151 การจัดการเรียนรู้ กศน. *************** ** แนวคิดการจดั การเรียนรู้ สานักงาน กศน. ไดพ้ ัฒนาหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการเปล่ยี นแปลงของสังคมป๎จจุบนั และ ประชาชนทอ่ี ยู่ นอกระบบโรงเรยี น การจัดการเรยี นรูใ้ หก้ บั ผู้เรยี นอยา่ งมคี ุณภาพมแี นวคดิ ทีส่ าคญั ซง่ึ จะเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ ดงั น้ี 1. แนวการจดั การศึกษาตามพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และทแ่ี กไ้ ข เพ่ิมเตมิ 2. การจัดการเรยี นรู้ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตาม อัธยาศยั พ.ศ. 2551 3. แนวคดิ ความเชือ่ พนื้ ฐาน ปรัชญา “คดิ เป็น” 4. หลกั การศึกษานอกโรงเรยี น 5. หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง 6. หลกั การจดั การเรยี นรู้ให้กับผูใ้ หญ่ ** แนวการจดั การศกึ ษาตามพระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่มิ เตมิ หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 การจดั การศกึ ษาต้องยึดหลักว่าผ้เู รียนทุกคนมี ความสามารถเรยี นรแู้ ละพัฒนาตนเองได้ และถือวา่ ผ้เู รียนมคี วามสาคัญท่สี ุด กระบวนการจัดการ ศกึ ษา ตอ้ งสง่ เสริมให้ผู้เรยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเตม็ ตามศักยภาพ มาตรา 23 การจดั การศึกษา ทงั้ การศกึ ษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตาม อธั ยาศัย ต้องเน้นความสาคญั ทัง้ (KPA) ความรู้ (K) กระบวนการเรียนรู้ (P) คณุ ธรรม (A) และบูรณา การตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศกึ ษา มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรยี นรู้ ใหส้ ถานศึกษาและหนว่ ยงานท่เี ก่ียวขอ้ งดาเนนิ ดงั ต่อไปนี้ 1) จดั เนื้อหาสาระและกจิ กรรมให้สอดคลอ้ งกับความสนใจและความถนัดของผเู้ รยี น โดย คานึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคล 2) ฝกึ ทกั ษะ กระบวนการคิด การจดั การ การเผชิญสถานการณแ์ ละการประยุกตค์ วามร้มู าใช้ เพือ่ ปอู งกนั และแก้ไขปญ๎ หา 3) จัดกจิ กรรมให้ผเู้ รียนได้เรยี นรจู้ ากประสบการณจ์ รงิ ฝึกการปฏิบตั ิใหท้ าได้ คิดเป็น ทาเป็น รกั การอา่ น และเกดิ การใฝรุ ู้อยา่ งตอ่ เนื่อง สนใจสัง่ ชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
152 4) จัดการเรียนรโู้ ดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อยา่ งไดส้ ดั สว่ นสมดุลกัน รวมท้ัง ปลกู ฝ๎งคุณธรรม ค่านิยมท่ีดีงาม และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ในทุกวิชา 5) ส่งเสริม สนับสนนุ ให้ผ้สู อนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่ือการเรยี น และ อานวยความสะดวกเพื่อให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรแู้ ละมีความรอบรู้ รวมทัง้ สามารถใช้การวจิ ยั เป็นส่วน หน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ทงั้ ผู้สอนและผ้เู รียนอาจเรยี นรู้ไปพร้อมกัน จากสอื่ การเรยี นการสอนและ แหลง่ วทิ ยาการประเภทต่าง ๆ 6) จดั การเรยี นรู้ให้เกิดขึน้ ไดท้ ุกเวลาทกุ สถานที่ มีการประสานความร่วมมอื กบั บดิ ามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทกุ ฝุาย เพื่อรว่ มกนั พัฒนาผูเ้ รยี นตามศกั ยภาพ มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจดั การประเมนิ ผเู้ รยี นโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผ้เู รียน ความประพฤติ การสงั เกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปใน กระบวนการเรยี นการสอนตามความเหมาะสมแต่ละระดบั และรูปแบบการศึกษา **Active Learning คือ การลงมือปฏิบัติ จากการใชก้ ระบวนการคิดของตนจากธรรมชาติและลีลา ในการเรยี นรู้ของตน **สมรรถนะและคุณลกั ษณะพ้นื ฐานของพลเมอื งไทย 4.0 และโลกศตวรรษท่ี 21 ผเู้ รียนต้องมีสมรรถนะ 3R สามารถอ่านสืบคน้ ข้อมลู ความรจู้ ากสารสนเทศทกุ รปู แบบ (Reading) สามารถเขยี นส่อื สาร การนาเสนอองคค์ วามรู้ (Writing) สามารถคิดคานวณ การใช้เหตุผล (Arithmatic) ผ้เู รยี นตอ้ งมสี มรรถนะ 8C ทักษะดา้ นการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณและทักษะในการแกป้ ญ๎ หา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation) ทักษะดา้ นความเข้าใจความตา่ งวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding) ทกั ษะด้านความร่วมมอื การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทักษะด้านการสือ่ สารสารสนเทศ และรเู้ ท่าทันสอ่ื (Communications, Information, and Media Literacy) ทกั ษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร (Computing and ICT Literacy) สนใจสง่ั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
153 ทักษะอาชพี และทกั ษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills) ความมีเมตตา (วนิ ัย, คุณธรรม, จริยธรรม ฯลฯ) (Compassion) **จัดการเรยี นรู้ 6 ข้นั ตอน ของ STEM STEM : ด้านวทิ ยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วศิ วกรรม (Engineer) และ คณติ ศาสตร์ (Mathematics) เป็นกระบวนการท่ีทาใหเ้ กิดทกั ษะกับผู้เรยี น เพอ่ื ใหเ้ กดิ การพัฒนา นวตั กรรม ผู้สอนควรมีการบูรณาการ และความเชื่อมโยงระหวา่ ง STEM ใหส้ อดคล้องกบั แนวทางการ เรยี นการสอนในศตวรรษที่ 21 ข้ันตอนที่ 1 ระบุป๎ญหาในชวี ติ จรงิ ที่พบหรือนวัตกรรมทต่ี อ้ งการพฒั นา ขน้ั ตอนที่ 2 รวบรวมขอ้ มลู และแนวคิดทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับปญ๎ หาหรือนาไปสกู่ ารพฒั นานวตั กรรม นัน้ ขน้ั ตอนท่ี 3 ออกแบบวธิ ีการแกป้ ๎ญหาโดยเชอื่ มโยงความรดู้ ้านวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวศิ วกรรม และคณิตศาสตร์ ขั้นตอนที่ 4 วางแผนและดาเนินการแกป้ ญ๎ หา หรอื พัฒนานวตั กรรม ขัน้ ตอนที่ 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรงุ แก้ไขวิธกี ารแกป้ ญ๎ หาหรือนวตั กรรมทพี่ ฒั นาได้ ขั้นตอนที่ 6 นาเสนอวิธกี ารแก้ป๎ญหา ผลการแกป้ ๎ญหา หรอื ผลของนวัตกรรมทีพ่ ฒั นาได้ *บทบาทของครู ในการออกแบบการเรียนการสอน 1. กาหนดเปาู หมาย ตามหลกั สูตร 2. วเิ คราะหผ์ ู้เรยี นรายบุคคล 3. จดั กิจกรรมการเรยี นหลากหลาย 4. วดั และประเมนิ ผล โดยองิ มาตรฐาน 5. นาเทคโนโลยมี าปรบั ใชใ้ นการเรียนการสอน 6. สรปุ ผลการประเมนิ พัฒนาผู้เรยี น 7. วิจยั นวตั กรรมพัฒนาผเู้ รยี น **เปาู หมาย 4 เสาหลัก ของการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 1. ฝึกผู้เรียนใหศ้ ึกษาค้นคว้าอยา่ งอสิ ระด้วยตนเอง สามารถคดิ วเิ คราะห์ แก้ปญ๎ หา รู้จักตัวเอง อยา่ งถอ่ งแท้ ค้นพบความถนดั และสนใจของตนเอง 2. ฝกึ ผู้เรียนให้ยอมรับวถิ ีการดารงชีวติ ความเชือ่ และแนวคดิ ท่ีแตกตา่ งกันของมวลมนษุ ย์ชาติ 3. ฝกึ ผูเ้ รยี นใหส้ ามารถปรบั ตัว ทางาน และดาเนินชวี ติ ร่วมกนั กบั ผอู้ น่ื อยา่ งรเู้ ทา่ ทัน มี ความสขุ สงบ สนั ติ 4. ฝึกผเู้ รยี นใหเ้ ป็นพลเมืองไทยและพลเมอื งโลกทม่ี ีคุณภาพและประสทิ ธิภาพสอดคล้องกับ กระแสเศรษฐกจิ ประเทศไทย 4.0 และโลกศตวรรษท่ี 21 สนใจสง่ั ชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
154 การจัดการเรยี นรู้ ตามพระราชบญั ญตั ิส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั พ.ศ. 2551 *********************************** ** มาตรา 4 “การศึกษานอกระบบ” หมายความว่า กิจกรรมการศกึ ษาท่ีมกี ลมุ่ เปาู หมายผูร้ ับบรกิ าร และวตั ถปุ ระสงค์ของการเรียนรู้ที่“ชดั เจน” มีรูปแบบ หลกั สตู ร วิธีการจัดและระยะเวลาเรียนหรือ ฝึกอบรมที่ยดื หยนุ่ และหลากหลายตามสภาพความต้องการและศักยภาพในการเรียนรขู้ อง กลมุ่ เปูาหมายน้ันและมวี ิธกี ารวัดผลและประเมนิ ผลการเรยี นร้ทู ่ีมีมาตรฐานเพื่อรับคณุ วุฒทิ าง การศึกษา หรือเพ่อื จดั ระดับผลการเรียนรู้ “การศึกษาตามอธั ยาศยั ” หมายความวา่ กจิ กรรมการเรียนรู้ในวิถชี ีวติ ิประจาวันของ บุคคล ซ่งึ บุคคลสามารถเลอื กท่จี ะเรียนรไู้ ด้อย่าตอ่ เนื่องตลอดชวี ิต ตามความสนใจ ความต้องการ โอกาส ความพรอ้ ม และศักยภาพในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล แนวคดิ ความเชอื่ พน้ื ฐาน ปรชั ญา “คิดเปน็ ” “คดิ เปน็ ” (KIDPEN)ปรชั ญาพ้นื ฐาน ของ กศน. คิดเป็น เปน็ กระบวนการคิดที่เกดิ ข้นึ จาก หลักการและแนวคดิ ของ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ นักการศึกษาไทย ทีก่ ล่าวไว้ว่า “การจัดการศึกษา ต้องการสอนคน ให้คิดเป็น ทาเป็น แก้ปญั หาเปน็ ” คดิ เป็น หมายถึง กระบวนการที่คนเรานามาใช้ในการตัดสินใจ โดยตอ้ งแสวงหาขอ้ มูลของ ตนเอง ขอ้ มลู ของสภาพแวดล้อมในชุมชน และข้อมูลทางวิชาการ แลว้ นามาวเิ คราะหห์ าทางเลอื กใน การตดั สนิ ใจทเ่ี หมาะสม มีความพอดีระหวา่ งตนเองและสงั คม **หลกั การของการคิดเป็น 1) “คิดเป็น” เชือ่ ว่าสงั คมมกี ารเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา ซง่ึ อาจก่อใหเ้ กิดปญ๎ หาต่าง ๆ และป๎ญหานัน้ สามารถแกไ้ ขได้ 2) การแกป้ ๎ญหาต่าง ๆไดอ้ ย่างเหมาะสมทส่ี ุด จาเปน็ จะตอ้ งมขี อ้ มูลมาประกอบการ ตัดสินใจอยา่ งนอ้ ย 3 ดา้ น คือ ขอ้ มูลดา้ นทเ่ี กี่ยวกับตนเอง สงั คม และวชิ าการ 3) การตดั สินใจแก้ปญ๎ หาต่าง ๆ ด้วยการไตรต่ รองข้อมลู ทง้ั 3 ด้านอย่างรอบคอบแล้ว ก่อให้เกิดความพงึ พอใจตอ่ การตดั สินใจและควรรับผิดชอบต่อการตดั สินใจของตนเอง 4) เน่ืองจากสงั คมมีการเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา การตดั สนิ ใจอาจจะตอ้ งเปลีย่ นแปลง ปรบั ปรงุ ใหเ้ หมาะสมและสอดคล้องกับสภาพและสถานการณท์ เ่ี ปลี่ยนไป **ลักษณะของคน “คดิ เป็น” มี 8 ประการ ดังนี้ 1) มคี วามเชือ่ วา่ ป๎ญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ เปน็ เร่อื งธรรมดา และปัญหาตา่ ง ๆ นัน้ สามารถแก้ไขได้ 2) การคดิ ทีด่ ี จะต้องใช้ขอ้ มลู หลาย ๆ ด้าน เช่น ดา้ นตนเอง ดา้ นสังคมและดา้ นวิชาการ 3) มคี วามรู้ความเข้าใจเก่ียวกับข้อมูลว่าข้อมลู นน้ั มกี ารเปลยี่ นแปลงอยเู่ สมอ สนใจส่ังชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
155 4) มคี วามสนใจท่ีจะวิเคราะห์ข้อมลู อยูเ่ สมอ 5) มคี วามรู้ความเข้าใจตอ่ การกระทาของตนว่าสง่ ผลต่อสังคม 6) การตดั สนิ ใจการกระทาต่าง ๆ ของตนเอง แล้วมีความสบายใจและเต็มใจท่ีจะรบั ผิดชอบ ตอ่ การกระทาน้ัน 7) มีการแก้ไขปญั หาที่เกดิ ขนึ้ ในชวี ิตประจาวนั อยา่ งระบบ 8) สามารถวเิ คราะหค์ ุณคา่ และตดั สนิ ใจเลือกแนวทางในการแกป้ ๎ญหาต่าง ๆให้สอดคล้องกบั ค่านิยม ความสามารถ สถานการณ์ เง่อื นไข และความเปน็ ไปได้ของแนวทางในการแกป้ ญ๎ หานนั้ ๆ **กระบวนการเรียนรู้สูก่ ารคิดเปน็ มี 6 ข้ันตอน ดงั นี้ ขนั้ ที่ 1 สารวจปญั หา เม่ือเกดิ ป๎ญหาจะตอ้ งเกดิ กระบวนการคดิ เพือ่ แกป้ ๎ญหา ขั้นที่ 2 หาสาเหตุของป๎ญหา เปน็ การรวบรวมขอ้ มูลต่าง ข้ันท่ี 3 การวเิ คราะห์ข้อมลู เพอ่ื แก้ปญ๎ หา เปน็ การวเิ คราะห์ข้อมูลทั้ง 3 ด้าน คือข้อมลู ด้านตนเอง ด้านสังคม ดา้ นวิชาการ เพอื่ หาทางเลอื กในการแกป้ ญ๎ หา ขน้ั ท่ี 4 การตัดสนิ ใจทางเลือกในการแก้ป๎ญหาเมื่อได้ทางเลอื กในการแกป้ ญ๎ หาแลว้ จงึ ตดั สนิ ใจแก้ปญ๎ หา โดยมคี วามพรอ้ มของขอ้ มลู ที่จะนามาใช้ในการดาเนินการแกป้ ๎ญหา ขนั้ ท่ี 5 การตดั สินใจไปสกู่ ารปฏบิ ัติแก้ปญ๎ หาเม่อื ตัดสนิ ใจเลอื กทางใดแลว้ ต้องยอมรบั ว่า เปน็ ทางเลอื กท่ดี ที ีส่ ุดในขอ้ มลู ที่มใี นขณะนน้ั ขนั้ ท่ี 6 การปฏิบัติในการแก้ปญั หา ขัน้ นี้เปน็ การดาเนินการแก้ปญ๎ หาและประเมนิ ผล ไปพร้อมกนั ถ้าผลเปน็ ท่พี อใจและเกิดความสุข เรียกวา่ ”คิดเป็น” แต่ถ้าผลออกมาไมเ่ ปน็ ไปตามที่คิดไว้ ซง่ึ ไมเ่ ปน็ ท่ีพอใจ จะตอ้ งเรมิ่ ตน้ กระบวนการคิดแก้ปญ๎ หาใหม่ **หลกั การศกึ ษานอกโรงเรยี น การศึกษานอกโรงเรยี นเป็นกระบวนการของการศึกษาตลอดชีวติ มงุ่ ใหป้ ระชาชนได้รับ การศึกษาอย่างทว่ั ถงึ โดยเฉพาะการศึกษาข้ันพ้ืนฐานทจ่ี าเป็นตอ่ การดารงชวี ติ ตามมาตรฐานของสังคม ซ่ึงเป็นสิทธิทค่ี นทุกคนพึงได้รับ นอกจากนัน้ ยังจะไดร้ บั การศกึ ษาที่ตอ่ เน่ืองจากการศึกษาพื้นฐานเพือ่ นา ความรไู้ ปใช้ในการพฒั นาอาชีพ พฒั นาคุณภาพชีวิต และพัฒนาชุมชนและสังคมต่อไป **การจดั การเรียนรู้การศึกษานอกโรงเรยี นยดึ หลกั การสาคญั 5 ประการ ดงั น้ี 1) หลักความเสมอภาคทางการศึกษา กล่มุ เปูาหมายของการศกึ ษานอกระบบส่วนมาก เปน็ ผูพ้ ลาดโอกาส และผูด้ อ้ ยโอกาสทางการศึกษา 2)หลักการพฒั นาตนเองและการพ่งึ พาตนเองการจัดการศกึ ษานอกระบบจะต้องจดั การ เรยี นการสอน และกระบวนการเรียนรู้เพื่อใหผ้ ู้เรียนไดพ้ ฒั นาศักยภาพของตน สามารถเรียนรู้ เกดิ ความ สานกึ ทจ่ี ะพฒั นาตนเองได้ สนใจสั่งชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
156 3)หลักการบูรณาการการเรียนรกู้ บั วถิ ีชีวิต หลกั การน้อี ยูบ่ นพ้นื ฐานของการจดั การ เรยี นรู้ทส่ี ัมพันธก์ ับสภาพปญ๎ หา วิถีชีวติ สภาพแวดลอ้ มและชุมชนทอ้ งถิ่นของผเู้ รียน ซ่ึงเป็นหลกั การที่ สาคัญในการจดั ทาหลักสูตรสถานศกึ ษา สง่ิ ดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อการจดั กระบวนการเรียนรู้ 4)หลกั ความสอดคลอ้ งกับปญั หาความตอ้ งการและความถนดั ของผเู้ รียน หลักการน้ี เป็นการสง่ เสริมใหผ้ ูเ้ รียนรจู้ ักความต้องการของตนเอง สามารถจดั การศกึ ษาให้กบั ตนเองได้อย่าง เหมาะสม ครู กศน. มีบทบาทในการส่งเสริมกระบวนการเรยี นรดู้ ้วยตนเองของผเู้ รียน โดยให้ผู้เรยี นร่วม กาหนดวตั ถุประสงค์ สาระการเรยี นรู้ วิธกี ารเรียน และการประเมินผลการเรยี นร้ขู องตนเอง ซึ่งเป็น กระบวนการการศึกษานอกระบบที่ผู้เรียนเปน็ สาคัญ 5)หลกั การเรียนรู้รว่ มกนั และการมสี ่วนรว่ มของชมุ ชน การเรยี นรู้รว่ มกันในกลุม่ ผเู้ รียน นบั วา่ สาคัญ เป็นการส่งเสรมิ และสรา้ งกลั ยาณมติ รในกลุ่มผู้เรยี น ก่อใหเ้ กิดความรว่ มมือความผกู พัน เอ้อื อาทร การช่วยกันและกัน ปลูกฝ๎งวินยั ในตนเอง ฝกึ ความรับผิดชอบ **หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง แนวพระราชดารขิ องพระบาทสมเดจ็ พระ เจา้ อยู่หวั ท่สี าคัญและเหมาะสม ท่จี ะนามาประยกุ ตใ์ ช้เป็นแนวทางในการจดั การเรยี นรู้ คือหลักปรชั ญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ซ่งึ เปน็ หลักปรัชญาของการพัฒนาทีต่ ้ังอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและ ความไมป่ ระมาท โดยคานึงถึง1)ความพอประมาณ 2)ความมีเหตผุ ล 3)การสร้างภูมคิ ้มุ กันทดี่ ใี นตวั ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบและคุณธรรมประกอบการวางแผน การตดั สนิ ใจ และการกระทา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ เศรษฐกิจพอเพียงมาประยกุ ต์ใช้ คือ การพัฒนาทสี่ มดุล และยง่ั ยืน พร้อมรับต่อการเปล่ียนแปลงในทกุ ดา้ น ทงั้ ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม สงิ่ แวดลอ้ ม ความรู้และ เทคโนโลยี หลักการจดั การเรยี นร้ใู ห้กบั ผู้ใหญ่ (Andragogy) การจดั เรยี นรู้การศึกษานอกโรงเรยี นจาเป็นจะต้องมีความรู้ ความเขา้ ใจ ธรรมชาติของ ผูเ้ รยี น ซงึ่ เป็นกลุม่ เปาู หมายทีอ่ ยูน่ อกระบบโรงเรียน และส่วนใหญเ่ ปน็ ผู้ใหญ่ มีความพร้อมและ ศกั ยภาพในการเรยี นรทู้ แ่ี ตกตา่ งจากกล่มุ เปูาหมายในระบบโรงเรียน การจดั การเรียนรู้ควรคานึงถึง จิตวิทยาผ้ใู หญ่ ซึง่ ตอ้ งทาความเขา้ ใจเกย่ี วกับความคิด จติ ใจ อารมณ์ พฤติกรรมของผใู้ หญ่ ซงึ่ จะมี ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล มีความสนใจ มีลักษณะการเรยี นรูเ้ ฉพาะของตน เพอ่ื สามารถดาเนินการ จัดการศกึ ษาสาหรับผ้ใู หญ่ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง (กลุ่มพัฒนาการศกึ ษานอกโรงเรียน, 2547:34-36) ทฤษฏี Andragogy ของ Knowles เปน็ ทฤษฏที ี่พฒั นาขน้ึ มาจากการศกึ ษาเกย่ี วกับการ เรียนร้ขู องผ้ใู หญ่ ซ่งึ เน้นยา้ ว่าผใู้ หญน่ ั้นสามารถเรยี นรูไ้ ดด้ ว้ ยตนเอง และคาดหวังว่าการตัดสินใจเรยี น ของผู้ใหญ่จะได้รับการตอบสนองท่ีดี ดังน้ัน โปรแกรมการเรยี นรู้ของผใู้ หญจ่ ึงต้องสอดคล้องเหมาะสม กับสภาพพืน้ ฐานของผูใ้ หญแ่ ตล่ ะคน สนใจส่งั ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
157 **หลักการออกแบบกจิ กรรมการเรียนรูข้ องผูใ้ หญ่ คอื 1) ผู้ใหญ่ต้องการทจ่ี ะรู้เหตุผลว่าทาไม พวกเขาจึงตอ้ งการเรยี นรู้ในบางสิง่ บางอย่าง เทา่ นน้ั บางเรอ่ื งก็ไม่จาเป็นต้องเรยี น 2) ผใู้ หญต่ อ้ งการเรยี นรู้จากประสบการณ์จริงที่ประสบอยู่ 3) ผ้ใู หญม่ ุ่งที่จะเรียนรู้เพอื่ แกป้ ญ๎ หา หรือนาไปใชไ้ ด้จริง 4) ผู้ใหญ่เรียนรไู้ ดด้ ี เมอ่ื เรื่องที่เรยี นน้ัน มคี ุณค่าจริง ๆ ตอ่ ชีวติ ความเป็นอย่ขู องเขา Knowles ยกตัวอย่างของการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้แกผ่ ้เู รียนท่เี ปน็ ผใู้ หญ่โดยต้องคานงึ วา่ 1) มคี วามจาเปน็ ที่จะต้องอธิบายวา่ ทาไมเร่ืองทเี่ ฉพาะเจาะจงบางเร่ืองจะต้อง ถูกสอนแก่ผู้ใหญ่ บางเร่อื งยอมรบั ความรแู้ ละประสบการณท์ ีม่ อี ยู่แล้วไดไ้ มต่ อ้ งเรียนอีก 2) การสอนจะตอ้ งตั้งอยูบ่ นพ้ืนฐานของการทางาน เพือ่ ใหเ้ กดิ การจาได้อยา่ งแมน่ ยา กิจกรรมการเรยี นจะตอ้ งอยูใ่ นบรบิ ทของงานง่าย ๆ เพือ่ ทจี่ ะก่อใหเ้ กดิ ผลในทางปฏบิ ัติ 3) การสอนจะตอ้ งครอบคลมุ และคานึงถงึ ความแตกต่างทางด้านพ้นื ฐานของผู้เรยี น การจดั สื่อการเรยี นและกจิ กรรม จะต้องจดั ในระดับท่ีแตกต่างกนั รวมท้งั ประเภทของการเรยี นรู้ท่ี หลากหลายของการมปี ระสบการณ์ 4) เมื่อผู้ใหญ่ เร่ิมเรียนรู้ด้วยตนเอง การสอนจะตอ้ งชว่ ยให้ผ้เู รยี นคน้ พบตวั เอง และ ช่วยชแี้ นะแนวทาง เมอ่ื เกิดข้อผดิ พลาดข้นึ **สรุปเป็นตารางเปรียบเทยี บ ดงั น้ี(กลุ่มพฒั นาการศึกษานอกโรงเรยี น) ลักษณะการเรยี นรู้ของผใู้ หญ่ วธิ ีจดั การเรยี นรู้ 1) การเรยี นรเู้ ป็นความตอ้ งการขน้ั พืน้ ฐาน - การสอนไมใ่ ช่ส่งิ ท่ีมีความจาเปน็ และสาคัญมากนกั ของมนษุ ย์ (Basic human need) ในการเรียนรู้ แตจ่ ะเป็นการอานวยความสะดวกให้ การเรยี นรเู้ ร็วข้นึ 2) ผู้ใหญ่ในฐานะผูเ้ รียน ชอบทจี่ ะมีสว่ นร่วม - วธิ กี ารสอนทงั้ หลายควรจะใช้เพื่อการอานวยความ (Participate) ในกระบวนการเรียนรู้ สะดวกมากกวา่ จะเปน็ การส่งั สอน 2.1 นกั ศกึ ษาผใู้ หญ่สว่ นมากจะมี ส่ิงเหล่านี้ - ครคู วรใชป้ ระสบการณ์ของผ้เู รียนให้เปน็ ประโยชน์ ติดตัวมาด้วย คือ ในการสอน - ผสู้ อนควรสรา้ งระบบความหมายท่ีมีอยแู่ ล้วให้ดขี ึน้ – มีประสบการณ์ต่าง ๆ ด้วยการบูรณาการความรเู้ ขา้ ด้วยกนั ครคู วร – ความหมายต่อสถานการณ์ การเรียนรู้ ช่วยเหลอื นกั ศกึ ษาในการเรยี นเพอื่ การประยุกต์ – ความตอ้ งการในการเรียนรู้ มากกวา่ การสอนเฉพาะทฤษฏี 2.2 นักศึกษาผู้ใหญ่จะมลี ักษณะบางประการ - ผูส้ อนควรสนบั สนุนใหเ้ กิดผลดียง่ิ ขึ้น ต่อสถานการณ์ในการเรยี นรู้ คือ สนใจส่ังชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
158 – ความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง - พยายามสนับสนุนสง่ เสรมิ ใหค้ วบคไู่ ปกับความรทู้ ี่ – ความชน่ื ชมในตนเอง เขาไดร้ ับ – การรับรู้ในตนเอง - สนบั สนนุ และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการประเมินผล ด้วยตนเอง 5. ออกแบบประสบการณ์เพือ่ การเรียนรูข้ องผู้เรียน โดยคานงึ ถงึ จติ วิทยาผู้ใหญ่ 6. ดาเนินการให้เกิดประสบการณก์ ารเรยี นร้ดู ้วยวิธกี ารและสื่ออุปกรณท์ เี่ หมาะสม เนน้ ใหร้ ูจ้ ริง รู้อย่างลึกซ้งึ 7. ประเมนิ ผลการเรียนรู้และวิเคราะห์ความตอ้ งการเรียนรอู้ กี คร้งั เพ่อื ดูวา่ ความต้องการ เรียนรู้นน้ั ๆ ไดร้ บั การตอบสนองหรอื ไม่ เน้นให้ผเู้ รยี นมสี ่วนรว่ มในการรบั รู้ด้วย 8. เปิดโอกาสให้ทุกคนมสี ว่ นร่วมในการเรยี นและเนน้ กระบวนการคิดเปน็ 9. อธิบาย สาธิต งา่ ย ๆ และชัดเจน เน้นของจริงและใกลเ้ คยี งกบั ประสบการณ์ 10. เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนไดแ้ สดงออกอยา่ งเตม็ ท่ี ใหอ้ สิ ระในการตัดสินใจของตนเอง 11. ละเว้นการลงโทษ ทั้งทางตรง และทางออ้ ม แตต่ ้องอธิบายให้เข้าใจเหตุผล 12. จะตอ้ งมกี ารวางแผน ปฏบิ ัติ และประเมินผลอยา่ งชัดเจนร่วมกนั กบั ผูเ้ รยี น 13. กิจกรรมเน้ือหาตรงตามความต้องการและเป็นเร่อื งใกลต้ วั 14. สง่ เสริมใหเ้ รียนรูด้ ้วยตนเอง หรอื อาจจดั กลุ่มเล็ก ๆ ช่วยกนั เรียน 15. เนน้ ใหน้ าความรู้ที่ไดร้ ับไปประยุกตใ์ ช้ในชีวติ จริงและการทางานได้ด้วย **วิธจี ัดการเรียนรู้ กศน. การจดั การเรยี นรู้ตามหลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ยึดหลกั การ ดังนี้ 1) พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542 และแก้ไขเพมิ่ เติม 2) พระราชบญั ญัติการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั พทุ ธศักราช 2551 3) หลกั ปรชั ญา “คิดเปน็ ” วธิ เี รียน กศน. เป็นวิธีเรยี นท่ผี ู้เรียน ตอ้ งฝึกกระบวนการคิดวิเคราะหใ์ นสถานการณ์ต่าง ๆ เกีย่ วกบั เน้ือหาสาระในแตล่ ะรายวิชา รวมทั้งการเรยี นทเ่ี น้นผเู้ รียนเปน็ สาคญั ตามสภาพความพร้อม พรอ้ มและความต้องการของผู้เรียนโดยมคี รูเป็นผ้สู ง่ เสรมิ และอานวยความสะดวกในการเรียนรูแ้ ละ พัฒนาการเรยี นรู้ของผเู้ รียนอย่างต่อเนือ่ งตลอดหลักสูตร พร้อมทั้งมกี ารให้บรกิ ารแนะแนวหรือระบบ ดูแลช่วยเหลือผู้เรียน ด้วยการใหค้ าปรึกษา ช่วยเหลือ แนะนาและรว่ มกับผเู้ รยี นและผู้เกยี่ วข้องในการ แก้ป๎ญหาให้กบั ผ้เู รียน ซึ่งวิธีการเรยี นร้ตู ามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกข้ันพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ดังทีก่ ล่าวมาแล้วเรยี กวา่ “วธิ เี รยี น กศน.” ซ่งึ สามารถจดั การเรยี นรไู้ ดห้ ลาย รปู แบบ โดยพจิ ารณาจากปัจจัย ดงั ตอ่ ไปนี้ สนใจส่งั ชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
159 1. ความพรอ้ ม ความสนใจ และศกั ยภาพของผู้เรยี น 2. ความพรอ้ มในการบรหิ ารจดั การของสถานศึกษา 3. ความพรอ้ มและศักยภาพของครูผู้สอน 4. ความยากง่ายของเนือ้ หารายวชิ า วิธีเรียน กศน. ตามตามหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ท่เี หมาะสมกบั ผูเ้ รยี น เชน่ การเรยี นร้แู บบพบกลุ่ม การเรียนรูด้ ้วยตนเอง การเรียนรแู้ บบทางไกล การเรยี นรู้แบบชนั้ เรียน และการเรยี นรแู้ บบอื่นๆ ซงึ่ การเรยี นรู้แต่ละรปู แบบมลี ักษณะ ดงั ต่อไปนี้ 1. การเรียนรู้แบบพบกลุม่ การเรียนรแู้ บบพบกล่มุ เป็นการจัดการเรียนรทู้ ก่ี าหนดให้ผู้เรยี น มาพบกันโดยมคี รเู ป็นผู้ดาเนินการใหเ้ กิดกระบวนการกล่มุ เพื่อให้มกี ารอภปิ ราย แลกเปลย่ี นเรยี นร้แู ละ หาขอ้ สรปุ ร่วมกัน ทุกสัปดาหค์ รจู ะตอ้ งจดั ให้มีการพบกลมุ่ โดยหนังสือสานักงาน กศน. ท่ี ศธ 0210.03/6036 ลงวนั ท่ี 23 พฤศจกิ ายน 2558 เรื่องทบทวนแนวปฏิบตั กิ ารจัดการเรยี นรแู้ บบพบกลุ่ม กล่าววา่ ในแต่ละรายวชิ าผู้เรียนสามารถเลอื กเรียนรปู แบบใด รูปแบบหนึง่ หรอื หลายรปู แบบก็ได้ ทงั้ น้ี สถานศกึ ษาต้องเพิ่มระยะเวลาในการจัดการเรียนรู้ให้มากขน้ึ กวา่ เดมิ โดยเฉพาะการเรยี นร้แู บบพบกลุ่ม ให้มกี ารเพิ่มระยะเวลาในการจัดการเรียนรู้แบบพบกลุ่มเปน็ สปั ดาหล์ ะ 6 ชวั่ โมง โดยให้สถานศึกษา จดั กระบวนการเรียนรู้ในรายวชิ าทีล่ งทะเบยี นไมน่ ้อยกวา่ 3 ช่วั โมง และอกี 3 ช่ัวโมงใหเ้ ป็นกิจกรรมเพือ่ เสรมิ สร้างนิสยั ใฝเุ รยี นรู้ การคิดเปน็ การอ่าน การเขียน และทกั ษะการส่ือสารถ่ายทอดกระบวนการคดิ ใหผ้ อู้ น่ื เข้าใจ หลักการในการจดั การเรยี นรแู้ บบพบกลมุ่ มดี งั นี้ 1) จดั พบกลมุ่ ในรายวชิ าท่ยี ากปานกลาง 2) เน้นการแลกเปล่ยี นเรียนรู้ระหว่างผูเ้ รียนกับผเู้ รียนและผเู้ รยี นกับครู 3) ใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้ดว้ ยการศึกษาคน้ คว้า เป็นรายบคุ คล เปน็ กลมุ่ และการทาโครงงาน 4) จัดกระบวนกลุม่ ท่เี น้นผู้เรียนเป็นสาคัญ และสอดแทรกกระบวนการ “คิดเป็น” ให้ ผเู้ รียนได้ฝกึ คดิ วเิ คราะหใ์ นแต่ละรายวชิ าทเี่ ชื่อมโยงสู่การประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตจริงและอาจสอนเพม่ิ เตมิ ใน บางเนอื้ หาที่ผู้เรียนต้องการ 5) มีการทดสอบย่อย (QUIZ) 6) จัดพบกลุ่มอยา่ งน้อยสปั ดาห์ละ 6 ชั่วโมง วธิ ดี าเนินการจัดการเรยี นรแู้ บบพบกลุม่ มีดงั นี้ 1) การนาเสนอผลจากการศกึ ษาค้นคว้า ครใู ห้ผเู้ รยี นนาเสนอผลจากการศึกษาค้นคว้า ดว้ ยตนเองหรอื งานกลุ่ม ซ่ึงเป็นการทากจิ กรรมตามทไ่ี ด้รบั มอบหมายจากการพบกลุ่มสปั ดาห์ทท่ี ผี่ า่ นมา ครจู ะต้องทาหนา้ กระต้นุ ใหผ้ ู้เรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ ครูและผูเ้ รียนสรปุ องค์ความรู้รว่ มกัน 2) การจดั การเรียนการสอนตามสาระการเรยี นรู้ ครูจัดการเรียนการสอนตามสาระการ เรียนรู้ท่ีได้วางแผนการเรียนรู้รว่ มกับผ้เู รยี นไว้ โดยครจู ดั กระบวนการเรยี นร้เู พ่ิมเติมความรู้ในเน้อื หา สนใจส่ังชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
160 สาระทส่ี าคญั ท่ผี ู้เรียนยังไม่เข้าใจและต้องการจะเรียนรู้ โดยครูสอนเพ่ิมเตมิ บางเนอ้ื หาที่ผเู้ รียนตอ้ งการ หรอื จดั สอนเสริมนอกเหนอื จากเวลาพบกล่มุ ในเน้ือหาวชิ าทย่ี าก ที่ผเู้ รยี นไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ เชน่ วิชาคณติ ศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ต้น 3) การนาเสนอโครงงาน โดยให้ผู้เรียนนาเสนอความคิด และความก้าวหนา้ ในการทา โครงงานต่อกล่มุ ใหญ่ เพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นคนอื่นและครชู ่วยกนั วิเคราะห์ ซักถาม ใหข้ ้อเสนอแนะ คาแนะนา ทาให้เกิดการแลกเปลย่ี นเรียนรู้ เป็นการตอ่ ยอดหรือพฒั นาความคดิ และนาไปสู่การพฒั นาโครงงานใน สปั ดาห์ต่อไป การนาเสนอโครงงานดังกล่าวจะเปน็ ไปอย่างต่อเนื่องทุกคร้ังที่พบกลุ่มจนสน้ิ สุดภาคเรียน 4) การสอบย่อย(QUIZ) เป็นการทดสอบความรคู้ วามเข้าใจในเนอ้ื หาสาระ โดยครแู ละ สถานศึกษาเปน็ ผูจ้ ัดทาขอ้ สอบย่อย ในลักษณะ ถาม – ตอบ (QUIZ) ใหผ้ ู้เรียนตอบคาถามส้ัน ๆ ใน ลักษณะสรุปความคดิ รวบยอด ที่เปน็ ความรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั เนื้อหาในรายวชิ านนั้ ๆ ของผู้เรียนเอง 5) การฝึกกระบวนการเรยี นร้โู ดยใช้กระบวนการ “คิดเป็น” ใหผ้ ูเ้ รยี นฝกึ คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากสอื่ เช่น สถานการณ์ ข่าว นสพ. บทความ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั เน้อื หารายวชิ าทกี่ าลังเรยี น ครจู ะทาหนา้ ทเ่ี ป็นผู้กระตนุ้ เสริมแรง ใชก้ ระบวนการเรยี นรแู้ บบมีส่วนร่วม ใหผ้ ้เู รียนทกุ คนไดแ้ ลกเปล่ียนเรยี นรู้รว่ มกันตลอดช่วงเวลาพบกลุ่ม โดยครตู งั้ ประเด็นคาถามปลายเปดิ ใหผ้ เู้ รียนไดร้ ่วมคิด ร่วมอภิปรายเพอ่ื หาคาตอบ และพยายามเชื่อมโยงเรื่องทเี่ รียนรจู้ ากรายวิชานน้ั เข้าสู่ วิถชี ีวิตของผู้เรยี นไดม้ องเห็นประโยชนจ์ ากการพบกล่มุ 6) ฝึกให้ผเู้ รียนแสดงออก เพอ่ื ใหส้ ามารถนาความรู้และทักษะไปใช้ในชีวิตจรงิ ได้ เชน่ การนาเสนองานประกอบการใชส้ ื่อ การฝกึ พดู ในโอกาสต่าง ๆ การใช้ภาษาไทยทีถ่ ูกต้อง การฟ๎งและจบั ประเด็นสาคัญ การพูดและการเขยี นเพ่ือสรุปใจความสาคญั 7) การวางแผนจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ต่อเนอ่ื ง คอื การท่คี รแู ละผู้เรียนร่วมกนั กาหนดและ นัดหมายการทากิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างสัปดาห์ รวมท้งั เรือ่ งทผ่ี ู้เรยี นจะต้องศึกษาคน้ คว้าด้วยตัวเอง ตามแผนการเรยี นรทู้ ี่ได้ร่วมกันกาหนดไว้ และครจู ะต้องกาหนดตวั ผู้เรียนที่จะมานาเสนองานต่อกลมุ่ ใน สปั ดาห์ตอ่ ไป และกาหนดการทากิจกรรมการเรียนรสู้ าหรับผเู้ รียนคนอื่น ๆ ดว้ ย 8) การตดิ ตามและชว่ ยเหลอื ผู้เรยี น ครูตดิ ตามช่วยเหลอื ผู้เรยี น เพอ่ื ให้คาแนะนา คาปรึกษาในการเรียน ครอู าจใช้วิธี “เพือ่ นชว่ ยเพ่ือน” คือให้เพื่อน หรอื กล่มุ เพ่อื นของผูเ้ รียน คอย ชว่ ยเหลอื ให้คาแนะนาคาปรึกษาในการเรยี น 2. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรดู้ ้วยตนเอง เปน็ การเรยี นรทู้ ่ผี ู้เรยี นแสวงหาความรู้ดว้ ย ตนเอง โดยผเู้ รียนกาหนดแผนการเรยี นรู้ของตนเองให้สอดคล้องกับรายวชิ าทลี่ งทะเบยี น โดยระบุ ขั้นตอนการเรยี นรตู้ ้งั แตต่ ้นจนจบ และมีครเู ปน็ ท่ปี รกึ ษา ใหค้ าแนะนาในการศึกษาหาความรูจ้ ากสือ่ ตา่ งๆ และแหล่งการเรียนรู้ ลักษณะของผู้เรยี นที่สามารถเรยี นรู้ด้วยตนเอง 1.1) สมคั รใจท่ีจะเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ไม่ได้เกิดจากการบงั คับ สนใจส่ังชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
161 1.2) ผูเ้ รียนเป็นแหล่งข้อมลู คือสามารถบอกได้วา่ ตนเองจะเรียนเรือ่ งอะไร มที กั ษะ และขอ้ มูลอะไรบ้าง สามารถกาหนดเปูาหมายได้ บอกวิธีการรวบรวมขอ้ มลู ได้ บอกวิธกี ารประเมนิ ผล การเรียนได้ ร้ถู งึ ความสามารถของตนเอง ตดั สินใจได้ มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ หนา้ ท่ีและเปน็ ผู้เรียนรู้ทีด่ ี 1.3) รู้ “วธิ กี ารท่ีจะเรยี น” คอื รู้ขัน้ ตอนในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง วา่ จะต้องทา กิจกรรมอะไรบา้ งจงึ จะทาใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ 1.4) มีความคิดเชิงบวก มแี รงจงู ใจ และสามารถเรียนแบบรว่ มมือกับเพอื่ นหรือ บุคคลอน่ื 1.5) มีระบบการเรยี น รจู้ กั ประยุกตก์ ารเรยี น และสนุกกับการเรยี น 1.6) มกี ารเรียนรจู้ ากข้อผดิ พลาดและความสาเร็จ มกี ารประเมินผลเองและเขา้ ใจถงึ ศักยภาพของตนเอง 1.7) มคี วามพยายามหาวธิ ีการใหม่ ๆ เพอ่ื หาคาตอบ รู้จกั ประยุกต์ใชค้ วามรทู้ ี่ไดจ้ าก การเรยี นไปใช้กบั สถานการณ์จรงิ และหาโอกาสในการพัฒนา ค้นคว้าหาข้อมลู เพ่ือแก้ป๎ญหา 1.8) สามารถแสดงความคิดเหน็ และ อภิปรายในกลมุ่ เรยี นอยา่ งสรา้ งสรรค์ 1.9) การมปี ฏิสัมพันธ์กับบคุ คลอื่นสามารถเก็บขอ้ มูล และนาขอ้ มลู ไปใชป้ ระโยชน์ ในการเรยี น วธิ กี ารเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง 1) การวิเคราะห์และกาหนดความต้องการ ผู้เรียนวิเคราะห์และกาหนดความตอ้ งการใน การเรยี นรู้ โดยคานึงถงึ ความต้องการและความสนใจเก่ยี วกับเนอ้ื หาสาระท่ีตอ้ งการเรยี น 2) การกาหนดจดุ มงุ่ หมายในการเรียนรู้ ผู้เรยี นกาหนดจดุ มุ่งหมายในการเรียนรู้ ทีม่ ี ความเปน็ ไปไดแ้ ละสามารถปฏิบัตไิ ดจ้ ริง โดยศึกษาจดุ มุ่งหมายของรายวชิ า แล้วเขยี นจดุ มุ่งหมายในการ เรยี น และระบพุ ฤติกรรมทีค่ าดหวงั หรือผลการเรียนร้ทู ี่คาดหวังท่ีสามารถวัดได้ 3) การวางแผนการเรียน ผู้เรยี นกาหนดแนวทางในการเรยี นของตนเอง เพ่อื ให้บรรลุ วัตถุประสงคข์ องรายวิชา กาหนดเวลาเรียน คือกาหนดจานวนชวั่ โมง และจานวนครงั้ ในการเรียนร้ดู ้วย ตนเอง ทากิจกรรมกล่มุ พบครเู พือ่ ขอคาปรกึ ษา แนะนา สอนเสรมิ และกาหนดเวลาทสี่ ้นิ สุดการเรียน ของตนเอง 4) การเลือกรูปแบบการเรยี น คอื ผเู้ รยี น เลือกกิจกรรมการเรยี นรดู้ ้วยตนเองได้แก่แหลง่ วิทยาการ ผรู้ ู้ แหล่งเรียนรู้ เชน่ ห้องสมุด วดั สถานีอนามัย และสือ่ ในการเรยี น เช่นหนังสอื เรยี น วซี ดี ี สื่อคอมพิวเตอร์ 5) การกาหนดบทบาทผู้ชว่ ยเหลือในการเรียน เพื่อชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจในเนอ้ื หาสาระ และเกิดทักษะยิง่ ข้ึน และประสบผลสาเร็จในกาเรียน เช่นมเี พือ่ ร่วมเรียนเพื่อให้เกดิ การแลกเปลยี่ น เรยี นรู้ สนใจส่งั ชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
162 6) การกาหนดวธิ กี ารประเมนิ ผลการเรยี น ครูและผเู้ รยี น ควรร่วมกันกาหนดวิธีการ วัดผลและประเมินผล เช่น กาหนดเครอ่ื งมอื วดั ผลไดแ้ ก่แบบทดสอบตา่ ง ๆ หรือชิ้นงาน เป็นต้น การทาสญั ญาการเรยี นรู้ ในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองนั้น เพือ่ ใหก้ ารเรียนร้เู ป็นไปตามเปาู หมาย ผ้เู รยี นแต่ละคน จะต้องมกี ารจัดทาขอ้ ตกลงการเรยี นหรือสัญญาการเรยี นรู้กบั ครู เพือ่ ครจู ะไดท้ ราบความกา้ วหน้าใน การเรยี นของผู้เรียนเปน็ รายบคุ คล สญั ญาการเรียนรู้ (Learning Contact) คอื ขอ้ ตกลงทีผ่ ู้เรียนไดท้ าไว้กบั ครูวา่ ผู้เรียน จะปฏบิ ัติตนอยา่ งไรในการเรียน เพื่อให้บรรลจุ ุดมุ่งหมายของหลกั สูตร โดยผู้เรยี นจะเป็นผเู้ ขยี นสัญญา การเรียนรู้ ระบุว่าจะเรียนร้อู ะไร จะวดั ผลด้วยวธิ ใี ด จะมหี ลกั ฐานการเรยี นรูอ้ ะไรบา้ ง และผลการเรยี น ควรเป็นอย่างไร เมอ่ื เขียนเสร็จแล้วจดั ทาสาเนาให้ครู 1 ชดุ เพอ่ื ครจู ะได้ตดิ ตาม ตรวจสอบ ความก้าวหนา้ ของผู้เรยี นแต่ละคน 3. การเรยี นรูแ้ บบทางไกล การเรยี นร้แู บบทางไกล เปน็ การจัดการเรยี นรู้ ทผ่ี ู้เรยี นจะเรียนรู้จากสื่อตา่ ง ๆ โดยผเู้ รยี น และครูจะสื่อสารทางสือ่ อิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่ เช่น การเรยี นรู้แบบ e – learning หลักในการเรียนรู้แบบทางไกล 1) ผ้เู รยี นตอ้ งมีเครือ่ งมอื ที่สามารถสื่อสาร และใช้อปุ กรณอ์ ิเลคทรอนิกสไ์ ด้ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศพั ท์ ฯลฯ 2) ผ้เู รยี นต้องมเี วลาสอ่ื สารทางอเิ ลคทรอนิกส์ กบั ครูตามเวลาท่ีไดต้ กลงร่วมกันกับ ครู เช่น Chat room, E – mail, Web board, Blog, face book ฯลฯ 3) สถานศกึ ษาและครู มีบทบาทในการจัดเตรียมสอ่ื ทางไกล และอานวยความ สะดวก ให้ความช่วยเหลอื แนะนา ให้คาปรึกษาใหผ้ ู้เรียนสามารถเรยี นรู้แบบทางไกลได้สาเร็จตาม จุดมุ่งหมาย วธิ กี ารเรยี นรู้แบบทางไกล 1) การศึกษาแนวทางการเรียนร้แู บบทางไกลจากสอ่ื ต่าง ๆ 2) การเรยี นรจู้ ากสือ่ ทางไกลตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด 3) การประเมินความรกู้ อ่ นเรียน คือผเู้ รียนประเมนิ ความรู้ของตนเองก่อนเรยี น 4) ศึกษาเนอื้ หาสาระจากสอ่ื ต่าง ๆ และส่งงานทีค่ รมู อบหมายตามกาหนด 5) การสอื่ สารกบั ครูตามเวลาที่กาหนด เพอื่ ขอคาแนะนา คาปรกึ ษา และนดั หมาย การทากจิ กรรมการเรยี นรู้ 6) การประเมนิ ความรู้หลงั เรียน คอื ผู้เรียนประเมนิ ความรขู้ องตนเองหลังเรยี น สนใจสงั่ ชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
163 4. การเรยี นรแู้ บบชั้นเรียน การเรียนรแู้ บบช้ันเรียน เป็นการเรยี นร้ใู นลกั ษณะแบบห้องเรยี น ทส่ี ถานศึกษากาหนดรายวิชา เวลาเรยี น และสถานทท่ี เี่ รียนชดั เจน การเรียนรู้แบบชนั้ เรียนเหมาะ สาหรับผเู้ รียนท่มี เี วลามาเขา้ ชนั้ เรยี นสม่าเสมอ หลักในการเรียนรูแ้ บบช้นั เรยี น 1) สถานศึกษากาหนดสถานที่เรยี นและตารางเรยี นทเี่ หมาะสม 2) จัดใหม้ ีการประชาสมั พันธก์ ารเรียนรูแ้ บบชั้นเรียน เก่ียวกบั สถานที่ วนั เวลาท่ี เรียนและครผู ้รู ับผดิ ชอบใหผ้ ู้เรียนทราบอย่างทวั่ ถงึ 3) สถานศกึ ษาจดั หาสอ่ื และอุปกรณ์การเรียนการสอน เชน่ เครอ่ื งมอื – อุปกรณ์ ทดลองวทิ ยาศาสตร์ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ และโสตทัศนปู กรณ์ ที่มคี ณุ ภาพ 4) ผเู้ รียนจะตอ้ งมเี วลามาเรยี นตามที่กาหนดไวใ้ นตารางเรยี น วธิ ดี าเนินการจดั การเรียนรู้ 1) การจัดกระบวนการเรยี นรู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้ โดยครู ผ้รู ู้ หรือผู้เชยี่ วชาญ ดา้ นเนื้อหานั้น ๆ เปน็ ผูถ้ า่ ยทอดความรแู้ ละฝึกทักษะให้กับผ้เู รียน โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรยี น ซักถาม แสดงความคิดเห็นและลงมือฝึกปฏบิ ัติจรงิ และครูควรจัดเวลาในการให้คาปรึกษาแก่ผู้เรียน 2) การจดั กระบวนการปฏิสมั พันธ์ เป็นการจดั กระบวนการที่ส่งเสริมการมี ปฏิสัมพันธ์ในการเรยี นรู้ระหวา่ งครกู บั ผู้เรียน และผ้เู รยี นกบั ผู้เรยี น เชน่ กิจกรรมกลุม่ การจดั ท่ีนัง่ เป็น กลุม่ 3) การจดั ให้มีการปรับบทบาทผูเ้ รยี น เช่นการแบง่ ผูเ้ รียนเป็นกลุ่มยอ่ ย ๆ และ มอบหมายงานใหป้ ฏบิ ตั ิ ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ครจู ะจัดกิจกรรม 3 ลกั ษณะ ดงั นี้ (1) การให้ข้อมูล ข้อเทจ็ จรงิ (2) การเรียนรดู้ ้วยการลงมือปฏิบตั ิจรงิ (3) การสะท้อนการเรียนรรู้ ่วมกนั ระหว่างผเู้ รยี นและครู 4) การตดิ ตาม และช่วยเหลือผู้เรียน เชน่ จัดบรกิ ารแนะแนว จัดบรกิ ารให้คาปรึกษา จัดใหม้ ีผู้ชว่ ยสอน และการตดิ ตามช่วยเหลือโดยเพอื่ หรอื กลุ่มเพื่อน การเรียนรทู้ ั้ง 4 รปู แบบ ดังท่ีกล่าวข้างต้น สถานศึกษาและผเู้ รียนจะร่วมกันกาหนดว่าในแต่ ละรายวิชาจะเรียนรู้แบบใด ซง่ึ ขนึ้ อยกู่ ับความยากงา่ ยของเนอ้ื หาสาระของแต่ละรายวิชาน้นั ๆ โดยให้ สอดคลอ้ งกบั วิถชี ีวติ และการประกอบอาชีพของผเู้ รียน และขน้ึ อยกู่ บั ความพรอ้ มของสถานศึกษาในการ จัดสอนเสริมเพือ่ เติมเตม็ ความรู้ใหก้ บั ผ้เู รยี นไดเ้ รียนรู้ใหบ้ รรลุมาตรฐานการเรยี นรู้ทกี่ าหนดไว้ นอกจากนนั้ สถานศกึ ษาสามารถออกแบบการเรยี นรู้แบบอื่น ๆ ได้ตามความต้องการของผเู้ รยี นและ ความพรอ้ มของสถานศึกษาแต่ละแหง่ **ทักษะที่จาเปน็ ในการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ( 3R 8C ) สนใจสง่ั ชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
164 3R คอื ทกั ษะพนื้ ฐานท่ีจาเป็นตอ่ ผู้เรียนทุกคน มดี ังน้ี **1. Reading คอื สามารถอ่านออก **2. (W)Riteing คือ สามารถเขียนได้ **3. (A)Rithmatic คือ มที ักษะในการคานวณ และอกี อย่างท่ีสาคัญไม่แพ้ 3R คอื 8C ซ่งึ เป็นทกั ษะตา่ งๆ ทจ่ี าเป็นเช่นกัน ซ่ึงทุกทกั ษะ สามารถนาไปปรับใช้ในการเรยี นรไู้ ด้ทกุ วิชา มีดังนี้ 1. Critical thinking and problem solving คือ มีทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอยา่ ง มีวิจารณญาณและสามารถแก้ไขป๎ญหาได้ 2. Creativity and innovation คือ การคิดอยา่ งสร้างสรรค์และคดิ เชิงนวัตกรรม 3. Cross-cultural understanding คอื ความเขา้ ใจในความแตกตา่ งของวัฒนธรรม และกระบวนการคิดข้ามวัฒนธรรม 4. Collaboration teamwork and leadership คอื ความรว่ มมือ การทางานเป็นทมี และภาวะความเปน็ ผนู้ า 5. Communication information and media literacy คอื มที ักษะในการสอ่ื สาร และการรู้เท่าทนั สือ่ 6. Computing and IT literacy คอื มีทกั ษะการใช้คอมพวิ เตอร์และรเู้ ท่าทนั เทคโนโลยี 7. Career and learning skills คือ มีทักษะอาชพี และการเรียนรู้ 8. Compassion คอื มคี วามเมตตากรณุ า มีคุณธรรม และมีระเบยี บวนิ ยั ทกั ษะท้งั หมดทไ่ี ด้กลา่ วมาเปน็ ส่งิ ท่ีจาเปน็ สาหรบั นักเรยี นในยคุ การเรียนรแู้ ห่งศตวรรษท่ี 21 เปน็ อย่างมาก ซงึ่ มคี วามแตกตา่ งจากการเรยี นรูใ้ นสมยั ก่อน ทาให้การเรยี นร้ขู องนกั เรยี นในศตวรรษที่ 21 มีคุณภาพมากยิง่ ข้ึน **การแนะแนว ใหส้ ถานศกึ ษาและเครือข่ายจดั ใหม้ กี ารแนะแนวเพอื่ เปน็ การแนะนา การช้ีชอ่ งทางใหผ้ ู้ไม่รู้ ไม่ แน่ใจในส่ิงทไี่ ดร้ ับรู้ เขา้ ใจและมน่ั ใจที่จะดาเนินการใหถ้ กู ต้อง สถานศกึ ษาดาเนินการจัดตัง้ ศูนย์ให้คาปรกึ ษาแนะนา (Advice Center) เพ่อื เป็น แหลง่ ขอ้ มูลสารสนเทศ และใหค้ าปรึกษากับผู้เรยี น คือ 1. แนะแนวการศึกษา ดาเนินการไดท้ ุกเวลาเม่ือมผี ู้ขอรับบรกิ ารโดยปกติจะมีการแนะ แนว ดังน้ี 1.1) การแนะแนวก่อนลงทะเบียนเรยี น เป็นการแนะแนวให้ผูส้ นใจ หรอื ผูเ้ รียนไดเ้ ขา้ ใจ ถงึ วธิ เี รียน การลงทะเบียนเรยี น การเทียบโอนผลการเรยี น ตลอดจนเงอ่ื นไขต่างๆ ในการเรยี น สนใจสงั่ ชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
165 1.2) การแนะแนวระหวา่ งเรียน เปน็ การแนะแนวให้ผ้เู รยี นในกรณที ่มี ีป๎ญหาเก่ยี วกับการ เรยี น การการสอน และการทากิจกรรมพฒั นาคณุ ภาพชีวิต ตลอดจนปญ๎ หาอื่นๆ 1.3) การแนะแนวเมื่อจบการศึกษา เปน็ การแนะแนวใหผ้ เู้ รยี นไดท้ ราบเกีย่ วกับการ ประกอบอาชีพ หรือการศึกษาตอ่ ในระดบั ทส่ี ูงข้นึ เพ่ือให้มีทางเลือกตามความรู้ ความสามารถ ตาม ศกั ยภาพของตนเอง เจ้าหนา้ ทแ่ี นะแนว ต้องเปน็ ผู้มปี ระสบการณ์ในดา้ นตา่ งๆ บุคลากรท่ีปฏบิ ัตหิ น้าทก่ี ารศกึ ษา นอกระบบทกุ คน ได้แก่ ครู ศรช. ครปู ระจากลุ่ม ครูอาสาสมคั รฯ พนกั งานราชการ ขา้ ราชการ และ ผู้บริหาร ขัน้ ตอนการแนะแนว 1) การวางแผนแนะแนว โดยจดั หาสอื่ แตง่ ต้ังบุคลากร จัดทาขน้ั ตอนการรับสมัคร 2) ส่ือประกอบการแนะแนว เตรยี มระเบียบ คาสง่ั ค่มู ือครู คมู่ ือนกั ศึกษา เอกสาร ปฐมนิเทศ แหลง่ เรยี นรู้ 3) การดาเนนิ การแนะแนว ประชุมคณะกรรมการ แบ่งหนา้ ท่รี บั ผิดชอบ ประสาน หน่วยงานท่เี กยี่ วข้อง ดาเนินการตามแผน 4) ลกั ษณะการแนะแนว การแนะแนวรายบุคคล การแนะแนวเป็นกลุม่ การแนะแนว โดยใชส้ ื่อต่างๆ สนใจส่งั ชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
166 แนวข้อสอบ 1. แนวการจดั การศึกษาตามพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 สอดคลอ้ งกับขอ้ ใด ก. เป็นการศกึ ษาตอ่ เนอื่ งตลอดชีวิตสาหรับประชาชน ข. ใหภ้ าคีเครอื ข่ายมีส่วนร่วมในการขจัดการศึกษา ค. สรา้ งสังคมแหง่ การเรียนรู้ ง. ยดึ ผ้เู รยี นสาคญั ทีส่ ุด 2. การจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนต้อง คานึงถึงขอ้ ใด ก. ความรู้พ้นื ฐานของผู้เรยี น ข. ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ค. สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา ง. สอดคลอ้ งกับบริบทชุมชนและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม 3. การจดั กจิ กรรมให้ผู้เรียนไดเ้ รียนรู้จากประสบการณ์จริงและฝึกการปฏิบัตเิ พ่อื ให้เกดิ สงิ่ ใด ก. มคี วามรู้และประสบการณ์ ข. มคี วามรู้คคู่ ุณธรรม ค. คดิ เปน็ ทาเป็น ง. ทกุ ข้อท่กี ลา่ วมา 4. ข้อใดคือความหมายของคาว่า “คิดเปน็ ” ก. กระบวนการท่ีคนเรานามาใชใ้ นการตัดสินใจ ข. กระบวนการรวบรวมขอ้ มูลอยา่ งเป็นระบบ ค. กระบวนการแสวงหาขอ้ มลู อยา่ งเปน็ ระบบ ง. กระบวนการคน้ คว้าข้อมลู อย่างเปน็ ระบบ 5. ข้อใดไมใ่ ช่องค์ประกอบของกระบวนการ “คดิ เป็น” ก. ตนเอง ข. สงั คม ค. ชุมชน ง. วชิ าการ 6. ปรัชญาแนวคดิ ความเชอ่ื พน้ื ฐานปรัชญา “คดิ เป็น” มคี วามเชอื่ ตามข้อใด ก. เช่อื ว่ามนษุ ย์ทกุ คนต้องการความสุข ข. เชอ่ื ว่ามนษุ ยท์ ุกคนมคี วามเทา่ เทียมกนั ค. เชื่อวา่ มนษุ ยท์ กุ คนสามารถพัฒนาตนเองได้ ง. เชือ่ วา่ มนุษยท์ กุ คนมคี วามสมบรู ณ์ทั้งทางดา้ นรา่ งการและจิตใจ 7.ขอ้ ใดไม่สอดคลอ้ งกับลักษณะของคน “คดิ เปน็ ” มี 8 ประการ ก. มีความสนใจทีจ่ ะวิเคราะหข์ ้อมลู อยเู่ สมอ ข. มีความรคู้ วามเข้าใจต่อการกระทาของตนวา่ ส่งผลต่อสังคม สนใจสงั่ ชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
167 ค. มีการแกไ้ ขป๎ญหาท่เี กิดข้นึ ในชวี ติ ประจาวันอยา่ งระบบ ง. มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจเกี่ยวพื้นฐานของความเป็นมนษุ ย์ 8. การศึกษานอกโรงเรียนเป็นกระบวนการของการศกึ ษาใด ก. การศกึ ษาในระบบ ข. การศึกษานอกระบบ ค. การศึกษาตามอัธยาศัย ง. การศกึ ษาตลอดชีวติ 9. .ข้อใดไม่สอดคล้องหลักการจดั การเรียนรกู้ ารศึกษานอกโรงเรยี น ก. หลกั การเรียนรดู้ ้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพรอ้ ม โอกาส ข. หลักการเรียนรู้ร่วมกันและการมีส่วนร่วมของชุมชน ค. หลกั การบูรณาการการเรียนรกู้ บั วถิ ีชีวติ ง. หลักความเสมอภาคทางการศึกษา 10. ข้อใดไม่สอดคลอ้ งกบั หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ก. พอเพียง ข. พอประมาณ ค. มีเหตผุ ล ง. มภี มู คิ ุ้มกนั ในตวั ที่ดี 11. จากทฤษฏี Andragogy เป็นทฤษฏที ่ีพัฒนาข้ึนมาจากการศกึ ษาเกย่ี วกับการเรยี นรู้ของผูใ้ หญ่ เปน็ ทฤษฏีของ Knowles มากท่ีสุดคอื ข้อใด ก. ผูใ้ หญ่สามารถเรยี นรู้ไดด้ ว้ ยตัวเอง ข. ผู้ใหญม่ สี ภาวะการเรียนรูท้ ่แี ตกต่าง ค. ผูใ้ หญ่มีความรู้เป็นพ้นื ฐานอยู่แลว้ ง. ผใู้ หญ่ไมส่ ามารถเรยี นร่วมกับเด็กได้ 12. หลักการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ของผูใ้ หญ่ ตอ้ งคานึงถงึ ขอ้ ใด ก. ผใู้ หญต่ ้องการทีจ่ ะร้เู หตุผลว่าทาไม ข. ผ้ใู หญ่ต้องการเรยี นรจู้ ากประสบการณ์จรงิ ทป่ี ระสบอยู่ ค. ผใู้ หญม่ ุ่งทจี่ ะเรียนรู้เพ่อื แก้ป๎ญหา หรอื นาไปใชไ้ ด้จริง ง. ทกุ ขอ้ ทกี่ ลา่ วมา 13. หลักการจดั การเรียนรู้ให้กบั ผใู้ หญ่ (Andragogy) เปน็ ทฤษฏีของใคร ก. Knowles ข. John B.Watson ค. Thorndike ง. Pavlov 14. นกั ศกึ ษาผู้ใหญส่ ว่ นมากจะมีสิ่งเหล่านต้ี ิดตวั มาด้วย คอื ข้อใด ก. มปี ระสบการณต์ า่ ง ๆ ข. ความตอ้ งการในการเรียนรู้ ค. มีความหมายตอ่ สถานการณ์การเรยี นรู้ ง. ทกุ ข้อท่ีกล่าวมา 15. ข้อใดคือจะมลี ักษณะบางประการตอ่ สถานการณ์ในการเรยี นรู้ของนกั ศึกษาผ้ใู หญ่ ก. ความเชอ่ื ม่ันในตนเอง ข. การรบั รใู้ นตนเอง ค. ความชืน่ ชมในตนเอง ง. ทุกข้อที่กล่าวมา สนใจสั่งชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
168 16. ทักษะทจ่ี าเป็นในการเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 คอื ขอ้ ใด ก. 3R 8C ข. 3D 8C ค. 3R 8D ง. 3C 8R 17. 3R คอื ทกั ษะพนื้ ฐานที่จาเป็นตอ่ ผู้เรียนทุกคน ยกเวน้ ข้อใดข้อใด ก. สามารถอา่ นออก ข. สามารถเขยี นได้ ค. มที กั ษะในการคานวณ ง. สามารถวเิ คราะห์จากการฟง๎ 18. R ท่ี 1 คือ Reading สอดคล้องกบั ข้อใด ก. สามารถอา่ นออก ข. สามารถเขยี นได้ ค. มีทกั ษะในการคานวณ ง. สามารถวเิ คราะห์จากการฟ๎ง 19. R ท่ี 2 คือ WRiteing สอดคล้องกบั ขอ้ ใด ก. สามารถอ่านออก ข. สามารถเขยี นได้ ค. มที กั ษะในการคานวณ ง. สามารถวิเคราะหจ์ ากการฟ๎ง 20. R ท่ี 3 คอื ARithmatic สอดคล้องกับข้อใด ก. สามารถอา่ นออก ข. สามารถเขยี นได้ ค. มีทกั ษะในการคานวณ ง. สามารถวิเคราะห์จากการฟ๎ง 21. Critical thinking and problem solving สอดคล้องกบั ข้อใด ก. การคดิ วเิ คราะห์ ข. การทางานเปน็ ทีม ค. การคิดอย่างสร้างสรรค์ ง. ความเขา้ ใจในความแตกตา่ ง 22. Creativity and innovation สอดคล้องกับข้อใด ก. การคดิ วิเคราะห์ ข. การทางานเปน็ ทีม ค. การคิดอยา่ งสรา้ งสรรค์ ง. ความเข้าใจในความแตกต่าง 23. ขอ้ ใดคือ “การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง” ก. สมศรี โทรศพั ทส์ อบถามอาจารย์ ข. ทองดี ยมื หนงั สอื เพอื่ นมาอา่ น ค. สมศักดิ์ สืบคน้ ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ง. กีตา้ จา้ งครมู าสอน 24. ขอ้ ใดคือทักษะที่จาเป็นในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ก. การฟ๎ง ข. การพูด ค. การอ่านและการเขยี น ง. ถูกทุกข้อ 25. Knowles ไดใ้ หล้ ักษณะของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง คือขอ้ ใด ก. สัญญาการเรยี น ข. จัดทาโครงงาน ค. จดั ทาแฟูมสะสมงาน ง. จัดทาฐานขอ้ มูล สนใจส่ังช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
169 26. อันดับแรกสดุ ของการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง คอื ข้อใด ก. การออกแบบแผนการเรียน ข. การแสวงหาแหลง่ วิทยาการ ค. การกาหนดจดุ มงุ่ หมายในการเรียน ง. การวเิ คราะห์ความตอ้ งการในการเรียน 27. การเรียนรู้แบบพบกล่มุ กาหนดให้จดั การเรยี นรู้กช่ี ่วั โมงต่อสัปดาห์ ก. 3 ชั่วโมง ข. 4 ชว่ั โมง ค. 5 ช่ัวโมง ง. 6 ชัว่ โมง 28. ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถกู ตอ้ งเกยี่ วกบั หลกั การในการจดั การเรยี นรแู้ บบพบกลุ่ม ก. จดั พบกลุ่มในรายวิชาทยี่ ากปานกลาง ข. เนน้ การแลกเปล่ยี นเรียนรู้ระหว่างผู้เรยี นกบั ครผู ู้สอนเทา่ น้นั ค. จัดกระบวนกลุม่ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ และสอดแทรกกระบวนการคดิ เปน็ ง. ใหผ้ ู้เรียนเรยี นร้ดู ว้ ยการศึกษาค้นคว้า เป็นรายบุคคล เปน็ กลมุ่ และการทาโครงงาน 29. Learning Contact คอื ข้อใด ก. ความตอ้ งการเรยี นรู้ ข. สญั ญาการเรยี นรู้ ค. ข้อตกลงการเรียนรู้ ง. ประชาคมการเรยี นรู้ 30. การจดั การเรยี นร้ทู ผ่ี เู้ รียนจะเรยี นรูจ้ ากสอ่ื ตา่ ง ๆ โดยผ้เู รียนและครจู ะสอ่ื สารทางสือ่ อเิ ล็กทรอนกิ ส์เปน็ ส่วนใหญ่ เชน่ การเรียนรูแ้ บบ e – learning เปน็ การเรยี นรแู้ บบใด ก. การเรยี นรู้แบบชัน้ เรียน ข. การเรียนรูแ้ บบพบกลุม่ ค. การเรียนด้วยตนเอง ง. การเรียนรแู้ บบทางไกล เฉลยข้อสอบ 1.ง 2.ข 3.ค 4.ก 5.ค 6.ก 7.ง 8.ง 9.ก 10.ก 11.ก 12.ง 13.ก 14.ง 15.ง 16.ก 17.ง 18.ก 19.ข 20.ค 21.ก 22.ค 23.ค 24.ง 25.ข 26.ง 27.ง 28.ข 29.ข 30.ง สนใจสง่ั ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
170 ความร้เู กี่ยวกบั การจดั การศึกษา สานกั งาน กศน. **การศึกษาในระบบ (Formal Education) การศึกษาท่ีกาหนดจุดมงุ่ หมาย วิธกี ารศึกษา หลกั สูตร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและ ประเมินผล ซึ่งเป็นเงอ่ื นไขของการสาเร็จการศึกษาท่แี นน่ อน เป็นการจัดการศึกษาทม่ี ีหลกั สตู ร ครูผสู้ อน สื่ออปุ กรณร์ ูปแบบวธิ กี ารสอน สถานทศ่ี กึ ษา ตวั อยา่ ง : การจดั การศกึ ษากอ่ นวัยเรียน การศึกษาขนั้ พ้ืนฐานการศกึ ษา อาชีวศกึ ษา และ การศึกษาระดับอุดมศกึ ษา **หลกั การจัดการศึกษานอกระบบ ยดึ หลกั การและความมงุ่ หมายโดยภาพรวมตามพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ ควบคู่กบั หลักการการศกึ ษานอกระบบ หลกั ความเสมอภาค การมีสว่ นร่วมในความรบั ผิดชอบ กระบวนการ เรยี นรู้ ความหลากหลาย ความยืดหยุ่น การบูรณาการ การกระจายอานาจ เพ่อื ให้การศกึ ษานอกระบบ เกิดประโยชน์สงู สุดแก่ประชาชน ความเช่ือพื้นฐานของการจดั การศกึ ษานอกระบบ เป็นความเชื่อท่แี สดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า การศกึ ษาอาจเกดิ ข้ึนได้ทุกหนทกุ แหง่ ไม่เฉพาะในโรงเรียนเท่านน้ั การศึกษานอกระบบอาจพิจารณาได้ 2 มติ ิ คือ มติ ทิ ี่ 1 เปน็ การศกึ ษาที่จัดขนึ้ นอกเหนือจากท่ีจดั ในโรงเรียน โดยมหี ลกั สูตรวิธกี าร จัดการเรียนการสอน การวดั และประเมินผลเช่นเดยี วกัน แต่ก็มีความยดื หยุ่นสามารถปรับให้เหมาะสม กบั สภาพของชมุ ชน ผู้เรยี นสามารถนาเน้อื หาจากสภาพแวดล้อม หรอื ความต้องการของผู้เรยี นมา กาหนดเปน็ หลักสูตรกไ็ ด้ ประเด็นสาคัญคอื มนษุ ย์สามารถเรียนรู้ไดด้ ้วยตนเอง มใิ ชถ่ ูกสอน เมอ่ื เขา ปรารถนาที่จะเรยี น ก็จะขวนขวายท่จี ะเรยี น และสามารถเรยี นรู้ไดอ้ ยา่ งลกึ ซ้งึ จนนาความรนู้ ้ันไปใช้ให้ เกดิ ประโยชนแ์ กต่ นเอง ครอบครัว และชมุ ชนของตนได้ มิตทิ ี่ 2 เปน็ การศึกษาท่จี ัดข้นึ สาหรบั ผู้ท่อี ย่นู อกระบบโรงเรียน เป็นผู้ท่ีไมส่ ามารถ เขา้ ถึงบริการท่ีโรงเรยี นจัดให้ได้ โดยข้อจากดั ต่าง ๆ ทง้ั ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง ตลอดจน ทางดา้ นร่างกาย จติ ใจ ท่สี าคญั คอื ส่วนใหญเ่ ป็นผู้ใหญ่ ซงึ่ มคี วามร้แู ละประสบการณใ์ นการใช้ชวี ิตและ การทางานมาระดบั หนงึ่ สามารถรับผดิ ชอบตนเองได้ การจัดการศึกษาจึงใชห้ ลักการสอนผูใ้ หญ่ (Andragogy) เป็นหลักการสาคัญ น่ันกค็ อื เป็นการจดั การศกึ ษาทเ่ี น้นการมสี ว่ นร่วมของผูเ้ รียน และ ครผู ู้สอนในการวางแผนการเรียนร่วมกนั ต้องเขา้ ใจเหตผุ ลของการเรยี น มเี ปูาหมายของการเรยี นท่ี ชดั เจน ผู้เรียนสามารถเลอื กวิธเี รยี นท่ีเหมาะสมกบั ตนเอง การออกแบบการจดั กจิ กรรมการเรยี นการ สนใจสง่ั ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
171 สอนจะต้องคานงึ ถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ทัง้ ดา้ นรา่ งกาย ความคดิ จติ ใจ สตปิ ญ๎ ญา และ สภาพแวดลอ้ ม ความเชื่อพน้ื ฐานที่สาคัญประการหนึง่ ของการจัดการศกึ ษานอกระบบ ซงึ่ เปน็ ลักษณะที่ โดดเดน่ ของประเทศไทย คอื ความเชอื่ ท่วี า่ มนุษย์ทกุ คนต้องการความสขุ เป็นเปาู หมายสงู สดุ ของชีวิต การคดิ ตัดสินใจ การเลอื กกระทาหรือไม่กระทาใด ๆ ล้วนใชเ้ หตุผล ข้อมลู ประกอบการคิดอย่างรอบ ด้านอย่างนอ้ ย 3 ดา้ น คือ ข้อมูลเกี่ยวกบั ตนเอง ทั้งด้านรา่ งกาย สขุ ภาพ อนามยั จติ ใจ ฐานะความ เปน็ อยู่ ข้อมูลเก่ยี วกบั สังคม ทั้งสงั คม วฒั นธรรม ประเพณแี ละสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพต่าง ๆ รวมทง้ั ขอ้ มูลทางวชิ าการคือความรู้ในเรือ่ งท่เี ก่ียวข้องกบั การตดั สินใจนน้ั ๆ การจัดการศึกษานอก ระบบ จงึ ต้องส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนคดิ และตดั สินใจดว้ ยตนเอง หัวใจสาคัญ คอื การยอมรบั และเคารพใน การตดั สินใจของผู้เรยี น ซง่ึ เป็นรากฐานของความเปน็ ประชาธิปไตย ในระดับพน้ื ฐานดว้ ย กลมุ่ เปูาหมายการศึกษานอกระบบส่วนมากเป็นเยาวชนและผู้ใหญ่ ซึง่ เป็นผมู้ ีวุฒภิ าวะ มี ประสบการณ์ มีความรับผิดชอบในการประกอบอาชีพ ดแู ลครอบครัว และมีขอ้ จากัดมากมายในการ เรยี นรู้ ซ่งึ ลักษณะดังกล่าวทาใหก้ ารจัดกระบวนการเรียนรูไ้ ม่เหมือนกับเด็ก เพราะมอี ะไรที่แตกต่างกนั หลายอยา่ ง เช่น ความคิดอ่าน ประสบการณ์ ความพร้อม การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจงึ จาเปน็ ต้องใหส้ อดคล้องกบั ความตอ้ งการและธรรมชาติของผเู้ รยี น ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนมีส่วนร่วม นา ความรแู้ ละประสบการณ์ท่ีมีอยมู่ าแลกเปลยี่ นเรยี นรกู้ นั และส่งเสรมิ การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง การศกึ ษานอกระบบเปน็ กระบวนการของการศกึ ษาตลอดชีวติ มีภารกิจสาคัญที่มุง่ ให้ ประชาชนได้รบั การศกึ ษาอย่างทั่วถงึ โดยเฉพาะการศกึ ษาพื้นฐานทีจ่ าเป็นตอ่ การดารงชีวิตตาม มาตรฐานของสงั คมซ่งึ เป็นสิทธิทค่ี นทกุ คนพงึ ได้รับ นอกจากน้ันยังจะต้องได้รับการศกึ ษาทต่ี ่อเน่ืองจาก การศกึ ษาพ้ืนฐานนาความรไู้ ปพฒั นาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวติ และพฒั นาชุมชนและสงั คมในที่สุด การจัดกระบวนการเรยี นรู้ การศกึ ษานอกระบบจึงยดึ หลกั การสาคัญ 5 ประการ คอื 1)หลกั ความเสมอภาคทางการศกึ ษา 2)หลกั การพัฒนาตนเองและการพง่ึ พาตนเอง 3)หลักการบูรณา การการเรยี นร้แู ละวถิ ชี ีวติ 4)หลักความสอดคล้องกบั ความต้องการของผ้เู รยี น และ5)หลักการเรียนรู้ ร่วมกนั และการมีสว่ นรว่ มของชมุ ชน ดงั นี้ 1. หลกั ความเสมอภาคทางการศึกษา กลุ่มเปูาหมายของการศกึ ษานอกระบบ สว่ นมากเปน็ ผู้พลาดโอกาส และผู้ดอ้ ยโอกาสทางการศกึ ษา ซ่ึงอาจมคี วามแตกต่างทางด้านสถานภาพ ในสังคม อาชพี เศรษฐกจิ และขอ้ จากัดต่าง ๆ ในการจดั การศึกษาและกระบวนการเรยี นรู้การศึกษานอก ระบบตอ้ งไมม่ กี ารเลอื กปฏิบัติ หากแต่สรา้ งความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรอู้ ย่าง เทา่ เทยี มกนั 2. หลักการพฒั นาตนเองและการพ่งึ พาตนเอง การจดั การศึกษานอกระบบจะตอ้ ง จัดการเรยี นการสอน และกระบวนการเรียนรูเ้ พื่อให้ผเู้ รยี นไดพ้ ัฒนาศกั ยภาพของตน สามารถเรียนรู้ เกิดความสานกึ ท่จี ะพฒั นาตนเองได้ เปน็ คนคิดเป็น ปรับตัวเพ่ือใหท้ นั กับกระแสการเปล่ียนแปลงของ สนใจส่งั ชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
172 สังคม โดยเรยี นรอู้ ยู่ตลอดเวลา เรียนด้วยตนเอง พ่ึงพาตนเอง เพ่อื ใหส้ ามารถดารงชวี ิตอย่างเปน็ ปกติสุข ทา่ มกลางการเปลย่ี นแปลงของสังคม 3. หลักการบรู ณาการการเรยี นรู้กบั วถิ ชี ีวติ หลกั การนอ้ี ยบู่ นพื้นฐานของการ จดั การเรียนรู้ท่สี มั พันธ์กบั สภาพป๎ญหา วถิ ีชีวิต สภาพแวดล้อมและชมุ ชนทอ้ งถ่ินของผูเ้ รียน ซึ่งเป็น หลกั การทสี่ าคญั ในการจัดทาหลักสูตรสถานศกึ ษา ส่ิงดงั กลา่ วสง่ ผลโดยตรงต่อการจดั กระบวนการ เรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เปน็ ลกั ษณะของการบูรณาการจึงมีความเหมาะสม โดยบูรณาการสาระตา่ ง ๆ เพอ่ื การเรียนรู้ และบูรณาการวิธีการจัดการเรียนการสอน เพ่อื นาไปสู่การพัฒนาการคณุ ภาพชวี ิตของ ผเู้ รยี นอยา่ งเปน็ องค์รวม 4. หลกั ความสอดคล้องกับปญั หาความตอ้ งการและความถนัดของผู้เรยี น หลกั การน้เี ปน็ การสง่ เสรมิ ให้ผเู้ รียนร้จู ักความต้องการของตนเอง สามารถจดั การศึกษาใหก้ บั ตนเองได้ อย่างเหมาะสม ครู กศน. มีบทบาทในการส่งเสริมกระบวนการเรยี นรูด้ ้วยตนเองของผู้เรียน โดยให้ ผเู้ รียนร่วมกาหนดวตั ถุประสงค์ สาระการเรียนรู้ วิธีการเรียน และการประเมินผลการเรยี นรขู้ องตนเอง ซ่งึ เป็นกระบวนการการศกึ ษานอกระบบทผี่ ูเ้ รียนเปน็ สาคัญ 5. หลกั การเรียนรรู้ ่วมกนั และการมสี ว่ นร่วมของชุมชน การเรยี นรู้รว่ มกันในกลมุ่ ผู้เรยี นนับว่าสาคัญ เป็นการส่งเสริมและสร้างกัลยาณมติ รในกลมุ่ ผูเ้ รยี น กอ่ ให้เกดิ ความร่วมมือความ ผูกพัน เอ้อื อาทร การชว่ ยกันและกนั ปลกู ฝง๎ วินยั ในตนเอง ฝึกความรบั ผิดชอบ ซงึ่ เปน็ สิง่ ท่ีควรเกดิ ข้ึน สาหรบั ผู้เรยี นท่ีมีวุฒภิ าวะ สาหรับการมสี ่วนร่วมของชุมชน ก็นับว่าเป็นหลกั การสาคัญในการจัด การศึกษานอกระบบ ชมุ ชนสามารถเขา้ มาร่วมในการจัดทาหลกั สตู ร สถานศกึ ษา การจัดสรรทรพั ยากร เปน็ แหล่งเรียนรู้ และสนบั สนนุ ในเร่ืองอืน่ ๆ เพอื่ ผลิตผู้เรยี นท่ีเป็นสมาชิกทด่ี ีของชุมชนต่อไป **ปรัชญาท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการศึกษานอกระบบ การจัดการศกึ ษานอกระบบ มีปรัชญาการศกึ ษาที่เก่ียวขอ้ งซ่งึ เป็นพ้ืนฐานของความคิดในการ จดั กจิ กรรมที่ควรเรยี นรู้ทาความเข้าใจ ได้แก่ 1. ปรชั ญาพพิ ัฒนาการนิยม (Progressivism) เนน้ แนวความคิดในเรื่องการเรียนรู้ อย่างตอ่ เน่อื งตลอดชีวติ ซ่งึ เป็นการพัฒนาอยตู่ ลอดเวลา มุ่งการพัฒนาคณุ ภาพชีวติ พฒั นาสังคม 2. ปรัชญามนุษยนยิ ม (Humanism) ให้ความสาคญั กบั ความเป็นมนุษย์ ตระหนกั ถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ยอมรบั ในความแตกต่างน้นั การพัฒนาคนจงึ ม่งุ ไปทกี่ ารพัฒนาเปน็ รายบุคคล จึงต้องคานึงถึงความตอ้ งการของบุคคลและยอมรับความรู้และประสบการณ์ของบคุ คล ซง่ึ จะ เปน็ สว่ นหนึง่ ของกระบวนการเรียนรู้ 3. ปรัชญาอัตถภิ าวนยิ ม (Existentialism) เนน้ ความเคารพในเสรีภาพส่วนบคุ คล การยอมรับผลของการกระทาและการตัดสินใจ ให้ความสาคญั กับความรับผิดชอบของตนเองต่อการ กระทาทางสงั คม การจัดการศึกษาจงึ มุ่งเสรมิ สร้างพลงั ในการพัฒนาและการตดั สินใจของบุคคล สนใจส่ังชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
173 4. ปรัชญาการศกึ ษาในกลุ่มปฏิรูปกา้ วหนา้ (Radicalism) กลุ่มปรชั ญานเ้ี ป็นที่รวม ของแนวคดิ ท่วี พิ ากษก์ ารศกึ ษาท่ีจัดอยู่โดยทั่วไป มุ่งใช้การศึกษาเป็นกลไกของการแกป้ ญ๎ หาและ แสวงหาทางออกในสังคม เช่น กลุ่มที่ปฏิเสธระบบโรงเรยี น (Deschooling) ของอวิ าน อิลลิช กลมุ่ ของ เปาโล แฟร์ ที่วิพากษก์ ารศกึ ษาซง่ึ สะทอ้ นนยั ของการกดขี่ จาเปน็ ที่จะตอ้ งสร้างมโนสานึกใหม่ในการ เรยี นรู้ เป็นต้น หากจะพิจารณาถงึ การศกึ ษานอกระบบทจี่ ัดในประเทศไทยแลว้ อาจกล่าวได้วา่ การจดั การศกึ ษานอกระบบของไทยมไิ ด้ยดึ ม่นั ในหลกั ปรัชญาใดปรชั ญาหนงึ่ โดยตรง แต่ได้ผสมผสานแนวคดิ จากหลกั ปรชั ญาต่าง ๆ เขา้ มาในแนวความคิดของการจดั การศึกษานอกระบบ นอกจากนน้ั ยังผสมผสาน แนวคดิ ภูมิปญ๎ ญาอารยธรรมตะวนั ออก เขา้ มาเปน็ พนื้ ฐานความคิดจดั การศึกษานอกระบบ แนวความคิดเชงิ ปรัชญาทีโ่ ดดเดน่ ของการศึกษานอกระบบของประเทศไทย คือ แนวคิดเร่อื งคิดเปน็ ซ่ึงเป็นไดท้ ้งั ปรชั ญาในตวั เอง และเป็นความเชื่อพื้นฐานของการจดั การศึกษานอกระบบของประเทศไทย **การประกันคณุ ภาพการศึกษา พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 6 มาตรฐานและการประกันคุณภาพ การศกึ ษา มาตรา 47 ให้มรี ะบบการประกนั คุณภาพการศกึ ษาทกุ ระดบั เพือ่ พัฒนาคณุ ภาพและ มาตรฐานการศึกษา ประกอบด้วย 1)ระบบการประกนั คณุ ภาพภายใน 2)ระบบการประกนั คุณภาพ ภายนอก มาตรา 48 ใหห้ น่วยงานตน้ สงั กดั และสถานศกึ ษา จัดให้มรี ะบบการประกันคณุ ภาพภายใน สถานศกึ ษา ใหถ้ อื วา่ การประกันคณุ ภาพภายในเปน็ สว่ นหน่งึ ของกระบวนการบริหารการศกึ ษาท่ตี อ้ ง ดาเนนิ การอยา่ งต่อเน่อื งโดยมีการจัดทารายงานประจาปีเสนอตอ่ หนว่ ยงานต้นสงั กดั หน่วยงานท่ี เก่ียวข้อง และเปิดเผยต่อสาธารณชน เพือ่ นาไปส่กู ารพัฒนาคณุ ภาพและมาตรฐานการศึกษา เพ่ือ รองรับการประกันคุณภาพภายนอก มาตรา 49 ให้มีสานกั งานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ การศกึ ษา มฐี านะเปน็ องคก์ ารมหาชน (สมศ.) ทาหนา้ ท่พี ัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมนิ คุณภาพภายนอก และทาการประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา เพ่ือให้มกี ารตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา คานงึ ถึงความ มุ่งหมายและหลักการ (หมวด 1) แนวการจดั การศึกษาในแต่ละระดับ (หมวด 4) ใหม้ ีการประเมินผล คณุ ภาพภายนอกของสถานศึกษาทกุ แหง่ อย่างน้อยหนึ่งครง้ั ในทุกหา้ ปีนับตั้งแต่การประเมินครง้ั สุดทา้ ย เสนอผลการประเมนิ ต่อหนว่ ยงานที่เกี่ยวขอ้ งและสาธารณชน มาตรฐานการศกึ ษา คือ ข้อกาหนดเก่ียวกบั คุณลกั ษณะ คุณภาพทพ่ี งึ ประสงค์ และ มาตรฐานที่ตอ้ งการใหเ้ กิดขึ้นในสถานศกึ ษาทุกแหง่ และเพ่อื ใช้เป็นหลกั ในการเทียบเคยี งสาหรบั การส่งเสรมิ และกากบั ดแู ล การตรวจสอบ การประเมนิ ผลและการประกันคุณภาพทางการศกึ ษา การประกนั คณุ ภาพภายใน คอื การประเมินผลและการตดิ ตามตรวจสอบคณุ ภาพและ มาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษาน้ันเอง หรอื โดยหน่วยงาน ต้นสังกดั ทมี่ หี นา้ ท่กี ากับดูแลสถานศกึ ษานัน้ สนใจสง่ั ชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
174 ประกาศกระทรวงศกึ ษาธิการเรอ่ื ง มาตรฐานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อธั ยาศยั ประกาศเมอ่ื วันท่ี 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562 มาตรฐานการศึกษา แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1. มาตรฐานการศกึ ษานอกระบบ ระดบั การศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน 2. มาตรฐานการศึกษาต่อเน่อื ง 3. มาตรฐานการศกึ ษาตามอธั ยาศยั **ประกนั คณุ ภาพภายในจากหน่วยงานตน้ สังกดั อยา่ งนอ้ ย 1 ครงั้ ในทุก 3 ปี นับต้ังแต่ การประเมินครัง้ สดุ ทา้ ย การประกนั คณุ ภาพภายนอก คอื การประเมนิ ผลและการติดตามตรวจสอบ คุณภาพและ มาตรฐานการศกึ ษาของสถานศึกษาจากภายนอก โดยสานกั งานรับรองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพ การศกึ ษา (สมศ.) องคก์ ารมหาชน หรือบคุ คลหรือหนว่ ยงานภายนอกทส่ี านกั งานดังกลา่ วรบั รอง เพอื่ เป็นการประกันคุณภาพและให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษา (ประกัน คณุ ภาพภายนอกอย่างน้อย 1 ครงั้ ในทุก 5 ปี นบั ตง้ั แต่การประเมนิ ครั้งสุดทา้ ย) **ข้อมลู และสารสนเทศ ข้อมูลและสารสนเทศ (Data and Information) สงิ่ สาคญั ในการศึกษาเก่ยี วกับระบบ สารสนเทศ คอื การทาความเข้าใจความแตกต่างของคาว่า \"ขอ้ มลู (Data)\", \"สารสนเทศ(Information)\" ก่อน ซึ่งมีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้ ข้อมลู (Data) ความหมายของขอ้ มูล(Data) หมายถงึ ข้อเท็จจริงตา่ งๆ ท่เี กิดขึน้ อาจจะอยูใ่ น รปู แบบตัวอกั ษร ตัวเลข สัญลกั ษณ์ รปู ภาพ ภาพเคล่ือนไหว เสียง สารสนเทศ(Information) ความหมายของสารสนเทศ(Information) หมายถึง ข้อมลู ท่ผี ่านกระบวนการ (Process) เชน่ เกบ็ รวบรวม การเรยี บเรียง การวิเคราะห์ เปน็ ต้น แล้วไดข้ ้อมูลทม่ี ปี ระโยชนต์ ่อผู้ใช้มาก ยง่ิ ขึ้นการนาเสนออาจจะเป็นรปู แบบขอ้ ความ ภาพ ตาราง หรือแผนภูมริ ูปภาพ นอกจากน้ีสารสนเทศก็ สารมารถทีจ่ ะกลับเป็นข้อมูลได้อีกคร้ัง ซ่งึ จะเรียกข้อมูลนว้ี า่ ข้อมูลทตุ ิยภูมิ ระบบและระบบสารสนเทศ(System and Information System) ระบบ(System) หมายถงึ สิ่งที่ประกอบด้วยองค์ประกอบหน่วยยอ่ ยหลายๆหน่วยท่ีมี ความสัมพันธ์กนั และทาหนา้ ท่ปี ระสานกนั อกี ทั้งร่วมกันทางานอยา่ งเปน็ อันหน่ึงอันเดียวกนั โดยมี เปาู หมายในการแปรสภาพทรัพยากรทน่ี าเข้า(Input) ใหไ้ ดผ้ ลลัพธ(์ Output) หรือผลผลิต เพ่ือให้การ ดาเนินงานนั้นบรรลุเปาู หมายทีก่ าหนดไว้ สนใจส่ังชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
175 องคป์ ระกอบของระบบ 1. ปจ๎ จยั นาเขา้ (Input) หมายถึง ป๎จจัยตา่ งๆ ที่นาเขา้ มาในระบบ เพอื่ ใช้แปรรูปให้ เป็นผลลพั ธ์ ซ่งึ ในระบบสารสนเทศจะหมายถึง ข้อมลู หรือระบบข้อมูลทใี่ ช้เขา้ สู่ระบบ เพื่อประโยชน์การ นาไปใช้เป็นสารสนเทศในการบรหิ ารหรอื เพอื่ การตัดสินใจ 2. กระบวนการ(Process) หมายถึง ขน้ั ตอนการปฏิบัตงิ านทเ่ี ปลีย่ นสภาพ (Transform) ป๎จจัยนาเข้าใหก้ ลายเปน็ ผลลัพธ์ และอาจจะได้ผลยอ้ นกลับ(Feedback) ตามมาจาก กระบวนการ 3. ผลลัพธ(์ Output) หมายถึง ผลของการปฏิบัติงานตา่ งๆ ท่ไี ดจ้ ากกระบวนการแปร รปู ปจ๎ จยั นาเขา้ จนกลายเปน็ สิ่งทีต่ อ้ งการและผลพลอยได้อน่ื ทั้งโดยทางตรงและทางออ้ ม ซึ่งในระบบ สารสนเทศอาจแบง่ ผลลพั ธไ์ ด้เป็นหลายอย่างตามการใชง้ าน เช่น ขอ้ มลู ทีไ่ ด้จากการปฏิบตั งิ านและการ ประมวลผลขอ้ มูล หรอื รายงานต่างๆ เปน็ ตน้ 4. ผลยอ้ นกลบั (Feedback) หมายถึง ข้อมูลย้อนกลับ หรอื ผลสะท้อนทีไ่ ด้รับจาก การดาเนนิ การแปรรูป และการเกิดผลลัพธ์ขึน้ ซึ่งผลย้อนกลบั จะกลับเขา้ สู่ระบบ เพอื่ ใหท้ ราบว่าเกิด อะไรขึ้น ตอ้ งทาอะไรต่อ ระบบสารสนเทศ(Information System) คือ ระบบของการจดั เก็บ ประมวลผล ขอ้ มลู โดยอาศยั บุคคลและเทคโนโลยสี ารสนเทศในการดาเนินการ เพือ่ ให้ไดส้ ารสนเทศท่ีเหมาะสมกับ งานหรือภารกจิ แต่ละอยา่ ง เพอ่ื สนองความตอ้ งการสารสนเทศในการบรหิ ารระดับตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1. ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing System : TPS) หรอื ระบบประมวลผลข้อมูล(Data Processing System : DP) เป็นการนาคอมพวิ เตอร์มาใช้ในการ ประมวลผลเบือ้ งต้น การประมวลผลการดาเนินงาน/กิจกรรมในแตล่ ะวนั ของงานแตล่ ะฝาุ ย สารสนเทศ ท่ีได้จะเป็นแฟมู ข้อมลู เพ่อื ส่งต่อไปยงั ระบบ MIS ดงั นัน้ หากการทางานของระบบนไ้ี มส่ มบูรณ์หรอื ผิดพลาดจะเกดิ ความเสยี หายทง้ั ระบบ 2. ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจดั การ(Management Information System: MIS) สามารถชว่ ยใหผ้ บู้ รหิ ารนามาใชใ้ นการตัดสินใจในการดาเนนิ งานไดด้ ีขึ้นจึงจาเปน็ ตอ้ งพัฒนา ระบบสารสนเทศเพอื่ ช่วยสนบั สนุนการทางานด้านการจัดการขอผบู้ ริหารขนึ้ เรียกวา่ ระบบสารสนเทศ เพื่อการจดั การระบบสารสนเทศเพ่อื การจัดการหมายถึงกลมุ่ ของบุคคล, ขบวนการ,ซอฟต์แวร์, สนใจสง่ั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
176 ฐานข้อมลู และอุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ถี กู จัดการเพ่ือใช้ในการจดั การสารสนเทศทเี่ กดิ ขึน้ เปน็ ประจาใหแ้ ก่ ผบู้ ริหารหรอื ผู้ทาการตัดสนิ ใจ 3. ระบบสนบั สนนุ การตัดสินใจ(Decision Support System: DSS) ระบบ สนบั สนนุ การตดั สนิ ใจช่วยในการตดั สนิ ใจปญ๎ หาได้หลากหลายรูปแบบสามารถช่วยในการแกป้ ๎ญหาท่ี ซับซอ้ น 4. ระบบสารสนเทศเพอื่ ผ้บู รหิ ารระดบั สูง(Executive Information System: EIS) ระบบสารสนเทศเพอ่ื ผู้บรหิ ารมีประสทิ ธิภาพและความสามารถในการจดั เก็บขอ้ มูลสูงด้วยการใช้ เครอื่ ง เมนเฟรม ใชง้ านง่ายและมคี วามสามารถในการแสดงผลด้วยรปู ภาพได้ 5. ระบบผเู้ ชี่ยวชาญ(Expert System: ES) ระบบผู้เชยี่ วชาญได้รับความสาเร็จได้ ด้วยการนาคณุ สมบัตทิ างดา้ นป๎ญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ซึง่ เปน็ ระบบคอมพิวเตอร์ ท่มี คี ุณลักษณะความฉลาดเหมอื นกบั มนุษย์ เข้ามาใชร้ ว่ มดว้ ยระบบผูเ้ ช่ยี วชาญช่วยในการตดั สนิ ใจได้ โดยขบวนการทางคอมพวิ เตอร์ท่ที าการรวบรวมเหตผุ ลทางตรรกะเข้าด้วยกนั ระบบผ้เู ชยี่ วชาญเรียกใช้ ความรูเ้ ฉพาะด้านหนง่ึ ๆได้จากฐานความรู้ (Knowledge Base) ข้นึ อยู่กับคา่ ความจรงิ ของเหตุการณ์ ใดๆ ทต่ี อ้ งการตดั สนิ ใจ ผ่านกลไกในการสรุปข้อมลู และใหเ้ หตุผล เพอ่ื ให้คาแนะนาพร้อมท้ังมี คาอธบิ ายของคาแนะนาแกผ่ ใู้ ช้ดว้ ย โครงสร้างของระบบผู้เช่ียวชาญ 6. ระบบสานักงานอตั โนมัติ(Office Automation System: OAS) สานกั งาน อตั โนมตั ิ (Office Automation หรอื OA) เป็นแนวคิดในการนาเอาระบบเครือขา่ ยมาใช้เช่ือมโยง คอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์สานกั งานต่าง ๆ และผนวกดว้ ยซอฟตแ์ วร์สาหรับช่วยงานในสานักงาน โดยมี วัตถุประสงคเ์ พื่อตอ้ งการใหเ้ ปน็ สานักงานไร้กระดาษ โดยใหท้ างานตอ่ ไปนี้ - ส่ือสารระหวา่ งผู้ปฏบิ ตั ิงานโดยใช้ไปรษณยี อ์ ิเล็กทรอนิกส์ - จัดพิมพ์เอกสารต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ถกู ตอ้ ง และมีคุณภาพ - การออกแบบสง่ิ พิมพแ์ ละเอกสาร โดยโปรแกรมทีไ่ ดร้ ับความนยิ มคอ่ นขา้ งมากในขณะน้ี ก็คือโปรแกรม PageMaker - รับข้อความจากผู้โทรศัพทเ์ ขา้ มาตดิ ต่อแล้วบันทกึ เสยี งนั้นไว้หากผ้รู ับไม่อยู่ในสานักงาน - บันทึกภาพลกั ษณ์ (Inage) ของเอกสารตา่ ง ๆ ไวใ้ นระบบประมวลภาพลกั ษณ์ (Image Processing System) - มรี ะบบประชุมทางไกล (Video Teleconference) เป็นระบบท่ใี ช้คอมพวิ เตอร์ควบคมุ อปุ กรณส์ ือ่ สาร และกลอ้ งวดี ที ัศน์ ทาให้ผ้บู ริหารหน่วยงานสามารถประชมุ ปรึกษาหารือกบั ผู้บรหิ ารที่ อย่คู นละสถานท่ีโดยไม่ตอ้ งเสียเวลาเดินทางไปประชุมดว้ ยกัน - มีระบบช่วยงานผ้ปู ฏิบัตงิ านต่าง ๆ ไดแ้ ก่ การบนั ทึกนดั หมาย การบันทึกข้อความ ส่วนตัว การนดั ประชุม การคานวณ การตดั สนิ ใจ ฯลฯ สนใจส่งั ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
177 ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ 1. ช่วยเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการทางาน 2. ช่วยสร้างทางเลือกในการแข่งขัน 3. ชว่ ยสนบั สนนุ การตดั สินใจ 4. ชว่ ยเพ่ิมคณุ ภาพชวี ติ แนวทางการจัดทาแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศกึ ษา แนวทางการจดั ทาแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ใหม้ คี ณุ ภาพมีความ สอดคล้องสัมพนั ธก์ นั ในทุกประเด็น และเป็นแผนทมี่ ีความชดั เจนสามารถนาสกู่ ารปฏิบตั ไิ ดอ้ ยา่ งมี ประสิทธภิ าพบรรลุตามความต้องการที่กาหนด มีรายละเอยี ดทคี่ วรทราบ ดังนี้ 1.ความหมายของแผน 1.1 แผน (Plan) เปน็ เอกสารท่ีเปน็ ขอ้ กาหนดทีใ่ ชเ้ ป็นเคร่ืองมือหรือแนวทางในการปฏบิ ัตทิ ่ี แสดงโครงการ กิจกรรม วิธกี ารทไ่ี ดผ้ า่ นการคิดมาแลว้ ล่วงหน้า โดยผ้มู ีสว่ นเก่ยี วขอ้ งทกุ ฝุายร่วมกันคดิ และพจิ ารณาอยา่ งละเอียดรอบคอบ ทส่ี อดรบั กับเปูาหมาย วสิ ัยทศั น์ พนั ธกิจ ขององค์กรท่กี าหนด 1.2 แผนพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา เปน็ แผนที่มรี อบระยะเวลาการพัฒนาที่มุ่งพัฒนาคณุ ภาพ ตามเปาู หมาย และมาตรฐานการศึกษาของสถานศกึ ษา ซึ่งอาจเปน็ แผน 3 ปี แผน 4 ปี หรอื แผน 5 ปี แล้วแต่ความเหมาะสมตามบริบทของสถานศึกษา แผนประเภทนจ้ี ะสะทอ้ นกระบวนการวางแผนเชงิ กลยทุ ธท์ ีจ่ ะใชใ้ นการพฒั นาหรือปรบั ปรงุ เพือ่ นาไปสู่เปูาหมาย ได้คุณภาพตามมาตรฐานท่วี างไว้ (Strategic Plan /Improvement Plan) 1.3 แผนปฏิบัติการประจาปี (Action Plan / Operation plan) เปน็ แผนท่ีแตกออกมาจาก แผนพฒั นาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาเพ่ือการดาเนนิ งานเป็นรายปี แผนปฏบิ ตั ิการ ประจาปแี ต่ละปีควรมจี ุดเน้นทชี่ ดั เจนเป็นรูปธรรมนอกจากความชดั เจนในการดาเนินกจิ กรรมตามกรอบ เวลาสถานที่ งบประมาณ ผูร้ ับผิดชอบแล้ว สถานศึกษาต้องกาหนดกจิ กรรมการติดตามตรวจสอบการ ดาเนนิ งานความกา้ วหน้าของการดาเนินงาน การปรบั ปรงุ แก้ไขเพอ่ื ใหก้ ารดาเนินงานมปี ระสิทธิภาพ ราบรื่น คลอ่ งตัว มกี ารประเมินตนเอง อันนาไปสกู่ ารได้ข้อมลู สารสนเทศเพอื่ นาไปเขียนรายงานผลการ ปฏบิ ัติงานประจาปีหรอื รายงานผลการประเมนิ คุณภาพภายในของสถานศกึ ษาต่อไป 2. ความสาคญั ของแผนพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา แผนพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษามีความสาคัญต่อการบริหารงานเพอื่ ทาใหก้ ารดาเนินงานนั้นๆ ประสบความสาเร็จตามเปาู หมายได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยชว่ ยให้การบริหารงานเป็นไปโดยประสาน สนใจส่งั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
178 สอดคล้องกัน เกิดการประหยัดทงั้ ด้าน คน เวลา งบประมาณ ทาให้การตรวจสอบ/ควบคมุ งานมี ประสิทธภิ าพ และชว่ ยในการขยายงานและปรับปรงุ วิธกี ารดาเนินงานขององคก์ รไดอ้ ยา่ งชดั เจน สมเหตุสมผล 3. ขน้ั ตอนการจดั ทาแผนพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาของสถานศึกษา (3-5 ป)ี การจัดทาแผนพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาที่มงุ่ พฒั นาคุณภาพตามเปูาหมายและตาม มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา (3-5 ป)ี สถานศกึ ษา สามารถดาเนินการได้ตามขน้ั ตอน ดงั นี้ ขน้ั ท่ี 1 แตง่ ต้งั คณะทางาน คณะทางานควรประกอบดว้ ยคณะบุคคลจากหลายฝุายทงั้ ใน และนอกสถานศึกษา เชน่ หัวหนา้ งาน ผู้แทนครู คณะกรรมการสถานศกึ ษา ผู้แทนผ้ปู กครอง ผแู้ ทน หนว่ ยงาน องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ องค์กรเอกชน และชุมชน ตามความเหมาะสม เพ่อื ให้ คณะทางานดาเนินการรวบรวม วเิ คราะห์ สังเคราะหข์ ้อมูลสารสนเทศทเ่ี ก่ยี วข้อง ขั้นที่ 2 ศกึ ษารวบรวมข้อมูลสารสนเทศเกย่ี วกับการศกึ ษาในทุกระดับ เป็นการศกึ ษา ขอ้ มลู เกีย่ วกบั การศกึ ษาในทุกระดบั โดยการศึกษาและวิเคราะหข์ ้อมลู เกย่ี วกับการศึกษาของโลก การศกึ ษานโยบาย จดุ เน้น ของประเทศ และวเิ คราะห์สภาพภายในและภายนอกของสถานศึกษา เชน่ แผนการศกึ ษาชาติ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายการจัดการศกึ ษาของรัฐบาล กระทรวงศึกษาธกิ าร หนว่ ยงานต้นสังกัด วเิ คราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกของสถานศกึ ษา เช่น วิเคราะห์สภาพสังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี สภาพเศรษฐกจิ การเมือง และกฎหมายทจ่ี ะมีผลกระทบกับสถานศกึ ษา วิเคราะหส์ ภาพแวดลอ้ มภายในสถานศกึ ษา จดุ แข็ง จดุ ออ่ น ในการจัดการศกึ ษาของสถานศกึ ษา ที่ เกย่ี วกับโครงสร้าง การบริหารภายในสถานศกึ ษา เช่นการวิเคราะห์ Swot Analysis เป็นต้น เพอ่ื เป็น ข้อมลู ในการพจิ ารณากาหนดทิศทางการพฒั นาคุณภาพการศกึ ษาของสถานศกึ ษาทีม่ ีความสอดคล้อง กบั นโยบายและสิง่ ทต่ี ้องการพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาใหเ้ ทา่ ทนั กับสงั คมยคุ ใหม่ของสถานศึกษา ขั้นที่ 3 นาผลการวเิ คราะห์สภาพภายในและภายนอกของสถานศึกษา ประมวลเป็น วสิ ยั ทัศนพ์ นั ธกจิ และเปาู ประสงค์ ตัวช้ีวดั ความสาเร็จ และโครงการ/กิจกรรม ของสถานศกึ ษา การ กาหนดวิสัยทศั น์ พันธกิจและเปูาประสงค์ ตวั ชี้วัดความสาเร็จ และโครงการ/กจิ กรรม ของสถานศกึ ษา มีแนวทางข้ันตอนการดาเนนิ การ ดงั น้ี 3.1 วิสยั ทศั น์ (vision) หมายถงึ ทศิ ทางหรอื สภาพสถานศกึ ษาท่ีพึงปรารถนาใน อนาคตของสถานศกึ ษา ควรมกี ารกาหนดระยะเวลาทชี่ ัดเจน อาจจะเป็น 3 หรือ 5 ปี ท่มี คี วามเป็นไปได้ โดยเมือ่ สถานศกึ ษาได้ พัฒนาคุณภาพสถานศึกษาจนประสบความสาเร็จตามวิสยั ทศั นแ์ ล้ว สถานศึกษา ควรแกไ้ ขและพัฒนาจุดที่ควรพัฒนาใหด้ ขี ึน้ คง หรอื เพ่ิม จุดเด่นของสถานศกึ ษาให้มากข้นึ จนบรรลุ วสิ ัยทศั น์ของสถานศึกษาและเมื่อครบรอบระยะเวลาของวิสยั ทัศน์ทก่ี าหนด สถานศกึ ษาสามารถปรับ วสิ ัยทศั น์ของสถานศึกษาเพอื่ พฒั นาคุณภาพสถานศึกษาใหส้ ูงขน้ึ วิสยั ทัศน์ที่ดี ควรมีลักษณะที่เป็นภาพ เชงิ บวกท่ีสะทอ้ นถงึ ความเปน็ เลิศของสถานศึกษา คานงึ ถึงผู้เรียนเป็นสาคัญ และมีความชัดเจน และ สามารถนาไปปฏิบัตไิ ด้ สนใจส่ังชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
179 3.2 การกาหนดพนั ธกจิ ของสถานศกึ ษา (Mission) ดาเนนิ การโดยนาวสิ ัยทศั น์ของ สถานศึกษาแตล่ ะคาสาคัญแตล่ ะขอ้ ความ แต่ละส่วนมากาหนดภาระงาน ซง่ึ เปน็ แนวทางการดาเนินงาน เพื่อให้บรรลุผลตามกจิ กรรม คาสาคญั (Keywords) /ข้อความ ในวิสยั ทศั น์ของสถานศึกษา 3.3 การกาหนดเปูาประสงค์ (Goals) คอื สิง่ ทหี่ นว่ ยงานต้องการบรรลุหรือเปูาหมายท่ี ตอ้ งการบรรลุในแต่ละพันธกิจ (หลกั การเขยี น : ใคร ไดอ้ ะไร ด้วยคณุ ภาพอยา่ งไร) ซงึ่ เปน็ การกาหนด สิ่งที่ตอ้ งการให้เกดิ ขึน้ เพ่ือให้บรรลตุ ามวิสยั ทัศน์ ดาเนนิ การโดยนาพันธกจิ แตล่ ะข้อมาพิจารณาว่า ถ้า ดาเนินการตามพันธกจิ ท่ีกาหนดแล้ว จะเกิดผลผลติ อะไรบ้าง ซ่งึ จะช่วยทาให้บรรลุตามวิสยั ทัศน์ของ สถานศึกษาไดอ้ ย่างครบถ้วน 3.4 การกาหนดกลยุทธ์ (Strategies) ตัวชี้วัดความสาเร็จ (Key Performance Indicators)และโครงการ/กจิ กรรม กลยทุ ธ์ (Strategies) เป็นสงิ่ ทีห่ นว่ ยงานจะทา/ต้องกระทาเพ่ือให้ บรรลุเปูาประสงค์หรอื แนวทาง มาตรการหรอื วิธีดาเนินงานทส่ี าคัญ อนั ถอื วา่ เป็นกุญแจสาคญั ตอ่ การ บรรลุตามเปาู ประสงค์ รวมทงั้ เปน็ เง่ือนไขในการมอบหมายผู้รับผิดชอบในการดาเนนิ การ 1) การกาหนดกลยทุ ธ์ (Strategies) เปน็ การนาขอ้ มูล วสิ ัยทศั น์ พันธกิจ เปาู ประสงค์เป็นแนวคิดหลัก เพือ่ กาหนดกลยุทธ์ ตวั ช้ีวดั ความสาเร็จ และโครงการ/กิจกรรม โดยการนา เปูาประสงค์แตล่ ะข้อมาพิจารณาว่าจะทาอะไร ตวั อย่างการกาหนดกลยทุ ธ์ 2) การกาหนดตวั ช้ีวดั ความสาเรจ็ โดยนาเปาู ประสงคม์ าพิจารณาวา่ แต่ละ เปูาประสงค์ ซ่งึ ตัวช้ีวดั ความสาเร็จจะเป็นตวั บ่งถงึ การบรรลุตามเปูาประสงคน์ นั้ ทีจ่ ะสามารถวดั ได้อย่าง เปน็ รปู ธรรม ตัวช้ีวดั ความสาเร็จมที ้ังท่ีเปน็ เชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ขนั้ ที่ 4 แนวทางการบริหารการดาเนินการตาม กลยทุ ธ์ เปาู ประสงค์ ตัวช้ีวัดความสาเร็จ โครงการ/กิจกรรม ขั้นท่ี 5 กาหนดการบริหารแผนสคู่ วามสาเร็จ เป็นการกาหนดสิง่ ท่จี ะทาใหก้ ารดาเนนิ งาน ตามแผนบรรลเุ ปูาหมายอย่างมีคุณภาพและมีประสทิ ธภิ าพ ประเดน็ ทีค่ วรกาหนด คอื 5.1 การนาแผนสูก่ ารปฏิบัติ 5.2 การกากบั ตดิ ตามและประเมินผล ขัน้ ที่ 6 นาสงิ่ ทีด่ าเนนิ การตงั้ แตข่ นั้ ท่ี 1-5 มาจัดทาเปน็ รูปเล่มแผนพัฒนาคณุ ภาพ การศึกษาของสถานศึกษา **การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นส่วนหนงึ่ ของการบรหิ ารกลยทุ ธ์ มีองค์ประกอบ 3 สว่ น คอื การวางแผนเชงิ กลยทุ ธ์ การ นาเสนอกลยุทธไ์ ปปฏิบัติและควบคมุ กลยทุ ธ์ การวางแผนกลยุทธ์ หมายถงึ กระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับวัตถุประสงคข์ ององค์การ การ เปล่ยี นแปลงวตั ถุประสงค์ การใช้ทรัพยากรเพื่อใหบ้ รรลุ วตั ถุประสงค์ รวมทงั้ การวางนโยบายต่าง ๆ ท่ี จะใช้เปน็ หลักในการควบคมุ กจิ การ การใช้และการจดั ระเบยี บต่าง ๆ สนใจส่ังช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
180 การวางแผนยุทธศาสตร์ หรือ การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นกระบวนการ ตดั สินใจเพ่ือกาหนดทิศทางในอนาคตขององค์กร โดยกาหนดสภาพการณใ์ นอนาคตที่ตอ้ งการบรรลุ และกาหนดแนวทางในการบรรลุสภาพการณท์ ่กี าหนดบนพน้ื ฐานข้อมูลท่รี อบด้านอยา่ งเปน็ ระบบ การกาหนดแนวทางที่จะบรรลุสภาพการณใ์ นอนาคตทีต่ อ้ งการใหเ้ กดิ จะต้องต้งั อยบู่ นพื้นฐาน ของข้อมลู ที่รอบดา้ น คอื จะตอ้ งคานงึ ถึงท้ังสภาพการณ์ที่ตอ้ งการให้เกิด ศกั ยภาพหรอื ขีดความสามารถ ขององคก์ ร และการเปลย่ี นแปลงของสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆ ทง้ั ด้านเศรษฐกจิ สังคม การเมอื งและ สิง่ แวดลอ้ ม กระบวนการการวางแผนยทุ ธศาสตร์ (Strategic Planning Processes) มขี นั้ ตอน ดังต่อไปน้ี 1) กาหนดวิสยั ทัศน์ (Vision) 2) กาหนดภารกจิ หลักหรอื พันธกจิ (Mission) 3) กาหนดเปูาประสงคห์ รือจุดมุ่งหมายเพ่ือการพฒั นา (Goal) 4) กาหนดประเด็นยทุ ธศาสตรห์ รอื ยุทธศาสตร์ (Strategy) 5) กาหนดกลยทุ ธห์ รอื แนวทางการพัฒนา การกาหนดวสิ ยั ทัศน์ (Vision) วสิ ัยทศั น์ (Vision) หมายถงึ สภาพการณ์ทีเ่ ราปรารถนาให้เกิดข้นึ ในอนาคต (ตอ้ งการเปน็ อะไร) วิสัยทศั น์ท่ดี ี มลี ักษณะ ดงั น้ี 1. เป็นขอ้ ความท่เี ข้าใจงา่ ย แสดงให้เห็นถงึ จุดมงุ่ หมายและทิศทาง 2. มีความเป็นไปได้ในการบรรลุถงึ ภายในระยะเวลาท่กี าหนด 3. สร้างแรงบนั ดาลใจ (ทา้ ทาย เร้าใจ) 4. สอดคลอ้ งกบั ขนมธรรมเนยี ม ประเพณีและวัฒนธรรมอนั ดีงามของสงั คม 5. วดั ผลสาเร็จได้ 6. เป็นท่ียอมรบั ของผูท้ เี่ ก่ียวข้อง สนใจส่ังชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
181 ในการกาหนดวิสยั ทศั น์น้นั จะตอ้ งศึกษาวิเคราะห์ถงึ จุดแข็ง จดุ ออ่ น โอกาส อุปสรรค ดังน้ี วเิ คราะห์ จุดแข็ง จดุ อ่อน โอกาส อุปสรรค (SWOT analysis) – จดุ แข็ง (Strength-S) – จุดออ่ น (Weakness-W) – โอกาส (Opportunity-O) – อปุ สรรค (Threat-T) จุดแข็ง หมายถึง ทรพั ยากรด้านตา่ งๆ ท่ีได้เปรียบหรือส่วนทเี่ ขม้ แขง็ ภายในองค์กร ทส่ี ามารถ ใช้ประโยชนเ์ พ่อื ผลักดนั ใหอ้ งค์การสามารถดาเนนิ งานบรรลุวัตถุประสงค์และภารกจิ ขององค์การ เชน่ ดา้ นโครงสร้าง ด้านระบบงาน ดา้ นบคุ ลากร ด้านงบประมาณ ดา้ นวสั ดอุ ุปกรณ์ ด้านกฎหมาย จดุ อ่อน หมายถงึ ข้อเสยี เปรยี บ ขอ้ ผดิ พลาดในองค์การทเ่ี ปน็ ข้อด้อยหรอื เป็นขอ้ จากัดตา่ งๆ ทส่ี ่งผลทาใหไ้ ม่บรรลุวตั ถุประสงค์และภารกิจขององคก์ าร เชน่ ด้านโครงสรา้ ง ด้านระบบงาน ดา้ น บคุ ลากร ดา้ นงบประมาณ ดา้ นวัสดุอุปกรณ์ ด้านกฎหมาย โอกาส หมายถึง สถานการณห์ รือปจ๎ จยั ที่เกดิ จากสภาพแวดลอ้ มทม่ี ลี กั ษณะเกอ้ื กูลต่อการ บรรลุวตั ถุประสงคแ์ ละภารกจิ ขององคก์ าร เช่น สภาพแวดลอ้ มภายนอกทว่ั ไป ได้แก่ ด้านเศรษฐกจิ ดา้ นสังคม ดา้ นการเมือง ดา้ นเทคโนโลยี เป็นตน้ สภาพแวดลอ้ มการดาเนินงานได้แก่ ดา้ นลกู ค้า ดา้ น สถานภาพการแข่งขัน ด้านผู้สนบั สนนุ ปจ๎ จัย ด้านแรงงาน ดา้ นสถานการณ์นานาชาติ เป็นต้น อุปสรรค หมายถึง สถานการณ์หรอื ป๎จจยั ที่เกดิ จากสภาพแวดลอ้ มภายนอกที่มลี กั ษณะเป็น อุปสรรคขัดขวาง หรือทาให้เกดิ ผลเสียหาย ผลกระทบในทางลบตอ่ การบรหิ ารงานขององค์การ เชน่ สภาพแวดล้อมภายนอกทวั่ ไป ไดแ้ ก่ ด้านเศรษฐกจิ ดา้ นสงั คม ดา้ นการเมอื ง ดา้ นเทคโนโลยี เป็นต้น สภาพแวดล้อมการดาเนนิ งาน ได้แก่ ดา้ นลกู ค้า ด้านสถานภาพการแข่งขัน ดา้ นผสู้ นบั สนุนป๎จจยั ด้าน แรงงาน ด้านสถานการณ์นานาชาติ เปน็ ตน้ การวเิ คราะห์จุดแข็ง (Strength-S) และจดุ อ่อน (Weakness-W) เป็นการการวิเคราะห์ปจ๎ จัย ภายใน ส่วนการวิเคราะห์โอกาส (Opportunity-O) และอุปสรรค (Threat-T) เปน็ การวเิ คราะหป์ ๎จจัย ภายนอก ขน้ั ตอนการจดั ทาแผนกลยุทธ์ ข้นั ท่ี 1 ขั้นตอนการวเิ คราะห์สภาพแวดล้อม ข้ันที่ 2 ขั้นตอนการกาหนดสถานภาพขององคก์ ร ขนั้ ที่ 3 ข้ันตอนการกาหนดวสิ ยั ทศั น์ ข้นั ที่ 4 ขั้นตอนการกาหนดภารกจิ ขนั้ ที่ 5 ขน้ั ตอนการกาหนดวัตถุประสงค์หลักขององคก์ ร ข้นั ท่ี 6 ขน้ั ตอนการกาหนดกลยทุ ธ์ ขน้ั ที่ 7 ขั้นการกาหนดเปาู หมายการดาเนนิ งาน สนใจส่งั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
182 ขน้ั ที่ 8 ข้นั การเปลี่ยนแผนกลยทุ ธไ์ ปส่กู ารปฏิบัติ ขัน้ ที่ 9 ขั้นการควบคมุ กลยทุ ธ์ **วงจรบริหารงานคณุ ภาพ PDCA PDCA คอื วงจรการบริหารงานคณุ ภาพ ยอ่ มาจาก 4 คา ไดแ้ ก่ Plan (วางแผน), Do (ปฏิบตั ิ), Check (ตรวจสอบ) และ Act (การดาเนินการให้เหมาะสม) ซ่ึงวงจร PDCA สามารถ ประยกุ ตใ์ ชไ้ ดก้ ับทุกๆ เรือ่ ง นับตง้ั แตก่ จิ กรรมสว่ นตวั เช่น การปรงุ อาหาร การเดนิ ทางไปทางานในแต่ ละวัน การตงั้ เปูาหมายชีวติ และการดาเนินงานในระดับบริษทั ซ่งึ รายละเอยี ดในแต่ละขน้ั ตอนมดี ังน้ี 1. P = Plan ( ขนั้ ตอนการวางแผน ) ข้ันตอนการวางแผนครอบคลมุ ถึงการกาหนดกรอบหวั ขอ้ ที่ตอ้ งการปรบั ปรงุ เปล่ียนแปลง ซึง่ รวมถึงการพัฒนาสงิ่ ใหม่ ๆ การแก้ป๎ญหาทเ่ี กดิ ขึ้นจากการปฏบิ ัติงาน ฯลฯ พรอ้ มกับ พจิ ารณาว่ามีความจาเป็นตอ้ งใช้ขอ้ มลู ใดบ้างเพือ่ การปรับปรุงเปลย่ี นแปลงนน้ั โดยระบุวิธีการเก็บข้อมูล และกาหนดทางเลอื กในการปรบั ปรงุ ให้ชัดเจน ซง่ึ การวางแผนจะชว่ ยใหก้ ิจการสามารถคาดการณส์ ิ่งที่ เกดิ ข้ึนในอนาคต และชว่ ยลดความสูญเสยี ตา่ ง ๆ ทอ่ี าจเกดิ ข้ึนได้ ทงั้ ในดา้ นแรงงาน วัตถดุ ิบ ชั่วโมงการ ทางาน เงิน และเวลา 2. D = Do ขน้ั ตอนการปฏบิ ัติ ( ขั้นตอนการปฏิบตั ิ ) ขัน้ ตอนการปฏบิ ตั ิ คอื การลงมือปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงตามทางเลอื กที่ไดก้ าหนดไว้ ในขน้ั ตอนการวางแผน ซ่ึงในขน้ั ตอนน้ตี อ้ งมกี ารตรวจสอบระหวา่ งการปฏิบัตดิ ว้ ยวา่ ไดด้ าเนินไปใน ทศิ ทางทีต่ ั้งใจหรอื ไม่ เพ่อื ทาการปรบั ปรงุ เปล่ยี นแปลงให้เป็นไปตามแผนการทีไ่ ดว้ างไว้ 3. C = Check ( ขน้ั ตอนการตรวจสอบ ) ขนั้ ตอนการตรวจสอบ คอื การประเมนิ ผลท่ไี ด้รับจากการปรับปรุงเปลีย่ นแปลง เพอื่ ใหท้ ราบวา่ ในขัน้ ตอนการปฏิบตั งิ านสามารถบรรลเุ ปาู หมายหรอื วัตถปุ ระสงค์ที่ไดก้ าหนดไวห้ รอื ไม่ แตส่ ิ่งสาคัญก็คือ ตอ้ งรู้ว่าจะตรวจสอบอะไรบา้ งและบอ่ ยครั้งแคไ่ หน เพือ่ ให้ข้อมูลทไี่ ด้จากการ ตรวจสอบเปน็ ประโยชนส์ าหรับข้นั ตอนถดั ไป 4. A = Action ข้นั ตอนการดาเนนิ งานใหเ้ หมาะสม ( ข้นั ตอนการดาเนินงานให้ เหมาะสม ) ขน้ั ตอนการดาเนนิ งานให้เหมาะสมจะพจิ ารณาผลทไ่ี ดจ้ ากการตรวจสอบ ซงึ่ มอี ยู่ 2 กรณี คือ ผลทีเ่ กิดขนึ้ เปน็ ไปตามแผนทว่ี างไว้ หรอื ไมเ่ ป็นไปตามแผนทว่ี างไว้ หากเปน็ กรณีแรก ก็ให้นา แนวทางหรอื กระบวนการปฏบิ ัตนิ ัน้ มาจดั ทาให้เป็นมาตรฐาน พร้อมทั้งหาวิธกี ารท่จี ะปรบั ปรงุ ให้ดี ย่ิงขน้ึ ไปอีก ซ่งึ อาจหมายถึงสามารถบรรลเุ ปาู หมายไดเ้ ร็วกวา่ เดมิ หรอื เสยี คา่ ใชจ้ า่ ยน้อยกวา่ เดมิ หรือ ทาใหค้ ณุ ภาพดยี ิ่งขึน้ ก็ไดแ้ ต่ถา้ หากเป็นกรณีทส่ี อง คอื ผลทีไ่ ดไ้ ม่บรรลวุ ัตถปุ ระสงคต์ ามแผนท่ีวางไว้ ควรนาขอ้ มูลที่รวบรวมไว้มาวิเคราะห์และพิจารณาวา่ ควรจะดาเนินการอย่างไร เช่น มองหาทางเลือก สนใจสั่งช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
183 ใหมท่ น่ี ่าจะเปน็ ไปได้ ใชค้ วามพยายามใหม้ ากขึ้นกวา่ เดมิ ขอความชว่ ยเหลอื จากผู้รู้ หรอื เปลยี่ น เปาู หมายใหม่ เปน็ ต้น ประโยชน์ของ PDCA 1. การวางแผนงานกอ่ นการปฏบิ ตั ิ จะทาใหเ้ กิดความพรอ้ มเม่ือได้ปฏบิ ตั ิงานจริงการ วางแผนงานควรวางให้ครบ 4 ขนั้ ดังนี้ 1) ขนั้ การศึกษา คอื การวางแผนศึกษาขอ้ มลู วธิ กี าร ความต้องการของตลาด ขอ้ มลู ด้านวตั ถดุ ิบ ดา้ นทรัพยากรท่มี ีอยหู่ รือเงินทุน 2) ขน้ั เตรียมงาน คือ การวางแผนการเตรียมงานด้านสถานท่ี การออกแบบ ผลติ ภัณฑ์ ความพรอ้ มของพนกั งาน อปุ กรณ์ เครอ่ื งจักร วตั ถุดิบ 3) ขัน้ ดาเนินงาน คอื การวางแนวทางการปฏิบตั งิ านของแตล่ ะสว่ นแต่ละฝาุ ย เช่น ฝุายผลิต ฝุายขาย 4) ขัน้ การประเมินผล คอื การวางแผนหรือเตรยี มการประเมนิ ผลงานอย่างเปน็ ระบบ เชน่ ประเมินจากยอดการจาหนา่ ย ประเมนิ จากการตชิ มของลูกค้า เพื่อให้ผลทไ่ี ด้จากการ ประเมนิ เกดิ การเทยี่ งตรง 2. การปฏบิ ัตติ ามแผนงาน ทาใหท้ ราบขนั้ ตอน วิธีการ และสามารถเตรยี มงานลว่ งหน้า หรือทราบอุปสรรคล่วงหนา้ ดว้ ย ดังนัน้ การปฏิบตั งิ านก็จะเกดิ ความราบร่ืน และเรยี นร้อย นาไปสู่ เปูาหมายทีไ่ ด้กาหนดไว้ 3. การตรวจสอบ ใหไ้ ด้ผลทีเ่ ท่ยี งตรงเชือ่ ถอื ได้ ประกอบด้วย 1) ตรวจสอบจากเปูาหมายทีไ่ ด้กาหนดไว้ 2) มีเครือ่ งมือทเี่ ชอ่ื ถอื ได้ 3) มีเกณฑก์ ารตรวจสอบทีช่ ัดเจน 4) มกี าหนดเวลาการตรวจทแ่ี นน่ อน 5) บุคลากรทที่ าการตรวจสอบตอ้ งไดร้ บั การยอมรบั จากทุกหนว่ ยงานที่เกย่ี วขอ้ ง เมอ่ื การตรวจสอบได้รับการยอมรับ การปฏิบัติงานขั้นตอ่ ไปก็ดาเนนิ งานตอ่ ไปได้ 4. การปรับปรุงแกไ้ ข ขอ้ บกพรอ่ งทเี่ กิดข้นึ ไม่ว่าจะเปน็ ขัน้ ตอนใดก็ตาม เมื่อมกี าร ปรับปรงุ แก้ไขคุณภาพกจ็ ะ เกิดข้นึ ดงั นน้ั วงจร PDAC จงึ เรียกว่า วงจรบริหารงานคุณภาพ **หลักประสิทธภิ าพและหลักประสิทธิผล ในการทางานใดกแ็ ลว้ แตม่ ักมกี ารกาหนดวตั ถุประสงค์ หรอื เปาู หมายวา่ เพ่ือใหเ้ กิด ประสทิ ธภิ าพและประสิทธผิ ล แตย่ ังมีหลายคนสบั สนกบั คาวา่ ประสทิ ธภิ าพ และประสิทธิผล แตกต่าง กนั อย่างไร การทางานทปี่ ระสบผลสาเร็จวัดได้จากประสิทธิภาพหรอื ประสทิ ธผิ ล เปน็ ขอ้ สงสัยทไี่ ด้ ยนิ มาเสมอ ๆ ความแตกต่างระหว่างประสิทธิภาพและประสิทธผิ ลเพือ่ ความเขา้ ใจ จงึ พอสรุปได้วา่ สนใจสง่ั ชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
184 ประสิทธภิ าพ(Efficiency ) หมายถึง กระบวนการดาเนินงานทีม่ ีลักษณะดงั นี้ 1. ประหยัด (Economy) ได้แก่ ประหยัดต้นทุน(Cost) ประหยดั ทรัพยากร (Resources) และประหยัดเวลา (Time) 2. เสรจ็ ทนั ตามกาหนดเวลา (Speed) 3. คณุ ภาพ (Quality) โดยพิจารณาทงั้ กระบวนการตัง้ แตป่ จ๎ จัยนาเข้า (Input) หรือ วัตถดุ ิบ มกี ารคดั สรรอย่างดมี ีกระบวนการดาเนนิ งาน กระบวนการผลิต(Process)ทีด่ ี และมีผลผลิต (Output) ทดี่ ี ดังน้นั การมปี ระสทิ ธิภาพจงึ ต้องพจิ ารณากระบวนการดาเนนิ งานวา่ ประหยดั รวดเร็ว มี คุณภาพของงานซึ่งเป็นกระบวนการดาเนินงานท้ังหมด ประสทิ ธิผล (Effective ) หมายถงึ ผลสาเร็จของงานที่เปน็ ไปตามความมงุ่ หวงั (Purpose) ท่ี กาหนดไว้ในวตั ถุประสงค์ (Objective) หรอื เปาู หมาย (Goal) และเปาู หมายเฉพาะ (Target) ซงึ่ ประกอบด้วย 1. เปูาหมายเชิงปรมิ าณ จะกาหนดชนิดประเภทและจานวนของผลผลิต สุดทา้ ย ตอ้ งการทไ่ี ดร้ บั เมอ่ื การดาเนนิ งานเสร็จสน้ิ ลง 2. เปาู หมายเชงิ คณุ ภาพ จะแสดงถึงคุณคา่ ของผลผลิตทไ่ี ดร้ บั จากการดาเนนิ งานน้นั ๆ 3. ม่งุ เนน้ ทีจ่ ดุ สน้ิ สดุ ของกิจกรรมหรอื การดาเนนิ งานว่าไดผ้ ลตามท่ตี ัง้ ไวห้ รือไม่ 4. มตี วั ชี้วดั (Indicator) ท่ชี ัดเจน ตวั อย่าง การแก้ปญ๎ หายาเสพติดในสังคมไทย หากคิดอย่างเน้นประสิทธิภาพ (Efficiency) ก็จะดไู ดจ้ าก การไล่ลา่ จับยาเสพตดิ ซ่งึ นับเปน็ จานวนเม็ดหรือมูลคา่ ซอ้ื ขายในตลาดได้ หรือ การรับรกั ษาพยาบาลผ้ปู ุวย หากรับไดม้ าก เพิ่มข้ึน กวา่ ทผ่ี า่ นมา สว่ นหน่ึงก็ถอื ว่ารัฐบาลได้ดาเนินการอย่างมปี ระสิทธภิ าพ หากคิดอยา่ งเน้นประสทิ ธิผล (Effectiveness) จะไม่ดูเพยี งการปราบหรอื ปรามยาเสพติด ในประเทศ แตอ่ าจเนน้ การตัดเส้นทางยาเสพติดในเสน้ ทางสากล(International route) ด้วย หากจะ ดูแลผ้ปู ุวย คดิ อยา่ งเนน้ ประสทิ ธิผล ก็ยงั ถอื ว่าเปน็ การตั้งรบั ต้องเนน้ ไปที่การปูองกนั (Preventive measures) ตัดโอกาสทเ่ี ยาวชนจะเสี่ยงทีจ่ ะไปเสพยา การตอ้ งส่งเสรมิ กิจกรรมไปจนถงึ ในครอบครัว ให้ มีภูมติ า้ นทาน ประสทิ ธิผล ตอ้ งทาใหเ้ กิดผลจรงิ และเป็นผลในท้งั ระยะส้ันและยาว ทาใหส้ ังคมไทย ปลอดยาเสพติด สนใจสง่ั ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
185 ประสิทธภิ าพ และประสทิ ธผิ ล มีความหมายแตกต่างกนั สบื เน่อื งมาจากบันทึกครงั้ ทแี่ ลว้ ที่ได้นาเสนอความแตกต่างของคาว่า ผลผลติ ผลกระทบ และผลลพั ธ์ และวนั นก้ี ม็ คี าศัพทท์ เี่ ก่ียวกับการประเมนิ อกี 2 คา คือ ประสิทธผิ ล (effectiveness) และ ประสิทธภิ าพ (efficiency)ท่มี ักมีการใช้กนั บ่อย แตอ่ าจจะไม่ชดั เจนวา่ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร โดย 2 คาน้ี จะใช้สาหรับพิจารณาความสาเร็จของงาน โครงการ หรือกจิ กรรม ประสิทธิผล (effectiveness) หมายถึง การบรรลุตามวัตถุประสงคห์ รอื เปูาหมายที่พึง ปรารถนาหรือเป็นไปตามทค่ี าดหวังไว้ พูดง่ายๆ ชัดๆ กค็ ือ ประสิทธผิ ล พจิ ารณาจากการนาผลของงาน โครงการ หรอื กิจกรรม ที่ไดร้ บั เปรยี บเทียบกับวัตถปุ ระสงค์ หรอื เปาู หมาย ประสิทธิภาพ (efficiency) หมายถงึ ผลสาเร็จท่พี ิจารณาในแงข่ องเศรษฐศาสตร์ ท่ีมตี ัว บ่งช้ี ได้แก่ ความประหยัด หรือคมุ้ คา่ (ประหยัดตน้ ทนุ ประหยดั ทรัพยากร ประหยัดเวลา) ความ ทนั เวลา และ มีคณุ ภาพ (ทงั้ กระบวนการ ได้แก่ Input Process และ Output) การพจิ ารณาประสทิ ธภิ าพนนั้ จะกระทาหลงั จากพจิ ารณาประสิทธผิ ล นนั่ คือ ประสิทธิภาพ ของงาน โครงการ หรือกจิ กรรมเกิดภายหลังประสิทธิผล ดังน้นั หากงาน โครงการ หรือกิจกรรมไมม่ ี ประสทิ ธิผลแลว้ ประสิทธภิ าพกค็ งไม่เกดิ การทางานท่ีประสบผลสาเรจ็ จะต้องมที ง้ั ประสิทธิผลและมี ประสทิ ธิภาพ **หลกั ธรรมาภิบาล (GOOD GOVERNANCE) 6 ประการ 1. หลกั นิติธรรม คอื การตรากฎหมาย กฎ ระเบียบขอ้ บงั คับและกติกาต่าง ๆ ใหท้ นั สมัยและ เป็นธรรม ตลอดจนเป็นท่ยี อมรบั ของสงั คมและสมาชิก โดยมกี ารยินยอมพรอมใจและถอื ปฏิบัติร่วมกนั อยา่ ง เสมอภาคและเปน็ ธรรม 2. หลกั คณุ ธรรม คือ การยึดถือและเช่อื มัน่ ในความถูกตอ้ งดงี าม โดยการรณรงค์เพ่อื สรา้ ง คานยิ มทด่ี ีงามให้ผปู้ ฏบิ ัตงิ านในองคก์ ารหรอื สมาชกิ ของสังคมถอื ปฏิบัติไดแก ความซื่อสัตยส์ ุจรติ ความ เสียสละ ความอดทนขยนั หมนั่ เพยี ร ความมีระเบียบวินัย เป็นต้น 3. หลกั ความโปรง่ ใส คือ การทาให้สงั คมไทยเป็นสังคมที่เปดิ เผยขอ้ มลู ข้าวสารอยา่ งตรงไป สนใจสง่ั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
186 ตรงมา และสามารถตรวจสอบความถกู ตอ้ งไดโดยการปรบั ปรงุ ระบบและกลไกการทางานขององค์การ ให้มคี วามโปรง่ ใส มกี ารเปิดเผยขอ้ มูลข่าวสารหรือเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถงึ ข้อมูลข่าวสารได สะดวก ตลอดจนมีระบบหรือกระบวนการตรวจสอบและประเมินผลทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ ซง่ึ จะเป็นการ สรา้ งความไววางใจซึ่งกนั และกนั และช่วยใหก้ ารทางานของภาครัฐและภาคเอกชนปลอดจากการทจุ รติ คอรัปชนั่ 4. หลกั ความมสี ว่ นรว่ ม คอื การทาให้สังคมไทยเปน็ สงั คมทีป่ ระชาชนมสี ว่ นร่วมรับรูและร่วม เสนอความเห็นในการตัดสนิ ใจสาคัญ ๆ ของสังคม โดยเปดิ โอกาสให้ประชาชนมีชอ่ งทางในการเขมามี สว่ นร่วมไดแก การแจ้งความเห็น การไตสวนสาธารณะ การประชาพจิ ารณ์ การแสดงประชามติหรอื อนื่ ๆ และขจัดการผูกขาดทงั้ โดยภาครฐั หรือโดยภาคธุรกจิ เอกชน ซง่ึ จะช่วยให้เกดิ ความสามัคคีและความ รว่ มมือกันระหว่างภาครฐั และภาคธุรกิจเอกชน 5. หลักความรบั ผดิ ชอบ คือ ผู้บริหาร พนกั งานและลกู จ้างต้องตั้งใจปฏิบัติภารกิจตามหน้าท่ี อยา่ งดียง่ิ โดยมุ่งใหบ้ ริการแกผมู้ ารับบรกิ าร เพ่ืออานวยความสะดวกตา่ ง ๆ มีความรับผิดชอบตอ่ ความ บกพรอ่ งในหนา้ ทีก่ ารงานทีต่ นรบั ผดิ ชอบอยู่ และพรอมทีจ่ ะปรับปรงุ แกไขไดทันท่วงที 6. หลักความคุ้มค่า คือ ผู้บริหารพนกั งานและลกู จ้างต้องตระหนักวา่ มีทรพั ยากรคอ่ นข้าง จากัด ดงั น้นั ในการบรหิ ารจดั การยึดหลกั ความประหยัดและความคุม้ ค่า สนใจสั่งชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
187 แนวข้อสอบการจดั การศึกษา 1. ขอ้ ใดไมเ่ กีย่ วข้องกับความหมายของ “การจดั การศกึ ษา” ตามพระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และท่แี กไ้ ขเพิม่ เติม ก. กระบวนการเรยี นรเู้ พือ่ ความเจริญงอกงามของบุคคลและสงั คม ข. การถ่ายทอดความรู้ การฝกึ การอบรม การสืบสานทางวฒั นธรรม ค. การได้รบั ความรู้ พฤติกรรม ทกั ษะ ทแ่ี ปลกใหม่ หรอื การได้รับสิ่งใหมๆ่ ง. การสร้างองค์ความรอู้ ันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม และการเรียนรู้ 2. “การศกึ ษาตลอดชีวิต” หมายถงึ ข้อใด ก. การศกึ ษาตั้งแต่กอ่ นประถมศกึ ษาจนถงึ การศกึ ษาระดับอดุ มศึกษา ข. การศึกษาตัง้ แต่แรกเกดิ จนถงึ การศึกษาระดับอุดมศึกษา ค. การศึกษาทีผ่ สมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศยั ง. การศึกษาที่ผสมผสานระหว่างการศกึ ษาปฐมวยั การศกึ ษาภาคบงั คับ และการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน 3. การจัดการศึกษาตอ้ งเปน็ ไปเพ่ือพัฒนาคนไทยใหเ้ ปน็ มนุษยท์ ีส่ มบูรณ์ หมายถึงข้อใด ก. ความมงุ่ หมายและหลกั การจดั การศึกษา ข. สิทธิและหน้าท่ีทางการศกึ ษา ค. ระบบการศึกษา ง. แนวการจดั การศกึ ษา 4. ข้อใดไม่ใช่ “หลกั การจัดการศึกษา” ตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ี แก้ไขเพมิ่ เติม ก. ให้สงั คมมีส่วนร่วมในการจดั การศึกษา ข. เปน็ การศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน ค. พัฒนาสาระและกระบวนการเรยี นร้ใู ห้เปน็ ไปอย่างตอ่ เนือ่ ง ง. ระดมทรพั ยากรจากแหล่งตา่ ง ๆ มาใช้ในการจดั การศกึ ษา 5. การจัดระบบโครงสรา้ งและกระบวนการจดั การศึกษา ยดึ หลกั ตามขอ้ ใด ก. มเี อกภาพด้านนโยบายและมคี วามหลากหลายในการปฏบิ ัติ ข. มกี ารกระจายอานาจอานาจไปสาเขตพื้นทีก่ ารศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองสว่ น ทอ้ งถิ่น ค. มีการกาหนดมาตรฐานการศกึ ษาและจัดระบบประกันคณุ ภาพการศึกษาทุกระดับและประเภท การศึกษา ง. ถกู ทุกขอ้ สนใจส่ังชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
188 6. ข้อใดกลา่ วถึงการจัดการศกึ ษาสาหรบั คนพกิ ารได้ถกู ต้อง ก. จดั ใหม้ สี ทิ ธิและโอกาสเทา่ กับคนปกติ ข. จดั ตง้ั แต่แรกเกิดหรอื พบความพกิ าร โดยไม่เสียคา่ ใชจ้ ่าย ค. จัดดว้ ยรปู แบบทเ่ี หมาะสม โดยคานงึ ถงึ ความสามารถของบคุ คล ง. มีสทิ ธิได้รบั ส่งิ อานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลอื ทุกประการ 7. ขอ้ ใดคือความหมายของ “การศึกษา” ตาม พระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และท่ี แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ ก. กระบวนการถ่ายทอดความรู้เพือ่ ความเจริญงอกงามของบคุ คลและสงั คม ข. กระบวนการเรียนรเู้ พื่อการพัฒนาความเจรญิ งอกงามของบุคคลและสงั คม ค. กระบวนการเรียนรเู้ พ่ือความเจรญิ งอกงามของบคุ คลและสังคม ง. กระบวนการสืบทอดความรู้ ประสบการณ์ เพอ่ื การพัฒนาบคุ คลและสังคม 8. การศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกาหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วธิ กี ารจัดการศกึ ษา ระยะเวลาของ การศกึ ษา การวัดและประเมนิ ผล เปน็ เงอ่ื นไขสาคญั ของการสาเร็จการศึกษา โดยเนอ้ื หาและ หลกั สตู รจะต้องมีความเหมาะสมสอดคลอ้ งกับสภาพปญั หาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลมุ่ หมายถึงการจดั การศึกษารูปแบบใด ก. การศึกษาในระบบ ข. การศึกษานอกระบบ ค. การศกึ ษาตามอธั ยาศยั ง. การศกึ ษาตลอดชีวติ 9. การศึกษาทมี่ ีจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสตู ร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมนิ ผล เป็นเงือ่ นไขของการสาเร็จการศกึ ษาทแ่ี น่นอน หมายถงึ ข้อใด ก. การศกึ ษาในระบบ ข. การศึกษานอกระบบ ค. การศกึ ษาตามอัธยาศยั ง. การศึกษาตลอดชวี ติ 10. การศกึ ษาท่เี กิดข้นึ ตามวิถีชีวิต เปน็ การเรียนรู้จากประสบการณก์ ารทางาน บคุ คล ครอบครวั สอ่ื ชุมชน แหลง่ ความรู้ตา่ ง ๆ หมายถึง การจัดการศึกษารูปแบบ ก. การศกึ ษาในระบบ ข. การศกึ ษานอกระบบ ค. การศึกษาตามอัธยาศัย ง. การศึกษาตลอดชีวติ 11. นายยอดชาย มีนสิ ยั แสวงหาความรู้เพ่ิมเติมตลอดเวลาทุกรปู แบบ ทั้งการประชมุ สมั มนา ทศั น ศึกษาทง้ั ในประเทศ หรอื ต่างประเทศ ใช้อุปกรณ์การเรยี นทุกประเภท นับตัง้ แตอ่ ุปกรณ์สื่อสาร ดาวเทียม คอมพวิ เตอร์ วิทยุ โทรทัศน์ สอดคล้องกับขอ้ ใด ก. การศกึ ษาในระบบ ข. การศึกษานอกระบบ ค. การศกึ ษาตามอธั ยาศยั ง. การศกึ ษาตลอดชวี ิต สนใจสง่ั ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
189 12. การจัดการศึกษา ต้องเน้นความสาคญั เร่ืองใด ก. ความรู้ความสามารถ ข. ความรู้ คณุ ธรรม ค. ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ง. เน้นการจัดการเรียนรูใ้ นศตวรรษท่ี 21 13. ข้อใดไม่ใชร่ ปู แบบการจดั กจิ กรรมการศึกษาตลอดชีวิต ก. การศกึ ษาข้นั พื้นฐาน ข. การศึกษาด้านอาชีพ ค. การศึกษาอุดมศกึ ษา ง. การศึกษาตามอัธยาศัย 14. ขอ้ ใดไมใ่ ชห่ ลักการจัดการศกึ ษาตามอธั ยาศัย ก. จัดกรอบหรือแนวทางการเรียนรทู้ เี่ ป็นประโยชนต์ อ่ ผเู้ รียน ข. การเข้าถงึ แหล่งการเรยี นร้ทู ส่ี อดคลอ้ งกับความสนใจและวิถีชวี ติ ค. การพัฒนาแหลง่ การเรียนรใู้ หม้ ีความหลากหลายทัง้ สว่ นท่ีเป็นภมู ปิ ญ๎ ญาทอ้ งถ่นิ ง. ความเสมอภาคในการเข้าถึงและไดร้ ับการศกึ ษาอย่างกว้างขวาง เปน็ ธรรมและมีคุณภาพ เหมาะสมกบั สภาพชวี ิตของประชาชน 15. เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการวางแผนการจัดการศึกษาสาหรับ ผู้เรียนกลมุ่ เปูาหมายเฉพาะของรปู แบบ การบรู ณาการการเรยี นรแู้ บบเรยี นรวมในระดับการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน คือข้อใด ก. แผนการใหบ้ รกิ ารเฉพาะครอบครวั ข. แผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบคุ คล ค. แผนการให้บริการเฉพาะบุคคล ง. แผนการชว่ ยเหลือระยะแรกเรมิ่ 16. การเหน็ คุณคา่ การรับรู้การตอบสนอง และการสร้างคณุ ค่าในเรือ่ งทต่ี นรบั รู้นั้น แล้วนาเอาสิง่ ท่ี มีคุณค่านน้ั มาจัดระบบและสร้างเปน็ ลกั ษณะนิสัย เปน็ จดุ ประสงค์ทางการศกึ ษาดา้ นใด ก. ดา้ นพุทธิพิสัย ข. ด้านจิตพสิ ยั ค. ด้านทักษะพสิ ัย ง. ด้านพฤตกิ รรม 17. ขอ้ ใดบ่งถึงพฤติกรรมดา้ นทกั ษะพิสยั ก. การเห็นคุณค่า ข. การเลียนแบบ ค. การคดิ วิเคราะห์ ง. การสงั เคราะหแ์ ละประเมินค่า 18. ขอ้ ใดถือวา่ เป็นสิ่งสาคญั ท่สี ดุ ของการเรียนรู้ ก. นายปกครอง สามารถอ่านออกและเขยี นไดเ้ มื่อจบระดับประถมศึกษา ข. นายแดง มกี ารเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมอันเน่อื งจากการเรียนการสอน ค. นายเขียว สามารถมีความเขา้ ใจในการเปาุ ขลยุ่ เพราะจาโน้ตเพลงชาติได้ ง. กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเน่ืองจากประสบการณ์ 19. ข้อใดเปน็ กระบวนการเรยี นรู้ตามแนวคิดของกาเย่ ข้ันตอนแรก ก. บอกวตั ถุประสงค์ ข. เรง่ เรา้ ความสนใจ ค. ให้ข้อมูลย้อนกลับ ง. กระตนุ้ การตอบสนองบทเรียน สนใจสง่ั ชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
190 20. ขัน้ ตอนใดต่อไปน้ใี นกระบวนการเรยี นร้ตู ามแนวคดิ ของบลมู ทีเ่ กดิ ขึ้นยากทสี่ ดุ ก. ความรู้ ข. ความเข้าใจ ค. การสงั เคราะห์ ง. การประเมนิ ผล 21. ขอ้ ใดตอ่ ไปนจี้ ัดเป็นพฤติกรรมในการรับรู้ ก. นายจันทร์ ตื่นเขา้ ลมื ตา ข. นายอาทิพย์ กาลงั จะเง่ียหูฟ๎ง ห้องข้างๆทกี่ าลงั คยุ กัน ค. นางสาวแนนซี่ เห็นคนเดนิ มา ง. นายองั คาร เดินไปเดินมาอยใู่ นบา้ น 22. ขั้นเตรยี มการออกแบบการจดั การเรียนรู้ ตามหลักสูตรฯ 51 ข้อใดมีความสาคญั น้อยกว่าขอ้ อ่นื ก. ศึกษาแหล่งเรียนรู้ ข. ศกึ ษาหลักสูตรสถานศึกษา ค. ศกึ ษามาตรฐานการเรยี นรู้ ง. ศึกษาสมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน 23. ในการต้ังสมมตฐิ านของวิธกี ารทางวิทยาศาสตรส์ อดคล้องกบั ขอ้ ใดในอรยิ สัจ 4 ก. ทุกข์ ข. สมทุ ยั ค. นิโรจน์ ง. มรรค 24. ผทู้ ีค่ ิดคน้ และใหค้ วามสาคัญเนน้ ในวธิ ีสอนแบบแกป้ ัญหาคือใคร ก. จอหน์ ดิวอี้ ข. สกนิ เนอร์ ค. รสุ โซ ง. ธอร์นไดค์ 25. วิธีการสอนแบบใดที่สามารถยน่ ยอ่ ทั้งเวลา ขนาดของชน้ั งาน และลกั ษณะ ก. วธิ สี อนแบบหนว่ ย ข. วิธีสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ ค. วิธีสอนแบบจุลภาค ง. วิธีการสอนแบบวทิ ยาศาสตร์ 26. การแสดงความคดิ ทิศทางท่ีเป็นกลาง เปน็ ลักษณะสาคัญของหมวกสใี ด ก. สีขาว ข. สแี ดง ค. สีดา ง. สีเหลอื ง 27. การแสดงถงึ ความเจรญิ เติบโต สมบรู ณ์ เปน็ ลักษณะสาคญั ของหมวกสใี ด ก. สีขาว ข. สีแดง ค. สเี ขยี ว ง. สีฟูา 28. “การจัดการศกึ ษาที่เน้นผู้เรียนเปน็ สาคญั ” ในพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพิม่ เติม เก่ยี วข้องกบั เรื่องใด ก. แนวการจัดการศกึ ษา ข. สทิ ธิและหน้าที่ทางการศึกษา ค. ระบบการศกึ ษา ง. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ สนใจสั่งช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
191 29. การจัดการศกึ ษาต้องเน้นความสาคญั ทง้ั ความรู้ คณุ ธรรม กระบวนการเรยี นรแู้ ละบูรณาการ ตามความเหมาะสมในแตล่ ะเรอื่ ง จากข้อความดงั กล่าวเรื่องใดมคี วามสาคญั ทส่ี ุด ก. ความรู้เร่ืองเก่ียวกับตนเองและความสมั พันธ์ของตนเองกบั สังคม ข. ความรแู้ ละทักษะดา้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ค. ความรู้และทกั ษะในการประกอบอาชีพและการดารงชวี ิต ง. ความรู้และทกั ษะดา้ นคณิตศาสตร์และด้านภาษา 30. ข้อใดคือความหมายของการจัดการเรียนรทู้ เี่ น้นผเู้ รียนเปน็ สาคญั ตามกฎหมายทบ่ี ญั ญตั ไิ ว้ ก. ผ้เู รยี นสามารถเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองได้ ข. สง่ เสริมการพัฒนาตามธรรมชาติ ค. ส่งเสรมิ การพัฒนาอย่างเต็มศกั ยภาพ ง. ถูกทกุ ขอ้ 31. ขอ้ ใดไมใ่ ชจ่ ุดเนน้ ของการจดั การเรยี นรู้ทเ่ี น้นผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ ก. ผู้เรียนเรียนรจู้ ากประสบการณ์ของตนเอง ข. ผูเ้ รียนเรียนรแู้ บบมีสว่ นร่วม ค. ผเู้ รียนสร้างองคค์ วามรู้ด้วยตนเอง ง. ผู้สอนมบี ทบาทสาคัญทางการเรียนรู้ 32. จุดมงุ่ หมายของการเรยี นรแู้ ต่ละบทเรียน สงิ่ ทผี่ เู้ รียนจะได้รับหลังจากบทเรยี นคือ ก. แนวคิดรวบยอด ข. ทกั ษะและความสามารถ ค. เนื้อหาของบทเรียน ง. เทคโนโลยี 33. ขอ้ ใด คอื การศึกษาเปน็ รายบคุ คล ก. Case Study ข. Person Study ค. Individual Study ง. Education Study 34. ข้อใด คือ ICT ก. Information Computer Technology ข. Information and Computer Technology ค. Information Communication Technology ง. Information and Communication Technology 35. ข้อใด คือ Constructivism ก. ทฤษฎีการสร้างความรู้ ข. ทฤษฎกี ารสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ค. ทฤษฎีการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง ง. ทฤษฎีการจดั การเรียนรูด้ ้วยตนเอง 36. ขอ้ ใดคือจุดมุ่งหมายของ การประเมินการเรียนรูท้ ีเ่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ ก. การตดั สินคุณค่าของสาระการเรียนรู้ ข. การตัดสินพัฒนาการด้านความรู้ ค. การตัดสินทกั ษะคณุ ธรรมของผเู้ รียน ง. ถูกทกุ ขอ้ 37. Performance Assessment คือขอ้ ใด ก. การประเมินภาคปฏบิ ตั ิ ข. การประเมนิ กอ่ นเรียนรู้ ค. การประเมินผลงาน ง. การประเมนิ เพอื่ ตัดสนิ ผลการเรียนรู้ สนใจส่งั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
192 38. Portfolio Assessment คือขอ้ ใด ก. การประเมินภาคปฏบิ ตั ิ ข. การประเมนิ ก่อนเรยี นรู้ ค. การประเมินผลงาน ง. การประเมินเพื่อตดั สนิ ผลการเรียนรู้ 39. แนวคิดทเ่ี ป็นการสร้างสรรคส์ ่ิงใหม่ หรือทฤษฎใี หม่ คอื ก. Innovation ข. Synthesis ค. Extension ง. Duplication 40. การลอกเลียนจากความสาเร็จอ่ืนๆ คอื ก. Innovation ข. Synthesis ค. Extension ง. Duplication 41. การประเมนิ ผลการเรยี นทเ่ี นน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคัญ เนน้ อะไร ก. เนอ้ื หา ข. ผลสัมฤทธิ์ ค. ผลงานและกระบวนการ ง. สตปิ ญ๎ ญา 42. บทบาทของครใู นการจัดการเรียนการสอนทีเ่ น้นผ้เู รยี นเปน็ สาคญั ตรงกับขอ้ ใด ก. Supporter ข. Helper and Advisor ค. supporter and Encourager ง. ถูกทุกขอ้ 43. การประเมนิ ในขอ้ ใดสาคญั ที่สดุ ก. การแก้ไขพฒั นาผูเ้ รยี น ข. การพัฒนาระบบการใหร้ ะดับคะแนน ค. การพัฒนาและปรบั ปรงุ หลักสูตร ง. การตดั สนิ ให้ผ่านและไมผ่ า่ น ในการสอบปลายภาค 44. ข้อใดเกย่ี วข้องกบั ทฤษฏกี ารเรยี นรู้ของพาฟลอฟ (Pavlov) ก. Readiness ข. Exercise ค. Effect ง. Conditioning 45. ขอ้ ใดคือขน้ั ตอนสดุ ท้ายของการจดั ทาหลักสูตรสถานศกึ ษา ก. การจดั ทาสาระของหลกั สูตร ข. การจดั หนว่ ยการเรยี นรู้ ค. การจดั ทาแผนจัดการเรยี นรู้ ง. การกาหนดอตั ราเวลาเรยี น 46. คากล่าวทวี่ ่า “ทาแบบฝึกหดั มากๆ จะเกิดการเรยี นร”ู้ ตรงกับทฤษฎีของใคร ก. เลวนี ข. ฟรอยด์ ค. สกินเนอร์ ง. ธอรน์ ไดค์ 47. บทบาทของครใู นการจดั การเรียนรตู้ ามหลกั สูตรการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน ก. ผู้สอน ข. ผู้ชนี้ า ค. ผถู้ ่ายทอดความรู้ ง. ผู้ส่งเสรมิ ช่วยเหลือ สนใจสั่งช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
193 48. การเสริมแรง สอดคลอ้ งกบั ทฤษฎีการเรียนรขู้ องใคร ก. เลวีน ข. ฟรอยด์ ค. สกินเนอร์ ง. ธอรน์ ไดค์ 49. ความสามารถในการนากระบวนการตา่ ง ๆ ไปใช้ในการดาเนนิ ชีวิตประจาวัน การเรยี นรูด้ ว้ ย ตนเอง การเรียนรู้อยา่ งต่อเนอื่ ง การทางาน และการอยูร่ ว่ มกนั ในสังคมดว้ ยการสรา้ งเสริม ความสมั พนั ธ์อันดีระหว่าง บุคคล การจัดการปญั หาและความขดั แย้งต่าง ๆ อยา่ งเหมาะสม สอดคล้องกบั ข้อใด ก. การสอื่ สาร ข. การมวี จิ ารณญาณ ค. การแก้ปญ๎ หา ง. ทกั ษะชวี ิต 50. การนาผลการเรียน ความรู้ และประสบการณ์ท่ไี ด้ จากการศกึ ษาตามอัธยาศัย และนอกระบบที่ ไมแ่ บ่งระดับมาประเมิน ตรงกบั ข้อใด ก. การเทยี บโอนผลการเรียน ข. การเทียบระดับการศึกษา ค. การสอบเทียบโอน ง. การโอนหนว่ ยกติ 51. ขอ้ ใดคือ การศึกษาตลอดชวี ิต ก. Lifelong Education ข. Lifelong Learning ค. Non-Formal Education) ง. InFormal Education 52. ข้อใดไมใ่ ช่ “สี่เสาหลักทางการศกึ ษา” การศกึ ษาตลอดชีวิต ก. การเรียนเพอื่ รู้ ข. การเรียนรู้เพือ่ ปฏบิ ัตไิ ดจ้ ริง ค. การเรยี นรเู้ พื่อแขง่ ขนั ง. การเรยี นรู้เพือ่ ชีวติ 53. การเปล่ียนแปลงในการตอบสนองหรือพฤตกิ รรม ซ่งึ เกิดขึน้ ท้ังหมด หรือบางส่วน จาก ประสบการณ์ ทง้ั โดยตงั้ ใจ และไม่ตงั้ ใจ จากเกดิ จนตาย คือความหมายขอ้ ใด ก. การเรยี นรู้ตลอดชีวติ ข. การศกึ ษาตลอดชวี ิต ค. การศกึ ษาในระบบ ง. การศกึ ษาเพอื่ ปวงชน 54. เดก็ เรียนรู้เก่ยี วกับภาษาและคาศพั ท์ต่างๆ จากโทรทศั น์ พ่อแม่ การอ่าน อนิ เทอร์เน็ต เป็น การศกึ ษารปู แบบใด ก. การศกึ ษาในระบบ ข. การศึกษานอกระบบ ค. การศกึ ษาตามอธั ยาศัย ง. การศึกษาตลอดชีวิต 55. การศึกษาทเี่ กิดขึน้ ตามวิถชี วี ิตทผี่ เู้ รียนเรียนรูด้ ้วยตนเองตามความสนใจ ศกั ยภาพ ความพรอ้ ม และโอกาส โดยศกึ ษาจากประสบการณก์ ารทางาน บุคคล ครอบครัว สอ่ื มวลชน ชุมชน แหล่ง ความรู้ตา่ งๆ อนิ เตอร์เน็ต เปน็ การศกึ ษารปู แบบใด ก. การศึกษาในระบบ ข. การศกึ ษานอกระบบ ค. การศกึ ษาตามอัธยาศัย ง. การศึกษาตลอดชีวิต สนใจสง่ั ชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
194 56. การจดั การศึกษาโดยครอบครัวหรือโฮมสคูล (Home School) จดั โดยผู้ปกครอง เปน็ การจดั การศกึ ษารูปแบบใด ก. การศกึ ษาทางไกล ข. การศกึ ษาทางเลอื ก ค. การศกึ ษาชมุ ชน ง. การศกึ ษาในระบบ 57. ปรชั ญาท่ีเน้นแนวความคดิ ในเร่อื งการเรยี นรอู้ ยา่ งต่อเนอื่ งตลอดชวี ิต คอื ขอ้ ใด ก. ปรัชญามนษุ ยนิยม (Humanism) ข. ปรัชญาพิพัฒนาการนยิ ม (Progressivism) ค. ปรัชญาอตั ถภิ าวนยิ ม (Existentialism) ง. ปรชั ญาการศึกษาในกลุ่มปฏริ ูปกา้ วหน้า (Radicalism) 58. ปรัชญาที่เนน้ ความเคารพในเสรีภาพส่วนบคุ คล การยอมรบั ผลของการกระทาและการตัดสนิ ใจ คอื ข้อใด ก. ปรัชญามนษุ ยนิยม (Humanism) ข. ปรชั ญาพพิ ฒั นาการนิยม (Progressivism) ค. ปรัชญาอัตถิภาวนยิ ม (Existentialism) ง. ปรัชญาการศกึ ษาในกลมุ่ ปฏิรูปก้าวหน้า (Radicalism) 59. ขอ้ ใดคือปรชั ญามนษุ ยนิยม ก. Humanism ข. Progressivism ค. Existentialism ง. Radicalism 60. ขอ้ ใดคือปรชั ญาอตั ถิภาวนิยม ก. Humanism ข. Progressivism ค. Existentialism ง. Radicalism 61. ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ งเกี่ยวกับหลักการสอน ก. สอนจากรปู ธรรมไปหานามธรรม ข. สอนจากง่ายไปหายาก ค. สอนจากทฤษฎไี ปหาตวั อยา่ ง ง. สอนจากสิ่งใกล้ตัวไปหาสิง่ ไกลตัว 62. วธิ กี ารสอนโดยการแกป้ ัญหา ข้ันตอนแรก ตรงกับข้อใด ก. ต้งั สมมตฐิ าน ข. กาหนดขอบเขตของป๎ญหา ค. ทดลองและแก้ป๎ญหา ง. วิเคราะหข์ อ้ มูล 63. วธิ ีการสอนแบบอรยิ สัจ 4 ข้นั สมุทัย ตรงกับวธิ ีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ ในข้อใด ก. ตั้งสมมติฐาน ข. กาหนดขอบเขตปญ๎ หา ค. ทดลองและแกไ้ ขปญ๎ หา ง. วิเคราะหข์ ้อมูล 64. วิธสี อนแบบใดช่วยให้ผู้เรยี นเกิดทกั ษะการสังเกตมากท่ีสุด ก. สอนแบบสาธิต ข. สอนแบบโครงงาน ค. สอนแบบนิรนยั ง. สอนแบบอุปนัย สนใจสัง่ ชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
195 65. การจัดการเรียนการสอนของครู 2 คน สอนตา่ งวชิ ากนั แตม่ กี ารวางแผนการสอนรว่ มกัน ตรง กับขอ้ ใด ก. สอนแบบแกป้ ญ๎ หา ข. สอนแบบสหวทิ ยาการ ค. สอนแบบโครงงาน ง. สอนแบบเดย่ี ว 66. Good Place – Best Check in ” สอดคลอ้ งกบั ข้อใด ก. เสริมสร้างความร่วมมอื กบั ภาคีเครอื ขา่ ย ข. สง่ เสรมิ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ีทันสมยั และมีประสทิ ธภิ าพ ค. พัฒนา กศน.ตาบลใหม้ บี รรยากาศและสภาพแวดลอ้ มทเ่ี อ้ือต่อการเรียนรู้ ง. พฒั นาครู กศน. และบุคลากรทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับการจัดกจิ กรรมการศึกษาและเรยี นรู้ 67. “Good Activities” สอดคล้องกบั ข้อใด ก. เสรมิ สร้างความร่วมมอื กบั ภาคีเครอื ข่าย ข. สง่ เสรมิ การจัดกจิ กรรมการเรียนรูท้ ่ีทันสมยั และมปี ระสิทธิภาพ ค. พัฒนา กศน.ตาบลใหม้ บี รรยากาศและสภาพแวดล้อมท่ีเออื้ ตอ่ การเรียนรู้ ง. พฒั นาครู กศน. และบุคลากรที่เก่ียวข้องกบั การจดั กิจกรรมการศึกษาและเรยี นรู้ 68. “Good Partnerships” สอดคล้องกบั ข้อใด ก. เสรมิ สร้างความร่วมมอื กบั ภาคีเครอื ข่าย ข. สง่ เสรมิ การจัดกจิ กรรมการเรยี นร้ทู ท่ี นั สมัยและมีประสิทธภิ าพ ค. พัฒนา กศน.ตาบลใหม้ บี รรยากาศและสภาพแวดลอ้ มทเ่ี อ้ือต่อการเรียนรู้ ง. พัฒนาครู กศน. และบคุ ลากรทเ่ี กยี่ วข้องกบั การจดั กจิ กรรมการศกึ ษาและเรียนรู้ 69. “Good Innovation” สอดคล้องกับข้อใด ก. จดั ต้ังศูนยก์ ารเรยี นรสู้ าหรับทุกชว่ งวยั ข. ส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ีท่ ันสมยั และมีประสิทธิภาพ ค. พัฒนา กศน.ตาบลใหม้ บี รรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการเรยี นรู้ ง. พฒั นานวตั กรรมทางการศึกษาเพือ่ ประโยชนต์ ่อการจัดการศึกษาและกลมุ่ เปูาหมาย 70. “Good Learning Centre ” สอดคล้องกบั ข้อใด ก. จดั ตงั้ ศูนยก์ ารเรียนรู้สาหรับทุกชว่ งวัย ข. ส่งเสรมิ การจัดกจิ กรรมการเรียนรทู้ ี่ทนั สมยั และมปี ระสิทธภิ าพ ค. พัฒนา กศน.ตาบลใหม้ ีบรรยากาศและสภาพแวดลอ้ มทเ่ี อ้อื ต่อการเรียนรู้ ง. พัฒนานวัตกรรมทางการศกึ ษาเพือ่ ประโยชนต์ อ่ การจดั การศกึ ษาและกลมุ่ เปูาหมาย 71. กศน.ตาบล 5 ดี พรเี มีย่ ม สอดคล้องกับข้อใด ก. Good Teacher ข. Good Learning Centre ค. Good Partnerships ง. Good Place – Best Check in สนใจส่ังชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
196 72. การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการปฏบิ ตั ิงาน การบริหารจัดการ และการจัดการเรียนรู้ ก. Good Innovation ข. Good Learning Centre ค. Good Partnerships ง. Good Place – Best Check in 73. การเรียนออนไลน์สายสามัญ การเรียนออนไลน์ พฒั นาการจดั การศึกษาออนไลน์ กศน. เร่ือง ทักษะอาชพี และการพัฒนาเวบ็ เพจการคา้ ออนไลน์ ก. Good Innovation ข. Good Activities ค. Good Partnerships ง. Good Place –1 Best Check in 74. การจัดต้ังกองลูกเสอื ท่เี ปน็ ลกู เสอื ท่มี ี หลักสตู รลกู เสอื มคั คุเทศก์ ก. Good Innovation ข. Good Activities ค. Good Partnerships ง. Good Place – Best Check in 75. เปูาหมายในการพฒั นา กศน.ตาบลให้มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมทเี่ อ้ือต่อการเรยี นรู้ จานวนก่แี หง่ ก. 818 แห่ง ข. 828 แห่ง ค. 918 แหง่ ง. 928 แหง่ 76. มาตรฐานการศกึ ษา\" หมายความวา่ ก. ข้อกาหนดเก่ียวกับคุณลักษณะ คุณภาพทีพ่ งึ ประสงค์และตัวชี้วัด ข. ขอ้ กาหนดเกยี่ วกับคณุ ลักษณะ คณุ ภาพทพี่ ึงประสงคแ์ ละสมรรถนะ ค. ข้อกาหนดเก่ยี วกับคณุ ลักษณะ คุณภาพที่พงึ ประสงคแ์ ละมาตรฐาน ง. ขอ้ กาหนดเกย่ี วกบั คุณลักษณะ คณุ ภาพที่พึงประสงค์และการเรยี นรู้ 77. ใครเปน็ ผจู้ ดั ทา “การประกันคุณภาพภายนอก” ก. บุคลากรของภายในสถานศึกษา ข. คณะกรรมการสถานศึกษาและภาคเี ครือข่าย ค. ผูบ้ ริหารสถานศึกษาและคณะกรรมการทีแ่ ต่งตงั้ จาก กศจ. ง. สานักงานรับรองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา 78. ขอ้ ใดกล่าวไมถ่ กู ต้องเก่ยี วกับการประกนั คุณภาพการศกึ ษา ก. สานกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศกึ ษามหี น้าทีป่ ระกันคณุ ภาพภายนอก ข. การประเมินคณุ ภาพภายนอกต้องประเมินอยา่ งน้อย 1 คร้ังใน 4 ปี นับตง้ั แต่การประเมินคร้งั สดุ ทา้ ย ค. การประกนั คุณภาพการศกึ ษาประกอบดว้ ย การประกันคุณภาพภายในและการประกันคุณภาพ ภายนอก ง. การประกันคณุ ภาพภายในสถานศกึ ษาเป็นสว่ นหนึ่งของกระบวนการบริหารทตี่ ้องดาเนนิ การ อย่างต่อเน่อื ง สนใจส่งั ชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
197 79. หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 เป็นหลักสตู รท่ี มงุ่ จดั การศกึ ษา ตามข้อใด ก. เพ่อื จัดการศกึ ษาสาหรับ ผู้ด้อยโอกาส ขาดโอกาสและพลาดโอกาสทางการศึกษา ข. เพือ่ สร้างสงั คมไทยให้เป็นสังคมแหง่ การเรยี นรูต้ ามปรัชญา “คดิ เปน็ ” ค. เพอ่ื เสรมิ สรา้ งใหผ้ ู้เรยี นได้พัฒนาและเรียนร้อู ยา่ งต่อเนอื่ งตลอดชวี ิต ง. สง่ เสรมิ ให้ภาคเี ครอื ขา่ ยมสี ว่ นร่วมในการจัดการศึกษา 80. หลกั แนวคิดและปรชั ญาพ้ืนฐาน ของ กศน. คอื ข้อใด ก. คดิ เป็น ข. หลกั ธรรมมาภบิ าล ค. หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ง. หลกั ปรชั ญาคดิ เปน็ และหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 81. ปรัชญาแนวคิดความเชื่อพื้นฐาน ปรชั ญา “คิดเปน็ ” มคี วามเชื่อตามข้อใด ก. เชือ่ ว่ามนษุ ย์ทุกคนต้องการความสขุ ข. เชือ่ วา่ มนษุ ยท์ กุ คนมีความเท่าเทียมกนั ค. เช่ือว่ามนษุ ย์ทุกคนสามารถพฒั นาตนเองได้ ง. เชือ่ วา่ มนุษยท์ ุกคนมคี วามสมบูรณท์ ั้งทางด้านรา่ งการและจติ ใจ 82. ข้อใดไมใ่ ชจ่ ุดหมายของหลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 ก. มคี วามอตุ สาหะ ข. มีคุณธรรม ค. มีความรพู้ ้ืนฐาน ง. บุคคลแห่งการเรียนรู้ 83. ข้อใดไม่ใชห่ ลักการของหลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ก. หลกั สูตรมีโครงสร้างท่ยี ืดหยุ่น ข. ภาคเี ครอื ข่ายมีสว่ นร่วมในการจดั การศึกษา ค. ส่งเสริมใหม้ กี ารเทยี บโอนผลการเรยี น ง. มที ักษะชีวิตตามเศรษฐกิจพอเพยี ง 84. ข้อใดคือ ระดบั การศึกษา ตามหลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ก. ระดบั ประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ข. ระดับการศึกษาภาคบังคบั ระดับการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน ค. ระดับประถมศึกษา ระดับมธั ยมศึกษาปี่ท่ี 3 ระดับมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ง. ระดับประถมศึกษา ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย สนใจสัง่ ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
198 85. กรณที ม่ี กี ารเทียบโอน ท้งั นี้ตอ้ งลงทะเบยี นเรียนในสถานศึกษาอย่างนอ้ ยก่ีภาคเรียน ก. 1 ภาคเรยี น ข. 2 ภาคเรียน ค. 3 ภาคเรียน ง. 4 ภาคเรยี น 86. ขอ้ ใดไม่ใชส่ าระการเรยี นรู้ตามโครงสรา้ งหลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ก. สาระทักษะการเรยี นรู้ ข. สาระการพฒั นาสงั คมและชุมชน ค. สาระความรพู้ ้ืนฐาน ง. สาระการประกอบอาชีพ 87. ถ้าผู้เรยี นมรี ะยะเวลาในการพบกลมุ่ หรอื พบครไู ม่ถงึ ร้อยละ 75 แตถ่ ึงร้อยละ 50 ให้อยู่ในดุลย พนิ ิจของใครจึงจะมสี ิทธิเข้าสอบปลายภาคเรยี น ก. ผู้อานวยการ กศน.อาเภอ/เขต ข. คณะกรรมการสถานศกึ ษา ค. ครู กศน. ที่รับผดิ ชอบนักศึกษา ง. นายทะเบียน 88. การจดั ใหม้ ีวิธีเรียนรู้ทห่ี ลากหลาย เน้นการฝกึ ปฏบิ ัติจรงิ โดยกาหนดให้ผูเ้ รียนต้องเรยี นรู้ และ ปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) ตลอดหลกั สูตรตามข้อใดถูกตอ้ งทส่ี ุด ก. 100 ชั่วโมง ข. ไมน่ อ้ ยกว่า 100 ชั่วโมง ค. 200 ชั่วโมง ง. ไม่น้อยกว่า 200 ชัว่ โมง 89. ข้นั ตอนแรกของการจดั ทาหลักสูตรสถานศึกษาคือขอ้ ใด ก. กาหนดโครงสร้างหลกั สตู รและหน่วยการเรียนรู้ของสถานศึกษา ข. วเิ คราะห์สภาพป๎ญหาและความตอ้ งการของผู้เรยี น ชมุ ชน ค. จดั ทาแผนการเรียนรรู้ ่วมกนั กับผ้เู รียนและผู้ที่เกีย่ วข้อง ง. วิเคราะหห์ ลกั สตู ร 90. การพฒั นาหลักสตู ร คือการจัดทา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพื่อใหส้ อดคล้องกบั ขอ้ ใด ก. บริบทชมุ ชน ข. บริบทสถานศึกษา ค. สอดคลอ้ งกบั นโยบายรฐั บาล ง. ความต้องการของบุคคลและสงั คม 91. ขอ้ ใดไม่สอดคล้องกบั การพฒั นาหลักสูตรสถานศึกษาภายใตแ้ นวคดิ กรอบการบรหิ ารงานท่ีใช้ โรงเรยี นเปน็ ฐาน (SBM : School Based Management) การยึดโรงเรียนเป็นฐาน ก. หลกั มีสว่ นร่วม ข. หลักความคุ้มค่า ค. หลกั กระจายอานาจ ง. หลักคนื อานาจการจดั การศึกษาให้ประชาชน 92. ข้อใดไมส่ อดคล้องกับลกั ษณะการจัดการศึกษาตอ่ เน่อื ง ก. จดั โดยสถานศกึ ษา ข. จัดโดยคณะกรรมการสถานศกึ ษา ค. จดั โดยภาคีเครอื ข่าย ง. จดั โดยสถานศึกษาร่วมกบั ภาคีเครอื ข่าย สนใจสงั่ ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
199 93. รูปแบบชั้นเรียนวิชาชีพ หลกั สูตร 40 ช่วั โมง สามารถเบิกคา่ วสั ดฝุ ึกได้เทา่ ใด ก. 1,000 บาท ข. ไม่เกนิ 3,000 บาท ค. 4,000 บาท ง. ไม่เกิน 5,000 บาท 94. การจัดการศึกษาตอ่ เนือ่ งรปู แบบกลุ่มสนใจ สามารถเบิกจา่ ยคา่ วสั ดุไดอ้ ย่างไร ก. 1,000 บาท ข. ไมเ่ กิน 1,000 บาท ค. 5,000 บาท ง. ไม่เกิน 5,000 บาท 95. การจดั การศกึ ษาตอ่ เน่ืองรูปแบบกลุ่มสนใจ สามารถเบกิ คา่ ตอบแทนวทิ ยากรได้เท่าใด ก. ชั่วโมงละ ไม่เกนิ 120 บาท ข. ช่ัวโมงละ ไม่เกิน 150 บาท ค. ช่วั โมงละ ไมเ่ กนิ 200 บาท ง. ชวั่ โมงละ ไมเ่ กนิ 400 บาท 96. การฝกึ อบรมประชาชน สามารถเบกิ ค่าอาหารวา่ งและเคร่อื งดม่ื ได้เทา่ ใด ก. ไม่เกินมอื้ ละ 20 บาท/คน ข. ไมเ่ กนิ มอื้ ละ 25 บาท/คน ค. ไม่เกนิ มอ้ื ละ 30 บาท/คน ง. ไมเ่ กนิ มือ้ ละ 35 บาท/คน 97. ค่าของสมนาคณุ ในการศึกษาดงู านใหเ้ บิกเท่าที่จ่ายจริง แหง่ ละไม่เกินเท่าใด ก. แห่งละ ไม่เกิน 1,000 บาท ข. แหง่ ละ ไมเ่ กนิ 1,500 บาท ค. แหง่ ละ ไมเ่ กิน 2,000 บาท ง. แหง่ ละ ไม่เกิน 2,500 บาท 98. จากทฤษฏี Andragogy เป็นทฤษฏที ีพ่ ัฒนาข้ึนมาจากการศึกษาเกีย่ วกบั การเรยี นรูข้ องผู้ใหญ่ เป็นทฤษฏที ีส่ อดคล้องกับข้อใด ก. ผ้ใู หญส่ ามารถเรยี นรู้ไดด้ ้วยตัวเอง ข. ผูใ้ หญ่มีสภาวะการเรยี นรทู้ ี่แตกตา่ ง ค. ผ้ใู หญ่มรี ้คู วามสามารถเปน็ พน้ื ฐานอย่แู ล้ว ง. ผู้ใหญไ่ ม่สามารถเรยี นร่วมกบั เดก็ ได้ 99. หลักการออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ของผูใ้ หญ่ ตอ้ งคานงึ ถึงข้อใด ก. ผู้ใหญ่ต้องการที่จะรเู้ หตุผลว่าทาไม ข. ผใู้ หญ่ต้องการเรียนรู้จากประสบการณ์จรงิ ที่ประสบอยู่ ค. ผูใ้ หญม่ ุ่งทจ่ี ะเรยี นรู้เพื่อแก้ป๎ญหา หรือนาไปใช้ไดจ้ ริง ง. ทกุ ขอ้ ท่กี ล่าวมา 100. นกั ศกึ ษาผใู้ หญ่ส่วนมากจะมีสิ่งเหลา่ นี้ติดตวั มาด้วย คือข้อใด ก. มีประสบการณ์ตา่ ง ๆ ข. ความตอ้ งการในการเรียนรู้ ค. ความหมายตอ่ สถานการณ์ การเรียนรู้ ง. ทกุ ข้อที่กลา่ วมา 101. ครทู ีม่ ีคณุ ภาพในศตวรรษท่ี 21 มีคณุ ลักษณะอยา่ งไร ก. ผูเ้ รยี นอ่านมาก สอนน้อย ข. สอนโดยสื่อทนั สมัยใช้ห้องสตูดโิ อ ค. สร้างทกั ษะและเจตคตใิ หก้ บั ผู้เรยี น ง. มีความทนั สมัยรกู้ า้ วทนั เทคโนโลยี สนใจสง่ั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
200 102. PLC หรือ Professional Learning Community มีความสาคัญต่อใครอย่างไร ก. ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ควรสร้างโปรเจก็ ต์เพ่ือบรู ณาการกบั การจัดการเรยี นรู้ระดับโรงเรียน ข. ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา เพ่ือสร้างเครอื ขา่ ยความร่วมมอื ในระดบั เขตพื้นท่ีการศกึ ษา ค. ครูผู้สอน เพื่อสรา้ งโปรเจ็กต์รองรับการพฒั นารว่ มกนั ในระดับโรงเรียน ง. ครูผสู้ อน เพอื่ แบง่ ป๎นแลกเปลยี่ นเรยี นรู้เพื่อพัฒนาการจดั การเรยี นรู้ 103. ขอ้ ใดเป็นการเรยี งลาดบั สมรรถนะการเรยี นรูต้ ามแนวคดิ ของ Bloom ไดถ้ ูกต้อง ก. ความรู้ ความจา ความเขา้ ใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ ข. ความจา ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ การประเมินคา่ ค. ความจา ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การสังเคราะห์ การประเมินผล การสรา้ งสรรค์ ง. ความจา ความเข้าใจ การประยุกตใ์ ช้ การสังเคราะห์ การวเิ คราะห์ การสร้างสรรค์ 104. 3Rs หมายถงึ ก. การอ่าน การฟง๎ การเขียน ข. การอ่าน การเขียน การสาธติ ค. การอา่ น การเขยี น คิดวเิ คราะห์ ง. การเขียน การคิด การอธบิ าย 105. ตวั E ในสะเตม็ ศกึ ษา มีความหมายวา่ อย่างไร ก. คณิตศาสตร์ ข. วิทยาศาสตร์ ค. ภาษาองั กฤษ ง. วิศวกรรม 106. ข้อใดมอี ทิ ธิพลต่อการเปลย่ี นแปลงของสงั คมมากทส่ี ดุ ในยคุ ปจั จุบัน ก. การเพ่ิมด้านประชาชน ข. การขยายตวั ทางเศรษฐกิจ ค. การทาลายทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม ง. ความเจริญก้าวหน้าดา้ นการสอื่ สารและ โทรคมนาคม 107. การศกึ ษานอกระบบมีสว่ นส่งเสรมิ การศึกษาในระบบโรงเรียนอยา่ งไร ก. ผนกึ กาลงั กนั ขจดั ปญ๎ หาการไมร่ ูห้ นังสอื ข. ระดมทรัพยากรมาใชใ้ นการจัดการศึกษา ค. รว่ มมือกันในการยกระดับการศกึ ษาของประเทศ ง. ขยายโอกาสทางการศึกษาไปสู่ประชาชนไดก้ ว้างขวางข้ึน 108. ข้อใดไม่บง่ บอกถึงลกั ษณะแห่งความยืดหยนุ่ ของการศึกษานอกระบบ ก. ลดขนั้ ตอนการปฏิบัตงิ านลง ข. สามารถจดั ไดอ้ ยา่ งหลากหลาย ค. ร่วมมือกับหน่วยงานอ่นื ๆ ได้ดี ง. ไม่จาเปน็ ตอ้ งมกี ฎเกณฑท์ เี่ ป็นระบบ 109. ข้อใดไม่ใช่กจิ กรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั ก. การศึกษาขน้ั พื้นฐาน ข. หลักสูตรประกาศนียบัตรอาชีพ ค. การศึกษาเพ่อื พฒั นาอาชีพ ง. การศึกษาตามอัธยาศัย สนใจส่ังชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335