บทที่ 3 การรคู้ ิด 87 3.1 สาระสาคัญของการรคู้ ิด 3.2 ทกั ษะการรู้คิด 3. การรคู้ ิด 3.3 การคดิ ขนั้ สงู 3.4 การโค้ชเพอ่ื การรูค้ ิดบนฐานทฤษฎี การเรียนรู้กลมุ่ การรคู้ ิด
88 บทท่ี 3 การรคู้ ดิ คนทมี่ ีทักษะการรู้คดิ (cognitive skills) ทีด่ ี จะเรยี นรสู้ ่งิ ต่างๆ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และตัดสินใจได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ
บทท่ี 3 การรคู้ ิด 89 3.1 สาระสาคญั ของการรคู้ ดิ “การรู้คิด” (cognition) มาจากคากริยาในภาษาลาตินว่า cognosco หมายถึงความรู้หรือการตกผลึกเป็นแนวความคิด(conceptualization) กระบวนการ ทางสมอง (mental process) หรือการกระทาทางสมอง หรือกระบวนการท่ีสมอง มีปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลสารสนเทศต่างๆ การศึกษาความรู้ด้านการรู้คิด มีมานานตั้งแต่ สมัยโบราณมากกว่า 23 ทศวรรษ เช่น Aristotle นักปรัชญากรีกได้ศึกษาการทางาน ของจิต (mind) ว่าจิตมีการทางานอย่างไรและมีอิทธิพลต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ อย่างไร โดยมุ่งศึกษาในด้านความจา การรับรู้และการคิดภาพในสมองหรือการ จินตนาการ เป็นต้น การรู้คิดเป็นรูปแบบ (pattern) ของการรู้เรื่องต่างๆ ซ่ึงเกิดจาก กระบวนการทางสติปญั ญาเช่น การรับรู้ การจา การให้ความสนใจ การใช้ภาษา การคิด การวางแผน การตดั สินใจ เปน็ ต้น (Franchi and Bianchini. 2011) การรู้คิด เป็นกระบวนการเรียนรู้ของสมองเพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจ โดยใช้กระบวนการรู้คิดของสมอง (cognitive process) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ เก่ียวข้องกับการรับรู้ข้อมูลต่างๆ จากประสาทสัมผัสของร่างกายแล้วเกิดการคิด ในลักษณะต่างๆ เพ่ือให้เข้าใจข้อมูลเหล่านั้น เช่น การคิดวิเคราะห์ การให้เหตุผล การ ตัดสินใจ การแก้ปัญหา การวางแผน เป็นต้นการเรียนรู้ด้านการรู้คิด (cognitive learning) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับทักษะการเรียนรู้ด้านต่างๆ เช่น การรับรู้ข้อมูล การให้เหตุผล การจา การเชื่อมโยง เป็นต้น คนที่มีทักษะการรู้คิด (cognitive skills) ทีด่ ีจะสามารถเรียนรู้สง่ิ ต่างๆ ได้เร็ว ส่ือสารกับบุคคลอ่ืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เรียน ท่ีมีทักษะการรู้คิดท่ีดีจะส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีดีตามไปด้วย (Sternberg and Sternberg. 2009, Blomberg. 2011) การรู้คิด เป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างมากที่ทาให้มนุษย์สามารถเรียนรู้ส่ิงต่างๆ และนาส่ิงที่ได้เรียนรู้เหล่านั้นมาใช้ในการดารงชีวิตได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแต่ละบุคคลจะมีพัฒนาการด้านการรู้คิดท่ีแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการฝึกอบรมเลี้ยงดู
90 บทที่ 3 การร้คู ดิ พันธุกรรม สิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งโดยส่วนมากพัฒนาการด้านการรู้คิด ได้รับอิทธิพลมาจากการฝึกอบรมเลี้ยงดู และสิ่งแวดล้อมเป็นสาคัญ (Sternberg and Sternberg. 2009, Blomberg. 2011, Franchi and Bianchini. 2011) อย่างไรก็ตาม ยังมีบุคคลจานวนหน่ึงที่มีทักษะการรู้คิดท่ีไม่กลมกลืนกัน (cognitive dissonance) ไม่สามารถเช่ือมโยงประสบการณ์ต่างๆ เพ่ือสร้างเป็นความรู้และนามาใช้ได้ (Festinger. 1957) การเรียนรู้ท่ีเน้นการรู้คิด (cognitive – based learning) อาจดูเหมือน เป็นการเรียนรู้ในลักษณะเป็นการเรียนรู้เชิงรับ (passive learning) ซ่ึงเป็น กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีบทบาทเป็นผู้รับความรู้และคาส่ังต่างๆ จากผู้สอน โดยขาดความกระตือรอื ร้นในการปฏิบตั ิกจิ กรรมการเรยี นรู้ แต่ในความเป็นจริงแล้วการ เรียนรู้ท่ีเน้นการรู้คิดเป็นการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) ซึ่งผู้เรียนมีบทบาท ในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น เพราะในสมองของผู้เรียนได้คิดอยู่ตลอดเวลา ผู้สอนทาหน้าที่เป็นโค้ชการรู้คิดหรือการชี้แนะการรู้คิด (cognitive coaching) โดย การตั้งคาถามกระตุ้นการคิดของผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้กระบวนการคิด เพ่ือให้ สามารถคดิ ได้ด้วยตนเอง (Wallace. 2013) ทักษะการรู้คิด (cognitive skills) และการเรียนรู้มีความสัมพันธ์กันโดย ทักษะการรคู้ ดิ แท้จริงแลว้ ไมไ่ ด้เปน็ ส่งิ เดียวกันกับผลการเรียนรู้เนื้อหาสาระของรายวิชา ต่างๆ (academic subjects) ไม่ว่าจะเป็นวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา และ รายวิชาใดๆ แต่ทักษะการรู้คิดเป็นศักยภาพทางสมองในการประมวลผลข้อมูลข่าวสาร ต่างๆ ให้เป็นความรู้ความเข้าใจของบุคคล ผ่านกระบวนการคิดในลักษณะต่างๆ อย่างไรก็ตามทักษะการรู้คิดน้ีเป็นปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้เนื้อหาสาระของรายวิชา ต่างๆ
บทที่ 3 การรู้คิด 91 โดยผู้เรียนที่มีทักษะการรู้คิดในระดับสูงจะสามารถเรียนรู้รายวิชาได้ดีกว่า ผู้เรียนท่ีมีทักษะการเรียนรู้ที่ต่า เช่น ผู้เรียนที่มีความสามารถด้านเหตุผลท่ีดีจะทาให้ เรียนร้คู ณติ ศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ได้ดดี ้วย กล่าวคอื 1. เมื่อทักษะการรู้คิดมีความแข็งแรง (strong) จะทาให้การเรียนรู้ ทางวิชาการ (academic learning) จะมีความรวดเร็ว ง่าย มีประสิทธิภาพและมี ความสุขในการเรียนรู้ 2. เมื่อทักษะการรู้คิดมีความอ่อนแอ (weak) จะทาให้การเรียนรู้ ทางวิชาการจะใช้เวลามาก เป็นสิ่งท่ียาก ขาดประสิทธิภาพและไม่มีมีความสุขในการ เรยี นรู้ การปรับกระบวนการรู้คิด (cognitive accommodation) ของบุคคล ในการปรับความคิดให้เข้ากับสถานการณ์หรือส่ิงเร้าใหม่ทาให้เกิดการปรับเปล่ียน โครงสร้างทางสติปัญญาซ่ึงถ้าหากการปรับกระบวนการรู้คิดนี้เกิดความสมดุลจะเกิด การเรียนรู้ทันที ซ่ึงกระบวนการปรับการรู้คิด เป็นข้ันตอนที่ต่อเน่ืองมาจากการซึมซับ (assimilation) ข้อมูลใหม่และเช่ือมโยงกับข้อมูลเดิม ซึ่งเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ของ Jean Piaget (Wadsworth. 1996) ธรรมชาติของทักษะการรู้คิด เป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดและสังเกตได้โดยตรง (non - direct observation) เพราะทักษะการรู้คิดเป็นศักยภาพของสมองที่อยู่ ภายใน อย่างไรก็ตามทักษะการรู้คิดจะแสดงออกมาให้เห็นจากพฤติกรรมท่ีแสดงออก เชน่ การพูด การกระทา การวางแผน การจัดระบบการตดั สนิ ใจ เป็นตน้ การวิเคราะห์ทักษะการรู้คิดท่ีมีความถูกต้องจะเป็นข้อมูลสารสนเทศ สาหรบั การพัฒนาผู้เรียนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมศักยภาพในการเรียนรู้ของ ผู้เรียนได้ซ่ึงจาเป็นต้องเร่งพัฒนาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเป็นวัยที่สมองพร้อมที่จะจดจา และเรยี นรูส้ ่งิ ตา่ งๆ ได้อย่างรวดเร็ว บุคคลท่ีมีทักษะการรู้คิดจะมีพัฒนาการของความรู้
92 บทที่ 3 การรคู้ ดิ ความเข้าใจ การใช้เหตุผล การสังเคราะห์ การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ เพ่ือนาไปสู่การตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะการรู้คิดเป็นปัจจัยที่สาคัญของ การเรียนรู้ การศึกษาองค์ความรู้ด้านการรู้คิดท่ีมีความเป็นวิทยาศาสตร์และเป็นระบบ เริ่มต้นโดย Wilhelm Maximilian Wundt (ค.ศ. 1832 - 1920) นักฟิสิกส์และ จิตวิทยาชาวเยอรมัน ได้ทาการศึกษากระบวนการทางสมองและอารมณ์ความรู้สึกของ มนุษย์ ด้วยการทดลองและการสงั เกตพฤติกรรม การศึกษาของ Hermann Ebbinghaus (ค.ศ. 1850 - 1909) ที่มุ่งศึกษา ศักยภาพในการจาของมนุษย์ การศึกษาของ Mary Whiton Calkins (ค.ศ. 1863 - 1930) ม่งุ ศกึ ษาศกั ยภาพในการจาเชน่ เดียวกนั กับ Hermann Ebbinghaus รวมถึงการศึกษาของ William James (ค.ศ. 1842 - 1910) ท่ีมุ่งศึกษา ไปที่ประสบการณ์การเรียนรู้ (learning experiences) ของมนุษย์ในชีวิตประจาวัน ได้เขียนตารา เรื่อง Principles of Psychology ซ่ึงเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา องค์ความรู้ด้านการรู้คิดที่ชัดเจนขึ้น (Martin. 2009, Sternberg and Sternberg. 2009, Blomberg. 2011, Franchi and Bianchini. 2011) การศึกษาด้านการรู้คดิ ของนักวชิ าการดังกล่าว ได้ทาให้องค์ความรู้เก่ียวกับ การรคู้ ดิ มีพัฒนาการมาเป็นลาดับจนเกดิ เปน็ ทฤษฎตี า่ งๆ ทีเ่ กย่ี วข้องในหลายสาขาวิชา เช่น สาขาวชิ าจติ วทิ ยา (psychology) และสาขาวิชาวทิ ยาศาสตร์การรู้คิด(cognitive science) มุ่งเน้นศึกษาการรู้คิดในแง่ที่เก่ียวข้องกับกระบวนการประมวลผลข้อมูล สารสนเทศ (information processing) นามาสู่การพัฒนาเป็นองค์ความรู้ หรือเป็น ทฤษฎีตา่ งๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกับการรคู้ ดิ (Blomberg. 2011) ปัจจุบันการศึกษาค้นคว้าวิจัยทางด้านการรู้คิด มุ่งศึกษาองค์คว ามรู้ ที่เก่ียวข้องกับการทางานของสมองท่ีส่งผลต่อการเรียนรู้และพฤติกรรม ครอบคลุม
บทที่ 3 การรคู้ ดิ 93 5 ประเด็น ประกอบด้วย 1) การรับรู้ (perception) 2) ความสนใจ (attention) 3) การจา (memory) 4) ภาษา (language) และ 5) การคิด (thinking) โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองของการคิดซึ่งนักวิชาการได้ให้ความสาคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่มีความจาเป็นต่อการทางานและการดารงชีวิตในสังคมที่มีความ หลากหลายและซบั ซ้อน จุดมุ่งหมายที่สาคัญของการโค้ชเพื่อการรู้คิดนั้น คือ การใช้เทคนิควิธีการ โค้ช ให้ผ้เู รียนมีทกั ษะการรู้คิด ได้แก่ ทักษะการรับรู้ (perception) ทักษะการให้ความ สนใจกับสิ่งใดสิ่งหน่ึง (attention) ทักษะการจา (memory) ทักษะทางภาษา (language) และทักษะการคดิ (thinking) ทีแ่ ขง็ แรงเตม็ ตามศกั ยภาพของผูเ้ รียน 3.2 ทกั ษะการรู้คิด ทักษะการรู้คิด (cognitive skills) หมายถึง ความสามารถในคิดและการ เรียนรู้ (ability to tough and learn) ประกอบด้วย การรับรู้ (perception) ความ สน ใจ ( attention) กา รจ า ( memory) ภ าษ า ( language) แ ละ กา รคิ ด (thinking) โดยมีสมอง (brain) เป็นส่วนประมวลผลข้อมูล (processing) ที่รับเข้ามา จากประสาทสัมผัสต่างๆ ก่อให้เกิดการคิดและการเรียนรู้ขึ้น (Hunt. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) มนษุ ยท์ ุกคนมกี ารพฒั นาทักษะการรู้คิดตั้งแต่แรกเกดิ จากการมีปฏิสัมพันธ์ กับบุคคลและส่ิงแวดล้อมรอบตัว บุคคลท่ีมีประสบการณ์สูงกว่าจะมีพัฒนาการของ ทกั ษะการรู้คดิ ท่ดี กี ว่าบุคคลอีกคนหน่ึงที่มีประสบการณ์น้อยกว่า โดยท่ัวไปทักษะการรู้ คิดจะมีพัฒนาการท่ีดีข้ึนตามลาดับขั้นพัฒนาการ ยกเว้นกรณีที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญา อย่างไรก็ตามทักษะการรู้คิดจะลดต่าลงเมื่อบุคคลมีอายุมากขึ้นซึ่งเป็น ความเส่ือมของสมองตามอายุขัย โดยการพัฒนาทักษะการรู้คิดด้านต่างๆ มีลักษณะ
94 บทท่ี 3 การรคู้ ดิ ท่เี หมือนกันคอื เรม่ิ จากส่ิงท่งี ่ายไปสสู่ ง่ิ ท่ีมีความซบั ซ้อน (complexity) มากข้ึน ซ่ึงใช้ เป็นหลักการเรียนรู้ที่กาหนดไว้เป็นนัยโดยทั่วไป ว่าจะต้องสอนส่ิงท่ีง่ายไปสู่สิ่งท่ียาก ผู้เรียนจะเกิดการพัฒนาการคิดได้ดีกว่าการเรียนส่ิงที่ยากในทันที (Hunt. 2004, Medin. 2005, Martin. 2009, Sternberg and Sternberg. 2009, Blomberg. 2011, Franchi and Bianchini. 2011, Galotti. 2011) ทักษะการรู้คิดในแต่ละด้าน มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทั้งหมด ไม่ว่าจะ เป็นการรับรู้ความสนใจ การจา ภาษา และการคิด ต่างเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ดังแผนภาพตอ่ ไปนี้ การรับรู้ การคดิ ความสนใจ ทักษะการรู้คดิ ภาษา การจา แผนภาพ 8 ความสมั พันธข์ องทกั ษะการรู้คดิ
บทท่ี 3 การรู้คิด 95 3.2.1 การรบั รู้ (perception) การรบั รู้ หมายถึง การแปลความหมายข้อมูลที่บุคคลได้รับจากส่ิงแวดล้อม ผ่านทางอวัยวะรับสัมผัส (sensory motor) ได้แก่ ตา หู จมูก ล้ิน ผิวหนัง ซึ่งการ รับรู้เปน็ พืน้ ฐานของการเรยี นรู้ (Schacter, Gilbert, Wegner. 2011) ขอ้ มลู ทีร่ ับเขา้ มาดังกล่าวจะผ่านระบบประสาท (nervous system) เพื่อ การแปลความหมาย ซึ่งหากสามารถแปลความหมายได้ก็จะเกิดการรับรู้ เช่น เมื่อหูได้ ยนิ เสียง เสยี งจะผ่านไปยงั ระบบประสาทแลว้ เกดิ การแปลความหมายว่าเสียงที่ได้ยินน้ัน เป็นเสียงอะไร ถ้าสามารถแปลความหมายได้ก็จะเกิดการรับรู้ขึ้น ซ่ึงอาจจะเป็นเสียง แตรรถยนต์ เป็นต้น แต่ถ้าระบบประสาทไม่สามารถแปลความหมายของเสียงที่ได้ยิน น้ันได้ก็จะไม่เกดิ การรบั รู้ (Blomberg. 2011) องค์ประกอบของการรับรู้ท่ีนาไปสู่การเรียนรู้และการคิดมีดังต่อไปน้ี (Anderson. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) 1. สิ่งเร้า (stimulus) คือ ส่ิงที่มากระตุ้นประสาทสัมผัส เช่น เหตุการณ์ ภาพ เสียง กลิ่น และการสัมผัส ส่ิงเร้าที่ดีมีผลต่อการรับสัมผัสได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ 2. ประสาทสัมผัส (sense organs) คือ การรับสัมผัสสิ่งเร้าต่างๆ เชน่ การมองเหน็ การได้ยินเสยี ง การไดก้ ล่นิ การรรู้ ส การสัมผัสจับตอ้ ง 3. ประสบการณ์เดิม (experience) ประสบการณ์เดิมที่บุคคลมีอยู่ ก่อนซ่ึงมีอิทธิพลและส่งผลต่อการแปลความหมาย (interpret) สิ่งที่รับสัมผัสอย่างมี ประสทิ ธิภาพ
96 บทที่ 3 การรูค้ ดิ ผู้เรียนจะรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ดีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดงั น้ี (Anderson. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) 1. ความน่าสนใจของสิ่งเร้า โดยสิ่งที่เร้าที่ดีจะต้องดึงดูดความสนใจ ของผู้เรียนได้ดี เช่น ส่ิงเร้าน้ันเป็นอยู่ในความสนใจของชุมชนและสังคม สื่อเคล่ือนไหว สื่อมัลติมีเดีย การเขียนหนังสือท่ีสวยงามของโค้ช การมีบุคลิกภาพท่ีดีของโค้ช การพูด ด้วยถ้อยคาสุภาพอ่อนหวาน เป็นต้น กล่าวโดยสรุปคือ ส่ิงท่ีอยู่รอบตัวผู้เรียนเป็นสิ่งเร้า ท้ังสิ้นและส่ิงเร้าเหล่าน้ีจะนาไปสู่การเรียนรู้ของผู้เรียน หากสิ่งเร้ามีความน่าสนใจ จะช่วยดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจเรียน ติดตามบทเรียน ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้อย่าง ตอ่ เนือ่ ง 2. ความสมบูรณ์ของอวัยวะรับสัมผัสและประสาทสัมผัส เป็นสิ่งที่ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ผู้เรียนจาเป็นต้องมีมาก่อน ส่ิงน้ีเป็นธรรมชาติของผู้เรียนโดยทั่วไป ที่มีอวัยวะรับสัมผัสและประสาทสัมผัสท่ีเป็นปกติ อันเนื่องมาจากการต้ังครรภ์อย่างมี คุณภาพของแม่ การไดร้ ับการฝึกอบรมเลี้ยงดตู ้งั แต่แรกเกิด อย่างไรก็ตามมีเด็กจานวนหนึ่งที่มีอวัยวะรับสัมผัสและประสาทสัมผัส ไม่ปกติ เช่น เด็กที่มีสายตาสั้นเพราะใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไป เด็กท่ีมีปัญหาหูหนวก อันเนื่องมาจากการเจ็บปุวยแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เด็กท่ีมีภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ (cleft lip) อันเน่ืองมาจากกรรมพันธุ์ หรือการด่ืมเหล้า การใช้ยาคุมกาเนิด ของแมใ่ นขณะตัง้ ครรภ์ แลว้ ไม่ได้รบั การผา่ ตดั รักษาทันทหี ลังคลอด เป็นตน้ การตรวจสอบและประเมินผู้เรียนว่ามีอวัยวะรับสัมผัสและประสาทสัมผัส เป็นปกติหรือไม่ หรือบางคร้ังเรียกว่าการวินิจฉัยผู้เรียน เป็นสิ่งท่ีสาคัญ ท่ีโค้ชต้อง มีความรู้และสามารถทาได้ เช่น ผู้เรียนคนหนึ่งเขียนหนังสือตามท่ีโค้ชเขียนให้ดูไม่ได้ ถ้าโค้ชไมม่ คี วามรู้ในเรื่องน้ี อาจเข้าใจผดิ วา่ ผเู้ รยี นคนน้เี ปน็ ปญั ญาออ่ น จึงส่งต่อไปเรียน โรงเรียนเด็กปัญญาอ่อนก็ได้ ซึ่งแท้จริงแล้วเด็กคนนี้มีปัญหาสายตาส้ันมาก เมื่อเด็ก ได้รับการวัดสายตาและตัดแว่นแล้ว ก็สามารถเขียนหนังสือตามครูได้เป็นอย่างดี เปน็ ต้น
บทที่ 3 การรู้คิด 97 3. ระดับสติปัญญา ระดับสติปัญญา (Intelligence Quotient: IQ) เป็นปัจจัยท่ีส่งผลต่อการรับรู้ องค์ประกอบของระดับสติปัญญา ประกอบด้วย คณิตศาสตร์ การใช้ภาษา การคิดเชิงตรรกะ การมองเห็น การจัดหมวดหมู่ ความจา ระยะส้ัน ความรู้ทั่วไป ความเร็วในการคานวณ ผู้เรียนที่มีระดับสติปัญญาปกติหรือสูง จะสามารถรบั รู้ได้ดีกว่าผู้เรียนที่มีระดับสติปัญญาต่า อย่างไรก็ตามระดับสติปัญญาเป็น ส่ิงท่ีพัฒนาได้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การจัดกิจกรรมให้เกิดประสบการณ์ท่ีกว้างขวาง การรับประทานอาหารท่ีมีคุณภาพ การมีอารมณ์ดี จิตใจร่าเริงแจ่มใส การมีความสุข การคดิ ทางบวก การเหน็ คณุ ค่าในตนเอง การหมน่ั ใชค้ วามคิด เป็นต้น 4. ประสบการณ์ ปัจจัยสนับสนุนการรับรู้อีกประการหนึ่งคือ ประสบการณเ์ ดิม ผเู้ รยี นทมี่ ปี ระสบการณเ์ ดิมมาก จะรับรู้และเรียนรู้ได้ดีกว่าผู้เรียนท่ีมี ประสบการณ์เดิมน้อย เช่น ผู้เรียนที่มีโอกาสไปเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ วัด สวนสัตว์ สวนสาธารณะ เป็นต้น การมีประสบการณ์ที่หลากหลายจะเป็นฐานข้อมูลท่ีสาคัญ สาหรบั การรับร้แู ละเรียนรู้ส่ิงใหม่ๆ โค้ชควรจัดประสบการณ์ท่ีหลากหลายให้กับผู้เรียน อย่างต่อเน่ือง เพราะประสบการณ์เหล่าน้ีจะเป็นพื้นฐานในการรับรู้และเรียนรู้ สิ่งใหม่ ในวนั ข้างหนา้ 5. สภาวะทางจิตใจ เป็นปัจจัยที่สาคัญท่ีสุดท่ีทาให้เกิดการรับรู้และ การเรียนรู้ ผู้เรียนจะรับรู้และเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดีเม่ือมีสภาวะทางจิตใจท่ีผ่อนคลาย มีความสุข ไม่เครียดและวิตกกังวล ความผ่อนคลายและมีความสุขจะนาไปสู่คล่ืนสมอง ที่เปน็ คล่นื อัลฟา (alpha wave) เปน็ สภาวะที่พร้อมจะรับรู้และเรียนรู้ ในทางกลับกัน สภาวะทางจิตใจที่มคี วามเครียดและวิตกกังวล เป็นสภาวะที่ไม่พร้อมจะรับรู้และเรียนรู้ ส่ิงใดๆ โคช้ มหี น้าที่ปรับสภาวะจติ ใจของผู้เรียนให้ผ่อนคลายและมีความสุข ด้วยวิธีการ ต่างๆ เช่น การยิ้มแย้มแจ่มใส การหวั เราะ การใช้ภาษาทางบวก เป็นต้น ผเู้ รียนเลอื กรับรู้ในสง่ิ ท่ตี นเองตอ้ งการเป็นลาดับแรก ถ้าใช้มุมมองเชิงธุรกิจ จะพบว่าโค้ชเปรียบเสมือนเจ้าของธุรกิจ เนื้อหาสาระเปรียบเสมือนสินค้าและผู้เรียน
98 บทที่ 3 การรู้คดิ เปรยี บเสมอื นผู้บริโภค โดยทั่วไปแล้วผู้บริโภคจะเลือกบริโภคส่ิงท่ีตรงกับความต้องการ สง่ิ ที่ประทบั ใจ สิ่งที่ชอบ เปน็ สาคัญ ดังนั้นหากโค้ชสามารถนาเสนอเน้ือหาสาระหรือส่ิงที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ โดยทาใหผ้ เู้ รียนเกดิ การรบั รวู้ ่าทสี่ ่งิ ทเ่ี รียนน้ันมีความสาคัญเป็นส่ิงที่มีคุณค่ามีประโยชน์ เป็นส่ิงทีจ่ าเป็นได้ จะเปน็ ต้นทุนท่ดี ีมากสาหรบั การจดั การเรียนรู้ การสร้างการรับรู้ของผู้เรียนเป็นความสามารถเบื้องต้นของ โค้ชทุกคน ในการเปดิ ใจผู้เรียนให้เปดิ รับการเรยี นรูซ้ ง่ึ มีดังตอ่ ไปนี้ 1. การทาให้ผเู้ รียนเห็นคุณคา่ และความสาคญั ของส่งิ ทจ่ี ะเรยี นรู้ 2. การสร้างความรสู้ ึกว่าส่งิ ทจ่ี ะเรียนรูเ้ ปน็ สง่ิ ท่ีงา่ ยและไมย่ าก 3. การสรา้ งความเชอ่ื มัน่ ให้กบั ผเู้ รยี นว่าสามารถเรียนร้ไู ด้ 4. การทาลายความเครียดและความวติ กกงั วลของผเู้ รียน 5. การสร้างความรสู้ ึกว่าผูเ้ รียนเปน็ บุคคลสาคญั ของโค้ช การรบั รู้ความสามารถในตนเอง (self – efficacy) เปน็ การรบั รวู้ ่าตนเองมคี วามสามารถในการที่จะทาอะไรบางส่ิงบางอย่างได้ ประสบความสาเร็จ ซ่ึงนาไปสู่การลงมือปฏิบัติส่ิงนั้นจนบรรลุเปูาหมาย การรับรู้ ความสามารถในตนเองเป็นพลังการเรียนรู้ที่อยู่ในตัวผู้เรียนทุกคน หากผู้เรียนรับรู้ว่า ตนเองมีความสามารถแล้วจะเป็นแรงผลักดันให้มีความต้ังใจ มุ่งม่ัน พยายามในการ เรยี นรอู้ ย่างต่อเน่อื ง (Eisenberger Antonio and Bertrando. 2005)
บทท่ี 3 การรู้คิด 99 การกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการรับรู้ในตนเอง เป็นหน้าท่ีของโค้ชอย่างหนึ่ง ทีต่ อ้ งทาให้ผ้เู รยี นทกุ คนมีการรบั รวู้ า่ ตนเองมคี วามรู้ ความสามารถ ซึง่ มีหลายวธิ ี เชน่ 1. การพูดชักจงู ใจ เชน่ ครูเชื่อว่าเธอทาได้ 2. การช่นื ชมเมือ่ ผู้เรยี นประสบความสาเรจ็ 3. การให้ประสบการณแ์ หง่ ความสาเร็จแกผ่ เู้ รยี น 4. การให้เห็นตัวแบบคนทป่ี ระสบความสาเรจ็ 5. การช้อนความรู้สกึ ของผเู้ รียนเมือ่ รู้สึกว่าไม่มีความสามารถ 3.2.2 ความสนใจ (attention) ความสนใจเป็นกระบวนการทางสมองในการเลือกให้ความสาคัญกับส่ิงใด ส่ิงหน่งึ ในขณะที่ไม่สนใจส่ิงอ่ืน ความสนใจเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) ความสนใจ ทีเ่ กดิ จากปัจจัยภายนอกหรือสิ่งเร้า 2) ความสนใจท่ีเกิดจากปัจจัยภายใน เป็นความ สนใจทเ่ี กดิ ขึ้นจากความตอ้ งการของบคุ คล โดยไม่มสี งิ่ เร้าภายนอก โดยธรรมชาติบุคคล จะสามารถให้ความสนใจกับส่ิงใดสิ่งหน่งึ ในเวลาเดียวกนั ไดเ้ พียงสิ่งเดยี ว ดังแผนภาพด้านล่างที่แสดงความสนใจขณะท่ีอ่านหนังสือโดยมีจุดที่ให้ ความสนใจ (focus) เพยี งจดุ เดียว (Anderson. 2005) แผนภาพ 9 การให้ความสนใจในขณะอ่านหนงั สอื ทีม่ า https://en.wikipedia.org/wiki/Attention#/media/ File:Wikipedia-spotlight.jpg สืบคน้ เมื่อ 8 สงิ หาคม 2558
100 บทท่ี 3 การรู้คิด การให้ความสนใจมี 3 ลักษณะ ได้แก่ (Anderson. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) 1. ความยาวนานของการให้ความสนใจสิ่งใดส่ิงหนึ่ง (sustained attention) เป็นความสามารถในการให้ความสนใจกับส่ิงใดสิ่งหน่ึงได้เป็นระยะเวลา ตดิ ต่อกนั นาน มีความหมายคลา้ ยคลงึ กับคาว่า สมาธิ เช่น การอ่านหนังสือได้ติดต่อกัน เป็นระยะเวลานาน เปน็ ต้น 2. การเลือกส่ิงท่ีให้ความสนใจ (selective attention) ซึ่งเป็น ความสามารถในการเลือกให้กับสนใจกับบางส่ิงบางอย่าง และไม่ให้ความสนใจกับบาง ส่ิงบางอยา่ ง เชน่ การทางานให้เสรจ็ ทลี ะอยา่ ง เป็นตน้ 3. การแบ่งความสนใจ (divided attention) ซึ่งเป็นการให้ ความสามารถในการให้ความสนใจกับสิ่งหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน (multi - tasking) เชน่ การทางานหลายอย่างในเวลาเดียวกนั ซึ่งเป็นทกั ษะของเดก็ ในปัจจุบันที่ทาการบ้าน ไปพรอ้ มกบั การฟังเพลง เป็นตน้ ปัจจัยท่ีทาให้บุคคลเกิดความสนใจกับส่ิงใดสิ่งหน่ึงแบ่งเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ (Anderson. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) 1. ปัจจัยภายนอก หมายถึง คุณลักษณะหรือลักษณะของสิ่งเร้า ทีส่ ามารถดึงดูดความสนใจได้ เชน่ แสง สี เสยี ง กลิ่น เปน็ ตน้ 2. ปัจจัยภายใน หมายถึง ความสนใจของแต่ละบุคคล ซ่ึงมีความ แตกต่างกันซ่ึงปัจจัยภายในจะเป็นตัวผลักดันให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจ นั้น โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัย จากภายนอก เช่น บุคคลท่ีมีความสนใจเก่ียวกับการเรียน การสอนคณิตศาสตร์ จะมีการศึกษาค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับการเรียนการสอน คณิตศาสตร์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องอาศัยส่ิงเร้าจากภายนอกมากระตุ้นให้เกิดความ สนใจ
บทท่ี 3 การรูค้ ดิ 101 ความสนใจของบุคคลอาจแสดงออกให้เห็นเป็นพฤติกรรม (overt attention) หรืออาจเป็นในรูปของการคิดที่ไม่แสดงออกมาเป็นพฤติกรรม (covert attention) เชน่ ขณะท่ีอ่านหนงั สือสายตาของผอู้ ่าน ที่มองตัวอักษรน้ันเป็นพฤติกรรม ท่ีแสดงออกถึงความสนใจ ในขณะท่ีความคิดท่ีเกิดขึ้นระหว่างการอ่านนั้นเป็นความ สนใจท่ไี ม่ไดแ้ สดงออกมาเป็นพฤตกิ รรม (Wright and Ward. 2008) การสร้างความสนใจเป็นหวั ใจหลักที่ทาใหผ้ ู้เรียนติดตามบทเรยี นตลอดเวลา ผูเ้ รยี นจะสนใจบทเรียนหรือไม่ข้นึ อยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ลักษณะของกิจกรรม การเรียนรู้ ลักษณะของสื่อการเรียนรู้ เน้ือหาสาระ บุคลิกภาพของโค้ช สภาพแวดล้อม สิ่งรบกวนต่างๆ เป็นต้น ซ่ึงการสร้างความสนใจโค้ชสามารถทาได้หลายวิธีการโดยมี หลักการที่สาคัญได้แก่ 1) การมีบุคลิกภาพที่ดีของโค้ช 2) การเปล่ียนกิจกรรมการ เรียนรู้อย่างเหมาะสม 3) การใช้น้าเสียงที่มีการปรับระดับสูงต่าอย่างเหมาะสม 4) การ ใช้ท่าทางประกอบในการอธิบายหรือการบรรยาย และ 5) การใช้สื่อประกอบการ จัดการเรียนรู้ สือ่ ทม่ี พี ลัง คอื สือ่ ทสี่ ามารถกระต้นุ การคดิ ข้นั สงู ไดด้ ี 3.2.3 การจา (memory) การจาเป็นกระบวนการท่ีสมองลงรหัสข้อมูล (encoding) โดยข้อมูล สารสนเทศแล้วจัดเก็บ (stored) ไว้ในความทรงจาและสามารถค้นคืน (retrieved) มาใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ประกอบด้วยกระบวนการลงรหัส การจัดเก็บและการค้นคืน ดงั น้ี (Anderson. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) การลงรหัส (encoding) เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการจาโดยสมองจะ มีการรับข้อมูลแล้วทาการประมวลผลเป็นสิ่งที่สมองสามารถจดจาไว้ได้ซ่ึงอาจเป็น ภาพ ตัวอกั ษร ภาษา เป็นต้น การจัดเก็บ (stored) เป็นขั้นตอนที่สองของกระบวนการจาสมองจะ จดั เกบ็ รหัสหรือสิ่งท่ีจดจาไว้อย่างถาวร (การลืมเกิดจากการท่ีสมองไม่สามารถเก็บรหัส ไว้ได้อย่างถาวร) พร้อมทจี่ ะถกู ค้นคนื มาใชง้ าน
102 บทท่ี 3 การรคู้ ดิ การค้นคนื (retrieved) บางครง้ั เรยี กว่า recall หรือ recollection เป็น ขั้นตอนท่ีสามของกระบวนการจา โดยสมองจะค้นข้อมูลท่ีจดจาไว้มาใช้งานใน สถานการณ์ต่างๆ การจาได้หรือที่เรียกว่าความจาแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ (Anderson. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) 1. ความจาระยะส้ัน (short–term memory) หรือความจา ทางาน (working memory) เป็นความจาท่ีใช้ในการคิดขั้นสูง ตลอดจนการ แก้ปัญหา การทางาน การตัดสินใจ การสร้างสรรค์นวัตกรรม ซ่ึงนับว่าเป็นความจา ที่สาคัญและจาเป็นสาหรับการดารงชีวิตประจาวัน ซึ่งการโค้ชเพ่ือการรู้คิดสามารถ กระตุ้นความจาทางานได้โดยการใช้พลังคาถามที่กระตุ้นการคิดข้ันสูงซึ่งจะทาให้ผู้เรียน ใช้ความจาทางานมาคดิ แก้ปัญหาและตดั สนิ ใจ 2. ความจาระยะยาว (long – term memory) เป็นการจาสิ่ง ใดสิ่งหน่ึงได้ในระยะเวลายาวนาน เป็นความจาท่ีค่อนข้างถาวร หรือจาได้ไม่ลืม ความจาระยะยาวมีหลายลักษณะ เช่น จาเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่างๆ จาส่ิงท่ีเป็น องค์ความรู้ จาอารมณ์ความรู้สึก จาส่ิงที่ลงมือปฏิบัติจริง เป็นต้น โดยทั่วไปบุคคลจะมี ความจาระยะยาวในเรื่องใดเรื่องหนึ่งท่ีตนเองได้เข้าไปมีส่วนร่วมหรือการลงมือปฏิบัติ ในส่ิงน้ัน ความจาระยะยาวถูกนามาใช้ในเร่ืองท่ีมีความสาคัญๆ ที่ต้องใช้ข้อมูลขนาด ใหญ่ (big data) มาเปน็ สารสนเทศประกอบการคิดและตดั สนิ ใจ การจาเป็นพ้ืนฐานที่สาคัญของการเรียนรู้ เพราะเป็นฐานข้อมูลความรู้ ท่ีสะสมไว้ในสมองและสามารถดึงมาใช้ในการคิด การแก้ปัญหา และการสร้างสรรค์ ได้ทนั ที เชน่ การเรียนร้ขู องผ้เู รียนเรื่องการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ผู้เรียนท่ีจาสูตร คูณ วิธีการ และข้ันตอนการแก้โจทย์ปัญหาท่ีเคยเรียนรู้มาแล้วได้ จะสามารถแก้โจทย์ ปัญหาคณิตศาสตร์ข้อน้ันได้เร็วกว่าคนท่ีจาสูตรคูณ วิธีการ และขั้นตอนการแก้โจทย์ ปญั หาที่เคยเรยี นรมู้ าแลว้ ไมไ่ ด้ อย่างไรก็ตามการจาท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ ต้องเป็นการจา ท่ีมีพื้นฐานมาจากความเข้าใจ (comprehension) ซึ่งเป็นความเข้าใจท่ีเหนือกว่า การเข้าใจแบบ understanding ไม่ใชก่ ารจาแบบ “นกแก้วนกขุนทอง”
บทที่ 3 การรคู้ ดิ 103 3.2.4 ภาษา (language) การเรียนรู้ภาษาเป็นความสามารถในการเรียนรู้ระบบการใช้สัญลักษณ์ ทมี่ ีความซับซ้อนเพื่อการสอ่ื สารของบุคคล เป็นประเด็นหนึ่งของการศึกษาด้านการรู้คิด ภาษาใดๆ ท่ีใช้ในการสื่อสารจะมีลักษณะร่วมกันคือความเป็นระบบ (system) ศาสตร์ ที่ว่าด้วยการศึกษาค้นคว้าทางด้านภาษา เรียกว่าภาษาศาสตร์ (linguistics) ส่วน ศาสตรท์ ี่ศกึ ษาคน้ ควา้ ทางด้านสมองกับการเรียนรู้ภาษาตลอดจนพยาธิสภาพของสมอง ท่ีทาให้เกิดปัญหาในการใช้ภาษา เรียกว่า ภาษาศาสตร์ประสาทวิทยา (neurolinguistics) (Anderson. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) ก า ร ศึ ก ษ า ด้ า น ป ร ะ ส า ท วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ก า ร รู้ คิ ด ( cognitive neuroscience) ถือว่า การเรียนรู้ภาษาเป็นความสามารถของสมองในการเรียนรู้และ ใช้ระบบการสอื่ สารทมี่ ีความซับซอ้ น โดยไม่ว่าจะเป็นการฟังการพูด การอ่าน การเขียน ตลอดจนสญั ลักษณต์ ่างๆ ทใี่ ช้ในการสื่อสาร (Galotti. 2011) สมองเป็นศนู ยก์ ลางของการเรียนรู้ด้านภาษา สมองทาหน้าท่ีท้ังในด้านการ สร้างความรู้ความเข้าใจทางภาษาและการสื่อสารภาษา เช่น การพูด การเขียน เป็นต้น โดยสมองสามารถเรียนรู้ การใช้ภาษาได้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมและส่ิงแวดล้อม โดยธรรมชาติแล้วจะเรียนรู้จากการฟังเป็นลาดับแรก จากน้ันจะเป็นการออกเสียงหรือ การพูด การอ่าน และการเขียน ตามลาดับของพัฒนาการทางสติปัญญา (Anderson. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) ความสามารถด้านภาษา คือ ความสามารถในการอ่าน การฟัง การดู การพูด เพื่อรู้ เข้าใจ วิเคราะห์ สรุปสาระสาคัญ ประเมินส่ิงท่ีอ่าน ฟัง ดู จากส่ือประเภทต่างๆ และสื่อสารด้วยการพูด การเขียนได้ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาอย่างสร้างสรรค์ เพื่อการนาไปใช้ใน
104 บทท่ี 3 การรู้คิด ชีวิตประจาวัน การอยู่ร่วมกันในสังคมและการศึกษาตลอดชีวิต (Anderson. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) 3.2.5 การคดิ (thinking) การคิด มาจากคาในภาษาอังกฤษโบราณ ว่า þoht, or geþoht เป็น ศักยภาพของสมองในการประมวลข้อมูล เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการคิด เช่น การ ทาความเข้าใจ การตีความ การทานาย การประเมินคุณค่า การจาแนก การจัด หมวดหมู่ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การสร้างสรรค์นวัตกรรม เป็นต้น (Anderson. 2004, Medin. 2005, Galotti. 2011) ในทางประสาทวิทยาศาสตร์ (cognitive neuroscience) การคิดเป็นการ ส่งข้อมูลหรือสารส่ือประสาท (neurotransmitter) โดยมีสารเคมีท่ีมีหน้าท่ีในการนา สญั ญาณไฟฟาู จากเซลลป์ ระสาทเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หน่ึง) ในรูปของสัญญาณไฟฟูา ทางเคมี (electrochemical signaling) (Gazzaniga, Ivry, and Mangun. 2013) ความจา การคิด การเรยี นรู้ แผนภาพ 10 การส่งสารสื่อประสาทระหวา่ งเซลลป์ ระสาทเซลล์หนง่ึ ไปยังอีกเซลล์หนึง่ ทม่ี า http://cdn.phys.org/newman/gfx/news/hires/understandin.jpg สืบค้นเมือ่ 8 สงิ หาคม 2558
บทท่ี 3 การรคู้ ดิ 105 การคิด (thinking) ทาให้เกิดความคิด (thought) บุคคลที่มกี ารคิดอย่าง มีประสิทธิภาพ มีตวั ชวี้ ดั 4 ประการ ไดแ้ ก่ (วชิ ยั วงษ์ใหญ่. 2555) 1. มีจดุ มุ่งหมายในการคดิ 2. คิดอยบู่ นพ้นื ฐานข้อมลู 3. ใชป้ ัญญา (เหตุผล) ตรวจสอบความคิด 4. คิดทางบวกและสรา้ งสรรค์ การคดิ แบ่งเปน็ 2 ระดับ ได้แก่ (Lazear. 2004, Brookhart. 2010) 1. การคิดขั้นพื้นฐานประกอบด้วย การจา (remembering) การทา ความเข้าใจ (understanding) การประยกุ ต์ใช้ (applying) 2. การคิดข้ันสูง (higher – order thinking) ประกอบด้วยการคิด วิเคราะห์ (analytical thinking) การคิดสังเคราะห์ (synthesis thinking) การคิด ประเมินค่า (evaluate thinking) การคิดสร้างสรรค์ (creative thinking) การคิด วิจารณญาณ (critical thinking) การคิดเป็นระบบ (systematic thinking) การคิด แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์(creative problem solving) ซ่ึงเป็นปัจจัยทาให้เกิดการ เรียนรู้ ในพระพุทธศาสนาแบ่งวธิ ีการคดิ ออกเป็น 10 วธิ ี ซง่ึ เปน็ วิธีการคิดข้ันสูงท่ีมี ลักษณะบูรณาการการคดิ ต่างๆ เรยี กวา่ โยนโิ สมนสกิ าร คือ หลักธรรมที่ว่าด้วย การใช้ ความคิดถูกวิธี คือ การทาในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา สืบค้นถึงต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสาย แยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาท่ีคิด เป็นระเบียบ และโดยอุบายวิธี ให้เห็นส่ิงน้ันๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตาม ความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย (reasoned attention; systematic attention; analytical thinking; critical reflection; thinking in terms of specific
106 บทที่ 3 การรคู้ ดิ conditionality; thinking by way of causal relations or by way of problem - solving) (คัดมาจากหนังสือ พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของ พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ. ปยุตโต) วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ คือ การนาวิธีคิด 10 วิธีมาใช้ในทางปฏิบัติ ดังนี้ (สรปุ มาจากหนังสอื พทุ ธธรรม พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต). 2557) 1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คือ พิจารณาปรากฏการณ์ที่เป็นผล ให้รู้จักสภาวะที่เป็นจริง หรือพิจารณาปัญหาหาหนทางแก้ไข ด้วยการค้นหาสาเหตุ และปัจจัยต่างๆ ท่ีสัมพันธ์ ส่งผลสืบทอดกันมา อาจเรียกว่า วิธีคิดแบบอิทัปปัจจยตา หรือคิดตามหลักปฏิจจสมุปบาท แบ่งเป็นวิธีคิด ย่อยอีก 2 วิธี คือ 1) คิดแบบปัจจัย สัมพนั ธ์ และ 2) คิดแบบสอบสวนหรือต้ังคาถาม 2. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ คือ การคิดมุ่งให้แยกแยะและ ให้รู้จักสิ่งท้ังหลายตามสภาวะของสิ่งน้ัน เม่ือแยกแยะส่วนประกอบออกแล้วจะเห็น ภาวะท่อี งค์ประกอบเหลา่ น้นั ตรงกับการคดิ วิเคราะห์ทใี่ ชก้ ันอย่ใู นปัจจุบนั 3. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ หรือ วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คือ การคิดอยา่ งรู้เท่าทันความเป็นไปของสิ่งท้ังหลายซึ่งจะต้องเป็นอย่างน้ันๆตามธรรมชาติ ของมันเอง ในฐานะท่ีเป็นส่ิงซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ จะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่หนึ่ง คือ รู้เท่าทันและยอมรับความจริง เป็นขั้นท่ีวาง ทา่ ทีต่อสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับความเป็นจรงิ ธรรมชาติ ข้ันที่สอง คือ แก้ไขและทา การ ไปตามเหตุปัจจัย เป็นการปฏิบัติต่อส่ิงท้ังหลายโดยสอดคล้องกับความจริง ตามธรรมชาติ เป็นการปฏิบัติด้วยปัญญา ด้วยความรู้เท่าทัน เป็นอิสระ ไม่ผูกมัด ตวั แก้ไข ด้วยความรู้และแกท้ ตี่ วั เหตปุ จั จยั 4. วิธีคิดแบบอริยสัจจ์ หรือคิดแบบแก้ปัญหา คือ วิธีคิดแห่งความ ดับทุกข์ มีลักษณะท่ัวไป 2 ประการ คือ 1) วิธีคิดตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหา เหตแุ ลว้ แกไ้ ขที่ตน้ เหตุ 2) เป็นวิธีคิดท่ีตรงจดุ ตรงเรื่อง ตรงไปตรงมา มุ่งตรงต่อสิ่งท่ีต้อง
บทที่ 3 การร้คู ดิ 107 ปฏิบตั ิ ใช้แก้ปญั หา ไม่ฟงูุ ซ่านออกไปในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา กระบวนการ คดิ แบบอริยสจั จ์ มี 4 ข้นั ตอนดงั น้ี ขั้นท่ี 1 ทุกข์ คือ สภาพปัญหา ความคับข้อง ติดขัด กดดัน บีบค้ัน บกพร่อง สาหรับทุกข์น้ี เรามีหน้าที่เพียงกาหนดรู้ คือ ทาความเข้าใจและ กาหนดประเดน็ ปัญหาใหช้ ดั และทาความเขา้ ใจปัญหา ขนั้ ท่ี 2 สมุทัย คือ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ได้แก่ เหตุปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์กันสืบทอดกันมา ซ่ึงต้องสืบค้น วิเคราะห์และวินิจฉัย สาเหตขุ องปญั หาใหพ้ บ ขน้ั ท่ี 3 นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์ ภาวะไร้ทุกข์ พ้นปัญหา เป็นจุดหมายที่ต้องการ ในข้ันนี้จะต้องกาหนดได้ว่าจุดหมายท่ีต้องการคือ อะไร จุดหมายน้ันเป็นไปได้หรือไม่ เป็นไปได้อย่างไร มีหลักการอย่างไร มีจุดมุ่งหมาย รองอะไรบ้าง ขั้นที่ 4 มรรค คือ ทางดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ หรอื วิธแี ก้ไขปญั หา ได้แก่ วธิ กี ารและรายละเอยี ดส่ิงที่ต้องปฏิบตั ิจริง 5. วิธคี ดิ แบบอรรถธรรมสัมพันธ์ หรือคิดตามหลักการและความมุ่ง หมาย คือ พิจารณาให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหลักการกับความมุ่งหมายเพื่อให้ ได้ผลตรงตามความมุ่งหมาย 6. วิธีคิดแบบรู้ทันคุณโทษและทางออก คือ การพิจารณาส่ิง ท้ังหลายตามความเป็นจริง ในทุกแง่ทุกด้าน ท้ังด้านดีและด้านเสีย ท้ังคุณ ท้ังโทษ ของสิง่ นน้ั วิเคราะหจ์ ุดหมายทตี่ อ้ งการบรรลุว่าคืออะไร และมีวธิ ีการดาเนินการอย่างไร 7. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้ – คุณค่าเทียม คือ การพิจารณาเก่ียวกับ การใชส้ อย หรือการบรโิ ภค เป็นวิธคี ดิ ทบ่ี รรเทาตัณหา ขัดเกลากิเลส ตัดทางไม่ให้กิเลส
108 บทที่ 3 การรู้คิด เขา้ มาครอบงาจิตใจ คณุ คา่ แท้ คอื คุณค่าหรือประโยชน์ในแง่ท่ีสนองความต้องการของ ชีวติ โดยตรง เพ่ือความดีงาม ความดารงอยู่ด้วยดีของชีวิต หรือเพื่อประโยชน์สุขท้ังของ ตนเองและผู้อื่น คุณค่าเทียม คือ คุณค่าหรือประโยชน์ท่ีพอกเพิ่มให้แก่สิ่งนั้น เพอื่ ปรนเปรอความต้องการ หรือคณุ คา่ สนองตณั หา 8. วธิ ีคิดแบบเร้ากุศล คือ การทาใจท่ีชักนาความคิดให้เดินไปในทาง ที่ดีงามและเป็นประโยชน์ ช่วยแก้นิสัยความเคยชินที่ชั่วร้าย พร้อมกับสร้างนิสัยความ เคยชนิ ใหม่ ทด่ี งี ามใหแ้ ก่จิต 9. วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน คือ การใช้ความคิด และเนื้อหาของ ความคิดอย่างมีสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน เป็นการคิดในแนวทางของความรู้หรือคิดด้วย อานาจปญั ญา ไมว่ า่ จะเปน็ เร่อื งทเ่ี ปน็ ไปอยู่ในขณะน้ี หรือเป็นเร่ืองล่วงไปแล้ว หรือเป็น เร่ืองของกาลภายหน้า ก็จัดเข้าในการอยู่กับปัจจุบันท้ังนั้น ความคิดที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน คือ ความคดิ ที่เลอ่ื นลอยไปตามอานาจของตัณหา คิดไปตามอารมณแ์ ละความรู้สกึ 10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท หรือ วิธีคิดแบบจาแนกแยกแยะ คือ การพิจารณาโดยแยกแยะให้เห็นแต่ละแง่แต่ละด้านครบทุกแง่ทุกด้าน ไม่จับเอาแง่หน่ึง แง่เดียว หรือบางแง่ ข้ึนมาวินิจฉัยตีคลุมลงไป หรือประเมินคุณค่าความดีความชั่ว โดยถอื เอาสว่ นเดยี วหรือบางสว่ นเทา่ น้ันแล้วตดั สินพรวดลงไป เม่ือสังเคราะห์การคิดแบบโยนิโสมนสิการท้ัง 10 วิธีดังกล่าวแล้วเหลือ ศักยภาพของการคดิ 4 ประการดงั นี้ (พระธรรมปฏิ ก (ป.อ.ปยตุ ฺโต). 2546) 1. อุปายมนสิการ คือคิดถูกวิธี มีวิธีคิด วิธีวิจัย และใช้วิธีการน้ัน อย่างถูกตอ้ งวอ่ งไว 2. ปถมนสิการ คือคิดมีระเบียบ การศึกษาจะต้องสอนให้คนคิด ต่อเนือ่ งอย่างเปน็ ระบบ มรี ะเบียบ ไม่กระโดดไปกระโดดมา คิดอยา่ งมีเปาู หมาย
บทท่ี 3 การรู้คดิ 109 3. การณมนสิการ คือคิดมีเหตุผล สามารถเชื่อมโยงว่าเหตุผลนี้ นาไปสผู่ ลอะไรหรอื ผลนี้ มาจากเหตุอะไร 4. อุปปาทกมนสิการ คือ การคิดท่ีเป็นกุศล เป็นการคิดเพื่อค้นหา แก่นสารสาระเม่ือได้รับข้อมูลข่าวสารมากมาย ต้องรู้จักกรองเอาส่วนที่เป็นประโยชน์ และเหมาะสมกบั เรา การคิดเป็นกระบวนการทางสมองท่ีเกิดขึ้นในชีวิตประจาวัน และเป็นปัจจัย ท่ีสาคัญที่สุดของการเรียนรู้ บุคคลที่มีศักยภาพในการคิดจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตลอดจนสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่าง ต่อเนื่อง ทักษะการรู้คิดที่กล่าวมา เป็นจุดเน้นของการโค้ชเพื่อการรู้คิดซ่ึงจาเป็น อยา่ งยิ่งที่โค้ชจะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถปฏิบัติการโค้ชให้ ผู้เรียนมีพัฒนาการของทักษะการรู้คิดได้อย่างต่อเนื่อง โดยทักษะการรู้คิดดังท่ีกล่าวมา น้ันสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ในหนังสือตาราทางด้านจิตวิทยา ที่มีอยู่ทั้งในและ ต่างประเทศจานวนมาก การโค้ชเพื่อการรคู้ ดิ เพ่อื พัฒนาผเู้ รียนไปสสู่ ังคมในอนาคต มีจุดเน้นท่ีสาคัญ ทสี่ ุดคอื การโคช้ เพ่ือพัฒนาการคิด โดยเฉพาะการคิดข้ันสูง (higher – order thinking) เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดวิจารณญาณ เป็นต้น เพราะการคิด เท่าน้ันที่จะทาให้ผู้เรียนสามารถดารงชีวิตอยู่ในพหุสังคมได้อย่างมีคุณภาพ มีความสุข สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเน่ือง ตลอดจนการทาประโยชน์เพ่ือส่วนรวม และการ ชว่ ยเหลอื เกื้อกูล เอือ้ เฟ้อื เผอ่ื แผ่บุคคลอืน่ ดว้ ยเหตนุ ้โี ค้ชจงึ เปน็ มากกว่าการเป็นผู้สอนหรือผู้บอกกล่าวเท่านั้น แต่โค้ช คือผู้ที่จะทาให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาด้านการคิดได้ด้วยตนเองอย่างต่อเน่ือง โดยใช้ เทคนิควิธีการโค้ชอย่างหลากหลาย สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียนรายบุคคลและ บริบทต่างๆ ที่มีอิทธิพลและส่งผล ต่อการเรียนรู้ ดังน้ันการเป็นโค้ชจึงเป็นสิ่งท่ีผู้สอน จะต้องเรยี นรูแ้ ละปรับเปล่ียนบทบาทของตนเองเปน็ โคช้ ทด่ี ีและเก่ง
110 บทท่ี 3 การร้คู ดิ 3.3 การคิดข้นั สงู การคิด คือ การกระทาทุกส่ิงทุกอย่างในสมอง เช่น การระลึกความทรงจา หรือความรู้ การทาความเข้าใจ การวิเคราะห์ การตีความ การตรวจสอบทบทวน การคาดการณ์ในอนาคต การให้เหตุผล การประเมินคุณค่า การตัดสินใจ การวางแผน การออกแบบ เป็นต้น การคิดมีหลายลักษณะซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญสาหรับการเรียนรู้และการ ดารงชีวิต ผู้เรียนจาเป็นต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านการคิดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการคิดข้ันสูง (higher order thinking) เช่น การคิดวิเคราะห์ (เป็น จุดเริ่มต้นของการคิดข้ันสูง) การคิดสังเคราะห์ การคิดเชิงระบบ การคิดเชิงเหตุผล การคิดเชิงตรรกะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดไตร่ตรอง การคิดริเร่ิม การคิด สร้างสรรค์ โดยโค้ชท่ีมีความรู้ความสามารถ อันจะทาให้ผู้เรียนมีพัฒนาการของการคิด ขน้ั สงู ไดอ้ ย่างตอ่ เนอ่ื ง การ คิดข้ันสูงแต่ล ะปร ะเภ ทเป็นส่ิงท่ีโ ค้ชต้องมีความรู้ค วามเข้าใจอย่าง ชัดเจน เพ่ือให้สามารถทาการโค้ชผู้เรียนให้มีการคิดข้ันสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย สามารถให้คาจากัดความได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้ (ราชบัณฑิตยสถาน. 2542, ราชบัณฑิตยสถาน. 2555, Oxford University. 2005, Bloom. 1956, Anderson and Krathwohl. 2001) การคิดวิเคราะห์ (analytical thinking) คือ การคิดจาแนกแยกแยะ องค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งที่ใหญ่กว่า และการพิจารณาความเกี่ยวข้องกันระหว่าง องค์ประกอบเหล่าน้ันเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจท่ีลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เช่น การจาแนก องค์ประกอบของดอกไม้ทป่ี ระกอบด้วย ก้านดอก กลบี ดอกและเกสร เป็นต้น
บทท่ี 3 การรูค้ ดิ 111 การคิดสังเคราะห์ (synthesis thinking) คือ การคิดผสมผสาน องค์ประกอบย่อยๆ ของส่ิงใดส่ิงหน่ึงเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ ทาให้มีความซับซ้อน มากข้ึน และมีลักษณะเป็นองค์รวม ไม่แยกส่วน เช่น การผสมผสานความรู้เกี่ยวกับ การออกกาลังกาย ความรู้เกี่ยวกับดัชนีมวลกาย (BMI) และความรู้เกี่ยวกับความอ้วน นาไปส่กู ารสังเคราะห์เปน็ องค์ความรูด้ า้ นการออกกาลังกายเพ่ือลดนา้ หนกั เป็นตน้ การคิดเชิงระบบ (system thinking) คือ 1) การคิดในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง ท่ีมองภาพรวมว่าเป็นระบบใหญ่ ซ่ึงประกอบด้วยระบบย่อยที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง หลายระบบ และระบบย่อยเหล่านั้นต่างมีความสัมพันธ์กัน 2) การคิดในลักษณะวงจร ของสาเหตแุ ละผล (cycle loop) ในเรื่องใดเร่ืองหน่ึงที่มีความเช่ือมโยงกัน เช่น การคิด เกี่ยวกับระบบของร่างกายมนุษย์ซ่ึงเป็นระบบใหญ่ ประกอบด้วยระบบย่อยๆ ได้แก่ ระบบหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบขับถ่าย ระบบหอ่ หุม้ รา่ งกาย ระบบโครงกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ เป็นตน้ การคิดเชิงเหตุผล (rational thinking) คือ การคิดท่ีมีลักษณะเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ของเหตุและผลว่าสาเหตุที่ทาให้เกิดผลคืออะไร หรือผลที่เกิดขึ้นมาจาก สาเหตุอะไร บนพื้นฐานของความรู้และข้อมูลต่างๆ เช่น การให้เหตุผลว่าเพราะเหตุใด การตัดไม้ทาลายปุาจงึ เป็นการทาลายสงิ่ แวดลอ้ ม เปน็ ต้น การคิดเชิงตรรกะ (logical thinking) คือ การอา้ งความจริงอย่างใดอย่าง หนึ่งแลว้ นาไปสูก่ ารลงสรปุ ไปยังสงิ่ อน่ื อยา่ งมีเหตุผล เช่น การอ้างความจริงว่า 1) สสาร ทกุ ชนดิ ต้องการที่อยู่ 2) อากาศเปน็ สสาร ดังน้ันสรปุ ได้วา่ อากาศตอ้ งการทีอ่ ยู่ เป็นตน้ การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ (critical thinking) คือ การคดิ พิจารณาและ ประเมินข้อมูลหลักฐานต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับเรื่องที่คิดด้วยความมีสติปัญญา มีเหตุผล
112 บทท่ี 3 การรู้คดิ นาไปสูก่ ารตัดสนิ ใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การคิดพิจารณาและประเมินข้อมูลหลักฐาน ต่างๆ ว่าการแต่งกายชุดนักเรียนท่ีถูกระเบียบช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีของนักเรียน จริงหรอื ไม่ เปน็ ต้น การคิดไตร่ตรอง (reflective thinking) คือ การคิดทบทวนในเร่ืองใด เร่ืองหน่ึงที่เกิดข้ึนในปัจจุบัน (reflection in action) อดีต (reflection on action) หรืออนาคต (reflection for action)อย่างมีเหตุผล โดยใช้ความรู้ ข้อมูล หลักฐาน ประสบการณ์ นาไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น เช่น การทบทวนพฤติกรรมความ สนใจในเรียนรู้ของตนเองจนได้ข้อสรุปในการปรับปรุงและพัฒนาตนเองในการเรียนรู้ คร้งั ต่อไป เปน็ ต้น การคิดริเริ่ม (initiative thinking) คือ การคิดแสวงแนวทางหรือวิธีการ ใหม่ๆ ที่นาไปสู่การปฏิบัติอย่างใดอย่างหน่ึงท่ียังไม่เคยทามาก่อน และเป็นสิ่งท่ีเป็น ประโยชน์ การคดิ รเิ ร่ิมเปน็ พ้ืนฐานของการคดิ สรา้ งสรรค์ เช่น การคิดนาวัสดุเหลือใช้มา สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นตน้ การคิดสร้างสรรค์ (creative thinking) คือ การคิดท่ีนาไปสู่นวัตกรรม ซึ่งอาจเป็นแนวคิดใหม่ แนวทางใหม่ วิธีการใหม่ กระบวนการใหม่ เทคนิคใหม่ ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ ที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ การคิดสร้างสรรค์เป็นพื้นฐานของการ สร้างสรรค์นวัตกรรม เช่น การคิดค้นพัฒนานวัตกรรมอาหารท่ีผลิตมาจากพืชผัก ธรรมชาติ ท่ีมปี ระโยชน์ และอยู่ในความสนใจของผู้บรโิ ภค เปน็ ตน้ การพัฒนาการคิดข้ันสูงของผู้เรียนเป็นภารกิจท่ีสาคัญของโค้ชทุกคน ในการพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดต่างๆ ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียน การใช้พลังคาถาม (power questions) การทบทวนหลังการปฏิบัติ (after action review) การถอดบทเรียน (lesson learned) และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
บทท่ี 3 การรู้คิด 113 3.4 การโคช้ เพอื่ การรคู้ ดิ บนฐานทฤษฎีการเรียนรู้กลุม่ การรคู้ ิด ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มการรู้คิด (cognitive theories) ท่ีนาเสนอต่อไปนี้ เป็นทฤษฎีการเรียนรู้รว่ มสมัยซง่ึ มีสาระสาคญั ดงั นี้ 1. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม Gestalt มีสาระสาคัญคือ จิตและสมอง มีความเปน็ องค์รวมและมีความเช่ือมโยงกนั การเรียนร้ทู ่ดี ียอ่ มเกิดจากสง่ิ เร้าต่างๆ 2. ทฤษฎีสนาม มีสาระสาคัญคือ การเรียนรู้เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลกับสิ่งแวดลอ้ ม 3. ทฤษฎีเครื่องหมาย มีสาระสาคัญคือ การเรียนรู้เกิดการใช้ เคร่ืองหมาย (sign) หรือความคาดหมาย เป็นเครื่องชี้นาพฤติกรรมของตนเองไปสู่ การบรรลจุ ุดมงุ่ หมายของการเรียนรู้ 4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Piaget มีสาระสาคัญคือ เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมทีจ่ ะมปี ฏิสัมพนั ธ์กับสง่ิ แวดลอ้ มและธรรมชาติตลอดเวลา 5. ทฤษฎีการเรยี นรขู้ อง Gagné มีสาระสาคัญคอื การเรียนรู้มีหลาย ระดับและหลายประเภท แต่ละระดับและประเภทจาเป็นต้องใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ ที่แตกต่างกัน ซ่ึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้มีความสอดคล้องกับความสนใจและความ ตอ้ งการของผู้เรยี น จดุ มุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ คือ การเรียนร้ขู องผู้เรียน 6. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย มีสาระสาคัญคือ การเรียนรู้ ใดๆ จะมีความหมายต่อผู้เรียน หากสามารถเช่ือมโยงกับสิ่งท่ีเคยเรียนรู้มาก่อน เน้ือหา สาระใดๆ สามารถจดั การเรยี นรู้ให้กับเด็กได้ แต่ต้องใช้วิธีการให้เหมาะสมกับศักยภาพ ของเดก็ แต่ละคน เดก็ แต่ละคนสามารถเรียนรู้ได้ 7. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Bruner มีสาระสาคัญคือ บคุ คลเลือกรบั รู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกดิ จากกระบวนการค้นพบด้วยตนเอง 8. การสังเคราะห์ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มการรู้คิด ทาให้พบว่า การโค้ชเพ่ือการรู้คิดท่ีมีประสิทธิภาพเป็นการโค้ชท่ีตอบสนองความต้องการและความ สนใจและธรรมชาติของผู้เรียน มีความเป็นระบบข้ันตอนให้ผู้เรียนมีประสบการณ์
114 บทท่ี 3 การรคู้ ิด การเรียนรู้ท่ีหลากหลาย เชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมอย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิตของ ผเู้ รียนท่ีสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวนั ทฤษฎีการเรยี นรู้กลุม่ Gestalt (Gestalt Theory) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม Gestalt ก่อต้ังขึ้นในประเทศเยอรมัน นาเสนอคร้ัง แรกโดย Christian von Ehrenfels (ค.ศ. 1859 - 1932) นักปรัชญาชาวออสเตรียน (Austrian) มีรากฐานทฤษฎีมาจากทฤษฎีการเรียนรู้ของ David Hume, Johann Wolfgang von Goethe, Immanuel Kant, David Hartley, and Ernst Mach และ Max Wertheimer เป็นผู้ต้ังชื่อทฤษฎีการเรียนรู้เหล่าน้ีว่า Gestalt มุ่งเน้นการศึกษา จิต และสมอง (mind and brain) หลักการของการศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม Gestalt คือ จิตและสมอง มีความเป็นองค์รวม (holistic) และมีความเชื่อมโยงกัน นักจิตวิทยาคนสาคัญ คือ Max Wertheimer, Wolfgang Kholer, Kurt Koffka แนวคิดสาคัญของทฤษฎีน้ี คือ การเรียนรู้ท่ีดีย่อมเกิดจากสิ่งเร้าต่างๆ การเรียนรู้ท่ีดีเกิดจากการเรียนรู้ในภาพรวม กอ่ นที่จะเรียนรู้รายละเอียด ทฤษฎกี ารเรียนรูก้ ลุ่ม Gestalt มีสาระสาคัญดงั ตอ่ ไปน้ี 1. บุคคลเรียนรู้ส่ิงที่เป็นองค์รวมก่อนที่จะเรียนรู้ส่วนประกอบย่อยๆ ท่ีมคี วามเชือ่ มโยงกบั ส่ิงที่เปน็ องค์รวมอย่างเปน็ ระบบมีความเป็นพลวัต 2. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดของแต่ละบุคคล บุคคล จะเรียนรู้ได้ดีต้องใช้กระบวนการคิดอย่างหลากหลาย เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดสรา้ งสรรค์ การแกป้ ัญหา เปน็ ต้น 3. การเรียนรเู้ กิดขึน้ ได้ 2 ลกั ษณะ คอื 3.1 การรับรู้ (perception) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสรับ ส่ิงเร้าแล้วนาไปสู่กระบวนการคิดโดยสมองหรือจิตจะเชื่อมโยงสิ่งที่ได้รับรู้กับ ประสบการณเ์ ดิม แล้ววเิ คราะห์ตีความและแสดงปฏกิ ริ ิยาตอบสนองส่งิ ทไี่ ดร้ บั รนู้ ้นั 3.2 การหยัง่ เหน็ (insight) หมายถงึ การเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นอย่าง ฉับพลันจากการพิจารณาความเข้าใจเหตุและผลในภาพรวม
บทท่ี 3 การรคู้ ิด 115 4. กฎการรบั รู้ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม Gestalt มีพื้นฐานแนวคิดหลักคือ บุคคล จะรับรู้ส่ิงท่ีเป็นองค์รวมได้ดีกว่าส่วนประกอบย่อยๆ โดยอาศัยกฎการรับรู้ส่ิงเร้าต่างๆ ตอ่ ไปน้ี 4.1 กฎการรับรู้ส่วนรวมและส่วนย่อย (law of pragnanz) เป็น กฎทีร่ ะบุว่าบคุ คลจะรับรู้สิ่งทเ่ี ปน็ ส่วนรวมกอ่ นแลว้ จงึ รบั รสู้ ิง่ ที่เปน็ ส่วนย่อย 4.2 กฎความคล้ายคลึงกัน (law of similarity) เป็นกฎท่ีระบุว่า บุคคลจะรับรูส้ ิง่ เรา้ ที่มคี วามคลา้ ยคลงึ กันวา่ เป็นกลมุ่ เดียวกนั 4.3 กฎแห่งความสมบูรณ์ (law of closure) เป็นกฎที่ระบุว่า บคุ คลสามารถรับร้สู ง่ิ เร้าตา่ งๆ ได้ แม้ว่าส่ิงเร้าเหล่าน้ันจะไม่สมบูรณ์ ถ้ามีประสบการณ์ เดิมทีเ่ พยี งพอ 4.4 กฎแห่งความใกล้เคียง (law of proximity) เป็นกฎที่ระบุว่า บคุ คลจะรับรูส้ ่ิงเร้าท่ีมคี วามใกลเ้ คียงกนั ว่าเปน็ ส่ิงเดียวกนั 4.5 กฎแห่งความต่อเนื่อง (law of continuity) เป็นกฎที่ระบุว่า บุคคลจะรับร้สู ิง่ ทีม่ คี วามตอ่ เน่อื งกัน เป็นลาดับ มเี หตผุ ลสอดคล้องกัน 5. การเรียนรู้แบบหย่ังเห็น (insight learning) Kohler ได้ทาการ ทดลองพฤตกิ รรมการเรียนรู้ของลิง โดยวางกล้วยไว้ในระยะห่างที่ลิงเอ้ือมไม่ถึง ในที่สุด ลิงเกิดความคิดท่ีจะนาไม้ท่ีวางไว้ไปสอยกล้วยมากินได้ Kohler สรุปการทดลองนี้ว่า ลิงเกิดการเรียนรู้แบบหย่ังเห็น (insight) ซ่ึงเป็นการค้นพบวิธีการแก้ปัญหาได้ในทันที จากการมองภาพรวมของปัญหา การใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การเชื่อมโยง และการจินตนาการผลลัพธ์ท่ีจะเกิดข้ึน ในขณะที่ Max Wertheimer ได้ระบุไว้ว่า การแก้ปัญหาของบุคคลน้ัน ทาได้ 2 วิธี คือ 1) การแก้ปัญหาแบบ Productive thinking เปน็ การแก้ปญั หาโดยใช้การหยง่ั เหน็ และ 2) การแก้ปัญหาแบบ Reproductive thinking เป็นการแกป้ ัญหาโดยใช้ประสบการณเ์ ดิมและความรทู้ ม่ี ีอยู่ การหย่งั เหน็ เกิดขนึ้ โดยมี 3 ข้ันตอน ได้แก่ 1) การหยุดใช้ความคิด ทาให้จิตหรือสมองว่างจากความคิด (leap in thinking) 2) การเกิดกระบวนการทาง
116 บทที่ 3 การรู้คดิ สมองในลักษณะประมวลผล (mental processing) ภาพรวมของปัญหา 3) เกิดการ คน้ พบวธิ กี ารแก้ปญั หาบนพ้นื ฐานของเหตุผลตามปกติธรรมดา (normal reasoning) แนวทางการโค้ชเพือ่ การรู้คิดโดยประยุกตใ์ ช้ทฤษฎีการเรยี นรู้กลมุ่ Gestalt 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดอย่างหลากหลาย เช่น การคิด วิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ การคดิ สร้างสรรค์ เพราะการคิดเปน็ พืน้ ฐานที่สาคญั ของการเรยี นรู้ 2. ให้ผู้เรยี นเหน็ ภาพรวมของส่ิงทเี่ รยี นรู้ก่อนแล้วจงึ ให้เรียนร้สู ว่ นย่อย ตามลาดับ เมอ่ื ผ้เู รียนได้เรียนรใู้ นส่วนยอ่ ยจะเชื่อมโยงเขา้ กับสิง่ ที่เป็นภาพรวมทาให้เกิด ความเข้าใจทดี่ ีขน้ึ 3. กระตุ้นใหผ้ เู้ รียนมีประสบการณก์ ารเรียนรู้ท่ีหลากหลายเพราะเมื่อ ผู้เรียนมีประสบการณ์มากจะย่ิงส่งเสรมิ การเรยี นรู้และการคดิ ให้มปี ระสิทธิภาพ 4. จัดให้ผู้เรียนมีประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ให้สอดคล้องกับ ประสบการณเ์ ดิมของผู้เรียนเพราะการเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ จะทาใหก้ ารเรยี นรู้มีประสทิ ธภิ าพมากขึน้ 5. จัดระบบให้ผู้เรียนเรียนรู้ไปตามลาดับเน้ือหาสาระให้มีความ เชอ่ื มโยงกนั 6. กระตุ้นให้ผู้เรียนเช่ือมโยงส่ิงที่เรียนรู้กับประสบการณ์เดิมของ ตนเองเพอ่ื ทาใหผ้ ้เู รียนเขา้ ใจบทเรยี นไดด้ ียง่ิ ขึน้ 7. การกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดแบบองค์รวม (holistic thinking) เพ่ือทา ใหเ้ หน็ ความเปน็ ระบบของเนอ้ื หาสาระทีเ่ รียนตลอดจนความเช่ือมโยงกับส่งิ อนื่ ๆ ทฤษฎีสนาม (Field Theory) Kurt Zadek Lewin (ค.ศ. 1890 - 1947) นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน – อเมริกัน ผู้คดิ ค้นและพัฒนาการวิจัยปฏิบัติการ (action research) กลุ่มพลวัต (group
บทที่ 3 การรคู้ ดิ 117 dynamic) มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า ก า ร เ รี ย น รู้ ว่ า เ ป็ น สิ่ ง ที่ เ กิ ด จ า ก ก ร ะ บ ว น ก า ร รั บ รู้ แ ล ะ กระบวนการคดิ เพ่ือการแกป้ ัญหาท่ีเกิดข้นึ การเรียนรู้เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม Lewin ระบุว่า ส่ิงแวดล้อมทางการเรียนรู้มี 2 ชนิด ได้แก่ 1) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (physical environment) และ 2) สิ่งแวดลอ้ มทางจติ วิทยา (psychological environment) ส่ิงแวดล้อมทั้ง 2 ดังกล่าว จะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เป็นพลวัต พฤตกิ รรมการเรียนรู้จะขึ้นอยู่กบั สภาพแวดลอ้ มในขณะปจั จุบนั ซง่ึ จะแสดงออกมาอย่าง มีเปูาหมายและมีพลัง เมื่อบุคคลมีความต้องการที่จะเรียนรู้ ส่ิงท่ีอยู่ในความต้องการ ท่ีจะเรียนรู้มีพลังทางบวกและส่ิงท่ีอยู่นอกเหนือความต้องการที่เรียนรู้มีพลังเป็นลบ การเรียนรู้จะเกิดข้ึนเมื่อผู้เรียนมีพลังทางบวกซ่ึงมาจากการอยู่ในส่ิงแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อ การเรียนรู้ แนวทางการโคช้ เพ่ือการรูค้ ิดโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีสนามของ Lewin 1. จัดสภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งบรรยากาศ ทางกายภาพ บรรยากาศทางจติ วทิ ยาและบรรยากาศทางสังคม 2. โค้ชควรมบี ุคลิกภาพและพฤติกรรมการโค้ชที่ประทับใจของผู้เรียน ทาให้โค้ชเข้าไปอยู่ในความสนใจของผู้เรียน (life space) ซึ่งช่วยทาให้การเรียนรู้ มีประสทิ ธภิ าพมากขน้ึ 3. กระบวนการโค้ชควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล และส่งิ แวดล้อมที่สง่ เสรมิ การเรยี นรู้ ทฤษฎีเคร่ืองหมาย (Sign Theory) ทฤษฎีเครื่องหมายคิดค้นข้ึนโดย Edward Chace Tolman (ค.ศ. 1886 - 1959) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ทฤษฎีเคร่ืองหมาย หรือทฤษฎีความคาดหมาย (expectancy theory) พัฒนามาจากทฤษฎีการแสดงพฤติกรรมไปสู่จุดมุ่งหมายของ บุคคล มุ่งเน้นการเรียนรู้ท่ีเกิดมาจากความรู้ความเข้าใจ Tolman ระบุว่า การเรียนรู้
118 บทที่ 3 การรูค้ ดิ เกิดการใช้เครอ่ื งหมาย (sign) หรือความคาดหมาย เปน็ เคร่อื งชี้นาพฤติกรรมของตนเอง ไปสู่ การบรรลุจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ การเรียนรู้โดยใช้เคร่ืองหมาย หรือความ คาดหวงั เกิดขน้ึ ได้ 3 ลกั ษณะ ดังนี้ 1. การคาดหมายรางวัล (reward expectancy) มีสาระสาคัญคือ การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการได้รับการตอบสนองรางวัลท่ีตนเองคาดหมาย ซึ่งรางวัล ดังกล่าวอาจจะมคี วามแตกตา่ งกันไปในแตล่ ะบุคคล 2. การเรียนรู้จากเครื่องหมาย สัญลักษณ์ สถานท่ี (place learning) มีสาระสาคัญคือการเรียนรู้ของบุคคลจะเร่ิมจากจุดเร่ิมต้นไปยังจุดหมายท่ีต้องการเป็น ลาดับขั้นตอน และจะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ไปตามสถานการณ์และเงื่อนไข ต่างๆ (เคร่อื งหมาย สัญลกั ษณ์ สถานท)ี่ บุคคลจะเลอื กแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ ในส่ิง ที่เห็นว่าสามารถทาให้ประสบความสาเร็จได้ และหากประสบปัญหาอุปสรรคบุคคล จะเปล่ียนแปลงพฤติกรรมที่แสดงออกให้เหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อการบรรลุ จดุ มุง่ หมาย 3. การเรยี นรเู้ ป็นสิ่งทเ่ี ปน็ นามธรรม (latent learning) มีสาระสาคัญ คือ การเรียนรู้ เป็นสิ่งท่ีเกิดข้ึนภายในตัวบุคคล เป็นการเปลี่ยนแปลงในความคิด (cognitive change) สังเกตหรือวัดโดยตรงไม่ได้ แต่สังเกตหรือวัดได้เม่ือบุคคลแสดง พฤติกรรมการเรียนรู้ออกมา แนวทางการโคช้ เพื่อการรู้คดิ โดยประยกุ ต์ใช้ทฤษฎีเคร่ืองหมาย 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีเปูาหมายในการเรียนรู้หรือความคาดหมาย ผลลัพธข์ องการเรียนรู้ ซึ่งอาจเปน็ รางวัลท่ผี เู้ รยี นตอ้ งการ 2. ใช้เทคนิคการโค้ชเพ่ือมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้เรียน รายบคุ คลเม่อื ผเู้ รียนได้รบั การตอบสนองความตอ้ งการแล้วจะเกิดการเรยี นรทู้ ดี่ ีขึ้น 3. ใช้พลังคาถามท่ีมุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากความเข้าใจของ ตนเองมากกว่าการจดจาโดยขาดความเขา้ ใจ
บทท่ี 3 การรคู้ ิด 119 4. กระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นผู้กาหนดเปูาหมายและวิธีการเรียนรู้ ของตนเองเพ่อื ใหบ้ รรลุจุดมุ่งหมาย กระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นวางแผนการเรียนรู้และแก้ไขปัญหา ที่เกดิ ขึ้นด้วยตนเอง 5. ประเมินผลการโค้ชจากการแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ออกมา สอดคล้องกบั จดุ มงุ่ หมายของการเรยี นรู้ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของ Piaget ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา พัฒนาขึ้นโดย Jean William Fritz Piaget (ค.ศ.1896 - 1980) นักจิตวิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ Piaget มีความเชื่อว่าเด็ก ทุกคนเกิดมาพร้อมท่ีจะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติตลอดเวลา โดยการ ลงมือกระทา (active) การจัดระบบ (organization) และการปรับตัว (adaptation) ให้สอดคล้องกับส่ิงแวดล้อมรอบตัว โดยการดูดซับ (assimilation) และการปรับแต่ง (accommodation) จนเกิดความสมดุล (equipvalium) เมื่อเกิดความสมดุลแล้วการ เรยี นรูจ้ ึงเกดิ ขนึ้ ซึง่ การดดู ซบั การปรับแตง่ และความสมดุล มสี าระสาคญั ดงั น้ี การดูดซับเป็นการรับรู้ข้อมูลหรือประสบการณ์ใหม่ของบุคคล แลว้ เก็บไว้ในโครงสร้างของสตปิ ัญญา (cognitive schemas) การปรับแต่งเป็นการเช่ือมโยงประสบการณ์ใหม่กับประสบการณ์เดิม เพอื่ ทาความเขา้ ใจประสบการณใ์ หมท่ ่ีได้รับ ค ว า ม ส ม ดุ ล เ ป็ น ผ ล จ า ก ก า ร ป รั บ แ ต่ ง ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ใ ห ม่ กั บ ประสบการณ์เดิมเข้าด้วยกันได้หรือเช่ือมโยงกันได้ ซึ่งหากมีความสมดุลก็จะเกิด การเรียนรตู้ ามมา แตใ่ นทางกลบั กันถ้าปรับแต่งแลว้ ยังไมส่ มดุลก็จะไม่เกดิ การเรยี นรู้ แนวทางการโค้ชเพ่ือการรู้คิดโดย ประยุกต์ใช้ทฤษฎีพัฒนาการ ทางสติปญั ญาของ Piaget 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ที่คล้ายคลึง หรือเช่ือมโยงกับประสบการณเ์ ดิม
120 บทที่ 3 การรู้คิด 2. กระตุ้นให้ผู้เรียนเชื่อมโยงประสบการณ์ใหม่กับประสบการณ์เดิม ของผ้เู รยี น เพอ่ื ให้กระบวนการปรับแตง่ เกดิ ความสมดุล ทาใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ 3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่าง ต่อเน่อื ง 4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้การลงมือกระทาหรือปฏิบัติจริงในสิ่งท่ี เรยี นร้แู ละใหม้ ีการแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ 5. หากผู้เรียนไม่สามารถเรียนรู้สาระสาคัญในเรื่องใด ควรให้ข้อมูล พ้ืนฐานความรู้สาหรับผู้เรียนแต่ละคน เพื่อให้สามารถใช้กระบวนการปรับแต่งจนเกิด ความสมดุล 6. ออกแบบการโค้ช เช่น การให้ข้อมูลเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ การใช้ พลังคาถาม การให้ข้อมูลย้อนกลับ เป็นตน้ ทส่ี อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของผเู้ รียน ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ของ Gagné (The Gagné Assumption) Robert Mills Gagné (ค.ศ.1916 - 2002) นักจิตวิทยาการศึกษา ชาวอเมรกิ ัน เป็นท่ีรู้จักกันโดยทั่วไปในเร่ืองของเงื่อนไขของการเรียนรู้ (conditions of learning) Gagné มีข้อสมมติฐานทางการเรียนรู้ว่า การเรียนรู้มีหลายระดับและ ประเภท แต่ละระดับและประเภทจาเป็นต้องใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องมีการปรับเปลี่ยนให้มีความสอดคล้องกับความสนใจ และความต้องการของ ผู้เรียน จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ คือ การเรียนรู้ของผู้เรียน จากความเช่ือ ดังกลา่ วของ Gagné น้ี ได้ถูกนาไปประยุกต์ใช้เป็นรากฐานการวิจัยและพัฒนารูปแบบ การจัดการเรียนรู้ในทกุ สาขาวชิ าชพี Gagné ระบุวา่ การเรียนรมู้ ี 5 หมวดหมู่ ไดแ้ ก่ 1. ทักษะทางปัญญา (intellectual skills) เป็นการเรียนรู้เก่ียวกับ การพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการตอบสนองส่ิงเร้าต่างๆ ของแต่ละบุคคล มีวธิ ีการจดั การเรียนรู้หลายวธิ ี 2. กลยุทธ์การรู้คิด (cognitive strategies) เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับ การรับรู้ข้อมูล การจัดกระทาข้อมูล และการตอบสนองข้อมูล เพื่อนาไปสู่การจดจา
บทท่ี 3 การรคู้ ดิ 121 การคิด และการเรยี นร้มู วี ธิ กี ารจัดการเรียนรู้หลายวิธี เช่น การสร้างความสนใจ การลง รหัสทางความคิด (encoding) การระลึกส่ิงที่อยู่ในความทรงจา การแก้ปัญหา การคิด เป็นต้น 3. การจาสารสนเทศ (verbal information) เป็นการเรียนรู้เก่ียวกับ การจดจาข้อมลู ตา่ งๆ เชน่ ชือ่ บคุ คล หนา้ ตา วัน เวลา สถานท่ี หมายเลขโทรศัพท์ 4. ทักษะกลไกการเคลือ่ นไหว (motor skills) เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับ การเคลอ่ื นไหวร่างกาย เชน่ การเดิน การวิ่ง การขับรถ การวา่ ยน้า การวาดภาพ 5. เจตคติ (attitudes) เป็นการเรียนรู้เก่ียวกับเจตจานงที่นาไปสู่ ความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ มุมมอง ท่ีมีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของ บุคคล นอกจากนี้ Gagné ได้เสนอข้ันตอนการวางแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ 9 ขั้น ดงั นี้ 1. การกาหนดผลการเรียนรู้และเงื่อนไขเบื้องต้นทางด้านความรู้ และทกั ษะท่ีจาเป็นตอ้ งมีมาก่อน (prerequisite) 2. การระบเุ งื่อนไขภายในท่ีเอ้ือตอ่ การเรียนรู้ หรือกระบวนการเรียนรู้ ท่ผี ้เู รียนต้องปฏบิ ตั ิตามลาดับขั้น เพอ่ื นาไปสู่การบรรลุผลการเรียนรู้ 3. การระบุเงอ่ื นไขภายนอกท่ีเออื้ ต่อการเรยี นรู้ 4. การกาหนดบรบิ ทของการจดั การเรียนรู้ 5. การศกึ ษาคุณลักษณะของผเู้ รยี น 6. การคัดเลอื กสือ่ ทีใ่ ช้สาหรับการจัดการเรยี นรู้ 7. การวางแผนการเสรมิ แรงผู้เรียน 8. การวางแผนการประเมินผลแบบกา้ วหน้า 9. การวางแผนการประเมินผลแบบรวบยอด นอกจากขั้นตอนการวางแผนการจัดการเรียนรู้ที่กล่าวมาข้างต้น Gagné ยงั ได้เสนอขัน้ ตอนการจัดการเรียนรูไ้ ว้ 9 ขัน้ ดังน้ี 1. การสร้างความสนใจ
122 บทท่ี 3 การรคู้ ดิ 2. การแจง้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3. การทบทวนความรเู้ ดิม 4. การสอนเนอ้ื หาใหม่ 5. การให้แนวทางการเรียนรู้ 6. การฝกึ ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง 7. การให้ผลย้อนกลับ 8. การประเมินผล 9. การสรุปบทเรียน Gagné ไดเ้ สนอแนวทางการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ โดยมุ่งตรวจสอบ การเรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยการประเมินจากส่ิงท่ีผู้เรียนปฏิบัติได้จริง (student performance) นอกจากนี้ยงั เปน็ การตรวจสอบประสทิ ธิภาพของการจัดการ เรยี นรู้ และแนวทางการปรับปรงุ และพฒั นาการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการโค้ชเพอ่ื การรู้คดิ โดยประยุกต์ใชท้ ฤษฎีการเรยี นรขู้ อง Gagné 1. ใช้วิธีการโค้ชอย่างหลากหลายตอบสนองความต้องการและความ สนใจของผ้เู รยี น 2. ปรับเปล่ียนวิธีการโค้ชไปตามระดับศักยภาพของผู้เรียนรายบุคคล โดยเนื้อหาสาระมีความเหมอื นกันแตใ่ ชว้ ิธกี ารโคช้ แตกต่างกัน 3. เลือกใช้วิธีการโค้ชท่ีตอบสนองธรรมชาติของการเรียนรู้ในแต่ละ หมวดหมู่ เช่น การเรียนรู้ด้านทักษะทางปัญญา ควรเลือกใช้การแก้ปัญหาเป็นวิธีการ จัดการเรียนรู้ เป็นต้น 4. ใช้การโค้ชสอดแทรกในกระบวนการจัดการเรียนรู้ท้ัง 9 ข้ัน 5. ประเมินผลการโค้ชโดยมุ่งประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน ต า ม จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ก า ร เ รี ย น รู้ แ ล ะ น า ผ ล ก า ร ป ร ะ เ มิ น ม า ป รั บ ป รุ ง แ ล ะ พั ฒ น า ผู้ เ รี ย น อย่างต่อเนอ่ื ง
บทที่ 3 การรู้คิด 123 ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful Verbal Learning) ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย พัฒนาขึ้นโดย David Paul Ausubel (ค.ศ.1918 – 2008) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เขามีความเชื่อว่า การเรียนรู้ใดๆ จะมี ความหมายต่อผู้เรียนหากสามารถเชื่อมโยงกับส่ิงที่เคยเรียนรู้มาก่อน เน้ือหาสาระใดๆ สามารถจัดการเรียนรู้ให้กับเด็กได้ แต่ต้องใช้วิธีการให้เหมาะสมกับศักยภาพของเด็ก แต่ละคน เด็กแตล่ ะคนสามารถเรยี นรไู้ ดเ้ มอ่ื มคี วามพรอ้ ม Ausubel แบ่งวิธีการเรียนรู้ออกเป็น 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) การเรียนรู้โดย การรับข้อมูลอย่างมีความหมาย (Meaningful Reception Learning) 2) การเรียนรู้ แบบท่องจาโดยไม่ทราบความหมาย (Rote Reception Learning) 3) การเรียนรู้แบบ ค้นพบอย่างมีความหมาย (Meaningful Discovery Learning) และ 4) การเรียนรู้ แบบค้นพบอย่างไมม่ ีความหมาย (Rote Discovery Learning) ส่ิงท่ี Ausubel ให้ความสาคัญกับการเรียนรู้คือ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ด้วยวิธีการรับสาร หรือวิธีการค้นพบควรเป็นส่ิงที่มีความหมายต่อผู้เรียน ซ่ึงมีปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ 1) เน้ือหาสาระที่เรียนซ่ึงเป็นส่ิงที่มีความหมายต่อผู้เรียน หรือเป็นสิ่ง ที่คลา้ ยคลึงกบั ส่ิงที่เคยเรียนรู้มาก่อน 2) ผู้เรียนมีประสบการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับสิ่งท่ีเรียน หรือไม่ก็ต้องเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับความรู้หรือประสบการณ์เดิมท่ีคล้ายคลึงกัน และ 3) ความตงั้ ใจของผู้เรียนในการท่ีจะเช่ือมโยงสิ่งท่ีเรียนกับความรู้และประสบการณ์เดิม ของตนเอง นอกจากน้ี Ausubel ได้จาแนกการสร้างความหมายของการเรียนรู้ ออกเป็น 3 วธิ ีการดังตอ่ ไปน้ี 1. การสร้างความหมายของการเรียนรู้ในลักษณะที่ผู้เรียนเป็นผู้รับ ข้อมูล (subordinate learning) เป็นการเรียนรู้จากการฟัง การดู การอ่าน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1) การเชื่อมโยงสิ่งท่ีเรียนกับหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่เคยเรียนรู้มาแล้ว (derivative subsumption) และ 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของสิ่งท่ีเรียนรู้ใหม่ กบั ส่ิงทีเ่ คยเรียนมาแล้ว (correlative subsumption)
124 บทท่ี 3 การรู้คิด 2. การสร้างความหมายของการเรียนรู้โดยการอนุมาน วิเคราะห์จัด ก ลุ่ ม ส่ิ ง ที่ เ รี ย น รู้ ใ ห ม่ ต า ม ห ลั ก เ ก ณ ฑ์ ห รื อ ค ว า ม คิ ด ร ว บ ย อ ด ที่ ก ว้ า ง ข ว า ง ก ว่ า (superordinate learning) หรือการสังเคราะห์ sub concept แล้วสรุปอ้างอิง (generalization) ไปสู่ main concept 3. การสร้างความหมายของการเรียนรู้โดยการคิดที่มีความ หลากหลาย (combinatorial learning) เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดเชื่อมโยง การสงั เคราะห์ เปน็ ตน้ Advance organizer หรือการให้สังกัปแนวหน้า เป็นเคร่ืองมือท่ี Ausubel คิดค้นข้นึ เพ่อื เปน็ กลยุทธก์ ารจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมการรู้คิดทาให้เน้ือหาสาระเป็นส่ิงท่ี มีความหมายต่อผู้เรียนมากขึ้น ผู้เรียนเห็นภาพรวมและความสัมพันธ์ของเน้ือหาสาระ ทเ่ี รียนกอ่ นท่ีจะเร่ิมเรียน อีกทั้งช่วยในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมให้เกิดข้ึน นอกจากน้ีแล้วการให้สังกัปแนวหน้า ยังเป็นมากกว่าการนาเสนอภาพรวมของบทเรียน แต่เป็นการจัดระบบความคิดของผู้เรียนเกี่ยวกับความคิดรวบยอดท่ีจะเรียน ว่ามีส่วน ใดบ้างและแต่ละสว่ นมคี วามเกีย่ วข้องสมั พันธ์กันอย่างไร รูปแบบของการใหส้ ังกปั แนวหนา้ มีกจิ กรรม 3 ข้นั ตอน ดังตอ่ ไปนี้ 1. ขน้ั การนาเสนอสังกัปแนวหน้า มกี จิ กรรมย่อยดงั ต่อไปน้ี 1.1 การนาเสนอจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.2 การนาเสนอสังกปั แนวหน้าของบทเรยี น 1.3 การกระต้นุ ใหผ้ ูเ้ รยี นเชอ่ื มโยงไปส่คู วามรเู้ ดมิ 2. ขนั้ การเช่อื มโยงความรใู้ หมก่ บั ความรเู้ ดมิ มกี ิจกรรมยอ่ ยดังตอ่ ไปนี้ 2.1 การนาเสนอเนอ้ื หาสาระและกจิ กรรมการเรียนรู้ 2.2 การจดั ระบบโครงสร้างความรใู้ หมเ่ ขา้ กบั ความรเู้ ดิม 3. ข้ันสรา้ งความเข้มแข็งให้กบั โครงสรา้ งความรู้ 3.1 การบรู ณาการความรู้ใหมไ่ ปสกู่ ารประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ 3.2 การให้ผู้เรียนวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และสรุปสง่ิ ทไี่ ด้เรียนรู้
บทท่ี 3 การรู้คิด 125 แนวทางการโค้ชเพ่ือการรู้คิดโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมี ความหมาย ของ Ausubel 1. เลือกใช้วิธีการโค้ชที่มีความสอดคล้องกับระดับความพร้อม และศกั ยภาพของผูเ้ รียนแต่ละคน 2. เช่ือมโยงเน้ือหาสาระกับความรู้และประสบการณ์เดิมตลอดจน วถิ ชี ีวิตของผ้เู รียน 3. กระตุ้นให้ผู้เรียนตระหนักว่าสิ่งที่เรียนรู้สามารถนาไปใช้ประโยชน์ ในชีวิตประจาวนั ไดจ้ รงิ 4. เชือ่ มโยงและบูรณาการเนือ้ หาสาระเข้ากับวิถีชีวติ ของผู้เรียน 5. กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดทบทวนถึงประสบการณ์เดิมท่ีเก่ียวข้องกับ สิง่ ทเ่ี รียนหรือเช่อื มโยงส่ิงทเี่ รียนกับความรหู้ รอื ประสบการณเ์ ดิมท่ีคล้ายคลึงกนั 6. กระตุ้นให้ผู้เรียนเช่ือมโยงสิ่งที่เรียนกับหลักการหรือกฎเกณฑ์ ทเี่ คยเรียนรมู้ าแล้ว รวมท้ังความสัมพันธข์ องส่ิงท่เี รียนรใู้ หม่กับสงิ่ ทเ่ี คยเรียนรู้แลว้ 7. กระตุ้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์จัดกลุ่มส่ิงท่ีเรียนรู้ใหม่ตามหลักเกณฑ์ หรอื ความคิดรวบยอดที่กวา้ งขวางกวา่ 8. กระตุ้นให้ผู้เรียนสร้างความหมายของการเรียนรู้โดยกระบวนการ คิดท่หี ลากหลาย 9. กระตุ้นการคิดอย่างเป็นระบบโดยการ ให้สังกัปแนวหน้า (advance organizer) แกผ่ ู้เรียน ทฤษฎพี ฒั นาการทางสติปญั ญาของ Bruner (Cognitive Learning Theory) Jerome Seymour Bruner (เกิดเม่ือ ค.ศ. 1915) นักจิตวิทยาชาว อเมริกัน ได้ศึกษาค้นคว้าด้านจิตวิทยาพัฒนาการทางสติปัญญา และได้พัฒนาองค์ ความรดู้ า้ นจติ วิทยาการรคู้ ิด (Cognitive Psychology) และ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางด้าน การรคู้ ิด (Cognitive Learning Theory) อยา่ งเป็นรูปธรรม โดยได้พิมพ์หนังสือออกมา
126 บทที่ 3 การรคู้ ิด หลายเลม่ เชน่ A Study of Thinking (ค.ศ. 1956) เปน็ ต้น นอกจากน้ี Bruner ยังมี ความเชื่อว่า บุคคลเลือกท่ีจะรับรู้สิ่งท่ีตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการ ค้นพบด้วยตนเอง (discovery learning) และจากการทาวิจัยเก่ียวกับจิตวิทยา พฒั นาการของเดก็ ในปี ค.ศ. 1966 เขาได้นาเสนอทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาไว้ว่า ลาดับข้นั การเรยี นรขู้ องบคุ คลแบง่ ออกเป็น 3 ข้นั ไดแ้ ก่ 1. ขั้นการเรียนรู้จากการกระทา (enactive stage) บางครั้งเรียกว่า ข้ัน concrete stage อยู่ในช่วงอายุแรกเกิดถึง 1 ปี Bruner มีความเชื่อว่า การเรียนรู้ ของบุคคลเริ่มจากการลงมือปฏิบัติ การจับต้องสัมผัส ดังน้ันขั้นเรียนรู้จากการกระทานี้ จึงเป็นข้ันของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระทา (action – based information) ในข้ันนี้เด็กสามารถจาพฤติกรรมท่ีแสดงออกเพื่อให้ เกิดสิง่ ใดสิง่ หนึ่ง เช่น ตอ้ งเขยา่ ของเลน่ จงึ จะเกดิ เสียงดนตรี เป็นตน้ 2. ข้ันการเรียนรู้จากความคิด (iconic stage) บางคร้ังเรียกว่า pictorial stage อยใู่ นชว่ งอายุ 1 – 6 ปี เป็นขั้นการเรียนรู้จากภาพ (image - based) แทนของจริง หรอื เหตุการณจ์ รงิ นอกจากนี้เด็กยังสามารถเรียนรู้โดยการสร้างมโนภาพ ในใจได้ (a mental picture in the mind) 3. ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (symbolic stage) บางครั้งเรียกว่า abstract stage อยู่ในช่วงอายุ 7 ปี ขึ้นไป เป็นข้ันการเรียนรู้สิ่งท่ี ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้โดยการใช้ภาษาเป็นส่ือการเรียนรู้ เด็กสามารถจดจาสิ่งที่ เรียนในรูปของรหัส (code) หรือสัญลักษณ์ (symbol) โดยเด็กสามารถสร้างรหัส สัญลักษณ์ช่วยการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างหลากหลายในข้ันตอนน้ีความรู้ของเด็ก จะถูกเก็บไว้ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ภาษา สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ รูปภาพ เป็นตน้ แนวทางการโค้ชเพื่อการรู้คิดโดย ประยุกต์ใช้ทฤษฎีพัฒนาการ ทางสตปิ ัญญาของ Bruner 1. ใชว้ ิธีการโค้ชที่ตอบสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียน และให้ผ้เู รียนสืบเสาะแสวงหาความรแู้ ละเรยี นรู้ดว้ ยตนเองตามระดับสตปิ ัญญา
บทที่ 3 การรูค้ ดิ 127 3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากส่ิงที่เป็นของจริงหรือการลงมือ ปฏิบัติจรงิ แล้วพัฒนาไปสูก่ ารเรยี นรทู้ เ่ี ป็นนามธรรม 4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้สาระสาคัญตามลีลาการเรียนรู้ (learning style) ของผู้เรียน เชน่ จาสตู รคณิตศาสตร์ในลักษณะของบทเพลง กลอน เป็นต้น ผลจากการวิเคราะห์ข้างต้นสามารถสังเคราะห์แนวทางการโค้ช เพื่อการรูค้ ดิ โดยประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎีการเรยี นรู้กล่มุ การรูค้ ดิ ดังน้ี 1. กระตุ้นใหผ้ ูเ้ รียนใช้กระบวนการคิดท่ีหลากหลายโดยเฉพาะการคิด ข้ันสูง เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณ การคดิ อยา่ งเป็นระบบ เป็นตน้ 2. สง่ เสรมิ ให้ผูเ้ รียนมปี ระสบการณก์ ารเรียนรทู้ ี่หลากหลายสอดคล้อง กับสาระสาคัญ ประสบการณเ์ ดิม และวิถชี ีวิตของผเู้ รียน 3. กระตุ้นการมองภาพรวมและภาพย่อยที่มีความเชื่อมโยงกันอย่าง เป็นระบบซง่ึ ทาใหเ้ ห็นความซับซอ้ น (complexity) ของสาระสาคัญในการเรียนรู้ 4. จัดส่ิงแวดล้อมและบรรยากาศท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ทั้งบรรยากาศ ทางกายภาพ บรรยากาศทางจติ วทิ ยาและบรรยากาศทางสังคม 5. กระตุ้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมท่ีส่งเสริม การเรียนรู้ และเหน็ ความสาคญั ว่าส่งิ ทเ่ี รยี นรู้สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ รงิ 6. กระตุ้นให้ผู้เรียนกาหนดเปูาหมาย วางแผน และใช้วิธีการเรียนรู้ และกระบวนการเรยี นรทู้ ี่สอดคล้องกับกับธรรมชาติของตนเอง 7. กระตุ้นใหผ้ ้เู รยี นประเมินการเรยี นรู้ของตนเองทนี่ าไปสู่ความเข้าใจ ท่ถี ูกต้องของตนเอง 8. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้การลงมือกระทาหรือปฏิบัติจริงในสิ่งท่ี เรียนรแู้ ละใหม้ กี ารแลกเปลยี่ นเรียนรู้ 9. ใช้วธิ ีการโคช้ อย่างหลากหลายตอบสนองความต้องการ ความสนใจ และธรรมชาติของผูเ้ รียนและปรับเปลี่ยนวธิ กี ารโคช้ ไปตามระดับศักยภาพของผเู้ รียน
128 บทที่ 3 การร้คู ิด 10. ประเมินผลการโค้ชจากการแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้และนาผลการประเมินมาพัฒนาผู้เรียน อยา่ งต่อเนือ่ ง สรุป สาระสาคัญท่ีนาเสนอในบทนี้ ได้กล่าวถึงการรู้คิดซ่ึงเป็นกระบวนการ ทางสมอง (mental process) หรือการกระทาทางสมองหรือกระบวนการท่ีสมอง มีปฏสิ ัมพันธก์ ับขอ้ มลู สารสนเทศตา่ งๆ แล้วมีการประมวลผลเพอื่ เป็นสารสนเทศนาไปสู่ การคิด โค้ชจะต้องพัฒนาทักษะการรู้คิด ซ่ึงเป็นความสามารถในคิดและการเรียนรู้ ประกอบด้วย การรบั รู้ (perception) ความสนใจ (attention) การจา (memory) ภาษา (language) และการคดิ (thinking) โดยมีสมอง (brain) เป็นส่วนประมวลผล ข้อมูล (processing) ท่ีรับเข้ามาจากประสาทสัมผัสต่างๆ ก่อให้เกิดการคิดและการ เรยี นรู้ขึน้ การรับรู้ เป็นการแปลความหมายข้อมูลท่ีบุคคลได้รับจากสิ่งแวดล้อมผ่าน ทางอวัยวะรับสัมผัส (sensory motor) ได้แก่ ตา หู จมูก ล้ิน ผิวหนัง ซ่ึงการรับรู้เป็น พื้นฐานของการเรยี นรู้ ความสนใจเป็นกระบวนการทางสมองในการเลือกให้ความสาคัญกับสิ่งใด สงิ่ หนึ่งในขณะทไ่ี ม่สนใจสง่ิ อ่นื ความสนใจเกดิ ขน้ึ ได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) ความสนใจที่ เกดิ จากปัจจัยภายนอกหรือส่งิ เรา้ 2) ความสนใจท่ีเกดิ จากปจั จัยภายใน การจาเป็นกระบวนการที่สมองลงรหัสข้อมูล (encoding) โดยข้อมูล สารสนเทศแลว้ จัดเก็บ (stored) ไว้ในความทรงจาและสามารถค้นคืน (retrieved) มา ใช้ในสถานการณ์ตา่ งๆ ภาษาเป็นความสามารถในการเรียนรู้ระบบการใช้สัญลักษณ์ที่มีความ ซบั ซ้อนเพ่อื การสอื่ สารของบุคคล เป็นประเดน็ หน่ึงของการศึกษาดา้ นการรคู้ ดิ
บทที่ 3 การรคู้ ดิ 129 การคิด เป็นศักยภาพของสมองในการประมวลขอ้ มลู เพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์ ของการคิด เช่น การทาความเข้าใจ การตีความ การทานาย การประเมินคุณค่า การจาแนก การจัดหมวดหมู่ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การสร้างสรรค์นวัตกรรม เป็นต้น กา ร พั ฒ น า กา ร คิ ด ขั้ น สู ง ข อง ผู้ เ รี ย น เ ป็ น ภ า ร กิจ ท่ีส า คั ญ ข อง โ ค้ ช ทุ กค น ในการพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดต่างๆ ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียน การใช้พลังคาถาม (power questions) การทบทวนหลังการปฏิบัติ (after action review) การถอดบทเรียน (lesson learned) และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การโค้ชเพ่ือการรู้คิดบนฐานทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มการรู้คิดมุ่งเน้นการ กระตุ้น ส่งเสริม ช้ีแนะให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดอย่างต่อเน่ือง โดยกระตุ้นให้ผู้เรียน ใช้กระบวนการคิดท่ีหลากหลายโดยเฉพาะการคิดข้ันสูง ส่งเสริมให้ผู้เรียน มีประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีหลากหลาย กระตุ้นการมองภาพรวม จัดส่ิงแวดล้อมและ บรรยากาศทเี่ อ้ือตอ่ การเรยี นรู้ กระตุ้นให้ผู้เรยี นมปี ฏสิ ัมพันธก์ บั บุคคลและสิง่ แวดลอ้ ม กาหนดเปูาหมาย วางแผน และใช้วิธีการเรียนรู้และกระบวนการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับ กับธรรมชาติของตนเอง ให้ผู้เรียนประเมินการเรียนรู้ของตนเอง เปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้การลงมือกระทาหรือปฏิบัติจริงในส่ิงที่เรียนรู้และให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แล ะป ร ะเ มิน ผ ล การ โ ค้ช ท่ีส อด คล้ องกับ จุ ด มุ่งห ม าย ขอ งการ เ รี ย น รู้ แล ะน า ผ ล กา ร ประเมนิ มาพัฒนาผู้เรยี นอยา่ งตอ่ เนือ่ ง
130 บทท่ี 3 การรคู้ ดิ การโค้ชเพื่อการร้คู ิด บนฐานทฤษฎกี ารเรียนรู้กลุม่ การรู้คิด มงุ่ เนน้ การกระตุ้น สง่ เสริม ชีแ้ นะ ให้ผเู้ รียนใชก้ ระบวนการคิดอยา่ งตอ่ เน่อื ง
บทท่ี 3 การรคู้ ดิ 131 บรรณานุกรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โต). (2557). พทุ ธธรรม ฉบับปรับขยาย. (พิมพ์ครั้งที่ 32). อยธุ ยา: มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. ราชบัณฑิตยสถาน. (2555). พจนานกุ รมศัพทศ์ กึ ษาศาสตร์ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑติ ยสถาน. Anderson, John R. (2010). Cognitive Psychology and Its Implications. 7thed. New York: Worth Publishers. Anderson, Lorin. W, & Krathwohl, David. R. (eds.) (2001). A Taxonomy for Learning, Teaching, and Assessing: A Revision of Bloom's Taxonomy of Educational Objectives. Abridged Edition, New York: Longman. Bloom, B.S., (Ed.) (1956). Taxonomy of Educational Objectives: The Classification of Educational Goals: Handbook I, Cognitive Domain. New York: Longmans. Blomberg, O. (2011). \"Concepts of cognition for cognitive engineering\". International Journal of Aviation Psychology 21 (1): 85–104. doi:10.1080/10508414.2011.537561. Brookhart, Susan M. (2010). How to Assess Higher – Order Thinking in Your Classroom. Alexandria: ASCD. Eisenberger, Joann., Antonio, Marcia., and Bertrando, Robert. (2005). Self – Efficacy: Raising The Bar for All Students. 2nded. New York: Routledge. Festinger, L. (1957). A Theory of Cognitive Dissonance. California: Stanford University Press.
132 บทท่ี 3 การรู้คดิ Galotti, Kathleen M. (2014). Cognitive Psychology in and Out of The Laboratory. 5thed. Los Angeles: SAGE. Gazzaniga, Michael., Ivry, Ricchard B., Mangun, George R.(2013). Cognitive Neuroscience The Biology of The Mind. 4thed. New York: W.W. Norton & Company. Hunt, R. Reed., Ellis, Henry C. (2004). Fundamental of Cognitive Psychology. 7thed. Boston: McGraw-Hill Higher Education. Lazear, David. (2004). Higher–Order Thinking the Multiple Intelligences Way. Chicago: Zephyr Press. Matlin, Margaret W. (2009). Cognition. 7thed. New Jersey: John Wiley & Sons. Oxford University. (2005). Oxford Advance Learner’s Dictionary. 7thed. New York: Oxford University Press. Schacter, Daniel., Gilbert, Daniel T., and Wegner, Daniel M. (2011). Psychology. New York: Worth Publishers. Sternberg, Robert. J., & Sternberg, Karin. (2009). Cognitive Psychology. 6thed. Belmont, CA: Wadsworth, Engage Learning. Wallace, Joshua. (2013). “Cognitive – based learning” retrieved from http://www.ehow.com/about_5291526_cognitivebased- learning.html (สบื ค้นเม่อื 8 กมุ ภาพันธ์ 2557) Wadsworth, Barry J. (1996). Piaget’s Theory of Cognitive and Affective Development: Foundations of Constructivism. 5thed. New York: Longman Publishers. Wright, Richard. D. and Ward, Lawrence. M. (2008). Orienting of Attention. Oxford: Oxford University Press.
บทท่ี 4 การสรา้ งความไวว้ างใจ 133 บทที่ 4 การสร้างความไว้วางใจ
134 บทที่ 4 การสรา้ งความไว้วางใจ ความไว้วางใจ (trust) เปน็ ปจั จัยท่สี าคัญท่ีสดุ ของการโค้ช เปน็ พลังสู่ผู้เรยี น รู้สกึ สัมผัส (touch) โคช้ ได้ นามาส่คู วามไวว้ างใจซึ่งกนั และกัน
บทท่ี 4 การสร้างความไวว้ างใจ 135 บทนา การนาเสนอเน้ือหาสาระ เร่ืองการสร้างความไว้วางใจ มุ่งสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดของการสร้างความไว้วางใจ จุดมุ่งหมายของการสร้างความ ไว้วางใจ พลังของความไว้วางใจ (trust) เป็นพลังให้ผู้เรียนรู้สึกสัมผัส (touch) กับโค้ช ได้ และนามาสู่ความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน ความต้องการของผู้เรียนท่ีเป็นพื้นฐานของ ความไว้วางใจ บุคลิกภาพของโค้ชท่ีเสริมสร้างความไว้วางใจ การส่ือสารของโค้ช ท่ีเสริมสร้างความไว้วางใจ วิธีการสร้างความไว้วางใจ ปัจจัยยึดเหนี่ยวความไว้วางใจ และการจัดการความไวว้ างใจ โดยมสี าระสาคัญดงั ต่อไปนี้ 1. ความไว้วางใจเป็นปัจจัยท่ีสาคัญท่ีสุดของการโค้ชเพราะเป็นเหตุ ปัจจัยเดียวที่ทาให้ผู้เรียนพร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองตามคาชี้แนะของโค้ช หากการโค้ชเป็นไปด้วยความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน โค้ชมีความไว้วางใจผู้เรียน ผู้เรียน มคี วามไว้วางใจโค้ช 2. จุดมงุ่ หมายของการสรา้ งความไว้วางใจ ที่สาคัญท่ีสุดคือ การทาให้ ผู้เรียนมีความเช่ือมั่นว่าจะได้รับการดูแลจากโค้ชด้วยความรัก ความเมตตา เพ่ือให้เกิด การพฒั นาในดา้ นต่างๆ อย่างต่อเน่ือง 3. ความไว้วางใจเป็นพลังที่อยู่ในจิตใจของผู้เรียน ทาให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองตามแนวทางและคาชี้แนะของโค้ชได้อย่างต่อเน่ือง เมื่อผู้เรียนมีความไว้วางใจโค้ช ผู้เรียนจะมีความเชื่อม่ัน ในตนเอง กล้าแสดงความ คดิ เหน็ กล้าตั้งคาถาม กลา้ คดิ ซึ่งสง่ิ เหลา่ นี้ล้วนเป็นปจั จยั ทท่ี าให้เกิดการเรียนรู้ 4. ผู้เรียนแต่ละคน แต่ละช่วงวัย มีธรรมชาติและความต้องการ ท่ีแตกต่างกัน ซ่ึงโค้ชต้องศึกษาวิเคราะห์และตอบสนองเพื่อสร้างความไว้วางใจ ใหเ้ กดิ ข้ึน
136 บทท่ี 4 การสรา้ งความไวว้ างใจ 5. บุคลิกภาพเป็นปัจจัยท่ีสาคัญเบ้ืองต้นของการสร้างความไว้วางใจ โคช้ ทมี่ บี ุคลิกภาพทีด่ ียอ่ มสรา้ งความไว้วางใจให้กบั ผูเ้ รยี น ไดอ้ ย่างรวดเร็ว 6. การส่ือสารในการโค้ชเป็นกระบวนการส่ือสารความรู้ ความคิด และความรู้สึก จากโค้ชไปยังผู้เรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และพฒั นาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง 7. ความไว้วางใจ สามารถสร้างได้ทุกเวลาท่ีทาการโค้ชและต้องทา อย่างต่อเนื่อง 8. การโค้ชเป็นส่ิงท่ีมากกว่าการบอกกล่าวให้ผู้เรียนพัฒนาตนเอง เท่านั้น โค้ชจะต้องทางานหนักหลายประการ ซ่ึงเป็นปัจจัย ยึดเหนี่ยวความไว้วางใจ ไวไ้ ด้ 9. ความไว้วางใจของผู้เรียน สามารถมีเพ่ิมขึ้นและลดลงได้ตาม ประสิทธิภาพในการโค้ช หากสามารถจัดการความไว้วางใจได้ย่อมส่งผลทาให้การโค้ช ดาเนินการต่อไปไดอ้ ยา่ งดี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389