Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่ม 10 (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

เล่ม 10 (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

Published by agenda.ebook, 2022-07-26 09:48:11

Description: (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 4 ครั้งที่ 7 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565

Search

Read the Text Version

(๒๗) (๘) นายภคิณ จักรวรนนท์ เปน็ อนกุ รรมาธกิ าร (๙) นายราเยส ราย เป็นอนกุ รรมาธิการ (๑๐) นายศริ วิ ัชร์ เลาประสพวฒั นา เปน็ อนุกรรมาธิการ ตอ่ มา คณะกรรมาธกิ ารวิสามญั ได้มีมตเิ ปลีย่ นแปลงอนกุ รรมาธกิ าร ดังน้ี (๑) ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญ ครั้งที่ ๓ วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓ ท่ีประชุมมีมติให้ พลตารวจตรี พรชัย เจริญวงศ์ อนุกรรมาธิการ พ้นจากตาแหน่ง และตั้งให้ พันตารวจเอก อทิ ธพิ ล จันทรศ์ รีบตุ ร เป็นอนุกรรมาธกิ ารแทน หลังจากนั้น ท่ีประชุมคณะอนุกรรมาธิการ มีมติเลือกตั้ง พันตารวจเอก อิทธิพล จันทร์ศรบี ตุ ร เป็นโฆษกคณะอนกุ รรมาธกิ าร (๒) ในคราวประชมุ คณะกรรมาธิการวสิ ามัญ ครั้งท่ี ๕ วันพฤหัสบดีท่ี ๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ ที่ประชุมมีมติให้นางสาวกานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่สอง พน้ จากตาแหน่ง และตัง้ ใหน้ ายสมชาย ธนกุสมุ าลย์ เปน็ อนุกรรมาธกิ ารแทน หลังจากน้ัน ท่ีประชุมคณะอนุกรรมาธิการมีมติเลือกต้ัง นายประเดิมชัย บุญชว่ ยเหลือ เป็นรองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ คนท่สี อง แทน หมายเหตุ : (๑) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันตารวจโทหญิง ศิพร โกวิท ได้ขอเปล่ียนยศเป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันตารวจเอกหญิง ศพิ ร โกวิท (๒) พลตารวจตรี พรชัย เจริญวงศ์ ได้ขอเปลี่ยนยศเป็น พลตารวจโท พรชัย เจรญิ วงศ์ คณะกรรมาธกิ ารวิสามัญมมี ตติ ั้งท่ปี รกึ ษาประจาคณะอนุกรรมาธิการ ดงั น้ี (๑) นายจาตรุ งค์ เพ็งนรพัฒน์ (๒) นางผ่องศรี แซ่จึง (๓) นายกิตติศกั ด์ิ คณาสวสั ด์ิ (๔) นายธรรศกร พันธารีกลุ (๕) นายเกียรตอ์ิ ุดม เมนะสวัสด์ิ (๖) นายสาคร เกย่ี วข้อง (๗) นายอนุสรณ์ เอยี่ มสะอาด (๘) พลตารวจตรี สมเกยี รติ วรรณสิริวไิ ล (๙) พลอากาศตรี นภทั ร์ แกว้ นาค (๑๐) พนั ตารวจเอก อรรถพร สุรยิ เลิศ (๑๑) นายจานงค์ ไชยมงคล (๑๒) ผู้ช่วยศาสตราจารย์พงศ์พัฒน์ จิตตานรุ ักษ์ (๑๓) นายอดุ มชยั โลหณุต (๑๔) ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ศตคณุ เดชพนั ธ์ (๑๕) นางถนอมขวัญ อย่สู ขุ (๑๖) นายชัยธัช บุณยถาวรพันธ์ (๑๗) นายพณวัฒน์ ตนายะพงศ์ (๑๘) นายเกง่ การ ยง่ิ วรรณศริ ิ (๑๙) นายจลุ ภควฒั น์ ศรสี วุ รรณ (๒๐) นายเอนก จิตตขจรเกียรติ (๒๑) นายพลาศร ธมุ ชัย (๒๒) นายสมเกยี รติ จรัสพิทยากุล (๒๓) นายสมบตั ิ ศรีทองอนิ ทร์ (๒๔) นายณพลเดช มณลี ังกา (๒๕) นายกริช สนิ ธศุ ิริ (๒๖) นายพลฑิตย์ ภุกพิบูลย์ (๒๗) นายจรินทร์ เฮยี งกลุ (๒๘) นายยศ ธนารกั ษโ์ ชค (๒๙) นายรัษฎา วชิ ยั ดษิ ฐ (๓๐) นางสาวฉตั รพรรณ์ รัตนะฉายทอง (๓๑) นางสาววันทนา บอ่ โพธ์ิ (๓๒) นายสาธติ ชยั ธนะ (๓๓) ว่าที่รอ้ ยตรี ธนพศ วรนชุ (๓๔) นายศกั ด์ิชัย ผนิ นารี

(๒๘) (๓๕) นายนติ ิพงษ์ ส่งศรโี รจน์ (๓๖) นางสาวศิวพร เสาวคนธ์ (๓๗) นายอัครวฒุ ิ กสวิ ิทยานันท์ (๓๘) นายสมบรู ณ์ สนิท (๓๙) นายวีระ ใครลดั ดาล์ (๔๐) นายสมฤทธิ์ สนขาว (๔๑) นายพันธุศ์ ักดิ์ ซาบุ (๔๒) นายธวชั ชัย สายพนั ธ์ุ (๔๓) นางสุชาดา นันทะพานชิ สกุล (๔๔) นายปิยะวัฒน์ คัจฉวารี (๔๕) นายกติ ติภฏั ธนาสนธิราช (๔๖) นางยรรยงรัตน์ ไชยศวิ ามงคล (๔๗) นายหมวดโท ปรศิ นา ศรเี จริญ (๔๘) นายนรชั ชา ศรีเจริญ ตอ่ มา ท่ีปรกึ ษาประจาคณะอนุกรรมาธิการได้ขอลาออก ดงั นี้ (๑) นางยรรยงรัตน์ ไชยศวิ ามงคล ลาออกเมอ่ื วันที่ ๒๙ ตลุ าคม ๒๕๖๓ (๒) นายหมวดโท ปรศิ นา ศรีเจรญิ ลาออกเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ (๓) นายนรัชชา ศรีเจรญิ ลาออกเมอ่ื วนั ท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ คณะอนุกรรมาธิการด้านการปราบปรามยาเสพติดและการบังคับใช้กฎหมาย หมดวาระเมื่อวนั ท่ี ๑๔ ตลุ าคม ๒๕๖๔ ๓) คณ ะอนุกรรมาธิการด้านการบาบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติด ยาเสพตดิ ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญ คร้ังท่ี ๒ วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๓ ท่ีประชุมมีมติต้งั คณะอนุกรรมาธิการด้านการบาบัดรักษาและฟ้ืนฟูสมรรถภาพผตู้ ิดยาเสพติด เพ่ือให้มีหน้าท่ีและอานาจในการกระทากิจการ หรือพิจารณาศึกษาเร่ืองใด ๆ ท่ีเก่ียวกับการ บาบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด และดาเนินการอ่ืนใดตามท่ีได้รับมอบหมายจาก คณะกรรมาธิการ เว้นแต่หน้าที่และอานาจในการสอบหาข้อเท็จจริง โดยรายงานผลการพิจารณา ศึกษาเรอ่ื งดังกล่าวให้คณะกรรมาธิการทราบเป็นระยะ แล้วจัดทารายงานผลการพิจารณาศึกษาของ คณะอนกุ รรมาธิการเสนอตอ่ คณะกรรมาธิการ ซ่ึงคณะอนกุ รรมาธกิ ารชดุ นี้ ประกอบด้วย (๑) นายสฤษพงษ์ เกยี่ วข้อง เปน็ ประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร (๒) พลตารวจตรี ภูวดิท ชนะคชภัทร์ เป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร คนที่หนง่ึ (๓) นายเสกสรรค์ สขุ คณุ เป็นทีป่ รึกษาคณะอนุกรรมาธิการ (๔) นางสาววรพรรณ เครอื หงษ์ เป็นเลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ (๕) นายภาณุณพ์ ล จงชัยธนโรจน์ เปน็ ผชู้ ่วยเลขานกุ ารคณะอนุกรรมาธิการ (๖) นายนภดล องั คสุภณ เป็นโฆษกคณะอนกุ รรมาธกิ าร (๗) พลตารวจตรี สุรศักด์ิ รมยานนท์ เปน็ อนกุ รรมาธิการ (๘) นายพงศกร มงคลหมู่ เปน็ อนกุ รรมาธิการ (๙) นายพษิ ณุพงษ์ ถิรโชติภูวนันท์ เป็นอนกุ รรมาธกิ าร (๑๐) นายสทิ ธิชัย บอ่ มว่ ง เป็นอนกุ รรมาธิการ ต่อมา คณะกรรมาธกิ ารวิสามญั ไดม้ มี ตเิ ปลีย่ นแปลงอนกุ รรมาธิการ ดังน้ี (๑) ในคราวประชมุ คณะกรรมาธิการวสิ ามัญ คร้ังท่ี ๕ วันพฤหัสบดีท่ี ๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ นายพงศกร มงคลหมู่ อนุกรรมาธิการ ได้ขอลาออกจากตาแหน่ง ที่ประชุมจึงมีมติต้ังให้ พันตารวจเอก วิชย์สัณห์ บุญณรงค์ เป็นอนุกรรมาธิการแทน หลังจากนั้น ที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการ มีมตเิ ลอื กตัง้ พันตารวจเอก วิชย์สัณห์ บุญณรงค์ เปน็ รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร คนที่สอง

(๒๙) (๒) ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญ ครั้งท่ี ๖ วันพฤหัสบดีท่ี ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ ท่ีประชมุ มีมติให้ พลตารวจตรี สุรศักด์ิ รมยานนท์ อนกุ รรมาธิการ พ้นจากตาแหน่ง และตั้งให้ นายศตวรรษ เทพชนะ เปน็ อนุกรรมาธิการแทน คณะกรรมาธิการวิสามัญมมี ตติ ัง้ ท่ปี รึกษาประจาคณะอนุกรรมาธิการ ดังนี้ (๑) พลตารวจตรี สรุ ศกั ด์ิ รมยานนท์ (๒) นายปารเมศ โพธารากลุ (๓) หม่อมหลวงปรียพรรณ ศรธี วชั (๔) ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยภ์ ูวนิดา คนุ ผลนิ (๕) พันตารวจโท พีรศกั ดิ์ เจรญิ พนั ธ์ (๖) นายธนเสฏฐ์ นติ ธิ นกานต์ (๗) นางป่นุ บษุ บงค์ (๘) จา่ สบิ ตารวจ จนิ ดาพล คาวรรณพร (๙) นายอนชุ า หลานเด็น (๑๐) นายอภเิ ดช ไม้หนองกอย (๑๑) นายเดชสทิ ธ์ิ พมิ ล (๑๒) นายพรเทพ เศวตะทัต (๑๓) นายยศภัทร อั้นเต้ง (๑๔) นางสาวนงลักษณ์ ทรงลาเจยี ก (๑๕) นายไพศาล แจม่ จารัส (๑๖) นายมนตช์ ัย พงษเ์ จริญ (๑๗) นายพชั รปตั ย์ ขาวสะอาด (๑๘) นายธวัช จงรักษภ์ ูวนาถ (๑๙) นายวีระ ยูโซะ๊ (๒๐) นางสาวพรทิพย์ อมรรุ่งเรืองชยั คณะอนุกรรมาธิการด้านการบาบัดรักษาและฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด หมดวาระเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ต่อมาท่ีประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการข้ึนอีก ๒ คณะ แทนคณะอนกุ รรมาธกิ ารชุดเดมิ ซง่ึ หมดวาระ ดังนี้ ๑) คณะอนุกรรมาธกิ ารจดั ทารายงานการพิจารณาศกึ ษาปัญหายาเสพติด ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญ คร้ังท่ี ๒๓ วันพฤหัสบดีที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๔ ท่ีประชุมมีมติตั้งคณะอนุกรรมาธิการจัดทารายงานการพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด ข้ึนแทน คณะอนุกรรมาธิการด้านการบาบัดรักษาและฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ซึ่งหมดวาระแล้วเม่ือ วันท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ทั้งน้ี ใหค้ ณะอนุกรรมาธิการชดุ นี้มีหนา้ ท่ีและอานาจ ดังนี้ (๑) รวบรวมข้อมูลหรือเอกสารใด ๆ เพื่อจัดทารายงานการพิจารณาศึกษาของ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บาบัดยาเสพติด การป้องกันและแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ อย่างเปน็ ระบบ สภาผแู้ ทนราษฎร (๒) จัดทารายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ และรายงานผลการ ดาเนนิ งานใหค้ ณะกรรมาธกิ ารทราบเปน็ ระยะ (๓) ดาเนินการอ่ืนใดท่ีเก่ียวข้องกับการจัดทารายงานจนแล้วเสร็จ และตามที่ ไดร้ บั มอบหมายจากคณะกรรมาธกิ าร คณะอนกุ รรมาธกิ ารชุดน้ี ประกอบด้วย (๑) ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ พนั ตารวจโทหญิง ศพิ ร โกวทิ เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการ (๒) นายสามารถ เจนชยั จิตรวนิช เป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนท่ีหนึ่ง (๓) นายนิยม เตมิ ศรีสุข เป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่สอง (๔) พันตารวจเอก วชิ ยส์ ัณห์ บญุ ณรงค์ เปน็ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนทีส่ าม (๕) นางสาวบุญศิริ จนั ศิริมงคล เป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนท่ีสี่ (๖) นางสาวสพุ จนี ชุตดิ ารง เป็นเลขานกุ ารคณะอนุกรรมาธิการ

(๓๐) (๗) นางสาววชั รี ตรองจิตต์ เป็นผู้ชว่ ยเลขานกุ ารคณะอนุกรรมาธิการ (๘) นายสงา่ ศักดิ์ ศรสี มัย เป็นผ้ชู ว่ ยเลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธิการ (๙) พันตารวจโท วชิ ติ เวช ตะ๊ ผดั เป็นโฆษกคณะอนกุ รรมาธิการ (๑๐) พนั ตารวจเอก นมิ ติ ชิตเจรญิ เป็นโฆษกคณะอนุกรรมาธกิ าร หมายเหตุ : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันตารวจโทหญิง ศิพร โกวิท ได้ขอเปล่ียนยศเป็น ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ พนั ตารวจเอกหญิง ศพิ ร โกวิท ๒) คณะอนุกรรมาธิการพัฒนาพ้ืนท่ีต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง EF เพ่ือสร้าง ภมู ิคุ้มกันยาเสพตดิ ต้ังแต่ปฐมวัย ในคราวประชมุ คณะกรรมาธิการวสิ ามญั คร้ังท่ี ๒๘ วันพฤหัสบดีที่ ๓ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๕ ท่ีประชุมมีมติตั้งคณะอนุกรรมาธิการพัฒนาพื้นท่ีต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง EF เพ่ือสร้าง ภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย ขึ้นแทนคณะอนุกรรมาธิการด้านการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกัน ยาเสพติด ซ่ึงหมดวาระแล้วเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๔ ท้ังนี้ ให้คณะอนุกรรมาธิการชุดน้ีมีหน้าที่ และอานาจในการกระทากิจการ หรือพิจารณาศึกษาเรื่องใด ๆ ที่เก่ียวกับการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ ส่งเสริมทักษะสมอง EF เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้แก่เด็กต้ังแต่ปฐมวัย และดาเนินการอื่นใด ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการ เว้นแต่หน้าท่ีและอานาจในการสอบหาข้อเท็จจริง โดยรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรอ่ื งดงั กล่าวให้คณะกรรมาธิการทราบเป็นระยะ แล้วจดั ทารายงาน ผลการพิจารณาศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการเสนอต่อคณะกรรมาธิการ ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการชุดน้ี ประกอบดว้ ย (๑) นางสาวเพชรดาว โตะ๊ มีนา เปน็ ประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร (๒) นางผ่องศรี แซ่จงึ เป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง (๓) นายนยิ ม เตมิ ศรีสขุ เป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนทีส่ อง (๔) นางสภุ าวดี หาญเมธี เป็นรองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร คนท่สี าม (๕) นางธดิ า พิทักษ์สนิ สขุ เป็นเลขานุการคณะอนกุ รรมาธกิ าร (๖) นางสาวปนัดดา ธนเศรษฐกร เป็นผชู้ ว่ ยเลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธิการ (๗) นางอัมพร เบญจพลพทิ กั ษ์ เป็นอนกุ รรมาธกิ าร (๘) นางสาวอารภี กั ด์ิ เงินบารงุ เป็นอนุกรรมาธกิ าร (๙) นางสาวปรชั ญวรรณ วนานนั ท์ เปน็ อนกุ รรมาธิการ (๑๐) นางสดุ า วงศ์สวัสด์ิ เป็นอนกุ รรมาธิการ คณะกรรมาธกิ ารวิสามญั มมี ติตัง้ ทป่ี รึกษาประจาคณะอนุกรรมาธิการ ดังน้ี (๑) นายจาตุรงค์ เพ็งนรพฒั น์ (๒) พันตารวจเอก วชิ ยส์ ัณห์ บุญณรงค์ (๓) นายสามารถ เจนชัยจติ รวนิช (๔) รอ้ ยตารวจตรี มณฑล โพธคิ์ าย (๕) นายสรุ ชาติ เล็กน้อย (๖) นางสาวฌนัชชาพทั ธ์ ลาจันทึก (๗) นายอาพล ขาวลิ ัย (๘) นายธรี ะวิทย์ วงศเ์ พชร (๙) นางสาวสดุ ใจ พรหมเกดิ (๑๐) นายกมล ชัยกัณทะ (๑๑) นายสรุ ภิ าศ สหี ะวงษ์ (๑๒) นางอมั ราภัสร์ จันทะแสงโรจน์ (๑๓) นายสมศกั ด์ิ ประสาร (๑๔) ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยอ์ รธิดา ประสาร (๑๕) นายวทิ ยา ทองอนิ ทร์ (๑๖) ผู้ชว่ ยศาสตราจารยซ์ ัมซู สาอุ

(๓๑) (๑๗) นายปิติพงษ์ บรู พาขจรพงษ์ (๑๘) ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์สรนิ ฎา ปุติ (๑๙) นางสาวสุวรา แก้วนยุ้ (๒๐) ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์อรพร ทับทิมศรี (๒๑) นายจุลภควฒั น์ ศรีสุวรรณ (๒๒) พลตารวจตรี พรี ะพงศ์ วงษ์สมาน (๒๓) นางปรีณาพรรณ ทองเล็ก (๒๔) พนั ตารวจโท ภฏั อนิ เถลิงศักด์ิ (๒๕) นางอไุ รวรรณ นตุ ตะโยธิน (๒๖) ร้อยตารวจเอก ธนากร ธีรสกลุ ศกั ดา (๒๗) นางสาวปรารถนา หาญเมธี (๒๘) นางสาวฮานานมฮู บิ บะตดุ ดนี นอจิ (๒๙) นายสมยั โกกเจรญิ พงศ์ (๓๐) นายจารัส สวนจันทร์ (๓๑) นายณัฐวิชช์ เนติจารุโรจน์ (๓๒) ผู้ช่วยศาสตราจารย์วริ ิยาภรณ์ อุดมระติ (๓๓) นายภูวฤทธิ์ ภูวภิรมย์ขวัญ (๓๔) นางสาวกรองทอง บญุ ประคอง (๓๕) นางสาวปิยวลี ธนเศรษฐกร (๓๖) นางสาวพจนีย์ เช้ือบัณฑติ (๓๗) นายพรี ศุภ อินลี (๓๘) นายสพุ ิส ไต้ย้ิม (๓๙) นายวศนิ สริ ิเกียรตกิ ุล (๔๐) ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ยศวรี ์ สายฟา้ (๔๑) นางสาวรจนา ขอร่ม (๔๒) นางพิณยา ทองขอน (๔๓) นางเอมอร รสเครือ (๔๔) นางภาวนา อร่ามฤทธิ์ (๔๕) นางธีร์ธุตา บญุ ชู คณะอนุกรรมาธิการพัฒนาพื้นท่ีต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง EF เพื่อสร้าง ภูมคิ มุ้ กันยาเสพตดิ ตัง้ แตป่ ฐมวัย หมดวาระเม่ือวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๕ ๖.๓ คณะกรรมาธิการวิสามัญได้ต้ังคณะทางาน จานวน ๑ คณะ คือ คณะทางาน เรียบเรียงรายงานการศึกษาปัญหายาเสพติด เพื่อให้มีหน้าท่ีจัดทาและเรียบเรียงรายงานการพิจารณา ศึกษาของคณะกรรมาธิการ และดาเนินการอ่ืนใดที่เกี่ยวข้องกับการจัดทารายงานและตามที่ได้รับ มอบหมายจากคณะกรรมาธกิ าร ท้ังนี้ ต้ังแต่วันท่ี ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ซง่ึ คณะทางาน คณะน้ี ประกอบดว้ ย ๑) ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ พนั ตารวจโทหญงิ ศพิ ร โกวทิ เป็นประธานคณะทางาน ๒) นายนยิ ม เตมิ ศรีสขุ เป็นทป่ี รึกษาคณะทางาน ๓) นางสาวบุญศริ ิ จนั ศิรมิ งคล เป็นรองประธานคณะทางาน ๔) นางสาวสุพจนี ชตุ ิดารง เป็นเลขานกุ ารคณะทางาน ๕) นางสาววัชรี ตรองจติ ต์ เป็นผชู้ ว่ ยเลขานุการคณะทางาน หมายเหตุ : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันตารวจโทหญิง ศิพร โกวิท ได้ขอเปลี่ยนยศเป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันตารวจเอกหญิง ศพิ ร โกวทิ ๖.๔ คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญได้พิจารณาศึกษาข้อเท็จจริงและรายละเอียดข้อมูลเรื่องนี้ จากเอกสาร ข้อมูล คาช้ีแจงจากหน่วยงานที่เก่ียวข้อง รวมท้ังรายละเอยี ดจากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ โดยนามา ประกอบการพจิ ารณาศึกษาข้อเทจ็ จริงของคณะกรรมาธิการวสิ ามัญ

(๓๒) ๖.๕ คณะกรรมาธกิ ารวิสามัญได้มีมตเิ ดินทางไปศกึ ษาดงู าน จานวน ๑๘ ครั้ง ดงั น้ี ๑) ศึกษาดงู าน ณ จังหวัดกาฬสินธุ์ วนั จนั ทร์ท่ี ๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓ ๒) ศึกษาดงู าน ณ จังหวดั กระบี่ ระหวา่ งวนั ศุกร์ที่ ๑๓ - วันเสารท์ ี่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ๓) ศึกษาดูงาน ณ กองบัญชาการตารวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) วนั จันทร์ท่ี ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ๔) ศึกษาดูงาน ณ จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดขอนแก่น ระหว่างวันศุกร์ท่ี ๒๗ - วนั เสารท์ ี่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ๕) ศกึ ษาดงู าน ณ สานักงานตารวจแหง่ ชาติ วันอังคารที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ ๖) ศึกษาดูงาน ณ จังหวัดปัตตานี และจังหวัดนราธิวาส ระหว่างวันอาทิตย์ท่ี ๒๗ - วันจนั ทร์ท่ี ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๖๓ ๗) ศึกษาดูงาน ณ องค์การบริหารส่วนตาบลรางจรเข้ อาเภอเสนา จังหวัดพระนคร ศรีอยธุ ยา วันจันทรท์ ่ี ๘ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๔ ๘) ศึกษาดูงาน ณ กระทรวงมหาดไทย วนั จนั ทรท์ ่ี ๘ มีนาคม ๒๕๖๔ ๙) ศกึ ษาดงู าน ณ จงั หวัดเชยี งราย และจงั หวัดเชียงใหม่ ระหวา่ งวนั ศกุ รท์ ี่ ๒ - วันเสาร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๔ ๑๐) ศึกษาดูงาน ณ จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันพฤหัสบดีท่ี ๑๔ - วันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๔ ๑๑) ศึกษาดูงาน ณ กระทรวงยุติธรรม วนั จันทร์ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ ๑๒) ศกึ ษาดูงาน ณ กระทรวงศกึ ษาธิการ วนั จนั ทร์ท่ี ๒๐ ธนั วาคม ๒๕๖๔ ๑๓) ศกึ ษาดงู าน ณ เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ วนั องั คารที่ ๘ มนี าคม ๒๕๖๕ ๑๔) ศึกษาดงู าน ณ จังหวัดกาญจนบุรี ระหวา่ งวนั พุธที่ ๑๖ - พฤหสั บดีท่ี ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๕) ศึกษาดงู าน ณ จงั หวดั ปัตตานี ระหว่างวนั พธุ ที่ ๓๐ – วันพฤหัสบดที ่ี ๓๑ มนี าคม ๒๕๖๕ ๑๖) ศึกษาดูงาน ณ จังหวดั ศรสี ะเกษ ระหว่างวันจนั ทรท์ ่ี ๔ – วันอังคารที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๕ ๑๗) ศึกษาดูงาน ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ วันพุธที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ๑๘) ศกึ ษาดงู าน ณ กระทรวงมหาดไทย วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ๗. ผลการพจิ ารณาศึกษา ค ณ ะ ก ร ร ม าธิ ก าร วิ ส า มั ญ ได้ จั ด ท า ร า ย งา น ผ ล ก าร พิ จ า ร ณ าศึ ก ษ า ปั ญ ห าย าเส พ ติ ด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บาบัดยาเสพติด การป้องกนั และแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเปน็ ระบบ โดยนา ข้อมูลท่ีได้มาสรุปและรวบรวมเอกสารเป็นรูปเล่ม ปรากฏผลการดาเนินการตามที่แนบมาพร้อมน้ี โดยแบง่ เนื้อหารายงานออกเปน็ ๔ บท ประกอบด้วย บทท่ี ๑ บทนา บทท่ี ๒ เอกสารและงานวชิ าการทเี่ กี่ยวขอ้ ง บทที่ ๓ ผลการศึกษา บทที่ ๔ บทสรุป และข้อสังเกต

บทท่ี ๑ บทนำ ๑.๑ ควำมเป็นมำของกำรศึกษำ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับภัยคุกคำมควำมม่ันคงรูปแบบหนึ่ง ที่สำมำรถทำลำยโครงสร้ำงระบบ ทำงสังคม เศรษฐกิจ และกำรเมืองให้พังทลำยลงได้ น่ันก็คือปัญหำยำเสพติด เพรำะยำเสพติด นอกจำกจะทำลำยคณุ ภำพของทรัพยำกรมนุษย์แล้วยังทำลำยควำมเป็นมนุษย์ให้ดอ้ ยลงไป แทจ้ ริงแล้ว ปญั หำยำเสพติดไม่ใช่ปัญหำของประเทศใดประเทศหน่ึง แตเ่ ป็นของทุกประเทศต้องร่วมมือกันในกำร แก้ไข ทั้งประเทศท่ีเป็นแหล่งผลิตยำเสพติด ประเทศที่เป็นแหล่งค้ำยำเสพติด และประเทศท่ีเป็น แหลง่ แพร่ระบำดยำเสพติด สำหรับประเทศไทยแม้ในปัจจุบันจะไม่มีส่ิงบ่งชี้ว่ำมีแหล่งผลิตยำเสพติด แต่ในทศวรรษท่ีผ่ำนมำ ปัญหำยำเสพติดในไทยก็มีระดับท่ีเรียกว่ำมีควำมรุนแรงทั้งในมิติของกำรค้ำและกำรแพร่ระบำด เน่อื งมำจำกกำรมีพื้นท่ีตง้ั ทำงภมู ศิ ำสตร์ทช่ี ิดตดิ พรมแดนกบั ประเทศเมยี นมำ ซ่ึงเป็นหน่งึ ในแหลง่ ผลิต ยำเสพติดที่สำคัญของโลกที่เรียกว่ำ “สำมเหล่ียมทองคำ” และกำรเป็นศูนย์กลำงด้ำนกำรคมนำคม ขนส่ง (transport and logistic) ของภูมิภำค ทำให้ผลผลิตยำเสพติดจำกแหล่งนี้ถูกส่งเข้ำไปยังตลำด กำรค้ำยำเสพติดทั่วโลก โดยใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทำงลำเลียงยำเสพติดผ่ำนไปยังประเทศท่ีสำม และยำเสพตดิ จำนวนไม่น้อยถกู สง่ เขำ้ ตลำดยำเสพตดิ ในประเทศไทยดว้ ย ควำมรุนแรงของปัญหำยำเสพติดในไทย เห็นได้จำกจำนวนยำเสพติดที่จับยึดได้เพิ่มข้ึนอย่ำง ก้ำวกระโดด จำนวนพื้นท่ีแพร่ระบำดของยำเสพติดในระดับหมู่บ้ำน/ชุมชนท่ียังมีอยู่อย่ำงหนำแน่น และจำนวนผู้เสพผู้ติดยำเสพติดที่มมี ำกขึ้นโดยเฉพำะในกล่มุ เด็กและเยำวชน ท้ังน้ียังไม่นับรวมปัญหำ อื่น ๆ ที่เกิดข้ึนเช่นปัญหำสังคมและปัญหำอำชญำกรรมท่ีเกี่ยวเน่ืองกับปัญหำยำเสพติด และโดยเฉพำะ ปัญหำในระดับปัจเจกบุคคลที่มีอำกำรป่วยเร้ือรังทั้งทำงสมองและทำงร่ำงกำย ท้ังนี้ พฤติกรรมกำร เสพติดต้องใช้เวลำในกำรบำบัดอย่ำงตอ่ เนื่อง ผู้เสพติดจึงต้องกำรเข้ำถึงบริกำรสถำนฟ้ืนฟูสมรรถภำพ ท่ีเหมำะสมเพื่อกำรรักษำท่ีดีขึ้นอย่ำงย่ังยืน ไม่เสพติดซ้ำ สำมำรถดูแลตนเอง อยู่ในชุมชน สังคม อย่ำงมี คุณค่ำ ซ่ึงหำกยังไม่สำมำรถทำให้ระดับควำมรุนแรงของปัญหำยำเสพติดในประเทศไทยลดลง ก็เชื่อได้ว่ำ ในไมช่ ำ้ ควำมม่ันคงของชำติจะถูกส่นั คลอนจำกปัญหำยำเสพตดิ กำรแถลงนโยบำยของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภำก่อนเข้ำบริหำรรำชกำรแผ่นดินของทุกรัฐบำล ที่ผ่ำนมำล้วนกำหนดให้กำรป้องกันและแก้ไขปัญหำยำเสพติดเป็นนโยบำยเร่งด่วนท่ีต้องดำเนินกำร สะท้อนถึงควำมสำคัญของปัญหำยำเสพติดท่ีต้องเร่งดำเนินกำรแก้ไข โดยรัฐบำลจะทำหน้ำที่ในกำร บริหำรจดั กำรให้มกี ำรนำนโยบำยไปปฏบิ ตั ิให้เกิดผล สว่ นรฐั สภำจะทำหน้ำที่ในกำรตดิ ตำม ตรวจสอบ ท้วงติง ใหข้ ้อเสนอแนะต่อกำรดำเนนิ งำนตำมนโยบำยของรัฐบำล จำกกำรดำเนินงำนของรัฐบำล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชำ นำยกรัฐมนตรี และจำกควำม รุนแรงของปัญหำยำเสพตดิ ท่ีปรำกฏขน้ึ ภำยหลงั กำรเข้ำมำบริหำรรำชกำรแผน่ ดิน ส่งผลให้ในระหวำ่ ง กรกฎำคม ๒๕๖๒ - กรกฎำคม ๒๕๖๓ สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรส่วนหนึ่งได้ร่วมกันเสนอญัตติเพื่อ ขอให้สภำผู้แทนรำษฎรตั้งคณะกรรมำธิกำรวิสำมัญเพ่ือพิจำรณำและศึกษำแนวทำงกำรแก้ไขปัญหำ ยำเสพตดิ รวม ๘ ญัตติ ซึ่งสำระสำคัญของทกุ ญัตติท่ีเสนอล้วนสอื่ ถึงควำมรุนแรงของปัญหำยำเสพติด

๒ ท่ีสังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ อำทิ ยำเสพติดทุกตัวยำแพร่ระบำดอย่ำงรุนแรงไปทั่วประเทศและนับวันจะทวี ควำมรนุ แรงเพ่มิ ขึ้น โดยเฉพำะในชุมชนแออัด อกี ทั้งเด็กและเยำวชนทเี่ ป็นกำลังสำคัญของชำติเข้ำไป เก่ียวข้องกบั ยำเสพตดิ จำนวนมำก สำระสำคัญของญัตติที่เสนอยังสื่อถึงควำมเสียหำยท่ีเกิดข้ึนจำกปัญหำยำเสพติด ทั้งทำง เศรษฐกิจและสังคม โดยรัฐต้องใช้จ่ำยงบประมำณเพ่ือกำรแก้ไขปัญหำปีละนับหมื่นล้ำนบำท ในกำร นำผู้ติดยำเสพติดเข้ำสกู่ ระบวนกำรบำบัดรักษำเพ่ือให้กลับไปใช้ชีวิตได้อย่ำงปกตใิ นสังคม และในกำร นำตัวผู้กระทำควำมผิดเกี่ยวกับยำเสพติดมำดำเนินคดีเพื่อให้ได้รับโทษตำมควำมผิดท่ีก่อขึ้น ทำให้ ประเทศเสียโอกำสในกำรพัฒนำเพรำะกำรไม่สำมำรถนำงบประมำณไปใช้จำ่ ยให้เกิดประโยชน์ทำงอื่น และกำรไม่สำมำรถใช้ทรัพยำกรมนุษย์ท่ีเป็นกำลังสำคัญในกำรพัฒนำประเทศได้อย่ำงเต็มที่เพรำะเข้ำไป ยงุ่ เกยี่ วกับยำเสพตดิ นอกจำกน้ี สำระสำคัญของญัตติท่ีเสนอยังลงลึกถึงปัญหำในทำงปฏิบัติท่ีเกิดข้ึนในกระบวนกำร แก้ไขปัญหำ จำกกำรท่ีรัฐไม่สำมำรถจัดกำรให้ผู้เสพซึ่งถือเป็นผู้ป่วย สำมำรถเข้ำถึงบริกำรของรัฐเพื่อ กำรบำบัดรกั ษำและฟื้นฟสู มรรถภำพได้อย่ำงสะดวกและรวดเร็ว เพื่อมิให้คนกลุ่มนส้ี ำมำรถกลับมำใช้ ชีวิตในสังคมได้อย่ำงปกติสุขและไม่หวนกลับไปเสพซ้ำ โดยเห็นว่ำทุกภำคส่วนต้องร่วมกันในกำรเฝ้ำระวัง ปอ้ งกันและแก้ไขปัญหำยำเสพติดในชมุ ชนอยำ่ งเร่งด่วนและใหเ้ กดิ อย่ำงเปน็ รูปธรรม ไมเ่ ช่นนน้ั ปญั หำ ยำเสพตดิ จะบำนปลำยจนยำกตอ่ กำรแก้ไขและกระทบต่อควำมมนั่ คงของชำติในทีส่ ุด ผลจำกกำรเสนอญัตติข้ำงต้น ในครำวประชุมสภำผู้แทนรำษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๒๔ (สมัยสำมญั ประจำปีคร้ังท่ีหน่ึง) วันพุธที่ ๒๖ สงิ หำคม ๒๕๖๓ ที่ประชุมได้พจิ ำรณำทั้ง ๘ ญัตติ และมีมติ ต้งั กรรมำธิกำรวิสำมัญข้ึนคณะหนึ่งเพื่อพิจำรณำศึกษำปัญหำยำเสพติด แนวทำงกำรจัดตั้งศูนย์บำบัด ยำเสพติด กำรป้องกันและแกไ้ ขปัญหำยำเสพติดอย่ำงเป็นระบบ นำไปสู่กำรออกประกำศสภำผแู้ ทนรำษฎร เรอ่ื ง ต้งั คณะกรรมำธกิ ำรวสิ ำมัญพิจำรณำศึกษำปัญหำยำเสพติด แนวทำงกำรจัดต้ังศูนยบ์ ำบัดยำเสพติด กำรป้องกันและแก้ไขปญั หำยำเสพติดอย่ำงเปน็ ระบบ ลงวันที่ ๑ กันยำยน ๒๕๖๓ คณะกรรมำธิกำรวิสำมัญพิจำรณำศึกษำปัญหำยำเสพติด แนวทำงกำรจัดต้ังศูนย์บำบัดยำเสพติด กำรป้องกันและแก้ไขปัญหำยำเสพติดอย่ำงเป็นระบบ ได้จัดกำรประชุมครั้งแรกเมื่อวันท่ี ๑ กันยำยน ๒๕๖๓ ซึ่งท่ีประชุมมีมติเลือกให้ พลตำรวจเอก ยงยุทธ เทพจำนงค์ เป็นประธำนคณะกรรมำธิกำร แ ล ะ ได้ มี ก ำ ร พิ จ ำ ร ณ ำถึ งข อ บ เข ต ใน ก ำ ร ศึ ก ษ ำเพ่ื อ ให้ ได้ รั บ ผ ล ต ำ ม เจ ต น ำร ม ณ์ ข อ งก ำ ร จั ด ตั้ ง คณะกรรมำธิกำรวิสำมัญฯ นี้ขึ้น จึงมีมติต้ังคณะอนุกรรมำธิกำรข้ึน ๓ คณะ ประกอบด้วย คณะอนุ กรรมำธิกำรด้ำนกำรป้องกันและสร้ำงภูมิคุ้มกันยำเสพติด คณะอนุกรรมำธิกำรด้ำนกำรปรำบปรำมและ กำรบังคับใช้กฎหมำย และคณะอนุกรรมำธิกำรด้ำนกำรบำบัดรักษำและฟื้นฟูสมรรถภำพผู้ติดยำเสพติด เพ่ือทำหน้ำที่ในกำรพิจำรณำและศึกษำอย่ำงเป็นระบบ มีควำมสมบูรณ์และครอบคลุมในทุกมิติของ กำรจัดกำรปัญหำ ในกำรทจ่ี ะจดั ทำรำยงำนและข้อสังเกตเสนอต่อสภำผู้แทนรำษฎรตอ่ ไป ๑.๒ วตั ถปุ ระสงค์ของกำรศกึ ษำ ๑) เพื่อศึกษำแนวทำงกำรป้องกันกำรแพร่ระบำดของยำเสพติด และกำรสร้ำงภูมิคุ้มกันยำเสพติด ให้แก่เด็กและเยำวชน

๓ ๒) เพื่อศึกษำกระบวนกำรบังคับใช้กฎหมำยท่ีมีประสิทธิภำพในกำรป้องกันและปรำบปรำม ยำเสพตดิ ตลอดจนกำรดำเนินคดคี วำมผดิ เกีย่ วกบั ยำเสพตดิ ๓) เพื่อศึกษำกระบวนกำร แนวทำงกำรบูรณำกำรควำมร่วมมือในกำรบำบัดรักษำฟื้นฟู สมรรถภำพผ้ตู ิดยำเสพตดิ และศูนย์บำบดั รักษำและฟนื้ ฟูผู้ติดยำเสพตดิ ๑.๓ ขอบเขตของกำรศกึ ษำ ดำเนินกำรศึกษำข้อมูลเก่ียวกับสภำพปัญหำกำรดำเนินงำนในกำรป้องกันและแก้ไขปัญหำ ยำเสพติด โดยมุ่งเน้นท่ีจะศึกษำปัญหำในทำงปฏิบัติท่ีเช่ือมโยงกับนโยบำยเพื่อทรำบผลปัญหำและ อปุ สรรคในกำรนำนโยบำยดำ้ นกำรป้องกนั และแก้ไขปญั หำยำเสพติดไปปฏบิ ตั ิ ๑.๔ วธิ กี ำรศึกษำ ดำเนินกำรศกึ ษำโดยกำรศึกษำเชิงคณุ ภำพ (Qualitative Research) ด้วยกำรศึกษำรวบรวม ข้อมูลท่ีเกี่ยวกับปัญหำยำเสพติดอย่ำงรอบด้ำน โดยกำรทบทวนวรรณกรรม แนวคิดทฤษฎีที่เก่ียวกับ ยำเสพติด กำรป้องกันและแก้ไขปัญหำยำเสพติด รวบรวมข้อมูลจำกหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องท่ีได้เชิญ เข้ำร่วมประชุมและให้ข้อมูลต่อที่ประชุม รวมทั้งลงพ้ืนที่ศึกษำดูงำนกำรจัดกำรแก้ไขปัญหำยำเสพติด ในพ้ืนท่ีต่ำง ๆ ที่ประสบผลสำเร็จ เพ่ือนำข้อมูลท่ีได้มำวิเครำะห์ จัดทำแนวทำงและข้อเสนอแนะ เพื่อกำร แก้ไขปัญหำยำเสพติดในประเทศอย่ำงเปน็ ระบบต่อไป ๑.๕ ประโยชน์ทค่ี ำดวำ่ จะไดร้ บั ๑) ข้อสังเกตเชิงนโยบำยกำรป้องกันกำรแพร่ระบำดของยำเสพติด และกำรสร้ำงภูมิคุ้มกัน ยำเสพติดใหแ้ กเ่ ด็กและเยำวชน ๒) ข้อสังเกตเชิงนโยบำยกำรบังคับใช้กฎหมำยท่ีมีประสิทธิภำพในกำรป้องกันและปรำบปรำม ยำเสพติด ตลอดจนกำรดำเนินคดคี วำมผดิ เกย่ี วกบั ยำเสพตดิ ๓) ขอ้ สังเกตเชิงนโยบำยกำรบูรณำกำรควำมร่วมมือในกำรบำบัดรกั ษำฟื้นฟูสมรรถภำพผู้ติด ยำเสพตดิ และศูนย์บำบดั รักษำและฟน้ื ฟผู ตู้ ดิ ยำเสพตดิ

บทท่ี ๒ เอกสารและงานวิชาการที่เกี่ยวขอ้ ง ในการศึกษาปัญหายาเสพติด เพ่ือให้ได้แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็น ระบบในคร้ังนี้ จะรวบรวมแนวคิดและทฤษฎีที่เก่ียวกับยาเสพติด และการป้องกันอาชญากรรม ตลอดจน มาตรการและนโยบายต่าง ๆ เพ่ือนาไปประกอบการวิเคราะห์สภาพปัญหาและอุปสรรคที่ได้จากการ ศกึ ษาข้อเท็จจริงจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกยี่ วข้อง และการศึกษาดูงานการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพ้ืนท่ี ต่าง ๆ ของคณะกรรมาธิการ เพื่อนาไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบต่อไป จึงได้รวบรวม และทบทวนข้อมลู พน้ื ฐานดงั นี้ ๒.๑ แนวคดิ ทฤษฎี และกฎหมายที่เกี่ยวขอ้ ง ๒.๒ สถานการณ์ยาเสพตดิ ๒.๓ การบาบดั รักษาผูต้ ดิ ยาเสพติด ๒.๔ สาระสาคญั ประมวลกฎหมายยาเสพตดิ ๒.๑ แนวคิด ทฤษฎี และกฎหมายที่เกี่ยวขอ้ ง ๒.๑.๑ ความเชือ่ มโยงยทุ ธศาสตรท์ ีเ่ กีย่ วข้องกับปัญหายาเสพตดิ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ หมวด ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา ๖๕ กาหนดให้รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตรช์ าติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างย่ังยืน จึงได้ มีการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๘๐) เพ่ือนาไปสู่การปฏิบัติให้ประเทศไทย บรรลุวิสยั ทัศน์ “ประเทศไทยมคี วามมน่ั คง มั่งค่งั ยั่งยืน เป็นประเทศท่พี ัฒนาแลว้ ด้วยการพฒั นาตาม หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง” โดยการพฒั นาประเทศในชว่ งระยะเวลาของยุทธศาสตรช์ าตจิ ะมุ่งเนน้ การสรา้ งสมดุล ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์คือ (๑) ด้านความ ม่ันคง (๒) ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (๓) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพ ทรัพยากรมนุษย์ (๔) ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม (๕) ด้านการสร้างการเติบโต บนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๖) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหาร จดั การภาครัฐ ในท่ีนี้จะกล่าวถึงเฉพาะยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ด้วยงานการป้องกันและ แก้ไขปัญหายาเสพติดอยู่ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์น้ี เป้าหมายการพัฒนาของยุทธศาสตร์ คือ ประเทศชาติม่ันคง ประชาชนมีความสุข ประกอบด้วย ๕ ประเด็นยุทธศาสตร์ชาติ ได้แก่ (๑) การรักษา ความสงบภายในประเทศ (๒) การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความม่ันคง (๓) การพัฒนา ศักยภาพของประเทศให้พร้อมเผชิญภัยคุกคามท่ีกระทบต่อความมั่นคงของชาติ (๔) การบูรณาการ ความร่วมมือด้านความม่ันคงกับอาเซียนและนานาชาติ รวมถึงองค์กรภาครัฐและที่มิใช่ภาครัฐ และ (๕) การพัฒนากลไกการบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม โดยในประเด็นยุทธศาสตร์ท่ี ๒ ได้ให้ ความสาคญั กบั การป้องกันและแก้ไขปญั หาที่มีผลกระทบต่อความมัน่ คง เพ่อื ใหป้ ัญหาเดมิ ทมี่ ีอยู่ได้รับ

๕ การแก้ไขอย่างจริงจังจนยุติลง ซึ่งมีการระบุว่าการค้าและการแพร่ระบาดยาเสพติดเป็นหน่ึงในหลาย ภัยคุกคามและปญั หาทส่ี ่งผลต่อความมนั่ คง เพ่ือให้เกิดความชัดเจนในการนายุทธศาสตร์ชาติไปส่กู ารปฏิบตั ิ จึงไดม้ ีการจัดทาแผน แม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเดน็ ความมน่ั คง เปน็ กรอบแนวทางการดาเนินการท่ีจะทาให้เกิดผล อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้กาหนดเป้าหมายการดาเนินการในระยะที่ ๑ ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๖๕ ซึ่งการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปรากฏในระดับแผนย่อยที่ ๒ การรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักรและการพัฒนาประเทศ ยึดแนวคิดการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นทาง –กลางทาง-ปลายทาง คือ ๑) พื้นท่ีแหล่งผลิตภายนอกประเทศ ใช้การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพอ่ื กดดันและยุตบิ ทบาทแหล่งผลติ ภายนอกประเทศ ดว้ ยการอาศยั งานการขา่ ว การปฏบิ ัติการข้อมูล ข่าวสาร และการพัฒนาพื้นท่ีและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดน รวมไปถึงการสกัดกั้น สารตงั้ ตน้ เคมีภณั ฑ์ อปุ กรณ์การผลิต และนกั เคมี ไม่ให้เข้าสู่แหลง่ ผลติ ๒) การสกัดก้ันการนาเข้า-ส่งออกยาเสพติด ท้ังทางบก ทางเรือ และทางอากาศ โดยอาศยั เทคโนโลยีเปน็ เคร่ืองมือสนับสนนุ การสกัดกนั้ ตามจดุ ตรวจ/จดุ สกัดของเส้นทางคมนาคมและ พน้ื ท่ตี อนใน ๓) การปราบปรามกลุ่มการค้ายาเสพตดิ โดยมุ่งเนน้ การทาลายโครงสร้างการค้ายาเสพติด ผู้มีอิทธิพล และเจ้าหน้าท่ีรัฐที่ปล่อยปละละเลย ทุจริต หรือเข้าไปเก่ียวข้องกับยาเสพติด ผ่านทาง การบูรณาการด้านการข่าว การสืบสวนทางเทคโนโลยี การสืบสวนทางการเงินและสกุลเงินดิจิทัล รวมไปถึงการปราบปรามยาเสพตดิ ในแหล่งพกั เก็บยาเสพตดิ ภายในประเทศ ๔) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวชายแดน โดยใช้กลยุทธ์ ตามแนวทางการพัฒนาทางเลอื ก เพื่อพัฒนาพ้ืนที่และประชาชนตามแนวชายแดนและพื้นท่ีพิเศษทีม่ ี ปัญหายาเสพติด ด้วยการสลายโครงสร้างปัญหา และบูรณาการการแก้ไขปัญหาท่ีเกี่ยวเน่ืองกับการแก้ไข ปญั หายาเสพติด อนั เปน็ การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของประชาชนในพ้ืนท่ี ตามแนวพระราชดาริ หลกั ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์แนวทางดาเนนิ งาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และศาสตร์พระราชา ซึ่งเป็นกรอบการแก้ไขปัญหายาเสพติด และลดปัญหาเชิงโครงสร้างหรือปัญหาท่ีเก่ียวเนื่องกับยาเสพติด และสร้างการเป็นอาสาปอ้ งกันการใช้ยาในทางทผี่ ิดในหมูบ่ า้ นตามแนวชายแดน ๕) การป้องกันยาเสพติดในแต่ละกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสมเป็นรูปธรรม โดยการ ปลูกฝงั คา่ นยิ มและองค์ความรู้ที่เหมาะสม อนั จะส่งผลกระทบต่อความคดิ และโนม้ น้าวใหเ้ กดิ ความเห็น ทค่ี ล้อยตามอยา่ งถูกต้อง ๖) การปรบั สภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสม โดยการเสริมสร้างปจั จยั ท่ีเอื้อต่อการไม่เข้าไป ยุ่งเกยี่ วกบั ยาเสพติดของแต่ละกลมุ่ เปา้ หมาย อาทิ ครอบครัว โรงเรียน และชมุ ชน ๗) การดูแลผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ให้เข้าถึงการบาบัดรักษา และการลดอันตราย หรอื ผลกระทบจากยาเสพติด โดยการคัดกรอง ประเมินวินิจฉัยทม่ี ีประสิทธิภาพ กาหนดแผนการดูแลและ ใหก้ ารบาบดั รักษาทีเ่ หมาะสม มมี าตรฐาน พร้อมทัง้ ให้การตดิ ตามช่วยเหลือ ื้นนืูสมรรถภาพท่ีครอบคลุม ทุกมิติ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้สามารถอยู่ร่วม ในสังคมชมุ ชน ได้อยา่ งปกตสิ ขุ และเท่าเทยี ม

๖ นอกจากนี้การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ยังปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔ โดยเป็นประเด็นภายใต้ยุทธศาสตร์ท่ี ๕ การ เสริมสร้างความม่ันคงแห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศสู่ความม่ันคงและยั่งยนื ซึ่งกาหนดเป้าหมายท่ีให้ ประเทศไทยมีความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความม่ันคงในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน มติ รประเทศ และนานาประเทศในการป้องกันภัยคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติ และมีตัวชีว้ ัดจานวนคดีทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับยาเสพตดิ ลดลง สาหรบั แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๓ – ๒๕๖๕ เป็นแผนการขับเคล่ือนการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบบูรณาการการแก้ไขปัญหาร่วมกับ หน่วยงานภาคีท่ีเก่ียวข้องได้อย่างประสานสอดคลอ้ ง โดยมีวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยม่ันคงปลอดภัยจาก ยาเสพติดอย่างย่ังยืน ด้วยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในสังคมและความร่วมมือระหว่างประเทศ” กาหนดเป้าหมาย “สถานการณ์ปัญหายาเสพติดได้รับการควบคุมจนไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนเมื่อสิ้นสุดแผน โดยดาเนินการลดจานวนผู้ค้า ผู้เสพ และสัดส่วนการ กระทาผิดซ้าในระดับพ้ืนที่” มีตัวช้ีวัดคือสังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติด และความพึงพอใจและ ความเชอ่ื ม่นั ของประชาชนต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ประกอบด้วย ๕ มาตรการ ๙ แนวทาง ดงั นี้ มาตรการท่ี ๑ ความร่วมมือระหวา่ งประเทศ - แนวทาง ความรว่ มมอื ระหวา่ งประเทศเชิงรกุ มาตรการที่ ๒ การปราบปรามและบังคับใช้กฎหมาย - แนวทาง การสกดั กัน้ ยาเสพตดิ สารตั้งตน้ และเคมภี ณั ฑ์ - แนวทาง การปราบปรามกลุม่ การคา้ ยาเสพตดิ มาตรการท่ี ๓ การป้องกันยาเสพตดิ - แนวทาง การเสริมสร้างความเข้มแข็งหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวชายแดนและการ พฒั นาทางเลือก - แนวทาง การป้องกันยาเสพติดในแต่ละกล่มุ เป้าหมายอยา่ งเหมาะสมเป็นรปู ธรรม - แนวทาง การปรบั สภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสม มาตรการที่ ๔ การบาบดั รักษายาเสพติด - แนวทาง การดูแลผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดให้เข้าถึงการบาบัดรักษาและการ ลดอันตราย ลดผลกระทบจากการใช้ยาเสพติด มาตรการที่ ๕ การบริหารจดั การอยา่ งบูรณาการ - แนวทาง กิจการพเิ ศษ - แนวทาง การบริหารจดั การอยา่ งบูรณาการ จุดเน้นของแผนปฏิบัติการด้านการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๓ - ๒๕๖๕ มุ่งเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคสว่ น เพ่ือบูรณาการการแก้ไขปัญหา อันจะนาไปสู่การลดผลกระทบท่ีเกิดจากปัญหายาเสพติดในสังคม สร้างความม่ันคงปลอดภัยและ ลดความเดอื ดรอ้ นของประชาชนจากผลกระทบดงั กล่าวให้กับบคุ คล ชมุ ชน และสงั คม โดย

๗ ๑) ตัดวงจรโครงสร้างการค้าและการเงินของเครือข่ายการค้ายาเสพติด รวมถึงการ แสวงหาความร่วมมือระหว่างประเทศ เพ่ือยุติแหล่งผลิตภายนอกประเทศและร่วมกันแก้ไขปัญหา อันส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ปัญหาการค้ายาเสพติดภายในประเทศไทย (Supply Reduction) ๒) สร้างแนวป้องกันยาเสพติดตามแนวชายแดนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการนาเข้ายาเสพติด เพ่ือวางระบบการเฝ้าระวังป้องกันตามแนวชายแดน และตัดวงจรการนาเข้ายาเสพติดด้วยการมีส่วนร่วม ของภาคประชาชน ๓) ป้องกันในทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อไม่ให้เกิดผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดรายใหม่ (Demand Reduction) โดยมุ่งเน้นการรณรงค์ป้องกันยาเสพติดต่อกลุ่มเป้าหมายที่มีความเส่ียงสูง เปน็ ความสาคัญเร่งดว่ น เพอื่ ตัดวงจรผู้เข้าไปเกย่ี วข้องกบั ยาเสพติดรายใหมใ่ หไ้ ด้มากท่ีสดุ ๔) นาผู้เสพผู้ติดยาเสพติด เข้าสู่กระบวนการบาบัดรักษาอย่างเหมาะสม โดยมุ่งเน้น ผู้ติดยาเสพติดที่มีความเส่ียงต่อการสร้างผลกระทบต่อครอบครัว ชุมชน และสังคม เข้าสู่การบาบัดและ ดแู ลอยา่ งเหมาะสม เพือ่ ลดการกอ่ เหตุ หรอื อาชญากรรมต่อสังคม ๕) ดูแล ป้องกัน มิให้เกิดการกระทาผิดซ้า ทั้งผู้ท่ีผ่านการบาบัดรักษา และผู้พ้นโทษ จากคดียาเสพตดิ ๖) ลดระดับความรุนแรงของพ้ืนท่ี โดยเน้นการกาหนดกลยุทธ์และแนวทางเชิง สรา้ งสรรคต์ ามบริบทของสถานการณ์ทีม่ คี วามแตกตา่ งกัน ๗) ใช้มาตรการทางเลือก เช่น Harm Reduction, Alternative Development, Diversion, Decriminalization, Legalization อยา่ งเหมาะสม ๘) เน้นการพัฒนาศักยภาพในทุกมิติเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อม ท่สี ่งผลกระทบต่อสถานการณ์ปญั หายาเสพตดิ ๙) แก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับพื้นที่โดยใช้กลไกของตาบล องค์กรปกครอง สว่ นท้องถิ่น และองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งที่ ตามแนวทางตาบลม่ันคง ปลอดภยั จากยาเสพติด ๒.๑.๒ แนวคิดเกยี่ วกบั ปัญหายาเสพตดิ ความหมายของยาเสพตดิ องคก์ ารอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ใหค้ วามหมายว่า ยาเสพติด หมายถึง สิ่งที่เสพเข้าไปแล้วจะเกิดความต้องการท้ังทางร่างกายและจิตใจต่อไปโดยไม่สามารถหยุด เสพได้ และจะต้องเพ่ิมปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในท่ีสุดจะทาให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อร่างกายและ จิตใจขนึ้ องค์การสหประชาชาติ ให้ความหมายว่า ยาเสพติด หมายถึง สารใด ๆ ที่เกิดขึ้นตาม ธรรมชาติหรือไดจ้ ากธรรมชาติ หรือจากการสังเคราะห์ท่ีมผี ลตอ่ จติ ใจและระบบประสาท พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายว่า ยาเสพติด หมายถึง ยาหรือสารเคมีซ่ึงเม่ือเสพหรือฉีดเข้าสู่ร่างกายติดต่อกันช่ัวระยะเวลาหน่ึงก็จะติด ก่อให้เกิด พิษเรอ้ื รงั ทาใหร้ ่างกายและจติ ใจเส่ือมโทรม เช่น ฝน่ิ กัญชา เฮโรอนี ยานอนหลับ และสรุ า เป็นตน้ ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา ๑ ในประมวลกฎหมายน้ีให้คานิยามของคาว่า “ยาเสพตดิ ” และ “ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ” ดงั นี้ “ยาเสพตดิ ” หมายความวา่ ยาเสพติดใหโ้ ทษ วัตถุออกฤทธิ์ หรอื สารระเหย

๘ “ยาเสพติดให้โทษ” หมายความว่า สารเคมี พืช หรือวัตถุชนิดใด ๆ ซ่ึงเม่ือเสพแล้ว ทาให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลกั ษณะสาคัญ เช่น ต้องเพิ่มขนาดการเสพข้ึนเปน็ ลาดับ มีอาการ ถอนยา เม่ือขาดยา มีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงตลอดเวลา และสุขภาพ โดยท่ัวไป จะทรุดโทรมลง กบั ให้รวมถงึ สารเคมที ใ่ี ช้ในการผลิตยาเสพตดิ ใหโ้ ทษดว้ ย แต่ไมห่ มายความ รวมถึง ยาสามัญประจาบ้านบางตารบั ที่มยี าเสพตดิ ให้โทษผสมอยู่ตามกฎหมายว่าด้วยยา ผลกระทบของปัญหายาเสพตดิ “ยาเสพติด” เป็นปัญหาที่จัดว่าเป็นภัยคุกคามท่ีกัดกร่อนและบ่อนทาลายต่อประเทศไทย และส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อบุคคลและสงั คมโดยรวมในหลายมติ ิ ไดแ้ ก่ ๑) ผลกระทบต่อบุคคล โดยยาเสพติดทุกชนิด เช่น ฝ่ิน กัญชา เฮโรอีน มอร์ืีน โคเคน และยาบ้า เป็นต้น จะมีผลกระทบโดยตรงต่อร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะด้านบุคลิกภาพและสุขอนามัย ทาใหเ้ กดิ ความเสยี หายต่อชีวิตและทรพั ยส์ ิน ๒) ผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม ผู้ท่ีติดยามักก่ออาชญากรรมต่อเน่ือง เช่น การ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข การลักขโมย การประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนถึงการพนัน ต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้ท่ีค้าและหรือผู้เสพซ่ึงเป็นเสาหลักของครอบครัว เมื่อถูกจับกุมและดาเนินคดีทาง กฎหมายก็จะส่งผลกระทบต่อครอบครัวให้ได้รับความเดือดร้อนในการดารงชีวติ ในขณะเดียวกันหาก เด็กหรือเยาวชนที่อยู่ภายใต้การดูแลปกครองของบุคคลดังกล่าว จะต้องถูกออกจากโรงเรียน จะย่ิง เป็นการตอกยา้ ให้เกดิ เปน็ ปัญหาในสังคมมากยิ่งข้ึน ๓) ผลกระทบต่อการบริหารจัดการของรัฐ การที่ในสังคมมีคดียาเสพติดท่ีเพ่ิมสูงขึ้น ทาใหเ้ ปน็ ภาระต่องานด้านกระบวนการยุติธรรม และส่งผลกระทบต่อคา่ ใช้จา่ ยของรัฐท่ีเพิ่มสูงขึ้น และ อาจส่งผลต่อคดีในเรื่องของความล่าช้าด้วย ในขณะเดียวกันปัญหายาเสพติดยังก่อให้เกิดการทุจริต คอร์รัปชั่น โดยเฉพาะในหน้าท่ี เช่น มีการกลั่นแกล้งรีดไถ การรับสินบนเพ่ือแสวงหาผลประโยชน์จาก ผู้กระทาความผิด ทาให้ประชาชนให้ความเช่ือถือในตัวเจ้าหน้าที่และองค์กรของรัฐลดน้อยลง จนถึง ขนาดขาดความศรัทธา จากผลกระทบของปัญหายาเสพติดที่ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความ เจริญก้าวหน้าของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาทางด้านสังคมท่ีนับจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซ่ึงจากสถิติ พบว่าผู้ติดยาเสพติดจานวนมากจะเป็นผู้ก่อคดีอุกฉกรรจ์ ซึ่งหากปล่อยไว้ให้เน่ินช้า จะก่อให้เกิด วิกฤตการณ์ทางสังคมอย่างรุนแรง จนไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะปัญหายาเสพติดมิใช่เร่ืองท่ีจะสามารถ ควบคุมให้อยูใ่ นวงจากดั ได้อีกตอ่ ไป แตก่ ลับจะเป็นปัญหาระดบั ชาติทล่ี ุกลามอย่างไม่จบสิ้น แนวคดิ ทฤษฎีเก่ียวกับปัญหายาเสพตดิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง มดี ังน้ี ๑) ทฤษฎีพฤตกิ รรมเสพตดิ ปัญหาพฤติกรรมเสพติด (addiction) เป็นปัญหาท่ีสาคัญและมีผลกระทบอย่างมาก ในทกุ ระดับ ตงั้ แตผ่ ้ทู ่ีมีพฤติกรรมเสพตดิ เอง รวมถึงผทู้ เ่ี กี่ยวข้องในระดับต่าง ๆ ความพยายามทจ่ี ะแก้ไข ปัญหามีด้วยกันมาอย่างยาวนานหลายรูปแบบ ทั้งทางด้านนโยบายท่ัวไป นโยบายเชิงป้องกันและ ทางด้านการบาบัดรักษา ความสาคัญของการเรียนรู้สาเหตุที่มาและกลไกที่สาคัญของพฤติกรรมการ เสพติด เป็นปัจจัยท่ีจะนาไปสู่การแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติ นโยบาย และการรักษาบาบัดผู้ที่มีพฤติกรรมเสพติด ได้แก่ (วนิดา รัตนสุมาวงศ์ และคณะ, ๒๕๖๑, น. ๒๙๕- ๓๐๖)

๙ ๑.๑) ทฤษฎที ี่ยดึ หลักทางศลี ธรรม (Moral model) ทฤษฎีน้ีเป็นทฤษฎีแรกเริ่มที่มีมายาวนาน โดยได้รับอิทธิพลจากศาสนาที่ มองว่า พฤตกิ รรมเสพติดเป็นความอ่อนแอทางจิตวิญญาณหรือศลี ธรรมท่ีบกพร่อง เปน็ สิง่ ท่ีผูเ้ สพเลือกเอง ในปัจจุบันถึงแม้ว่าทฤษฎีท่ียึดหลักทางศีลธรรมจะไม่ได้รับการกล่าวถึงในทางวิชาการมากเท่าใดนัก หากแต่ยังส่งผลต่อทัศนคติต่อตัวผู้ท่ีมีพฤติกรรมการเสพติดเอง บุคคลรอบข้าง ผู้ท่ีมีพฤติกรรมดังกล่าว รวมถงึ บคุ ลากรทางการแพทย์ที่เก่ียวข้อง ในกล่มุ บคุ คลทส่ี นับสนนุ ทฤษฎนี ีจ้ ะมีท่าทีต่อพฤติกรรมเสพติด ในเชิงตาหนิ นาไปสู่กฎหมายท่ีเน้นการลงโทษต่อบุคคลท่ีมีพฤติกรรมเสพติด มากกว่าให้การบาบัด อย่างไรก็ตาม ข้อดีของทฤษฎีนี้คือ เป็นทฤษฎีที่ชักนาให้ผู้ท่ีมีพฤติกรรมเสพติดต้องรับผิดชอบต่อการ กระทาของตน และเน้นย้าว่าทุกคนสามารถเลือกท่ีจะไม่ทาพฤติกรรมดังกล่าวได้ นอกจากน้ี ทฤษฎีน้ี ชว่ ยให้เข้าใจผลกระทบทางด้านจติ ใจของการเสพตดิ ผปู้ ว่ ยจะรู้สกึ ว่าตนเองเป็นคนผดิ บาป เน่อื งจาก ทาพฤติกรรมไปตามอารมณ์ โดยขาดความยับยั้งช่ังใจ และในที่สุดจะขาดความเคารพนับถือตนเอง ทาให้ ผมู้ ีพฤตกิ รรมเสพตดิ กลบั ไปเสพซ้า เพื่อประชดตนเอง ติดอยใู่ นวงั วนของพฤตกิ รรมเสพตดิ ดงั นั้น การ ื้นนสภาพทางจิตวิญญาณ (spiritual recovery) และศาสนบาบัดจึงมีส่วนช่วยให้ผู้ท่ีมีพฤติกรรม ดงั กล่าวเลกิ ยาเสพตดิ ได้ ๑.๒) ทฤษฎชี วี จติ สงั คม (Bio-psychosocial Model : BPS) ทฤษฎีนี้มีหลักการว่าพฤติกรรมเสพติดมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย โดยแต่ละ ปัจจัยมีส่วนเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน อันได้แก่ ปัจจัยทางชีววิทยา (biological) ปัจจัยทางด้านจิตใจ (psychological) รวมถึงปัจจัยทางด้านสังคม (social) (ในบางตารายังพูดรวมถึงปัจจัยทางจิตวิญญาณ (spiritual)) ทฤษฎีชีวจิตสังคมให้ความสาคัญกับสาเหตุปัจจัยแต่ละอย่างเท่ากัน โดยอธิบายว่า บุคคล มีปัจจัยทางชีววิทยาเป็นพ้ืนฐานอันเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดความเส่ียงปัจจัยอื่น ๆ อันได้แก่ ปัจจัยทางด้าน จติ ใจ และปจั จยั ทางด้านสังคม สงิ่ แวดล้อม เปน็ ปจั จยั สาคัญท่ีทาให้บุคคลผู้นัน้ เข้าสู่กระบวนการเสพติด รูปแบบการบาบัดท่ีมาจากแนวคิดของทฤษฎีชีวจิตสังคม จะมีลักษณะให้การรักษาพฤติกรรมเสพติด มากกว่าการลงโทษ เนน้ ใหค้ วามสาคญั กบั การมองพฤติกรรมเสพติดแบบองค์รวม มีสาเหตุจากหลายปัจจัย และในการบาบัดรักษา จาเป็นต้องมองปัจจัยทุกส่วนร่วมกัน เพ่ือให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสดุ การใช้ยาเพ่ือช่วยรักษา หรือ Medication Assisted Treatment or Recovery (MAT or MAR) เป็นเพียง ตัวช่วยในการรักษา หากแต่ปัจจัยสาคัญที่ส่งผลต่อการรักษาอย่างมาก คือ การรักษาแบบจิตสังคม บาบัด (psychosocial treatment) ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ที่มีพฤติกรรมเสพติด ผู้ให้การบาบัด รักษา คนรอบข้าง และครอบครัวของผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว เป็นส่ิงท่ีสาคัญและเป็นตัวขับเคลอื่ นให้ ผู้มีพฤติกรรมเสพติดตระหนักในการเปล่ียนแปลงตนเองเพ่ือเข้าสู่พฤติกรรมที่ดีข้ึน ผู้บาบัดรักษา ยังจาเป็นต้องออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับบุคคลนั้น ๆ เพราะในบุคคลแต่ละคนมีสัดส่วนของ ปจั จัยที่ทาให้เกิดพฤตกิ รรมเสพตดิ รวมถงึ ปจั จัยท่ีทาใหพ้ ฤตกิ รรมเสพติดยังคงอยู่แตกตา่ งกนั ปัจจบุ ันทฤษฎีชีวจิตสังคมได้รบั การยอมรบั ว่าเป็นทฤษฏีท่ีมคี วามเหมาะสม ในการบาบัดรกั ษาพฤตกิ รรมเสพติด และไดถ้ กู นามาใชอ้ ย่างแพรห่ ลาย ข้อดีของทฤษฎนี ้คี ือมหี ลักการ บาบัดที่ให้ความสนใจกับปัจจัยทุกด้าน ไม่จากัดเพียงแค่ผู้เสพติด (dependence) แต่ยังสามารถ ประยุกต์ใช้กับผู้ใช้สารหรือผู้เสพ (users) ได้ สามารถใช้ทฤษฎีนี้กับนโยบายการลดอันตรายในผู้มี พฤติกรรมการเสพติด (harm reduction) ซ่ึงเหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้หรือผู้เสพติดที่ยังไม่พร้อมกับการ

๑๐ เลิกการเสพติดอย่างเด็ดขาด ข้อด้อยของทฤษฎีน้ีคือจาเป็นต้องมีข้อมูลจานวนมาก เพราะมีหลาย องค์ประกอบในการรักษา ผู้ให้การบาบัดรักษาต้องใช้เวลาและทาความเข้าใจกับผู้ที่มีพฤติกรรมเสพติด เพ่ือทาความเขา้ ใจองคป์ ระกอบในแต่ละส่วน เพราะในแต่ละบุคคลมสี ดั สว่ นปจั จยั ท่ีแตกต่างกนั ๑.๓) ทฤษฎีความเจ็บป่วยทางสมอง (Brain-Disease Model of Addiction : BDMA) ในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมา ความเจริญก้าวหน้าของงานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ และพฤติกรรมเป็นไปอย่างก้าวกระโดด นามาซึ่งแนวคิดใหม่ในเรื่องพฤติกรรมเสพติด ความรู้ดังกล่าว ส่วนใหญ่ได้รับการค้นพบจากการศึกษาวิจัยในสัตว์ (animal study) การศึกษาวิจัยทางพันธุกรรม (genetic study) รวมถึงการศึกษาวิจัยจากการสร้างภาพสมอง (neuroimaging study) ข้อสรุปของ งานวิจัยในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมาน้ี ได้นามาเป็นหลักฐานอ้างอิงว่าพฤติกรรมเสพติดเป็นความเจ็บป่วย ทางสมองที่ซับซ้อนเรื้อรัง และเกิดเป็นทฤษฎีใหม่ท่ีเรียกว่า ทฤษฎีความเจ็บป่วยทางสมอง (Brain- Disease Model of Addiction : BDMA) ซ่ึงมีมุมมองต่อพฤติกรรมเสพติดว่ามีปัจจัยที่สาคัญมาจาก พนั ธุกรรมในครอบครัว (genetic vulnerabilities) ถงึ แมว้ ่าการเร่ิมตน้ ใช้สารนั้นเกิดจากการเลือกเอง ของผู้ใช้ แต่ผลจากพันธุกรรมทาให้เกิดความเปราะบางในแต่ละบุคคลแตกต่างกัน อันส่งผลให้ เกิดปฏิกิริยาตอบสนองความพึงพอใจต่อการเสพท่ีแตกต่างกันไป (the initial reinforcing effects) ผู้ที่มีการตอบสนองทางบวก (positive reinforce effect) ต่อสารมาก จะมีแนวโน้มที่จะใช้สารตอ่ ไป มากกว่าผู้ท่ีมีการตอบสนองทางบวกน้อยกว่า (การใช้สารในช่วงนี้ยังไม่ถือว่าเข้าสู่การเสพติด) ในช่วงนี้ ปัจจัยทางด้านจิตสังคม การเล้ียงดู กลุ่มเพื่อน สิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยร่วมในการส่งเสริมให้บุคคลนั้น มพี ฤติกรรมการเสพอย่างต่อเนื่อง ทงั้ น้ี ปจั จัยทางชวี วทิ ยา สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม จะมปี ฏิกริ ยิ าต่อกัน อย่างซับซ้อน (complex interaction) เม่ือเกิดการเสพซ้า ๆ จะนามาซ่ึงความเปลี่ยนแปลงในระดับสมอง ท้ังด้านโครงสร้าง (structure) และการทางาน (function) จนในที่สุดจะเกิดรูปแบบของพฤติกรรม ทีเ่ ปลย่ี นแปลงไป อันเรยี กวา่ พฤตกิ รรมเสพติด (addiction behavior) เมื่อเกดิ พฤติกรรมเสพติดแล้ว (addiction behavior) บุคคลน้ันจะมีความยากลาบากอย่างมากในการเลิกพฤติกรรมดังกล่าว ถงึ แมว้ า่ จะมีความตงั้ ใจที่จะเลิกเสพเป็นอยา่ งมากก็ตาม เน่อื งจากกระบวนการเสพติดได้สง่ ผลกระทบ เป็นอยา่ งมากตอ่ สมอง การตดั สินใจ ความจา รวมถึงการมองเหน็ ผลกระทบทต่ี ามมาตามความเปน็ จริง ทฤษฎีความเจ็บป่วยทางสมองยังเนน้ เรอ่ื งการลดการตีตราของสังคมต่อผ้มู ี พฤติกรรมเสพติด (stigma) ส่งผลให้ผู้ที่มีพฤติกรรมเสพติดกล้าเข้าสู่กระบวนการบาบัดรักษามากข้ึน บุคคลรอบข้างมีท่าทีร่วมมือมากขึ้น รวมถึงก่อให้เกิดความเปล่ียนแปลงของนโยบาย เช่น การช่วยเหลือ ที่มากข้นึ ในการรักษาบาบดั เพ่มิ เตมิ ในกลมุ่ บุคคลทม่ี ีพฤติกรรมเสพตดิ เปน็ ตน้ อย่างไรก็ตาม ตามท่ีกล่าวข้างต้นว่าการติดสารเสพติดเป็นปัญหาท่ีมีกลไก ความเช่ือมโยงที่สลับซับซ้อน ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความหลากหลายของผู้ที่ได้รับผลกระทบ และผลกระทบมีได้ในหลายมิติ ทั้งเชิงสุขภาพ สังคม วัฒนธรรม กฎหมาย และเศรษฐกิจ รวมถึงมิติ ของผู้ท่ีนาสารเสพติดไปใช้ประโยชน์เอง ทาให้ผู้ท่ีให้การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาการติดสารเสพติดมีได้ หลากหลาย ตามแต่ละมิติทีค่ นเหล่าน้นั ให้ความสาคัญและสนใจ มุมมองและการแก้ปัญหาสารเสพติด จึงสามารถมองได้ในเชิงกว้าง และจาเป็นต้องเข้าใจความเชื่อมโยงน้ีอย่างครอบคลุม หากมองในแง่ การบาบัดรักษาแล้ว ในปัจจุบันยังไม่สามารถมีกลไกการช่วยเหลือใดการช่วยเหลือหนึ่ง ที่ให้การ

๑๑ บาบัดรักษาท่จี ดั ไดว้ า่ มีความสะดวก งา่ ย และมีประสิทธภิ าพสูงเพียงหนึ่งเดยี ว การให้ความชว่ ยเหลือ ผู้มีปัญหาจากการใช้สารเสพติดจึงยังต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ท่ีมาจากหลากหลายวิชาชีพ ซ่ึงมี ความสนใจ พ้นื ฐานความรู้ และความเช่ยี วชาญทแ่ี ตกตา่ งกนั ๒) ทฤษฎีเกย่ี วกบั การป้องกนั และแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ ในทางอาชญาวิทยา ปัญหายาเสพติดเป็นอาชญากรรมประเภทหน่ึงที่กลายเป็น ปัญหารุนแรงมากขึ้นทุกขณะ การนาแนวคิดในการป้องกันอาชญากรรมมาปรับใช้แบบบูรณาการกับ หลักการทางกฎหมายและสังคม จะสามารถวิเคราะห์ปัญหายาเสพติดท้ังกระบวนการ ต้ังแต่ผู้เสพ ยาเสพตดิ ผคู้ า้ และสภาพแวดล้อม ตลอดจนแนวนโยบายไดอ้ ยา่ งรอบดา้ น ๒.๑) ทฤษฎเี กี่ยวกบั โครงสรา้ งทางสงั คม (Social Structural Theories) โครงสร้างทางสังคมด้านเศรษฐกิจ มีนักสังคมวิทยาและนักอาชญาวิทยา หลายทา่ นใหท้ ศั นะเก่ยี วกบั ผลของปัจจยั ดา้ นเศรษฐกิจตอ่ การเกิดปญั หาอาชญากรรม เช่น Kral Marx และ Friedrich Engels ได้เขียนหนังสือช่ือ “Communist Manefeste” อาชญากรรมน้ันมีผลมาจาก การได้รับการบริการและสินค้าไม่เท่าเทียมกันในสังคม ซ่ึงจะเป็นปัญหาคู่ไปกับสังคมเสมอ ทางแก้ก็คือ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยส้ินเชิงทางด้านโครงสร้างของสังคม โดยการปฏิวัติสังคมใหม่ และเปลี่ยน ระบบของเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งแนวความคิดน้ีได้รับการสนับสนุนโดยนักอาชญาวิทยาชื่อ Bonger ซึ่งเห็นด้วยว่าระบบเศรษฐกิจเป็นตัวก่อให้เกิด “บรรยากาศของกระบวนการผลักดันให้มีพฤติกรรม อาชญากรรม” (พรเพ็ญ เพชรสุขศริ ิ, ๒๕๒๔, น. ๑๗) Durkheim เชื่อว่าในการประกอบอาชญากรรมของบุคคลหนึ่งบุคคลใดนั้น เป็นหน้าทปี่ กติของชวี ิตมนุษย์ ซึ่งเมอ่ื ใดก็ตามบรรทดั ฐานทางสังคม (Social Norms) ไม่สามารถท่ีจะ ควบคุมการกระทาของมนุษย์ หรือไม่สนองตอบต่อความต้องการของสังคม (Social Needs) ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใด ๆ ได้แล้ว การล่วงละเมิดต่อบรรทัดฐานทางสังคมจะเกิดข้ึน และจะนาไปสู่การ กระทาผิดอย่างรวดเร็ว ทฤษฎีภาวะไร้บรรทัดฐาน (Anomie Theory) ของ Merton เป็นทฤษฎี ท่ีขยายแนวความคิดของ Durkheim ให้ชัดเจนยิ่งข้ึน โดย Merton เห็นว่าพฤติกรรมเบ่ียงเบนหรือ พฤติกรรมอาชญากรรมเป็นผลิตผลของสังคมและวัฒนธรรม โดยที่ Merton เห็นว่าโครงสร้างทาง วัฒนธรรมเป็นตัวกาหนดเป้าหมายชีวิตของคนในสังคม หรือท่ี Merton เรียกว่าเป้าหมายในทาง วัฒนธรรม (Cultural Goal) แต่ในขณะเดียวกันโครงสร้างทางสังคมเป็นตัวกาหนดวิถีทางหรือความ ประพฤตทิ จี่ ะเขา้ สเู่ ป้าหมายดังกลา่ ว หรอื ที่ Merton เรียกว่าวิธที างสถาบัน (Institutionalized Means) เหตุท่ีทาให้เกิดพฤติกรรมเบ่ียงเบนในตัวคนเราน้ัน เน่ืองจากคนเราไม่สามารถ ปรับตัว (Adaptation) เข้ากับเง่ือนไขท้ังสองประการหรือเงื่อนไขใดเง่ือนไขหน่ึง ปี ค.ศ. ๑๙๔๒ ได้มี การศึกษาเกี่ยวกับนิเวศวิทยาอาชญากรรม Ecology of Crime โดย Shaw และ Mckay ได้ศึกษาถึง ความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมในเขตนครชิคาโกกับสถิติคดีอาชญากรรม โดยมุ่งศึกษาเด็กและ เยาวชนทก่ี ระทาผดิ โดยแบ่งพนื้ ท่ีของนครชิคาโกออกเป็น ๕ เขต ดังนี้ เขตที่ ๑ เป็นศูนย์กลางของทางเศรษฐกจิ การคา้ และระบบราชการ เขตที่ ๒ เป็นเขตของการเปล่ียนแปลง เป็นเขตท่ีเสื่อมลงมา มักจะเป็นเขต ท่ีอยู่อาศัย ซึ่งธุรกิจการค้าหรือการอุตสาหกรรมกาลังขยายตัวมา จะมีธุรกิจเล็ก ๆ ท่ีพักอาศัย บ้านเช่า

๑๒ ราคาถูก จะรวมอยู่กับโรงรับจานา บาร์ราคาถูก ๆ ผลของเขตนี้ คือ สลัมหรือแหล่งของชนกลุ่มน้อย เชน่ พวกชาวยิว (ในนครชิคาโก) หรอื พวกคนจนี อพยพ เขตที่ ๓ คือเขตโรงงานอุตสาหกรรม ซ่ึงมีบ้านพักของกลุ่มชนช้ันกรรมกร อาศัยอยู่มาก เขตท่ี ๔ คือเขตท่ีอาศัยของชนชั้นกลางหรอื คนชน้ั สูง เขตที่ ๕ คือเขตชานเมือง เป็นเขตท่ีมีการขนส่งท้ังภาคเอกชนและสาธารณะ เพอ่ื จะขนถ่ายสินค้าไปยงั ใจกลางเมืองที่มกี ารทางาน การศกึ ษาของ Shaw และ Mckay เกี่ยวกบั ความสมั พนั ธข์ องอัตราเด็กและ เยาวชนกระทาความผิดในแต่ละเขตน้ันสรุปได้ว่า มีอัตราการกระทาความผิดแตกต่างกันออกไป โดยการ กระทาความผิดของเด็กจะมีจานวนสูงมากในท้องที่ท่ีเป็นย่านสลัมและย่านธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในย่านทมี่ กี ารเปล่ียนแปลง อันได้แก่ ยา่ นที่มีการอพยพ ซงึ่ เปน็ เขตของธุรกิจย่อย บ้านเช่าราคาถูกใกล้กับ ใจกลางเมือง อัตราจะลดลงตามระยะหา่ งจากศูนย์กลางเมือง แต่อัตราจะยังคงสงู ในเขตอุตสาหกรรม และเขตธรุ กจิ ในใจกลางยอ่ ย ๆ ของเมือง และอัตราจะลดลงตามระยะหา่ งจากใจกลางย่อย ๆ นัน้ ด้วย ๒.๒) กลุ่มทฤษฎีกระบวนการทางสงั คม (Social Process Theories) กระบวนการทางสังคมมองว่าคนได้ถูกขัดเกลา (Socialization) จากสถาบัน ตา่ ง ๆ ในสังคม ไดแ้ ก่ ครอบครัว โรงเรียน และเพ่ือนที่ทางาน เปน็ ตน้ ซึง่ ถ้าหากความสัมพันธ์เป็นไป ในทางบวกและได้รับการสนับสนุน คนจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคมเป็นอย่างดี ในทางตรงกันข้าม หากความสมั พันธเ์ ป็นไปในทางลบ คนกจ็ ะฝา่ ฝ้นกฎระเบียบ นาไปสพู่ ฤติกรรมอาชญากรรม ทฤษฎีกระบวนการทางสังคมเชื่อว่า คนไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติ ชนชั้น หรือเพศใดก็ตาม ต่างก็มีศักยภาพท่ีจะเป็นอาชญากรได้ทั้งส้ิน คนจน หรือคนช้ันต่า มีปัญหาทาง เศรษฐกิจสูง ได้รับการดูถูก มีการศึกษาน้อย ครอบครัวแตกสลาย จึงมีโอกาสหรือความสามารถในการ ก่ออาชญากรรมสูง ในขณะท่ีชนช้ันกลางมักมีสังคมท่ีดีกว่า ครอบครัวอบอุ่น ไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ มีเพื่อนดี เป็นที่ยอมรับของสังคม จึงมีโอกาสหรือความสามารถในการกระทาความผิดน้อย แต่อย่างไร ก็ตาม ไม่ใช่ว่าชนชั้นกลางหรือกลุ่มท่ีมีความพร้อมจะไม่กระทาความผิดเลย สิ่งนี้จะขึ้นอยู่กับการขัดเกลา ทางสังคมเป็นสาคัญ เช่น ชนชั้นกลางมีฐานะดี เล้ียงลูกแบบตามใจ ไม่ฝึกให้มีความอดทน ต้องการอะไร ก็จะไดร้ บั เสมอ ๆ กอ็ าจจะกลายเปน็ คนทมี่ โี อกาสในการกระทาผดิ หรือก่ออาชญากรรมไดเ้ ช่นกัน จะเห็นว่าการขัดเกลาทางสังคมเป็นส่ิงสาคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในชนช้ัน ไหน ๆ แต่ถ้าหากได้รบั การขดั เกลาไปในทางที่ดีแลว้ เขาก็จะเปน็ บุคคลที่มโี อกาสหรือศักยภาพในการ กระทาความผดิ หรอื ก่ออาชญากรรมตา่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว (Family Relation) เป็นส่ิงสาคัญ และมีบทบาท อย่างมากต่อพฤติกรรมของมนุษย์ การส่ือสารท่ีสร้างความเข้าใจภายในครอบครัว การฝึกให้มีวินัย ท่ีถูกต้อง สามารถกาหนดพฤติกรรมของสมาชิกในครอบครัวได้ท้ังสิ้น ยกตัวอย่างเช่น หากเด็กได้รับการ อบรมอยา่ งถูกต้องจากครอบครัวแล้ว เม่อื โตขึ้นเด็กก็จะประพฤติตนไปในทางที่ได้รับการอบรม การท่ีเด็ก มาจากครอบครัวท่ีแตกแยก (Broken Home) ก็มิได้แปลว่าเด็กคนนั้นจะต้องกลายเป็นเด็กกระทา ความผดิ เพราะหากพ่อแม่คนใดคนหน่ึงสามารถทาหน้าที่ของตนและชดเชยส่วนที่ขาดหายไปของเด็กได้ จนเด็กรู้สกึ วา่ ตนมิไดข้ าดอะไรและร้สู ึกวา่ ตัวเองปกติทุกอย่าง นักอาชญาวิทยาบางคนมองวา่ หากเด็ก

๑๓ ไม่ได้รับการชดเชยท่ีเพียงพอ เพราะพ่อแม่ต้องแบกภาระในเร่ืองเศรษฐกิจ ไม่มีเวลาให้เด็กอย่างเพียงพอ ทาให้เด็กมีปัญหา จึงหันไปคบเพื่อน ซ่ึงอาจเป็นเพ่ือนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน เกเร เด็กก็จะซึมซับ พฤติกรรมท่ีไม่ดีมาปฏิบัติ เด็กท่ีอยู่กับพ่อแม่ท่ีอยู่เป็นคู่ มีฐานะดี มีเวลาให้เพียงพอ โอกาสที่เด็กจะ ประสบความสาเร็จทางการศึกษาก็มีสูง ความสัมพันธ์ของเพ่ือน (Peer Relation) นักจิตวิทยาเช่ือว่า เพื่อนมีความ สาคัญอยา่ งยงิ่ ต่อพฤติกรรมมนุษย์ และมีอิทธพิ ลต่อการตดั สินใจและการเลือกท่ีจะมีพฤติกรรมต่าง ๆ ในช่วงอายุของเด็กแต่ละช่วง เพ่ือนจะมีอิทธิพลในลักษณะที่ต่างกัน เช่น ในช่วงวัยรุ่น (Teen) เพื่อนจะมี บทบาทเป็นผู้ให้กาลังใจ เพราะเป็นวัยท่ีต้องการการสนับสนุนทางอารมณ์ จึงมีความเช่ือใจเพ่ือนมาก และมักจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือความลับของตนให้เพื่อนได้รับรู้ ส่วนในเด็กท่ีไม่เป็นที่ยอมรับของ กลุ่มเพื่อน มักจะแสดงอาการก้าวร้าว และชอบแกล้งคนอื่น เด็กอาจมีกลุ่มเพ่ือนมากกว่าหนึ่งกลุ่ม ในกลุ่มหนง่ึ เด็กอาจมีบทบาทเป็นหัวหน้ากลุ่ม ในแต่ขณะเดียวกันอีกกลุ่มหนงึ่ เดก็ อาจมบี ทบาทเป็นผู้ตาม กไ็ ด้ จะเห็นได้ว่าเด็กและเพ่ือนต่างมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน นอกจากน้ี ยังมีสถาบัน ทางสังคมอื่น ๆ เช่น สถาบันศาสนามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคน เช่น ผู้ทนี่ ับถอื คริสต์ศาสนา ทกุ วัน อาทิตย์ก็จะไปโบสถ์ ร่วมกิจกรรมทางศาสนา ไม่คิดประกอบอาชญากรรม ซึ่งแนวคิดทฤษฎีกระบวนการ ทางสังคมท่ีมผี ลตอ่ พฤตกิ รรมมนุษยม์ ี ๓ สว่ นคือ (๑) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) เช่ือว่ามนุษย์ เรียนรู้เทคนิคและทัศนคติของอาชญากรรมจากการมีความสัมพันธ์ท่ีใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นอาชญากรรม จงึ เกิดการเรยี นรูพ้ ฤติกรรมนั้นมา (๒) ทฤษฎีการควบคุมทางสังคม (Social Control Theory) เช่ือว่ามนุษย์ ทุกคนมีความเป็นอาชญากรในตัวเอง แต่เป็นเพราะความผูกพันที่มีต่อสังคม ทาให้สามารถควบคุม พฤตกิ รรมของตนให้อย่ใู นกรอบของสังคมได้ (๓) ทฤษฎีปฏิกิริยาของสังคมหรือการตีตรา (Social Reaction (Labeling) Theory) มีมุมมองว่าคนจะกลายเป็นอาชญากรเพราะสังคมตีตราให้เป็น และผู้ท่ีถูกตีตราก็ยอมรับ สภาพทไ่ี ด้รับเชน่ กัน จากกลุ่มทฤษฎีกระบวนการทางสังคม (Social Process Theories) สามารถ สรุปได้ว่า หากบุคคลได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีครอบครัวที่ดี เพ่ือนดี หรือสังคมรอบข้างดี และมี กระบวนการขัดเกลาทางสังคมไปในทางท่ีถูกต้อง จะลดพฤติกรรมเบ่ียงเบนของบุคคลเหล่านี้ ซ่ึงในทฤษฎี กลมุ่ นมี้ ีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลเหล่าน้ีอย่างมาก ดังนน้ั ไม่วา่ จะเป็นความสัมพันธ์ท้ังในครอบครัว เพ่ือน หรือแม้แตส่ งั คม ลว้ นมอี ิทธพิ ลตอ่ พฤติกรรมของบุคคลด้วย ๒.๓) แนวคดิ ทฤษฎที ี่เกย่ี วขอ้ งกับการมสี ว่ นรว่ ม แนวคิดทฤษฎีควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม (Crime Control through Environmental Design) ทฤษฎีน้ีมีแนวความคิดรวม (Synthesis) ระหวา่ งทฤษฎีบังคับใช้ กฎหมายเป็นแนวความคิดรเิ รม่ิ (Thesis) และทฤษฎชี มุ ชนสัมพนั ธ์เป็นแนวความคิดแยง้ (Antithesis) โดยนามาประยุกต์ ผสมผสานใช้ร่วมกัน นับเป็นมรรควิธีหรือมาตรการท่ีจะนาไปสู่เป้าประสงค์ของการ ปอ้ งกันอาชญากรรม ซึ่งสามารถแยกพจิ ารณาได้ ๒ มติ ิ ดังนี้

๑๔ มิตทิ ่ี ๑ สภาพแวดลอ้ มรปู ธรรม (๑) มาตรการระดบั ชุมชน การวางผังเมืองและชุมชน การติดตั้งไืื้าส่องสว่าง การออกแบบอาคาร และการสลกั หมายเลขบนทรัพยส์ นิ (๒) มาตรการระดับบ้านเรือน ความม่ันคงของประตูหน้าต่าง การใช้สัญญาณ เตอื นภัย การใช้อุปกรณเ์ ครอื่ งไืื้าและอื่น ๆ มติ ทิ ่ี ๒ สภาพแวดล้อมนามธรรม (๑) มาตรการเพ่ือนบ้านเตือนภยั (๒) มาตรการสายตรวจประชาชน (๓) มาตรการตรวจตราบ้านเรอื น จากการศึกษาของ Altman เกี่ยวกับอิทธิพลของสภาพแวดล้อมรูปธรรมมีผล ต่อพฤติกรรมทางสังคมได้อธิบายว่า ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ต่างทาเครื่องหมายในสภาพแวดล้อม เพื่อเป็น สัญลักษณ์แสดงสิทธิในความเป็นเจ้าของ และต่อสู้เพื่อป้องกันตนเองจากผู้รุกราน สาหรับในสังคม มนษุ ยด์ งั กลา่ วแบง่ ตามลกั ษณะการครอบครองของบุคคลหรอื กลุ่มบุคคลได้ ๓ ประเภทคือ พื้นท่ีปฐมภูมิ ได้แก่ พื้นท่ีครอบครองโดยสังคมที่บุคคลท่ัวไปสามารถเข้าไปได้ โดยชอบธรรมภายใตข้ อบเขตที่กาหนดไว้ ได้แก่ สวนสาธารณะ โรงพยาบาล และโรงมหรสพ พนื้ ทท่ี ตุ ยิ ภูมิ ได้แก่ พนื้ ที่เชือ่ มต่อระหวา่ งพ้นื ที่ปฐมภมู ิ พน้ื ทสี่ าธารณะ ได้แก่ ตรอก ซอย และยา่ นท่ีอยูอ่ าศัย เปน็ ตน้ การจัดสภาพแวดล้อมในชุมชนเพ่ือป้องกันอาชญากรรมในปัจจุบันไม่ได้รับ ความสนใจจากหน่วยงานรัฐบาลอย่างเพียงพอ จึงมักจะเกิดปัญหาอาชญากรรมในบริเวณพ้ืนท่ีต่าง ๆ ท้ังนี้ เน่ืองจากผังเมืองและชุมชนมีอิทธิพลต่อการดารงชีวิตและพฤติกรรมของพลเมืองท่ัว ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาชญากรรมมักอาศยั ช่วงโอกาสในสภาพแวดล้อมประกอบอาชญากรรม จงึ ทาให้ ประชาชนผู้ใช้ประโยชนพ์ ้ืนท่ีในชุมชนต้องพ่ึงพาผู้ออกแบบผังเมือง และลักษณะการจัดสภาพชุมชนก็มีผล ตอ่ การเพม่ิ หรอื ลดอาชญากรรมด้วย สภาพแวดล้อมระดับบ้านเรือน การจัดสภาพแวดล้อมระดับบ้านเรือน ให้ปลอดภัยจากอาชญากรรม ได้แก่ ประตูหน้าต่างควรเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์สาหรับรักษาความ ปลอดภัย โดยเฉพาะกุญแจท่ีมีคุณภาพ เพราะจะทาให้การทาลายหรือสะเดาะกระทาได้ยากย่ิงข้ึน และคนร้ายต้องใช้เวลานาน เสี่ยงต่อบุคคลอื่นจะพบเห็น และหน้าต่างควรปิดเสมอในเวลากลางคืน หน้าต่างบานเกล็ดควรติดไว้สาหรับหน้าต่างช้ันบน และอยู่ในทิศทางไม่ลับตาคน ควรติดต้ังสัญญาณ กนั ขโมย และตดิ เหลก็ ดัดเพ่ือความแข็งแกร่งใหแ้ ก่ประตูหนา้ ตา่ ง การจัดสภาพแวดลอ้ มตามนามธรรม ถือไดว้ ่าเป็นหัวใจของการป้องกันอาชญากรรมวิธีหนึ่ง เพราะเปน็ บทบาทและความรับผิดชอบร่วมกัน ของชุมชน ในการสอดส่องดูแลความปลอดภัยภายในชุมชนที่อยู่อาศัยของตน ตลอดจนแจ้งเหตุด่วน เหตรุ า้ ยแกเ่ จา้ หนา้ ทีต่ ารวจ แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน การมีส่วนร่วมเป็นหลักการ พ้นื ฐานและองค์ประกอบสาคัญในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย เพราะทาให้ประชาชนในท้องถิ่น ตา่ ง ๆ ไดเ้ ข้ามามีสว่ นรว่ มในการตดั สินใจแกป้ ัญหาด้วยตนเอง โดยท่ีไมต่ อ้ งรอรบั นโยบายหรือคาสั่งจากรัฐ ฝ่ายเดียว ท้ังนี้เพราะแต่ละท้องถิ่นย่อมมีทรัพยากร สภาวะแวดล้อม การสะสมทางภูมิปัญญา ตลอดจน

๑๕ เงื่อนไขและปัจจัยท่ีแตกต่างกัน อันมีผลให้ความต้องการและแนวทางการจัดการประโยชน์สุขของแต่ละ ทอ้ งถ่นิ แตกตา่ งกนั ไปด้วย การส่งเสริมให้แต่ละท้องถิ่นสามารถปกครองตนเองได้ตามสมควร จึงเป็น สงิ่ จาเปน็ และสอดคล้องกบั ความเหมาะสมกับความเปน็ จรงิ ภายในท้องถ่นิ น้นั ๆ ซง่ึ จะทาให้ประชาชน ในท้องถิ่นต่ืนตัวต่อการมีส่วนร่วมในการกาหนดอนาคตของท้องถิ่นเอง อันน่าจะเกิดผลดีต่อการ พัฒนาท้องถิ่นมากกว่าท่ีรัฐเป็นผู้กาหนดหรือควบคุม เพราะการดาเนินการของรัฐโดยทั่วไปย่อมผ่าน ทางเจ้าหน้าท่ีของส่วนกลาง ซึ่งจะมีบทบาทหรือทัศนคติท่ีมุ่งรักษาประโยชน์ของรัฐ จนอาจละเลย ความตอ้ งการและความจาเป็นทีแ่ ทจ้ ริงของแต่ละทอ้ งถนิ่ แนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชน (People’s Participation) ได้เข้ามา มีบทบาทสาคัญในการพัฒนา โดยเฉพาะในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ ๕ โดยแนวคิดน้ีมาจาก การวางนโยบายแนวใหม่ ซ่ึงเน้นท่ีคนเป็นสาคัญ มากกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจดังเช่น แผนพัฒนา ฉบับที่ ๑ - ๔ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีความพยายามเปลี่ยนแปลงแนวการพัฒนาจากบนลงล่าง (Top-Down) มาเป็นล่างขึ้นบน (Bottom-Up) ซ่ึงแนวการพัฒนาแบบล่างข้ึนบนนี้เก่ียวข้องอย่างย่ิงกับแนวคิดการ มีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ขาดหายไป (Missing Ingredient) ในกระบวนการพัฒนา อย่างไรกต็ าม คาจากดั ความและความหมายการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจกรรมการพัฒนาต่าง ๆ เช่น กิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะ หลายรูปแบบ หลายวิธีการ แตกต่างไปตามวัตถุประสงค์ ทาให้นิยามและความหมายของการมีส่วนร่วมต่างกันไปบ้าง โดยมีผู้ให้ ความหมายท่ีหลากหลาย และมีความแตกต่างกันไปตามความเข้าใจและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล เช่น การมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่อยู่ใน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นน้ัน ๆ ซ่ึงอาจอยู่ในรูปของการมีส่วนร่วมประชุมประชาคมหมู่บ้าน ชุมชน ตาบล การจัดทาแผนพัฒนา การเป็นคณะกรรมการเปิดซองสอบราคา ตรวจรับการจ้าง หรือการจัดทา ประชาพิจารณ์ในเร่ืองท่ีดาเนินการโครงการของรัฐท่ีส่งผลกระทบต่อประชาชนท้ังทางตรงและทางอ้อม การมีส่วนร่วมเป็นกระบวนการนาไปสู่ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซ่ึงจะเป็นการสร้างความเข้มแข็ง ให้แกช่ มุ ชนในการพฒั นาประเทศ ๓) มาตรการทางเลือก กฎหมายเป็นมาตรการอย่างหนึ่งในการควบคุมสังคม (Social controls) โดยเป็น กติกาเพ่ือช้ีขาดความถูกต้องที่สังคมยอมรับในการใฝ่หาความเป็นธรรมอันเป็นจุดสมดุล (Equilibrium) การลงโทษทางอาญานั้นเป็นการลงโทษที่รุนแรง และกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิต ร่างกาย และทรพั ยส์ ินของผู้กระทาความผดิ จึงเป็นที่ยอมรับกนั โดยทว่ั ไปว่าโทษทางอาญาควรใช้กบั การกระทา ท่มี ผี ลกระทบต่อความสงบเรียบรอ้ ยหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชนอยา่ งรา้ ยแรงเท่านน้ั การแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ ของประเทศไทยในอดตี ไดใ้ ชว้ ิธกี ารบงั คับทางกฎหมาย เป็นหลัก ในลักษณะของการห้ามเด็ดขาด ซ่ึงเห็นได้จากเจตนารมณ์ทางกฎหมายและนโยบายยาเสพติด ของรัฐบาลที่สาคญั ซงึ่ ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ ท่ีผ่านมากฎหมายที่เก่ียวข้องกับยาเสพติดหลายฉบับ มีการกาหนดความผิด และ การลงโทษท่ีมุ่งเน้นการปราบปราม ท่ีมีลักษณะเด็ดขาดและรุนแรง บทลงโทษมีลักษณะค่อนข้าง แข็งตัว กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบาบัดรักษาและื้นนืูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด มีการแบ่งแยก

๑๖ ระบบการบาบัดภายใต้ความรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน ทาให้การแก้ไขปัญหาผู้เสพยาเสพติด ไม่ประสบความสาเรจ็ เทา่ ท่ีควร ผลท่ีเกิดจากการใช้กระบวนทัศน์เดิมที่ต้องการเป็นสังคมท่ีปลอดจากยาเสพติด (Drug Free World) และการท่ีสังคมจะไม่อดทนต่อยาเสพติด (Zero Tolerance) ด้วยคิดว่ายาเสพติด เป็นสิ่งที่ช่ัวร้าย เป็นภัยร้ายแรงที่ส่งผลกระทบทั้งผู้ท่ีเก่ียวข้องกับยาเสพติด ครอบครัว ชุมชน และ ประเทศชาติ เปน็ ภัยทท่ี กุ สังคมไม่ควรยอมรบั และต้องร่วมกันกาจัดปราบปรามยาเสพตดิ ใหห้ มดไป ต้องใช้ มาตรการทางกฎหมายทมี่ ีโทษอาญาทเ่ี ข้มงวดรุนแรง การลงโทษ ประหารชวี ิต มาตรการรบิ ทรัพย์สิน ในคดียาเสพติดเพื่อให้สอดคล้องกับการลงโทษเพ่ือข่มขู่ยับยั้งการกระทาความผิด (Deterrence) การดาเนินการเหล่านั้นทาให้เกิดผลกระทบโดยไม่ต้ังใจของนโยบายยาเสพติด เช่น การสร้างตลาด ยาเสพติดผิดกฎหมายระหวา่ งประเทศ ทก่ี ระตนุ้ ให้เกิดความรุนแรง การทจุ รติ และสงครามยาเสพติด ซึ่งเกิดค่าใช้จ่ายในการบังคับใช้กฎหมายห้ามใช้ยาเสพติดท่ัวโลกเป็นจานวนมาก ทาให้เกิดกระบวนทัศน์ ใหม่ท่ีนามาใช้ในการแก้ปัญหา โดยเปลี่ยนจากการใช้แนวทางบังคับใช้กฎหมายอย่างสุดโต่ง มาใช้ นโยบายที่ถูกต้องในการจัดสมดุลท่ีเหมาะสมในการแก้ไขปัญหา นาแนวคิดด้านสาธารณสุข และการ คานงึ ถงึ สิทธิมนุษยชนมาใช้ แนวคิดดา้ นกฎหมายท่ีมีการนามาใช้ เพอื่ สนับสนุนการแกไ้ ขปญั หายาเสพติดตาม แนวคิดใหม่ ประกอบด้วย (๑) การทาให้การเสพยาเสพติดไม่ผดิ กฎหมายที่เรียกว่า Legalization คือ การที่ บคุ คลเสพยาเสพตดิ แลว้ ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายอีกต่อไป ดว้ ยการยกเลกิ โทษทางอาญาและโทษ ทางปกครองท่ีได้เคยมีการกาหนดไว้สาหรับยาเสพติดนั้น โดยท่ัวไปจะมีการกาหนดเง่ือนไขพิเศษในเร่ือง บคุ คล กจิ กรรม ชนดิ และปริมาณยาเสพติด หรอื สถานท่ี เชน่ บหุ รีห่ รอื แอลกอฮอล์ แมจ้ ะถูกกฎหมาย แต่ยังกาหนดเง่ือนไขให้ไม่ให้ขายแก่เด็กอายุต่ากว่าที่กาหนด หรือมีมาตรการให้ขายในเวลาท่ีกาหนด สาหรับสถานประกอบกิจการบางประเภท การอนญุ าตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์ ท่ยี อมให้มีการใช้ เวชภัณฑ์ที่ผลิตจากกัญชา เพ่ือการรักษาผู้ป่วยที่มีความจาเป็นต้องใช้ การอนุญาตให้มีการเสพกระท่อม ตามวิถีพ้ืนบ้าน เช่น การเค้ียวใบ แต่ไม่อนุญาตให้นาไปผลิตน้าต้มกระท่อมท่ีมีส่วนผสมของยาอันตราย หรือวัตถอุ อกฤทธิ์ตอ่ จิตและประสาท ท่ีเรยี กว่า ๔ x ๑๐๐ เปน็ ตน้ (๒) การทาให้การเสพยาเสพติดไม่เปน็ ความผิดทางอาญาท่ีเรียกว่า Decriminalization คือ การไม่นาโทษทางอาญามาใช้กับการเสพยาเสพติด แต่จะใช้ทางเลือกโดยการนามาตรการทางปกครอง มาใช้แทน ดังมีตัวอย่างปรากฏในประเทศโปรตุเกส ท่ีได้บังคับใช้กฎหมายในปี ค.ศ. ๒๐๐๐ มีผลให้การ กระทาความผิดเกี่ยวกับการซื้อ การมีไว้ในครอบครอง การเสพยาเสพติดของบุคคลในกรณีท่ีมีไว้เพ่ือ ใช้เสพสาหรับตนไมเ่ ป็นความผดิ ทางอาญา ทงั้ น้ีคาว่า “ไม่เป็นความผิดทางอาญา” หมายความว่า การ กระทาดังกล่าวจะไม่อยู่ในกรอบของกฎหมายอาญาและระบบยุติธรรมทางอาญาอย่างส้ินเชิง แต่จะ ถือเป็นความผิดทางปกครอง (Administrative Offence) และการพิจารณาความผดิ จะไม่ใช้กระบวน วธิ พี จิ ารณาความอาญา ไม่ใชม้ าตรการบังคับทางอาญาท่ัวไป แต่จะใชโ้ ทษปรบั ทางปกครอง หรอื การ กาหนดให้เข้ารับการบาบดั การติดยาเสพตดิ เปน็ มาตรการบังคับแทน (๓) การหันเหคดีหรือการเบ่ียงเบนคดี (Diversion) หมายความถึงแนวคิดที่นาผู้เสพ หรือผู้ติดยาเสพติดออกจากกระบวนการดาเนินคดีอาญาท่ีจะนาไปสู่การลงโทษ เพื่อให้ผู้เสพหรือผู้ติด

๑๗ ยาเสพติดได้รับการดูแล ช่วยเหลือ ให้ลด ละ เลิกยาเสพติด และเพื่อให้สามารถอยู่รวมในสังคมได้อย่าง เป็นปกติสุข โดยให้ทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้องมีส่วนร่วมในการดาเนินการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน รวมถงึ ภาคประชาสังคม แตม่ ิไดย้ กเลิกความผิดไปเสียทีเดียว ผูก้ ระทาผิดยังมีความผิดอยู่ เพียงแต่นา มาตรการบางอย่างเพ่ือแก้ไขยับย้ัง (Rehabilitation) มาบังคับแทนการลงโทษ เม่ือผู้กระทาความผิด ปฏบิ ัตติ ามหลักเกณฑ์และเงอื่ นไขตามทก่ี าหนดไว้ ถือว่าผู้กระทาความผดิ ไมต่ อ้ งถูกลงโทษ ซ่ึงแนวทางท้ัง ๓ ด้าน จะชว่ ยสนบั สนนุ มาตรการลดอนั ตรายจากการใช้ยาเสพติด (Harm Reduction) ซ่งึ เป็นแนวคิดดา้ นสาธารณสขุ ทไี่ ม่เนน้ ให้ผ้ปู ่วยต้องเลกิ ใช้ยาเสพติดในทันที การลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (Harm Reduction) หมายถงึ การลดปญั หา หรือภาวะเสี่ยงอันตราย การแพร่ระบาด การสูญเสียจากการใช้ยาเสพติด ที่อาจเกิดกับตัวบุคคล ชุมชน และสังคม เป็นการปอ้ งกนั อันตรายโดยการทาให้เกิดพฤติกรรมท่ีเป็นอันตรายลดลงในขณะทีย่ ังไม่สามารถ หยุดยาเสพติดได้ เป็นการยืดหยุ่นวิธีการรักษา ท่ียึดความพร้อมของผู้ป่วยเป็นฐาน โดยคานึงถึงศักด์ิศรี ของความเป็นมนุษย์ มนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และความเข้าใจธรรมชาติของผู้ใช้ยาเสพติด (กระทรวง สาธารณสุข, ๒๕๖๐) แนวคิดเรื่อง “Harm Reduction” หรือ “การลดอันตราย” เป็นแนวคิดด้าน สาธารณสุขที่มีมาแต่เดิม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ท่ีมีต่อ สุขภาพอันเน่ืองมาจากพฤติกรรมบางอย่าง การลดอันตรายที่เกี่ยวกับการจัดการกับปัญหาการใช้ยา หรือสารเสพตดิ ไดเ้ ริม่ เกิดขึ้นในชว่ งปลายทศวรรษท่ี ๑๙ (ค.ศ. ๑๙๗๐) และตอ่ มาไดแ้ พร่ขยายจนเริ่ม เป็นท่ีรู้จักมากขึ้นในราว ค.ศ. ๑๙๘๐ โดยในขณะนั้นยังเน้นด้านการให้บริการสาธารณสุขท่ีจะลด ผลกระทบทางลบท่ีไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการใช้ยาเสพติดและป้องกันอันตรายผู้ที่ใช้ยาเสพติด มากกว่าที่จะให้ผู้ป่วยหยุดการใช้ยาหรือปลอดจากยาเสพติดโดยเด็ดขาด แนวคิดนี้ได้นามาใช้เป็น วิธีการลดการแพร่เช้ือของไวรสั ตบั อกั เสบ (Hepatitis) และลดอนั ตรายในเร่อื งการแพร่ระบาดของเช้ือ HIV/เอดส์ (HIV/AIDS) โดยเน้นในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด ซ่ึงมีการดาเนินการอย่างกว้างขวางในหลาย ประเทศทางแถบตะวันตก เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย ฯลฯ ทั้งน้ี นักวิชาการได้ให้คาจากัดความที่ใช้ สาหรับมาตรการลดอันตรายหลายแบบ แตท่ ไ่ี ด้รบั การยอมรบั มากน้ันเปน็ คาจากัดความของ International Harm Reduction Association (IHRA) ซ่ึงให้คาจากัดความไวว้ ่า การลดอันตราย หมายถึง นโยบาย มาตรการ และโครงการ ท่ีมเี ป้าหมายในการลดผลเสีย ทง้ั ทางด้านสุขภาพ สงั คม และเศรษฐกิจ อนั เป็นผล จากการใช้สารเสพติด ท้ังนี้ ต้องเป็นมาตรการที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์หรือผลการวินิจฉัยรองรับว่า เป็นมาตรการท่ีมีความครอบคลุมตั้งแต่การชว่ ยให้ใช้ยาเสพติดอย่างปลอดภยั การช่วยให้ควบคุมการ ใช้ยาเสพติดได้ จนกระทง่ั การชว่ ยให้เลิกยาเสพติดอย่างเดด็ ขาด การลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด คือ การลดปัญหา หรือภาวะเสี่ยงอนั ตราย การแพร่ระบาด การสูญเสยี จากการใช้ยาเสพติดที่อาจเกิดกับ ตัวบุคคล ชุมชน และสังคม เป็นการป้องกันอันตรายโดยการทาให้เกิดพฤติกรรมท่ีเป็นอันตรายลดลง ในขณะท่ียังไม่สามารถหยุดยาเสพติดได้ เป็นการยืดหยุ่นวิธีการรักษา โดยยึดความพร้อมของผู้ป่วย เป็นฐาน (สถาบันบาบัดรักษาและืน้นืูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ ภูมภิ าค ๖ แหง่ , ๒๕๖๓) การลดอันตรายจากการใช้ยาเสพตดิ ที่ได้ผล ควรมกี ฎหมายที่เอื้อต่อการดาเนินงาน เชน่ การลดทอนความผิดทางอาญา (Decriminalization) เพอื่ ลดการลงโทษหรือการยกเลิกโทษทางอาญา

๑๘ ของการกระทาบางอย่างในคดียาเสพติดกรณีผู้เสพยาเสพติดหรือผู้ครอบครองยาเสพติดในปริมาณ เล็กน้อย หรือครอบครองยาเสพติดเพ่ือการเสพส่วนตัว ให้ได้รับโทษอาญาน้อยลง หรือไม่ต้องรับโทษ ทางอาญา และใช้มาตรการทางเลือกอ่ืนบังคับแทน เป็นการปรับเปล่ียนแนวคิดการจัดการปัญหา ยาเสพติด โดยลดโทษความผิดฐานเสพยาเสพติด เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่ กระบวนการบาบัดรักษาตามหลักการแพทย์และสาธารณสุขเพ่ือให้สามารถกลับเข้าสู่สังคมได้ ส่งผลดี ในการบริหารงบประมาณด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญา รัฐบาลไม่ต้องสูญเสียงบประมาณไปกับ การดแู ลบุคคลผู้ต้องขังมากเกินจาเป็น ทั้งยังส่งผลดีต่อครอบครัวและสังคมของผเู้ สพหรือผู้ติดยาเสพติด เน่ืองจากเป็นการบาบัดรักษาผู้ป่วยใหห้ ายขาดจากอาการการติดยา โดยให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกตอ้ ง เพือ่ ลดอนั ตรายทเ่ี กิดจากการใชย้ าเสพติด (รงุ่ ศกั ดิ์ วงศ์กระสัน, ๒๕๖๐, น. ๗) ๒.๑.๓ มาตรการทางกฎหมายเกีย่ วกบั การปอ้ งกันและปราบปรามยาเสพติดของไทย ๑) มาตรการตรวจสอบและยึดทรัพย์สินผู้ที่กระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นมาตรการตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทาความผิดเก่ียวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ ซ่ึงมีหลักการสาคัญ คือ เม่ือมีการจับกุมผู้กระทาความผิดเก่ียวกับยาเสพติดข้ึนในฐาน ความผิดที่สาคัญ ได้แก่ การผลิต จาหน่าย นาเข้า ส่งออก และครอบครองเพื่อจาหน่ายยาเสพติด ตามที่ กฎหมายกาหนด คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีอานาจส่ังตรวจสอบ ยึด/อายัด ทรัพย์สินของ ผู้กระทาความผิดท่ีเกี่ยวเน่ืองกับการกระทาความผิด และเป็นภาระของจาเลยที่จะเป็นผู้พิสูจน์ต่อศาลว่า ทรัพย์สินที่ถูกยึด/อายัดดังกล่าวเกี่ยวเน่ืองกับการกระทาความผิดหรือไม่ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็น มาตรการท่ีจะสกัดก้ันไม่ให้ผู้กระทาความผิดซ่ึงเป็นผู้ผลิต ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ สามารถทารายได้จาก การค้ายาเสพติดมาใช้ในการกระทาความผิดต่อไปอีก ทรัพย์สิน หรือรายได้ที่ถูกยึดจะนาเข้าเป็นกองทุน ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพอ่ื ใชใ้ นการดาเนินงานป้องกนั และปราบปรามยาเสพติด ๒) มาตรการสมคบ เป็นมาตรการตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปราม ผู้กระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งมุ่งจับกุมดาเนินคดีต่อนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ นายทุนผู้อยู่เบ้ืองหลัง รวมทั้งผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทาความผิด หลักการ คือ เมื่อบุคคลต้ังแต่ ๒ คนขึ้นไป ตกลงใจกระทาความผิดเก่ียวกับยาเสพติดในฐานความผิดสาคัญ เช่น การผลิต การจาหน่าย การนาเข้า การส่งออกยาเสพติดตามที่กฎหมายกาหนด และครอบครองเพื่อจาหน่าย แม้องค์ประกอบ ความผิดจะยังไม่ถึงข้ันตระเตรียมการและข้ันลงมือกระทา เพียงข้ันการตกลงก็ถือเป็นความผิดสาเร็จ ตามกฎหมายแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถจบั กุมตัวผู้สั่งการหรอื ผู้อยู่เบื้องหลังการกระทาความผิดได้ แตก่ ารจบั กมุ หรือการแจ้งข้อหานจี้ ะต้องได้รับอนมุ ตั ิจากเลขาธิการ ป.ป.ส. กอ่ น ๓) มาตรการปราบปรามการือกเงิน เป็นมาตรการตามพระราชบัญญัติป้องกันและ ปราบปรามการือกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มีหลักการสาคัญ คือ เมื่อมีการเคล่ือนย้ายถ่ายเทเงินจานวนที่เกิน กฎหมายกาหนด จะต้องผ่านกระบวนการรายงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการทราบความเคลื่อนไหว ด้านการเงินของกลุ่มนักค้ายาเสพติด เป็นประโยชน์ในการสืบสวนจับกุม และการติดตามตรวจสอบ ยึด/อายดั ทรัพยส์ นิ ท่ีเก่ียวกับการกระทาความผดิ เก่ยี วกับยาเสพติดได้ ๔) มาตรการบังคับบาบัด เป็นมาตรการตามพระราชบัญญัติื้นนืูสมรรถภาพผู้ติด ยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งมีหลักการสาคัญ คือ ให้มีการจัดต้ังศูนย์ื้นนืูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด

๑๙ ภายใต้ความดูแลของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เมื่อมีคดียาเสพติดเกิดข้ึนและผู้ถูกจับเป็นผตู้ ดิ ยาเสพตดิ อาจถกู สง่ ตัวไปเขา้ รบั การบาบัดรกั ษาื้นน ืูสมรรถภาพเปน็ การบังคบั บาบดั ๕) มาตรการป้องกันและปราบปรามเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ ตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๔ ให้อานาจนายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ออกประกาศกาหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทา ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ และให้อานาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด (คณะกรรมการ ป.ป.ส.) สั่งปิดสถานประกอบการชั่วคราว หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตชั่วคราว ไม่เกินครั้งละ ๑๕ วัน และในกรณีที่เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ตรวจพบว่ามีการกระทาความผิดเกี่ยวกับ ยาเสพติดในสถานประกอบการ และเจ้าของหรือผู้ดาเนินกิจการไม่สามารถช้ีแจงให้คณะกรรมการ ป.ป.ส. เช่ือว่า ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแตก่ รณีแล้ว ทั้งนี้ ตามประกาศสานักนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. ๒๕๔๓) ได้กาหนดประเภทสถานประกอบการท่ีอยภู่ ายใต้บงั คับของมาตรการน้ี ๖ ประเภท ประกอบดว้ ย ๕.๑) สถานีบริการน้ามันเชื้อเพลิง (ป๊ัมน้ามัน) ซ่ึงรวมถึงสถานที่ท่ีใช้ในการ ประกอบธุรกิจต่าง ๆ ซ่ึงอยใู่ นความควบคมุ ดแู ล หรอื อาศยั สิทธขิ องเจ้าของ หรือผดู้ าเนินกจิ การ ๕.๒) สถานบี รกิ ารก๊าซใหแ้ กย่ านพาหนะ (ป๊ัมบรกิ ารบรรจุกา๊ ซ) ๕.๓) สถานบรกิ าร ไดแ้ ก่ สถานเต้นรา ดิสโก้เธค สถานบรกิ ารท้ังประเภทท่ีมีหญิง บริการและประเภทท่ีไม่มหี ญิงบริการ สถานบริการอาบอบนวด หรือสถานบันเทิงอ่ืน ซ่ึงรวมถึงสถาน บริการตามพระราชบัญญตั สิ ถานบรกิ าร พ.ศ. ๒๕๔๖ ๕.๔) ที่พักอาศัยในเชิงพาณิชย์ คือ ท่ีพักซ่ึงจัดบริการให้ผู้อ่ืนเช่า ได้แก่ หอพัก อาคารชุด และเกสเฮ้าส์ เปน็ ต้น ๕.๕) สถานท่ีท่จี ดั ใหม้ กี ารเล่นบิลเลยี ด สนกุ เกอร์ ซึ่งเก็บคา่ บรกิ ารจากผูเ้ ล่น ๕.๖) โรงงานตามกฎหมายวา่ ดว้ ยโรงงาน เชน่ โรงเลอื่ ย เรือประมง อูซ่ อ่ มบารงุ รถ ฯลฯ ๖) มาตรการเสริมเพอ่ื เพ่มิ ประสิทธิภาพ ๖.๑) มาตรการริบทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติมาตรการปราบปรามผู้กระทา ความผิดเกยี่ วกับยาเสพตดิ พ.ศ. ๒๕๓๔ แบ่งเปน็ ๒ ประเภท คือ (๑) การรบิ ทรัพย์สินของกลางในคดีอาญา เป็นมาตรการเสรมิ การริบทรัพย์ ตามกฎหมายอาญาซึ่งมีขอบเขตจากัดในเรื่องของทรัพย์สินที่ศาลจะส่ังริบ มาตรการริบทรัพย์สินกรณีนี้ อาศัยความในพระราชบัญญตั ิมาตรการในการปราบปรามผู้กระทาความผิดเกี่ยวกบั ยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ขยายความหมายของทรัพย์สินที่ศาลจะสั่งริบให้กว้างออกไป เพ่ือให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เก่ียวกับทรัพย์สินท่ีเข้าไปพัวพันกับการกระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซ่ึงปกติจะตกเป็นของแผ่นดิน แต่ในการริบทรัพย์สินตามกฎหมายฉบบั น้ี ให้ตกเป็นของ “กองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด” ซ่ึงเป็นกองทุนที่จัดต้ังขึ้นโดยบทบัญญัติของกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือนาทรัพย์สินที่ได้จากการ ริบไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทรัพย์สินท่ีริบกรณีนี้เปน็ ทรัพย์สนิ ท่ีเอื้ออานวยในการ กระทาผิดเท่านั้น คือ เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็น อุปกรณ์ที่ได้รับผลในการกระทาความผิดเก่ียวกับยาเสพติด และเป็นทรัพย์สินท่ีมีไว้เพ่ือใช้ในการกระทา ความผิด ท่ีสาคัญการริบทรัพย์สินของกลางกรณีน้ีกาหนดให้ริบทรัพย์สินท้ังส้ินแม้จาเลยในคดีนั้น ๆ

๒๐ จะไม่ถูกลงโทษตามคาพิพากษาก็ตาม แต่การท่ีศาลจะสั่งริบทรัพย์สินได้ก็ต้องพิจารณาพยานหลักฐาน ของโจทก์และเจ้าของทรัพยส์ ินตามกระบวนการ ดงั น้ี ก. โจทก์มีหน้าท่ีนาสืบให้ปรากฏหลักฐานที่ืังได้ว่าทรัพย์สินน้ันเป็น ทรัพย์สินท่ีได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้กระทาความผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทา ความผดิ เกี่ยวกบั ยาเสพตดิ ข. เจ้าของทรัพย์สินจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือ มีเหตุผลอันควรสงสัยว่ามีการกระทาความผิด และจะมีการนาทรัพย์สินของตนไปใช้ หรือมีไว้เพ่ือใช้ ในการกระทาความผดิ หรอื ใช้เป็นอปุ กรณใ์ ห้ไดร้ บั ผลในการกระทาความผดิ แล้วแต่กรณี ค. ถ้าเจ้าของทรัพย์สินพิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่มีผู้ใดร้องขอเข้ามาในคดี ก็ให้ ศาลสง่ั ริบทรพั ยส์ นิ น้ันได้ (๒) การริบทรัพย์สินท่ีเกี่ยวเน่ืองกับการกระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยทรัพย์สนิ ทเี่ ก่ยี วเนื่องกบั การกระทาความผดิ เกี่ยวกบั ยาเสพตดิ หมายถงึ เงนิ หรอื ทรพั ยส์ ินท่ไี ดร้ ับ มาเนื่องจากการกระทาความผิดเก่ียวกับยาเสพติด และให้รวมถึงเงิน หรือทรัพย์สินท่ีได้มาโดยการใช้ เงิน หรือทรัพย์สินดังกล่าวซื้อ หรือกระทาไม่ว่าด้วยประการใด ๆ ให้เงิน หรือทรัพย์สินนั้นเปลี่ยน สภาพไปจากเดิม ไม่ว่าจะมีการเปล่ียนสภาพกี่คร้ัง และไม่ว่าเงิน หรือทรัพย์สินนั้นจะอยู่ในความ ครอบครองของบุคคลอ่ืน โอนไปเป็นของบุคคลอ่ืน หรือปรากฏตามหลักฐานทางทะเบียนว่าเป็นของ บุคคลอ่ืนก็ตาม พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทาความผิดเก่ียวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้กาหนดใหม้ ีคณะกรรมการข้ึนมาชุดหน่ึงเรียกว่า “คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน” ซ่ึงประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิต่าง ๆ มีอานาจหน้าที่ในการวินิจฉัยความผิดเก่ียวเน่ืองของทรัพย์สินกับ การกระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตลอดจนมีอานาจสั่งยึด/อายัดทรัพย์สินไว้จนกว่าคดีถึงท่ีสุด โดยคาสั่งเด็ดขาดไม่ื้องคดี หรือศาลมีคาพิพากษา เม่ือผู้ค้ายาเสพติดถูกจับกุมในคดียาเสพติด และ คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินเห็นว่าผู้ต้องหาน้ันมีพฤติกรรมคา้ ยาเสพติดมานาน และมีทรัพย์สิน ที่สงสัยว่าได้มาจากการค้ายาเสพติด ก็จะมีคาส่ังให้ตรวจสอบทรัพย์สินของผู้นั้น สาหรับกรณีเร่งด่วน เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอานาจเช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน และหากพบว่าบุคคลอ่ืน มีทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับผู้ต้องหา คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน หรือเลขาธิการ ป.ป.ส. ก็มี อานาจส่ังใหต้ รวจสอบทรัพยส์ นิ ของผนู้ น้ั ได้ด้วย ๖.๒) มาตรการขยายเขตอานาจศาล ตามปกติศาลไทยจะมีอานาจลงโทษผู้กระทาความผิดท่ีกระทาความผิด ในประเทศไทยเท่านั้น แตก่ ฎหมายฉบับน้ีได้กาหนดข้อยกเวน้ ไว้ว่า แม้กระทาความผิดเก่ียวกับยาเสพติด นอกประเทศไทย ศาลไทยก็สามารถลงโทษไดห้ ากเข้าเง่อื นไขขอ้ ใดข้อหน่งึ ดงั น้ี (๑) ผู้กระทาความผิดหรือผู้ร่วมกระทาความผิดคนใดคนหนึ่งเป็นคนไทย หรือมีถิน่ ท่ีอยู่ในประเทศไทย หรอื (๒) ผู้กระทาความผิดเป็นคนต่างด้าว และได้กระทาโดยประสงค์ให้ความผิด เกิดขนึ้ ในราชอาณาจกั รหรอื รัฐบาลไทยเปน็ ผูเ้ สียหาย หรอื

๒๑ (๓) ผู้กระทาความผิดเป็นคนต่างด้าวและการกระทานั้นเป็นความผิดตาม กฎหมายของรัฐที่การกระทาเกิดข้ึนในเขตอานาจของรัฐน้ัน หากผู้นั้นได้ปรากฏตัวอยู่ในราชอาณาจักร และมิได้มีการสง่ ตัวผนู้ ้ันออกไปตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการสง่ ผู้รา้ ยขา้ มแดน จะเห็นได้ว่าแนวคิดเก่ียวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ดังกล่าวข้างต้น เป็นการกาหนดนโยบาย มาตรการ การแก้ไขกฎหมาย หรือพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการปราบปราม ยาเสพติด ล้วนแต่เป็นการกาหนดมาตรการมุ่งสู่ประโยชน์ในการปราบปรามยาเสพติดท้ังส้ิน ซึ่งสามารถ นามาเป็นแนวทางในการปราบปรามยาเสพติดได้เป็นอย่างดีกับตัวของนักค้ายาเสพติด ตลอดจน ผู้สนับสนุน ผู้อยู่เบ้ืองหลังของนักค้ายา ตลอดจนสามารถใช้เป็นแนวทางในการดาเนินการเก่ียวกับ ทรัพย์สนิ ของผกู้ ระทาความผิดเก่ยี วกบั ยาเสพติดไปพร้อม ๆ กัน เพ่ือตดั ทอ่ น้าเล้ยี งของนักคา้ ยาเสพตดิ ๒.๒ สถานการณ์ยาเสพติด ๒.๒.๑ สถานการณย์ าเสพติดโลก รายงานของสานักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) ประจาปี ค.ศ. ๒๐๑๙ ระบุว่า ทั่วโลกมีผู้ใช้ยาเสพติด ประมาณ ๒๗๑ ล้านคน หรือร้อยละ ๕.๕ ของประชากรโลก โดยกัญชา เป็นยาเสพติดท่ีมีผู้ใช้มากท่ีสุด รองลงมาเป็นกลุ่มอนุพันธ์ของฝ่ิน กลุ่มเมทแอมเืตามีน และโคเคนตามลาดับ สถานการณ์ผลิตยาเสพติด ในภาพรวมท่ัวโลก พบว่า แหล่งผลิตยาเสพติดในอัืกานิสถาน สามเหลี่ยมทองคา และอเมริกาใต้ ยังคงเป็นแหล่งผลิตใหญ่ของโลก ปัจจุบันยาเสพติดที่ผลิตจากฝ่ินมีแนวโน้มลดลง แต่ยาเสพติดจาก สารเคมีสังเคราะห์ในกลุ่มเมทแอมเืตามีน วัตถุออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาทชนิดใหม่ มีแนวโน้มเพ่ิมขึ้น โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย นอกจากน้ียังพบว่าปัญหาอาชญากรรมท่ีเก่ียวข้องกับ ยาเสพติดมีสัดส่วนสูงท่ีสุดถึงร้อยละ ๓๕ ของคดีอาชญากรรมทั้งหมด และยังมีส่วนเช่ือมโยงกับ อาชญากรรมอืน่ ดว้ ย เช่น การค้ามนษุ ย์ การค้าอาวุธ และการปลอมแปลงสินค้า เปน็ ตน้ ๒.๒.๒ สถานการณย์ าเสพตดิ ในภมู ภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แหล่งผลิตยาเสพติดในสามเหลยี่ มทองคา ถือได้ว่าเป็นแหล่งผลิตใหญ่ท่ีสุดในภูมภิ าค เอเชยี ผลิตยาเสพตดิ ออกส่ตู ลาดหลายประเภท เชน่ ยาบา้ ไอซ์ เฮโรอีน และคตี ามีน เป็นตน้ ปัจจบุ นั แมพ้ บว่าพ้ืนที่การเพาะปลูกฝิ่นในสามเหลี่ยมทองคาจะลดลงไปมาก ส่งผลใหป้ ริมาณการผลิตเฮโรอีน ลดลงไปด้วย แต่ทิศทางการผลิตยาเสพติดจากสารเคมีสังเคราะห์ในกลุ่มเมทแอมเืตามีนกลับมี แนวโน้มเพ่ิมสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดตลอดห้วง ๑๐ ปีท่ีผ่านมาน้ี โดยบริบททางการเมืองการปกครอง ภายในของประเทศเพ่ือนบ้านยังเป็นเง่ือนไขสาคัญท่ีทาให้กลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธหลายกลุ่มเข้า ไป เก่ียวข้องกับการผลิตและลาเลียงยาเสพติด ประกอบกับการเติบโตของกลุ่มองค์กรการค้ายาเสพติด ท่ีเข้าไปตั้งฐานการผลิตในพ้ืนที่สามเหลี่ยมทองคาในเชิงเอื้อประโยชน์กันกับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่อิทธิพล มีศกั ยภาพในการเข้าถึงสารตั้งต้น เคมีภณั ฑ์ และอุปกรณ์การผลิตยาเสพติดท่ีทันสมัย รวมถงึ มีการพัฒนา โครงข่ายองค์กรขยายไปในหลายประเทศ ทาให้ขีดความสามารถกลุ่มการผลิต/ค้ายาเสพติดในภูมิภาค เอเชียเพิม่ สงู ขึ้นมาก ยาเสพติดที่ผลิตในสามเหล่ียมทองคา จะถูกกระจายออกไปในหลายเส้นทาง โดยยาบ้า ตลาดหลักยังคงเป็นประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขงและบังคลาเทศ ส่วนไอซ์ คีตามีน และเฮโรอีน

๒๒ ส่วนใหญ่จะถูกลาเลียงผ่านประเทศไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เวียดนาม และกัมพูชา ออกไปยังประเทศที่สามในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอนล่าง (มาเลเซีย อินโดนีเซีย) เอเชียตะวันออก (ญปี่ ุ่น เกาหลใี ต้ ฮ่องกง) และกลมุ่ ประเทศแถบโอเชียเนีย (ออสเตรเลีย นวิ ซีแลนด์) ปัจจุบันประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขง ประเทศนอกภูมิภาคที่ได้รับ ผลกระทบจากแหล่งผลิตในสามเหล่ียมทองคา และองค์กรระหว่างประเทศ ได้ร่วมมือกันเพ่ือแก้ไข ปัญหาแหลง่ ผลิตผ่านกลไกความรว่ มมอื ในระดับต่าง ๆ มากขนึ้ โดยมวี ัตถุประสงค์/หลกั คดิ คือ ลดขีด ความสามารถแหล่งผลิตยาเสพติด ด้วยการสกัดก้ันสารตั้งต้น เคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์การผลิต ไม่ให้ เข้าสแู่ หลง่ ผลิต ในขณะเดยี วกนั กส็ กัดก้ันยาเสพตดิ ไม่ให้ออกจากพืน้ ท่ีผลติ เช่นเดยี วกนั ๒.๒.๓ สถานการณ์ยาเสพติดในประเทศไทย ๑) การผลิตและลกั ลอบนาเข้ายาเสพติด ประเทศไทยมีท่ีต้ังติดกับแหล่งผลิตยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นตลาด ยาเสพติดที่สาคัญในอนุภูมิภาคไปโดยปริยาย ยาบ้า ไอซ์ เฮโรอีน คีตามีน และกัญชา ถูกลักลอบนาเข้า ประเทศเป็นจานวนมากและเพิ่มข้ึนในทุกปี โดยพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคเหนือตอนบน เป็นพ้ืนที่ท่ีพบ การลักลอบนาเข้ายาเสพติดมากที่สุด รองลงมาเป็นพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนติดริมแม่น้าโขงของภาค ตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และจังหวัดชายแดนด้านตะวันตก ซ่ึงรูปแบบการลักลอบนาเข้าจะมี หลากหลายวธิ แี ตกตา่ งกนั ไป ข้ึนอยูก่ ับสภาพแวดล้อม และมาตรการสกัดกน้ั ปราบปรามของฝา่ ยเจา้ หน้าที่ เช่น การเดินเท้าเป็นขบวนลาเลียงผ่านภูมิประเทศ การลาเลียงโดยเรือท้องถิ่นข้ามแม่น้าโขง และการ ซกุ ซ่อนอาพรางมากับรถบรรทุกสนิ ค้าอปุ โภคบรโิ ภค เป็นต้น นอกจากนี้ยังมียาเสพติดจากนอกภูมิภาคถูกลักลอบนาเข้าประเทศด้วยเช่นกัน โดยเอ็กซ์ตาซี หรือยาอี ถูกลาเลียงจากประเทศแถบยุโรป และโคเคน ถูกลาเลียงมาจากประเทศแถบ อเมริกาใต้ ส่วนใหญ่จะถูกลักลอบนาเข้าผ่านทางท่าอากาศยานนานาชาติ และระบบไปรษณีย์ขนส่ง ระหวา่ งประเทศ ปัจจบุ นั การลกั ลอบนาเข้ายาอี มแี นวโน้มเพม่ิ มากขึ้น ส่วนโคเคน ยงั อย่ใู นสภาวะทรงตวั ๒) การส่งออกยาเสพตดิ ยาเสพติดท่ีผลิตในสามเหล่ียมทองคา ประเภทไอซ์ เฮโรอีน และคีตามีน เป้าหมาย การขนส่งจะเป็นตลาดในประเทศนอกอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขงเป็นส่วนใหญ่ ประเทศไทยจึงอยู่ใน สถานะการเป็นประเทศลาเลียงผ่าน ด้วยความพร้อมทางด้านระบบการคมนาคมขนส่ง และแนวนโยบาย ของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนที่ต้องการให้เกิดความเชื่อมโยงการขนส่งเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การค้า ทาให้กลุ่มการค้าลาเลียงยาเสพติดจากแหล่งผลิตในประเทศเพ่ือนบ้านจานวนมากเข้าไทย และใช้ไทยเป็นฐานการจัดส่งออกไปยังต่างประเทศ ผ่านทางท่าเรือ ท่าอากาศยาน และระบบพัสดุ ไปรษณีย์ระหว่างประเทศ โดยในห้วง ๕ ปีที่ผ่านมา แม้ว่าประเทศไทยจะมีผลการจับกุมยาเสพติด ประเภทไอซ์ คีตามนี และเฮโรอีนเพ่ิมข้ึนอย่างก้าวกระโดด แต่มีเป็นจานวนมากท่ีเป็นการลาเลียงผ่านไทย เพ่ือจะส่งออกตอ่ ไปยงั ตา่ งประเทศ ๓) รปู แบบการลาเลียงยาเสพติด การลาเลียงยาเสพติด จะมีหลากหลายรูปแบบ/วิธีการ ข้ึนอยู่กับศักยภาพของ กลุ่มขบวนการ สภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ และโอกาส โดยการลักลอบลาเลียงยาเสพติดครั้งละ

๒๓ ปริมาณมากจากพ้ืนท่ีชายแดน มักใช้วิธีการลาเลียงด้วยการเดินเท้าโดยกลุ่มบุคคล หรือเรือข้ามืาก แม่น้าโขง นาเข้ามาพักคอยตามหมบู่ ้านเก็บพักยาเสพติดตามแนวชายแดน หลงั จากนั้นจะมกี ลุ่มทร่ี ับช่วง ลาเลียงต่อจากพ้ืนท่ีชายแดนเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ ซ่ึงรูปแบบการลาเลียงที่ส่งผล ต่อสถานการณ์ยาเสพติดอย่างมีนัยสาคัญ ได้แก่ การลาเลียงโดยรถยนต์ส่วนบุคคลเป็นขบวนลาเลยี ง การลาเลียงโดยซุกซ่อนอาพรางไปกับรถบรรทุกพืชผลทางการเกษตรหรือสินค้าอุปโภคบริโภค และการ ลาเลียงผ่านรถยนต์ของบริษัทขนส่งเอกชน ทั้งนี้ การลาเลียงในรูปแบบดังกล่าว สามารถขนส่งยาบ้า ได้คราวละมากกว่า ๑๐ ล้านเม็ดขึ้นไป หรือไอซ์มากกว่า ๑,๐๐๐ กิโลกรัมขึ้นไป ในส่วนการลาเลียง ยาเสพติดที่มีปริมาณไม่มากนัก มักใช้วิธีการซุกซ่อนไปกับสัมภาระ อุปกรณ์เครื่องใช้ ช่องลับ ยานพาหนะ พันไปกบั รา่ งกาย หรอื แมก้ ระทั่งการกลืนเข้าไปในร่างกายของผ้ลู าเลยี ง ๔) กลมุ่ การคา้ ยาเสพตดิ กลุ่มการค้ายาเสพติด หากจาแนกตามกลุ่มบุคคลท่ีเข้าไปเก่ียวข้องและมีบทบาท สาคัญตอ่ วงจรการค้ายาเสพตดิ ในประเทศไทย ได้แก่ (๑) กลุ่มชาติพันธุ์ตามแนวชายแดนหรือกลุ่มการค้าตามแนวชายแดนท่ีมี ความสัมพันธ์เชิงเครือญาติเชื่อมโยงสองประเทศ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์มูเซอ ม้ง อาข่า กลุ่มการค้าไทย- ลาว เปน็ ตน้ (๒) กลุม่ การคา้ ยาเสพตดิ ท้ังทีม่ หี มายจับและไม่มีหมายจบั แต่ได้เขา้ ไปเคลอื่ นไหว จดั หายาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเขา้ ถึงกลมุ่ การผลิตยาเสพติดได้โดยตรง (๓) กลุ่มการค้ายาเสพติดในเรือนจา ต้องโทษคดีอาญาและถูกคุมขังในเรือนจา แต่ยังสามารถสง่ั การคา้ ยาเสพติดผา่ นเครือข่าย/ตัวแทนที่อยู่ภายนอกเรือนจาได้ (๔) กลุ่มผู้มีอิทธิพลในพ้ืนที่ ส่วนใหญ่จะเป็นนักการเมืองท้องถ่ินหรือปกครอง สว่ นท้องที่ (๕) กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งท่ีกระทาผิดเสียเอง หรือช่วยเหลือ อานวยความ สะดวกใหก้ ับนักค้ายาเสพตดิ (๖) กล่มุ การค้าระดับรายย่อยในหมูบ่ ้านชุมชน (๗) กลุ่มการค้ายาเสพติดข้ามชาติท่ีใช้ไทยเป็นฐานเคล่ือนไหวเรื่องยาเสพติด รวมถึงเป็นฐานการือกเงินยาเสพติด เช่น กลุ่มแอืริกันตะวันตก กลุ่มชาวจีน กลุ่มรถจักรยานยนต์ นอกกฎหมายต่างชาติ เปน็ ต้น ๕) การคา้ และการแพร่ระบาดของยาเสพติดในประเทศ ปัญหาการแพร่ระบาดภายในประเทศ ยาบ้า ยังเป็นตัวยาที่แพร่ระบาดมากท่ีสุด รองลงมาคือ ไอซ์ กัญชา และเฮโรอีน ตามลาดับ โดยมีกลุ่มประชากรอายุระหว่าง ๑๘ - ๒๔ ปี ซึ่งเป็น กลุ่มวัยรุ่น เยาวชน มีสัดส่วนเข้าไปเก่ียวข้องกับยาเสพติดมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มประชากร ในวัยทางาน (อายุ ๓๙ ปีข้ึนไป) ท้ังน้ี สภาพสังคมและเศรษฐกิจ มีผลต่อการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด นอกจากนยี้ ังพบว่าเฮโรอีนมีแนวโน้มการแพรร่ ะบาดเพิ่มข้ึน เดก็ และเยาวชนอายุต่ากว่า ๑๕ ปี มีแนวโน้ม เสพกัญชาเพ่ิมข้ึน กลุ่มวัยรุ่นถูกจูงใจให้เข้ามาเก่ียวข้องกับการค้ายาเสพติดมากข้ึน ในส่วนของ กลุ่มอาชีพนั้น พบว่า กลุ่มผู้ใช้แรงงาน มีสัดส่วนการเข้าไปเก่ียวข้องกับยาเสพติดมากที่สุด รองลงมา เป็นกลุ่มรับจา้ ง และกลมุ่ เกษตรกร ตามลาดบั

๒๔ การค้ายาเสพติดผ่านสื่อสังคมออนไลน์มีแนวโน้มเพิ่มข้ึน เน่ืองจากความก้าวหน้า ด้านเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร ได้เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มการค้ายาเสพติดทุกระดับสามารถขยายฐาน การค้า ด้วยการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า และพื้นที่การจาหน่ายได้อย่างไม่มีข้อจากัด นอกจากนี้ สื่อสังคม ออนไลน์ ยงั ถูกใชเ้ ปน็ เครื่องมือของกลุ่มการคา้ ในการชกั จงู ใจ หรือกระตุ้นใหผ้ เู้ กี่ยวข้องกบั ยาเสพติด เข้าร่วมขบวนการ ในลักษณะเป็นตัวแทนจาหน่าย โดยเสนอผลประโยชน์ตอบแทนจานวนมาก ในขณะที่การเข้าถึงเพื่อสืบสวนขยายผลของฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังกระทาได้อย่างยากลาบาก การคา้ ยาเสพติด ผ่านส่ือสังคมออนไลน์จึงขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด ภายในประเทศทวีความรุนแรงข้ึน โดยแหล่งจาหน่ายยาเสพติดในส่ือสังคมออนไลน์ พบอยู่ใน แพลตือร์ม (Platform) ทวิตเตอร์มากท่ีสุด รองลงมาเป็นเืซบุ๊ก (Facebook) ส่วนใหญ่เป็นผู้ค้า ระดบั รายย่อยและรายส่ง มกี ารจาหนา่ ยยาเสพติดมากกว่า ๒ ชนิดขนึ้ ไป โดยทไี่ อซ์ เปน็ ยาเสพติดท่ีมี การจาหนา่ ยในสื่อสังคมออนไลน์มากทส่ี ุด รองลงมาเป็นยาบ้า ยาอี และคีตามีน ตามลาดบั โดยความชุก ของผู้ใช้บัญชีสื่อสังคมออนไลน์จาหน่ายยาเสพติดมักจะอยู่ในพื้นท่ีเมืองใหญ่ของประเทศ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบรุ ี เป็นต้น การขยายตัวและแข่งขันกันทางธุรกิจขนส่งเอกชน ทาให้มีผู้ประกอบการขนส่ง พัสดุไปรษณีย์ภัณฑ์เกิดข้ึนจานวนมาก สอดรับกับความสะดวกในการค้ายาเสพติดผ่านส่ือสังคม ออนไลน์ ซ่ึงเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก กล่าวคือ เม่ือมีการติดต่อซื้อ-ขายผ่านแพลตือร์ม ส่ือสังคมออนไลน์ ผู้ขายจะทาการจัดส่งยาเสพติดผ่านตัวกลาง ซึ่งก็คือ บริษัทขนส่งเอกชน หรือ ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าในลักษณะอ่ืน ไปยังผู้รับปลายทาง ซึ่งถือว่ามีความสะดวกและปลอดภัย จากการตรวจพบของฝ่ายเจ้าหน้าท่ีมากพอสมควร ในขณะท่ีระบบการตรวจสอบคัดกรองพัสดุสินค้า ยังมีช่องโหว่อยู่มาก เน่ืองจากเงื่อนไขการแข่งขันทางธุรกิจเป็นประเด็นสาคัญ รวมถึงการบังคับใช้ กฎหมายเก่ยี วกับสถานประกอบการยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ๒.๒.๔ แนวโน้มสถานการณย์ าเสพติด ปัญหายาเสพติดภายในประเทศจะยังคงรุนแรง โดยเฉพาะปัญหาการลักลอบนาเข้า ซ่ึงถึงแม้จะมีสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด - ๑๙ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มขบวนการผลิต และลาเลียงนอกประเทศอย่างมีนัยสาคัญ กลุ่มขบวนการยังสามารถแสวงหาเส้นทางและวิธีการ ลาเลียงใหม่ได้ ประเทศไทยจึงน่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาการลักลอบนาเข้า และการลาเลียง ยาเสพติดผ่านประเทศไทยไปยังต่างประเทศมากข้ึน โดยแพลตือร์มส่ือสังคมออนไลน์ และระบบ การขนส่งพัสดุไปรษณียภัณฑ์ จะถูกใช้เป็นเคร่ืองมือในกระบวนการค้า/ลาเลียงยาเสพติดมากขึ้น นอกจากน้ี ผลกระทบจากวิกฤติการณ์โรคระบาดและสภาวะเศรษฐกิจ อาจทาให้มีคนบางกลุ่ม ในสงั คมไทยถกู ชกั จงู เข้าสู่วงจรการค้ายาเสพติดมากข้นึ ๒.๓ การบาบดั รักษาผูต้ ิดยาเสพติด การดาเนินการบาบัดรักษาและืน้นืูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด เป็นกระบวนการทางานท่ีเร่ิมต้น ต้ังแต่ค้นหา คัดกรอง บาบัดรักษาและืน้นืูสมรรถภาพ และการติดตามดูแลด้านร่างกาย และสังคม ภายหลังผ่านกระบวนบาบัดรักษา ระบบการบาบัดรักษาตามแนวเดิม ก่อนการประกาศใช้ประมวล กฎหมายยาเสพตดิ ในวนั ที่ ๙ ธนั วาคม ๒๕๖๔ มี ๓ ระบบ ไดแ้ ก่

๒๕ ๒.๓.๑ ระบบสมัครใจ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ กาหนดให้การเสพยาเสพติด เป็นความผิดตามกฎหมาย หากผู้เสพยาเสพติดสมัครใจขอเข้ารับการบาบัดรักษาในสถานพยาบาล ก่อนความผิดจะปรากฏต่อพนักงาน เจ้าหน้าท่ี หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจ หรือเข้ารับการ บาบัดรักษาตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐๘/๒๕๕๗ และปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับเพ่ือควบคุมการบาบัดรักษาและระเบียบวินัยอย่างครบถ้วน จะได้รับการยกเว้นความผิด แต่ไม่ รวมถงึ ความผดิ ที่ได้ทาไปภายหลงั การสมัครใจเข้ารบั การรักษา สถานท่ีท่ีให้การบาบัดรักษาและื้นนืูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด จะต้องข้ึนทะเบียน กบั กระทรวงสาธารณสขุ ใน ๒ รปู แบบ คอื ๑) สถานพยาบาลยาเสพติด คือ โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขที่คณะกรรมการบาบัดรักษาและื้นนืูผู้ติดยาเสพติดกาหนดให้เป็นสถานท่ีทาการ บาบดั รักษาผู้ติดยาเสพติด แบง่ เปน็ ๒ ประเภท คือ สถานพยาบาลที่เป็นหนว่ ยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ กบั สถานพยาบาลตามกฎหมายสถานพยาบาล ๒) สถานื้นนืูสมรรถภาพผ้ตู ิดยาเสพติด คือ สถานพยาบาล สถานืน้นืู หรอื สถานที่อื่น ใดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขท่ีคณะกรรมการบาบัดรักษาและื้นนืูผู้ติดยาเสพติดกาหนดให้ เปน็ สถานทท่ี าการื้นนืูสมรรถภาพผูต้ ิดยาเสพตดิ ปัจจุบันมีสถานพยาบาล และสถานื้นนืูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดท่ัวประเทศ แบ่งเป็นสถานพยาบาลในสังกัดภาครัฐและเอกชน รวม ๑,๑๔๓ แห่ง เป็นสถานพยาบาลในสังกัด กระทรวงสาธารณสุขรวม ๙๑๗ แห่ง นอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจานวน ๑๐๘ แห่ง โรงพยาบาล/ สถานพยาบาล เอกชน คลินิก จานวน ๔๓ แห่ง และเป็นสถานื้นนืูสมรรถภาพของรัฐและเอกชน จานวน ๗๕ แห่ง ๒.๓.๒ ระบบบังคับบาบดั เปน็ การใชก้ ฎหมายบงั คับให้ผู้เสพ ผ้ตู ดิ ยาเสพตดิ เข้ารับการบาบดั รักษาในศูนย์ื้นนืู สมรรถภาพที่จัดตั้งข้ึนตามพระราชบัญญัติืน้นืูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ ภายใต้ หลักการผู้เสพติดเป็นผู้ป่วย ไม่ใช่อาชญากร ต้องได้รับการื้นนืูสมรรถภาพร่างกายและจิตใจให้ กลับคนื ส่สู ภาพปกติ ผู้ป่วยที่เข้ากระบวนการื้นนืูสมรรถภาพตามพระราชบัญญัติื้นนืูสมรรถภาพผู้ติด ยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ จะเข้ารับการื้นนืูสมรรถภาพใน ๒ รูปแบบ คือ รูปแบบไม่ควบคุมตัว กลุ่มนี้ ผู้ป่วยจะได้รับการื้นนืูสมรรถภาพในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร ส่วนผู้ป่วยที่ต้องรับการื้นนืูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว ส่วนหน่ึงจะถูกส่งตัวไปยังศูนย์ืน้นืู สมรรถภาพท่ีได้รับการประกาศตามพระราชบัญญัติื้นนืูสมรรถภาพฯ โดยเป็นหน่วยงานในสังกัด กระทรวงสาธารณสุขจานวน ๒๐ แหง่ และนอกกระทรวงสาธารณสขุ จานวน ๖๕ แหง่ ๒.๓.๓ ระบบต้องโทษ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ที่กระทาความผิดและถูกคุมขัง ต้องเข้ารับการบาบัดรักษา ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย เพ่ือให้ได้รับการบาบัดและื้นนืูสมรรถภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ

๒๖ จิตวิญญาณ และทักษะทางสังคม ภายใต้แนวทางของสาธารณสุข ป้องกันการกลับไปเสพติดซ้า เมอื่ กลบั ไปส่สู ภาพแวดล้อมเดิม หลักการดูแลผู้ติดยาเสพติด จะแบ่งผู้ใช้ยาเสพติดตามระดับความรุนแรงของโรค ออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ใช้ กลุ่มผู้เสพ และผู้ติดท่ีมีภาวะแทรกซ้อน เพื่อใช้ในการกาหนดรูปแบบ และวิธีการรักษา โดยกลุ่มผู้เสพและผู้ติดท่ีมีภาวะแทรกซ้อน จะมีประมาณ ๑๐% กลุ่มนี้มีความ จาเป็นต้องได้รับการดูแลจากสถานพยาบาลที่มีความเช่ียวชาญ ซึ่งแบ่งรูปแบบการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ ออกเป็นผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน ผู้ป่วยจิตเวช หรือผู้ป่วยท่ีเข้ารับการบริการแบบ Harm Reduction ส่วนผู้ป่วยที่เหลือไม่จาเป็นจะต้องเข้าสู่ระบบสถานพยาบาลและสถานื้นนืูยาเสพติด แต่สามารถใช้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล หรือการบาบัดโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community Based Treatment : CBTx) มาใช้ในการจดั การผูป้ ่วยกลมุ่ นี้ ปัจจุบันพบว่า การบาบัดรักษาเกิดปัญหาว่าสถานท่ีบาบัดไม่เพียงพอ เน่ืองจากมีการ สง่ ผู้ป่วยส่วนใหญท่ ี่พบเข้าสูส่ ถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เขา้ ค่าย ปรบั เปล่ียนพฤติกรรม ตามประกาศคณะรักษาความสงบแหง่ ชาติ ฉบับที่ ๑๐๘/๒๕๕๗ หรือนาผปู้ ่วย เขา้ รับการืน้นืสู มรรถภาพตามพระราชบัญญัติืนน้ ืูสมรรถภาพผูต้ ิดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ มากกว่า ใหก้ ารดแู ลผูป้ ว่ ยในชุมชน ๒.๔ สาระสาคญั ประมวลกฎหมายยาเสพติด ๒.๔.๑ กรอบแนวคดิ ประมวลกฎหมายยาเสพติดท่สี าคญั ๑) กรอบนโยบายหรือแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราบและแก้ไขปญั หา ยาเสพตดิ การจดั โครงสรา้ งหรือกลไกการบริหารจดั การยาเสพตดิ ของประเทศ ๒) กรอบนโยบายตัวยาเสพติดและการนาไปใช้เพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์และ ทางเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม ๓) กรอบการมองปัญหาผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติดในมิติของปัญหาด้านสาธารณสุข และสขุ ภาพ มิใชเ่ ปน็ ปัญหาทางอาชญากรรมตามกรอบความคิดดัง้ เดมิ ๔) กรอบนโยบายทางอาญาในการลงโทษผู้กระทาความผิดท่ีได้สัดส่วนและเหมาะสมกับ ความร้ายแรงของการกระทาความผดิ ๕) กรอบการดาเนินการเพื่อทาลายโครงสร้างหรือเครือข่ายการค้ายาเสพติดท่ีสาคัญ มากกว่าการดาเนนิ การกบั กลุ่มแรงงานยาเสพตดิ ๒.๔.๒ ประเดน็ สาคญั ทีม่ ีการปรบั เปลี่ยนเพ่มิ เติมในประมวลกฎหมายยาเสพตดิ ๑) มีนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหา ยาเสพติด เมื่อประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาแล้ว ทกุ หนว่ ยงานทเี่ กี่ยวขอ้ งต้องดาเนนิ การใหส้ อดคล้อง กับนโยบายและแผนระดับชาติดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการรายงานผลการดาเนินงานตามนโยบายและ แผนดังกล่าวประจาปี ตอ่ คณะรฐั มนตรี สภาผแู้ ทนราษฎร และวุฒสิ ภาดว้ ย ๒) ปรับปรุงคณะกรรมการฯ จากเดิม จานวน ๖ คณะ เหลือเพียง ๔ คณะ คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด คณะกรรมการควบคุมยาเสพติด คณะกรรมการ

๒๗ บาบัดรักษาและืน้นืูผู้ติดยาเสพติด และคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน โดยให้มีการดาเนินงาน ท่เี ช่อื มโยงและสอดคล้องกัน ๓) ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จากเดิม มีท้ังส้ิน ๒๒ ราย เป็น ๓๓ ราย มีกรรมการโดยตาแหน่งในหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องจากเดิม ๙ ตาแหน่ง เป็น ๒๒ ตาแหน่ง เพ่ือบูรณาการงานในทุกมาตรการให้สอดคล้องตามนโยบายและแผนระดับชาติ วา่ ด้วยการปอ้ งกนั ปราบปรามและแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ ๔) มีการผ่อนปรนให้ใช้ยาเสพติดประเภท ๕ ในทางการแพทย์และศึกษาวิจัยในทาง วทิ ยาศาสตร์ และประโยชนข์ องราชการ ไปจนถึงเพอื่ ประโยชนใ์ นเชงิ เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ๕) ปรับปรุงบทกาหนดโทษให้มีความเหมาะสมและได้สัดส่วนกับความร้ายแรงของ การกระทาความผิด โดยพิจารณาจากพฤติการณ์ ความร้ายแรงและปัจจัยอื่นที่เก่ียวข้อง เช่น ประวัติ ฐานะ การดารงชีวิต อาชีพฯ ท้ังน้ี ศาลอาจใช้ดุลพินิจให้ใช้มาตรการอ่ืนแทนการลงโทษตาม ความเหมาะสมกับความร้ายแรงของความผิด ๖) ในส่วนการบาบัดรักษา เน้นการดาเนินการทางสาธารณสุขเป็นหลัก ให้ผู้เสพ เป็นผู้ป่วยท่ีต้องได้รับการบาบัดรักษา มีการตรวจคัดกรองความร้ายแรงของการเสพ และส่งเข้ารับ การบาบัดื้นนืูตามอาการอย่างเหมาะสม (ผเู้ สพ/ผ้ตู ดิ /ผปู้ ว่ ย) ไมเ่ น้นการลงโทษทางอาญา ให้โอกาส แก้ไข ชว่ ยเหลอื และใหก้ ารสงเคราะหเ์ พอ่ื ให้สามารถกลับเข้าสสู่ งั คมโดยไม่ไปกระทาความผดิ ซา้ ๒.๔.๓ ประโยชน์ของประมวลกฎหมายยาเสพติด ๑) ด้านการบริหารจัดการ (๑) มีนโยบายและแผนระดับชาติวา่ ด้วยการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหา ยาเสพตดิ เพอ่ื กาหนดแนวทางและเปา้ หมายในการแก้ไขปญั หาใหไ้ ด้อยา่ งแทจ้ ริง (๒) มีโครงสรา้ งการบรหิ ารจัดการยาเสพติดของประเทศให้มีความสัมพันธเ์ ชอื่ มโยง กัน เพื่อให้ส่งผ่านนโยบายระหว่างกลไก ให้สามารถดาเนินการได้อย่างเต็มที่ ได้แก่ (๑) คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รบั ผิดชอบนโยบายยาเสพติดของประเทศ (๒) คณะกรรมการควบคุม ยาเสพติด รับผิดชอบการควบคุมตัวยา (๓) คณะกรรมการบาบัดรักษาและื้นนืูผู้ติดยาเสพติด รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติด และ (๔) คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน รับผิดชอบการดาเนินการตรวจสอบและยึดทรัพย์สนิ (๓) ให้สามารถทดลองหรือทดสอบเก่ียวกับยาเสพติด เพ่ือการศึกษาวิจัยหรือเพื่อ ลดอันตรายจากยาเสพติดได้ เช่น การอนุญาตให้ผลิต เสพหรือครอบครองยาเสพติดบางชนิดได้ ในพ้ืนท่ที ่กี าหนด เป็นต้น ๒) ดา้ นการป้องกันยาเสพตดิ (๑) เน้นการป้องกันยาเสพติดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียน สถานศึกษา ครอบครัว และชุมชน (๒) ส่งเสริมและสนับสนุนการประสานความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาชน เพ่ือให้เกดิ การบรู ณาการในการปอ้ งกนั ยาเสพตดิ (๓) ให้เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเก่ียวกับ ยาเสพติด

๒๘ (๔) กาหนดให้มีมาตรการในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในสถาน ประกอบการบางประเภทซึง่ อาจถกู ใช้ในการกระทาความผิดเกยี่ วกับยาเสพติด ๓) ด้านการปราบปรามบงั คบั ใชก้ ฎหมายและการตรวจสอบทรัพย์สนิ (๑) ให้อานาจในการดาเนินการตอ่ ทรัพย์สินทไ่ี ด้มาจากยาเสพตดิ มากย่งิ ข้ึน โดย - ขยายอานาจการดาเนินการต่อทรัพย์สินคดียาเสพติด ให้ไม่ต้องข้ึนกับ ผลคดีอาญา โดยแม้ว่าศาลจะยกื้องในคดีอาญา ก็ยังสามารถดาเนินการกับทรัพย์สินท่ียึดหรืออายัด ต่อไปได้ - ขยายอานาจการดาเนินการต่อทรัพย์สินตามแนวทางการริบทรัพย์สินตาม มูลค่า (Value - based confiscation) โดยให้สามารถคานวณรายได้จากการค้ายาเสพติดของผู้ต้องหา ว่ามีจานวนเท่าใด และให้สามารถไปยึดหรืออายัดทรัพย์สินอื่นตามมูลค่าของรายได้ที่ได้จากการ กระทาความผิดน้ันได้ - ขยายอานาจการดาเนินการต่อทรัพย์สิน โดยให้สามารถริบทรัพย์สินอื่น ของผกู้ ระทาความผิด เพ่ือทดแทนทรัพยส์ ินที่ศาลส่งั ริบแต่ไม่สามารถติดตามเอาทรัพย์สนิ นนั้ มาได้ (๒) ให้มีการลงโทษผู้รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร หรือยอมให้ผู้ค้ายาเสพติดใช้ช่ือ. จดทะเบียนทาธุรกรรมทางการเงิน ซ้ือสินค้า หรือใช้ซิมการ์ดโทรศัพท์ เพื่อใช้ในการกระทาความผิด เกยี่ วกับยาเสพตดิ ซึ่งทาให้เกดิ ปญั หาในการติดตามเส้นทางการเงินของผกู้ ระทาความผดิ (๓) มีการกาหนดบทลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์และได้สัดส่วนกับ ความร้ายแรงของการกระทาความผิดในแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มนายทุนหรือผู้ส่ังการ กลุ่มแรงงานหรือ ผู้รับจ้างขน และกลุ่มเหย่ือหรือผู้เสพ เน้นการปราบปรามบุคคลท่ีมีบทบาทเป็นหัวหน้า ผู้มีหน้าท่ี สัง่ การ ผู้มีหน้าทจี่ ดั การในเครอื ข่าย ๔) ดา้ นการบาบัดรกั ษาและฟ้นื ฟูสภาพทางสังคม (๑) แก้ไขปัญหาผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติด โดยใช้มิติด้านสาธารณสุขและสุขภาพ ใช้มาตรการในการให้โอกาสกลับตัว ให้การสงเคราะห์และช่วยเหลือ เพื่อให้สามารถอยู่ในสังคมได้ โดยไม่กอ่ ให้เกดิ ปัญหาและไมก่ ลบั ไปเสพซา้ (๒) ปรับระบบบาบัดรักษาผู้เสพยาเสพติดทั้งระบบ จากเดิม ๓ ระบบ คือ ระบบ สมัครใจ ระบบบังคับบาบัด และระบบต้องโทษ มาเป็น ๒ ระบบ คือ ระบบสมัครใจ และระบบ บาบัดรกั ษาโดยอานาจศาล (๓) กระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบหลักในการดาเนินการบาบัดรักษาผู้เสพ หรอื ผตู้ ดิ (๔) ให้มีสถานพยาบาลหรือสถานืน้นืูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ที่เหมาะสมกับ ระดับของการเสพหรอื การติดยาเสพติด (๕) มีศูนย์คัดกรอง จาแนกระดับอาการของการเสพหรือติดยาเสพติด ประเมิน ความรนุ แรงของการติด และส่งตัวไปบาบดั ยังสถานท่ที ่ีเหมาะสม (๖) มีศูนย์ืนน้ ืสู ภาพทางสงั คม เปน็ กลไกชว่ ยเหลือ ใหก้ ารสงเคราะห์แก่ผตู้ ิดและ ผู้ผ่านการบาบัดรักษา เช่น ให้ที่อยู่อาศัยช่ัวคราว อาชีพ การทางาน การศึกษา เงินทุนสงเคราะห์ เพอ่ื ให้สามารถดารงชีวติ อย่ใู นสังคมได้ ไมก่ ลับไปกระทาความผดิ ซ้าอกี

๒๙ ๒.๔.๔ ผลของประมวลกฎหมายยาเสพติดต่อหน่วยงานทีเ่ กยี่ วข้อง ๑) สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสขุ และกรมการแพทย์ - รับผิดชอบกระบวนการบาบัดรักษาผู้เสพผู้ติดยาเสพติด โดยมี “คณะกรรมการ บาบัดรักษาและื้นนืูผู้ติดยาเสพติด” จัดต้ัง “ศูนย์คัดกรอง” กาหนดหลักเกณฑ์การจัดต้ังสถานพยาบาล สถานืน้นืูฯ และหลักเกณฑ์การบาบัดรักษาและืน้น ืผู ู้ตดิ ยาเสพตดิ ๒) สานกั งานคณะกรรมการอาหารและยา - รับผิดชอบการควบคุมและออกใบอนุญาตยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ และ สารระเหย - การกาหนดช่ือยาเสพติดให้โทษ (ยกเว้นประเภท ๓) ต้องได้รับความเห็นชอบ จาก ป.ป.ส. ๓) กรมคมุ ประพฤติ - ยกเลิกพระราชบญั ญัติืน้นืูสมรรถภาพผ้ตู ิดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ แต่ยังคงให้ ดาเนินการต่อผู้ทอ่ี ยรู่ ะหว่างการดาเนนิ การตอ่ ไปจนเสรจ็ - ทาหน้าท่ีสืบเสาะข้อมูล พฤติการณ์ผู้เสพ/ผู้ติด เสนอต่อศาล เพื่อพิจารณา ลงโทษ/สง่ ตัวไปบาบดั รักษา ๔) สานักงานตารวจแหง่ ชาติ - รวบรวมพยานหลักฐานช้นั สืบสวนจับกุมและชั้นสอบสวนเก่ียวกับพฤติการณ์ในการ กระทาความผิด เพอื่ ประกอบการือ้ งคดี การพิจารณาคดแี ละกาหนดโทษ/ริบทรัพย์สนิ ตามมูลคา่ ๕) สานกั งานอยั การสูงสดุ - พนักงานอัยการรับผิดชอบย่ืนื้องและนาสืบพยานในศาล ให้เห็นถึงพฤติการณ์ และความร้ายแรงของการกระทาความผิด/การให้ข้อมูลที่สาคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการ ปราบปรามผกู้ ระทาความผดิ เกย่ี วกับยาเสพติด - พนักงานอัยการรับผิดชอบในการบังคับโทษปรับแก่ผู้ต้องโทษปรับ โดยให้ เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. อานวยความสะดวกหรอื ให้ความช่วยเหลือ ๖) ศาลยุติธรรม - พิจารณากาหนดโทษตามพฤติการณ์และความร้ายแรง ข้อเท็จจริงเก่ียวกับ ตัวผู้กระทาความผิด ใช้ดุลพินิจลงโทษอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนกับความร้ายแรงของการกระทา ความผิด - มีอานาจส่งตัวผู้เสพ/ครอบครองเพื่อเสพ ไปเข้ารับการบาบัดฯ แทนการลงโทษ จาคุก ใชว้ ธิ กี ารเพื่อความปลอดภยั /กาหนดเง่อื นไขการคุมประพฤติ ๗) กรมราชทณั ฑ์ - ศาลกาหนดโทษตามความเหมาะสมและไดส้ ัดส่วนกับความร้ายแรงฯ ผตู้ ้องโทษ ไดร้ บั การลงโทษทีม่ แี นวโน้มลดลง อาจทาให้จานวนผ้ตู อ้ งขงั ในเรอื นจาลดลง - ผ้ตู ้องขงั บางสว่ นอาจไดร้ ับประโยชนจ์ ากการแก้ไขบทกาหนดโทษและอาจได้รับ การปลอ่ ยตัว

๓๐ ๘) กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร - จดั ตง้ั ศูนย์ืนน้ ืสู ภาพทางสังคม ๙) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงสาธารณสขุ และสานกั งาน ป.ป.ส. - สนับสนุนและช่วยเหลือ การดาเนินการของกระทรวงมหาดไทย และ กรุงเทพมหานคร เกยี่ วกับการประกอบอาชีพ การศึกษา การตดิ ตามดูแลปัญหาด้านสุขภาพ และการ ให้การสงเคราะห์อื่น ๆ ๑๐) ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรชุมชน หรือองคก์ รอื่น - ให้ความร่วมมือหรือความตกลงเพ่ือรับส่งต่อการืน้นืูสภาพทางสังคมจาก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงสาธารณสุข หรือกรุงเทพมหานคร ๑๑) สานกั งาน ป.ป.ส. - จัดทานโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไข ปัญหายาเสพติด ทบทวนทุก ๕ ปี - รายงานผลการดาเนินการเก่ียวกับการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหา ยาเสพติด การตรวจสอบทรัพย์สิน การบาบัดรักษาและื้นนืูผู้ติดยาเสพติดต่อคณะรัฐมนตรี ปีละ ๑ คร้ัง และให้คณะรฐั มนตรี เสนอรายงานพรอ้ มข้อสงั เกตของคณะรฐั มนตรตี อ่ สภาผแู้ ทนราษฎรและวุฒสิ ภา - บูรณาการความเช่ือมโยงกลไกควบคุมและกากับดูแลการแก้ไขปัญหายาเสพตดิ คณะกรรมการ ป.ป.ส. คณะกรรมการควบคุมยาเสพติด คณะกรรมการบาบัดรักษาและืน้นืูผู้ติด ยาเสพติด และคณะกรรมการตรวจสอบทรัพยส์ ิน - ตรวจสอบยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เก่ียวเนื่องกับการกระทาความผิดเก่ียวกับ ยาเสพติดและการรวบรวมพยานหลกั ฐานเพือ่ การริบทรัพยส์ ินตามมลู คา่ - สร้างความเช่ือมโยงระบบขอ้ มูลดา้ นการปราบปราม/บาบดั /รบิ ทรัพยส์ ิน - เจา้ พนักงาน ป.ป.ส. อานวยความสะดวกหรือให้ความช่วยเหลือพนักงานอัยการ ในการดาเนินการบังคับโทษปรับ

บทที่ ๓ ผลการศกึ ษา ในการศกึ ษาของคณะกรรมาธกิ ารวิสามญั พิจารณาศึกษาปัญหายาเสพตดิ แนวทางการจัดตั้ง ศูนย์บาบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ จะนาเสนอผลการศึกษา ตามประเดน็ ท่ไี ดม้ ีการพจิ ารณาศึกษา ดังน้ี ๓.๑ ผลการศึกษาดา้ นการป้องกันและสร้างภูมิคมุ้ กันยาเสพติด ๓.๒ ผลการศกึ ษาด้านการปราบปรามยาเสพตดิ และการบงั คับใช้กฎหมาย ๓.๓ ผลการศกึ ษาดา้ นการบาบัดรกั ษาและฟืน้ ฟูสมรรถภาพผตู้ ิดยาเสพติด ๓.๑ ผลการศึกษาด้านการปอ้ งกันและสร้างภูมคิ ุ้มกนั ยาเสพติด รายงานผลการศึกษาการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติด ในกลุ่มเยาวชนอายุ ๑๒ - ๒๔ ปี ในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) ศึกษาสถานการณ์ปัญหา ยาเสพตดิ ในกลุ่มเยาวชน อายุ ๑๒ - ๒๔ ปี ในประเทศไทย (๒) ศกึ ษาผลกระทบจากปัญหายาเสพติด ในการดาเนินงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติด ท่ีดาเนินงานโดยหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง และ (๓) ศึกษาแนวทางการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติด กล่มุ เยาวชนอายุ ๑๒ - ๒๔ ปี ในประเทศไทย ๓.๑.๑ ผลการศึกษาสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในกลุ่มเยาวชน อายุ ๑๒ - ๒๔ ปี กัญชายังเป็นยาเสพติดที่วัยรุ่นนิยมใช้มากท่ีสุดทั่วโลก คาดว่ามีประมาณ ๑๓ ล้านคน โดยมีกลุ่มนักเรยี นอายุ ๑๕ - ๑๖ ปี ใชก้ ัญชาประมาณ ๑๑.๖ ล้านคน คิดเปน็ ร้อยละ ๔.๗ ของประชากร โลกในกลุ่มอายุน้ี นอกจากน้ียังมีการใช้สารกระตุ้นประสาท (Stimulant) เพ่ิมมากขึ้น สารกระตุ้น ประสาทซ่งึ เปน็ ทีน่ ยิ มหลัก ๆ คือ โคเคน (Cocaine) และเมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) จากรายงานผลการสารวจครัวเรือนเพ่ือประมาณการจานวนผู้ใช้สารเสพติดในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเครือข่ายพัฒนาวิชาการและข้อมูลสารเสพติดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัย ขอนแก่น (มานพ คณะโต และคณะ, ๒๕๖๒) พบวา่ ประชากรไทยอายุ ๑๒ - ๖๕ ปี มีผเู้ คยใช้สารเสพติด ๓.๗๕ ล้านคน คิดเป็นร้อยละ ๗.๔๖ ของประชากรท้ังหมด และพบว่าเยาวชนกลุ่มอายุ ๑๒ - ๒๔ ปี ที่มี โอกาสเกยี่ วข้องกับยาเสพติดอยู่สงู ถงึ ร้อยละ ๑๘ หรือประมาณ ๒ ลา้ นคน ขณะที่ยาเสพติดทีเ่ ยาวชนเข้า ไปเกย่ี วข้องมากทสี่ ุด ไดแ้ ก่ ยาบ้า ส่วนไอซ์ และเฮโรอีน มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น การใชย้ าเสพติดตั้งแต่ สองชนิดข้ึนไป เช่น กระท่อม/น้าต้มใบกระท่อมร่วมกับยาแก้ไอ กัญชาร่วมกับเคตามีน/ทรามาดอล/ เหล้า ยาบ้าร่วมกับไอซ์ อีกท้ังยังพบการใช้ยาเสพติดต้ังแต่สองชนิดข้ึนไปเพ่ิมขึ้นร้อยละ ๗.๒๓ เป็นต้น โดยยาเสพติดท่ีมีการแพร่ระบาดมากที่สุดคือยาบ้า ร้อยละ ๗๒.๒ รองลงมาคือไอซ์ ร้อยละ ๘.๖ เฮโรอีน ร้อยละ ๕.๗ กัญชา ร้อยละ ๔.๕ และตัวยาอ่ืน ๆ ร้อยละ ๙ ตามลาดับ ดังนั้นจะเห็นว่ายาบ้าคือตัวยา หลักของการแพร่ระบาดในกลุ่มเยาวชนที่มีอายุต่ากว่า ๒๕ ปี ขณะท่ีการใช้เฮโรอีนและ เคตามีนมีแนวโน้มเพ่ิมสูงขึ้น โดยใช้รว่ มกับกญั ชา ยาบา้ ยาอี ไอซ์ และสรุ า อีกทัง้ การจาหน่ายยาเสพติด ในโลกออนไลน์มีแนวโน้มเพ่ิมข้ึน โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ทาให้เยาวชนที่ขาด ภมู คิ มุ้ กันทางใจและขาดการตระหนักรถู้ ึงอันตราย จึงเข้าถงึ สารเสพติดได้ง่ายข้ึน

๓๒ จากรายงานผลการดาเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพตดิ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยสานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม ได้รายงาน สถานการณ์ยาเสพติดจากข้อมูลจากระบบการบาบัดรักษายาเสพติด (บสย.) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ มผี เู้ ข้ารบั การบาบัดรักษายาเสพติด ๑๕๕,๕๐๐ ราย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ มผี ู้เข้ารบั การบาบัดรักษา ยาเสพติด ๒๑๒,๖๔๖ ราย ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเพศชาย ร้อยละ ๘๙.๖๖ เม่ือพิจารณากลุ่มอายุของผู้เข้า บาบัดทง้ั หมด สว่ นใหญ่กลุม่ อายุ ๒๕ – ๒๙ ปี รอ้ ยละ ๑๘.๒๔ รองลงมาคือกลุ่มอายุ ๒๐ – ๒๔ ปี ร้อยละ ๑๗.๐๑ กลุ่มอายุ ๓๐ – ๓๔ ปี ร้อยละ ๑๕.๒๙ และกลุ่มอายุ ๓๕ – ๓๙ ปี ร้อยละ ๑๓.๗๘ ผู้เข้า บาบัดรักษาส่วนใหญ่เป็นผู้เสพ ร้อยละ ๖๓.๖๑ รองลงมาคือผู้ติด ร้อยละ ๓๑.๙๙ และผู้ใช้ ร้อยละ ๔.๔๐ ซึ่งประเภทยาเสพติดท่ีมีการแพร่ระบาดมากท่ีสุดคือยาบ้า ร้อยละ ๗๙.๒ รองลงมาคือไอซ์ ร้อยละ ๘.๓ กัญชา ร้อยละ ๔.๔ และเฮโรอีน ร้อยละ ๓.๓ สาหรับยาเสพติดท่ีต้องเฝ้าระวังคือไอซ์ท่ีพบการ แพร่ระบาดเพิ่มข้ึน และเฮโรอีนที่พบการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในบางพื้นท่ี เช่น กรุงเทพมหานคร และจังหวัดกาญจนบรุ ี นอกจากน้ียังเริ่มพบการใชย้ าเสพติดและวัตถุออกฤทธ์ิต่อจติ และประสาทแบบผสมหลายชนิด (Drugs Cocktail) ในกลมุ่ เด็กและเยาวชนมากขน้ึ กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทาระบบดูแลและติดตามการใช้สารเสพติดในสถานศึกษา (CATAS System ; Care And Trace Addiction in School System ) ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๖๓ พบการแยกกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เป็นแบบกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง กลุ่มใช้ กลุ่มเสพ กลุ่มติด และกลุ่มค้า โดยพบว่ากลุ่มใช้มีจานวนลดลง ขณะที่กลุ่มเสพและกลุ่มติดมีจานวนเพ่ิมขึ้นในแต่ละปี จากการรายงานข้อมูลของ CATAS พบว่า เด็กและเยาวชนในระบบการศึกษา มีการสูบบุหรี่สัดส่วน มากกว่าการด่ืมสุรา ทั้งน้ี ในส่วนของยาเสพติด พบว่า ยาบ้ายังมีสัดส่วนการเสพมากที่สุดร้อยละ ๖๑.๕๘ รองลงมาคือกญั ชา รอ้ ยละ ๓๑.๘๑ กระท่อม ร้อยละ ๔.๓๒ และไอซ์ รอ้ ยละ ๑.๗ ตามลาดับ และพบการใช้ยาในทางที่ผิด คือ ทรามาดอล และโปรโคดิล เม่ือพิจารณาภาพรวมจะเห็นว่า ยาเสพติด ท่ีเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องมากที่สุด ได้แก่ ยาบ้า ส่วนไอซ์ และเฮโรอีน มีการแพร่ระบาดเพ่ิมขึ้น ทั้งน้ี กลุ่มเส่ียงต่อการใช้ยาเสพติดผิดกฎหมายที่ควรเฝ้าระวังอย่างย่ิงอยู่ในช่วงกลุ่มเยาวชน ๑๒ - ๒๔ ปี ท่ีใช้เหล้า บุหร่ี ส่วนยาบ้ายังคงเป็นปัญหาหลัก ส่วนไอซ์ กัญชา และเฮโรอีน ยังน่าเป็นห่วง ซึ่งเม่ือ เทยี บกบั การสารวจวจิ ัยของมานพ คณะโต และคณะ (มานพ คณะโต และคณะ, ๒๕๖๒) พบวา่ มีการ ใช้ยาเพิ่มขึ้นถึง ๑.๒ เท่า หรือมีอัตราเพ่ิม เฉล่ียปีละกว่า ๒๕๐,๐๐๐ คน และมีผู้ใช้สารเสพติดสะสม เพ่มิ ขึ้นในทุกภมู ิภาค และมีความหนาแน่นมากในชมุ ชนเขตเมอื งในทกุ ภูมิภาค นอกจากน้ียังสอดคล้องกับกระทรวงสาธารณสุขท่ีมีระบบข้อมูลบันทึกรายงานการ บาบัดรักษาและฟ้ืนฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (บสต.) ของศูนย์อานวยการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด (ข้อมูล ณ วันท่ี ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓) มีผู้รับการบาบัดรักษายาเสพติดเป็นกลุ่มยาบ้า มากทสี่ ุด รอ้ ยละ ๗๘.๘๙ รองลงมาคือไอซ์ ร้อยละ ๙.๘ กญั ชา ร้อยละ ๔.๙ และเฮโรอนี ร้อยละ ๒.๓ เม่อื พจิ ารณาชว่ งอายผุ ทู้ ใ่ี ช้ยาเสพติดคร้งั แรก พบว่าสว่ นใหญใ่ ช้ยาในชว่ งอายุ ๑๕ - ๑๙ ปี คดิ เปน็ ร้อย ละ ๔๔.๓๕ อายุ ๒๐ - ๒๔ ปี คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๒๙ และน้อยกว่า ๑๕ ปี คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๑๘ โดยสามารถจาแนกประเดน็ ปญั หาการแพร่ระบาดสารเสพตดิ แตล่ ะชนดิ ในเยาวชนไทย ดงั น้ี ยาบ้า จากรายงานระบบข้อมูลการบาบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓) ระบุว่ายาบ้าเป็นตัวยาท่ีเด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องมากท่ีสุด

๓๓ โดยเยาวชนที่มีอายุต่ากว่า ๒๔ ปี เข้ารับการบาบัดถึงร้อยละ ๒๔.๙ และเป็นผู้เสพมากกว่าผู้ติด พ้ืนท่ีที่ เยาวชนบาบัดมากทส่ี ุดคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รอ้ ยละ ๕๕ (จงั หวัดอุดรธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ขอนแก่น ตามลาดับ) ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร ตามลาดับ ซึ่งการแพร่ระบาดส่วนใหญ่สัมพันธ์กับการลักลอบนาเข้ายาบ้าที่พบมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนอื กระจายไปในพนื้ ที่ตา่ ง ๆ เช่น ภาคใต้ กัญชา จากรายงานผลการศึกษาการตลาดและการกระทาความผิดท่ีเก่ียวข้องกับ สารเสพติดบนโลกอินเทอร์เน็ต พบการจาหน่ายกัญชาบนอินเทอร์เน็ตมากเป็นลาดับที่สองรองลงมา จากไอซ์ (กนิษฐา ไทยกล้า และชัยสิริ อังกุระวรานนท์, ๒๕๖๓) และจากรายงานระบบข้อมูลการ บาบัดรักษาและฟนื้ ฟูผู้ตดิ ยาเสพติดของประเทศ (ขอ้ มลู ณ วันที่ ๒๘ กนั ยายน ๒๕๖๓) มผี ู้เข้ารับการ บาบัดกัญชาท่ีอายุต่ากว่า ๒๕ ปี จานวน ๔,๙๖๘ คน ซึ่งลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่มี ผู้เข้ารับการบาบัด จานวน ๑๑,๘๐๑ คน เป็นผู้เสพมากกว่าผู้ติด พื้นที่ท่ีมีผู้เข้าบาบัดมากที่สุด ได้แก่ จงั หวดั นครราชสีมา กรุงเทพมหานคร สมทุ รปราการ ชลบรุ ี สระแกว้ ตามลาดบั ดงั นนั้ การสรา้ งความ ตระหนักรแู้ ละความเขา้ ใจเกย่ี วกบั นโยบายกญั ชาทางการแพทยจ์ ึงมีความจาเปน็ อยา่ งย่ิง ไอซ์ จากรายงานระบบข้อมูลการบาบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (ข้อมูล ณ วนั ท่ี ๒๘ กนั ยายน ๒๕๖๓) พบผู้เข้ารับการบาบดั ไอซท์ ่ีอายตุ ่ากวา่ ๒๕ ปี ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ คิดเป็นร้อยละ ๘.๔๓ ซึ่งเพ่ิมขึ้นจากปี ๒๕๖๒ ที่บาบัดร้อยละ ๔.๗๗ และเป็นผู้เสพ มากกว่าผู้ติด นอกจากน้ียังพบรายงานที่น่าสนใจว่า กลุ่มผู้ที่ใช้ยาไอซ์ส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยนไปใช้ ยาเสพติดชนิดอ่ืน แต่คนที่ใช้ยาชนิดอ่ืนจะเปลี่ยนมาใช้ยาไอซ์ และยังพบว่าราคาขายไอซ์ลดลง แม้ว่า จะมีความบริสุทธ์ิเท่าเดิม ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทาให้เกิดการแพร่ระบาด พื้นที่ที่มีการระบาดสูงมักเป็น พ้ืนท่เี ขตเมอื ง ลกั ษณะเมืองใหญ่ มีความเจริญหรอื มีแหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว พนื้ ที่ที่ผ้บู าบดั รักษามากท่สี ดุ คือ จังหวัดชลบุรี สงขลา จันทบรุ ี สุราษฎร์ธานี สระแก้ว ตามลาดบั เฮโรอนี จากรายงานระบบข้อมูลการบาบัดรักษาและฟืน้ ฟผู ู้ตดิ ยาเสพติดของประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓) พบการใช้เฮโรอีนมีแนวโน้มเพ่ิมขึ้นตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในกล่มุ เด็กและเยาวชนในภาพรวมพบมีผู้เข้ารบั การบาบัดเฮโรอนี ที่อายตุ ่ากว่า ๒๕ ปี จานวน ๑,๒๕๗ คน คดิ เปน็ ร้อยละ ๒.๑๔ ซง่ึ เพ่ิมขนึ้ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ร้อยละ ๑.๑๒) และเป็น ผู้ติดมากกว่าผู้เสพ นอกจากนี้ยังพบว่ามีการใช้เฮโรอีนโดยวิธีสูบร่วมกับกัญชาหรือบุหร่ี ท้ังนี้ สาเหตุ ท่ีใช้เฮโรอีนเพราะเชื่อในคาแนะนาว่าผงสีขาวท่ีซื้อมาท่ีเรียกว่า “แป๊ะ” จะช่วยลดอาการปวดตามตวั รวมท้ังอยากเลิกยาทรามาดอล และอยากลองของใหม่ แต่ไม่ทราบว่าตัวยาน้ีคือเฮโรอีน และเชื่อว่า เสพแล้วตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะไม่พบ รวมถึงความต้องการฤทธิ์ของยาเพ่ือทดแทนกลุ่มตัวยาเดิม ซึ่งส่วนใหญ่มีประวัติเคยใช้ยาเสพติดและการใช้ยาในทางที่ผิด เช่น โปรโคดิล ทรามาดอล น้าต้ม กระท่อม เป็นต้น อย่างไรกต็ าม การใชเ้ ฮโรอีนโดยวิธีการฉดี มีแนวโนม้ ลดลง แตว่ ธิ กี ารเสพโดยการสูบ มแี นวโนม้ เพม่ิ สูงขน้ึ - สานักงาน ป.ป.ส. ภาค ๗ เม่ือเดือนมกราคม ๒๕๖๓ พบว่ากลุ่มเยาวชน (อายุ ๑๘ - ๒๔ ปี) จังหวัดนครปฐม ราชบุรี และกาญจนบุรี มีเยาวชนเสพเฮโรอีน โดยในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ใชเ้ ฮโรอนี โดยวธิ สี บู รว่ มกบั กญั ชาหรอื บุหรี่

๓๔ - สานักงาน ป.ป.ส. ภาค ๕ พบว่า ผู้เสพเฮโรอีนจะพบมากในกลุ่มชนเผ่า แต่ใน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๓ พบว่ามกี ารระบาดในกล่มุ เยาวชนช่วงอายุ ๒๐ - ๒๔ ปมี ากข้ึน - พน้ื ที่ ๓ จังหวดั ภาคใต้ คอื จงั หวัดนราธวิ าส (อาเภอสุไหงโกลก อาเภอเมือง อาเภอ ตากใบ อาเภอแว้ง อาเภอสุไหงปาดี) จังหวัดสงขลา (อาเภอจะนะ อาเภอเทพา) จังหวัดปัตตานี (อาเภอปะนาเระ อาเภอเมอื ง อาเภอสายบุรี อาเภอยะหริง่ อาเภอหนองจกิ ) จากขอ้ มูลการจบั กุมและ การข่าวพบวา่ กลุ่มวัยรุน่ เริ่มหันมาใช้เฮโรอนี เพิ่มขนึ้ โดยโรยหนา้ ยาบ้า กญั ชา ไอซ์ และบหุ ร่ี - พ้ืนที่กรุงเทพมหานคร ก่อนปี ๒๕๕๗ ผู้เสพส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุมากกว่า ๒๕ ปี (สูงกว่าร้อยละ ๘๐) ต่อมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ พบเด็กและเยาวชนเข้ามารับการบาบัดรักษาเพิ่มมากขึ้น ตอ่ เน่อื ง เนอื่ งจากราคาทส่ี ามารถเขา้ ถึงและหาซอื้ ไดง้ ่าย (มกี ารแบ่งจาหนา่ ยเปน็ ถุงเลก็ /ตกั /ห่อ) กระท่อม จากรายงานผลการสารวจครัวเรือนเพ่ือคาดประมาณจานวนประชากรผ้ใู ช้ สารเสพติดของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๒ พบกลุ่มผู้ท่ีมีอายุ ๑๒ - ๒๔ ปี ใช้กระท่อมและน้าต้ม กระท่อมมากท่ีสุดในกลุ่มติด หรือใช้อย่างน้อย ๒๐ วัน ใน ๓๐ วัน จานวน ๕๗,๗๕๑ คน ซึ่งใกล้เคียง กับการใช้ยาบ้า ๕๕,๔๗๕ คน และกัญชา ๓๗,๓๐๘ คน และเมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๙ เฉพาะผู้ใช้ กระท่อมพบว่าเพ่ิมขึ้นร้อยละ ๓.๗๓ โดยพื้นที่ภาคใต้มีผู้ใช้กระท่อมและน้าต้มกระท่อมมากกว่าผู้ใช้ ยาบ้า (มานพ คณะโต และคณะ, ๒๕๖๒) และจากรายงานระบบข้อมูลการบาบัดรักษาและฟ้ืนฟูผู้ติด ยาเสพติดของประเทศ (ข้อมูล ณ วันท่ี ๑๑ มกราคม ๒๕๖๔) พบว่า ผู้เข้ารับการบาบัดกระท่อมใน กลุ่มเด็กและเยาวชนมีแนวโน้มลดลงต้ังแต่ปี ๒๕๖๑ และเป็นผู้เสพมากกว่าผู้ติด แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็น เพศชาย ร้อยละ ๙๗.๑๖ แต่พบว่าเพศหญิงใช้กระท่อมเพิ่มขึ้น ส่ิงเสพติดที่น่าเป็นห่วงยังคงเป็นน้าต้ม ใบกระท่อม หรือใช้ร่วมกับสารเสพติดชนิดอื่น ซึ่งจะทาให้มีพิษเพ่ิมมากข้ึน โดยเด็กและเยาวชนเพียง อยากลองปรับเปลี่ยนสูตรผสมของน้าต้มใบกระท่อม เพื่อให้เกิดการออกฤทธิ์ตามที่ตนประสงค์ หลากหลายขึ้น เช่น ผสมเคตามีน เหล้า ยาแก้แพ้ ซ่ึงมีความเข้าใจว่าใช้พืชกระท่อมไม่เป็นความผิด และเชอื่ ว่าการกระทาเช่นนน้ั ยังสามารถร้สู กึ ตวั และควบคมุ ตวั เองได้ ยาอี ยาเลิฟ จากรายงานผลการสารวจครัวเรือนเพ่ือคาดประมาณจานวนประชากร ผใู้ ชส้ ารเสพตดิ ของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๒ เม่อื เทยี บกับปี ๒๕๕๙ พบวา่ ผู้ท่ใี ช้ยาอีมีจานวนเพ่ิมข้ึน ในทุกภูมิภาค ทั้งในและนอกเขตเทศบาล โดยภาคใต้มีจานวนเพ่ิมขึ้นสูงถึง ๒๘๓.๕๙ เท่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มขึ้น ๘.๐๒ เท่า กรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น ๗.๒๗ เท่า ภาคกลางเพิ่มขึ้น ๕.๔๗ เท่า และภาคเหนือเพมิ่ ขน้ึ ๓.๓๖ เท่า ตามลาดับ ยาเค จากรายงานผลการสารวจครัวเรือนเพื่อคาดประมาณจานวนประชากรผู้ใช้ สารเสพติดของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๒ เม่ือเทียบกับปี ๒๕๕๙ พบว่าผู้ที่ใช้ยาเค มีจานวนเพิ่มขึ้น ในทุกภูมิภาค โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจานวนเพ่ิมขึ้นสูงถึง ๗.๙๔ เท่า ภาคกลางเพิ่มขึ้น ๓.๕ เท่า ภาคใต้เพ่ิมขึ้น ๓.๑๓ เท่า กรุงเทพมหานครเพิ่มข้ึน ๓.๐๓ เท่า และภาคเหนือเพ่ิมขึ้น ๒.๒๕ เท่า ตามลาดบั และส่วนใหญ่เป็นเมืองใหญ่ ท้งั ในและนอกเขตเทศบาล โดยนิยมใชใ้ นหมูน่ ักเท่ยี วกลางคืน เพอื่ ความบันเทงิ ทั้งในพืน้ ท่กี รุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคเหนอื และภาคใต้

๓๕ ผลการวิเคราะห์การศึกษาสถานการณ์ของปัญหายาเสพติดในกลุ่มเยาวชนไทย พบปัจจัยท่ีเอ้ือใหเ้ กิดผลดงั กลา่ วขา้ งต้น สามารถสรุปไดด้ งั น้ี ๑) การกระจายยาเสพติดหลากหลายช่องทางทาใหเ้ ยาวชนเขา้ ถงึ สารเสพติดไดง้ ่ายขึ้น - เทคโนโลยีอุปกรณ์ส่ือสารก้าวหน้ารวดเร็วและการเข้าสู่สังคมดิจิทัล เนื่องจาก กลุม่ นกั เรยี น นักศึกษา ใช้อินเทอร์เนต็ มากขน้ึ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในช่วงของการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-๑๙ ทาใหม้ ีโอกาสพบสง่ิ กระต้นุ ออนไลนจ์ ากผู้ค้า นอกจากน้เี ด็กและเยาวชนขาดการผ่อนคลาย นอกบ้าน ทาให้เกิดความเครียดสะสม จึงง่ายต่อการตอบสนองสิ่งเร้าใกล้ตัวต่าง ๆ ทาให้ผู้บริโภคเริ่ม เปล่ียนพฤตกิ รรมดาเนินชีวติ และทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ผา่ นทางออนไลน์มากข้นึ - การจาหน่ายยาเสพติดและการขนส่งโดยการบริการขนส่งเอกชนท่ีรวดเร็ว กระทา ได้ง่ายและหลากหลายรูปแบบในโลกเทคโนโลยีด้านการติดต่อออนไลน์เพิ่มข้ึน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้า ยาเสพติด ได้ใช้ช่องทางออนไลน์ควบคู่กับการส่งยาเสพติดทางพัสดุไปรษณีย์ในการกระจายยาเสพติด ไปสู่กลุ่มผู้เสพในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และรูปแบบการชาระเงินสะดวกมากข้ึน สานักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สานกั งาน ป.ป.ส.) พบรายงานการเข้าถึงยาเสพติดของ เยาวชนผ่านโลกออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงช่วงการระบาดของโควิด-๑๙ สถานการณ์การแพร่ระบาด ปัญหายาเสพติด ๒๕๖๓ มีแนวโน้มเพิ่มข้ึน ปรากฏในรายงานการตลาดสารเสพติดบนโลกอินเทอร์เน็ต ประเทศไทย ณ เดือนตุลาคม ๒๕๖๓ พบว่าคนขายปรับรูปแบบการขายด้วยกลไกการซื้อขายผ่าน เครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยส่วนใหญ่ขายยาเสพติดเพียงชนิดเดียว ร้อยละ ๖๕.๘ ตัวยาเด่ียวท่ีลักลอบ จาหน่ายมากท่ีสุดคือไอซ์ ร้อยละ ๕๒.๗ กัญชา ร้อยละ ๒๕.๐ ใบกระท่อมและน้าต้มกระท่อม ร้อยละ ๓.๒ ยังพบวา่ มีการโพสต์ขายยารักษาโรค เช่น ทรามาดอล ยาแก้ไอ คอนดักส์ โรเซ่ โปรมาทาซิน อัลปรา โซแลม พรีนาร์ฟิว ท้ังน้ี ยาเสพติดมีแนวโน้มราคาลดลง ส่งผลต่อการจาหน่ายและการใช้ยาที่กระจาย ในวงกว้างเพ่ิมข้ึน รวมทั้งมีการขายยาเสพติดร่วมกับของท่ีขายอื่น ๆ เช่น ปืนเถ่ือน อุปกรณ์เสพไอซ์ และขายบริการทางเพศ ส่วนราคายาเสพติดเฉลี่ยที่ขายบนส่ือสังคมออนไลน์แต่ละชนิดมีแนวโน้มสูงข้ึน อย่างเห็นไดช้ ัด ๒) เด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงท่ีมีอายุต่ากว่า ๒๕ ปี เร่ิมใช้เหล้า บุหร่ี ยาแก้ปวด และอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้น ทาให้ขาดภูมิคุ้มกันทางใจ และขาดการตระหนักรู้ถึงอันตรายและขาด การประเมินสมรรถนะการแก้ปัญหาสารเสพติดรอบด้าน การรู้ไม่เท่าทันและความเข้าใจท่ีผดิ ของเด็ก และเยาวชนในประเด็นการนาพืชเสพติดมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์หรือกฎหมายยาเสพติด ท้ังนี้ สาเหตุท่ีเกิดจากภายในจิตใจเด็ก เช่น ความคิด ความเชื่อ ความรู้ ทัศนคติ ค่านิยม ทักษะในการใช้ชีวิต โดยเด็กและเยาวชนบางส่วนมีทัศนคติ ความเช่ือ ค่านิยมที่ผิดเก่ียวกับการใช้ยาเสพติดหรือเจตคติ ทางบวกต่อการใช้สารเสพติดในลักษณะที่ใช้เป็นข้ออ้างให้กับตนเอง เพื่อให้ได้ใช้ยาเสพติดได้โดยที่ ตนเองไมร่ ู้สกึ วา่ เปน็ ความผิด ส่วนสาเหตุมาจากสิ่งเร้าของส่ิงแวดล้อมภายนอก เช่น ปัจจัยสิ่งแวดล้อมในสังคม ท่ีมีอิทธิพล ชุมชน สถานศึกษา กลุ่มเพื่อน ครอบครัว รวมถึงสภาพเศรษฐกิจ การว่างงานและ ความเครียด ท่ีส่งผลให้ใช้ยาเสพติดเพ่ิมขึ้น และอาจส่งผลให้ค้ายา เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อ (media) ท่ีทันสมัยรวดเร็ว เน้ือหาสั้นเฉพาะส่วนท่ีกระตุ้นความสนใจ ไม่ได้มีการอธิบาย ความหมายหรอื ข้อเท็จจริงทชี่ ัดเจน ทาให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย รวมท้ังการสื่อสารใช้ยา ในทางท่ีผิดในโลกออนไลน์ การติดต่อส่ือสารระหว่างกลุ่มท่ีก่อให้เกิดการลอกเลียนแบบพฤติกรรม

๓๖ เกิดการเรียนรู้ในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมหรือการปรับมาใช้สารท่ีออกฤทธ์ิต่อจิตประสาทมากกว่า ท่ีจะใช้ยาเสพติดท่ีผิดกฎหมาย การซ้ือและจาหน่ายยาเสพติดออนไลน์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ของเจ้าหน้าท่ี ส่วนสาเหตุจูงใจในการเริ่มต้นนายาทางการแพทย์มาใช้ในทางที่ผิด คือ ความอยากรู้ อยากลอง มีเพ่ือนรุ่นพ่ีชักชวน เห็นข้อมูลจากส่ือออนไลน์ หรือติดใจในการออกฤทธิ์ รสชาติ รู้สึกเมา เคลิ้มสุข และเข้าใจว่าไม่น่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายรุนแรงเหมือนสารเสพติดอื่น หรือมีการส่งต่อ ขอ้ มูลในกลุ่มวา่ เป็นยาทางการแพทย์ ใช้ได้ไม่ผิดกฎหมาย ๓) ยาบ้าคือตัวยาหลักของการแพร่ระบาดในกลุ่มเยาวชนท่ีมีอายุต่ากว่า ๒๕ ปี ขณะที่เฮโรอีนมีแนวโน้มเพ่ิมสูงข้ึนและกระจายวงกว้างมากข้ึน ส่วนเคตามีนมีแนวโน้มเพ่ิมสูงขึ้น ในแหล่งเที่ยวบันเทิงกลางคืน โดยใช้ร่วมกับกัญชา ยาบ้า ยาอี ไอซ์ และสุรา ทาให้เป็นอันตรายแก่ ชีวิตได้ ดังนั้นควรมีการเฝ้าระวังมากขึ้นในพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ และควรเฝ้าระวังการตั้งครรภ์และ ผลกระทบต่อเซลลส์ มองของลูกท่ีจะเกิดตามมาสาหรบั กลุม่ เพศหญิงซ่งึ มแี นวโน้มการใช้ยาเพ่ิมมากขึ้น ท้ังนี้ สานกั งาน ป.ป.ส. ไดส้ รปุ ปจั จัยท่ีเออื้ ให้เกิดการแพรร่ ะบาดของปัญหายาเสพติด ในเยาวชน ได้แก่ (๑) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีก้าวหน้ารวดเร็ว และการเข้าสู่สังคมดิจิทัล ผู้บริโภคเร่ิมเปลี่ยนพฤติกรรมการดาเนินชีวิต ทากิจกรรมต่าง ๆ ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น (๒) แหล่ง ซอ้ื ขายยาเสพติดบนโลกออนไลน์ท่ีมีอย่างเปิดเผย เช่น ทวสิ เตอร์ (twitter) เป็นต้น (๓) การสง่ ยาเสพติด ผ่านบริการขนส่งเอกชนกระทาได้ง่ายและหลากหลายรูปแบบ (๔) รูปแบบการชาระเงินสะดวกมากขึ้น เช่น เก็บเงินปลายทาง จ่ายผ่าน Mobile Application (๕) การเข้าถึงยาเสพติดง่ายขึ้น มีการแบ่ง จาหน่าย (๖) ราคายาเสพติดมแี นวโน้มลดลง (๗) การรูไ้ มเ่ ทา่ ทันของเด็กและเยาวชน (๘) ความเข้าใจ ท่ผี ดิ ในประเดน็ การนาพชื เสพติดมาใช้เปน็ ประโยชน์ทางการแพทย์หรือกฎหมายยาเสพติด (๙) สภาพ เศรษฐกิจ ว่างงาน และความเครียด ส่งผลให้ใช้ยาเสพติดเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้ค้ายาเสพติดรายย่อย จากผลรายงานของ สานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้รายงานผลภาวะสังคมไทยในไตรมาส ๒ ปี ๒๕๖๔ ต้ังแต่ห้วงปี ๒๕๖๒ - ๒๕๖๔ ท่ีเกิด สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID - 19) ต่อเน่ือง พบว่า สถานการณด์ งั กล่าวสง่ ผลตอ่ ภาวะสงั คมไทยและเศรษฐกิจ โดยในห้วงทผี่ า่ นมาอตั ราการวา่ งงานยังอยู่ ในระดับสูง กลุ่มประชากรที่มีอายุน้อยและมีระดับการศึกษาสูงเป็นกลุ่มท่ีมีอัตราการว่างงานสูงสุด ผู้คนตกงานและสูญเสียรายได้ หน้ีสินครัวเรือนขยายตัวมากข้ึน นอกจากน้ี จากการสืบค้นบทความ ตลาดยาเสพติดในยุคโควิด ยังพบว่า คดีอาญาโดยรวมเพิ่มข้ึน ทั้งคดียาเสพติดและคดีประทุษร้ายต่อ ทรัพย์ และจากข่าวสารท่ีปรากฏตามสื่อ พบว่า ปัญหาการแพร่ระบาดโควิดส่งผลให้คนที่ตกงาน บางส่วนตัดสินใจหันไปพ่ึงพาสารเสพติด เพ่ือช่วยคลายความเครียด รวมถึงบางส่วนหันไปร่วมกับ ขบวนการค้ายาเสพติด นอกจากน้ียังพบการจูงใจดึงกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ เข้าร่วมขบวนการ โดยเฉพาะในข้ันตอนการรบั -สง่ -ลาเลยี ง-ขนยาเสพติด นอกจากนี้ สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดย รองศาสตราจารย์ดุษฎี อินทรประเสริฐ และคณะ ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้ดาเนินการวิจัยสารวจการรับรู้ การเรียนรู้และพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากยาเสพติดของกลุ่มวัยรุ่นเสี่ยงสูง โดยผลการวิจัย พบว่า กลุ่มวัยรุ่นที่เคยลองใช้ยาเสพติดจากการชักชวนของคนใกล้ชิด เพราะต้องการให้เพื่อนยอมรับ เข้ากลุ่ม อดทน ฟังคาประชดของเพ่ือนไม่ได้ และคิดว่ายาเสพติดช่วยให้ลืมปัญหา ส่วนกลุ่มวัยรุ่น ที่ไม่เคยลองใช้ยาเสพติดตามคาชวน เนื่องจากไม่ชอบกล่ินหรือรสชาติ สามารถแยกแยะได้ว่าอะไร

๓๗ ที่ไม่ดี และรู้ทางออกของปัญหา โดยไม่ต้องพ่ึงยาเสพติด นอกจากนี้ ยังพบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัว ของวัยรุ่น ได้แก่ ครอบครัว เพื่อน โรงเรียน และชุมชน เป็นปัจจัยที่เอื้อและปกป้องการใช้ยาเสพติด กล่าวคือ ครอบครัวเอื้อต่อการใช้ยาเสพติดของวัยรุ่น เพราะคนในครอบครัวใช้ยาเสพติด ผู้ปกครอง ไม่มีเวลาให้จึงใช้ยาเสพติด และวัยรุ่นเครียดจากครอบครัว ในขณะเดียวกันครอบครัวก็ปกป้องวัยรุ่น จากยาเสพติด เนื่องจากคนในครอบครัวคอยตักเตือนและเป็นตัวอย่างของการไม่ใชย้ าเสพติด รวมทง้ั วัยรุ่นรับรู้ความคาดหวังจากครอบครัว ส่วนกลุ่มเพื่อนมีท้ังสนับสนุนการใช้ยาเสพติดและชวนให้เลิก ใช้ยาเสพติด นอกจากกลุ่มเพื่อนแล้ว โรงเรียนและชุมชนก็เป็นแหล่งม่ัวสุมของยาเสพติด จึงเอื้อให้ วัยรุ่นมีประสบการณ์ใช้ยาเสพติด อย่างไรก็ตาม การมีกิจกรรมป้องกันยาเสพติดในโรงเรียนและ มาตรการป้องกันยาเสพติดในชุมชนมีส่วนป้องกันการใช้ยาเสพติดของวัยรุ่นได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจาก ผลการวิเคราะห์พฤติกรรมการป้องกันตนเองจากยาเสพติดของวัยรุ่น พบว่า การปฏิบัติตนของวัยรุ่น ที่แสดงออกถงึ การปกป้องตนเองจากการใช้ยาเสพติด ประกอบดว้ ย ๗ ลกั ษณะ ได้แก่ (๑) ปฏิเสธคาชวน ของคนรอบข้าง (๒) การเลือกคบเพื่อนท่ีไม่ใช้ยาเสพติด (๓) นึกถึงผลกระทบที่ตามมา (๔) ทากิจกรรมอื่น แทนการใช้ยาเสพติด (๕) หาสิ่งเตือนใจเพ่ือเป็นเกราะป้องกันยาเสพติด (๖) เรียนรู้จากประสบการณ์ ทีไ่ ม่ดจี ากการใช้ยาเสพติด และ (๗) เตอื นคนรอบขา้ งไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพตดิ เพือ่ ลดการถูกชกั ชวน โดยผลวิจัยข้างต้นสอดคล้องกับการศึกษาของ ศูนย์บริการวิชาการสถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดย รองศาสตราจารย์เกษมศานต์ โชติชาครพันธ์ุ และคณะ ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ดาเนินการศึกษาสถานการณ์ปัญหาและจัดทาข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดสาหรับเด็กและเยาชน โดยผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ ยาเสพติดอาจพอสรุปความได้ว่า เกิดจากปัจจัยภายในตัวของเด็กและเยาวชนเป็นปักเจก (individual) ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความเชื่อ ความรู้ ทัศนคติ ค่านิยม ทักษะในการใช้ชีวิต ฯลฯ ที่เกิดจากการ เรียนรู้ ปลูกฝัง การกล่อมเกลาทางสังคมจากบริบทแวดล้อมต่าง ๆ ท่ีมีอิทธิพล ท้ังด้านครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน กลุ่มเพื่อน ฯลฯ นอกจากนั้นพฤติกรรมยังเกิดจากการที่เด็กและเยาวชนได้รับ สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นจากปัจจัยแวดล้อมภายนอก ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงของปัญหายาเสพติด ความสะดวก และการเข้าถึงตัวยาเสพติด ฯลฯ โดยพบว่า “ครอบครัว” เป็นปัจจัยสาคัญที่ส่งผลต่อ การเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กและเยาวชนท่ีในปัจจุบันพบว่าลักษณะข องครอบครัวได้มีการ เปล่ียนแปลงไปจากอดีต อาทิ ลักษณะของครอบครัวเชิงเด่ียว ครอบครัวในลักษณะสังคมชุมชนเมือง เปน็ ต้น ๓.๑.๒ ผลการศึกษาผลกระทบจากปัญหายาเสพติดในการดาเนินงานด้านนโยบายและ ยุทธศาสตรด์ ้านการปอ้ งกันและสรา้ งภมู ิคุ้มกนั ยาเสพตดิ ทด่ี าเนินงานโดยหน่วยงานท่ีเกีย่ วข้อง จากข้อมูลท่ีปรากฏในแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒ ของสานกั งาน ป.ป.ส. พบผลกระทบดังนี้ ๑) ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ข้อมูลประมาณการผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ท่ีได้จากการ ประมวลผลการจับกุมและการนาผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบาบัด ในปี ๒๕๕๖ มีตวั เลขประมาณการอยู่ที่ ๒,๕๒๑,๒๙๙ คน ในจานวนคนท่ีเกี่ยวข้อง อย่างน้อยคนเหล่าน้ีต้องเสียเงินไปกับการซื้อยาเสพติดวันละ ๒๕๐ บาทต่อวัน เท่ากับสูญเงินไปวันละ ๖๒๕ ล้านบาทต่อวัน และใน ๑ ปี จะเป็นเงิน ๒๒๘,๑๒๕ ลา้ นบาท ทัง้ น้สี านักงาน ป.ป.ส. รายงานการตลาดสารเสพติดบนโลกอินเทอรเ์ น็ตประเทศไทย ชว่ งเดือน มกราคม – กันยายน ๒๕๖๓ พบข้อความการโพสต์ขาย มีการการันตีคุณภาพ อวดอ้างสรรพคุณ

๓๘ จัดโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขาย เช่น แถมการจัดส่งให้ฟรี ท้ังน้ี ผู้ขายทุกรายให้บริการจัดส่งท่ัวประเทศ ส่วนใหญเ่ ป็นการใช้บริการขนส่งเอกชน ชาระเงนิ โดยการเก็บเงินปลายทาง การทาธุรกรรมทางการเงิน การโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีรายงานการสารวจของกรมกิจการเด็กและเยาวชนร่วมกับ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย สารวจสถานการณ์เด็กไทยกับภัยออนไลน์ ๒๕๖๓ พบเว็บไซต์ท่ีมี เน้ือหาข้อมูลที่ผิดกฎหมาย เป็นอันตรายต่อเด็ก เช่น ความรุนแรง การพนัน สื่อลามก สารเสพติด ซ่ึงส่วนใหญ่เด็กใช้อินเทอร์เน็ตเพ่ือเล่นเกมออนไลน์ โดยเชื่อว่าภัยอันตรายเสี่ยงต่าง ๆ สามารถจัดการ แกไ้ ขปญั หาได้ดว้ ยตัวเอง และช่วยเพือ่ นได้ ๒) ผลกระทบด้านสังคม ผลการสารวจติดตามการดาเนินงานตามยุทธศาสตร์ พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ในปี ๒๕๕๖ ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พบว่า ผู้เกี่ยวข้องกับ ยาเสพติดแล้วไปก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ในปี ๒๕๕๖ มีถึง ๑๒๗,๔๘๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๘ โดย ๕ อันดับแรกของผู้กระทาความผิดคดียาเสพติดแล้วไปก่ออาชญากรรมอ่ืน ๆ ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับ ทรพั ยม์ ากทส่ี ุด ๓) ผลกระทบด้านสุขภาพ ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต พบว่า ปี ๒๕๖๓ มีผู้ป่วยจิตเวช ยาเสพติด ส่วนใหญ่เป็นผู้บาบัดยาบ้ามากท่ีสุด ร้อยละ ๖๘.๙๗ ไอซ์ ร้อยละ ๑๒.๔๕ และกัญชา ร้อยละ ๘.๗๕ เม่ือพิจารณาตามชว่ งอายุ ผู้ป่วยจิตเวชยาเสพตดิ ท่ีมีอาการทางจิต มกั เป็นวัยรนุ่ ตอนปลาย อายุ ๒๕ - ๒๙ ปี ร้อยละ ๒๓.๗๕ อายุ ๓๐ - ๓๔ ปี ร้อยละ ๑๙.๑๕ และอายุ ๒๐ - ๒๔ ปี ร้อยละ ๑๘.๖๘ ตามลาดับ ซ่ึงเม่ือเทียบกับปีงบประมาณที่ผ่านมาพบว่าสัดส่วนของช่วงอายุ ๓๐ - ๓๔ ปี ให้ยาขณะบาบัด เพ่ือรักษาโรคร่วมทางจิตเวชเพม่ิ ขึ้นร้อยละ ๑๒.๓๑ (เดิมร้อยละ ๑๗.๔๙) โดยเป็นผู้บาบัดไอซ์ท่ใี หย้ าขณะ บาบดั เพอื่ รักษาโรคร่วมทางจิตเวชเพม่ิ ขน้ึ ร้อยละ ๓๕.๒๘ (เดิมร้อยละ ๘.๐๖) ในขณะทผี่ บู้ าบดั ยาบ้า และกัญชาลดลง ตามลาดับ ผู้ป่วยจิตเวชท่ีก่อเหตุมีทั้งหมด ๑๙๘ คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ ๙๔.๔๔) มีประวัติอาชญากรรม (ร้อยละ ๓๐.๓๐) มีประวัติเข้ารับการบาบัดรักษายาเสพติด (ร้อยละ ๓๔.๓๔) ช่วงอายุที่ก่อเหตุมากที่สุดคือช่วงอายุ ๓๕ - ๓๙ ปี ร้อยละ ๑๗.๘๗ รองลงมา คือ ช่วงอายุ ๑๕ - ๒๔ ปี และชว่ งอายุ ๔๐ - ๕๐ ปี รอ้ ยละ ๑๖.๗๖ เท่ากัน ๔) ผลกระทบด้านการบริหารจัดการภาครัฐ เนื่องจากปริมาณคดียาเสพติดท่ีเพ่ิม สูงข้ึนอย่างต่อเน่อื ง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการยุติธรรมท้ังระบบ ต้ังแต่ตารวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ และคุมประพฤติ ภาระคา่ ใชจ้ ่ายของรัฐเพ่ิมสูงขึน้ ส่งผลตอ่ ต้นทุนของกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้สานักงาน ป.ป.ส. รายงานระบบทะเบียนคดียาเสพติด (NCR) ปี ๒๕๖๓ ส่วนใหญ่เป็น ผู้ต้องหาในคดีเสพยาบ้า ไอซ์ กระท่อม น้ากระท่อม กัญชา สารระเหย เฮโรอีน ตามลาดับ ซึ่งเม่ือ พิจารณาภาพรวมของการแพร่ระบาด พบว่ายาเสพติดที่เด็กและเยาวชนเข้าไปเก่ียวข้องมากที่สุด ได้แก่ ยาบ้า ส่วนไอซ์ และเฮโรอีน มีการระบาดเพิ่มข้ึน การลักลอบจาหน่ายไอซ์และกัญชาใน โลกออนไลน์ เช่น twitter มีแนวโน้มเพิ่มสูงข้ึน แม้ว่าสถิติการตรวจยึดจับกุมยาบ้าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ลดลงรอ้ ยละ ๓๗ จากปที ่ผี ่านมา ๓.๑.๓ ผลการศึกษาแนวทางการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดกลุ่มเยาวชน อายุ ๑๒ - ๒๔ ปี ประเทศไทยมีแนวทางการป้องกันยาเสพติดในแต่ละกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม เป็นรูปธรรมและมีแนวทางการปรับสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม โดยเม่อื พิจารณาถึงบทบาทหน้าที่และ ความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เก่ียวข้องตามแผนยุทธศาสตร์และการจัดสรรงบประมาณตามภารกิจ

๓๙ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของแต่ละหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ รวมกว่า ๒๐ หน่วยงาน ทั้งน้ี หน่วยงานรับผิดชอบหลักหรือหน่วยงานสนับสนนุ อาจแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมตามบทบาท หน้าท่ี ตลอดจนความมปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธิผลในการนาแผนปฏบิ ตั ิการไปใช้ ผลการวิเคราะห์นโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติด ที่ดาเนินงานโดยหน่วยงานต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประเด็น ภายใต้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ในยุทธศาสตร์ท่ี ๕ การเสริมสร้างความม่ันคงแห่งชาติ เพ่ือการ พัฒนาประเทศสู่ความมั่นคงและย่ังยืน ซ่ึงให้ความสาคัญต่อการฟ้ืนฟูพื้นฐานด้านความม่ันคงท่ีเป็นปัจจัย สาคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เป้าหมายที่ ๔ ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ และความร่วมมือด้านความม่ันคงในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน มติ รประเทศ และนานาประเทศ ในการ ปอ้ งกนั ภัยคกุ คามในรูปแบบต่าง ๆ ควบค่ไู ปกบั การรักษาผลประโยชน์ของชาติ ตัวชีว้ ดั ที่ ๔.๔ จานวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดลดลง อีกท้ังยังมียุทธศาสตร์ที่ ๑ การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาทุนมนุษย์ ที่สนับสนุนการแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างเป็นผลสัมฤทธิ์ ซึ่งมุ่งเน้นคุณภาพคนในแต่ละช่วงวัย ต้ังแต่พัฒนาการวัยเด็กปฐมวัย ที่ต้องพัฒนาให้มีสุขภาพกาย และใจทด่ี ี มีทักษะทางสมอง ทกั ษะการเรียนรู้ และทกั ษะชีวิต เพื่อใหเ้ ติบโตอยา่ งมีคุณภาพ ควบคู่ไปกับ การพัฒนาคนไทยในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี มีสุขภาวะที่ดี มีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวินัย มีจิตสานึก ที่ดีตอ่ สังคมสว่ นรวม มที ักษะความรู้และความสามารถปรับตัวเท่าทันกับการเปล่ยี นแปลงรอบตวั ที่รวดเร็ว บนพ้ืนฐานของการมีสถาบันทางสังคมท่ีเข้มแข็ง ท้ังสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา สถาบันชุมชน และภาคเอกชน ที่ร่วมกันพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีคุณภาพสูง อีกท้ังยังเป็นทุนทางสังคม ทส่ี าคญั ในการขับเคลื่อนการพฒั นาประเทศตามมติคณะรัฐมนตรี เม่ือวนั ท่ี ๓ กันยายน ๒๕๖๒ ทเี่ ห็นชอบ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความม่ันคงแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๕) โดยแผนระดับชาติว่าด้วย ความม่ันคงแห่งชาติ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รองรับนโยบายที่ ๕ สร้างเสริมศักยภาพ การป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามข้ามชาติ และนโยบายท่ี ๘ เสริมสร้างความเข้มแข็งและภูมิคุ้มกัน ความม่ันคงภายใน ผลการวิเคราะห์ผลการดาเนินงานโครงการ/กิจกรรมด้านการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกัน ยาเสพตดิ ภายใตแ้ นวคิดการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สอดคลอ้ งตง้ั แต่ต้นน้า (ปราบปราม) กลางน้า (ป้องกัน) และปลายน้า (รักษา) ภายใต้การบูรณาการร่วมกันตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เร่ิมมีแนวทางการป้องกันยาเสพติดในกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม มากข้ึนตามมาตรการป้องกันยาเสพติดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๓ แนวทาง ได้แก่ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวชายแดน การพัฒนาทางเลือกการป้องกัน ยาเสพติดในแต่ละกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสมเป็นรูปธรรม และการปรับสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม ทั้งน้ี ๓ แนวทางนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณบูรณาการให้เกิดผลลัพธ์ ๒ ด้าน ซ่ึงสามารถวิเคราะห์ ผลการดาเนนิ งานไดด้ งั นี้ ผลลัพธ์ด้านแรก การสร้างภูมิคุ้มกันในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ซ่ึงได้รับงบประมาณปี ๒๕๖๒ จานวน ๑,๒๔๓.๖๕๔๓ ล้านบาท ปี ๒๕๖๓ จานวน ๑,๐๑๘.๖๑๐๔ ล้านบาท และปี ๒๕๖๔ จานวน ๑,๐๔๗.๑๕๗๔ ล้านบาท ตามลาดับ ผา่ น ๘ โครงการบรู ณาการหลัก ดังนี้ - โครงการ TO BE NUMBER ONE

๔๐ - โครงการ D.A.R.E. /โครงการตารวจประสานโรงเรยี น - โครงการ มยส. (มาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบ กจิ การ) /โครงการโรงงานสีขาว /รณรงค์ในสถานประกอบการ - โครงการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันในสถานศึกษา เช่น ลูกเสือต้านยาเสพติด อบรมนกั จิตวิทยา อบรมกลมุ่ เสยี่ ง เครอื ข่ายนกั ศกึ ษา - โครงการปอ้ งกันยาเสพติดในกลุ่มเยาวชน ครอบครวั ทหาร - โครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชน และศูนย์ฝกึ อบรม - โครงการการสรา้ งภูมคิ ุ้มกันยาเสพตดิ ในแตล่ ะกลมุ่ เป้าหมาย - โครงการเสรมิ สร้างประสทิ ธิภาพการป้องกันและแกไ้ ขปญั หายาเสพติด ซ่ึงหน่วยงานภาครัฐร่วมรับผิดชอบ ได้แก่ กรมสุขภาพจิต กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมราชทัณฑ์ สานักงานตารวจแห่งชาติ สานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครอง แรงงาน สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สานักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา สานักงานปลัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน สานักงาน ป.ป.ส. และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่าผลการดาเนินงานตามตัวชี้วัดตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๖๔ พบการดาเนินงานตาม แผนปฏบิ ตั กิ ารสามารถบรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายทุกตัวชวี้ ดั เชงิ ปริมาณ เชน่ ๑) ปฐมวัย: พัฒนาทักษะสมอง (Brain Executive functions (EF)) ให้เด็กรู้จักยับยั้ง ชั่งใจ ยั้งคิดไตร่ตรอง ควบคุมอารมณ์ ยืดหยุ่น ปรับตัว ฯลฯ เมื่อพัฒนาต่อเนื่อง เด็กโตขึ้นจะลดโอกาส การเข้าไปเก่ียวข้องกับยาเสพติด เช่น พฤติกรรมด่ืมเหล้า การสูบบุหรี่ การทุจริต โดยดาเนินการผ่าน กลไกครูอนุบาล/ครูผู้ดูแลเด็กในโรงเรียนอนุบาลและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ผ่านการเรียนการสอน กิจกรรมเสริมประสบการณ์ท่ีเหมาะสมกับช่วงวัย ทั้งน้ี ครู EF ได้ดาเนินการมาตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ แต่ทักษะครูยังสามารถถ่ายทอดให้ครูต่อไปได้น้อย การพัฒนาอุปกรณ์ในพื้นที่มีข้อจากัด ทาให้การ ประเมินผลลพั ธ์ (Output) เชงิ ปรมิ าณเด็ก และผลสมั ฤทธิ์ (Outcome) เชงิ คุณภาพทาไดย้ าก ๒) ประถมศึกษา: ทักษะชีวิตสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดผ่านการเรียนการสอนกิจกรรม เชิงสร้างสรรค์ ควบคู่กับการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม โดยครูผู้สอนวิชาสุขศึกษา ครูตารวจ D.A.R.E. ครพู ระสอนศีลธรรม วิทยากรป้องกันต่าง ๆ สอนสอดแทรกความรู้เพื่อการป้องกันยาเสพติดที่หลากหลาย ตามบรบิ ท แต่พบว่ายังวดั ผลได้ไมช่ ัดเจน เช่น ด้านทักษะการปฏิเสธ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การใช้ชีวิต แบบปลอดภยั หรือการปรับตวั ให้ทันการณ์ ๓) ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา: พัฒนาทักษะชีวิตเช่นเดียวกับประถมศึกษา และ สร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดผ่านการเรียน กิจกรรมนอกหลักสูตร จัดระบบดูแลช่วยเหลือ ให้คาปรึกษา เฝ้าระวัง ค้นหา คัดกรองนักเรียนร่วมกับครือข่ายที่เก่ียวข้อง ความร่วมมือไปยังผู้ปกครองช่วยกัน สอดส่องดูแล เฝ้าระวัง โดยเปิดทางติดต่อสื่อสารระหว่างครูและผู้ปกครอง การเสริมสร้างความ ภาคภูมิใจในตน ทักษะต่าง ๆ กิจกรรมกลุ่มเพื่อน เครือข่าย/องค์กรเยาวชน TO BE NUMBER ONE

๔๑ ท้งั นี้ เพอ่ื เป็นการลดโอกาสท่ีเยาวชนจะเข้าไปเก่ยี วข้องกบั ยาเสพติด อบายมุข แหล่งม่ัวสมุ ทงั้ ในช่วง เวลาวา่ งและปดิ ภาคเรยี น แต่พบว่าการตงั้ เปา้ หมายในชีวติ /สรา้ งคณุ ค่าในตนเองไม่ชดั เจน อน่ึง ชมรม TO BE NUMBER ONE ต้นแบบ ชุมชนเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส มีการ จัดต้ังศูนย์เพ่ือนใจ TO BE NUMBER ONE โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนที่ต้องการความช่วยเหลือ ไดร้ ับคาปรกึ ษาแนะนาทีถ่ กู ต้อง เหมาะสม จากผู้เช่ยี วชาญหรือเพอื่ นอาสาสมคั รทีผ่ ่านการอบรม และ เยาวชนได้มีโอกาสใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยเข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างสรรค์ และเสริมสร้าง ความสุขใหก้ บั ตนเอง ด้วยการฝกึ ทกั ษะด้านดนตรี กฬี า ศิลปะ ฯลฯ จากผ้เู ชี่ยวชาญ รวมท้ังใหโ้ อกาส แก่เยาวชนได้มสี ถานท่ีทเี่ หมาะสม และเปน็ ท่ียอมรับจากทุกฝ่ายในการทากิจกรรมทีส่ นใจร่วมกัน เช่น “โครงการใครติดยายกมือข้ึน” เป็นต้น ทั้งนี้ นโยบายจากแม่ทัพภาคที่ ๔ ในเร่ืองการป้องกันและ รักษาผู้เสพ ผู้ใช้ยาเสพติดในชุมชนร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น ที่ว่าการอาเภอเจาะไอร้อง สาธารณสุข อาเภอเจาะไอร้อง โรงพยาบาลเจาะไอร้อง และผู้นาชุมชนเจาะไอร้อง มีกิจกรรมคัดกรอง บาบัดและ ฟืน้ ฟใู ห้กบั ผเู้ สพ ฝึกอาชพี หาอาชีพ น้องชว่ ยพีท่ ากจิ กรรมบาเพ็ญประโยชน์ รณรงคป์ อ้ งกันยาเสพติด ในชุมชน และเปน็ ผู้ชว่ ยกลุ่มกจิ กรรม นอกจากนี้โรงเรียนสวนพระยาวิทยา จงั หวัดนราธวิ าส ไดด้ าเนินการ โครงการ TO BE NUMBER ONE มาเป็นระยะเวลา ๙ ปี โดยได้มีการตระหนักถึงปัญหายาเสพติด จึงได้ กาหนดแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติด การสร้างการรับรู้เก่ียวกับปัญหายาเสพติด สร้างภูมิคุ้มกันให้กับ เยาวชน สร้างพ้ืนที่ปลอดภัย พัฒนาศักยภาพคุณภาพเยาวชนให้เป็นคนรุ่นใหม่ สร้างความเข้มแข็ง เยาวชนและชุมชน และสนบั สนนุ กิจกรรมทย่ี ่ังยนื ท้ังน้ี โครงการ D.A.R.E. เป็นหลักสูตรมุ่งเนน้ เปา้ หมายหลกั คือเด็กนักเรยี น ให้รู้จักใช้ ทกั ษะการเรยี นรู้ วิธีการตดั สินใจเลือกในส่ิงที่ดี เพ่ือหลกี เล่ียงและต่อต้านการใช้ยาเสพติด รู้จกั วิธกี าร ต่อต้านแรงกดดันต่าง ๆ จากเพื่อน รู้จักใช้ทางเลือกที่ถูกวิธีอื่น ๆ และรู้จักแนวทางการปฏิเสธยาเสพติด อยา่ งเดด็ ขาด รวมถงึ ครู ผู้ปกครอง และสมาชกิ ในชมุ ชน นักเรียนจะไดร้ บั ข้อมูลทีถ่ ูกต้องเก่ยี วกับบุหร่ี สุรา สารระเหย ยาบา้ และยาเสพติดชนิดอืน่ ๆ อยา่ งเป็นข้นั ตอนของรูปแบบการตดั สินใจได้ โดย D.A.R.E. ย่อมาจาก Drugs Abuse Resistance Education ซึ่งเป็นหลักสูตรป้องกันยาเสพติดในนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๕ ของสานักงานตารวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตารวจปราบปรามยาเสพติด (หลักสูตรต้นแบบจากสหรัฐอเมริกา) ทั้งนี้ โรงเรียนครูตารวจแดร์ (D.A.R.E) ท่ีเป็นต้นแบบ ได้แก่ โรงเรยี นหมากแข้ง จงั หวัดอุดรธานี เปน็ ตน้ นอกจากนี้กองทัพอากาศ (ทอ.) มีการป้องกันยาเสพติดในกาลังพล ครอบครัว และ พื้นทป่ี ลอดยาเสพติด โดยจัดโครงการ คือ (๑) สรา้ งภมู คิ ุ้มกนั และการมสี ่วนร่วมในกาลังพล ทอ. และ ครอบครัวกาลังพล ทอ. ท่ีบรรจุใหม่ท่ีอาศัยอยู่ในพื้นที่ ทอ. ปลอดยาเสพติด กาลังพล ทอ. และ ครอบครัวสร้างภูมิคุ้มกันมากกว่าร้อยละ ๗๐ (๒) โครงการสร้างสภาพแวดล้อมของพ้ืนท่ีและชุมชน ร่วมกันสร้างบรรยากาศท่ีดีในการอยู่ร่วมกัน การสร้างความเข้าใจ เกิดทัศนคติที่ดีต่อเพ่ือนร่วมงานและ ครอบครัวรอบข้าง รณรงค์การต่อต้านการเข้าไปยุ่งเก่ียวกับยาเสพติด รวมท้ังการสร้างสภาพแวดล้อม ที่ไม่เอ้ือต่อการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด การให้ความรู้กับเยาวชนในโรงเรียนท่ีตั้งอยู่รอบพ้ืนที่ของ ทอ. หน่วยรับผิดชอบ มุ่งผลสัมฤทธ์ิกาลังพล ทอ. วัยเส่ียงสูง (ห้วงอายุ ๑๕ - ๒๙ ปี) ในพื้นท่ีปลอดจาก ยาเสพติดและที่ยุ่งเก่ียวกับยาเสพติดลดลง ทั้งนี้ ทอ. มีนโยบายงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ยาเสพตดิ ท่ชี ัดเจน ได้แก่

๔๒ - การข่าวกรอง เป็นการตรวจสอบและหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้านยาเสพติด กาลังพล และครอบครัวข้าราชการ ทอ. ที่มีอายุระหว่าง ๑๕ - ๑๘ ปี กลุ่มที่มีความเสี่ยง วางแผนการทางาน อย่างมีประสทิ ธิภาพ - กลุ่มกาลังพล ทอ. บรรจุใหม่ท่ีเส่ียงต่อยาเสพติด ท้ังภายในพื้นที่ ทอ. และชุมชน ใกล้เคยี ง - ผู้บังคับบัญชา ตอ้ งกากับดูแล ปอ้ งกนั ปราบปราม บาบดั รักษา - แผนปฏิบัติการภายใน ทอ. การบริหารจัดการที่มีประสทิ ธภิ าพ และแผนสนับสนนุ สว่ นราชการภายนอก อย่างไรก็ดี ยังพบว่ามีโครงการ/กิจกรรมที่น่าสนใจในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ยาเสพติดในพื้นท่ีกรุงเทพมหานครท่ีนาร่องปอ้ งกันยาเสพติดสาหรับนกั เรยี นมัธยมศกึ ษาตอนต้นแบบ ครบวงจร มีภูมิคุ้มกันการเส่ียงต่อยาและสารเสพติดในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร จานวน ๒๔ โรงเรยี น ครทู ่รี ับผดิ ชอบงานยาเสพติดโรงเรียนละ ๑ คน รวม ๒๔ คน และนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ประเมินภูมิคุ้มกันแล้วคัดเลือกเด็กเส่ียงได้นักเรียนโรงเรียนละ ๓ คน รวม ๗๒ คน รวมทั้งหมด ๙๖ คน เนื้อหาท่ีสอน ได้แก่ พัฒนาการวัยรุ่น ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว การจัดการกับอารมณ์ การปฏิเสธ การตดั สินใจ การเตือน คณุ ค่าชีวติ เป็นตน้ ผลลพั ธ์ด้านทส่ี อง พนื้ ท่ปี ลอดภัย การป้องกนั แก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ให้มีระบบนิเวศ ซ่ึงได้รับงบประมาณปี ๒๕๖๒ จานวน ๕๑๒.๔๘๖๗ ล้านบาท ปี ๒๕๖๓ จานวน ๘๔๐.๓๔๐๑ ล้านบาท และปี ๒๕๖๔ จานวน ๖๗๕.๓๘๙๙ ล้านบาท ตามลาดับ ผ่าน ๓ โครงการ บรู ณาการหลัก ดงั น้ี - โครงการเสริมสรา้ งความเข้มแขง็ หมู่บ้านชุมชน /โครงการกองทุนแม่ของแผ่นดนิ - โครงการพ้ืนท่ีปลอดภัย /ตาบลมัน่ คง - โครงการเสริมสร้างชมุ ชนและหมูบ่ ้านเขม้ แขง็ เพ่ือเอาชนะยาเสพติดอยา่ งยั่งยนื โดยมีหน่วยงานภาครัฐร่วมรับผิดชอบ ได้แก่ กรมการพัฒนาชุมชน กองอานวยการ รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สานักงาน ป.ป.ส. สานักงานตารวจแห่งชาติ สานักงานปลดั กระทรวงมหาดไทย และกรมการปกครอง ซ่ึงพบว่ามพี ื้นท่ีปลอดภัยและมีกระบวนการ ป้องกันดูแลปัญหายาเสพติดระดับหมู่บ้าน ตาบล ท้องถ่ิน ได้หลายแห่ง อาทิ ต้นแบบโครงการของ ตาบลภูเหล็ก อาเภอบา้ นไผ่ จงั หวัดขอนแกน่ ถอื วา่ เปน็ โครงการที่ครบวงจรทีส่ ามารถนาไปใช้ต่อยอด แนวทางแกไ้ ขปญั หายาเสพติดของประเทศได้ มีท้งั การปราบปราม ป้องกัน บาบัดรกั ษาฟ้นื ฟู สามารถ นาไปเป็นตวั อย่างที่ดีใหช้ ุมชนอื่น ๆ ได้ และการมีธรรมนูญหมบู่ ้านสาคัญต่อการกระจายอานาจ ทาให้คน อยู่ในชุมชน/หมู่บ้านของตัวเองอย่างมีคุณค่า โดยกานัน ผู้นาชุมชน ครู ผู้ใหญ่บ้าน และฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย เปน็ พลังสาคญั และเป็นหนว่ ยงานบาบัดทกุ ข์บารงุ สุขได้มากทส่ี ุด ปัจจัยความสาเร็จในการจัดตง้ั หมู่บ้านเข้มแข็ง ได้ดาเนินการมาถึงปี ๒๕๖๓ โดยการ สร้างเครือข่าย พัฒนาความเข้าใจ บริหารงานแก้ปัญหายาเสพติด ขับเคล่ือนด้วย PDCA (Plan-Do- Check-Act) โดยอาศัย ๓ ชุดปฏิบัติการ ได้แก่ (๑) ชพส. หรือชุดพัฒนาสัมพันธ์มวลชน (๒) ชบช. หรือชุดวิทยากรกระบวนการการสร้างเครือข่ายผู้นาชุมชนเข้มแข็ง และ (๓) ชวกม. หรือชุดวิทยากร กองทุนแม่ของแผ่นดิน ท้ัง ๓ ชุด มีการเสริมทักษะ ทบทวนทักษะ สร้างทักษะใหม่เพ่ือสร้างหมู่บ้าน

๔๓ แกนหลัก (Core Village) ท่ีทันต่อสถานการณ์ ท้ังน้ี ตัวช้ีวัดผลคุณภาพท่ีเป็นรูปธรรมคือการจัดต้ัง ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเข้มแข็งเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน อย่างน้อยร้อยละ ๓๐ ของหมู่บ้าน และ พัฒนาหมู่บ้านเข้ารับพระราชทานกองทุนแม่ของแผ่นดินไม่น้อยกว่า ๒๖ หมู่บ้าน พัฒนาจัดทา ฐานข้อมูลและผลิตสื่อวิดิทัศน์ท่ีทันสมัย โดยโครงการกองทุนแม่ของแผ่นดินมีส่วนช่วยให้เกิด ความสาเรจ็ เนอ่ื งจาก ๑) ส่งเสริมกจิ กรรมกีฬาตา้ นยาเสพติดเปน็ ประจา โดยเยาวชนในพ้นื ที่ตาบล/หมู่บ้าน สมัครเข้าแข่งขัน คัดกรองสารเสพติดก่อนแข่งขัน สร้างความสามัคคี ลดความขัดแย้ง รู้แพ้รู้ชนะ ให้อภยั กนั ๒) กิจกรรมทาดีตามเทศกาลต่าง ๆ ร่วมกับคนในชุมชน ลดความเส่ียงของการติด ยาเสพติด เช่น ปลูกต้นไม้เพื่อพ่อ ต้ังปณิธานออมความดีเพื่อแม่ และจิตอาสาเราทาความดดี ้วยหวั ใจ ในวนั สาคญั ๓) เด็กและเยาวชนที่เคยใช้ยาเสพติดมีรายได้จากการยืมเงินกองทุนแม่ของแผ่นดิน มาใช้เปน็ ทนุ เพ่อื ประกอบอาชพี และหา่ งไกลจากยาเสพติด ๔) คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดินขับเคลื่อนกิจกรรมกองทุนฯ อย่างมี ประสิทธิภาพ มีการถ่ายทอดความรู้ และมีวิทยากรประจาแตล่ ะจงั หวดั ๕) ก่อให้เกิดเยาวชนต้นแบบในการดาเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง และมกี ารรวมกลุ่มสร้างอาชีพ เชน่ กลุ่มปลกู ผักไฮโดรโปนิกส์ สามารถเปน็ สถานที่ทสี่ ามารถ ศึกษาดงู านได้ ท้ังน้ี ยังมีโครงการงบบูรณาการท่ีสาคัญและประสบความสาเร็จในด้านการป้องกัน ได้แก่ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ท่ีขับเคลื่อนโครงการร้อยใจรักษ์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยสามารถลดพ้ืนท่ีปลูกฝ่ิน ดูแลป้องกัน ให้การศึกษา สร้างอาชีพเกษตรพอเพียงอย่างย่ังยืนให้แก่ เยาวชนและชมุ ชนได้ เป็นโครงการแบบอยา่ งทีเ่ ป็นรปู ธรรม สรุปผลการศึกษาการวิเคราะห์นโยบาย แนวทาง ผลลัพธ์ และข้อเสนอแนะการ ดาเนนิ งานการป้องกนั และสรา้ งภมู ิคุ้มกันยาเสพตดิ ของประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ พบว่ามีประชากรวัยเสี่ยงสูงที่ได้รับการสร้างภูมิคุ้มกัน ยาเสพติดในภาพรวมเป็นไปตามเปา้ หมายเชิงปริมาณ และเม่ือพจิ ารณาผลการดาเนนิ งานตามตัวชี้วัด ของแผนปฏบิ ตั ิการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่ระบุไว้ต้งั แตป่ งี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๖๔ ทีม่ ีการเปลี่ยนแปลงทุกปี แต่ยงั พบว่าการดาเนินงานตามแผนปฏิบัติการสามารถบรรลุผลสาเร็จ ตามเป้าหมายทุกตัวชี้วัด ทั้งน้ี จะเห็นว่าแผนงานและหน่วยงานต่าง ๆ สอดคล้องกันภายใต้การบูรณาการ ร่วมกนั ในกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรมตามมาตรการการป้องกันยาเสพติด ท้งั ด้าน การสรา้ งภูมคิ มุ้ กันในแต่ละกลมุ่ เป้าหมายและพื้นทป่ี ลอดภัย อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาพรวมพบว่าการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดในกลุ่มเยาวชนและ การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน มีผลลัพธ์ เชิงปริมาณเพิ่มข้ึน ท้ังมิติการดาเนินงานและการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย แต่ยังพบว่าปัญหา ยาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนยังคงมีอยู่และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในบางกลุ่มเยาวชน เช่น กลมุ่ แรงงานในบางพนื้ ที่ เปน็ ต้น ดังนัน้ ควรเพิม่ ผลลพั ธ์เชงิ คุณภาพดา้ นการปอ้ งกนั และสรา้ งภูมิคุ้มกัน

๔๔ ยาเสพติดในตัวบุคคลและพื้นท่ีปลอดภัยอย่างย่ังยืน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล เช่น พัฒนาการ EF ในปฐมวัยและทักษะชีวิตในเด็กประถม และทักษะทางสังคมในเด็กมัธยม ท้ังน้ี รองศาสตราจารย์สุริยเดว ทรีปาตี ได้แนะนาการประเมินผลการปรับพฤติกรรมเด็กวัยเรียน/วัยรุ่ น โดยติดตามประเมินการตระหนักรู้ ความพยายามมุ่งมั่นและความสาเร็จมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยเยาวชน ได้รบั การปลูกฝัง ๔ ต้อง ได้แก่ ตอ้ งมีคณุ ค่า ต้องมีอนาคต ต้องมแี บบอย่าง และตอ้ งมีการพฒั นาชีวิต ซ่ึงจะสามารถเป็นต้นทุนชีวิต มีพลังบวก การรู้คิด มีจิตสานึก มีภูมิคุ้มกันจิตใจ มีจิตอาสา และเพ่ิม ความเขม้ แข็งทางใจของครอบครัว ร่วมกบั การเพ่มิ พนื้ ที่สังคมออนไลน์ทป่ี ลอดภัยและสรา้ งสรรค์ และ มกี ารตดิ ตามวดั ผลอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง สามารถสะท้อนประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลได้มากขน้ึ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการดาเนินการกิจกรรมเพื่อการขับเคล่ือนการ ปอ้ งกนั และสรา้ งภูมิคมุ้ กันยาเสพติดในกลมุ่ เยาวชน อายุ ๑๒ - ๒๔ ปี สานักงาน ป.ป.ส. ได้วิเคราะห์สรุปแนวทางการดาเนินการป้องกันและสร้างภูมิคุ้ม กันยาเสพติดของประเทศในอนาคตอย่างเปน็ รปู ธรรม ดงั นี้ ๑) สร้างการยอมรับ ในแนวคิดการป้องกันยาเสพติดแนวใหม่ท่ีมุ่งเน้นการควบคุม และลดผลกระทบจากยาเสพติด เพอื่ ให้สงั คมปลอดภัย (ไมป่ ลอดยา แตป่ ลอดภยั ) ๒) ป้องกนั ยาเสพติดในกลุ่มวัยเสีย่ งสูง ดาเนนิ การป้องกันยาเสพติดอย่างเร่งด่วน เน้นใน ประชากรกลุ่มเป้าหมายวัยเสี่ยงสูง อายุ ๑๕ - ๒๔ ปี เป็นลาดับแรกสุด ส่วนช่วงวัยอ่ืน สร้างภูมิคุ้มกัน ตอ่ เนอ่ื ง ๓) บูรณาการขับเคลื่อนงานยาเสพติดเพ่ือสร้างพื้นท่ีปลอดภัย โดยใช้กลไกชุดปฏิบัติการ ประจาตาบล หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน รวมถึงส่งเสริมบทบาท ภาคประชาชน/อาสาสมัคร/ชุมชน อาทิ ชรบ. โดย (๑) ดูแลช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยงสูง (๒) เพิ่มปัจจัย/ กจิ กรรม/พื้นที่เชงิ บวก (๓) ขจัด ควบคุม เฝา้ ระวังปัจจยั เสย่ี ง ๔) มาตรการจูงใจ มีมาตรการจูงใจให้สถานประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพตดิ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี การใหร้ างวลั ๕) ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มแรงงานนอกระบบ ขับเคล่ือนการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดในกล่มุ แรงงานนอกระบบโดยใชก้ ลไกภาคีเครือข่ายแรงงาน เช่น เครือข่าย เกษตรกร คณะกรรมาธิการจึงเสนอกลยุทธ์แนวทางเพื่อการขับเคลื่อนการป้องกันและสร้าง ภูมิคุ้มกันยาเสพติดในกลุ่มเยาวชนอายุ ๑๒ - ๒๔ ปี ด้วยการกาหนดผลลัพธ์ที่ท้าทาย (Outcome Challenge) ทีส่ ร้างบนั ได (Road Map) ส่คู วามสาเร็จ มี ๓ ระยะ ดงั น้ี ๑) ระยะส้ัน - การเร่งปรับสภาพแวดล้อมสังคมและชมุ ชนท่เี สี่ยงใหป้ ลอดยาเสพติด การขนส่ง ออนไลน์ทปี่ ลอดภัย - สร้างกระแสสังคมให้เกิดค่านิยมเชิงบวก แรงจูงใจเชิงบวก เพ่ิมพ้ืนท่ีสร้างสรรค์ ในสังคม - บทบาทสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็งทางใจในการสร้างความเข้าใจ เปิดพ้ืนท่ี การสอ่ื สารทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook