Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่ม 2 (5) เรื่องที่ค้างพิจารณา

เล่ม 2 (5) เรื่องที่ค้างพิจารณา

Published by agenda.ebook, 2022-02-03 03:47:20

Description: (5) เรื่องที่ค้างพิจารณา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 4 ครั้งที่ 29 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566

Search

Read the Text Version

รายงานผลการรบั ฟังความคดิ เหน็ และรายงานผลการวเิ คราะห์ ผลกระทบทีอ่ าจเกดิ จากร่างพระราชบัญญตั ิ ส่วนที่ ๑ ขอ้ มลู พ้นื ฐานของร่างพระราชบญั ญตั ิ ๑. รา่ งพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพ่มิ เติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. …. กฎหมายใหม่  แก้ไขเพ่ิมเติม  ยกเลิก ๒. หลกั การและเหตผุ ล ๒.๑ หลกั การ แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายอาญา ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) แก้ไขเพิ่มเตมิ บทนิยาม คาว่า “บิดเบอื นกฎหมาย” (แก้ไขเพิม่ เตมิ มาตรา ๑ (๑๙)) (๒) กาหนดความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรมบิดเบือนกฎหมาย เพือ่ ให้เกิดประโยชนห์ รอื ความเสยี หายแก่ประชาชนผ้มู ีอรรถคดีหรอื คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ในการสอบสวน การทาความเห็นทางคดี การส่ังฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี การทาคาสั่งรับหรือไม่รับฟ้อง การพิจารณาคดี การทา คาพิพากษาหรือคาชข้ี าดตดั สินคดี และการทาคาส่งั คารอ้ งหรือคาขออ่ืนใด (เพ่มิ เตมิ มาตรา ๒๐๐/๑) ๒.๒ เหตุผล โดยท่ีเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา ตุลาการ พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน ล้วนเป็นผู้มีหน้าที่ในการดาเนินกระบวนการยุติธรรมเพ่ือความเป็นธรรม ของประชาชนภายใต้กฎหมายของบา้ นเมือง จึงอาจกล่าวได้ว่าเจ้าพนักงานดงั กลา่ วน้ีเป็นผ้รู ักษาและบังคับ ใช้กฎหมาย ซึ่งย่อมจะต้องปฏิบัติหน้าท่ีโดยสุจริตและด้วยความชื่อตรงต่อกฎหมายอย่างถึงที่สุด หาก เจ้าพนักงานดังกล่าวถูกอคติครอบงาหรือจงใจปฏิบัติหน้าท่ีโดยไม่สุจริตกระทาการบิดเบือนบังคับใช้ กฎหมายโดยไม่คานึงถึงขอบเขตของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นิติวิธีการใช้การตีความกฎหมาย หลักการทางกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับ เจตนารมณ์หรือคุณธรรมทางกฎหมาย ตลอดจนขอบเขตแห่ง อานาจหน้าท่ีอันมีที่มาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เพ่ือให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ประชาชน ผู้มีอรรถคดีหรือคู่ความฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดไม่ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย ก่อให้เกิดสภาวะท่ีระบบ กฎหมายปราศจากความมั่นคงแน่นอน อันเป็นการบั่นทอนมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมของประเทศ ในภาพรวมให้ปราศจากความน่าเชื่อถือ และไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ตลอดจนนานา อารยประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างย่ิง ท้ังน้ี สืบเน่ืองจากประมวลกฎหมาย อาญาฉบับปัจจุบันมิได้กาหนดฐานความผิดจากการกระทาดังกล่าวของเจ้าพนักงานในการยุติธรรมไว้ เปน็ การเฉพาะ จงึ จาเป็นต้องตราพระราชบญั ญตั นิ ี้ ๓. ผู้เสนอรา่ งพระราชบัญญตั ิ  สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร  ประชาชนเข้าช่อื เสนอกฎหมาย นายพิธา ล้ิมเจริญรตั น์ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร กบั คณะ เปน็ ผเู้ สนอ

-๒- ส่วนที่ ๒ การรับฟังความคิดเหน็ และสรุปผลการรับฟังความคดิ เห็น ๑. ข้อมลู ประกอบการรับฟังความคิดเหน็ โดยท่ีเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา ตุลาการ พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน ล้วนเป็นผู้มีหน้าที่ในการดาเนินกระบวนการยุติธรรมเพ่ือความเป็นธรรม ของประชาชนภายใต้กฎหมายของบา้ นเมือง จึงอาจกล่าวได้ว่าเจ้าพนักงานดงั กล่าวนี้เป็นผูร้ ักษาและบังคับ ใช้กฎหมาย ซึ่งย่อมจะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและด้วยความช่ือตรงต่อกฎหมายอย่างถึงท่ีสุด หาก เจ้าพนักงานดังกล่าวถูกอคติครอบงาหรือจงใจปฏิบัติหน้าท่ีโดยไม่สุจริต กระทาการบิดเบือนบังคับใช้ กฎหมายโดยไม่คานึงถึงขอบเขตของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นิติวิธีการใช้การตีความกฎหมาย หลักการทางกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับ เจตนารมณ์หรือคุณธรรมทางกฎหมาย ตลอดจนขอบเขตแห่ง อานาจหน้าท่ีอันมีท่ีมาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เพ่ือให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ประชาชน ผู้มีอรรถคดีหรือคู่ความฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดไม่ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย ก่อให้เกิดสภาวะท่ีระบบ กฎหมายปราศจากความมั่นคงแน่นอน อันเป็นการบ่ันทอนมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมของประเทศ ในภาพรวมให้ปราศจากความน่าเช่ือถือ และไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ตลอดจนนานา อารยประเทศ ซ่ึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง ทั้งน้ี สืบเน่ืองจากประมวลกฎหมาย อาญาฉบับปัจจุบันมิได้กาหนดฐานความผิดจากการกระทาดังกล่าวของเจ้าพนักงานในการยุติธรรมไว้ เปน็ การเฉพาะ จงึ จาเปน็ ต้องตราพระราชบญั ญตั ิน้ี สาระสาคัญ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. .... เป็นการ แก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อกาหนดนิยามของคาว่า “บิดเบือนกฎหมาย” และกาหนด ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมบิดเบือนกฎหมายเพ่ือให้เกิดประโยชน์ หรือความเสียหายแก่ประชาชนผู้มีอรรถคดีหรือคู่ความฝ่ายหน่ึงฝ่ายใด ในการสอบสวน การทา ความเห็นทางคดี การส่ังฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี การทาคาส่ังรับหรือไม่รับฟ้อง การพิจารณาคดี การทาคา พิพากษาหรือคาชีข้ าดตัดสนิ คดี และการทาคาสงั่ คาร้องหรอื คาขออน่ื ใด ๒. ผเู้ กี่ยวขอ้ งท่ีไดร้ ับหรืออาจไดร้ ับผลกระทบจากรา่ งพระราชบัญญัติ หน่วยงานของรฐั ๑. สานักงานศาลยตุ ิธรรม ๒. สานกั งานอยั การสูงสดุ ๓. สานักงานตารวจแห่งชาติ ๔. หน่วยงานของรฐั อนื่ ๆ ทเี่ ก่ียวข้อง ภาคประชาชน ประชาชน ๓. ประเดน็ การรับฟงั ความคิดเห็น ๑. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า บิดเบือนกฎหมาย หมายความว่า การที่เจ้าพนักงานในตาแหน่งหน้าท่ี ในการยุติธรรม ใช้กฎหมายโดยไม่คานึงถึงขอบเขตของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นิติวิธีการใช้การตีความ กฎหมาย หลักการทางกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับ เจตนารมณ์หรือคุณธรรมทางกฎหมาย ตลอดจน

-๓- ขอบเขตแห่งอานาจหน้าที่อันมีที่มาจากบทบัญญัติแห่งกฎหาย เพ่ือให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหาย แกป่ ระชาชนผู้มอี รรถคดีหรือคคู่ วามฝ่ายหนง่ึ ฝา่ ยใด (รา่ งมาตรา ๓) ๒. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงาน สอบสวน กระทาการบิดเบือนกฎหมายในการสอบสวนและการส่ังฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี ด้วยการทา ความเห็นควรส่ังฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี หรือการทาความเห็นทางคดีอย่างอ่ืนอันจะมีผลกระทบต่อ การสั่งฟ้องหรือส่ังไม่ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพ่ือให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ผู้เสียหาย หรอื ผู้ตอ้ งหา ตอ้ งระวางโทษจาคุกตั้งแตห่ น่งึ ปถี ึงสิบปี (ร่างมาตรา ๔ วรรคหน่งึ ) ๓. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการ กระทาการบิดเบือนกฎหมาย ในการพิจารณาคดี การทาคาสั่งรับหรือไม่รับฟ้อง การทาคาพิพากษาหรือคาสั่งช้ีขาดตัดสินคดี หรือการทา คาสั่งคาร้อง หรือคาขออ่ืนใด เพื่อให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือคู่ความ ฝา่ ยหนงึ่ ฝา่ ยใด ตอ้ งระวางโทษจาคุกตงั้ แต่สามปีถงึ ยีส่ ิบปี (รา่ งมาตรา ๔ วรรคสอง) ๔. ขอ้ คดิ เห็นและข้อเสนอแนะอืน่ ๆ (ถ้ามี) ๔. ระยะเวลาและวธิ กี ารการรับฟงั ความคดิ เห็น ๔.๑ ระยะเวลาในการรบั ฟังความคดิ เห็น ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๔ รวมระยะเวลา จานวน ๑๖๒ วัน นับจากวันขึ้นเว็บไซต์ ถึงวันปดิ การรับฟงั ความคดิ เห็น ๔.๒ วิธีการรบั ฟังความคิดเห็น (๑) ผา่ นระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศของรัฐสภา www.parliament.go.th (๒) ส่งประเดน็ ไปรบั ฟงั ผทู้ ีเ่ กี่ยวขอ้ งโดยตรง ประกอบดว้ ย ๑. สานกั งานศาลยตุ ธิ รรม ๒. สานกั งานอยั การสูงสุด ๓. สานกั งานตารวจแห่งชาติ ๔. สานกั งานศาลปกครอง

-๔- ๕. สรุปผลการรับฟังความคิดเห็น ๕.๑ ข้อมลู ทว่ั ไปผู้รว่ มแสดงความคิดเห็น จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของรัฐสภา www.parliament.go.th จานวน ๘ ราย ซ่ึงเปน็ ประชาชนทว่ั ไป จากการสง่ ประเด็นไปรบั ฟังผู้ทเี่ กย่ี วข้องโดยตรง ส่วนราชการ หน่วยงานของรฐั ท่ไี ดแ้ สดงความคดิ เหน็ จานวน ๔ ราย ได้แก่ ๑. สานกั งานศาลยุติธรรม ๒. สานกั งานอัยการสูงสดุ ๓. สานกั งานตารวจแห่งชาติ ๔. สานักงานศาลปกครอง ๕.๒ ผลการรับฟงั ความคิดเหน็ ผลการรบั ฟังผา่ นระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศของรฐั สภา www.parliament.go.th และ จาก การส่งประเดน็ ไปรบั ฟงั ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง สรุปได้เป็นรายประเดน็ ดังน้ี ๕.๒.๑ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า บิดเบือนกฎหมาย หมายความว่า การท่ีเจ้าพนักงานใน ตาแหน่งหน้าท่ใี นการยุตธิ รรม ใชก้ ฎหมายโดยไม่คานึงถึงขอบเขตของบทบัญญัตแิ หง่ กฎหมาย นิติวิธีการใช้ การตีความกฎหมาย หลักการทางกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับ เจตนารมณ์หรือคุณธรรมทางกฎหมาย ตลอดจนขอบเขตแห่งอานาจหน้าท่ีอันมีท่ีมาจากบทบัญญัติแห่งกฎหาย เพ่ือให้เกิดประโยชน์หรือความ เสียหายแกป่ ระชาชนผู้มอี รรถคดหี รอื คคู่ วามฝา่ ยหนึ่งฝา่ ยใด (รา่ งมาตรา ๓) เหน็ ดว้ ย การบังคับใช้กฎหมายต้องยุติธรรม เที่ยงธรรม ปราศจากอคติ และควรมีข้อกฎหมายที่มา ถว่ งดุลกรณีท่มี ีการใช้อานาจโดยอ้างกฎหมายอย่างไมถ่ ูกตอ้ งของเจ้าหน้าท่ีต้องยึดเจตนารมณ์ของกฎหมาย ปัจจุบันกรณีดังกล่าว การบิดเบือนกฎหมายส่งผลกระทบกับประชาชนโดยตรงในหมวดความม่ันคง ของประเทศซ่ึงเปน็ การนาบทบัญญัติดงั กลา่ วไปใชโ้ ดยไม่มีเหตุอันควรในทางการเมอื งโดยตลอดนบั จากอดีต เปน็ ต้นมา จงึ เหน็ ด้วยในร่างกฎหมายดังกล่าว ประชาชน ไมเ่ ห็นดว้ ย ๑.ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... มีสาระสาคัญ คือ แก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญาเพื่อกาหนดนิยามคาว่า “บิดเบือนกฎหมาย” และ กาหนดฐานความผิดแก่เจา้ พนกั งานในการยุติธรรมไม่ว่าจะเปน็ ผพู้ ิพากษา ตุลาการ พนักงานอยั การ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน ซึ่งมีหน้าที่ในการดาเนินกระบวนการยุติธรรมเพ่ือความเป็นธรรมของประชาชน ภายใต้กฎหมาย เป็นผู้รักษาและบังคับใช้กฎหมาย ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและด้วยความซื่อตรง ต่อกฎหมาย หากถูกอคติครอบงา หรอื จงใจปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริตกระทาการบิดเบือนบังคับใช้กฎหมาย โดยไมค่ านึงถงึ ขอบเขตของบทบัญญตั ิแห่งกฎหมาย นติ ิวิธีการใช้การตคี วามกฎหมาย หลักการทางกฎหมาย อนั เป็นท่ียอมรับ เจตนารมณ์หรือคุณธรรมทางกฎหมาย ขอบเขตแห่งอานาจหน้าที่อันมีที่มาจากบทบัญญัติ แห่งกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ประชาชนผู้มีอรรถคดีหรือคู่ความฝ่ายหน่ึงฝ่ายใด ไม่ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย ก่อให้เกิดสภาวะระบบกฎหมายปราศจากความน่าเชื่อถือ ไม่ได้รับ การยอมรับจากประชาชน และนานาอารยประเทศ เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ เน่ืองจากประมวล

-๕- กฎหมายอาญาฉบับปัจจุบันมิได้กาหนดฐานความผิดจากการกระทาดังกล่าวไว้เป็นการเฉพาะจึงจาเป็นต้อง ตราพระราชบัญญัตินี้ โดยเพิ่มเติมนิยาม คาว่า “บิดเบือนกฎหมาย” หมายความว่า การที่เจ้าพนักงาน ในตาแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ใช้กฎหมายโดยไม่คานึงถึงขอบเขตของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นิติวิธีการใช้การตีความกฎหมาย หลักการทางกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับ เจตนารมณ์หรือคุณธรรมทาง กฎหมาย ตลอดจนขอบเขตแห่งอานาจหน้าท่ีอันมีท่ีมาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เพ่ือให้เกิดประโยชน์ หรือความเสียหายแก่ประชาชนผู้มีอรรถคดีหรือคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด สานักงานศาลยุติธรรมได้พิจารณา ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ข้างต้นแล้ว มีข้อสังเกต บางประการ ดังนี้ (๑) ตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาตรา ๓ ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับบทนิยาม คาว่า “บิดเบือนกฎหมาย” น้ัน สานักงานศาลยุติธรรมขอเรียน ช้ีแจงว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นกฎหมายอาญาท่ีมีความไม่ชัดเจนและอาจทาให้เกิดปัญหา ในการบังคับใช้ ท้ังน้ี จากการศึกษากฎหมายต่างประเทศท่ีมีบทบัญญัติทานองเดียวกัน พบว่า ในประมวล กฎหมายอาญาของสมาพันธรัฐเยอรมัน มาตรา ๓๓๙ มีเจตนารมณ์ที่ต้องการจะให้เจ้าพนักงาน ในกระบวนการยุติธรรมใช้กฎหมายอย่างเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยให้ใช้กฎหมายโดยสุจริต (vgl. Lackner/Kuehl, Strafgesetzbuch, ๒๘. Auflage, ๒๐๑๔, มาตรา ๓๓๙,หัวข้อ ๑) ซึ่งไม่ตรงกับ คานิยามตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญาข้างต้นตั้งแต่คาว่า “ใช้กฎหมายโดย ไม่คานึง...ไปจนถึงอันมีที่มาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ซึ่งอาจทาให้เกิดปัญหาในการตีความได้เพราะ ในการใช้การตีความกฎหมายไม่ได้หมายความว่าจะต้องใช้หรือตีความกฎหมายไปตามแนวทางเดิมที่เคย ปฏิบตั ิมา กฎหมายเปน็ เรือ่ งของเหตุผลและหลักการทางกฎหมายอันเป็นทยี่ อมรับ หากมีเหตุผลใหมท่ ี่ดีกว่า เหตุผลเดิมก็ไม่ใช่เรื่องท่ีจะทาให้ต้องกลายเป็นการบิดเบือนกฎหมายไป การบัญญัติให้ความหมายของ คานิยามดังกล่าวจึงอาจมีผลต่อการพัฒนาหลักกฎหมายโดยศาลหรือแม้แต่การสร้างหลักกฎหมายใหม่ ๆ โดยตรง นอกจากน้ีมาตรา ๓๓๙ แห่งประมวลกฎหมายอาญาของสมาพันธรัฐเยอรมัน ไม่มีการ บัญญัตินิยามคาว่า “บิดเบือนกฎหมาย” ไว้ในส่วนขององค์ประกอบความผิด แต่บัญญัติถ้อยคาเพียงว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐท่ีใช้กฎหมายในการปฏิบัติหน้าท่ีนั้น ได้ใช้กฎหมายโดยเจตนาจะให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง ได้หรือเสียประโยชน์เท่าน้ัน ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาของสหพันธรัฐออสเตรีย มาตรา ๓๐๒ ก็บัญญัติใน ลักษณะทานองเดียวกับกฎหมายอาญาของสมาพันธรัฐเยอรมัน กล่าวคือ ไม่มีบทนิยามในเรื่องการใช้ กฎหมายโดยมิชอบแต่อย่างใด แม้ว่าจะมีคานิยามคาอ่ืน ๆ ก็ตาม (มาตรา ๖๘ ถึง ๗๔ แห่ง เร่ืองการใช้ กฎหมายโดยมิชอบแต่อย่างใด แม้ว่าจะมีคานิยามคาอ่ืน ๆ ก็ตาม (มาตรา ๖๘ ถึง ๗๔ แห่งประมวล กฎหมายอาญาของสหพันธรฐั ออสเตรยี ) สาหรับประมวลกฎหมายอาญาของประเทศสเปน (Código Penal) มีบทบัญญัติที่ กาหนดความผิดสาหรับผู้พิพากษาหรือตุลาการท่ีจงใจมีคาพิพากษาหรือมีคาสั่งท่ีไม่เป็นธรรมไว้ใน มาตรา ๔๔๖ แต่ความหมายของคาว่า “ท่ีไม่เป็นธรรม” หมายถึง คาพิพากษาหรือคาส่ังท่ีเกิดจากการใช้อย่างบิดเบือน หรือตามอาเภอใจซ่ึงบทบัญญัตแิ ห่งกฎหมาย ท้ังยงั รวมถึงการทาคาพิพากษาหรือคาสั่งโดยอาศัยบทบัญญัติ ท่ีมิชอบด้วยกฎหมายหรือขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าการปรับใช้หรือการตีความกฎหมาย ท่ีผิดพลาดจะเป็นความผิดฐานน้ีท้ังหมด ท้ังนี้ ศาลฎีกาสเปนได้วางหลักเกณฑ์ไว้ว่า คาพิพากษาหรือคาสั่ง ท่ีไม่เป็นธรรมนั้นจะต้อง “ไม่สมเหตุสมผล ผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ว่า จะเพราะเป็นการกระทาโดย ปราศจากอานาจก็ดี โดยผ่าฝืนตอ่ สาระสาคัญของกฎเกณฑ์ในกระบวนวิธีพิจารณาก็ดี หรือโดยเน้ือหาสาระ

-๖- ของตัวคาพิพากษาหรือคาสั่งนั้น ๆ เองก็ดี และการกระทาเหล่านั้นจะตอ้ งก่อให้เกดิ ความขัดแย้งทางภววิสัย ต่อระบบกฎหมายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งถึงขนาดท่ีบุคคลใดก็พิจารณาเห็นได้ และโดยไม่มีวิถีทางหรือวิธีการ ตีความกฎหมายใด อันเป็นที่ยอมรบั กันภายใตห้ ลกั นติ ิธรรมมารองรบั ” จะเห็นไดว้ ่า บทบัญญตั ิตามประมวล กฎหมายอาญาของประเทศสเปนดังกล่าวมิได้มีบทนิยามของคาว่า “คาพิพากษาหรือคาส่ังที่ไม่เป็นธรรม” ไว้ ซึ่งศาลฎีกาสเปนตีความ คาว่า “ความไม่เป็นธรรม” ไว้อย่างเคร่งครัดและเป็นรูปธรรมอย่างย่ิงและต้อง ไม่ใช่ประเด็นปัญหาในเรื่องการตีความกฎหมายด้วย อีกทั้งคู่ความที่ไม่พอใจคาพิพากษาของศาลก็มี กระบวนการอุทธรณ์ไปยงั ศาลสูงได้อยู่แล้ว สานกั งานศาลยุติธรรม ๒. ตามร่างมาตรา ๓ ที่กาหนดนิยามคาว่า “บิดเบือนกฎหมาย” มีความหมายท่ีคลุมเครือ ไม่ชัดเจน เป็นต้นว่า “...ใช้กฎหมายโดยไม่คานึงถึง ฯลฯ หลกั การทางกฎหมายอันเป็นทยี่ อมรับ...” ซ่ึงคาว่า หลักการทางกฎหมายอันเป็นท่ียอมรับนั้น มีความหมายอย่างไร และมีความหมายเพียงใด ทาให้คานิยาม คาว่า “บิดเบือนกฎหมาย” ดังกล่าวไม่ชัดเจนและไม่แน่นอน อีกท้ัง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของคาว่า “บิดเบือน” ว่าหมายถึง “ทาให้ผิดแผกไปจากเดิมหรือจาก ขอ้ เท็จจริง” อันมีความหมายอย่างกวา้ งไม่เฉพาะเจาะจง ตคี วามได้หลายนัย จงึ ไม่สอดคลอ้ งกบั นิติวธิ ีในการ ตีความกฎหมายอาญาซึ่งต้องตีความโดยเคร่งครัด สานกั งานอยั การสูงสดุ ๓. ตามร่างมาตรา ๔ ได้กาหนดว่า “มาตรา ๒๐๐/๑ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่ง พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน กระทาการบิดเบือนกฎหมาย ... ต้องระวางโทษ...” คาว่า กระทาการบิดเบือนกฎหมาย.... จึงถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบความผิดของบทบัญญัติดังกล่าว และเมื่อ พจิ ารณารา่ งมาตรา ๓ ที่ได้กาหนดนิยามของคาวา่ “บิดเบอื นกฎหมาย” หมายความว่า “การท่ีเจา้ พนักงาน ในตาแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรมใช้กฎหมายโดยไม่คานึงถึงขอบเขตของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นิติวิธีการใช้ การตีความกฎหมาย หลักการทางกฎหมายอันเปน็ ทย่ี อมรับ เจตนารมณ์หรอื คุณธรรมทางกฎหมายตลอดจน ขอบเขตแห่งอานาจหน้าที่อันมีที่มาจากบทบัญญัติของกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ ประชาชนผู้มีอรรถคดีหรือคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด” จึงเห็นได้ว่าเป็นการให้ความหมายขององค์ประกอบการ กระทาความผิดท่ีกว้างจนเกินไป ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญาอาญา มาตรา ๒ ท่ีวางหลักว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทาการอันกฎหมายท่ีใช้ในขณะ กระทานน้ั บญั ญัติเปน็ ความผิด...” อันเปน็ หลกั เกณฑ์ของกฎหมายอาญาที่แสดงใหเ้ ห็นว่าถ้อยคาในกฎหมาย อาญาจะต้องบัญญัติให้ชัดเจนแน่นอนปราศจากความคลุมเครือและ คานิยามดังกล่าวท่ีว่า “เพื่อให้เกิด ประโยชน์หรือความเสียหายแก่ประชาชนผู้มีอรรถคดีหรือคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด” ยังไม่ครอบคลุมถึงเพ่ือ ประโยชน์ตนเอง ดังนั้น จึงเห็นควรปรับแก้คานิยามให้ครอบคลุมถึงเพ่ือประโยชน์ของตนเองด้วย ประกอบ กบั บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา หมวดท่ี ๒ ได้บัญญัติเก่ียวกับความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ ไว้ชัดเจนอยแู่ ลว้ สานักงานตารวจแห่งชาติ ๔. กรณีการเพ่ิมบทนิยามคาว่า “บิดเบือนกฎหมาย” หมายความว่า “การท่ีเจ้าพนักงาน ในตาแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรม ใช้กฎหมายไม่คานึงถึงขอบเขตของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นิติวิธี การใช้การตีความกฎหมาย หลักการทางกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับ เจตนารมณ์หรือคุณธรรมทางกฎหมาย ตลอดจนขอบเขตแห่งอานาจหน้าท่ีอันมีท่ีมาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์หรือ ความเสียหายแก่ประชาชนผู้มีอรรถคดีหรือคู่ความฝ่ายหน่ึงฝ่ายใด” น้ัน เห็นว่า การเพ่ิมบทนิยามดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ในการเพ่ิมฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเพิ่มข้ึนอีกฐานหนึ่ง คือ ความผิด

-๗- ท่ีเจ้าพนักงานในตาแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรมบิดเบือนกฎหมาย การพิจารณาว่าควรมีบทนิยามดังกล่าว หรือไม่ จงึ ข้นึ กบั ว่าควรเพิม่ บทบญั ญัติในมาตรา ๒๐๐/๑ หรือไม่ สานักงานศาลปกครอง ๕. อาจจะเป็นชอ่ งทางและโอกาสใสร่ ้ายปา้ ยสีแก่ผูท้ ่ีมคี วามสงสัยและมคี วามเห็นต่าง ไดง้ า่ ย เพราะทุกคนมีสทิ ธิเสรภี าพในการวพิ ากษว์ ิจารณ์ในหลายแง่หลายมุม ประชาชน ๕.๒.๒ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรอื พนักงานสอบสวน กระทาการบิดเบือนกฎหมายในการสอบสวนและการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี ด้วยการทา ความเห็นควรสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี หรือการทาความเห็นทางคดีอย่างอ่ืนอันจะมีผลกระทบต่อ การส่ังฟ้องหรือส่ังไม่ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพ่ือให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ผู้เสียหาย หรอื ผตู้ ้องหา ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ตงั้ แต่หนึ่งปีถงึ สิบปี (ร่างมาตรา ๔ วรรคหน่ึง) ๕.๒.๓ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการ กระทาการ บิดเบือนกฎหมายในการพิจารณาคดี การทาคาสั่งรับหรือไม่รับฟ้อง การทาคาพิพากษาหรือคาส่ังชี้ขาด ตัดสินคดี หรือการทาคาส่ังคาร้อง หรือคาขออ่ืนใด เพ่ือให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ผูต้ อ้ งหา หรือคู่ความฝ่ายหนึ่งฝา่ ยใด ต้องระวางโทษจาคุกตัง้ แตส่ ามปีถงึ ยีส่ บิ ปี (ร่างมาตรา ๔ วรรคสอง) เหน็ ดว้ ย ๑. ควรมีข้อกฎหมายท่ีมาถ่วงดุลกรณีท่ีมีการใช้อานาจโดยอ้างกฎหมายอย่างไม่ถูกต้อง ของเจ้าหน้าที่ แต่อาจไม่จาเป็นต้องระบโุ ทษข้ันตา่ ประชาชน ๒. ต้องยึดเจตนารมณ์ของกฎหมาย ประชาชน ๓. ปัจจุบันเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าว โดยทางกฎหมายได้ใช้อานาจพิจารณา โดยไม่ผ่าน หน่วยงานอ่ืนท่ีสามารถคัดค้านได้ (ปัจจุบันเป็นเพียงการให้ความเห็นแย้งเท่านั้น) เพื่อให้ความเห็นก่อน ส่งั ฟอ้ ง ทาให้เจา้ หนา้ ทรี่ ัฐดงั กลา่ วสามารถบดิ เบือนกฎหมายได้ตามอาเภอใจ ประชาชน ๔. สรา้ งบรรทัดฐานในสงั คม และระบบกฎหมาย ประชาชน ๕. อตั ราโทษมีความเหมาะสม และเป็นการกระทาท่ีผดิ ต่อกฎหมายหลายบท ประชาชน ๖. ปจั จบุ นั เจา้ หนา้ ทร่ี ัฐทม่ี อี านาจหนา้ ทโี่ ดยตรงหรือผู้บังคับบัญชาของเจา้ หน้าทด่ี ังกล่าว ท้ังทางตรงหรือทางอ้อมสามารถแทรกแซงการพจิ ารณาต่าง ๆ ไดป้ ระชาชน ๗. ทาให้หลกั อิสระในการพิจารณาของเจา้ หนา้ ทสี่ ้นิ ไป ประชาชน ไมเ่ ห็นด้วย ๑. เพ่ิมความเป็น มาตรา ๒๐๐/๑ วรรคหนึ่ง ดังนี้ “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่ง พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน ใช้อานาจในตาแหน่งโดยมิชอบ กระทาการบิดเบือน กฎหมายในระหว่างการสอบสวนมีความเห็นทางคดี ส่ังฟ้องหรือไม่ฟ้อง ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาคดี เพื่อให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ต้องระวางโทษจาคุกต้ังแต่หนึ่งปีถึงสิบปี” วรรคสอง บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการ กระทาการบิดเบือนกฎหมายในการ พิจารณาคดี การทาคาสั่งรับหรือไม่รับฟ้อง การทาคาพิพากษาหรือคาส่ังชี้ขาดตัดสินคดี หรือการทาคาสั่ง คาร้องหรือคาขออื่นใดเพ่ือให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือคู่ความฝ่ายหน่ึง ฝ่ายใด ต้องระวางโทษจาคุกต้ังแต่สามปีถึงย่ีสิบปี” สานักงานศาลยุติธรรมได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... ขา้ งตน้ แลว้ มีข้อสงั เกตบางประการ ดังน้ี (๑) ตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. …. มาตรา ๔ ในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับผู้กระทาความผิด เมื่อเปรียบเทียบกับประมวลกฎหมายอาญาของ

-๘- สมาพันธรฐั เยอรมนั มาตรา ๓๓๙ มุ่งลงโทษเจ้าหน้าท่ใี นกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาที่ใชก้ ฎหมายโดยไม่ สุจริต อยา่ งไรกต็ าม ผู้กระทาความผิดตามท่ีกาหนดไว้ในร่างพระราชบญั ญัติน้ี ยงั ไมค่ รอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ทงั้ หมดท่ที าหนา้ ทีใ่ นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย สานักงานศาลยุตธิ รรม (๒) ในเร่ืองของเจตนาพิเศษตาม มาตรา ๒๐๐/๑ วรรคหนึ่งและวรรคสอง แห่งร่าง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาตรา ๔ คือ “...เพื่อให้เกิด ประโยชน์หรือความเสียหายแก่...” นน้ั โดยปกติการดาเนินคดีย่อมต้องเกิดผลเปน็ ประโยชน์หรอื เสียหายแก่ คู่พิพาทเป็นธรรมดา การบัญญัติองค์ประกอบความผิดดังกล่าวจึงเป็นการเอาผิดกับกระบวนการปกติ หากเปรียบเทียบกับประมวลกฎหมายอาญาของไทยท่ีใช้ในปัจจุบัน ในเรื่องเจตนาพิเศษตาม มาตรา ๒๐๐ วรรคหนึ่ง คือ “เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดมีให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง...” ส่วนมาตรา ๒๐๐ วรรคสอง คือ “เพ่ือจะแกล้งให้บุคคลหน่งึ บุคคลใดต้องรับโทษ รับโทษหนักขึ้น หรือต้องถกู บังคบั ตามวธิ ีการ เพ่ือความปลอดภัย...” มีการบัญญัติถึงเจตนาพิเศษไว้อย่างชัดเจนถึงเหตุท่ีควรเอาผิด แต่ตามร่าง พระราชบญั ญัตฯิ ขา้ งต้น เป็นการบัญญัติเจตนาพิเศษในลักษณะที่กว้างเกินไป ซ่ึงขัดกับเจตนารมณ์ของการ รา่ งกฎหมายอาญาทต่ี อ้ งมคี วามชัดเจน สานกั งานศาลยุตธิ รรม (๓) ประมวลกฎหมายอาญาทีใ่ ช้บังคับในปัจจบุ ันมีบทบัญญัตทิ ่ีใช้บงั คบั ซ่ึงเปน็ บทเฉพาะ และบททว่ั ไปครอบคลมุ การกระทาความผิดสาหรับเจา้ พนักงานในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ หากเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพ่ือให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยทุจริตต่อหน้าที่ ก็จะ เป็นความผิดตามมาตรานี้ ดังนั้น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ย่อมครอบคลุมถึงการกระทา ความผิดตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ข้างต้นด้วย สานักงานศาลยุตธิ รรม (๔) ร่างพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ฉบับนี้ ยังกระทบต่อหลักความเป็นอิสระของบุคคลที่เก่ียวข้องในกระบวนการยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๘๘ วรรคสอง บัญญัติว่า “ผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมี อิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และ ปราศจากอคตทิ ั้งปวง” นอกจากน้ีหลักความเป็นอิสระของตลุ าการ เปน็ หลักสากลที่ไดร้ ับการยอมรบั วา่ เป็น หลักประกันความยุติธรรม ดังน้ัน ผู้พิพากษาย่อมมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ คือ การพิจารณา พิพากษาอรรถคดี ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคลหรือองค์กรใด และในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา ต้องกระทาได้โดยปราศจากความกลัวต่ออิทธิพลหรือการฟ้องร้องคดีใด ๆ อันเป็นการกล่ันแกลังภายหลัง หลักความเป็นอิสระนี้ยังเป็นหลักประกันการปฏิบัติหน้าที่ว่ามีความบริสุทธ์ิยุติธรรมและมีประสิทธิภาพ ท้ังนี้ หากมีการวินิจฉัยคดีที่ผิดพลาดไป คู่ความก็ยังสามารถอุทธรณ์หรือฎีกาไปยังศาลสูงเพ่ือให้เกิดการ วินิจฉัยคดีใหม่ได้ และกฎหมายอาญาเก่ียวกับความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรมตามประมวล กฎหมายอาญามีความเหมาะสมและเพียงพอในการรักษามาตรฐานของระบบงานยุติธรรมของประเทศ ในภาพรวมตามหลักการเหตุผลของผู้เสนอร่างกฎหมายน้ีแล้ว ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้น สานักงาน ศาลยุตธิ รรมจึงไมเ่ ห็นดว้ ยกบั ร่างพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพม่ิ เติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... สานักงานศาลยุติธรรม ๒. กรณีร่างมาตรา ๒๐๐/๑ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้ “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่ง พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน กระทาการบิดเบือนกฎหมายในการสอบสวนและการสั่ง ฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี ด้วยการทาความเห็นควรส่ังฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี หรือการทาความเห็นทางคดีอย่างอื่น

-๙- อันจะมีผลกระทบต่อการสั่งฟ้องหรือส่ังไม่ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพ่ือให้เกิดประโยชน์ หรือความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือผู้ต้องหา ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่หน่ึงปีถึงสิบปี” และวรรคสอง ที่บัญญัติให้ “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการ กระทาการบิดเบือนกฎหมายในการพิจารณาคดี การทาคาสั่งรับหรือไม่รับฟ้อง การทาคาพิพากษาหรือคาส่ังขี้ขาดตัดสินคดี หรือการทาคาสั่งคาร้อง หรือคาขออ่ืนใด เพื่อให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี” นั้น เห็นว่า การใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานในตาแหน่งหน้าท่ี ในการยุติธรรมแยกได้เป็น ๒ กรณี คือกรณีแรกเป็นการใช้กฎหมายในลักษณะของ “การริเร่ิมดาเนิน กระบวนการยุติธรรม” ทั้งทางอาญา ทางแพ่งหรือทางปกครอง รวมท้ังดาเนินกระบวนพิจารณาไปตามที่ กฎหมายบัญญัติกรณีที่สองเป็นการใช้กฎหมายในลักษณะของ “การปรับกฎหมายเข้ากับข้อเท็จจริง เพ่ือช้ีผลทางกฎหมาย” สาหรับกรณีแรก จะเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานเป็นผู้ดาเนินการใช้กฎหมายกับบุคคล หน่ึงบุคคลใด เช่น การร้องทุกข์กล่าวโทษ การสอบสวน การจับกุม เป็นต้น ซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนการฟ้องคดี ต่อศาล หากมีการบิดเบือนกฎหมายเพ่ือกล่ันแกล้งผู้ใดเจ้าพนักงานก็จะต้องรับโทษตามมาตรา ๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา จึงซ้าซ้อนกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่สองเป็นกระบวนการใช้กฎหมาย ในชั้นการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ซึ่งหากมีการบิดเบือนกฎหมายก็มีกระบวนการตรวจสอบ โดยการอุทธรณ์ต่อศาลช้ันที่สูงขึ้น การบัญญัติให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลมีโทษทางอาญา อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแทรกแซงดุลพินิจของศาล และขัดต่อหลักความเป็นอิสระของศาลท่ีได้รับ ความคุม้ ครองอย่างชัดแจง้ ตามรัฐธรรมนญู สานกั งานศาลปกครอง ๓. เจตนารมณ์ของการตราร่างมาตรา ๒๐๐/๑ ก็เพ่ือลงโทษบุคคลที่กระทาการบิดเบือน กฎหมาย อันเป็นการกระทาที่มิชอบด้วยกฎหมาย ซ่ึงตามประมวลกฎหมายอาญาภาค ๒ ได้บัญญัติ การกระทาท่ีมิชอบด้วยกฎหมายเกยี่ วกบั ความผิดต่อตาแหน่งหนา้ ท่ีราชการและความผดิ ต่อตาแหนง่ หนา้ ที่ ในการยุติธรรมไว้แล้วในมาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๒๐๐ จึงไม่จาต้องตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๐/๑ ข้นึ อีก สานักงานอยั การสูงสุด ๔. อาจจะทาใหเ้ กดิ ช่องโหวข่ องกฎหมาย ประชาชน ๕.๒.๔ ข้อคิดเหน็ และข้อเสนอแนะอนื่ ๆ (ถ้าม)ี ๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๗๗ วรรคหนึ่ง ได้ บัญญตั ิหลกั การสาคญั ในการตรากฎหมายต่าง ๆ ไว้วา่ “รฐั พึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าท่ีจาเป็น และยกเลิก หรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจาเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการ ดารงชีวิตหรอื การประกอบอาชีพโดยไม่ชักชา้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน และดาเนินการให้ประชาชน เข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ได้โดยสะดวกและสามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพ่ือปฏิบัติตามกฎหมายได้ อย่างถูกต้อง” ประกอบกับตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทาร่างกฎหมายและการประเมินผล สัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๒๑ (๘) กาหนดหลักเกณฑ์ในการจดั ทาร่างกฎหมายในส่วนของ การกาหนดโทษอาญาไว้ว่า “๘) การกาหนดโทษอาญาสาหรับการกระทาความผดิ ใด ใหค้ านึงถึงหลกั เกณฑ์ (ก) การกระทาน้ันต้องกระทบต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยของประเทศ ความสงบเรียบรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชนอย่างร้ายแรง หรอื มีผลกระทบตอ่ สว่ นรวม (ข) เป็นกรณีท่ีไม่สามารถใช้มาตรการอื่นใดเพ่ือบังคับใช้กฎหมายอย่างได้ผล และมีประสิทธภิ าพเพยี งพอท่ีจะใหป้ ระชาชนปฏิบัติตามกฎหมายได้”

- ๑๐ - ดังน้ัน รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเท่าที่จาเป็นและการกาหนดโทษทางอาญาสาหรับการกระทา ความผิดใดต้องเป็นเรื่องที่การกระทาน้ันกระทบต่อความม่ันคงหรือความปลอดภัยของประเทศ หรือความ สงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างร้ายแรงหรือมีผลกระทบต่อส่วนรวม ทั้งต้องเป็นกรณีท่ี ไม่สามารถใช้มาตรการอ่ืนใดเพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพเพียงพอ สานักงาน อยั การสูงสดุ ๒. ควรมีหน่วยงานอ่ืนรว่ มด้วย เช่น ผู้แทนสถาบันการศึกษาด้านกฎหมายร่วมพจิ ารณาคดี เพื่อจะทาให้เกิดความละอายใจในการปฏิบัติหน้าท่ี และไม่ควรใช่กฎหมายตามอาเภอใจ และควรให้มี ตวั แทนไดพ้ จิ ารณาและลงมตริ ่วมด้วย ประชาชน ๓. ควรบัญญัติให้ส่วนราชการท่ีเกี่ยวข้อง ออกกฎ ระเบียบ รองรับการบังคับใช้กฎหมาย ให้ชัดเจนดว้ ย ประชาชน ส่วนที่ ๓ รายงานผลการวเิ คราะหผ์ ลกระทบอนั เกดิ จากร่างพระราชบญั ญัติ ๑. ความเปน็ มา สภาพปัญหา ความจาเป็นทจ่ี ะตอ้ งตราพระราชบญั ญตั ิ โดยที่เจ้าพนักงานในการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา ตุลาการ พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน ล้วนเป็นผู้มีหน้าที่ในการดาเนินกระบวนการยุติธรรมเพ่ือความเป็นธรรม ของประชาชนภายใต้กฎหมายของบ้านเมือง จึงอาจกล่าวได้เจ้าพนักงานดังกล่าวน้ีเป็นผู้รักษาและบังคับ ใช้กฎหมาย ซ่ึงย่อมจะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและด้วยความช่ือตรงต่อกฎหมายอย่างถึงท่ีสุด หาก เจ้าพนักงานดังกล่าวถูกอคติครอบงาหรือจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริตกระทาการบิดเบือนบังคับใช้ กฎหมายโดยไม่คานึงถึงขอบเขตของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นิติวิธีการใช้การตีความกฎหมาย หลักการทางกฎหมายอันเป็นท่ียอมรับ เจตนารมณ์หรือคุณธรรมทางกฎหมาย ตลอดจนขอบเขตแห่ง อานาจหน้าท่ีอันมีที่มาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ประชาชน ผู้มีอรรถคดีหรือคู่ความฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดไม่ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย ก่อให้เกิดสภาวะท่ีระบบ กฎหมายปราศจากความม่ันคงแน่นอน อันเป็นการบ่ันทอนมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมของประเทศ ในภาพรวมให้ปราศจากความน่าเช่ือถือ และไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ตลอดจนนานา อารยประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างย่ิง ท้ังน้ี สืบเน่ืองจากประมวลกฎหมาย อาญาฉบับปัจจุบันมิได้กาหนดฐานความผิดจากการกระทาดังกล่าวของเจ้าพนักงานในการยุติธรรมไว้ เปน็ การเฉพาะ จงึ จาเปน็ ต้องตราพระราชบญั ญตั นิ ี้ ๒. ความสอดคล้องของรา่ งพระราชบัญญัติ  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย ………………………  รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย ………………………  ยุทธศาสตร์ชาตดิ า้ น ................................  แผนปฏริ ปู ประเทศ เร่ือง ………………………  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ................................. ๓. ประโยชนท์ ป่ี ระชาชนและสังคมจะไดร้ บั เพ่ือกาหนดโทษอาญาให้มีความเหมาะสม และช่วยให้ประชาชนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและ ปลอดภัย

- ๑๑ - ๔. ความสมั พันธห์ รอื ความใกล้เคยี งกบั กฎหมายอ่นื รา่ งพระราชบญั ญัติฉบบั นม้ี ีความสมั พันธก์ บั ประมวลกฎหมายอาญา ซ่งึ เป็นกฎหมายหลัก ๕. ผลกระทบโดยรวมทอ่ี าจเกิดข้นึ จากกฎหมาย ๕.๑ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ไม่มี ๕.๒ ผลกระทบต่อสังคม ไม่มี ๕.๓ ผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มหรอื สขุ ภาวะ ไม่มี ๕.๔ ผลกระทบอน่ื ทส่ี าคญั ไม่มี ๖. การกาหนดใหม้ ีระบบอนญุ าต อนุมัติหรอื การใชด้ ุลพินิจของเจ้าหน้าท่ี  มี  ไมม่ ี ๗. การกาหนดให้มีระบบคณะกรรมการ  มี  ไมม่ ี ๘. บทกาหนดโทษ  ไมม่ ี  โทษทางอาญา  โทษทางปกครอง  โทษปรบั เป็นพนิ ัย  โทษอปุ กรณ์ เหตผุ ลและความจาเป็น โดยที่เจ้าพนักงานในการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา ตุลาการ พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน ล้วนเป็นผู้มีหน้าท่ีในการดาเนินกระบวนการยุติธรรมเพื่อความเป็นธรรม ของประชาชนภายใต้กฎหมายของบ้านเมือง จึงอาจกล่าวได้ว่าเจ้าพนักงานดงั กล่าวนี้เป็นผู้รักษาและบังคับ ใช้กฎหมาย ซึ่งย่อมจะต้องปฏิบัติหน้าท่ีโดยสุจริตและด้วยความช่ือตรงต่อกฎหมายอย่างถึงที่สุด หาก เจ้าพนักงานดังกล่าวถูกอคติครอบงาหรือจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริตกระทาการบิดเบือนบังคับใช้ กฎหมายโดยไม่คานึงถึงขอบเขตของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นิติวิธีการใช้การตีความกฎหมาย หลักการทางกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับ เจตนารมณ์หรือคุณธรรมทางกฎหมาย ตลอดจนขอบเขตแห่ง อานาจหน้าท่ีอันมีที่มาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ประชาชน ผู้มีอรรถคดีหรือคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย ก่อให้เกิดสภาวะท่ีระบบ กฎหมายปราศจากความมั่นคงแน่นอน อันเป็นการบั่นทอนมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมของประเทศ ในภาพรวมให้ปราศจากความน่าเช่ือถือ และไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ตลอดจนนานา อารยประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง ท้ังนี้ สืบเน่ืองจากประมวลกฎหมาย อาญาฉบับปัจจุบันมิได้กาหนดฐานความผิดจากการกระทาดังกล่าวของเจ้าพนักงานในการยุติธรรมไว้ เปน็ การเฉพาะ จงึ จาเปน็ ตอ้ งตราพระราชบญั ญตั นิ ี้ .

- ๑๒ - ส่วนท่ี ๔ การเปิดเผยรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานผลการวิเคราะห์ ผลกระทบอนั เกดิ จากร่างพระราชบัญญัติ คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดข้ึนจากร่างพระราชบัญญัติ ท่ีเสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ได้เปิดเผยรายงานผลการรับฟังความคิดเห็น และรายงานผลการวิเคราะห์ผลกระทบอันเกิดจากร่างพระราชบัญ ญั ติ ทางเว็บไซต์รัฐสภา www.parliament.go.th แล้ว ตงั้ แตว่ นั ท่ี ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๔ คณะกรรมการรับฟังความคิดเหน็ และวเิ คราะห์ผลกระทบท่ีอาจเกิดข้ึน จากร่างพระราชบัญญตั ิทเ่ี สนอโดยสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรหรือผู้มสี ิทธเิ ลือกต้ัง สานกั งานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร















-๒- รายงานผลการรับฟังความคดิ เหน็ และรายงานผลการวิเคราะหผ์ ลกระทบท่อี าจเกดิ จากรา่ งพระราชบัญญตั ิ ส่วนที่ ๑ ข้อมูลพน้ื ฐานของรา่ งพระราชบญั ญตั ิ ๑. ร่างพระราชบญั ญตั ิปา่ ไม้ (ฉบบั ที่ ..) พ.ศ. ....  กฎหมายใหม่  แกไ้ ขเพมิ่ เติม  ยกเลิก ๒. หลักการและเหตผุ ล ๒.๑ หลักการ แกไ้ ขเพมิ่ เติมพระราชบัญญตั ิป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ เพอื่ ชว่ ยเหลอื ประชาชนท่ีไม่ มีท่ีดินทากินหรือมีแต่ไม่ถึงย่ีสิบไร่ แต่ยึดถือครองหรือครอบครองพ้ืนที่ป่าท่ีไม่มีสภาพเป็นป่าหรือเป็นป่าเสื่อม โทรมและไม่เป็นสภาพที่ควรอนุรักษ์เพ่ือคุณภาพสิ่งแวดล้อม ก่อนหน่ึงปีก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้ บังคับให้สามารถประกอบอาชีพและอยู่อาศัยได้ โดยกระจายอานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมีอานาจ ออกหนังสอื รับรองการยึดถือและทาประโยชน์ในท่ีดินเพื่อให้สิทธยิ ดึ ถือครอบครองและทาประโยชนใ์ นท่ีดินน้ัน แต่สิทธิครอบครองที่ดินน้ันไม่สามารถโอนให้แก่ผู้อื่นได้ (เพ่ิมมาตรา ๕๔/๑ และมาตรา ๕๔/๒) และการ กระทาตามมาตรา ๕๔/๑ ไม่เป็นความผิดและไม่ต้องรับโทษ รวมถึงปรับปรุงโทษให้เหมาะสม (แก้ไขเพ่ิมเติม มาตรา ๗๒ ตรี) ๒.๒ เหตุผล โดยที่ปัจจุบันปรากฏว่าเจ้าหน้าท่ีได้ดาเนินคดีกับประชาชนผู้เข้าทาการยึดถือ หรือครอบครองท่ีดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทาด้วยประการใด ๆ ให้เสื่อมสภาพ หรือเปล่ียนแปลง สภาพพื้นที่ป่า และประชาชนใช้พื้นท่ีป่าเพ่ือการประกอบอาชีพหรือเป็นที่อยู่อาศัย ทั้งท่ีพ้ืนที่ดังกล่าวเป็นป่า เส่ือมโทรมซึ่งไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็นพ้ืนท่ีป่าแล้ว จึงเป็นการสมควรที่จะช่วยเหลือประชาชนซ่ึงไม่มีท่ีดนิ เพ่ือการประกอบอาชีพและไม่มีที่อยู่อาศัย แต่ได้ยึดถือหรือครอบครอบพ้ืนท่ีป่ามากว่าหนึ่งปีก่อนท่ี พระราชบญั ญตั ิน้ีมีผลใชบ้ ังคับ ให้สามารถประกอบอาชีพและอยู่อาศัยโดยไมถ่ ือวา่ เป็นการกระทาความผิดทาง อาญา โดยกระจายอานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมีหน้าที่พิจารณาความเหมาะสมในการออกหนังสือ รบั รองการยดึ ถือและทาประโยชนใ์ นท่ีดินเพื่อเป็นหลกั ฐานภายใต้เง่ือนไขที่กฎหมายกาหนด ๓. ผูเ้ สนอร่างพระราชบัญญัติ  สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร  ประชาชนเขา้ ชื่อเสนอกฎหมาย นายวิรัช พนั ธมุ ะผล สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรกบั คณะ เป็นผ้เู สนอ

-๓- ส่วนที่ ๒ การรับฟังความคดิ เหน็ และสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น ๑. ข้อมูลประกอบการรบั ฟังความคดิ เห็น การตราพระราชบัญญัตินี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ เพ่ือ ช่วยเหลือประชาชนท่ีไม่มีท่ีดินทากินแต่ได้เข้าไปยึดถือหรือครอบครองพื้นที่ป่าท่ีไม่มีสภาพเป็นป่าหรือเป็นป่า เสอื่ มโทรมและไมเ่ ป็นป่าที่ควรอนุรักษเ์ พื่อคุณภาพส่งิ แวดล้อม โดยร่างพระราชบญั ญัตปิ า่ ไม้ (ฉบบั ท่.ี .) พ.ศ. .... มีสาระสาคัญดังน้ี ๑. กาหนดให้ผู้ที่ไม่มีท่ีดินทากินหรือมีแต่ไม่ถึงยี่สิบไร่ ซ่ึงได้ก่อสร้าง แผ้วถางป่าท่ีไม่มีสภาพ เปน็ ป่าหรอื เป็นปา่ เสอ่ื มโทรม หรอื กระการใด ๆ อนั เป็นการทาลายปา่ ที่ไม่มสี ภาพเปน็ ป่าหรือเป็นป่าเสื่อมโทรม และไมเ่ ป็นป่าที่ควรอนรุ ักษ์เพ่ือคุณภาพสงิ่ แวดล้อม และได้ยดึ ถือหรือครอบครองพนื้ ที่ป่าเนื้อท่ีไมเ่ กินยี่สิบห้า ไร่มาก่อนหน่ึงปีก่อนพระราชบัญญัติน้ีบังคับใช้ สามารถประกอบอาชีพและอยู่อาศัยในที่ดินนั้นได้ โดยให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมีอานาจพิจารณาความเหมาะสมในการออกหนังสือรับรองการยึดถือครอบครอง การทาประโยชน์ในท่ดี ินทไ่ี ด้มาน้ัน โดยใหผ้ บู้ ริหารท้องถิ่นพจิ ารณาอนุญาตตามหลักเกณฑ์ ดงั นี้ (๑) ผ้ยู น่ื คาขอไมม่ ีทีด่ นิ ทากนิ หรอื มไี ม่ถึงยี่สบิ ไร่ (๒) เป็นผู้ยึดถือครอบครองและทาประโยชน์ในพ้ืนท่ีป่าที่ไม่มีสภาพเป็นป่าหรือเป็นป่า เสอ่ื มโทรมและไม่เปน็ สภาพปา่ ทคี่ วรอนุรักษเ์ พื่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยมเี นอ้ื ทีไ่ มเ่ กินยส่ี บิ หา้ ไร่ (๓) ผยู้ นื่ คาขอไดย้ ึดถือครอบครองและทาประโยชน์ในพน้ื ท่ีปา่ นัน้ มาก่อนหนง่ึ ปี กอ่ นวนั ที่ พระราชบัญญตั นิ ้ีใชบ้ งั คับ และเมือได้หนังสือรับรองการยึดถือครอบครองการทาประโยชน์ในที่ดินนั้นแล้วไม่สามารถ โอนแก่ผู้อื่นได้ เว้นแต่ตกทอดให้แก่ทายาทโดยธรรม แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ยึดถือครอบครองและทาประโยชน์ยื่นคา ขอมีสทิ ธิในทดี่ นิ ตามกฎหมายวา่ ด้วยท่ดี ินหรือกฎหมายอ่นื ๒. กาหนดให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้ท่ีกระทาผิดเกี่ยวกับการก่อสร้าง แผ้วถางป่า เผาป่า หรือกระการใด ๆ อันเป็นการทาลายป่า หรือเข้ายึดถือทาประโยชน์ในพื้นท่ีป่าท่ีไม่มีสภาพเป็นป่าหรือเป็นป่า เสื่อมโทรมและไม่เป็นป่าที่ควรอนุรักษ์เพ่ือคุณภาพสิ่งแวดล้อม แต่ได้กระทาตามเงื่อนไขเพื่อให้ได้สิทธิครอบ ครอบพ้ืนที่ปา่ เนื้อที่ไมเ่ กินยสี่ ิบห้าไร่และได้กระทาก่อนหน่ึงปีก่อนพระราชบัญญตั ินีบ้ ังคับใช้ ผูน้ ั้นไมม่ คี วามผิด และไม่ตอ้ งรับโทษ ๒. ผู้เกย่ี วขอ้ งที่ได้รับหรืออาจไดร้ บั ผลกระทบจากรา่ งพระราชบญั ญัติ ๒.๑ กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม ๒.๒ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย

-๔- ๒.๔ ประชาชนทั่วไป ๓. ประเด็นการรบั ฟังความคิดเห็น ๓.๑ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ กับการให้ผู้ที่ไม่มีท่ีดินทากินหรือมีแต่ไม่ถึงยี่สิบไร้ ซึ่งได้ก่อสร้าง แผ้วถางป่า ยึดถือครอบครองและทาประโยชน์ในพ้ืนที่ป่าท่ีไม่มีสภาพเป็นป่าหรือเป็นป่าเสื่อมโทรมมีเน้ือที่ไม่ เกนิ ยสี่ บิ ห้าไร่กอ่ นหนง่ึ ปที ่ีพระราชบัญญตั ินี้ใชบ้ ังคับ สามารถครอบครองและทาประโยชน์ในพ้นื ทดี่ ินน้ันได้โดย ใหอ้ งค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอานาจพิจารณาความเหมาะสมในการออกหนงั สือรับรองการยึดถือครอบครอง การทาประโยชนใ์ นท่ีดนิ นน้ั ๓.๒ ทา่ นเห็นด้วยหรือไม่ เมอื ไดห้ นังสือรับรองการยดึ ถือครอบครองการทาประโยชน์ในท่ีดิน แลว้ ไม่สามารถโอนให้แกผ่ ู้อืน่ ได้ เว้นแตต่ กทอดให้แก่ทายาทโดยธรรม แตไ่ มต่ ัดสิทธผิ ู้ยดึ ถือครอบครองและทา ประโยชนย์ ื่นคาขอมีสิทธิในที่ดนิ ตามกฎหมายว่าดว้ ยทดี่ ินหรอื กฎหมายอน่ื ๓.๓ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ กับการกาหนดให้ผู้ใดท่ีกระทาการก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือกระ การใดๆ อันเปน็ การทาลายปา่ ท่ีไม่มีสภาพเปน็ ปา่ หรือเป็นป่าเสื่อมโทรมซ่งึ ไม่เป็นป่าท่ีควรอนุรักษ์เพ่ือคุณภาพ สิ่งแวดล้อม เพ่ือยึดถือครอบครองและทาประโยชน์ในพ้ืนท่ีป่านั้นมีเนื้อที่ไม่เกินยี่สิบห้าไร่และได้กระทาก่อน หนง่ึ ปที ่ีพระราชบัญญัตินีใ้ ชบ้ ังคับ ผนู้ ั้นไมม่ คี วามผดิ และไม่ต้องรับโทษ ๓.๔ ขอ้ คดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะอน่ื ๆ ๔. ระยะเวลาและวธิ ีการการรับฟงั ความคดิ เหน็ ๔.๑ ระยะเวลาในการรับฟงั ความคดิ เหน็ เปิดรับฟังต้ังแต่วนั ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ถึงวนั ท่ี ๙ ธนั วาคม ๒๕๖๔ รวมระยะเวลา ๑๕๓ วนั ๔.๒ วิธีการรบั ฟังความคดิ เห็น (๑) ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของรัฐสภา www.parliament.go.th สรปุ ได้ ดังนี้

-๕- ๕. สรุปผลการรบั ฟังความคดิ เหน็ ๕.๑ ขอ้ มูลท่ัวไปผรู้ ่วมแสดงความคิดเหน็ จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของรัฐสภา www.parliament.go.th จานวน ๖ ราย ซึ่งเป็นข้าราชการ นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ๕.๒ ผลการรับฟงั ผลการรบั ฟงั ผา่ นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของรฐั สภา www.parliament.go.th สรปุ ไดเ้ ปน็ รายประเดน็ ดงั นี้ ๑. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ กับการให้ผู้ท่ีไม่มีที่ดินทากินหรือมีแต่ไม่ถึงย่ีสิบไร้ ซ่ึงได้ก่อสร้าง แผ้วถางป่า ยึดถือครอบครองและทาประโยชน์ในพื้นที่ป่าที่ไม่มีสภาพเป็นป่าหรือเป็นป่าเสื่อมโทรมมีเนื้อที่ไม่ เกนิ ยี่สบิ ห้าไร่ก่อนหน่งึ ปีทีพ่ ระราชบัญญตั นิ ้ีใช้บังคับ สามารถครอบครองและทาประโยชนใ์ นพื้นที่ดนิ นัน้ ได้โดย ใหอ้ งคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ินมีอานาจพิจารณาความเหมาะสมในการออกหนังสือรบั รองการยึดถือครอบครอง การทาประโยชน์ในทดี่ ินนัน้ เห็นด้วย ๕ ราย ไม่เห็นด้วย ๑ ราย เพราะนักการเมืองท้องถิ่นจะเห็นแก่ญาติพ่ีน้องในการพิจารณาออก หนังสือรับรองการยึดถือครอบครองการทาประโยชนใ์ นทีด่ ิน ๒. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ เมือได้หนังสือรับรองการยึดถือครอบครองการทาประโยชน์ใน ที่ดินแล้วไม่สามารถโอนให้แก่ผู้อ่ืนได้ เว้นแต่ตกทอดให้แก่ทายาทโดยธรรม แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ยึดถือครอบครอง และทาประโยชน์ยน่ื คาขอมสี ทิ ธิในที่ดนิ ตามกฎหมายวา่ ด้วยทด่ี นิ หรือกฎหมายอนื่ เหน็ ดว้ ย ๖ ราย ไมเ่ ห็นดว้ ย (ไม่ม)ี ๓. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ กับการกาหนดให้ผู้ใดที่กระทาการก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือกระ การใดๆ อันเปน็ การทาลายป่าที่ไม่มีสภาพเปน็ ปา่ หรือเปน็ ป่าเส่ือมโทรมซง่ึ ไม่เป็นป่าที่ควรอนุรักษ์เพื่อคุณภาพ

-๖- ส่ิงแวดล้อม เพ่ือยึดถือครอบครองและทาประโยชน์ในพ้ืนที่ป่าน้ันมีเน้ือที่ไม่เกินย่ีสิบห้าไร่และได้กระทาก่อน หน่งึ ปีที่พระราชบญั ญัตินใ้ี ช้บังคับ ผนู้ ้นั ไม่มคี วามผิดและไมต่ ้องรับโทษ เหน็ ด้วย (ไม่ม)ี ไม่เห็นด้วย ๖ ราย สรุปความเห็นได้ว่าไม่เห็นด้วยเพราะจะทาให้มีการถางป่าเพื่อให้เสื่อม โทรม และไปขอรับสิทธิการครอบท่ีดินได้มากข้ึน และไม่ควรกาหนดระยะเวลาข้ันต่าในการถือครองพื้นท่ี ก่อนกฎหมายฉบับน้ีใช้บังคับ ๔. ความคิดเห็นอนื่ /ข้อเสนอแนะ สรุปได้ ดังนี้ - ถา้ ทาไดจ้ ะดีมากและควรจะใหแ้ กเ่ กษตรกรเทา่ นัน้ - ถ้าทาไดจ้ ะเปน็ ผลดีต่อเกษตรกรมาก - ทาให้ประชาชนผู้เปน็ เกษตรกรจะได้รบั ประโยชน์มีสทิ ธิในท่ดี นิ ทากนิ - หลกั การดี แตป่ ฏิบตั ิใหเ้ ปน็ ธรรมไดย้ าก สว่ นที่ ๓ รายงานผลการวิเคราะห์ผลกระทบอนั เกิดจากร่างพระราชบัญญตั ิ ๑. ความเปน็ มา สภาพปัญหา ความจาเปน็ ทจ่ี ะต้องตราพระราชบัญญัติ โดยท่ีปจั จบุ นั ปรากฏว่าเจ้าหนา้ ท่ไี ด้ดาเนินคดีกับประชาชนผเู้ ข้าทาการยึดถือหรอื ครอบครอง ท่ีดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทาด้วยประการใด ๆ ให้เส่ือมสภาพ หรือเปล่ียนแปลงสภาพพ้ืนที่ป่า และประชาชนใช้พ้ืนที่ป่าเพื่อการประกอบอาชีพหรือเป็นท่ีอยู่อาศยั ทง้ั ทีพ่ ื้นทีด่ งั กลา่ วเป็นปา่ เสื่อมโทรมซึ่งไม่ มีความเหมาะสมท่ีจะเป็นพื้นที่ป่าที่ควรอนุรักษ์เพ่ือคุณภาพส่ิงแวดล้อมแล้ว จึงเป็นการสมควรท่ีจะช่วยเหลือ ประชาชนซ่ึงไม่มีท่ีดินเพื่อการประกอบอาชีพและไม่มีที่อยู่อาศัย แต่ได้ยึดถือหรือครอบครอบพื้นท่ีป่ามากว่า หนึ่งปกี อ่ นทพ่ี ระราชบัญญัติน้มี ีผลใช้บงั คับ ให้สามารถทาประโยชน์ ประกอบอาชีพและอยู่อาศัยในพื้นท่ีน้ันได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการกระทาความผิดทางอาญา โดยกระจายอานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมีหน้าท่ี พิจารณาความเหมาะสมในการออกหนังสือรับรองการถือครองและทาประโยชน์ในที่ดินเพ่ือเป็นหลักฐาน ภายใต้เง่ือนไขทกี่ ฎหมายกาหนด จากการสารวจพื้นท่ีป่าไม้ท่ัวประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๖๒ มีจานวน ๑๐๒,๔๘๔,๐๗๒.๗๑ ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ ๓๑.๖๘ ของประเทศ๑ และในการบริหารจัดการเชิงพ้ืนท่ีมีการ ๑ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. (๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๓). รายงานสถานการณป์ ่าไม้ไทย ประจาปี ๒๕๖๒ – ๒๕๖๓. สืบคน้ ๗ ธนั วาคม ๒๕๖๔ จาก https://www.seub.or.th/document/

-๗- สารวจข้อมูลถือครองและใช้ประโยชน์ของประชาชนข้อมูล ณ วันท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ พบว่าในพ้ืนที่ ๒๒๗ ป่าอนุรักษ์ (อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า) ไม่มีชุมชนอยู่ในพ้ืนท่ีป่า อนุรักษ์ ๑ แห่ง ส่วนอีก ๒๒๖ ป่าอนุรักษ์ มีจานวนหมู่บ้านทั้งหมด ๔,๑๙๒ หมู่บ้าน เนื้อที่ประมาณ ๔,๒๙๕,๕๐๑.๒๔ ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ๑๒๖ แห่ง มีจานวน ๒,๗๔๕ หมู่บ้าน เนื้อที่ ๒,๕๕๐,๐๔๔.๑๘ ไร่ เขตรักษาพนั ธสุ์ ตั ว์ปา่ ๖๐ แห่ง ๑,๐๐๓ หม่บู า้ น ๑,๔๗๑,๙๐๘.๓๗ ไร่ เขตหา้ มล่าสัตว์ปา่ ๔๐ แห่ง ๔๔๔ หมูบ่ ้าน ๒๗๓,๕๔๘.๖๙ ไร่ ซึง่ ในการพจิ ารณาให้สิทธิแกป่ ระชาชนในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ป่านน้ั จะตอ้ งมีการออกกฎ ระเบียบทม่ี ีเน้ือหาให้เหมาะสมกับบรบิ ทของแต่ละพ้ืนท่ีให้มากท่สี ุด โดยเน้ือหาใน กฎ ระเบียบทีจ่ ะต้องระบหุ ลักเกณฑ์ในการพจิ ารณาอยา่ งละเอยี ด รวมถึงมกี ตกิ าการอยู่อาศยั และทาประโยชน์ ในพ้ืนท่ีป่าเพ่ือการอนุรักษ์ให้สอดคล้องกับวิถีของชุมชน โดยชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบร่วมกันกับการ อนุรักษ์พ้ืนที่ว่าชุมชนจะอยู่ในพ้ืนท่ีอย่างยั่งยืน และบุคคลท่ีผ่านหลักเกณฑ์ตามกฎหมายได้สิทธิในท่ีดินจะมี หน้าที่ต้องดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติด้วย เพ่ือรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชวี ภาพให้คนอยู่ ได้ ป่าอยู่ได้ และสัตวป์ ่าก็อย่ไู ด้ ๒. ความสอดคล้องของรา่ งพระราชบญั ญัติ  รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของ ปวงชนชาวไทย มาตรา ๔๓ (๒) บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ จัดการ บารุงรักษา และใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลาย ทางชวี ภาพอยา่ งสมดุลและย่งั ยืนตามวธิ ีการที่กฎหมาย บัญญัติ และหมวด ๕ หน้าท่ีของรัฐ มาตรา ๕๗ (๒) รัฐต้องอนุรักษ์ คุ้มครอง บารุงรักษา ฟื้นฟู บริหารจดั การ และใช้หรือจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุล และยั่งยืน โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนในท้องถ่ินท่ีเก่ียวข้องมีส่วนร่วม ดาเนินการและได้รบั ประโยชน์ จากการดาเนนิ การดังกล่าวด้วยตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ  แผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมปฏิรูปที่จะ สง่ ผลให้เกิดการเปลยี่ นแปลงต่อประชาชนอยา่ งมีนัยสาคญั ในกิจกรรมปฏิรูปที่ ๑ เพิ่มและพัฒนาพื้นที่ป่าไม้ ให้ได้ตามเป้าหมาย พ้ืนที่ป่าไม้จัดเป็นพื้นท่ีสเี ขียวตามเปา้ หมายของยทุ ธศาสตร์ชาติที่มีขนาดท่ีใหญ่ที่สดุ และมี ผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดล้อม และความม่ันคงของประเทศมาเป็น ระยะเวลายาวนานต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาพ้ืนที่ป่าไม้ของประเทศมีอัตราการลดลง อย่างต่อเนื่อง บางแห่งมีการใช้ประโยชน์ไม่เหมาะสม หรือ มีการจัดสรรการใช้ประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในทุกด้าน แม้ว่ารัฐบาลในแต่ละยุคสมัย พยายามแกไ้ ขปัญหาดังกล่าวแต่กย็ ังไมบ่ รรลุผลสัมฤทธิ์ตามท่ีกาหนดไว้ไดท้ ั้งหมด แผนการปฏิรูปประเทศฉบับ นี้ จึงมคี วามมงุ่ หวังทจ่ี ะเพิ่มและพฒั นาพ้นื ทีป่ ่าไม้ของชาติให้มีอย่างน้อยในอัตราร้อยละ ๔๐ ของพ้นื ทป่ี ระเทศ ตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี และนโยบายป่าไม้แห่งชาติภายใต้บริบทของสถานการณ์ประเทศ ในปัจจุบัน การจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเก่ียวกับการครอบครองหรือใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ ของรัฐทุกประเภทอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม และเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมท่ีใช้ผลิตผลจากป่าไม้และ สมุนไพรและการบรกิ ารของระบบนเิ วศป่าไม้อย่างครบวงจร

-๘-  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี ๑๒ สาหรับการพัฒนาประเทศในระยะ แผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี ๑๒ จะมุ่งบรรลุเป้าหมายในระยะ ๕ ปี โดยใช้ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีมาเป็นกรอบ วิสัยทัศน์ที่จะสามารถต่อยอดการพัฒนาในระยะต่อไปเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาระยะยาวตามแผน ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี โดยมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนาในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี ๑๒ ตามข้อ ๓.๑.๔ เพ่ือรักษาและฟ้ืนฟูทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้สามารถสนับสนุนการเติบโตที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อมและการมีคุณภาพชีวิตท่ีดีของประชาชน และมียุทธศาสตร์ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๒ ข้อ ๔.๔ ยุทธศาสตร์การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาท่ีย่ังยืน เนื่องจากสภาพ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มกาลงั เปน็ จดุ อ่อนสาคัญต่อการรักษาฐานการผลิตและการให้บรกิ าร รวมทั้ง การดารงชีวิตของคนไทย ซ่ึงปัญหาดังกล่าวเกิดจากการลดลงของพ้ืนท่ีป่าไม้ ทรัพยากรดิน เส่ือมโทรม ความหลากหลายทางชวี ภาพถูกคุกคาม ความเสย่ี งในการขาดแคลนทรัพยากรน้าในอนาคต ปญั หาสิ่งแวดล้อม เพิ่มสูงข้ึนตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและชุมชนเมือง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทาง ธรรมชาติมีความผันผวนและรุนแรงมากขึ้น และข้อตกลงระหว่างประเทศเก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศทวีความเข้มข้น ซ่ึงจะส่งผลต่อแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ดังนั้น การพัฒนาในระยะ ต่อไปจงึ ม่งุ เน้นการรกั ษาและฟืน้ ฟูฐานทรพั ยากรธรรมชาติทีส่ อดคล้องกับการเปน็ อยขู่ องสงั คมและชุมชน ๓. ประโยชนท์ ีป่ ระชาชนและสังคมจะได้รบั การตรากฎหมายฉบับน้ีจะทาให้มีการจัดระเบียบการทาประโยชน์ในพ้ืนท่ีป่าเสื่อมโทรมท่ี ประชาชนได้เข้าไปยึดถือครอบครองไว้แล้วคนละไม่เกินย่ีสิบห้าไร่ จะได้สิทธิในการมีที่ทากินและเข้าอยู่อาศัย โดยไม่เป็นการกระทาผิดกฎหมาย และจะเป็นการส่งเสริมการกระจายอานาจให้กับท้องถิ่นได้ทาภารกิจที่เป็น ประโยชน์ตอ่ ประชาชนในท้องถิ่นได้มากขนึ้ ๔. ความสัมพนั ธ์หรือความใกลเ้ คียงกับกฎหมายอื่น ร่างพระราชบญั ญัติฉบบั น้ี มีความใกล้เคยี งกับกฎหมายอืน่ ดงั นี้ ๑. พระราชบัญญัตอิ ุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒. พระราชบัญญัตปิ ่าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ๕. ผลกระทบโดยรวมทอี่ าจเกดิ ขึ้นจากกฎหมาย ๑ ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ การตรากฎหมายน้ีจะทาให้มีการจัดสรรพื้นท่ีในท้องถิ่นให้กับ ประชาชนผู้ไม่มีท่ีดินทากินได้มีพื้นท่ีจานวนไม่เกินย่ีสิบห้าไร่เพื่อทาการเกษตรเป็นของตัวเอง จะทาให้มีรายได้ จากการทาเกษตรท่ีเพียงพอต่อการดารงชีพ และยังสนับสนุนพื้นท่ีในการทาเกษตรแบบผสมผสานในระดับ ครัวเรือนได้ครบวงจร โดยเกษตรกรสามารถทาการแบ่งพ้ืนที่ให้เป็นสัดส่วนเพ่ือทาการเกษตรตามแนวหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างเหมาะสม จะเป็นส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชนได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน

-๙- ๒. ผลกระทบดา้ นสังคมและส่ิงแวดลอ้ ม ๑. การตรากฎหมายนี้จะทาให้มีการนิรโทษกรรมให้แก่ประชาชนผู้ท่ีเข้าท่ีกระทาผิด เก่ียวกับการกอ่ สรา้ ง แผว้ ถางปา่ เผาปา่ หรือกระการใด ๆ อันเป็นการทาลายป่า หรือเข้ายดึ ถอื ทาประโยชน์ใน พ้ืนที่ป่าที่ไม่มีสภาพเป็นป่าหรือเป็นป่าเส่ือมโทรมและไม่เป็นป่าท่ีควรอนุรักษ์เพื่อคุณภาพส่ิงแวดล้อม แต่ได้ กระทาตามเง่ือนไขเพื่อให้ได้สิทธิครอบครอบพ้ืนที่ป่าเน้ือท่ีไม่เกินยี่สิบห้าไร่และ ได้กระทาก่อนหน่ึงปีก่อน พระราชบัญญัตนิ ี้บงั คับใช้ ผ้นู น้ั จะไม่มคี วามผดิ และไมต่ อ้ งรบั โทษ ๒. การตรากฎหมายน้ีจะทาให้มีพื้นที่ปา่ ของประเทศเพิ่มข้ึน เพราะการจัดสรรพ้ืนท่ีตามท่ี กฎหมายกาหนดคนละไม่เกินย่ีสบิ ห้าไร่ เป็นการตีกรอบสรา้ งขอบเขตการบุกรกุ ครอบครองพ้นื ท่ีป่าท่ีจากัด ทา ให้กรมป่าไม้ซ่ึงเป็นผู้รับผิดชอบพ้ืนท่ีป่าไม้สามารถทวงคืนพ้ืนที่ป่าจากผู้ท่ีบุกรุกยึดครองพ้ืนที่ได้จานวนมากข้ึน เพ่ือนามาทาการฟื้นฟูสภาพป่าให้สมบูรณ์และเหมาะสมแก่การเป็นป่าท่ีควรอนุรักษ์เพื่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม ต่อไป ๓. ผลกระทบอ่ืนที่สาคัญ อาจจะต้องปรับปรุงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องและอาจส่งผลต่อ ภารกจิ เกีย่ วกบั การจัดทากฎ ระเบยี บ หรือประกาศของหน่วยงานทจ่ี ะตอ้ งปฏบิ ัติตามกฎหมายฉบบั น้ี ซง่ึ ตอ้ งมี การออกกฎ ระเบยี บ ทไี่ มซ่ า้ ซ้อนในทางปฏบิ ัติกบั กฎหมายอ่นื ๖. การกาหนดใหม้ รี ะบบอนุญาต อนุมัติหรือการใชด้ ุลพินจิ ของเจ้าหนา้ ที่  มี  ไม่มี ร่างพระราชบัญญตั ิน้ีได้กาหนดใหม้ ีระบบอนุญาต อนุมัติหรือการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ โดยได้กาหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอานาจพิจารณาความเหมาะสมในการออกหนังสือรับรองการ ยึดถือครอบครองการทาประโยชน์ในที่ดินที่ได้มาน้ัน โดยให้ผู้บริหารท้องถ่ินพิจารณาอนุญาตตามหลักเกณฑ์ ดังน้ี ๑. ผูย้ นื่ คาขอไมม่ ีทด่ี นิ ทากนิ หรือมีไม่ถงึ ยส่ี บิ ไร่ ๒. เป็นผู้ยึดถือครอบครองและทาประโยชน์ในพื้นท่ีป่าท่ีไม่มีสภาพเป็นป่าหรือเป็นป่า เสื่อมโทรมและไมเ่ ปน็ สภาพปา่ ทคี่ วรอนรุ กั ษเ์ พื่อคุณภาพส่งิ แวดล้อม โดยมเี นื้อทไ่ี มเ่ กนิ ย่สี บิ หา้ ไร่ ๓. ผู้ย่ืนคาขอได้ยึดถือครอบครองและทาประโยชน์ในพื้นที่ป่านั้นมาก่อนหน่ึงปี ก่อนวันท่ี พระราชบญั ญตั ินใ้ี ช้บังคบั เป็นการให้อานาจองค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ ซ่ึงเป็นองค์กรที่อยู่ใกลช้ ิดชุมชนและมีข้อมูล การยึดถือครอบครองที่ดินของประชาชนในท้องที่ สามารถทาการพิจารณาการออกหนังสือรับรองการยึดถือ ครอบครองการทาประโยชน์ในท่ดี ินได้อย่างเหมาะสมและทั่วถึง

๗. การกาหนดให้มีระบบคณะกรรมการ - ๑๐ -  มี  ไม่มี ๘. บทกาหนดโทษ  ไมม่ ี  โทษทางอาญา  โทษทางปกครอง  โทษปรบั เปน็ พนิ ยั  โทษอปุ กรณ์ สว่ นที่ ๔ การเปิดเผยรายงานผลการรบั ฟงั ความคดิ เหน็ และรายงานผลการวิเคราะห์ผลกระทบอนั เกดิ จาก รา่ งพระราชบัญญตั ิ ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร รั บ ฟั ง ค ว า ม คิ ด เ ห็ น แ ล ะ วิ เ ค ร า ะ ห์ ผ ล ก ร ะ ท บ ที่ อ า จ เ กิ ด ขึ้ น จ า ก ร่ า ง พระราชบัญญตั ิทเี่ สนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้มสี ิทธิเลือกต้ัง ไดเ้ ปดิ เผยรายงานผลการรบั ฟังความ คิดเห็นและรายงานผลการวิเคราะห์ผลกระทบอันเกิดจากร่างพระราชบัญญัติ ทางเว็บไซต์รัฐสภา www.parliament.go.th แลว้ ตง้ั แต่วนั ท่ี ๙ ธันวาคม ๒๕๖๔ คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นและวเิ คราะห์ผลกระทบท่ีอาจเกิดข้ึน จากร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้มสี ิทธิเลือกตั้ง สานกั งานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร




























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook