๘๕ ในสภาพจายอม (BWS) ไม่สามารถจะหลีกหนีให้พ้นจากการถกู กระทาความรนุ แรงได้เพื่อใหศ้ าลพจิ ารณาพิพากษา ลงโทษนอ้ ยกวา่ ทีก่ ฎหมายกาหนดไว้เพยี งใดกไ็ ด้ ศิริพร สะโครบาเน็ค๑๖๐ ประธานมูลนิธิผู้หญิงให้ความเห็นว่า กรณีท่ีผู้หญิงถูกต้ังข้อหาฆ่าสามีได้มี การนาพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทาความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ มาประกอบการพิจารณาคดี จนศาลพิพากษาให้รอการลงโทษทาให้ผู้หญิงมีโอกาสกลับมาอยู่กับครอบครัว และได้เสนอให้มีแนวปฏิบัติในการ พิจารณาคดีเม่ือผู้หญิงต้องคดีฆ่าสามีเน่ืองจากการถูกทาร้ายต่อเน่ืองให้มีการนาประเด็นเรื่องการดูแลเลี้ยงดูบุตร มาประกอบการพิจารณาคดี รวมถึงควรมีหนว่ ยงานท่ีสามารถแทรกแซงเข้าไปช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ผู้หญิงต้องติดคุก ระหว่างดาเนินคดีด้วย เช่น ให้มีการปล่อยตัวช่ัวคราวในส่วนพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทาความรุนแรง ในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ต้องเคารพความเป็นส่วนตัว และความต้องการของผู้เสียหายเป็นหลักกระบวนการไกล่เกล่ีย ปรองดองต้องใช้ผู้ท่ีมีประสบการณ์ต้องคานึงถึงผู้เสียหายและความอ่อนไหวทางเพศสภาพ (Gender Sensitivity) ไม่ใช่เพียงคานึงถึงการดารงอยู่ของสถาบันครอบครัว นอกจากนั้นต้องมีการปรับทัศนคติ ออกแบบความคิด และ เลิกรูปแบบการออกแบบกฎหมายที่เรม่ิ จากคณะกรรมการระดับชาติ รวมถึงกฎหมายควรกาหนดกรอบการปฏิบัติ ของกลไกท่เี ก่ยี วขอ้ งตั้งแตร่ ะดับชนั้ พนกั งานสอบสวนท่จี ะให้ความคุ้มครองผู้ถูกกระทาความรนุ แรง ฯ ในเรื่องความรุนแรงในครอบครัวและการกรณีล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้หญิง ผู้แทนจากกรมกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ชี้แจงถึงมาตรการการทางาน ของหน่วยงาน คือ สค. รับนโยบายจากคณะรัฐมนตรีเรื่องมาตรการการป้องกันการคุกคามทางเพศในการทางาน โดยการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพ่ือจัดทามาตรการป้องกันและแก้ไขการคุกคามทางเพศนาไปสู่การปฏิบัติในส่วน ราชการต่าง ๆ ในส่วนภาคเอกชนคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานติดตาม และประเมินผลมาตรการดังกล่าวในที่ทางานเม่ือติดตามแล้วทาให้ทราบว่าหน่วยงานที่รับมาตรการไป ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างจริงจัง เช่น ผู้เสียหายยังไม่กล้าเข้าร้องเรียนต่ออนุกรรมการฯ คณะรัฐมนตรี ได้ยกระดับแนวทางการแก้ไขปัญหาซ่ึงขณะนี้อยู่ในข้ันตอนการแจ้งให้หน่วยงานท่ีรับผิดชอบทราบโดยมีการ เพิ่ ม เติ ม ก ร ณี ก า ร คุ้ ม ค ร อ งผู้ เสี ย ห า ย แ ล ะ พ ย า น ทั้ งยั งมี ก ล ไก ก าร ติ ด ต า ม ป ร ะ เมิ น ผ ล โ ด ย จ ะ มี ก า ร ร าย ง า น คณะรัฐมนตรผี ่านคณะกรรมการสง่ เสรมิ ความเทา่ เทียมระหว่างเพศทุกปี๑๖๑ ในเรื่องความรุนแรงทางเพศในสถานศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ชี้แจงว่าการสรรหาหรือคัดเลือกบุคลากรเข้ามาเป็นอาจารย์จะมีหลักเกณฑ์ตามท่ีคณะกรรมการข้าราชการ พลเรอื นกาหนด ซ่ึงข้ึนอย่กู บั สถาบนั การศกึ ษาแตล่ ะแห่งวา่ จะมคี วามเขม้ งวดมากนอ้ ยเพียงใด ในขณะที่องค์กรเอกชนด้านสิทธิผู้หญิงท่ีทางานด้านการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ได้รับ ความรุนแรงในครอบครัว และความรุนแรงทางเพศได้ให้ข้อเท็จจริงจากการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็ก เป็นจานวนมากโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะ เช่น ผู้หญิงและเด็กในชนบทหรือผู้ท่ีเป็นคนพิการหรือแรงงานข้ามชาติ พบว่าผู้หญิงและเด็กมีความยากลาบากในการเข้าถึงความยุติธรรม เช่น กรณีตารวจปฏิเสธการรับแจ้งความ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเร่ืองในครอบครัวหรือการไม่มีพนักงานสอบสวนหญิง และไม่มีห้องเฉพาะในการแจ้งความ เรือ่ งความรุนแรงทางเพศทาให้ผู้เสียหายมคี วามอับอาย หวาดกลวั ทาใหไ้ ม่กล้าให้การ เปน็ ตน้ ๑๖๐ http://womenthai.org/?p=394, อา้ งแลว้ ๑๖๑ การช้ีแจงของหนว่ ยงานตอ่ คณะอนุกรรมาธกิ ารฯ เม่อื วันพฤหสั บดีท่ี ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๓
๘๖ นอกจากนี้ ความรุนแรงและปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวจะมีความเก่ียวข้องกันอย่างมาก และมัก เป็นการใช้ความสัมพันธ์เชิงอานาจ แม้รัฐจะมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาแต่มาตรการบางอย่างยังไม่สามารถ นามาใช้คุ้มครองผู้ประสบปัญหาด้านความรุนแรงได้อย่างแท้จริง ดังนั้น หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องจึงควรเข้ามาทางาน อยา่ งเตม็ ท่ีเพ่ือให้สามารถใช้มาตรการดูแลด้านต่าง ๆ ไดอ้ ย่างจรงิ จังและลดปัญหาความรุนแรงของเด็กและสตรีได้จริง กรณีปัญหาความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศในสถาบันการศึกษารัฐควรมีช่องทางการร้องทุกข์ เหตุที่เกิดในสถานศึกษาสถานศึกษาควรมีมาตรการคมุ้ ครองผเู้ สียหายเพราะบางกรณีผเู้ สียหายไม่สามารถรอ้ งเรยี น ได้โดยตรง เช่น ถูกข่มขู่คุกคามจากผู้กระทาซึ่งมีอานาจเหนือกว่าผู้เสียหายส่วนมากมีความอับอายอย่างมาก หากเกิดการต้ังครรภ์ระหว่างศึกษาแม้จะมีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ในความเป็นจริงมาตรการการคุ้มครอง ยังมีความอ่อนแอโดยเฉพาะทัศนคติของบุคคลากรในสถานศึกษา เช่น ถูกล้อเลียนถูกตีตราว่าเป็นคนไม่ดี อีกท้ัง สถานศึกษาไม่สนับสนนุ ให้เด็กหญิงที่ตงั้ ครรภ์ได้มีโอกาสศึกษาต่อรวมถึงทัศนคติของครูท่ีไม่มีความเข้าใจในปัญหา ทาใหเ้ กดิ การซ้าเตมิ และผลกั ดนั ให้เด็กแกป้ ัญหาในทางทีผ่ ิดได้๑๖๒ การล้อเลียน การด้อยค่า การสร้างความเกลียดชังนักสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมการเมืองหญิงทางสื่อ โซเชยี ล (Social Media Bullying) การล้อเลียน และการด้อยค่า (Bully) คือรูปแบบหน่ึงของการใช้อานาจ ข่มขู่ รุมทาร้าย หรือละเมิดคนอ่ืน โดยที่ผู้กระทาไม่ต้องรับผิดชอบ กรณีปัจจุบันท่ีพบ คือ การคุกคามบุคคลอ่ืนทางส่ือโซเชียล (social media) หรือ cyber bullying ซ่ึงเกิดข้ึนเพราะผู้ถูกกระทาไม่รู้ว่าผู้กระทาเป็นใครหรือหากสืบทราบได้ผู้กระทาก็เพียง ออกมาขอโทษ และเปลี่ยนช่ือท่ีใช้ในสื่อโซเชียลใหม่เพื่อไม่ให้มีใครทราบทาให้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทา ท่ีคุกคามผู้อ่ืน การบุลล่ีมักเกิดจากวัฒนธรรมการไม่ยอมรับความแตกต่างทาให้ผู้ที่เห็นต่างมักตกเป็นเหยื่อ การคกุ คามในลักษณะนี้โดยไม่มที างสู้๑๖๓ ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารท่ีจาเป็น ในขณะเดียวกันมีคน บางกลุ่มใช้เทคโนโลยีหรือโซเชียลมีเดียในการคุกคามผู้ท่ีมีภาวะเปราะบางโดยเฉพาะการคุกคามทางเพศตอ่ ผู้หญิง เช่น มีการเผยแพร่ภาพ หรือวีดิโอคลิป (video clip) ท่ีเป็นส่วนตวั ของผู้หญิงเพ่อื เรยี กรอ้ งหรือเพื่อบังคับให้ผู้หญิง ยอมทาตามทผี่ ้เู ผยแพรต่ อ้ งการหรอื มีการแสดงความคดิ เหน็ ดว้ ยคาพูดทส่ี รา้ งความเกลยี ดชงั (hate speech) บุคคลกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะผู้หญิงโดยเฉพาะผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรม ทางการเมืองมักเป็นเหยื่อของการถูกด้อยค่าหรือการล้อเลียนในส่ือโซเชียลโดยการถูกด้อยค่า และถูกลดทอน ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์จากข้อมูลของสานักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of High Commissioner on Human Rights- OHCHR) ระบุว่า ในขณะที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงต้องเผชิญ กับความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนอ่ืนพวกเธอมักเส่ียงจะ “ตกเป็นเป้าหรือถูกคุกคาม เนื่องจากเพศสภาพและความรุนแรงเนื่องจากเพศสภาพเหตุผลที่พุ่งเป้าโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงมักมี ความหลากหลายและซับซ้อนและข้ึนอยู่กับบริบทแต่ละกรณีท่ีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงแต่ละคนทางานอยู่ บ่อยครั้งที่การทางานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงถูกมองว่าเป็นการท้าทายบทบาทตามจารีตในครอบครัว และในฐานะที่เป็นผู้หญิงในสังคม ส่งผลให้คนท่ัวไปและทางการมองพวกเธอด้วยความชิงชังรังเกียจ ด้วยเหตุ ๑๖๒ การช้แี จงของผู้แทนกรมกจิ การสตรีและครอบครวั ต่อคณะอนกุ รรมาธกิ ารฯ เมอื่ วนั พฤหสั บดีท่ี ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๓ ๑๖๓ https://thaipublica.org/2020/06/dtac-cyberbullying/?fbclid=IwAR๐IMNtuUGv7gnA3eonvUm2๐ O_l4jHXHjxdY7btXuJP2MGMnNn8r9_yHk๐o
๘๗ ดังกลา่ วนกั ปกปอ้ งสิทธิมนุษยชนหญิงจงึ ตกเป็นเป้าการสรา้ งตราบาปและการกีดกันโดยแกนนาชุมชน กลมุ่ ศาสนา ครอบครัว และชุมชนซึ่งมองว่าการทางานของพวกเธอเป็นภัยคุกคามต่อศาสนา เกียรติยศชื่อเสียง หรือวัฒนธรรม”๑๖๔ ในรายงานที่จัดทาโดยเลขาธิการสหประชาชาติ เร่ือง Cooperation with the United Nations, its representatives and mechanisms in the field of human rights ๒๐๑๙ ที่เสนอต่อสภาคณ ะมนตรี สทิ ธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในการประชุมคราวที่ ๔๒ ระหว่างวันที่ ๙ – ๒๗ กันยายน ๒๕๖๒ ในภาคผนวก ท่ีสองระบุถึงการดาเนินการป้องกันการคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย รวมถึงการคุกคามทางส่ือ สังคมออนไลน์ต่อ นางอังคณา นีละไพจิตร เช่น มีการนาภาพถ่ายของอังคณาไปเผยแพร่ และมีการกล่าวหา ด้วยถ้อยคาท่ีบิดเบือนและสร้างความเกลียดชัง๑๖๕ ซึ่งนางอังคณาได้แจ้งความไว้ท่ีกองบังคับการปราบปราม การกระทาผิดเก่ียวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท) สองครั้งแต่ไม่มีความคืบหน้าทางคดี นอกจากนั้นยังมี นักกิจกรรมด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนหญิงอีกหลายคนท่ีถูกคุกคามทางเพศทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น กรณี นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว ท่ีมีผู้นาข้อมูลส่วนตัวของนางสาวชลธิชาและครอบครัวออกมาเผยแพร่ในส่ือ โซเชียลโดยมีขอ้ ความข่มขู่คกุ คามรวมถงึ การคุกคามทางเพศเพ่ือสร้างความโกรธแค้น เกลียดชัง และพยายามยุยง ให้เกิดการใช้ความรุนแรงต่อนางสาวชลธิชาและครอบครัว รวมถึงกรณี นางสาวณัฏฐา มหัทธนา ที่มีผู้นาคลิป วิดีโอ และภาพแอบถ่ายอันเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของนางสาวณัฎฐาเผยแพร่ทางส่ือโซเซียลด้วยถ้อยคาที่มีเน้ือหา คุกคามทางเพศละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวการยุยงให้เกิดความเกลียดชังและความรุนแรงต่อนางสาวณัฎฐา ซ่ึงณัฏฐาได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทาผิดเกี่ยวกับอาชญากรรม ทางเทคโนโลยี (ปอท.) ถึงสองครงั้ แต่คดไี ม่มคี วามคืบหน้า กรณี นางสาวสิรินทร์ มุ่งเจริญ๑๖๖ นิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักกิจกรรมหญิง ทีเ่ คล่อื นไหวแสดงจดุ ยืนดา้ นสิทธคิ วามเทา่ เทียมทางเพศและสิทธทิ างการเมืองได้ให้ข้อมลู ต่อคณะอนกุ รรมาธิการฯ เร่ืองที่ถูกคุกคามทางเพศหลายคร้ังในส่ือโซเชียลที่มีถ้อยคาที่เป็นการสร้างความเกลียดชัง ยุยงให้มีการใช้ ความรุนแรงทางเพศต่อตนเองซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและสภาพจิตใจของเธอ เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นแล้ว สถานการณ์ดังกล่าวยังส่งผลให้เกิดบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวต่อการใช้ สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกในฐานะนักกิจกรรมทางการเมืองหญิงท่ีผ่านมาได้หารือกับทนายความซึ่ง ทางทนายความให้ความเห็นว่า เป็นความยากลาบากในการแจ้งความฟ้องร้องกล่าวโทษกรณีการคุกคามทางเพศ ทางส่ือโซเชียลจึงหวงั ว่าหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องจะได้ดาเนินการทุกวิถีทางเพื่อยุติการคุกคามทางเพศต่อนักกิจกรรม ทางการเมอื งหญิง กรณีนี้ รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทาความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรม ทางเทคโนโลยี (ปอท) ได้แจ้งว่า กรณีการกระทาผิดทางเทคโนโลยี หากเป็นเร่ืองสาธารณะ ทาง ปอท.จะเป็น ผดู้ าเนินการกล่าวโทษและดาเนนิ คดตี อ่ ผู้กระทาผิด แตห่ ากเป็นกรณีส่วนตัวทางผู้เสียหายตอ้ งไปแจ้งความฟ้องร้อง ๑๖๔ สานักงานขา้ หลวงใหญด่ ้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ, นักปกปอ้ งสิทธมิ นุษยชนหญิง, https://www.ohchr.org/EN/Issues/Women/WRGS/Pages/HRDefenders.aspx ๑๖๕ https://www.ohchr.org/EN/Issues/Reprisals/Pages/Reporting.aspx (A/HRC/๔๒/๓๐) ๑๖๖ นางสาวสริ นิ ทร์ ม่งุ เจรญิ และรองผบู้ ังคบั การกองบังคับการปราบปรามการกระทาความผดิ เกยี่ วกบั อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท) ได้ใหข้ อ้ มูล กบั คณะอนกุ รรมาธกิ ารเมือ่ วันท่ี ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓.
๘๘ กล่าวโทษด้วยตนเองซ่ึงกรณีนี้กรรมาธิการได้แสดงความเห็นว่ามีกรณีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงที่เคยไป รอ้ งเรยี นต่อ ปอท.แล้วไม่ปรากฏว่า ปอท.มีการดาเนินการอย่างใดทาให้ผู้ถกู ล่วงละเมิดมคี วามรู้สึกวา่ หน่วยงานรัฐ ทเี่ กี่ยวขอ้ งไมม่ คี วามเตม็ ใจ (unwilling) ในการปกปอ้ งสทิ ธแิ ละนาคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ความรนุ แรงจากอุบัติภยั ในการสร้างความเสยี หายตอ่ ชีวิตและทรพั ย์สินของประชาชน อุบัติภัยท่ีเกิดบนท้องถนนได้สร้างความเสียหายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจานวนมาก ท้ังที่ อุบัติภัยเหล่าน้ีเป็นความรุนแรงท่ีสามารถป้องกันได้ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอุบัติเหตุจากการขับรถแข่งบนท้องถนน ของเยาวชนบางคนบางกลุ่มหรือการขับขี่รถในขณะเมาสุราซ่ึงเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต บาดเจ็บและพิการ ของคนจานวนไม่น้อยในแต่ละปีซึ่งในกรณีเมาแล้วขับถือเป็นประเด็นที่หลายประเ ทศทั่วโลกกาลังเผชิญปัญหา สาหรับประเทศไทยที่ผ่านมารัฐบาลไทยยังไม่มีมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างมี ประสิทธิภาพต่างกับประเทศอ่ืน ๆ ท่ีประสบความสาเร็จในการจัดการปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างเช่น ในประเทศสวีเดน ญี่ปุ่น แคนาดา สิงคโปร์ หรือออสเตรเลีย โดยประเทศเหล่านี้มีการณรงค์ให้ประชาชนตระหนัก ถงึ ภยั ทสี่ ามารถปอ้ งกนั ได้ พรอ้ ม ๆ กับมีการบงั คับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดควบคู่กนั ในประเทศไทยความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรเมาแล้วขับในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทางถนนสูงกว่า ๒๔,๐๐๐ คน หรือเฉลี่ยวันละประมาณ ๖๕ คน และมีจานวนผู้บาดเจ็บอีกปีละประมาณ ๑ ล้านคน สญู เสยี เงินคา่ รกั ษาพยาบาลไปกว่า ๑ แสนลา้ นบาท แต่รัฐยังไม่มมี าตรการที่เปน็ รปู ธรรมที่จะปกปอ้ งคุ้มครองชีวิต คนไทยในการใช้ชีวิตบนท้องถนนอย่างปลอดภัยทั้งท่ีในความเป็นจริงแล้วการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรในทาง การแพทย์ถือว่าเป็นการตายผิดปกติต้องมีการผ่าพิสูจน์หาสาเหตุของการตายต่างกับการตายจากโรคภัยไข้เจ็บ ท่วั ๆ ไป๑๖๗ อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นภัยท่ีสามารถป้องกันได้โดยต้องได้รับความมือจากผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม รวมถึงประชาชนท่ัวไปตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงชุมชนและสังคมเพ่ือร่วมมือกัน ลดการสญู เสียต่าง ๆ ทีเ่ กิดกับผคู้ นในสังคม ปญั หาความรุนแรงที่เกดิ จากของเยาวชน คณะกรรมาธิการฯ มีความห่วงใยความรุนแรงท่ีเกิดจากเยาชน รวมถึงความรุนแรงในสถานศึกษา ทุกรูปแบบ รวมถึงการใช้เสรีภาพของนิสิตนักศึกษาในสถาบันการศึกษาซ่ึงผู้แทนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ช้ีแจงว่า กรณีปัญหาการทะเลาะวิวาทของเยาวชนในสถาบันผู้บริหาร ได้ให้ความสาคัญโดยมีการประชุมร่วมกันของผู้บริหารเพ่ือหาทางออกในการแก้ไขปัญหาโดยมีตารวจในพื้นที่ เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นรวมไปถึงปลัดกระทรวงได้ออกนโยบายกรณีดูแลเรื่องการจัดกิจกรรมร่วมกันของ นักศึกษาต่างสถาบันมีการกาหนดมาตรการความปลอดภัยเพ่ือป้องกันเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงระหว่าง สถาบันการศึกษาให้ได้มากท่ีสุดหากมีการทะเลาะวิวาทจะมีการหารือร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษา สรา้ งมาตรการในการปรับความเข้าใจโดยการใหเ้ ข้ารว่ มกิจกรรม ๙๐๔ บาเพ็ญตนเพอ่ื สาธารณประโยชน์โดยใหจ้ ัด กิจกรรมในลักษณะการทาความสะอาดในพื้นท่ีต่าง ๆ เป็นอาสาสมัครในการพัฒนาพ้ืนที่ต่าง ๆ เพ่ือเป็นการ สง่ เสรมิ การปลูกฝังจติ สานกึ ทีด่ ตี ่อสังคม ในส่วนการลงโทษเด็กท่ีกระทาผิดร้ายแรง เม่ือวันท่ี ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๓ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมตั ริ ่างพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ ... โดยเปน็ การแกไ้ ขเกณฑ์อายขุ องเด็ก ๑๖๗ นายแพทยแ์ ทจ้ รงิ ศริ พิ านชิ , สิทธิในการใชช้ ีวิตบนท้องถนนอย่างปลอดภยั : ความจริงวนั นี้ท่ีถกู มองขา้ ม, มลู นธิ เิ มาไมข่ บั https://www.ddd.or.th/
๘๙ ทกี่ ระทาความผิดทางอาญาแต่ไม่ต้องรับโทษจากเดิมที่กาหนดไว้วา่ ไม่เกิน ๑๐ ปี เป็นไม่เกิน ๑๒๑๖๘ ปี อย่างไรก็ดี การลงโทษเด็กยังต้องคานึงถึงพัฒนาการของเด็ก และการลงโทษต้องไม่เป็นไปเพ่ือการแก้แค้นหรือทาให้เด็ก อับอายรัฐบาลจึงควรมีแนวทางในการลงโทษโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมเด็กเพ่ือให้เด็กกลับตัวเป็นคนดี และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติแม้เด็กจะเคยก่ออาชญากรรมร้ายแรงมาก่อนโดยควรนาหลักคิดเชิงบวก เพ่ือให้เด็กเกิดสานึกรับผิดเพื่อแก้ไขทัศนคติหรือพฤติกรรมท่ีผ่านมา ตัวอย่างเช่น การดาเนินการของบ้านกาญจนาภิเษก ท่ีกรมพินิจ กระทรวงยุติธรรม องค์กรพัฒนาเอกชน ผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง รวมถึง นักวิชาการที่ได้ริเร่ิมพัฒนาต้นแบบศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนหรือท่ีเรียกกันว่าสถานพินิจในรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นต้นแบบของการแก้ไข ฟื้นฟู เยียวยาเด็กและเยาวชนที่ก้าวผิดพลาดในอดีตท่ีใช้แนวทางการเยียวยา ดูแล แก้ไข ฟ้ืนฟูเยาวชนเหล่าน้ีดว้ ยวิธีการท่ีเหมาะสม เปิด “พ้ืนท่ีสว่าง” เสริมพลังด้านบวกเพ่ือให้พวกเขามีกาลังต่อสู้ กับด้านมืดจากอดีตและเลือกท่ีจะกลับตัวเป็นคนดีเพ่ือว่าเม่ือถึงวันพ้นโทษจะสามารถกลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัว และสังคมได้อย่างปกติสุข และประสบความสาเร็จในการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของเด็กท่ีเคยก่ออาชญากรรม ใหส้ านึกผดิ และกลับตัวเป็นผทู้ าประโยชนต์ อ่ สังคม ข้อมูลจากงานวิจัยประเมินผลเพ่ือแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม ของเด็กและเยาวชนผู้เคยกระทาความผิดที่ผ่านกระบวนการ “วิชาชีวิต” กรณีศึกษา : ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและ เยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก (อรุณฉัตร, ๒๕๖๑) สามารถยืนยันได้ถึงผลลัพธ์ระยะยาวที่เกิดกับเยาวชน ผู้เคยก้าวพลาดที่กลับไปใช้ชีวิตในสังคมในฐานะพลเมืองผู้เป็นพลังโดยกลุ่มตัวอย่างเยาวชนท่ีผ่านกระบวนการฯ ตั้งแต่ ๖ เดือน – ๗ ปี มีความเชื่อท่ีมีต่อพฤติกรรมของตนเองต่อสังคม และต่อการควบคุมตนเองแตกต่างไปจาก เม่ือคร้ังก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างสิ้นเชิงมากกว่าร้อยละ ๘๔ และข้อมูลจากสถิติพบว่าเด็กและเยาวชน ท่ีผ่านกระบวนการฯ ของบ้านกาญจนาภิเษกในช่วง ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) มีอัตราการกระทาความผิดซ้าต่ากว่า ร้อยละ ๕ (ค่าเฉลย่ี ของกรมพินิจฯ อยู่ที่ มากกวา่ ร้อยละ ๑๕)๑๖๙ ในส่วนการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกของนิสิตนักศึกษา ผู้แทน ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้ข้อมูลกับกรรมาธิการฯ ว่า๑๗๐ ทางกระทรวงมีนโยบายส่งเสริมสิทธิเสรีภาพแต่ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกาหนด คือ ต้องไม่ละเมิดต่อสิทธิบุคคลอ่ืน ซึ่งสถาบันการศึกษาจะเป็นผู้ดูแลด้านความปลอดภัยและส่ิงอานวยความสะดวกต่าง ๆ แก่นักศึกษา ซึ่งนิสิต นักศึกษาสามารถจัดการชุมนุมในสถาบันการศึกษาหรือจัดกิจกรรม Flash Mob ได้ โดยกระทรวงไม่มีนโยบาย ห้ามปราม และพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะก็ไม่ได้ห้ามการชุมนุมในสถานศึกษาแต่เพื่อเป็นการป้องกัน บุคคลที่ ๓ ท่ีอาจเข้ามาปะปนในสถานศึกษาที่อาจสร้างสถานการณ์ ที่จะเป็นอันตรายต่อนักศึกษา ทางสถาบันการศึกษาจึงอนุญาตให้สามารถจัดกิจกรรมในสถานศึกษาได้แต่ต้องเป็นไปตามท่ีกฎหมายกาหนด แต่หากนิสิต นักศึกษาต้องการจัดการชุมนุมนอกสถานท่ีก็ต้องมีหน่วยงานที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัย ๑๖๘ https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32648 ๑๖๙ ข้อมลู จากการตรวจเยยี่ มและหารอื ของอนุกรรมาธกิ ารฯกบั ผูอ้ านวยการบา้ นกาญจนาภิเษก เมื่อวันท่ี ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓. ๑๗๐ ผแู้ ทนปลดั กระทรวงอุดมศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม เขา้ ชแ้ี จงใหข้ ้อมูลกบั คณะอนุกรรมาธกิ ารศึกษาและแกไขปญั หาการละเมดิ สทิ ธิ มนษุ ยชน และการลอบประทุษรา้ ยประชาชน คณะท่หี นึ่ง (ละเมดิ สิทธิทางด้านการเมอื งและละเมดิ สทิ ธิทางด้านอืน่ ) เม่ือวนั พฤหัสบดีที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๓.
๙๐ อย่างเข้มงวดทั้งน้ีไม่ใช่การห้ามปรามแต่ต้องดูแลความปลอดภัย เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้นทางสถาบันอุดมศึกษา ต้องรับผดิ ชอบ อย่างไรก็ดี กรณีพบว่าบางสถาบันอาจการมีการห้ามปราม หรือคุกคามการจัดกิจกรรมของนิสิต นักศึกษาก็คงต้องเชิญผู้บริหารสถาบันการศึกษามาพูดคุยทาความเข้าใจ แต่ทั้งนี้ในหลักการเชิงนโยบายไม่มี การห้ามปรามการชุมนุมและการใชเ้ สรภี าพในการแสดงความคดิ เห็นและการแสดงออกของนิสิตนักศึกษา
บทท่ี ๘ การชดเชยเยียวยากรณกี ารละเมดิ สิทธิมนุษยชน สิทธิในการได้รับการชดเชยเยียวยาอย่างมีประสิทธภิ าพ (Rights to Effective Remedies) กรณีการละเมดิ สทิ ธิมนุษยชนรา้ ยแรง ตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากลผู้ท่ีตกเป็นเหยื่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนมีสิทธิที่จะได้รับ การชดเชย และการเยยี วยาอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ แมจ้ ะเปน็ ผลสืบเน่ืองที่เป็นที่ยอมรับกันถงึ ความรับผดิ ชอบของรัฐ ตอ่ การละเมิดสิทธิมนษุ ยชน แตใ่ นทางปฏบิ ัตสิ ทิ ธดิ งั กล่าวมักถูกละเลย คณะกรรมการสิทธมิ นุษยชนประจากตกิ าระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสทิ ธิทางการเมือง สหประชาชาติ (UN Committee on Civil and political Rights- CCPR) เห็นว่ารัฐต้องทาให้การเยียวยา มีประสิทธิผลและเหมาะสมโดยคานึงถึงประเภทของบุคคลที่ได้รับความเสียหาย ต้องมีกระบวนการทางตุลาการ และกลไกทางปกครองท่ีเหมาะสมสาหรับการเรียกร้องให้มีการเยียวยา๑๗๑ และการเยียวยาที่เหมาะสมนั้น หมายถึงการชดเชย (Reparation) การทาให้กลับคืนสู่สภาพเดิม (restitution) การฟื้นฟู (rehabilitation) การทาให้พอใจ (satisfaction) เช่น การประกันว่าจะไม่เกิดการละเมิดซ้าอีกในอนาคต (guarantee of non- repetition) การปรับปรงุ กฎหมายปละแนวทางปฏบิ ัตทิ เี่ ก่ยี วขอ้ ง รวมถึงการขอโทษสาธารณะ (public apology) เปน็ ตน้ ๑๗๒ ในการละเมิดสิทธิมนุษยชน “คาขอโทษ” ต่อเหย่ือในเหตุการณ์ท่ีผ่านมามีความสาคัญมาก และยัง สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐและสังคมในการรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นการให้การชดเชย ดา้ นอ่นื ๆ แล้ว ยังจาเป็นต้องมกี ารเปดิ เผยความจริงโดยเฉพาะเหยอ่ื การบังคบั สูญหาย “สิทธิที่จะทราบความจรงิ ” (right to the truth) มีความสาคัญอย่างมากต่อเหยื่อคณะทางานด้านการบังคับบุคคลให้สูญหายโดยไม่สมัครใจ องค์การสหประชาชาติ (United Nations Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances - WGEID) ต้ังข้อสังเกตว่า “สิทธิของญาติที่จะทราบชะตากรรมหรือท่ีอยู่ของบุคคลผู้สูญหายเป็นสิทธิเบ็ดเสร็จ โดยไม่อาจจากัดหรือยกเว้นได้” “รัฐไม่อาจอ้างเป้าหมายโดยชอบหรือข้อยกเว้นอื่นใดเพื่อจากัดสิทธิดังกล่าวได้” ท้ังนี้ คณะทางานฯ ตระหนักว่า สิทธิที่จะทราบความจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของการสูญหายไม่ใช่สิทธิอย่าง เบ็ดเสร็จเนื่องจากในบางกรณีการปกปิดความจริงบางส่วนอาจกระทาได้หากมุ่งเพ่ือให้เกิดความสมานฉันท์ อย่างไรกต็ าม คณะทางานฯ ราลึกว่า รัฐยังคงมีพันธกรณีทจี่ ะต้องนาตวั บคุ คลที่ถกู กลา่ วหาว่าบังคับใหผ้ ู้อ่นื สูญหาย มาลงโทษ๑๗๓ นอกจากนั้น ตามหลักพ้ืนฐานและแนวทางว่าด้วยสิทธิท่ีจะได้รับการเยียวยาและชดใช้ความเสียหาย สาหรับเหย่ือของการละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างรุนแรงกว้างขวาง และการละเมิดกฎหมาย มนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างรุนแรง (Basic Principles and Guidelines on the Rights to a Remedy ๑๗๑ ความเห็นทวั่ ไปท่ี ๓๑ (๘๐) ว่าด้วยลักษณะของพนั ธกรณที างกฎหมายทวั่ ไปตอ่ รฐั ภาคขี องกตกิ าฯ, พฤษภาคม ๒๕๔๗, CCPR/C/๒๑/Rev.๑/Add. ยอ่ หน้า ๑๕. ๑๗๒ อา้ งแล้ว, ยอ่ หน้า ๑๖. ๑๗๓ ความเหน็ ทวั่ ไปว่าดว้ ยสิทธิทจ่ี ะเข้าถึงความจรงิ (General Comment: right to the truth) คณะทางานดา้ นการบงั คับบุคคลใหส้ ูญหายโดยไม่ สมคั รใจ องค์การสหประชาชาติ (United Nations Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances -WGEID) http://www2.ohchr.org/english/issues/disappear/docs/GC-right_to_the_truth.pdf
๙๒ and Respiration for Victims of International Human Rights Law and Serious Violations of International Humanitarian Law) ได้กาหนดให้รัฐมีพันธกรณีท่ีต้องเคารพและบังคับใช้กฎหมายสทิ ธิมนุษยชน ระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศตามที่กาหนดไว้ และรัฐมีหน้าท่ีดาเนินมาตรการ ทางกฎหมาย มาตรการทางปกครองและมาตรการอื่น ๆ ท่ีเหมาะสมเพ่ือป้องกันการละเมิดสืบสวนสอบสวน การละเมิดสทิ ธิมนุษยชนอยา่ งมีประสิทธภิ าพทนั ท่วงที รอบคอบ เป็นกลาง และดาเนินการต่อผู้ทีรบั ผิดชอบจัดให้ เหย่ือของการละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิผล (equal and effective access to justice) การชดใช้ความเสียหายที่เพียงพอมีประสิทธิผลและทันท่วงทีสาหรับความเสียหายท่ีได้รับ (adequate, effective and prompt reparation for harm suffered) รวมถึงการชดใช้ความเสียหายทางกาย และทางใจ ความเสียหายทางอารมณ์ความรู้สึก การสูญเสียทางเศรษฐกิจ และเหยื่อรวมถึงครอบครัวใกล้ชิด และหรือผู้ที่เหยื่อดูแลโดยตรง และบุคคลท่ีประสบกับความเสียหายจากการเข้าช่วยเหลือเหย่ือที่กาลังประสบกับ ความทุกขห์ รือเพือ่ ปอ้ งกันการตกเปน็ เหยื่อซ้า๑๗๔ การเยียวยาหลังการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงมีความสาคัญมากสาหรับเหย่ือ การเยียวยาจะช่วย บรรเทาความทุกข์ของเหยื่อและครอบครัว รวมถึงเป็นการคืนศักดิ์ศรีให้กับเหย่ือการให้ความช่วยเหลือเยียวยา ความเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงเป็นกระบวนการหน่ึงในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการสหประชาชาติว่าด้วยการชดใชค้ วามเสียหายและการยุตกิ ารลอยนวลพ้นผดิ (impunity) การเยียวยาการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงตามหลักสากล มีหลายลักษณะ คือ การเยียวยาที่เป็น คา่ สนิ ไหมทดแทน (compensation) และการเยียวยาทไี่ ม่ใชค่ ่าสินไหม เช่น (๑) การตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริง (Truth Commissions) ต่อเหตุการณ์การละเมิดสิทธิ มนุษยชนที่เกดิ ข้ึน (๒) การเยียวยาด้วยกระบวนการยุติธรรม (Judicial Remedy) เป็นการฟ้องร้องดาเนินคดีกับผู้กระทาผิด หรอื การรือ้ ฟนื้ คดกี ารละเมดิ สิทธมิ นุษยชนท่ีเกดิ ข้ึนในอดตี เพื่อคืนความเปน็ ธรรมใหเ้ หย่ือและครอบครัว (๓) การทาให้คืนสู่สภาพเดิม (Restoration) มีเป้าหมายเพ่ือหวนคืนหรือทาให้การกระทาที่ก่อให้เกิด การละเมิดเปน็ โมฆะ เช่น การชดเชยทางการเงนิ การคืนทรพั ยส์ ิน (๔) การทาให้พอใจ (Satisfaction) มาตรการการทาให้พอใจ เช่น การทาให้พอใจโดยคาวินิจฉัยของ ฝ่ายตลุ าการ การขอโทษสาธารณะ (public apology) การยอมรับความผดิ (accountability) (๕) การรักษาความทรงจา (Memorization) เช่น การสร้างอนุสาวรีย์ หรือ การราลึกสาธารณะถึง เหตุการณก์ ารละเมดิ สทิ ธิมนษุ ยชนครั้งสาคญั หรอื การบนั ทึก (๖) การป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนข้ึนอีกในอนาคต เช่น การปรับปรุงกฎหมาย การปฏริ ูปตารวจ ปฏริ ูปทหารหรือปฏิรปู กระบวนการยุตธิ รรม (Institutional Reform) เปน็ ต้น๑๗๕ ในการละเมิดสิทธิมนุษยชนรา้ ยแรง การชดเชยความเสียหายทางจิตใจเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องถูกพิจารณา เนื่องจากหลังการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้เสียหายมักตกอยู่ในความทุกข์ใจ วิตกกังวล มีความกลัว มีความรู้สึก ต่อเพ่ือนมนุษย์ผิดไป๑๗๖เหย่ือของการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากความรุนแรงทางเพศหลายคนประสบปัญหา ๑๗๔ คณะกรรมการนกั นิติศาสตร์สากล ภูมภิ าคเอเชียแปซิฟกิ , สิทธทิ จี่ ะไดร้ ับการเยยี วยาและชดใชค้ วามเสียหายจากการละเมิดสทิ ธิมนุษยชน อย่างรนุ แรงและกวา้ งขวาง, กรุงเทพฯ, ๒๕๕๕. ๑๗๕ อ้างแล้ว หน้า ๑๑๗. ๑๗๖ Shaplan, J., Willmore, J., & Duff, P., Victims in the Criminal Justice System, page ๙๗. Brookfield: Gower Publishing Company.
๙๓ ความเครียดทางจิตใจ (Post Traumatic Stress Disorders – PTSD) หลายคนไม่สามารถเชื่อมโยงคนเอง กบั สังคมรอบข้างได้ ท้ังนี้ ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งทวีปอเมริกาได้กาหนดการชดเชยแก่สิ่งท่ีเรียกว่า “ความเสียหาย ทางจิตใจ” แก่เหย่ือในการชดเชยความเสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งสหภาพยุโรป ได้มีคาส่ังให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่เหย่ือต่อความเสียหายท่ีไม่เป็นตัวเงินเมื่อศาลพบว่าพวกเขาประสบกับ ความทุกข์ใจ ความเครียด หรือความเจ็บปวดทางจิตใจหรือทางกายอ่ืน ๆ ศาลฯเห็นว่าได้เกิดความเสียหายที่ ไม่ใช่ตวั เงินขน้ึ กบั ทายาทของเหยอื่ ความเสยี หายทางจติ ใจนั้นไมจ่ าเปน็ ต้องแสดงออกโดยเหยือ่ ๑๗๗ ในประเทศไทย บริบทการเยียวยาการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายบัญญัติคร้ังแรกในรัฐธรรมนูญ แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ สว่ นท่ี ๓ สิทธแิ ละเสรีภาพสว่ นบคุ คล ตามมาตรา ๓๒ วรรค ๕๑๗๘ “ในกรณีที่มีการกระทาซ่ึงกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหาย พนักงานอัยการหรื อ บคุ คลอื่นใดเพ่ือประโยชนของผู้เสยี หาย มสี ทิ ธิร้องตอ่ ศาลเพื่อใหส้ ั่งระงบั หรอื เพิกถอนการกระทาเช่นว่าน้นั รวมทง้ั จะกาหนดวธิ ีการตามสมควรหรอื การเยยี วยาความเสียหายทเ่ี กดิ ข้นึ ด้วยก็ได” แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ จะได้บัญญัติให้ศาลสามารถกาหนดวิธีการเยียวยา การละเมิดสิทธมิ นษุ ยชนหากแต่ยังไมม่ ีการตราพระราชบัญญัติเพ่ือการเยยี วยา จึงทาให้ท่ีผ่านมาศาลไม่อาจมีคาส่ัง หรอื คาพพิ ากษาในการกาหนดการเยียวยาความเสียหายจากการละเมิดสทิ ธมิ นษุ ยชนที่เกิดขึน้ เปน็ การเฉพาะ จ า ก ก า ร ศึ ก ษ าก ร ณี ก า ร เยี ย ว ย า ค ว า ม เสี ย ห า ย จ า ก ก า ร ล ะ เมิ ด สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น ข อ งป ร ะ เท ศ ไท ย คณะกรรมาธิการฯ พบว่าท่ีผ่านมารัฐบาลได้กาหนดการเยียวยาความเสียหายโดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรี และบทบัญญัติเทียบเคียง เช่น พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ๒๕๕๐ หรือพระราชบัญญัติ ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๙, พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์หรือผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย เฉพาะบคุ คลซึ่งได้รบั ความเสยี หายเนื่องจากการกระทาความผดิ อาญาของผอู้ ่ืนโดยที่ตนมิได้มีสว่ นเก่ียวข้องกบั การ กระทาผิดน้ัน และไม่มีโอกาสได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอ่ืน รวมท้ังการรับรองสิทธิในการได้รับ ค่าทดแทนในกรณีของบุคคลซ่ึงตกเป็นจาเลยในคดีอาญาและถูกควบคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีหากปรากฏ ตามคาพิพากษาอันถึงท่ีสุดในคดีนั้นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจาเลยมิได้เป็นผู้กระทาผิดความผิดหรือการกระทา ของจาเลยไม่เป็นความผิดแต่พระราชบัญญัติเหล่านั้นมิได้มีการรับรองสิทธิในการได้รับความช่วยเหลือจาก ความเสียหายอันเน่ืองจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐ และการชุมนุมทางการเมือง โดยตรงที่มีลักษณะ แตกต่างจากการกระทาความผิดอาญาโดยทั่วไป ๑๗๗ คณะกรรมการนกั นติ ศิ าสตร์สากล ภูมภิ าคเอเชยี แปซฟิ กิ , เรอื่ งเดียวกัน อา้ งแล้ว, หนา้ ๑๓๙. ๑๗๘ มาตรา ๓๒ วรรค ๕ บุคคลยอ่ มมีสิทธแิ ละเสรภี าพในชวี ติ และรา่ งกาย การทรมาน ทารณุ กรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรอื ไรม้ นษุ ยธรรม จะกระทามไิ ด้แต่การลงโทษตามคาพิพากษาของศาลหรือตามที่ กฎหมายบัญญตั ิไมถ่ ือวา่ เปน็ การลงโทษดว้ ยวธิ ีการโหดรา้ ยหรอื ไรม้ นษุ ยธรรมตามความในวรรคน้ี การจบั และการคมุ ขงั บคุ คล จะกระทามไิ ด เวน้ แตม่ ีคาส่งั หรอื หมายของ ศาลหรอื มีเหตุอย่างอน่ื ตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิ การคน้ ตวั บคุ คลหรือการกระทาใดอันกระทบตอ่ สิทธแิ ละเสรภี าพตาม วรรคหนงึ่ จะกระทามไิ ดเว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ ในกรณที ่ี มกี ารกระทาซง่ึ กระทบตอ่ สิทธแิ ละเสรภี าพตามวรรคหนงึ่ ผเู้ สยี หาย พนักงานอัยการหรอื บคุ คลอน่ื ใดเพ่อื ประโยชนของผ้เู สยี หาย มสี ทิ ธิ รอ้ งต่อศาลเพือ่ ใหส้ ง่ั ระงบั หรอื เพกิ ถอนการกระทาเช่นวา่ นนั้ รวมท้ังจะกาหนดวิธกี ารตามสมควรหรอื การเยียวยาความเสยี หายทเี่ กดิ ขน้ึ ด้วยกไ็ ด
๙๔ เม่ือพิจารณาเปรียบเทียบกฎหมายในประเทศไทย ตัวอย่าง ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๕ มิได้กาหนดคานิยามของคาว่า “ค่าสินไหม ทดแทน” ไว้โดยตรงแต่ได้กาหนดนิยาม “ค่าตอบแทน” ไว้ให้หมายถึง เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อ่ืนใด ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับเพ่ือตอบแทนความเสียหายท่ีเกิดข้ึนและได้มีกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญ ญัติ ฉบับน้ี โดยกรอบทั่วไปไว้ว่า ในการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญาให้คณะกรรมการคานึงถึง พฤติการณ์และความร้ายแรงของการกระทาความผิดและสภาพความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ รวมถึงโอกาส ท่ีผู้เสียหายจะได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอื่นด้วย๑๗๙และยังได้กาหนดหลักเกณฑ์ คือ (๑) ค่าใช้จ่าย ที่จาเป็นในการรักษาพยาบาลให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินสามหมื่นบาท (๒) ค่าฟ้ืนฟูสมรรถภาพทางร่างกาย และจิตใจให้จ่ายเท่าท่ีจ่ายจริงแต่ไม่เกินสองหม่ืนบาทและค่าตอบแทนตาม (๑) และ (๒) ให้รวมถึงค่าใช้จ่าย เก่ียวกับค่าห้องและค่าอาหารในอัตราวันละไม่เกินหกร้อยบาท ๑๘๐และในกรณี ที่ผู้เสียหายในคดีอาญ าถึงแก่ ความตายให้คณะกรรมการพจิ ารณาจา่ ยค่าตอบแทนใหแ้ ก่ผู้เสียหายน้นั ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ค่าตอบแทนให้จ่ายเปน็ เงิน จานวนต้ังแต่สามหม่ืนบาทแต่ไม่เกินหน่ึงแสนบาท (๒) ค่าจัดการศพให้จ่ายเป็นเงินจานวนสองหมื่นบาท๑๘๑ ท้ังน้ี จะเห็นได้ว่าการให้การชดเชยตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลย ในคดีอาญาจะข้ึนกับการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการเป็นสาคัญ อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือเฉพาะด้านการเงิน ท่ีมหี ลกั การเครง่ ครัด และไม่ครอบคลุมถงึ การเยียวยาทางจติ ใจหรือการฟืน้ คนื ดังเดมิ (Restoration) ของเหย่ือ ในส่วนการเสนอกฎหมายกลางเพ่ือการเยียวยาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับพระราช บัญญัติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไดเ้ คยรายงานผลการพิจารณาดาเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคาร้อง เพอ่ื เสนอแนะนโยบายหรือขอ้ เสนอในการปรับปรุงกฎหมายเร่ืองสทิ ธแิ ละเสรีภาพในชีวิตและร่างกายอนั เกย่ี วเนอ่ื ง กับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองกรณีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองปี ๒๕๕๓ ต่อคณะรัฐมนตรี เน่ืองจากมีผู้ร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาล ซ่ึงท่ีประชุม คณะกรรมการอานวยการเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมแกผ่ ู้ได้รบั ผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรง ทางการเมือง ปี ๒๕๕๖ – ๒๕๕๗ ต่อมาเม่ือวนั ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๙ คณะรัฐมนตรไี ด้พจิ ารณาแลว้ มีมติเห็นควร มีกฎหมายกลางในระดับพระราชบัญญัติเพื่อรองรับกระบวนการชดเชยและเยียวยาผู้เสียหายจากการชุมนุม ๑๗๙ กฎกระทรวงกาหนดหลกั เกณฑ์และวิธกี าร และอัตราในการจา่ ยคา่ ตอบแทนผเู้ สียหาย และค่าทดแทน และค่าใชจ้ า่ ยแกจ่ าเลยในคดอี าญา พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๒. ในการพิจารณาจ่ายคา่ ตอบแทนผเู้ สียหายในคดอี าญา ใหค้ ณะกรรมการคานงึ ถงึ พฤติการณ์และความร้ายแรงของการกระทา ความผดิ และสภาพความเสียหายที่ผ้เู สยี หาย ไดร้ ับ รวมถึงโอกาสทีผ่ ู้เสียหายจะได้รับการบรรเทาความเสยี หายโดยทางอ่ืนดว้ ย ๑๘๐ กฎกระทรวงกาหนดหลักเกณฑ์และวิธกี าร และอัตราในการจ่ายคา่ ตอบแทนผเู้ สียหาย และคา่ ทดแทน และคา่ ใชจ้ ่ายแก่จาเลยในคดอี าญา พ.ศ. ๒๕๔๖ ขอ้ ๓. ใหค้ ณะกรรมการพจิ ารณาจา่ ยค่าทดแทนใหแ้ กผ่ ้เู สยี หาย ดงั นี้ (๑) ค่าใชจ้ ่ายทจ่ี าเป็นในการรักษาพยาบาล ใหจ้ า่ ยเทา่ ท่ีจา่ ยจรงิ แต่ไมเ่ กินสามหมนื่ บาท (๒) คา่ ฟืน้ ฟู สมรรถภาพทางรา่ งกายและจิตใจ ใหจ้ า่ ยเท่าที่จ่ายจรงิ แต่ไมเ่ กินสองหมนื่ บาท (๓) คา่ ขาดประโยชนท์ ามา หาไดใ้ นระหว่างทไ่ี มส่ ามารถประกอบการงานได้ตามปกติ ให้จา่ ยในอตั ราวันละไมเ่ กินสองร้อยบาท เปน็ ระยะเวลาไม่เกนิ หนึง่ ปีนบั แต่วนั ท่ีไม่ สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ (๔) ค่าตอบแทนความเสียหายอน่ื นอกจาก (๑) (๒) และ (๓) ใหจ้ ่ายเปน็ เงินตามจานวนทค่ี ณะกรรมการ เห็นสมควร แต่ไมเ่ กนิ สามหมน่ื บาท และค่าตอบแทนตาม (๑) และ (๒) ใหร้ วมถงึ ค่าใชจ้ า่ ยเก่ียวกบั คา่ ห้องและค่าอาหารในอัตราวนั ละไม่เกนิ หกรอ้ ยบาท ๑๘๑ กฎกระทรวงกาหนดหลักเกณฑ์และวิธกี าร และอัตราในการจา่ ยคา่ ตอบแทนผเู้ สยหี าย และคา่ ทดแทน และคา่ ใชจ้ า่ ยแกจ่ าเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๔. ในกรณที ี่ผ้เู สยี หายในคดีอาญาถึงแก่ความตาย ใหค้ ณะกรรมการพิจารณาจ่ายคา่ ตอบแทนใหแ้ กผ่ เู้ สยี หายน้ัน ดงั ต่อไปนี้ (๑) ค่าตอบแทน ใหจ้ ่ายเป็นเงนิ จานวน ต้งั แต่สามหมน่ื บาท แตไ่ ม่เกินหนึง่ แสนบาท (๒) คา่ จัดการศพ ใหจ้ ่ายเป็นเงินจานวนสองหมืน่ บาท (๓) คา่ ขาด อุปการะเล้ียงดู ใหจ้ ่ายเป็นเงินจานวนไม่เกินสามหมน่ื บาท (๔) คา่ เสยี หายอ่ืนนอกจาก (๑) (๒) และ (๓) ใหจ้ ่ายเป็น เงนิ ตามจานวนทค่ี ณะกรรมการ เห็นสมควร แต่ไมเ่ กินสามหมนื่ บาท
๙๕ ทางการเมืองตามข้อเสนอของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม ได้มีการศึกษาหรือปรับปรุงพัฒนากฎหมายต่อไป และในระหว่างท่ีกระทรวงยุติธรรมศึกษาหรือปรับปรุงพัฒนา กฎหมาย เห็นควรให้สานักงานปลดั สานักนายกรฐั มนตรียกร่างระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรี เพอื่ ใช้เป็นหลักเกณฑ์ ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ ไปพลางก่อน๑๘๒ อย่างไรก็ดีจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการตราพระราชบัญญัติ การชดเชยเยยี วยาความเสียหายจากการละเมดิ สทิ ธมิ นุษยชนแต่อย่างใด นอกจากน้ัน ในปี ๒๕๖๐ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้จัดทารายงานข้อเสนอแนะมาตรการ หรอื แนวทางและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการเยียวยาความเสียหาย กรณีการละเมิด สิทธิมนุษยชนและการเยียวยาตามหลักมนุษยธรรม ต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาโดยได้จัดให้มีการรับฟัง ความคิดเห็นจากผู้แทนหน่วยงานภาครัฐท่ีเก่ียวข้องกับการเยียวยา ได้แก่ กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพกระทรวง ยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ การทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา สานักงานอัยการสูงสุด สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สานักงานปลัดสานัก นายกรัฐมนตรี สานักงานตารวจแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม ศูนย์อานวยการ บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ สานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรุงเทพมหานคร โดยสรุป ข้อเทจ็ จรงิ และความเห็นที่เปน็ สาระสาคญั ต่อการเยยี วยา ดังนี้๑๘๓ ๑) มาตรฐานในการเยียวยาที่แตกต่างกันเนื่องจากความหลากหลายของหน่วยงานและกฎหมาย ทเ่ี กยี่ วข้อง ในกระบวนกรเยียวยาต่าง ๆ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจานวนมากโดยแต่ละหน่วยงานทีกฎหมาย ท่ีใช้บังคับซ่ึงกาหนดสัดส่วนเงินชดเชยหรือเยียวยาและกระบวนการที่แตกต่างกันเป็นสาเหตุท่ีทาให้เกิดความ ไม่เท่าเทียมกัน นอกจากนี้กฎหมายหรือระเบียบของแต่ละหน่วยงานมีฐานอานาจตามกฎหมายแต่ละฉบับท่ีออก ต่างกรรมต่างวาระ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเม่ือวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มอบให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องจัดทากฎหมายหรือระเบียบ เง่ือนไขและวิธีการ ในการให้ความช่วยเหลือเยียวยา ที่ครอบคลุมทุกกรณีไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมือง ภัยพิบัติธรรมชาติ เหตุการณ์ ความรนุ แรงในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ หรือกรณีอืน่ และให้ครอบคลมุ บคุ คลทุกกลมุ่ ๒) แนวทางทเ่ี หมาะสมในการกาหนดหลกั เกณฑก์ ลางในการเยยี วยา การกาหนดหลักเกณฑ์กลางในการให้ความช่วยเหลือเยียวยา ตามมติเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ อาจมีความไม่ยืดหยุ่นจงึ ควรมกี ารแยกหมวดหมู่ของความเสยี หายในมิติต่าง ๆ เพ่ือให้มีหลักเกณฑแ์ ละลองนาไปใช้ ระยะหน่ึงให้เป็นแนวทางในการปฏิบัตทิ ี่แนน่ อนชดั เจนสาหรับเจา้ หน้าท่ีที่เกีย่ วข้องจนกว่าจะเห็นมีความเหมาะสม ถูกต้องเสียก่อนจึงออกเป็นพระราชบัญญัติ ทั้งนี้หากความเสียหายเกิดจากมูลเหตุลักษณะเดียวกันควรใช้ หลักเกณฑห์ รอื เงอื่ นไขเดยี วกันในการพจิ ารณาเงินเยยี วยาเพ่อื ความเท่าเทียม ๑๘๒ มติคณะรัฐมนตรวี ันที่ ๑๕/๐๓/๒๕๕๙ (https://cabinet.soc.go.th/soc/Program2-3.jsp?top_serl=99318478) ๑๘๓ รายงานข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพ่ือแก้ไขปัญหาการเยียวยาความเสียหาย กรณีการละเมิด สทิ ธมิ นุษยชนและการเยยี วยาตามหลกั มนษุ ยธรรม ที่ ๓/ ๒๕๖๐ วนั ที ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐.
๙๖ ๓) ความหมายของผเู้ สยี หายท่ียงั ขาดความครอบคลุม การเยียวยาตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยังมิได้ครอบคลุมถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนท่ีถูกบังคับ สูญหายซึ่งตามหลักการสิทธิมนุษยชนแล้วถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มีความรุนแรงมากกว่ากรณีทั่วไป รัฐจงึ ควรให้ความคุม้ ครองและเยียวยาความเสียหายทเี่ กดิ ข้นึ เป็นการเฉพาะ ๔) การเยียวยาเมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน นอกเหนือจากการจ่ายค่าสินไหมทดแทน (compensation) ทผี่ ่านมาการเยียวยาของรัฐต่อผู้ท่ีถูกละเมดิ สิทธิมนุษยชนมีการเยียวยาเฉพาะการเยยี วยาในรูปแบบ การจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือตัวเงิน (compensation) ซึ่งเห็นว่าควรมีการเยียวยาในรูปแบบอ่ืนนอกจากด้าน ตัวเงินด้วยซ่ึงการเยียวยาด้านการเงินในบางกรณีจะเป็นจานวนที่สูงมากแต่ก็ไม่ใช่การเยียวยาที่ผู้เสียหายพอใจ ท้ังหมดเพราะนอกจากการเยียวยาในรูปแบบตัวเงินแล้วการเยียวยาที่ผู้เสียหายต้องการ คือ ความยุติธรรม ท้ังนี้ อาจจาเป็นต้องมีการเยยี วยาดา้ นอนื่ ด้วย เช่น การฟ้นื ฟูสภาพจติ ใจ ๕) การเยียวยาทีล่ า่ ชา้ และไมเ่ พียงพอ เม่ื อเกิ ด เห ตุก ารณ์ ค วาม รุน แ รงก ารเยี ย วยาท่ี มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพค วรต้ องด าเนิ น ก ารอย่ างรวด เร็ ว ทันเหตุการณ์และเพียงพอ เช่น กรณีความรุนแรงทางการเมืองซ่ึงความล่าช้าในกรณีดังกล่าวเกิดจากกระบวนการ ตรวจสอบจะทาใหก้ ารเยยี วยาไม่ทนั การณ์และบางกรณพี บวา่ กระบวนเยียวยาในสถานการณ์เดียวกนั ซึ่งอาจไมเ่ ป็น ธรรมต่อผู้ได้รับความเสียหาย อาทิ กรณีเหตุวินาศกรรมส่ีแยกราชประสงค์มีการจ่ายเงินเยียวยาแก่นักท่องเที่ยว ต่างชาติภายในเจ็ดวันแต่การเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบท่ีเป็นคนไทยมีความล่าช้าและไม่เพียงพอกับความ เสียหายทไ่ี ด้รับทาให้มกี ารร้องเรียนต่อหน่วยงานรัฐเน่ืองจากผ้เู สียหายได้รบั บาดเจ็บสาหัส ต้องกินยาไปตลอดชวี ิต และยงั ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ๖) การประเมนิ ผลการกระทบความเสยี หายทแี่ ตกตา่ งกนั กรณีความพกิ ารหรอื ทุพพลภาพ ในการประเมินผลการกระทาความเสียหายเพื่อให้การเยียวยาพบว่า มีการประเมินระดับหรือ รายละเอียดเกี่ยวกับความพิการหรือทุพพลภาพที่แตกต่างกันตามฐานกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ระหว่าง พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ กับพระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัย เน่ืองจากการช่วยเหลือราชการการปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นต้น หรือความคู่มือความสามารถของคนพิการท่ีกระทรวงสาธารณสุขจัด ทาข้ึนยังไม่มีหลักเกณฑ์ใดท่ีจะถือว่าเป็น หลักเกณฑ์กลางที่เป็นแนวทางสาหรับแพทย์ผู้ออกใบรับรองและหน่วยงานที่ให้การเยียวยาก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม ในการได้รับการเยียวยา ๗) การขาดศูนยก์ ลางขอ้ มูลเกย่ี วกับเยียวยา โดยท่ีมหี น่วยงานท่เี ก่ียวข้องกบั การเยียวยาหลายหน่วยงาน จงึ พบวา่ ไม่มีหน่วยงานใดเป็นศนู ย์กลาง ในการรวบรวมข้อมูลเบ้ืองต้นท่ีเช่ือมโยงกันทั้งระบบทาให้แต่ละหน่วยงานไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลระหว่างกันได้ ประชาชนต้องให้ข้อมูลซ้าหลายครั้งต่อทุกหน่วยงานที่ไปขอรับการเยียวยาทาให้การดาเนินการขาดความคล่องตัว และไม่สามารถอานวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้รับบริการได้แก่ผู้เสียหายอย่างมีประสิทธิภาพและขาดฐานข้อมูล กลางที่จะสามารถนาไปพัฒนาเชงิ ระบบต่อไป ท่ผี ่านมาการชดเชยเยียวยาการละเมิดสทิ ธิมนุษยชนที่ถือว่ามีความก้าวหน้ามากท่ีสุดในประเทศไทย คือ การเยียวยาเหย่ือและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายน – พฤษภาคม ๒๕๕๓
๙๗ รวมถึงกรณีผู้ถูกบังคับสูญหาย และถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐในจังหวัดชายแดนภาคใต้๑๘๔ภายใต้รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ตั้งคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับ ผลกระทบสบื เน่ืองจากสถานการณ์ความรนุ แรงเมอ่ื เดือนเมษายน – พฤษภาคม ๒๕๕๓ ทง้ั การเยยี วยาด้านสินไหม ทดแทน และการเยียวยาด้านคุณภาพชีวิตแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต พิการ รวมถึงกรณีผู้ถูกบังคับสูญหายและ ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ซ่ึงเช่ือว่าเกิดจากการกระทาของเจ้าหน้าท่รี ฐั แต่นา่ เสียดาย ที่การเยียวยาในลักษณะนี้มิได้นามาใชแ้ กก่ รณผี ู้สูญหายหรอื ผเู้ สยี ชีวิตจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคอนื่ ๆ อีกทั้งรัฐบาลต่อมามิได้นามาตรการเยียวยาน้ีมาใช้ทาให้ผู้เสียหายมีความรู้สึกว่า ถูกเลือกปฏิบัติและไม่ได้รับ ความเป็นธรรมจากรฐั จากที่กล่าวมาท้ังหมดช้ีให้เห็นว่า การไม่มีพระราชบัญญัติเพื่อการเยียวยาการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นการเฉพาะทาให้ประเทศไทยไม่มีมาตรฐานการชดเชยเยียวยาอย่างทั่วถึง มีประสิทธิผล และเท่าเทียม ตามหลักการสากล คณะกรรมาธิการฯ จึงเห็นสมควรให้รัฐสภารีบเร่งดาเนินการเพ่ือตราพระราชบัญญัติ เยยี วยากลางเพ่ือการละเมดิ สทิ ธมิ นษุ ยชนต่อไป ๑๘๔ http://www.cabinet.soc.go.th/soc/Program2-3.jsp?top_serl=99302822
