ตารางการเขียนคาอธิบายสาระการเรียนร้พู ร้อมทงั ้ ระบกุ ระบวนการ เรียนร้แู ละคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคข์ องผู้เรียน ดงั นี ้ ตารางการเขียนคาอธิบายสาระการเรียนร้ ู

82 ความคิดรวบยอดหลกั กระบวนการเรียนร้ ู คุณลกั ษณะ อนั พึงประสงค์ 1. สมบตั ิของจานวนนบั 1. การแก้ปญั หา 1. รบั ผดิ ชอบ 2. ระบบจานวนเต็ม 2. การให้เหตผุ ล และมวี นิ ยั 3. เลขยกกาลงั 3. การส่ือสาร 2. ทางานอย่างเป็น 4. พืน้ ฐานทางเรขาคณติ ระบบรอบคอบ 5. ทศนยิ มและเศษสว่ น สอ่ื ความหมาย 3. เชอื่ มน่ั ในตนเอง 6. การประมาณค่า ทางคณิตศาสตร์ 4. มเี จตคติทด่ี ีต่อ 7. ค่อู นั ดบั และกราฟ และการนาเสนอ คณิตศาสตร์ 8. สมการเชิงเส้น 4. การเชอ่ื มโยงความรู้ 5. ซื่อสตั ย์สจุ ริต ทางคณติ ศาสตร์ 6. มคี วามพยายาม ตัวแปรเดียว 5. ความคิดสร้างสรรค์ 7. มีจิตสาธารณะ 9. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง และทาประโยชน์ เพื่อสว่ นรวม รปู เรขาคณิตสองมติ ิ และสามมติ ิ

83 เม่ื อนาประ เด็นหลักได้ แก่ความคิด รวบยอดหลัก กระบวนการเรียนร้แู ละคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ มาเขียนลงใน ตารางการเขยี นคาอธิบายสาระการเรียนร้เู รียบร้อยแล้วจงึ นาประเดน็ หลกั ตา่ งๆ ทงั ้ สาม มาเขียนเป็นความเรียงตามลาดบั โดยสะท้ อน ประเดน็ สาคญั 3 ประเดน็ ตอ่ ไปนี ้ 1) ความคดิ รวบยอดหลกั (main concept /key concept) 2) โครงสร้างความรู้ (structure) 3) กระบวนการแสวงหาความรู้ (mode of inquiry) จากตวั อย่างการวเิ คราะห์มาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ชวี ้ ัด และการเขียนตารางคาอธิบายสาระการเรียนรู้ดังกล่าว จงึ นามา เขียนเรียบเรียงเป็นคาอธิบายสาระการเรียนร้คู ณิตศาสตร์ ระดบั ชนั ้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ดงั นี ้

84 คาอธบิ ายสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 ศกึ ษาความร้พู ืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ เรื่อง สมบตั ิของ จานวนนับ ระบบจานวนเตม็ เลขยกกาลงั พืน้ ฐานทางเรขาคณิต และแบบรูป ทศนิยมและเศษส่วน การประมาณค่า ค่อู ันดบั และ กราฟ สมการเชิงเส้นตวั แปรเดยี ว ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง รูปเรขาคณติ สองมิติและสามมิติ และโอกาสการเกิดเหตกุ ารณ์ โดยใช้ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ การแก้ปั ญหา การให้เหตผุ ล การสือ่ สารส่อื ความหมายทางคณิตศาสตร์และการ นาเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ทางคณิตศาสตร์ ความคิดริ เริ่ ม สร้ างสรรค์ มีความรับผิดชอบ มีวินยั ทางานอย่างเป็นระบบรอบคอบ เชือ่ มนั่ ในตนเอง มีเจตคตทิ ี่ดตี ่อคณิตศาสตร์ ซื่อสัตย์สจุ ริต และมี ความพยายามในการทางาน ผู้สอนทกุ คนสามารถตรวจสอบคุณภาพของคาอธิบาย สาระการเรียนรู้ ได้ด้วยตนเองตามตวั ชวี ้ ดั ดงั นี ้ 1) มีความเฉพาะเจาะจง (focus) 2) มีความสมเหตสุ มผล (justification) 3) มีความนา่ สนใจ (interesting) 4) มีความเป็นไปได้ (feasible) 5) มีความตอ่ เนื่อง กลมกลืน (coherence)

85 3.9 กระบวนการเรียนรู้ การเรียนร้ทู ี่มีประสทิ ธิภาพคอื การนาไปสคู่ วามคิดรวบ ยอดหลกั (main concept) และเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ สามารถ ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์หรื อความต้ องการต่างๆ ได้อย่างมี ประสิ ทธิ ผ ล ซ่ึงต้ อ งอาศัยกร ะบวนการเรี ย นรู้ท่ี เหม า ะส ม โดยธรรมชาติคนเราจะเรียนร้สู งิ่ ใหม่ได้ดี เม่ือเราสามารถเชื่อมโยงกบั ความร้หู รือประสบการณ์ ที่ผา่ นมา กระบวนการเรียนร้จู ะเร่ิมจากการ มีข้อมูลใหม่เกิดขนึ ้ จากนัน้ ก็จะผ่านประสาทสัมผัสทัง้ 6 ได้แก่ ตา จมกู ลนิ ้ กาย ใจ เมื่อข้อมลู ใหม่ผ่านประสาทสัมผัสแล้วสมอง หรือจติ ก็จะลงรหัสค้นหาข้อมูลเดิมที่มีอยู่ เม่ือสมองไปค้นข้อมลู เดิม ได้ก็จะเข้าสกู่ ระบวนการปรบั แตง่ ข้อมูลเดมิ กับข้อมูลใหม่ ถ้ าข้อมูล ทัง้ สองอย่างนี ม้ ี ความสมดุลกันเราก็ จะเกิ ดการเรี ยนรู้ทันที ดงั แผนภาพตอ่ ไปนี ้

86 กระบวนการเรียนรู้ ข้อมลู ใหม่ ผ่านการรบั รู้จากประสาทสมั ผสั ทงั้ 6 ตา หู จมกู ลนิ ้ กาย ใจ สมอง / จติ ลงรหสั ค้นหา ข้อมลู เดิม ข้อมลู เดิม ข้อมลู เดิม กระบวนการ ปรบั แต่ง สมดลุ เกดิ การเรียนรู้ ความคิดรวบยอด (Concept) หมายถงึ ลกั ษณะร่วมท่ีสาคญั ของ ส่งิ หน่ึงสิ่งใดขาดองค์ประกอบใดไม่ได้สามารถนาไปสรุปอ้ างอิงได้ (generalization) เช่น ดอกไม้ ประกอบด้วย กลีบดอก เกสร และก้ านดอก สามารถนาไปสรุปอ้ างอิงกับดอกไม้ ท่ัวไปได้ เช่น ดอกกุหลาบ มีองคป์ ระกอบทงั ้ 3 และมีลกั ษณะเฉพาะคอื มีสี กล่นิ

87 และหนาม หรือองคป์ ระกอบของหลกั สตู ร คือ จดุ ประสงค์ กิจกรรม และการประเมินผล แตล่ ะบคุ คลอาจมีความคดิ รวบยอดในระดบั ที่แตกตา่ งกัน การเรียนรู้ท่ีฝั งลึก (deep knowledge) หมายถึงการที่ ผู้เรียนเกิดความร้คู วามเข้าใจในสิ่งที่เรียนอยา่ งแท้จริงนนั ้ ผ้สู อนควร ให้ความสาคญั กับความคดิ รวบยอดหลัก (main concept) ให้ มาก ต้องให้ผู้เรียนเรียนรู้แก่นสาระสาคัญๆ เพราะจะเป็ นองค์ความรู้ ท่ีจะตกตะกอนอยู่ในตวั ผู้เรียน สามารถเช่ือมโยงกับความรู้อ่ืนๆ ตลอดจนสิง่ ตา่ งๆ ท่ีอยู่รอบตวั ได้ สามารถปรบั ประยกุ ตใ์ ช้ได้ แตถ่ ้ า การจดั กระบวนการเรียนการสอนเพียงระดบั ข้อมูล (data) หัวข้อ (topic) หรือความคดิ รวบยอดยอ่ ย (sub concept) ก็จะทาให้ผู้เรียน ไมส่ ามารถเชื่อมโยงหรือถกั ทอไปสคู่ วามร้คู วามเข้าใจอื่นๆ ได้ 1. ข้อมลู 2. หวั ข้อ 3. sub concept deep knowledge 4. main concept

88 เม่ื อ ผ้ ู เรี ย น เกิ ดก ารเรี ย น ร้ ู ที่ ฝั งล ึก แล้ วจะ ส าม ารถ ส รุ ป สังเคราะห์ และถักทอ (weaving) ความคิดรวบยอดต่างๆ เป็นหลกั การ ไม่วา่ จะเป็นกลมุ่ สาระการเรียนร้เู ดยี วกันหรือตา่ งกลมุ่ สาระการเรียนร้แู ล้วสรปุ เป็นหลกั การได้ซง่ึ เป็นการตอ่ ยอดองคค์ วามรู้ ด้วยตนเอง การสรุป / สงั เคราะห์เป็ นหลักการ

89 การสงั เคราะห์จะเป็นพืน้ ฐานการเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้ าง ความรู้ของผู้เรียนตอ่ ไป ดงั แผนภาพตอ่ ไปนี ้

90 3.10 การออกแบบสาระเพ่ิมเติม / สาระการเรียนรู้ ท้องถ่นิ การออกแบบสาระเพ่ิมเติมหรือสาระการเรียนรู้ท้ องถ่ิน สามารถจดั ทาได้ 3 ลกั ษณะ 1) จดั ทาตอ่ ยอดจากสาระการเรียนรู้พืน้ ฐานในแตล่ ะ ระดบั ชนั ้ 2) จดั ทาแยกออกมาจากสาระการเรี ยนรู้พืน้ ฐาน โดยมีลกั ษณะตอ่ เน่ืองสมั พันธ์กนั ไปเป็นจานวน 3 ระดบั ชนั ้ 3) เป็นการจดั ทาสาระเพ่ิมเติมแยกออกมาตา่ งหาก จากสาระการเรียนร้พู ืน้ ฐาน โดยมีลกั ษณะเบ็ดเสร็จในแตล่ ะชนั ้ ปี สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างอิสระไม่ต้องเรี ยงลาดับ ก่อนหลัง (ศึกษาตัวอย่ างหน่ วยอุทยานแห่งชาติเอราวัณ หน้า 243) ดงั แผนภาพตอ่ ไปนี ้ สาระ สาระ สาระ สาระเพิม่ เตมิ สาระท้องถ่นิ ค เพิม่ เติม เพมิ่ เติม เพิม่ เตมิ 3 สาระท้องถิ่น ข 2 3 3 3 1 สาระท้องถ่ิน ก 2 2 2 ลักษณะท่ี 3 1 1 1 ลกั ษณะท่ี 2 สาระ สาระ สาระ พนื้ ฐาน 1 พนื้ ฐาน 2 พนื้ ฐาน 3 ลกั ษณะที่ 1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook