แผนการจดั การเรยี นรู้ มุ่งเน้นสมรรถนะอาชีพและบูรณาการปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง วชิ า ทฤษฎเี ครื่องรบั วิทยุ รหัสวชิ า 2105-2009 หลกั สตู รประกาศนียบัตรวิชาชพี (ปวช.) พทุ ธศักราช 2562 ประเภท วิชาเคร่ืองรับวิทยุ สาขาวชิ าช่างอิเล็กทรอนกิ ส์ ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 จดั ทาโดย นางสาวรตั นภรณ์ อตุ มา วิทยาลยั การอาชพี ขนุ หาญ
แผนการจดั การเรยี นรู้ มุง่ เน้นสมรรถนะอาชพี วิชา ทฤษฎเี ครอ่ื งรบั วิทยุ รหสั วชิ า 2105-2009
คานา แผนจัดการเรียนรู้รายวิชา “ทฤษฎีเครื่องรับวิทยุ” AM – FM เรียบเรียงข้ึนเพื่อให้ตรงตาม หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชพี (ปวช.) พทุ ธศกั ราช ของกรมอาชีวศกึ ษา แผนการจัดการเรียนรู้นี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ของผู้เขียนและจากการศึกษาค้นคว้าทดลอง ได้นามาเรยี บเรียง เริ่มต้ังแต่การก่อตงั้ สถานีวทิ ยุ ระบบ AM ขึน้ ครัง้ แรกในประเทศไทย การพัฒนาการ รบั – สง่ วิทยรุ ะบบ AM และ FM จากอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั สาหรับแผนการสอนรายวิชาน้ี ผู้จัดทาได้ทุ่มเทกาลังกาย กาลังใจและเวลาในการศึกษาค้นคว้า ทดลอง ตง้ั แต่ปกี ารศกึ ษา 2551 จนถึงปจั จบุ ันเพือ่ ให้เกิดประสิทธภิ าพต่อการเรียนการสอน และการ จดั การเรียนการสอนตามแนวทางหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจแบบพอเพยี ง ท้ายท่ีสุดน้ี ผู้จัดทาขอขอบคุณผู้ท่ีสร้างแหล่งความรู้ และผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องต่าง ๆ ซ่ึงเป็นส่วน สาคัญที่ทาให้แผนการสอนวิชา ภาษาไทยธุรกิจ เล่มน้ีเสร็จสมบูรณ์เป็นท่ีเรียบร้อย และหากผู้ใช้พบ ขอ้ บกพรอ่ งหรอื มขี อ้ เสนอแนะประการใด ขอได้โปรดแจ้งผจู้ ดั ทาทราบดว้ ย จักขอบคณุ ย่งิ รัตนภรณ์ อุตมา
โครงการสอน ชือ่ รายวิชา ทฤษฎีเครื่องรับวทิ ยุ รหัสวิชา 20105-2009 (ท-ป-น) 2-3-3 ระดบั ชัน้ ปวช สาขาวิชา/กลมุ่ วิชา/แผนกวชิ า ชา่ งอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ หนว่ ยกติ 3 จานวนคาบรวม 90 คาบ ทฤษฏี 2 คาบ/สัปดาห์ ปฏบิ ัติ 3 คาบ/สัปดาห์ ภาคเรียนที่....................1..................ปกี ารศกึ ษา...........................2565............................. จดุ ประสงค์รายวิชา 1. เขา้ ใจหลักการทางานของวงจรภาคตา่ ง ๆ ในเครื่องรับวทิ ยุ 2. มที กั ษะในการประกอบและทดสอบคณุ สมบัตเิ ครื่องรับวิทยุแบบตา่ ง ๆ 3. มีทักษะเกย่ี วกบั การใชเ้ ครอ่ื งมอื วดั และทดสอบคณุ สมบัติของวงจร และอุปกรณเ์ คร่ืองรบั วทิ ยอุ ย่าง ถูกต้องและปลอดภัย 4. มีกจิ นิสยั ในการทางานด้วยความประณีต รอบคอบและปลอดภัย สมรรถนะฐานรายวิชา 1. แสดงความรเู้ กี่ยวกบั การใช้งานเครอ่ื งรบั วิทยุ 2. ประกอบ ทดสอบ ปรับแตง่ และใชง้ านวงจรเครอ่ื งรับวทิ ยุ คาอธบิ ายรายวชิ า ศึกษาและปฏิบัติการกระจายคลื่นวิทยุ ย่านความถี่ที่ใช้ในการรับ-ส่งวิทยุท่ัวไป หลักการรับ-ส่งวิทยุแบบ AM, FM Stereo, SSB และ DSB การทางานของวงจรที่ใช้ในเคร่ืองรับวิทยุ AM, FM ในภาคจูนเนอร์ ออสซิลเลเตอร์ ไอเอฟแอมป์ AVC, AGC, AFT Detector วงจร Stereo Multiplexวงจรขยายเสียงและภาคจ่าย ไฟฟา้ การประกอบ ทดสอบและปรบั แต่งเคร่อื งรับวิทยุดว้ ยเครอ่ื งมอื ทเ่ี กี่ยวข้อง
รายการหน่วย ช่ือหน่วย และสมรรถนะประจาหน่วย ชอ่ื เรื่อง สมรรถนะและจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม บทท่ี 1 ความรเู้ บื้องต้นเกี่ยวกบั วิทยุ สมรรถนะ: - กระจายและแบ่งความถค่ี ล่นื วทิ ยุ จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ 1. สรปุ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคลื่นวทิ ยุได้ 2. บอกคุณสมบตั ิองค์ประกอบของคลน่ื ได้ 3. ขยายความคล่นื วิทยุได้ ด้านทักษะ 4. แก้ปัญหาการแบ่งยา่ นความถ่ีวิทยุได้ 5. คานวณความถเี่ สียงได้ ด้านจิตพิสยั 6. นามาใชก้ ระจายคลน่ื วิทยุได้ ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง 7. ศึกษาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิทยุ และนามาใช้ให้เกิด ประโยชน์อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม ช่อื เรอ่ื ง สมรรถนะและจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม บทท่ี 2 หลกั การเครื่องสง่ วิทยเุ บอื้ งต้น สมรรถนะ: - ผสมคล่ืนระหว่างไซด์แบนวิทยุระบบ AM และ FM จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม: ด้านความรู้ 1. อธบิ ายหลักการเครอื่ งส่งวิทยเุ บื้องต้นได้ 2. บอกความแตกต่างของไซด์แบนของวิทยุระบบ AM และ FM ได้ ด้านทกั ษะ 3. แกป้ ญั หาเครื่องสง่ วิทยรุ ะบบ AM และ FM ได้ ดา้ นจติ พสิ ยั 4. ผสมผสานการผสมคลน่ื ได้ ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง 5. รู้ถึงหลักการเครื่องส่งวิทยุเบื้องและนาไปใช้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
ช่อื เร่อื ง สมรรถนะและจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม บทท่ี 3 บลอ็ กไดอะแกรมเครอื่ งรบั วทิ ยุ AM สมรรถนะ: - วดั ผลความรูเ้ กี่ยวกับบล็อกไดอะแกรมเครอ่ื งรบั วทิ ยุ AM จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม: ดา้ นความรู้ 1. แปลความหมายบล็อกไดอะแกรมวทิ ยุแร่ได้ ดา้ นทักษะ 2. ปรบั ปรงุ บล็อกไดอะแกรมเคร่ืองรับวทิ ยแุ บบ ซปุ เปอรเ์ ฮทเทอโรดายน์ได้ ด้านจติ พสิ ัย 3. จดั ระเบียบบลอ็ กไดอะแกรมวิทยแุ ร่ได้ ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง 4. ควบคมุ ปรมิ าณบล็อกไดอะแกรมเคร่ืองรบั วิทยุและ นามาประยุกต์ใชไ้ ด้เกิดประโยชน์สงู สุด ช่อื เรอื่ ง สมรรถนะและจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม บทที่ 4 เครือ่ งรับวิทยุ AM สมรรถนะ: - ใช้เครื่องรบั วทิ ยใุ นส่วนของภาคอาร์- เอฟ คอนเวอร์ เตอร์ จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม: ดา้ นความรู้ 1. ระบภุ าคอาร์- เอฟ คอนเวอรเ์ ตอร์ได้ 2. บรรยายภาคขยายความถี่ ไอ- เอฟได้ 3. แปลความหมาย เอ จี ซี (AGC) ได้ ด้านทกั ษะ 4. คานวณดีเทคเตอร์ได้ ด้านจิตพิสัย 5. จาแนกการอา่ นวงจรภาครับวทิ ยุ AM ได้ ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง 6. รู้จักใช้เครื่องรับวิทยุให้อยู่บนพ้ืนฐานความปลอดภัยต่อ ตนเองและเพือ่ นรว่ มหอ้ ง
ชื่อเร่อื ง สมรรถนะและจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม บทท่ี 5 การประกอบเคร่อื งรบั วทิ ยุ AM สมรรถนะ : ชื่อเรื่อง - ประกอบเครือ่ งรบั วิทยุ AM บทท่ี 6 เครือ่ งรับวิทยุ AM แบบ IC จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ด้านความรู้ 1. บอกคณุ สมบัตวิ งจรเครอื่ งรบั วิทยุ ระบบ AM ได้ 2. ยกตวั อย่างอปุ กรณท์ ใ่ี ช้สาหรับประกอบเคร่ืองรบั วทิ ยุ AM ได้ ดา้ นทกั ษะ 3. สาธิตการปรับแตง่ เครื่องรับวิทยรุ ะบบ AM ได้ ดา้ นจติ พิสัย 4. เลือกแผ่นพริ้นทีจ่ ะใชป้ ระกอบวงจรเคร่ืองรับวิทยุ AM ได้ ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง 5. ศกึ ษาการประกอบเคร่ืองรับวทิ ยุ AM และนามาใช้ให้เกิด ประโยชน์อย่างถูกตอ้ งเหมาะสม สมรรถนะและจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม สมรรถนะ: - รับวิทยุ AM แบบ IC จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม: ดา้ นความรู้ 1. เรียบเรยี งภาครบั วิทยุ AM แบบใช้ IC ได้ 2. เปลี่ยนภาคขยายเสยี งแบบใช้ IC 2 ได้ ดา้ นทกั ษะ 3. ซอ่ มประกอบเคร่ืองรบั วทิ ยุ AM แบบใช้ IC ได้ ด้านจิตพิสยั 4. จัดลาดบั การทดลองทดสอบและการปรบั แต่งได้ ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพียง 5. รู้ถึงเคร่ืองรับวิทยุ AM แบบ IC และนาไปใช้ได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ
ช่ือเรื่อง สมรรถนะและจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม บทที่ 7 เครื่องรับวิทยรุ ะบบ FM สมรรถนะ : - รบั วิทยรุ ะบบ FM จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ด้านความรู้ 1. เขยี นลาดับบล็อกไดอะแกรมเคร่ืองรับวิทยุ FM ได้ 2. บอกความหมายภาคจนู เนอร์ระบบ FM ได้ 3. ยกตัวอย่างอิเลก็ ทรอนิกส์จนู เนอร์ ได้ ด้านทกั ษะ 4. ทานายเชื่อมโยงความสมั พนั ธ์ภาคขยายไอ-เอฟได้ 5. แก้ปญั หาวงจรภาคขยายไอ-เอฟ ได้ ด้านจิตพิสัย 6. จาแนก เอฟ - เอม็ ดเี ทคเตอร์ได้ ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง 7. รจู้ กั ควบคุมปริมาณเครือ่ งรับวทิ ยุระบบ FM และนามา ประยุกตใ์ ช้ไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสม ชือ่ เรอื่ ง สมรรถนะและจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม บทที่ 8 วงจรภาคขยายเสยี งวิทยุ AM และ FM สมรรถนะ : - ขยายวงจรภาคขยายเสยี งวทิ ยุ AM และ FM จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ดา้ นความรู้ 1. ขยายความภาคขยายเสยี งได้ ดา้ นทักษะ 2. สาธิตภาคขยายเสยี งภาคสดุ ท้ายได้ ด้านจิตพิสัย 3. ชีว้ งจรภาคขยายเสยี งวิทยุได้ ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง 4. รูจ้ กั ใช้วงจรภาคขยายเสยี งวิทยุ AM และ FM ใหอ้ ยบู่ น พ้ืนฐานความปลอดภยั ตอ่ ตนเองและเพ่ือนรว่ มห้อง
ชอ่ื เรอ่ื ง สมรรถนะและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม บทท่ี 9 แหลง่ จ่ายไฟ สมรรถนะ : - เปิดใช้งานแหล่งจา่ ยไฟ จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ด้านความรู้ 1. บอกคณุ สมบตั ิแหล่งจ่ายไฟ ดี-ซี แบบใช้แบตเตอรี่ได้ ด้านทกั ษะ 2. ซ่อมวงจรจ่ายไฟ ดี-ซี แบบใชว้ งจรเรก็ ตฟิ ายได้ ด้านจติ พสิ ัย 3. เลอื กแหลง่ จ่ายไฟแบบใชแ้ บตเตอร่แี ละแบบใช้วงจรเร็ก ติฟายได้ ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง 4. ศึกษาความรู้เบื้องตน้ เกีย่ วกับแหล่งจ่ายไฟ และนามาใช้ ใหเ้ กดิ ประโยชน์อย่างถูกตอ้ งเหมาะสม ชอื่ เร่อื ง สมรรถนะและจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม บทท่ี 10 การปรับแต่งเครื่องรบั วิทยุ AM-FM สมรรถนะ : - ปรับแต่งเคร่ืองรับวิทยุ AM - FM จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ด้านความรู้ 1. อธิบาย อาร์-เอฟ ซกิ แนล เจนเนอเรเตอร์ ได้ 2. บอกความแตกต่างของวงจรท่ีจะปรับแต่งของเคร่ืองรับ วทิ ยุ AM และ FMได้ ดา้ นทักษะ 3. ผลิตเครือ่ งมือและอปุ กรณท์ ี่ใช้ในการปรับแต่งได้ ด้านจิตพสิ ัย 4. จดั ลาดับการปรบั แต่งไม่ใชเ่ คร่ืองมือทดสอบได้ ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง 5. รถู้ งึ การปรับแตง่ เคร่ืองรบั วิทยุ AM-FM และนาไปใช้ได้ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
ชอ่ื เรอ่ื ง สมรรถนะและจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม บทท่ี 11 อเิ ล็กทรอนกิ สจ์ ูนเนอรค์ วบคมุ ด้วย สมรรถนะ : ระบบดิจิตอล - ควบคุมจนู เนอร์ดว้ ยระบบดิจิตอล จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ด้านความรู้ 1. บอกความแตกต่างระหว่างจูนเนอร์ระบบ AM และ ระบบ FM ได้ ดา้ นทักษะ 2. สาธติ ขน้ั ตอนการจนู หาสถานี วทิ ยุ AM-FM ได้ ด้านจติ พิสัย 3. เขียนชื่อกากับบล็อกไดอะแกรมภาครับวิทยุ AM-FM ควบคมุ การทางานแบบดิจติ อล ได้ ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง 4. ร้จู กั ควบคุมอเิ ลก็ ทรอนิกสจ์ ูนเนอร์ด้วยระบบดิจติ อลและ นามาประยุกตใ์ ช้ได้เกิดประโยชน์สงู สดุ ช่ือเร่ือง สมรรถนะและจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม บทที่ 12 ระบบเสียงสเตริโอของเครือ่ งมินคิ อม สมรรถนะ : โป - เปิดระบบเสียงสเตรโิ อของเครอื่ งมินิคอมโป จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ดา้ นความรู้ 1. อธบิ ายหลกั การทางานระบบเสยี งสเตรโิ อ ได้ 2. ยกตวั อย่างวงจรโทนคอนโทรล ได้ 3. เขยี นลาดบั ของบัฟเฟอรแ์ อมป์และเพาเวอร์แอมป์ 1600 วตั ต์ ได้ ดา้ นทกั ษะ 4. สาธติ วิธเี ลอื กสัญญาณอินพุต ได้ ดา้ นจติ พิสัย 5. จัดระเบยี บภาคจ่ายแรงดนั ไฟได้ ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง 6. รจู้ ักใชร้ ะบบเสียงสเตรโิ อของเครอื่ งมินิคอมโปใหอ้ ยบู่ น พื้นฐานความปลอดภยั ต่อตนเองและเพ่ือนร่วมหอ้ ง
รายชื่อหนว่ ยการสอน/การเรียนรู้ หนว่ ยการสอน/การเรยี นรู้ วิชา ทฤษฎเี ครือ่ งรับวิทยุ รหัส... 20105-2009......คาบ/สัปดาห.์ ....5.......คาบ รวม......90…… คาบ หนว่ ยที่ ชื่อหน่วย ทฤษฎี จานวนคาบ ทฤษฎี ปฏิบตั ิ 1 ความร้เู บ้ืองตน้ เกย่ี วกับวทิ ยุ 23 2 หลักการเครือ่ งสง่ วิทยเุ บอื้ งต้น 23 3 บลอ็ กไดอะแกรมเครื่องรบั วิทยุ AM 46 4 เครอื่ งรับวิทยุ AM 46 5 การประกอบเครอื่ งรบั วิทยุ AM 46 6 เครื่องรบั วิทยุ AM แบบ IC 23 7 เคร่ืองรับวทิ ยุระบบ FM 46 8 วงจรภาคขยายเสยี งวทิ ยุ AM และ FM 46 9 แหลง่ จ่ายไฟ 46 10 การปรับแตง่ เคร่อื งรบั วิทยุ AM-FM 23 11 อิเล็กทรอนกิ ส์จนู เนอรค์ วบคมุ ด้วยระบบดจิ ิตอล 23 12 ระบบเสียงสเตริโอของเครื่องมินิคอมโป 23 รวม 90
แผนการจดั การเรียนรู้/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎี แผนการจดั การเรียนรู้/การเรียนรู้ภาคทฤษฎี หน่วยที่ 1 ชื่อวชิ า ทฤษฎีเคร่ืองรับวทิ ยุ สอนสปั ดาห์ที่ 1 ชื่อหน่วย ความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วทิ ยุ คาบรวม 5 ช่ือเรื่อง ความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั วทิ ยุ จานวนคาบ 5 หัวข้อเรื่อง ดา้ นความรู้ 1. ความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั คล่ืนวทิ ยุ 2. องคป์ ระกอบของคลื่น 3. คล่ืนวทิ ยุ ดา้ นทกั ษะ 4. การแบง่ ยา่ นความถ่ีวทิ ยุ 5. ความถ่ีเสียง ดา้ นจิตพิสัย 6. กระจายคล่ืนวทิ ยุ ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม 7. ศึกษาความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วทิ ยุ และนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม สาระสาคญั เครื่องรับวทิ ยมุ ีบทบาทต่อการดาเนินชีวติ ประจาวนั ของมนุษยเ์ รา เป็นสื่อชนิดหน่ึง ที่สามารถเขา้ ถึง มวลชนไดง้ ่าย คือแทบจะทุกบา้ นเรือนของคนเราจะตอ้ งมีเคร่ืองรับวทิ ยุระบบ AMหรือระบบ FM น้นั หมายถึง เป็นองคป์ ระกอบหน่ึงที่มีความสาคญั ต่อมวลมนุษยท์ ่ีจะอยใู่ นสังคม ของโลก ในปัจจุบนั การก่อกาเนิดกิจการวทิ ยขุ องประเทศไทย ใน ปี พ.ศ. 2470 ไดต้ ิดต้งั เครื่องส่ง วทิ ยรุ ะบบ AM กาลงั ส่งออกอากาศ 200 วตั ต์ ณ ท่ี ทาการไปรษณียโ์ ทรเลข ช่ือสถานีวา่ “4 พีเจ” นบั เป็นการส่งวทิ ยกุ ระจายเสียง ออกอากาศเป็นคร้ังแรก ส่วนเคร่ืองรับวทิ ยจุ ะใชว้ ทิ ยแุ ร่จะตอ้ งใชห้ ูฟัง จะไดย้ นิ แต่เสียงเบามาก ตอ่ มามีการนาเอา วทิ ยหุ ลอดมีต้งั แตข่ นาด 4 หลอดถึง 8 หลอดทาใหก้ าร รับฟังดีข้ึนเป็นลาดบั ในยคุ น้นั ผทู้ ี่ สามารถเป็นเจา้ ของ เครื่องรับวทิ ยจุ ะตอ้ งมีฐานะร่ารวยเทา่ น้นั
สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย - กระจายและแบ่งความถี่คลื่นวทิ ยุ คาศัพท์สาคญั ความหมายของคาสั่งหรือคาแนะนา คล่ืน หรือ เวฟ (wave) หมายถึงการเคลื่อนไหวของพลงั งานรูปแบบหน่ึง ลกั ษณะโดย ทวั่ ไปของคล่ืนจะ มีการเคล่ือนที่แบบข้ึนลง เช่นคลื่นข้ึนของน้า การเกิดคล่ืนหมายถึง ขณะที่น้าน่ิง เราโยนกอ้ นหินลงในน้าจะเห็น การกระเพ่อื มข้ึนลงของน้า ลกั ษณะน้ีเรียกวา่ การเกิดคล่ืน จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้ จุดประสงค์ทว่ั ไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. เพอ่ื ใหม้ ีความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั คลื่นวทิ ยุ (ด้านความรู้) 2. เพ่อื ใหม้ ีความรู้เก่ียวกบั คุณสมบตั ิองคป์ ระกอบของคลื่น (ด้านความรู้) 3. เพ่อื ใหม้ ีความรู้เกี่ยวกบั ความคลื่นวทิ ยุ (ด้านความรู้) 4. เพอ่ื ใหม้ ีทกั ษะแกป้ ัญหาการแบ่งยา่ นความถี่วทิ ยุ (ด้านทักษะ) 5. เพือ่ ใหม้ ีทกั ษะการคานวณความถ่ีเสียง (ด้านทักษะ) 6. เพ่ือใหผ้ เู้รียนตระหนกั ถึงการนามาใชก้ ระจายคล่ืนวทิ ยุ (ด้านจิตพิสัย) 7. เพือ่ ศึกษาความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วทิ ยุ และนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้าน คุณธรรม จริยธรรม) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. สรุปความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั คลื่นวทิ ยไุ ด้ (ด้านความรู้) 2. บอกคุณสมบตั ิองคป์ ระกอบของคลื่นได้ (ด้านความรู้) 3. ขยายความคล่ืนวทิ ยไุ ด้ (ด้านความรู้) 4. แกป้ ัญหาการแบง่ ยา่ นความถ่ีวทิ ยไุ ด้ (ด้านทักษะ) 5. คานวณความถ่ีเสียงได้ (ด้านทักษะ) 6. นามาใชก้ ระจายคล่ืนวทิ ยไุ ด้ (ดา้ นจิตพสิ ยั ) 7. ศึกษาความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั วทิ ยุ และนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนอ์ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านคุณธรรม จริ ยธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง)
เนือ้ หาสาระการสอน/การเรียนรู้ • ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี คล่ืน หรือ เวฟ (wave) หมายถึงการเคลื่อนไหวของพลงั งานรูปแบบหน่ึง ลกั ษณะโดย ทว่ั ไปของคลื่นจะ มีการเคล่ือนท่ีแบบข้ึนลง เช่นคล่ืนข้ึนของน้า การเกิดคล่ืนหมายถึง ขณะท่ีน้านิ่ง เราโยนกอ้ นหินลงในน้าจะเห็น การกระเพ่ือมข้ึนลงของน้า ลกั ษณะน้ีเรียกวา่ การเกิดคลื่น รูปที่ 1.1 การเคลอ่ื นไหวของผวิ นา้ เมอื่ โยนก้อนหนิ ลงในนา้ จากรูปจะพบว่าคลื่นเกิดข้ึนได้ เม่ือโยนกอ้ นหินกระทบผิวน้า ผวิ น้าจะเกิดการเคล่ือนไหว คือ ผิวน้าจะ เป็ นลูกคล่ืน ลูกคล่ืนใหญ่ตรงบริเวณกอ้ นหินตกกระทบและขนาดจะค่อย ๆ เล็กลงจนใน ที่สุดผิวก็จะเรียบหรือ น้าน่ิง ทิศทางการเคล่ือนท่ี กระจายตวั ของคลื่น จะกระจายออกจากจุดเริ่มตน้ อยา่ งต่อเน่ือง แลว้ กาลงั จะลดลง เม่ือระยะห่างไกลออกไป การกระจายของคล่ืนวิทยุก็เช่นเดียวกนั จุดเร่ิมตน้ การแพร่กระจายคลื่น คือเสาอากาศ ของคลื่นส่งวิทยุ เม่ือระยะไกลออกไปเร่ือย ๆ กาลงั ก็จะลดลงจนในท่ีสุดคลื่นวทิ ยกุ ็จะหมดไป คือ บริเวณน้นั ไม่มีสัญญาณวทิ ยุ 1.2 องค์ประกอบของคลนื่ คลื่นโดยทว่ั ๆ ไปมีหลายรูปแบบ เช่น คลื่นลกั ษณะไซน์ เวฟ (Sine Wave) หรือคลื่น แบบสี่เหลี่ยม เรียกวา่ สแควร์ เวฟ (Square Wave) จะตอ้ งมีองคป์ ระกอบสาคญั ตา่ ง ๆ ท่ีตอ้ ง เรียนรู้ดงั น้ี
รูปท่ี 1.2 คลนื่ รูปไซน์เวฟ (Sine Wave) จากรูปท่ี เป็ นคล่ืนรูปไซน์เวฟ คลื่นรูปลกั ษณะน้ีมีใชม้ ากในงานอิเล็กทรอนิคส์ รูปร่างจะ ประกอบดว้ ย ส่วนสูงของคลื่นและความยาวของคลื่นและความถ่ี 1. ความสูงของสัญญาณ เรียกวา่ แอมปลิจูด (Amplitude) หมายถึง ความสูงของ สัญญาณหมายถึง ระยะ ก่ึงกลางที่จุดสูงสุดคือ จุด B (O-B) หรือระยะก่ึงกลางที่จุดสูงสุดดา้ นล่าง (O-D) หรือระยะจากยอดสูงสุดดา้ นบน ถึงระยะยอดสูงสุดดา้ นล่าง (B-D) 2. ความยาวคลื่น (Wave Length) คือการเคลื่อนท่ีของรูปสัญญาณ เร่ิมต้นจากจุด A-B-C-D-E การ เคลื่อนท่ีลกั ษณะน้ีคือ ครบ 1 รอบ เรียกวา่ 1 ไซเกิล ใชส้ ัญลกั ษณ์แทนความยาวคล่ืน คือ แลมดา้ ( ) 3. ความถี่ (Frequency) หมายถึง รูปสัญญาณจานวนการครบรอบ (A-E) ก่ีคร้ังต่อวนิ าที ถา้ 1 วินาที เกิด รูปสัญลกั ษณ์ 50 คร้ัง เรียกวา่ มีรูปสัญญาณ 50 ไซเกิลต่อวินาที ปัจจุบนั หน่วย ของไซเกิลเรียกวา่ เฮิรตซ์ (Hertz) มีอกั ษรยอ่ คือ HZ 1.3 คล่ืนวิทยุ (Radio Wave) คล่ืนวิทยุ หรือ เรดิโอเวฟ (Radio Wave) เป็ นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า ซ่ึงเกิดจากการ เคล่ือนที่ของ อิเล็กตรอน (Electron) ในสารตวั นาจนเกิดสนามไฟฟ้ าและสนามแมเ่ หล็ก ดงั น้นั คลื่นวทิ ยจุ ึงประกอบดว้ ย การรวมตวั กนั ของสนามไฟฟ้ าและสนามแม่เหล็ก
รูปท่ี 1.3 ทศิ ทางการเคลอ่ื นทข่ี องสนามไฟฟ้ าและสนามแม่เหลก็ ของการเกดิ คลน่ื วทิ ยุ คุณสมบตั ขิ องคลนื่ วทิ ยุ คลื่นวิทยุ สามารถเดินผ่านตวั กลางได้หลายชนิด เช่น อากาศ ของแข็ง ของเหลว ตลอด จนเดินผ่าน สุญญากาศไดด้ ว้ ย คล่ืนวทิ ยุ สามารถจะสะทอ้ นหรือหกั เหไดเ้ ม่ือกระทบกบั วตั ถุหรือช้นั บรรยากาศท่ีมีความ หนาแน่นสูง คล่ืนวทิ ยเุ ป็ นคลื่นที่มีความถ่ี (frequency) สูงมากกวา่ มนุษยจ์ ะสามารถไดย้ นิ ได้ คือ สูง มากกวา่ 20 KHz ข้ึนไป คล่ืนวิทยุสามารถเดินทางไดเ้ ท่ากบั ความเร็วของแสง คือประมาณ 300,000,000 เมตร ต่อวินาที หรือ 186,000 ไมลต์ อ่ วนิ าที คลื่นวทิ ยมุ ีการคานวณความยาวคลื่นโดยใชส้ ูตร หน่วยความถีข่ องคลนื่ วทิ ยุ ความถ่ีของวทิ ยมุ ีหน่วยที่เลก็ ท่ีสุด คือ เฮิรตซ์ (Hertz) อกั ษรยอ่ HZ 1,000 เฮิรตซ์ (HZ) = 1 กิโลเฮิรตซ์(KHZ) 1,000 กิโลเฮิรตซ์ (KHZ) = 1 เมก็ กะเฮิรตซ์ (MHZ) 1,000 เมก็ กะเฮิรตซ์ (MHZ) = 1 จิกกะเฮิรตซ์ (Giga Hz: GHZ) 1,000 จิกกะเฮิรตซ์ (GHZ) = 1 เทราเฮิรตซ์ (Tera Hz: THZ)
1.4 การแบ่งย่านความถี่วทิ ยุ การแบ่งยา่ นความถ่ีวทิ ยุ จะถูกแบ่งออกไดเ้ ป็ น 8 ยา่ นความถี่และแตล่ ะยา่ นความถี่ จะถูกกาหนดการใช้ งานเป็ นสากล 1.5 การกระจายคลน่ื วทิ ยุ คลื่นสัญญาณวิทยุท่ีแพร่กระจายจากเสาอากาศของเครื่องวิทยุไปยงั เคร่ืองรับวิทยุได้ น้ัน เกิดไดจ้ าก ทางดา้ นเคร่ืองส่งเม่ือเครื่องส่งทางานจะก่อให้เกิดการไหลของกระแสไฟสลบั ในสาย อากาศ ซ่ึงจะทาให้เกิดคล่ืน แม่เหล็กไฟฟ้ าข้ึน การกระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าจะกระจายรอบทิศทาง ของสายอากาศ หรือ อาจกระจายไป ทิศทางใดทิศทางหน่ึงข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะของสายอากาศ คลื่นวทิ ยจุ ะกระจายไปไดร้ ะยะทางไกลมากนอ้ ยเพียงใดจะมีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั เช่น 1. กาลงั ของเครื่องส่ง 2. ความสูงของเสาอากาศเคร่ืองส่ง 3. ความถี่ของคลื่น 4. ช้นั บรรยากาศ 1. กาลงั ของเครื่องส่ง กาลงั ของเครื่องส่งยงั มีกาลงั ส่งมาก อานาจการกระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า กย็ ง่ิ มาก จะทราบได้ เมื่อทางสถานีประกาศออกอากาศ เช่น สถานีวทิ ยุ A ส่งดว้ ยกาลงั ส่ง 10 กิโลวตั ต์ 2. ความสูงของเสาอากาศ ความสูงของเสาอากาศ เสาอากาศยง่ิ สูงมาก การเดินทางของคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้ า ก็ยงิ่ ไปไดไ้ กล และมีผลตอ่ ความ โคง้ ของผวิ โลก 3. ความถ่ีของคล่ืน ความถี่ของคล่ืนท่ีอธิบายไปในเร่ืองการแบ่งยา่ นความถี่วิทยุ ความถ่ีจะมีผลตอ่ การรับส่งดว้ ยและตอ้ งคานึงถึงช้นั บรรยากาศดว้ ย 4. ช้นั บรรยากาศ ช้ันบรรยากาศจะมีผลต่อการกระจายคล่ืนวิทยุเป็ นอย่างมาก สภาพช้ันบรรยากาศ จะเปล่ียนแปลงไปตาม ธรรมชาติ จะส่งผลการสะทอ้ นของคลื่นความถี่ตามไปดว้ ย ช้นั บรรยากาศ ท่ีห่อหุ้มโลกที่มีผลต่อคล่ืนวิทยุ แบ่ง ไดเ้ ป็น 3 ช้นั คือ 1. ช้นั โทรโพสเฟี ยร์ (Troposphere) มีความสูงจากพ้ืนดิน ประมาณ 0-15 กิโลเมตร เป็ นช้ันบรรยากาศที่ เบาบาง ทาให้เกิดการ เปล่ียนแปลงอุณหภมู ิไดง้ ่าย จะมีผลต่อการกระจ่ายคลื่นไดบ้ า้ งเลก็ นอ้ ย
2. ช้นั สตาร์โทสเฟี ยร์ (Startosphere) ช้ันสตาร์โทสเฟี ยร์จะอยู่สูงกว่าผิวโลกประมาณ 15-50 กิโลเมตร จะมีผลต่อ การสะท้อนของคลื่น เล็กนอ้ ย ข้ึนอยกู่ บั ย่านความถี่ ถา้ ความถ่ีต่าจะมีผลต่อการสะทอ้ นได้ แต่ถา้ ความถี่สูงจะไม่มีผลต่อการสะทอ้ น ของคล่ืน 3. ช้นั ไอโอโนสเฟี ยร์ (Ionosphere) - ช้นั ไอโอโนสเฟี ยร์ จะมีความสูงจากผวิ โลกประมาณ 50-500 กิโลเมตร ช้นั ไอโอโนสเฟี ยร์ จะมีผลต่อการรับส่งวทิ ยุ อยา่ งมากมีการสะทอ้ นไดด้ ียง่ิ ถา้ มีความหนาแน่นของช้นั บรรยากาศ มาก จะมีผลตอ่ การสะทอ้ นมาก - ช้นั ไอโอโนสเฟี ยร์จะมีอนุภาคของก๊าซต่าง ๆ โดยทาปฏิกิริยากบั รังสีของ ดวงอาทิตยจ์ ะทาให้ ก๊าซต่าง ๆ เกิดการรวมตวั และแตกตวั เน่ืองจากดวงอาทิตยก์ บั โลกมีการ เปลี่ยนแปลงตาแหน่งโคจรตลอดเวลา จะมีผลใหก้ ารสะทอ้ นของคล่ืนวทิ ยมุ ายงั พ้ืนโลกเปลี่ยนแปลง ตามไปดว้ ย สังเกตไดจ้ ากการรับวิทยกุ ลางวนั และ กลางคืนจะแตกต่างกนั เช่น กลางคืนจะรับสถานี วทิ ยไุ กล ๆ ไดเ้ ลย การกระจายคลนื่ วทิ ยุ การกระจายคลื่นวทิ ยุ จะกระจายคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้ าไปยงั เครื่องรับ ได้ 4 ลกั ษณะ คือ 1. คลื่นตรง (Direct Wave) หมายถึง คล่ืนท่ีเดินทางจากเสาอากาศเคร่ืองส่งไปยงั สายอากาศเคร่ืองรับ โดยตรง จะทาการรับสญั ญาณมีประสิทธิภาพสูงมาก 2. คล่ืนฟ้ า (Sky Wave) หมายถึง คลื่นที่พุง่ ข้ึนสู่ทอ้ งฟ้ า เม่ือกระทบกบั ช้นั บรรยากาศจะ เกิดการสะทอ้ น หรือหกั เหกลบั ลงมาสู่สายอากาศเคร่ืองรับ การสะทอ้ นบรรยากาศของโลก ในช้นั ท่ี เรียกวา่ E-Layer บรรยากาศ ช้นั น้ีจะสูงจากโลกประมาณ 110 กิโลเมตร ช่วยใหส้ ะทอ้ นในเวลา กลางคืนไปไดไ้ กลหลายพนั กิโลเมตร 3. คล่ืนสะท้อนผิวดิน (Ground Reflected Wave) หมายถึง คล่ืนที่สะท้อนผิวดิน แล้ว สะท้อนสู่ สายอากาศเคร่ืองการรับสัญญาณจะมีผลท้งั ผลบวกและผลลบ ลกั ษณะน้ี คือทาให้ สัญญาณรับมีผลดีข้ึน หรือทา ให้สัญญาณรับลดลง ถา้ เฟสของสัญญาณตรงกนั จะเสริมแรงของ สัญญาณ ทาให้กาลงั สูงข้ึนแต่ถา้ เฟสตรงกนั ขา้ มกนั จะหกั ลา้ งกนั ทาใหก้ าลงั ลดลง 4. คล่ืนดิน หมายถึง คล่ืนวิทยุที่เดินทางไประดบั ผิวดิน แต่คล่ืนประเภทน้ีจะไปไม่ได้ ระยะทางไกล เพราะเกิดการดูดกลืนพลงั งานวทิ ยลุ งดิน 1.6 ความถ่เี สียง ( AF: Audio frequency) ความถี่เสียง คือ ออดิโอ ฟรีเควนซี (Audio frequency) หมายถึง คล่ืนที่ใชป้ ระจาในการพดู คุยหรือส่ง เสียงเพื่อสื่อความหมายกนั อยเู่ สมอน้นั เอง
การทางานเบอื้ งต้นของการนาความถเ่ี สียงมาขยายเสียง 1. ไมโครโฟน (Microphone) จะทาหนา้ ที่เปลี่ยนความถ่ีเสียงหรือความถี่จากแหล่งต่างๆ มาเป็นสัญญาณ ทางไฟฟ้ าของเสียง เรียกว่า ออดิโอ ซิกแนล (Audio Signal) หรือ AF Signal หรือ Sound Signal แต่มีขนาดของ สญั ญาณนอ้ ยมากจะตอ้ งนาไปขยายใหม้ ีกาลงั เพียงพอตอ่ ความตอ้ งการ ในเคร่ืองขยายเสียง 2. เครื่องขยายเสียง เรียกว่า ออดิโอ แอมปลิฟาย (Audio Amplifier) หรือ AF Amplifier จะนาเอา สัญญาณทางไฟฟ้ าของเสียง คือ ออดิโอ ซิกแนล (Audio Signal) หรือ AF Signal มา ทาการขยายให้มีกาลงั มาก ข้ึ น ใ น เ ค ร่ื อ ง ข ย า ย เ สี ย ง (Audio Amplifier) แ ล้ ว ส่ ง ต่ อ ใ ห้ ล า โ พ ง 3. ลำโพง (Speaker) จะทาหนา้ ท่ีเปลี่ยนจากสัญญาณไฟฟ้ าของเสียงให้เป็ นความถี่ เสียง เม่ือสัญญาณ ทางไฟฟ้ าของเสียงถูกป้ อนเขา้ สู่ขดลวด เรียกวา่ วอยซ์ คอยล์ (Voice Coil) ซ่ึงสามารถเคล่ือนที่ไดง้ ่าย ส่วนท่ีติด กบั วอยซ์ คอยล์ เป็ นกรวยทาดว้ ยผา้ หรือกระดาษท่ีมีความ เหนียวกว่ากระดาษธรรมดา เรียกว่า ไดอะแฟรม (Diaphragm) แลว้ มีแกนแม่เหล็กถาวร (PM : Permanent Magnet) คอ แม่เหล็กท่ีมีสนามแม่เหล็กมาตรฐาน เมื่อ สัญญาณทางไฟฟ้ าของเสียง (Sound Signal) ป้ อนเขา้ วอยซ์คอยซ์จะทาให้ เกิดสนามแม่ เหล็กไฟฟ้ าเกิดการผลั กกนั และดูดกนั กบั สนามแมเ่ หล็กถาวรจะทาใหก้ รวยกระดาษ (Diaphragm) เกิดการสนั่ สะเทือนกระทบกบั อากาศ ทาใหไ้ ดย้ นิ เป็นความถี่เสียง
ด้านทกั ษะ+ด้านจิตพสิ ัย (ปฏบิ ัติ+ด้านจติ พสิ ัย) (จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 4-6) 1. แบบฝึกหดั บทท่ี 1 ด้านคุณธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง (จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 7) 2. ศึกษาความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั วทิ ยุ และนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้ ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน 1. ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน (20 นาที ) 1. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน (20 นาที ) 1. ผูส้ อนจดั เตรียมเอกสาร พร้อมกับแนะนา 1. ผเู้ รียนเตรียมอุปกรณ์และ ฟังครูผสู้ อนแนะนา รายวิชา วิธีการให้คะแนนและวิธีการเรียนเร่ือง รายวชิ า วธิ ีการใหค้ ะแนนและวธิ ีการเรียนเร่ือง ความรู้ ความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วทิ ยุ เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วทิ ยุ 2. ผูส้ อนแจ้งจุดประสงค์การเรียนของหน่วย 2. ผูเ้ รียนทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั จุดประสงค์การ เรียนท่ี 1 และขอให้ผูเ้ รียนร่วมกนั ทากิจกรรมการ เรียนของหน่วยเรียนที่ 1 และการให้ความร่วมมือใน เรียนการสอน การทากิจกรรม 3. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนแปลความหมายของคาส่ัง 3. ผู้เรี ย น แ ป ล ค วาม ห ม าย ข อ งค าสั่ งห รื อ หรือคาแนะนาได้ คาแนะนาได้ 2. ข้ันให้ความรู้ (110 นาที) 2. ข้นั ให้ความรู้ (110 นาที ) 1. ผู้สอนเปิ ด PowerPoint หน่วยท่ี 1 เรื่อง 1. ผู้เรียนศึกษา PowerPoint หน่วยท่ี 1 เรื่อง ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับวิทยุ และให้ผู้เรียนศึกษา ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับวิทยุ และให้ผู้เรี ยนศึกษา เอกสารประกอบการสอน ทฤษฎีเครื่องรับวทิ ยุ หน่วย เอกสารประกอบการสอน ทฤษฎีเครื่องรับวทิ ยุ หน่วยท่ี ท่ี 1 หนา้ ที่ 1-13 1 หนา้ ท่ี 1-13 ประกอบกบั PowerPoint 2. ผู้ส อน แล ะผู้เรี ยน ร่ วม กัน ส รุ ป ความ รู้ 2. ผเู้ รียนและผูส้ อนร่วมกนั สรุปความรู้เบ้ืองตน้ เบ้ืองต้นเก่ียวกับคล่ืนวิทยุ ตามท่ีได้ศึกษาจาก เกี่ยวกบั คล่ืนวทิ ยุ ตามท่ีไดศ้ ึกษาจาก PowerPoint PowerPoint 3. ผูเ้ รียนดูผูส้ อนทดลองแก้ปัญหาการแบ่งย่าน 3. ผสู้ อนทดลองแก้ปัญหาการแบ่งย่านความถี่ ความถี่วทิ ยพุ ร้อมจดบนั ทึกเน้ือหาสาระ วทิ ยุ ใหผ้ เู้ รียนดู พร้อมใหค้ าแนะนา
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้ ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน 3. ข้นั ประยกุ ต์ใช้ ( 150 นาที ) 3. ข้ันประยุกต์ใช้ ( 150 นาที ) 1. ผู้สอนให้ผู้เรี ยนแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 4-5 คน 1. ผู้เรี ยน แบ่ งกลุ่ ม ๆ ละ 4-5 คน ร่ วมกัน ร่วมกนั อภิปรายบทเรียนหน่วยที่ 1 อภิปรายบทเรียนหน่วยที่ 1 2. ผู้สอนให้ตัวแทนกลุ่มออกมานาเสนอ 2. ตัวแทนของแต่ละกลุ่มออกมาอภิปราย แนวคิดที่ได้จากบทเรียนหน่วยที่ 1 ของแต่ละกลุ่ม แนวคิดที่ได้จากบทเรียนหน่วยท่ี 1 ของกลุ่มตนเอง ใหฟ้ ังหนา้ ช้นั เรียน หนา้ ช้นั เรียน 3. ผู้ส อ น ใ ห้ ผู้ เรี ย น สื บ ค้ น ข้ อ มู ล จ า ก 3. ผู้เรียนสื บค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตหรื อ อินเทอร์เน็ตหรือแหล่งความรู้ตา่ งๆ แหล่งความรู้ต่างๆ 4. ข้ันสรุปและประเมินผล (20 นาที ) 4. ข้ันสรุปและประเมินผล ( 20 นาที ) 1. ผูส้ อนและผูเ้ รียนร่วมกันสรุปเน้ือหาท่ีได้ 1. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปเน้ือหาท่ีได้ เรียนใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั เรียนเพือ่ ใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั 2. ผู้สอนและผู้เรียนทาแบบฝึ กหัดบทท่ี 1 2. ผูเ้ รียนทาแบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยที่ 1 หนา้ 14 - 15 หนา้ 14 - 15 3. ผูส้ อนให้ผเู้ รียนสลบั กนั ตรวจกิจกรรมและ 3. ผู้ เรี ย น ส ลั บ กั น ต ร ว จ กิ จ ก ร ร ม แ ล ะ แบบทดสอบหลังเรียน ด้วยความซ่ือสัตย์ แล้วนา แบบทดสอบหลังเรียน ด้วยความซื่อสัตย์ แล้วนา คะแนนที่ไดบ้ นั ทึกลงในแบบบนั ทึกคะแนน คะแนนท่ีไดบ้ นั ทึกลงในแบบบนั ทึกคะแนน 4. ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนศึกษาเพิ่มเติมนอกหอ้ งเรียน 4. ผู้เรี ยนศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรี ยน ด้วย ดว้ ย PowerPoint ที่จดั ทาข้ึน PowerPoint ที่จดั ทาข้ึน (บรรลจุ ุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-7) (บรรลุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 1-7) (รวม 300 นาที หรือ 1 คาบเรียน)
งานท่มี อบหมายหรือกจิ กรรมการวดั ผลและประเมินผล ก่อนเรียน 1. จดั เตรียมเอกสาร สื่อการเรียนการสอนหน่วยที่ 1 2. ทาความเข้าใจเกี่ยวกับจุดประสงค์การเรียนของหน่วยที่ 1 และให้ความร่วมมือในการทา แบบฝึกหดั บทที่ 1 ขณะเรียน 1. ศึกษา PowerPoint และเอกสารประกอบการสอน 1 เร่ือง ความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั วทิ ยุ 2. ซกั ถามขอ้ สงสยั ระหวา่ งการเรียนการสอน 3. ปฏิบตั ิตามแบบฝึกหดั ที่ 1 เร่ือง ความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วทิ ยุ หลงั เรียน 1. สรุปเน้ือหา 2. สลบั กนั ตรวจแบบฝึกหดั บทที่ 1 คาถาม 1. องคป์ ระกอบของคลื่น ช่วงที่เป็นส่วนสูงของคล่ืนเรียกวา่ 2. คลื่น 1 ไซเคิล ประกอบดว้ ยช่วงบวกและช่วงลบอยา่ งไร 3. คลื่นวทิ ยคุ วามถีจะเริ่มตน้ ท่ี ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสาเร็จของผู้เรียน แบบฝึกหดั บทที่ 1 เร่ือง ความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั วทิ ยุ
สมรรถนะทพ่ี งึ ประสงค์ ผเู้ รียนสร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วทิ ยุ 1. วเิ คราะห์และตีความหมาย 2. ต้งั คาถาม 3. อภิปรายแสดงความคิดเห็นระดมสมอง 4. การประยกุ ตค์ วามรู้สู่งานอาชีพ สมรรถนะการปฏิบตั งิ านอาชีพ - กระจายและแบง่ ความถ่ีคล่ืนวทิ ยุ สมรรถนะการขยายผล ความสอดคล้อง แบบฝึ กหัดบทที่ 1 ความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั วิทยุ ท่ีจดั ทาข้ึนได้ทาให้ผูเ้ รียนมีความรู้เพ่ิมเกี่ยวกับ คลื่นวิทยุตลอดจนการทางานของวิทยุ ทาให้ผูเ้ รียนสามารถนาไประยุกต์ใช้ในการเรียน การทางาน และ สามารถหารายไดร้ ะหวา่ งการเรียนการสอนช่วยเหลือผปู้ กครองไดใ้ นระดบั หน่ึง
ส่ือการเรียนการสอน/การเรียนรู้ สื่อส่ิงพมิ พ์ 1. เอกสารประกอบการสอนวชิ า ทฤษฎีเครื่องรับวทิ ยุ (ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรมขอ้ ท่ี 1-7) 2. แบบฝึกหดั หลงั เรียน (ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมขอ้ ท่ี 1-6) 3. แบบประเมินผลงานตามกิจกรรม ใชป้ ระกอบการสอนข้นั ประยกุ ตใ์ ช้ ขอ้ 1 4. แบบเฉลยกิจกรรมการเรียนรู้ ใชป้ ระกอบในข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน และข้นั สรุปและประเมินผล 5. แบบประเมินพฤติกรรมการทางานกลุ่ม ใชป้ ระกอบการสอนข้นั ประยกุ ตใ์ ช้ ขอ้ 2 ส่ือโสตทศั น์ (ถ้ามี) 1. PowerPoint เร่ือง ความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั วทิ ยุ สื่อของจริง ความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั วทิ ยุ (ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมขอ้ ที่ 1-7)
แหล่งการเรียนรู้ ในสถานศึกษา 1. หอ้ งสมุดวทิ ยาลยั เทคนิคสมุทรสาคร 2. หอ้ งปฏิบตั ิการคอมพวิ เตอร์ ศึกษาหาขอ้ มูลทางอินเทอร์เน็ต นอกสถานศึกษา ผปู้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถิ่นจงั หวดั สมุทรสาคร การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กบั วชิ าอน่ื 1. บูรณาการกบั วชิ าชีวิตและวฒั นธรรมไทย ดา้ นการพดู การอา่ น การเขียน และการฝึกปฏิบตั ิตน ทางสังคมดา้ นการเตรียมความพร้อม ความรับผดิ ชอบ และความสนใจใฝ่ รู้ 2. บรู ณาการกบั วชิ าคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์
การประเมนิ ผลการเรียนรู้ หลกั การประเมินผลการเรียนรู้ ก่อนเรียน ความรู้ก่อนการเรียนการสอน ขณะเรียน สงั เกตการทางาน หลงั เรียน ตรวจแบบฝึกหดั หลงั เรียน ผลงาน/ชิน้ งาน/ผลสาเร็จของผ้เู รียน แบบฝึกหดั บทท่ี 1 เร่ือง ความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วทิ ยุ
รายละเอียดการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 1 สรุปความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั คลื่นวทิ ยไุ ด้ 1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ 2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ 3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : สรุปความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั คลื่นวทิ ยไุ ด้ จะได้ 2 คะแนน จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 2 บอกคุณสมบตั ิองคป์ ระกอบของคลื่นได้ 1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ 2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ 3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : บอกคุณสมบตั ิองคป์ ระกอบของคล่ืนได้ จะได้ 2 คะแนน จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 3 ขยายความคล่ืนวทิ ยไุ ด้ 1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ 2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ 2. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ขยายความคลื่นวทิ ยไุ ด้ จะได้ 2 คะแนน จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 4 แกป้ ัญหาการแบ่งยา่ นความถี่วทิ ยไุ ด้ 1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ 2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ 3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : แกป้ ัญหาการแบง่ ยา่ นความถี่วทิ ยไุ ด้ จะได้ 1 คะแนน จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 5 คานวณความถี่เสียงได้ 1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ 2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ 3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : คานวณความถี่เสียงได้ จะได้ 1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 6 นามาใชก้ ระจายคล่ืนวทิ ยไุ ด้ 1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ 2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ 3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : นามาใชก้ ระจายคล่ืนวทิ ยไุ ด้ จะได้ 1 คะแนน จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 7 ศึกษาความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วทิ ยุ และนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์อยา่ ง ถูกตอ้ งเหมาะสม 1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ 2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ 3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ศึกษาความรู้เบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วทิ ยุ และนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์อยา่ ง ถูกตอ้ งเหมาะสม จะได้ 1 คะแนน
แบบฝึ กหดั บทที่ 1 ตอนท่ี 1 จงทาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงหน้าข้อทถ่ี ูกทสี่ ุด 1. องค์ประกอบของคลื่น ช่วงทเี่ ป็ นส่วนสูงของคลนื่ เรียกว่า ก. ความถ่ี ข. แอมปลิจดู ค. คาบเวลา ง. ความยาวคลื่น 2. คลนื่ 1 ไซเคลิ ประกอบด้วยช่วงบวกและช่วงลบอย่างไร ก. 4 คร้ัง ข. 3 คร้ัง ค. 2 คร้ัง ง. 1 คร้ัง 3. ความถ่ีเสียงมีความถ่ีระหว่าง ก. 20 Hz – 200 Hz ข. 20 Hz – 2000 Hz ค. 20 Hz - 20 KHz ง. 20 Hz – 200 KHz 4. คลนื่ วทิ ยคุ วามถจี ะเร่ิมต้นที่ ก. 30 Hz ข. 300 Hz ค. 30 KHz ง. 3 KHz 5. คลนื่ วทิ ยุระบบ AM จะอย่ยู ่านความถี่วทิ ยุ ก. VHF ข. VLF ค. MF ง. HF 6. คลน่ื วทิ ยุระบบ FM จะอยู่ย่านความถใ่ี ด ก. MF ข. UHF ค. HF ง. VHF 7. ความถี่ 1000 เฮิรตช์ จะเท่ากบั ก. 1 เทราเฮิรตช์ ข. 1 จิกะเฮิรตช์ ค. 1 กิโลเฮิรตช์ ง. 1 เมก็ กะเฮิรตช
8. การกระจายคลนื่ วทิ ยจุ ะไปได้ไกลคานึงถงึ ก. กาลงั ของเครื่องส่ง ข. ช้นั บรรยากาศ ค. ความสูงของเสาอากาศ ง. ถูกทุกขอ้ 9. ช้ันบรรยากาศทมี่ ีผลต่อการรับส่งคลนื่ วทิ ยุมากทส่ี ุดคือ ก. โทรไพสเฟี ยร์ ข. สตาร์โทสเฟี ยร์ ค. ไอโอโนสเฟี ยร์ ง. ถูกทุกขอ้ 10. การกระจายคลน่ื วิทยุ การรับมปี ระสิทธิภาพสูงสุด คอื คลนื่ ก. คล่ืนฟ้ า ข. คล่ืนตรง ค. คลื่นดิน ง. คล่ืนสะทอ้ นดิน ตอนที่ 2 จงทาแบบฝึ กหัด 1. จงหาความยาวคล่ืนของความถี่ 400 KHz มีค่าเท่ากบั กี่เมตร .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. 2. จงหาความยาวคลื่น ของความถ่ี 150 MHz มีค่าเทา่ กบั กี่เมตร .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................
เฉลย บทที่ 1 ตอนท่ี 1 จงกาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงหน้าข้อทีถ่ ูกทส่ี ุด 1. ก 2. 4 3. ข 4. ง 5. ค 6. ง 7. ค 8. ง 9. ง 10. ข
แบบประเมนิ ผลการนาเสนอผลงาน ชื่อกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง........................... รายชื่อสมาชิก 1……………………………………เลขท่ี……. 2……………………………………เลขท่ี……. 3……………………………………เลขที่……. 4……………………………………เลขที่……. ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คิดเห็น 32 1 1 เน้ือหาสาระครอบคลมุ ชดั เจน (ความรู้เกี่ยวกบั เน้ือหา ความถูกตอ้ ง ปฏิภาณในการตอบ และการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ ) 2 รูปแบบการนาเสนอ 3 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม 4 บุคลิกลกั ษณะ กิริยา ท่าทางในการพดู น้าเสียง ซ่ึงทาให้ผฟู้ ังมีความ สนใจ รวม ผปู้ ระเมิน………………………………………………… เกณฑ์ การให้ คะแนน 1. เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจนถกู ตอ้ ง 3 คะแนน = มสี าระสาคญั ครบถว้ นถูกตอ้ ง ตรงตามจุดประสงค์ 2 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ครบถว้ น แต่ตรงตามจุดประสงค์ 1 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ถูกตอ้ ง ไมต่ รงตามจุดประสงค์ 2. รูปแบบการนาเสนอ 3 คะแนน = มีรูปแบบการนาเสนอที่เหมาะสม มกี ารใชเ้ ทคนิคที่แปลกใหม่ ใชส้ ื่อและเทคโนโลยี ประกอบการ นาเสนอที่น่าสนใจ นาวสั ดุในทอ้ งถ่ินมาประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งคุม้ ค่าและประหยดั คะแนน = มีเทคนิคการนาเสนอท่ีแปลกใหม่ ใชส้ ่ือและเทคโนโลยปี ระกอบการนาเสนอที่น่าสน ใจ แต่ขาด การประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในทอ้ งถิ่น 1 คะแนน = เทคนิคการนาเสนอไม่เหมาะสม และไมน่ ่าสนใจ 3. การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม 3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม 2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีบทบาทและมสี ่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม 1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม 4. ความสนใจของผฟู้ ัง 3 คะแนน = ผฟู้ ังมากกวา่ ร้อยละ 90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ 2 คะแนน = ผฟู้ ังร้อยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ 1 คะแนน = ผฟู้ ังนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 สนใจ และใหค้ วามร่วมมอื
แบบประเมนิ กระบวนการทางาน ช่ือกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง........................... รายช่ือสมาชิก 2……………………………………เลขที่……. 4……………………………………เลขที่……. 1……………………………………เลขที่……. 3……………………………………เลขที่……. ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คิดเห็น 1 การกาหนดเป้ าหมายร่วมกนั 321 2 การแบ่งหนา้ ที่รับผดิ ชอบและการเตรียมความพร้อม 3 การปฏิบตั หิ นา้ ท่ีที่ไดร้ ับมอบหมาย 4 การประเมินผลและปรบั ปรุงงาน รวม ผปู้ ระเมิน………………………………………………… วนั ท่ี…………เดือน……………………..พ.ศ…………... เกณฑ์ การให้ คะแนน 1. การกาหนดเป้ าหมายร่วมกนั 3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้ าหมายการทางานอยา่ งชดั เจน 2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการกาหนดเป้ าหมายในการทางาน 1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้ าหมายในการทางาน 2. การมอบหมายหนา้ ที่รับผิดชอบและการเตรียมความพร้อม 3 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มีการจดั เตรียมสถานท่ี ส่ือ / อปุ กรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง 2 คะแนน = กระจายงานไดท้ วั่ ถึง แตไ่ มต่ รงตามความสามารถ และมีสื่อ / อปุ กรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง แตข่ าด การจดั เตรียมสถานที่ 1 คะแนน = กระจายงานไม่ทวั่ ถึงและมีส่ือ / อุปกรณ์ไมเ่ พยี งพอ 3. การปฏิบตั ิหนา้ ที่ที่ไดร้ ับมอบหมาย 3 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้ าหมาย และตามเวลาท่ีกาหนด 2 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้ าหมาย แตช่ า้ กวา่ เวลาท่ีกาหนด 1 คะแนน = ทางานไมส่ าเร็จตามเป้ าหมาย 4. การประเมินผลและปรับปรุงงาน 3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนร่วมปรึกษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็นระยะ 2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมปรึกษาหารือ แตไ่ มป่ รับปรุงงาน 1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนไมม่ ีส่วนร่วมปรึกษาหารือ และปรับปรุงงาน
บันทึกหลงั การสอน หน่วยท่ี 1 ความรู้เบือ้ งต้นเกย่ี วกบั วทิ ยุ ผลการใช้แผนการเรียนรู้ 1. เน้ือหาสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 2. สามารถนาไปใชป้ ฏิบตั ิการสอนไดค้ รบตามกระบวนการเรียนการสอน 3. สื่อการสอนเหมาะสมดี ผลการเรียนของนักเรียน 1. นกั เรียนส่วนใหญ่มีความสนใจใฝ่ รู้ เขา้ ใจในบทเรียน อภิปรายตอบคาถามในกลุ่ม และร่วมกนั ปฏิบตั ิใบงานที่ไดร้ ับมอบหมาย 2. นกั เรียนกระตือรือร้นและรับผดิ ชอบในการทางานเพ่ือใหง้ านสาเร็จทนั เวลาที่กาหนด 3. นกั เรียนกระจายและแบ่งความถ่ีคลื่นวทิ ยไุ ด้ ผลการสอนของครู 1. สอนเน้ือหาไดค้ รบตามหลกั สูตร 2. แผนการสอนและวธิ ีการสอนครอบคลุมเน้ือหาการสอนทาใหผ้ สู้ อนสอนไดอ้ ยา่ งมนั่ ใจ 3. สอนไดท้ นั ตามเวลาท่ีกาหนด
แผนการจัดการเรียนรู้/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎี แผนการจดั การเรียนรู้/การเรียนรู้ภาคทฤษฎี หน่วยที่ 2 ชื่อวชิ า ทฤษฎีเครื่องรับวิทยุ สอนสัปดาห์ท่ี 2 ช่ือหน่วย หลกั การเครื่องส่งวทิ ยเุ บ้ืองตน้ คาบรวม 10 ช่ือเร่ือง หลกั การเคร่ืองส่งวทิ ยเุ บ้ืองตน้ จานวนคาบ 5 หัวข้อเร่ือง ดา้ นความรู้ 1. หลกั การเครื่องส่งวทิ ยเุ บ้ืองตน้ 2. ไซดแ์ บนวทิ ยรุ ะบบ AM 3. ไซดแ์ บนวทิ ยรุ ะบบ FM ดา้ นทกั ษะ 4. เคร่ืองส่งวทิ ยรุ ะบบ AM 5. เครื่องส่งวทิ ยรุ ะบบ FM ดา้ นจิตพิสยั 6. ผสมคลื่น ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม 7. รู้ถึงหลกั การเครื่องส่งวทิ ยเุ บ้ืองและนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ สาระสาคญั จุดเริ่มตน้ การท่ีจะเกิดการส่งวทิ ยเุ นื่องมาจากคนเรามีการสื่อสารระหวา่ งกนั และกนั อาศยั เสียงพดู เสียง ดงั กล่าวจะผา่ นตวั กลางคืออากาศไปยงั ผฟู้ ัง แต่เสียงพดู มีขีดจากดั ในระยะทาง สงั คม มนุษยใ์ นโลกมีระยะห่างกนั หลายร้อยหลายพนั กิโลเมตร ทาอยา่ งไรมนุษยจ์ ึงจะสามารถติดต่อ ส่ือสารถึงกนั ได้ นกั วทิ ยาศาสตร์จึงพยายาม คิดคน้ การส่ือสาร ดว้ ยวธิ ีสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าความถ่ี สูง น้นั กค็ ือคลื่นวทิ ยนุ ้นั เอง สามารถเดินทางไปไดร้ ะยะ ทางไกลและเพือ่ ใหก้ ารส่งวทิ ยกุ ระจายเสียง มีระบบระเบียบ องคก์ ารสหประชาชาติ จึงไดจ้ ดั หน่วยงานข้ึนมาดูแล การใชค้ ล่ืนวทิ ยทุ ุกประเทศ ทว่ั โลก เรียกวา่ สหภาพวทิ ยกุ ระจายเสียงระวา่ งประเทศกาหนดให้ • การกระจายเสียงวทิ ยุ AM ความถ่ี คือ 525KHz - 1605 KHz • การกระจายเสียงวทิ ยุFM ความถี่คือ 88MHz - 108 MHz
สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย - ผสมคลื่นระหวา่ งไซดแ์ บนวทิ ยรุ ะบบ AM และ FM คาศัพท์สาคญั ความหมายของคาสั่งหรือคาแนะนา หลกั การเคร่ืองส่งวิทยุเบอื้ งต้น หลกั การเบ้ืองตน้ เก่ียวกบั เคร่ืองส่งวทิ ยุ คือจะตอ้ งนาเอาความถ่ีเสียงเรียกวา่ ออดิโอ ฟรีเควนซี (Audio frequency) หรือเรียกยอ่ วา่ AF การจะออกอากาศไดจ้ ะตอ้ งนาไปรวมกบั คล่ืน พาหะ เรียกวา่ แคร์เรีย (carrier) หรือความถ่ีวทิ ยุ (RF : Radio frequency) จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้ จุดประสงค์ทวั่ ไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. เพ่อื ใหม้ ีความรู้เรื่องการอธิบายหลกั การเครื่องส่งวทิ ยเุ บ้ืองตน้ (ด้านความรู้) 2. เพ่อื ใหม้ ีความรู้เร่ืองความแตกตา่ งของไซดแ์ บนของวทิ ยรุ ะบบ AM และ FM (ด้านความรู้) 3. เพ่ือใหม้ ีทกั ษะแกป้ ัญหาเคร่ืองส่งวทิ ยรุ ะบบ AM และ FM (ด้านทักษะ) 4. เพื่อใหผ้ เู้รียนตระหนกั ถึงผสมผสานการผสมคล่ืน (ด้านจิตพิสัย) 5. เพือ่ รู้ถึงหลกั การเครื่องส่งวทิ ยเุ บ้ืองและนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ (ด้านคุณธรรม จริยธรรม) จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. อธิบายหลกั การเครื่องส่งวทิ ยเุ บ้ืองตน้ ได้ (ด้านความรู้) 2. บอกความแตกต่างของไซดแ์ บนของวทิ ยรุ ะบบ AM และ FM ได้ (ด้านความรู้) 3. แกป้ ัญหาเครื่องส่งวทิ ยรุ ะบบ AM และ FM ได้ (ด้านทักษะ) 4. ผสมผสานการผสมคลื่นได้ (ด้านจิตพิสัย) 5. รู้ถึงหลกั การเครื่องส่งวทิ ยเุ บ้ืองและนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณา การเศรษฐกิจพอเพียง)
เนือ้ หาสาระการสอน/การเรียนรู้ • ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี 2.1 หลกั การเคร่ืองส่งวทิ ยเุ บือ้ งต้น หลกั การเบ้ืองตน้ เก่ียวกบั เครื่องส่งวิทยุ คือจะตอ้ งนาเอาความถ่ีเสียงเรียกวา่ ออดิโอ ฟรีเควนซี (Audio frequency) หรือเรียกย่อว่า AF การจะออกอากาศได้จะตอ้ งนาไปรวมกบั คล่ืน พาหะ เรียกว่า แคร์เรีย (carrier) หรือความถี่วทิ ยุ (RF : Radio frequency) ดงั น้นั คล่ืนที่ออกอากาศ คือ รูปท่ี 2.1 บลอ็ กไดอะแกรมเครื่องส่งวทิ ยเุ บอื้ งต้น ข้นั ตอนที่ 1 ด้านสัญญาณความถ่เี สียง ไมโครโฟน (Microphone) จะทาหนา้ ที่เปลี่ยนเสียงพดู หรือเสียงจากแหล่ง ต่างๆ เป็ นสัญญาณทางไฟฟ้ า ของเสียง เรียกวา่ ซาวด์ ซิกแนล (Sound Signal) หรือ AF Signal แต่กาลงั สัญญาณทางไฟฟ้ าของเสียงมีนอ้ ยมาก จะตอ้ งนาสัญญาณทางไฟฟ้ าของเสียงไปขยายให้ มีกาลงั สูงข้ึนในภาคขยายเสียง ภาคขยายเสียงเรียกว่า Audio Amplifier หรือ AF Amplifier จะทาการ ขยายสัญญาณทางไฟฟ้ าของเสียง ใหส้ ูงข้ึน น้นั คือ ขยายสัญญาณ AF หรือ ขยายความถ่ีเสียง ใหม้ ีกาลงั ตามตอ้ งการ ข้นั ตอนท่ี 2 สร้างคลนื่ พาหะ คลื่นพาหะ เรียกวา่ แคร์เรีย (Carrier) หรือ ความถ่ีวทิ ยุ (RF : Radio frequency) สร้างคลื่นพาหะ (Carrier) ข้ึนมาเพื่อเป็นตวั นาความถ่ีเสียงออกอากาศ
ข้นั ตอนที่ 3 การผสมความถ่ีเสียงกบั คลนื่ พาหะ การผสมความถี่เสียง (AF) กบั คล่ืนพาหะ (Carrier) เรียกว่า การมอดูเลชน่ั (Modulation) ดงั น้นั การการ มอดูเลชนั่ หมายถึง การนาสัญญาณท้งั สองมารวมกนั หรือมาผสมเขา้ ดว้ ยกนั คือ ข้นั ตอนท่ี 4 การขยายสัญญาณความถวี่ ทิ ยุ (RF Amplifier) เม่ือนาสัญญาณความถี่เสียง (AF) ผสมกบั คล่ืนพาหะ (Carrier) เมื่อผสม เข้าด้วยกันแล้วก็พร้อมจะ ออกอากาศได้ แต่กาลงั ยงั นอ้ ยมากจาเป็ นจะตอ้ งนาสัญญาณท่ีผสมกนั แลว้ มาขยายให้มีกาลงั สูงยิ่งถา้ ตอ้ งการ กาลงั ส่งออกอากาศจานวนมาก เช่น 10 กิโลวตั ต์ หรือ 20 กิโลวตั ต์ ภาคขยายความถ่ีวทิ ยุ (RF Amplifier) จะตอ้ งมี หลาย ๆ ภาค จากน้นั จะส่งสัญญาณ ใหส้ ายอากาศ ข้นั ตอนท่ี 5 สายอากาศ เมื่อภาคขยายความถ่ีวทิ ยุ (RF Amplifier) ดาเนินการแลว้ จะส่งสญั ญาณมา สู่ระบบสายอากาศ สายอากาศ ก็จะทาหนา้ ท่ีกระจายคล่ืนวทิ ยอุ อกอากาศในรูปคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้ า ออกอากาศไป 2.2 การผสมคลนื่ (Modulation) จากการศึกษาเบ้ืองตน้ ทราบวา่ ความถ่ีเสียง (AF : Audio frequency) ความถ่ีเสียง ไม่สามารถไปไดไ้ กล เพราะมีความถี่ต่า ส่วนความถ่ี วิ ทยุ (RF : Radio frequency) สามารถเดิ นทาง ไปไดไ้ กล ดงั น้ันถา้ ตอ้ งการให้ ความถ่ีเสียงเดินทางไปไดไ้ กล จะตอ้ งมีคล่ืนพาหะ (Carrier) เป็ นตวั นาพาความถี่เสียงไป น้นั ก็คือจะตอ้ งมีการ ผสมคลื่น (Modulation) เขา้ ดว้ ยกนั คือ การผสมคลื่นเรียกวา่ การมอดูเลชน่ั (Modulation) จะมีการผสมคลื่นอยู่ 3 แบบคือ 1. การผสมคล่ืนทางความสูง คือ แอมปลิจดู มอดูเลชน่ั (AM : Amplitude Modulation) หมายถึง การผสมที่ใชใ้ นวทิ ยกุ ระจายเสียงแบบ AM 2. การผสมคลื่นทางความถี่ คือ ฟรีเควนซี มอดูเลชั่น (FM : Frequency Modulation) หมายถึง การผสมท่ีใชใ้ นวทิ ยกุ ระจายเสียงแบบ FM 3. การผสมคล่ืนทางเฟส คือ เฟส มอดูเลชน่ั (PM : Phase Modulation) (ปัจจุบนั ไม่ ไดน้ ามาใช)้ 2.2.1 การผสมคลน่ื ทางความสูง (Amplitude Modulation) การผสมคลื่นทางความสูง เรียกว่า แอมปลิจูด มอดูเลช่ัน (AM : Amplitude Modulation) เป็ น การมอดูเลชนั่ ท่ีใชเ้ ครื่องรับวทิ ยแุ บบ AM การผสมคล่ืนทางความสูง หมายถึงเมื่อนาเอาความถ่ีเสียงมาผสมกบั ความถ่ีวทิ ยุ แลว้ ความแรงวทิ ยจุ ะ เปล่ียนแปลงตามความถี่เสียง หรือ การทาให้ขนาดของสัญญาณทางส่วนสูง ของความถ่ีวทิ ยุเพ่ิมข้ึน หรือ ลดลง ตามความถี่เสียงท่ีนาไปผสม
รูปท่ี 2.2 การผสมคลื่นทางความสูง (Amplitude Modulation) การผสมคลน่ื ทางความสูง ข้นั ตอนท่ี 1 ความถี่เสียง (AF : Audio frequency) หรือสัญญาณทางไฟฟ้ าของเสียง (Sound Signal) จะถูก ส่งเขา้ ภาควงจรคล่ืนทางความสูง (Amplitude Modulation) ข้นั ตอนที่ 2 คล่ืนพาหะ เรียกวา่ แคร์เรีย (Carrier) หรือ ความถี่วิทยุ (RF : Radio frequency) ถูกส่งเขา้ ภาค ผสมคล่ืนทางความสูง (Amplitude Modulation) ข้นั ตอนท่ี 3 ผสมคลื่นทางความสูง หรือ แอมปลิจูด มอดูเลชน่ั จะนาสัญญาณจาก 2 แหล่ง คือ ความถี่ เสียง (AF) มาผสมกบั ความถี่วทิ ยุ (RF) การมอดูเลชั่นแบบ AM เปอร์เซ็นตก์ ารมอดูเลชนั่ หรือ มอดูเลชนั่ อินเดกซ์ (Modulation index) เป็ นตวั เลข แสดงให้เห็นระดบั ของสัญญาณคล่ืนพาหะ (Carrier) เกิดการเปล่ียนแปลงตามระดบั สัญญาณ ความถี่เสียง (AF) คือ ถ้าระดบั สญ ญาณคลื่นพาหะสูง แสดงวา่ คา่ เปอร์เซ็นตม์ อดูเลชน่ั สูง แสดงวา่ ประสิทธิภาพคือขอบเขตระยะทางท่ีคลื่นเดินทางจะไดบ้ ริเวณกวา้ งไกล (แต่ตอ้ งค่า เปอร์เซ็นต์ มอดูเลชนั่ ไมเ่ กิน 100%) แต่ถ้าระดับสัญญาณคล่ืนพาหะต่า แสดงว่าค่าเปอร์เซ็นต์มอดูเลช่ันต่า แสดงว่า ขอบเขตของคลื่น เดินทางไดบ้ ริเวณลดลง 2.2.2 การผสมคลน่ื ทางความถี่ (Frequency Modulation) การผสมคล่ืนทางความถี่ เรียกว่าฟรีเควนซ่ี มอดูเลชน่ั (FM : Frequency Modulation) เป็ นการมอดูเลชั่นใช้กบั
เคร่ืองวทิ ยแุ บบ FM การผสมคลื่นทางความถ่ี หมายถึง เมื่อนาความถ่ีเสียง (AF) มาผสมกบั ความถี่วทิ ยุ (RF) ความถี่เสียงจะ ไม่ควบคุมให้ความถี่ของคล่ืนวทิ ยเุ ปล่ียนแปลงตามความถี่เสียง น้นั คือ ความถี่คลื่นวทิ ยุจะเพิ่มข้ึนจากปกติเมื่อมี ความถ่ีเสียงช่วงบวกเขามาผสม และความถี่วทิ ยุ จะลดลงจากปกติเม่ือความถี่เสียงช่วงลบเขา้ มาผสม 2.3 ไซด์แบนด์ของวทิ ยุระบบ AM การผสมคล่ืนทางความสูง (AM : Amplitude Modulation) ในการผสมคลื่นจะทาให้ เกิดคล่ืนหลกั อยู่ 3 ส่วน คือ 1. คล่ืนวทิ ยหุ รือ คล่ืนพาหะ (carrier) ความถ่ีน้ีเป็นความถ่ีท่ีกาหนดใหเ้ ป็นคลื่นของ แต่ละสถานี เรียกวา่ ความถี่พ้ืนฐาน (Fundamental Frequency) 2. อบั เปอร์ ไซด์แบนด์ (Upper Sideband) หมายถึง ความถ่ีขา้ งเคียงจะมีค่า มากกวา่ คลื่นพาหะ อีกเล็กนอ้ ย 3. โลวเ์ วอร์ ไซด์แบนด์ (Lower Sideband) หมายถึง ความถ่ีขา้ งเคียงจะมีค่าต่ากวา่ คลื่นพาหะอีก เลก็ นอ้ ย 2.4 ไซด์แบนด์ของวทิ ยุระบบ FM การผสมคล่ืนระหว่างสัญญาณความถ่ี (AF) กบั คลื่นพาหะ (Carrier) ในระบบ FM จะก่อให้เกิดไซด์ แบนด์มากมาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของความถี่คลื่นพาหะไซด์แบนด์ที่เกิดข้ึนหมายถึงดา้ นอบั เปอร์ไซด์ แบนด์ และดา้ นโลเวอร์ ไซดแ์ บนด์ ในไซดแ์ บนดแ์ ตล่ ะดา้ นจะประกอบ ดว้ ยความถ่ีท่ีเกิดข้ึนมากมาย รูปที่ 2.10 สเปคตรัมของสัญญาณ FM และความถี่ไซด์แบนด์
สมมุติคล่ืนพาหะมีความถ่ี 1 MHZถูกมอดูเลช่ันเขา้ กบั ความถ่ีเสียง (AF) ความถ่ี 5 KHz จะพบว่าเกิด ความถี่ขา้ งเคียง ขา้ งละ 6 ความถ่ี - ดา้ นอบั เปอร์ไซดแ์ บนด์ Fc - fa - ดา้ นอบั เปอร์ไซดแ์ บนด์ Fc = 1 MHZและ fa = 5 KHz USB = 1005 KHZ, 1010 KHZ, 1015 KHZ, 1020 KHZ, 1025 KHZ, 1030 KHZ - ดา้ นโลวเ์ วอร์แบนด์ Fc = 1 MHZและ fa = 5 KHZ = Fc - fa LSB = 995 KHZ, 990 KHZ, 980 KHZ, 975 KHZ, 970 KHZ สัญญาณ FM จะมีแบนดว์ ดิ ทก์ วา้ งกวา่ สญั ญาณ AM จากการที่มีองคป์ ระกอบความถ่ี ขา้ งเคียงท่ีมากกวา่ การกาหนดแถบความถ่ีของระบบ FM ตามมาตรฐานสากลโดย FCC (Federal Communication Commission) กาหนดความถี่วิทยุ FM อยู่ระหว่าง 88 MHz ถึง 108 MHz แต่ละสถานีจะมีแบนด์ วิดท์ (Band Width) เท่ากบั 200 KHz โดยกาหนดคา่ ไซดแ์ บนดด์ า้ นละ 75 KHz และการ์ดแบน ดอ์ ีก 25 KHz การ์ดแบนด์ (Guard band) จะมีเพ่ือป้ องกนั การรบกวนระหว่างสถานีหน่ึงกับอีกสถานีหน่ึง คือ ในช่วงการ์ดแบนด์ จะไม่ส่ง สญั ญาณวทิ ยุ ดงั น้นั การกาหนดแบนดว์ ดิ ทแ์ ตล่ ะสถานี ดงั น้ี 1. ความถ่ีของแตล่ ะสถานี (fc) 2. ความกวา้ งของอบั เปอร์ไซดแ์ บนด์ (+75 KHz) โลวเ์ วอร์ไซดแ์ บนด์ (-75 KHz) 3. ความกวา้ งของการ์แบนดแ์ ต่ละดา้ น (+25 KHz) 2.5 เคร่ืองส่งวทิ ยุ AM เคร่ืองส่งวทิ ยุ AM เป็นการนาเอาสญั ญาณจาก 2 แหล่ง คือ 1. คลื่นพาหะ (Carrier) คือทางานสร้างคล่ืนพาหะดว้ ยวงจรออสซิลเลเตอร์ 2. ความถี่สียง (AF : Audio frequency) ไดจ้ ากการทางานของภาคเสียง เมื่อนามา รวมกนั เขา้ คล่ืนเสียง จะไปกาหนดใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงทางความสูงหรือแอมปลิจดู ส่วนทสี่ ร้างคลนื่ พาหะ (Carrier) 1. ออสซิสเลเตอร์ จะผลิตหรือสร้างคลื่นพาหะ (Carrier) หรือ ความถ่ีวิทยุ (RF: Radio frequency) ความถี่ที่สร้างข้ึนข้ึนอยกู่ บั ความตอ้ งการ 2. วงจรบฟั เฟอร์ (Buffer) จะทาหนา้ ท่ีขยายสัญญาณคลื่นวิทยุ (RF) หรือ คล่ืนพาหะ (Carrier) ใหม้ ีกาลงั สูงข้ึนและป้ องกนั การรบกวนระหวา่ งภาคออสซิลเลเตอร์กบั ภาคขยายกาลงั 3. วงจรภาคขยายความถ่ีวิทยุสุดทา้ ย (RF Amplifier) นาสัญญาณออดิโอ (Audio) จาก การทางานวงจร
ภาคออดิโอมารวมเขา้ กบั คลื่นพาหะ เรียกวา่ การมอดูเลชน่ั น้นั คือ สัญญาณท่ีถูกมอดูเลช่นั แลว้ จะทาการขยายในภาคสุดท้ายให้มีกาลังสูงสูดและค่อยส่ง สัญญาณให้ สายอากาศแลว้ นาสัญญาณวทิ ยอุ อกไป สัญญาณออดิโอ (Audio) สัญญาณความถี่เสียง หรือ ออดิโอ หรือ AF (AF: Audio frequency) เร่ิมตน้ จาก ไมโครโฟนและเปล่ียน จากเสียงพูดหรือเสียงจากแหล่งต่าง ๆ มาเป็ นสัญญาณทางไฟฟ้ าของเสียง (Sound Signal) สัญญาณในส่วนน้ีจะ เรียกวา่ ความถ่ีเสียง (AF) หรือสญั ญาณออดิโอ (Audio) เรียกอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงกไ็ ด้ ทางเดนิ ของคลนื่ พาหะ (Carrier) คล่ืนพาหะ (Carrier) หรือคลื่นวิทยุ (RF) ท่ีได้จากวงจรออสซิลเลเตอร์ จะส่งมายงั วงจร จูน (T1) และ (C2) เขา้ สู่ขาเบลของวงจรบฟั เฟอร์ (TR1) คลื่นพาหะ (Carrier) หรือคล่ืนวทิ ยุ (RF) จะขยายออกไปท่ีขา คอลเล็คเตอร์ (TR1) ไปสู่ วงจรจนู (T2) และ (C5) ทางเดินของสัญญาณออดโิ อ (Audio) สัญญาณความถ่ีเสียงหรือสัญญาณออดิโอ จะมาขยายในทรานซิสเตอร์ (T3) ขยายออก คอลเล็คเตอร์ ผา่ น L4, R3 มาผสมหรือรวมท่ีวงจรจูน (T2 และ C5) 2.6 เครื่องส่งวทิ ยุระบบ FM เคร่ืองส่งวิทยุ ระบบ FM การนาเอาสัญญาณจาก 2 แหล่ง มารวมกนั หรือผสมกนั หรือเรียกว่า การมอ ดูเลชน่ั 1. ความถี่เสียง (AF) หรือ สัญญาณเสียง (Audio) 2. คลื่นพาหะ (Carrier) หรือ ความถ่ีวทิ ยุ (RF) การผสมกนั หรือ มอดูเลชนั่ สัญญาณความถ่ีเสียงจะทาให้ความถี่เปล่ียนแปลงใน การส่งระบบ FM จะมี 2 ลกั ษณะ คือ 1. เครื่องส่งระบบ FM ธรรมดา 2. เคร่ืองส่งแบบ FM สเตอริโอ มลั ติเพลก็ ซ์ ด้านสัญญาณเสียง หรือ ออดิโอ (Audio) ไมโครฟน คือ สัญญาณเสียงจากแหล่งต่าง ๆ เม่ือผา่ นเขา้ สู่ไมโครโฟน ไมโครโฟนจะทาหน้าท่ีเปล่ียน จากเสียงเป็ นสัญญาณไฟฟ้ าของเสียง (Sound Signal) แต่เนื่องจากกาลงั ต่ามากจะ ตอ้ งนาไปขยายในภาคต่าง ๆ เป็ นลาดบั ปรีอิมฟาสซีส (Preemphasis) จะยกระดบั ความถ่ีระดบั ระดบั หน่ึงตามตอ้ งการ ส่วนมาก นิยมยกระดบั ความถี่สูง (คือยกระดบั เสียงแหลม) ใหส้ ูงข้ึนกวา่ ปกติ
ภาคขยายเสียง (Audio Amplifier) จะนาสัญญาณจากวงจรปรีอิมฟาสซีส มาดาเนินการขยายให้ไดก้ าลงั เพียงพอท่ีตอ้ งการ เพื่อส่งไปมอ ดูเลชน่ั ด้านสัญญาณคลน่ื พาหะ (Carrier) จะตอ้ งสร้างสัญญาณคล่ืนพาหะ (Carrier) หรือ คล่ืนวทิ ยุ (RF) ดว้ ยวงจรออสซิสเลเตอร์ ภาคออสซิลเลเตอร์ จะสร้างความถ่ี (Carrier) ความถี่ที่สร้างน้ีจะอยใู่ นยา่ น FM (88 MHz – 108 MHz) แต่ ถา้ ในคล่ืนส่งมีภาค ทวีคูณความถ่ี การสร้างความถ่ีของวงจรออสซิลเลเตอร์ จะสร้างความถ่ีต่าก่อน แล้วจึงไปเพิ่มความถ่ีในภาค ทวคี ูณความถี่ ภาคผสมความถี่ จะนาสัญญาณจาก 2 แหล่ง คือจากสัญญาณออดิโอ และจากคลื่นพาหะมารวมกนั หรือผสมกนั หรือ เรียกวา่ การมอดูเลชน่ั ภาคทวคี ูณความถี่ ภาคทวีคูณความถี่ จะนาความถี่ท่ีสร้างจากวงจรออสซิ ลเลเตอร์มาทวีคูณความถ่ี เช่น วงจร ออสซิลเลเตอร์สร้าง 44 MHz วงจรทวคี ูณความถี่ 2 เท่า ก็จะมีคา่ เท่ากบั 88 MHz ภาคขยายสุดท้าย (RF Amplifier) เพ่อื ใหก้ าลงั ออกอากาศมีกาลงั ส่งตามตอ้ งการ จะตอ้ งนามาขยายสญั ญาณในภาคขยาย สุดทา้ ย ใหม้ ีกาลงั เพียงพอที่จะออกอากาศตอ่ ไป เครื่องส่งระบบ FM สเตอริโอมลั ตเิ พลก็ ซ์ เครื่องส่งระบบ FM สเตอริโอมลั ติเพลก็ ซ์ เป็ นเคร่ืองท่ีสร้างข้ึนมาเพ่ือตอ้ งการ การแยก ทิศทางของเสียง มาจากแหล่งกาเนิดเสียงจริง จึงก่อใหเ้ กิดมีการแยกเสียงทางซา้ ยมือ (L) และเสียง ดา้ นขวามือ (R) การส่งวิทยุระบบ FM สเตอริโอ มลั ติเพล็กซ์ จะคลา้ ยกบั หลกั การเคร่ืองส่งวิทยุระบบ FM ธรรมดา คือ จะตอ้ ง คานึงถึงสัญญาณ 2 แหล่ง มาผสมกนั คือ ดา้ น ออดิโอ (Audio) กบั คล่ืนพาหะ (Carrier) ด้านสัญญาณเสียง (Audio) จะมีไมโครโฟน 2 ตวั คือ ดา้ นขวา (R) และดา้ นซา้ ย (L) สัญญาณเสียงทศิ ทางขวามอื (R) ไมโครโฟนทิศทางขวามือ (R) จะรับสญั ญาณความถี่เสียงดา้ นขวามือเป็ นหลกั ไมโครโฟนก็ จะทาหนา้ ที่ เปลี่ยนจากเสียงต่าง ๆ มาเป็นสัญญาณไฟฟ้ าของเสียง จะนาเขา้ สู่ภาคขยายปรีแอมฟาส ซีส ภาคปรีอมิ ฟาสซีสด้านขวามอื (R) ภาคปรีอิมฟาสซีส จะมุ่งขยายด้านความถี่สูง คือ ยกระดับความถ่ีสูงให้มากข้ึนกว่าปกติ แล้วส่งเข้า ภาคขยายเสียงดา้ น (R)
ภาคขยายเสียงด้านขวามือ (R) จะนาสัญญาณจากภาคปรีอิมพาสซีส มาขยายต่อให้มีกาลงั สูงย่ิงข้ึน แล้วป้ อนเข้าสู่วงจร สเตอริโอ ไมโครโฟนจะทาหนา้ ที่เปล่ียนจากแหล่งตา่ ง ๆ มาเป็นสญั ญาณไฟฟ้ าของเสียงแลว้ นามา สู่ภาคปรีอิมพาสซีส ภาคปรีอมิ พาสซีสด้านขวามือ (L) จะนาสัญญาณมาขยายให้มีกาลงั ขยายสูงมากข้ึน และป้ อนเขา้ สู่ภาคขยายเสียงดา้ นซ้ายมือ (L) ทาการ ขยายกาลงั ใหม้ ากยง่ิ ข้ึน แลว้ ป้ อนเขา้ สู้ภาคสเตอริโอ เอน็ คอเดอร์ (Stereo Encoder) ภาคสเตอริโอ เอน็ คอเดอร์ (Stereo Encoder) จะเป็ นภาคก่อให้เกิดสัญญาณสเตอริโอสมบูรณ์แบบ โดยจะนาเอาสัญญาณความถ่ีเสียง ดา้ นขวามือ (R) และสัญญาณความถ่ีเสียงดา้ นซ้ายมือ (L) เขา้ ไปดาเนินวิธีการก่อให้เกิดสัญญาณ สเตอริโอที่แทจ้ ริง ก่อนท่ีจะ นาไปผสม หรือ มอดูเลชน่ั กบั คลื่นพาหะ (Carrier) สญั ญาณอินพทุ ของภาคสเตอริโอ เอน็ คอเดอร์ ไดแ้ ก่ 1. สัญญาณเสียงดา้ นขวามือ (R) 2. สัญญาณเสียงดา้ นซา้ ยมือ (L) สัญญาณเสียงท้งั สองดา้ นจะเขา้ สู่ภาคสเตอริโอ เอน็ คอเดอร์ ดาเนินการดงั น้ี 1. ภาครวมสัญญาณ (L+R) จะนาสัญญาณความถ่ีเสียงจากด้านขวามือ (R) และสัญญาณความถ่ีเสียงด้านซ้าย มือ (L) มาร่วมเข้า ดว้ ยกนั เรียกวา่ L+R การรวมกนั น้ีจะไดส้ ัญญาณแบบโมโน (Mono Signal) จากน้นั จะส่งสัญญาณไปยงั ภาครวม สญั ญาณท้งั หมด (Adder) 2. ภาคกลบั เฟสสัญญาณเสียงด้านขวามอื (R) ภาคกลบั เฟลสสัญญาณ 180 องศา จะนาสญั ญาณดา้ นขวามือ (R) เขา้ มากลบั เฟสสัญญาณเฉพาะดา้ น (R) ให้เฟสจากปกติเป็ นสลบั เฟส 180 องศา น้นั ก็คือ เมื่อเฟสดา้ น ขวามือเป็ น (+R) เม่ือผา่ นวงจรสลบั เฟส 180 องศา จะไดเ้ ป็นสัญญาณ (-R) แลว้ จะส่งไปรวม กบั สญั ญาณดา้ นซา้ ยมือ (L) 3. ภาคสัญญาณ L-R สัญญาณดา้ นซ้ายมือ (L) จะเป็ นสัญญาณที่เขา้ มาโดยตรงแล้วมารวมกบั สัญญาณ (-R) คือสัญญาณผล ของขอ้ 2 จะทาใหเ้ กิดการรวมกนั ระหวา่ งสญั ญาณท้งั สองก็จะไดเ้ ทา่ กบั L-R 4. ภาคกาเนิดความถี่ 19 KHz (PILOT AIGNAL) สัญญาณไพล๊อตซิกแนล (19 KHz) จะเป็ นสัญญาณให้รับรู้ว่าเคร่ืองรับกาลงั ทางาน รับสัญญาณ FM Stereo ทาใหห้ ลอดไฟ Stereo ของเคร่ืองรับสวา่ ง ภาคกาเนิดความถ่ี 19 KHZจะสร้างความถ่ีข้ึนมา 19 KHZแล้วส่งสัญญาณให้กบั วงจรรวมสัญญาณ (Adder) ส่วนอีกทางหน่ึงจะส่งภาคทวคี วามถี่
5. ภาคทวคี วามถ่ี 2 เท่า จะทาหน้าท่ีทวคี วามถ่ีรับมาเป็ น 2 เท่า ของความถี่ที่รับเขา้ มา นน่ั คือความถ่ีท่ีรับ เขา้ มา เท่ากบั 19 KHz จะไดเ้ ป็น 38 KHz ความถี่น้ีเรียกวา่ คลื่นพาหะยอ่ ย (Sub carrier) 6. ภาคบาลานซ์ มอดูเลเตอร์ (Balance Modulator) จะนาสัญญาณมาจาก 2 แหล่งมาดาเนินการมอดูเลชน่ั แบบบาลานซ์ คือ 1. จากคล่ืนพาหะยอ่ ย (Sub carrier) 38 KHz 2. จากสญั ญาณ L-R ผลจากการผสมกนั จะไดส้ ัญญาณไซดแ์ บนด์ L=R ไดแ้ ก่ 1. ไซดแ์ บนดด์ า้ นสูง (USB) หรือ + (L-R) 2. ไซดแ์ บนดด์ า้ นต่า (LSB) หรือ - (L+R) 7. ภาครวมสัญญาณท้งั หมด (Adder) จะนาสญั ญาณจาก 3 แหล่งมารวมกนั คือ 1. สัญญาณ L+ R (ขอ้ 1) 2. สญั ญาณไพล๊อตซิกแนล 19 KHz (ขอ้ 4) 3. สญั ญาณไซดแ์ บนด์ (L-R) เม่ือทาสัญญาณสเตอริโอสมบรู ณ์แบบ (Composite Stereo Signal) 8. เม่อื ได้รับสัญญาณสเตอริโอสมบูรณ์แบบ (Composite Stereo Signal) จะตอ้ งนาไปผสมกบั คล่ืนพาหะ เป็นการส่งแบบ FM Stereตอ่ ไป
ด้านทกั ษะ+ด้านจิตพสิ ัย (ปฏบิ ตั ิ+ด้านจติ พสิ ัย) (จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 3-4) 1. แบบฝึกหดั บทท่ี 2 ด้านคุณธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง (จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 5) 2. รู้ถึงหลกั การเครื่องส่งวทิ ยเุ บ้ืองและนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้ ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน 1. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน (20 นาที ) 1. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน (20 นาที ) 1. ผู้สอนให้ผู้เรี ยนทาความเข้าใจเรื่ องที่จะ 1. ผู้เรี ยนทาความเข้าใจเรื่ องท่ีจะศึกษา ของ ศึกษา ของเอกสารประกอบการสอนวิชา ทฤษฎี เอกสารประกอบการสอนวิชา ทฤษฎีเครื่องรับวิทยุ เคร่ืองรับวิทยุ หน่วยที่ 2 เรื่อง หลกั การเครื่องส่งวทิ ยุ หน่วยท่ี 2 เร่ือง หลกั การเคร่ืองส่งวิทยเุ บ้ืองตน้ หนา้ ท่ี เบ้ืองตน้ หนา้ ท่ี 17-37 17-37 2. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนอธิบายหลักการเครื่องส่ง 2. ผเู้ รียนอธิบายหลกั การเคร่ืองส่งวทิ ยเุ บ้ืองตน้ วทิ ยเุ บ้ืองตน้ 2. ข้นั ให้ความรู้ (110 นาที ) 2. ข้ันให้ความรู้ (110 นาที) 1. ผูเ้ รียนและผูส้ อนร่วมกนั บอกความแตกต่าง 1. ผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั บอกความแตกต่าง ของไซด์แบนของวิทยุระบบ AM และ FM ตามที่ได้ ของไซด์แบนของวิทยุระบบ AM และ FM ตามท่ีได้ ศึกษาจาก PowerPoint ศึกษาจาก PowerPoint 2. ผเู้ รียนซกั ถามขอ้ สงสยั ท่ีเกิดข้ึน 2. ผสู้ อนเปิ ดโอกาสให้ผเู้ รียนถามปัญหา และ ขอ้ สงสัยจากเน้ือหา โดยครูเป็ นผตู้ อบปัญหาท่ีเกิดข้ึน ระหวา่ งการเรียนการสอน
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้ ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน 3. ข้นั ประยกุ ต์ใช้ ( 150 นาที ) 3. ข้ันประยุกต์ใช้ ( 150 นาที ) 1. ผู้สอนให้ผู้เรี ยนแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 4-5 คน 1. ผู้เรี ยน แบ่ งกลุ่ ม ๆ ละ 4-5 คน ร่ วมกัน ร่วมกนั อภิปรายบทเรียนหน่วยที่ 2 อภิปรายบทเรียนหน่วยที่ 2 2. ผู้สอนให้ตัวแทนกลุ่มออกมานาเสนอ 2. ตัวแทนของแต่ละกลุ่มออกมาอภิปราย แนวคิดที่ได้จากบทเรียนหน่วยที่ 2 ของแต่ละกลุ่ม แนวคิดที่ได้จากบทเรียนหน่วยท่ี 2 ของกลุ่มตนเอง ใหฟ้ ังหนา้ ช้นั เรียน หนา้ ช้นั เรียน 3. ผู้ส อ น ใ ห้ ผู้ เรี ย น สื บ ค้ น ข้ อ มู ล จ า ก 3. ผู้เรียนสื บค้นข้อมูลจากอินเทอร์ เน็ตหรื อ อินเทอร์เน็ตหรือแหล่งความรู้ตา่ งๆ แหล่งความรู้ตา่ งๆ 4. ข้ันสรุปและประเมินผล (20 นาที ) 4. ข้ันสรุปและประเมินผล ( 20 นาที ) 1. ผูส้ อนและผูเ้ รียนร่วมกันสรุปเน้ือหาท่ีได้ 1. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปเน้ือหาท่ีได้ เรียนใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั เรียนเพือ่ ใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั 2. ผู้สอนและผู้เรียนทาแบบฝึ กหัดบทท่ี 1 2. ผูเ้ รียนทาแบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยที่ 1 หนา้ 14 - 15 หนา้ 14 - 15 3. ผสู้ อนให้ผูเ้ รียนสลบั กนั ตรวจกิจกรรมและ 3. ผู้ เรี ย น ส ลั บ กั น ต ร ว จ กิ จ ก ร ร ม แ ล ะ แบบทดสอบหลังเรียน ด้วยความซ่ือสัตย์ แล้วนา แบบทดสอบหลังเรียน ด้วยความซื่อสัตย์ แล้วนา คะแนนที่ไดบ้ นั ทึกลงในแบบบนั ทึกคะแนน คะแนนที่ไดบ้ นั ทึกลงในแบบบนั ทึกคะแนน 4. ผสู้ อนให้ผเู้ รียนศึกษาเพิ่มเติมนอกหอ้ งเรียน 4. ผู้เรี ยนศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรี ยน ด้วย ดว้ ย PowerPoint ท่ีจดั ทาข้ึน PowerPoint ที่จดั ทาข้ึน (บรรลจุ ุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-5) (บรรลุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 1-5) (รวม 300 นาที หรือ 1 คาบเรียน)
งานที่มอบหมายหรือกจิ กรรมการวดั ผลและประเมนิ ผล ก่อนเรียน 1. จดั เตรียมเอกสาร ส่ือการเรียนการสอนหน่วยท่ี 2 2. ทาความเข้าใจเก่ียวกับจุดประสงค์การเรียนของหน่วยที่ 2 และให้ความร่วมมือในการทา แบบฝึกหดั บทท่ี 2 ขณะเรียน 1. ศึกษา PowerPoint และเอกสารประกอบการสอน 2 เร่ือง หลกั การเคร่ืองส่งวทิ ยเุ บ้ืองตน้ 2. ซกั ถามขอ้ สงสัยระหวา่ งการเรียนการสอน 3. ปฏิบตั ิตามแบบฝึกหดั ที่ 2 เรื่อง หลกั การเคร่ืองส่งวทิ ยเุ บ้ืองตน้ หลงั เรียน 1. สรุปเน้ือหา 2. สลบั กนั ตรวจแบบฝึกหดั บทที่ 2 คาถาม 1. ความถ่ีเสียง คือ 2. ภาคขยายเสียง เรียกวา่ 3. ความถ่ีคล่ืนพาหะ คือ ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสาเร็จของผู้เรียน แบบฝึกหดั บทที่ 2 เรื่อง หลกั การเครื่องส่งวทิ ยเุ บ้ืองตน้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272