บทท่ี ๙ หลกั นิติธรรมและความเป็นอิสระของศาล บรบิ ททว่ั ไป ความยุติธรรม เปน็ รากฐานสาคัญของระบอบประชาธปิ ไตยซ่งึ มีหลักการสาคัญ คือ ระบบนิติรัฐหรือรัฐ ท่ีปกครองโดยใช้กฎหมายโดยมี หลักนิติธรรม (The Rule of Law ) เป็นพ้ืนฐานในการปกครองในสังคมท่ีมี ความยุติธรรมหรือสังคมของรัฐท่ีเป็นธรรมน้ันถือหลักนิติธรรมเป็นหลักการพื้นฐานท่ีสาคัญที่สุดในการบริหาร ประเทศดังที่รับรองไว้ในบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพละเมือง และสทิ ธทิ างการเมือง (International Convention on Civil and Political Rights) ทีป่ ระเทศไทยเป็นภาคี กิตติพงษ์ กิตยารักษ์๑๘๕ ได้อธิบายว่าหลักนิติธรรมมีความหมายเป็น ๒ นัย กล่าวคือ กฎหมายต้องมี ความเป็นธรรม คือ ต้องมีความชัดเจนแน่นอน และต้องสามารถจัดสรรสิทธิประโยชน์ของบุคคลต่าง ๆ อย่างเป็นธรรม กฎหมายจะต้องบังคับใช้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ ด้วยความสาคัญของหลักนิติธรรมน้ีเอง จึงอาจกล่าวได้ว่า หลักนิติธรรมเป็นพื้นฐานของ “ธรรมาภิบาล”หรือ“การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมท่ีดี” (good governance) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสาคัญของสังคมท่ียุติธรรมอันเป็นพ้ืนฐานสาคัญของความเจริญ ในทุกด้าน๑๘๖ ดังน้ัน การใช้อานาจของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมจึงต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมเพ่ือธารง รักษาความยตุ ิธรรมในสังคม หลักนติ ิธรรม (Rule of Law) จึงเป็นหลักการปกครองโดยกฎหมายเพอื่ กอ่ ใหเ้ กิดความเปน็ ธรรมท้ังต่อ ปัจเจกชนและต่อประโยชน์ส่วนรวมของรัฐ และเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่สาคัญในความสัมพันธ์ของรฐั กับประชาชน ด้วยรัฐมีหน้าที่ต้องปกป้องทั้งผลประโยชน์ปัจเจกชนและผลประโยชน์มหาชนในกรณีที่ผลประโยชน์ขัดกัน (conflict of interest) รัฐต้องทาให้เกิดดุลยภาพท่ีเป็นธรรมโดยมีกลไกของกฎหมายท่ีดีและมีการบังคับใช้ ด้วยความเป็นธรรม หลกั นติ ธิ รรม (Rule of Law)๑๘๗ ประกอบหลกั การที่สาคญั ได้แก่ ๑. หลักการคุม้ ครองสิทธิมนษุ ยชน (Human Rights) ๒. หลกั แห่งการแบ่งแยกการใชอ้ านาจ (Separation of Power) ๓. หลกั แห่งการมกี ฎหมายทีด่ ี (Good law) ๔. หลักความชอบด้วยกฎหมายในทางเนอื้ หา ๕. หลักแห่งความชอบดว้ ยกฎหมายของฝ่ายปกครองและฝ่ายตุลาการ (Administrative Legality and Judiciary legality) ๖. หลกั แหง่ ความรบั ผิดชอบของรัฐ (State Responsibility) ๗. หลกั ความเปน็ อิสระของผ้พู พิ ากษาและตลุ าการ (Independent of Judiciary) ๑๘๕ ผู้อานวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) หรือ TIJ และผู้ผลักดันให้ TIJ ได้รับการรับรองสถานภาพเป็นองค์กร เครือข่ายสหประชาชาติด้านกระบวนการยุติธรรม หรือ United Nations Programme Network Institute (UN- PNI) แห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใต้ ในปี ๒๕๕๙ ๑๘๖ กิตติพงษ์ กิตยารกั ษ์ ยทุ ธศาสตร์การปฏิรูปกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาไทย น. ๕ ๑๘๗ ดัดแปลงจากแนวคิดของพรศักด์ิ ผ่องแผ้ว, เอกสารโครงการศึกษาวิจัยการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยงานราชการไทย : กรณีศึกษากรม สง่ เสรมิ การปกครองทอ้ งถน่ิ กระทรวงมหาดไทย
๙๙ ในทางสากลปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration on Human Rights - UDHR) เป็นปฏิญญาฉบับแรกท่ีได้วางหลักการสิทธิมนุษยชนไว้อย่างกว้างขวางและครอบคลุมท่ีประเทศสมาชิก สหประชาชาติทุกประเทศให้การยอมรับหลักการสาคัญในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เช่น หลักความเท่า เทียมกันของมนุษย์ทุกคนการที่มนุษย์จะปฏิบัติต่อกันควรเป็นไปด้วยการเคารพซึ่งกันและกันและปฏิบัติต่อกัน ฉันทพ์ ่ีน้อง๑๘๘ (ข้อ ๑) หลักการห้ามการทรมาน (ข้อ ๕) ทุก ๆ คน ต่างเสมอภาคกันในกฎหมายและชอบที่จะได้รับ ความคุ้มครองตามกฎหมายเทา่ เทียมกนั โดยปราศจากการเลอื กปฏบิ ัตใิ ด ๆ (ข้อ ๗) หลักความเท่าเทียมกันในการที่ จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมและเปิดเผยโดยศาล (ข้อ ๑๐) สิทธิในเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (ข้อ ๑๙) สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุม (ข้อ ๒๐) ข้อกาหนดของปฏิญญาสากลฯ ที่ระบุขอบเขตของการใช้สิทธิ และเสรีภาพให้อยู่ภายใต้การเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และสอดคล้องกับศีลธรรมความสงบเรียบร้อย ของประชาชาติ (ข้อ ๒๙ วรรค ๒) โดยข้อกาหนดน้ีจะขัดกับความมงุ่ ประสงค์และหลักการของสหประชาชาตไิ มไ่ ด้ (ข้อ ๒๙ วรรค ๓) และในมาตราสุดท้าย ปฏิญญาสากลฯ ไม่ให้รัฐ กลุ่มชนหรือบุคคลใด ๆ ประกอบกิจกรรมที่มุ่ง ต่อการทาลายสทิ ธิและเสรีภาพทร่ี ะบุไวใ้ นปฏญิ ญาสากลฯ (ขอ้ ๓๐) หลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษาและตุลาการ (Independent of Judiciary) เป็นอีกหลักการ สาคัญในการประกันการเข้าถึงความยตุ ิธรรมของประชาชนหลักการนี้ได้รบั การรับรองไว้ในขอ้ บทท่ี ๑๔ ของกติกา สากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยได้ให้การรับรอง๑๘๙ ในระบอบ ๑๘๘ “All human beings are born free and equal in dignity and rights. They are endowed with reason and conscience and should act towards one another in a spirit of brotherhood” UDHR (http://humanrights.mfa.go.th/upload/pdf/udhr-th-en.pdf) ๑๘๙ ขอ้ บทท่ี ๑๔ กตกิ าสากลวา่ ดว้ ยสทิ ธพิ ลเมืองและสิทธทิ างการเมอื ง ๑. บคุ คลทงั้ ปวงย่อมเสมอกนั ในการพจิ ารณาของศาลและคณะตลุ าการ ในการพจิ ารณาคดอี าญาซึง่ ตนตอ้ งหาวา่ กระทาผิด หรอื การพิจารณาคดี เกยี่ วกบั สทิ ธิและหน้าที่ของตน บคุ คลทุกคนยอ่ มมสี ทิ ธิไดร้ ับการพจิ ารณาอยา่ งเปดิ เผยและเป็นธรรม โดยคณะตลุ าการซ่งึ จดั ต้งั ข้ึนตามกฎหมาย มอี านาจ มคี วามเปน็ อสิ ระและเปน็ กลาง สื่อมวลชนและสาธารณชนอาจถกู ห้ามเข้าฟังการพจิ ารณาคดีทั้งหมดหรือบางส่วนก็ดว้ ยเหตุผลทาง ศีลธรรม ความสงบเรียบรอ้ ยของประชาชน หรือความมน่ั คงของชาติในสงั คมประชาธปิ ไตยหรอื เพ่อื ความจาเปน็ เกยี่ วกบั สว่ นได้เสยี ในเรอ่ื งชีวิต ส่วนตัวของคู่กรณี หรอื ในสภาพการณพ์ เิ ศษซ่ึงศาลเหน็ ว่าจาเป็นอย่างยิง่ เม่ือการพจิ ารณาโดยเปดิ เผยนน้ั อาจเป็นการเสอ่ื มเสียตอ่ ประโยชน์ แหง่ ความยตุ ธิ รรม แต่คาพพิ ากษาในคดีอาญา หรอื คาพพิ ากษาหรอื คาวนิ จิ ฉยั ขอ้ พิพาทในคดีอน่ื ตอ้ งเปดิ เผย เวน้ แตจ่ าเป็นเพ่อื ประโยชน์ของ เด็กและเยาวชน หรอื เปน็ กระบวนพิจารณาเก่ียวดว้ ยขอ้ พิพาทของคูส่ มรสในเร่ืองการเปน็ ผูป้ กครองเด็ก ๒. บุคคลทกุ คนซ่ึงตอ้ งหาว่ากระทาผิดอาญาตอ้ งมสี ิทธไิ ด้รับการสนั นิษฐานวา่ เป็นผ้บู ริสุทธ์จิ นกว่าจะพิสจู นต์ ามกฎหมายได้วา่ มคี วามผิด ๓. ในการพจิ ารณาคดอี าญา บุคคลทุกคนซึง่ ตอ้ งหาวา่ กระทาผดิ ยอ่ มมีสิทธทิ จ่ี ะได้รบั หลักประกนั ข้ันตา่ ดงั ต่อไปน้โี ดยเสมอภาค (ก) สทิ ธิที่จะไดร้ บั แจง้ โดยพลนั ซงึ่ รายละเอยี ดเกย่ี วกบั สภาพและเหตแุ หง่ ความผดิ ท่ีถกู กลา่ วหาในภาษาซ่งึ บุคคลนั้นเข้าใจได้ (ข) สิทธทิ ่จี ะมเี วลา และไดร้ ับความสะดวกเพยี งพอแกก่ ารเตรยี มการเพอ่ื ตอ่ สู้คดี และติดตอ่ กับทนายความท่ตี นเลือกได้ (ค) สทิ ธทิ ่ีจะได้รับการพจิ ารณาโดยไมช่ กั ชา้ เกินความจาเป็น (ง) สิทธทิ ีจ่ ะได้รบั การพจิ ารณาตอ่ หนา้ บุคคลนัน้ และสทิ ธทิ ีจ่ ะตอ่ สู้คดีดว้ ยตนเอง หรือโดยผา่ นผู้ช่วยเหลือทางกฎหมายทีต่ นเลอื ก สิทธทิ บี่ ุคคล ไดร้ บั แจ้งให้ทราบถงึ สิทธใิ นการมีผู้ชว่ ยเหลอื ทางกฎหมาย หากบคุ คลนนั้ ไม่มผี ู้ชว่ ยเหลอื ทางกฎหมายในกรณใี ด ๆ เพ่อื ประโยชนแ์ หง่ ความ ยุตธิ รรมบคุ คลนั้นมสี ิทธทิ ่จี ะมผี ู้ชว่ ยเหลอื ทางกฎหมายซึง่ มีการแตง่ ตั้งใหโ้ ดยปราศจากคา่ ตอบแทน ในกรณีท่บี คุ คลนั้นไม่สามารถรบั ภาระ ในการจ่ายค่าตอบแทน (จ) สิทธิที่จะซักถามพยานซง่ึ เป็นปรปกั ษต์ ่อตน และขอให้เรยี กพยานฝา่ ยตนมาซักถามภายใตเ้ งื่อนไขเดยี วกบั พยานซึ่งเป็นปรปกั ษ์ตอ่ ตน (ฉ) สทิ ธทิ ี่จะได้รบั ความชว่ ยเหลือจากลา่ มโดยไม่คิดมูลคา่ หากไมส่ ามารถเขา้ ใจหรือพูดภาษาทใ่ี ช้ในศาลได้ (ช) สทิ ธทิ ีจ่ ะไมถ่ กู บังคับให้เบกิ ความเปน็ ปรปักษ์ตอ่ ตนเอง หรือให้รบั สารภาพผิด ๔. ในกรณขี องบคุ คลทีเ่ ป็นเด็กหรือเยาวชน วธิ พี จิ ารณาความให้เป็นไปโดยคานงึ ถึงอายุและความปรารถนาทจี่ ะส่งเสรมิ การแกไ้ ขฟนื้ ฟูความ ประพฤติของบคุ คลนัน้ ๕. บุคคลทกุ คนท่ตี อ้ งคาพพิ ากษาลงโทษในความผิดอาญา ยอ่ มมีสิทธทิ จ่ี ะให้คณะตลุ าการระดบั เหนอื ข้ึนไปพจิ ารณาทบทวนการลงโทษและ คาพิพากษาโดยเปน็ ไปตามกฎหมาย
๑๐๐ ประชาธิปไตยอานาจตุลาการถือเป็นหน่ึงในอานาจอธิปไตย ซ่ึงรับรองความเป็นอิสระของสถาบันตุลาการ โดยรับรองความเป็นอิสระของผู้พิพากษาให้สามารถดาเนินการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม ปราศจากการแทรกแซงจากบคุ คลหรอื องค์กรใด สราวุธ เบญจกุล๑๙๐ อดีตเลขาธิการสานักงานศาลยุติธรรมให้ความเห็นว่าหลักประกันความเป็นอิสระ ที่ผู้พิพากษาจะต้องไม่ถูกแทรกแซงจากองค์กรฝ่ายอื่นมีผลให้บุคคลที่จะเป็นผู้พิพากษาได้ต้องมีคุณสมบัติ ท่ีเหมาะสมและในขณะเดียวกันก็ต้องประพฤติและปฏิบัติตนให้เป็นท่ียอมรับของสังคมเพ่ือให้เกิดความเชื่อมั่น แก่ประชาชนว่าจะเป็นบุคคลผู้สามารถรักษาไว้ซ่ึงความยุติธรรมภายใต้หลักนิติธรรมในการรับรองและคุ้มครอง ตามสิทธแิ ละเสรภี าพของประชาชนตามทกี่ ฎหมายบัญญตั ไิ ว้ ผู้พิพากษาจึงตอ้ งดารงไว้ซ่ึงมาตรฐานทางจริยธรรมท่นี อกจากจะได้มีการกาหนดไว้ในประมวลจริยธรรม ตุลาการแล้วยังควรต้องดารงตนและปฏิบัติหน้าท่ีตามหลักธรรมแห่งการปฏิบัติตนของผู้เป็นตุลาการที่เรียกว่า “หลักอินทภาษ ๔” ซ่ึงจารึกไว้ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์โดยผู้พิพากษาจักต้องละท้ิงอคติ ๔ ประการ เพื่อให้ การพจิ ารณาตัดสินอรรถคดีเปน็ ไปด้วยความเทย่ี งธรรมปราศจากความลาเอียง ๑. ฉันทาคติ คอื ลาเอยี งเพราะรัก ชอบเห็นแกอ่ ามิสสินบน ๒. โทสาคติ คือ ลาเอยี งเพราะโกรธ ไม่ลุม่ หลงในยศถาบรรดาศกั ดิ์ โดยยดึ มั่นในความสจุ รติ เท่ียงธรรม ๓. โมหาคติ คือ ลาเอียงเพราะหลง ไม่ให้เกิดความเอนเอียงในใจด้วยเพราะมีความโกรธ ความอาฆาต เคียดแคน้ อยู่ในใจกบั ผ้ทู ี่อยู่เบอื้ งหนา้ ตน ๔. ภยาคติ คือ ลาเอยี งเพราะกลัว ไม่ให้เกิดความเอนเอียงในใจเพราะบังเกิดความกลัว ไม่วา่ จะกลัวตาย กลวั จะเกดิ การเส่อื มยศถาบรรดาศกั ด์ิ เป็นตน้ นอกจากมาตรฐานจริยธรรมจะเป็นท่ียอมรับ และเป็นแนวทางปฏิบัติของผู้พิพากษาในประเทศไทย แล้วยังมีหลักสากลท่ีได้รับการยอมรับ และมีการบัญญัติขึ้นเป็นประมวลจริยธรรมเพ่ือบังคับใช้กับผู้พิพากษา ในประเทศตา่ ง ๆ ด้วย เช่น The Code of Judicial Conduct adopted by the House of Delegates of the American Bar Association, August ๑๙๗๒ ของประเทศสหรัฐอเมริกา The European Charter on the Statute for Judges, Council of Europe, July ๑๙๙๘ ที่ใช้บังคับในประชาคมยุโรป หรือ Bangalore Principles of Judicial Conduct ๒๐๐๒๑๙๑ หรือ“หลักการบังกาลอร์ว่าด้วยจริยธรรมของตุลาการ” Principles of Judicial Conduct) ซึ่งได้บัญญัติขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ จากการประชุมร่วมกันของผู้พิพากษา ผ้ทู รงคณุ วุฒิกว่า ๘๐ ประเทศทว่ั โลกท่ีมีพ้นื ฐานทางกฎหมายท่ีแตกตา่ งกันแต่มคี วามมุ่งหมายเดียวกันท่ีจะร่วมกัน ร่างต้นแบบประมวลจริยธรรมตุลาการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถนาไปอนุวัตร ๖. เมอื่ บุคคลใดตอ้ งคาพพิ ากษาถึงทส่ี ุดให้ลงโทษในความผดิ อาญา และภายหลงั จากน้ันมีการกลับคาพิพากษาท่ใี หล้ งโทษบคุ คลนน้ั หรอื บุคคลนนั้ ไดร้ บั อภัยโทษ โดยเหตทุ ม่ี ขี อ้ เทจ็ จรงิ ใหมห่ รอื มีขอ้ เทจ็ จริงท่ีได้คน้ พบใหม่อนั แสดงใหเ้ หน็ ว่าได้มีการดาเนนิ กระบวนการยตุ ิธรรมทมี่ ิชอบ บคุ คล ที่ได้รับความทกุ ข์อนั เนือ่ งมาจากการลงโทษตามผลของคาพิพากษาลงโทษเชน่ วา่ ตอ้ งได้รบั การชดเชยตามกฎหมายเว้นแต่จะพสิ จู นไ์ ด้วา่ การไม่ เปิดเผยขอ้ เท็จจริงที่ยงั ไมร่ ใู้ หท้ นั เวลาเป็นผลจากบคุ คลน้ันทัง้ หมดหรอื บางสว่ น ๗. บคุ คลยอ่ มไมถ่ ูกพจิ ารณา หรอื ลงโทษซ้าในความผิดซง่ึ บุคคลนน้ั ต้องคาพพิ ากษาถงึ ทสี่ ดุ ใหล้ งโทษ หรอื ให้ปลอ่ ยตวั แลว้ ตามกฎหมายและวิธี พิจารณาความอาญาของแตล่ ะประเทศ ๑๙๐ จรยิ ธรรมของตลุ าการ, สราวุธ เบญจกลุ , สานกั ขา่ วอิศรา, กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๕. ๑๙๑ (https://www.unodc.org/pdf/crime/corruption/judicial_group/Bangalore_principles.pdf)
๑๐๑ ใช้ในประเทศได้ตามความเหมาะสมโดยอาศัยตัวอย่างจากประมวลจริยธรรมตุลาการที่ใช้บังคับภายในประเทศ สมาชิก และทใ่ี ช้บังคบั ในองคก์ รระหวา่ งประเทศ๑๙๒ ท้ังน้ี Bangalore Principles of Judicial Conduct หรือ หลักการบังกาลอร์ว่าด้วยจริยธรรมของ ตุลาการ ได้กาหนดหลักปฏิบัติเกี่ยวกับจริยธรรมของตุลาการไว้ ๖ ส่วนด้วยกัน ได้แก่ หลักความเป็นอิสระ หลักความเป็นกลาง หลักเกียรติศักดิ์ หลักการปฏิบัติอย่างเหมาะควร หลักความเสมอภาค หลักความสามารถ และความเพยี ร ๑) หลักความเป็นอิสระ (Independence) ความอิสระของตุลาการถือเป็นเง่ือนไขเบื้องต้นในการ ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมและเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานในการพิจารณาคดีท่ีเป็นธรรม ผู้พิพากษา จึงต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระ ปราศจากอิทธิพล หรือการแทรกแซงใด ๆ ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในระบบตุลาการ การพิจารณาพิพากษาคดีจึงต้องกระทาโดยอาศัยการประเมิน ข้อเท็จจริงที่ได้รับและความรู้ความเข้าใจทางด้านกฎหมายนอกจากหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีแล้ว ผู้พิพากษายังมีหน้าที่ต้องสนับสนุนและส่งเสริมหลักประกันในการปฏิบัติหน้าที่ตุลาการเพื่อธารงรักษาไว้ซ่ึงความ เป็นอสิ ระของฝา่ ยตุลาการ ๒) หลักความเป็นกลาง (Impartiality) เป็นหลักการท่ีมีความจาเป็นในการใช้อานาจทางตุลาการ ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาหรือการพิพากษาคดีผพู้ ิพากษาจึงต้องปฏิบัตหิ น้าทโี่ ดยปราศจากความพึงพอใจ ส่วนตัวความเอนเอียงหรือความอคติเพื่อรักษาและเสริมสร้างความเช่ือม่ันให้แก่สาธารณชน นักกฎหมาย และคู่ความในความเป็นกลางของผู้พิพากษาและองค์กรตุลาการ ท้ังนี้หากปรากฏว่ามีกรณีท่ีอาจกระทบถึง ความเป็นกลางของผู้พิพากษาเช่นผู้พิพากษาหรือบุคคลในครอบครัวมีผลประโยชน์ เก่ียวเน่ืองในผลแห่งคดี หรอื เคยเป็นทนายความในคดดี ังกล่าวผูพ้ ิพากษาผู้นั้นจักตอ้ งถอนตวั จากการพิจารณาพิพากษาคดีน้ัน ๓) หลักเกียรติศักดิ์ (Integrity) เป็นหลักการที่จาเป็นในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสมในตาแหน่ง ตุลาการโดยผู้พิพากษาจาต้องประพฤติ และปฏิบัติตนให้ประชาชนศรัทธาในความซื่อสัตย์ขององค์กรตุลาการ และปราศจากเหตุอันควรตาหนิติเตยี นใด ๆ ๔) หลักการปฏิบัติอย่างเหมาะควร (Propriety) เป็นหลักการท่ีมีความจาเป็นในการปฏิบัติหน้าท่ี ในตาแหน่งตุลาการโดยผู้พิพากษาจักต้องหลีกเลี่ยงการกระทาใด ๆ ท่ีไม่ถูกต้องเหมาะสม และต้องประพฤติตน ให้สมกับเกียรติศักดแ์ิ ห่งการดารงตาแหน่งหน้าที่ในฐานะผู้พิพากษา อาทิเชน่ ต้องไม่เป็นองค์คณะในการพิจารณา พิพากษาคดีที่สมาชิกในครอบครัวเป็นคู่ความต้องไม่ยอมให้ผู้อื่นใดเข้ามามีอิทธิพลเหนือตนในการพิจารณา พิพากษาคดีต้องไม่ใช้หรือยอมให้ผู้อ่ืนใช้ตาแหน่งหน้าที่ของตนในการแสวงหาประโยชน์ต้องไม่เรียกหรือรับของ ตอบแทนใด ๆ จากการปฏิบัติหน้าท่ีตุลาการ และมีหน้าที่ในการรักษาความลับท่ีได้รับทราบจากการปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะผพู้ พิ ากษา เปน็ ต้น ๕) หลักความเสมอภาค (Equality) ในการปฏิบัติหน้าท่ีในตาแหน่งตุลาการต้องปฏิบัติต่อบุคคล ที่เก่ียวข้องกับกระบวนการยุติธรรม และบุคคลที่มาใช้สิทธิทางศาลอย่างเท่าเทียมกันโดยผู้พิพากษาจะต้องปฏิบัติ หน้าท่ีโดยปราศจากความลาเอียงหรืออคติไม่ว่าจะเป็นทางการกระทาหรือคาพูด อีกท้ัง ต้องคานึงถึง ๑๙๒ “หลักการบงั กาลอรว์ า่ ด้วยจริยธรรมของตลุ าการ ๒๕๔๔” ไดร้ บั การรับรองโดยกลุ่มตุลาการเร่ืองการเสรมิ สรา้ งความซื่อสัตย์สจุ ริตของตลุ าการ และ ได้รับการปรับปรุงในระหว่างการประชุมโต๊ะกลมของหัวหน้าคณะผู้พิพากษา ซึ่งจัดข้ึนที่ Peace Palace กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่าง วันท่ี ๒๕ – ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๕.
๑๐๒ ความหลากหลาย และความแตกตา่ งทางสังคมของผู้ทม่ี าใชส้ ิทธิทางศาล เช่น เชอื้ ชาติ สีผวิ เพศ ศาสนา ถ่ินกาเนิด ความพกิ าร สถานภาพทางสังคมหรอื เศรษฐกิจ เปน็ ต้น ๖) หลักความสามารถและความเพียร (Competence and Diligence) กาหนดให้ผู้พิพากษาต้องมี ความรู้ความสามารถและความเอาใจใส่ในงานที่ทา และพึงอุทิศตนให้กับการปฏิบัติหน้าท่ีตุลาการเหนือกิจกรรม อ่ืนใด โดยต้องทาการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และถูกต้องเหมาะสม ในขณะเดียวกัน ผพู้ ิพากษาจะต้องสง่ เสริมและพัฒนาความรู้ และทักษะท่ีเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานตุลาการอย่างต่อเนือ่ งไม่ใช่แต่ เฉพาะกฎหมายที่ใชบ้ งั คบั ภายในประเทศเทา่ น้ันแต่ตอ้ งมคี วามรู้ทางกฎหมายระหวา่ งประเทศด้วย Bangalore Principles of Judicial Conduct หรือหลักการบังกาลอร์ว่าด้วยจริยธรรม ข อ ง ตุ ล า ก า ร จึ ง ถื อ เป็ น ห ลั ก ม า ต ร ฐ า น จ ริ ย ธ ร ร ม ส า ก ล ซึ่ งได้ มี ก า ร ก า ร บั ญ ญั ติ ไว้ เป็ น ล า ย ลั ก ษ ณ์ อั ก ษ ร โดยมีสาระสาคัญท่ีกล่าวถึงผู้พิพากษาว่า นอกจากจะต้องเป็นบุคคลท่ีมีความรู้ความเช่ียวชาญทางด้านกฎหมายแล้ว ยังพึงต้องสามารถดารงตนได้อย่างเหมาะสมเพ่ือให้การพิจารณาตัดสินอรรถคดีเป็นไปด้วยความเท่ียงธรรม ปราศจากความลาเอียง เนื่องจากการใช้อานาจทางตุลาการเป็นการใช้อานาจที่มีผลกระทบสิทธิและเสรีภาพ ของประชาชนผู้พิพากษาจึงต้องยึดถือหลักความเป็นอิสระ ความเป็นกลาง และเกียรติศักดิ์ในการพิจารณา พิพากษาคดีซง่ึ หลักการดังกล่าวน้มี ีความจาเป็นเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมน่ั ในองคก์ รตุลาการให้สามารถตอบสนอง ความตอ้ งการของสงั คมในการอานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ศาลทหาร การจัดต้ังศาลทหารในประเทศไทยเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย และพระราชบัญญัติ ศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ อย่างไรก็ดีศาลทหารได้เข้ามามีบทบาทในการตัดสินคดีซึ่งไม่เฉพาะคดีท่ีคู่ความเป็นทหาร หากแต่รวมถึงคดีระหว่างพลเรือนกับเจ้าหน้าที่ทหารด้วย เช่น คดีท่ีทหารเป็นผู้กระทาผิดทั้งความผิดส่วนตัว และความผิดจากการปฏิบัติหน้าที่นอกจากน้ันในช่วงการประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือในช่วงรัฐบาล คสช. ที่ได้มี คาส่งั หวั หนา้ คสช. ไหค้ ดคี วามผดิ ทางการเมอื งบางประเภทอยใู่ นอานาจการพิจารณาของศาลทหาร รายงานของมูลนิธิศูนย์ทนายความเพ่ือสิทธิมนุษยชน๑๙๓ ระบุว่าคดีการเมืองที่อยู่ในศาลทหารจานวนมาก ไม่ใช่การกระทาท่ีร้ายแรงคดีพลเรือนหลายคดีที่ถูกนาข้ึนสู่ศาลทหารซึ่งในสังคมปกติแทบไม่ถือว่าเป็นความผิด และล้วนเป็นเร่ืองเก่ียวข้องกับสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน เช่น คดีไม่ไปรายงานตัวตามคาส่ัง ของ คสช. คดีจัดกิจกรรมราลึกถึงการเลือกตั้ง คดีเดินเท้าจากบ้านไปศาลทหารคนเดียว คดีนั่งรถไฟไปตรวจสอบ การทุจริตในโครงการราชภักดิ์ คดีล้อเลียนหัวหน้าคณะรัฐประหาร คดีนักวิชาการแถลงข่าวมหาวทิ ยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร หรือคดถี ่ายรปู กบั ขันแดง เปน็ ตน้ ในกระบวนการยุติธรรมปกติเมื่อพลเรอื นได้กระทาความผิดอาญา บุคคลดังกล่าวย่อมได้รับการพิจารณา คดีในศาลยุติธรรมแต่เม่ือใดก็ตามที่มีการใช้กฎอัยการศึกและได้ประประกาศให้ศาลทหารมีอานาจพิจารณา พิพากษาคดีอาญาพลเรือนท่ีกระทาความผิดจะต้องเข้ามาสู่การพิจารณาพพิ ากษาคดีของศาลทหารในเวลาไม่ปกติ อย่างไรก็ตามศาลทหารมีความไม่เหมาะสมในการพิจารณาคดีที่พลเรือนได้กระทาความผิดในในประเด็นใหญ่ ๆ ดังนี้๑๙๔ ๑๙๓ https://www.tlhr๒๐๑๔.com/?p=๑๑๘๐๑ ๑๙๔ ชยั ยทุ ธ ลิขสิทธ์วิ ฒั นกลุ , “ปญั หาการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร: ศึกษาเฉพาะกรณีความผิดตามที่ระบุไว้ในบัญชตี ่อทา้ ยพระราชบญั ญตั กิ ฎ อัยการศกึ พ.ศ. ๒๔๕๗ ซึ่งผมู้ ีอานาจประกาศใช้กฎอัยการศึกประกาศให้ศาลทหารพิจารณาพิพากษา”, วิทยานพิ นธน์ ิติศาสตร์มหาบณั ฑิต สาขาวิชา นิตศิ าสตร์ คณะนติ ิศาสตร์ปรดี ี พนมยงค์ มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์ พ.ศ. ๒๕๕๙.
๑๐๓ ๑) ประเด็นความเป็นอิสระของศาลทหารซึ่งได้แก่ ปัญหาโครงสร้างของศาลทหาร ปัญหาระยะเวลา ในการดารงตาแหน่งของตุลาการพระธรรมนญู ท่ไี ม่มีกาหนดไว้ ปัญหาองคค์ ณะตลุ าการศาลทหารชน้ั ตน้ ท่ีประกอบ ไปด้วยตุลาการพระธรรมนูญท่ีมีความรู้กฎหมายเพียงนายเดียว๑๙๕ ปัญหาวิธีการเข้าสู่ตาแหน่งของตุลาการ พระธรรมนญู ซ่งึ มไิ ด้มหี ลักเกณฑ์ในการคดั เลือกนายทหารชนั้ สัญญาบตั รเพ่ือเข้าสู่ตาแหน่งตลุ าการพระธรรมนูญ ๒) ปัญหาสิทธิการอุทธรณ์และฎีกาคาพิพากษาหรือคาส่ังของศาลทหารในเวลาไม่ปกติผู้ที่ถูกกล่าวหา ไม่สามารถอทุ ธรณแ์ ละฎีกาตอ่ ไปได้ จากประเด็นปัญหา ๒ ประเด็นใหญ่ของศาลทหารข้างต้นไม่ว่าจะเป็นเร่ืองความเป็นอิสระของศาล ซึ่ ง ท า ให้ พ ล เรื อ น ท่ี อ ยู่ ใน อ า น า จ พิ จ า ร ณ าพิ พ า ก ษ าค ดี ข อ งศ า ล ท ห า ร ไม่ ได้ รั บ ก า ร คุ้ ม ค ร อ งสิ ท ธิ ที่ จ ะ ได้ รั บ การพิจารณาคดีจากตุลาการท่ีเป็นกลางและมีความรู้ความสามารถเพียงพอประกอบกับสิทธิการอุทธรณ์และฎีกา ของผู้ถูกกล่าวหาในศาลทหารในเวลาไม่ปกติซึ่งมีอยู่อย่างจากัดน้ันก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา อย่างชัดเจนเนื่องจากหากเกิดข้อผิดพลาดในการพิจารณาพิพากษาของศาลทหารช้ันต้น ก็ไม่สามารถทบทวน เปลย่ี นแปลงคาพพิ ากษาได้ก่อให้เกดิ ความไมเ่ ปน็ ธรรมอย่างมาก กรณีนี้สอดคล้องกับข้อสังเกตเชิงสรุปของคณะกรรมการตามกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิ ทางการเมือง สหประชาชาติ (UN Committee on Civil and Political Right) ท่ีมีความเห็นต่อรายงานฉบับที่สอง ของประเทศไทยในเรื่องของศาลทหารโดยคณะกรรมการมีความกังวลต่อการพิจารณาคดีของศาลทหารภายหลัง รัฐประหาร ๒๕๕๗ รวมท้ังกรณีท่ีพลเรือนซ่ึงถูกตัดสินว่าความผิดโดยศาลทหาร และไม่มีสิทธิในการอุทธรณ์ คาตัดสินนั้นคณะกรรมการยังกังวลเก่ียวกับรายงานว่าไม่มีการปฏิบัติตามหลักประกันท้ังปวงตามข้อบท ๑๔ ของกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง๑๙๖ ในระหว่างการพิจารณาของศาลทหาร ๑๙๕ ศาลทหารสังกดั กระทรวงกลาโหม ตุลาการศาลทหารเป็นข้าราชการทหาร อยู่ภายใตร้ ะบบการบังคับบัญชาทางทหาร ในองค์คณะ มตี ุลาการทหาร ที่ไมจ่ บนติ ศิ าสตร์ ๑๙๖ ข้อบทที่ ๑๔ กติกาสากลวา่ ดว้ ยสิทธพิ ลเมอื งและสทิ ธทิ างการเมอื ง ๑. บคุ คลท้ังปวงย่อมเสมอกนั ในการพจิ ารณาของศาลและคณะตุลาการ ในการพจิ ารณาคดอี าญา ซ่งึ ตนต้องหาว่ากระทาผดิ หรอื การพจิ ารณาคดี เก่ียวกบั สทิ ธแิ ละหนา้ ท่ขี องตน บุคคลทุกคนยอ่ มมีสิทธไิ ด้รบั การพิจารณาอย่างเปดิ เผยและเปน็ ธรรม โดยคณะตลุ าการซ่งึ จัดตง้ั ขึ้นตามกฎหมาย มีอานาจ มคี วามเปน็ อิสระ และเป็นกลาง สื่อมวลชนและสาธารณชนอาจถกู ห้ามเข้าฟังการพจิ ารณาคดีท้งั หมดหรือบางส่วนก็ดว้ ยเหตผุ ลทาง ศลี ธรรม ความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน หรือความมน่ั คงของชาติในสังคมประชาธิปไตยหรือเพ่อื ความจาเปน็ เกยี่ วกบั ส่วนไดเ้ สียในเร่ืองชีวติ สว่ นตัวของคกู่ รณี หรอื ในสภาพการณ์พเิ ศษซึง่ ศาลเหน็ วา่ จาเป็นอยา่ งย่งิ เมอ่ื การพจิ ารณาโดยเปิดเผยนัน้ อาจเปน็ การเส่อื มเสยี ตอ่ ประโยชน์ แห่งความยุตธิ รรม แต่คาพพิ ากษาในคดีอาญา หรือคาพพิ ากษาหรอื คาวนิ จิ ฉยั ขอ้ พิพาทในคดีอื่นตอ้ งเปิดเผย เวน้ แตจ่ าเปน็ เพ่ือประโยชนข์ อง เด็กและเยาวชน หรือเป็นกระบวนพิจารณาเกี่ยวดว้ ยขอ้ พพิ าทของคสู่ มรสในเรือ่ งการเปน็ ผูป้ กครองเดก็ ๒. บคุ คลทุกคนซ่งึ ตอ้ งหาวา่ กระทาผิดอาญา ตอ้ งมีสทิ ธิไดร้ ับการสันนษิ ฐานวา่ เป็นผบู้ รสิ ุทธิจ์ นกวา่ จะพิสจู นต์ ามกฎหมายได้ว่ามีความผิด ๓. ในการพจิ ารณาคดีอาญา บุคคลทกุ คนซึง่ ต้องหาว่ากระทาผิดยอ่ มมสี ิทธิทีจ่ ะไดร้ ับหลกั ประกนั ขั้นตา่ ดงั ตอ่ ไปนีโ้ ดยเสมอภาค (ก) สทิ ธทิ ี่จะไดร้ บั แจง้ โดยพลันซ่ึงรายละเอยี ดเก่ียวกับสภาพและเหตแุ ห่งความผิดที่ถูกกล่าวหาในภาษาซงึ่ บุคคลนน้ั เข้าใจได้ (ข) สิทธทิ ่ีจะมีเวลา และได้รับความสะดวกเพียงพอแกก่ ารเตรยี มการเพอ่ื ต่อสู่คดี และติดต่อกบั ทนายความทีต่ นเลือกได้ (ค) สิทธิทจี ะได้รบั การพจิ ารณาโดยไม่ชักช้าเกนิ ความจาเปน็ (ง) สทิ ธทิ ่จี ะไดร้ บั การพจิ ารณาต่อหนา้ บคุ คลน้นั และสิทธิท่ีจตุ ่อสู่คดดี ้วยตนเอง หรอื โดยผ่านผู้ชว่ ยเหลือทางกฎหมายทตี่ นเลอื ก สิทธิท่บี คุ คล จะไดร้ ับแจง้ ใหท้ ราบถงึ สทิ ธิในการมผี ูช้ ่วยเหลอื ทางกฎหมาย หากบุคคลนน้ั ไมม่ ผี ูช้ ว่ ยเหลือทางกฎหมาย ในกรณใี ด ๆ เพอ่ื ประโยชนแ์ หง่ ความยุติธรรมบุคคลนน้ั มสี ทิ ธทิ ีจ่ ะมีผูช้ ว่ ยเหลือทางกฎหมายซ่งึ มกี ารแต่งตงั้ ให้โดยปราศจากคา่ ตอบแทน ในกรณีทบี่ ุคคลนั้นไมส่ ามารถ รบั ภาระในการจ่ายคา่ ตอบแทน (จ) สทิ ธิท่ีจะซักถามพยานซ่งึ เป็นปรปกั ษ์ตอ่ ตน และขอให้เรียกพยานฝา่ ยตนมาซกั ถามภายใต้เงื่อนไขเดียวกบั พยานซึ่งเปน็ ปรปักษต์ อ่ ตน (ฉ) สทิ ธิทจ่ี ะได้รบั ความชว่ ยเหลอื จากลา่ มโดยไม่คดิ มูลคา่ หากไม่สามารถเข้าใจหรือพดู ภาษาทใ่ี ชใ้ นศาลได้ (ช) สทิ ธทิ ีจ่ ะไมถ่ กู บงั คับใหเ้ บิกความเปน็ ปรปกั ษต์ อ่ ตนเอง หรอื ใหร้ บั สารภาพผิด
๑๐๔ โดยคณะกรรมการมีข้อเสนอแนะให้ประเทศไทยใช้มาตรการท่ีจาเป็นเพื่อรับพิจารณาคาร้องให้ถ่ายโอนคดีจาก ศาลทหารไปยังศาลพลเรือน และเปิดโอกาสให้จาเลยท่ีเป็นพลเรือนในคดีที่ศาลทหารตัดสินแล้วสามารถอุทธรณ์ คาตัดสนิ ต่อศาลพลเรือนได้๑๙๗ ในเรื่องเกี่ยวกับศาลทหารองค์การสหประชาชาติได้กาหนดหลักการในการกากับดูแลการบริหารงาน ยุติธรรมผ่านศาลทหารหรือที่เรียกกันว่า “หลักการเดอโกซ์ -Decaux Principles” ซ่ึงยืนยันหลักการพ้ืนฐานว่า “ระบบยุติธรรมของทหารควรเป็นส่วนหน่ึงของระบบยุติธรรมตามปรกติ และควรดาเนินการในลักษณะที่ประกัน ให้เกิดความสอดคล้องอย่างเต็มที่กับหลักสิทธิมนุษยชนท่ีได้รับการคุ้มครองในระดับสากล และศาลทหารไม่ควร มีเขตอานาจเหนือพลเรือนรัฐควรประกันว่าพลเรือนที่ถูกต้ังข้อหาอาญาไม่ว่าในกรณีใดควรได้รับการพิจารณาจาก ศาลพลเรือน และต้องไม่จัดต้ังหน่วยงานตุลาการที่ไม่ได้ทาหน้าท่ีตามขั้นตอนปฏิบัติตามกฎหมายท่ัวไปขึ้นมา ทดแทนเขตอานาจศาลทเ่ี ป็นของศาลปรกติหรือศาลยตุ ิธรรม” ๔. ในกรณขี องบคุ คลทเ่ี ป็นเด็กหรอื เยาวชน วธิ ีพจิ ารณาความใหเ้ ปน็ ไปโดยคานงึ ถึงอายแุ ละความปรารถนาทจ่ี ะสง่ เสรมิ การแกไ้ ขฟ้นื ฟูความ ประพฤตขิ องบุคคลนั้น ๕. บคุ คลทุกคนทตี่ อ้ งคาพิพากษาลงโทษในความผิดอาญา ยอ่ มมสี ิทธิท่ีจะใหค้ ณะตลุ าการระดบั เหนือข้นึ ไปพิจารณาทบทวนการลงโทษและ คาพิพากษาโดยเป็นไปตามกฎหมาย ๖. เมื่อบคุ คลใดตอ้ งคาพิพากษาถึงทีส่ ดุ ใหล้ งโทษในความผิดอาญา และภายหลังจากน้นั มีการกลบั คาพพิ ากษาท่ีใหล้ งโทษบุคคลนน้ั หรอื บคุ คลนั้น ไดร้ บั อภัยโทษ โดยเหตทุ ม่ี ขี อ้ เทจ็ จริงใหม่หรือมขี ้อเทจ็ จริงทไี่ ดค้ ้นพบใหม่อนั แสดงใหเ้ หน็ ว่าไดม้ ีการดาเนินกระบวนการยตุ ธิ รรมทมี่ ชิ อบ บคุ คล ท่ีไดร้ บั ความทกุ ขอ์ นั เนือ่ งมาจากการลงโทษตามผลของคาพพิ ากษาลงโทษเชน่ วา่ ตอ้ งไดร้ บั การชดเชยตามกฎหมายเว้นแต่จะพสิ ูจน์ได้วา่ การไมเ่ ปิดเผยขอ้ เท็จจรงิ ท่ยี งั ไมร่ ู้ใหท้ ันเวลาเป็นผลจากบุคคลน้ันทั้งหมด หรือบางส่วน ๗. บุคคลยอ่ มไม่ถูกพจิ ารณา หรือลงโทษซ้าในความผดิ ซึ่งบุคคลนัน้ ต้องคาพิพากษาถงึ ที่สุดใหล้ งโทษ หรอื ใหป้ ลอ่ ยตวั แลว้ ตามกฎหมายและ วธิ ีพจิ ารณาความอาญาของแตล่ ะประเทศ (http://www.rlpd.go.th/rlpdnew/images/rlpd_1/International_HR/2557/tran_ICCPR-2.pdf) ๑๙๗ สทิ ธทิ ีจ่ ะได้รบั การพิจารณาคดีอยา่ งเป็นธรรมและศาลทหาร “(๓๑)แม้จะรับทราบถึงคาสง่ั หัวหน้า คสช.ที่ ๕๕/๒๕๕๙ ซ่ึงมกี ารถ่ายโอนอานาจการพจิ ารณาของความผิดของพล เรอื นทเ่ี กดิ ขึ้นต้งั แต่วนั ท่ี ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๙ และหลงั จากน้นั จากศาลทหารไปสศู่ าลพลเรือน คณะกรรมการยังคงกังวล เกยี่ วกบั รายงานวา่ ยงั มคี ดีและการออกหมายจับในอกี หลายร้อยคดีตอ่ พลเรอื นซงึ่ เปน็ คดีที่ตอ้ งเขา้ รับการพิจารณาคดใี นศาลของทหาร รวมทัง้ พลเรือนซงึ่ ถูกตดั สินวา่ ความผดิ โดยศาลทหาร และไมม่ ีสทิ ธิ ในการอทุ ธรณค์ าตดั สินนัน้ คณะกรรมการยังกังวลเก่ียวกบั รายงานวา่ ไมม่ กี ารปฏบิ ัตติ ามหลกั ประกนั ทง้ั ปวงตามข้อบท ๑๔ ในระหวา่ งการพิจารณา ของ ศาลทหาร (ขอ้ บทท่ี ๑๔) ๓๒. รัฐภาคคี วรจะประกันวา่ การพิจารณาคดใี นศาลทหาร ให้กระทาเปน็ ข้อยกเวน้ เท่านั้นและให้ ดาเนนิ ไปตามหลกั เกณฑท์ ่สี อดคล้องอยา่ ง เตม็ ทตี่ ่อหลักประกันทงั้ ปวงตามข้อ ๑๔ ของกติกาน้ี และความเหน็ ท่ัวไปของคณะกรรมการที่ ๓๒ (๒๕๕๐) โดยควรใช้มาตรการท่จี าเปน็ เพอื่ รบั พิจารณาคารอ้ งใหถ้ า่ ยโอนคดจี าก ศาลทหารสาหรบั ความผิดที่เกดิ ขึน้ ก่อนวันท่ี ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๙ โดยให้ถา่ ยโอนคดีท่ยี งั พจิ ารณาไมแ่ ลว้ เสรจ็ เหล่าน้ันไปยงั ศาลพลเรอื น และเปดิ โอกาสให้จาเลยที่เปน็ พลเรือนในคดที ศี่ าลทหารตดั สนิ แล้ว สามารถ อทุ ธรณค์ าตัดสินตอ่ ตอ่ ศาลพลเรอื นได้ (๓๑.While taking note of Order ๕๕/๒๐๑๖, which transfers jurisdiction for offences committed by civilians on ๑๒ September ๒๐๑๖ and thereafter from military to civilian courts, the Committee remains concerned about reports of hundreds of ongoing cases and arrest warrants against civilians that remain to be adjudicated before the military jurisdiction; as well as civilians who were convicted by military courts and did not enjoy the right of appeal. It is also concerned about reports that all guarantees provided for by article ๑๔ are not implemented during trials by the military courts (art. ๑๔). ๓๒.The State party should ensure that all trials under military courts are exceptional and take place under conditions which genuinely afford the full guarantees stipulated in article ๑๔ of the Covenant and Committee’s general comment No. ๓๒ (๒๐๐๗). It should take the necessary measures to accept transfer requests from military courts for by offences committed prior to ๑๒ September ๒๐๑๖, transfer all such pending cases to civilian courts and provide the opportunity for appeal in civilian courts of cases involving civilians already adjudicated under military jurisdiction.) https://tbinternet.ohchr.org/_layouts/๑๕/treatybodyexternal/Download.aspx?symbolno=CCPR%๒fC%๒fTHA%๒fCO%๒f ๒&Lang=en
๑๐๕ หลักการเดอโกซ์ ริเริ่มโดยเอ็มมานูเอล เดอโกซ์ (Emmanuel Decaux) ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ ประจาคณะอนุกรรมาธิการว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (UN Special Rapporteur of the Sub - Commission on the Promotion and Protection of Human Rights) ได้จัดทาร่างหลักการพ้ืนฐาน ในการกากับดูแลการบริหารงานยุติธรรมผ่านศาลทหาร (Decaux Principles) ๑๙๘ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Commission on Human Rights) โดยหลักการนี้เกิดข้ึนจากการ ปรึกษาหารือกับผู้ชานาญการด้านสิทธิมนุษยชน นักนิติศาสตร์ และเจ้าหน้าท่ีทหารจากทั่วโลกโดยคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Committee- HRC) ได้ให้การรับรองและยืนยัน ตาม Decaux Principles เม่ือวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการประชุมครั้งที่ ๖๒ ขององค์การ สหประชาชาติ สาระสาคัญของหลักการวา่ ดว้ ยกระบวนการยตุ ิธรรมในศาลทหารหรือ Decaux Principles ซึ่งเป็น มาตรฐานสากลข้ันตา่ ของระบบศาลทหาร มี ๒๐ ข้อ คอื ๑. การก่อต้ังศาลทหารโดยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่ตราโดยฝ่ายนิติบัญญัติเคารพหลักการแบ่งแยก อานาจ และเปน็ องค์กรสงั กดั ฝา่ ยตลุ าการอสิ ระจากฝ่ายนติ บิ ัญญตั ิและบริหาร ๒. ระบบศาลทหารต้องเคารพกฎเกณฑข์ องกฎหมายระหว่างประเทศ ๓. การประกาศใช้กฎอัยการศึกไม่เปน็ เหตุให้ยกเวน้ การประกนั สิทธิในการไดร้ ับพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ๔. ในสภาวะสงครามหลักการตามกฎหมายมนุษยธรรมโดยเฉพาะบทบัญญัติในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วย การปฏบิ ัติต่อเชลยสงครามต้องนามาใช้ในศาลทหารดว้ ย ๕. ศาลทหารไมม่ ีเขตอานาจในการพจิ ารณาพิพากษาพลเรือน ๖. ผู้คัดค้านทางมโนธรรมจิตสานึก (conscientious objector) บุคคลที่ปฏิเสธไม่ยอมถูกเกณฑ์ เป็นทหารโดยอ้างว่าการเป็นทหารนั้นขัดแย้งต่อมโนธรรมสานึกหรือศาสนาที่ตนนับถือหรือนายทหารที่ไม่ยินยอม ปฏิบัติหน้าที่ตามท่ีผู้บังคับบัญชาส่ังการโดยอ้างว่าการปฏิบัติหน้าที่นั้น ขัดขัดแย้งต่อมโนธรรมสานึกหรือศาสนา ที่ตนนับถอื บคุ คลเหลา่ นั้นตอ้ งไดร้ ับการพิจารณาคดโี ดยศาลพลเรอื น ๗. ศาลทหารไม่มอี านาจในการพิจารณาพพิ ากษาเยาวชนท่ีอายไุ มเ่ กิน ๑๘ ปี ๘. ศาลทหารมีอานาจพิจารณาการกระทาความผิดที่มีลักษณะทางทหารอย่างเคร่งครัดซ่ึงกระทาโดย บคุ ลากรทางทหาร ๙. ศาลทหารไม่มีอานาจพิจารณาการกระทาความผิดที่ละเมิดสทิ ธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ได้แก่ วิสามัญ ฆาตกรรม การบังคบั ใหบ้ คุ คลสูญหาย และการทรมานทารุณกรรม ๑๐. มาตรการในการรักษาความลับทางทหารไม่อาจถูกนามาใช้เพื่อยกเว้นการดาเนินการตาม กระบวนการยตุ ิธรรมหรอื เพอ่ื กระทบสิทธิมนุษยชน ๑๑. ระบบคกุ ของศาลทหารตอ้ งสอดคลอ้ งกับกฎเกณฑ์ของกฎหมายระหวา่ งประเทศ ๑๒. หลักประกนั เร่อื งการจับกุมคมุ ขงั ๑๓. ศาลทหารต้องมคี วามสามารถ เปน็ กลาง และเปน็ อสิ ระ ๑๔. การพิจารณาคดโี ดยเปิดเผย ๑๕. ค่คู วามมีสิทธใิ นการโตแ้ ย้งแสดงพยานหลักฐานได้เต็มท่ี ๑๙๘ https://www.icj.org/wp-content/uploads/2014/10/Decaux-Principles-military-tribunals.pdf
๑๐๖ ๑๖. ระบบศาลทหารต้องไม่ขัดขวางผู้เสียหายได้กล่าวโทษหรือฟ้องร้องดาเนินคดีทหารหรือเข้าสู่ กระบวนการยตุ ิธรรม ๑๗. สิทธิในการอุทธรณ์โต้แย้งคาพิพากษาของศาลทหารต่อศาลพลเรือนในระบบปกติศาลทหารกลาง ศาลทหารสงู สุดไมใ่ ช่ศาลพลเรอื น ๑๘. หนา้ ท่ใี นการเชื่อฟงั คาสงั่ ผบู้ ังคบั บัญชาไม่อาจยกเว้นความรบั ผิดทางอาญาของทหารได้ ๑๙. ธรรมนญู ศาลทหารตอ้ งถูกทบทวนตามพฒั นาการในทางสากลอยเู่ สมอเพ่อื ยกเลิกโทษประหารชีวิต ในทุกกรณีโทษประหารชีวิตต้องไม่นามาใช้แก่บุคคลอายุต่ากว่า ๑๘ ปี ผู้หญิงต้ังครรภ์และแม่ที่มีลูกอายุน้อย และบคุ คลท่มี ีปญั หาทางจติ และสติปัญญา ๒๐. ธรรมนญู ศาลทหารตอ้ งถกู พจิ ารณาทบทวนแก้ไขใหด้ ีขนึ้ จากท่ีกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ และพระราชบัญญัติ ศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ ไม่สอดคล้องกับกติการะหวา่ งประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และหลักการพ้ืนฐานในการกากับดูแลการบริหารงานยุติธรรมผ่านศาลทหาร (Decaux Principles) ขององค์การ สหประชาชาติ อนกุ รรมาธิการฯ จึงเห็นสมควรเสนอใหม้ ีการปรบั ปรงุ พระราชบญั ญัติท้งั สองฉบับดงั กลา่ ว ศาลสิทธมิ นุษยชน (Human Rights Court) ปจั จุบันมีหลายประเทศได้ดาเนินการจัดต้ังศาลสิทธิมนุษยชน เพื่อพิจารณาคดีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เปน็ การเฉพาะ คณะกรรมาธกิ ารฯ จงึ มคี วามเหน็ ว่ามีความจาเป็นท่ีรฐั สภาควรพิจารณาศึกษาแนวทางในการจดั ต้ัง ศาลสทิ ธมิ นษุ ยชนแห่งประเทศไทย (Thailand Human Rights Court on Human Rights) สิทธิมนุษยชน (Human Rights) เป็นแนวคิดและปณิธานร่วมกันของโลก ท่ีมีผลบังคับใช้เป็นหลักการ สากลมีผลผูกพันทางกฎหมายซ่ึงราชอาณาจักรไทยได้เข้าร่วมกับประชาคมโลกมีพันธะกรณีระหว่างประเทศ (International Obligations) มาอย่างต่อเนอ่ื งยาวนาน และได้มีการพัฒนาในประเทศมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะ อย่างยิ่งซึ่งเกิดจากข้อริเร่ิมของฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรที่ได้แสดงบทบาทท่ีสร้างสรรค์นี้ ถึงกระนั้นก็ตามสถานการณ์ สทิ ธิมนษุ ยชนของประเทศไทยยังไม่มคี วามมั่นคงและ มหี ลกั ประกนั ทมี่ ีประสทิ ธภิ าพเพยี งพอในการบงั คบั ใช้ คณะกรรมาธิการฯ พิจารณาแล้วเห็นร่วมกันว่าการจะพัฒนาแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนโดยรัฐธรรมนูญ จาเป็นต้องสร้างกลไกเพ่ือการปกป้อง และคุ้มครองสิทธิอันเป็นการสร้างหลักประกันสิทธิเสรีภาพและ สิทธิมนุษยชนให้มีความม่ันคงถาวรเพ่ือให้คุณค่า (Value) ของสิทธิมนุษยชนส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนความเช่ือถือของประเทศจึงสมควรยกระดับ การพัฒนาการแก้ไขปัญหาสิทธิเสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยให้สูงข้ึนอีกระดับด้วยการจัดตั้ง ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทยหรือ TCHR (Thailand Court on Human Rights) ขึ้นเพ่ือเป็นการสร้าง หลักประกันสูงสุดในการที่ประชาชนพลเมืองจะได้มีหลักประกันสมบูรณ์ในด้านสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ให้เป็นศาลชานาญการพิเศษเฉพาะด้านสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน โดยมีเขตอานาจตามกฎหมาย (Jurisdiction) เฉพาะในคดีท่ีเก่ียวกับประเด็นสิทธิเสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนท่ีมาจากการใช้สิทธิเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญบางประเภท และตามพันธกรณีระหว่างประเทศท่ีประเทศไทยมีความผูกพันตามกฎหมาย (Legal Binding) ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน การขจัดการเลือกปฏิบัติของสตรีและเด็ก สิทธิเด็ก ตลอดจนสิทธิมนุษยชนที่เป็น ข้อห้ามมิให้รัฐกระทาการ เช่น การบังคับสูญหาย (Enforced Disappearance) เป็นต้น ท้ังน้ีประชาชนพลเมือง จะได้หลกั ประกนั จากศาลและตลุ ากรทม่ี ีความรู้ ความชานาญพเิ ศษทางดา้ นสิทธิมนุษยชน และมีความเคร่งครดั ต่อ
๑๐๗ หลักการพื้นฐานของความเป็นอิสระของศาล และตุลาการของสหประชาชาติ Basic Principles on the Independence of the Judiciary และตามประมวลจรรยาบนั การทาหน้าทีข่ องศาล และตุลาการแหง่ บังกาลอร์ (Bangalore Principles of Judicial Conduct ๒๐๐๒)
บทท่ี ๑๐ ปญั หาความรนุ แรงจากการละเมดิ สิทธิมนษุ ยชนและอุปสรรคในการเขา้ ถึงความยตุ ิธรรม จากการศึกษาปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน การประทุษร้าย การบังคับสูญหายหรือการคุกคาม ประชาชนโดยเฉพาะนกั สิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมการเมืองรวมถึงผู้เห็นต่างจากรัฐท่ีผ่านมาคณะอนุกรรมาธกิ ารฯ มีข้อสังเกต และห่วงกังวลถึงปัญหาและอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองท่ีเป็นรากเหง้าของ ปญั หาการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเข้าถงึ ความยุติธรรม และการเขา้ ถึงการเยียวยาความเสียหายกรณีการละเมิด สทิ ธิมนษุ ยชน ดังนี้ ๑) การขาดเจตจานงทางการเมือง (Lack of Political Will) ของรัฐบาลในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ของบุคคลทุกคนโดยเฉพาะบุคคลที่เห็นต่างจากรัฐ ปัจจุบันแม้รัฐบาลพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา จะประกาศให้ สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ๑๙๙แต่คณะอนุกรรมาธิการฯ พบว่าบุคคล และกลุ่มบุคคลที่เห็นต่างจากรัฐบาล มักตกเป็นเป้าหมายการคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทาร้ายร่างกาย การบังคับสูญหายโดยที่คดี สว่ นมากไม่มีความก้าวหน้า และไม่มีการนาตัวผู้กระทาผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมทาให้เกิดการละเมิด สิทธิซ้านอกจากนั้นมีการใช้กฎหมายเพ่ือคุกคามประชาชน (judicial harassment) ซึ่งแม้สุดท้ายศาลมักยกฟ้อง แต่การฟ้องร้องดาเนินคดีทาให้นักสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมทางการเมืองต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย บางคน ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวทาให้ถูกจาคุก และครอบครัวได้รับความเดือดร้อนนอกจากนั้นในปัจจุบันมีการนา วาทกรรม “ชังชาติ” มาใช้กับผู้เห็นต่างหรือผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่าเป็นผู้ไม่รักชาติทาให้คนกลุ่มนี้ถูกตีตรา จากสังคม (social stigmatize) ว่าเป็นคนไม่ดีเป็นพิษภัยต่อสังคมทาให้หลายคนรู้สึกไม่ปลอดภัยจนถึงอาจต้อง หลบหนีจากสังคม ปัญหาการเมืองของไทยที่ผ่านมามักมีการต่อรองอานาจและผลประโยชน์ในกลุ่มชนช้ันนา ทาให้ ประชาชนมีความรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่เจ้าของอานาจอธิปไตยอยา่ งแท้จริง เน่ืองจากไม่มีสทิ ธิเสรภี าพอยา่ งเต็มทีแ่ ละ ไม่สามารถรวมตัวกันเพ่ือเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ทาให้การปกครองเป็นเร่ืองของการต่อรองอานาจและผลประโยชน์ เฉพาะกลุ่มชนชั้นนารวมถึงเจ้าหน้าท่ีรัฐซ่ึงประกอบด้วย ทหาร ตารวจ ข้าราชการ นักการเมือง และกลุ่มนายทุน ซ่ึงเป็นไปในลักษณะเอ้ือประโยชน์ต่อกันถึงแม้บางคร้ังจะมีความขัดแย้งและแย่งชิงอานาจระหว่ างทหาร ข้าราชการนักการเมืองโดยมีนายทุนเป็นผู้สนับสนุนแต่ความรุนแรงก็ไม่ได้ปะทุขึ้นอย่างเห็นได้ชัดความขัดแย้ง จึงเป็นท่ีตกลงกันได้หากผลประโยชน์ลงตัวหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าประชาชนมีความรู้สึกว่าการเมืองเป็นเร่ืองของ ชนช้นั นา (Elite) ไมใ่ ช่เรอื่ งของ ประชาชนอย่างแท้จรงิ ๒๐๐ ๒) การบงั คบั ใชก้ ฎหมายและการดาเนินกระบวนการยุตธิ รรมท่ีไม่สอดคล้องกบั หลกั นิตธิ รรม ๒.๑ การบังคับใช้กฎหมายและการดาเนินกระบวนการยุติธรรมที่ไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม คณะอนุกรรมาธิการฯ พบว่ารากเหง้าของการเข้าถึงความยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย เป็นปญั หาทสี่ ่ังสมมานานบางครง้ั มีการเลือกปฏบิ ัตใิ นการบังคับใช้กฎหมาย ทาใหป้ ระชาชนเกดิ ความเคลอื บแคลง ใจในกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนั้นกฎหมายที่ออกโดยคาส่ังของคณะรัฐประหาร ถือเป็นการตรา ๑๙๙ มติคณะรัฐมนตรี วันท่ี ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ https://cabinet.soc.go.th/soc/Program2-3.jsp?top_serl=99326764, อ้างแล้ว. ๒๐๐ รายงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและคน้ หาความจริงเพอ่ื ความปรองดองแหง่ ชาติ (คอป.) กนั ยายน ๒๕๕๕, หนา้ ๑๐๒. http://dl.parliament.go.th/handle/lirt/3795
๑๐๙ กฎหมายโดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลและการมีสว่ นรว่ มของประชาชนทาให้กฎหมายหลายฉบับขัดหรือแย้ง กับหลักการสิทธิมนุษยชน การออกกฎหมายโดยอานาจรัฏฐาธิปัตย์(sovereignty)๒๐๑ในฐานะผู้ทรงอานาจรัฐ โดยไม่ฟังเสียงประชาชนทาให้เกิดการละเมิดสิทธิ และทาให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลายโดยเฉพาะ หลังเหตุการณ์รัฐประหาร ๒๕๕๗ ซึ่งแม้รัฐบาลจะให้คาม่ันในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ปฏิรูปกฎหมาย และระบบยุติธรรมหากแต่ในขณะเดียวกันการออกคาส่ังหัวหน้า คสช. หลายฉบับได้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพ ของประชาชน และทาให้ประชาชนรูส้ กึ ไม่ไดร้ ับความเป็นธรรมทางกฎหมายมากขึน้ ๒.๒ หลักความรับผิดทางกฎหมาย การไม่มีกฎหมายทาให้ไม่มีความผิด และผู้กระทาผิดไม่ต้องรับโทษ เช่น กรณีการทรมานและการบังคับบุคคลสูญหายแม้ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบตั ิหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนษุ ยธรรม หรอื ท่ีย่ายีศักดศ์ิ รี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT) เม่ือปี ๒๕๕๐ แต่ประเทศไทย มิได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ ( International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance - ICPPED) อีกท้ังไม่มีกฎหมายภายในประเทศที่กาหนดให้การทรมาน และการบังคับสูญหายเป็นอาชญากรรม ทาให้กรณีการบังคับสูญหายไม่สามารถนาผู้กระทาผิดมาลงโทษได้ อีกทั้งญาติไม่สามารถนาคดีเข้าสู่การพิจารณา ของศาลยุติธรรมได้ เน่ืองจากปัญหาการไม่มีบทบัญญัติทางกฎหมายเรื่องการบังคับสูญหาย และนิยามของเหยื่อ ท่ชี ัดเจน และเม่ือไม่พบศพก็ไม่สามารถตั้งข้อหาฆาตกรรมได้ เช่น กรณีการบังคับสูญหายนายสมชาย นีละไพจิตร มบี างกรณีที่มกี ารพบชนิ้ ส่วนของศพผ้สู ูญหาย เชน่ กรณีพอละจี หรือบลิ ล่ี รักจงเจริญ ทีแ่ ม้กรมสอบสวนคดีพเิ ศษ จะพบช้ินส่วนกระดูกทม่ี ีสารพันธุกรรม DNA เชื่อมโยงกับแม่และยายของบิลลี่ แต่เมื่อสง่ สานวนใหอ้ ัยการคดีพิเศษ อัยการคดีพิเศษ ๑ มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ผู้อานวยการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมจังหวัด (ผอ.ทสจ.) ปัตตานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม ๔ คน ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าท่ี โดยมิชอบร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวทาร้าย และร่วมกันฆ่าอาพรางศพตามที่กรมสมอบสวนคดีพิเศษเสนอ โดยอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ ๑ ได้ตั้งคณะทางานได้ตรวจสานวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเสนอมาอย่างละเอียด แล้วเห็นว่าในข้อหาร่วมกันฆ่านน้ั คดีไม่มีประจักษพ์ ยานและพยานแวดล้อมใด ๆ เพียงพอท่จี ะเช่ือมโยงว่าผู้ตอ้ งหา ท้ังส่ี คือ นายชยั วัฒน์ ลมิ้ ลิขิตอักษร กับพวกได้ร่วมกันกระทาผดิ พยานหลักฐานไม่พอฟ้องจึงเหน็ ควรสงั่ ไม่ฟอ้ ง๒๐๒ อย่างไรดี ปัจจุบันกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทาความเห็นแย้งคาสั่งสานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ ๑ พร้อม สานวนการสอบสวนไปยงั อยั การสงู สุด เพอื่ พจิ ารณาตามกฎหมายตอ่ ไป๒๐๓ ๒๐๑ดา้ นนิติศาสตร์ อธิบายความหมายของคาว่า รฏั ฐาธปิ ัตย์ (Sovereignty) หมายถึง ผู้ทาใหเ้ กดิ กฎหมาย เชน่ การรฐั ประหารในหลายครัง้ ทีผ่ ่านมา ของไทย นักวชิ าการด้านกฎหมายอธิบายวา่ คณะรฐั ประหารคอื รัฏฐาธปิ ัตย์ ยอ่ มมอี านาจสงู สุด แมแ้ ตศ่ าลกม็ อิ าจกา้ วลว่ งไปพิจารณาพิพากษาเอาผิดแก่ คณะรัฐประหารได้ ด้านรฐั ศาสตร์ คาวา่ รฏั ฐาธปิ ัตย์ (Sovereignty) หมายถึง อานาจสูงสดุ ในการปกครองรัฐ ดังนั้น สงิ่ อ่ืนใดจะมอี านาจยง่ิ กว่าหรือขัดตอ่ อานาจ อธิปไตยหาไดไ้ ม่ ทัง้ นี้ อานาจอธปิ ไตยยอ่ มมคี วามแตกตา่ งกันไปในแต่ละระบอบการปกครอง ตวั อยา่ งเชน่ ในระบอบประชาธิปไตย อานาจอธปิ ไตยเปน็ ของประชาชน กล่าวคอื ประชาชนคือผมู้ ีอานาจสงู สดุ ในการปกครองประเทศ ในระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชยอ์ านาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษตั ริย์ คอื กษตั ริย์ทรงเป็นผู้มีอานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นต้น (เอกสารทางวชิ าการประกอบการประชมุ เสวนา เร่ือง รัฏฐาธิปัตย์ เออ้ื ประโยชนร์ ฐั ประหารหรือทาลายระบบนิตธิ รรม. กรงุ เทพฯ : สานักงาน เลขาธกิ ารสภาผูแ้ ทนราษฎร, ๒๕๕๕, หนา้ ๑-๔) ๒๐๒ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/863791 ๒๐๓ https://www.posttoday.com/social/general/630455
๑๑๐ ๒.๓ กรณีพลเมืองไทยเสียชีวิตและสูญหายในต่างประเทศ กรณีการเสียชีวิต และสูญหายของ พลเมืองไทยซ่ึงเป็นผู้เห็นต่างทางการเมือง ผู้ล้ีภัยหรือผู้แสวงหาท่ีพักพิงในประเทศเพื่อนบ้าน ญาติพบอุปสรรค อย่างมากในการเข้าถึงความยุติธรรม และการแสวงหาความจริง เนื่องจากไม่สามารถเข้าถงึ กลไกในการตรวจสอบ ข้อเทจ็ จรงิ ในประเทศเพ่อื นบา้ นได้ เช่น กรณีนายสรุ ชยั ดา่ นวัฒนานุสรณ์ นายไกรเดช ลือเลศิ นายชชั ชาญ บุปผาวลั ย์ รวมถึงนายชูชีพ ชีวะสุทธิ์ นายสยาม ธีรวุฒิ นายกฤษณะ ทัพไทย และนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ท่ีญาติ ได้ร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน และรับทราบข้อมูลจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านกระทรวงการต่างประเทศว่า ไมม่ ขี อ้ มลู และไมท่ ราบขอ้ เทจ็ จริงทเี่ กดิ ข้ึน ทาให้กรณเี หล่าน้ญี าตไิ มส่ ามารถเขา้ ถึงความยุตธิ รรมได้ อย่างไรก็ดี ประเทศไทยได้แสดงเจตจานงทางการเมืองในการได้ลงนามอนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับของสหประชาชาติ เมื่อวันท่ี ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ แต่เนือ่ งจากยงั มิได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ จึงทาให้ไมม่ ีผลผูกพันในการปฏบิ ัติตามอนุสัญญาฯ ที่ผ่านมา ในช่วงรัฐบาล คสช. กระทรวงยุติธรรมได้มีการเสนอ (ร่าง) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทาให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... แต่เม่ือเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มี การปรับปรุงแก้ไขร่างเดิมแต่จนสิ้นสุดการทาหน้าท่ีของ สนช. ร่าง พ.ร.บ. ฉบับน้ีได้ตกไป จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน กระทรวงยุติธรรมได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทาให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ใหม่ และได้นาเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้วเม่ือวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓ และจะได้นาเสนอต่อรัฐสภาเพ่ือพจิ ารณาต่อไป ปจั จบุ ันภาคประชาสังคม และพรรคการเมืองรวมถึงคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและ สิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอรายงานการศึกษาร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทรมานและการบังคับ สูญหาย พ.ศ. ... ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพ่ือให้มีการพิจารณาเป็นร่างคู่ขนานกับร่างของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งร่าง พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้รับความสนใจจากพรรคการเมืองหลายพรรค อย่างไรก็ดีคณะอนุกรรมาธิการฯ เห็นว่า การพิจารณาสาระสาคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ของสภาผู้แทนราษฎรจาเป็นต้องสอดคล้องกับอนุสัญญา ระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) ของสหประชาชาติ จึงจะทาให้ร่างพระราชบัญญัติฯ มีประสิทธิผลในการคุ้มครองและป้องกันการบังคับบุคคลมิให้สูญหายได้จริง ในประเทศไทย ๓) ปัญหาความลา่ ช้า และอุปสรรคในการเข้าถงึ กระบวนการยุติธรรม ๓.๑ ลอบประทุษร้ายนักกิจกรรมทางการเมือง กรณีการลอบประทุษร้ายร่างกายนักกิจกรรม ทางการเมืองในยุคหลังรัฐประหาร ๒๕๕๗ เป็นต้นมา คณะอนุกรรมาธิการฯ พบว่าคดีมีความล่าช้า และความ คบื หน้าทางคดีในการจับกุมตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุตธิ รรมในกรณีต่าง ๆ ดังกล่าวขา้ งต้น มีสถิติท่ีคอ่ นขา้ งตา่ กลา่ วคือ มเี พียงกรณีการลอบทาร้ายนายเอกชัย หงสก์ ังวาน ๒ กรณีเท่าน้ันท่ีเจ้าหน้าทีต่ ารวจ สามารถนาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมได้เนื่องจากคดีการทาร้ายร่างกายนายเอกชัย หงส์กังวาน ทั้ง ๒ ครั้ง (จากท้ังหมด ๘ คร้ัง) เอกชัยจดจาใบหน้าคนร้ายได้ รวมถึงอีกเหตุการณ์ที่มีการทาร้าย ต่อหน้าเจ้าหนา้ ท่ตี ารวจ ในขณะที่คดีทาร้ายร่างกาย และทาลายทรัพยส์ นิ อีก ๗ คดี ไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด๒๐๔ เช่นเดียวกับกรณีลอบทาร้ายนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ และการคุกคาม นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ก็ไม่มีความก้าวหน้าในการจับกุมผู้กระทาผิดมาดาเนินคดีเช่นกันทาให้เห็นว่ากรณี ๒๐๔ ขอ้ มลู จากเจ้าหนา้ ท่ผี ู้มาชแ้ี จงตอ่ กรรมาธิการ เมอ่ื วนั พฤหัสบดีที่ ๖ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๓
๑๑๑ การประทุษร้ายนักกิจกรรมทางการเมืองท่ีเห็นต่างจากรัฐบาลการสืบสวนสอบสวนมักมีความล่าช้า และพนักงาน สอบสวนลม้ เหลวในการตดิ ตามผู้กระทาผดิ มาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมซ่ึงส่งผลใหผ้ ูก้ ระทาผิดลอยนวล ๓.๒ ความไม่มั่นใจในการได้รับความยุติธรรม เนื่องจากนักกิจกรรมทางการเมืองที่มาให้ข้อมูล ตอ่ อนุกรรมาธิการฯ ปฏิเสธไม่เคยมีสาเหตุโกรธแค้นกับผู้ใดมาก่อนจงึ เช่ือวา่ สาเหตุที่พวกตนถูกลอบทาร้ายมาจาก กา ร แ ส ด งค ว า ม เห็ น ต่ า งท า งก าร เมื อ ง ห รือ ก า รวิ พ า ก ษ์ วิ จ าร ณ์ รั ฐ บ าล เมื่ อ ค ดี ไม่ มี ค ว าม คื บ ห น้ า จึ งท า ให้ ไม่ มี ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมนับแตช่ ้ันพนักงานสอบสวน อีกท้ังปัจจบุ ันพนักงานสอบสวนได้ตง้ั ขอ้ กล่าวหา ร้ายแรง และไม่ได้สัดส่วนกับการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกอย่างสันติ ของประชาชนเช่นมีการต้งั ข้อกล่าวหาตามมาตรา ๑๑๖ แหง่ ประมวลกฎหมายอาญาซ่งึ บญั ญัติเกย่ี วกบั การกระทา ท่ีก่อให้เกิดความป่ันป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนเพื่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงการปกครอง หรอื พระราชบญั ญตั ิวา่ ดว้ ยการกระทาผิดเก่ยี วกบั คอมพิวเตอร์ ๒๕๖๐ ซ่ึงมโี ทษสถานหนัก เปน็ ตน้ ๓.๓ รัฐขาดกลไกในการรับประกันความปลอดภัยของประชาชน กรณีการลอบทาร้ายนักกิจกรรม ทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลายคร้ังในช่วงรัฐบาล คสช. ทาให้เห็นถึงการใช้ความรุนแรงต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง แม้มีนักกิจกรรมหลายคนพยายามขอความคุ้มครองในฐานะพยานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ แตเ่ น่ืองจากเจา้ หน้าทมี่ กั กาหนดเงอื่ นไขการรับความคุ้มครองโดยห้ามไมใ่ ห้แสดงความคิดเห็นหรือทา กิจกรรมใด ๆ ที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือกิจกรรมที่มีความเส่ียงต่อการถูกทาร้ายทาให้นักกิจกรรม ทางการเมืองส่วนมากปฏิเสธการรับความคุ้มครองเนื่องจากเห็นว่าข้อเสนอของหน่วยงานรัฐดังกล่าวเป็นการปิดปาก และระงับการมีส่วนร่วมเพ่ือปกป้องประโยชน์สาธารณะของประชาชน เช่น กรณีนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ (จ่านิว) หรือกรณีนายเอกชัย หงส์กังวาน ซึ่งถูกทาร้ายร่างกายหลายคร้ังแม้กระทรวงยุติธรรมจะให้การคุ้มครองแก่ นายเอกชัย และนายสิรวิชญ์ แต่เป็นเพียงระยะส้ัน ๆ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ได้ขอให้ท้ังสองยุติการทากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ถูกทาร้ายทาให้ทั้งสองเห็นว่าเป็นการขัดต่ออุดมการณ์และเจตนารมณ์ในการต่อต้านความไม่เป็น ประชาธิปไตยและความไม่ยุตธิ รรมหรือกรณีนายกมล เหลา่ โสภาพันธ์ นักกิจกรรมต่อต้านการทุจริต ซ่ึงถูกคกุ คาม และรู้สึกไม่ปลอดภัยเมือ่ ได้เข้าไปขอความคุ้มครองจากเจ้าหน้าท่ีตารวจ สถานีตารวจภูธรบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น หลังจากน้นั ครอบครวั ไมส่ ามารถติดต่อนายกมลได้ ปัจจบุ นั นายกมล เหลา่ โสภาพนั ธ์ ยังคงเป็นบุคคลสูญหาย ๓.๔ การสร้างความหวาดกลัว การใช้ความรุนแรงต่อนักกิจกรรมทางการเมืองก่อให้เกิดความ หวาดกลัวแก่เยาวชน นิสิตนักศึกษา และนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเพ่ือการ ตรวจสอบการใช้อานาจรัฐอย่างยิ่ง อีกท้ังการท่ีมีผู้นาข้อมูลส่วนบุคคลของนักกิจกรรมทางการเมืองมาเผยแพร่ ต่อสาธารณะทาให้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของของนักกิจกรรมรวมถึงครอบครัวของพวกเขา ซึ่งแม้จะได้มี การรอ้ งเรียนหนว่ ยงานที่เก่ียวข้องแต่กไ็ มส่ ามารถนาตวั ผู้กระทาผิดมาลงโทษได้ ๓.๕ การเข้าถึงกองทุนยุติธรรม จากการที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนหรือนักกิจกรรมทางการเมือง ถูกคุกคามโดยใช้กระบวนการฟ้องร้องดาเนินคดี (Judicial Harassment) มากข้ึนทาให้ต้องพบอุปสรรคทางด้าน การเงินในการหาค่าใช้จ่ายเพ่ือสู้คดีและประกันตัวแม้จะมีกองทุนยุติธรรมแต่นักกิจกรรมทางการเมืองมัก ไม่ได้รับ ความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม๒๐๕โดยเฉพาะความช่วยเหลือทางการเงินสาหรับนามาใช้เพ่ือเป็นหลักทรัพย์ ในการประกันตัว การจัดหาทนายความและค่าใช้จ่ายในการสู้คดีโดยพบว่าในทางปฏิบัติเจ้าหน้าท่ีและ ๒๐๕ กองทุนยุติธรรมเป็นกลไกท่ีตั้งข้ึนตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ เพ่ือใช้เป็นแหล่งเงินทุนสาหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการช่วยเหลือ ประชาชนในการดาเนินคดี การขอปล่อยชวั่ คราวผูต้ ้องหาหรอื จาเลย การถกู ละเมิดสิทธมิ นุษยชนและการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน
๑๑๒ คณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมระดับจังหวัดมักจะไม่อนุมัติเงินช่วยเหลือในการประกันตัวให้แก่นักปกป้อง สิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมทางการเมืองโดยให้เหตุผลว่าการกระทาของนักกิจกรรมทางการเมืองซึ่งขอรับ ความช่วยเหลือนั้น “มีมูลน่าเชื่อว่าเป็นผู้กระทาความผิดตามท่ีกล่าวหา” โดยเป็นการให้เหตุผลตามระเบียบ คณะกรรมการบริหารกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการสนับสนุนหลักทรัพย์ เป็นหลักประกันในการปล่อยช่ัวคราว พ.ศ. ๒๕๕๔๒๐๖ ที่กาหนดให้คณะกรรมการบริหารกองทุนยุติธรรม คณะอนุกรรมการหรือผู้ได้รับมอบหมายสามารถท่ีจะใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าผู้ยื่นคาขอให้มีการปล่อยช่ัวคราว (ขอประกันตัว) เป็นผู้ที่น่าจะกระทาความผดิ ตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่การกาหนดให้ผู้มีอานาจอนุมัติเงินช่วยเหลือ ในการปล่อยชั่วคราวสามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาถึงสาเหตุหรือพฤติการณ์ของผู้ขอรับความช่วยเหลือว่าเป็นผู้ ที่น่าเชื่อว่ามิได้กระทาความผิดตามข้อกล่าวหรือไม่เป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญและกติกาสากลระหว่างประเทศ ตามหลักการต้องสนั นิษฐานวา่ บุคคลทุกคนเป็นผูบ้ ริสุทธ์ิจนกว่าศาลจะมีคาพิพากษา (Presumption of innocent) ๔) กรณีการดาเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพ่ือปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ (Strategic Lawsuit Against Public Participation - SLAPPs) ปัจจุบันนักปกป้องสิทธิมนุษยชนรวมถึงนักกิจกรรมการเมืองและประชาธิปไตยหล ายคนมักถูกฟ้อง กล่ันแกล้งหรือฟ้องปิดปากในลักษณะการดาเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ (Strategic Lawsuits Against Public Participation - SLAPP) มากขึ้น โดยผู้ฟ้องคดีท้ังรัฐและเอกชนมุ่งหวังผล ว่าการฟ้องร้องดาเนินคดีจะทาให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนยุติการเคล่ือนไหวคัดค้านหรือการแสดงความคิดเห็น โดยสุจริตเพ่ือวิพากษ์วิจารณ์นโยบายบางประการของรัฐหรือธุรกิจท่ีอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยการ ฟ้องร้องดาเนินคดีซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในท้องถ่ินและครอบครัวซ่ึงส่วนมาก มฐี านะยากจนทั้งการตอ้ งหาหลกั ทรพั ยเ์ พ่ือใชส้ ทิ ธใิ นการขอปลอ่ ยตัวชัว่ คราวคา่ ใชจ้ า่ ยในการจ้างทนายความทาให้ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนซ่ึงถูกฟ้องร้องหลายคดีได้รับผลกระทบมากข้ึนไปอีกการถูกฟ้องร้องดาเนินคดียังส่งผล กระทบต่อสภาพจิตใจความรู้สึกหวาดกลัวและความยากลาบากในการใช้ชีวิตด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะผลกระทบต่อ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการฟ้องคดีฐานความผิดร้ายแรงและมิได้สัดส่วนกับการใช้สิทธิเสรีภาพ ๒๐๖ อา้ ง พระราชบญั ญตั ิกองทุนยตุ ธิ รรม พ.ศ. ๒๕๕๘ และไดม้ กี ารออกระเบยี บการพจิ ารณาในการสนบั สนนุ หลกั ทรัพยเ์ ปน็ หลกั ประกันในการ ปลอ่ ยชั่วคราวฉบบั ใหม่ คอื ระเบยี บคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ว่าด้วยหลกั เกณฑ์ วธิ ีการ และเงอ่ื นไข ในการขอปลอ่ ยชัว่ คราวผู้ตอ้ งหา หรือจาเลย พ.ศ. ๒๕๕๙ อยา่ งไรก็ตามระเบียบฉบบั นยี้ ังคงกาหนดหลกั เกณฑ์พจิ ารณาใหค้ วามชว่ ยเหลอื เช่นเดมิ ในหมวด ๔ ขอ้ ๑๑ (๒) คือการ พจิ ารณาถึงสาเหตุหรือพฤติการณข์ องผขู้ อรับความชว่ ยเหลอื ว่าเป็นผกู้ ระทาผดิ หรือไม่ หมวด ๔ หลักเกณฑก์ ารพจิ ารณา การทบทวน และการแจง้ ผล ขอ้ ๑๐ การพจิ ารณาใหค้ วามช่วยเหลอื คณะอนกุ รรมการต้องคานงึ ถงึ หลักเกณฑ์ ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ผตู้ ้องหาหรอื จาเลยไม่มพี ฤติการณ์จะหลบหนี (๒) ไม่ไปยุ่งเหยงิ กับพยานหลักฐาน หรอื ไม่ไปกอ่ เหตุภยนั ตรายประการใด ข้อ ๑๑ การพิจารณาตามขอ้ ๑๐ ควรคานงึ ถึงหลกั เกณฑ์ ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ลักษณะการกระทาความผิดทไ่ี ม่ขดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรอื ความม่ันคงของประเทศ หรอื การกระทาทมี่ ีผลกระทบตอ่ ประชาชนทีท่ าใหป้ ระชาชนได้รับความเสยี หาย หรือความเชอ่ื ม่ันของกระบวนการยุตธิ รรม (๒) สาเหตหุ รือพฤติการณน์ า่ เชอ่ื วา่ มิได้กระทาความผดิ (๓) ฐานะของผ้ทู จี่ ะไดร้ ับความชว่ ยเหลือ (๔) ประวัตกิ ารกระทาความผดิ นสิ ยั ความประพฤติ และข้อเทจ็ จริงอน่ื ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง (๕) ความคดิ เหน็ ของผเู้ สยี หาย หรอื เจา้ พนกั งานทเ่ี ก่ียวข้อง หากมกี ารปลอ่ ยช่วั คราวผู้ต้องหาหรือจาเลย) (http://jfo2562.moj.go.th/Docs/regulation_bail.PDF)
๑๑๓ ของนักกิจกรรมการเมืองโดยหวังผลเพื่อทาให้เกิดความหวาดกลัว และเพื่อให้นักกิจกรรมการเมืองยุติการต่อต้าน และวิพากษว์ ิจารณร์ ฐั นอกจากนั้นการที่เจ้าหน้าที่รัฐมีการตั้งข้อกล่าวหาแก่นักสิทธิมนุษยชนหรือนักกิจกรรมทางเมือง รวมถึงนักศึกษา และประชาชนผู้เห็นต่างจากรัฐโดยเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองด้วยข้อกล่าวหาท่ีไม่ได้สัดส่วนกับ การกระทาของประชาชนเช่นมีการใช้กฎหมายอาญามาตรา ๑๑๖ หรือพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งมีโทษหนักแม้คดีเหล่านี้ศาลจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ และสุดท้ายคดีศาล มักยกฟ้องแต่การฟ้องร้องดาเนินคดีหลาย ๆ คดี ทาให้ประชาชนผู้ใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และกติกา ระหว่างประเทศด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองมีความรู้สึกหวาดกลัวไม่ปลอดภัยอีกทั้งการฟ้องร้อง ดาเนินคดียังนาไปสู่การจากัดเง่ือนไขการห้ามแสดงความคิดเห็นและแสดงออกของผู้ถูกฟ้องคดีกรณีลักษณะน้ี จงึ เข้าขา่ ยการฟอ้ งเพอ่ื กลน่ั แกล้งหรือเพ่ือปิดปากประชาชน (SLAPP) ปัญหาหนึ่งที่ทาให้การแก้ปัญหา SLAPP เป็นไปอย่างยากลาบากก็เนื่องมาจาก “ช่องโหว่ใน กระบวนการยุติธรรม” ท่ีไม่มีกลไกในการกล่ันกรองคดีก่อนจะขึ้นสู่ศาลที่มีประสิทธิภาพ แม้ที่ผ่านมาประเทศไทย จะไดม้ ีการแก้กฎหมาย ป.วิอาญา อาญามาตรา ๑๖๑/๑ เพอื่ ใหศ้ าลมีอานาจสั่งไมร่ บั ฟอ้ งคดีก่อนท่จี ะนัดไตส่ วนมูล ฟ้องก็ได้ และห้ามโจทก์กลับมาฟ้องคดีซ้าอีกหากศาลพบว่าคาฟ้องท่ีฟ้องต่อศาลน้ันไม่สุจริต บิดเบือน กล่ันแกล้ง หรือเป็นการเอาเปรียบจาเลย อย่างไรกด็ ีศาลมักไม่ได้นาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๑/๑ มาใช้วินิจฉัยเพ่ือพิจารณาไม่รับฟ้อง โดยท่ัวไปศาลจะให้มีการไต่สวนมูลฟ้องก่อนซึ่งระยะเวลาการไต่สวนมูลฟ้อง อาจใช้เวลานานทาให้เป็นภาระแกผ่ ู้ถกู ฟ้องคดี และแม้จะกาหนดหา้ มโจทก์กลับมาฟ้องคดีซ้าอีกแตก่ ็ระบุไว้ในท้าย มาตรานี้ว่า “ไม่ตัดอานาจอัยการท่ีจะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่” ซึ่งทาให้เม่ือศาลไม่รบั ฟ้องคดีแล้วโจทก์อาจจะนาคดีไป เข้ากระบวนการการฟ้องคดีโดยรัฐซึ่งก็นาเรื่องเดิมไปแจ้งต่อตารวจ และส่งให้อัยการพิจารณาว่าจะส่ังฟ้องคดี หรือไม่ซ่ึงหากอยั การสั่งฟ้องคดีศาลกต็ ้องดาเนนิ กระบวนพิจารณาโดยปกตใิ นคดนี ัน้ ๆต่อไป๒๐๗ ๕) การเข้าถึงความยตุ ิธรรมของผู้หญงิ เดก็ หญงิ และบคุ คลหลากหลายทางเพศ ๕.๑ กลไกระดับชาตเิ พ่อื ความกา้ วหนา้ ของสตรี การปฏิรูประบบราชการในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นผลให้มีการย้ายกลไกระดับชาติเพ่ือความก้าวหน้า ของสตรจี ากสานักนายกรัฐมนตรีซ่ึงเป็นศูนย์กลางอานาจในการบริหารประเทศไปเป็นหน่วยงานระดับกรม สังกัด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทาให้ไม่มีสถานะเพี ยงพอในการประสานและต่อรองกับ กระทรวงต่าง ๆ เช่นเดิม การปฏิรูปครั้งนี้ทาให้กลไกระดับชาติด้านสตรีมีเจ้าหน้าท่ีที่รับผิดชอบงานปฏิบัติการ ดา้ นสตรีบางส่วนจากกรมการพัฒนาชุมชนและงานด้านครอบครัวจากกรมประชาสงเคราะห์เป็นจานวนถงึ ร้อยละ ๘๐ ของเจา้ หน้าทก่ี ลไกระดับชาตทิ ้ังหมด ต่อมาในปี ๒๕๕๘ รัฐบาลได้ปรับปรุงโครงสรา้ งส่วนราชการของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ อีกครั้ง เป็นผลให้มีการรวมงานปฏิบัติการ๒๐๘เพ่ิมเข้าในงานของกลไกระดับชาติอีกการปรับปรุงโครงสร้างท้ังสองครั้ง มิได้เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับองค์กรหลักระดับชาติในการขับเคล่ือนนโยบายยุทธศาสตร์ ๒๐๗ https://ilaw.or.th/node/5016 ๒๐๘ งานดา้ นสวัสดกิ ารสงั คม การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาการคา้ หญิงและเด็ก สถานสงเคราะห์สตรี สถานสงเคราะหต์ ามกฎหมายว่าดว้ ยการปอ้ งกันและ ปราบปรามการค้าประเวณี
๑๑๔ และมาตรการในการส่งเสริมและประสานงานเพ่ือความเสมอภาคระหว่างเพศกับทุกภาคส่วนแต่เป็นการทาให้มี ภารกิจดา้ นการปฏิบตั ิเพ่ิมข้ึน เป็นท่ีน่าสังเกตว่าตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมาประเทศไทยยังไม่ได้นานโยบายและมาตรการบูรณาการ มิติความแตกต่างระหว่างเพศเข้าสู่การดาเนินงานกระแสหลักของหน่วยราชการต่าง ๆ อย่างเป็นระบบแต่ประการใด ประเทศไทยไม่ได้ปฏิบัติตามถึงข้อห่วงใยและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี ทุกรูปแบบ (CEDAW) ท่ีให้ไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ และ ๒๕๖๐๒๐๙ ที่ว่าการย้ายกลไกระดับชาติเพ่ือความก้าวหน้า ของสตรีจากสานกั นายกรฐั มนตรีซ่ึงเป็นศูนย์กลางการบริหารของประเทศอาจทาให้อานาจหน้าที่ในการบูรณาการ มิติความเสมอภาคระหว่างเพศเข้าในการดาเนินงานกระแสหลักของทุกหน่วยงานตลอดจนการประสานงานกับ กระทรวงต่าง ๆ มีประสิทธิภาพด้อยลง๒๑๐ อีกทั้งประเทศไทยไม่ได้ดาเนินการตามข้อเรียกร้องของคณะกรรมการ CEDAW ท่ีให้ประเมินผลเชิงลึกในประสิทธิภาพการดาเนินงานของกลไกระดับชาติเพื่อความก้าวหน้าของสตรีและ กลไกระดับหน่วยงาน และปรับปรุงองค์กรตามความจาเป็นเพ่ือให้ม่ันใจว่าจะมีกลไกเชิงสถาบันที่เข้มแข็งสาหรับ การสง่ เสริมความเสมอภาคระหว่างเพศก่อนที่กลไกระดับชาติจะปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเม่ือปี ๒๕๕๘๒๑๑ ๕.๒ กฎหมายและการบงั คับใชก้ ฎหมาย จากการปรับปรุงพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี๒๗) เม่ือวันท่ี ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒ โดยสภานิติบัญญัติแหง่ ชาติท่ีเห็นควรให้มีการปรับปรุงบทบัญญัติตามกฎหมายอาญา ลักษณะการชาเราเพ่ือให้สอดคล้องกับธรรมชาติ คือ ให้หมายความว่ากระทาเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทา โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทาล่วงล้าอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น ซึง่ ทาให้การใช้สิง่ อ่นื ท่ไี ม่ใช่ อวัยวะเพศไม่ถือว่าเป็นการข่มขืนชาเรา หากแต่จะเข้าข่ายอนาจาร ซ่ึงคาว่า “อนาจาร” ปัจจุบันยังไม่มีคาจากัด ๒๐๙ ขอ้ เสนอแนะคณะกรรมการการขจดั การเลอื กปฏบิ ตั ติ อ่ สตรที ุกรปู แบบ ของสหประชาชาติ (CEDAW), คาแปลอยา่ งไม่เปน็ ทางการ https://tbinternet.ohchr.org/_layouts/15/treatybodyexternal/Download.aspx?symbolno=CEDAW%2fC%2fTHA%2fCO%2f6- 7&Lang=en กลไกระดับชาติสาหรบั ความกา้ วหน้าของสตรี ๑๒. คณะกรรมการฯ ผิดหวังทไ่ี ม่ไดม้ ีการดาเนินการใหม้ ีมาตรการตามขอ้ เสนอแนะคร้ังกอ่ นของคณะกรรมการฯที่ให้ประเมนิ ผลเชิงลกึ ตอ่ กลไก ระดับชาติเพ่อื ความกา้ วหน้าของสตรีและกลไกเชิงสถาบนั ตา่ ง ๆ ในการสง่ เสรมิ ความเสมอภาคระหวา่ งเพศ (CEDAW/C/THA/CO/๕, para.๑๘) และแสดงความหว่ งกังวลท่กี รมกิจการพฒั นาสตรีและครอบครัวได้รับภารกิจในงานดา้ นการปฏบิ ตั ิเพม่ิ ขน้ึ จนทาให้ศกั ยภาพในการทาหนา้ ที่เปน็ กลไกระดับชาตใิ นการสรา้ งความก้าวหน้าของสตรีลดลง อกี ท้งั มีความกงั วลเกยี่ วกบั ความชดั เจนของภารกจิ และความรบั ผดิ ชอบของคณะกรรมการ ใหม่ ๆ ที่ตง้ั ข้นึ ตาม พ.ร.บ. ความเท่าเทยี มระหวา่ งเพศฯ เชน่ คณะกรรมการสง่ เสรมิ ความเทา่ เทยี มระหวา่ งเพศ เปน็ ต้น ๑๓. คณะกรรมการฯ มขี อ้ เสนอแนะตอ่ ประเทศไทย ดังน้ี ก) กาหนดภารกิจและความรับผดิ ชอบของกรมกิจการสตรแี ละสถาบันครอบครัวและกลไกทีจ่ ะตงั้ ขึ้นตาม พ.ร.บ. ความเทา่ เทยี มระหวา่ งเพศฯ ทีช่ ดั เจนและสรา้ งหลกั ประกนั ว่าจะไมซ่ า้ ซอ้ นกันโดยไม่สมควร ข) สรา้ งหลกั ประกันว่า กลไกระดับชาติมีอานาจหน้าทที่ รพั ยากรบุคคลและงบประมาณที่ เพียงพอเหมาะสมกบั ความจาเป็นในการทางาน อย่างมีประสิทธภิ าพที่จะสง่ เสรมิ สทิ ธขิ องผู้หญิง ค) สรา้ งหลกั ประกนั ว่ามกี ารนายุทธศาสตรใ์ นการบูรณาการเร่ืองเพศภาวะไปสูก่ ารปฏบิ ตั ิอย่างมปี ระสิทธภิ าพในทกุ หน่วยงานของรัฐบาล ง) มกี ารตดิ ตามและประเมินผลกระทบจากการดาเนินงานเพื่อส่งเสรมิ ความเทา่ เทยี มระหวา่ งเพศโดยกรมกิจการสตรแี ละสถาบันครอบครัว อย่างสมา่ เสมอ ๒๑๐ ขอ้ หว่ งใยและขอ้ เรยี กรอ้ งของคณะกรรมการ CEDAW ตอ่ ประเทศไทย จากสรปุ ข้อคดิ เหน็ ตอ่ รายงานฉบบั ท่ี ๓-๔ ของประเทศไทย เมือ่ วนั ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๙ ณ สานักงานใหญส่ หประชาชาติ นครนวิ ยอรก์ สหรัฐอเมรกิ า, ยอ่ หน้าท่ี ๑๗-๑๘ ๒๑๑ เนือ่ งจากเร่ืองเพศสภาพมคี วามเก่ยี วพนั กับสภาวะทับซอ้ นในหลายมติ ิ (intersectionality) เชน่ อายุ วัฒนธรรม เช้อื ชาติ ศาสนา ความพกิ าร รวมถงึ ความเปราะบางตา่ ง ๆ เช่น ผู้ล้ภี ยั แรงงานข้ามชาติ ซง่ึ แตล่ ะกลมุ่ มีปญั หาท่แี ตกตา่ งกัน การแกป้ ญั หาจึงควรเปน็ ลักษณะองคร์ วม คอื หน่วยงานทีร่ บั ผิดชอบตอ้ งมีศกั ยภาพครอบคลมุ การทางานของทุกกระทรวงทเ่ี กีย่ วขอ้ งจึงจะเกดิ การคุม้ ครองทมี่ ีประสทิ ธิผล
๑๑๕ ความท่ีชัดเจนตามกฎหมายไทยส่วนมากการต้ังข้อกล่าวหาจึงข้ึนอยู่กับดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนทาให้เป็น การยากลาบากสาหรับผู้เสียหายในการหาหลักฐานเพื่อดาเนินคดีต่อผู้กระทาผิด และส่วนใหญ่จะได้รับก าร พจิ ารณาวา่ เปน็ ความผิดสถานเบาซึง่ สามารถไกลเ่ กลี่ยได้การแกไ้ ขปรบั ปรุงพระราชบัญญัตดิ ังกล่าวจงึ ไม่สอดคล้อง กับสง่ิ ท่ีเกดิ ขึ้นจริงอีกทงั้ ไมค่ านงึ ถึงความเสียหายทางจิตใจของผูเ้ สยี หายที่ถูกกระทาด้วยความรนุ แรงทางเพศ นอกจากน้ันในมาตรา ๒๗๗ เรื่องการชาเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีกฎหมายยังอนุญาตไม่ให้เอาผิด ผกู้ ระทาการชาเรากรณที ีเ่ ปน็ สามีภรรยาซ่งึ เป็นการเปดิ ช่องให้มีการบงั คบั ให้เด็กแต่งงานกบั ผ้ทู ล่ี ่วงละเมดิ ทางเพศตนได้๒๑๒ ๕.๓ การเขา้ ถึงกลไกการร้องเรยี น ผู้หญิงและเด็กหญิงท่ีเป็นผู้เสียหายจากความรุนแรงในครอบครัว และการล่วงละเมิดทางเพศ มักไม่กล้าไปร้องเรียนกับพนักงานสอบสวนเนื่องจากมีความอับอายอีกท้ังการขาดแคลนพนักงานสอบสวนหญิง รวมถึงการไม่มีห้องสอบสวนเฉพาะคดีล่วงละเมิดทางเพศทาให้ผู้หญิงและเด็กหญิงรวมถึงบุคคลที่มีความ หลากหลายทางเพศไมก่ ล้าไปแจ้งความดาเนินคดีเมื่อถูกล่วงละเมิดทางเพศแม้สานักงานตารวจแหง่ ชาติจะได้จัดให้ มีพนกั งานสอบสวนหญงิ แต่กไ็ ม่เพียงพออกี ทงั้ การทาหน้าท่ีพนักงานสอบสวนเป็นงานหนักและโอกาสก้าวหน้าของ พนักงานสอบสวนหญิงมีจากัดจึงเป็นอีกสาเหตหุ น่ึงท่ีทาให้ประเทศไทยขาดแคลนพนักงานสอบสวนหญิงท่ีมีความ เข้าใจในเร่ืองความอ่อนไหวทางเพศสภาพ (gender sensitivity) ปจั จัยทางสังคมกม็ ีความสาคัญต่อการเข้าถึงความยุตธิ รรมของผู้หญิง เชน่ การทส่ี ังคมส่วนใหญ่ มกั มีอคติตอ่ ผู้หญิงและเดก็ หญิงที่ถูกลว่ งละเมิดทางเพศว่าเป็นความผิดของผหู้ ญิงยิ่งทาใหผ้ ู้หญิงสว่ นมากเลือกท่ีจะ นิ่งเงียบและไม่คิดที่จะหาความยุติธรรม นอกจากนี้ผู้หญิงที่เป็นกลุ่มเปราะบางมักเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ ไม่เฉพาะด้วยเหตุผลด้านเพศ แต่รวมถึงด้านอ่ืน ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น เหตุผลด้านชาติพันธ์ุ สัญชาติ ศาสนา สถานภาพสมรส สถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ อายุ ถ่ินกาเนิด รูปแบบการเลือกปฏิบัติลักษณะน้ีย่ิงส่งผล กระทบด้านลบต่อผหู้ ญิงมากกวา่ ผ้ชู าย๒๑๓ อุ ป ส ร ร ค ส า คั ญ อี ก ป ร ะ ก า ร ต่ อ ก า ร เข้ า ถึ ง ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม ข อ ง ผู้ ห ญิ ง อ า จ สื บ เน่ื อ ง ม า จ า ก เจ้าพนักงานตารวจ อัยการ และศาลในบางคร้ังปฏิบัติต่อคดีความรุนแรงในครอบครัวเหมือนเป็นปัญหาส่วนตัว หรือเป็นปญั หาครอบครวั ทที่ าให้ผู้หญิงมักถกู ขอให้ไกล่เกลยี่ ยอมความมากกว่าการนาคนผิดมาลงโทษ รวมถึงกรณี การล่วงละเมิดทางเพศท่ีสังคมมักมองว่าเป็นเรื่องน่าอับอายหรือเป็นความผิดของผู้หญิงเรื่องนี้คณะกรรมการ การขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ (CEDAW) กาหนดให้ศาลไม่ดาเนินการตามความเช่ือว่าผู้หญิง หรือเด็กผู้หญิงเป็นอย่างไรหรือมีประวัติความเป็นมาอย่างไรในคดีการข่มขืนกระทาชาเราโดยศาลต้องไม่นา สมมติฐานน้ันมาตัดสินผู้ถูกข่มขืนกระทาชาเราหรือผู้ถูกกระทาจากความรุนแรงเนื่องจากความแตกต่างระหว่างเพศ๒๑๔ โดยกรรมการ CEDAW เห็นว่าควรมีสมมติฐานท้ังในด้านกฎหมายหรือในทางปฏิบัติว่าท่ีผู้หญิงต้องยินยอมน้ัน เป็นเพราะไม่สามารถขัดขืนการกระทาผิดทางเพศเช่นน้ันได้ไม่ว่าผู้กระทาจะข่มขู่ว่าจะใช้กาลังหรือได้ใช้ ๒๑๒ มาตรา ๒๗๗ ผ้ใู ดกระทาชาเราเดก็ อายยุ งั ไมเ่ กนิ สบิ หา้ ปีซึง่ มใิ ชภ่ รยิ าหรือสามขี องตน โดยเด็กนนั้ จะยนิ ยอมหรือไมก่ ต็ ามตอ้ งระวางโทษจาคุก ตง้ั แต่หา้ ปถี ึงยส่ี บิ ปี และปรับตง้ั แตห่ นึ่งแสนบาทถงึ สีแ่ สนบาท (https://library2.parliament.go.th/giventake/content_nla2557/law136- 270562-127.pdf) ๒๑๓ CEDAW, General Recommendation ๒๘, ย่อหนา้ ๑๘, ๒๖ และ ๓๑; CESCR, General Comment No. ๒๐, ยอ่ หน้า๑๗; CERD, General Recommendation ๒๕ ๒๑๔ CEDAW, Karen Tayag Vertido v. Philippines, Communication No. ๑๘/๒๕๕๑, ๑ September ๒๕๕๓, ยอ่ หนา้ ๘.๕-๘.๙
๑๑๖ ความรุนแรงทางกายหรือไม่ก็ตาม๒๑๕ทั้งยังมีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีท่ีให้ความสาคัญต่อข้อเท็จจริงที่ว่าผู้หญิง ทเี่ ป็นผู้เสียหายกับผู้ถูกกลา่ วหาอาจรู้จักกันมาก่อนเนื่องจากการทาเช่นนั้นสะท้อนให้เห็นมายาคติและความเข้าใจ ผดิ ดา้ นเพศสภาพ๒๑๖ นอกจากนน้ั กฎหมายหรือระเบยี บต่าง ๆ ควรห้ามไม่ใหศ้ าลใชด้ ุลพินจิ โดยพิจารณาจากความ ล่าช้าในการแจ้งความของผู้เสียหาย๒๑๗ และควรห้ามใช้ข้อมูลการมีเพศสัมพันธ์ในอดีตของผู้หญิงมาเป็นหลักฐาน ในการไตส่ วน๒๑๘ ๕.๔ กรณี Battered Women Syndrome กรณีหญิงที่ได้รับความรุนแรงในครอบครัวมาเป็นเวลานานจากสามีหรือคนรักจนเกิดอาการ Post Traumatic Syndrome Disorder (PTSD) ทาให้ผู้หญิงตกอยู่ในสภาพเสมือนผู้ป่วยทางจิตจากการได้รับ ความรุนแรงสะสมจนทาให้กระทาความรุนแรงโต้กลับผู้หญิงเหล่าน้ีต้องดาเนินชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อความ รุนแรงในครอบครัวท่ีเกิดขึ้นต่อเน่ืองจนทาให้ผู้หญิงตอบโต้โดยใช้ความรุนแรงเพ่ือป้องกันมิให้สามีมาทาร้ายตน แต่มิได้มเี จตนาทาให้สามีเสียชีวิต กรณีลักษณะน้ีพบว่ากระบวนการยุติธรรมยังขาดแนวทางที่ละเอียดออ่ นต่อการ พิจารณาคดีต่อผู้หญิงในขณะที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๐ ใช้แนวทาง ให้ผู้กระทากลับตัวและสามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวทาให้เม่ือผู้หญิงเหล่านี้ถูกกระทาความรุนแรงซ้า จากสามีจึงไม่มีทางออกเพื่อปกป้องตนเองเม่ือต้องคดีจากการทาให้สามีเสียชีวิตจึงมักไม่ได้รับความคุ้มครอง จากกฎหมายทาให้ผูห้ ญิงเหลา่ นี้ตอ้ งถูกจาคุกเป็นเวลานานส่งผลให้เด็ก ๆ ในครอบครวั นอกจากการสญู เสียพ่อแล้ว ยงั ตอ้ งพลัดพรากจากแมอ่ ีกด้วย ๕.๕ การลอ้ เลยี น การด้อยค่า การสร้างความเกลียดชังทางสื่อโซเชียล (Cyber Bullying) จากการรับฟังความเห็นของนักกิจกรรมหญิงคณะอนุกรรมาธิการฯ พบว่า แม้หน่วยงานรัฐ ที่เก่ียวข้องจะมีแนวทางการคุ้มครองประชาชนจากการสร้างข่าวปลอมหรือคาพูดที่สร้างความเกลียดชัง รวมถึง มีหน่วยงานเฉพาะในการปรามปรามการกระทาผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือ ปอท. หากแต่ในทาง ปฏิบัติหน่วยงานดังกล่าวไม่สามารถป้องกันและยุติการคุกคามประชาชนนักรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย นักปกป้อง สทิ ธิมนุษยชน และนักกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างแท้จริง อีกท้ัง ปอท. ยังมีข้อจากัดที่ผู้เสียหายจะต้องไปแจ้งความ ดว้ ยตนเองเจ้าหน้าท่ีจึงจะสามารถดาเนินการได้ทาให้นักกิจกรรมหญิงส่วนมากไมไ่ ปแจ้งความเน่ืองจากไมม่ ั่นใจว่า จะได้รับความยุติธรรมอีกทั้งการท่ีต้องบอกเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นซ้า ๆ เป็นเหมือนการผลิตซ้าความรุนแรงทางจิตใจ ของผหู้ ญิง ๕.๖ การลงโทษทางอาญาต่อเดก็ ทก่ี ่ออาชญากรรม แม้คณะรัฐมนตรีจะมีมติเห็นชอบการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยอายุขั้นต่าของเด็กในการรับโทษ ทางอาญาจาก ๑๐ ปีเป็น ๑๒ ปี๒๑๙ ซึ่งเป็นเร่ืองที่น่าช่ืนชมแต่อนุกรรมาธิการฯ เห็นว่าการกักขังและการดูแลเด็ก ในสถานพินิจส่วนมากยังไมส่ อดคล้องกับอนุสัญญาว่าดว้ ยสิทธิเด็ก และข้อกาหนดขัน้ ต่าขององค์การสหประชาชาติ ๒๑๕ CEDAW, Karen Tayag Vertido v. Philippines, Communication No. ๑๘/๒๕๕๑, ๑ September ๒๕๕๓, ยอ่ หนา้ ๘.๕ ๒๑๖ CEDAW, Karen Tayag Vertido v. Philippines, Communication No. ๑๘/๒๕๕๑, ๑ September ๒๕๕๓, ยอ่ หนา้ ๘.๖ ๒๑๗ United Nations, Handbook for Legislation on Violence against Women (องคก์ ารสหประชาชาติ คมู่ อื สาหรบั กฎหมายว่าดว้ ย ความรนุ แรงต่อผู้หญงิ ), New York: Division for the Advancement of Women (นวิ ยอรก์ กองส่งเสรมิ ความกา้ วหน้าของผ้หู ญงิ ), ๒๕๕๓, หนา้ ๔๒-๔๓ ๒๑๘ อ้างแลว้ หนา้ ๔๓ – ๔๔. ๒๑๙ อ้างแลว้
๑๑๗ ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหรือข้อกาหนดแมนเดลา (United Nations Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners) ที่มุ่งเน้นการสามารถกลับคืนสู่สังคมโดยสามารถดารงชีวิตท่ีไม่ละเมิดกฎหมาย และพ่ึงตนเองได้๒๒๐ รัฐบาลโดยเฉพาะหน่วยงานที่เก่ียวข้องจึงควรศึกษาและปรับเปล่ียนการลงโทษโดยการกักขัง เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติโดยมุ่งเน้นการให้โอกาสแก่เด็ก เช่น ตัวอย่าง การดาเนินการของบ้านกาญจนาภิเษกภายใต้การดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวง ยุติธรรมซึ่งประสบความสาเร็จในการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของเด็กท่ีเคยก่ออาชญากรรมให้สานึกผิดและ กลับตัวเปน็ ผทู้ าประโยชน์ตอ่ สงั คมรฐั บาลจงึ ควรให้การสนับสนนุ ใหม้ ากขน้ึ ๖) วัฒนธรรมการงดเวน้ โทษ หรือการลอยนวลพ้นผดิ (Culture of Impunity) การละเมิดสิทธิมนุษยชนจากใช้ความรุนแรงของผู้มีอานาจและเจ้าหน้าที่รัฐต่อประชาชนโดยไม่ต้อง รบั ผิด (accountability) เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกอยู่กับสังคมและระบบการเมืองไทยมายาวนานโดยเฉพาะเม่ือเกิด การละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงท้ังจากนโยบายของรัฐบาลหรือกรณีเหตุการณ์ภายหลังรัฐประหารที่นามาสู่ ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง และมีการปราบปรามประชาชนจนทาให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชนชนจานวนมากไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖, ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙, พฤษภาคม ๒๕๓๕, การสลายการชุมนุมช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๕๓ ตลอดจนการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน อยา่ งกวา้ งขวางนบั แต่การรัฐประหาร ๒๕๕๗ จนกระทงั่ ปัจจุบันเหตกุ ารณเ์ หล่าน้ีสว่ นหน่ึงเป็นผลมาจากวัฒนธรรม การลอยนวลพ้นผิด (culture of impunity) ในสังคมไทยที่ส่งผลให้ประชาชนต้องประสบกับความรุนแรงและ การละเมิดสิทธิในชวี ิตโดยผมู้ ีอานาจและเจ้าหน้าที่รฐั มาอยา่ งตอ่ เนื่อง วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดเกิดจากปัจจัยหลายประการนับตั้งแต่การสร้างระบบอุปถัมภ์ที่เก้ือกูล ในบางองค์กรของรัฐระบบกฎหมายท่ีคุ้มครองเจ้าหน้าท่ีรัฐกรณีปฏิบัติหน้าที่ตลอดจนแนวคิดและทัศนคติ ต่อหลักการสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และประชาธิปไตยของรฐั บาลรวมถึงปัจเจกชนบางกลุ่มซึ่งหลอมรวมกัน เป็นสาเหตุ เงื่อนไข ปัจจัย ข้ออ้าง และความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิในชีวิตของ ประชาชนโดยไม่ต้องรบั ผิด จากอดีตทีผ่ ่านมาในเหตกุ ารณ์ละเมดิ สทิ ธิมนุษยชนครั้งสาคัญไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖, ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙, พฤษภาคม ๒๕๓๕, พฤษภาคม ๒๕๕๓ หรือกรณีนโยบายสงครามยาเสพติดท่ีมีผู้เสียชีวิต เกือบ ๓,๐๐๐ คน รวมถึงการบังคับสูญหายของประชาชน นักสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมทางการเมือง ไม่เคยมีการสืบสวนสอบสวนจากคณะกรรมการท่ีเป็นอิสระ และนาคนผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม รวมถึงไม่เคยมีการเปิดเผยความจริง และไม่มีความรับผิดชอบจากรฐั (accountability) สิ่งต่าง ๆ เหล่าน้ียิ่งทาให้ ผู้กระทาผิดไมเ่ กรงกลวั กฎหมายเพราะมนั่ ใจว่าตวั เองจะไม่ต้องรับโทษในส่งิ ท่ีได้กระทา ๒๒๐ https://www.unodc.org/documents/justice-and-prison-reform/Nelson_Mandela_Rules-E-ebook.pdf ข้อสังเกตเบื้องตน้ ๔ “ผ้ตู ้องขงั เยาวชน อย่างน้อยทส่ี ุดก็ควรจะรวมถงึ บุคคลทกุ คนท่อี ยู่ภายใต้เขตอานาจของศาลคดเี ดก็ และเยาวชนซง่ึ ตามกฎแลว้ ไมค่ วรมกี ารพพิ ากษาลงโทษจาคกุ ผู้ที่เปน็ เยาวชน” ข้อกาหนดแมนเดลา ขอ้ บทท่ี ๔ “เป้าประสงคข์ องการลงโทษจาคกุ หรือการใชม้ าตรการทคี่ ล้ายคลงึ กนั อนั เป็นการจากดั อิสระและเสรีภาพของ บคุ คลนัน้ โดยเบ้ืองต้นแลว้ กเ็ พื่อทจ่ี ะคุ้มครองสังคมให้ปลอดพ้นจากอาชญากรรม และลดการกระทาผดิ ซ้า ความประสงคด์ ังกล่าวสามารถบรรลุได้ ต่อเมอ่ื ระยะเวลาในการคุมขังไดถ้ กู นามาใชเ้ พ่ือประกนั เทา่ ทจี่ ะเปน็ ไปได้วา่ บุคคลเชน่ วา่ น้นั จะสามารถกลบั คืนสสู่ ังคมได้เม่ือได้รบั การปลอ่ ยตวั โดยสามารถดารงชวี ติ ท่ีไม่ละเมดิ กฎหมายและและพง่ึ ตนเองได้”
๑๑๘ กรณีการประทุษร้ายนักกิจกรรมการเมืองท่ีเห็นต่างจากรัฐบาล เช่น กรณีเอกชัย หงส์กังวาน สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ จะเห็นได้ว่าแม้ส่วนมากช่วงเวลาการก่อเหตุจะเป็นเวลากลางวัน และมีผู้พบเห็นเหตุการณ์จานวนมากแต่เจ้าหน้าท่ีกลับไม่สามารถนาตัวคนผิดมาลงโทษได้จึงเป็นเหตุให้ประชาชน ไมเ่ ชื่อมั่นในกระบวนการยตุ ธิ รรมมากขนึ้ นอกจากน้ีในช่วงรัฐบาล คสช. ได้มีคาส่ังหัวหน้า คสช. ท่ีไห้การพิจารณาคดีทางการเมืองบางคดี ท่ีให้พลเรือนต้องข้ึนศาลทหาร๒๒๑ตามพระราชบัญญัติศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ ซึ่งไม่สอดคล้องกับกติการะหว่าง ประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และหลักการพื้นฐานในการกากับดูแลการบริหารงาน ยุติธรรมผ่านศาลทหาร (Decaux Principles) ขององค์การสหประชาชาติซึ่งยืนยันหลักการพื้นฐานว่า “ระบบ ยุติธรรมของทหารควรเป็นส่วนหน่ึงของระบบยุติธรรมตามปรกติ และควรดาเนินการในลักษณะท่ีประกันให้เกิด ความสอดคล้องอย่างเต็มท่ีกับหลักสิทธิมนุษยชนท่ีได้รับการคุ้มครองในระดับสากล และศาลทหารไม่ควร มีเขตอานาจเหนือพลเรอื น รฐั ควรประกนั ว่าพลเรือนที่ถกู ตั้งข้อหาอาญาไมว่ ่าในกรณีใดควรได้รบั การพิจารณาจาก ศาลพลเรือน และต้องไม่จัดตั้งหน่วยงานตุลาการที่ไม่ได้ทาหน้าที่ตามข้ันตอนปฏิบัติตามกฎหมายทั่วไปขึ้นมา ทดแทนเขตอานาจศาลที่เปน็ ของศาลปรกตหิ รือศาลยตุ ิธรรม”๒๒๒ นอกจากน้ีคณะอนุกรรมาธิการฯ ยังพบว่ากฎหมายพิเศษบางฉบับเอ้ือต่อการลอยนวลพ้นผิด เช่น พระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ท่ีตัดอานาจศาลปกครองในการตรวจสอบ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าท่ีทั้งไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย หากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการ ระงับหรือป้องกนั การกระทาผิดกฎหมายหากเป็นการกระทาทส่ี ุจริต๒๒๓ รวมถึงพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมตา่ ง ๆ ท่ีประกาศภายหลังการรฐั ประหารทาให้เจา้ หนา้ ทซี่ ึง่ ละเมดิ สทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนไม่ต้องรบั ผดิ ๒๒๑ ประกาศ คสช. ฉบบั ท่ี ๓๗ /๒๕๕๗, ๓๘/๒๕๕๗ และ ๕๐/๒๕๕๗ กาหนดใหพ้ ลเรือนต้องข้นึ ศาลทหารในคดคี วามตอ่ ไปนี้ เชน่ ๑. คดคี วามผิดต่อพระมหากษตั รยิ ์ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๐๗ - ๑๑๒ ๒. คดคี วามผดิ ตอ่ ความมน่ั คงภายในราชอาณาจกั ร มาตรา ๑๑๓ - ๑๑๘ โดยเฉพาะความผิด ยยุ งปลุกป่นั ตามาตรา ๑๑๖ ๓. ความผดิ ฐานมีหรอื ใชอ้ าวธุ ปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวตั ถรุ ะเบดิ ทใ่ี ช้เฉพาะแต่การสงครามทน่ี ายทะเบยี นไมอ่ าจออกใบอนุญาตให้ได้ อันเป็น ความผดิ ตามพระราชบญั ญตั ิอาวธุ ปืน เครื่องกระสุน วตั ถรุ ะเบดิ ดอกไม้เพลิง และส่งิ เทียมอาวธุ ปนื พุทธศกั ราช ๒๔๙๐ เปน็ ต้น โดยหลกั แลว้ วิธกี ารพจิ ารณาคดีในศาลทหารให้นาประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญามาใชโ้ ดยอนโุ ลมแต่ในรายละเอยี ดศาลทหารกม็ วี ธิ ี การพิจารณาคดี และเงื่อนไขการอานวยความยตุ ธิ รรมต่างกบั ศาลพลเรือน เช่น ศาลทหารภายใต้กฎอยั การศกึ มชี ัน้ เดียวไม่มีการอทุ ธรณห์ รอื ฎีกา, ตุลาการตัดสินคดเี ปน็ ทหารท้ังหมด คดหี นึ่งมตี ุลาการอยา่ งน้อย ๓ คนโดย ๒ ใน ๓ คน เป็นนายทหารระดบั สูงทไี่ มไ่ ด้จบนิตศิ าสตร์การสบื พยาน ในศาลทหารไม่ใช้วธิ นี ัดตอ่ เนอื่ งกนั ทาให้ใช้เวลานานหลายคดีใช้เวลานานเกอื บห้าปีแลว้ กย็ ังพจิ ารณาคดีไม่เสรจ็ เป็นต้น (https://freedom.ilaw.or.th/blog/Mcourttransfer) ๒๒๒ อ้างแล้ว, https://www.icj.org/wp-content/uploads/2014/10/Decaux-Principles-military-tribunals.pdf ๒๒๓ พระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉกุ เฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๑๖. ข้อกาหนด ประกาศ คาสั่ง หรอื การการทาตามพระราชกาหนดนไี้ มอ่ ย่ใู นบังคบั ของกฎหมายวา่ ดว้ ยวิธปี ฏบิ ตั ิราชการปกครอง และกฎหมายวา่ ดว้ ยการจดั ต้งั ศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดีปกครอง มาตรา ๑๗. พนกั งานเจา้ หน้าทีผ่ ู้มีอานาจหน้าทเ่ี ช่นเดียวกบั พนกั งานเจา้ หนา้ ทต่ี ามพระราชกาหนดนไ้ี ม่ตอ้ งรับผิดทั้งทางแพง่ ทางอาญา หรอื ทาง วนิ ัย เน่อื งจากการปฏบิ ัตหิ นา้ ทีใ่ นการระงับหรือปอ้ งกนั การกระทาผิดกฎหมายหากเป็นการกระทาท่สี จุ ริต ไมเ่ ลอื กปฏบิ ัติ และไมเ่ กนิ สมควรแก่เหตุ หรือไมเ่ กินกวา่ กรณีจาเป็น แตไ่ ม่ตดั สิทธผิ ไู้ ดร้ บั ความเสยี หายทจี่ ะเรยี กรอ้ งความเสยี หายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรบั ผิดทางละเมิด ของเจา้ หนา้ ท่ี
๑๑๙ ๗) การเยยี วยาความเสยี หายจากการละเมิดสทิ ธิมนษุ ยชน โดยท่ีรัฐมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยตลอดจนประกัน สิทธเิ สรีภาพขั้นพนื้ ฐานให้กับบคุ คลในสังคม ดังน้ันกรณกี ารละเมิดสทิ ธิมนุษยชนอนั เกิดจากนโยบายหรือหนว่ ยงาน ของรัฐหรือจากการกระทาของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทาโดยจงใจ ละเว้น ประมาทเลินเล่อ มีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุ ใด ๆ ก็ตามท่ีไม่ปฏบิ ัติตามหน้าท่ีที่กาหนดไว้ในกฎหมาย และพนั ธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธมิ นษุ ยชนเมื่อเกิด ความเสียหายข้ึนรัฐจึงมีหน้าท่ีให้การเยียวยาแก่ผู้เสียหายหรือเหย่ือที่ได้รับผลกระทบซึ่งรูปแบบการเยียวยา ต้องเหมาะสมและไดส้ ัดสว่ นกับความเสียหายท่เี กดิ ขึ้นแม้ปัจจุบนั รัฐบาลได้ให้ความสาคญั ต่อการเยยี วยาการละเมิด สิทธิมนุษยชนแต่คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่าการเยียวยาของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐยังไม่เป็นเอกภาพและไม่ สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนท่ีประเทศไทยเป็นภาคี และหลักการพื้นฐานและ แนวทางว่าดว้ ยสทิ ธิทีจ่ ะได้รบั การเยยี วยาและการชดใช้ความเสียหายสาหรบั เหยือ่ เชน่ ๗.๑) สิทธิในการเข้าถึงการเยียวยาอย่างเท่าเทียม ครอบคลุมและมีประสิทธิผล เช่น การมี มาตรฐานการเยียวยาด้านการชดใช้ทางการเงินที่เท่าเทียมกัน (compensation) ความครอบคลุมในการเยียวยา เช่น กรณีการบังคับบุคคลสูญหายที่เหย่ือและครอบครัวไม่สามารถเข้าถึงการเยียวยาได้เน่ืองจากการไม่มกี ฎหมาย เฉพาะเรือ่ งการบงั คบั บุคคลสญู หาย เป็นตน้ ๗.๒) รูปแบบและวิธีการเยียวยาท่ีเหมาะสม เพียงพอ ไม่ล่าช้า และได้สัดส่วนกับความเสียหาย คณะกรรมาธิการฯ พบวา่ ที่ผ่านมารัฐมักให้การเยียวยาเฉพาะด้านการชดใช้ด้วยตัวเงิน (compensation) ในขณะ ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนประจากติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิ ทางการเมือง สหประชาชาติให้ความเห็นว่ารัฐภาคีมีพันธกรณีท่ีจาเป็นต้องคานึงถึงการเยียวยาในรูปแบบอ่ืน ๆ ท่ีเหมาะสมด้วย ท้ังการเยียวยาด้านการให้ความยุติธรรม การทาให้คืนสู่สภาพเดิม การฟ้ืนฟู การทาให้พอใจ และการสร้าง หลักประกันว่าจะไม่มีการละเมิดสิทธิซ้าโดยการให้มีมาตรการป้องกันท้ังการให้มีกฎหมาย และมาตรการอื่น ๆ รวมถึงการเยียวยาด้านจิตใจ๒๒๔ ๘) ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจากการทารัฐประหาร การสืบทอดอานาจ และการปราบปราม ผ้เู ห็นต่างจากรฐั จากการศึกษาบริบทของความรุนแรงหรือการประทุษร้ายนักกิจกรรมทางการเมืองท่ีเกิดข้ึนนับจาก ปี ๒๕๕๗ คณะอนุกรรมาธิการฯ พบว่าต้นเหตุสาคัญของการใช้ความรุนแรงต่อผู้เห็นต่างทางการเมืองมาจาก ความขัดแย้ง และการต่อต้านการกระทา “รัฐประหาร” ของ คสช. ท่ีมีส่วนสาคัญย่ิงที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และความรุนแรงรอบใหม่ในสังคมไทย ดังนน้ั การแก้ไขและยุติความขัดแยง้ ท่ีสาคญั ประการหนึ่งคือการหาแนวทาง เพอ่ื ปอ้ งกันและยตุ กิ ารกระทารัฐประหารในประเทศไทย รัฐประหาร หรือศัพท์ทางวิชาการต่างประเทศท่ีใช้ร่วมกัน คือ coup d'etat ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส coup d'etat เป็นคาที่ผสมกันระหวา่ ง coup แปลว่า ตี กระแทก สว่ น etat แปลวา่ “รัฐ” เม่ือรวมกันก็คือ การตี การกระแทกไปที่รัฐซ่ึงในภาษาไทยใช้คาว่า “รัฐประหาร” ซึ่งก็คือการยึดอานาจการปกครองของรัฐซึ่งมักกระทา โดยกองกาลังฝ่ายความม่ันคงท่ีกระทาการโดยใช้อาวุธเพ่ือล้มล้างรัฐธรรมนูญ และจัดต้ังรัฐบาลใหม่โดยคณะผู้ทา ๒๒๔ ข้อ ๑๘ ของหลกั การพ้นื ฐานและแนวทางวา่ ดว้ ยสทิ ธิทจ่ี ะไดร้ บั การเยยี วยาและการชดใชค้ วามเสยี หายสาหรบั เหยอ่ื ของการละเมิดสทิ ธมิ นุษยชน ระหว่างประเทศ (Basic Principles and Guidelines on the Rights to a Remedy and Reparation for Victims of Gross Violations of International Human Right Law and Serious Violations of International Humanitarian Law)
๑๒๐ รัฐประหารโดยทผี่ ู้กระทารัฐประหารมักอา้ งเหตุผลของการรัฐประหาร เช่น เพือ่ คลคี่ ลายความขัดแยง้ ทางการเมอื ง หรอื เพือ่ แกป้ ัญหาทุจริตคอรปั ชัน่ ของรัฐบาลพลเรือน เปน็ ตน้ มายาคตขิ องสงั คมไทย ยอมรับการรัฐประหารเป็นเครือ่ งมือแก้วกิ ฤต รัฐประหาร เกิดข้ึนต่อเน่ืองในประเทศไทยนับแต่สมัยหลังเปล่ียนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ และมัก เกดิ ขนึ้ โดยการกระทาของกองทัพแม้รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทยเขียนไว้สอดคลอ้ งกันทกุ ฉบับว่ารัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กฎหมายใดหรือการกระทาใดที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจะใช้บังคับมิได้ขณะที่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๓๒๒๕ ก็เขียนไว้เช่นกันว่าผู้ใดใช้กาลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กาลัง ประทุษร้ายเพ่ือล้มล้างหรือเปล่ียนแปลงรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอานาจนิติบัญญัติ อานาจบริหารหรืออานาจตุลาการ แห่งรัฐธรรมนูญหรือให้ใช้อานาจดังกล่าวไม่ได้หรือแบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอานาจปกครองในส่วนหน่ึง ส่วนใดแห่งราชอาณาจักรผู้น้ันกระทาความผิดฐานเป็นกบฏต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจาคุกตลอดชีวติ แต่แม้ จะมีกฎหมายบัญญัติให้การกระทารัฐประหารเป็นความผิดแต่ในความเป็นจริงการกระทารัฐประหารยังคงเกิดขึ้น อีกหลายครัง้ และขยายความขัดแยง้ ในประเทศไทยมากขึ้นนบั แต่เปลีย่ นแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ๒๒๖ การกระทา รัฐประหาร ในประเทศไทยส่วนมากกระทาโดยกองทัพซึ่งเป็นหน่วยงานท่ีควบคุมอาวุธ และกองกาลังทาให้ที่ผ่านมาประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารมากกว่ารัฐบาลพลเรือน หากนับต้ังแต่พุทธศักราช ๒๕๐๐ จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ กระทารัฐประหารยึดอานาจการปกครองประเทศ จากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้วเชิญจอมพลถนอม กิติขจร มาเป็นนายกรัฐมนตรี จนหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ แต่ท้ายที่สุดก็เกิดการ รัฐประหาร ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซ่ึงทาให้เกิดโศกนาฏกรรมคร้ังสาคัญคร้ังหน่ึงของประเทศไทยมีการใช้อาวุธ ปราบปรามผู้ชมุ นุมประท้วงมกี ารกล่าวหาว่านกั ศึกษาส่วนหนงึ่ เปน็ คอมมวิ นสิ ต์ทาให้มีการใช้อาวุธสังหารนักศึกษา ประชาชนจานวนมากในมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ และบริเวณสนามหลวง ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๑ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวณั ได้ขึ้นเป็นนายกรฐั มนตรี ได้เกิดการรัฐประหารข้ึนอีกคร้ัง ในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ โดยคณะรักษาความสงบเรียบรอ้ ยแห่งชาติ (รสช.) นาโดยพลเอก สุนทร คงสมพงษ์ และได้มีการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างไรก็ดี ในปี ๒๕๓๕ พลเอก สุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกิดการประท้วงคร้ังใหญ่นาโดยพลตรีจาลอง ศรีเมือง เนื่องจากประชาชนเห็นว่าเป็นการสืบทอดอานาจ ทาให้ เกิดเหตุการณ์ปราบปรามผู้ประท้วงและนามาซึ่งการเสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ และการสูญหายของประชาชน จานวนมาก และล่าสุดหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี ๒๕๕๓ ซึ่งนามาสู่ความขัดแย้ง ทางการเมืองจนถึงปจั จุบันหลังการกระทารฐั ประหารนาโดยพลเอก ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา เมอื่ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ได้มีการออกคาสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหลายฉบับซ่ึงส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ๒๒๕ มาตรา ๑๑๓ ผูใ้ ดใชก้ าลงั ประทษุ ร้ายหรอื ขูเ่ ข็ญวา่ จะใช้กาลงั ประทุษร้ายเพอื่ (๑) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรฐั ธรรมนูญ (๒) ลม้ ล้างอานาจนิติบัญญตั ิ อานาจบรหิ าร หรอื อานาจตลุ าการแห่งรฐั ธรรมนูญ หรือให้ใชอ้ านาจดังกล่าวแลว้ ไม่ได้ หรือ (๓) แบง่ แยกราชอาณาจกั รหรอื ยดึ อานาจปกครองในสว่ นหน่งึ สว่ นใดแห่งราชอาณาจกั ร ผ้นู น้ั กระทาความผดิ ฐานเปน็ กบฏ ต้องระวางโทษประหารชวี ติ หรือจาคกุ ตลอดชวี ิต ๒๒๖ ปิยบตุ ร แสงกนกกลุ , ถอดความจากการอภิปรายในสภาผูแ้ ทนราษฎรเพอ่ื เสนอญตั ตทิ ขี่ อให้สภาผแู้ ทนผแู้ ทนราษฎรตัง้ คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั เพือ่ ศึกษาแนวทางปอ้ งกันไมใ่ หเ้ กดิ รฐั ประหารเกดิ ข้นึ อกี ในอนาคต, (https://prachatai.com/journal/2020/02/86235)
๑๒๑ ท้ังสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองรวมถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยคาสั่งหัวหน้า คสช. หลายฉบบั ยังใช้บงั คบั อยู่และสร้างความขัดแยง้ จนปัจจบุ ัน รัฐประหารจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงเพราะการรัฐประหารเป็นกระบวนการ เปล่ียนแปลงท่ีไม่ปกติและไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยซึ่งทาให้เกิดการไม่ยอมรับจากประชาชน รวมถึง น าน าอา รย ป ระเท ศแ ม้ ว่าจ ะมีข้อ อ้ า งว่า ห า กไม่ท ากา รรัฐ ป ระห า รอาจ เกิด คว าม รุน แ รงท่ีมี คว ามรุ น แ รงแ ล ะ ความเสียหายมากกว่าก็ตามประเด็นน้ีสะท้อนให้เห็นถึงการใช้ความรุนแรงเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงซึ่งก็เป็นการ สร้างความรุนแรงข้ึนใหม่อีกท้ังยังนาไปสู่การตั้งข้อสงสัยต่อความเป็นนิติรัฐของประเทศจากบทบาทของทหาร ที่เข้ามาแทรกแซงการเมืองใน ประเทศไทย อย่างชัดเจน อัน ส่ งผ ลล บต่อพัฒ น าการของระบอบประช าธิปไตย ใน ป ระเท ศไท ย ๒๒๗น อก จ ากน้ั น ผู้ กระท ารัฐ ป ร ะห าร ยั งอ้างเห ตุ ผ ล เพ่ื อ คลี่ คล าย ค วามขั ดแย้ งท างการเมื อ ง หรือแกป้ ัญหาทจุ รติ คอรัปชัน่ หากแต่ผา่ นมาหลายทศวรรษประเทศไทยมกี ารกระทารัฐประหารหลายครัง้ แต่ปัญหา การทจุ รติ คอรปั ช่ัน และความขดั แยง้ ทางการเมืองยังคงดารงอยูใ่ นสังคมไทยและย่ิงวนั จะทวีความรนุ แรงมากขน้ึ ภายหลังรัฐประหารทุกครั้งผู้กระทารัฐประหารจะตั้งคณะกรรมาธิการหรือคณะกรรมการหรือสภาร่าง รัฐธรรมนูญเพ่ือทาการร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ข้ึนใหม่ตามความต้องการของคณะรัฐประหารรัฐธรรมนูญของ ประเทศไทยจึงมักมาจากผู้ที่มีอานาจเหนือประชาชนในขณะที่รัฐธรรมนูญท่ีประชาชนยอมรับมากที่สุด คือ รัฐธรรมนญู ๒๕๔๐ ซง่ึ รา่ งในชว่ งรัฐบาลพลเรอื นภายใต้รฐั สภาท่มี าจากการเลอื กต้งั ของประชาชน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซึ่งเกิดข้ึนสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรง ทางการเมืองเม่ือเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มาจากการรับฟังเสียงของประชาชน อย่างกว้างขวางจนถือได้ว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ทาให้เกิดการปฏิรูปการเมือง เกดิ ข้ึนเป็นครั้งแรกโดยเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนมีส่วนรว่ มในการปกครองและการตรวจสอบอานาจรัฐเพ่ิมขึ้นเพ่อื ให้ เกิดความโปร่งใสในระบอบการเมืองโดยให้มีวุฒิสภามาจากการเลือกต้ังมีองค์กรอิสระและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพพร้อมกับมีการปฏิรูปกระบวนการ ยุติธรรมควบคู่กันไปดว้ ย นอกจากนี้รฐั ธรรมนูญ ๒๕๔๐ ยังส่งเสรมิ และคมุ้ ครองสิทธเิ สรีภาพของประชาชน รวมทั้ง รบั รองสิทธคิ วามเป็นพลเมืองทาให้เกดิ แนวคดิ “ความเป็นพลเมือง” ว่าประชาชนเปน็ เจ้าของอานาจทางการเมือง ทาให้การปกครองแบบรวมศูนย์ค่อย ๆ ปรับเปล่ียนไปสู่การกระจายอานาจมากขึ้นประชาชนและชุมชนเร่ิมมี บทบาททางการเมอื งและตระหนักในความเทา่ เทียมกันมากข้ึน คณะกรรมาธิการฯ จึงมีความเห็นว่า การแก้ปัญหาความขัดแย้งและรุนแรงทางการเมืองอย่างยั่งยืน ควรแก้ไขโดยการป้องกันและยุติการกระทารัฐประหารในประเทศไทย และให้มีการพัฒนาประชาธิปไตย ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก เคารพในความคิดเห็นท่ีแตกต่าง มีความอดทน อดกลั้นในการอยู่ร่วมกัน และประชาชนสามารถตรวจสอบการใช้อานาจของรัฐและมีส่วนร่วมในการจัดสรร ทรัพยากรโดยรัฐบาลต้องมีมาตรการคุ้มครองสิทธิและศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ และขจัดความเหล่ือมล้าในสังคม ใหห้ มดไป ๒๒๗ รายงาน คปอ, อา้ งแล้ว หนา้ ๒๐๙.
๗.๒ ประเด็นการพิจารณาท่ี ๒ รายงานการศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้และการบังคับใช้ กฎหมายพิเศษด้านความมนั่ คง บทท่ี ๑ บทนา ๑.๑ สรุปสถานการณก์ ารบังคับใช้กฎหมายความม่ันคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความเปน็ มาของสถานการณ์ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ส ถ า น ก า ร ณ์ ค ว า ม ขั ด แ ย้ งแ ล ะ ค ว า ม รุ น แ ร งใน พื้ น ท่ี จั งห วั ด ช า ย แ ด น ภ า ค ใต้ เป็ น ค ว าม ขั ด แ ย้ งท่ี มี ความทับซ้อนของสาเหตุปัญหาและสั่งสมมาเป็นเวลานานหลายปีปมแห่งความขัดแย้งในพื้นที่สามารถย้อนไปได้ เป็นเวลามากกว่าหนึ่งศตวรรษคือ ในช่วงท่ีเกิดขบวนการต่อต้านการผนวกดินแดนอันเกิดจากการทาสนธิสัญญา อังกฤษ - สยาม ในปี ๒๔๕๒ ที่ส่งผลให้รัฐปาตานี (ปัจจุบันคือจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ ๔ อาเภอของ จงั หวัดสงขลา ได้แก่ อาเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ซึ่งมีผู้นาเป็นชาวมุสลมิ ต้องอยู่ภายใต้การปกครอง โดยตรงจากกรุงเทพฯ เมื่อประกอบกับการถูกละเลยด้านเศรษฐกิจและการเมืองและนโยบายปราบปรามและ ผสมกลมกลืนของรฐั ไทยในชว่ งปี ๒๔๘๒ - ๒๔๙๐ ดว้ ยแล้วทาใหก้ ารต่อตา้ นการรวมดนิ แดนโดยประชาชนในพ้ืนที่ ดาเนินมาตลอดแต่ยังคงอยู่ในรูปแบบท่ีไม่ใช้ความรุนแรงและข้อเรียกร้องส่วนใหญ่ยังจากัดอยู่ที่การขอปกครอง ตนเองในระดับหน่งึ จนกระทั่งในปี ๒๔๙๗ เหตุการณ์การหายตัวไปของผู้นาศาสนาจังหวัดปัตตานีซ่ึงเป็นผู้ก่อตั้งขบวนการ ประชาชนปัตตานีเพ่ือเคล่ือนไหวเรยี กรอ้ งการปกครองตนเองนน้ั นับเป็นจุดเปลีย่ นสาคญั ท่ีทาใหข้ บวนการเรยี กร้อง สทิ ธขิ องชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้สว่ นหนึ่งเปลี่ยนจากการตอ่ สูแ้ บบสันติวิธไี ปสู่การกอ่ ตัวของขบวนการ ติดอาวุธ และได้มีการรวมกลุ่มเพ่ือเคล่ือนไหวมาอย่างต่อเน่ืองสลับกับการปราบปรามของรัฐไทยและ การปรบั เปลีย่ นนโยบายดา้ นเศรษฐกิจสงั คมและวัฒนธรรม ต่อมาการจู่โจมแบบกระจายซึ่งมุ่งยึดอาวุธหรือ “ปฏิบัติการปล้นปืน” ได้เร่ิมข้ึนอีกครั้งในช่วงปี ๒๕๔๔ จนนามาสู่เหตุการณ์ปล้นอาวธุ ปืนครั้งใหญ่ที่สุด ในปี ๒๕๔๗ เม่ืออาวุธปืนกว่า ๔๓๐ กระบอกถูกขโมยจากกองพัน พัฒนาที่ ๔ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) ตาบลปิเหล็ง อาเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ส่งผลให้ทหารจานวน ๔ นาย เสียชวี ติ นบั ตัง้ แตน่ ้ันเป็นตน้ มาประชาชนในพนื้ ทจ่ี ังหวดั ชายแดนภาคใต้ต้องเผชญิ กับ สถานการณ์ความไม่สงบมาอย่างต่อเนื่องและนามาซึ่งการสูญเสียจานวนมากในระยะเวลาไล่เล่ียกันทั้งเหตุการณ์ การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ก่อเหตุท่ีมัสยิดกรือเซะหรือโศกนาฏกรรมตากใบท่ี มีผู้เสียชีวิตท้ังจากการ สลายการชุมนุม เสียชีวิตระหว่างเคล่ือนย้ายโดยรถบรรทุก และอีกจานวนมากที่ถูกควบคุมตัวไปสอบสวนเนื่องจาก คดปี ล้นปนื และเหตุการณค์ วามไม่สงบต่าง ๆ ที่เกิดขนึ้ ในปีเดียวกนั ผลของเหตุการณ์ในปี ๒๕๔๗ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นท่ี จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอด ๑๖ ปีท่ีผ่านมาแม้ว่าจะมีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงเป็นการเฉพาะในพ้ืนท่ี จังหวัดชายแดนใต้หรือการเพ่ิมกองกาลังของหน่วยงานความมั่นคงด้วยความมุ่งหวังท่ีจะจัดการสถานการณ์ ความไม่ สงบ ใน พื้ น ที่ดั งกล่าวก็ต ามแต่ ข้อเท็ จจริงท่ี องค์ก รด้าน สิท ธิมนุ ษ ยชน ซ่ึงท างานส่ งเสริมแล ะป กป้ อง สิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนใต้มาเป็นเวลานานพบคือ ประชาชนในพื้นท่ีจานวนมากได้รับผลกระทบจากการ บังคับใช้กฎหมายพิเศษด้านความม่ันคงท้ังสามฉบับชาวมุสลิมและชาวพุทธได้ตกเป็นเหย่ือของการละเมิดสิทธิ
๑๒๓ มนุษยชนและความรุนแรงตลอดมาท้ังจากการกระทาของเจ้าหน้าที่รัฐบางคนและกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐ โดยไมเ่ ลอื กอายุ เพศ ชาติพนั ธุ์ หรือศาสนา “กฎหมายพิเศษ” ด้านความมั่นคงในพื้นท่ีจงั หวดั ชายแดนใต้ซง่ึ มอบอานาจให้เจา้ หน้าทส่ี ามารถปิดลอ้ ม ตรวจค้น จับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยว่าจะเก่ียวข้องกับความไม่สงบได้อย่างกว้างขวางโดยขาดการตรวจสอบถ่วงดุล ตามหลักนิติธรรมน้ันส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเลือกปฏิบัติ และการประสบกับความล้มเหลว ในการปกป้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนในพ้ืนท่ีเป็นอย่างมากเพราะนอกจากที่ประชาชนจะต้องเผชิญกับ ความไม่ปลอดภัยจากเหตุการณ์ความไม่สงบโดยกลุ่มติดอาวุธท่ีไม่ใช่รัฐแล้วการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายกรณี กเ็ กดิ จากองค์กรหรือเจ้าหน้าท่ใี นกระบวนการยุติธรรมเปน็ ผลู้ ะเมดิ สทิ ธิมนุษยชนเอง เช่น การซ้อมทรมานระหวา่ ง การจับกุมและการควบคุมตัว การห้ามเย่ียม ห้ามพบและปรึกษาทนายความ การใช้คารับสารภาพที่ได้ จาก การซักถามผู้ที่ถูกคุมขังตามกฎหมายความม่ันคงมาใช้เป็นพยานหลักฐานในการดาเนินคดีการออกหมายจับ โดยปราศจากพยานอันเพียงพอ การตั้งข้อหาหนักเกินกว่าพฤติกรรมของการกระทาผิด การอายัดตัวซ้าซาก และ การเลือกปฏิบัติท่ีไม่เป็นธรรมอ่ืน ๆ ที่เจ้าหน้าที่กระทาต่อประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะชาวมุสลิมเช้ือสายมลายู รวมทั้งความล้มเหลวในการฟื้นฟูเยียวยาความผิดพลาดที่เกิดจากเจ้าหน้าท่ีรัฐบางคนก็ได้ส่งผลกร ะทบต่อชุมชน มุสลิมอย่างกว้างขวางทาให้บางส่วนขาดความไว้วางใจต่อเจ้าหน้าท่ีรัฐรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และเอาใจออกห่าง จากรัฐในท่สี ดุ แม้ว่าสถิติจานวนการก่อเหตุความไม่สงบเชิงกายภาพจะมีแนวโน้มลดลงเร่ือย ๆ แต่รายงานของ ภาคประชาสังคมกลับพบว่า จานวนผู้เสียหายจากกรณีการละเมิดสิทธิและการกระทาความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ดังท่ีได้กล่าวไว้ข้างต้นก็ยังไม่เคยลดลงไปจากเดิมอีกทั้งรูปแบบการทรมานโดยเจ้าหน้าที่ก็มีการปรับเปล่ียนหรือ “แปรรูป” อยู่เรื่อย ๆ เพ่ือหลีกเล่ียงการตรวจสอบทางอาญาและทางวินัยและเพื่อให้สามารถทาการทรมาน ได้อย่างแยบยลย่ิงขึ้น เช่น ทรมานด้วยการการบังคับให้ยืนเป็นเวลานานหรือการบังคับให้อดนอน เป็นต้น รวมไปถึง การข่มขู่คุกคามสมาชิกในครอบครัวของผู้ต้องสงสัย เช่น ควบคุมตัวภรรยามาซักถามในค่ายทหารและแวะเวียน มาหาท่ีบ้านเป็นประจาการกระทาเหล่านี้ของเจ้าหน้าท่ีแม้ไม่ปรากฏบาดแผลทางกายแต่ได้สร้างบาดแผลทางใจ ที่บ่ันทอนศักดิ์ศรีและคุณค่าของผู้เสียหายเช่นกันนอกจากน้ียังปรากฏมาตรการท่ีมีลักษณะละเมิดสิทธิมนุษยชน และเลือกปฏิบัติรูปแบบใหม่โดยเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกายและสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ มาตรการตรวจ เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของประชาชนท่ัวไปอย่างหว่านแหแม้คนเหล่านั้นจะยังไม่ถูกต้ังข้อสงสัยว่ากระทาความผิด และการระงับสัญญาณโทรศัพท์ของประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากไม่ไปลงทะเบียนซิมการ์ด โทรศัพท์เคล่อื นที่ซึ่งตอ้ งทาผา่ นระบบยนื ยันใบหนา้ (สองแชะ) เท่าน้นั สถานการณ์การละเมิดสิทธิในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้กล่าวมาน้ีจึงเป็นส่ิงที่สะท้อนให้เห็นว่า ปมปัญหาความขัดแย้งในพ้ืนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ส่งผลให้ยังมีประชาชนท่ีได้รับ ผลกระทบและประสบกับความสูญเสียอยู่เป็นจานวนมาก ดังน้ัน ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ หน่วยงานความมั่นคง ภาคประชาสังคม และประชาชนในพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งจึงมีความจาเป็นอย่างย่ิง เพ่ือทบทวนปรับปรุงนโยบาย กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมให้เหมาะสมและเป็นธรรมมากยิ่งข้ึนรวมถึง เป็นการปกป้องคุ้มครองสิทธิของคนทุกกลุ่ม และเพ่ือยุติปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ท่ีส่ังสมมา เป็นเวลายาวนานในทา้ ยทส่ี ุด
๑๒๔ ความมั่นคงเป็นประเด็นสาคัญในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) โดยเฉพาะอย่างย่ิงนับตั้งแต่เกิด สถานการณ์ความรุนแรงอย่างต่อเน่ืองในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยมีจุดเร่ิมต้นเม่ือต้นปี ๒๕๔๗ จากเหตุการณ์ปล้นปืน ท่ีกองพันพัฒนาท่ี ๔ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อาเภอเจาะไอร้อง จงั หวัดนราธิวาส ทาให้ในวนั ที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๗ กองทัพภาคที่ ๔ ไดป้ ระกาศใชก้ ฎอัยการศึกในหลายอาเภอของ จงั หวัดนราธวิ าส ปตั ตานแี ละยะลา โดยอาศัยอานาจตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติกฎอยั การศึก พ.ศ. ๒๔๗๕ (กฎอัยการศึก) ท่ีให้อานาจผู้บังคับบัญชาทหารมีอานาจประกาศเม่ือมีสงครามหรือจลาจลเกิดขึ้น และต่อมา ในเดือนเดียวกัน กองทัพภาคที่ ๔ ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกเต็มพื้นที่ ๓๓ อาเภอในพื้นท่ีจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาสและบางอาเภอในจังหวัดสงขลาส่งผลให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารโดยการนาของแม่ทัพ ภาคที่ ๔ มีอานาจเหนือฝ่ายพลเรือน และมีอานาจเต็มท่ีจะดาเนินมาตรการในเรื่องการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยปราศจากภัยคกุ คามในพืน้ ท่ีจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๘ รัฐบาลได้ใช้อานาจทางบริหารตราพระราชกาหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินท่ีมีความร้ายแรง มีผล ใช้บังคับในพ้ืนที่ ๓๓ อาเภอของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๘ พร้อมกันน้ันได้มี พระบรมราชโองการยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ทาให้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นกฎหมายความมั่นคงฉบับหลักท่ใี ช้บังคับในพ้ืนท่ี ท้ังนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉนิ ได้ให้อานาจนายกรัฐมนตรีในการประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงภายใต้กรอบเวลาใช้บังคับคราวละไม่เกินสามเดือน การประกาศดังกล่าวส่งผลให้ นายกรัฐมนตรีมีอานาจบรหิ ารราชการอย่างเบ็ดเสรจ็ เหนือพลเรือน ตารวจและทหาร รวมท้ังมีอานาจออกข้อห้าม ข้อกาหนดและดาเนินมาตรการพิเศษต่าง ๆ ได้ นับแต่ปี ๒๕๔๘ รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาการประกาศ สถานการณฉ์ กุ เฉนิ ท่ีมคี วามรา้ ยแรงในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบนั ย่งิ ไปกว่านั้นกฎอัยการศึกได้กลับมามีผลใช้บังคับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังการรัฐประหารเม่ือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ควบคู่กับการประกาศกฎอัยการศึกท่ัวราชอาณาจักร และถึงแม้จะมีการยกเลิกกฎอัยการศึกในบางพื้นที่ทั่วประเทศแต่ในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น กฎอัยการศึก ยังคงมีผลใช้บังคับในทุกอาเภอของจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส และในส่ีอาเภอของสงขลา จึงเท่ากับว่า นับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารเม่ือเดือนกันยายน ๒๕๔๙ ในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการใช้กฎหมาย ความม่ันคงทับซ้อนกนั ถงึ สองฉบับคือ กฎอยั การศึก และพ.ร.ก.ฉกุ เฉนิ อย่างถาวรต่อเน่ืองยาวนาน ต่อมาในปี ๒๕๕๑ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ (พ.ร.บ.ความม่ันคง) พ.ร.บ.ความม่ันคงเป็นกฎหมายที่รับรองโครงสร้างและสถานะ ของกองอานวยการรักษาความม่ันคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้เป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะท่ีแม้ ข้ึนตรงต่อนายกรัฐมนตรีแต่โดยเนื้อแท้แล้วกอ.รมน. เป็นโครงสร้างการบริหารงานด้านความมั่นคงท่ีมีกองทัพบก เป็นแกนกลาง โดยมเี สนาธกิ ารทหารบกเปน็ เลขาธิการ กอ.รมน.มีอานาจหนา้ ทีใ่ นการติดตามตรวจสอบและประเมินภัยคุกคามด้านความมน่ั คง และดาเนินการ ตามท่ีคณะรัฐมนตรี สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย พ.ร.บ. ความม่ันคงยังให้อานาจพิเศษแก่ กอ.รมน.ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความม่ันคงภายใน ราชอาณาจักรในพน้ื ทท่ี ร่ี ฐั บาลประกาศกาหนด
๑๒๕ ในวันท่ี ๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ รัฐบาลได้ประกาศให้พื้นที่ส่ีอาเภอของจังหวัดสงขลาเป็นพ้ืนที่พิเศษ ที่กระทบต่อความมั่นคงตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง และอาเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี ในวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๔ และได้มีพระบรมราชโองการยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นท่ีสี่อาเภอของจังหวัดสงขลาดังกล่าวเมื่อ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๓ และอาเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานีเม่ือ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามลาดับ และรัฐบาลยังได้ยกเลิกการบังคับใช้ พรก.ฉกุ เฉนิ ในพน้ื ทอ่ี าเภอแมล่ านดงั กลา่ วอีกด้วย กฎอัยการศึกกลับมามีผลใช้บังคับทั่วประเทศในระหว่างวันท่ี ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ จนถึง ๑ เมษายน ๒๕๕๘ สืบเนื่องจากการรัฐประหารถึงแม้กฎอัยการศึกจะถูกยกเลิกในหลายพ้ืนท่ีแต่กฎอัยการศึกยังคงมีผลใช้บังคับ ในหลายอาเภอของ จชต. อันได้แก่ จังหวัดปัตตานี (ยกเว้นอาเภอแม่ลาน) ยะลา (ยกเว้นอาเภอกาบัง ธารโต บันนังสตา เบตง ยะหา) และนราธวิ าส (ยกเวน้ อาเภอเจาะไอร้อง ระแงะ แวง้ ศรีสาคร และสคุ ิริน) ล่าสุดในปี ๒๕๖๑ และ ๒๕๖๒ รัฐบาลได้ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในบางอาเภอของจังหวัด ยะลา (อาเภอเบตง) และนราธิวาส (อาเภอสุไหงโกลก สุคีริน และศรีสาคร) โดยประกาศให้อาเภอดังกล่าว เปน็ พ้นื ทพ่ี ิเศษทก่ี ระทบต่อความมั่นคงตามพ.ร.บ.ความมนั่ คงแทนการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉกุ เฉิน ปัจจุบันกฎหมายความมั่นคงอันได้แก่ กฎอัยการศึกและ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับอย่างต่อเนื่อง และทับซ้อนในหลายพื้นท่ีในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพ้ืนที่รอยต่อกับที่ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉกุ เฉินจะถูกประกาศ เป็นพ้ืนที่พิเศษตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ซ่ึงทาให้กอ.รมน.มีอานาจพิเศษในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับย้ัง และแก้ไขหรอื บรรเทาเหตกุ ารณท์ ีก่ ระทบต่อความมนั่ คงภายในราชอาณาจักร ถึงแม้จะมีกฎหมายความม่ันคงหลายฉบับที่ใช้บังคับในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่หน่วยงาน ที่มีอานาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรวมท้ังมีอานาจหน้าท่ีออกข้อกาหนด ระเบียบ และคาสั่งต่าง ๆ ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ไม่ว่าจะเป็นการใช้อานาจภายใต้กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.ความม่ันคง คือ กอ.รมน. ภาค ๔ โดย กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้าเป็นสาคัญ ซึ่งมีแม่ทัพภาคท่ี ๔ ดารงตาแหน่งผอ.รมน.ภาค และมีอานาจ เบ็ดเสร็จในการบังคับใช้กฎหมายความมน่ั คงทง้ั สามฉบับ จากคาช้ีแจงต่อคณะอนุกรรมาธิการฯ กองกฎหมายและสิทธิมนุษยชนในกองอานวยการรักษาความม่ันคง ภายในภาค ๔ ส่วนหน้า (“กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้า”) ได้ชี้แจงว่า “สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพ้ืนที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความหลากหลาย สลับซับซ้อน รวดเร็ว รุนแรง ปิดลับ สามารถขยายตัว ส่งผลกระทบ เป็นวงกว้าง และมีความเช่ือมโยงกันเป็นขบวนการแตกต่างจากสถานการณ์ในพ้ืนท่ีอื่น เน่ืองจากเป็นการกระทา ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ถูกบ่มเพาะ ชักจูง ปลูกฝังอุดมการณ์และได้รับการฝึกการก่อการร้ายจากกลุ่มก่อการร้าย นอกประเทศจนทาให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงข้ึนสร้างความเสียหายแก่ชีวติ ทรัพย์สินของประชาชนและของรัฐ เป็นจานวนมากส่งผลกระทบต่อความสงบสุขและบูรณภาพแห่งดินแดนซึ่งมาตรการท่ีบัญญัติในกฎหมายปกติ ไมส่ ามารถนามาใชใ้ นการแกไ้ ขสถานการณ์ความรนุ แรงท่ีเกิดข้ึนใหย้ ุติลงอยา่ งรวดเร็วและมีประสิทธิภาพได้ ดังนั้น เพื่อให้รัฐสามารถรักษาความมั่นคง ความปลอดภัยและการรักษาสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยให้กลับสู่ ปกติโดยเร็วจึงมีความจาเปน็ อย่างยง่ิ ท่มี อิ าจหลกี เลยี่ งได้ท่ีจะต้องนากฎหมายความมั่นคงมาบังคับใชซ้ ่ึงในกฎหมาย ความม่ันคงแต่ละฉบับจะมีมาตรการและกลไกพิเศษในการใชอ้ านาจเป็นการเฉพาะ โดยมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครอง ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ให้ กั บ ป ร ะ ช า ช น แ ล ะ รั ก ษ า ค ว า ม ม่ั น ค งข อ งพ้ื น ท่ี เมื่ อ พื้ น ท่ี มี ค ว า ม ม่ั น ค ง ป ร ะ ช า ช น ก็ จ ะ มี ความปลอดภยั มากข้ึนนนั่ ก็คือระดับสทิ ธมิ นษุ ยชนในพ้ืนที่จะสงู ขึ้น”
๑๒๖ แต่จากงานศึกษาสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดข้ึนในพ้ืนท่ี จังหวัดชายแด นภาคใต้สะท้อนให้เห็นถึง สภาพการณ์ที่กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงอาจไม่ใช่เครื่องมือท่ีจะทาให้บรรลุเป้าหมายในการ จัดการกับสถานการณ์ความรุนแรงในพ้ืนที่เพ่ือให้เข้าสู่สภาวะการเป็นพ้ืนที่ปกติดั่งพ้ืนที่อ่ืนของประเทศไทยได้ งานศึกษายังตั้งข้อสังเกตว่าการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงซ้าซ้อนหลายฉบับอย่างต่อเนื่องยาวนานแต่ในทาง กลับกันสถานการณ์ความรนุ แรงยังคงไม่ยตุ ิการต้องอยู่ภายใตอ้ านาจทหารแทนอานาจพลเรือนการทุ่มงบประมาณ จานวนมหาศาลไปยังหน่วยงานความม่ันคงการให้อานาจเบ็ดเสร็จแก่ฝ่ายบริหารโดยปราศจากการตรวจสอบ ถว่ งดลุ ทางการเมืองอีกทั้งยงั การจากัดอานาจศาลในการตรวจสอบถ่วงดุลเพือ่ ปอ้ งกันการลแุ ก่อานาจของเจ้าหนา้ ที่ บางหน่วยบางนาย และให้การฟื้นฟูชดเชยเยียวยาแก่ผู้ท่ีได้รับผลกระทบจากความรุนแรงอย่างไม่ทั่วถึงเท่าเทียม สภาพการณ์เช่นน้ีกลับทาให้ประชาชนลดความเช่ือมั่นในอานาจรัฐ และตั้งคาถามต่อประสิทธิผลในการแก้ไข ปัญหาความรนุ แรงท้งั ยงั เหน็ ว่าปฏบิ ัตกิ ารด้านความม่ันคงมีสว่ นซ้าเตมิ ความรนุ แรงในพนื้ ท่ี ตารางท่ี ๑ การประกาศใช้กฎหมายความมัน่ คงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กฎอยั การศกึ ๒๔๕๗ พ.ร.ก.ฉุกเฉนิ ๒๕๔๘ พ.ร.บ.ความม่นั คง ๒๕๕๑ “สงครามหรือจลาจลเหตุ “สถานการณฉ์ ุกเฉนิ ร้ายแรง” “พนื้ ที่ปรากฏเหตุการณ์อัน จาเป็นเพอื่ รักษาความ - ขยายทุก ๓ เดือน กระทบตอ่ ความมน่ั คง” เรยี บร้อยปราศจากภัย” - - ขยายทกุ ๑ ปี จนกว่าประกาศยกเลิก ๒๕๔๗ - แม่ทัพภาค ๔ ประกาศใช้ กฎอยั การศึก - ๕ ม.ค.๔๗ นราธวิ าส (บาเจาะ รือเสาะ ตากใบ สไุ หงปาดี ยีง่ อ สุไหงโก-ลก), ปตั ตานี (กะพ้อ), ยะลา (รามนั ) - ๒๖ ม.ค.๔๗ นราธวิ าส (ควนโดน ละงู ทา่ แพ), สตลู (เมือง), ปัตตานี (หนองจกิ ยะหริง่ มายอ ยะรงั แมล่ าน สายบรุ ี ทุ่งยางแดง โคกโพธ์ิ ไม้แกน่ และปะนาเระ), ยะลา (เมืองและก่งิ อาเภอ เมืองกรงปินัง) ยะลา ๒๕๔๘ - ๒๑ ก.ค.๔๘ ยกเลกิ - ๒๐ ก.ค.๔๘ รัฐบาล ประกาศแม่ทัพภาค ๔ ประกาศใชใ้ น ๓๓ อาเภอ
๑๒๗ คงเหลือนราธวิ าส (จะแนะ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) เจาะไอร้อง ระแงะ แว้ง ศรี สาคร สคุ ิริน), ยะลา (กาบัง ธารโต บนั นังสตา เบตง ยะหา) - ๓ พ.ย.๔๘ แม่ทพั ภาค ๔ ประกาศใช้กฎอัยการศึก ทสี่ งขลา (จะนะ เทพา) ๒๕๔๙ - ๑๙ ก.ย.๔๙ ใช้กฎอัยการ ศกึ ทัว่ ประเทศจากการ รฐั ประหาร - กฎอยั การศกึ ครอบคลมุ ปตั ตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา (นาทวี จะนะ เทพา สะบ้ายอ้ ย) ๒๕๕๐ ๒๕๕๑ ๒๕๕๒ - ๑ ธ.ค.๕๒ รัฐบาล ประกาศใช้สงขลา (จะนะ นาทวี เทพา สะบ้ายอ้ ย) ๒๕๕๓ - ๒๘ เม.ย.๕๓ ยกเลกิ สงขลา - ๒๙ ธ.ค.๕๓ ยกเลกิ ปัตตานี (นาทวี จะนะ เทพา (แมล่ าน) สะบ้าย้อย) - ๒๘ ธ.ค. ๕๓ ยกเลกิ จังหวดั ปัตตานี (แม่ลาน) ๒๕๕๔ - ๑๙ ม.ค. ๕๔ ประกาศใช้ใน ปตั ตานี (แมล่ าน) ๒๕๕๕ ๒๕๕๖ ๒๕๕๗ - ๒๐ พ.ค.๕๗ ใช้กฎอัยการศึก ทัว่ ประเทศจากการ รัฐประหาร
๑๒๘ ๒๕๕๘ - ๑ เม.ย.๕๘ ยกเลิกกฎ อยั การศกึ แต่กฎอยั การศึก ยังคงใช้บังคบั ในปัตตานี (ยกเว้นแม่ลาน) ยะลา (ยกเว้นกาบัง ธารโต บนั นงั สตา เบตง ยะหา) และนราธวิ าส (ยกเวน้ เจาะ ไอร้อง ระแงะ แว้ง ศรีสาคร และสคุ ริ ิน) ๒๕๕๙ ๒๕๖๐ ๒๕๖๑ - ๒๐ ม.ี ค.๖๑ ยกเลกิ ยะลา - ๓๑ ก.ค.๖๑ ประกาศใชใ้ น (เบตง) นราธิวาส (สุไหงโกลก) - ๒๐ ม.ิ ย.๖๑ ยกเลิก - ๒๘ พ.ค.๖๑ ประกาศใชใ้ น นราธิวาส (สไุ หงโกลก) ยะลา (เบตง) - ๔ ธ.ค.๖๑ ยกเลิกนราธวิ าส (สคุ ีริน) ๒๕๖๒ - ๑๐ ก.ย.๖๒ ยกเลิก - ๑๕ ม.ค.๖๒ ประกาศใช้ใน นราธวิ าส (ศรสี าคร) นราธวิ าส (สคุ รี ิน) - ๑๐ ก.ย.๖๒ ประกาศใชใ้ น นราธวิ าส (ศรีสาคร) ๒๕๖๓ ๑.มาตรการพิเศษภายใตก้ ฎหมายความมนั่ คง นอกจากการบังคับใช้กฎหมายความม่ันคงทั้งสามฉบับแล้วหน่วยงานหลักที่บังคับใช้กฎหมายอย่าง กอ.รมน. ยังได้ออกระเบียบควบคุมการใช้กฎหมายเหล่าน้ันของเจ้าหน้าท่ีในทางปฏิบัติท้ังในรูปแบบของคาสั่ง มาตรการพิเศษต่าง ๆ โดยอาศัยอานาจกฎหมายความม่ันคงในพื้นท่ีท้ังสามฉบับ ท้ังนี้ กอ.รมน. ได้ให้เหตุผลว่า การออกมาตรการพิเศษหรือระเบียบของเจ้าหน้าที่ในทางปฏิบัตินั้นล้วนมีจุดประสงค์เพ่ือคุ้มครองสิทธิ ของประชาชน ระเบียบคาสง่ั ท่ีออกโดย กอ.รมน. เรยี งตามลาดบั เวลาการประกาศใช้ มดี งั นี้ ๑) คู่มือการอบรมโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐและเจ้าหน้าที่รฐั กิจกรรม การพัฒนาศกั ยภาพด้านกฎหมายความมั่นคง ประจาปี ๒๕๖๓ จดั ทาโดยกองกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กอ.รมน. ภาค ๔ ส่วนหนา้ มีประเด็นเพมิ่ เตมิ จากกฎอยั การศึกและ พ.ร.ก. ฉุกเฉนิ ซงึ่ ใหอ้ านาจเจ้าหน้าทีม่ ากขนึ้ ไดแ้ ก่ แนวทางการควบคุมตัวหรอื เชญิ ตวั ผ้ตู ้องสงสัยตาม พรบ กฎอัยการศกึ ๒๔๕๗
๑๒๙ นิยามคาว่า “ควบคุมตัว” ว่าคือ การควบคุมความเคล่ือนไหวของบุคคลโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เขาตอบข้อซักถาม ดังนั้นในระหว่างการควบคุมตัวหากมีการต่อสู้ขัดขืนก็เป็นการชอบด้วยกฎหมาย ท่ีพนักงานเจ้าหน้าที่จะใช้กาลังหรือวิธีอื่นใดท่ีไม่เกินสมควรแก่เหตุเพื่อกาจัดความเคลื่อนไหวของบุคคลน้ันและ จะต้องแจ้งความดาเนินคดีกับผู้ที่ต่อสู้ขัดขืนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไว้ด้วยในระหว่าง การควบคุมตวั ห้ามพนักงานเจ้าหนา้ ที่ทาร้ายร่างกายหรอื ใช้วาจากล่าวเหยียดหยามอยา่ งเดด็ ขาด๒๒๘ แนวทางการจบั กุมและควบคมุ ตวั บคุ คลที่ต้องสงสัยตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉนิ ระบุวา่ สถานที่ในการควบคุมตัวต้องเป็นสถานท่ีที่ ผอ. รมน. ภาค ๔ กาหนด ซึ่งไม่ใชส่ ถานีตารวจ ท่ีคุมขัง ทัณฑสถานหรือเรือนจา และการขอขยายเวลาในการควบคุมตัวน้ันผู้ร้องต้องย่ืนคาร้องขอขยายเวลา ก่อนครบกาหนดโดยไมต่ ้องนาตวั ผูต้ ้องสงสยั ไปศาล เว้นแต่ศาลมีคาสงั่ นอกจากนี้ประกาศข้อ ๗ ตามมาตรา ๑๑ ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ๒๕๔๘ ยังให้กาลังทหารที่ปฏิบัติ หนา้ ที่อยู่ในเขตพื้นท่สี ถานการณ์ฉุกเฉินทีม่ ีความร้ายแรงยังตังปฏิบัติหน้าที่อยู่ตอ่ ไปแม้จะมกี ารเลกิ ใชก้ ฎอัยการศึก แล้วก็ตาม โดยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอานาจหน้าที่เช่นเดัยวกับอานาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉนิ ๒๒๙ แนวทางปฏิบัตใิ นการจบั กุม และควบคมุ ตวั ผตู้ ้องสงสัยท่ีเปน็ เดก็ และสตรี ระบุให้แยกเด็ก เยาวชน สตรี และผู้ใหญ่ กรณีผู้ต้องสงสัยเป็นเด็ก (อายุต่ากว่า ๑๘ ปี) สามารถ ควบคุมตัวไว้เพื่อช้ีแจงทาความเข้าใจให้เข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยนทัศนคติท่ีเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรง และ เม่ือเช่ือว่าผู้ต้องสงสัยที่ควบคุมตัวน้ันยินยอมเลิกกระทาการเช่นน้นั ก็ให้ปล่อยตัวกลับภูมิลาเนาทันที และต้องก่อน เวลา ๑๘.๐๐ หรอื หากพบความผิดให้ส่งตัวไปดาเนินการตามกฎหมายว่าดว้ ยวธิ พี ิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว กอ่ นตะวันตกดิน ๒) ระเบียบกองอานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ว่าด้วยวิธีการปฏิบัติในการควบคุมตัว บุคคลตอ้ งสงสยั ตามมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพ.ร.บ.กฎอยั การศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ ประกาศเม่อื วนั ที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ ๒.๑) ระเบียบกองอานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ว่าด้วย วิธีปฏิบัติงานของ พนักงานเจ้าหน้าท่ีตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณฉ์ ุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ประกาศเมือ่ วนั ท่ี ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ ระเบียบดังกล่าวได้ขยายความและบรรจุมาตรการพิเศษบางอย่างที่อาจไม่ถูกระบุไว้อย่าง ชัดเจนใน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แต่ถูกบรรจุอยู่ในระเบียบท่ี กอ. รมน. กาหนดข้ึนเพื่ออานวยการขยายผลในการ ปฏบิ ัตงิ านของเจา้ หนา้ ทีโ่ ดยมาตรการพิเศษทอ่ี าจพิจารณาไดว้ ่า ขยายความมาจาก พ.ร.ก. ฉุกเฉนิ มีดังนี้ ข้อ ๔.๓ หากตรวจแล้วพบว่าบุคคลต้องสงสัยยังไม่มีหมายจับตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ให้พนักงานเจา้ หน้าท่ีหรือเจ้าหน้าท่ีฝ่ายทหารประสานขอความเหน็ จากผ้รู ับผิดชอบพื้นที่ท้งั สามฝา่ ย ประกอบดว้ ย ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจผู้อานวยการศูนย์ปฏิบัติการอาเภอ และผู้กากับสถานีตารวจภูธรประจาพื้นที่หากท้ังสามฝ่าย เห็นพ้องต้องกันให้ลงนามรับรองร่วมกันในคาร้องขออนุญาตจับกุมและควบคุมตัวตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ต่อศาล อาญาทม่ี ีเขตอานาจ ๒๒๘ คู่มอื การอบรม โครงการเพิ่มประสิทธภิ าพการบรหิ ารจดั การภาครัฐและเจา้ หนา้ ท่ีรฐั กจิ กรรมการพฒั นาศกั ยภาพด้านกฎหมายความมั่นคง ประจาปี ๒๕๖๓ จัดทาโดยกองกฎหมายและสิทธมิ นษุ ยชน กอ.รมน. ภาค ๔ สว่ นหนา้ หนา้ ๖๓ ๒๒๙ คมู่ ือการอบรม โครงการเพิ่มประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารจดั การภาครฐั และเจา้ หนา้ ทีร่ ัฐ กิจกรรมการพฒั นาศกั ยภาพดา้ นกฎหมายความม่นั คง ประจาปี ๒๕๖๓ จดั ทาโดยกองกฎหมายและสิทธมิ นุษยชน กอ.รมน. ภาค ๔ ส่วนหน้า หน้า ๘๓
๑๓๐ ข้อ ๔.๘ ในกรณีจาเป็นเร่งด้วยซ่ึงมีเหตุอันควรโดยผู้ร้องไม่อาจไปพบผู้พิพากษาได้ผู้ร้อง อาจร้องขอต่อศาลทางโทรศัพท์ โทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือส่ือสารสนเทศอ่ืน ๆ ท่ีเหมาะสมเพื่อขอให้ศาล ออกหมายจับได้ในกรณีนี้ผู้ร้องต้องมียศตามข้อกาหนดโดยต้องโทรไปตอบข้อซักถามของผู้พิพากษาโดยตรง เมื่อผู้พิพากษาอนุญาตแล้วจะออกหมายจับส่งไปให้ผู้รอ้ งทางโทรสารเพ่ือนาไปดาเนินการตามความจาเป็นเร่งด่วน ต่อไปเมอ่ื ดาเนินการไดอ้ ยา่ งไรแล้วให้ผู้ร้องขอหมายจับไปพบผู้พิพากษาเพ่ือมอบเอกสารหลักฐานทีใ่ ชป้ ระกอบการ ขอหมายจบั โดยทนั ที ข้อ ๖.๔ การจับกุมและควบคุมตัวเป็นการดาเนินการเพ่ือชี้แจงทาความเข้าใจ และอบรม ให้เกิดทัศคติท่ีถูกต้องเพื่อเลิกกระทาหรือสนับสนุนการกระทาท่ีเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุร้ายแรง ในสถานการณ์ ฉุกเฉิน ทั้งน้ี การทาความเข้าใจให้เกิดทัศนคติที่ถูกต้องน้ันเป็นการปรับเปล่ียนพฤติกรรมให้กับผู้ถูกควบคุมตัว ซึง่ หมายรวมถึงการขยายผลที่ได้จากการทาความเข้าใจจนสามารถทราบโครงสร้างเครือขา่ ยของกลุ่มก่อเหตุรนุ แรง สถานท่ีซ่อนตัว แหล่งซุกซ่อนอาวุธปืนและวัตถุระเบิด ตลอดจนได้ทราบถึงกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มผู้แอบอ้าง ที่สนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น การทาความเข้าใจให้เกิดทัศนคติที่ถูกต้อง เป็นไปเพ่ือให้เกิดความร่วมมือในการระงับเหตุร้ายแรงและเม่ือเชื่อว่าผู้ถูกจับกุมยินยอมยกเลิกการกระทาการ เช่นนั้นให้รีบปล่อยตัวเพื่อกลับภูมิลาเนาทันทีหรือในกรณีท่ีมีการควบคุมตัวจนครบ ๓๐ วันแล้วจะต้องปล่อยตัว และไมอ่ าจดาเนนิ การจับกุมและควบคุมตามมาตรการนี้ไดอ้ ีก ข้อ ๙.๗ ในการเยย่ี มของญาติให้หัวหน้าสถานที่ควบคุมตวั บุคคลตามหมายจบั จัดพนักงาน เจ้าหน้าท่ีเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดและร่วมรับฟงั การสนทนาระหว่างการเยี่ยมผู้ถกู ควบคุมตัวด้วย เพื่อปอ้ งกัน การกระทาใด ๆ ทจ่ี ะเป็นอปุ สรรคหรอื ก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบต่อการควบคุมตัว ขอ้ ๑๐.๕ กรณีการออกคาสั่งเรียกบุคคลอยา่ งจาเป็นเรง่ ด่วนพนักงานเจา้ หนา้ ที่ผมู้ ีอานาจ อาจออกคาสั่งด้วยวาจาให้บุคคลน้ันไปยังที่ทาการพร้อมผู้มีอานาจออกคาสั่งได้เม่ือถึงที่ทาการให้ออกคาส่ังเรียก บคุ คลตามแบบที่กาหนดพร้อมจัดทาสมดุ คุมลาดบั การออกคาสัง่ เรียก ข้อ ๑๓ ในการปฏิบัติหน้าท่ีตามระเบียบนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามแผน ยทุ ธการหรือแผนปฏบิ ัติการที่ กอ. รมน. ภาค ๔ ส่วนหน้ากาหนด ดังนั้นนอกจากจะมีการบังคับใช้กฎหมายความม่ันคงอย่างกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ พระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชบัญญัติการรักษาความม่ันคง ภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้วเจ้าหน้าที่ในพื้นท่ี จชต. ยังปฏิบัติหน้าที่โดยอาศัยอานาจจากมาตรการ พิเศษหรือระเบียบที่ กอ. รมน. ช้ีแจงว่าได้กาหนดข้ึนเพ่ือควบคุมการปฏิบัติงานและเพ่ือให้เจ้าหน้าท่ีสามารถ ใช้อานาจตามกฎหมายพิเศษตามความจาเป็นอย่างได้สดั สว่ นเพ่ือการระงบั เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นท่ีอีกด้วย ในขณะท่ีกฎหมายและมาตรการพิเศษเหล่าน้ีเอ้ือต่อการขยายผลในการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นการให้อานาจควบคุมตัวบุคคล ออกคาส่ังเรียกบุคคลได้อย่างเร่งด่วนใช้กาลังเพ่ือควบคุม การเคล่ือนไหวของผู้ถูกควบคุมตัว การร่วมสังเกตการณ์ระหว่างการเยี่ยมของญาติหรืออ่ืน ๆ แต่ในอีกแง่หนึ่ง กฎหมายและระเบียบท่ี กอ. รมน. กาหนดขึ้นกลับเปิดช่องให้เจ้าหน้าท่ีใช้อานาจได้ตามอาเภอใจโดยเจ้าหน้าท่ี ระดับปฏิบัติงานเข้าใจไปว่าถูกต้องตามกฎหมายโดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็งนาไปสู่ข้อร้องเรียน หรือข้อครหาถึงประเด็นการละเมิดสิทธิของเจ้าหน้าท่ีรัฐโดยอ้างอาน าจตามกฎหมายหรือมาตรการพิเศษในพื้นที่
๑๓๑ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซง่ึ ประเดน็ ผลกระทบของการบงั คบั ใชก้ ฎหมายพเิ ศษในพ้ืนที่จังหวดั ชายแดนภาคใต้ตอ่ การ ละเมิดสิทธมิ นษุ ยชนน้ันจะถกู กลา่ วถงึ ในส่วนทส่ี ามของรายงาน การบังคับใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคงหลายฉบับในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างต่อเนื่องยาวนานจนเป็นเรื่อง “ปกติ” ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการใช้กฎหมายทับซ้อนเกินความจาเป็นและ สร้างความสับสน เกิดความไม่ชัดเจนจนในบางกรณีท้ังเจ้าหน้าท่ีและประชาชนต่างไม่แน่ใจว่ามาตรการที่นามา ใช้บงั คับนน้ั อาศยั อานาจตามกฎหมายพเิ ศษฉบับใดการบังคับใช้นั้นสอดคล้องกบั เจตนารมณ์ของกฎหมายพเิ ศษน้ัน หรือไม่ทาให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการบังคับใช้กฎหมายตามอาเภอใจหรือลุแก่อานาจต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังสะท้อนถึงโครงสร้างบริหารราชการลักษณะพิเศษท่ีส้ินเปลืองทั้งในเร่ืองงบประมาณและกาลังคน โดยเจา้ หนา้ ที่ฝา่ ยทหารเหนือฝ่ายพลเรอื น ยงิ่ ไปกว่านนั้ ยังขัดต่อหลักการแบ่งแยกอานาจและการตรวจสอบการใช้ อานาจอีกด้วย กฎหมายความมั่นคงท้ังสามฉบับข้างต้น รวมถึงระเบียบคาส่ังและมาตรการพิเศษ ที่ประกาศเพิ่มเติมภายหลังดังที่ได้เสนอข้างต้นก็ยังไม่มีบทบัญญัติใดท่ีให้อานาจฝ่ายนิ ติบัญญัติในการตรวจสอบ ทบทวนความเหมาะสมในการประกาศใช้และการขยายระยะเวลารวมท้ังประเมินความสัมฤทธ์ิผลของข้อห้าม ข้อกาหนดพิเศษท่ีมีขึ้นซึ่งเท่ากับว่าฝ่ายบริหารใช้อานาจบัญญัติกฎหมายและบังคับกฎหมายใช้เสียเองเบ็ดเสร็จ ยิ่งไปกวา่ นั้นหลายมาตราในกฎหมายความม่ันคงยงั กีดกันการตรวจสอบถว่ งดุลจากฝ่ายตลุ าการซ่ึงเป็นกลไกสาคัญ ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนป้องกันการใช้อานาจโดยมิชอบเพื่อจะรับประกันว่าประชาชนที่ได้รับ ความเสียหายหรือถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากมาตรการพิเศษต่าง ๆ เหล่านั้น จะได้รับความยุติธรรมและได้รับ การชดเชยและฟ้ืนฟูเยยี วยาอย่างเหมาะสมจากตลุ าการฝ่ายพลเรือนทเี่ ป็นอสิ ระ ๓) สรุปมาตรการพิเศษทีใ่ ช้บังคบั ในพื้นท่ีหนว่ ยงานท่บี ังคับใช้กฎหมาย (กอ.รมน.) นอกจากการบังคับใช้กฎหมายความม่ันคงท้ังสามฉบับแล้วหน่วยงานหลักท่ีบังคับใช้กฎหมาย อย่าง กอ.รมน. ยังได้ออกระเบียบควบคุมการใช้กฎหมายเหล่านั้นของเจ้าหน้าที่ในทางปฏิบัติทั้งในรูปแบบ ของคาส่ัง มาตรการพิเศษต่าง ๆ โดยอาศัยอานาจกฎหมายความมั่นคงในพ้ืนที่ทั้งสามฉบับ ทั้งนี้ กอ.รมน. ได้ให้เหตุผลว่า การออกมาตรการพิเศษหรือระเบียบของเจ้าหน้าท่ีในทางปฏิบัติน้ันล้วนมีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครอง สทิ ธขิ องประชาชน ๓.๑) คู่มือการอบรมโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐและเจ้าหน้าท่ีรัฐ กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพด้านกฎหมายความมั่นคง ประจาปี ๒๕๖๓ จัดทาโดยกองกฎหมายและสิทธิมนษุ ยชน กอ.รมน. ภาค ๔ ส่วนหน้า มีประเด็นเพ่ิมเติมจากกฎอัยการศึกและ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งให้อานาจเจ้าหน้าท่ีมากขึ้น ไดอ้ ้างแนวทางการควบคุมตัวหรอื เชิญตวั ผตู้ อ้ งสงสยั ตาม พ.ร.บ. กฎอยั การศึก ๒๔๕๗ นิยามคาว่า “ควบคุมตัว” ว่าคือ การควบคุมความเคล่ือนไหวของบุคคลโดยพนักงาน เจ้าหน้าท่ีเพื่อให้เขาตอบข้อซักถาม ดังน้ันในระหว่างการควบคุมตัวหากมีการต่อสู้ขัดขืนก็เป็นการชอบ ด้วยกฎหมายท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ีจะใช้กาลังหรือวิธีอื่นใด ท่ีไม่เกินสมควรแก่เหตุเพ่ือกาจัดความเคล่ือนไหวของ บุคคลนั้น และจะต้องแจ้งความดาเนินคดีกับผู้ท่ีต่อสู้ขัดขืนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไว้ด้วย ในระหวา่ งการควบคมุ ตัว ห้ามพนกั งานเจา้ หนา้ ทีท่ าร้ายรา่ งกายหรอื ใช้วาจากลา่ วเหยยี ดหยามอยา่ งเด็ดขาด๒๓๐ ๒๓๐ หน้า ๖๓
๑๓๒ ในคู่มืออบรมดังกล่าวได้ว่าแนวทางการจับกุมและควบคุมตัวบุคคลท่ีต้องสงสัยตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ระบุว่าสถานที่ในการควบคุมตัวต้องเป็นสถานที่ท่ี ผอ. รมน. ภาค ๔ กาหนด ซึ่งไม่ใช่สถานีตารวจ ท่ีคุมขัง ทัณฑสถานหรือเรือนจา และการขอขยายเวลาในการควบคุมตัวนั้นผู้ร้องต้องย่ืนคาร้องขอขยายเวลา กอ่ นครบกาหนดโดยไม่ต้องนาตวั ผู้ตอ้ งสงสัยไปศาลเว้นแต่ศาลมคี าสง่ั นอกจากน้ีประกาศข้อ ๗ ตามมาตรา ๑๑ ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ๒๕๔๘ ยังให้กาลังทหาร ท่ีปฏิบัติหน้าท่ีอยู่ในเขตพ้ืนที่สถานการณ์ฉุกเฉินท่ีมีความร้ายแรงยังตังปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไปแม้จะมีการเลิกใช้ กฎอัยการศึกแล้วก็ตามโดยให้เจ้าหน้าท่ีฝ่ายทหารมีอานาจหน้าท่ีเช่นเดียวกับอานาจหน้าท่ีของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.ก. ฉกุ เฉิน๒๓๑ มีแนวทางปฏิบัติในการจับกุม และควบคุมตัวผ้ตู ้องสงสัยท่ีเป็นเดก็ และสตรี โดยระบุให้ แยกเด็ก เยาวชน สตรี และผู้ใหญ่ กรณีผู้ต้องสงสัยเป็นเด็ก (อายุต่ากว่า ๑๘ ปี) สามารถควบคุมตัวไว้เพื่อช้ีแจง ทาความเข้าใจให้เข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยนทัศนคติท่ีเก่ียวข้องกับเหตุรุนแรง และเมื่อเชื่อว่าผู้ต้องสงสัย ที่ควบคุมตัวน้ันยินยอมเลิกกระทาการเช่นนั้นก็ให้ปล่อยตัวกลับภูมิลาเนาทันที และต้องก่อนเวลา ๑๘.๐๐ หรือหากพบความผิดให้ส่งตัวไปดาเนินการตามกฎหมายว่าดว้ ยวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครัวก่อนตะวนั ตกดิน ๓.๒) ระเบียบว่าด้วยวิธีการปฏิบัติในการควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยตามมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๕๔๗ และระเบียบว่าด้วยวิธีปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ คร้ังที่สองคือ ประกาศประกาศเมอ่ื วันท่ี ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ ต่อมากอ.รมน. ได้ออกระเบียบว่าด้วยวิธีการปฏิบัติในการควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัย ตามมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบญั ญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๕๔๗ และระเบียบว่าด้วยวิธีปฏบิ ัติงานของพนักงาน เจา้ หนา้ ท่ตี ามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ครงั้ ทสี่ องคือ ประกาศประกาศเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ โดยพลโทพรศักดิ์ พูลสวัสด์ิ แม่ทัพภาคท่ี ๔/ ผู้อานวยการ รักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ระเบียบกองอานวยการรักษาความม่ันคงภายในภาค ๔ ว่าด้วย วิธีการปฏิบัติ ในการควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยตามมาตรา ๑๕ ทวิ แห่ง พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ ประกาศเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ ระเบยี บดังกล่าวได้ขยายความและบรรจมุ าตรการพิเศษบางอยา่ งที่อาจไม่ถกู ระบุไว้อย่าง ชัดเจนใน พ.ร.บ. กฎอัยการศึก และ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แต่ถูกบรรจุอยู่ในระเบียบที่ กอ. รมน. กาหนดข้ึน เพ่ืออานวยการขยายผลในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โดยมาตรการพิเศษท่ีอาจพิจารณาได้ว่าขยายความมาจาก พ.ร.ก. ฉกุ เฉิน มีดังนี้ ตัวอย่างระเบียบว่าด้วยวิธีการปฏิบัติในการควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยตามมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบญั ญัตกิ ฎอัยการศกึ พ.ศ. ๒๕๔๗ เช่น ข้อ ๑ ให้พึงระลึกเสมอว่าบุคคลท่ีเจ้าหน้าที่ทหารทาการควบคุมตัวตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก เป็นเพยี งผูต้ ้องสงสยั จะกระทาเยีย่ งผู้ตอ้ งหามิได้ ข้อ ๒ ให้ชี้แจ้งเหตุผลความจาเป็นในการควบคุมตัวบุคคลและแจ้งให้ญาติทราบ โดยมกี ารประสานผูน้ าทอ้ งท่ี ผ้นู าท้องถน่ิ กานัน ผูใ้ หญ่บ้านกอ่ นการควบคุมตวั ๒๓๑ หนา้ ๘๓
๑๓๓ ข้อ ๓ - ๗ ให้เจ้าหน้าท่ีฝ่ายทหารดาเนินการจัดทาบันทึกการควบคุมตัวบันทึกการตรวจ คน้ ยึดสิ่งของ นาบุคคลไปลงบันทึกประจาวันท่ีสถานีตารวจในพ้ืนที่จัดให้มีการตรวจร่างกายและตรวจโรค รวมทั้ง ให้ออกใบรบั รองแพทยก์ ่อนนาตัวไปซกั ถาม ข้อ ๘ ระบุให้ทาการจัดทาบันทึกประวัติและเก็บสารพันธุกรรม (DNA) ของบุคคลต้อง สงสยั แล้วนาไปให้แพทยต์ รวจร่างกายซ้าอีกครงั้ ข้อ ๙ - ๑๙ ระบุข้ันตอนการซักถาม การห้ามซ้อมทรมาน ทาร้ายร่างกาย กล่าวดูหม่ิน ลบหล่เู กยี รติของบุคคลตอ้ งสงสยั และกาหนดเวลาซักถาม จัดอาหารตามหลักศาสนา จัดเวลาปฏิบัติตามศาสนกิจ และกาหนดการปล่อยตวั และการร้องขอควบคุมตวั ต่อตาม พรก.ฉุกเฉนิ ข้อ ๒๐-๒๑ กาหนดสถานที่ควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึกและ กาหนดการเยีย่ มบุคคลต้องสงสยั ตัวอย่างการขยายความและบรรจุมาตรการพิเศษระเบียบว่าด้วยวิธีปฏิบัติงานของ พนกั งานเจ้าหน้าท่ตี ามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณฉ์ กุ เฉนิ พ.ศ. ๒๕๕๑ เช่น ข้อ ๔.๓ หากตรวจแล้วพบว่าบุคคลต้องสงสัยยังไม่มีหมายจับตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าท่ีฝ่ายทหารประสานขอความเห็นจากผู้รับผิดชอบพื้นที่ทั้งสามฝ่ายประกอบด้วย ผู้ยังคับหน่วยเฉพาะกิจ ผู้อานวยการศูนย์ปฏิบัติการอาเภอ และผู้กากับสถานีตารวจภูธรประจาพ้ืนท่ี หากท้ังสามฝ่าย เห็นพ้องต้องกันให้ลงนามรับรองร่วมกันในคาร้องขออนุญาตจับกุมและควบคุมตัวตาม พ .ร.ก. ฉุกเฉิน ตอ่ ศาลอาญาทมี่ ีเขตอานาจ ข้อ ๔.๘ ในกรณีจาเป็นเร่งด้วยซ่ึงมีเหตุอันควรโดยผู้ร้องไม่อาจไปพบผู้พิพากษาได้ ผู้ร้องอาจร้องขอต่อศาลทางโทรศัพท์ โทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือส่ือสารสนเทศอื่น ๆ ท่ีเหมาะสมเพื่อขอให้ ศาลออกหมายจับได้ในกรณีน้ีผู้ร้องต้องมียศตามข้อกาหนดโดยต้องโทรไปตอบข้อซักถามของผู้พิพากษาโดยตรง เม่ือผู้พิพากษาอนุญาตแล้วจะออกหมายจบั ส่งไปให้ผู้ร้องทางโทรสารเพื่อนาไปดาเนินการตามความจาเป็นเร่งด่วน ต่อไปเมือ่ ดาเนินการได้อยา่ งไรแล้วใหผ้ ู้รอ้ งขอหมายจับไปพบผู้พพิ ากษาเพ่ือมอบเอกสารหลักฐานท่ีใชป้ ระกอบการ ขอหมายจับโดยทันที ข้อ ๖.๔ การจับกมุ และควบคมุ ตัวเป็นการดาเนินการเพือ่ ชแ้ี จงทาความเข้าใจ และอบรม ให้เกิดทัศคติท่ีถูกต้องเพ่ือเลิกกระทาหรือสนับสนุนการกระทาที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุร้ายแรงในสถานการณ์ฉุกเฉิน ท้ั งนี้ ก าร ท าค ว าม เข้ าใจ ให้ เกิ ด ทั ศ น ค ติ ที่ ถู ก ต้ อ งนั้ น เป็ น ก า รป รับ เป ล่ี ย น พ ฤ ติ ก รรม ให้ กั บ ผู้ ถู ก ค ว บ คุ ม ตั ว ซึ่งหมายรวมถึงการขยายผลทีไ่ ด้จากการทาความเขา้ ใจจนสามารถทราบโครงสร้างเครือข่ายของกลุ่มก่อเหตุรุนแรง สถานที่ซ่อนตัว แหล่งซุกซ่อนอาวุธปืนและวัตถุระเบิด ตลอดจนได้ทราบถึงกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มผู้แอบอ้าง ที่สนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงในพ้ืนที่ จชต. เป็นต้น การทาความเข้าใจให้เกิดทัศนคติที่ถูกต้องเป็นไปเพื่อให้ เกิดความร่วมมือในการระงับเหตุร้ายแรง และเมื่อเช่ือว่าผู้ถูกจับกุมยินยอมยกเลิกการกระทาการเช่นน้ัน ให้รีบปล่อยตัวเพ่ือกลับภูมิลาเนาทันทีหรือในกรณีที่มีการควบคุมตัวจนครบ ๓๐ วันแล้ว จะต้องปล่อยตัวและ ไม่อาจดาเนินการจับกุมและควบคมุ ตามมาตรการน้ีได้อกี ข้อ ๙.๗ ในการเยี่ยมของญาติให้หัวหน้าสถานที่ควบคุมตัวบุคคลตามหมายจับพนักงาน เจ้าหน้าที่เฝา้ สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดและร่วมรับฟังการสนทนาระหว่างการเยี่ยมผู้ถูกควบคุมตัวด้วย เพ่ือปอ้ งกัน การกระทาใด ๆ ทจี่ ะเป็นอปุ สรรคหรือก่อใหเ้ กิดผลกระทบต่อการควบคุมตวั
๑๓๔ ข้อ ๑๐.๕ กรณีการออกคาสั่งเรียกบุคคลอย่างจาเป็นเร่งด่วน พนักงานเจ้าหน้าท่ี ผู้มีอานาจอาจออกคาสั่งด้วยวาจาให้บุคคลนั้นไปยังท่ีทาการพร้อมผู้มีอานาจออกคาส่ังได้เม่ือถึงที่ทาการ ใหอ้ อกคาสง่ั เรยี กบุคคลตามแบบที่กาหนดพร้อมจดั ทาสมุดคุมลาดบั การออกคาสั่งเรยี ก ข้อ ๑๓ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบน้ีพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามแผน ยุทธการหรือแผนปฏบิ ัติการทกี่ อ. รมน. ภาค ๔ สว่ นหน้ากาหนด ดังน้ันนอกจากจะมีการบังคับใช้กฎหมายความม่ันคงอย่างกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ พระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคง ภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้ว เจ้าหน้าท่ีในพ้ืนท่ี จชต. ยังปฏิบัติหน้าท่ีโดยอาศัยอานาจจากมาตรการ พิเศษหรือระเบียบท่ี กอ. รมน. ช้ีแจงว่าได้กาหนดข้ึนเพื่อควบคุมการปฏิบัติงานและเพื่อให้เจ้าหน้าท่ีสามารถ ใชอ้ านาจตามกฎหมายพิเศษตามความจาเป็นอย่างได้สัดส่วนเพื่อการระงับเหตุการณ์ความไม่สงบในพ้นื อีกด้วย ในขณะที่กฎหมายและมาตรการพิเศษเหล่านี้เอื้อต่อการขยายผลในการปฏิบัติงาน ของเจ้าหน้าทไี่ ม่ว่าจะเปน็ การให้อานาจควบคุมตัวบคุ คล ออกคาสัง่ เรียกบคุ คลได้อยา่ งเรง่ ดว่ น ใช้กาลงั เพื่อควบคุม การเคล่ือนไหวของผู้ถูกควบคุมตัว การร่วมสังเกตการณ์ระหว่างการเยี่ยมของญาติหรืออ่ืน ๆ แต่ในอีกแง่หน่ึง กฎหมายและระเบียบที่ กอ. รมน. กาหนดขึ้นกลับเปิดชอ่ งให้เจ้าหน้าท่ใี ช้อานาจได้อยา่ งชอบถกู ต้องตามกฎหมาย โดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลท่ีเข้มแข็งนาไปสู่ข้อครหาถึงประเด็นการละเมิดสิทธิของเจ้าหน้าท่ีรัฐโดยอ้าง อานาจตามกฎหมายหรือมาตรการพิเศษในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประเด็นผลกระทบของการบังคับใช้ กฎหมายพิเศษในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นจะถูกกล่าวถึงในส่วนท่ีสามของ รายงาน การบังคับใช้กฎหมายพิเศษด้านความม่ันคงหลายฉบับในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างต่อเนื่องยาวนานจนเป็นเร่ือง “ปกติ” ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการใช้กฎหมายทับซ้อนเกินความจาเป็น และ สร้างความสับสนเกิดความไม่ชัดเจนจนในบางกรณีทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนต่างไม่แน่ใจว่ามาตรการท่ีนามาใช้ บังคับน้ันอาศัยอานาจตามกฎหมายพิเศษฉบับใดการบังคับใช้น้ันสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายพิเศษน้ัน หรือไม่ทาให้เกิดความสุ่มเส่ียงต่อการบังคับใช้กฎหมายตามอาเภอใจหรือลุแก่อานาจต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังสะท้อนถึงโครงสร้างบริหารราชการลักษณะพิเศษท่ีส้ินเปลืองท้ังในเร่ืองงบประมาณและกาลังคน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเหนือฝ่ายพลเรือนยิ่งไปกว่านั้นยังขัดต่อหลักการแบ่งแยกอานาจและการตรวจสอบการใช้ อานาจอกี ดว้ ย กฎ ห ม าย ค ว าม มั่ น ค งท้ั งส าม ฉ บั บ ข้างต้ น รว ม ถึ งระเบี ยบ ค าสั่งแ ละ ม าตรก ารพิ เศ ษ ท่ีประกาศเพ่ิมเติมภายหลังดังท่ีได้เสนอข้างต้นก็ยังไม่มีบทบัญญัติใดที่ให้อานาจฝ่ายนิติบัญญัติในการตรวจสอบ ทบทวนความเหมาะสมในการประกาศใช้และการขยายระยะเวลารวมทั้งประเมินความสัมฤทธ์ิผลของข้อห้าม ข้อกาหนดพิเศษที่มีขึ้นซึ่งเท่ากับว่าฝ่ายบริหารใช้อานาจบัญญัติกฎหมายและบังคับกฎหมายใช้เสียเองเบ็ดเสร็จ ยงิ่ ไปกวา่ นั้นหลายมาตราในกฎหมายความม่ันคงยงั กีดกันการตรวจสอบถ่วงดุลจากฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นกลไกสาคัญ ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนป้องกันการใช้อานาจโดยมิชอบ เพื่อจะรับประกันว่าประชาชนท่ีได้รับ ความเสียหายหรือถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากมาตรการพิเศษต่าง ๆ เหล่านั้นจะได้รับความยุติธรรมและได้รับ การ ชดเชยและฟืน้ ฟเู ยยี วยาอยา่ งเหมาะสมจากตลุ าการฝา่ ยพลเรือนทเ่ี ป็นอิสระ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 459
Pages: