๑๘๕ กลุ่มชาติพันธ์ุมานิ และมลาบรี เป็นต้น หรือกรณีของกลุ่มชาติพันธ์ุที่อาศัยอยู่แนวชายฝั่งและเกาะแก่ง เช่น กลมุ่ ชาติพันธ์ุชาวเล เปน็ ตน้ ประเด็นทีน่ ่าสนใจของการละเมิดสทิ ธมิ นุษยชนของกลุ่มชาติพนั ธ์ุในระดับน้ี คือ สถานการณอ์ คติ ทางวัฒนธรรมที่มีต่อกลุ่มชาติพันธ์ุ กล่าวคือ เพราะสังคมไทยยังมีอคติทางต่อชนเผ่าพ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ ๓ ประการ คือ (๑) มองว่ากลุ่มชนเผ่าพ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพันธ์ุไม่ใช่คนไทยเป็นคนต่างด้าว (๒) มองว่าชนเผ่า พ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพันธ์ุเป็นผู้ทาลายทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การมองว่ากลุ่มชาติพันธุ์บนพ้ืนท่ีสูงไร่เลื่อนลอย เป็นตน้ (๓) มองวา่ ชนเผา่ พ้ืนเมืองและกลุ่มชาตพิ ันธุเ์ ป็นผู้คา้ ยาเสพติด อคติท้งั ๓ ประการดังกล่าวนัน้ เป็นผลจาก การดาเนินนโยบายของรัฐในช่วงสงครามเย็นและพยายามสร้างอคติให้มองชนเผ่าพ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพันธ์ุที่มี อัตลกั ษณท์ างวฒั นธรรมต่างจากคนไทยว่าไมใ่ ช่คนไทยและเป็นภัยคกุ คามต่อความมน่ั คง ระดับที่สอง เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับที่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงความรู้สึกและ ความมั่นคงเชิงอัตลักษณ์ของชนเผ่าพ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ สถานการณ์ในระดับน้ี ส่วนใหญ่เกิดจาก สถานการณ์ที่ชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ถูกตีตราว่าไม่ใช่คนไทยหรือมีความเก่ียวพันกับกลุ่มชาติพันธ์ุ ในประเทศเพื่อนบ้านจึงมักถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกดูถูกเหยียดหยามส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของกลุ่มชาติพันธ์ุ สถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะนี้เกิดขึ้นกับกลุ่มชาติพันธ์ุขนาดใหญ่ กลุ่มชาติพันธ์ุมอญ กล่มุ ชาติพนั ธ์ไุ ทยใหญร่ วมไปถงึ กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์มลายู เป็นต้น ส ถ า น ก าร ณ์ ก า ร ล ะ เมิ ด สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น ใน ร ะ ดั บ น้ี อ า จ ไม่ ป ร า ก ฏ เป็ น รู ป ธ ร ร ม ค ว า ม รุ น แ ร ง เช่นเดียวกับกรณีของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับแรก หากแต่ในระยะยาวการสร้างผลกระทบต่อความรู้สึก จะเป็นปัญหาที่นาไปสู่การสร้างความรู้สึกแปลกแยกไม่ได้รับความเป็นธรรม เกิดความรู้สึกเหล่ือมล้าและอาจ นาไปสปู่ ญั หาความขดั แยง้ ทรี่ ุนแรงและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ประเด็นข้อสังเกตที่มีต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับน้ีเกิดข้ึนจากแนวนโยบายของรัฐไทย ในความพยายามผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของชนเผา่ พ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ โดยละเลยท่ีจะทาความเข้าใจ ต่อพัฒนาการทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์โดยไม่เห็นความสาคัญและเข้าใจมิติของ ความหลากหลายในสังคมพหุวัฒนธรรมส่งผลต่อการกาหนดแนวนโยบายท่ีเป็นการละเมิดต่อสิทธิทางวัฒนธรรม ของชนเผา่ พื้นเมืองและกล่มุ ชาติพนั ธุ์ ระดับท่ีสาม เป็นสถานการณ์เชิงวัฒนธรรมของชนเผ่าพ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพันธ์ุในประเทศไทย ท่ีปัจจุบันหลายกลุ่มกาลังเผชิญกับสถานการณ์ปัญหาการสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม เช่น การสูญเสีย อัตลักษณ์ทางภาษาและภูมิปัญญาซ่ึงแมจ้ ะดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชนเผ่าพื้นเมอื งและกลุ่มชาติพันธุ์ แต่หากพิจารณาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในฐานะที่เป็น “ทุนทางวัฒนธรรม” การสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม เช่น ภาษาและภูมปิ ัญญาของกลุ่มชาติพันธ์ุเปรียบเสมือนการสูญเสียความสามารถในการจัดการตนเองของชนเผ่า พื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ในแง่น้ีจึงทาให้ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกส่งผลให้ชนเผ่าพ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ จานวนหนึง่ กลายเป็นคนจนเมืองทถ่ี ูกละเมิดสทิ ธมิ นุษยชนในมติ ิตา่ ง ๆ อย่างไรก็ดีมีประเด็นที่น่าสนใจว่าสถานการณ์เชิงวัฒ นธรรมในระดับน้ีมักเกิด ข้ึนกับชนเผ่า พ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ที่สามารถผสมกลมกลืนเป็นส่วนหน่ึงของรัฐไทยได้ เช่น กลุ่มไทดา ไทล้ือ ภูไท เป็นต้น แต่ท้ังนี้ก็มีข้อสังเกตว่าในปัจจุบันชนเผ่าพื้นเมืองกลุ่มน้ีในชุมชนท้องถ่ินหลายพ้ืนที่ต่าง ๆ หันกลับมารื้อฟ้ืน อตั ลักษณ์ทางวฒั นธรรมของตนเองซึ่งเป็นผลมาจากแนวคิดเร่ือง “สิทธิชุมชมุ ชนท้องถ่ิน” ที่รฐั พยายามสง่ เสรมิ ให้
๑๘๖ เกิดการฟ้ืนฟูอัตลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์เพ่ือใช้เป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมในการส่งเสริม การท่ องเที่ยว ห ากแต่มี ประเด็น ข้อสังเกตว่ากระแสการรื้อฟื้ น วัฒ น ธรรมแล ะภู มิปั ญ ญ า ท้ องถิ่น เพื่ อส่งเสริม การท่องเท่ียวนั้นก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชนเผ่าพ้ืนเมืองหรือกลุ่มชาติพันธุ์หรือไม่ หรืออาจจะเป็นการละเมิดสิทธิ มนุษยชนอีกรูปแบบหนึ่งท่ีแม้ไม่แสดงออกอย่างตรงไปตรงในการละเมิดสิทธิมนุษยชนแต่การจัดกิจกรรมส่งเสริม การท่องเท่ียวโดยปราศจากความเข้าใจในวฒั นธรรมของชนเผ่าพนื้ เมืองและกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุก็อาจเป็นการละเมิดสทิ ธิ ทางวฒั นธรรมอันเป็นสิทธิขน้ั พนื้ ฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน
บทที่ ๔ แนวทางเสรมิ สร้างความคุม้ ครองทางกฎหมาย จากสถานการณ์ปัญหาขอชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพนั ธใ์ุ นประเทศไทยทาให้ทีผ่ ่านมารฐั บาลไทยได้มี แนวทางในการคุ้มครองชนเผ่าพ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพันธ์ุมาอย่างต่อเน่ือง หากแต่แนวนโยบายคุ้มครองกลุ่มชาติพันธ์ุ ของรัฐไทยน้ันเป็นการดาเนินการบนมโนทัศน์ของความม่ันคงเป็นหลัก ดังเห็นได้จากยุคเริ่มต้นของการคุ้มครอง กลุ่มชาติพันธ์ุและชนเผ่าพื้นเมืองที่รัฐไทยเริ่มให้ความสนใจกลุ่มชาติพันธ์ุในบรบิ ทของสถานการณ์ภัยคอมมิวนิสต์ ในช่วงทศวรรษ ๒๔๙๐ โดยนิยามกลุ่มชาติพันธ์ุว่าเป็นชาวเขา และเร่ิมมีแผนการพัฒนาชาวเขาขึ้นเป็นคร้ังแรก ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เน่ืองจากได้พิจารณาเห็นว่ า ชนเผ่าต่าง ๆ ซ่ึงอาศัยอยู่ตามป่าเขาอันห่างไกลบ้านและการคมนาคมยังขาดความเจริญในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างมาก จงึ ไดป้ ระกาศแตง่ ตั้งคณะกรรมการสงเคราะหป์ ระชาชนไกลคมนาคมข้ึน กระท่ังในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ จงึ มีมติคณะรัฐมนตรีเม่ือวันท่ี ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๒ เห็นชอบให้เปลี่ยนช่ือ คณะกรรมการสงเคราะห์ประชาชนไกลคมนาคม เป็น “คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา” โดยมีหน้าท่ีในการ กาหนดนโยบาย พิจารณาและอนุมัติโครงการต่าง ๆ ตลอดจนให้ความเห็นชอบในการดาเนินการใด ๆ ของหน่วยงานราชการและองคก์ รต่าง ๆ ท่เี กี่ยวกบั ชาวเขา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้มีการจัดต้ังนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาข้ึนที่ดอยมูเซอจังหวัดตากและดอย เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่เพื่อทดลองจัดหาพ้ืนที่เหมาะสมให้ชาวเขาท่ีอยู่กระจัดกระจายเข้ามาอยู่รวมกันแล้ว ให้การสงเคราะห์ด้านอาชีพ การศึกษา อนามัย และสร้างความเจริญแก่ชุมชนเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ชาวเขานอกเขต นิคม ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๖ - ๒๕๐๙ นโยบายการดาเนินการเน้นในลักษณะการสารวจข้อมูล ด้านเศรษฐกิจและสังคมเพื่อเตรียมวางแผนสงเคราะห์ในข้ันต่อไป ทั้งน้ีมีผลการวิจัยจากกรมประชาสงเคราะห์ ร่วมกับกองกากับการตารวจตระเวนชายแดนได้นาเสนอให้เห็นว่ารูปแบบของนิคมสร้างตนเ องซึ่งเป็นการรวม ชาวเขาหลาย ๆ เผ่าเข้ามาอยู่ในพืน้ ทีเ่ ดียวกันนน้ั ไมส่ นองตอบตอ่ ระบบชีวติ ของชาวเขาจงึ ไดม้ ีการแสวงหาแนวทาง เพ่ือพัฒนาและปรับปรุงให้ดีข้ึน และในปี พ.ศ.๒๕๐๗ ได้เร่ิมมีการตั้งศูนย์วิจัยชาวเขาข้ึนที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเจ้าหน้าท่ีและการจัดสรรงบประมาณดาเนินงานให้ศูนย์ดังกล่าวทาหน้าท่ีค้นคว้าวิจัยเก่ียวกับชาวไทยภูเขา เผา่ ตา่ ง ๆ และนาผลมาใช้ในการวางนโยบายใหด้ ขี ้นึ โดยเน้นการวจิ ัยชาวเขาเผา่ สาคญั ๖ เผา่ คือ แมว้ , เยา้ , มูเซอ, ลีซอ, อกี ้อ และกะเหรี่ยงในพืน้ ทีภ่ าคเหนือ กระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๐ สมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร จึงได้มีแผนงานโครงการพัฒนาและ สงเคราะห์ชาวเขาระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๑๐ - ๒๕๑๔) ซึ่งเป็นเอกสารฉบับแรกที่ระบุวัตถุประสงค์และแผนการ ดาเนินงานไว้ชดั เจน และสอดคล้องกบั แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติฉบบั ที่ ๒ นโยบายท่ีรัฐประกาศใช้แสดงให้เห็นถึงเจตนาของรัฐในการพัฒนาชาวเขามุ่งเน้นที่ความม่ันคงทางการเมือง ของชาติมากกว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจ และในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง สถานการณ์การเมือง ระหว่างประเทศเปล่ียนไป สหรัฐอเมริกาซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่ไทยก็ได้เปลี่ยนลักษณะ ความชว่ ยเหลือมาเน้นดา้ นการปราบปรามยาเสพติดมากขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ไดม้ ีการตั้งสานักงานคณะกรรมการ ปอ้ งกนั และปราบปรามยาเสพติดเพ่อื เปน็ หน่วยงานกลางในการควบคมุ ยาเสพตดิ ซ่ึงแสดงให้เห็นถึงปัญหายาเสพติด
๑๘๘ ท่ีเพิ่มข้ึนแต่นโยบายพัฒนาชาวเขาของรัฐก็ยังให้ความสาคัญต่อความม่ันคงปลอดภัยอยู่ดังจะเ ห็นได้จากในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ รัฐได้มีการกาหนดแนวนโยบายรวมพวก (Integration Policy) เพ่ือให้ชาวเขาเป็นพลเมืองไทย ท่มี ีคุณภาพสามารถช่วยเหลอื ตนเองได้, มีการเรง่ รัดจัดทาทะเบียนชาวเขา, การลดอัตราการเพิ่มประชากรชาวเขา เร่งการวางแผนครอบครัวให้ได้ผลอย่างแพร่หลาย, มีการแตง่ ต้ังคณะกรรมการรับผิดชอบนโยบายเก่ียวกับชาวเขา ในทุกกรณีท้ังในระดับชาติและระดับจังหวัดโดยกาหนดการดาเนินงานในลักษณะเขตพ้ืนท่ีการพัฒนา (Zone Development) ท่ีแนน่ อนขนึ้ อย่างก็ดีในช่วงทศวรรษท่ี ๒๕๓๐ แนวทางการพัฒนาชาวเขาของรัฐไทยได้เปล่ียนไปอีกครั้ง โดยให้ ความสาคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุมากข้ึน โดยคณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ กาหนดนโยบายการพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชาวเขาได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย ราษฎรไทย และกลุ่มชนอ่ืน ที่อยู่บนพื้นท่ีสูง มีความเป็นอยู่อย่างมีระเบียบได้รับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ในระดับท่ีพอเพียงแก่ความจาเป็นในการดารงชีวิตเพื่อเตรียมความพร้อมสาหรับเข้าสู่ระบบการปกครอง และการ พัฒนาปกติต่อไป แนวทางการคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุและชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงเชิงมโนทัศน์ ที่สาคัญอีกครั้งในช่วงทศวรรษที่ ๒๕๕๐ หลังจากมีปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งเป็น จุดเปล่ียนเชิงนโยบ ายของรัฐไทยในท่ีมุ่งใช้มิติวัฒ นธรรมเป็นแนวทา งในการแก้ไขปัญ หากลุ่มชาติพันธุ์เพื่ อให้ สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาบนฐานของสังคมพหุวัฒนธรรม ดังนั้น เพื่อให้เห็นแนวทางการคุ้มครอง ทางกฎหมายของกลมุ่ ชาตพิ นั ธลุ์ ะชนเผา่ พน้ื เมืองในประเทศไทย จงึ ของนาเสนอรายละเอยี ดตามลาดับดงั นี้ ๔.๑ มติคณะรัฐมนตรี วันท่ี ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ เร่ืองแนวทางการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล และ มติคณะรัฐมนตรี วันท่ี ๓ สงิ หาคม ๒๕๕๓ เรื่องแนวทางการฟ้ืนฟวู ิถชี ีวติ ชาวกะเหรี่ยง จดั เป็นมตคิ ณะรัฐมนตรี ทเี่ อ้ือต่อการส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง/กลุ่มชาตพิ ันธุ์ที่สามารถนามาเป็นแนวทางการยกร่าง กฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตตามประเพณีของชนเผ่าพ้ืนเมือง/กลุ่มชาติพันธ์ุได้ดี โดยเฉพาะ การนาเสนอความคิดเรื่อง “เขตพื้นท่ีวัฒนธรรมพิเศษ” และการส่งเสริมและยอมรับระบบไร่หมุนเวียนซ่ึงเป็นวิถี วฒั นธรรมของชาวกะเหรี่ยงทเ่ี ออื้ ตอ่ การใชท้ รพั ยากรอย่างยั่งยืนและวิถชี ีวติ พอเพยี ง ทั้งนี้ ประเด็นที่น่าสนใจคือมติคณะรัฐมนตรี ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ และ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ เป็นความพยายามของรัฐไทยในการพัฒนาแนวทางคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุโดยใช้มิติทางวัฒนธรรม และ เลือกกลุ่มชาติพันธุ์นาร่อง ๒ กลุ่มเป็นต้นแบบในการใช้มิติวัฒนธรรมเป็นแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครอง วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ คือ กลุ่มชาติพันธ์ุกะเหร่ียง และกลุ่มชาติพันธ์ชาวเล เน่ืองจากพิจารณาเห็นว่ากลุ่มชาติพันธ์ุ ท้ัง ๒ กลุ่ม มีความเปราะบางท้ังในเชิงวัฒนธรรมท่ีสุ่มเสียงต่อการสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันจะนาไปสู่ การสูญเสียศักยภาพในการพ่ึงพาตนเองของกลุ่มชาติพันธ์ุ และมีความเปราะบางในเชิงที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทากิน เพ่ือการได้รับผลกรทบจากแนวนโยบายพื้นที่อนุรักษ์และการพัฒนาของรัฐไทยโดยเฉพาะกรณีของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงท่ีได้รับผลกระทบจากนโยบายการอนุรักษ์พื้นที่ป่าซ่ึงส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตด้ังเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ กะเหร่ียงท่ีดารงวิถีชีวิตด้วยวิถีภูมิปัญญาการทาไร่หมุนเวียนขณะท่ีกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลต้องได้รับผลกระทบจาก นโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ทาให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลต่อสูญเสียท่ีอยู่อาศัยและเสียศักยภาพในการพัฒนา ตนเอง
๑๘๙ ๔.๒ การจดั ทาพระราชบัญญตั สิ ่งเสริมและอนุรกั ษว์ ิถีชวี ติ กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ การจัดทาพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุอยู่ในประกาศแผนปฏิรูป ประเทศด้านสังคมเรื่องและประเด็นปฏิรูปท่ี ๔: ระบบสรา้ งเสรมิ ชุมชนเข้มแข็ง กิจกรรมท่ี ๔ ส่งเสริมและให้ความ คุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๖๐ มาตรา ๗๐ และดาเนินการ ให้เป็นรูปธรรม ขั้นตอนท่ี ๒ จัดทาพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุ พ.ศ.... ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๗๐ ผู้รับผิดชอบหน่วยงานหลักกระทรวงวัฒนธรรม (ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร) เป้าหมายชาวไทยกลมุ่ ชาติพันธ์ตุ ่าง ๆ ได้รับการคุ้มครองและมีสิทธิดารงชีวติ ในสังคมตามวัฒนธรรมประเพณีและ วิถีชีวิตดั่งเดิมตามความสมัครใจ ตัวชี้วัด มีกฎหมายว่าด้วยส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ ภายในปี ๒๕๖๕ สาหรับท่ีมาในการผลักดันให้มีการจัดทาพระราชบัญญัติส่งเสริมฯ อยู่ในประกาศแผนปฏิรูป ประเทศมาจากกระบวนการผลักดันของเครอื ขา่ ยกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและกะเหรีย่ งทีต่ อ้ งการยกระดับแนวนโยบาย ฟ้ืนฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลตามมติคณะรัฐมนตรี ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ และแนวนโยบายฟ้ืนฟูวิถีชีวิต ชาวกะเหร่ียง ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ ข้ึนเป็นพระราชบัญญัติซ่ึงมีความพยายามในการผลักดันต้ังแต่ปี ๒๕๕๙ โดยเสนอเป็นพระราชบัญญัติพ้ืนท่ีคุ้มครองวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธ์ุ ซ่ึงมีสาระสาคัญให้รัฐคุ้มครองสิทธิของ กลุ่มชาติพันธ์ุโดยจัดทาเป็นพื้นท่ีคุ้มครองทางวัฒนธรรมแต่เม่ือมีการประชุมเพ่ือรับฟังความคิดเห็นจึงปรับชื่อเป็น พระราชบัญญัติส่งเสริมฯ โดยยงั คงบรรจุสาระสาคัญเกีย่ วกับพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรมไว้ ทั้งนี้ การเสนอให้กระทรวงวัฒนธรรมโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (ศมส.) เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทา พระราชบัญญัติส่งเสริมฯ เครือข่ายกลุ่มชาติพันธ์ุได้เสนอจากเง่ือนไขสาคัญ ๒ ประการ คอื ประการแรก กระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้เสนอแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล และกะเหรี่ยงตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ โดยมี ศมส. ทาหน้าท่ีเป็นเลขานุการในคณะกรรมการอานวยการฟื้นฟูวิถีชีวิต กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและกะเหรี่ยง และในคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของ กลุ่มชาติพันธหุ์ ลายคณะ ประการท่ีสอง ศมส. มีฐานะเป็นหน่วยงานวิชาการที่ทางานด้านชาติพันธุ์โดยตรงมีข้อมูลและ ประสบการณ์การทางานกับเครอื ข่ายชาติพันธุ์ ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ในการจดั ทาพระราชบัญญตั ิส่งเสริมและอนุรกั ษ์ วถิ ีชีวิตกลุ่มชาติพันธใุ์ นแงข่ องการสรา้ งกระบวนการมสี ว่ นร่วม การจัดทา พ.ร.บ. ส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์เป็นแนวคิดที่ก้าวหน้าอย่างย่ิงของ รัฐบาลชุดปัจจุบันที่ให้ความสาคัญการคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธ์ุให้ได้รับสิทธิในฐานะพลเมืองของชาติ และการส่งเสริมความหลากหลายในบริบทสังคมพหุวัฒนธรรม ท้ังน้ี เม่ือพิจารณาถึงความสาคัญเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุมีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ และแนวนโนบายที่สาคัญของรัฐบาลใน ๓ ประการ ดังนี้ ประการแรก การจัดทาพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุ สอดคล้องกับ แนวนโยบายแห่งรัฐท่ีระบุไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๗๐ รัฐพึงส่งเสริมและให้ ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธตุ์ ่าง ๆ ให้มีสิทธิดารงชวี ิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวถิ ีชีวิตด้ังเดิม ตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ทั้งน้ีเท่าท่ีไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี
๑๙๐ ของประชาชนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐหรือสุขอนามัย ดังนั้น การจัดทาพระราชบัญญัติฉบับนี้ จึงมีความสาคัญและถือเป็นแนวนโยบายแห่งรัฐท่ีรัฐบาลจะต้องเร่งรัดให้มีการตรากฎหมายว่ าด้วยการส่งเสริม และอนุรักษ์วถิ ชี ีวติ กลุม่ ชาตพิ นั ธุ์ เพื่อคมุ้ ครองสิทธทิ างวฒั นธรรมของชาวไทยกลุม่ ชาติพนั ธุต์ ามรฐั ธรรมนูญ ประการทส่ี อง ความสาคัญของพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษว์ ิถีชวี ิตกลุ่มชาติพันธุ์สอดคล้อง กับยุทธศาสตร์ชาติทั้งในยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงที่ให้ความสาคัญกับการสร้างกลไกภาคประชาชนในการเสริม ความม่ันคงของชาติการมีพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุถือเป็นกลไกหนึ่งเพราะเป็นอยู่ ในแผนสรา้ งเสริมชุมชนเข้มแข็งท่ีจะเป็นรากฐานให้เกิดความมั่นคงของรฐั ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ ดา้ นการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคมโดยมีประเด็นในการสรา้ งความเข้มแขง็ ของสถาบัน ทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรมและความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งการจัดทาพระราชบัญญัติสง่ เสรมิ และอนุรักษ์วิถีชีวิต กลุ่มชาติพันธุ์ถือเป็นกลไกท่ีสาคัญในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนกลุ่มชาติพันธ์ุให้มีความเสมอภาคและ เท่าเทยี ม ประการสุดท้าย จากความสาคัญท้ังสองประการข้างต้นของการจัดทาพระราชบัญญัติส่งเสริมและ อนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ให้ความสาคัญกับวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์โดยกาหนดเป็นนโยบาย หลัก ๑๒ ด้าน ในด้านที่ ๓ การทานุบารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๓.๔ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน ยอมรับและเคารพในประเพณี วัฒนธรรมของ กลุ่มชาติพันธ์ุ และชาวต่างชาติท่ีมีความหลากหลายในลักษณะพหุสังคมที่อยู่ร่วมกันโดยสนับสนุนการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศควบคู่กับการส่งเสริม สร้างสรรค์งานศิลปวัฒนธรรมที่เป็นสากล เพ่ือการเป็นส่วนหน่ึงของ ประชาคมโลก และในด้านที่ ๗ การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานรากท่ีให้ความสาคัญกับการสร้างฐาน เครอื ข่ายชมุ ชนเขม้ แข็ง ท้ังนี้ รูปธรรมท่ีชัดเจนว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันให้ความสาคัญกับพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์ วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์คือการกาหนดให้พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นร่างกฎหมายท่ีสาคัญที่คณะรัฐมนตรีจะตราข้ึน เพื่อดาเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ หมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ โดยระบุไว้ใน ภาคผนวก ข ของเอกสารคาแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒ อย่างไรก็ดีในปัจจบุ ันศูนยม์ านุษยวิทยาสิรินธรได้ยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิต กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ โดยประกอบดว้ ย ๖ องคป์ ระกอบ (รายละเอยี ดดทู ภ่ี าคผนวก ข ) ไดแ้ ก่ - หมวด ๑ บทท่ัวไป ประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ (๑) ขอบเขตและความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์ (๒) สทิ ธขิ องชาวกลมุ่ ชาติพันธ์ุ (๓) หนา้ ทีข่ องรัฐในการคุ้มครองสทิ ธขิ องกลุ่มชาติพันธุ์ - หมวดที่ ๒ การสง่ เสรมิ และอนรุ ักษ์วถิ ีชวี ติ กลุ่มชาติพนั ธ์ุ ประกอบด้วย ๔ สว่ น คือ (๑) การจัดทา ข้อมูลและบันทึกประวัติศาสตร์ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ (๒) การกาหนดเขตพื้นท่ีคุ้มครองสิทธิในวิถีชีวิตของกลุ่ม ชาติพันธ์ุ (๓) การคุ้มครองสิทธทิ างวัฒนธรรม ประเพณี และภมู ิปัญญาในวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพนั ธ์ุ (๔) การจัดทา ธรรมนูญของพ้นื ทคี่ ุ้มครองสทิ ธใิ นวถิ ีชวี ิตของกลมุ่ ชาติพนั ธุ์ - หมวด ๓ คณะกรรมการส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และสมัชชาพัฒนาวิถีชีวิต กลุ่มชาติพันธุ์ - หมวด ๔ การเพกิ ถอนพน้ื ทีท่ บั ซอ้ นพื้นทีส่ ่งเสริมและอนุรักษ์วถิ ีชีวิตกล่มุ ชาติพนั ธ์ุ
๑๙๑ - หมวด ๕ กองทุนสง่ เสริมและอนุรกั ษว์ ิถชี วี ิตกลุม่ ชาติพนั ธ์ุ - หมวด ๖บทลงโทษ ๔.๓ แนวทางเสริมสร้างกฎหมายส่งเสริมและค้มุ ครองชนเผ่าพ้นื เมอื ง/กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย นายกิตติศักดิ์ รัตนกระจ่างศรี ประธานสภาชนเผ่าพ้ืนเมืองแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงกลไก ทางานท่ีเหมาะสมกับสภาพปัญหาของชนเผ่าพ้ืนเมืองที่เป็นกลไกความร่วมมือของภาครัฐกับกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง นั่นคือนโยบายรัฐบาลเพื่อเสริมสร้างความเท่าเทียมกัน และการเข้าถึงสวัสดิการ และกลุ่มชนเผ่าพ้ืนเมืองในนาม ภาคประชาชนมีเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองต่าง ๆ ความร่วมมือนี้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และหากกระทา สาเร็จกจ็ ะออกมาเปน็ กฎหมายชดุ ต่าง ๆ แนวทางทอี่ อกมาประกอบไปดว้ ยความพยายามในสองประการ ประการแรก การร่างเน้ือหาให้สอดคล้องกันกับท้ังวิถีชีวิต วัฒนธรรม สภาพปัญหาของชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง และพันธกรณี ระหว่างประเทศท่ีได้ลงนามไว้ (UNDRIP, ICERD, ILO ๑๖๙, ICCPR, ICESCR และอื่น ๆ) ทั้งน้ี ต้องเน้นย้า ความคล่องตัวและประสิทธิภาพของการปฏิบัติใช้กฎหมายดังกล่าว และส่วนร่วมของหลายภาคส่วนในการมีส่วนร่วม ในกระบวนการบัญญัติกฎหมาย อีกประการหน่ึงอยู่ในเชิงการสร้างความเหนียวแน่นของเครือข่าย หรือขบวนการ ภาคประชาชนโดยได้เสนอความเป็นไปได้ของการผนวกรวมร่างพระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองเข้ากับร่าง พระราชบญั ญตั ิส่งเสรมิ และอนรุ ักษ์กลมุ่ ชาติพันธ์ุใหเ้ ปน็ กฎหมายฉบบั เดียวกนั นายยงยุทธ สืบทายาท อดีตเลขานุการคณะยกร่างพระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพ้ืนเมือง แห่งประเทศไทยได้อภิปรายถึงร่างพระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยโดยขอความร่วมมือจาก ศูนย์มานุษวิทยาสิรินธรในกระบวนการร่างกฎหมายอันประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทั้งในทางกฎหมาย การเมือง สังคมวิทยาในส่วนของร่างในหมวดที่ ๒ ได้เสนอให้หน้าท่ีและอานาจของสภาชนเผ่าพื้นเมืองฯ คือการส่งเสริม การแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม ประสานและแลกเปล่ียนองค์ความรู้ในเครือข่าย ชนเผ่าพื้นเมืองหรือกับหน่วยงานในรัฐอื่น ๆ โดยในอนาคตให้มีการร่างกฎหมายท่ีเจาะจงในประเด็นการคุ้มครอง วัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองเป็นการเฉพาะ นอกจากน้ียังเสนอประเด็นของการมีตาแหน่งผู้อาวุโสในสภาเพื่อให้ เปน็ ไปตามประเพณดี ง้ั เดิม และให้มกี องทนุ ช่วยเหลอื เป็นการเฉพาะ ดร. ประเสริฐ ตระการศุภกร นายกสมาคมปกาเกอะญอเพื่อการพัฒนาอย่างย่ังยืนได้อภิปรายว่า ปัญหาการไม่ได้เข้าถึงสิทธิของชนเผ่าพ้ืนเมืองมาจากระบบกฎหมายไทยท่ีไม่รองรับสิทธิในเขตป่าเสนอให้กฎหมาย ต้องเน้นสิทธิที่คุ้มครองวัฒนธรรม จารีตประเพณี ดังเช่นกรณีของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีในปี ๒๕๕๓ เป็นจุดต้ังต้นท่ีดีที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการออกจากกรอบกฎหมายเดิมที่จากัดสิทธิไว้ จากนั้น ได้กล่าวถึงประเด็นพหุนิยมที่ควรปกป้องโดยกฎหมาย และประเด็นการทาไร่หมุนเวียนท่ีเป็นวิถีชีวิตชาวบ้านท่ีรัฐ ไทยไม่เข้าใจจึงออกกฎหมายท่ีห้ามการเกษตรในรูปแบบดังกล่าวประเด็นกรณีศึกษาการประกาศพื้นท่ีวัฒนธรรม พเิ ศษ คล้ายเขตสงวนของชนเผ่าพ้ืนเมืองในแคนาดาที่ให้สิทธิในการจัดการทรัพยากรในพ้ืนที่ ดังนั้นหากนามาเป็น แบบอยา่ งก็จะออกมาเปน็ กฎหมายที่คุ้มครองมาก นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้อภิปรายถึงเป้าประสงค์ของกฎหมาย ท่ีเก่ียวข้องกับกลุ่มชาติพันธ์ุว่าเป็นการดูแลเพ่ิมเติมจากบุคคลท่ัวไปจากเหตุของความด้อยโอกาสผ่านการให้สิทธิ และการคุ้มครองพิเศษในประเด็นที่ชนเผ่าพ้ืนเมืองต้องการ ดังน้ันร่างกฎหมายเก่ียวข้องกับกลุ่มชาติพันธ์ุต้องมี หลักการประกอบในการยกรา่ ง ๙ ประเด็น คอื ๑) รฐั ธรรมนญู ในฐานะกฎหมายสงู สุดทไี่ ด้วางหลกั ให้รฐั มีหน้าทีค่ มุ้ ครองกลมุ่ ชาติพันธ์ุ
๑๙๒ ๒) ยดึ หลกั การตามรัฐธรรมนูญฉบบั ปี ๒๕๔๐, ๒๕๕๐ และ ๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๓) หลักการตาม ICERD ใหก้ ฎหมายดงั กลา่ วเป็นการอนวุ ัตติ ามอนสุ ญั ญานี้ ๔) วางหลกั ให้นาอคตอิ อกไปผ่านการนาคาวา่ พหชุ าตพิ นั ธุ์ พหวุ ัฒนธรรม บญั ญตั ไิ วใ้ นร่างกฎหมาย ๕) หลักการทรี่ ับรองตวั ตนและคุ้มครองสิทธิ ๖) หลกั การตาม ๒ มตคิ ณะรฐั มนตรีในปี ๒๕๕๓ ๗) หลกั การท่ีสืบเนอ่ื งจากคาพพิ ากษาของศาล ๘) มีกลไกสองระดับ คือ กลไกลท่ีมีอานาจบังคับในระดับชาติ และกลไกในระดับท้องถิ่นเชิงปฏิบัติ ใช้นโยบายและ ๙) หลกั ใหก้ ฎหมายชดุ ดังกลา่ วมีลกั ษณะเชิงบงั คับคอื การระบถุ ึงโทษในทางอาญา นายไพสิฐ พาณิชย์กุล นักวิชาการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้อภิปรายว่าจะนา หลักการตามท่ีคุณสุรพงษ์ร่างลงเป็นกฎหมายได้อย่างไรน้ัน จึงเสนอแนวทางการเข้าชื่อ ๑๐,๐๐๐ คนจะเป็น หนทางท่ีดีเพราะใช้เครอื ข่ายต่าง ๆ กดดันรฐั บาลได้ แนวทางการผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒๐ คน กจ็ ะทาให้ ผ่านความเห็นชอบในสภาผู้แทนราษฎรและเข้าสู่กระบวนการทางการเมืองแต่แนวทางการนาเสนอร่างกฎหมาย โดยรัฐบาลมีความสาคัญที่สุดในเชิงเน้ือหาน้ันนอกจากหลักการ ๙ ข้อที่คุณสุรพงษ์เสนอยังคงต้องมีองค์กร ที่ขับเคล่ือน ดูแล คุ้มครอง ส่งเสริม เพ่ือนาไปสู่การส่งเสริมการจัดการตนเองเพ่ือให้เกิดการกระจายอานาจ การปกครอง ดังนนั้ จงึ เสนอใหใ้ ชก้ ฎหมายทส่ี ื่อในทางวา่ เปน็ การเปดิ โอกาสใหช้ นเผ่าพนื้ เมืองช่วยเหลือตัวเอง ดร.นฤมล หิญชีระนันทน์ อรุโณทัย ผู้อาวุโสสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยได้อภิปรายถึง ปัญหาของวัฒนธรรมระบบราชการท่ีไม่เปิดโอกาสให้มีหลากหลายความเห็นจึงไม่เปิดรับความต่างกันของจารีต ประเพณีและเสนอให้ชาวบ้านร่วมกันนิยามคาว่าชาติพันธ์ุความเป็นชุมชนของตน และเน้ือหาอ่ืน ๆ ในร่าง กฎหมาย อีกประเด็นคือ ปัญหาการส่ือสารกับหน่วยงานด้านความมั่นคงโดยเฉพาะจากคานิยามเร่ืองเขต วัฒนธรรมพิเศษจึงเสนอให้หาคาอ่ืน ๆ แทน และคงต้องมีมาตรการอื่น ๆ ประกอบกันกับการยกร่างกฎหมาย ในการปกปอ้ งสิทธิฯ ทง้ั เร่ืองกฎหมายลกู ระเบียบ คาส่งั และรวมไปถงึ มาตรการการปฏบิ ัติใชจ้ รงิ ๔.๔ การระดมแผนการขับเคลือ่ นงานสง่ เสรมิ และค้มุ ครองสิทธชิ นเผา่ พนื้ เมือง/กล่มุ ชาตพิ ันธุ์ กลุ่ม ๑ : คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการลอบประทุษร้ายประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ผลจากการระดมแผนขับเคลื่อนงานส่งเสริมและคุ้มครอง สิทธชิ นเผ่าพืน้ เมอื ง/กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ได้ข้อสรุปดังน้ี: ๑. เขตคุ้มครองทางวัฒนธรรม ให้หน่วยงานที่เก่ียวข้องสนับสนุนและผลักดันให้เกิด ประสทิ ธิผล ๒. มีกลไกทางการที่มีพ้ืนที่ชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ในทุกมิติทั้งการพัฒนา แก้ไข การเฝ้าระวัง และปอ้ งกัน และครอบคลมุ ในระดับพ้ืนทยี่ อ่ ยไปถงึ ใหญ่ ๓. การเสริมศักยภาพแกนนาในระดับพ้ืนท่ี สารวจข้อมูล การเผยแพร่ส่ือสาร และการ หนุนเสริมจากรัฐ ๔. เข้าถึงสาธารณปู โภคพ้นื ฐานของพืน้ ทก่ี ลุม่ ชาตพิ ันธุ์ในป่าอนรุ ักษ์ ๕. กฎหมาย ประชาสัมพนั ธ์รณรงคต์ อ่ เนอื่ งไปยงั พ่ีน้องกลุ่มชาติพันธ์ุ และต้องไมต่ กหล่น ด้านต่าง ๆ ทั้งการมีส่วนร่วม เยาวชน และอ่นื ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง ดว้ ยการอ้างอิงขอ้ มูลในระดบั ตา่ ง ๆ
๑๙๓ กลุ่ม ๒ : กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ผลจากการระดมแผนขับเคล่ือนงาน สง่ เสริมและคุ้มครองสิทธชิ นเผา่ พ้นื เมอื ง/กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ได้ข้อสรุปดงั นี้ : เรื่องสัญชาติ มกี ารคุม้ ครองชนเผา่ พน้ื เมืองอยา่ งไรได้บ้าง ๑. อานวยความสะดวกใหก้ ลุ่มชาวเขาผไู้ มส่ ามารถเขา้ ถึงสทิ ธิ ๒. การติดตามคดีกรณีพิพาทภาครฐั มีชอ่ งทางรอ้ งทุกข์เพ่ือตดิ ตามคดีให้ไดโ้ ดยสง่ เร่ืองต่อ ให้หนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวข้องแจ้งผล ๓. ล่ามภาษาชนเผ่าพ้ืนเมืองเมื่อชนเผ่าพ้ืนเมืองเข้าสู่กระบวนการศาลมักมีปัญหา การสอื่ สาร จึงเสนอสภาชนเผ่าพน้ื เมืองฯ กาหนดออกแบบลา่ มภาษาใหเ้ กดิ การทางานร่วมกัน ๔. การส่งเสริมอาสาสมัครกลุ่มชาติพันธ์ุโดยเฉพาะ อบรม สร้างศักยภาพการทางาน สง่ เสริม คมุ้ ครองสิทธิ การทางานรว่ มกันกบั กรมคมุ้ ครองสิทธแิ ละเสรภี าพ ข้อเสนอของกลมุ่ : อยากให้มีงานวิจัยสิทธิกลุ่มชาติพันธ์ุ สร้างกลไก (ศูนย์ยุติธรรมชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง) ให้ทางาน มีประสิทธิภาพ ทาอย่างไรนาไปสู่นโยบาย โดยกาหนดให้อยู่ในแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการท่ีจะมา เป็นอนุกรรมการกระทรวงยุติธรรม โดยกลุ่มชาติพันธุ์เข้าไปมีส่วนร่วมให้นักวิชาการที่มีองค์ความรู้เข้ามาเป็น อนุกรรมการร่วม นักปกป้องสิทธิมนุษยชนให้มีหลักเกณฑ์คุ้มครองความเสี่ยง นักปกป้องสิทธิมนุษยชนอยากให้มี กฎหมายคุ้มครอง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองชนเผ่าพื้นเมืองอยากให้มีการเสริมหนุนร่างกฎหมาย เลือกปฏบิ ตั เิ ข้าไปครอบคลมุ หลักการสทิ ธิมนษุ ยชน และ FPIC, UNDRIP รวมถงึ บทลงโทษท่ชี ดั เจน กลุ่ม ๓ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ผลจากการระดมแผนขับเคลื่อนงาน สง่ เสริมและค้มุ ครองสทิ ธชิ นเผา่ พน้ื เมอื ง/กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ ได้ข้อสรปุ ดังนี้: ข้อเสนอตอ่ แผนงานและบทบาทศูนยม์ านษุ ยวทิ ยาสิรินธรในการดาเนนิ การดงั นี้ : ๑) การนิยามชาติพันธท์ุ ี่มีความชดั เจนเพ่ือให้มีวิชาการทช่ี ดั เจนด้วยกระบวนการมสี ว่ นรว่ ม ๒) ฐานข้อมลู กลุ่มชาติพนั ธ์ุ เกบ็ ข้อมูลในมิติต่าง ๆ ที่มีการเคลือ่ นไหวระดับ Big Data ๓) การทางานกับกลมุ่ เด็กและเยาวชน รวมถงึ สตรชี นเผ่าพ้ืนเมอื งให้มศี กั ยภาพมากข้ึน ๔) การพัฒนาหลักสูตรชาติพันธ์ุที่มีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรม เพื่อเป็น พ้ืนฐานสาคญั ต่อการตอ่ รากเหงา้ ๕) สง่ เสริมสนับสนุนการรวมกลุ่มชาติพันธ์ุ ๖) ติดตามสารวจสภาพปัญหาระดับพื้นท่ี โดยเสนอให้ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ ต้องส่งเสรมิ กระบวนการจัดทาร่าง พระราชบัญญัติ ให้กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ดร้ บั รแู้ ละมศี กั ยภาพต่อการเสนอแนะให้กฎหมายมีคณุ ต่อตนเอง กลุ่ม ๔: สภาชนเผ่าพ้ืนเมืองแห่งประเทศไทย ผลจากการระดมแผนขับเคลื่อนงานส่งเสริมและ คุ้มครองสิทธชิ นเผา่ พนื้ เมือง/กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ไดข้ อ้ สรปุ ดงั นี้ องค์กรท่ีจะมาส่งเสริมการขับเคลื่อนงานส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้ นเมือง / กลุ่มชาติพนั ธ์ุ จะตอ้ งประกอบดว้ ย ๑. กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นหน่วยสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ คมุ้ ครองนักปกป้องสทิ ธิฯ
๑๙๔ ๒. ศูนย์มานษุ ยวทิ ยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยวชิ าการด้านชาติพนั ธ์ุ และการ จัดทาแผนพฒั นาตา่ ง ๆ ขบั เคลอ่ื นใหถ้ ูกตอ้ ง ตรงกันในการสอื่ สาร ๓. คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นหน่วยเปิดประเด็นปัญหากลุ่มชาติพันธ์ุ โดยลงพน้ื ท่ีนาข้อมลู ที่เปน็ การศึกษาเข้าสกู่ ระบวนการนาเสนอตอ่ รฐั บาลให้พฒั นาเปน็ นโยบาย ๔. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นหน่วยจัดการด้านกลไกการคุ้มครองสิทธิฯ โดยมีคณะกรรมการค้มุ ครองสิทธมิ นุษยชนในระดับตา่ ง ๆ ๕. สภาชนเผ่าพ้ืนเมืองแห่งประเทศไทย เป็นกลไกและหน่วยข้อมูล ขับเคล่ือนผ่าน โครงสรา้ งกรรมการสภาฯ ๖. องค์กรอ่ืน ๆ ท่ีมีการสื่อสารเก่ียวกับชนเผ่าพื้นเมือง/กลุ่มชาติพันธ์ุ เป็นหน่วย ตรวจสอบข้อมลู และพจิ ารณาถงึ ความเปราะบางท่ีกระทบต่อกล่มุ ชาติพันธุ์ ๔.๕ ภาพรวมสถานการณ์ด้านสทิ ธมิ นษุ ยชนของชนเผ่าพ้ืนเมือง/กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ นายแกม อวงุ ชิ ชมิ เรย์ เลขาธกิ ารมูลนธิ เิ พื่อการประสานความร่วมมือของชนเผา่ พนื้ เมอื งเอเชยี ชนเผ่าพื้นเมืองในทวีปเอเชียมีอยู่ราว ๔๑๑ ล้านคน พบปัญหาการนิยามในกฎหมายในหลาย ประเทศ ส่วนใหญ่พยายามใช้ตามบริบทของตน ตัวอย่างกัมพูชา เรียกตามภาษากฎหมายว่า indigenous minority ญ่ีปุ่น เรียก Indigenous people มีเพียงชาวไอนุ การตีความเช่นน้ีมุ่งแสดงว่ากลุ่มคนพวกนี้แตกต่าง จากกลุ่มอ่ืน ๆ และให้ความยอมรับทางกฎหมายตามท่ีเขาเรียกร้องท่ีเป็นเช่นน้ีเป็นการเคารพตาม UNDRIP ในทวปี เอเชียสถานการณ์ของสิทธิชนเผา่ พนื้ เมืองมลี ักษณะคล้ายคลึงกันคือมีการเหยยี ดเช้ือชาติจากความแตกตา่ ง ทางวฒั นธรรมและความไม่เป็นอันหนง่ึ อันเดยี วกันกับชนกลุ่มใหญ่รวมถึงการยืนยนั อัตลกั ษณข์ องตนเอง และความ พยายามในการปกป้องสิทธิในที่ดนิ เขตแดน และทรัพยากร เป็นผลให้นักปกป้องสทิ ธมิ นษุ ยชนของชนเผา่ พื้นเมอื ง โดนลอบประทุษรา้ ยและฆาตกรรมสถานการณ์เชน่ นี้ก็เหมือนกนั กบั บรบิ ทของประเทศไทยด้วย มีกฎหมายในประเทศของทวีปเอเชีย และกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น UNDRIP ที่มุ่งศึกษาและ ปกป้องสิทธิของชนเผ่าพ้ืนเมืองในส่วนของ UNDRIP มุ่งปกป้อง ๑. การปกครองตนเอง ๒. การให้ฉันทานุมัติ โดยอสิ ระล่วงหน้าได้และรบั การบอกแจง้ ๓. กฎระเบียบ สถาบัน และจารีต ๔. ทด่ี ิน เขตแดน ทรพั ยากร ๕. การมี สัญชาติ ๖. การเข้าถึงการศึกษา ๗. การข้ามพรมแดน และยังมีเป้าหมายแห่งการพัฒนาที่ย่ังยืน (SDGs) และอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (The Convention on Biological Diversity - CBD) ทป่ี ระเทศไทยให้ความสนใจเปน็ อย่างมากท้งั สองให้ความสาคัญกบั การเป็นกรรมสิทธิ์ของท่ีดินของตนเอง กฎหมายที่เกี่ยวกับป่าไม้ มีกฎหมายป่าไม้ของอินเดีย คือ กฎหมายสิทธิในป่าไม้ (Forest Rights Act) ท่ีให้สิทธิชุมชนในการจัดการป่าไม้ที่ครอบคลุมท่ัวท้ังประเทศ เน้นย้าสิทธิ หน้าท่ี และความรับผิดของผู้คน ในพื้นที่กฎหมายดังกล่าวมีความสาคัญท่ีเช่ือมโยงกฎหมายระดับท้องถ่ินเข้ากับกฎหมายระดับชาติมีมาตรการ ปกปอ้ งสิทธสิ ตรีชาติพนั ธุ์กลา่ วถึงสทิ ธิในการไดฉ้ ันทานมุ ัติโดยอิสระ ล่วงหน้า และไดร้ ับการบอกแจ้ง (FPIC) และมี การคุ้มครองสิทธิบัตรส่ิงประดิษฐ์กฎหมายดังกล่าวเหมาะกับบริบทของประเทศไทย ซึ่งควรมีการตั้งกลไก ระดับชาติในการให้มกี ารศกึ ษาโดยละเอียดถึงบรบิ ทของแต่ละพื้นทีแ่ ละ AIPP สามารถสนับสนุนประเทศไทยได้ท้ัง ฝ่ังของกลุ่มชาติพันธ์ุ และฝ่ังหน่วยงานของรัฐเนื่องจากองค์กรของตนเป็นองค์กรทางเทคนิคภายใต้สังกัด สหประชาชาติ ซ่งึ สามารถเช่อื มโยงภาคส่วนในประเทศกบั ภาคส่วนในระดับระหว่างประเทศได้
๑๙๕ ๔.๖ รา่ งกฎหมายเพ่ือสิทธขิ องชนเผา่ พ้ืนเมืองและกลุ่มชาติพนั ธ์ุ ๔.๖.๑ รา่ งพระราชบัญญตั ิสภาชนเผา่ พ้ืนเมอื งแหง่ ประเทศไทย พ.ศ. ... หลังจากท่ีสหประชาชาตไิ ด้ประกาศใหว้ ันท่ี ๙ สิงหาคม ของทกุ ปเี ป็น วันสากลแหง่ ชนเผ่า พ้ืนเมืองโลก เมื่อปี ๒๕๓๗ และในเวลาต่อมาได้ประกาศปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพ้ืนเมือง (UNDRIP) เม่ือวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๐ และในปีนี้เองท่ีได้มีการประกาศจัดตั้ง “เครือข่ายชนเผ่าพ้ืนเมือง แห่งประเทศไทย” (คชท.) พร้อมกับร่วมกันประกาศให้ วันที่ ๙ สิงหาคม ของทุกปี เป็น “วันชนเผ่าพื้นเมือง แห่งประเทศไทย” นับแต่น้ันมา และได้มีการจัดงานมหกรรมวันชนเผ่าพ้ืนเมืองแห่งประเทศไทยข้ึนติดต่อกันทุกปี ต่อมาในปี ๒๕๕๓ เครือข่ายชนเผ่าพ้ืนเมืองแห่งประเทศไทย (ค.ช.ท.) ได้ประกาศเจตนารมณ์จัดต้ัง “สภาชนเผ่า พ้ืนเมืองแห่งประเทศไทย” (สชพ.) ขึ้น จากน้ัน ในปี ๒๕๕๕ สชพ. ได้แต่งตั้งคณะยกร่าง พระราชบัญญัติสภาชน เผ่าพ้ืนเมืองข้ึนเป็นครั้งแรก และเม่ือร่างกฎหมายฉบับแรกแล้วเสร็จได้มีการแต่งต้ังคณะทางานประชาพิจารณ์ เดินสายไปยังภาคต่าง ๆ เพ่อื รบั ฟงั ความเห็นของบรรดาสมาชกิ ในภาคน้ัน ๆ ซ่งึ แลว้ เสร็จในปี ๒๕๕๖ รา่ งกฎหมาย น้ีได้รับความเห็นชอบจาก คชท. ในปี ๒๕๕๗ และในปีเดียวกันร่างกฎหมายนี้ได้ส่งให้คณะกรรมการปฏิรูป กฎหมาย (คปก.) ซ่ึงได้ช่วยปรับแก้ให้มีความรัดกุมและชัดเจนมากข้ึน ในปีรุ่งขึ้น ๒๕๕๘ ร่าง พ.ร.บ. น้ีได้ถูกส่งไป ยังนายกรัฐมนตรี สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ท้ังนี้โปรดดูรายละเอียดของ เค้าโครงโดยสงั เขปของรา่ งพระราชบัญญตั ิชนเผา่ พืน้ เมอื งแหง่ ประเทศไทย พ.ศ. .... ท่ี ภาคผนวก ข ๔.๖.๒ ร่างพระราชบัญญัตสิ ง่ เสริมและอนรุ ักษว์ ถิ ชี ีวติ กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการ ยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุ และได้พัฒนาเค้าโครงของร่างกฎหมายดังกล่าว โดยมีสถานภาพเป็นกฎหมายส่งเสริมสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะให้สิทธิพิเศษแก่ กลุ่มชาติพันธุ์หากแต่เป็นกฎหมายที่มุ่งส่งเสริมสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์โดยเน้นการคุ้มครองวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ตามหลักสิทธิทางวัฒนธรรมอันเป็นหลักพื้นฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน ท้ังน้ี หลักการสาคัญของพระราชบัญญัติฉบบั น้ีประกอบไปดว้ ยหลักการทสี่ าคัญ ๓ ประการ ไดแ้ ก่ ประการแรก คุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมอันหมายถึงการให้ความคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ ในการเลือกดารงชวี ิตตามวิถวี ัฒนธรรมของตนโดยไม่ถูกคุกคามหรือถูกเลือกปฏิบัติจากเดิมท่ีกลุ่มชาติพันธ์ุถูกมอง ในฐานะที่เป็น “คนชายขอบ” เกิดปัญหาอคติทางวัฒนธรรมที่เกิดจากความไม่เข้าใจวิถีวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์ุ ทาให้กลุ่มชาติพันธ์ุต้องถูกละเมิดสิทธิในด้านต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางวัฒนธรรมท่ีอาจเป็น รากฐานความรุนแรงในสังคมไทย ดังนั้นการให้การคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการรักษา ดลุ ยภาคทางสงั คม ประการที่สอง ส่งเสริมการจัดการตนเองบนฐานวัฒนธรรมท่ีเน้นให้ส่งเสริมศักยภาพ ข อ ง ก ลุ่ ม ช า ติ พั น ธ์ุ ให้ มี ค ว าม ส าม าร ถ ใน ก า ร ใช้ ทุ น ท าง วั ฒ น ธ ร ร ม เป็ น เค รือ มื อ ใน ก า รจั ด ก า ร ต น เอ ง ห รื อ มี ความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ซ่ึงเป็นการปรับเปลี่ยนมโนทัศน์ในการจัดการปัญหากลุ่มชาติพันธ์ุ จากเดิมท่ี เน้นการให้การสงเคราะห์กลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะที่เป็นผู้ด้อยโอกาสทางสังคมทาให้กลุ่มชาติพันธุ์ต้องสูญเสีย ความสามารถในการจดั การตนเองมาเป็นการเสริมศักยภาพให้กลุ่มชาติพันธ์ุมี “พลัง” ในการจัดการตนเองบนฐาน ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมซึ่งเป็นแนวทางของการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่จะเป็นพื้นฐานในการ
๑๙๖ สร้างความม่ันคงให้กับประเทศสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีด้านความม่ันคงในประเด็นการสร้างกลไก ภาคประชาชนในการเสรมิ ความมั่นคงของชาติ ประการที่สาม สร้างความเสมอภาคบนความหลากหลายทางวัฒนธรรมพระราชบัญญัติ ฉบับนี้มุง่ ลดความเหลื่อมล้าในสังคมโดยเฉพาะอย่างย่ิงการลดปัญหาความเหล่ือมล้าที่กลุ่มชาตพิ ันธ์ุในฐานะคนชายขอบ ต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบันในแง่น้ีการมีพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถี ชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์จึงถึงเป็นแนวทาง การพัฒนาท่ีสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติในเป้าหมายที่ ๑๐ การลดความ เหล่ือมล้าภายใต้หลักการของความเสมอภาคทีมีแนวทางในการจัดสรรทรัพยากรที่สอดคล้องกับศักยภาพของคน ท่มี คี วามหลากหลาย นอกจากนีก้ ฎหมายฉบับนี้ยังกาหนดเป้าหมายสาคญั ไว้ ๕ ประการ ได้แก่ ๑. เพื่อให้มีการส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ และให้มี นโยบายและแนวปฏิบัติท่ีชัดเจนเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๐ นอกจากนั้นยังมีมาตราอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น มาตรา ๔๓ “บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิอนุรักษ์ฟื้นฟูหรือส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีอันดีงามทั้งของท้องถิ่นและของชาติ” และมาตรา ๕๗ “รัฐต้องอนุรักษ์ฟื้นฟู ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถ่ินและ ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นและ ของชาติ” ๒. เพ่ือให้สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศท่ีรัฐบาลไทยได้รับรองไว้ เช่น อนุสัญญา ระหว่างประเทศว่าด้วยการขจดั การเลือกปฏิบตั ิทางเชือ้ ชาตใิ นทุกรปู แบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Racial Discrimination หรือ CERD) และปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (United Nations Declaration on the Rights of Indigenous Peoples หรอื UNDRIP) ๓. เพ่ือให้เป็นกฎหมายท่ีมีอานาจบังคับใช้กับทุกภาคส่วนไม่จากัดเฉพาะบางกระทรวง เช่นทปี่ รากฏในมติคณะรัฐมนตรีฯ และเพื่อให้เจ้าหนา้ ที่รัฐทางานได้สะดวกคล่องตัวมากข้ึนมีประสิทธิภาพมากข้ึน โดยมคี วามเข้าใจเรอ่ื งกลุ่มชาตพิ ันธุ์และวัฒนธรรมวา่ เป็นองค์ประกอบสาคัญสาหรบั สังคมพหุวฒั นธรรมของไทย ๔. เพื่อให้มีกฎหมายท่ีคุ้มครองกลุ่มชาติพันธ์ุในประเทศไทยไม่เฉพาะแต่กลุ่มกะเหรี่ยง และชาวเลเท่าน้ันโดยกฎหมายนี้มุ่งที่การปกป้องคุ้มครองวัฒนธรรมพร้อมกับการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิต การสนับสนนุ ให้กลุ่มชาติพันธม์ุ ีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วมกับรัฐโดยอาศัยหลักการและ ภมู ิปัญญาดงั้ เดมิ ที่เคยอยู่อาศัยและทากนิ อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ ๕. เพื่อสนับสนุนหลักการเร่ืองความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการอยู่ร่วมกัน อย่างสงบสุข และเป้าหมายการพัฒนาอย่างย่ังยืนโดยเฉพาะเร่ือง “สังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยกเพื่อการ พฒั นาอย่างย่ังยนื ” (SDG #๑๖ Peace, justice, strong institutions) อันจะเปน็ ตวั อยา่ งอนั ดีให้แก่สังคมโลก สาหรับการดาเนินงานเพื่อจัดทาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่ม ชาติพันธ์ุ และกระบวนการในการขับเคล่ือนร่างพระราชบัญญัติน้ีรัฐบาลได้มอบหมายให้ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หรือ ศมส. เป็นหน่วยงานเจา้ ภาพในการทางานเนื่องจากมีฐานะเป็นหน่วยงานวชิ าการท่ีทางาน ด้านชาติพันธุ์โดยตรงมีข้อมูลและประสบการณ์การทางานกับเครือข่ายชาติพันธุ์ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ในการจัดทา รา่ งพระราชบัญญตั ิฯ ในแงก่ ารสง่ เสริมกระบวนการมีส่วนร่วมหลายภาคสว่ นในการรบั ฟงั ความคดิ เหน็ และจดั ทารา่ ง
๑๙๗ ท้ังนี้ในศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ได้จะทาโครงร่างพระราชบัญญัติ ส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๖ หมวด ซึ่งจะใช้เป็นกรอบในการยกร่างพระราชบัญญัติ ส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๓ และนาเข้าพิจารณาตามกระบวนการ นิตบิ ญั ญัตเิ พือ่ ประกาศเป็นกฎหมายภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ (ดูรายละเอยี ดในภาคผนวก ค) ๔.๖.๓ ร่างพระราชบัญญัติสง่ เสริมและคุ้มครองกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ คณ ะกรรมาธิการเพ่ือพิจารณ าศึกษาด้านผู้สูงอายุ ผู้พิการ และกลุ่มชาติพันธุ์ ในคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธ์ุ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ได้ยกร่าง พระราชบัญญตั สิ ง่ เสรมิ และคุ้มครองกล่มุ ชาติพนั ธ์ุ (รายละเอยี ดดใู นภาคผนวก ง) ๔.๗ การประมวลสรุปผลในภาพรวม นายชูพินิจ เกษมณี ประธานมูลนิธเิ พ่อื การประสานความร่วมมือของชนเผา่ พ้ืนเมืองเอเชยี (AIPP) ได้สรุปว่าความสาคัญของการมีกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพ้ืนเมืองน้ันเนื่องจากประเทศไทยมีกฎหมาย ท่ีมีผลกระทบต่อชนเผ่าพ้ืนเมือง/กลุ่มชาติพันธุ์ในปัจจุบัน ซ่ึงการบัญญัติกฎหมายเก่ียวกับทรัพยากรธรรมเหล่าน้ี มไิ ด้เปน็ ไปตามหลกั การพ้นื ฐานทางจริยธรรม ๒ ประการ หลักการประการแรกคือ หลักจริยธรรมท่ีช้ีว่าการบัญญัติกฎหมายพึงพัฒนาข้ึนจากวิถีชีวิตตาม จารีตประเพณีอันดีของสังคมแต่กฎหมายเก่ียวกับทรัพยากรธรรมชาติทุกฉบับมิได้มองเห็นการมีอยู่ของชุมชน จารีตประเพณีท่ีอยู่ร่วมกับป่ามาหลายช่ัวอายุคนจึงไม่เคารพต่อพื้นท่ีของบรรพชนที่เป็นมรดกส่งทอดต่อให้ลูกหลาน ซ้ากลับมองว่าชุมชนเหล่านี้เป็นผู้บุกรุกฝ่าฝืนกฎหมายทั้งยังไม่คานึงด้วยว่าป่าท่ีอุดมสมบูรณ์ที่สุดคือป่าที่มีชุมชน ชนเผา่ พื้นเมอื งเหล่านอ้ี าศยั อยูซ่ ่งึ เปน็ ความจริงทส่ี อดคล้องกนั ในหลายประเทศ หลักการประการที่สองคือ หลักจริยธรรมทางกฎหมายท่ีถือกันเป็นสากลว่าการประกาศกฎหมายใหม่ ไม่พึงมีผลย้อนหลังไปกล่าวโทษผิดต่อบุคคลหรือชุมชนท่ีอยู่และปฏิบัติกันมาก่อนกฎหมาย พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ท่ีมีอายุเก่าแก่กว่าฉบับอ่ืน ๆ ยังมีอายุเพียง ๗๙ ปี พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ มีอายุเพียง ๕๙ ปี แตก่ ลบั มีอานาจขบั ไล่จับกุมและเผาทาลายยุ้งฉางของชาวบา้ นท่ีเกดิ เตบิ โต และตายอยใู่ นพนื้ ท่ี ของตนกันมาหลายช่ัวอายุคนไม่น้อยกว่าร้อยปีน่ีเป็นคาถามสาหรับนักกฎหมายที่มีจรรยาบันให้ช่วยกันหาคาตอบ นอกจากน้ี ยังได้พบว่าบรรดากฎหมายเก่ียวกับทรัพยากรธรรมชาติเหล่าน้ียังมิได้ถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับ พันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าผูกพันไว้แล้วอีกด้วย อาทิเช่น อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลาย ทางชีวภาพ และความตกลงปารสี เป็นตน้ การปรับเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าหน้าที่ผู้ถือกฎหมายมีความสาคัญไม่น้อยไปกว่าทัศนคติของผู้คน ในสงั คมทวั่ ไป การปรับแกอ้ คติทางชาตพิ นั ธ์ุนับเป็นเรื่องใหญ่ที่มคี วามละเอยี ดอ่อนที่รัฐพึงให้ความสาคัญในฐานะท่ี ประเทศไทยเป็นสังคมพหุวฒั นธรรมประเทศหน่งึ เชน่ กัน รวมทัง้ บทบาทของนกั สทิ ธิมนษุ ยชนท่มี งุ่ เดินตามแนวทาง สนั ติวิธจี าเป็นต้องมีมาตรการคมุ้ ครองทางกฎหมายเช่นเดียวกับนานาอารยะประเทศ ปัญหาคนไร้รัฐเป็นอีกปัญหาเร่งด่วนที่จาเป็นต้องมีการแก้ไขอย่างจริงจังเพ่ือยุติปัญหาอื่น ๆ ทตี่ ามมาอกี หลายดา้ น ทส่ี าคญั คอื การหยิบย่นื คืนความภาคภมู ิใจในความเปน็ พลเมืองไทยที่มีศักดิ์ศรใี ห้แก่พวกเขา
บทท่ี ๕ บทสรปุ ๕.๑ บทสรุป ๕.๑.๑ ทีด่ ิน เขตแดน และทรัพยากร แผนภมู ทิ ่ี ๑ แสดงความสมั พนั ธ์อันซับซ้อนของปัญหาที่ดนิ และทรัพยากรธรรมชาติ ดังได้กล่าวแล้วว่ากฎหมายเก่ียวกับทรัพยากรธรรมชาติทุกฉบับมองข้ามวิถีชีวิตชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง และชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ร่วมกับป่ามาช้านาน ซึ่งรวมถึงวิถีชีวิตชาวเลในภาคใต้ท่ีทาประมงพื้นบ้านด้วยเคร่ืองมือ ขนาดเล็ก และกลุ่มเคลื่อนย้ายอยู่ในพื้นที่ป่า ได้แก่ มานิ และมละบริท่ีมีชีวิตผูกพันกับป่าอย่างท่ีสุด และเป็น กฎหมายท่ีสามารถเอาผิดทั้งคนและชุมชนที่อยู่กันมาก่อนกฎหมายได้สมทบกับนโยบายป่าไม้แห่งชาติและ มติคณะรัฐมนตรที ี่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติที่โน้มเอียงไปในทางเป็นโทษต่อชุมชนที่พ่ึงพิงป่าท้ัง ๆ ท่ีมีหลักฐาน เชิงประจักษม์ ากมายที่แสดงให้เห็นว่าชุมชนท่ีมีวิถีชีวิตตามจารีตประเพณี สามารถรักษาความอดุ มสมบูรณ์ของป่า โดยรอบไดอ้ ยา่ งดี อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) มีข้อบัญญัติหลายประการท่ีเอ้ือและเป็นคุณต่อ ชุมชนชนเผ่าพ้ืนเมืองและชุมชนท้องถิ่นด้วยการเชิดชูภูมิปัญญาตามประเพณีท่ีเกี่ยวข้องกบั ป่า (TFRK) การมีส่วนร่วม ของชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถ่ินในการจัดการพ้ืนท่ีคุ้มครองอันหมายถึงป่าอนุรักษ์ประเภทต่าง ๆ สนับสนุนการเข้าถึงและการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน การหนุนให้ชุมชนมีฉันทามติโดยอิสระ ล่วงหน้าและได้รับการบอกแจ้ง รวมท้ังการส่งเสริมการเก็บหาผลผลิตจากป่าท่ีไม่ใช่ไม้ซุงมิใช่เพียงเพื่ออุปโภค - บริโภคในครวั เรือนและชุมชนเทา่ นั้นแต่ยังสามารถจาหน่ายเป็นแหล่งรายได้เสริม ท้ังน้ี ด้วยวิธีการเชิงอนุรักษ์และ มีลักษณะย่ังยืน ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) มีข้อบัญญัติรับรองสิทธิของ
๑๙๙ ชนเผ่าพ้ืนเมืองในท่ีดินเขตแดนและทรัพยากรยิ่งไปกวา่ นั้นในเวทีป่าไม้โลกไดม้ ีมติในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติจากการผูกขาดโดยรัฐไปสู่การจัดการแบบพหุภาคีท่ีหลายประเทศได้นาไป ปรับใช้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของตน หลายประเทศจึงมีการแจกแจงลาดับของป่าครอบครัว ป่าชุมชน และป่าของรัฐ ประเทศเหล่าน้ีจึงมีป่ากระจายกันอยู่ท่ัวประเทศและโดยท่ีรัฐไม่จาเป็นต้องทุ่มเทงบประมาณ ให้หน่วยงานของรฐั รบั ผดิ ชอบเพียงลาพัง การบริหารจัดการป่าด้วยกระบวนทัศน์เก่าของการผูกขาดโดยรัฐจึงเป็นสาเหตุสาคัญยิ่งของการละเมิด สิทธิมนษุ ยชนของชนเผา่ พ้ืนเมืองและการเลือกปฏิบัติทางเช้อื ชาติรว่ มกนั ไปดว้ ยรูปธรรมของการแสดงออกโดยการ ประกาศเขตป่าคุ้มครองทับซ้อนกับพ้ืนท่ีของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม การข่มขู่คุกคาม การทาลายทรัพย์สิน การบังคับอพยพ การจับกุม – คุมขัง - ปรับไหม และการประทุษร้ายไปจนถึงการวิสามัญฆาตกรรม และน่าแปลก ที่หน่วยงานของรัฐใช้มาตรการท่ีเข้มงวดรุนแรงต่อชุมชนชนเผ่าพ้ืนเมืองและชุมชนท้องถ่ินแต่กลับเอื้อประโ ยชน์ ให้แก่กลุม่ ทนุ ไดอ้ ย่างงา่ ยดายทง้ั ในการให้สมั ปทานเพอื่ การลงทุนในดา้ นต่าง ๆ ๕.๑.๒ สถานการณข์ องผู้ไรร้ ฐั แผนภูมทิ ี่ ๒ แสดงสภาพปัญหาที่รมุ ล้อมบุคคลผไู้ ร้รฐั /ไรส้ ัญชาติ ถงึ แม้ประเทศไทยได้เปิดโอกาสให้เด็กในวัยเรียนทุกคนสามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาที่รัฐจัดให้แต่เด็ก ที่อยู่ในภาวะไร้สัญชาติยังไม่อาจได้รับค่าใช้จ่ายรายหัว ซึ่งทาให้โรงเรียนหลายแห่งไม่ประสงค์จะรับเด็กไร้สัญชาติ เพราะต้องนาค่าใช้จ่ายรายหัวมาเฉลี่ยให้แก่กัน นอกจากน้ี เด็กไร้สัญชาติไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้เพื่อการศึกษา และถึงแม้บุคคลไร้สัญชาติจะสามารถศึกษาสาเร็จแต่ไม่สามารถนาวุฒิบัตรการศึกษาไปสมัครงานที่ไหนได้ ไม่สามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินท่ีเป็นอสังหาริมทรัพย์ การออมทรพั ย์ในสถาบันการเงิน การทานิติกรรม ธุรกรรมต่าง ๆ ไม่สามารถทาได้ไม่มีสิทธิในท่ีดินและทรัพยากรใด ๆ แม้แต่การเดินทางภายในประเทศยังมีความยากลาบากโดย ไม่ต้องกล่าวถึงการเดินทางต่างประเทศไม่สามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
๒๐๐ ด้วยเหตุนี้การตกอยู่ในภาวะคนไร้รัฐ/ไร้สัญชาติย่อมกระทบกระเทือนต่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรง ถึงแม้จะมีระเบียบที่เปิดโอกาสให้บุคคลไร้รัฐสามารถยื่นขอพิสูจน์สิทธิการมีสัญชาติไทยแต่เกณฑ์บางประการ ท่ีกาหนดไว้ให้ย่ืนคาขอได้ถูกตั้งไว้สูงเกินกว่าจะมีผู้ยื่นคาขอได้ เช่น ผู้ยื่นขอพิสูจน์สิทธิต้องมีวุฒิการศึกษาระดับ ปริญญาตรีข้ึนไปแต่สาหรับบุคคลไร้รัฐจะสามารถเรียนถึงระดับปริญญาตรีได้อย่างไรเม่ือตนหรือผู้ ปกครอง ไม่สามารถประกอบอาชีพโดยเปิดเผยเพ่ือจะจ่ายค่าเล่าเรียนได้อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ยืมจากกองทุนเงิน ให้กู้ยืมเพ่ือการศึกษา (กยศ.) ได้ ดังนั้น ผู้ท่ีอ่อนไหวต่อปัญหาท่ีรุมเร้าเช่นน้ี ย่อมมีแนวโน้มที่จะต้องหันไปพ่ึงพา อาชีพทไ่ี ม่สจุ รติ ในทสี่ ุดและการใช้ชีวิตท่เี หมอื นต้องหลบๆ ซ่อนๆ ๕.๑.๓ ทศั นคตเิ ชิงลบตอ่ ชนเผ่าพนื้ เมอื ง/กลุ่มชาตพิ ันธุ์ แผนภูมทิ ่ี ๓ แสดงความสัมพนั ธ์เชงิ เหตุและผลของการมที ัศนคตเิ ชงิ ลบ การแพร่ขยายความคิดแบบลัทธิชาตินยิ มจากตะวันตกเข้ามายังประเทศไทยในช่วงทศวรรษท่ี ๔๐ – ๕๐ มาพร้อมกับความคิดของการสร้างชาติให้เป็นเอกสังคม (Homogeneous Society) ที่มีหน่ึงวัฒนธรรมสาหรับ หน่ึงประชาชาติทาให้เกดิ วฒั นธรรมทค่ี รอบงาเป็นวฒั นธรรมกระแสหลัก ดงั นน้ั ภายใต้สภาพแวดลอ้ มทางความคิด เช่นน้ีจึงน้อมนาให้พัฒนาอคติและความลาเอียงในลักษณะท่ีเป็นลัทธิหลงใหลทางชาติพันธ์ุ (Ethnocentrism) ท่ีมีการสร้างภาพแบบเหมารวม (Stereotype) เหล่าน้ีเป็นปัจจัยที่หล่อหลอมทัศนคติเชิงลบโดยผ่านกระบวนการ ขัดเกลาทางสังคม (Socialization) ดังนั้น ความสัมพันธ์ทางสังคมจึงแสดงออกมาในรูปของการกดทับ ทางวัฒนธรรม การกีดกัน/กันออก ความเหนือกว่า - ด้อยกว่า การปิดล้อมทางวัฒนธรรม (Cultural Enclosure) และนาสู่นโยบายในการผสมกลมกลืน (Assimilation) ดังนั้น การปรับเปล่ียนทัศนคติเชิงลบจึงจาเป็นต้องปลดล็อกปัจจัยต่าง ๆ ท่ีกล่าวมานี้ร่วมกันไปด้วย และจาเป็นต้องเร่มิ ปลูกฝังวธิ ีคดิ ใหมต่ งั้ แตป่ ฐมวัยด้วยบรรยากาศของการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย
๒๐๑ ๕.๑.๔ คณุ ค่าและคณุ ลักษณะที่จาเปน็ แผนภูมทิ ี่ ๔ แสดงคณุ ลกั ษณะท่ีตอ้ งการเพอื่ สงั คมธรรมาภบิ าล เริ่มจากความเป็นองค์กรที่ต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อเกาะเก่ียวกันเป็นเครือข่ายท่ีมีกิจกรรม เชิงสร้างสรรค์ร่วมกันแล้วยกระดับข้ึนเป็นองค์กรภาคประชาสังคมโดยเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมเป็น ยุทธศาสตร์สาคัญโดยคานึงถึงความสาคัญของเพศสภาวะสัมพันธ์ในมิติต่าง ๆ และไม่ว่าความเป็นองค์กรจะเล็ก หรือใหญ่จะต้องเน้นการบริหาร - จัดการตนเอง (Self-Governance) เพ่ือยกระดับข้ึนสู่การปกครองแบบธรรมาภิบาล (Good Governance) การขับเคลื่อนสังคมไปในแนวน้ีมีปัจจัยสาคัญหลายประการที่ต้องให้ความสาคัญ ได้แก่ การเน้นความ เสมอภาค (Equality) และความเป็นธรรม (Equity) การพัฒนาบนฐานของหลักสิทธิมนุษยชนควบคู่ไปกับฐาน วัฒนธรรมท่ีเชิดชูมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม การเคารพต่อพ้ืนท่ีบรรพบุรุษและการมีวิถีชีวิตที่ย่ังยืนด้วยการ ขับเคล่ือนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงบนฐานการใช้ทรัพยากรเชิงอนุรักษ์เพ่ือความย่ังยืนให้นาไปสู่ระบบนิเวศ ท่ีมีสมดุล การขับเคล่ือนสู่สังคมธรรมาภิบาลจาเป็นต้องมีความคิดและการปฏิบัติในแนวทางสันติวัฒนธรรม (Culture of Peace) เพื่อการอย่รู ่วมกนั ท่ามกลางความหลากหลายทางวฒั นธรรมและการเคารพสิทธิซ่งึ กันและกัน
๒๐๒ ๕.๑.๕ การพฒั นากฎหมายเพ่อื ส่งเสรมิ และคมุ้ ครองวถิ วี ฒั นธรรมของชนเผ่าพน้ื เมือง/กลุ่มชาติพนั ธุ์ แผนภูมิที่ ๕ แสดงข้อพงึ พจิ ารณาเพอื่ พฒั นากฎหมายส่งเสรมิ และคุ้มครองชนเผา่ พนื้ เมือง/กลุ่มชาติพันธุ์ แนวคิดในการพัฒนากฎหมายเพ่ือส่งเสริมและคุ้มครองชนเผ่าพ้ืนเมือง/กลุ่มชาติพันธุ์ ควรท่ีจะเริ่มต้น จากปัญหาและความต้องการของประชาชนกลุ่มที่จะได้รับผลของการบังคับใช้กฎหมายน้ันการทบทวนกฎหมาย ภ า ย ใน ป ร ะเท ศ ว่ า ฉ บั บ ใด เป็ น คุ ณ แ ล ะเป็ น โท ษ ต่ อ ก ลุ่ ม เป้ า ห ม า ย คื อ ช น เ ผ่ า พื้ น เมื อ ง พ ร้ อ ม ไป กั บ ก า ร ศึ ก ษ า สถานการณ์ระหว่างประเทศของกลุ่มเป้าหมายประเภทเดียวกันที่ขาดไม่ได้คือการศึกษารวบรวมเคร่ืองมือ ทางกฎหมายท่ีเป็นพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับเคร่ืองมือเหล่าน้ันการมอง หาตัวอย่างจากประเทศอ่ืน ๆ จะมีประโยชน์อย่างย่ิงที่เราจะได้ศึกษาท้ังจุดแข็งและจุดอ่อนของเคร่ืองมือเหล่านั้น ส่วนสาคญั ทไ่ี ม่อาจละเลยได้คอื การกาหนดกลไกในการบงั คับใช้หรือปฏบิ ัตติ ามกฎหมาย และกลไกเหลา่ นี้จกั ตอ้ งมี หน้าทีแ่ ละอานาจในดา้ นต่าง ๆ ได้แก่ การส่งเสรมิ และค้มุ ครองสทิ ธิชนเผ่าพน้ื เมือง/กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ที่จะตอ้ งสง่ เสริม สิทธิในการจัดการตนเอง (Self-Determination) ในรูปของสภาท้ังในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้การคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมาตรการในการส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองอีกประการหนึ่งที่มี ความสาคัญคือการส่งเสริมการพัฒนาเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษหรือเขตพ้ืนที่คุ้มครองทางวัฒนธรรมที่ผนวกรวม พื้นท่ีทางจิตวิญญาณหรือพ้ืนท่ีศักดิ์สิทธ์ิเข้าไว้ด้วยพร้อมไปกับอานาจในการเพิกถอนออกจากพ้ืนท่ีคุ้มครองที่เป็น ป่าอนุรักษ์ประเภทต่าง ๆ และหน้าท่ีในการกากับติดตามการดาเนินงานตามกฎหมาย การกาหนดบทลงโทษ การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบของชนเผ่าพื้นเมือง และการเยียวยา ความเสียหายท่ีเกิดจากการละเมิดสิทธขิ องชนเผ่าพื้นเมืองในช่วงของการเตรียมยกรา่ งกฎหมายควรมีการรวบรวม กรณีตัวอย่างท้ังในด้านกฎหมาย นโยบาย กลไก และวิธีดาเนินการจากประเทศอ่ืน ๆ ท่ีมีประสบการณ์ท่ีดี ในกจิ การเก่ยี วกบั ชนเผ่าพน้ื เมืองเพ่อื ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพจิ ารณาการยกร่างกฎหมาย
๗.๔ ประเดน็ การพจิ ารณาท่ี ๔ รายงานข้อเสนอในการดาเนินการให้มีกฎหมายกลางเร่ืองการเยียวยาผู้เสียหายจากกรณี การละเมิดสิทธิ บทที่ ๑ บทนา รายงานฉบับนี้มีประเด็นการศึกษาถึงรูปแบบ มาตรการหรือมาตรฐานสากลของการคุ้มครองผู้เสียหาย กรณีมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนท้ังผู้เสียหายจากอาชญากรรมธรรมดาและท่ีเกิดขึ้นโดยตรงหรือกระทาที่อาจมี แรงจูงใจทางการเมือง โดยจะศกึ ษาถึงการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากการกระทาผิดทางอาญาทุกกลุ่มทุกฝ่าย ที่ผ่านมา โดยศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคในการคุ้มครองผู้เสียหายท้ังท่ีได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและท่ียัง ไม่ได้รับการคุ้มครองเพ่ือนาไปสู่ข้อเสนอแนะรูปแบบ มาตรการ กลไกหรือเครื่องมือการช่วยเหลือผู้เสียหายจาก อาชญากรรมธรรมดาและท่ีเกิดขึ้นโดยตรงหรือกระทาที่อาจมีแรงจูงใจทางการเมืองให้เป็นไปตามบทบัญญัติของ กฎหมายและเป็นไปตามมาตรฐานสากล นอกจากน้ีผู้เสียหายฯ ที่อาจได้รับสิทธิตามกฎหมายไทยทั้งทางอาญา ทางแพ่ง และตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลย ในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพ่ิมเติมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวง ยุติธรรมก็ยังคงมีอุปสรรคในทางปฏิบัติย่ิงเป็นผู้เสียหายจากอาชญากรรมท่ีเกิดขึ้นโดยตรงหรือกระทาที่อาจ มี แรงจู งใจทางการเมืองใน สั งคมไทย ก็ย่ิ งมีปั ญ ห าใน การการคุ้มครองสิทธิของผู้ เสี ยห าย กล่ าวคือเมื่อพิ จ ารณ า ตามกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องได้แก่ ได้ให้คาจากัดความของ “ผู้เสียหาย” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับความเสียหาย ถึงแก่ชีวิตหรือร่างกาย หรือจิตใจเน่ืองจากการกระทาความผิดอาญาของผู้อื่น โดยตนมิได้มีส่วนเก่ียวข้องกับการ กระทาความผดิ นนั้ (มาตรา ๓) ในเหตุการณ์ความรนุ แรงทางการเมืองนนั้ มักไมป่ รากฏว่ามีการดาเนนิ คดีอาญากบั ผู้ใชค้ วามรนุ แรงอีกท้ัง ยังมีประเพณีปฏิบัติท่ีจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมารวมหลังการเปล่ียนแปลงทางการเมือง ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาโดยตลอดประชาชนผู้ตกเป็นผู้เสียหายจากอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยตรง หรือกระทาที่อาจมแี รงจูงใจทางการเมืองจึงไม่อาจได้รบั การชว่ ยเหลือประการใดจากภาครัฐเพราะพวกเขายังไม่ใช่ ผู้เสียหายในคดีอาญา ดังนั้นเม่ือขอบเขตความเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายไทยยังไม่อาจทาให้ผู้เสียหาย ในอาชญากรรมทเ่ี กิดข้ึนโดยตรงหรอื กระทาท่ีอาจมีแรงจูงใจทางการเมอื งไดร้ ับการคุ้มครองสิทธิได้ดังวัตถุประสงค์ ของมาตรฐานสากลกฎหมายกลางเพื่อการเยยี วยาผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นจึงมีวตั ถปุ ระสงค์หลัก เพื่อให้การดาเนินการเยียวยาและฟื้นฟูบุคคล สังคม องค์กร และสถาบันที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ความรุนแรงทงั้ ในระยะสั้นและระยะยาวเป็นไปตามหลักการเรือ่ งความเป็นธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านความยุตธิ รรม เชิงสมานฉันท์ และความยุติธรรมทางสังคมตามมาตรฐานสากลเพื่อส่งเสริมให้เกิดความปรองดองและป้องกันมิให้ เกิดความรนุ แรงและความสูญเสียข้นึ อีกในอนาคตอยา่ งเป็นรูปธรรม กฎหมายกลางเพ่ือการเยียวยาน้ีควรมีหลักการสาคัญโดยเป็นหลักการเยียวยาหลัก ๆ ในเร่ืองของการ ช่วยเหลือและฟน้ื ฟูผู้เสยี หาย (Victim Support) โดยการเข้าถึงผู้เสียหายและชุมชนที่เป็นผู้เสียหายจากเหตุการณ์ ความรุนแรงท่ีเกิดข้ึนโดยตรงท่ีเกี่ยวข้อง โดยความช่วยเหลือทางกฎหมาย สังคม จิตวิทยา รักษาพยาบาล และ เสนอแนะมาตรการ ชดเชยเยียวยาผู้เสียหาย (Reparations) การใช้หลัก “ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์”
๒๐๔ (Restorative Justice) ที่ใหค้ วามสาคัญในเร่อื งการเยียวยาผ้เู สยี หาย/ผเู้ สียหายที่ไดร้ ับผลกระทบจากความรุนแรง เปิดโอกาสให้ผู้กระทาผิด ผู้เสียหาย/ผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงเข้ามามีส่วนร่วมกระบวนการต่าง ๆ ท่ีจะก่อให้เกิดความพึงพอใจแก่ทุกฝ่ายซึ่งกระบวนการดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้กระทาผิด ผู้เสียหาย/ ผ้เู สยี หายชุมชนและหน่วยงานภาครัฐและการจดั เวทีสาธารณะสาหรบั ผู้เสียหาย (Victim Hearing) เพ่ือเปิดโอกาส ให้ผ้เู สียหายได้บอกเล่าเหตุการณใ์ นมุมมองของตน ตลอดจนระบายออกถึงความรู้สกึ นกึ คดิ ความคับแค้นใจ (Airing of Grievances) ซ่ึงเป็นกระบวนการเยียวยาในเชิงจิตวิทยา(Healing Process) ไปในตัวโดยมีข้อเสนอแนะต่อ สภาผแู้ ทนราษฎรกล่าวคอื ๑) ให้ตรากฎหมายระดับพระราชบัญญัติเพ่ือคุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายกรณีที่มีการละเมิดสิทธิ มนุษยชนเป็นการเฉพาะให้ครอบคลมุ ถึงผู้เสียหายจากอาชญากรรมธรรมดาและท่ีเกิดข้ึนโดยตรงหรือกระทาทอ่ี าจ มีแรงจูงใจทางการเมืองให้สามารถรองรับกลุ่มผู้เสียหายท่ีชัดเจนเป็นรูปธรรมในการเยียวยาช่วยเหลือผู้เสียหาย ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และทรัพย์สิน โดยพระราชบัญญัติเพ่ือคุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายกรณีที่มีการละเมิดสิทธิ มนษุ ยชน ๒) ให้กฎหมายน้ีกาหนดให้มีการจัดต้ังศูนย์ประสานงานกลางที่ทาหน้าท่ีรับเร่ืองจากผู้เสียหายจาก อาชญากรรมในลักษณะของศูนย์ทม่ี ีลกั ษณะเปน็ one stop service เพือ่ ให้ผเู้ สยี หายทม่ี าตดิ ต่อได้รบั การแจง้ สทิ ธิ ในการไดร้ บั การช่วยเหลอื ตามกฎหมายทุกฉบบั ท่ีตนมีสิทธิในรูป Checklist ๓) ให้สร้างระบบฐานข้อมูลผู้เสียหายท่ีสามารถเช่ือมต่อกันระหว่างองค์กรหรือหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องกับ การให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อป้องกันปัญหาความซ้าซ้อนเน่ืองจากมีองค์กรหรอื หน่วยงาน ทเี่ ก่ยี วข้องกับการชว่ ยเหลือผเู้ สยี หายหลายองคก์ รทัง้ สว่ นกลางและภูมิภาค ๑.๑ วตั ถปุ ระสงค์การศึกษา ๑) เพ่ือศึกษารูปแบบ มาตรการ กลไก กฎหมายทั้งภายในและระหว่างประเทศ ตลอดจน มาตรฐานสากลท่ีช่วยเหลือประชาชนซึ่งได้รับความเสียหายในคดีอาญาผู้เสียหายจากอาชญากรรมธรรมดาและ ท่เี กิดขนึ้ โดยตรงหรือกระทาทอ่ี าจมแี รงจงู ใจทางการเมืองตลอดจนปัญหาอปุ สรรคทม่ี ีอยขู่ องประเทศไทย ๒) เพื่อเสนอแนะรูปแบบ มาตรการ กลไกหรือเคร่ืองมือการช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา ผู้เสียหาย จากอาชญากรรมธรรมดาและที่เกิดข้ึนโดยตรงหรือกระทาท่ีอาจมีแรงจูงใจทางการเมืองตามบทบัญญัติของ กฎหมายและเปน็ ไปตามมาตรฐานสากล ๑.๒ ขอบเขตการศกึ ษา ๑) แนวคิด กฎหมาย มาตรการ กลไกภายในประเทศ ระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล ทีเ่ กี่ยวข้องกบั การช่วยเหลอื ผเู้ สยี หายในคดอี าญารวมทั้งมติคณะรัฐมนตรี ระเบียบต่าง ๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ๒) สภาพปัญหาอุปสรรคตลอดจนการดาเนนิ งานในการช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญาผู้เสียหาย จากอาชญากรรมธรรมดาและทเ่ี กดิ ข้ึนโดยตรงหรือกระทาที่อาจมีแรงจงู ใจทางการเมืองในประเทศไทย ๓) วิเคราะห์เสนอแนะรูปแบบ มาตรการ กลไกหรือเคร่ืองมือการช่วยเหลือ ประชาชนซึ่งได้รับ ความเสียหายในคดีอาญาผู้เสียหายจากอาชญากรรมธรรมดาและที่เกิดข้ึนโดยตรงหรือกระทาท่ีอาจมีแรงจูงใจ ทางการเมือง
๒๐๕ ๑.๓ วธิ ีการศึกษาทางเอกสาร ๑) รายงานฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กรกฎาคม ๒๕๕๓ – กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒) รายงานการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทยให้เป็นไป ตามมาตรฐานสากล โดยนางสาวเอมอร เสยี งใหญ่ ๓) คู่มอื การเยียวยา จงั หวัดชายแดนใต้ โดยศูนยบ์ รหิ ารราชการจงั หวัดชายแดนใต้
บทที่ ๒ ทฤษฎี แนวคิด กฎหมาย มาตรการ กลไกภายในประเทศ ระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับการชว่ ยเหลอื ผเู้ สียหายในกรณีการละเมิดสิทธมิ นษุ ยชนและผเู้ สียหายในคดีอาญา ๒.๑ ทฤษฎี แนวคิด กฎหมาย มาตรการ กลไกภายในประเทศ ระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล ทเ่ี ก่ียวข้องกบั การชว่ ยเหลอื ผเู้ สียหายในคดอี าญารวมทง้ั มตคิ รม. ระเบียบต่าง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง ๒.๑.๑ ทฤษฎีแนวคิด มาตรฐานสากลทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ๑) ปฏิญญาว่าด้วยหลักความยุติธรรมขั้นพ้ืนฐานสาหรับผู้เสียหายในคดีอาญาและการใช้ อ าน าจโด ย มิ ช อ บ (Declaration of Basic Principle of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power, ๑๙๘๕)เพื่อกาหนดหลักการที่เจ้าหน้าที่พึงปฏิบัติต่อผู้เสียหายจากอาชญากรรมต้ังแต่เร่ิมดาเนินคดีจนถึง ข้ันตอนการปฏิบัติต่อผู้ตอ้ งขงั ในเรอื นจาแบง่ เป็น ๑.๑) การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม (Access to justice and fair treatment) วัตถุประสงค์ของการดาเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาคือ “ความยุติธรรม” ท่ีรัฐจะต้องมีมาตรการให้ความคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพของบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องในทุกขั้นตอนของระบบ ความยุติธรรมทางอาญามิใช่เพราะเหตุผลทางมนุษยธรรมเพียงอย่างเดียวแต่ท่ีสาคัญยังเป็นการสร้างหลักประกัน ให้กับประชาชนว่ารัฐซ่ึงเป็นผู้อานวยความยุติธรรมต้องทาหน้าท่ีด้วยความเป็นธรรมโดยที่ปฏิญญาสากลว่าด้วย หลักความยุติธรรมข้ันพื้นฐานของผู้เสียหายหรือผู้เสยี หายจากอาชญากรรมและการใช้อานาจโดยมิชอบได้กาหนด มาตรฐานการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและปฏิบัติอย่างเป็นธรรม (Access to Justice and fair Treatment) ไว้ดงั นี้ ก.ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมควรได้รับการปฏิบัติด้วยความรู้สึก เมตตา เคารพถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีสิทธิเข้าถึงกลไกของกระบวนการยุติธรรม และได้รับ การเยียวยา ตามกฎหมายของประเทศเพื่อความบรรเทาความเสียหายทผ่ี ูเ้ สียหายหรอื ผู้เสียหายจากอาชญากรรมได้รบั ข. กลไกของฝ่ายตุลาการ ฝ่ายบริหารทั้งท่ีมีการดาเนินการอย่างเป็นทางการและ ไม่เป็นทางการควรเออ้ื อานวยให้ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมให้ได้รับการเยียวยาผ่านกระบวนการต่าง ๆ ท่ีเป็นทางการและไม่เป็นทางการด้วยความรวดเร็ว ยุติธรรม ไม่ส้ินเปลืองค่าใช้จ่าย และสามารถเข้าถึง กระบวนการยุติธรรมได้ทั้งน้ีผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมควรได้รับการบอกกล่าวถึงสิทธิในการได้รับ การเยียวยาโดยผา่ นกลไกลนั้น ค. กระบวนการทางฝ่ายตุลาการ ฝ่ายบริหาร ที่จะตอบสนองความต้องการของ ผเู้ สยี หายหรือผเู้ สียหายจากอาชญากรรมควรปฏบิ ัติ ดงั นี้ (๑) แจ้งให้ผู้เสียหาย หรืออาชญากรรมทราบถึงบทบาท (Role) สิทธิของตน และขอบเขต (Scope) กาหนดเวลา (Timing) และการดาเนินการในคดีโดยเฉพาะความผิดอาญาท่ีร้ายแรง (serious Crimes) ซึ่งผเู้ สียหายหรอื ผเู้ สยี หายจากอาชญากรรมได้ขอทราบข้อมลู ข่าวสารนั้น (๒) ในกระบวนการพิจารณาต้องพิจารณาเกี่ยวกับทัศนคติและความกังวลใจ โดยเฉพาะท่ีกระทบต่อผลประโยชน์สิทธิส่วนบุคคลของผู้เสียหายโดยไม่กระทบต่อการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา หรือจาเลยเมื่อสิทธิส่วนบุคคลของผู้เสียหาย หรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมถูกกระทบกระเทือนจึงควรให้ ผ้เู สยี หายหรอื ผเู้ สียหายจากอาชญากรรมได้แสดงทัศนคติเพอ่ื รักษาผลประโยชนข์ องตน
๒๐๗ (๓) การจัดให้มีการช่วยเหลือผู้เสียหาย หรือผู้เสียหายจากอาชญากรรม (Assistance) ตามสมควรตลอดกระบวนการทางกฎหมาย (๔) กาหนดมาตรการท่ีจาเป็นต่าง ๆ โดยลดความไม่สะดวกของผู้เสียหาย หรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมเพื่อป้องกันสิทธิส่วนบุคคลและให้หลักประกันในความปลอดภัย (Safety) จากการ ข่มขู่และการล้างแค้นตลอดจนบุคคลในครอบครัวของผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมและพยาน ที่เก่ียวข้อง เช่น จ่ายค่าตอบแทนที่ผู้เสียหายมาเป็นพยานในศาล กรณีที่ผู้เสียหายเป็นเด็กหรือสตรีในความผิด เก่ียวกบั เพศหลีกเล่ยี งการเผชิญหนา้ กบั ผู้กระทาผดิ (๕) หลีกเลี่ยงความล่าช้าในการพิจารณาคดีการสั่งการใด ๆ และการพิพากษา คดสี าหรับผู้เสยี หายหรอื ผู้เสยี หายจากอาชญากรรม ง. ควรจัดให้มีกลไกในการระงับข้อพิพาทอย่างไม่เป็นทางการ รวมถึง การไกล่เกล่ียอนุญาโตตุลาการ และความยุติธรรมตามจารีตประเพณีท้องถิ่นควรทาให้เป็นประโยชน์ ตลอดจน การแก้ไขเยียวยาแกผ่ ู้เสียหายหรือผูเ้ สยี หายจากอาชญากรรม ด้วยเหตุนี้รัฐต้องจัดให้มีการบริหารงานยุติธรรมทางอาญาโดยมีกลไก ท่ีหลากหลายเพื่อให้ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรม สิทธิเข้าถึงกลไกในทุกข้ันตอนของกระบวนการ ยุติธรรม ความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร การได้รับการเอาใจใส่จากบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม การดาเนินคดีด้วยความรวดเร็ว และเป็นธรรม การได้รับแจ้งข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับความเป็นไปของคดีในทุก ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาท่ีกระทบถึงสิทธิในชีวิตและความปลอดภัยของผู้เสียหาย หรือ ผ้เู สยี หายจาก อาชญากรรม รวมท้ังโอกาสในการที่ได้รับการช่วยเหลอื จากการบริการ และไดร้ บั การเยยี วยาจากรัฐ ในทกุ กรณี ๑.๒) การได้รับการชดเชยความเสียหายโดยผู้กระทาความผิด (Restitution) การชดใช้ ค่าเสียหายมีวัตถุประสงค์ที่สาคัญ กล่าวคือ เพ่ือเป็นการลงโทษผู้กระทาความผิดรวมทั้งการให้ผู้กระทาความผิด ได้รับการบรรเทาโทษหรือการให้มาตรการผ่อนปรนอื่น ๆ แก่ผู้กระทาความผิด นอกจากน้ี ยังถือว่าเป็นภาระ ส่วนตัวของผู้กระทาความผิดโดยให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบในการกระทาของตนที่ได้กระทาต่อผู้เสียหายหรือ ผู้ เสี ย ห าย จ ากอาช ญ าก รร มแล ะสั งคม ส่ วน ร วม ใน ขณ ะเดี ย วกั น ยั งเป็ น การให้ โอกาส ผู้ กร ะท าคว าม ผิ ด ได้ รั บ การเยียวยาและอยู่ในสังคมได้ต่อไปตามปฏิญญาสากลว่าด้วยหลักความยุติธรรมพื้ นฐานของผู้เสียหายหรือ ผ้เู สียหายจากอาชญากรรม และการใชอ้ านาจโดยมชิ อบไดก้ าหนดมาตรฐานการชดใช้ความเสยี หายโดยผกู้ ระทาผิด ดงั น้ี ก. ผู้กระทาความผิดหรือบุคคลที่สาม ซึ่งต้องรับผิดในการกระทาของเขาควร ดาเนินการเพ่ือเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรม ครอบครัว หรือทายาทของ ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมนอกจากนี้การชดเชยความเสียหายควรรวมถึงการคืนทรัพย์สินมูลค่า ความเสียหายหรือการสูญเสีย รวมถึงการชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เสียไปเน่ืองจากการตกเป็นผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจาก อาชญากรรม การจัดใหม้ กี ารชว่ ยเหลอื แกผ่ เู้ สียหายหรือผู้เสยี หายจากอาชญากรรมและการชดเชยสทิ ธิทเี่ สียไป ข. รัฐต้องทบทวนการดาเนินการการบังคับใช้กฎหมาย กฎ ระเบียบ กฎหมายต่าง ๆ โดยให้การชดเชยความเสียหายมีความเป็นไปได้ในการตัดสินคดีอาญาเพ่ือเป็นมาตรการในการลงโทษทางอาญา ประการอ่นื
๒๐๘ ค. ในคดีท่ีเป็นการกระทาความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมการชดเชยความเสียหาย ยังรวมถึงการทาให้สภาวะแวดล้อมกลับสู่สภาพเดิมการสร้างส่ิงที่เป็นโครงสร้างขั้นพื้นฐานขึ้นมาใหม่ทดแทน ความสะดวกที่ชุมชนต้องเสียไป และค่าใช้จ่ายในการหาท่ีอยู่ใหม่ให้มากท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้เมื่อความเสียหายนั้ น เป็นผลให้ชมุ ชนต้องเคลอ่ื นย้ายออกจากที่อยเู่ ดิม ง. หากว่าการปฏิบัติหน้าท่ีขององค์กร และเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมายน้ัน ได้ฝ่าฝืนกฎหมายอาญา และได้สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรม ในกรณนี ต้ี อ้ งไดร้ บั การชดเชยจากรฐั ๑.๓) การชดเชยความเสยี หายโดยรัฐ (Compensation) สิทธิของผู้เสยี หายหรือผู้เสียหาย จ าก อ าช ญ าก รรม ใน ค ดี อ าญ าได้ ถู ก ก ระบ ว น ก ารยุ ติ ธ รรม แ ล ะ สั งค ม ต่ างได้ ล ะ เล ย แ ต่ ก ลั บ ให้ ค ว าม ส าคั ญ และพยายามหาวิธีแก้ไขผู้กระทาความผิดตลอดจนให้ความคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ ฉะนั้นในทางกลับกันกระบวนการ ยุติธรรมและสังคมก็ให้ความสาคัญแก่ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมด้วยเหตุนี้ปฏิญญาสากลว่าด้วย หลักความยุติธรรมขั้นพ้ืนฐานของผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมและการใช้อานาจโดยมิชอบ จึงได้กาหนดกรอบและมาตรฐานข้ันต่าให้ประเทศสมาชิกเพ่ือเป็นแนวทางในการดาเนิ นการในการสร้าง หลักประกันสิทธิอันเป็นพ้ืนฐานของผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมในคดีอาญาภายใต้ระบบกฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม การเมืองของแต่ละประเทศ ประกอบกับเหตุเน่ืองจากรัฐมีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกัน อาชญากรรม ดังนั้นรัฐควรต้องรับผิดชอบในการชดเชยตอบแทนความเสียหายแก่ผู้เสียหายเพราะรัฐไม่สามารถ คุ้มครองพลเมืองของตนให้ปลอดภยั จากอาชญากรรมนั้นได้ และการชดเชยความเสียหายจา่ ยค่าตอบแทนโดยรัฐน้ี ยงั เป็นการขยายบริการทางด้านสวัสดิการสงั คมด้วยแนวคิดที่วา่ รฐั สมควรทจ่ี ะตอ้ งให้ความช่วยเหลือแกผ่ ทู้ ่ีต้องการ ความช่วยเหลือโดยเฉพาะผู้ตกเป็นผู้เสียหายจากหรือผู้เสียหายซ่ึงได้รับความเสียหายท่ีไม่อาจหลีกเล่ียงได้ ซึ่งในปฏิญญาสากลว่าด้วยหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการอานวยความยุติธรรมแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจาก อาชญากรรม “ผู้เสียหายจากอาชญากรรม” และการใช้อานาจโดยมิชอบได้กาหนดหลักการชดเชยตอบแทน ความเสียหายโดยรัฐแก่ผู้เสียหายในคดีอาญาไว้ว่าเมื่อการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายไม่สามารถได้รับ ชาระเต็มจานวนจากผู้กระทาความผดิ หรือโดยทางอื่นรฐั ต้องพยายามจัดให้มีการชดเชยความเสียหายทางการเงินโดย ก. ผู้เสียหายท่ีได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือได้รับความเสียหายแก่ร่างกายหรือ จติ ใจอันเปน็ ผลจากการกระทาผดิ อาญาท่รี ้ายแรงและบุคคลดังกลา่ วต้องไม่มีส่วนร่วมในการกระทาผิด ข. ครอบครัวของผู้เสียหายเฉพาะผู้ที่อยู่ในความอุปการะของบุคคลที่ต้องเสียชีวิต หรือไร้ความสามารถอันเนื่องมาจากการตกเป็นผู้เสียหายรัฐต้องสนับสนุนส่งเสริมให้มีกองทุนสาหรับชดเชย ความเสยี หายแกผ่ เู้ สยี หายในคดอี าญาระดบั ชาติ ๑.๔) การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรม (Assistance) ในขณะที่สังคมมุ่งให้การปฏิบัติพัฒนาฟ้ืนฟูจิตใจ รวมท้ังการฝึกอาชีพให้แก่ผู้กระทาผิดเพื่อให้กลับตนเป็นคนดี และอยู่ในสังคมได้ต่อไปส่วนผู้เสียหายหรอื ผู้เสียหายจากอาชญากรรมซ่ึงเป็นผู้ได้รับผลร้ายจากผู้กระทาผิด ดังนั้น ชมุ ชนหรือองค์กรต่าง ๆ จงึ ตอ้ งร่วมมอื ใหค้ วามชว่ ยเหลอื แกผ่ ู้เสียหายหรอื ผู้เสียหายจากอาชญากรรมไม่วา่ ทางด้าน ร่างกาย จติ ใจ ทรพั ยส์ นิ อปุ กรณด์ ารงชีพ ดังน้ันปฏิญญาฯ ได้วางหลักเกณฑ์การช่วยเหลือผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจาก อาชญากรรมดังน้ี ก. ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมควรได้รับสิ่งของที่จาเป็นการได้รับการช่วยเหลือ
๒๐๙ ดา้ นการแพทย์ ด้านสังคมโดยองค์กรของรัฐ ตลอดจนอาสาสมัครชุมชนและท้องถ่ิน ข.ผ้เู สียหายหรือผู้เสียหายจาก อาชญากรรมควรไดร้ บั การแจง้ ขอ้ มูลเกี่ยวกับสาธารณสุข บริการทางสังคมและบรกิ ารอน่ื ๆ ทีจ่ ดั ไว้แลว้ ค. ตารวจ บุคลากรในระบบความยุติธรรมและทางการแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ รวมท้ังบุคลากรที่เก่ียวข้องควรได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้บริการแก่ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอ าชญ ากรรม ตามความเหมาะสมและรวดเร็ว ง. ในการจัดให้บริการและช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายควรได้รับการสงเคราะห์ โดยเฉพาะผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมท่ีต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษเพราะเหตุท่ีได้รับ ความทกุ ข์ทรมานจากความเสียหายหรอื เน่ืองจากปัจจัยต่าง ๆ ๒) หลักการเรื่องความเป็นธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านเครือข่ายเอเชียเพื่อความเป็นธรรม ในระยะเปล่ียนผ่าน (Asia Justice and Rights- AJAR)๒๗๔ ได้นาเสนอทฤษฎีแนวคิดเรื่องความเป็นธรรมในระยะ เปล่ยี นผา่ นไวด้ ังน้ี ในช่วงท่ีประเทศต้องตกอยู่ในความมืดมิดภายใต้เผด็จการและความขัดแย้งการละเมิด สิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงกว้างขวางโดยที่ความจริงจะถูกปิดบังซ่อนเร้นและถูกบิดเบือนแม้หลังจากการเปล่ียนผ่าน ไปสู่ประชาธิปไตยผกู้ ระทาความผิดจานวนมากยังมกั ได้รบั การปกป้องใหล้ อยนวลพ้นผิดในหลายกรณีพวกเขายงั คง อยู่ในอานาจและใชอ้ านาจในการบดิ เบอื นเร่อื งราวของเหตุการณ์ทเ่ี กิดข้นึ สถาบันที่มีอานาจหน้าท่ีในการปกป้องคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ ของประชาชน ก็อ่อนแอหรือพิกลพิการดังนั้นเพื่อที่จะสร้างประชาธิปไตยที่เสรีและมีความรับผิดชอบจะต้องมีการสอบสวนและ เผยแพร่ความจริงว่าได้เกิดอะไรขึ้นและต้องนาตัวผู้กระทาความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผู้เสียหายต้องได้รับ การช่วยเหลือและเชิดชู ทั้งต้องมีการปฏิรูปกฎหมายและสถาบันต่าง ๆ เพ่ือว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างรา้ ยแรงกวา้ งขวางจะไมเ่ กดิ ขน้ึ ซ้าอกี กรอบความคิดเร่อื งความเป็นธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านเป็นเคร่ืองมือสาคัญที่จะช่วยให้เกิด การจัดทาและนายุทธศาสตร์ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพกับประวตั ิศาสตร์ของการละเมดิ สิทธมิ นษุ ยชนอย่างร้ายแรง กว้างขวาง โดยท่ัวไปสามารถแบ่งเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญ ๔ ด้านคือ ๑) การค้นหาความจริง ๒) การนาผู้กระทา ความผิดมาลงโทษ ๓) การช่วยซ่อมสร้างชีวิตและศักดิศรีของผู้เสียหาย (การชดใช้เยียวยา) และ ๔) การสร้าง หลักประกันว่าการละเมิดสิทธ์เิ หล่านั้นจะไม่เกดิ ขึ้นซา้ อกี (การปฏริ ูปเชิงสถาบัน) ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านั้นต่างเชื่อมโยงและส่งผลต่อกันและกัน ดังนั้นวิธีการท่ีมีประสิทธิภาพ ประการหน่ึงคือการพิจารณาจากองค์รวมแล้วตามมาด้วยการพิจารณาจากด้านต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละ บริบท เช่น การพิจารณาถึงความอ่อนไหวทางเพศสภาวะ (Gender) มีความจาเป็นสาหรับการทาความเข้าใจว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นส่งผลท่ีแตกต่างกันอย่างไรต่อผู้หญิงและผู้ชาย และทาให้แน่ใจถึงการมีส่วนร่วมของ ผ้ทู ี่ด้อยโอกาสและคนชายขอบดว้ ยเปน็ ต้น ๒.๑ TRUTH ความจริง การละเมิดสิทธิมนุษยชนท่ีเกดิ ขึ้นอย่างร้ายแรงกว้างขวางนัน้ มิใชส่ ิ่งที่เกิดขนึ้ ครั้งเดยี ว แล้วจบบริบูรณ์ไปได้ แต่มักจะเกิดขึ้นคร้ังแล้วครั้งเล่าในสถานท่ีเดียวกันเป็นวงจรของความรุนแรงปัจจัยหลัก ๒๗๔ https://asia-ajar.org/
๒๑๐ ที่ทาให้เกิดการละเมิดซ้าแล้วซ้าอีกคือการปฏิเสธท่ีจะเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญและตรงไปตรงมากับความจริงของ เหตกุ ารณเ์ กิดข้นึ การเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยตัวของมันเองไม่ได้ ขจัดรากเหง้าและเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิชนอย่างรา้ ยแรงกว้างขวางน้ันให้ยุติลง หรือสามารถ คิดบัญชีเอากับผู้กระทาความผิดทัง้ ทางตรงหรือทางออ้ มในวงจรของความรุนแรงทีเ่ กิดข้ึนได้ บุคคลดังกล่าวยังคงมี อานาจอยู่อย่างล้นเหลือจึงเป็นไปไม่ได้ที่สังคมจะทาให้วงจรอุบาทยุติลงได้โดยปราศจากการเผชิญหน้าและเรียนรู้ ความจริงว่าได้เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นผู้ต้องรับผิดชอบ ผลกระทบต่อผู้เสียหาย รวมท้ังปัญหารากเหง้าของความ รนุ แรงที่เกดิ ขน้ึ ด้วย รัฐบาลและภาคประชาสังคมอาจมีวิธีการที่แตกต่างกันเก่ียวกับการหาความจริงของ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงกว้างขวางที่เกิดข้ึน การค้นหาความจริงอาจทาได้ท้ังท่ีเป็นทางการและ ไม่เป็นทางการ การค้นหาความจริงอย่างเป็นทางการอาจทาโดยคณะกรรมการตรวจสอบค้นหาความจริงและ การปรองดองหรือคณะกรรมการค้นหาความจริง การสืบสวนโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ การค้นหา ความจรงิ การสบื สวนสอบสวนคดที างอาญา และคณะกรรมการสอบสวนท่ีจดั ตัง้ ข้นึ โดยรฐั บาล เปน็ ตน้ การค้นหาความจริงอย่างไม่เป็นทางการนั้น รวมถึงการจดบันทึกการละเมิดสิทธิ ในระดับรากหญ้าของรายงานของภาคประชาสังคม รายงานเชิงสืบสวนของสื่อมวลชน ภาพยนตร์สารคดี รายงาน ของสถานีวิทยุ และงานวิจัยทางวิชาการ ในบางสถานการณ์ท่ีรัฐบาลไม่ดาเนินการภาคประชาสังคมอาจจัดตั้ง คณะกรรมการอย่างไม่เป็นทางการข้ึน การจัดศาลจาลองหรือศาลประชาชน เช่น การดาเนินการท่ีกรุงโตเกียว เมื่อปีค.ศ. ๒๐๐๐ ที่มีการพิจารณาคดีการข่มขืนสตรีจานวนมากโดยทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกคร้ังที่ ๒ ท่ีเรียกว่า Comfort Woman หรือศาลจาลองที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปีค.ศ. ๒๐๑๕ ท่ีมีการพิจารณา คดกี ารสังหารหมูป่ ระชาชนที่เกิดข้ึนอย่างกวา้ งขวางจานวนมากถึง ๕ แสนคนในประเทศอนิ โดนีเซยี เม่ือปี ค.ศ. ๑๙๖๕ ๒.๒) PROSECUTIONS การดาเนนิ คดีอาญาตอ่ ผู้กระทาผดิ ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติน้ันการที่บรรดาผู้นาประเทศตัดสินใจที่จะละเมิด สทิ ธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงกว้างขวางก็เพราะมนั่ ใจว่าพวกเขาจะไม่ถูกดาเนินการในทางกฎหมายต่ออาชญากรรม ที่เขาก่อขึ้น การปล่อยให้คนผิดลอยนวลพ้นผิดกลายเป็นปัจจัยท่ีสาคัญที่ทาให้การละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างร้ายแรงเกิดข้ึนซ้าแล้วซ้าอีกในหลาย ๆ ที่ การดาเนินคดีทางอาญาต่อผู้ท่ีต้องรับผิดชอบต่อการละเมิด สิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง หมายรวมถึงการดาเนินคดีผู้ที่ละเมิดกฎหมายอาญาระหว่างประเทศนั้นมีส่วนสาคัญ ในการทาให้การก่ออาชญากรรมละเมิดสิทธิมนุษยชนลดลง และเป็นการส่งเสริมหลักนิติธรรม/นิติรัฐให้กลับมามี ความน่าเชื่อถืออีกครั้ง รวมท้ังเป็นการส่งสัญญาณท่ีสาคัญให้กับสังคมโดยเฉพาะชนชั้นนาเจ้าหน้าที่ฝ่ายความ ม่ันคงและประชาชนท่ัวไปว่าทุกคนจะถูกดาเนินคดีอย่างเสมอหน้ากัน ถ้าได้มีส่วนร่วมในการกระทาละเมิด สิทธมิ นษุ ยชน อาชญากรรมท่ีละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงกว้างขวางตามกฎหมายอาญาระหว่าง ประเทศท่ีสาคญั ได้แก่ : - ก. อาชญากรรมล้างเผ่าพันธุ์ : คือการกระทาอาชญากรรมท่ีมีเจตนาที่จะทาลาย ทัง้ หมดหรอื ส่วนใดสว่ นหนึ่งของกลุ่มชนชาติ ชาติพันธ์ุ เช้ือชาติหรอื กลุ่มศาสนา การกระทาเหล่าน้นั ไม่จากดั อยู่แต่
๒๑๑ เฉพาะการฆาตกรรม การทาร้ายร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง การพรากเด็กไปเสียจากครอบครัวโดยการบังคับ หรือมาตรการอืน่ ใดท่ีนามาใช้โดยเจตนาทจ่ี ะกีดกนั ไม่ให้มกี ารเกิดในกลมุ่ ชนชาติ ชาติพันธ์ุ เชอ้ื ชาติหรือกลมุ่ ศาสนา ข. อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ : เป็นการกระทาอาชญากรรมท่เี กดิ ขน้ึ อย่างกวา้ งขวาง หรืออย่างเป็นระบบต่อกลุ่มประชากรท่ีเป็นพลเรือน การกระทาเหล่าน้ันไม่จากัดอยู่แต่เฉพาะการฆาตกรรม การควบคุมตวั การทรมาน การข่มขืนกระทาชาเรา การบังคับให้เป็นทาสบาเรอกาม และการบงั คับให้สญู หาย ค. อาชญากรรมสงคราม : เป็นการกระทาอาชญากรรมท่ีเกิดข้ึนในภาวะที่มี ความขัดแย้งทางอาวุธซ่ึงเป็นการละเมิดกฎหมายและจารีตประเพณีของการทาสงคราม การกระทาเหล่าน้ัน ไม่จากัดอยู่แต่เฉพาะการฆาตกรรมหมายรวมถึงการตัดอวัยวะ การทรมาน การปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม การข่มขนื กระทาชาเรา และการเอาคนลงเปน็ ทาส ง. อาชญากรรมรุกราน : เป็นการวางแผน เตรียมการ ริเริ่ม และการใช้กาลังอาวุธ โดยรัฐใดรัฐหน่ึงต่ออธิปไตย อาณาเขตหรือความเป็นอิสระในทางการเมืองของอีกรัฐหน่ึงหรือในลักษณะ ท่ีไม่สอดคล้องกับกฎบัตรองค์การสหประชาชาติผู้ที่จะก่ออาชญากรรมลักษณะน้ีซึ่งอาจรวมถึงประมุขของรัฐ จะตอ้ งเป็นผทู้ ี่มอี านาจควบคมุ ทางการเมืองและทางทหารของรฐั นัน้ น้ัน ผกู้ ่ออาชญากรรมเหล่านี้อาจจะถูกดาเนินคดีได้ทั้งโดยศาลอาญาระหวา่ งประเทศ ศาลผสมระหว่างประเทศและในประเทศนั้นหรือโดยศาลในประเทศ เช่น ศาลอาญาระหว่างประเทศ ( ICC) เป็นศาลอาญาระหว่างประเทศที่ต้ังอย่างถาวร อยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ จัดต้ังขึ้นตั้งแต่ปี ๒๐๐๒ ภายหลังจากท่ีประเทศต่าง ๆ ๑๒๐ ประเทศได้ลงนามในธรรมนูญกรุงโรมท่ีให้จัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศน้ี ขน้ึ กอ่ นท่ีจะมีการต้ังศาลอาญาระหวา่ งน้ไี ดม้ ีการจัดต้ังศาลเฉพาะกิจข้ึนมาสองแห่ง คือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ สาหรับอดีตยูโกสลาเวีย (ICTY) และศาลอาญาระหว่างประเทศสาหรับรวันดา (ICTR) ซ่ึงจัดตั้งขึ้นโดยมติของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ศาลอาญาระหวา่ งประเทศ (ICC) มีเขตอานาจเหนืออาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนภายในอาณาเขตของรัฐภาคีธรรมนูญกรุงโรมและภายใต้เงื่อนไขบางประการท่ีเกิดข้ึนในอาณาเขตของ ประเทศที่ไม่ได้เปน็ ภาคีด้วย โดยมีการกาหนดอานาจหน้าที่ของศาลอาญาระหวา่ งประเทศรวมทั้งหลักการทีส่ าคัญดงั น้ี • เป็นศาลทดแทน : กล่าวคือศาลอาญาระหว่างประเทศจะทาหน้าที่ก็ต่อเม่ือรัฐ หน่ึง ๆ น้ันไม่เต็มใจ (unwilling) หรือไม่สามารถ (unable) ที่จะสืบสวนสอบสวนและฟ้องร้องดาเนินคดีผู้กระทา ผดิ อาชญากรรมทั้งส่ีดงั กล่าวขา้ งตน้ • ไม่ดาเนินคดีความผิดย้อนหลัง : กล่าวคือมีอานาจหน้าท่ีในการพิจารณาคดี เฉพาะอาชญากรรมท่ีเกิดข้ึนหลังจากการจัดต้ังศาลในปี ๒๐๐๒ หรือสาหรับรัฐที่เข้าร่วมศาลในภายหลัง คืออาชญากรรมที่เกดิ ขึ้นเมือ่ รัฐภาคีได้ให้สัตยาบนั ธรรมนูญกรงุ โรมแลว้ • เข้าเป็นภาคีด้วยความสมัครใจ : อานาจหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศ จ ะ มี เฉ พ า ะ ต่ อ ป ร ะ เท ศ ท่ี ส มั ค ร ใจ เข้ า เป็ น ภ าคี ข อ งธ ร ร ม นู ญ ก รุ งโร ม แ ต่ ก็ มี ข้ อ ย ก เว้ น ก ฎ ดั ง ก ล่ าว นี้ เช่ น กั น หากในสภาวการณ์ท่ีแน่นอนหน่ึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอาจขอให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ ทาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมท่ีเกิดข้นึ แม้ว่าประเทศท่เี ข้าไปเกยี่ วข้องกบั อาชญากรรมดังกล่าวจะไม่ได้เป็น ภาคีของธรรมนูญกรุงโรมก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในกรณีดังกล่าวประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความม่ันคง ประเทศใดประเทศหน่ึง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน สหราชอาณาจักรหรือฝร่ังเศส ก็อาจใช้สิทธิยับย้ัง มติดังกล่าวได้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความม่ันคงหน่ึงหรือมากกว่าหนึ่งประเทศได้ใช้
๒๑๒ สิทธิยับยั้งไม่ให้มีการดาเนินคดีกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงบางคดีแล้ว ศาลผสมระหว่างประเทศและ ในประเทศ คือ ศาลที่มีทั้งผู้พิพากษา อัยการและพนักงานสอบสวนระหว่างประเทศร่วมกับของประเทศน้ัน ยกตัวอย่างเช่นศาลพิเศษสาหรับประเทศเซียรา ลีโอน ศาลพิเศษในกรณีกัมพูชาศาลพิเศษสาหรับเลบานอนและ ศาลพเิ ศษในตมิ อร์ตะวันออก ศาลในประเทศ : อาจพิจารณาคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศท้ังส่ีดังกล่าว ข้างตน้ ด้วยหากอาชญากรรมเหลา่ นัน้ เป็นความผดิ ตามกฎหมายของประเทศตนดว้ ย ตวั อย่างไดแ้ ก่อนิ โดนีเซยี และ บงั คลาเทศ ท่ีไดต้ รากฎหมายในประเทศและจดั ตง้ั ศาลในประเทศขึ้นเพ่ือท่จี ะพจิ ารณาคดีอาชญากรรมท่ีรา้ ยแรง ข้อดีบางประการของศาลระหว่างประเทศคือ มีความเชี่ยวชาญสูงในด้าน กฎหมายและมีความเป็นภาวะวิสัยอย่างไรก็ตามการดาเนินงานมีค่าใช้จ่ายสูงมากและดาเนินคดีในสถานท่ี ที่ห่างไกลจากผู้ที่ถูกละเมิดซึ่งมีความจาเป็นท่ีจะต้องเรียนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนศาลผสมและศาลในประเทศ สามารถท่ีจะดาเนินคดี ณ สถานที่ท่ีอาชญากรรมนั้นเกิดข้ึนและสามารถให้ประชาชนเข้ามามีส่วนเก่ียวข้อง ได้มากกว่าทั้งค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก อย่างไรก็ตามศาลในประเทศมักจะต้องต่อสู้กับอิทธิพลทางการเมืองท้ังศักยภาพ ของระบบการอานวยความยุตธิ รรมยังต่าไมเ่ พียงพอทจี่ ะดาเนินคดีอาชญากรรมระหวา่ งประเทศท่ีมีความซับซ้อนได้ เขตสากลของศาล คือ อานาจของรัฐต่าง ๆ ท่ีจะฟ้องร้องดาเนินคดีต่อผู้กระทา ผิดร้ายแรงไม่ว่าจะเกิดข้ึน ณ ที่ใด หรือต่อใคร รัฐท่ีมีกฎหมายของประเทศท่ีให้ศาลมีเขตอานาจสากลสามารถ ทจี่ ะจับกมุ และฟ้องร้องดาเนินคดีผู้ต้องหาว่าเป็นผู้กระทาผิดได้ แม้ว่าการกระทาผิดนน้ั จะเกิดขึน้ นอกเขตแดนของ ประเทศนน้ั ก็ตาม ๒.๓) REPARATIONS การชดใช้เยียวยา การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางรุนแรงและการปกครองโดยระบอบ อานาจนิยมเป็นเวลาหลาย ๆ ปี ได้ทาใหค้ วามสัมพันธร์ ะหว่างรัฐกับประชาชนเสียหายการที่จะฟืน้ ฟูความสัมพันธ์ กลับมาได้รัฐบาลจะต้องส่งสารแสดงออกถึงความห่วงใยและยอมรับผิดท่ีรัฐล้มเหลวในการทาหน้าที่อันสาคัญของ รัฐในการปกป้องคุ้มครองประชาชนของตนจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงกว้างขวางสิ่งนี้เป็นส่ิงที่สาคัญ มากยิ่งขึน้ ในกรณีท่ีเจ้าหน้าทร่ี ัฐเข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องโดยเป็นผลู้ ะเมิดเสียเองกญุ แจสาคัญในการทาหน้าทีน่ ้ีของรัฐ คอื การดาเนินการอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพเพื่อชว่ ยบูรณะผเู้ สยี หายและครอบครวั หรอื ชดใช้เยยี วยาพวกเขา โครงการท่จี ดั ให้สาหรบั การชดใช้เยียวยา อาจรวมถึงสง่ิ ตอ่ ไปน้ี • ค่าชดเชยความสูญเสยี หรือเสยี หายต่อชวี ิตของผเู้ สยี หาย • การทาให้กลับสู่สถานเดิม คือ ความช่วยเหลือท่ีจะให้ผู้เสียหายสามารถกลับไปสู่ สถานดังเดมิ เช่นเดียวกบั ก่อนทจี่ ะมีการละเมดิ สทิ ธมิ นุษยชนเกดิ ขึ้น • การฟื้นฟูเยียวยาซ่ึงรวมถึงการจัดให้มีการรักษาพยาบาล การเยียวยาทางด้าน จิตใจ การชว่ ยเหลอื ทางด้านกฎหมายและการให้บรกิ ารทางสงั คมอื่น ๆ • การทาให้พงึ พอใจ ซึ่งหมายรวมถงึ การยอมรับรู้ในความเศร้าโศก และการราลกึ • การปฏิรูปอย่างได้ผลเพ่ือเป็นหลักประกันผู้เสียหายว่าเหตุการณ์อันเลวร้ายน้ันจะไม่ เกิดซา้ รอย การชดใช้เยียวยาอาจหมายถึงในด้านวัตถุ ในเชิงสัญลักษณ์ การชดเชยเยียวยาต่อ บุคคลหรือต่อกลมุ่ คน
๒๑๓ • การชดใช้เยียวยาด้านวัตถุรวมทั้งการจ่ายเงิน การให้เงินบานาญ การจัดให้มีการ รกั ษาพยาบาลฟรี ทุนการศกึ ษา การอบรมอาชพี หรอื แม้แตก่ ารใหส้ นิ เช่อื ขนาดย่อม • การเยียวยาเชิงสัญ ลักษ ณ์ นั้ น แสดงให้ เห็ น ว่าสาธารณ ะช นยอมรับ รู้ ในประสบการณ์ท่ีเลวร้ายของผู้เสียหายโดยอาจรวมถึงการสร้างอนุสรณ์สถานเพ่ือระลึกถึง การต้ังช่ือสาธารณะ สถานเพ่อื ราลกึ ถึง การขอโทษโดยรัฐและผ้ลู ะเมดิ รวมทง้ั การจัดใหม้ วี นั ราลึกถงึ เหตุการณ์น้นั ๆ • การชดใช้เยียวยาบุคคลเป็นการรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดข้ึนต่อผู้เสียหาย เปน็ รายบคุ คลและจดั ให้มีการชดใช้เยียวยาโดยให้สิทธปิ ระโยชนท์ างสงั คมและทางเศรษฐกิจแก่พวกเขา • การชดใช้เยียวยาเป็นกลุ่มเป็นการจัดให้มีสิทธปิ ระโยชน์แก่กลุ่มประชาชนท่ีได้รับ ผลกระทบจากการละเมิดสทิ ธมิ นุษยชนในลักษณะเป็นกลมุ่ ของบุคคลที่ประสบชะตากรรมในลกั ษณะเดียวกัน โครงการชดใช้เยียวยาจะต้องให้ผู้เสียหายเข้ามามีส่วนร่วมและมีลักษณะเป็นการ เสริมสร้างพลังของพวกเขาซ่ึงไม่ใช่แค่การให้สิทธิประโยชน์โดยท่ีไม่มีการยอมรับความจริงว่ามีเหตุการณ์ละเมิด สิทธิเกิดขึ้นจริงรัฐมีพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศท่ีจะจัดให้มีการชดใช้เยียวยา อย่างไรก็ตาม หากรัฐ ลม้ เหลวท่จี ะปฏิบัตติ ามพนั ธกรณีดังกลา่ วภาคประชาสังคมก็อาจจะรเิ ริ่มทีจ่ ะจัดให้มโี ครงการชดใชเ้ ยยี วยาในระดับ ชุมชนเพ่อื ที่จะแสวงหาการยอมรบั และความช่วยเหลือต่อผู้เสยี หายได้ ๒.๔) GUARANTEES OF NON-REPETITION (INSTITUTIONAL REFORM) การประกัน ว่าจะไม่เกิดการละเมดิ ซา้ อีก (การปฏิรูปเชงิ สถาบนั ) องค์ประกอบสามเร่ืองของความเป็นธรรมในระยะเปล่ียนผ่านไป คือ การค้นหา ความจริงของการละเมิดสิทธิมนุษยชน การฟ้องร้องดาเนินคดีผู้ละเมิดและการชดใช้เยียวยาผู้เสียหายของการ ละเมิดเป็นการดาเนินการต่อเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีตองค์ประกอบที่ส่ีเน้นท่ีการปฏิรูปเชิงสถาบัน ซึ่งเป็น เร่ืองทเ่ี ก่ียวกับอนาคต การเปิดเผยความจริงเก่ียวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตจะต้องถูกนามาใช้เป็นพื้นฐานในการ ปฏิรูปเชิงกฎหมายและสถาบันท่ีจาเปน็ เพ่ือท่ีจะประกันวา่ การละเมิดสิทธมิ นุษยชนอย่างร้ายแรง ท้ังตอ่ บุคคลหรือ ชุมชนจะไมเ่ กดิ ซา้ อีก การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอันเป็นสิ่งจาเป็นเพื่อประกันว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชน จะไม่เกิดซ้าอีกนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับบริบทต่าง ๆ สถาบันหรือระบบที่มีความจาเป็นท่ีจะต้องปฏิรูป อาทิเช่น รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เก่ียวข้อง หน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น กองทัพ ตารวจ และหน่วยงานข่าวกรอง สถาบันการศกึ ษา ระบบการเมอื ง สถาบนั ตุลาการ ส่อื มวลชน เปน็ ต้น ทุกภาคส่วนมีความจาเป็นต้องผลักดัน โดยห้ามไม่ให้ผู้มีส่วนร่วมในการกระทาผิด ดารงตาแหน่งหน้าที่สาธารณะอีกต่อไปข้ันตอนต่าง ๆ ที่ขจัดการเลือกปฏิบัติหรืออคติท่ีมีต่อผู้ที่ได้ถูกกดขี่ข่มเหง เป็นการเสรมิ สรา้ งรากฐานให้แก่การสรา้ งสังคมใหม่ที่ทกุ คนมเี สรภี าพและความเสมอภาค กล่าวโดยสรุปการเยียวยาตามหลักการความเป็นธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน เป็นการดาเนินการเยียวยาและฟ้ืนฟูบุคคลสังคมองค์กร และสถาบันท่ีได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือเป็น ผเู้ สียหายจากอาชญากรรมธรรมดาและทเ่ี กิดขนึ้ โดยตรงหรือกระทาที่อาจมีแรงจูงใจทางการเมืองเป็นหนา้ ท่ขี องรัฐ รัฐมีความรับผิดชอบในการประกันให้พลเมืองทุกคนในเขตแดนของตนเข้าถึงสิทธิมนุษยชน และประกันว่าผู้ท่ี ถกู ละเมิดทุกคนจะได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมหน้าท่ีดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากทั้งตัวบทกฎหมายที่กาหนดไว้
๒๑๔ หรือเป็นผลมาจากความเป็นธรรมในขั้นพื้นฐานที่มีต่อผู้เสียหายซึ่งควรได้รับการปฏิบัติเสมอเหมือนกันไม่ว่า ผูก้ ระทาผดิ จะเป็นใครเนือ่ งจากอยู่ในการควบคมุ ของรฐั ๒๗๕ โดยเฉพาะในช่วงเวลาความขัดแย้งหรือการใช้อานาจรัฐท่ีไม่เป็นธรรม จาก บางหน่วยงานของรฐั เม่ือรัฐในบางห้วงเวลาหรือบางหน่วยงานเลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง การละเมิดสิทธิมนุษยชนอาจเกิดข้ึนให้เกิดผู้เสียหายจากอาชญากรรมธรรมดาและที่เกิดข้ึนโดยตรงหรือกระทา ที่อาจมีแรงจูงใจทางการเมืองเป็นหน้าท่ีของรัฐผู้เสียหายเหล่านี้อาจเสียชีวิตไป บาดเจ็บรา่ งกาย จิตใจ ความทุกข์ ทรมานทางอารมณ์ หรือร่างกายพกิ าร ถูกจับกุมดาเนนิ คดี ไม่ไดร้ ับการประกันตวั การสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ หรือสูญเสียสิทธิข้ึนพื้นฐานอื่น ๆ อาจเกิดจากการกระทาหรือละเว้นการกระทาที่เป็นการละเมิดกฎหมาย สิทธิมนุษยชนขั้นตน้ หรือการละเมิดสิทธิมนษุ ยชนขนั้ ร้ายแรงส่งผลต่อครอบครัวหรือบุคคลที่อยู่ในการดแู ลอุปการะ ของผู้เสียหายโดยตรง และบุคคลผู้ได้รับความเดือดร้อนอันตรายจากการแทรกแซงช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นผู้เสียหาย หรือจากการปกป้องผู้ท่ีตกเป็นผู้เสียหาย๒๗๖คาถามทางทฤษฎีที่สาคัญของการเยียวยาคือเราจะฟื้นฟูผู้เสียหาย ได้อย่างไร? เราจะคืนความไว้วางใจไดอ้ ย่างไร? เราจะม่นั ใจได้อย่างไรว่าเหตุการณอ์ ย่างนี้จะไมเ่ กิดขึน้ อีก คอป. ได้เสนอแนวทางการเยียวยาบุคคลท่ีเข้าข่ายได้รับการชดเชยท้ังผู้เสยี หายจาก อาชญากรรมธรรมดาและท่ีเกิดขึ้นโดยตรงหรือกระทาที่อาจมีแรงจูงใจทางการเมืองเป็นหน้าท่ีของรัฐโดยแบ่งเป็น ๒ ลักษณะดว้ ยกันคอื ๒๗๗ ๑. แบบเป็นรายบุคคลมาตรการแบบรายบุคคลจะต้องอาศัยการจาแนกบุคคล อย่างแม่นยา ทั้งน้ี เพ่ือให้ทั้งบุคคลดังกล่าวได้เข้าถึงความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม มาตรการรายบุคคล มีความสาคัญเน่ืองจากมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศมักจะกาหนดการเยียวยารายบุคคลเป็นหลั ก เนื่องจากเป็นการเน้นย้าถึงคุณค่าของมนุษย์แต่ละคนและสถานภาพของความเป็นผู้ทรงสิทธิหลีกเลี่ยงการมอง อย่างเหมารวมต่อผู้เสียหายท่ีอาจเป็นการลดทอนคุณค่าของการเยียวยาแต่ในอีกแง่หน่ึงเนื่องจากสภาพการณ์ ที่แตกต่างกันในแต่ละกรณีและแนวทางการปฏิบัติท่ีไม่เหมือนกัน มาตรการรายบุคคลอาจทาให้เกิดการเลือก ปฏิบัติได้เป็นเหตุให้ผู้เสียหายบางกลุ่มหรือบางชุมชนอาจได้รับการเยียวยา ในขณะท่ีผู้เสียหายหรือสมาชิกชุมชน คนอ่ืน ๆ อาจไมไ่ ด้รบั การเยียวยาซ่งึ อาจทาใหเ้ กิดความตึงเครียดในชมุ ชนเพิม่ มากข้นึ ได้ ๒. แบบเปน็ กลุ่ม มาตรการแบบกลุ่มม่งุ ให้ประโยชน์ต่อบุคคลท่ีได้รับผลกระทบจาก การละเมิดสิทธิมนุษยชนในข้อจากัดที่ไม่สามารถพิสูจน์ตัวบุคคลได้ชัดเจนหรือมีจานวนมาก ยกตัวอย่างเช่น มาตรการเยียวยาแบบกลุ่มอาจมุ่งแก้ปัญหาเชิงอัตลักษณ์อันเน่ืองมาจากการละเมิดของบุคคล หรือการละเมิด บางประเภทท่ีไม่สามารถตมี ูลค่าความเสียหายเป็นตัวบุคคลได้มีการทาลายกลุ่ม เช่น องค์กรหรือหมู่บ้านในบริบท เช่นน้ีการเยียวยาแบบกลุ่มอาจเป็นการแก้ปัญหาท่ีดีต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในลักษณะของการคืนโครงสร้าง พ้ืนฐานของชุมชน การฟ้ืนคืนความเสียหายท่ีมีต่ออัตลักษณ์และความเชื่อมั่น อย่างไรก็ตาม การเยียวยาแบบกลุ่ม พบว่ามีปัญหาในหลายกรณีเพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการภายในอันเป็นผลมาจากการละเมิดและ ความทุกข์ท่ีเกิดข้ึนและบ่อยครั้งไม่ใช่เร่ืองงา่ ยท่ีจะจาแนกวา่ ชมุ ชนใดจะได้รบั ประโยชน์หรือจะหาเหตุผลท่ีเลือกให้ บางชุมชนหรือชุมชนอ่ืน นอกจากน้ันวิธีการเยียวยาเช่นนี้ยังอาจถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง อย่างไรในด้าน ๒๗๕ หน้า ๒๒๑ รายงาน คอป. ๒๗๖ หนา้ ๒๒๐ รายงาน คอป. ๒๗๗ หนา้ ๒๒๐ รายงานคอป.
๒๑๕ กลับกนั ในบางกรณีของการเยียวยาแบบกลุ่มอาจช่วยสง่ เสริมความสามัคคีในชุมชนและลดความตงึ เครยี ดลงได้จาก การศึกษาพบว่าการผสมผสานมาตรการเยียวยาทั้งแบบตรงและแบบกลุ่มตามสถานการณ์เป็นกรณีไปจะเป็น วิธีการทีด่ ีทสี่ ดุ ภายใตส้ ถานการณ์ทห่ี ลากหลายและงบประมาณในการเยยี วยามีอยูจ่ ากดั การเยียวยาเป็นเร่ืองเกี่ยวกับการสร้างความเช่ือมั่นระหว่างผู้เสียหาย สังคมและรัฐ ยกตัวอย่างเช่นในเอเชียมีเพียงไม่ก่ีประเทศท่ีในเร่ืองโครงการเยียวยาอย่างในประเทศไทยเท่าท่ีที่ทบทวนเอกสาร และเหตุการณ์ท่ีเก่ียวข้องประเทศไทยมีออกกฎหมายเฉพาะในเรื่องการช่วยเหลือผู้เสียหายจากอาชญากรรม ธรรมดาอย่างน้อยสองฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลย ในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ) และพระราชบัญญัติ กองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ (พรบ.กองทุนยุติธรรม) เป็นต้น และมีแนวนโยบายการปฏิบัติของรัฐในการแก้ไข เหตุการณท์ างการเมืองสาคัญหลายเหตุการณเ์ พื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาและชดเชยทางการเงนิ ท่ผี ่านมาอย่างมี นยั สาคัญ เช่น นโยบายต่อสู้เพื่อการเอาชนะคอมมิวนิสต์ มติคณะรัฐมนตรี ๖๖/๒๕๒๓๒๗๘ นโยบายต่อเหตุการณ์ พฤษภา พ.ศ. ๒๕๓๕ นโยบายต่อการปราบปรามยาเสพติด ปี ๒๕๔๓ นโยบายต่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ภายใตม้ ติคณะรฐั มนตรปี ี ๒๕๕๕ และนโยบายต่อเหตุการณท์ างการเมืองระหวา่ งปี ๒๕๔๘-๒๕๕๓ เป็นตน้ ตัวอย่างในประเทศฟิลิปปินส์ แทนคณะกรรมการตรวจสอบค้นหาความจริง ตัวอย่างเช่น ในประเทศฟิลปิ ปินส์ท่ีก่อตั้งข้ึนเป็นคณะกรรมการเรื่องธรรมาภิบาลที่จัดตั้งโดยอานาจประธานาธิบดี ซึ่งมีหน้าที่หลักในการหาทรัพย์สมบัติที่ปล้นไปโดยนายมาร์กอสและพวกพ้อง ผู้ร้องเรียนหลายพันราย ผู้เสียหาย จากผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสมัยของมาร์กอสได้ย่ืนคาร้องแล้วพวกเขาให้ถ้อยคา พร้อมให้ เอกสารต่าง ๆ ไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงมีองค์ประกอบค้นหาความจริงแต่วัตถุประสงค์หลักของคณะกรรมการ เรยี กรอ้ งคือการเยยี วยาเทา่ นนั้ คือมอบเงนิ ชดเชยต่อผเู้ สียหายจากการละเมิดต่าง ๆ ในบางประเทศท่ีไม่มีโครงการเยียวยาภาคประชาสงั คมและผู้เสียหายได้เป็นผนู้ าเราได้ ACbit เพ่ือสนับสนุนผู้เสียหายหลังจากกระบวนการตรวจสอบค้นหาความจริงและดาเนินการผลักดันให้เกิดการ ปฏิบัตติ ามขอ้ เสนอแนะ เช่น โครงการในประเทศตมิ อร์ตะวันออกหรือติมอร์ - เลสเต วัตถปุ ระสงคห์ ลกั ของ ACbit คือการช่วยเหลือผู้หญิงท่ีรอดชีวิตจากความขัดแย้งในอดีต รวมถึงช่วยลูก ๆ ของพวกเธอด้วย และทางาน เป็นสะพานเช่ือมและผู้แนะนาพวกเขาในการหาทางแก้ปัญหาของตัวเอง ความกดดันจาก ACbit และผู้รอดชีวิต นาไปสู่การจัดตั้งสถาบันเพื่อการติดตามผลจากเหตุการณ์ความรุนแรงไปแล้ว ๑๑ ปีหลังจากท่ีคณะกรรมการ ตรวจสอบค้นหาความจริงได้ทาหน้าท่ีท่ีได้รับมอบหมายสมบูรณ์แล้วโครงการ Centro Chega! ถูกก่อตั้งท่ีติมอร์ - เลสเต เพ่ือจะรับข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการตรวจสอบค้นหาความจริง ท่ีจะดูแลรักษาผู้ได้รับความเสียหาย จากเหตกุ ารณค์ วามรุนแรงช่วง ๑๙๗๔ - ๑๙๙๙ และผูท้ ไ่ี มไ่ ด้รับการช่วยเหลือใด ๆ จากรัฐในท่ีสุดแลว้ แม้โครงการ เยียวยาไม่สามารถทาเวลาให้หวนกลับมาได้แต่ทาให้ผู้เสียหายผู้เสียหายไม่ถูกลืมทั้งเขาและครอบครัวเขา ต้องได้รับการยอมรับถึงเหตุการณ์อันโหดร้ายที่ไม่อาจพรรณนาได้ที่พวกเขาต้องทนมา พวกเขาต้องไม่ถูกทอดทิ้ง ให้เผชิญกบั ผลของความขัดแย้งและสงคราม ๒๗๘ นายกรัฐมนตรี. (๒ ๓ เมษ ายน ๒ ๕ ๒ ๓ ) คาส่ังนายกรัฐมนตรีท่ี ๖ ๖ /๒ ๕ ๒ ๓ นโยบ ายการต่อสู้เพ่ือเอาชนะคอมมิวนิสต์ , จาก http://prachatai.org/journal/๒๐๑๗/๐๑/๖๙๗๙๐
๒๑๖ ๒.๒ ประเทศไทยกับการคุ้มครองทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญ๒๗๙กรณีคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายใน คดีอาญาในปจั จบุ ัน ส่วนท่หี นงึ่ : กฎหมายที่ใช้ค้มุ ครองสทิ ธผิ เู้ สยี หายในคดอี าญาในปจั จบุ นั การเยียวยาผู้เสียหายจากอาชญากรรมธรรมดาและที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือกระทาที่อาจมีแรงจูงใจ ทางการเมืองในประเทศไทยได้กาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๒๔๕ และมาตรา ๒๔๖ มาตรา ๒๔๕ บุคคลซึ่งเปนผูเสียหายในคดีอาญามีสิทธิไดรับความคุมครองการปฏิบัติที่เหมาะสม และคาตอบแทนที่จาเปนและสมควรจากรฐั ทั้งน้ีตามท่ีกฎหมายบัญญัตบิ ุคคลใดไดรับความเสยี หายถึงแกชวี ิตหรือ แกรางกายหรือจิตใจเนื่องจากการกระทาความผิดอาญาของผูอื่นโดยตนมิไดมีสวนเก่ียวของกับการกระทาความผิดนั้น และไมมีโอกาสไดรับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอื่นบุคคลนั้นหรือทายาทยอมมีสิทธิไดรับความชวยเหลือ จากรฐั ทงั้ น้ีตามเง่ือนไขและวธิ กี ารที่กฎหมายบัญญตั ิ มาตรา ๒๔๖ บุคคลใดตกเปนจาเลยในคดีอาญา และถูกคุมขังระหวางการพิจารณาคดีหากปรากฏ ตามคาพิพากษาอันถึงท่ีสุดในคดีนั้น วาขอเท็จจริงฟงเปนยุติวาจาเลยมิไดเปนผูกระทาความผิด หรือการกระทา ของจาเลยไมเปนความผิด บุคคลน้ันยอมมีสิทธิไดรับคาทดแทนและคาใชจายตามสมควร ตลอดจนบรรดาสิทธิ ท่ีเสียไปเพราะการน้ันคนื ทัง้ น้ีตามเง่ือนไขและวิธกี ารทกี่ ฎหมายบัญญตั ิ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ รฐั สภาในสมัยนั้นจงึ ได้ตราพระราชบัญญตั ิค่าตอบแทนผูเ้ สียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวง ยุติธรรม โดยได้ให้คาจากัดความของ “ผู้เสียหาย” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต หรือร่างกายหรือจิตใจเน่ืองจากการกระทาความผิดอาญาของผู้อ่ืน โดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ การกระทา ความผิดน้ัน (มาตรา ๓) และให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้เสียหายหรือทายาทซ่ึงได้รับความเสียหายที่มาร้องทุกข์ ดังกลา่ วทราบถึงสิทธิการได้รับคา่ ตอบแทนตามพระราชบัญญัติน้ีในคดีท่ีพนักงานอัยการเป็นโจทก์และศาลมีคาส่ัง อนุญาตให้ถอนฟ้องหรือศาลมีคาพิพากษายกฟ้องให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปล่อยตัวจาเลย บันทึกรายละเอียดการแจ้งน้ันไว้ในสานวนคดีหรือทะเบียนประวัติของจาเลยซึ่งตนรับผิดชอบด้วย แล้วแต่กรณี (มาตรา ๖/๑) ส่วนค่าตอบแทนที่ผู้เสียหาย อันอาจขอรบั ค่าตอบแทนได้ตอ้ งเป็นความผิดตามรายการที่ระบไุ วท้ ้าย พระราชบัญญัตินี้โดยค่าตอบแทนตาม ได้แก่ (๑) ค่าใช้จ่ายที่จาเป็นในการรักษาพยาบาลรวมท้ังค่าฟื้นฟู สมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ (๒) ค่าตอบแทนในกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตายจานวนไม่เกินท่ีกาหนด ในกฎกระทรวง (๓) ค่าขาดประโยชนทามาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ (๔) ค่าตอบแทนความเสียหายอ่ืนตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร ท้ังนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราที่กาหนด ในกฎกระทรวง คณะกรรมการจะกาหนดให้ผเู้ สียหายไดร้ ับค่าตอบแทนเพียงใดหรือไม่ก็ได้ โดยคานึงถึงพฤติการณ์ และความร้ายแรงของการกระทาความผิดและสภาพความเสียหายท่ีผู้เสียหายได้รับ รวมทั้งโอกาสที่ผู้เสียหาย จะไดร้ ับการบรรเทาความเสยี หายโดยทางอนื่ ดว้ ย ๒๗๙ หนา้ ๑๑ รายงานการค้มุ ครองสิทธขิ องผเู้ สยี หายในกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาของประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยนางสาวเอมอร เสยี งใหญ่
๒๑๗ กฎกระทรวง กาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทน ผู้เสียหาย และค่า ทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๓ ให้คณะกรรมการพิจารณา จา่ ยคา่ ตอบแทนใหแ้ ก่ผ้เู สียหายในคดีอาญา ดังต่อไปนี้ กรณที ่วั ไป (๑) คา่ ใชจ้ า่ ยท่จี าเปน็ ในการรกั ษาพยาบาล จา่ ยเท่าทีจ่ า่ ยจรงิ แต่ไม่เกนิ ๔๐,๐๐๐ บาท (๒) ค่าฟ้นื ฟูสมรรถภาพทางรา่ งกายและจติ ใจ จา่ ยเทา่ ทจ่ี ่ายจรงิ แตไ่ มเ่ กนิ ๒๐,๐๐๐ บาท (๓) ค่าขาดประโยชน์ทามาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ ให้จ่าย ในอัตราค่าจ้างขั้นต่าในท้องท่ีจังหวัดที่ประกอบการงาน ณ วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้เป็นระยะเวลา ไม่เกินหนึง่ ปนี บั แตว่ นั ท่ีไม่สามารถประกอบการงานไดต้ ามปกติ (๔) ค่าตอบแทนความเสียหายอื่นนอกจาก (๑) (๒) และ (๓) จ่ายเป็นเงินตามจานวนท่ี คณะกรรมการเห็นสมควร แตไ่ มเ่ กิน ๕๐,๐๐๐ บาท คา่ ตอบแทนตาม (๑) และ (๒) ให้รวมถึงค่าใช้จ่ายเก่ยี วกับค่าห้องและค่าอาหารในอตั ราวันละ ไมเ่ กนิ ๑,๐๐๐ บาท กรณีเสยี ชวี ิต (๑) ค่าตอบแทน จ่ายเป็นเงินจานวนต้ังแต่ ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (๒) ค่าจัดการศพ จา่ ยเป็นเงินจานวน ๒๐,๐๐๐ บาท (๓) คา่ ขาดอปุ การะเลย้ี งดูจ่ายเป็นเงินจานวนไม่เกนิ ๔๐,๐๐๐ บาท (๔) ค่าเสียหายอ่ืนนอกจาก (๑) (๒) และ (๓) จ่ายเป็นเงินตามจานวนที่คณะกรรมการ เห็นสมควร แตไ่ มเ่ กิน ๔๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ในปี ๒๕๕๘ ยังมีกฎหมายที่สาคัญเกี่ยวกับการเยียวยาของประเทศไทย น่ันคือ พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ กระทรวงยุติธรรม เงินกองทุนให้ใช้จ่ายเพื่อกิจการ ดังต่อไปน้ี (๑) การช่วยเหลือประชาชนในการดาเนินคดี (๓) การช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบ จากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน (๔) การให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน (มาตรา ๙) โดยการช่วยเหลือ ประชาชนในการดาเนินคดี ประกอบด้วยค่าจ้างทนายความ ค่าฤชาธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เก่ียวข้อง ในการดาเนินคดี หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ ให้เป็นไปตามระเบียบท่ีคณะกรรมการ กาหนด (มาตรา ๒๖ และ ๒๗ ) มาตรา ๒๘ การพิจารณาให้ความชว่ ยเหลอื ประชาชนในการดาเนินคดแี ละการให้ ความช่วยเหลอื ผู้ถูกละเมิดสทิ ธิมนษุ ยชนหรือผไู้ ด้รบั ผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธมิ นุษยชน คณะอนุกรรมการ ใหค้ วามช่วยเหลอื หรือคณะอนุกรรมการใหค้ วามช่วยเหลอื ประจาจังหวดั ต้องคานึงถึงหลักเกณฑ์ ดงั ต่อไปนี้ (๑) พฤติกรรมและข้อเท็จจรงิ ของผู้ท่ีจะได้รบั ความช่วยเหลอื จากกองทุน (๒) ฐานะของผู้ที่จะไดร้ บั ความชว่ ยเหลือจากกองทนุ (๓) โอกาสที่ผู้ที่จะได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนจะได้รับการช่วยเหลือหรือบรรเทา ความเสียหายตามกฎหมายอ่ืน นอกจากนี้ยังมีระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข ในการชว่ ยเหลือประชาชนในการดาเนนิ คดี พ.ศ.๒๕๕๙
๒๑๘ ข้อ ๙ ผู้ขอรับความช่วยเหลือในการดาเนินคดีจากกองทุน อาจขอรับความช่วยเหลือได้ ในกรณีดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ค่าจ้างทนายความ (๒) ค่าทปี่ รึกษาหรือผู้ชว่ ยเหลือทางกฎหมายในการดาเนินคดี หรือผเู้ ชีย่ วชาญเฉพาะดา้ น (๓) ค่าฤชาธรรมเนยี ม (๔) ค่าใชจ้ ่ายอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดาเนินคดี เช่น คา่ ตรวจพิสูจน์ คา่ ใช้จ่ายเก่ียวกับ ค่าวัสดุ อุปกรณ์เคร่ืองมือที่ใช้ในการแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน ค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมเอกสาร ค่าใช้จ่าย ในการสอบแนวเขตรังวัดที่ดิน ค่าใช้จ่ายเก่ียวกับแผนท่ีภาพถ่ายทางอากาศหรือทางดาวเทียม การอ่าน แปล ตีความ หรือวเิ คราะห์ภาพถา่ ย (๕) ค่าใช้จ่ายอ่นื ๆ ทเี่ กีย่ วขอ้ งในการดาเนินคดี ตามท่คี ณะกรรมการเห็นสมควร - ระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการ ชว่ ยเหลอื ผ้ถู ูกละเมิดสทิ ธมิ นุษยชนหรือผู้ไดร้ ับผลกระทบจากการถกู ละเมดิ สิทธิมนุษยชน พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๙ ผ้ขู อรับความชว่ ยเหลอื จากการกระทาในกรณีดงั ต่อไปน้ี เปน็ ผ้มู สี ทิ ธิขอรบั ความชว่ ยเหลอื (๑) เปน็ ผูเ้ สียหายจากการป้องกันโดยชอบดว้ ยกฎหมาย ขอ้ ๑๐ ผู้ขอรบั ความชว่ ยเหลอื อาจไดร้ ับเงนิ ช่วยเหลือเพอ่ื ความเสียหายท่ีตนไดร้ ับซ่งึ เปน็ ผล โดยตรงจากการถูกละเมิดสทิ ธิมนษุ ยชน ดังตอ่ ไปน้ี (๑) คา่ ใชจ้ า่ ยทจี่ าเปน็ ในการรกั ษาพยาบาล (๒) คา่ ฟ้ืนฟูสมรรถภาพทางรา่ งกายและจิตใจ (๓) คา่ ขาดประโยชน์ทามาหาได้ในระหว่างท่ีไมส่ ามารถประกอบการงานได้ตามปกติ (๔) เงินช่วยเหลือผู้ได้รบั ผลกระทบจากการถกู ละเมดิ สทิ ธมิ นุษยชนในกรณีที่ผูถ้ ูกละเมดิ สิทธิมนษุ ยชนถึงแกค่ วามตาย (๕) เงนิ ช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายอื่นตามท่ีคณะกรรมการเห็นสมควร กฎหมายในประเทศท่ีเกี่ยวข้องอ่ืน ๆ มีลักษณะท่ีส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรม เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ.๒๕๔๖ โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ให้ความคมุ้ ครองความปลอดภัยของพยาน โดยการคุ้มครองให้พยานไดร้ ับความปลอดภัยให้รวมถึงการจัดให้พยาน อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย เว้นแต่พยานจะไม่ให้ความยินยอมและการปกปิดมิให้มีการเปิดเผยชื่อตัว ช่ือสกุล ที่อยู่ ภาพ หรือข้อมูลอย่างอื่นที่สามารถระบุตัว พยานได้ ท้ังน้ีตามความเหมาะสมแก่สถานะและสภาพของพยานและ ลักษณะของคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง กรณีมาตรการพิเศษสานักงานคุ้มครองพยานดาเนินการเพื่อคุ้มครองพยาน ตามมาตรการ พิเศษอย่างหนง่ึ อยา่ งใด ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ย้ายท่อี ยู่ หรือจัดหาท่พี ักอันเหมาะสม (๒) จ่ายค่าเล้ียงชีพท่ีสมควรแก่พยานหรือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเล้ียงดูของ พยานเป็นระยะเวลาไม่เกนิ หนึ่งปเี วน้ แต่มีเหตุจาเป็นอาจขอขยายระยะเวลาครั้งละไม่เกินสามเดอื นแต่ไมเ่ กนิ สองปี (๓) ประสานงานกับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือดาเนินการเปลย่ี นชอื่ ตัว ชื่อสกุล และ หลักฐานทางทะเบียนท่ีสามารถระบุตัวพยาน รวมท้ังการดาเนินการเพ่ือกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามคาขอของพยาน ดว้ ย
๒๑๙ (๔) ดาเนินการเพ่ือให้มีอาชีพหรือให้มีการศึกษาอบรมหรือดาเนินการใดเพ่ือให้พยาน สามารถดารงชพี อย่ไู ด้ตามท่ีเหมาะสม (๕) ช่วยเหลือในการเรยี กร้องสทิ ธทิ ่ีพยานพึงไดร้ ับ (๖) ดาเนินการใหม้ เี จ้าหนา้ ทค่ี ุ้มครองความปลอดภยั ในระยะเวลาทจี่ าเป็น (๗) ดาเนินการอื่นใดให้พยานได้รับความช่วยเหลือหรือได้รับความคุ้มครองตามที่ เห็นสมควร ในกรณีที่ได้มีการดาเนินการตามวรรคหน่ึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามคาขอ ดังกล่าวโดยให้ถือว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นความลับและห้ามมิให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลน้ันเว้นแต่จะได้รับ อนุญาตจากรฐั มนตรวี ่าการกระทรวงยุติธรรม รายละเอยี ดตามกฎหมายแนบท้าย ระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายแก่พยาน สามี ภริยา ผู้บุพการีผู้สืบสันดานของพยาน หรือบุคคลอื่นท่ีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพยานในคดีอาญา (ฉบับท่ี๒) พ.ศ. ๒๕๔๗ ค่าตอบแทนใหจ้ ่ายในอัตราดังต่อไปนี้ (๑) พยานผู้ท่ีมีที่พักอาศัยอยู่ในเขตจังหวัดท่ีมาให้ข้อเท็จจริงยังท่ีทาการพนักงาน ผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอานาจสอบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอานาจฟ้องคดีอาญาหรือศาลได้รับ คา่ ตอบแทนครงั้ ละสองร้อยบาท (๒) พยานผู้ที่มีท่ีพักอาศัยอยู่นอกเขตจังหวัดท่ีเดินทางมาให้ข้อเท็จจริงยังที่ทาการ พนักงานผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอานาจสอบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอานาจฟ้อง คดีอาญาหรือ ศาลได้รบั ค่าตอบแทนครัง้ ละหา้ ร้อยบาท ข้อ ๑๘ ให้สานักงานคุ้มครองพยานจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พยาน สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดานของพยานหรือบุคคลอ่ืนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพยานในอัตราดังต่อไปนี้ (๑) กรณีเกิดความ เสียหายแก่ชีวิต (ก) ค่าตอบแทนตั้งแต่สามหมื่นบาทแต่ไม่เกินหน่ึงแสนบาท (ข) ค่าจัดการศพสองหม่ืนบาท (ค) ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูตามพฤติการณ์ในขณะที่เสียชีวิตไม่เกินสามหมื่นบาท (ง) ค่าอุปการะด้านการศึกษา แก่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของพยานให้จ่ายเป็นรายเดือน ๆ ละไม่เกินสามพันบาทจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ เว้นแต่เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วกาลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าจนถึงระดับปริญญาตรีในประเทศ ให้ได้รบั การอุปการะต่อไปจนถึงอายุไม่เกินย่ีสิบหา้ ปบี รบิ ูรณ์ (๒) กรณีเกิดความเสียหายแก่ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ (ก) ค่าใช้จ่ายในการ รกั ษาพยาบาล ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินสามหม่ืนบาท (ข) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ ให้จ่าย เท่าท่ีจ่ายจริงแต่ไม่เกินห้าหมื่นบาท (ค) ค่าขาดประโยชน์ทามาหาได้ในระหว่างการรักษาพยาบาลให้จ่ายในอัตรา วันละไม่เกินสองร้อยบาทนับแต่วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ (ง) ค่าเสียหายอื่นนอกจากที่กล่าว ข้างต้นใหจ้ า่ ยตามจานวนทส่ี มควรแตไ่ มเ่ กินสามหมื่นบาท (๓) กรณีเกิดความเสียหายแก่ช่ือเสียงหรือทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ให้จ่ายตามท่ีสามารถประเมินหรือเทียบเคียงได้แต่ไม่เกินห้าหมื่นบาท หากความเสียหายน้ันเป็นผลโดยตรง จากการกระทาผิดอาญาโดยเจตนาการจา่ ยเงนิ ต้องมีหลกั ฐานการจา่ ยเงินตามระเบยี บ นอกจากน้ียังมีการเยียวยาค่าเสียหายตามกฎหมายไทยยังประกอบไปด้วย กฎหมายหลายฉบับและหนว่ ยงานรฐั ทรี่ ับผดิ ชอบอกี ไมน่ อ้ ยกว่า ๑๐ หน่วยงาน เช่น
๒๒๐ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้กาหนดความหมายของ ผเู้ สียหาย อานาจการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวนและศาลการฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งที่เก่ียวเน่ืองกับ คดีอาญา หมายเรียกและหมายอาญา การฟ้องคดีอาญาและไต่สวนตลอดจนพยานเฉพาะท่ีเก่ียวข้องกับผู้เสียหาย ได้ แม้ว่าอาจจะมีความยุ่งยากและเป็นภาระของผู้เสียหายเองก็ตามประเทศไทยก็ยังการอานวยความยุติธรรม โดยได้มีพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ กระทรวงยุติธรรม เงินกองทุนให้ใช้จ่ายเพื่ออานวย ความยตุ ิธรรมดว้ ยกิจการ ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) การช่วยเหลือประชาชนในการดาเนนิ คดี (๓) การช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิ มนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน (๔) การให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน (มาตรา ๙) โดยการช่วยเหลือประชาชนในการดาเนินคดี ประกอบด้วยค่าจ้างทนายความ ค่าฤชาธรรมเนียม และ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้องในการดาเนินคดี หลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขการให้ความช่วยเหลือให้เป็นไปตาม ระเบยี บทีค่ ณะกรรมการกาหนด (มาตรา ๒๖) มาตรา ๒๘ การพิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนในการดาเนินคดีและการให้ความ ช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน คณะอนุกรรมการ ให้ความชว่ ยเหลอื หรือคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลอื ประจาจังหวัดต้องคานงึ ถงึ หลักเกณฑ์ ดงั ต่อไปน้ี (๑) พฤติกรรมและข้อเท็จจริงของผู้ทีจ่ ะได้รบั ความชว่ ยเหลอื จากกองทุน (๒) ฐานะของผทู้ ี่จะได้รบั ความช่วยเหลือจากกองทุน (๓) โอกาสท่ีผู้ที่จะได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนจะได้รับการช่วยเหลือหรือ บรรเทาความเสยี หายตามกฎหมายอื่น โดยได้กาหนดระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข ในการชว่ ยเหลือประชาชนในการดาเนนิ คดี พ.ศ.๒๕๕๙ ข้อ ๙ ผูข้ อรบั ความชว่ ยเหลือในการดาเนินคดีจากกองทนุ อาจขอรับความชว่ ยเหลือไดใ้ นกรณี ดังต่อไปนี้ (๑) ค่าจา้ งทนายความ (๒) ค่าท่ีปรึกษาหรือผู้ช่วยเหลือทางกฎหมายในการดาเนินคดีหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ดา้ น (๓) คา่ ฤชาธรรมเนียม (๔) ค่าใชจ้ ่ายอ่ืน ๆ ที่เก่ียวขอ้ งในการดาเนินคดี เช่น ค่าตรวจพิสูจน์ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ ค่าวัสดุ อุปกรณ์เคร่ืองมือที่ใช้ในการแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมเอกสารค่าใช้จ่าย ในการสอบแนวเขตรังวัดที่ดิน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับแผนท่ีภาพถ่ายทางอากาศหรือทางดาวเทียม การอ่าน แปล ตคี วามหรอื วเิ คราะห์ภาพถ่าย (๕) ค่าใชจ้ ่ายอ่ืน ๆ ท่เี กีย่ วข้องในการดาเนินคดี ตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร - ระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการ ชว่ ยเหลอื ผ้ถู กู ละเมดิ สิทธมิ นุษยชนหรอื ผไู้ ด้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสทิ ธิมนุษยชน พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๙ ผู้ขอรับความช่วยเหลือจากการกระทาในกรณีดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิขอรับความ ชว่ ยเหลือ
๒๒๑ (๑) เป็นผเู้ สียหายจากการป้องกันโดยชอบดว้ ยกฎหมาย ข้อ ๑๐ ผู้ขอรับความช่วยเหลืออาจได้รับเงินช่วยเหลือเพ่ือความเสียหายท่ีตนได้รับซ่ึงเป็นผล โดยตรงจากการถกู ละเมดิ สิทธิมนุษยชน ดงั ต่อไปน้ี (๑) ค่าใชจ้ ่ายท่ีจาเปน็ ในการรกั ษาพยาบาล (๒) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจติ ใจ (๓) ค่าขาดประโยชนท์ ามาหาไดใ้ นระหวา่ งท่ีไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ (๔) เงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีท่ี ผถู้ กู ละเมดิ สทิ ธิมนุษยชนถงึ แกค่ วามตาย (๕) เงนิ ช่วยเหลอื เยียวยาความเสยี หายอืน่ ตามทคี่ ณะกรรมการเห็นสมควร - พระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ.๒๕๔๖ โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรมให้ความคุ้มครองความปลอดภัยของพยาน โดยการคุ้มครองให้พยานได้รับความปลอดภัย ให้รวมถึงการจัดให้พยานอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยเว้นแต่พยานจะไม่ให้ความยิ นยอมและการปกปิดมิให้ มี การเปิดเผยช่ือตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ ภาพ หรือข้อมูลอย่างอื่นท่ีสามารถระบุตัวพยานได้ ท้ังนี้ ตามความเหมาะสม แก่สถานะและสภาพของพยานและลักษณะของคดีอาญาที่เก่ียวข้อง กรณีมาตรการพิเศษสานักงานคุ้มครองพยาน ดาเนินการเพ่อื คุ้มครองพยานตามมาตรการพเิ ศษอย่างหนึง่ อย่างใด ดังตอ่ ไปนี้ (๑) ย้ายทอี่ ยูห่ รือจัดหาทพ่ี กั อนั เหมาะสม (๒) จ่ายค่าเลี้ยงชีพท่ีสมควรแก่พยานหรือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของพยาน เป็นระยะเวลาไม่เกินหน่งึ ปีเว้นแตม่ เี หตจุ าเปน็ อาจขอขยายระยะเวลาครัง้ ละไม่เกนิ สามเดือนแต่ไม่เกินสองปี (๓) ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพ่ือดาเนนิ การเปลี่ยนช่ือตัว ช่ือสกุล และหลักฐาน ทางทะเบียนทส่ี ามารถระบุตัวพยานรวมทง้ั การดาเนนิ การเพ่ือกลับคนื สูฐ่ านะเดิมตามคาขอของพยานด้วย (๔) ดาเนินการเพื่อให้มีอาชีพหรือให้มีการศึกษาอบรม หรือดาเนินการใดเพ่ือให้พยาน สามารถดารงชพี อย่ไู ด้ตามท่ีเหมาะสม (๕) ช่วยเหลือในการเรียกร้องสทิ ธิท่ีพยานพงึ ได้รบั (๖) ดาเนนิ การให้มีเจา้ หนา้ ทีค่ มุ้ ครองความปลอดภัยในระยะเวลาทีจ่ าเป็น (๗) ดาเนนิ การอืน่ ใดให้พยานไดร้ บั ความช่วยเหลอื หรือไดร้ ับความคุ้มครองตามที่เห็นสมควร ในกรณีที่ได้มีการดาเนินการตามวรรคหนึ่งให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องปฏิบัติตามคาขอ ดังกล่าวโดยให้ถือว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นความลับ และห้ามมิให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลนั้น เว้นแต่จะ ไดร้ บั อนญุ าตจากรัฐมนตรวี า่ การกระทรวงยุตธิ รรม รายละเอยี ดตามกฎหมายแนบทา้ ย - ระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายแก่พยาน สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดานของพยาน หรือบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๗ ค่าตอบแทนให้จ่ายในอตั ราดังตอ่ ไปนี้ (๑) พยานผู้ท่ีมีท่ีพักอาศัยอยู่ในเขตจังหวัดท่ีมาให้ข้อเท็จจริงยังท่ีทาการพนักงานผู้มีอานาจ สืบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอานาจสอบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอานาจฟ้องคดีอาญา หรือ ศาลได้รับ ค่าตอบแทนครัง้ ละสองร้อยบาท
๒๒๒ (๒) พยานผทู้ ี่มีท่ีพกั อาศัยอยู่นอกเขตจังหวัดที่เดนิ ทางมาใหข้ ้อเท็จจริงยังท่ีทาการ พนักงาน ผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอานาจสอบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอานาจฟ้องคดีอาญาหรือศาลได้รับ ค่าตอบแทนครัง้ ละห้าร้อยบาท ข้อ ๑๘ ให้สานักงานคุ้มครองพยานจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พยาน สามี ภริยา ผู้บุพการี ผสู้ ืบสนั ดานของพยานหรือบคุ คลอ่นื ท่ีมคี วามสมั พันธใ์ กลช้ ิดกบั พยานในอัตราดงั ต่อไปน้ี (๑) กรณีเกิดความเสียหายแก่ชีวิต (ก) ค่าตอบแทนตั้งแต่สามหม่ืนบาทแต่ไม่เกิน หนึ่งแสนบาท (ข) ค่าจัดการศพสองหมื่นบาท (ค) ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูตามพฤติการณ์ในขณะท่ีเสียชีวิต ไมเ่ กนิ สามหมื่นบาท (ง) คา่ อปุ การะดา้ นการศึกษาแก่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของพยานให้จา่ ยเป็นรายเดือน ๆ ละไม่เกินสามพันบาทจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ เว้นแต่เม่ือบรรลุนิติภาวะแล้ว กาลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษา หรือเทียบเท่าจนถงึ ระดบั ปรญิ ญาตรใี นประเทศให้ไดร้ บั การอปุ การะต่อไปจนถึงอายไุ ม่เกินย่สี บิ ห้าปบี ริบูรณ์ (๒) กรณีเกิดความเสียหายแก่ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ (ก) ค่าใช้จ่ายในการ รักษาพยาบาล ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินสามหม่ืนบาท (ข) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจให้จ่าย เท่าท่ีจ่ายจริงแต่ไม่เกินห้าหมื่นบาท (ค) ค่าขาดประโยชน์ทามาหาได้ในระหว่างการรักษาพยาบาลให้จ่ายในอัตรา วันละไม่เกินสองร้อยบาท นับแต่วันท่ีไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ (ง) ค่าเสียหายอื่นนอกจากท่ีกล่าว ข้างต้นให้จ่ายตามจานวนทสี่ มควรแตไ่ มเ่ กินสามหมืน่ บาท (๓) กรณีเกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหน่ึงอย่างใด ใหจ้ ่ายตามที่สามารถประเมินหรือเทียบเคียงไดแ้ ตไ่ ม่เกินห้าหม่นื บาท หากความเสียหายนั้นเปน็ ผลโดยตรงจากการ กระทาผิด อาญาโดยเจตนา การจ่ายเงินต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินตามระเบียบ ๒.๖ หน่วยงานที่ให้ความ ชว่ ยเหลอื ผู้เสียหาย สว่ นทีส่ อง : กลไกการชว่ ยเหลอื ผูเ้ สียหายของรฐั ในปัจจุบัน นอกจากกฎหมายระเบียบต่าง ๆ การศึกษาพบว่ามีกลไกการช่วยเหลือผู้เสียหายของรัฐในปัจจุบัน หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบอีกไม่น้อยกว่า ๑๐ หน่วยงาน ปัจจุบันประเทศไทยมหี น่วยงานท่เี กยี่ วขอ้ งกบั การใหค้ วาม ช่วยเหลือผู้เสียหายจากอาชญากรรมซึ่งทาหน้าท่ีให้ความคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากอาชญากรรม หรือผู้เสียหาย เช่น ผู้เสียหายจากความรุนแรงในครอบครัว ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และผู้เสียหายจากคดี อาชญากรรมโดยทีห่ น่วยงานของรัฐบาลเหล่านี้มีการทางานตามบทบาทและหน้าที่ของตน ดังน้ี ๑. กรมคุ้มครองสิทธิและเสรภี าพ ทาหนา้ ที่ ๑. ให้คาปรึกษาประชาชนดา้ นกฎหมาย ๒. จัดการเรื่องราวร้องทุกขท์ ่ีเก่ียวข้องกับปญั หาของประชาชนท่ีได้ถูกละเมิดสิทธิ (ตามระเบียบ สานกั นายกรัฐมนตรวี า่ ดว้ ยการจัดการเร่อื งราวรอ้ งทุกข์ พ.ศ.๒๕๕๒ ๓. สนับสนุนเงินรางวัลให้แก่ทนายความและค่าป่วยการแก่ที่ปรึกษากฎหมายในช้ัน สอบสวน คดีเยาวชนและครอบครัวที่เข้าร่วมรับฟังการสอบสวน (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๔/๑ และพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ และท่ีแกไ้ ขเพ่ิมเติม (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรา ๗๕ วรรคสอง) ๔. สง่ เสรมิ สนบั สนุนจดั ให้มีการไกลเ่ กลี่ยข้อพิพาทในระดับชุมชน
๒๒๓ ๕. จ่ายเงินตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่ จาเลย ในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกอบ กฎกระทรวง กาหนดหลักเกณฑ์ วิธกี าร และอัตราในการจา่ ยคา่ ตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและคา่ ใช้จ่ายแกจ่ าเลยในคดอี าญา พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แกไ้ ขเพิม่ เติม ๖. ดาเนินการคุ้มครองพยานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ ประกอบ ระเบียบกระทรวงยุตธิ รรม ว่าดว้ ยคา่ ตอบแทนและค่าใช้จา่ ยแก่พยาน สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ของพยานหรือบุคคลอ่ืนท่มี คี วามสัมพันธ์ใกลช้ ิดกับพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๗ แก้ไข เพิ่มเตมิ ๒. สานักงานกองทุนยตุ ิธรรม กระทรวงยุตธิ รรม ๑. ช่วยเหลือประชาชนในการดาเนินคดี เช่น ค่าจ้างทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่าย อ่นื ๆ ท่ีเกี่ยวข้องในการดาเนินคดี เช่น ค่าตรวจพิสูจน์ ค่าท่ีพัก ค่าเดินทางและค่าใช้จา่ ยอนื่ ๆ ที่ คณะกรรมการฯ เหน็ สมควรช่วยเหลือผตู้ ้องหาหรือจาเลยในการขอปล่อยช่ัวคราว ทง้ั ในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ศาล หรอื หนว่ ยงานใดทมี่ ีอานาจควบคมุ หรอื คมุ ขังบุคคลตามกฎหมาย ๒. ให้ความช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ (มาตรา ๒๖, มาตรา ๒๘ และมาตรา ๓๑) ประกอบระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าดว้ ยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการ ช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ศ. ๒๕๕๙ และ ประกาศคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราการให้ความช่วยเหลือผู้ถู กละเมิด สทิ ธิมนุษยชนหรือผู้ไดร้ ับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธมิ นษุ ยชน ลงวนั ที่ ๒๒ กนั ยายน ๒๕๕๙ ๓. กระทรวงพฒั นาสงั คมและความม่ันคงของมนุษย์ ๑. พิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการกระทาความผิดฐานค้ามนุษย์ อย่างเหมาะสมในเร่ืองอาหาร ที่พัก การรักษาพยาบาล การบาบัดฟื้นฟูทางร่างกายและจิตใจ การให้การศึกษา การฝึกอบรม การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย การส่งกลับไปยังประเทศเดิมและการดาเนินคดีเพื่อเรียกร้อง ค่าสนิ ไหมทดแทนใหแ้ ก่ผเู้ สยี หายตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ๒. สิทธิประโยชน์สาหรับเด็กและเยาวชน การสงเคราะห์คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก เช่น การดูแล เด็ก เด็กอ่อนในสถานแรกรับ / สถานสงเคราะห์ / สถานคุ้มครองสวัสดิภาพ / สถานพัฒนาและฟ้ืนฟู และการ จัดบริการทพี่ ักชวั่ คราวแก่เด็กและครอบครวั ทปี่ ระสบปัญหา ๓. การสงเคราะห์คุ้มครองสวสั ดภิ าพเดก็ และพัฒนาเด็กในครอบครัว ชุมชน โดยการ ช่วยเหลือ เปน็ เงิน ส่ิงของ เครื่องอุปโภคบริโภค และอปุ กรณก์ ารศึกษา ๔. สิทธปิ ระโยชน์สาหรบั สตรีการฝึกอบรมอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวติ ในศนู ยส์ งเคราะห์ และ ฝึกอาชีพสตรี การคุ้มครอง และพัฒนาอาชีพเด็กและสตรี ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ ในสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ การอบรมให้ความรู้เพ่ือป้องกันการถูกล่อลวง และประสานให้ความช่วยเหลือทางคดีแก่สตรีและเดก็ ที่ประสบปัญหาการค้าประเวณีหรือถกู ล่อลวงไปค้าประเวณี ในและตา่ งประเทศหรอื ถูกละเมดิ สทิ ธติ ่างๆ ๕. สิทธิประโยชน์สาหรับคนพิการ - การสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพด้านร่างกาย ด้านการศึกษา ด้านอาชีพ และ ดา้ น สังคมในสถาบนั
๒๒๔ - การจดั บริการในศูนยฟ์ นื้ ฟูสมรรถภาพคนพิการในชุมชน - การฟื้นฟูและพฒั นาอาชพี คนพิการ - การให้การสงเคราะหค์ รอบครวั - การใหก้ ารสงเคราะห์กายอปุ กรณแ์ ละเคร่ืองช่วยความพิการ - การจัดหางานให้ทาหรือส่งเสริมสนับสนุนการประกอบอาชีพอิสระ/บริการให้กู้ยืมเงินทุน ประกอบอาชพี - การจัดบริการล่ามภาษามือสาหรับคนพิการทางการได้ยินหรือการสื่อความหมาย – ให้บริการปรับสภาพท่อี ยู่อาศัยสาหรบั คนพกิ าร ๖. สิทธิประโยชน์สาหรับผู้สูงอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับการคุ้มครอง การส่งเสริม และการ สนับสนุนในดา้ นต่าง ๆ ตามพระราชบญั ญัติผ้สู ูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๑๑ ๗. สิทธิประโยชน์สาหรับคนเร่ร่อน คนไร้ที่พ่ึง คนขอทาน การอุปการะในสถานสงเคราะห์ คนไรท้ ่พี ่งึ ใหค้ าแนะนาด้านบรกิ าร และการช่วยเหลือจากหน่วยสารวจและช่วยเหลอื คนเรร่ ่อน ขอทาน ๘. สิทธปิ ระโยชน์สาหรับผู้ตกทุกขไ์ ด้ยากกลับภมู ิลาเนา คนไทยผู้ตกทุกขไ์ ดย้ ากในประเทศ และ นอกประเทศ จะไดร้ บั การส่งกลับภมู ิลาเนาเดมิ โดยการชว่ ยเหลอื เป็นคา่ พาหนะ และค่าอาหาร ระหว่างเดินทาง ๙. สิทธิประโยชนส์ าหรบั ผูเ้ สียหายจากการค้ามนษุ ย์ - ช่วยเหลือ บาบัด ฟื้นฟู คุ้มครอง และพัฒนาอาชีพ ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ทั้งเด็ก สตรี ผ้ชู าย ท่ีเป็นคนไทย และต่างชาติและอบรมให้ความรู้เพื่อป้องกันการถูกล่อลวง – ประสานให้ความช่วยเหลือ ทางคดีแก่ผู้ที่ประสบปัญหาจากการค้ามนุษย์ หรือถูกล่อลวง ไปค้าประเวณีในหรือต่างประเทศ หรือถูกแสวง ประโยชนโ์ ดยมชิ อบในรูปแบบอนื่ ๆ ๑๐. สิทธิประโยชนส์ าหรบั ผ้ถู ูกกระทาดว้ ยความรนุ แรงในครอบครัว - สทิ ธใิ นการไดร้ บั บริการตรวจรกั ษาและให้คาปรึกษา - สิทธิในการรอ้ งทุกข์ดาเนนิ คดี - สทิ ธิในการร้องขอรบั การคุ้มครองสวสั ดิภาพ - สิทธิในการยอมความ เป็นต้น ๔. สานกั งานคุม้ ครองสิทธิและช่วยเหลอื ทางกฎหมายแกป่ ระชาชน สานักงานอยั การสงู สดุ ๑. การจัดทาคาร้องหรือย่ืนคาร้อง หรือแต่งต้ังทนายอาสา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา ๔๔/๑ (ตามหนังสือเวียน ท่ี อส ๐๐๒๗ (ปผ)/ว ๕๔ ลงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เร่ืองแนวทางปฏิบัติในการดาเนินการเพื่อขอให้จาเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา ๔๔/๑ และมาตรา ๔๔/๒) ๒. การแต่งต้ังทนายความอาสาในการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณชิ ย์ มาตรา ๔๒๐ (ตามระเบียบกรมอยั การว่าด้วยการชว่ ยเหลอื ทางกฎหมายแกป่ ระชาชน พ.ศ. ๒๕๓๓) ๓. ในคดีค้ามนุษย์ให้พนักงานอัยการแจ้งให้ผู้เสียหายทราบถึงสิทธิในการเรียกค่าสินไหม ทดแทน (ตามพระราชบญั ญัติวธิ ีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรา ๑๓) ๔. สง่ เสริมสนบั สนุนการประนอมและระงับขอ้ พิพาทในระดับท้องถ่นิ ๕. สานักงานประกันสังคม
๒๒๕ ผู้ประกันตน หมายความว่า ผู้ซ่ึงจ่ายเงินสมทบอันก่อให้เกิดสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ตามพระราชบัญญตั ิประกนั สังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และทแ่ี ก้ไขเพ่ิมเติม กรณีที่ผู้ประกันตน*ถึงแก่ความตายอันมิใช่เนื่องจากการทางาน เม่อื จ่ายสมทบมาแล้ว ๑ เดือน ภายในระยะเวลา ๖ เดือน กอ่ นถึงแก่ความตาย มสี ทิ ธิดงั น้ี - ได้รับค่าทาศพ ๔๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายให้แก่ผู้จัดการศพได้รับเงินสงเคราะห์กรณีตาย โดยให้จ่ายแก่บุคคลซ่ึงผู้ประกันตนทาหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์นั้น แต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้มี หนงั สือระบไุ ว้กใ็ หน้ ามาเฉลี่ยจา่ ยใหแ้ ก่ สามีหรอื ภริยา บิดามารดา หรอื บตุ รของผู้ประกนั ตนในจานวนท่ีเท่ากนั - ถ้าผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ ๓๖ เดือนข้ึนไป แต่ไม่ถึง ๑๒๐ เดือน ให้จ่ายเงินสงเคราะห์ เปน็ จานวนเท่ากบั คา่ จ้างเฉล่ีย ๒ เดือน - ถา้ ผ้ปู ระกนั ตนจา่ ยเงินสมทบตงั้ แต่ ๑๒๐ เดือนขน้ึ ไป ให้จา่ ยเงนิ เท่ากับค่าจา้ งเฉล่ยี ๖ เดอื น - ทายาทของผู้ประกันตนมีสิทธิรับเงินบาเหน็จชราภาพประโยชน์ทดแทนทุกกรณีสามารถ ยนื่ ขอรบั ได้ภายใน ๒ ปี นับแตว่ ันทีม่ สี ิทธิ กรณี “ทุพพลภาพ” หมายถึงการสูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรือของ รา่ งกายหรือสูญเสียภาวะปกตขิ องจติ ใจ จนทาใหค้ วามสามารถในการทางานลดลงถึงขนาดไม่อาจประกอบการงาน ตามปกติได้ ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑท์ ค่ี ณะกรรมการการแพทย์กาหนดมสี ทิ ธิไดร้ ับเงนิ ทดแทนการขาดรายได้ กรณีทุพพลภาพรุนแรง ได้รับในอัตราร้อยละ ๕๐ ของค่าจ้างเป็นรายเดือน ตลอดชีวิตกรณี ทุพพลภาพไม่รุนแรงได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาตามประกาศฯ กาหนด กรณีบาดเจ็บหรือบาดเจ็บสาหัสในกรณีท่ีผู้ประกันตนประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่ เน่ืองจากการทางาน ต่อเมื่อภายในระยะเวลา ๑๕ เดือน ก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ ผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓ เดือนให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างตามมาตรา ๕๗ สาหรับการท่ีผู้ประกันตนต้องหยุดงานเพื่อการรักษาพยาบาลตามคาส่ังของแพทย์ครั้งหนึ่งไม่เกิน ๙๐ วัน และ ในระยะเวลาหน่ึงปีปฏิทินต้องไม่เกิน ๑๘๐ วัน เว้นแต่การเจ็บป่วยด้วยโรคเร้ือรังตามที่กาหนดในกฎกระทรวง ก็ใหม้ ีสทิ ธไิ ด้รับเงนิ ทดแทนการขาดรายได้เกิน ๑๘๐ วัน แตไ่ ม่เกนิ ๓๖๕ วัน ๖. กระทรวงการทอ่ งเทีย่ วและกฬี า นักท่องเท่ียว หมายความว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผู้ถือหนังสือเดินทางพร้อมหลักฐาน การตรวจลงตราประเภทนักท่องเท่ียวในหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง เว้นแต่กรณีท่ีไม่ต้อง มีการตรวจลงตราสาหรับคนต่างด้าวบางประเภทเป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้ ต้องเป็นการเข้ามาด้วยการสมัครใจและ วัตถุประสงค์อันมิใช่เพ่ือการประกอบอาชีพหรือหารายได้ ซ่ึงหมายรวมถึงผู้รับบริการหรือความสะดวกจาก ผู้ประกอบธุรกจิ นาเที่ยวโดยเสยี ค่าบรกิ ารดว้ ย การช่วยเหลือเยียวยา หมายความว่า การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าชดเชยให้แก่ นกั ท่องเท่ียวชาวต่างชาติผไู้ ดร้ ับความคมุ้ ครองตามกรมธรรมป์ ระกนั ภัยซึ่งกระทรวงการทอ่ งเท่ยี วและกีฬาเป็นผถู้ ือ กรมธรรม์ประกันภัย และการจ่ายเงินช่วยเหลือในส่วนท่ีเกินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ตามระเบียบ กระทรวงการทอ่ งเทีย่ วและกฬี าวา่ ด้วยการบรหิ ารกองทุนชว่ ยเหลือเยยี วยา นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗ และระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนช่วยเหลือเยียวยา นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการใชจ้ า่ ยเงนิ กองทนุ ชว่ ยเหลือเยียวยานักท่องเทย่ี วชาวต่างชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘
๒๒๖ ๑. การเสียชีวิต การสูญเสียอวัยวะ สายตา ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรืออันตรายสาหัส ซ่ึงรวมถึง ค่าใช้จ่ายในการปลงศพนอกประเทศภูมิลาเนาหรือค่าใช้จ่ายในการส่งศพหรือกระดูกของนักท่องเที่ยว กลบั ภมู ิลาเนา ไมเ่ กิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท/คน ๒. กรณีบาดเจ็บ ค่ารักษาพยาบาลทางการแพทย์ รวมถึงค่าเคล่ือนย้ายภายในประเทศ ให้จา่ ยเทา่ ท่ีจ่ายจริง แต่ไม่เกนิ ๕๐๐,๐๐๐ บาท/คน ๓. ความสูญเสียหรือความเสียหายจากการหยุดชะงักของการเดินทาง ไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท/ คน/วนั ท้งั น้ี ไม่เกนิ ๒๐,๐๐๐ บาท/คน ๔. การฟ้ืนฟูสภาพจิตใจจากการประสบเหตุจลาจล การก่อการร้าย การประสบเหตุจากภัย ธรรมชาตแิ ละการถูกข่มขืน ไมเ่ กิน ๒๐,๐๐๐ บาท/คน ๕. ความสูญเสียหรือเสียหายจากการถูกประทุษร้ายต่อทรัพย์สิน ทาให้ขาดปัจจัยในการ ดารงชวี ิตให้เหมาจ่าย ๖,๐๐๐ บาท/คน ๖. จัดหาลา่ มและอานวยความสะดวกเพอ่ื ชว่ ยเหลือประสานงานใหก้ ับนักท่องเที่ยว ๗. สานักงานคณะกรรมการกากบั และส่งเสรมิ การประกอบธุรกจิ ประกนั ภยั ผู้ประสบภัย หมายความว่า ผซู้ ่ึงได้รบั อนั ตรายต่อชีวิตร่างกายหรืออนามัย เนอื่ งจากรถท่ีใช้หรือ อยู่ในทางหรือเน่ืองจากสิ่งที่บรรทุกหรือติดต้ังในรถนั้น และหมายความรวมถึงทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัย ซ่ึงถงึ แกค่ วามตายด้วย ค่าเสยี หายเบื้องต้น* ผู้ประสบภัย ต้องร้องขอค่าเสียหายเบื้องต้นจากสานักงานกองทุนทดแทน ผู้ประสบภัยจากรถ หรือบริษัทที่รับประกันภัย ภายใน ๑๘๐ วัน นับแต่วันที่มีความเสียหายเกิดข้ึน โดยไม่ต้องรอพสิ จู น์ความผดิ ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด** ผู้ประสบภัย ขอรับค่าสินไหมทดแทนได้จากบริษัทรับประกันภัย ฝ่ายท่ีต้องรับผิดต่ออุบัติเหตุ ท้ังน้ี หากผู้ประสบภัยเป็นผู้ขับขี่ และเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดต่ออุบัติเหตุหรือไม่มีผู้ใด ตอ้ งรับผดิ ตามกฎหมายใหผ้ ูป้ ระสบภยั ทเี่ ปน็ ผู้ขบั ขไี่ ด้รับเงินคา่ สินไหมทดแทนเท่ากับคา่ เสยี หายเบ้ืองต้น พระราชบัญญตั ิคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.๒๕๓๕ ดังน้ี ๑. กรณเี สียชีวิต/ทุพพลภาพอย่างถาวร จา่ ย ๓๐๐,๐๐๐ บาท/คน ๒. กรณีนอนรกั ษาตัวในโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) จ่ายคา่ ชดเชย ๒๐๐บาท/วัน สงู สุดไมเ่ กิน ๒๐วัน ๓. สูญเสียอวัยวะหรือทพุ พลภาพอยา่ งถาวร และเสยี หายต่อชวี ิต ๓๕,๐๐๐ บาท/คน ๔. กรณีสูญเสียอวยั วะ (เป็นไปตามเง่อื นไขตามอตั ราท่ีกาหนด) ๒๐๐,๐๐๐ - ๓๐๐,๐๐๐ บาท/คน ๕. กรณีบาดเจบ็ จ่ายค่ารักษาพยาบาล และค่าเสียหายอย่างอ่ืนที่ผู้ประสบภยั สามารถเรยี กร้อง ได้ตามมูลละเมดิ ตามความเสยี หายทีแ่ ทจ้ ริงแตไ่ ม่เกิน ๘๐,๐๐๐ บาท/คน ๖. ค่าเสียหายเบ้ืองต้นคา่ รักษาพยาบาลจากการบาดเจ็บตามที่จา่ ยจริงไม่เกนิ ๓๐,๐๐๐ บาท ๘. กรมปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั ผู้ประสบภัยพิบัติ หมายความว่า ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน แต่ไมร่ วมถงึ ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ภัยพิบัติ หมายความว่า สาธารณภัยอันได้แก่ อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง ภาวะฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง ภัยจากลูกเห็บ ภัยอันเกิดจากไฟป่า ภัยท่ีเกิดจากโรคหรือการระบาดของแมลง หรือศัตรูพืช ทุกชนิด
๒๒๗ ภัยอันเกิดจากโรคที่แพร่หรือระบาดในมนุษย์ อากาศหนาวจัดผิดปกติ ภัยสงคราม และภัยอัน เนื่องมาจาก การกระทาของผู้ก่อการร้าย กองกาลังจากนอกประเทศ ตลอดจนภัยอืน่ ๆ ไม่วา่ เกดิ จากธรรมชาติหรือมีบุคคลหรือ สัตว์ทาให้เกิดข้ึน ซ่ึงก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ของประชาชนตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพ่ือช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ และท่ีแกไ้ ขเพิม่ เติม ดังนี้ กรณีผู้ประสบภัยพิบัตเิ สียชีวิตค่าจัดการศพ ๒๕,๐๐๐ บาท เงินสงเคราะห์ครอบครัว ๒๕,๐๐๐ บาท กรณีผู้ประสบภัยพิบัติพิการ ทุพพลภาพ เงินช่วยเหลือเบื้องต้น ๑๐,๐๐๐ บาท (ไม่สามารถประกอบอาชีพตามปกติได้) เงนิ และหรือส่ิงของปลอบขวัญ ๒,๐๐๐ บาท (กรณีสาธารณภัยขนาดใหญ่ หรือรุนแรงเป็นทส่ี ะเทอื นขวัญของประชาชน ทว่ั ไป) กรณีผู้ประสบภัยพิบัติบาดเจ็บสาหัส เงินช่วยเหลือเบ้ืองต้น ๓,๐๐๐ บาท (รักษาตัว ในสถานพยาบาล ๓ วันข้ึนไป) เงินและหรือสิ่งของปลอบขวัญ ๒,๐๐๐ บาท (กรณีสาธารณภัยขนาดใหญ่หรือรุนแรง เป็นท่ีสะเทือนขวัญของประชาชนทวั่ ไป) ๙. กรมบญั ชกี ลาง ตามพระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเน่ืองจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของ ชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าท่ีมนุษยธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ผู้มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือประชาชนท่ัวไปท่ีกระทาการ อยา่ งใดอย่างหน่ึง ดังน้ี - ช่วยเหลือราชการด้วยความสมัครใจหรือทางราชการร้องขอโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จากทางราชการ - ปฏบิ ัติงานของชาติในระดบั งานทีเ่ ป็นนโยบายของรัฐบาล - ปฏิบัติการตามหนา้ ท่ที ่กี ฎหมายกาหนด - ปฏิบัติหน้าท่ีเป็นพลเมืองดี เช่น การช่วยเหลือคนตกน้า ช่วยสกดั คนร้าย เป็นต้น จนเป็นเหตุ ให้ถูกทาร้ายหรือได้รับอันตรายถึงสูญเสียอวัยวะ หรือสูญเสียสมรรถภาพในการทางานหรือพิการทุพพลภาพหรือ ถึงแก่ความตาย ทั้งน้ี การกระทาดังกล่าวต้องไม่เกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเกิดจาก ความผิดของตนเอง • กรณีถึงแก่ความตาย ทายาทจะได้รับเงินชดเชย ๓๐ เท่าของอัตราเงินเดือน ค่าจัดการศพ ๒๐,๐๐๐ บาท • กรณีถึงทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะหรือพิการ บาดเจ็บ ค่ารักษาพยาบาล (ตามสิทธิเหมือน ข้าราชการ) • เงนิ ชดเชย ๓๐ เท่าของอัตราเงินเดือน • เงินดารงชพี ในอัตราร้อยละห้าสบิ ตอ่ เดือนของอัตราเงินเดือน ๑๐. สานกั นายกรัฐมนตรี สาธารณภยั หมายความว่า อัคคภี ัย วาตภยั อทุ กภยั ตลอดจนภัยอนื่ ๆ อนั มมี าเป็นสาธารณะ ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติหรือมีผู้ทาให้เกิดข้ึน ซ่ึงก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตร่างกายของประชาชนหรือก่อให้เกิด ความเสียหายแก่ทรพั ยส์ นิ ของประชาชนหรอื ของรฐั ผู้ประสบสาธารณภยั หมายความวา่ ประชาชนผู้ประสบสาธารณภยั
๒๒๘ การให้ความช่วยเหลือจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ตามระเบียบสานัก นายกรฐั มนตรีว่าดว้ ยการรับบริจาคและการให้ความชว่ ยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๔๒ (๑) ค่าจัดการศพ หรือค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือกรณีศพสูญหายไม่พบศพ (ตามมติ คณะกรรมการฯ) (๒) คา่ ซอ่ มแซมท่อี ยู่อาศยั ทั้งหมดหรอื บางสว่ นตามความจาเปน็ แก่การดารงชพี (๓) ค่าเครือ่ งอุปโภคบรโิ ภค ยารกั ษาโรค เครอ่ื งมือประกอบอาชพี และเคร่ืองใชอ้ ่ืน ๆ ท่ีจาเป็น แก่ครอบครัว (๔) ค่าใชจ้ า่ ยในการบรรจหุ ีบห่อและคา่ ขนสง่ วสั ดสุ ่งิ ของสาหรับชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบสาธารณภยั (๕) เงนิ ทนุ เล้ยี งชพี (๖) ค่าใชจ้ า่ ยเพอ่ื ปอ้ งกนั หรือบรรเทาความรนุ แรงของภยั ท่ีเกดิ ขนึ้ (๗) รายจ่ายอน่ื ๆ ตามทีค่ ณะกรรมการอนุมัติ ๑๑. กรมการจัดหางานให้การช่วยเหลือสนับสนุนด้านจัดหางาน แนะแนวอาชีพ และอบรม อาชีพเสริม ๑๒. กระทรวงสาธารณสุข ให้การช่วยเหลือสนับสนุนด้านสาธารณสุข (โดยการประสาน เปน็ รายกรณไี ปยังสานักงาน สาธารณสุขจงั หวดั ) ๑๓. กระทรวงศกึ ษาธิการ
บทที่ ๓ สภาพปญั หาและอปุ สรรคตลอดจนการดาเนนิ งานในการช่วยเหลอื ผเู้ สียหายจากอาชญากรรมธรรมดา และทเี่ กิดขนึ้ โดยตรงหรือกระทาทีอ่ าจมแี รงจงู ใจทางการเมือง การศึกษาสภาพปัญหาและอุปสรรคตลอดจนการดาเนินงานในการช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา จะแบ่งเป็นการศึกษาสภาพปัญหาสองส่วนคือ ส่วนที่หน่ึงการเข้าถึงการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายหรือผู้เสียหาย จากอาชญากรรมธรรมดา และส่วนท่ีสองผู้เสียหายจากอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือกระทาท่ีอาจมีแรงจูงใจ ทางการเมือง ๓.๑ การเขา้ ถงึ การค้มุ ครองสทิ ธิของผู้เสียหายหรอื ผ้เู สยี หายจากอาชญากรรมธรรมดา๒๘๐ สรปุ ปญั หา จากผลการศึกษาถึงแม้จะมีหน่วยงานให้การคุ้มครอง ช่วยเหลือที่หลากหลายครบทั้ง ๔ ด้าน ตามมาตรฐานสากล แต่ยังพบปัญหาของผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ ตาม กฎหมายได้ดังน้ี ๑. ด้านการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม (Access to justice and fair treatment) ในด้านนี้ ยังพบปัญหาการคุ้มครองสทิ ธิและเสรภี าพของ ผูเ้ สียหายในคดีอาญาดังนี้ ๑.๑ ปัญหาการแจ้งสิทธิให้ผู้เสียหายในคดีอาญารับทราบปัญหาท่ีทาให้ประเทศไทย ไม่สามารถ ดาเนินการให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายได้นั้นเกิดจากปัญหาสาคัญประการหน่ึง คือ ผู้เสียหายไม่ทราบว่า ตนมีสิทธิตามกฎหมายประการใดบ้างเมื่อตกเป็นผู้เสียหายจากของการกระทาความผิดอาญาเพราะในระบบ การดาเนินคดีของประเทศไทยไม่มีกฎหมายกาหนดไว้อย่างชัดเจนว่าให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หรือ หน่วยงานใด ในการแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้ผู้เสียหายรับทราบต้ังแต่เริ่มต้นดาเนินคดีอาญา ทั้งในกรณีของความผิดอาญา แผ่นดิน และความผิดอาญาต่อส่วนตัว จึงส่งผลให้ผู้เสียหายไม่สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายของตนเพื่อประโยชน์ ในการเยียวยาฟื้นฟูความเสียหายที่ได้รับหรือเพ่ือให้ได้รับการคุ้มครองและการบริการช่วยเหลือจากหน่วยงาน ของรฐั ท่ีเกีย่ วข้องได้ ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีการกาหนดเป็นแนวปฏิบัติให้เจ้าพนักงานแจ้งสิทธิให้ผู้เสียหาย ในคดีอาญาทราบตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพ่ิมเติมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๙ กาหนดในมาตรา ๖/๑ ในคดีท่ีมีการร้องทุกข์ต่อพนักงาน สอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้เสียหายหรือทายาทซึ่งได้รับ ความเสียหายที่มาร้องทุกข์ดังกล่าวทราบถึงสิทธิการได้รับค่าตอบแทนตามพระราชบัญญัติ น้ีในคดีที่พนักงาน อัยการเป็นโจทก์และศาลมีคาส่ังอนุญาตให้ถอนฟ้องหรือศาลมีคาพิพากษายกฟ้องให้พนักงานสอบสวนหรือ เจา้ พนกั งานผมู้ ีหน้าท่ีปลอ่ ยตวั จาเลย บันทกึ รายละเอียดการแจง้ นั้นไว้ในสานวนคดีหรือทะเบียนประวัติของจาเลย ซง่ึ ตนรับผิดชอบด้วยแลว้ แตก่ รณี ดังนัน้ จงึ เห็นวา่ สิทธใิ นการเข้าถงึ กระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาตามทก่ี าหนดไว้ ในมาตรฐานสากลมีความสาคัญมากเช่นเดียวกับการแจ้งสิทธิให้ผู้เสียหายทราบว่าผู้เสียหายมีสิทธิประการใดบ้าง ตามกฎหมายเพื่อประโยชน์ในการที่ผ้เู สียหายสามารถดาเนินการใช้สิทธิดงั กล่าวในการปกปอ้ งผลประโยชน์สว่ นตัว และได้รับการเยียวยาความเสียหายได้การแจ้งสิทธิให้ผู้เสียหายทราบจึงเป็นเร่ืองท่ีต้องกระทาก่อนและควรเป็น ๒๘๐ รายงานการคมุ้ ครองสทิ ธขิ องผ้เู สียหายในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาของประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยนางสาวเอมอร เสยี งใหญ่
๒๓๐ สิทธิในกระบวนการดาเนินคดีอาญาประการหน่ึง เช่นเดียวกับการกาหนดให้มีการแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาหรือจาเลย ทราบเพราะหากผูเ้ สียหายไม่มีสิทธิการค้มุ ครองสิทธิของผู้เสียหายในประการอน่ื ย่อมไม่สามารถบรรลุผลได้ รวมถึง สิทธิต่าง ๆ ท่ีผู้เสียหายที่มีอยู่จะไม่เกิดประโยชน์ประการใดถ้าผู้เสียหายไม่สามารถรับรู้ได้ว่าตนมีสิทธิดังกล่าว หรือไม่ อย่างไร และโดยวัตถุประสงค์ของการแจ้งสิทธิให้ผู้เสียหายทราบ ดังที่กล่าวมาน้ีมีความแตกต่า ง กับวตั ถุประสงค์ของการแจง้ สทิ ธิในกรณขี องผตู้ อ้ งหาหรอื จาเลย ดงั น้นั การแจ้งสิทธิให้ผู้เสียหายทราบหรือไม่ จึงไม่กระทบต่อการดาเนินคดีอาญาดังเช่นกรณีของการ แจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาหรือจาเลยทราบแต่การไม่แจ้งสิทธิให้ผู้เสียหายทราบอาจทาให้เกิดความรับผิดในทางปกครองได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าหากสิทธิในการเขา้ ถึงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม (Access to Justice and Fair Treatment) ตามท่ีกาหนดไวใ้ นมาตรฐานสากลมคี วามสาคญั มาก ๑.๒ การได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม ความยุติธรรมที่ผู้เสียหายได้รับนั้นบางครั้งไม่ได้ข้ึนอยู่กับ จานวนเงินที่ได้รับแต่เป็นความรู้สึกท่ีผู้เสียหายรู้สึกว่าตนได้รับความยุติธรรมได้รับการปฏิบัติที่ดีจากบุคคลากร ในกระบวนการยุติธรรม ซ่ึงกระบวนการยุติธรรมด้ังเดิมนั้นถือว่าผู้เสียหายคือหัวใจคือตัวช้ีวัดว่ากระบวนการ ยุติธรรมมีประสิทธิภาพแค่ไหนในอดีตตั้งแต่สมัยโบราณน้ันยึดถือหลักการทาให้ผู้เสียหายพึงพอใจมาโดยตลอด ตอ่ มาภายหลังเห็นว่าความผดิ นั้นเปน็ ความผดิ ทร่ี ัฐได้รับผลกระทบไม่ไดเ้ สยี หายเฉพาะผเู้ สียหายเท่าน้นั และรัฐควร มีหน้าท่ีในการดาเนินคดีอาญาแทนท่ีจะให้ผู้เสียหายและผู้กระทาความผิดไปตกลงกันเองทาให้กระ บวนการ ยตุ ธิ รรมทางอาญาหลงลืมสทิ ธขิ องผูเ้ สยี หายไปดว้ ยเหตุน้ีจึงมแี นวคดิ วา่ ผู้เสียหายควรมีสว่ นในกระบวนการยตุ ธิ รรม ในทุกขั้นตอน ปัจจุบันมีหลายประเทศท่ีให้สิทธิผู้เสียหายมีส่วนร่วมกับกระบวนการยุติธรรมและมาตรฐาน การคมุ้ ครองสทิ ธผิ ูเ้ สยี หายในระดับสากลดว้ ย ๑.๓ ปัญหาเรื่องสิทธิที่สาคัญของผู้เสียหายท่ีประเทศไทยยังไม่มีอีกประการคือการแจ้งข้อมูล ความคืบหน้าในคดีให้ผู้เสียหายทราบในทุกขั้นตอน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อจาเลยขอปล่อยตัวชั่วคราว ผู้เสียหาย สามารถคดั ค้านได้แตใ่ นความเป็นจรงิ ไม่มีการแจ้งใหผ้ ู้เสยี หายทราบถึงสทิ ธิดังกลา่ ว นอกจากน้หี ลายครงั้ ท่ีมกี ารนา ผู้เสียหายและฝ่ายผู้ต้องหามาพูดคุยกันถึงการแก้ไขเยียวยาผู้เสียหาย เช่น ต้องสอบถามทุกข์สุขของผู้เสียหาย การใหช้ ุมชนช่วยดแู ลผ้เู สยี หายในชุมชนของตนเอง ๑.๔. ปัญหาทัศนคติของเจ้าหน้าท่ีในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยก็เป็นเร่ืองท่ีควร ปรับเปล่ียนในหลายดา้ นบางกรณีทาให้ผู้เสียหายตกเป็นผู้เสยี หายจากเจา้ พนักงานในกระบวนการยุติธรรมเสียเอง เช่น อาจถูกซ้อมทรมานบังคับให้สารภาพ ทนายความหลอกลวงให้ต่อสู้คดีผิดไปจากข้อเท็จจริง อาจถูกเจ้าหน้าท่ี ตารวจสอบปากคาแบบไม่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในกรณีหญิงถูกข่มขืนกระทาชาเรา หากมีการปรับ ทัศนคติของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมร่วมกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายจะทาให้ การคุ้มครองผู้เสียหาย มปี ระสทิ ธภิ าพมากยิ่งข้ึน ๒. การได้รับการชดเชยความเสียหายโดยผู้กระทาความผิด (Restitution) ในด้านน้ียังพบปัญหาเรื่อง ผู้เสียหายสามารถยื่นคาร้องก่อนสืบพยานหรอื ก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาด เรียกค่าสินไหมทดแทนเข้ามาในคดีอาญาได้ แม้ประเทศไทยมีการคุ้มครองผู้เสียหายซึ่งปรากฏอยู่ใน มาตรา ๔๔/๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาตามหลกั การชดเชยค่าสนิ ไหมจากการละเมิดในกฎหมายแพง่ โดยผ้กู ระทาผิดควรจ่ายค่าเสียหายให้กับ ผู้เสียหายและจ่ายเพ่ิมอีกส่วนหน่ึง (Criminal surcharge) ให้กับรัฐในรูปของค่าปรับหรือการถูกลงโทษในรูปแบบอื่น แนวคิดนี้แมจ้ ะสอดคล้องกบั ความเป็นธรรมอยู่มาก คอื ความเสียหายที่เกิดขึ้นได้รบั การชดเชยโดยผู้ท่กี ระทาความ
๒๓๑ เสียหายเอง จึงเป็นเร่ืองระหว่างบุคคลสองฝ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังกับสังคมโดยรวม แต่ในทางปฏิบัติ แล้วมักไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างเต็มท่ี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีท่ีผู้กระทาความผิดในคดีอาญาที่เกี่ยวกับ ร่างกายและทรัพย์สิน ซึ่งผู้กระทาผิดมักเป็นผู้มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับล่างและไม่มีศักยภาพเพียงพอ ท่ีจะชดเชยผู้เสียหายซ่ึงมักมีสถานะทางเศรษฐกิจในระดับที่สูงกว่าได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ กระบวนการ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายซ่ึงหากให้ผู้เสียหายเป็นผู้รับผิดชอบเองยังมีค่าใช้จ่ายทั้งท่ีเป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินที่สูง นอกจากนี้ กระบวนการยุติธรรมซ่ึงมักใช้ระยะเวลานานยงั เป็นสาเหตสุ าคัญที่ผเู้ สียหายไม่สามารถไดร้ ับการชดเชย ความเสียหายในเวลาท่ีเหมาะสมบ่อยครั้งผู้เสียหายจึงจาต้องยอมแบกรับความเสียหายท่ีเกิดขึ้นไว้เองเพราะไม่ คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับหากเป็นฝ่ายฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเองหรือต่อให้ผู้พิพากษาตัดสินให้จาเลย ใช้คา่ สนิ ไหมทดแทนแต่กระบวนการบังคบั คดนี ้ันกลับอยู่ในส่วนของกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่งซ่งึ การบงั คบั คดี ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นต้องมีค่าธรรมเนียมซึ่งถ้าผู้เสียหายไม่ชาระค่าธรรมเนียมพนักงานบังคับคดี กไ็ ม่ดาเนินการขายทอดตลาด ๓. การชดเชยความเสียหายโดยรัฐ (Compensation) ในด้านน้ี ยังพบปัญหาการคุ้มครองสิทธิและ เสรีภาพของผูเ้ สยี หายในคดอี าญา ดงั น้ี ๑) ปัญหาขอบเขตและความหมายของผู้เสียหายในทางกฎหมาย ตามกฎหมายไทยกาหนดคุณสมบัติ ของผู้เสียหายไว้ว่า “เป็นผู้ท่ีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทาความผิด” ดังนั้น การคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย ในคดีอาญาตามมาตรฐานของสากลในประเทศไทยจึงเกิดปัญหาในทางปฏิบัติเพราะว่าการพิจารณาว่าใครเป็น ผ้เู สยี หายหรอื ไมเ่ ปน็ ส่งิ ทีต่ ้องมาก่อน ประชาชนผ้ตู กเปน็ ผเู้ สียหายและได้รับความเสยี หาย ตามความเป็นจริงไมอ่ าจได้รับการช่วยเหลือประการใดจากภาครฐั เพราะยังไม่ใช่ผเู้ สียหาย ดงั น้ัน ขอบเขตความเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายไทยยังไม่อาจทาให้ผู้เสียหายในคดีอาญาได้รับการคุ้มครองสิทธิ ได้ดังวัตถุประสงค์ของมาตรฐานสากลได้ ๒) การจา่ ยค่าตอบแทนความเสียหายแกผ่ ู้เสียหายโดยรฐั ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผเู้ สยี หาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไข เพิ่มเติมปีพ.ศ. ๒๕๕๙ การให้รัฐเป็น ผู้ รั บ ภ า ร ะ ค่ า ใช้ จ่ า ย ใน ก า ร ช ด เช ย ค ว า ม เสี ย ห า ย แ ก่ ผู้ เสี ย ห า ย จ า ก อ า ช ญ า ก ร ร ม เป็ น แ น ว คิ ด ท่ี ผ ส ม ผ ส า น เรื่องสวัสดิการเข้าด้วยกับแนวคิดในเรื่องละเมิดโดยจากมุมมองหน่ึงน้ันการชดเชยความเสียหายจากอาชญากรรม เป็นสวัสดิการประเภทหน่ึงท่ีรัฐจัดสรรให้กับประชาชนผู้เสียภาษีในลักษณะเดียวกับบริการสาธารณะทั่วไป เช่น การรักษาพยาบาลและการศึกษา และจากอีกมุมมองหนึ่งการชดเชยความเสียหายจากอาชญากรรมก็ยังสามารถ จัดได้ว่าเป็นการชดเชยค่าเสียหายท่ีรัฐซ่ึงมีหน้าที่โดยตรงในการคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชน ต้องจ่ายให้กับ ประชาชนผู้เสียภาษีแนวทางการให้รัฐเป็นผู้ชดเชยความเสียหายโดยตรงมีข้อดี คือ สามารถรับรองได้ว่าผู้เสียหาย จะได้รับการชดเชยความเสียหาย แม้ในกรณีที่ไม่สามารถบังคับเอาจากผู้กระทาผิดท่ีไม่สามารถชดเชยได้ แต่มีประเด็นสาคัญท่ีต้องคานึง คือ ประเด็นในเร่ืองความเป็นธรรม เน่ืองจากแหล่งท่ีมาของเงินชดเชยมาจาก งบประมาณของประเทศ ซ่ึงไม่ได้จัดเก็บจากผู้กระทาผิดโดยตรง อีกทั้งยังต้องคานึงถึงประเด็นในเร่ืองความยั่งยืน ทางการคลัง เน่ืองจากเป็นรายจ่ายงบประมาณท่ีไม่แน่นอนและปริมาณท่ีสามารถจัดสรรได้ขึ้นอยู่กับสถานะภาพ ทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลัก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท่ีอัตราการขยายตัว ทางเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในระดับต่า ซึ่งในทุกปีท่ีผ่านมากรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ ได้รบั งบประมาณจดั สรรไมเ่ พียงพอมาโดยตลอด ดังนี้
๒๓๒ ๔. การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรม (Assistance) ในด้านนี้ยังพบ ปัญหาการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้เสียหายในคดีอาญาคือการช่วยเหลือผู้ เสียหายจากอาชญากรรม ในปัจจุบันไมไ่ ด้อยูท่ ่ีหนว่ ยงานใดหนว่ ยงานหน่งึ แตม่ หี ลายหนว่ ยงานปัญหาทีพ่ บคอื มคี วามซ้าซอ้ นและขาดการบรู ณาการ ท่ีมีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกันและภาคเอกชน เน่ืองจากลักษณะการทางานต่างทาหน้าท่ีของ แต่ละหน่วยงานทาให้การส่งต่อการช่วยเหลือผู้เสียหายจากอาชญากรรมในบางเรื่องยังมีปัญหาอุปสรรค อีกทั้ง ความซ้าซ้อนในการให้ความช่วยเหลือต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ การประสานงานไม่มีรูปแบบแนวทางที่ชัดเจน ต้องอาศัยความชานาญเฉพาะตัวของเจ้าหน้าที่ขาดความต่อเนื่องเช่ือมโยงให้ระบบการช่วยเหลืออยู่ในระบบ เดยี วกัน ในช่วงปี ๒๕๖๒ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ได้นาเสนอข้อเสนอแนะที่สาคัญ๒๘๑ เกี่ยวกบั กฎหมายวา่ ด้วยกองทุนยตุ ิธรรมโดยให้เหตุผลว่า สมควรการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัตกิ องทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ เนอื่ งจากการบังคบั ใช้กฎหมายว่าด้วยกองทุนยุตธิ รรมในปัจจุบันยงั มีอุปสรรคปัญหาทท่ี าให้ประชาชน ไม่เข้าถึงกองทุนยุติธรรมอย่างถ้วนหน้าและยังไม่สอดคล้องกับหลักการและแนวทางของสหประชาชาติว่าด้วย การช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายครบถ้วน จึงมีข้อเสนอต่อการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ดงั ต่อไปน้ี ๑) แกไ้ ขและกาหนดคานิยามเพิ่มเติมเพ่ือใหม้ ีความชดั เจนและครอบคลุมมากข้นึ ๒) แยกสานักงานกองทุนยุติธรรมออกมาจากสานักปลัดกระทรวงยุติธรรมและกาหนดให้บริหารงาน เป็นอสิ ระ ๓) เพิ่มรายรับของกองทุนจากค่าธรรมเนียมเงินทอดตลาดหลักทรัพย์และแก้ไขรายได้จากเงินที่ศาลสั่ง บังคบั จากอัตราไม่เกนิ ร้อยละห้ามาเปน็ ไม่ตา่ กวา่ ร้อยละห้าแทน ๔) แกไ้ ขเงนิ ใช้จ่ายของกองทุนใหม้ ีการดาเนินกิจการท่ีครอบคลุมตามคานิยามของ “ความชว่ ยเหลือ ทางกฎหมาย” เพ่ือให้สอดคล้องกับหลักการและแนวทางของสหประชาชาติว่าด้วยการช่วยเหลือประชาชน ทางกฎหมายกติการะหว่างประเทศว่าดว้ ยสิทธมิ นษุ ยชน และรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๕) ปรับปรงุ โครงสร้างของสานกั งานและการช่วยเหลือทางกฎหมาย และโครงการคณะกรรมการและ คณะอนกุ รรมการ สสส. ให้ความสาคัญกับการช่วยเหลอื ทางกฎหมายต่อประชาชนเพราะเชอ่ื ว่าจะเป็นแนวทางท่ที าให้ ประชาชนหรือผู้เสียหายจากคดีอาญาทุกประเภทสามารถเข้าถึงความเป็นธรรมได้แม้ว่าจะมีกฎหมายและ กลไก ชว่ ยเหลือต่าง ๆ จากรัฐอยู่แล้วก็ตาม หากประชาชนไมส่ ามารถมีผู้แทนทางกฎหมายหรือกลไกให้ประชาชนเข้าถึง ความยุติธรรม เช่น ช่วยเก็บข้อมูลพยานหลักฐานถึงความเสียหาย ย่ืนหนังสือร้องเรียนในหน่วยงานที่เก่ียวข้อง เป็นต้น ได้นาเสนอว่า “การให้ความชว่ ยเหลือทางกฎหมาย (the right to legal aid) นอกจากหมายถงึ สทิ ธิทีจ่ ะมี ทนายความเป็นตัวแทนทางกฎหมายในคดีแล้ว ยังหมายรวมถึงการให้คาปรึกษาทางกฎหมายการช่วยเหลือและ ดาเนินการใดเพ่ือช่วยเหลือทางกฎหมาย เช่น การจัดหาล่าม การระงับข้อพิพาท การให้ทุกภาคส่วนเข้ามามี บทบาทชว่ ยเหลอื ทางกฎหมาย ได้แก่องค์กรเอกชนท่มี ีบทบาทช่วยเหลือทางกฎหมาย เป็นต้น ดังนน้ั การให้กองทุน ยุติธรรมสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายได้อย่างทั่วถึง เสมอภาค เป็นธรรม และลดความเหล่ือมล้า ๒๘๑ สมาคมสทิ ธเิ สรีภาพของประชาชน (สสส.) ขอ้ เสนอการปฏิรูปกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาในช้นั เจา้ พนกั งานและกฎหมายว่าด้วยกองทนุ ยุตธิ รรม. ๒๕๖๒
๒๓๓ ของประชาชนจาเป็นต้องดาเนินการตามหลักการและแนวทางของสหประชาชาติอย่างครบถ้วน โดยกองทุน ยุติธรรมสนับสนุนหน่วยช่วยเหลือทางกฎหมายทุกภาคส่วนท่ีมีบทบาทการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ขยายขอบเขตการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม และการบริหารกองทุนให้มี ความเป็นนิติบุคคลที่มีความอิสระโดยแยกสานักงานออกจากสานักปลัดกระทรวงยุติธรรม และไปสังกัดกระทรวง ยุติธรรมโดยตรง” ๓.๒ การเข้าถึงการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมท่ีเกิดขึ้นโดยตรงหรือ กระทาทีอ่ าจมแี รงจงู ใจทางการเมอื ง ในประเทศไทยไม่มีบทบัญญัติกฎหมายรองรับสิทธิการเยียวยาความเสียหายของผู้ได้รับความเสียหาย ผู้เสียหายหรือผู้เสียหายจากอาชญากรรมท่ีเกิดข้ึนโดยตรงหรือกระทาท่ีอาจมีแรงจูงใจทางการเมืองไว้โดยตรง อาศัยแต่เพียงมติคณะรัฐมนตรีและอาศัยบทบัญญัติโดยเทียบเคียงจากพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและ ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ดังนั้น จึงมีความจาเป็นต้องใช้มาตรการพิเศษที่ไม่ติดยึด อยู่กับสิทธิที่มีอยู่ตามกรอบของกฎหมายและแนวปฏิบัติของหน่วยงานและองค์กรท่ีดาเนินการในกรณีปกติ ท้ังน้ี เพอ่ื ใหก้ ารเยียวยามผี ลในการปอ้ งกนั เหตุการณ์ความรนุ แรงในอนาคตและสรา้ งความปรองดองในชาติ ต้ังแต่ปี ๒๕๔๘ เป็นต้นมาประเทศไทยได้เผชิญกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างต่อเนื่องจาก การแตกแยกทางความคิดและการต่อสู้ช่วงชิงอานาจทางการเมืองในหมู่ชนช้ันปกครอง การต่อต้านทางการเมือง ที่มีต่อรัฐบาลและนโยบายทาให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะของการแบ่งข้ัวแบ่ งฝ่ายขาดความไว้วางใจและเกิดการ เผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงระหว่างรัฐกับประชาชนและในหมู่ประชาชนด้วยกันเองประเทศชาติต้องเสียหายจาก วังวนของการใช้อานาจรัฐโดยมิชอบ การต่อต้าน การปฏิบัติการทางทหารที่รุนแรง การรัฐประหารโดยกองทัพ การทุจริตคอรัปชัน่ การฟ้องรอ้ งดาเนินคดี และการจดั ทารัฐธรรมนญู ซ้าแลว้ ซา้ อีก ความรุนแรงทเ่ี กิดข้ึนไมเ่ พียงแต่ได้สร้างความเจ็บปวดขมข่นื ทั้งในด้านร่างกายและจติ ใจของผู้ท่เี กย่ี วข้อง เท่าน้ัน แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจสังคมในระยะยาว ซ่ึงย่อมมีผลกระทบต่อความมั่นคงของมนุษย์ด้วย ดังน้ันหาก ความขัดแย้งยังคงดาเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการแก้ไขก็มีความเป็นไปได้สูงที่สังคมไทยจะไม่สามารถฟื้นฟูความสงบสุข และบรรลกุ ารพัฒนาทค่ี วรจะเปน็ ได้ในอนาคต รายงานความเสียหายจากความขัดแย้งในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ ระบุในรายงาน คณะกรรมการอสิ ระตรวจสอบและคน้ หาความจริงเพ่ือการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ๒๘๒ ว่าความรุนแรงส่งผลให้ มีผู้เสียชีวิต ๑๓๓ คน บาดเจ็บกว่า ๒,๐๐๐ ราย มีผู้ท่ีทรัพย์สินเสียหายกว่า ๓,๐๐๐ ราย มีผู้ถูกฟ้องร้องดาเนิน คดีอาญากว่า ๑๘๘๓ คน โดยท้ังรัฐและ กลุ่มอานาจนอกรัฐ (non state actors) เป็นผู้รับผิดชอบในผลกระทบ ดังกล่าว ซง่ึ บาดแผลดงั กล่าวทาให้ความขดั แย้งทางการเมืองและความรนุ แรงยังคงดาเนินต่อไปและเลวร้ายย่งิ ข้นึ นอกจากนั้น ประเทศไทยกาลงั เผชญิ กับความขัดแย้งทางด้านอาวุธ ซึง่ มีรากเหง้ามาตั้งแต่ศตวรรษท่ี ๑๙ จากการก่อความไม่สงบเพ่ือแบ่งแยกดินแดนโดยกลุ่มชนเชื้อสายมลายูในภูมิภาคปัตตานีในภาคใต้ของประเทศ ปัญหาดังกล่าวสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นจากการที่ความรุนแรงทวียิ่งขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ โดยฐานข้อมูลศูนย์เฝ้าระวัง สถานการณ์เปิดเผยสถิติความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในระยะเวลา ๑๖ ปีนับต้ังแต่ ๔ มกราคม๒๕๔๗ ๒๘๒รายงานฉบบั สมบรู ณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจรงิ เพอ่ื การปรองดองแหง่ ชาต(ิ คอป.) กรกฎาคม ๒๕๕๓ – กรกฎาคม ๒๕๕๕
๒๓๔ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ มีเหตุความรุนแรง ๒๐,๕๑๒ ครั้ง มีผู้เสียชีวิต ๗,๐๘๕ คน บาดเจ็บ ๑๓,๒๓๓ คน รวมผูบ้ าดเจบ็ และเสยี ชวี ติ ๒๐,๓๑๘ คน๒๘๓ เมอื่ ไมน่ านมานี้ ขบวนการทางสังคมและส่ือมวลชนไทยได้พยายามช่วยกันสร้างพ้ืนทที่ างการเมืองเพื่อให้ มีการพูดคุยถกเถียงกันในเร่ืองนโยบายสาธารณะข้ึนมาอีกคร้ัง ท่ามกลางความหลากหลายของภาคประชาสังคม ในประเทศไทยเครือข่ายการกระจายอานาจท่ีทางานเก่ียวข้องกับประเด็นท่ีหลากหลายยังคงมีกิจกรรมอย่าง แข็งขันตลอดเวลาแต่การให้ภาคประชาสังคมเข้าไปเกี่ยวข้องถูกจากัดลงอย่างมากภายหลังจากการรัฐประหาร โดยกองทัพในปี ๒๕๕๗ ซึ่งก่อนหน้าท่ีจะเกิดความขัดแย้งแบ่งขั้วในเร่ืองอุดมการณ์ทางการเมืองนั้น เครือข่าย ภาคประชาสังคมในระดับรากหญ้ามีความเข้มแข็งเป็นอย่างมากในการผลักดันให้มีการคุ้มครองสิทธิของชุมชน โดยเฉพาะเก่ยี วกับการแบง่ ปันทรพั ยากร ตัวอย่างของอานาจและความเป็นเอกภาพของขบวนการภาคประชาสังคมมีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง ต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการจัดทารัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ความสาเร็จในประเด็นสาคัญของเร่ืองน้ีคือ การเปล่ียนผันจากการเมืองของชนช้ันนาไปสู่ประชาธิปไตยโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน (Participatory Democracy) เนื่องจากองค์กรประชาธิปไตยที่นาโดยเอ็นจีโอได้ผลักดันจนเกิดรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนข้ึน โดยในชั้นแรกคณะกรรมการท่ีเกิดจาก ๑๕ องค์กรและเครือขา่ ยที่ผลักดันเร่อื งประชาธิปไตย เช่น เครือขา่ ยผู้หญิง กับรัฐธรรมนูญ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย องค์กรด้านแรงงาน กลุ่มธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย สภาหอการค้า และกลุ่มองค์กรประชาธิปไตยอ่ืน ๆ รวมพลังกันได้ถึง ๓๐ องค์กรในเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ โดยขบวนการน้ีพุ่งเป้าไปท่ีความต้องการของประชาชนในการมีส่วนร่วม และการเสริมสร้างพลัง โดยเฉพาะ อย่างย่ิงแก่ประชาชนในระดับรากหญ้าได้ก่อตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปร ะชาชนขึ้นมีการรณรงค์ ต่อสาธารณ ะคู่ขน าน ไป กับ สภ าร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีกิจกรรมบ างอย่ างท่ีทา โดยการป ระสานงาน กับสภ าร่าง รฐั ธรรมนูญด้วยสาหรับในภาคใต้ของประเทศ องค์การภาคประชาสังคม และเอ็นจีโอ โดยเฉพาะอย่างย่ิงกลุ่มสตรี และกลุ่มท่ีได้จัดต้ัง “สภาประชาชน (People Council)” ข้ึน มีส่วนเช่นกันในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในพ้ืนที่ ดังกลา่ ว สถานการณ์ของผู้เสียหายจากอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือกระทาท่ีอาจมีแรงจูงใจทางการเมือง ในสังคมไทยจงึ มอี ยจู่ านวนมากในหลาย ๆ เหตกุ ารณค์ วามรนุ แรง เช่น ๑) เหตกุ ารณ์ ๑๔ ตลุ าคม ๒๕๑๖ ๒) เหตุการณ์ความรุนแรงในยุคถังแดงในเขตพ้ืนที่ภาคใต้ และพ้นื ทอ่ี ่ืนๆ ๓) เหตกุ ารณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ๔) การปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์และมตคิ รม. ๖๖/๒๕๒๓ ๕) เหตกุ ารณพ์ ฤษภาคม ๒๕๓๕ ๖) การปราบปรามยาเสพตดิ ปี ๒๕๔๖ ๗) การเสยี ชีวิตของนักตอ่ สูเ้ พอื่ สทิ ธมิ นุษยชน๒๑ รายระหวา่ งปี ๒๕๔๑-๒๕๔๕ ๘) การปราบปรามการกอ่ ความไม่สงบในจงั หวัดชายแดนใต้ เริ่มต้ังแต่ปี ๒๕๔๗ ๙) เหตกุ ารณค์ วามขัดแย้ง ปี ๒๕๕๓ เปน็ ต้นมาถงึ ปี ๒๕๕๗ ๑๐) เหตุการณ์ความขดั แยง้ ทางการเมืองหลังรัฐประหารปี ๒๕๔๙ และปี ๒๕๕๗ จนปจั จุบนั ๒๘๓ https://deepsouthwatch.org/th/node/11958 สบื ค้นเมอื่ วนั ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๓
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 459
Pages: