251 ความหมายของนวัตกรรมการศึกษา “นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation )” หมายถึง นวัตกรรมท่จี ะชว่ ยให้ การศึกษา และการเรยี นการสอนมีประสิทธิภาพดยี ่ิงขึน้ ผเู้ รยี นสามารถเกิดการเรียนรอู้ ย่างรวดเรว็ มี ประสทิ ธิผลสงู กว่าเดิม เกดิ แรงจงู ใจในการเรยี นด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยดั เวลาในการเรยี น ได้อกี ด้วย ในปจ๎ จุบันมีการใช้นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอยา่ ง ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใชก้ นั อย่าง แพรห่ ลายแล้ว และประเภทท่ีกาลังเผยแพร่ เช่น การเรียนการสอนท่ีใชค้ อมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Aids Instruction) การใช้แผน่ วดิ ีทศั น์เชงิ โต้ตอบ (Interactive Video) ส่อื หลายมติ ิ ( Hypermedia ) และอนิ เทอรเ์ นต็ [Internet] เหลา่ น้ี เปน็ ตน้ “นวตั กรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถงึ การนาเอาสิง่ ใหม่ซง่ึ อาจจะ อยใู่ นรูปของความคดิ หรือการกระทา รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศกึ ษา เพ่ือมุง่ หวังท่ี จะเปลี่ยนแปลงสงิ่ ท่มี อี ยู่เดมิ ใหร้ ะบบการจัดการศกึ ษามีประสิทธภิ าพยงิ่ ขึน้ ทาให้ผู้เรียนสามารถเกิด การเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียน และชว่ ยให้ประหยัดเวลาในการเรยี น เช่น การสอน โดยใชค้ อมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน การใชว้ ดี ทิ ัศน์เชิงโต้ตอบ(Interactive Video) สอื่ หลายมิติ (Hypermedia) และอินเตอร์เน็ต เหลา่ นเ้ี ป็นต้น สนใจสัง่ ชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
252 แนวขอ้ สอบสอ่ื การเรยี นการสอน 1. ขอ้ ใดอธบิ ายความหมายของส่ือการสอนได้อยา่ งถกู ต้องทส่ี ุด ก. ส่อื การสอนคอื ส่ือการเรยี นร้เู พ่ือประกอบการเรียนการสอน ข. ส่อื การสอนคอื สือ่ ทีท่ าให้ผูเ้ รียนมคี วามสะดวกในการเรยี นรู้มากข้ึน ค. สือ่ การสอนคือตัวกลางหรือชอ่ งทางถา่ ยทอดองค์ความรู้ ทกั ษะประสบการณ์ จากแหล่งความรู้ ไปสู่ผู้เรยี นทาให้เกดิ การเรียนรอู้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ง. สอื่ การสอนคอื แหลง่ ความรู้และแหลง่ ฝึกประสบการณ์ทีด่ แี ก่ผทู้ ไี่ ด้ศึกษาเรยี นรู้ 2. กระดานสาธิตเป็นสอ่ื ประเภทใด ก. สอ่ื ภาพ ข. ส่ือทใี่ ชเ้ คร่ืองฉาย ค. สอื่ ที่ไมใ่ ชเ้ ครอ่ื งฉาย ง. สอื่ กจิ กรรม 3. สื่อการเรียนร้ใู ดทมี่ าจากประสบการณจ์ าลอง ก. การสาธิตทาเครื่องประหยัดพลงั งาน ข. เรยี นร้รู ะบบสรุ ยิ ะจาลอง ค. เรยี นรู้แหลง่ ประวัติศาสตรใ์ นวัด ง. การฝกึ เล่นประเพณพี นื้ เมืองกับชาวบ้าน 4. การจัดแสดงผลงานของนักศกึ ษาท่ไี ดร้ ับรางวลั ชนะเลิศการประดษิ ฐ์หนุ่ ยนต์ เป็นประสบการณ์ ส่อื การเรยี นรปู้ ระเภทใด ก. การสาธิต ข. การจาลอง ค. นิทรรศการ ง. ประสบการณ์นาฏการ 5. ขนั้ ตอนในการใช้สอ่ื การสอนมที งั้ หมดก่ขี ั้นตอน ก. 4 ข้ันตอน ข. 5 ข้นั ตอน ค. 6 ข้ันตอน ง. 7 ข้ันตอน 6. ขนั้ ตอนในการใชส้ ่อื การสอน ขน้ั ตอนใดถือวา่ สาคญั ทีส่ ดุ ก. ขนั้ นาเข้าสู่บทเรยี น ข. ขน้ั สรุปบทเรียน ค. ข้ันประเมินผู้เรยี น ง. ขน้ั ดาเนินการสอน 7. ขอ้ ใดเปน็ การตรวจสอบคุณภาพสื่อ ก. แบบทดสอบ แบบสังเกต ข. แบบทดลอง แบบสุ่ม ค. แบบสมั ภาษณ์ แบบสอบถาม ง. แบบวิเคราะห์ แบบตรวจสอบ 8. ข้อใดเป็นการเลอื กสือ่ ทเ่ี หมาะสมทส่ี ุด ก. การเลอื กส่อื ท่ีทันสมัยทสี่ ุด ข. การเลือกสอ่ื ทมี่ ีอยู่แล้ว ตรวจสอบดูว่ามีส่ิงใดท่ีจะใชเ้ ป็นสือ่ ได้บา้ ง โดยเลอื กให้ตรงกับลักษณะ ผ้เู รยี นและวตั ถุประสงค์ ค. ออกแบบผลิตสือ่ ใหม่ ถ้าไม่มีส่ือตามทีต่ ้องการเหลืออยู่ สนใจสั่งช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
253 ง. ดดั แปลงสอื่ ทีม่ อี ยูแ่ ล้ว ใหใ้ ช้ไดด้ ีและเหมาะสมมากยง่ิ ขึน้ ทัง้ น้ยี ่อมขึน้ กับเวลาและงบประมาณใน การดดั แปลงส่ือดว้ ย 9. ข้อใดเป็นหลกั คานงึ ถึงของการออกแบบผลิตสอ่ื ใหม่ที่ไม่ถูกต้อง ก. จุดมุง่ หมาย ตอ้ งพิจารณาว่าต้องการใหผ้ เู้ รียนได้เรยี นอะไร ข. ส่ิงอานวยความสะดวก มีอยแู่ ล้วหรือสามารถจะจดั หาอย่างไร ค. ครผู ู้สอน สะดวกต่อการจัดการเรยี นการสอนหรือไม่ ง. เวลา มเี วลาพอสาหรบั การออกแบบหรือไม่ 10. ขอ้ ใดไมใ่ ชส่ ื่อการเรยี นการสอนจาแนกตามประสบการณ์ ก. การศกึ ษานอกสถานท่ี ข. ภาพนง่ิ การบนั ทึกเสยี ง และวิทยุ ภาพนง่ิ ค. การสาธิต ง. เทคนิคหรือวิธกี าร 11. สอื่ ที่ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนได้มีโอกาสคิดสรา้ งสรรคม์ ีสว่ นร่วม และได้รับขอ้ มูลย้อนกลับดว้ ยตัวของ เขาเอง เปน็ สื่อการสอนประเภทใด ก. นิทรรศการ ข. ทัศนสัญลกั ษณ์ ค. ภาพน่ิง การบนั ทึกเสียง และวทิ ยุ ภาพนง่ิ ง. โทรทัศน์และภาพยนตร์ 12. สิ่งทีช่ ว่ ยให้การศกึ ษาและการเรยี นการสอนมปี ระสิทธภิ าพดยี ่งิ ขนึ้ คือข้อใด ก. สอื่ การเรียนรู้ ข. นวตั กรรมการศกึ ษา ค. แผนการจดั การเรียนรู้ ง. เทคโนโลยีทางการศกึ ษา 13. ส่งิ ทเ่ี ป็นเครอื่ งมือส่งเสรมิ สนับสนุนการจัดการกระบวนการเรยี นรู้ คอื ข้อใด ก. นวตั กรรมการศึกษา ข. แผนการจัดการเรยี นรู้ ค. สื่อการเรยี นรู้ ง. เทคโนโลยีทางการศกึ ษา 14. สง่ิ ที่เปน็ ตัวกลางในการถา่ ยทอดองค์ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ จากแหล่งความรู้ไปสู่ ผเู้ รียน คือข้อใด ก. คอมพิวเตอร์ ข. เทคโนโลยที างการศึกษา ค. แบบทดสอบ ง. สือ่ การเรยี นการสอน 15. ข้อใดไม่ใชบ่ ทบาทของสือ่ ในการเรียนการสอน ก. ใชส้ อื่ เพื่อช่วยการสอนของครู ข. ช่วยผู้เรยี นฝึกทักษะและการปฏิบัติได้ ค. ช่วยการเรียนแบบค้นพบ ง. เหมาะสาหรับการสอนเปน็ กลุ่มใหญ่ 16. ภาพยนตร์ จัดว่าเป็นสอื่ การเรียนการสอนใด ก. เครอื่ งมอื หรืออุปกรณ์ ข. ทัศนวสั ดุ ค. โสตทัศนวัสดุ ง. โสตวัสดุ สนใจส่งั ชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
254 17. โฮมเพจ เปรยี บได้กบั สิ่งใด ก. หนา้ ปกหนงั สอื ข. สนั หนงั สอื ค. สารบญั หนังสอื ง. หนา้ หนังสอื 18. การเลือกใชส้ ื่อการเรยี นรตู้ อ้ งคานงึ ปัจจัยตา่ งๆ ขอ้ ใดไมใ่ ช่ ก. เนอ้ื หามีความถูกต้องและทนั สมัย ข. ภาษาทใ่ี ช้เป็นไปตามความเหมาะสมของผู้เรียน ค. รูปแบบการนาเสนอทเี่ ข้าใจง่าย และน่าสนใจ ง. มคี วามสอดคล้องกบั หลกั สูตร 19. ส่อื การสอนทด่ี ี ข้อใดสาคญั ท่ีสุด ก. เหมาะกับวตั ถุประสงคท์ วี่ างไว้ ข. เหมาะกบั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ค. เหมาะกับวยั ของผู้เรยี น ง. ใช้งา่ ย ปลอดภัย และสะดวก 20. สื่อประเภทใดท่ีจะช่วยกระต้นุ ให้ผ้เู รยี นเกิดการเรียนร้ไู ดด้ ี ก. เนอื้ หาครบถ้วน ถูกตอ้ ง ข. สอดคลอ้ งกับหลักสตู ร ค. มีความทนั สมยั ง. น่าสนใจ 21. สือ่ การสอนประเภทใด ท่ีเหมาะสมสาหรับใหผ้ ้เู รียนใช้เพอ่ื การเรียนรู้ด้วยตนเอง ก. บทเรียนสาเร็จรูป ข. แบบฝึกทักษะ ค. ชุดการเรียนการสอน ง. หนงั สอื เรยี น 22. การนาความร้ทู างวิทยาศาสตร์ การนาแนวคิด หลักการเทคนคิ วิธีการ กระบวนการ ตลอดจน ผลติ ผลทางวิทยาศาสตร์มาประยกุ ต์ใช้ในระบบงานต่างๆ หมายถึงข้อใด ก. การจัดการเรยี นรู้ ข. สอื่ การเรยี นการสอน ค. เทคโนโลยที างการศกึ ษา ง. นวัตกรรม 23. สอ่ื ทเ่ี ปน็ กระบวนการตา่ ง ๆ ให้ฟงั และเหน็ ไปด้วย เป็นสื่อการสอนประเภทใด ก. การศกึ ษานอกสถานที่ ข. โทรทศั น์และภาพยนตร์ ค. นิทรรศการ ง. การสาธิต 24. สื่อที่ใชใ้ นวงการศกึ ษา แบง่ ตามลักษณะทั่วไปได้ 3 ลักษณะ ข้อใดไม่ใช่ ก. ประเภทเคร่อื งมอื (Hardware) ข. ประเภทวธิ ีการ (Techniques) ค. ประเภทประสบการณ์ (Experiances) ง. ประเภทวัสดุ (Software) 25. ขอ้ ใดคือส่ือประสม ก. Soft Ware ข. Hard Ware ค. Mutimedia ง. Materials สนใจสั่งชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
255 26. ตัวหนงั สือหรืออักษร สญั ลกั ษณท์ างคาพูดทีเ่ ป็นเสียงพูด เปน็ สื่อการสอนประเภทใด ก. นทิ รรศการ ข. ภาพนิ่ง การบนั ทึกเสียง และวิทยุ ภาพนง่ิ ค. ทัศนสัญลกั ษณ์ ง. วจนสญั ลกั ษณ์ 27. ขอ้ ใดไม่ใชล่ ักษณะของสื่อการสอนท่ดี ี ก. เหมาะกับวตั ถปุ ระสงค์ ข. ใช้งา่ ย สะดวก ปลอดภัย ค. เหมาะกับวัยของผเู้ รยี น ง. คุม้ คา่ มรี าคา 28. ข้อใดไมใ่ ชค่ วามสาคัญของสื่อการสอน ก. ช่วยให้ครเู กดิ ความสนใจ ข. ชว่ ยแก้ป๎ญหาในการเรียนการสอน ค. ชว่ ยให้นักเรียนมีประสบการณก์ วา้ งข้ึน ง. ช่วยใหน้ ักเรยี นเกดิ ความสนใจทจ่ี ะเรยี นรู้ 29. การใชส้ ื่อการสอน มีลาดบั ขั้นตอนดังนี้ ก. 1.เตรียมสื่อการสอน, 2.วางแผนการใช้ส่ือ, 3.นาสือ่ ไปใช้, 4.วัดและประเมนิ ผลการใช้สอ่ื ข. 1.วางแผนการใชส้ อ่ื , 2.วัดและประเมนิ ผลการใชส้ ่ือ, 3.เตรยี มสื่อการสอน, 4.นาสือ่ ไปใช้ ค. 1.เตรียมสอ่ื การสอน, 2.วางแผนการใช้สอื่ , 3.วดั และประเมินผลการใช้สือ่ , 4.นาสื่อไปใช้ ง. 1.วางแผนการใชส้ ือ่ , 2.เตรียมส่อื การสอน, 3.นาส่ือไปใช,้ 4.วัดและประเมินผลการใช้ส่ือ 30. สื่อประเภทกราฟกิ แบบใด ท่เี หมาะสาหรบั เด็กเลก็ ก. ภาพงา่ ยๆท่ไี ม่ซับซ้อน มีสีสนั ข. ภาพทม่ี คี วามซับซอ้ น ค. ภาพทีเ่ ป็นมากกว่าภาพธรรมดา ง. ภาพขาวดา 31. ขอ้ ใดไม่ใชห่ ลักเกณฑใ์ นการเลอื กภาพประกอบการเรียนการสอน ก. เลือกภาพทต่ี รงเหมาะสมกับผดู้ ู ข. เลือกภาพทตี่ รงเหมาะสมกบั เนื้อหาวชิ า ค. เลอื กภาพทีช่ ัดเจน ง. เลอื กภาพทีม่ รี าคา คมชดั 32. ขอ้ ใดคือ Computer – Assisted Instruction : CAI ก. เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ ข. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ค. คอมพิวเตอร์กราฟิก ง. เนต็ เวริ ์คคอมพิวเตอร์ 33. “สอ่ื การเรยี นการสอนทางคอมพวิ เตอร์รูปแบบหนึ่ง ซ่ึงใชค้ วามสามารถของคอมพวิ เตอร์ในการ นาเสนอสอ่ื ประสมอันไดแ้ ก่ ข้อความ ภาพน่งิ กราฟิก แผนภมู ิ กราฟ วิดีทัศน์ ภาพเคลอ่ื นไหว และ เสียง เพ่ือถา่ ยทอดเนอ้ื หาบทเรียน” คอื ความหมายของข้อใด ก. เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ข. คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน ค. คอมพิวเตอรก์ ราฟิก ง. เน็ตเวิร์คคอมพิวเตอร์ 34. “การเรียนการสอนในลกั ษณะ หรือรูปแบบใดกไ็ ด้ ซ่งึ การถา่ ยทอดเน้อื หานน้ั กระทาผ่านทางสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เช่น เครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต” คอื ความหมายของข้อใด ก. E-Commerce ข. E-mail ค. E-Network ง. E-Learning สนใจส่งั ชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
256 35. Educational Innovation มคี วามหมายตรงกับขอ้ ใด ก. การปฏิรูปการศึกษา ข. นวัตกรรมทางการศึกษา ค. การศึกษาโลก ง. การศึกษาทางไกลผา่ นดาวเทียม เฉลยแนวขอ้ สอบสือ่ การเรยี นการสอน 1.ค 2.ค 3.ข 4.ค 5.ข 6.ง 7.ก 8.ข 9.ค 10.ง 11.ก 12.ง 13.ค 14.ง 15.ง 16.ค 17.ค 18.ข 19.ก 20.ง 21.ค 22.ง 23.ข 24.ค 25.ค 26.ง 27.ง 28.ก 29.ง 30.ก 31.ง 32.ข 33.ข 34.ง 35.ข สนใจส่งั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
257 นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา **นวตั กรรม (Innovation) นวตั กรรม เปน็ คาที่มีรากทรัพย์มาจากภาษาลาตินว่า Innovare แปลวา่ to renew หรือ to modify ได้แก่ แนวคิด การปฏบิ ตั ิ หรอื สง่ิ ประดิษฐใ์ หม่ ๆ ท่ยี ังไมเ่ คยมใี ช้มากอ่ น หรือพฒั นาดัดแปลง มาจากของเดมิ ใหท้ นั สมยั และใชไ้ ดผ้ ลดียง่ิ ขนึ้ นวัตกรรม หมายถงึ วิธีการปฏิบัติใหม่ทแ่ี ปลกไปจากเดมิ โดยอาจจะไดม้ าจากการคิดคน้ หรอื การปรบั ปรุงเสริมแตง่ ของเก่า และส่งิ เหล่าน้ีได้รบั การทดลองและพฒั นาจนเป็นท่ีเช่ือถอื ได้ ทาให้ระบบ บรรลุจดุ มุ่งหมายได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ประโยชน์ของนวัตกรรมทางการศกึ ษา 1. ชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นเรียนรู้ได้เร็วขึน้ 2. ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเข้าใจบทเรียนเป็นรูปธรรม 3. ชว่ ยให้บรรยากาศการเรียนรสู้ นุกสนาน 4. ช่วยให้บทเรียนนา่ สนใจ 5. ช่วยลดเวลาในการสอน 6. ช่วยประหยัดคา่ ใชจ้ ่าย **เทคโนโลยี (Technology) เทคโนโลยี หมาย ถึง กระบวนการหรือวธิ กี ารในการนาความรเู้ ร่ืองแนวคิดมาประยุกต์ องค์ประกอบหรือ องค์ความรตู้ า่ งๆ มาใชอ้ ยา่ งเป็นระบบเพือ่ ใหก้ ารดาเนนิ งานในวงการต่างๆ เปน็ ไป อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ **ลกั ษณะของเทคโนโลยี สามารถจาแนกออกได้ 3 ลกั ษณะ 1. เทคโนโลยีในลักษณะกระบวนการ (process) เป็นการใชว้ ทิ ยาศาสตร์และความรู้ต่างๆ ทร่ี วบรวมไว้อย่างเปน็ ระบบ เพอื่ นาไปสู่ผลในการปฏิบัติ 2. เทคโนโลยใี นลกั ษณะของผลผลิต (product) หมายถึง วัสดุหรืออุปกรณท์ เ่ี ป็นผลมาจาก การใช้การะบวนการทางเทคโนโลยี 3. เทคโนโลยใี นลกั ษณะผสมของกระบวนการและผลผลิต (process and product) เชน่ เทคโนโลยชี ว่ ยให้ระบบการรบั ส่งข้อมูลเปน็ ไปได้อย่างรวดเรว็ เป็นผลมาจากความกา้ วหน้าของอปุ กรณ์ เพ่อื การรับสง่ ข้อมูล **หลักการใชเ้ ทคโนโลยี 1. ประสิทธิภาพของงาน (efficiency) เทคโนโลยีตอ้ งช่วยให้การดาเนนิ งานบรรลเุ ปูาหมาย และรวดเร็ว สามารถตรวจสอบได้ สนใจส่งั ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
258 2. ประสิทธิผล (productivity) ต้องชว่ ยให้การทางานได้ผลออกมาอย่างเต็มที่ 3. ประหยดั (economy) ท้งั เวลาและแรงงาน ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมากกว่าทนุ **ประโยชนข์ องเทคโนโลยี 1. ชว่ ยยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แถมยังช่วยพัฒนาระบบอารายธรรมโดยทางอ้อม อกี ดว้ ย 2. ช่วยใหม้ นษุ ย์มคี วามสะดวกสบายขึ้น 3. ช่วยใหเ้ ราทนั สมัย 4. ชว่ ยประหยัดเวลา 5. ช่วยในการทางาน **นวัตกรรมและเทคโนโลยี มกั จะเขียนคู่กันเสมอใช้รวมเป็นคาเดียวกันคอื Innotech โดยสองคานีม้ ีความสมั พนั ธ์กัน อยา่ งใกลช้ ดิ นวตั กรรมเปน็ เรอ่ื งของการกระทาสิ่งใหม่ ซึ่งอยู่ในขั้นทดลอง ยังไมเ่ ป็นท่ียอมรบั ในสังคม เทคโนโลยี เปน็ เรอ่ื งของการนาเอาสง่ิ ใหม่ ๆ มาประยุกต์ใชอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ การนาเอานวตั กรรมมาประยุกตใ์ ช้ เรยี กวา่ เป็น “เทคโนโลยี” การใช้เทคโนโลยเี พื่อใหเ้ กิดสิ่งใหม่ เรยี กส่ิงใหม่น้ันว่า “นวัตกรรม” **หลักการเลอื กนวตั กรรมและเทคโนโลยี 1. ประหยดั (Economy) จะชว่ ยให้ประหยัดเวลา ทรพั ยากร และก่อให้เกดิ ประโยชน์สงู สุด 2. ประสิทธิภาพ (Effeciency) จะช่วยใหก้ ารทางานนัน้ สามารถบรรลุผลตามเปูาหมายได้ อยา่ งถกู ตอ้ งและรวดเร็ว 3. ประสิทธิผล (Effectiveness) จะชว่ ยให้งานน้ันได้ผลผลติ ออกมาอยา่ งเต็มที่ **เทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology : IT) เป็นเทคโนโลยีท่ีเนน้ ถงึ การ จดั การในกระบวนการดาเนินงานสารสนเทศ หรอื สารสนเทศในข้ันตอนต่าง ๆ ต้งั แต่การแสวงหา การ วเิ คราะห์ การจดั เกบ็ การจัดการเผยแพร่ หรอื เพื่อเพิม่ ประสิทธภิ าพ ความถกู ตอ้ ง ความแม่นยา และ ความรวดเร็ว เพ่ือใหท้ นั ตอ่ การนามาใชป้ ระโยชน์ ICT ยอ่ มาจาก Information and Communication Techology แปลวา่ เทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสาร หมายถงึ เทคโนโลยที ี่เกีย่ วข้องกบั ขา่ วสารข้อมูลและการสอ่ื สาร นบั ตง้ั แต่ การสร้าง การนามาวิเคราะห์และประมวลผล การรบั และส่งข้อมลู การจัดเก็บและการนาไปใช้งานใหม่ ความรเู้ กย่ี วกับ ICT E-Training การฝกึ อบรมผ่านระบบอิเล็กทรอนกิ ส์ E-Learning การจัดการเรียนการสอนผา่ นระบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ สนใจสงั่ ชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
259 E-Filing ระบบงารสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ E-Office สานักงานอัตโนมตั ิ E-Content สื่ออิลเกทรอนิกส์ E-library ห้องสมดุ อิเลก็ ทรอนิกส์ **เทคโนโลยกี ารศึกษา **ความหมายของเทคโนโลยกี ารศึกษา เทคโนโลยกี ารศกึ ษา หมาย ถงึ การประยุกตใ์ ช้สหวิทยาอย่างเปน็ ระบบเพอื่ ให้ได้แนวคิด เคร่อื งมือ เทคนคิ และวิธีกาตา่ งๆ เพอ่ื นาไปใช้ในการปูองกนั และแก้ไขปญ๎ หา และพัฒนาการเรยี นรูใ้ หม้ ี ประสทิ ธภิ าพตามจดุ มุ่งหมาย เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศพั ท์ เทคโน (วธิ กี าร) + โลยี(วทิ ยา) หมายถงึ ศาสตรท์ ี่ว่าด้วยวิธีการทางการศกึ ษาครอบคลมุ ระบบการนาวิธกี ารมาปรบั ปรุง ประสทิ ธภิ าพของการศึกษาให้สูงขน้ึ เทคโนโลยีทางการศกึ ษาครอบคลมุ องค์ประกอบ 3 ประการ คือ วสั ดุ อุปกรณ์ และวธิ กี าร สภาเทคโนโลยที างการศกึ ษานานาชาตไิ ด้ให้คาจากัดความของ เทคโนโลยี ทางการศกึ ษา ว่าเปน็ การพัฒนาและประยกุ ต์ระบบเทคนิคและอปุ กรณ์ ให้สามารถนามาใชใ้ น สถานการณ์ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เพอ่ื สรา้ งเสริมกระบวนการเรยี นรขู้ องคนให้ดยี ิง่ ขึ้น **ความสาคญั ของเทคโนโลยกี ารศกึ ษา เทคโนโลยกี ารศกึ ษาเป็นสง่ิ สาคัญยิง่ อย่างหนง่ึ ในการชว่ ยให้การแก้ป๎ญหาทางดา้ น การศกึ ษาสาเรจ็ ลุล่วงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการบรหิ ารการจดั การเรียนการสอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน การนาเทคโนโลยีที่ทนั สมยั มาใช้เพอื่ เพ่มิ ประสิทธภิ าพและประสิทธิผลทางการเรยี นแกผ่ เู้ รยี น ดังน้ี 1. ทาใหก้ ารเรียนการสอนการจัดการศกึ ษามคี วามหมายมากข้นึ ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเรียนได้ กวา้ งขวางขนึ้ เรียนได้เร็วขน้ึ ได้เห็นหรอื สมั ผสั กับสิง่ ทเี่ รยี นและทาใหค้ รูมีเวลาแก่ผ้เู รียนมากข้ึน 2. สามารถเรอ่ื งความแตกตา่ งระหว่างบุคคลได้ เป็นการเปิดทางใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ รยี นรู้ ความสามารถของเขา สนองความสนใจและความตอ้ งการของแต่ละบุคคลไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 3. สามารถทาให้การจดั การศึกษาต้ังอยบู่ นรากฐานของวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ซึ่ง เปน็ วธิ กี ารหนึง่ ท่ีสร้างความเจรญิ กา้ วหน้าใหแ้ ก่ทุกวงการทาให้การจัดการศึกษามีระบบมากขึ้นมกี าร ทดลองคน้ คว้าวิจยั พบวิธกี ารใหม่ๆ อยเู่ สมอทาใหก้ ารศึกษากา้ วหนา้ และเหมาะกบั สภาพความ เปลี่ยนแปลงของสังคม 4. ชว่ ยใหก้ ารจดั การศึกษามีพลังมากข้ึนดว้ ยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยเี มือ่ นามาใช้ ในการสอนไดอ้ ย่างเหมาะสมจะทาใหก้ ารจดั การศึกษามีพลังมากข้นึ สนใจสง่ั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
260 5. สามารถทาใหก้ ารเรียนรอู้ ยแู่ ค่เอ้อื มทาให้ผเู้ รียนได้มองเห็นสภาพความเปน็ จรงิ เพราะสามารถนาสิง่ ต่าง ๆ ในโลกมาสหู่ อ้ งเรียนไดค้ วามสามารถเอาชนะขอ้ จากดั ตา่ ง ๆ ท้งั ในดา้ นเวลา และสถานที่ 6. ทาให้เกดิ ความเสมอภาคทางการศกึ ษาเพราะชว่ ยให้ทกุ คนมโี อกาสทีจ่ ะจ่ายได้ หลายรูปแบบเช่นการศึกษาในระบบโรงเรยี นนอกระบบโรงเรยี นการเรียนตามอัธยาศัยและการศกึ ษา พิเศษแกค่ นพิการ เปน็ ต้น **พระราชบัญญตั ิเก่ยี วกบั เทคโนโลยีเพอ่ื การศกึ ษา (หมวด 9 : พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษา แหง่ ชาติ พ.ศ. 2542) มาตรา 63 รฐั ต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนาและโครงสรา้ งพ้ืนฐานอน่ื ทจี่ าเป็นต่อการสง่ วิทยกุ ระจายเสยี ง วทิ ยุโทรทัศน์ วทิ ยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปแบบอนื่ เพอื่ ใช้ประโยชน์ สาหรบั การศกึ ษาในระบบ มาตรา 64 รฐั ตอ้ งส่งเสริมและสนับสนนุ จดั ใหม้ ีแบบเรียน ตารา วัสดอุ ุปกรณ์ เทคโนโลยี เพอ่ื การศกึ ษาอน่ื อย่างเร่งรดั พัฒนาขีดความสามารถในการผลิต มเี งนิ สนับสนุน เปดิ ให้มกี ารแขง่ ขนั โดยเสรภี าพและเปน็ ธรรม มาตรา 65 ให้มกี ารพัฒนาบุคลากรและผ้ใู ช้เทคโนโลยี เพอ่ื ให้มคี วามรู้ความสามารถและ ทักษะการผลติ รวมทัง้ การใช้เทคโนโลยีท่ีเหมาะสม มีคุณภาพและประสทิ ธภิ าพ มาตรา 66 ผู้เรยี นมสี ิทธไิ ด้รบั การพัฒนาขดี ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยเี พ่ือการศึกษา ในโอกาสแรกท่ที าได้ เพื่อแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มาตรา 67 รฐั ต้องส่งเสริมการวจิ ยั และการพฒั นาการผลิตและเทคโนโลยี รวมท้ังการ ตดิ ตาม การตรวจสอบ และประเมนิ ผล เพือ่ ให้เกิดการใชอ้ ยา่ งค้มุ คา่ เหมาะสมกบั กระบวนการเรยี นรู้ ของคนไทย มาตรา 68 ให้มีการระดมทุนเพือ่ จดั ต้ังกองทนุ พัฒนาเทคโนโลยีเพือ่ การศึกษาให้เป็นไป ตามทก่ี าหนดไวใ้ นกฎกระทรวง มาตรา 69 รฐั ต้องจัดให้มีหนว่ ยงานกลาง ทาหน้าทีพ่ จิ ารณาเสนอนโยบายแผนสง่ เสรมิ และ ประสานการวิจยั การพัฒนาและการใช้ รวมท้งั การประเมนิ คุณภาพและประสทิ ธภิ าพของการผลิต และ การใช้เทคโนโลยีเพอ่ื การศึกษา **เปูาหมายของเทคโนโลยีการศกึ ษา 1. การขยายพสิ ัยของทรพั ยากรของการเรยี นรู้ กล่าวคือ แหล่งทรพั ยากรการเรยี นรู้ มิได้ หมายถึงแตเ่ พียงตารา ครู และอปุ กรณก์ ารสอน ท่โี รงเรยี นมีอยู่เท่านนั้ แนวคิดทางเทคโนโลยที างการ ศกึ ษา ต้องการให้ผเู้ รียนมีโอกาสเรียนจากแหล่งความรูท้ ่ีกวา้ งขวางออกไปอีก แหลง่ ทรัพยากรการ เรียนรู้ครอบคลุมถงึ เร่ืองตา่ งๆ เช่น สนใจสงั่ ชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
261 1.1 คน คนเปน็ แหล่งทรัพยากรการเรยี นรู้ท่สี าคัญซงึ่ ได้แก่ ครู และวทิ ยากรอื่น ซงึ่ อยู่ นอกโรงเรยี น เช่น เกษตรกร ตารวจ บุรุษไปรษณยี ์ เปน็ ตน้ 1.2 วัสดแุ ละเคร่อื งมือ ไดแ้ ก่ โสตทศั นวัสดุอุปกรณ์ตา่ ง ๆ เชน่ ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ เคร่ืองวิดีโอเทป ของจรงิ ของจาลองส่ิงพิมพ์ รวมไปถงึ การใช้สอื่ มวลชนต่างๆ 1.3 เทคนิค-วธิ กี าร แต่เดมิ นั้นการเรียนการสอนสว่ นมาก ใชว้ ธิ ีใหค้ รูเป็นคนบอก เนื้อหา แก่ผเู้ รยี นป๎จจบุ นั น้นั เปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนได้ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองไดม้ ากทสี่ ุด ครูเปน็ เพียง ผวู้ างแผนแนะแนวทางเทา่ นน้ั 1.4 สถานท่ี อนั ไดแ้ ก่ โรงเรียน หอ้ งปฏิบัติการทดลอง โรงฝกึ งาน ไรน่ า ฟาร์ม ทท่ี า การรฐั บาล ภูเขา แมน่ า้ ทะเล หรอื สถานทีใ่ ด ๆ ทช่ี ว่ ยเพ่ิมประสบการณท์ ี่ดแี ก่ผู้เรียนได้ 2. การเนน้ การเรยี นร้แู บบเอกัตบคุ คล ถึงแม้นักเรยี นจะลน้ ชนั้ และกระจัดกระจาย ยากแก่ การจดั การศึกษาตามความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลได้ นกั การศึกษาและนักจิตวทิ ยาไดพ้ ยายามคิด หาวิธี นาเอาระบบการเรียนแบบตัวตอ่ ตัวมาใช้ แตแ่ ทนท่จี ะใช้ครูสอนนักเรียนทีละคน เขากค็ ดิ ‘แบบเรยี น โปรแกรม’ ซึง่ ทาหนา้ ทีส่ อน ซ่งึ เหมือนกบั ครมู าสอน นกั เรยี นจะเรียนดว้ ยตนเอง จากแบบเรียนด้วย ตนเองในรูปแบบเรยี นเปน็ เล่ม หรอื เคร่ืองสอนหรอื ส่อื ประสมหลายๆ อย่างจะเรยี นช้าหรอื เร็วกท็ าได้ ตามความสามารถของผเู้ รยี นแต่ละคน 3. การใชว้ ธิ ีวเิ คราะห์ระบบในการศึกษา การใชว้ ธิ ีระบบ ในการปฏิบัตหิ รือแก้ปญ๎ หา เป็น วธิ กี ารที่เป็นวทิ ยาศาสตร์ ที่เชื่อถอื ได้ว่าจะสามารถแกป้ ญ๎ หา หรือช่วยใหง้ านบรรลุเปาู หมายได้ เนอ่ื งจากกระบวนการของวิธีระบบ เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบของงานหรอื ของระบบ อยา่ งมีเหตผุ ล หาทางใหส้ ่วนต่าง ๆ ของระบบทางาน ประสานสมั พันธก์ ันอย่างมีประสิทธิภาพ 4. พัฒนาเครอ่ื งมือ-วัสดุอปุ กรณ์ทางการศึกษา วัสดแุ ละเครอื่ งมือตา่ ง ๆ ทใ่ี ช้ในการศึกษา หรอื การเรยี นการสอนป๎จจบุ นั จะต้องมกี ารพัฒนา ให้มศี กั ยภาพ หรือขีดความสามารถในการทางานให้ สงู ยิ่งขึน้ ไปอีก **วธิ ีระบบ **ความสาคญั ของวิธรี ะบบ วธิ ีระบบกลายเป็นแกนแนวคิดเทคโนโลยีการศึกษาทางพฤตกิ รรมศาสตร์ และกลายเป็น คาหลกั ของเทคโนโลยีการศึกษา การฝึกอบรมและการให้การศึกษา เน้นไปท่ผี ู้ออกแบบและจัด โปรแกรมควบคไู่ ปกับการผลิตช่างเทคนคิ เพือ่ ใหไ้ ด้นกั เทคโนโลยกี ารศกึ ษาทีม่ องภาพการใช้เทคโนโลยี การศกึ ษาทมี่ รี ะบบ และมองภาพกวา้ งขวางข้นึ **องค์ประกอบของระบบ 1. ข้อมลู ปูอนเขา้ (Input) ได้แก่ วตั ถุดิบ ข้อมูลดิบ ปญ๎ หาความต้องการวตั ถุประสงค์ ข้อกาหนดกฎเกณฑ์ สนใจสั่งชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
262 2. กระบวนการ(Process) ไดแ้ ก่ วิธกี ารปฏิบัติงานอยา่ งเปน็ ข้นั ตอน 3. ผลลพั ธ์ (Output) ไดแ้ ก่ ผลงานทไ่ี ด้จากการปูอนข้อมูลและกระบวนการเพอ่ื ท่ีจะนาไป ประเมนิ ผล 4. ขอ้ มลู ยอ้ นกลับ(Feedback) ผลการประเมินการทางานของระบบ ซึ่งประเมนิ ย้อนกลบั ไดท้ ุกขนั้ ตอน สนใจสง่ั ชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
263 แนวขอ้ สอบนวตั กรรมและเทคโนโลยีการศกึ ษา 1. เทคโนโลยี หมายถงึ ข้อใด ก. การนาวิชาวิทยาศาสตรม์ าประยกุ ต์ใชอ้ ย่างมรี ะบบ ข. การนาศาสตร์ต่าง ๆ มาประยุกต์ใชอ้ ย่างมีระบบ ค. การนาเครอื่ งมือมาใช้อยา่ งมรี ะบบ ง. การนาคอมพวิ เตอรม์ าใชอ้ ย่างมีระบบ 2. ขอ้ ความขา้ งล่างน้ที า่ นคดิ วา่ ขอ้ ใดเหมาะสมและถกู ต้องมากทีส่ ุด ก. นักเทคโนโลยีทางการศึกษาคอื ผู้ท่ีสามารถใชแ้ ละผลติ อุปกรณ์การสอนได้ ข. การใช้เทคโนโลยที างการสอนทด่ี คี วรเลือกให้เหมาะสมกับวัตถปุ ระสงคข์ องเร่อื ง ค. การใช้ภาพยนตร์ประกอบการเรียนการสอนดกี วา่ รปู ภาพ ง. ครูทดี่ ีควรใช้ส่ือหลายๆ อยา่ งในการสอน 3. กระบวนการระบบมขี ัน้ ตอนดังต่อไปนี้ ก. INPUT -> OUTPUT -> PROCESS ข. PROCESS -> INPUT -> OUTPUT ค. OUTPUT -> PROCESS -> INPUT ง. INPUT -> PROCESS -> OUTPUT 4. INPUT ในระบบการเรยี นการสอนคือขั้นใด ก. การวัดผลและการประเมนิ ผล ข. เนอื้ หาการเรียนการสอน ค. ใชส้ อ่ื จดั การเรยี นการสอน ง. กาหนดยทุ ธศาสตร์การสอน 5. “เป็นความใหม่ซ่ึงยังไมเ่ คยมมี ากอ่ น” ตรงกบั ขอ้ ใด ก. นวตั กรรม ข. เทคโนโลยี ค. ขอ้ มูลข่าวสาร ง. เทคโนโลยสี ารสนเทศ 6. ทาไมต้องนานวัตกรรมการศึกษามาใชแ้ ทนวิธกี ารเดิม ก. เพ่ือได้ประสทิ ธิผลสูงข้ึน ข. เพ่ือให้มีประสิทธภิ าพมากขึ้น ค. เพอื่ ลดการสอนของครจู ะไดไ้ ปทางานด้านอ่ืน ง. วิธีการเดิมไม่เป็นทีย่ อมรบั 7. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตรงกบั ข้อใด ก. IT ข. ICT ค. Technology ง. Innovation 8. การนาเอาวสั ดุ อุปกรณ์และวธิ กี ารมาใชร้ ว่ มกันอยา่ งมีระบบในการเรยี นการสอน เพอ่ื เพม่ิ ประสทิ ธิภาพการเรยี นการสอน ตรงกับขอ้ ใดมากที่สุด ก. นวัตกรรมทางการศึกษา ข. อปุ กรณท์ างการศึกษา ค. เทคโนโลยีทางการศึกษา ง. สารสนเทศทางการศึกษา สนใจสั่งชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
264 9. ขอ้ ใดเป็นเทคโนโลยีทางการศกึ ษา ก. ไม่ควรใหม้ นี ักเรียนในแตล่ ะชนั้ เกนิ 35 คน ข. มีครหู ลายคนผลัดกนั สอนในเนอ้ื หาวชิ าเดียวกัน ค. นักเรียนอนบุ าลควรมีเวลาพกั ผ่อนหลงั การเล่น ง. เรียนหนังสือดว้ ยตนเองทางอนิ เทอรเ์ นต็ 10. ข้อใดคือความหมายท่ถี ูกตอ้ งท่ีสุดของ “นวตั กรรม” ก. การกระทาทไ่ี ม่เคยมีมาก่อน ข. การกระทาทรี่ อ้ื ฟ้นื มาจากของเดิม ค. การกระทาท่ีเอาแบบอยา่ งมาจากทีอ่ ่ืน ง. การกระทาที่ใช้แนวคดิ หรือวิธปี ฏิบตั ิใหมๆ่ เพ่อื แกป้ ๎ญหาและพัฒนางาน 11. นวัตกรรมการศึกษามีความสาคญั ต่อการจัดการศึกษาอย่างไร ก. เพ่มิ ความสาคญั ในตัวผู้สอน ข. เพ่ิมความสาคัญในตวั ผู้เรยี น ค. ลดความสาคัญทงั้ ในตัวผ้สู อนและผูเ้ รียน ง. ชว่ ยแก้ไขป๎ญหาและพฒั นาการจดั การศึกษา 12. “การเรียนการสอนในลกั ษณะ หรือรูปแบบใดกไ็ ด้ ซ่ึงการถา่ ยทอดเน้อื หานัน้ กระทาผ่านทางสอ่ื อิเล็กทรอนกิ ส์ เช่น เครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ อินทราเน็ต เอก็ ซทราเนต็ ” คอื ความหมายของขอ้ ใด ก. E-Commerce ข. E-mail ค. E-Network ง. E-Learning 13. Educational Innovation มคี วามหมายตรงกบั ข้อใด ก. การปฏิรูปการศกึ ษา ข. นวตั กรรมทางการศกึ ษา ค. การศกึ ษาโลก ง. การศกึ ษาทางไกลผ่านดาวเทียม 14. การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดการศึกษา เพอ่ื เผยแพร่ข่าวสารประชาสัมพันธ์ ระหว่างสถานศกึ ษากับผู้เกยี่ วขอ้ งและบคุ คลทว่ั ไป ก. อนิ เทอรเ์ น็ต. ข. เวบ็ ไซต์. ค. คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน. ง. การเรยี นรู้ผา่ นสือ่ 15. Partnership School จดั อย่ใู นกลมุ่ ใด ก. Innovation ข. Technology ค. Information ง. Information Technology 16. Computer-Assisted Instruction (CAI) คอื ข้อใด ก. การเรยี นร้โู ดยใช้คอมพิวเตอร์ ข. การเรยี นรกู้ ารใช้คอมพิวเตอร์ ค. การใช้คอมพิวเตอร์เพอ่ื เป็นส่ือในการสอน ง. การใช้คอมพิวเตอร์ในการสอน สนใจสั่งช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
265 17. นวัตกรรมการศกึ ษาและเทคโนโลยกี ารศกึ ษายดึ หลักของศาสตรใ์ ดในการสร้างผลงาน ก. คณิตศาตร์ ข. วทิ ยาศาสตร์ ค. สังคมศาสตร์ ง. มนษุ ยศ์ าสตร์ 18. นวตั กรรมการทางการศกึ ษามคี วามหมายตรงกับขอ้ ใด ก. การนาเอาความรมู้ าประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตประจาวัน ข. การนาเอาความคิด เทคนคิ วิธกี ารใหม่มาใชใ้ นการจัดการศกึ ษา ค. การนาเอาประสบการณม์ าจัดการเรยี นการสอน ง. การนาเอาคอมพวิ เตอรม์ าจดั การเรยี นการสอน 19. ข้อใดคือคาวา่ Innovation ก. สื่อหลายมติ ิ ข. นวตั กรรม ค. ความคิดสรา้ งสรรค์ ง. การเผยแพรไ่ อเดียใหมๆ่ 20. นวัตกรรมการศกึ ษามคี วามสาคญั ต่อการจัดการศกึ ษาอยา่ งไร ก. ลดความสาคัญในตวั ผู้สอน ข. เพิ่มความสาคญั ในตวั ผู้เรยี น ค. เพิม่ ความสาคัญท้งั ในตัวผูเ้ รียนและผู้สอน ง. ช่วยแกไ้ ขปญ๎ หาและพฒั นาการจัดการศึกษา 21. การออกแบบนวัตกรรม ควรพิจารณาในขอ้ ใดเป็นอนั ดับแรก ก. การนาไปใช้ ข. ทฤษฎีที่รองรับ ค. ความจาเปน็ ของป๎ญหา ง. วัตถปุ ระสงค์ 22. ข้อใดไมใ่ ชป่ ระโยชนห์ ลัก ของนวัตกรรมทางการศึกษา ก. นักเรยี นได้เรียนร้เู รว็ ขึ้น เขา้ ใจบทเรยี นเป็นรปู ธรรม ข. บทเรยี นนา่ สนใจ สนุกสนาน ค. ลดเวลาในการสอน ประหยัดคา่ ใช้จา่ ย ง. สร้างรายได้ ใหก้ บั ผู้จดั ทานวตั กรรมทางการศึกษา 23. นวตั กรรมในข้อใด สนองแนวคิด เร่อื งความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล (Individual Different) ก. แบบเรยี นสาเร็จรูป ข. ศนู ยก์ ารเรยี น ค. ชุดการเรียน ง. การเรยี นทางไปรษณยี ์ 24. นวัตกรรมในข้อใด สนองแนวคิด เร่อื งความพรอ้ ม (Readiness) ก. แบบเรียนสาเรจ็ รูป ข. ศนู ย์การเรียน ค. ชุดการเรยี น ง. การเรียนทางไปรษณีย์ สนใจสงั่ ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
266 25. ขอ้ ใดต่อไปนี้ ไมใ่ ชล่ ักษณะท่ีดีของนวัตกรรม ข. นา่ สนใจ สนกุ สนาน ก. นกั เรียนเรยี นรไู้ ดเ้ ร็ว ง. ลดเวลาของครู ค. มีราคาแพง เฉลยแนวข้อสอบ 1.ก 2.ข 3.ง 4.ข 5.ข 6.ข 7.ข 8.ค 9.ง 10.ง 11.ง 12.ง 13.ข 14.ก 15.ก 16.ค 17.ข 18.ข 19.ข 20.ง 21.ค 22.ง 23.ก 24.ข 25.ค สนใจส่ังชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
267 การวัดและและประเมนิ ผลการศกึ ษา ********************************* ** การวดั และประเมินผลทางการศึกษาจะเกีย่ วขอ้ งกับคา 3 คา คือ 1) การทดสอบ (testing) หมายถึง การ นาเสนอชดุ คาถามทีเ่ รยี กวา่ ขอ้ สอบหรอื แบบทดสอบ ทม่ี ีมาตรฐานใหผ้ สู้ อบตอบ 2) การวดั ผล (measurement) หมายถงึ การวดั คณุ ลักษณะ (attribute) ของบุคคลจาก ผลการตอบคาถามในแบบทสอบตามกฎเกณฑ์ทีก่ าหนด เพือ่ แสดงคุณคา่ เชงิ ปรมิ าณหรอื ตัวเลขทีว่ ัดได้ การวัดผลนอกจากใช้แบบทดสอบแล้วยงั รวมถึงการใช้เครื่องมืออ่นื เพือ่ รวบรวมขอ้ มูลเชิงปริมาณหรือ เชิงคณุ ภาพด้วย เช่น การสงั เกตพฤติกรรม การสมั ภาษณ์การตรวจผลงานต่างๆ ท่ีกาหนดใหผ้ ปู้ ระเมนิ ทา 3) การประเมินผล (evaluation) หมายถึง กระบวนการอยา่ งมีระบบท่นี าข้อมลู จากการ วัดผลมาตีค่าและตดั สินคุณคา่ ของผเู้ รยี น ซง่ึ การวดั ผลและการประเมินผลเป็นกระบวนการทม่ี ีความ ต่อเน่อื ง เมอ่ื มีการวัดผลจะทาใหไ้ ดข้อมลู และรายละเอียดหลายดา้ น เมื่อนาขอ้ มลู ดังกลา่ วมาวเิ คราะห์ เปรียบเทยี บกับเกณฑใ์ ด เกณฑห์ นึ่งเพ่ือตีคา่ หรือสรปุ คณุ ค่าออกมาถือวา่ เปน็ กระบวนการประเมินผล การประเมินจะมคี วามถูกต้องเทย่ี งตรง เพยี งใดขนึ้ กบั ความถูกต้องของผลการวัด ** ความสาคัญของการวดั และประเมินผล 1. การจัดการเรียนการสอนหนึง่ ๆ ควรมีการตรวจสอบคณุ ภาพของผู้เรียน ผู้สอน และ กระบวนการสอนเปน็ ระยะๆ (formative evaluation) เพือ่ พจิ ารณาตรวจสอบว่า ผเู้ รยี นมีคุณสมบัติ หรือเกดิ พฤติกรรมท่พี งึ ประสงค์ตรง ตามวัตถปุ ระสงค์ของการเรยี นการสอนตรงตามทก่ี าหนดไว้หรอื ไม่ 2. การวดั ผลทางการศกึ ษา เปน็ กระบวนการวัดการเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมของผู้เรียนนิยม วัดผลการเรยี นรู้ เปน็ 3 ด้าน คือ 1) พทุ ธิพสิ ยั (cognitive domain) 2) จติ พิสัย (affective domain) 3) ทักษะพิสยั (psychomotor domain) 3. การประเมินผลทางการศกึ ษาท่นี ิยมใชม้ ี 2 ลกั ษณะคอื 1) ประเมนิ ผลเพ่ือการพัฒนา (formative evaluation) เปน็ การประเมนิ ผลระหว่าง การจัดการเรียนการสอน นิยมใช้เพือ่ ตรวจสอบการเรียนรูและความก้าวหน้าของผเู้ รยี นหรอื ปรบั ปรุง คุณภาพการเรียนการสอน มกั ใช้แบบทดสอบ การสังเกต การซักถาม หรือเครื่องมือวดั อนื่ ๆ ที่เหมาะสม ระยะเวลามกั ทาเมอ่ื สิน้ สดุ การเรยี นการสอนเร่ืองหน่งึ ๆ สนใจสง่ั ชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
268 2) การประเมินผลสรุป (summative evaluation) เปน็ การประเมินผลเมอื่ สน้ิ สุด การเรียนการสอนแลว มวี ัตถุประสงค์เพอ่ื ประเมนิ ผลสัมฤทธิก์ ารเรยี นรู้ของผเู้ รยี นมักทาปลายภาค การศกึ ษาและตัดสินผลการเรียน ** เครือ่ งมือสาหรบั การวดั และประเมนิ ผลทางการศกึ ษาท่ดี ี 1) ความเทีย่ งตรง (validity) คอื สามารถวัดได้ตรงตามวัตถปุ ระสงค์หรือส่ิงทต่ี ้องการวดั 2) มคี วามเชอ่ื มนั่ (reliability) คอื ผลที่วัดคงท่ีแนน่ อนไมเปล่ยี นไปมา วดั ซา้ ก่คี ร้งั กับกลุ่ม ตวั อยา่ งเดิมไดผ้ ลเท่าเดมิ หรอื ใกล้เคยี งกัน สอดคลองกนั นยิ มใช้คอื สูตรคานวณ KR-20 และ KR-21 โดยมคี ่าอยรู่ ะหวา่ ง 0 ถึง 1.00 3) มคี วามยากง่ายพอเหมาะ คือ ไม่ยากหรอื งา่ ยเกนิ ไป มีค่าอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 (นอ้ ยกว่า 0.20 ถือว่ายาก หรอื มากกว่า 0.80 ถอื วา่ งา่ ย) 4) มอี านาจจาแนกไดส้ ามารถแบง่ แยกผสู้ อบออกตามระดับ ความสามารถเก่งและออ่ นได้โดย คนเกง่ จะตอบขอ้ สอบได้ถูกมากกว่าคนออ่ น ค่าอานาจจาแนกควรมีค่าต้ังแต่ 0.20 ขนึ้ ไป ** หลกั การวดั ผลการศึกษา 1. ต้องวัดให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเรยี นการสอน คอื การวดั ผลจะเปน็ สิง่ ตรวจสอบผล จากการสอนของครวู ่า นักเรียนเกดิ พฤตกิ รรมตามที่ระบไุ วใ้ นจดุ ม่งุ หมายการสอนมากน้อยเพียงใด 2. เลอื กใชเ้ คร่ืองมอื วัดท่ดี แี ละเหมาะสม การวัดผลครตู ้องพยายามเลือกใชเ้ ครื่องมือวัดทม่ี ี คณุ ภาพ ใชเ้ ครอื่ งมอื วัดหลาย ๆ อย่าง เพื่อช่วยใหก้ ารวัดถูกต้องสมบูรณ์ 3. ระวังความคลาดเคลื่อนหรือความผดิ พลาดของการวัด เม่ือจะใช้เคร่อื งมอื ชนิดใด ตอ้ งระวงั ความบกพรอ่ งของเคร่ืองมือหรือวธิ กี ารวัดของครู 4. ประเมนิ ผลการวดั ใหถ้ ูกตอ้ ง เชน่ คะแนนทีเ่ กิดจาการสอนครูตอ้ งแปลผลใหถ้ กู ต้อง สมเหตุสมผลและมีความยุตธิ รรม 5. ใช้ผลการวัดให้ค้มุ ค่า จุดประสงค์สาคญั ของการวดั ก็คือ เพือ่ คน้ และพัฒนาสมรรถภาพของ นักเรียน ตอ้ งพยายามค้นหาผู้เรียนแตล่ ะคนว่า เดน่ -ด้อยในเรอ่ื งใด และหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขแตล่ ะ คนใหด้ ขี น้ึ ** จุดม่งุ หมายของการวัดผลการศกึ ษา 1. วดั ผลเพอ่ื และพัฒนาสมรรถภาพของนกั เรยี น หมายถงึ การวดั ผลเพอ่ื ดูวา่ นกั เรียน บกพร่องหรอื ไมเ่ ข้าใจในเรื่องใดอย่างไร แลว้ ครูพยายามอบรมสั่งสอนให้นักเรียนเกดิ การเรียนร้แู ละมี ความเจริญงอกงามตามศกั ยภาพของนกั เรยี น 2. วดั ผลเพื่อวนิ จิ ฉยั หมายถงึ การวดั ผลเพื่อค้นหาจดุ บกพร่องของนักเรยี นทม่ี ีป๎ญหาว่า ยังไม่เกิดการเรยี นรู้ตรงจุดใด เพ่อื หาทางชว่ ยเหลอื 3. วัดผลเพื่อจัดอันดบั หรือจดั ตาแหนง่ หมายถึง การวัดผลเพือ่ จดั อนั ดับความสามารถ ของนักเรียนในกลุม่ เดียวกันวา่ ใครเก่งกว่า ใครควรได้ลาดับท่ี 1, 2, 3 สนใจส่งั ชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
269 4. วดั ผลเพือ่ เปรยี บเทยี บหรอื เพ่อื ทราบพัฒนาการของนักเรยี น หมายถึง การวดั ผลเพอ่ื เปรียบเทียบความสามารถของนกั เรียนเอง เชน่ การทดสอบกอ่ นเรียน และหลังเรียนแล้วนาผลมา เปรียบเทียบกนั 5. วดั ผลเพอ่ื พยากรณ์ หมายถงึ การวดั เพือ่ นาผลท่ไี ดไ้ ปคาดคะเนหรอื ทานายเหตุการณ์ ในอนาคต 6. วัดผลเพื่อประเมินผล หมายถงึ การวดั เพ่อื นาผลทไี่ ด้มาตัดสิน หรอื สรุปคุณภาพของ การจัดการศึกษาวา่ มีประสิทธิภาพสงู หรือตา่ ควรปรับปรุงแกไ้ ขอยา่ งไร ** มาตรการวัด การวดั เป็นการกาหนดตัวเลขให้กับสิง่ ทตี่ อ้ งการศกึ ษาภายใตก้ ฎเกณฑ์ทแ่ี น่นอน ผ้วู ดั จาเปน็ จะต้องทราบคุณลักษณะของข้อมูลท่ีถูกวดั เพอ่ื ใช้ในการพิจารณาวา่ จะเลอื กใช้วิธีการทางสถิติใด จึงจะเหมาะสม ดงั นัน้ จงึ ควรทราบวา่ ข้อมูลท่ีถูกวดั มานั้นอย่ใู นมาตรการวดั ระดบั ใด ซึง่ มาตรการวดั แบง่ ออกเป็น 4 ระดบั คอื ระดับที่ 1 มาตรการวัดระดบั นามบัญญัติ (Nominal Scale) เปน็ ระดบั ทใี่ ช้จาแนกความ แตกต่างของสิ่งทตี่ อ้ งการวัดออกเป็นกล่มุ ๆ โดยใช้ตัวเลข เช่น ตัวแปรเพศ แบ่งออกเปน็ กลุ่มเพศชาย และกลมุ่ เพศหญิง ในการกาหนดตวั เลขอาจจะใช้เลข 1 แทนเพศชาย และเลข 2 แทนเพศหญิง เปน็ ตน้ ตัวเลข 1 หรือ 2 หรอื 3 ทีใ่ ชแ้ ทนกลุม่ ต่าง ๆ นนั้ ถอื เป็นตัวเลขในระดบั นามบัญญัติไม่สามารถนามา บวก ลบ คูณ หาร หรือหาสัดสว่ นได้ ระดับท่ี 2 มาตรการวัดระดบั เรยี งอนั ดับ (Ordinal Scales) เปน็ ระดบั ทใ่ี ช้สาหรับจดั อันดบั ทห่ี รือตาแหนง่ ของสงิ่ ทีต่ อ้ งการวดั ตวั เลขในมาตรการวัดระดบั นีเ้ ป็นตัวเลขท่บี อกความหมายใน ลักษณะมาก-นอ้ ย สูง-ตา่ เกง่ -ออ่ น กว่ากัน เช่น การประกวดรอ้ งเพลง นางสาวเขยี วได้รางวัลที่ 1 นางสาวชมพูไดร้ างวัลท่ี 2 นางสาวเหลืองได้รางวลั ที่ 3 เปน็ ต้น ตวั เลขอันดบั ที่แตกตา่ งกันไม่สามารถ บ่งบอกถงึ ปริมาณความแตกตา่ งได้ เชน่ ไมส่ ามารถบอกไดว้ า่ ผ้ทู ่ปี ระกวดรอ้ งเพลงได้รางวัลท่ี 1 มคี วาม เก่งมากกว่าผทู้ ี่ได้รางวลั ท่ี 2 ในปรมิ าณเทา่ ใด ตวั เลขในระดับน้สี ามารถนามาบวกหรือลบ กนั ได้ ระดบั ที่ 3 มาตรการวัดระดบั ช่วง (Interval Scale) เปน็ ระดับทสี่ ามารถกาหนดคา่ ตวั เลข โดยมีชว่ งห่างระหวา่ งตัวเลขเทา่ ๆ กนั สามารถนาตวั เลขมาเปรียบเทยี บกันได้วา่ ว่ามีปริมาณมากนอ้ ย เท่าใด แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเปน็ กีเ่ ท่าของกันและกัน เพราะมาตรการวัดระดับนี้ไมม่ ี 0 (ศนู ย)์ แท้ มี แต่ 0 (ศูนย์) สมมติ เช่น นายวิชัยสอบได้ 0 คะแนน มไิ ดห้ มายความว่าเขาไม่มีความรู้ เพียงแตเ่ ขาไม่ สามารถทาขอ้ สอบซ่ึงเป็นตวั แทนของความรทู้ ง้ั หมดได้ เป็นตน้ ตวั เลขในระดับนีส้ ามารถนามาบวก ลบ คูณ หรอื หารกนั ได้ ระดับท่ี 4 มาตรการวัดระดับอัตราสว่ น (Ratio Scale) เป็นระดับที่สามารถกาหนด คา่ ตวั เลขให้กบั ส่ิงทต่ี ้องการวัด มี 0 (ศนู ย)์ แท้ เชน่ นา้ หนกั ความสงู อายุ เป็นต้น ระดับนี้สามารถนา สนใจสั่งช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
270 ตัวเลขมาบวก ลบ คูณ หาร หรือหาอัตราสว่ นกนั ได้ คอื สามารถบอกได้ว่า ถนนสายหน่งึ ยาว 50 กิโลเมตร ยาวเป็น 2 เท่าของถนนอีกสายหน่ึงทยี่ าวเพียง 25 กิโลเมตร ดงั นัน้ ผู้วดั จงึ ตอ้ งมีความรใู้ นเร่อื งของมาตรการวัดระดบั ตา่ ง ๆ เป็นอยา่ งดี เพื่อจะได้ทราบว่า ผลการวัดน้นั ควรใชม้ าตรการวัดระดับใด เพ่ือประโยชน์ในการเลือกใช้วิธกี ารทางสถิตใิ หม้ ีความถูกตอ้ ง เหมาะสม ** การวดั ผล (Measurement) แบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ 1. วัดทางตรง วัดคุณลกั ษณะทีต่ ้องการโดยตรง เชน่ ส่วนสูง น้าหนกั ฯลฯ มาตราวดั จะ อยใู่ นระดับ Ratio Scale 2. วัดทางอ้อม วดั คณุ ลักษณะท่ีต้องการโดยตรงไมไ่ ด้ ตอ้ งวัดโดยผา่ นกระบวนการทาง สมอง เชน่ วดั ความรู้ วดั เจตคติ วัดบุคลิกภาพ ฯลฯ มาตราวัดจะอยู่ในระดบั Interval Scale การวัดทางอ้อมแบ่งออกเปน็ 3 ดา้ นคือ 1)ดา้ นสตปิ ญ๎ ญา (Cognitive Domain) เช่น วดั ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน วัดเชาวน์ป๎ญญา วัดความถนดั ทางการเรียน วัดความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ 2)ด้านความรู้สกึ (Affective Domain) เช่น วัดความสนใจ วดั เจตคติ วัดบุคลกิ ภาพ วัดความวติ กกังวล วดั จริยธรรม ฯลฯ 3)ด้านทกั ษะกลไก (Psychomotor Domain) เช่น การเคลอื่ นไหว การปฏิบตั โิ ดยใช้ เครื่องมอื ฯลฯ ** การประเมนิ ผล (Evaluation) แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท การประเมินแบบองิ กลมุ่ และการประเมนิ แบบอิงเกณฑ์ 1. การประเมินแบบองิ กลมุ่ เปน็ การเปรยี บเทยี บคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของ บุคคลใดบุคคลหนึง่ กบั บุคคลอน่ื ๆ ที่ไดท้ าแบบทดสอบเดียวกันหรือได้ทางานอย่างเดยี วกัน น่ันคือเป็น การใชเ้ พือ่ จาแนกหรือจัดลาดบั บคุ คลในกลุม่ การประเมินแบบนมี้ กั ใชก้ ับการ การประเมนิ เพ่ือคดั เลอื ก เขา้ ศกึ ษาตอ่ หรอื การสอบชงิ ทนุ ตา่ ง ๆ 2. การประเมนิ แบบอิงเกณฑ์ เปน็ การเปรียบเทยี บคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของ บคุ คลใดบุคคลหนึ่งกับเกณฑห์ รอื จุดมุ่งหมายที่ไดก้ าหนดไว้ เชน่ การประเมินระหว่างการเรียนการสอน ว่าผ้เู รียนได้บรรลุวัตถุประสงคก์ ารเรียนรู้ท่ีได้กาหนดไวห้ รอื ไม่ **การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น ** แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน มีขั้นตอนการสร้างแบง่ ได้ 3 ขนั้ ตอนใหญ่ ๆ คือ ข้ันที่ 1 ขัน้ วางแผนการสร้างแบบทดสอบ ประกอบด้วย 1) กาหนดจดุ ม่งุ หมายของการทดสอบ ส่งิ สาคัญประการแรกท่ผี ู้สร้างขอ้ สอบจะต้อง รู้ คือ อะไรคือจดุ มุง่ หมายของการทดสอบ ทาไมจึงต้องมกี ารสอบ และจะนาผลการสอบไปใช้อย่างไร 2) กาหนดเน้อื หาและพฤติกรรมทีต่ ้องการวดั เนื้อหาท่ตี ้องการวดั ได้จากจุดมุ่งหมาย ของการทดสอบ ผู้สร้างขอ้ สอบจะตอ้ งวิเคราะหจ์ าแนกเนือ้ หาท่ตี ้องการวัดใหค้ รอบคลมุ เนือ้ หาทัง้ หมด สนใจสัง่ ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
271 สาหรับพฤตกิ รรมทต่ี ้องการวัดนัน้ อาจจาแนกตามทฤษฎีใด ทฤษฎหี นึ่ง เช่น ทฤษฎีของบลมู (Benjamin S. Bloom) ซ่ึงจาแนกพฤตกิ รรมเป็น 6 ระดบั คือ ความรู้ ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การ วิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมนิ คา่ เป็นตน้ 3) กาหนดลักษณะหรือรูปแบบของแบบทดสอบ อาจเลอื กแบบทดสอบประเภท ความเรยี งหรอื แบบทดสอบอตั นัย (Subjective Test) แบบตอบสน้ั และเลือกตอบหรือแบบทดสอบ ปรนัย Objective Test) ซึง่ ข้นึ อยู่กบั จุดมุ่งหมายของการทดสอบเช่นกนั 4) การจดั ทาตารางวิเคราะห์เนอ้ื หาและพฤตกิ รรมท่ตี ้องการวดั เปน็ การวางแผนผัง การสร้างข้อสอบ ทาให้ผู้สร้างข้อสอบรวู้ า่ ในแต่ละเนื้อหาจะต้องสรา้ งข้อสอบในพฤติกรรมใดบ้าง พฤตกิ รรมละกีข่ ้อ 5) กาหนดสว่ นอืน่ ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การสอบ เช่น คะแนน ระยะเวลาการสอบ ขนั้ ที่ 2 ขน้ั ดาเนินการสร้างแบบทดสอบ เปน็ การเขยี นข้อสอบ ตามเนือ้ หา พฤติกรรม และรูปแบบของแบบทดสอบที่กาหนดไว้ โดยจัดทาเปน็ แบบทดสอบฉบับรา่ ง ขนั้ ที่ 3 ข้นั ตรวจสอบคุณภาพขอ้ สอบกอ่ นนาไปใช้ เมอ่ื สรา้ งแบบทดสอบแลว้ จงึ นา แบบทดสอบไปทดลองใช้เพือ่ ตรวจสอบคุณภาพ ซึง่ คณุ ภาพของแบบทดสอบอาจพิจารณาทง้ั คณุ ภาพ ของแบบทดสอบรายข้อ ได้แก่ ความยาก (difficulty) และอานาจจาแนก (discrimination) และ คณุ ภาพของแบบทดสอบทัง้ ฉบับ ได้แก่ ความเทยี่ งตรง (validity) และความเชอ่ื ม่ัน (reliability) การตรวจสอบสามารถทาไดท้ ้ังตรวจสอบเองและให้ผเู้ ชีย่ วชาญตรวจ การตรวจเองเป็นการตรวจสอบ คณุ ภาพของข้อคาถาม - คาตอบตามหลกั การสร้างข้อสอบทด่ี ี สาหรับการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญจะเปน็ การตรวจสอบความเทย่ี งตรงเชิงเนื้อหา เพื่อดูว่าข้อคาถามแตล่ ะขอ้ สัมพนั ธส์ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ ของการวัดหรือไม่ ครอบคลุมเนอื้ หาและเป็นตัวแทนของเนื้อหาท่กี าหนดหรือไม่ ** แบบทดสอบที่ดคี วรมคี ุณสมบัติ ดงั นี้ 1. ความเชอื่ มน่ั (reliability) เปน็ ความคงเส้นคงวาของของคะแนนท่ไี ดจ้ ากการทดสอบโดย ใชแ้ บบทดสอบน้ันหลายๆ ครงั้ กบั ผูเ้ ข้าสอบกลุ่มเดยี วกัน ความเชอื่ ม่ันเปน็ คณุ ภาพของแบบทดสอบทัง้ ฉบบั มีค่าต้งั แต่ 0 – 1 โดยมแี นวทางในการพจิ ารณา ดังน้ี ถา้ ความเชื่อมน่ั น้อยกวา่ 0.70 หมายความวา่ ความน่าเชอ่ื ถอื คอ่ นขา้ งตา่ (ควรปรับปรุง) ถ้าความเชอ่ื มน่ั มากกว่าหรือเทา่ กับ 0.70 หมายความว่าความน่าเชื่อถอื ยอมรับได้ (สงั คม / มนษุ ยศาสตร์ ถ้าความเชอื่ มน่ั มากกวา่ หรือเท่ากับ 0.80 หมายความวา่ ความนา่ เช่ือถือยอมรับได้ (วทิ ยาศาสตร์ / คณิตศาสตร)์ ถา้ ความเชอื่ ม่ันมากกวา่ หรือเทา่ กับ 0.90 หมายความว่าความน่าเชอ่ื ถือไดม้ าตรฐาน ระดับสากล สนใจสงั่ ชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
272 2. ความเที่ยงตรง (validity) เปน็ ความสอดคล้องของแบบทดสอบกับวัตถปุ ระสงคใ์ นการวัด คอื วดั ได้ตรงกับสิ่งทต่ี อ้ งการจะวดั ความเที่ยงตรงแบง่ เปน็ 3 ประเภท คอื ความเท่ียงตรงตามเน้ือหา (content validity) หมายถงึ คณุ สมบัตขิ องแบบทดสอบทสี่ ามารถวดั เนื้อหาวชิ าไดต้ รงตามทกี่ าหนดไว้ ในหลักสตู ร ความเทีย่ งตรงตามเกณฑ์ (criterion-related validity) หมายถึงคุณสมบัติของ แบบทดสอบทส่ี ามารถนาคะแนนจากการทดสอบน้นั มาใชใ้ นการพยากรณ์ผลการเรยี นได้ ความเท่ยี งตรงตามโครงสร้าง (construct validity) หมายถึงคุณสมบัติของแบบทดสอบทสี่ ามารถ วัดสมรรถภาพของสมองด้านต่างๆ ได้ 3. ความเป็นปรนยั (objectivity) เป็นคณุ สมบตั ิของแบบทดสอบ 3 ประการ คือ 1) อา่ น แล้วเข้าใจตรงกัน 2)การตรวจให้คะแนนตรงกัน 3)การแปลความหมายของคะแนนตรงกนั 4. ความยาก (difficulty) หมายถงึ สดั สว่ นของจานวนผทู้ ่ที าข้อสอบถกู กับจานวนผู้เข้าสอบ ทงั้ หมด ความยากมคี ่าตงั้ แต่ 0 – 1 ใช้สัญลกั ษณ์ p แทน ความยากคา่ ความยากงา่ ยมีคา่ อยู่ระหวา่ ง 0.20 – 0.80 โดยมคี วามหมายเช่น ถ้า p <> 0.80 ขอ้ สอบง่ายมาก 5. อานาจจาแนก (discrimination) เป็นประสทิ ธิภาพของข้อสอบในการจาแนกเด็กเก่ง ออกจาก เด็กอ่อน อานาจจาแนกมคี า่ ต้ังแต่ -1 ถงึ +1 ใช้สญั ลักษณ์ r แทนอานาจจาแนก คา่ อานาจ จาแนกมคี ่าเป็นบวก ตง้ั แต่ 0.20 ขนึ้ ไป โดยมคี วามหมาย เช่น r <> 0.60 ข้อสอบมอี านาจจาแนกดี มาก สนใจส่งั ชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
273 แนวขอ้ สอบ การวดั และประเมินผลการศึกษา 1. การวดั ผล (Measurement) หมายถงึ ก. กระบวนการกาหนดตัวเลข หรอื สัญลักษณ์ใหก้ ับบคุ คล สิ่งของ หรอื เหตกุ ารณอ์ ยา่ งมกี ฎเกณฑ์ เพ่อื ใหไ้ ดข้ ้อมลู ที่แทนปรมิ าณ หรือ คุณภาพของลักษณะทว่ี ดั ข. การตัดสนิ คุณค่า หรอื คณุ ภาพของผลท่ไี ด้จากการวดั จากการเรียนการสอน ค. การจัดระบบการเรยี นการสอน ของครูผู้สอน ง. กระบวนการออกแบบและจัดระบบการเรียนรู้ กาหนดจุดม่งุ หมาย เพื่อเตรยี มไวใ้ หผ้ เู้ รียนได้ ศึกษา 2. การประเมนิ ผล (Evaluation) หมายถึง ก. การจัดระบบการเรยี นการสอน ของครูผสู้ อน ข. การตัดสินคณุ คา่ หรอื คณุ ภาพของผลทไ่ี ดจ้ ากการวัด โดยเปรยี บเทียบกับผลการวดั อ่ืนๆ หรือ เกณฑ์ทตี่ งั้ ไว้ ค. กระบวนการกาหนดตัวเลข หรือสัญลกั ษณใ์ ห้กับบุคคล สงิ่ ของ หรือเหตุการณอ์ ย่างมกี ฎเกณฑ์ เพ่อื ให้ไดข้ ้อมูลทแ่ี ทนปรมิ าณ หรือ คุณภาพของลกั ษณะท่ีวดั ง. กระบวนการออกแบบและจัดระบบการเรียนรู้ กาหนดจดุ มุ่งหมาย เพื่อเตรียมไว้ให้ผเู้ รยี นได้ ศกึ ษา 3. ข้อใดไม่ใช่ความมุ่งหมายของการวัดผล ก. วดั ผลเพอ่ื จดั อันดับ ข. วดั ผลเพอื่ วนิ ิจฉยั ค. วัดเพอ่ื เปรียบเทยี บ ง. วัดเพื่อกระจายผล 4. ข้อใดสาคญั ทส่ี ดุ ของ หลักการวดั ผล ก. แปรผลได้ถกู ตอ้ ง ข. มีความยตุ ิธรรม ค. วดั ใหต้ รงวตั ถุประสงค์ ง. คุ้มค่า 5. ข้อใดไม่ใช่ประเภทของการประเมนิ ผลจาแนกตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมิน ก. การประเมินกอ่ นเรียน ข. การประเมินระหว่างเรียน ค. การประเมนิ ระหว่างบุคคล ง. การประเมนิ ผลรวมสรุป 6. จงเรยี งลาดับขนั้ ตอนในการวัดและประเมนิ ผล ก. กาหนดจดุ มุ่งหมายในการวัด > เลือกและสรา้ งเครื่องมือ > ตรวจสอบคุณภาพของเครอื่ งมอื วัด > ดาเนินการวดั > ตรวจและรวบรวมผลการวัด ข. กาหนดจุดมุ่งหมายในการวดั > เลอื กและสร้างเครือ่ งมอื > ตรวจสอบคณุ ภาพของเครอ่ื งมือวัด > ตรวจและรวบรวมผลการวัด > ประเมินผล สนใจสง่ั ชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
274 ค. กาหนดจุดมุ่งหมายในการวดั > เลอื กและสร้างเครอื่ งมือ > ตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมือวัด > ดาเนนิ การวัด > ตรวจและรวบรวมผลการวัด > ประเมนิ ผล > นาเสนอผลงาน ง. กาหนดจดุ มุง่ หมายในการวดั > เลอื กและสรา้ งเครื่องมือ > ตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมอื วัด > ดาเนนิ การวัด > ตรวจและรวบรวมผลการวัด > ประเมนิ ผล 7. ข้อใดไม่ใช่เครอ่ื งมอื วดั พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ ก. เครื่องมอื วดั พฤตกิ รรมด้านพทุ ธิพสิ ัย ข. เครอ่ื งมือวัดพฤตกิ รรมดา้ นธรรมพสิ ัย ค. เครอื่ งมอื วัดพฤตกิ รรมดา้ นจติ พิสยั ง. เครือ่ งมือวดั พฤตกิ รรมด้านทักษะพสิ ัย 8. “เพอื่ ความเจรญิ งอกงามของผเู้ รยี น” จากขอ้ ความข้อใดทผ่ี ู้ประเมินไม่ต้องคานึงถึงในการ ประเมนิ ผลการศึกษา ก. เจตคติของผู้เรยี น ข. คา่ นยิ ม คุณธรรม ค. ความสนใจการทางาน ง. ความรู้ความเขา้ ใจ 9. “พฤตกิ รรมทเี่ ก่ยี วกบั สตปิ ญั ญา ความรู้ ความคดิ หรือพฤติกรรมทางด้านสมองของบุคคล” คอื พฤตกิ รรมการเรยี นรใู้ ด ก. พฤติกรรมดา้ นพทุ ธิพิสัย ข. พฤตกิ รรมดา้ นธรรมพิสยั ค. พฤติกรรมดา้ นจิตพิสัย ง. พฤติกรรมดา้ นทกั ษะพิสยั 10. “พฤตกิ รรมทางด้านจิตใจ ซึ่งจะเกย่ี วกบั ค่านิยม ความรสู้ กึ ความซาบซง้ึ ทัศนคติ ความเชอ่ื ความสนใจ และคณุ ธรรม” คือพฤตกิ รรมการเรียนรู้ใด ก. พฤติกรรมดา้ นพุทธพิ ิสยั ข. พฤติกรรมด้านธรรมพิสัย ค. พฤติกรรมด้านจติ พิสยั ง. พฤตกิ รรมด้านทักษะพิสัย 11. “พฤติกรรมการเรียนรูท้ บ่ี ง่ ถงึ ความสามารถในการปฏบิ ัตงิ านไดอ้ ยา่ งคล่องแคลว่ ชานชิ านาญ” คอื พฤติกรรมการเรียนรูใ้ ด ก. พฤติกรรมดา้ นพทุ ธพิ สิ ัย ข. พฤติกรรมด้านธรรมพิสยั ค. พฤตกิ รรมด้านจิตพิสยั ง. พฤตกิ รรมดา้ นทกั ษะพิสยั 12. “คุณสมบัตขิ องเคร่ืองมือ ทสี่ ามารถวัดไดต้ ามวัตถปุ ระสงคท์ ่ตี ้องการวดั ” มีความหมายตรงกบั ขอ้ ใด ก. ความเชื่อมัน่ ข. ความเทยี่ งตรง ค. อานาจจาแนก ง. ความเป็นปรนัย 13. “การหาความตรงเชงิ เนื้อหา ท่ใี หผ้ ้เู ช่ียวชาญตรวจสอบความสอดคล้อง แล้วนาผลการ ตรวจสอบมาคานวณหาคา่ ความสอดคล้องระหวา่ งขอ้ คาถาม กบั วัตถุประสงค์” มคี วามหมายตรง กบั ขอ้ ใด ก. VLT : Validity ข. RLT : Reliability ค. IOC : item objective congruence index ง. DRN : Discrimination สนใจส่งั ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
275 14. การหาความตรงเชิงเนอื้ หา ท่ีให้ผเู้ ช่ียวชาญตรวจสอบ ต้องมผี ู้เชยี่ วชาญอยา่ งน้อยจานวนกค่ี น ในการพจิ ารณา ก. 2 คน ข. 3 คน ค. 4 คน ง. 5 คน 15. ถา้ ข้อสอบ ข้อใดได้คะแนนเฉล่ียตงั้ 0.50 ถึง 1.00 แสดงวา่ ก. ข้อสอบวดั ได้ไมต่ รงจุดประสงค์ ข. ขอ้ สอบไม่มคี วามสอดคล้อง ค. ขอ้ สอบวัดไดต้ รงจุดประสงค์ ง. ขอ้ สอบตอ้ งปรับปรงุ 16. ถา้ ขอ้ สอบ ข้อใดไดค้ ะแนนเฉล่ียตา่ กวา่ 0.50 แสดงว่า ก. ตอ้ งนาขอ้ สอบไปปรับปรุงแกไ้ ข ข. ขอ้ สอบไมต่ ้องปรับปรงุ แกไ้ ข ค. ขอ้ สอบวัดได้ตรงจุดประสงค์ ง. ไมต่ ้องนาข้อสอบไปปรับปรุงแกไ้ ข 17. ค่าความเชื่อมน่ั (Reliability) บอกใหท้ ราบวา่ ก. เคร่ืองมือหาค่าความสอดคล้องระหวา่ งขอ้ คาถาม ข. เครือ่ งมือวัดไดไ้ ม่คงท่ี ไม่ว่าจะใชว้ ัดกี่คร้งั กบั กลมุ่ เดิมก็ตาม ค. เครอ่ื งมอื หาคา่ ความยากง่ายพอเหมาะ ง. เคร่อื งมือวัดได้คงที่ ไม่วา่ จะใช้วัดกคี่ รง้ั กับกลมุ่ เดิมกต็ าม 18. คา่ ความยาก (Difficulty) บอกให้ทราบวา่ ก. ขอ้ สอบนั้นมีคนตอบถูกมาก ข. ขอ้ สอบนนั้ มคี นตอบถูกน้อย ค. ขอ้ สอบน้นั มคี นตอบถูกมากหรือน้อย ง. ขอ้ สอบนน้ั มคี นตอบผดิ มากหรือน้อย 19. ต้องใช้เครื่องมือวัดผลใด หาคา่ “คนเกง่ จะตอบถูก คนไมเ่ กง่ จะตอบผิด” ก. ค่าความสอดคล้อง (IOC : item objective congruence index) ข. ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ค. คา่ ความยาก (Difficulty) ง. คา่ อานาจจาแนก (Discrimination) 20. “สอื่ ให้เหน็ ถึงความชดั เจน ความถูกตอ้ งตามหลกั วชิ าการ และความเข้าใจตรงกนั ” คอื ความหมายของข้อใด ก. อานาจจาแนก (Discrimination) ข. ความเชือ่ มั่น (Reliability) ค. ความเป็นปรนัย (Objectivity) ง. ความเป็นอตั นัย (Subjectivity) 21. “ความยดึ ถอื ในความคิดเห็น ความร้สู ึก เหตุผลของแตล่ ะบคุ คลเป็นสาคญั ” คือความหมายของ ข้อใด ก. อานาจจาแนก (Discrimination) ข. ความเช่ือมัน่ (Reliability) ค. ความเป็นปรนัย (Objectivity) ง. ความเป็นอัตนัย (Subjectivity) สนใจส่ังชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
276 22. กระบวนการท่ีนาข้อมูลจากการวดั ผล มาวนิ ิจฉยั ตดั สนิ คณุ ภาพโดยใช้เกณฑ์ คือความหมาย ของข้อใด ก. การทดสอบ ข. การวเิ คราะห์ ค. การประเมินผล ง. การตัดสินใจ 23. “จาแนกสง่ิ ทัง้ หลายออกเป็นพวก เพอ่ื สะดวกในการจา เช่น คนสัตว์ สง่ิ ของ” คือการวัดในข้อ ใด ก. มาตรานามบญั ญตั ิ (Nominal Scale) ข. มาตราเรยี งอนั ดับ (Ordinal Scale) ค. มาตราอนั ตรภาค (Interval Scale) ง. มาตราอตั ราส่วน (Ratio Scale) 24. “ประเมินเปรยี บเทยี บแลว้ จัดอนั ดับ เช่น ดี เลว อ่อน ปานกลาง เก่ง สอบไดท้ ี่ 1,2,3,” คอื การ วดั ในขอ้ ใด ก. มาตรานามบัญญตั ิ (Nominal Scale) ข. มาตราเรียงอนั ดบั (Ordinal Scale) ค. มาตราอันตรภาค (Interval Scale) ง. มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale) 25. “ความยาว ความกวา้ ง ความสูง การชั่งน้าหนัก” คอื การวัดในข้อใด ก. มาตรานามบญั ญัติ (Nominal Scale) ข. มาตราเรียงอนั ดับ (Ordinal Scale) ค. มาตราอนั ตรภาค (Interval Scale) ง. มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale) 26. ขอ้ ใดคือความหมายของ คา่ เฉล่ีย (Mean, X) ก. คะแนนทอี่ ยู่กึ่งกลางของกล่มุ ข. ค่าสถิตติ ัวหนง่ึ ทใ่ี ช้บรรยายสภาพกลมุ่ หรือคะแนนของกลุม่ ซึง่ คา่ เฉลีย่ จะทาหน้าทีเ่ ป็นตวั แทน ของกลมุ่ โดยการนาข้อมูลทง้ั หมดมารวมกนั แลว้ หารดว้ ยจานวนของขอ้ มลู ค. คะแนนที่มีความถซ่ี า้ กนั มากท่ีสุด ง. คา่ สถิตทิ ใ่ี ช้วัดการกระจายของคะแนนในกล่มุ 27. ขอ้ ใดคือความหมายของ มัธยฐาน (Mediam, mdn) ก. คะแนนที่อยูก่ ึ่งกลางของกล่มุ ข. คา่ สถติ ิตัวหนงึ่ ทใ่ี ชบ้ รรยายสภาพกลุ่มหรือคะแนนของกลมุ่ ซ่งึ ค่าเฉลีย่ จะทาหน้าที่เปน็ ตวั แทน ของกลุม่ โดยการนาข้อมลู ทั้งหมดมารวมกนั แลว้ หารด้วยจานวนของขอ้ มลู ค. คะแนนท่มี ีความถ่ซี า้ กันมากท่สี ุด ง. ค่าสถติ ิทใ่ี ช้วดั การกระจายของคะแนนในกล่มุ 28. ข้อใดคือความหมายของ ฐานนิยม (Mod) ก. คะแนนทอี่ ยูก่ ึ่งกลางของกล่มุ ข. ค่าสถติ ิตัวหนึ่งทใ่ี ช้บรรยายสภาพกลุม่ หรือคะแนนของกลมุ่ ซง่ึ คา่ เฉล่ยี จะทาหนา้ ที่เปน็ ตวั แทน ของกลุ่ม โดยการนาขอ้ มลู ท้ังหมดมารวมกัน แลว้ หารดว้ ยจานวนของข้อมลู ค. คะแนนทม่ี ีความถ่ีซ้ากันมากทสี่ ดุ สนใจสัง่ ชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
277 ง. ค่าสถติ ทิ ใ่ี ช้วัดการกระจายของคะแนนในกลุ่ม 29. ข้อใดคือความหมายของ ความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard deviation, SD) ก. คะแนนที่อยกู่ งึ่ กลางของกลมุ่ ข. คา่ สถติ ิตัวหนง่ึ ท่ีใชบ้ รรยายสภาพกลมุ่ หรือคะแนนของกล่มุ ซง่ึ ค่าเฉลย่ี จะทาหน้าที่เปน็ ตัวแทน ของกลมุ่ โดยการนาข้อมลู ทง้ั หมดมารวมกัน แล้วหารด้วยจานวนของข้อมลู ค. คะแนนทีม่ คี วามถซี่ า้ กันมากที่สดุ ง. ค่าสถิตทิ ี่ใชว้ ัดการกระจายของคะแนนในกลมุ่ 30. พฤตกิ รรมดา้ นสมองและสตปิ ัญญา คอื ข้อใด ก. พทุ ธิพสิ ยั (Cognitive Domain) ข. จิตพิสยั (Affective Domain) ค. ทกั ษะพิสยั (Psychomotor Domain) ง. ปฏิบตั ิพิสยั (Psychomotor Domain) 31. การเรยี นรทู้ างดา้ นจิตใจ คอื ข้อใด ก. พุทธพิ สิ ยั (Cognitive Domain) ข. จติ พิสยั (Affective Domain) ค. ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) ง. ปฏิบัติพิสัย (Psychomotor Domain) 32. พฤตกิ รรมทเ่ี ก่ียวกบั การทกั ษะในการเคล่อื นไหว การใชอ้ วยั วะต่างๆ คือข้อใด ก. พทุ ธพิ สิ ยั (Cognitive Domain) ข. จติ พสิ ัย (Affective Domain) ค. ทักษะพิสยั (Psychomotor Domain) ง. ปฏบิ ัตพิ ิสยั (Psychomotor Domain) 33. เครื่องมือในการให้คะแนน ซง่ึ ประกอบด้วยเกณฑ์ดา้ นต่างๆ ของความสาเรจ็ ในการเรยี น คือ ความหมายของขอ้ ใด ก. หน่วยกิต (Credit) ข. การทดสอบ (Testing) ค. การประเมนิ รวม (Summative Assessment) ง. รบู ริค (Rubric) 34. การให้คะแนนแบบใดมคี วามเปน็ ปรนัยสงู ในการตรวจให้คะแนน ก. หน่วยกิต (Credit) ข. การทดสอบ (Testing) ค. การประเมินรวม (Summative Assessment) ง. รบู ริค (Rubric) 35. ค่าน้าหนกั ที่กาหนดใหใ้ นหน่วยการเรยี นแตล่ ะรายวชิ า คอื ความหมายของข้อใด ก. หนว่ ยกิต (Credit) ข. การทดสอบ (Testing) ค. การประเมนิ รวม (Summative Assessment) ง. รูบริค (Rubric) สนใจสง่ั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
278 เฉลยแนวขอ้ สอบ 1. ก 2. ข 3. ง 4. ค 5. ค 6. ง 7. ข 8. ค 9. ก 10. ค 11. ง 12. ข 13. ค 14. ข 15. ค 16. ก 17. ง 18. ค 19. ง 20. ค 21. ง 22. ค 23. ก 24. ข 25. ง 26. ข 27. ก 28. ค 29. ง 30. ก 31. ข 32. ค 33. ง 34. ง 35. ก สนใจสัง่ ชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
279 กรอบการวัดและประเมินผลการเรียนตามหลักสตู รการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 มดี งั นี้ ******************** 1. การวัดและประเมินผลการเรยี นเปน็ รายวชิ า เป็นการประเมินเพอ่ื ทราบสภาพและ ความกา้ วหนา้ ทั้งด้านความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และคณุ ธรรมจรยิ ธรรม อนั เป็นผลมาจากการจัด กิจกรรม การเรียนรขู้ องสถานศึกษาในแตล่ ะรายวชิ า ดว้ ยวธิ ีการทห่ี ลากหลาย เช่น การสงั เกต การสัมภาษณ์ ประเมินจากแฟูมสะสมงาน ประเมนิ การปฏิบตั ิตามมาตรฐานการเรยี นรู้ (Performance Evaluation) ประเมนิ การปฏบิ ัติจริง (Authentic Assessment) ทดสอบยอ่ ย (Quiz) ประเมนิ จากกิจกรรม โครงงาน หรือแบบฝกึ หดั เปน็ ต้น โดยเลอื กใหส้ อดคลอ้ งและเหมาะสมกบั ธรรมชาติของรายวชิ าควบคู่ไปกบั กิจกรรมการเรยี นรูข้ องผ้เู รยี น การกาหนดคะแนนระหวา่ งภาคเรียนและปลายภาคเรยี นให้เป็นไปตาม เกณฑท์ ่ี สานกั งาน กศน.กาหนด โดยการวดั ผลระหว่างภาคเรียนสถานศึกษาเปน็ ผดู้ าเนินการ สาหรบั การวดั ผลปลายภาคเรยี น ให้เปน็ ไปตามทส่ี านกั งาน กศน.กาหนด **การตัดสินผลการเรียนรายวชิ า ให้นาคะแนนระหว่างภาคเรยี น มารวมกับคะแนน ปลาย ภาคเรยี น และจะตอ้ งได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 50 จึงจะถือว่าผ่านการเรยี นในรายวชิ านน้ั ทัง้ นี้ผเู้ รียนต้องเข้าสอบปลายภาคเรยี นด้วย และนาคะแนนไปเปรียบเทียบกบั เกณฑ์ที่กาหนด ค่าระดบั ผลการเรียนเปน็ 8 ระดบั ดงั นี้ ไดค้ ะแนนร้อยละ 80 – 100 ใหร้ ะดบั 4 หมายถงึ ดีเยี่ยม ได้คะแนนรอ้ ยละ 75 – 79 ใหร้ ะดับ 3.5 หมายถงึ ดมี าก ได้คะแนนรอ้ ยละ 70 – 74 ใหร้ ะดบั 3 หมายถงึ ดี ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ 65 – 69 ให้ระดับ 2.5 หมายถงึ คอ่ นข้างดี ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ 60 – 64 ให้ระดับ 2 หมายถงึ ปานกลาง ได้คะแนนรอ้ ยละ 55 – 59 ใหร้ ะดับ 1.5 หมายถงึ พอใช้ ได้คะแนนร้อยละ 50 – 54 ใหร้ ะดบั 1 หมายถงึ ผา่ นเกณฑข์ ั้นตา่ ท่กี าหนด ไดค้ ะแนนร้อยละ 0 – 49 ให้ระดบั 0 หมายถึง ต่ากวา่ เกณฑ์ขนั้ ตา่ ที่กาหนด กรณีผูเ้ รียนมผี ลการเรยี นตา่ กว่าเกณฑข์ ั้นตา่ ที่กาหนด ให้ดาเนินการพฒั นาผเู้ รยี นใน รายวิชาทไ่ี ดค้ า่ ระดับผลการเรยี นไม่ผา่ นเกณฑ์ดว้ ยวิธกี ารทีห่ ลากหลาย เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ ประเมนิ จากแฟมู สะสมงาน ประเมนิ การปฏบิ ตั ิตามมาตรฐานการเรียนรู้ (Performance Evaluation) ประเมินการปฏิบัติจริง (Authentic Assessment) ทดสอบยอ่ ย (Quiz) ประเมนิ จากกจิ กรรม โครงงาน หรอื แบบฝึกหดั เป็นตน้ คะแนนทดสอบปลายภาคเรียนในรายวิชาบงั คับทุกระดบั การศึกษา ผ้เู รยี นตอ้ งไดค้ ะแนน สอบปลายภาคเรยี นอยา่ งน้อยร้อยละ 30 ของคะแนนสอบปลายภาค (12 คะแนนจาก 40 คะแนน) สนใจสง่ั ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
280 กาหนดระยะเวลาเรยี นมาเปน็ เกณฑใ์ นการมีสทิ ธิเ์ ข้าสอบปลายภาคเรยี น โดยกาหนดให้ ผ้เู รยี นที่เรียนโดยวิธีการเรียนร้แู บบ กศน. ต้องมีเวลาในการพบกลุ่ม หรือพบครไู ม่น้อยกวา่ ร้อยละ 75 ของเวลาตามแผนการเรียนรูข้ องผเู้ รยี นท่ตี กลงร่วมกบั ครูจึงจะมีสทิ ธ์ิเข้าสอบ ถ้าผ้เู รียนมีระยะเวลาใน การพบกล่มุ หรอื พบครไู ม่ถึงร้อยละ75 แตถ่ งึ รอ้ ยละ 50 ให้อยู่ในดุลพนิ จิ ของผู้บริหารสถานศึกษา ที่จะพิจารณาอนญุ าตให้เข้าสอบสอบปลายภาคเรยี น ถา้ ไมอ่ นุญาตใหเ้ ข้าสอบปลายภาคเรียนให้ผเู้ รียน ไดร้ ะดบั ผลการเรียนเป็น “0” (การกาหนดระยะเวลาตามเกณฑ์ ดงั กลา่ วยกเวน้ นักศึกษาของ สถาบนั การศกึ ษาทางไกล) 2. การประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) เปน็ เง่อื นไขหนง่ึ ในการจบหลักสูตร ในแต่ ละระดบั การศกึ ษา มงุ่ ผเู้ รยี นทุกคนต้องทากิจกรรมพฒั นาคุณภาพชีวติ เพื่อการพฒั นาตนเอง ครอบครวั ชมุ ชนและสงั คม จานวนไมน่ อ้ ยกวา่ 200 ชว่ั โมง ตามเกณฑ์การประเมินทส่ี ถานศกึ ษากาหนด โดย ประเมนิ จากโครงการ หรอื กจิ กรรมพัฒนาคุณภาพชวี ติ และใหผ้ ู้เก่ียวข้องมสี ่วนร่วมในการประเมิน 3. การประเมนิ คุณธรรม เป็นเง่อื นไขหนึง่ ท่ีผเู้ รียนทุกคนต้องได้รบั การประเมินตามเกณฑ์ ท่ี สถานศกึ ษากาหนด จึงจะได้รบั การพจิ ารณาให้จบหลักสูตรในแต่ละระดับการศกึ ษาโดยคณะกรรมการ การวัดและประเมินผลของสถานศึกษา พิจารณาคุณธรรมเบ้อื งตน้ ทีส่ านักงาน กศน. กาหนด ทั้งนี้ สถานศกึ ษาสามารถกาหนดเพมิ่ เตมิ ได้ โดยเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาและ ประกาศใหผ้ ู้เกีย่ วข้องได้รับทราบและมีสว่ นร่วมในการประเมินคุณธรรม ** การประเมินคณุ ธรรมกาหนดเกณฑ์ 4 ระดับ คือ ดีมาก หมายถงึ รอ้ ยละ 90 ขนึ้ ไป ดี หมายถงึ ร้อยละ 70-89 พอใช้ หมายถงึ รอ้ ยละ 50-69 ปรับปรุง หมายถึง รอ้ ยละ 0- 49 สนใจส่ังชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
281 4. การประเมนิ คุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติสถานศกึ ษาจะตอ้ งจดั ให้ผูเ้ รียนทุกคน ท่เี รยี นในภาคเรียนสดุ ท้ายของทกุ ระดับการศึกษา ได้เข้ารบั การประเมินคณุ ภาพการศกึ ษานอกระบบ ระดับชาตติ ามทส่ี านักงาน กศน. กาหนด ผลการประเมินคณุ ภาพการศกึ ษานอกระบบระดับชาติ จะนาไปใช้ในการวางแผน พัฒนา คณุ ภาพผเู้ รียน และคุณภาพการศึกษา ของแต่ละสถานศกึ ษา และภาพรวมของสานกั งาน กศน. ต่อไป หากผ้เู รียนไม่เขา้ รับการประเมินคณุ ภาพการศึกษานอกระบบระดบั ชาติจะมีผลทาใหไ้ มจ่ บ หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 ** แนวทางการเทยี บโอนกจิ กรรมพฒั นาคณุ ภาพชวี ิต (กพช.) หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราชการ 2551 กาหนดให้ ผู้เรยี นตอ้ งทากิจกรรมพัฒนาคณุ ภาพชีวติ (กพช.) จานวนไม่นอ้ ยกว่า 200 ชว่ั โมง เปน็ เกณฑ์การจบ หลักสูตร และเน่ืองจากเปูาหมายท่ีเขา้ สรู่ ะบบการศึกษามีความหลากหลายและส่วนใหญ่เป็นผใู้ หญ่ที่มี ประสบการณก์ ารทากจิ กรรมตา่ งๆ ** หลกั การ 1. เปน็ การเทียบโอนกจิ กรรมทผ่ี เู้ รยี นเปน็ ผู้ดาเนนิ การเอง เพื่อพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน และสังคม ในขณะทีศ่ ึกษาอย่ใู นสถานศึกษาที่จัดการศึกษาในระบบ นอกระบบ หรอื กิจกรรมทผี่ เู้ รียน ดาเนินการในขณะทางานในสถานประกอบการ หรือในการประกอบอาชพี ตา่ งๆ 2. เปน็ การกระจายอานาจในสถานศึกษาสามารถเทยี บโอนกจิ กรรมพฒั นาคุณภาพชีวติ โดย สถานศึกษาจะตอ้ งจดั ให้มีบุคลากร หรอื เจา้ หน้าท่ี ผู้ทาหนา้ ทใ่ี ห้คาปรกึ ษา แนะนาในการเทยี บโอน กจิ กรรมพฒั นาคณุ ภาพผู้เรยี น 3. การเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ดาเนินการโดยคณะกรรมการเทยี บโอนผล การเรียนทส่ี ถานศกึ ษาแตง่ ตัง้ ข้นึ คณุ สมบัติของผเู้ ทยี บโอนกจิ กรรมพฒั นาคณุ ภาพชวี ิต ตอ้ งขึ้นทะเบียนเป็นนักศกึ ษา ตามหลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สนใจสงั่ ชอ้ื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
282 แนวขอ้ สอบ การวัดและประเมินผลการศึกษา 1. ระดับผลการเรียน ตามหลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน แบ่งไดก้ ่ีระดับ ก. 4 ระดับ ข. 6 ระดับ ค. 8 ระดับ ง. 10 ระดับ 2. นายสารัช เรียนรายวิชาภาษาไทย มีผลคะแนนระหว่างเรียน 53 คะแนน มีคะแนนสอบ ปลายภาคเรยี น 12 คะแนน นายสารัช จะมีผลการเรยี นตามข้อใด ก. เกรด 0 ข. เกรด 2 ค. เกรด 2.5 ง. เกรด 3 3. ชาลี เรียนรายวิชาสังคมศึกษา มีผลคะแนนระหว่างเรียน 53 คะแนน มีคะแนนสอบปลายภาค เรียน 11 คะแนน ชาลี จะมผี ลการเรยี นตามข้อใด ก. เกรด 0 ข. เกรด 2 ค. เกรด 2.5 ง. เกรด 3 4. คะแนนสอบปลายภาคเรียนในรายวิชาบังคบั ทุกระดับการศึกษา ผู้เรียนต้องได้คะแนนสอบปลาย ภาคอย่างน้อยรอ้ ยละเทา่ ใด ก. ร้อยละ 30 ข.รอ้ ยละ 40 ค. รอ้ ยละ 50 ง. รอ้ ยละ 60 5. กรณที นี่ ักศึกษาจะตอ้ งจบหลักสูตร แต่มีจานวนหน่วยกิต ที่ต้องลงทะเบียนเรียนเกินกว่าจานวน หนว่ ยกติ ทลี่ งทะเบียนไดใ้ นแตล่ ะภาคเรียน ใหส้ ถานศึกษาจัดใหล้ งทะเบียนเรยี นเพิ่มเตมิ ในภาคเรียน สดุ ท้ายไดไ้ ม่เกินจานวนก่หี น่วยกิต ก. 1 หนว่ ยกิต ข. 2 หนว่ ยกิต ค. 3 หนว่ ยกิต ง. 4 หนว่ ยกติ 6. วิชาเลือกในแต่ละระดับสถานศกึ ษาตอ้ งจดั ให้ผู้เรียนเรยี นรู้จากการโครงงานจานวนอยา่ งน้อย กี่หน่วยกติ ในแต่ละระดับ ก. 1 หนว่ ยกิต ข. 2 หนว่ ยกติ ค. 3 หน่วยกิต ง. 4 หนว่ ยกิต 7. เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2555) มสี ดั สว่ นคือข้อใด ก. 30 : 70 ข. 40 : 60 ค. 60 : 40 ง. 70 : 30 สนใจส่งั ชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
283 8. ในการสอบปลายภาคเรียนในรายวิชาบังคับทุกระดับการศึกษา ผู้เรียนต้องได้คะแนนสอบปลาย ภาคอยา่ งน้อยจานวนก่คี ะแนนจงึ จะถือวา่ สอบผ่าน ก. 12 คะแนน ข. 16 คะแนน ค. 20 คะแนน ง. 24 คะแนน 9. การกาหนดระยะเวลาเรียนมาเป็นเกณฑ์ในการมีสิทธิเข้าสอบปลายภาคเรียน โดยกาหนด ใหผ้ เู้ รยี นที่เรียนโดยวิธีการเรียนรู้แบบ กศน. ต้องมีเวลาเรียนในการพบกลุ่มหรือพบครูไม่น้อยกว่า ร้อยละเท่าใด ก. ร้อยละ 60 ข.รอ้ ยละ 70 ค.รอ้ ยละ 75 ง. รอ้ ยละ 80 10. การประเมินผลโครงการผู้เรียนต้องได้คะแนนรวมไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละเท่าใด จงึ จะถือว่า” ผา่ น” ก. รอ้ ยละ 60 ข.ร้อยละ 70 ค.รอ้ ยละ 75 ง. ร้อยละ 80 11. การวัดผลและประเมินผล ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 มจี านวนกร่ี ะดับ ก. 2 ระดับ ข. 3 ระดับ ค. 4 ระดับ ง. 5 ระดับ 12. ผลการประเมนิ คุณภาพการศกึ ษานอกระบบระดับชาติ จะนาไปใช้ในข้อใด ก. เปน็ เกณฑ์ตดั สนิ ผลการเรยี นเรียนนักศึกษาวา่ ผ่านหรอื ไมผ่ า่ น ข. นาผลคะแนนท่ีได้ไปรวมกบั คะแนนสอบปลายภาคเพื่อตดั เกรด ค. จะนาไปใช้ในการวางแผน พัฒนาคณุ ภาพผเู้ รยี น และคณุ ภาพการศึกษา ง. เปน็ ตวั วัดและประเมินผลการปฏบิ ัตงิ านของครู กศน.ตาบล 13. การประเมนิ คุณธรรมกาหนดเกณฑ์การประเมนิ ไว้กีร่ ะดบั ก. 2 ระดบั ข. 3 ระดบั ค. 4 ระดับ ง. 5 ระดบั 14. การประเมนิ คุณธรรม มที ้งั หมดก่กี ลุม่ คุณธรรม ก. 3 ข. 4 ค. 5 ง. 7 15. การประเมินคุณธรรม ทงั้ หมดก่ีข้อ ก. 6 ข้อ ข. 9 ขอ้ ค. 11 ข้อ ง. 12 ข้อ สนใจสัง่ ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
284 16. ข้อใดไม่สอดคลอ้ งกับการระดบั เกณฑก์ ารประเมินคุณธรรมที่กาหนด ก. ตอ้ งปรบั ปรงุ ข. พอใช้ ค. ดี ง. ดีมาก 17. หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราชการ 2551 กาหนดให้ ผู้เรียนต้องทากจิ กรรมพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ (กพช.) ตามขอ้ ใด ก. 100 ช่วั โมง ข. ไมน่ ้อยกว่า 100 ชั่วโมง ค. 200 ช่วั โมง ง. ไมน่ ้อยกว่า 200 ช่วั โมง 18. ผเู้ รยี นตอ้ งเรียนรู้สามารถทากจิ กรรมพฒั นาคุณภาพชวี ติ (กพช.) ตลอดหลกั สตู รไดต้ ามข้อใด ก. ภาคเรียนละ 50 ชวั่ โมง ข. ภาคเรยี นละ 100 ชั่วโมง ค. ภาคเรยี นละ 150 ช่ัวโมง ง. ภาคเรียนเดียว 200 ช่ัวโมงได้ 19. ข้อใดคือคณุ สมบัตขิ องผเู้ ทยี บโอนกจิ กรรมพฒั นาคณุ ภาพชวี ิต ก. เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพในเขตบรกิ ารของสถานศกึ ษาไมน่ อ้ ยกวา่ 1 ปี ข. มอี ายุ 18 ปบี รบิ ูรณ์ ค. ตอ้ งข้นึ ทะเบยี นเป็นนักศกึ ษา ตามหลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ง. ทุกขอ้ ท่ีกล่าวมา 20. การเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคณุ ภาพชวี ิต (กพช.) ใหเ้ ทยี บโอนได้ตามข้อใด ก. ไมเ่ กนิ 50 ชว่ั โมง ข. ไม่เกิน 100 ชว่ั โมง ค. ไม่เกนิ 150 ชว่ั โมง ง. ไมเ่ กนิ 200 ช่วั โมง 21. กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) ตามหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษา ข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ท่ผี ูเ้ รยี นโอน/ยา้ ยสถานศึกษา สามารถนามาโอนไดต้ ามข้อใด ก. ไมเ่ กนิ 50 ช่วั โมง ข. ไม่เกนิ 100 ชัว่ โมง ค. ไม่เกนิ 150 ช่วั โมง ง. ตามท่ปี รากฏในใบระเบียนแสดงผลการเรียน 22. การเขา้ อบรมหลกั สูตรต่างๆกรณีในหลักฐานไม่ระบจุ านวนชัว่ โมง เกณฑ์การคิด 1 วัน เทา่ กบั จานวนกีช่ ัว่ โมง ก. 6 ช่ัวโมง ข. 8 ช่วั โมง ค. 12 ช่วั โมง ง. 24 ชวั่ โมง สนใจสั่งชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
285 23. นายวี มีใบประกาศการเข้ารับการอบรมในหลักสตู รต่างๆรวมแลว้ ได้ 100 ช่วั โมง สามารถนามาเทียบโอนกิจกรรม กิจกรรมพัฒนาคณุ ภาพชีวิต (กพช.) ได้จานวนก่ชี ัว่ โมง ก. 25 ชว่ั โมง ข. 50 ชวั่ โมง ค. 75 ชว่ั โมง ง. 100 ชวั่ โมง 24. สถานศกึ ษาทกุ แห่งจะตอ้ งจัดให้มกี ารเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชวี ติ ตามข้อใด ก. ภาคเรียนแรกของการขนึ้ ทะเบยี นเป็นนกั ศกึ ษา ข. ภาคเรียนสุดท้ายก่อนจบการศกึ ษาในแต่ละระดบั ค. ภาคเรียนได้ก็ได้แต่สามารถเทียบโอนไดภ้ าคเรียนเดียว ง. สามารถเทียบโอนได้ทุกภาคเรยี นจนกวา่ จะจบหลกั สตู ร 25. การประเมนิ ซ่อม สถานศกึ ษาต้องจัดให้ผู้เรยี นทไ่ี ม่ผ่านการประเมนิ รายวชิ า เขา้ รบั การประเมิน ซอ่ ม ดว้ ยวธิ กี ารตามข้อใด ก. มอบหมายใหท้ ารายงานเพมิ่ เตมิ ข. การทดสอบ ค. การทาแฟูมสะสมผลงาน ง. ทกข้อที่กลา่ วมา 26. ใครเปน็ ผมู้ อี านาจแต่งตง้ั คณะกรรมการบริหารหลกั สตู รและวิชาการของสถานศึกษา ก. ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอ/เขต ข. ผอู้ านวยการ สานกั งาน กศน.จังหวดั /กทม ค. เลขาธกิ าร กศน. ง. ปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 27. ข้อใดไมใ่ ชบ่ ทบาท หน้าท่ี ของคณะกรรมการบรหิ ารหลกั สูตรและวชิ าการของสถานศึกษา ก. กาหนดแนวปฏิบัตกิ ารวัดและประเมินผลรายวิชา ข. กาหนดพฤตกิ รรมบง่ ชี้และแนวปฏิบัติการประเมินคณุ ธรรม สานักงาน กศน. กาหนด ค. จัดทาระเบียบแนวปฏิบตั กิ ารเทยี บโอนใหส้ อดคล้องกบั แนวทางการเทียบโอนทีส่ านกั งาน กศน. กาหนด ง. จดั ทาเครือ่ งมือประเมนิ ผลกอ่ นเรียน ประเมินผลระหว่างเรยี น และประเมินผลปลายภาคเรยี น 28. ใครเปน็ ผ้มู อี านาจแต่งตงั้ คณะกรรมการการวดั และประเมินผลของสถานศึกษา ก. ผู้อานวยการ กศน.อาเภอ/เขต ข. ผู้อานวยการ สานักงาน กศน.จงั หวัด/กทม ค. เลขาธกิ าร กศน. ง. ปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 29. ข้อใดไมใ่ ชบ่ ทบาทหน้าท่ขี องคณะกรรมการการวดั และประเมนิ ผลของสถานศึกษา ก. ตรวจสอบผลการประเมนิ และจดั ทารายงานการประเมินผลการเรียนรู้รายวิชา ข. ประเมินผลการดาเนินโครงการ/กจิ กรรมพัฒนาคุณภาพชวี ิต ค. สรุปผลการประเมินคณุ ธรรม ง. กาหนดแนวปฏิบัติการวดั และประเมินผลรายวชิ า สนใจสั่งชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
286 30. ข้อใดไมใ่ ชบ่ ทบาทหนา้ ทขี่ องเจ้าหนา้ ทที่ ะเบียน ก. ตรวจสอบเอกสารหลักฐานเก่ียวกับการลงทะเบยี นเรยี นรายวิชา การเทยี บโอนผลการเรยี น กิจกรรมพฒั นาคณุ ภาพชีวิต และอนื่ ๆ พรอ้ มผลการประเมินดังกลา่ วใหเ้ รียบร้อยก่อนบนั ทึกข้อมลู ข. รวบรวม ตรวจสอบบันทึก และประมวลผลขอ้ มลู การประเมนิ ผล การเรยี นของผู้เรียนแต่ละคน ค. จดั ทารายงานการประเมนิ ผลการเรียนเสนอผบู้ ริหาร สถานศกึ ษา เพือ่ ขออนุมัติและแจ้ง ผู้เก่ยี วข้องทราบ ง. อนมุ ัตผิ ลการเรยี นรายวิชา เฉลยแนวข้อสอบ 1.ค 2.ค 3.ก 4.ค 5.ค 6.ค 7.ค 8.ก 9.ค 10.ข 11.ก 12.ค 13.ค 14.ข 15.ค 16.ก 17.ง 18.ง 19.ค 20.ค 21.ง 22.ข 23.ข 24.ก 25.ง 26.ก 27.ง 28.ก 29.ง 30.ง สนใจสั่งชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
287 การวจิ ัยทางการศึกษา สานักงาน กศน. **ความสาคัญของการวิจยั อยา่ งงา่ ย กฎหมายตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มีแนวคดิ เรอ่ื งการปฏิรปู การ ทางานของครใู ห้เปน็ ครมู ืออาชพี รวมทั้งความจาเป็นท่คี รูผสู้ อนตอ้ งทาวจิ ยั เพ่อื พฒั นาผู้เรียนถกู กลา่ วถงึ อยา่ งแพร่หลาย เน่ืองจากในพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติฉบบั น้ี กาหนดแนวทางการสนับสนุนให้ ครผู ู้สอนใชก้ ระบวนการวิจยั เพ่ือพัฒนาการเรียนรูข้ องผู้เรียน ไว้ในหมวดท่ี 4 ว่าด้วยแนวการจัด การศกึ ษา มาตรา 24 (5) มีใจความสาคัญ ดงั น้ี “ส่งเสริมสนบั สนุนใหผ้ ้สู อนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม สอื่ การเรยี น และอานวยความสะดวกเพื่อให้ผ้เู รยี นเกดิ การเรียนรู้ รวมทง้ั สามารถใช้การ วิจัยเป็นส่วนหน่งึ ของกระบวนการเรยี นรู้ ทัง้ นี้ผสู้ อนและผ้เู รยี นอาจเรียนรู้ไปพรอ้ มกัน จากสื่อการเรยี น การสอนและแหลง่ วิทยาการประเภทต่าง ๆ” มาตรา 30 กลา่ ววา่ “ให้สถานศึกษาพฒั นากระบวนการเรยี นการสอนทม่ี ีประสิทธิภาพรวมทง้ั ส่งเสริมให้ผสู้ อน สามารถใช้กระบวนการวจิ ัยเพือ่ พัฒนาการเรียนรทู้ เ่ี หมาะสมแกผ่ ้เู รียนในแตล่ ะระดับ การศึกษา” จากขอ้ ความในพระราชบัญญตั ิดังกลา่ วข้างต้น ทาใหค้ รผู ู้สอนต้องศึกษาผูเ้ รียนเปน็ รายบุคคลและพัฒนาผเู้ รียนตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ตามท่กี าหนดไวใ้ นพระราชบัญญตั ิ การศึกษาแหง่ ชาติฉบับน้ีเชน่ กัน ในมาตรา 22 มีแนวปฏบิ ตั ิเพ่ือพฒั นาผเู้ รียนอย่างจริงจงั ด้วยการใช้ กระบวนการวิจยั ในความหมายของการแกป้ ๎ญหาแบบใหม่ การหาคาตอบแบบใหม่ โดยวิธีการที่เชอ่ื ถือ ได้หรือวิธีการท่ยี อมรบั ในศาสตรน์ ั้น ๆ มากข้นึ การวจิ ัยอย่างงา่ ยของ กศน. จึงควรประกอบไปด้วย 1. ผู้เรยี นและผ้รู ว่ มกจิ กรรมกระบวนการเรียนรู้ กศน. ตาม พ.ร.บ.การศกึ ษาแห่งชาติ มาตรา 24 (5) เรียนร้แู ละใชก้ ารวิจัยเป็นสว่ นหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ 2. ผสู้ อนหรือผูจ้ ัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ตาม พ.ร.บ.การศกึ ษาแหง่ ชาติ มาตรา 30 สามารถ ใช้กระบวนการวิจยั เพ่อื พัฒนาการเรยี นรแู้ กผ่ ู้เรียนอย่างเหมาะสมตามระดับการศกึ ษา 3. ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแหง่ ชาติ มาตรา 49 หมวด 6 วา่ ดว้ ยการ ประกนั คุณภาพการศึกษา ต้องสง่ เสริมผู้สอนใหส้ ามารถทาวิจยั เพื่อพฒั นาการเรียนรู้ทเี่ หมาะสมกบั ผู้เรียนและผรู้ ับบริการในแตล่ ะระดับ แตล่ ะกิจกรรม **ความหมาย และความสาคัญการวิจยั อย่างงา่ ย **ความหมายของการวิจัย การวิจยั เป็นกระบวนการแกป้ ญ๎ หาโดยผา่ นการวางแผน การ รวบรวมขอ้ มลู อย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์ข้อมูล และการตคี วามหมายขอ้ มลู หรอื อาจกลา่ ว สรปุ ได้ว่า สนใจส่งั ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
288 การวจิ ัยเป็นการแสวงหาคาตอบของป๎ญหา หรือขอ้ สงสัยตา่ ง ๆ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซง่ึ วิธกี ารดงั กล่าว มีระบบ มขี ้นั ตอนในการดาเนินงานทจ่ี ะไดค้ าตอบทถี่ กู ต้องและเช่ือถอื ได้ **การวิจัยอยา่ งง่าย เปน็ กระบวนการค้นหาองค์ความรู้หรอื ข้อค้นพบในการแก้ปญ๎ หา หรือ แนวทางการพฒั นางานท่มี กี ระบวนการไม่ซา้ ซ้อน ใช้เวลาไม่มาก ไมจ่ าเป็นตอ้ งมี เอกสารอ้างองิ มากมาย แตเ่ ปน็ ปรากฏการณ์ที่เกดิ ข้นึ จริงและสะท้อนความเป็นเหตุเป็นผล การเขียนรายงานวิจัยอาจเขยี นใน ลักษณะสน้ั ๆ ไมต่ ้องมบี ทคัดย่อ **ความสาคัญการวิจัยอยา่ งง่าย การวิจัยอยา่ งง่ายมคี วามสาคัญ ทั้งในสว่ นของครูผู้สอน และผู้เรยี น ดังนี้ 1. ความสาคัญของการวิจยั อยา่ งง่ายท่ีมตี ่อครู 1.1 ชว่ ยให้ครูเกดิ การพัฒนาหลกั สตู รและปรับปรุงการเรียนการสอนให้มี มาตรฐานมากยิง่ ขนึ้ 1.2 ชว่ ยให้ครูเน้นวิธีการพัฒนาหรอื ปรบั ปรงุ การเรียนรู้ของผูเ้ รยี นด้วยคาตอบ ทพี่ บจากการวิจยั 2. ความสาคัญของการวจิ ัยอยา่ งงา่ ยท่มี ีต่อผู้เรียน 2.1 ช่วยให้เกิดแรงจูงใจใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความอยากรู้ อยากเหน็ อยากเรยี น และ พฒั นาพฤติกรรม 2.2 ผูเ้ รยี นได้รับการชว่ ยเหลือและพัฒนาการเรียนร้อู ยา่ งเต็มศกั ยภาพ 2.3 เปน็ การเพิ่มผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น และสรา้ งบรรยากาศการเรยี นรขู้ อง ผ้เู รยี น 2.4 ก่อใหเ้ กดิ กระบวนการทางานเปน็ ทีมของผเู้ รยี นและครูผู้สอน ประโยชน์ของการวจิ ัยอย่างงา่ ย การวจิ ยั อยา่ งงา่ ยทก่ี ล่าวในคู่มือเลม่ น้ี คือ การวิจัยปฏิบัตกิ ารหรอื ทดลองในหอ้ งเรียน ซึง่ มี ประโยชน์ ด้วยกนั หลายประการ ดังน้ี 1. ทาใหเ้ กดิ การพฒั นาระบบการจัดการเรียนรู้อย่างถูกตอ้ ง และเปน็ ระบบท่ีนา่ เชือ่ ถือ ซึ่ง จะเกิดผลดแี กผ่ ู้เรียน คือ ผูเ้ รียนไดร้ ับการชว่ ยเหลือและพัฒนาการเรียนรู้อยา่ งเต็มศกั ยภาพ 2. ทาใหเ้ กิดการพัฒนาวิชาชพี ครู เนื่องจากขอ้ คน้ พบท่ไี ดน้ ้ันมาจากกระบวนการคน้ คว้า ทัง้ เป็นระบบและเช่ือถอื ได้ ซ่ึงเป็นพืน้ ฐานความรดู้ า้ นการวิจัย สามารถพัฒนาไปสกู่ ารวิจัยในระดบั สงู เป็นนักวจิ ยั มืออาชีพ สง่ ผลให้ผ้เู รียนพฒั นาการเรียนรู้ ควบคไู่ ปกับการพฒั นาการจดั การเรยี นรู้ของ ครผู ู้สอน สนใจส่ังชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
289 3. เป็นการพัฒนาหลักสูตร กระบวนการจดั การเรยี นรู้ และยงั ปรบั ปรงุ วิธกี ารปฏิบตั งิ าน เพื่อพัฒนาการจดั การเรียนรู้โดยระเบียบวิธกี ารวจิ ัย อนั เปน็ การส่งเสรมิ การพฒั นาเครอื่ งมอื การเรยี นรทู้ ี่ จะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การจัดการศกึ ษา 4. ส่งเสรมิ บรรยากาศการทางานแบบประชาธิปไตย ทง้ั น้เี พราะทุกฝาุ ยเกิดการ แลกเปลยี่ น เรียนร้ปู ระสบการณแ์ ละเกิดการยอมรับในการคน้ พบร่วมกัน ทัง้ ยงั เป็นการสนบั สนุนความกา้ วหน้าของ การวิจัยทางการศกึ ษา 5. เปน็ การแสดงความกา้ วหน้าของวิชาชีพครู โดยวิธกี ารเผยแพรค่ วามรู้ทีไ่ ด้จากการ ปฏิบัตแิ ละทาใหอ้ าชีพครกู ลายเปน็ วชิ าชพี 6. สง่ เสริมการประกันคณุ ภาพการศึกษาที่เชื่อมัน่ ได้ **ความหมายของการวจิ ยั อยา่ งงา่ ยตามบริบทของ กศน. การวจิ ยั อย่างง่ายตามบริบทของ กศน. เป็นการกาหนดนยิ าม องค์ประกอบ และรปู แบบการ วิจัยให้เหมาะสมกบั บริบทโดยรวมของ กศน. ทง้ั ทีเ่ ป็นลักษณะ รปู แบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ บทบาทหน้าท่แี ละภารกิจของครผู ู้สอน กศน. รวมถงึ กลุ่มเปูาหมายหรือผเู้ รียน กศน. ทมี่ คี วาม หลากหลายโดยบูรณาการแนวความคิด และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ ไป เพ่อื ให้เกิด ประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลสูงสุดในการแก้ป๎ญหาหรือพฒั นาผเู้ รยี นของครู กศน. กล่าวได้วา่ การวจิ ยั อย่างง่ายของ กศน. จะหมายถงึ กระบวนการแสวงหาความรู้ ความจรงิ โดยวธิ ีการที่เช่อื ถอื ได้ มีระเบียบแบบแผน เปน็ ระบบ ซงึ่ คาตอบของป๎ญหาหรอื ข้อเท็จจรงิ ท่ตี ้องการรู้ อาจมาจากการศกึ ษาค้นคว้า การรวบรวมขอ้ มูล การทดลอง หรือการประดิษฐ์ การคิดคน้ วิธีการ นวัตกรรมหรอื ส่งิ อื่นใดท่ใี ช้วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ ผนวกกบั ความรู้และประสบการณ์ของครูผสู้ อน เปน็ เคร่อื งมอื ที่ใชค้ ิดและดาเนินการ ซงึ่ ความจรงิ และข้อคน้ พบตอ้ งสมั พนั ธก์ บั สภาพป๎ญหาทีป่ รากฏอยู่ใน ขณะนัน้ และเนน้ การคน้ หาป๎ญหาทีเ่ กดิ ข้ึนกบั ผเู้ รียน แล้วครผู ้สู อนลงมือแก้ป๎ญหาหรอื พัฒนาไปอยา่ ง เป็นระบบ ต่อจากนนั้ จึงนาเสนออย่างง่ายไม่ซับซ้อน ซ่งึ เปน็ รปู แบบหนึง่ ของการวจิ ยั ปฏิบตั ิการ (Action Research) ที่มุ่งแก้ปญ๎ หาเฉพาะหนา้ เป็นคร้ัง ๆ ไป เป็นการแสวงหาความรู้ ความจรงิ ด้วย วิธกี ารหรือนวัตกรรม เพ่อื ให้ได้ทางเลอื กในการแก้ปญ๎ หาหรือพฒั นาการเรยี นรู้ และเกดิ ประโยชน์สงู สุด ต่อผเู้ รยี นในเรือ่ งใดเรอื่ งหนึ่ง ในชว่ งเวลาหน่งึ องคป์ ระกอบ สาระสาคญั และรปู แบบโดยรวมของการวจิ ยั อย่างงา่ ย การวจิ ัยอย่างงา่ ย มอี งค์ประกอบ สาระสาคัญและรูปแบบคลา้ ย ๆ กับการวจิ ยั ในช้นั เรียน อาจจะแตกตา่ งกนั ตรงกลมุ่ ประชากรหรือกลุ่มเปูาหมาย ด้านอายุ อาชพี ความรูพ้ นื้ ฐานรวมไปถึง เง่ือนไข ตัวแปรอื่น ๆ ทไ่ี มส่ ามารถควบคุมได้เหมือนชนั้ เรียนในระบบโรงเรียน หากพจิ ารณาในดา้ น กระบวนการทาวิจยั แล้ว กแ็ ทบจะไมแ่ ตกตา่ งกัน เพราะเริ่มตน้ จากการสงั เกตพฤตกิ รรมของผู้เรียน เพ่ือ สนใจส่ังชื้อเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
290 กาหนดเป็นป๎ญหาการวิจัยและหาวธิ แี ก้ปญ๎ หาใหก้ บั ผ้เู รยี น ซึง่ สามารถสรุปกระบวนการทาวิจัยอย่างงา่ ย ได้ดงั นี้ ขน้ั ตอนที่ 1 การสังเกตอาการผิดปกติของผู้เรยี น และตั้งเป็นขอ้ สงสัย คาดว่าจะเปน็ ป๎ญหา ซึ่งต้องอาศัยความใสใ่ จและประสบการณ์ของครูผู้สอนโดยตรง หรือครผู ู้สอนอาจจะหาแนวทาง มาจากการศกึ ษาการอา่ นงานวิจัย หรอื วารสารต่าง ๆ รวมถึงการพดู คยุ กบั เพอื่ นครูผู้สอนด้วยกนั แลว้ ไป สังเกตผเู้ รียน ขน้ั ตอนท่ี 2 การกาหนดปญ๎ หา วิเคราะห์ สังเคราะหว์ า่ ส่งิ ผิดปกตทิ ่ีพบเปน็ ปญ๎ หาท่ี เกิดข้ึนกับผูเ้ รียน ซ่ึงในข้นั ตอนนี้ ครูผ้สู อนจะต้องสามารถจาแนก แยกแยะความแตกต่างระหวา่ งปญ๎ หา และสาเหตุของป๎ญหา ซ่ึงอาจใชว้ ิธีวเิ คราะห์จากข้อมลู เบ้ืองตน้ ท่ัวไป เพื่อหาข้อเทจ็ จริงหรอื ความจริง เกีย่ วกับปญ๎ หา จากนั้นใหเ้ ขยี นอธิบายเกย่ี วกับสาเหตุของป๎ญหา เพอ่ื หาสาเหตแุ ท้ของป๎ญหาท่เี กิดกบั ผู้เรียน ขน้ั ตอนที่ 3 การหาวิธีแกไ้ ขท่ีตรงกบั สาเหตุแท้ของป๎ญหา คือ เมือ่ ครูผสู้ อนรู้สาเหตแุ ท้ ของปญ๎ หาแล้ว ครผู สู้ อนจะต้องศกึ ษา หรือคน้ หาวิธกี ารแก้ไขให้ตรงกับปญ๎ หาแท้ โดยการสร้างกรอบ ความคิดหรอื ตัง้ สมมติฐานวา่ วิธีการจัดการเรียนรแู้ บบนี้ ใช้แบบฝกึ แบบน้ี หรอื นวัตกรรมน้ี จะช่วย แก้ปญ๎ หานน้ั ๆ หรอื สามารถพฒั นาผูเ้ รียนได้ ซ่ึงอาจเปน็ วธิ กี ารทผี่ ู้อ่นื เคยทามาแลว้ หรืออาจคิดค้น วธิ ีการใหมท่ เี่ ป็นนวตั กรรมก็ได้ จากนั้นจงึ กาหนดเป็นแผนปฏบิ ัติการวิจัยหรอื ในการทาวิจัยเต็มรปู แบบ จะเรยี กวา่ การเขยี นโครงรา่ ง ซง่ึ มีรายละเอยี ดและองค์ประกอบทีส่ ามารถตอบคาถามว่า จะทาอะไร อยา่ งไร กับใคร ทไี่ หน เมือ่ ไหร่ เปน็ ตน้ ขัน้ ตอนท่ี 4 การลงมือแก้ไขและการจดบันทึกผล เปน็ ขั้นตอนการลงมือทาวจิ ยั อยา่ ง งา่ ย หรือการปฏิบัติตามแผน หรือตามโครงร่างวจิ ัย ซ่ึงโดยปกตแิ ลว้ ขน้ั ตอนน้ี สามารถบรู ณาการเปน็ สว่ นหนึง่ ของการจดั การเรยี นรูไ้ ด้ เชน่ การให้ผู้เรียนทาแบบฝึกทคี่ ิดข้นึ มาใหม่ การทดลองใช้ กระบวนการจัดการเรยี นรู้แบบใหมห่ รอื การลองพดู คุย สมั ภาษณ์กลมุ่ เปาู หมาย และกลมุ่ ตัวอยา่ ง (กลุ่ม ทีม่ ปี ญ๎ หา) แล้วครูผสู้ อนจดบันทึกความเปลีย่ นแปลงท่คี ้นพบโดยละเอียด ขน้ั ตอนท่ี 5 การเขยี นสรุปผลที่ได้จากการวิจัยอยา่ งง่าย เปน็ ขัน้ ตอนสดุ ท้าย ซงึ่ สว่ น ใหญ่จะเขยี นเฉพาะประเด็นทสี่ าคัญ ๆ โดยไมจ่ าเปน็ ต้องอา้ งทฤษฎี หรือขอ้ มูลวิจัยจากนักวจิ ัยแต่อยา่ ง ใด ซึ่งรายงานผลดงั กลา่ วนี้ จะมีประโยชน์สาหรบั การนาผลงานวจิ ยั อยา่ งง่ายไปเผยแพร่ หรอื ปรบั ปรงุ เพื่อพัฒนาหรอื แกไ้ ขต่อไป **กระบวนการและข้นั ตอนการดาเนินงาน **การวิจัย คือ กระบวนการแก้ปญ๎ หาที่มีข้นั ตอนอยา่ งเปน็ ระบบ นา่ เช่อื ถือและสามารถ สร้างความรใู้ หมใ่ หเ้ กดิ ข้นึ ในกระบวนการเรียนการสอน สนใจสั่งชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
291 **ขัน้ ตอนการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ย มีขนั้ ตอน ดงั น้ี ขน้ั ตอนแรก มกั จะเร่ิมต้นจากผู้วจิ ยั อยากรูอ้ ะไร มีปญ๎ หาขอ้ สงสยั อะไร เป็นข้ันตอนการ กาหนด คาถามวจิ ัย/ปญ๎ หาวิจยั ข้ันตอนทสี่ อง คือ การเขยี นโครงการวิจัย ซึง่ ต้องเขียนก่อนการทาวิจัยจรงิ โดยเขียนให้ ครอบคลมุ ว่าจะทาวิจยั เร่ืองอะไร (ชอ่ื โครงการวจิ ัย) ทาไมจงึ ทาเรอื่ งน้ี (ความเป็นมาและความสาคัญ) อยากร้อู ะไรบา้ งจากการวิจยั (วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย) มแี นวทางขั้นตอนการ ดาเนินงานวิจัยอย่างไร (วธิ ีดาเนินการวิจยั ) ระยะเวลาการวิจัยและแผนการดาเนนิ งาน (ปฏิทนิ ปฏิบัตงิ าน) การวิจัยน้จี ะเปน็ ประโยชนอ์ ย่างไร (ประโยชน์ของการวจิ ยั หรอื ผลท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ) ข้นั ตอนท่ีสาม คือ การดาเนินงานวิจยั ตามแผนทก่ี าหนดไวใ้ นโครงการวิจยั ขัน้ ตอนท่ีสี่ คอื การเขียนรายงานการวจิ ยั สว่ นใหญป่ ระกอบด้วยหัวข้อ ดงั นี้ 1. ช่ือเรอื่ ง 2. ช่อื ผู้วจิ ัย 3. ความเปน็ มาของการวิจัย 4. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 5. วิธีดาเนินการวจิ ยั 6. ผลการวจิ ยั 7. ข้อเสนอแนะ 8. เอกสารอา้ งอิง (ถ้าม)ี ขนั้ ตอนสดุ ท้าย คือ การเผยแพร่ผลงานวิจัย เพอ่ื ให้บุคคลหรือหน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งนา ผลงานวจิ ยั น้นั ไปใชป้ ระโยชน์ต่อไป ผลทไ่ี ดจ้ ากการทาวิจัย นอกจากจะไดร้ บั คาตอบทต่ี ้องการรแู้ ล้ว ผู้วิจยั เองก็ได้ประโยชน์ จาก การทาวจิ ยั คอื การเปน็ คนชา่ งคดิ ชา่ งสังเกต ศึกษา คน้ คว้าหาความรู้ และเขียนเรยี บเรยี ง อย่างเป็น ระบบ นอกจากนัน้ การวจิ ยั จะเกดิ ประโยชน์ในภาพรวม ดังน้ี 1. การวิจัยทาให้เกิดความรทู้ างวิชาการใหม่ ๆ 2. การวจิ ัยชว่ ยให้เกิดนวัตกรรม สิง่ ประดิษฐ์ แนวคิดใหม่ ๆ 3. การวิจยั ชว่ ยตอบคาถามทอี่ ยากรใู้ ห้เขา้ ใจป๎ญหา และช่วยในการแกไ้ ขป๎ญหา 4. การวิจยั ชว่ ยให้ทราบผลและขอ้ บกพร่องจากการดาเนนิ งาน **สถติ ิเพ่ือการวจิ ยั ความหมายของสถิติ หมายถึง ขอ้ เทจ็ จริงที่เปน็ ตัวเลขท่เี กิดจากการคานวณ มาจาก ข้อมูลที่ จัดเกบ็ จากลุม่ ตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ คา่ ความถี่ ค่ารอ้ ยละ คา่ เฉล่ยี 1. ค่าความถี่ (Frequency) สนใจสงั่ ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
292 ความถ่ี (Frequency) คอื การแจงนับจานวนของส่งิ ทีเ่ ราต้องการศึกษาวา่ มจี านวนเท่าใด เช่น จานวนผู้เรียนในห้องเรยี น จานวนสิง่ ของ จานวนคนท่ีไปใช้สทิ ธเิ ลือกต้ัง ตัวอยา่ ง เช่น นักศึกษาใน ห้องมที ้งั หมด 30 คน ตอ้ งการทราบว่านกั ศึกษามอี าชีพ รบั ราชการ ค้าขาย เกษตรกรรม รบั จ้าง และ อ่ืน ๆ กี่คน เปน็ คน้ 2. คา่ รอ้ ยละ (Percentage) ร้อยละ (Percentage) เป็นสถติ ทิ ใ่ี ชก้ ันมากในงานวจิ ยั เพราะคานวณและทาความเขา้ ใจ ได้ง่าย นยิ มเรียกวา่ เปอรเ์ ซน็ ต์ ใชส้ ัญลักษณ์ % การใช้สตู รในการคานวณหาค่าร้อยละ มดี ังน้ี ร้อยละ = ตวั เลขทต่ี ้องการเปรียบเทียบ X 100 จานวนเต็ม 3. ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเฉลยี่ (Mean) เปน็ การนาค่าของข้อมลู ท้งั หมดมารวมกนั แล้วหารด้วยจานวนขอ้ มลู ที่ มอี ยู่ การใช้สตู รในการคานวณหาค่าเฉลี่ยได้ด้วยสูตร ดงั นี้ ผลรวมของขอ้ มลู ท้งั หมด จานวนขอ้ มูลทม่ี อี ยู่ **การสรา้ งเครอื่ งมือการวจิ ัย การดาเนินงานวจิ ัย เครื่องมอื วิจยั เป็นส่ิงสาคัญทใ่ี ชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มลู สง่ิ ทต่ี ้องการศกึ ษา เพ่ือนามาวิเคราะห์ หาคาตอบตามวัตถปุ ระสงคก์ ารวิจยั เคร่ืองมอื วิจยั มหี ลายประเภท ไม่วา่ จะเป็น เครื่องมอื การวิจยั แบบใด ล้วนมจี ุดมงุ่ หมายเดียวกัน คือ ต้องการข้อมลู ที่ตรงตามขอ้ เท็จจริง เพ่อื ทาให้ ผลงานวิจัยเชอื่ ถือได้ และเกดิ ประโยชน์มากทส่ี ุด เคร่ืองมือท่ีใช้ทาวิจัยอยา่ งงา่ ย จาแนกออกเปน็ 2 ชนิด คือ เครอ่ื งมือสาหรับการวิจยั อยา่ ง ง่ายและเครื่องมอื เก็บรวบรวมขอ้ มลู 1. เครื่องมือวิจัยอย่างง่าย เปน็ อปุ กรณห์ รอื สิ่งที่นาไปใชด้ าเนนิ การ เพือ่ แกป้ ญ๎ หาหรือ พฒั นาผูเ้ รยี น ซ่ึงตอ้ งมวี ิธีการสรา้ งหรอื จัดทาอย่างถูกต้อง และตอ้ งหาประสทิ ธิภาพของเครือ่ งมือ โดยท่วั ไปแล้ว ตวั ผ้วู จิ ยั หรือครูผู้วิจัยจะตอ้ งเป็นผูอ้ อกแบบและพัฒนาเครอื่ งมอื นี้ขึน้ มาเอง นวัตกรรม ถอื เปน็ ส่วนหน่งึ ของเครอื่ งมือวจิ ยั ซ่ึงโดยท่วั ไป หมายถึง กระบวนการ หรือ วธิ กี ารใหม่ ๆ เพลง เกม รวมไปถึงเทคนิคการจัดการเรียนรู้ การทาเวทีชาวบา้ น สือ่ แบบฝึก ใบงาน อปุ กรณก์ ารเรยี นรตู้ า่ ง ๆ หรืองานปฏบิ ตั ิชุดใด ๆ ที่สรา้ งขน้ึ มาเพ่ือเป็นสิง่ เรา้ หรอื ชักนาให้กล่มุ ตวั อยา่ ง ตอบสนองออกมา ทง้ั นเ้ี พอ่ื การแกป้ ๎ญหาหรือพัฒนาผ้เู รยี น 2. เครือ่ งมอื เก็บข้อมูล เป็นเครอ่ื งมอื ท่ีใช้รวบรวมขอ้ มูล ทีผ่ ู้วจิ ัยตอ้ งใช้ประสาทสมั ผัส ต่าง ๆ สนใจสัง่ ชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
293 ทง้ั การดู การฟ๎ง หรอื ประสาทสัมผสั อนื่ ๆ ขณะเก็บรวบรวมขอ้ มูล ซึ่งเปน็ ผลจากการใช้เครื่องมือวิจยั หรอื การได้ข้อมลู จากตัวแปรต้น เครือ่ งมอื เกบ็ ข้อมูลท่นี ิยมใช้กันมากแบง่ เปน็ ประเภทต่าง ๆ ดงั นี้ 1) แบบทดสอบ (Testing Items Form) มักเรียกกันว่า “ขอ้ สอบ” เปน็ เคร่ืองมอื ท่ใี ชว้ ดั ความร้ทู างสติป๎ญญา หรือการวัดทีร่ ะบุผลการวัดวา่ ถกู หรอื ผดิ ใช่หรอื ไมใ่ ช่ สามารถใหเ้ ป็น คะแนนได้ เชน่ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ แบบทดสอบวัดความถนัด ขอ้ สอบแบบอตั นยั ขอ้ สอบแบบ ปรนัย ซ่ึงการเลือกใชแ้ บบทดสอบแบบใด ต้องเลอื กใหเ้ หมาะสมกับลักษณะการวดั ขอ้ มูลนั้น 2) แบบสอบถาม (Questionnaires) เป็นเครอ่ื งมอื วิจยั ทนี่ ยิ มนามาใชร้ วบรวม ขอ้ มลู งานวิจยั เชงิ ปรมิ าณ มีลักษณะคล้ายแบบทดสอบ แตจ่ ะใชต้ รวจสอบความคิด ความเหน็ ข้อเท็จจริง ไม่มคี าตอบใดถูกหรอื ผดิ มกั จะวดั โดยการประมาณคา่ หรอื ใหค้ ะแนนเป็นระดบั ต้ังแต่ 2 ระดบั ขนึ้ ไป แบบสอบถามมี 2 แบบใหญ่ ๆ คอื แบบสอบถามปลายปดิ และแบบสอบถามปลายเปิด การสรา้ งแบบสอบถามท่ีดี ควรมขี ้ันตอน ดังน้ี (1) ศกึ ษาคน้ ควา้ ข้อมูลท่เี กีย่ วข้องกบั เร่ืองทีจ่ ะวจิ ัย และประชากร กลุ่ม ตวั อย่างทีศ่ กึ ษาแล้วยกรา่ ง (สร้าง) แบบสอบถาม (2) นาไปใหผ้ ูม้ คี วามรู้ชว่ ยตรวจสอบ และใหข้ ้อเสนอแนะ (3) ปรับปรุงแกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะ (4) นาไปทดลองใชก้ ่อน เพ่ือความเช่ือม่นั วา่ กลุ่มตัวอย่าง (กลมุ่ เลก็ ๆ ไม่ ต้องทุกคน) เขา้ ใจคาถามและวิธีการตอบคาถาม แลว้ นาผลการทดลองมาปรับปรงุ แก้ไขอกี ครั้งหน่ึง ก่อนนาไปใช้จริง (5) นาไปเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู กบั กลมุ่ ตวั อยา่ งท้ังหมด 3) แบบสมั ภาษณ์ (Interview Form) เป็นเคร่อื งมือวิจยั ทีใ่ ชเ้ กบ็ รวบรวมข้อมลู การสนทนาในลักษณะเผชญิ หน้ากันระหวา่ งผู้สัมภาษณ์ (ผถู้ าม) และผู้ถูกสัมภาษณ์ (ผู้ตอบ, ผู้ให้ข้อมลู ) นยิ มใช้กบั การวิจยั เชงิ คณุ ภาพ แบบสัมภาษณ์ มี 2 ชนิด คอื แบบสัมภาษณ์ชนดิ ไมม่ โี ครงสร้าง คือ ผู้สัมภาษณ์ จัดทาแนวคาถามปลายเปิด เป็นคาถามกว้าง ๆ เปน็ แนวทางการสนทนา สามารถปรับเปลย่ี นได้ เพอื่ ให้ ผู้ถูกสัมภาษณแ์ สดงความคดิ เหน็ อย่างอิสระ และแบบสมั ภาษณ์ชนดิ มีโครงสร้าง ทผี่ ู้สมั ภาษณ์กาหนด ประเดน็ คาถาม หรือรายการคาถามทเ่ี รียงลาดับไว้ และจัดทาเปน็ แบบฟอรม์ พมิ พ์ไวล้ ว่ งหน้าเพอ่ื ใช้ ประกอบการซกั ถามผู้ถกู สมั ภาษณท์ กุ ๆ คนด้วยคาถามชุดเดียวกัน ตัวอย่างการสัมภาษณ์แบบไมม่ ีโครงสรา้ ง เชน่ ครผู ู้วจิ ยั สมั ภาษณ์ผู้เรยี น เกย่ี วกบั ปญ๎ หาการจัดการเรยี นรู้ ครูผวู้ ิจัยจะตั้งคาถามอยา่ งไรกไ็ ด้ เพื่อใหผ้ ู้เรยี นแสดงความคิดเห็นต่อ เรอ่ื งท่ีครูผู้วิจัยอยากรู้ 4) แบบสังเกต (Observation Form) เปน็ เคร่อื งมอื เกบ็ รวบรวมข้อมูลที่ใช้ได้กับ งานวจิ ยั ทกุ ประเภท โดยเฉพาะงานวจิ ัยเชิงคุณภาพ งานวจิ ัยเชิงทดลอง เป็นการเก็บข้อมูลโดยผูเ้ กบ็ สนใจสั่งชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
294 ขอ้ มูลเฝาู ดูพฤติกรรมหรือเหตกุ ารณ์ท่เี กิดข้นึ ซึง่ ผสู้ งั เกตอาจมีส่วนร่วมหรือไมม่ สี ่วนร่วมในเหตุการณก์ ็ ได้ แบบสงั เกตแบ่งเปน็ 2 ชนดิ คือ แบบสังเกตทม่ี โี ครงสร้างการสงั เกต เป็นแบบท่ีกาหนดไว้ล่วงหนา้ แล้ววา่ จะสังเกตอะไร สังเกตอยา่ งไร เมอ่ื ใดและจะบนั ทึกผลการสังเกตอยา่ งไร กับแบบสังเกตท่ไี ม่มี โครงสร้างการสังเกต ซึ่งเป็นแบบที่ไม่ได้กาหนดเหตกุ ารณ์ พฤตกิ รรม หรือสถานการณท์ ีจ่ ะสังเกตไว้ ชัดเจน เปน็ การสังเกตไปเร่ือย ๆ พบอะไรกบ็ นั ทึกไว้ ซึ่งแบบสงั เกตแบบน้ีจะไดข้ อ้ มลู ที่ละเอียดมากกว่า แตผ่ ู้สงั เกตต้องมีประสบการณส์ ูง อาจส้นิ เปลอื งคา่ ใชจ้ ่ายและใช้เวลานาน นอกจากนี้ ยงั มีเครื่องมอื เกบ็ ขอ้ มูลที่ผู้วิจยั ใช้บันทึกชว่ ยจาระหว่างการทางานอีกหลาย แบบเชน่ บนั ทกึ ภาคสนาม บันทึกข้อมูลการทาเวทีชาวบา้ น บันทึกการสมั ภาษณ์ เป็นตน้ การเลอื กใช้ เคร่ืองมอื แบบใดกต็ าม ควรพจิ ารณาจากลักษณะของข้อมูลท่ตี อ้ งการนามาวเิ คราะห์ เพอื่ ใชต้ อบคาถาม การวิจัยได้ดีที่สุด การเขยี นโครงการวจิ ยั อย่างงา่ ย ความสาคัญของโครงการวจิ ัย โครงการวิจัย คือ แผนการดาเนนิ การวิจยั ที่เขียนขึน้ ก่อนการทาวจิ ัยจรงิ มีความสาคัญ คอื เป็นแนวทางในการดาเนินการวจิ ยั สาหรับผู้วิจัยเอง และผ้เู ก่ียวข้อง เช่น ครู อาจารย์ หรือ ผู้ให้ทนุ สนับสนุนการวจิ ัย เพ่ือให้คาปรึกษาและตดิ ตามความกา้ วหน้าของการดาเนินงานวจิ ยั ถ้าจะเปรยี บกบั การสรา้ งบ้านท่ตี ้องมแี ปลนหรือพมิ พ์เขียว ที่ระบุรายละเอยี ดของการสรา้ งบา้ นทุกขน้ั ตอน สาหรบั เปน็ เคร่ืองมอื ในการควบคมุ กากบั ดูแลของเจ้าของบ้าน หรือผู้รบั เหมา เพอ่ื ให้ การสร้างบา้ นเป็นไปตาม แบบทีก่ าหนด โครงการวจิ ยั ก็เปรียบเสมือนแปลนหรอื พิมพ์เขยี วเช่นกนั คือ เปน็ แนวทางการดาเนนิ งาน วจิ ัยใหเ้ ปน็ ไปตามแผนการวิจยั ทีก่ าหนด องค์ประกอบของโครงการวจิ ัย โดยท่ัวไปโครงการวิจัย ประกอบด้วยหัวขอ้ 14 หวั ข้อ ข้นึ อย่กู ับขอ้ กาหนดของ สถานศึกษา แหลง่ ทุน หรือความตอ้ งการของผู้ใหท้ าโครงการวิจยั และอาจมีจานวนหัวขอ้ มากกวา่ หรือ น้อยกวา่ กไ็ ด้ ดงั น้ี 1. ชอื่ โครงการวิจัย 2. ความเปน็ มาและความสาคญั 3. วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั 4. ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 5. การศึกษาเอกสารที่เกยี่ วขอ้ ง 6. สมมุติฐานการวิจัย (ถา้ มี) 7. ขอบเขตการวิจยั 8. วิธดี าเนินการวิจัย สนใจส่งั ชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
295 9. นิยามศัพท์ 10. ระยะเวลาดาเนินการ 11. แผนการดาเนนิ การ 12. สถานทท่ี าการวิจยั 13. ทรพั ยากรและงบประมาณ 14. ประวตั ิผวู้ ิจัย/คณะวจิ ยั **การเขียนโครงการวิจัยอย่างงา่ ย สาหรับผู้ทีเ่ รมิ่ เขยี นโครงการวจิ ัย อาจจะทดลองเขียนโครงการวิจยั อยา่ งง่าย ๆ ไม่ จาเปน็ ต้องมีหวั ขอ้ ครบทั้ง 14 หวั ขอ้ แต่ต้องเขียนให้ครอบคลุมองค์ประกอบ 7 ขอ้ ตอ่ ไปนี้ 1. ชือ่ โครงการวจิ ัย ซือ่ โครงการวิจัยควรกะทัดรดั สือ่ ความหมายไดช้ ัดเจน มีความ เฉพาะเจาะจงในสิ่งทีศ่ ึกษา 2. ชอ่ื ผ้วู ิจัย บอกช่ือของผทู้ าวิจยั 3. ความเปน็ มาและความสาคัญ เขยี นอธิบายให้เห็นความสาคัญของสง่ิ ทีศ่ กึ ษา เขยี น ใหต้ รงประเด็น กระชับ เป็นเหตุเปน็ ผล มอี ้างองิ เอกสารท่ีศึกษา (ถา้ มี) 4. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย เขียนใหล้ อดคลองกับช่ือโครงการวิจัย ครอบคลุมเรอ่ื งท่ี ศึกษา เขยี นให้ชดั เจน อาจมขี อ้ เดียวหรือหลายขอ้ กไ็ ด้ 5. วิธีดาเนนิ การวจิ ยั ระบุถึงวิธีการดาเนินการวจิ ยั - ประชากรกล่มุ ตัวอยา่ ง ส่งิ ทศี่ กึ ษาคืออะไร มีจานวนเทา่ ไร - วิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูล ระบุวธิ กี ารเก็บการบนั ทกึ ขอ้ มูล ระยะเวลาหรือ ชว่ งเวลา สถานที่ - เครื่องมอื วจิ ัย ระบชุ นิด เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสารวจ - การวิเคราะห์ขอ้ มูล ระบุวิธกี ารวเิ คราะหข์ ้อมูล สถติ ิที่ใช้ 6. ปฏทิ ินปฏิบัตงิ าน เขียนขนั้ ตอนการดาเนนิ การวจิ ยั โดยละเอียด และระยะเวลา การ ดาเนนิ การแตล่ ะข้ันตอน 7. ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ ับ เขียนเป็นข้อ ๆ ถึงประโยชน์ ท่คี าดว่าจะเกดิ ขน้ั จาก การทาวิจยั ตวั อยา่ งการเขียนโครงการวจิ ัยอยา่ งง่าย 1. ชอื่ โครงการวิจัย “การศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองชองนกั ศกึ ษาการศึกษานอกโรงเรียน ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ศูนย์การเรียนชุมชนวัดแจง้ ” 2. ชื่อผู้วจิ ัย นางสาวนชุ ใจดี 3. ความเป็นมาและความสาคัญ สนใจสงั่ ช้อื เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
296 เนื่องจากนกั ศกึ ษาการศกึ ษานอกโรงเรียน ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ศรช.วัดแจ้ง ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ มอี าชพี และภารกจิ ต่าง ๆ มากมาย จงึ มีข้อจากดั เร่อื งเวลา ไมส่ ามารถมาพบ กล่มุ หรอื เข้าเรียนทุกวันได้ สถานศึกษาจงึ จดั ให้นกั ศกึ ษามาพบกลมุ่ เฉพาะวันเสาร์และวนั อาทติ ย์ เพอ่ื ครจู ะ ไดส้ อนเสริมและใหน้ ักศึกษามกี ารแลกเปลย่ี นเรียนรู้ สอบถามป๎ญหาการเรียน ตลอดจน มอบหมายให้ นักศกึ ษาไปศึกษาคน้ คว้าในหวั ขอ้ วชิ าทเ่ี รียน ทารายงานหรือนาเสนอเพื่อแลกเปล่ยี น เรยี นรใู้ นการพบ กล่มุ ครั้งต่อไป การท่คี รมู อบหมายให้นกั ศึกษาไปศึกษาค้นควา้ เรยี นร้ดู ้วยตนเองเป็นสว่ นใหญเ่ ช่นนี้ จึงน่าสนใจศกึ ษาว่า นกั ศึกษามีวธิ ีการศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเองอย่างไร และพบปญ๎ หาอุปสรรค อะไรบ้าง มีขอ้ เสนอแนะ อย่างไร ขอ้ คน้ พบจากการวิจยั คาดว่าจะทาให้ครูและสถานศกึ ษา สามารถนาไปเปน็ ข้อมลู ในการพฒั นา ปรบั ปรุง และสนับสนุนการศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเองของนกั ศึกษาให้เกดิ ประสิทธิภาพต่อไป 4. วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย เพอ่ื การศกึ ษา 4.1 ข้อมูลพืน้ ฐานของนักศกึ ษาการศกึ ษานอกโรงเรียน ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย ศรช. วดั แจง้ 4.2 วิธีการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนกั ศกึ ษาการศกึ ษานอกโรงเรียน ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ศรช.วดั แจง้ 4.3 ป๎ญหาอปุ สรรคในการศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเองของนกั ศกึ ษาการศกึ ษานอก โรงเรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศรช.วัดแจง้ 4.4 ขอ้ เสนอแนะในการศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกึ ษาการศกึ ษานอก โรงเรยี น ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศรช.วัดแจง้ 5. วธิ ีดาเนนิ การวิจยั 5.1 ประชากร ไดแ้ ก่ นักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียน ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย ปีการศึกษา 2562 สงั กดั ศรช.วัดแจง้ จานวน 200 คน 5.2 กลมุ่ ตัวอยา่ ง กลมุ่ ตัวอยา่ งจากนักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียน ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลาย ปีการศึกษา 2562 สังกัด ศรช.วดั แจ้ง จานวน 50 คน 5.3 เครือ่ งมอื วจิ ัย ใช้แบบสอบถาม มี 4 ตอน คอื ข้อมลู พ้นื ฐานนกั ศึกษา วธิ ี การศึกษา คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองของนักศึกษา ป๎ญหาอปุ สรรคทพี่ บและขอ้ เสนอแนะ 5.4 วิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู เกบ็ รวบรวมแบบสอบถามด้วยตนเอง ในเดอื น ธันวาคม 2562 5.5 การวิเคราะห์ขอ้ มลู ใชค้ วามถี่ คา่ รอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย สนใจสง่ั ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
297 6. ปฏิทนิ ปฏบิ ัตงิ าน ขนั้ ตอนการวจิ ัย ต.ค.62 พ.ย.62 ธ.ค.62 ม.ค.63 1. เขียนโครงการวจิ ยั / 2. ศกึ ษาเอกสารและกลุม่ ตวั อยา่ ง / 3. สร้างแบบสอบถาม / 4. เก็บรวบรวมข้อมูล // 5.วิเคราะห์ขอ้ มลู /สรุป/เขียนรายงาน // 7. ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รับ 7.1 ครผู ู้สอนใชเ้ ปน็ แนวทางปรับการเรยี นการสอน เพอื่ ช่วยเหลือ สนับสนุน การศกึ ษาค้นคว้าเรียนรู้ดว้ ยตนเองของนักศึกษา 7.2 สถานศึกษาใชเ้ ปน็ แนวทางในการกาหนดกฎเกณฑ์ เพ่อื สง่ เสรมิ สนบั สนนุ การศกึ ษา ค้นควา้ เรยี นรู้ด้วยตนเองของนักศกึ ษา **ทักษะการวจิ ัยในอาชีพ การเขียนรายงานการวจิ ัยอยา่ งงา่ ย และการ เผยแพรผ่ ลงานการ วจิ ัย ทักษะการวจิ ัยในอาชพี อาชีพในความหมายนี้ ไม่จาเปน็ ตอ้ งเปน็ อาชพี ที่เกยี่ วข้องกับงานวชิ าการ เชน่ ครู นกั วิทยาศาสตรเ์ ท่าน้นั ที่จะตอ้ งทาวิจัยเพอื่ พัฒนางาน ทกุ อาชพี สามารถนาการวจิ ยั ไปชว่ ยในการ พฒั นางานได้ แม้กระทงั่ คนงานกวาดถนนของเทศบาล พนกั งานขบั รถเมล์ หรือแมแ้ ตพ่ นกั งาน เสริ ์ฟ ของภัตตาคาร เปน็ ต้น ก่อนการตดั สนิ ใจทาวิจัยในอาชีพ ผ้วู ิจัยตอ้ งรกู้ ่อนวา่ การทางานอาชพี ของตนเอง มปี ๎ญหาอะไร ทีเ่ ปน็ ประเด็นข้อสงสัย และตอ้ งการคน้ หาคาตอบ โดยมักเชียนอยู่ในรปู ประโยคที่ เป็นคาถาม ที่มคี วาม เฉพาะเจาะจง สามารถสงั เกต สารวจ และศึกษาวจิ ยั ได้ วธิ กี ารทาให้ไดค้ าถามวิจัยงานอาชพี ทด่ี ี การตัง้ คาถามวจิ ัยทด่ี ีไดต้ ้องอาศัย สิง่ ตอ่ ไปน้ี 1. ฝึกเป็นคนช่างสังเกต 2. สรา้ งนิสัยรักการอ่าน โดยเฉพาะการอ่านเนื้อหาสาระทีเ่ ก่ียวกบั ปญ๎ หางานอาชีพ และ วิธีการแกไ้ ขป๎ญหา 3. ฝึกต้งั ข้อสังเกตและตงั้ คาถามวจิ ยั ลองทดลองตง้ั คาถามและคาดเดาคาตอบ 4. หาเวลาสะท้อนความคิดกบั เพอื่ นอย่างสมา่ เสมอ เพือ่ ตรวจสอบความคดิ ของตนเอง โดยเฉพาะความสมเหตุสมผลของคาถามวิจยั 5. การต้งั คาถามท่ีดี ไม่ควรใชค้ าถาม ใช่/ไม่ใช่ แต่ควรใชค้ าถาม “ทาไม อยา่ งไร อะไร” สนใจสงั่ ช้ือเอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
298 6. มีความน่าสนใจ เหมาะสมกบั เหตผุ ลทีต่ อ้ งการทาวจิ ยั เพอื่ ช่วยในการแก้ปญ๎ หาหรือ พฒั นางานตัดสินใจทาอะไรก็ได้ตามขอ้ ค้นพบ 5. คาถามวจิ ยั นัน้ มีความเปน็ ไปไดใ้ นการทา เหมาะสมกบั เวลา ทรัพยากร ในชว่ งแรกควร คดิ ถงึ การทาวจิ ัยในประเด็นเลก็ ๆ (small scale) ซึ่งอยูใ่ นวสิ ัยท่ีสามารถดาเนินการจนสาเร็จ 6. หลกี เลยี่ งป๎ญหาวิจัยที่ผู้วิจยั และผ้เู ก่ยี วขอ้ งไม่สามารถทาอะไรได้ แมว้ า่ จะทราบ คาตอบ ตัวอย่างของประเดน็ วิจัยอาชีพ 1. ฉนั ตอ้ งการรปู้ ๎ญหาอุปสรรคท่แี ทจ้ รงิ ในการทาอาชีพค้าขายของตนเอง จะรู้ได้อยา่ งไร 2. ฉนั ตอ้ งการลดรายจา่ ยจากการคา้ ขายของฉัน จะสามารถทาไดอ้ ย่างไร 3. ฉันจะนาคอมพิวเตอรม์ าช่วยในการทาการค้าของฉันได้อย่างไร และจะรู้ไดอ้ ยา่ งไร วา่ วธิ ีดงั กล่าวไดผ้ ลหรือไม่ 4. สาเหตุอะไรท่ีมผี มู้ าใชบ้ รกิ ารร้านอาหารของเราลดนอ้ ยลง การวจิ ยั ในงานอาชพี มใิ ช่เป็นเพยี งการคน้ หาป๎ญหา และคาตอบเพียงอย่างเดยี ว หากแต่เป็น การวิจัยเพื่อพัฒนาไดด้ ้วย ผู้วจิ ยั ควรรู้วา่ มีความจาเป็นตอ้ งพฒั นางานอย่างไร ทาไมต้องพัฒนา แต่ถ้าไม่ รกู้ ค็ วรวจิ ัยเพ่ือหาแนวทางการพัฒนา หรอื รู้แล้วกพ็ ฒั นาตามท่ีรู้ แล้ววิจยั เพือ่ ประเมินผลการพฒั นาดว้ ย การทาวจิ ยั ในอาชีพของตนเอง ไมค่ วรดาเนนิ การด้วยตนเองเพียงคนเดยี ว ยกเวน้ ถา้ อาชีพนั้น มีผ้ทู าวจิ ัยเพียงคนเดยี ว ควรอย่างยิง่ ท่จี ะตอ้ งทางานเปน็ ทีม และทมี วิจยั ตอ้ งรับรู้ถงึ สภาพปญ๎ หาหรือ ความตอ้ งการของงาน ในลักษณะของวัตถุประสงค์ของการวจิ ยั อย่างชัดเจน เพื่อขับเคลื่อนการวจิ ัยได้ ง่าย องคป์ ระกอบในการเขียนรายงานการวจิ ยั อยา่ งง่าย สว่ นใหญ่เปน็ การนาเสนอในหัวข้อ ตอ่ ไปนี้ 1. ชื่อเรอื่ ง 2. ช่อื ผูว้ ิจัย 3. ความเป็นมาของการวิจยั 4. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 5. วิธีดาเนนิ การวจิ ัย 6. ผลการวิจัย 7. ข้อเสนอแนะ 8. เอกสารอ้างองิ (ถ้าม)ี สนใจสงั่ ชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
299 ทกั ษะการเรียนเละศกั ยภาพหลักของพ้ืนท่ีในการพฒั นาอาชพี ป๎จจบุ ันโลกมีการแขง่ ขันในการประกอบอาชีพกนั มากขน้ึ ผู้ท่ีจะประสบความสาเร็จใน การ ประกอบอาชพี ต้องมกี ารศึกษาคน้ ควา้ หาความรูจ้ ากแหล่งเรยี นรู้ตา่ ง ๆ และมีทกั ษะพน้ื ฐานที่ จาเป็น ตอ่ การประกอบอาชพี เช่น ทกั ษะกระบวนการทางาน ทักษะกระบวนการแก้ป๎ญหา ทักษะการทางาน รว่ มกนั ทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการบริหารและการจดั การ ความสาคญั ของศักยภาพหลกั ของพนื้ ที่ในการพฒั นาอาชพี การศึกษา เปน็ กลไกสาคัญของการพัฒนาทรัพยากรของชาตใิ ห้กา้ วทนั การเปลีย่ นแปลง สามารถยืนหยดั ได้อยา่ งสง่างามในประชาคมโลก การจัดการศึกษาจึงต้องให้ความสาคัญและเหน็ คุณคา่ ของภูมิสังคม ภูมิรฐั ศาสตร์ ศักยภาพทุกด้านทจี่ ะเปน็ ตน้ ทนุ ทางการศกึ ษา รวมทั้งตอ่ ยอดการศกึ ษาสู่ การพฒั นาประเทศในดา้ นอ่นื และเพ่มิ ขีดความสามารถในการแขง่ ขันบนเวทีโลก เพอื่ ยกระดับคุณภาพ ชีวิตและสังคม มกี ารคน้ หาศกั ยภาพหลักของพ้ืนท่ีในทกุ ภาคส่วนของสงั คม ป๎จจยั ภายนอกและปจ๎ จัย ภายใน เพอ่ื เปน็ เครื่องมือในการขบั เคลือ่ น การจัดการศึกษาอาชพี จงึ ต้อง เนน้ พืน้ ทเ่ี ปน็ ฐานในการ พฒั นา ภายใตศ้ กั ยภาพ ท่มี อี ยูใ่ นด้านต่าง ๆ ของพ้นื ท่ีนัน้ เปน็ สาคญั จึงจะสามารถยกระดับคุณภาพชวี ิต ของประชาชนให้มีความเปน็ อยู่ที่ดี สรา้ งความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และความม่ันคงทางสงั คม ประเทศ ไทยจึงต้องเร่งพฒั นาทรพั ยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะทรัพยากรมนุษยใ์ ห้มขี ดี ความสามารถสูงข้นึ พร้อม ที่จะเข้าสู่สงั คมการแข่งขนั ในระดับโลกได้ การจัดการศึกษาดา้ นอาชีพมคี วามสาคญั มาก เปน็ การพฒั นาประชากรของประเทศให้มี ความรู้ความสามารถและมีทักษะในการประกอบอาชพี เป็นการแกป้ ๎ญหาการวา่ งงานและส่งเสรมิ ความ เขม้ แข็งใหแ้ กเ่ ศรษฐกิจชมุ ชน กระทรวงศกึ ษาธิการจงึ ไดก้ าหนดยุทธศาสตรก์ ารพฒั นา 5 ศักยภาพของ พืน้ ที่ ใน 5 กลมุ่ อาชีพใหม่ ให้สามารถแข่งขันไดใ้ น 5 ภูมภิ าคหลักของโลก โดยกาหนดภารกิจการ พัฒนา ยกระดับและจัดการศึกษาอาชพี ในกลุ่ม 5 อาชีพใหม่ ได้แก่ กลุม่ อาชีพเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการบริหารจดั การและการบริการ โดยคานงึ ถงึ หลักการพ้ืนฐานของศักยภาพของพ้ืนทใ่ี นการพฒั นาอาชพี ท้ัง 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) ศกั ยภาพของ ธรรมชาติในแตล่ ะพน้ื ที่ 2) ศักยภาพของพื้นทตี่ ามลกั ษณะภูมอิ ากาศ 3) ศกั ยภาพของภูมปิ ระเทศและ ทาเลท่ีตั้งของแตล่ ะพื้นท่ี 4) ศักยภาพของศิลปวัฒนธรรม ประเพณี องค์ความรู้ ภมู ปิ ๎ญญาและวิถีชีวติ ของแตล่ ะพื้นท่ี และ 5) ศักยภาพของทรัพยากรมนษุ ยใ์ นแตล่ ะพืน้ ที่ การวเิ คราะห์ศักยภาพหลักของพนื้ ท่ใี นการพัฒนาอาชีพ 1. ศักยภาพหลักของทรพั ยากรธรรมชาตใิ นแตล่ ะพนื้ ท่ี หมายถงึ สิง่ แวดล้อมตา่ ง ๆ ท่ี เกิดข้นึ เองตามธรรมชาติ และมนุษยส์ ามารถนามาใชป้ ระโยชนได้ เช่น บรรยากาศ ดิน นา้ ปุาไม้ ทุ่ง หญา้ สตั วป์ าุ แร่ธาตุ และพลังงาน เปน็ ตน้ การแยกแยะเพื่อนาเอาศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติใน แต่ละพื้นทม่ี าใชป้ ระโยชนใ์ นการประกอบอาชีพ ตอ้ งพจิ ารณาว่าทรัพยากรธรรมชาติที่อยใู่ นพ้นื ทีน่ ้ัน ๆ มีอะไรบา้ ง เพยี งพอหรือไม่ ถ้าไม่มกี ต็ อ้ งพจิ ารณาใหม่ ว่าจะประกอบอาชพี ทีต่ ัดสนิ ใจเลอื กไว้หรอื ไม่ สนใจส่ังชือ้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
300 เชน่ ต้องการผลิตนา้ แรธ่ รรมชาติจาหนา่ ย แตใ่ นพ้นื ทไ่ี ม่มตี านา้ ไหลผ่าน และไม่สามารถเจาะนา้ บาดาล ได้ก็ต้องพจิ ารณาตอ่ ไป ถา้ ต้องการอาชพี นี้เพราะเห็นวา่ มคี นนิยมด่ืมน้าแรม่ าก ประกอบกบั ตลาดยังมี ความตอ้ งการเช่นกัน กต็ ้องพิจารณาอกี วา่ การลงทนุ หาทรัพยากรนา้ และแรธ่ าตมุ าใชใ้ นการผลติ น้าแร่ จะเสียคา่ ใช้จ่ายค้มุ ทนุ หรือไม่ 2. ศกั ยภาพของพื้นทต่ี ามลกั ษณะภูมอิ ากาศ หมายถงึ ลักษณะของลม ฟูา อากาศทีม่ อี ยู่ ประจาท้องถ่ินใดทอ้ งถน่ิ หน่ึง โดยพจิ ารณาจากคา่ เฉลี่ยชองอุณหภมู ิประจาเดือนและปริมาณ น้าฝน ในชว่ งระยะเวลาต่าง ๆ ในรอบปี เช่น ภาคเหนือของประเทศไทย มีอากาศหนาวเย็น หรอื ร้อนขึน้ สลับ กับฤดแู ล้ง อาชีพทางการเกษตรท่ที ารายไดใ้ หป้ ระชากร ได้แก่ การทาสวน ทาไร่ ทานาและเลี้ยงสัตว์ หรอื ภาคใต้มีฝนตกตลอดทง้ั ปี เหมาะแกก่ ารเพาะปลกู พืชเมอื งร้อน ที่ต้องการความชมุ่ ขึ้นสงู เชน่ ยางพารา ปาล์มนา้ มนั เปน็ ต้น เพราะฉะนน้ั การประกอบอาชพี อะไรกต็ าม จาเป็นตอ้ งพิจารณาถงึ สภาพ ภมู อิ ากาศด้วย 3. ศักยภาพของภมู ิประเทศและทาเลทตี่ ัง้ ของแต่ละพนื้ ท่ี หมายถึง ลกั ษณะพ้ืนท่แี ละ ทาเลทตี่ ง้ั ในแต่ละจังหวดั ซ่ึงมีลกั ษณะแตกต่างกนั เชน่ เป็นภเู ขา ท่รี าบสูง ที่ราบล่มุ ที่ราบชายฝ่ง๎ สง่ิ ที่ ควรศกึ ษา เชน่ ขนาดของพื้นท่ี ความลาดชัน และความสูงของพน้ื ท่ี เป็นต้น รวมถงึ การผลิต การ จาหนา่ ย หรือการใหบ้ รกิ าร ตอ้ งคานึงถึงทาเลทีต่ ้งั ท่ีเหมาะสม 4. ศักยภาพของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และวถิ ีชวี ติ ของแตล่ ะพ้นื ที่ ประเทศไทยมี สภาพภูมปิ ระเทศ ภูมอิ ากาศ และทรัพยากรธรรมชาติทแ่ี ตกต่างกันออกไปในแตล่ ะภาค จงึ มคี วาม แตกตา่ งกนั ในการดารงชีวิต ทงั้ ดา้ นศลิ ปะ วัฒนธรรม ประเพณี และการประกอบอาชีพ ถึงแมว้ า่ คนไทย สว่ นใหญ่ มวี ถิ ีชวี ิตผกู พนั กับการเกษตรถึงรอ้ ยละ 80 แตก่ ค็ วรพิจารณาเลอื กอาชพี ที่เหมาะสมกบั ศลิ ปะ วัฒนธรรม ประเพณใี ห้สอดคลอ้ งกับวถิ ีชีวิตของแต่ละพืน้ ท่ดี ้วย 5. ศักยภาพของทรัพยากรมนุษยใ์ นแตล่ ะพื้นที่ หมายถึง การนาศักยภาพของแตล่ ะบคุ คล ในแต่ละพื้นที่มาใชใ้ นการปฏิบตั ิงานใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สุด และสร้างให้แต่ละบคุ คลเกดิ ทัศนคตทิ ี่ดีตอ่ อาชพี องคก์ ร ตลอดจนเกดิ ความตระหนกั ในคุณค่าของตนเองและเพอื่ นรว่ มงานในประเทศไทยยงั มี บคุ คลอกี หลายกลุ่มที่สามารถปรับเปลีย่ นวิถีชวี ิตความเปน็ อยู่ ตลอดจนการพฒั นาอาชพี ให้เหมาะสมกับ ยคุ สมยั โดยเฉพาะอาชพี ดา้ นเกษตรกรรม ป๎จจบุ นั มกี ารทาเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟนื้ คนื ธรรมชาตใิ หอ้ ดุ มสมบูรณแ์ ทนสภาพดนิ เดมิ ทเี่ คยถูกทาลายไป ทรพั ยากรมนุษยเ์ ป็นเรอื่ งท่ีสาคญั ท่ตี ้อง พิจารณาดาเนนิ การประกอบอาชพี อย่างเปน็ ระบบใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของบุคคลในแตล่ ะ พื้นที่ จะเหน็ ไดว้ า่ การวเิ คราะห์ศกั ยภาพตามหลกั ของพ้ืนที่ ท้ัง 5 ด้าน ดงั กลา่ วข้างต้นมีความสาคัญ และจาเปน็ ตอ่ การประกอบอาชีพใหเ้ ขม้ แขง็ หากได้วิเคราะหศ์ กั ยภาพของตนเองอย่างรอบด้าน รวมถึง ป๎จจัยภายในตัวตนและภายนอกของผ้ปู ระกอบอาชพี ถ้าวิเคราะห์ข้อมลู ได้มากและถูกตอ้ ง ก็มีโอกาส เข้าสกู่ ารประกอบอาชพี ได้มากยิ่งข้นึ สนใจสง่ั ชอื้ เอกสาร 0933298140 Line : NFE4567
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335