Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้เคมี

แผนการจัดการเรียนรู้เคมี

Published by pawanrat2760, 2021-09-24 03:37:00

Description: แผนการจัดการเรียนรู้เคมี

Search

Read the Text Version

แบบฝึกหัดที่ 1 เร่อื ง สูตรโมเลกลุ และชอื่ ของสารโคเวเลนต์ 1. จงเขยี นสตู รโมเลกุลตอ่ ไปน้ใี ห้ถูกต้อง สตู รโมเลกลุ ช่ือสาร ซิลคิ อนเตตระไฮไดรด์ อารเ์ ซนกิ เพนตะฟลอู อไรด์ ฟอสฟอรสั ไตรไฮไดรด์ ซนี อนไดออกซิเจนไดฟลูออไรด์ ไดคลอรนี เฮปตะออกไซด์ 2. จงเตมิ ช่องว่างตอ่ ไปนีใ้ หถ้ กู ตอ้ ง สตู รโมเลกุล ช่ือสาร ธาตุ Cl2 แก๊สออกซเิ จน CCl4 HH XeF4 คาร์บอน ฟลอู อรีน N F Si Br P2S3 N S ซิลคิ อน ฟลูออรนี สารหนู คลอรนี

เฉลย แบบฝึกหดั ที่ 1 เรอ่ื ง สตู รโมเลกลุ และชอื่ ของสารโคเวเลนต์ 1. จงเขียนสูตรโมเลกุลต่อไปน้ใี ห้ถูกตอ้ ง สตู รโมเลกลุ ชอ่ื สาร SiH4 ซลิ ิคอนเตตระไฮไดรด์ AsF5 อารเ์ ซนิกเพนตะฟลูออไรด์ PH3 XeO2F2 ฟอสฟอรสั ไตรไฮไดรด์ Cl2O7 ซนี อนไดออกซิเจนไดฟลอู อไรด์ ไดคลอรีนเฮปตะออกไซด์ 2. จงเตมิ ชอ่ งว่างตอ่ ไปน้ีใหถ้ กู ตอ้ ง ธาตุ สูตรโมเลกลุ ช่ือสาร H2 แก๊สไฮโดรเจน HH Cl2 แกส๊ คลอรนี O2 แก๊สออกซิเจน Cl Cl CCl4 คารบ์ อนเตตระคลอไรด์ CF4 คารบ์ อนเตตระ OO NF3 ฟลอู อไรด์ C Cl XeF4 ไนโตรเจนไตรฟลอู อไรด์ SbBr3 ซนี อนเตตระฟลอู อไรด์ คารบ์ อน ฟลูออรีน Si2Br6 แอนทิโมนีไตรโบรไมด์ P2S3 ไดซลิ คิ อนเฮกซะโบรไมด์ NF N2S5 ไดฟอสฟอรัสไตรซลั ไฟด์ Xe F Sb Br SiF4 ไดไนโตรเจนเพนตะ Si Br AsCl3 ซลั ไฟด์ PS NS ซลิ คิ อนเตตระฟลูออไรด์ อารเ์ ซนิกไตรคลอไรด์ ซิลคิ อน ฟลอู อรนี สารหนู คลอรนี

แบบประเมนิ การนำเสนอ เรอ่ื ง สตู รโมเลกลุ และช่อื ของสารโคเวเลนต์ วิชา……………………………………………….ช้นั ……..………….ห้อง................................ กลุม่ ท.่ี ......…………………………………………………..เลขทส่ี มาชิก…….....................................………… ที่ รายการประเมิน ผู้ประเมนิ รวม เกณฑ์การประเมนิ ตนเอง เพือ่ น ครู 1 เนือ้ หา (4 คะแนน ) คะแนน 4 : มีครบทุกขอ้ 1. เนือ้ หาครบถว้ นสมบรู ณ์ คะแนน 3 : มี 3 ข้อ ขาด 1 ข้อ 2. เนอื้ หาถกู ต้อง คะแนน 2 : มี 2 ขอ้ ขาด 2 ขอ้ 3. เนอื้ หาต่อเน่อื ง คะแนน 1 : มี 1 ขอ้ ขาด 3 ขอ้ 4. มกี ารค้นคว้าเพมิ่ เตมิ 2 กระบวนการทำงาน (2 คะแนน ) คะแนน 2: มคี รบทุกข้อ 1. มกี ารวางแผนอยา่ งเป็นระบบ คะแนน 1 : มี ไม่ครบ 4 ข้อ 2. การปฏบิ ัติตามแผน คะแนน 0 : ไมป่ รากฏกระบวน 3. ติดตามประเมนิ ผล 4. การปรับปรุงพัฒนางาน การทำงานทชี่ ัดเจน 3 การนำเสนอ (2 คะแนน ) คะแนน 2 : มคี รบทกุ ข้อ 1. การใช้สำนวนภาษาดี คะแนน 1.5: มี 3 ข้อ ขาด 1 ข้อ คะแนน 1 : มี 2 ข้อ ขาด 2 ข้อ ถูกตอ้ ง คะแนน 0.5 : มี 1 ข้อขาด 3 ข้อ 2. การสะกดคำและไวยากรณถ์ ูกต้อง 3. รปู แบบนา่ สนใจ 4. ความสวยงาม 4 คุณธรรม ( 2 คะแนน ) คะแนน 2 : มคี รบทกุ ขอ้ 1. ตรงต่อเวลา คะแนน 1.5: มี 3 ขอ้ ขาด 1 ขอ้ 2. ซอ่ื สตั ย์ คะแนน1 : มี 2 ขอ้ ขาด 2 ขอ้ 3. ความกระตอื รือรน้ คะแนน 0.5 :มี 1 ขอ้ ขาด 3 ข้อ 4. ความมนี ้ำใจ รวม คะแนนเต็ม 10 คะแนน เฉล่ยี เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ ลงช่ือผปู้ ระเมนิ …………………………….. ตนเอง ช่วงคะแนน ลงชอื่ ผปู้ ระเมนิ …………………………….. เพ่ือน 8-10 5-7 ลงชื่อผปู้ ระเมนิ …………………………….. ครู 1-4 ระดบั คณุ ภาพ 3= ดี 2 = พอใช้ 1 = ปรบั ปรุง

แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานเปน็ กลมุ่ คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในชอ่ งว่างที่ตรงกับระดับคะแนน กลุ่ม …………………… สมาชกิ ของกล่มุ 1……………………………………………..2……………………………………………… 3………………………………………… 4…………………………………………….. คณุ ภาพการปฏบิ ัติ ลำดบั ท่ี พฤติกรรม 432 1 1 มีการแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ และรับฟังกนั ภายในกลุม่ 2 มคี วามกระตือรือร้น และตังใจในการทำงาน 3 มีการจดั การทดี่ ภี ายในกลุ่มมกี ารวางแผนอย่างเปน็ ระบบ 4 มีการชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู กนั ภายในกลุ่ม 5 มีความรับผดิ ชอบในการทำงาน 6 มีการทำงานไดอ้ ย่างถูกต้องและปลอดภัย รวม ลงชอื่ ……………………………………………………ผู้ประเมิน ….………/……………./………….. เกณฑ์การให้คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ = 4 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบอ่ ยคร้งั = 3 คะแนน ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครง้ั = 2 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยคร้งั = 1 คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั 21-24 ดีมาก 16-20 ดี 11-15 พอใช้ 6-10 ปรบั ปรงุ

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ลำดบั ชือ่ -นามสกุล ผูถ้ ูกประเมนิ พฤตกิ รรม รวม ต้งั ใจในการ การตอบ มคี วาม ตรงตอ่ ทำงาน คำถาม รบั ผิดชอบ เวลา 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 12 เกณฑก์ ารให้คะแนน ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่ำเสมอ = 3 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง = 2 คะแนน ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยครั้ง = 1 คะแนน เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ช่วงคะแนน ระดบั 10-12 ดีมาก 8-9 ดี 6-7 พอใช้ 4-5 ปรบั ปรงุ

บนั ทกึ หลงั สอน ๑. ผลการสอน/ผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ นกั เรยี นเรียกช่อื สารโคเวเลนต์ได้ ดา้ นทักษะ นกั เรียนสบื ค้นขอ้ มลู และนำเสนอการเขยี นสตู รและเรียกชอ่ื สารโคเวเลนตไ์ ด้ ดา้ นคุณธรรม นักเรียนมีความกระตอื รอื ร้นในการเรยี นการสอนและเขา้ เรยี นอย่างสมำ่ เสมอ ดา้ นทกั ษะชวี ติ เพอ่ื การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 : 5 – 8 – 4 - ๒. ปญั หา/อปุ สรรค และขอ้ คน้ พบ ไมม่ ี ๓. ขอ้ เสนอแนะแนวทางแก้ไข และผลการแกไ้ ข ไม่มี ลงชอื่ .....................................................ผสู้ อน (................................................)



แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 9 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 3 พนั ธะ เรื่องความยาวพนั ธะและพลงั งาน เวลา 2 ชว่ั โมง เคมี พันธะของสารโคเวเลนต์ รหสั วชิ า ว 31221 วชิ า เคมี 1 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรียนท่ี 1 จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………. สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุพันธะเคมีและสมบัติของสาร แก๊สและสมบัติของแกส๊ ประเภทและสมบัตขิ องสารประกอบอนิ ทรยี ์และพอลเิ มอร์ รวมท้งั การนําความรู้ไปใช้ ประโยชน์ สาระ/ผลการเรยี นรู้ ม.4/16 วิเคราะห์ และเปรียบเทียบความยาวพันธะและพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์ รวมท้ัง คำนวณพลงั งานทเี่ กยี่ วขอ้ งกับปฏิกริ ยิ าของสารโคเวเลนต์จากพลังงานพันธะ สาระการเรยี นรู้ ความยาวพันธะและพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์ขึ้นกับชนิดของอะตอมคู่ร่วมพันธะและชนิดของ พันธะ โดยพันธะเดี่ยว พันะคู่ และพันธะสาม มีความยาวพันธะและพลังงานพันธะแตกต่างกัน นอกจากน้ี โมเลกุลโคเวเลนต์บางชนิดมีค่าความยาวพันธะและพลังงานพันธะแตกต่างจากของพันธะเดี่ยว พันธะคู่ และ พนั ธะสาม ซ่ึงสารเหลา่ นีส้ ามารถเขยี นโครงสร้างลิวอสิ ทเ่ี หมาะสมมากกว่า 1 โครงสร้าง ท่เี รยี กว่าโครงสร้างเร โซแนนซ์ สาระสำคัญ ความยาวพันธะและพลังงานพนั ธะ จะสามารถเปรยี บเทยี บกนั ไดก้ ต็ อ่ เม่อื เปน็ พันธะที่เกิดจากอะตอมของธาตคุ ู่ เดยี วกัน ถ้าเปน็ อะตอมต่างคู่กันเทยี บกันไม่ได้ ถ้าความยาวพันธะย่ิงส้ัน พลงั งานพันธะกจ็ ะยิ่งมาก หรือพันธะ มีความเสถยี รมาก ซึ่งเราสามารถสรุปได้ ดังน้ี 1. ความยาวพันธะ พนั ธะเด่ยี ว > พันธะคู่ > พันธะสาม 2. พลังงานพันธะ พนั ธะสาม > พนั ธะคู่ > พันธะเดีย่ ว จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. สามารถวิเคราะหแ์ ละเปรียบเทยี บความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะในสารโคเวเลนต์ (K) 2. สามารถคำนวนพลงั งานท่ีเก่ยี วข้องกบั ปฏิกิรยิ าของสารโคเวเลนตจ์ ากพลงั งานพนั ธะ (P)

3. สามารถทำงานได้อย่างเปน็ ระเบยี บ และเกิดความแสวงหาความรู้ (A) คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ ✓ 2. ซ่อื สัตย์ สจุ ริต ✓ 3. มีวนิ ยั ✓ 4. ใฝ่เรยี นรู้ 5. อย่อู ยา่ งพอเพียง ✓ 6. มุง่ ม่นั ในการทำงาน 7. รกั ความเปน็ ไทย ✓ 8. มจี ิตสาธารณะ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน ✓ 1. มคี วามสามารถในการสอื่ สาร ✓ 2. มีความสามารถในการคิด ✓ 3. มีความสามารถในการแกป้ ัญหา ✓ 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต ✓ 5. มีความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ✓ 1. สาระวชิ าหลัก (Core Subjects) ✓ 2. ทกั ษะการเรยี นรู้ และนวตั กรรม ✓ 3. ทกั ษะดา้ นสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี ✓ 4. ทักษะด้านชวี ติ และอาชพี ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูเปิดวิดีโอใน youtube ให้นักเรียนดูเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพลังงานในการเกิดโมเลกุลแก๊ส ไฮโดรเจน จากนั้นตั้งกับคำถามกับนักเรียนว่า นักเรียนสังเกตเห็นอะไรจากคลิบวิดีโอที่พวกเราเพิ่งดจู บกันไป บ้าง แลว้ สามารถบอกอะไรได้บ้าง

(แนวคำตอบ : ความยาวพันธะเป็นระยะห่างระหว่างนวิ เคลียสทท่ี ำใหพ้ ลงั งานศักย์รวมต่ำทสี่ ุด) 2. จากนั้นให้นักเรียนพิจารณาความยาวพันธะ O-H ในโมเลกุลของสารที่ต่างชนิดกัน เช่น H2O CH3OH HNO2 ในตารางที่ 3.11 ซึ่งจะพบว่าพันธะชนิดเดยี วกันในโมเลกลุ ท่ีต่างชนดิ กันอาจมีความยาวพันธะ ที่ไม่เท่ากัน ซึ่งในการประมาณความยาวพนั ธะระหว่างอะตอมคู่หนึ่ง ๆ โดยทั่วไปนยิ มใช้ความยาวพันธะเฉลี่ย ดงั ตารางท่ี 3.12 ตารางที่ 3.11 สาร โครงสรา้ งลวิ อสิ ความยาวพันธะ O-H (pm) น้ำ 95.8 เมทานอล 95.6 กรดไนทรสั 98.0 ตารางที่ 3.12 ข้นั สำรวจและคน้ หา (Exploretion) 3. ครใู ห้นักเรียนจบั คูก่ ับเพอื่ นใหห้ ้องเพอ่ื ทำกิจกรรมเปน็ คู่ โดยจะให้แตล่ ะคู่ศึกษาการเขยี นโครงสรา้ ง ลวิ อิสของโมเลกลุ โอโซน (O3) (ซงึ่ พบว่าสามารถเขียนโครงสรา้ งลิวอสิ ได้ 2 โครงสร้าง)

4. จากนั้นครูจะให้นักเรียนคู่ไหนที่ทำเสร็จแล้วออกมาเขียนคำตอบหน้าชั้นเรียน ซึ่งเมื่อทำถูกและ ครบทุกกลุ่มแล้ว ก็จะใช้โปรแกรมเลือกมา 1 กลุ่ม เพื่อตอบคำถาม โดยคำถามจะถามว่า พันธะระหว่าง ออกซเิ จนทัง้ 2 พันธะ ในโครงสรา้ งลวิ อิสแตล่ ะโครงสร้างอวิ ลสิ มีความยาวพนั ธะเท่ากันหรือไม่ (แนวคำตอบ : ไมเ่ ทา่ กนั ) - โดยคูไ่ หนท่ีตอบถกู กจ็ ะไดร้ บั คะแนนสะสมเป็นรูปสารโคเวเลนต์ 1 รปู (1 รปู จะเท่ากับ 1 คะแนน ซึง่ คะแนนที่ได้จะนำไปสะสมรวมกับคะแนนในการทำกจิ กรรมในบทเรยี นเรอื่ งพนั ธะเคมี) 5. ใหน้ ักเรียนพจิ ารณากราฟรูป 3.9 แล้วต้งั คําถามว่า ถา้ ตอ้ งการสลายพันธะในโมเลกุลแกส๊ ไฮโดรเจน ตอ้ งใช้พลังงานอยา่ งนอ้ ยเทา่ ใด - โดยจะให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมโดยการให้แย่งกันตอบคำถามด้วยการยกมือ ซึ่งใคร สามารถยกมือเร็วทส่ี ุดคนนน้ั จะได้ตอบคำถาม และถา้ ตอบถกู กจ็ ะไดร้ ับคะแนนสะสมเปน็ รูปสารโคเวเลนต์ 1 รปู (1 รูป จะเท่ากบั 1 คะแนน ซง่ึ คะแนนท่ไี ด้จะนำไปสะสมรวมกบั คะแนนในการทำกิจกรรมในบทเรียนเรื่อง พันธะเคมี) (แนวคาํ ตอบ : วา่ เท่ากบั 436 กโิ ลจลู ตอ่ โมล ซึง่ ค่าพลงั งานดงั กล่าวเปน็ พลงั งานพนั ธะ H−H) 6. ครตู ง้ั คำถามวา่ โมเลกลุ ท่ีมีพันธะชนดิ เดียวกนั มากกว่า 1 พันธะ นกั เรียนคดิ ว่าพลงั งาน ที่ใช้ในการ สลายพนั ธะแต่ละพันธะเทา่ กนั หรือไม่ อย่างไร โดยให้นกั เรยี นในห้องเรียนช่วยกนั ตอบ 7. จากนั้นจะอธบิ ายพลังงานท่ใี ช้ในการสลาย พนั ธะ O−H ของนำ้ ทงั้ 2 พนั ธะ ซง่ึ มคี า่ ไม่เท่ากัน และ พลังงานที่ใช้ในการสลายพันธะ O−H ในสาร ชนิดอื่นก็มีค่าไม่เท่ากัน ดังนั้นการประมาณพลังงานพันธะ ระหว่างอะตอมคู่หนึ่ง ๆ โดยทั่วไปนิยมใช้ พลังงานพันธะเฉลี่ย ดังตาราง 3.12 ซึ่งเฉลี่ยจากพันธะทั้งที่อยู่ใน โมเลกุลชนิดเดียวกนั และต่างชนดิ กัน 8. ครูให้นักเรียนพิจารณาค่าในตาราง 3.12 แล้วตั้งคําถามว่า ค่าความยาวพันธะและพลังงาน พันธะ ระหว่างอะตอมคู่ร่วมพันธะเดียวกัน มีความสัมพันธ์กันอย่างไร โดยจะให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมโดยการให้ แย่งกันตอบคำถามด้วยการยกมือ ซึ่งใครสามารถยกมือเร็วที่สุดคนนั้นจะได้ตอบคำถาม และถ้าตอบถูก ก็จะ ได้รับคะแนนสะสมเป็นรูปสารโคเวเลนต์ 1 รูป (1 รูป จะเท่ากับ 1 คะแนน ซึ่งคะแนนที่ได้จะนำไปสะสมรวม กับคะแนนในการทำกิจกรรมในบทเรียนเรื่องพันธะเคมี) (แนวคําตอบ : สำหรับอะตอมคู่ร่วมพันธะเดียวกัน พันธะท่มี ีคา่ พลังงานพนั ธะน้อยจะมีค่าความยาวพนั ธะมาก) 9. ครูใหน้ กั เรียนตอบคําถามเพอื่ ตรวจสอบความเข้าใจและตอบคําถามชวนคดิ 1. เรียงลำาดบั ความยาวพันธะและพลังงานพนั ธะในโมเลกลุ Cl2 Br2 และ I2 ความยาวพันธะเรียงลำาดับไดเ้ ป็น Cl2 < Br2 < I2 พลงั งานพนั ธะเรียงลำาดบั ได้เปน็ Cl2 > Br2 > I2 2. เพราะเหตุใดพันธะ F−F มีพลังงานพันธะน้อยกว่าพันธะ Cl−Cl ซึ่งไม่เป็นไปตามแนวโน้ม เดียวกันกับธาตุหมู่ VIIA ชนิดอื่น เน่อื งจากธาตุฟลอู อรนี มคี ่าอเิ ล็กโทรเนกาติวติ สี ูงและมขี นาดอะตอมเลก็ มาก เมื่อเกดิ พันธะโคเวเลนต์ อะตอมฟลูออรีน 2 อะตอม ต้องเข้ามาอยู่ใกล้กันมากเพื่อใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน โดยที่มีอิเล็กตรอนล้อมรอบ จำานวนมาก ทำให้มีความหนาแน่นของอิเล็กตรอนภายในโมเลกุลสงู และเกิดการผลกั กันระหว่างอิเล็กตรอน

ภายในโมเลกุล ส่งผลให้พลังงานพนั ธะ F−F มีค่าต่ำาและไม่เป็นไปตามแนวโน้มเดียวกันกับธาตุหมู่ VIIA ชนิด อืน่ 10. จากนั้นอธิบายเกี่ยวกับการคํานวณพลังงานของปฏิกิริยาของสารโคเวเลนต์จากพลังงาน พันธะ ซึ่งได้จากผลต่างของพลังงานพันธะรวมของสารตั้งต้นกับผลิตภัณฑ์ จากนั้นแสดงการคํานวณ ตามตัวอย่าง 1 และ 2 ในหนงั สอื เคมเี ลม่ 1 หน้า 175 ขัน้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explaination) 11. ครูและนักเรยี นอภิปรายร่วมกันเพ่อื สรุปความรู้เกีย่ วกับความยาวพันธะและพลังงาน พนั ธะ ดงั นี้ - ความยาวพันธะคือระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมคู่ร่วมพันธะที่ทําาให้พลังงานศักย์ รวมต่ําาที่สดุ ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดอะตอมคูร่ ว่ มพันธะและชนดิ ของพันธะ โดยความยาวพนั ธะระหว่าง อะตอมคู่ หนึ่ง ๆ ในโมเลกลุ ของสารตา่ งชนดิ กันอาจไม่เทา่ กนั จงึ นยิ มใช้เป็นความยาวพันธะเฉล่ีย - พลังงานพันธะคือพลังงานปริมาณน้อยที่สุดที่ใช้สลายพันธะระหว่างอะตอมคู่ร่วม พันธะใน โมเลกุลสถานะแก๊สให้เป็นอะตอมเดี่ยวในสถานะแก๊ส ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความยาวพันธะ โดยพลังงานพันธะ ระหวา่ งอะตอมคู่หน่งึ ๆ ในโมเลกุลชนดิ เดียวกนั และตา่ งชนดิ กนั อาจไมเ่ ทา่ กัน จึง นยิ มใช้เป็นพลงั งานพนั ธะเฉลยี่ - พลังงานพันธะนําามาใชใ้ นการคําานวณพลังงานของปฏกิ ริ ิยาซง่ึ ได้จากผลตา่ งของ พลงั งาน พนั ธะรวมของสารตงั้ ต้นกบั ผลิตภณั ฑ์ ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) 12. พลังงานพันธะเป็นพลังงานปริมาณน้อยที่สุดในการสลายพันธะระหว่างอะตอมคู่ร่วมพันธะใน โมเลกลุ สถานะแกส๊ ให้เปน็ อะตอมเดี่ยวในสถานะแกส๊ - อธบิ ายผลของโครงสรา้ งลวิ อสิ ของโมเลกลุ โอโซน (O3) โดยใชร้ ปู 3.10 ประกอบการอธบิ าย ว่าไม่เท่ากันเพราะอะไร? พันธะทั้งสองมีความยาวพันธะทั้งสองมีความยาวพันธะเท่ากัน นักวิทยาศาสตร์จึง เสนอว่าโครงสร้างทั้งสองไม่ใช่โครงสร้างโมเลกุลที่แท้จริงของ O3 แต่เรียกเป็นโครงสร้างเรโซแนนซ์ และใช้ ลูกศรสองหัวแสดงการเกิดเรโซแนนซ์ระหว่างโครงสร้าง 2 โครงสร้าง โดยโครงสร้างที่สอดคล้องกับค่าความ ยาวพนั ธะทเี่ ท่ากันสามารเขยี นแทนดว้ ยโครงสร้างเรโซแนนซ์ผสม ข้นั ประเมนิ (Evaluation) 13. ประเมินจากการร่วมกันคิดภายในกลุ่มขณะทำกิจกรรมการเขียนโครงสร้างลิวอิสของโมเลกุล โอโซน (O3) และตอบคำถาม 14. ประเมนิ เป็นรายบคุ คลจากการเลน่ เกม Kahoot และประเมนิ จากพฤตกิ รรมในชั้นเรียน การตั้งใจ เรียน การพดู คยุ ตอบคำถาม

การจดั บรรยากาศเชงิ บวก ครกู ระตุน้ ใหน้ กั เรยี นแสดงความคิดเห็น โดยไมต่ ้องกงั วลว่าถูกหรอื ผิด และช่วยกนั ปรบั ปรุงแกไ้ ขได้ ควรใหโ้ อกาสนกั เรยี นไดน้ ำเสนอผลการทำกจิ กรรมในชัน้ เรยี น เพ่ือเปน็ การแบ่งปันความร้ตู ่อนักเรยี นกลมุ่ อื่น ๆ และเกดิ การอภปิ รายระหวา่ งกลุม่ สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้ 1. หนังสือแบบเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ 2. คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบันส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ 3. PowerPoint เรอื่ ง ความยาวพนั ธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ การวดั ผลประเมนิ ผล วิธีการวัด เครอื่ งมอื วัด เกณฑ์การวดั การผลประเมินผล ด้าน - การทำแบบฝึกหัดหลงั - แบบฝึกหัด เรือ่ ง ความ 80% ขน้ึ ไป ผา่ นเกณฑ์ เรยี น ยาวพนั ธะและพลงั งาน 1. ด้านความรู้ความ พันธะของสารโคเวเลนต์ เข้าใจ 2. ด้านทักษะ - การทำแบบฝึกหัดหลัง - แบบฝกึ หัด เร่ือง ความ 80% ขึ้นไป ผา่ นเกณฑ์ กระบวนการ เรยี น ยาวพันธะและพลงั งาน พนั ธะของสารโคเวเลนต์ 3. ด้านลกั ษณะท่พี งึ สงั เกตพฤตกิ รรมผเู้ รยี น -แบบสงั เกตพฤตกิ รรม คณุ ภาพ พอใช้ ข้ึนไป ประสงค์ แบบกลมุ่ ผา่ นเกณฑ์ -สังเกตพฤตกิ รรมแบบ รายบุคคล

กจิ กรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงช่อื .....................................................ผเู้ ขียนแผนการจัดการเรยี นรู้ ................/.................../................ ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงช่อื .....................................................ผูต้ รวจ(ครพู ่เี ล้ียง) ................/.................../................

แบบฝึกหดั ทา้ ยบท 1. เปรียบเทยี บความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะระหวา่ งอะตอมในโมเลกลุ หรอื ไอออนทกี่ ำหนดให้ต่อไปนี้ พรอ้ มอธิบายเหตผุ ล 1.1 พนั ธะระหว่าง C กับ O ของ CO และ CO2 ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 1.2 พนั ธะระหวา่ ง O กบั O ของ O2 และ H2O2 ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 1.3 พันธะระหวา่ ง N กับ N ของ N2 และ N2H4 ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. คำนวณพลงั งานของปฏิกริ ยิ าการเผาไหมข้ องแก๊สเอทิลนี (C2H4) ดังสมการ C2H4(g) + 3O2(g) → 2CO2(g) + 2H2O(g) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................

3. กำาหนดค่าพลังงานพนั ธะดงั น้ี พนั ธะ H-F H-Cl Cl-Cl พลังงาน (kJ/mol) 567 431 242 จากปฏิกิรยิ า HF(g) + Cl2(g) HCl(g) + ClF(g) เป็นปฏกิ ิรยิ าดูดพลังงาน 120 กโิ ลจลู ตอ่ โมล คำานวณ พลังงานพนั ธะของ Cl−F .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

เฉลยแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 1. เปรียบเทียบความยาวพนั ธะและพลงั งานพันธะระหว่างอะตอมในโมเลกุลหรือไอออนที่กำหนดให้ต่อไปนี้ พร้อมอธบิ ายเหตผุ ล 1.1 พันธะระหว่าง C กับ O ของ CO และ CO2 ความยาวพันธะของ CO < CO2 และพลงั งานพันธะของ CO > CO2 เนื่องจากพนั ธะระหว่าง C กบั O ของ CO เปน็ พนั ธะสาม ส่วน CO2 เปน็ พันธะคู่ 1.2 พนั ธะระหว่าง O กบั O ของ O2 และ H2O2 ความยาวพันธะของ O2 < H2O2 และพลงั งานพนั ธะของ O2 > H2O2 เน่อื งจากพนั ธะระหว่าง O กบั O ของ O2 เปน็ พันธะคู่ สว่ น H2O2 เป็นพนั ธะเด่ยี ว 1.3 พนั ธะระหวา่ ง N กับ N ของ N2 และ N2H4 ความยาวพันธะของ N2 < N2H4 และพลงั งานพันธะของ N2 > N2H4 เนอื่ งจากพันธะระหวา่ ง N กับ N ของ N2 เปน็ พันธะสาม สว่ น N2H4 เปน็ พันธะเดย่ี ว 2. คำนวณพลงั งานของปฏิกริ ยิ าการเผาไหมข้ องแก๊สเอทลิ นี (C2H4) ดงั สมการ C2H4(g) + 3O2(g) → 2CO2(g) + 2H2O(g) พลังงานทใ่ี ชส้ ลายพนั ธะของ C2H4 1 โมล และ O2 3 โมล = E1 kJ E1 = [(1 mol C=C × 614 kJ/mol C=C) + (4 mol C−H × 414 kJ/mol C−H)] + [(3 mol O=O × 498 kJ/mol O=O)] = 614 kJ + 1656 kJ + 1494 kJ = 3764 kJ การสรา้ งพนั ธะของ CO2 2 โมล และ H2O 2 โมล = E2 kJ E2 = [(4 mol C=O) × (-804 kJ/mol C=O)] + [(4 mol H−O) × (-463 kJ/mol H−O)] = (-3216 kJ) + (-1852 kJ) = -5068 kJ ΔH = E1 + E2 = 3764 kJ + (-5068 kJ) = -1304 kJ ดังนน้ั การเผาไหม้ของแกส๊ เอทิลนี คายพลงั งานเท่ากับ 1304 กิโลจลู ตอ่ โมล

3. กำหนดค่าพลงั งานพันธะดงั นี้ พนั ธะ H-F H-Cl Cl-Cl พลงั งาน (kJ/mol) 567 431 242 จากปฏิกิริยา HF(g) + Cl2(g) HCl(g) + ClF(g) เปน็ ปฏิกิรยิ าดดู พลังงาน 120 กโิ ลจลู ตอ่ โมล คำานวณ พลงั งานพันธะของ Cl−F จาก ΔH = E1 + E2 120 kJ = [(1 mol H−F × 567 kJ/mol H−F) + (1 mol Cl−Cl × 242 kJ/mol Cl−Cl)] + [(1 mol H−Cl) × (-431 kJ/mol H−Cl) + (1 mol Cl−F × (- kJ/mol Cl−F))] 120 kJ = 567 kJ + 242 kJ – 431 kJ – [(Cl−F) kJ] (Cl−F) kJ = 258 kJ ดังนน้ั พลงั งานพันธะของ Cl−F มีค่าเทา่ กับ 258 กโิ ลจูลตอ่ โมล

แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานเปน็ กลมุ่ คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในชอ่ งว่างที่ตรงกับระดับคะแนน กลุ่ม …………………… สมาชกิ ของกล่มุ 1……………………………………………..2……………………………………………… 3………………………………………… 4…………………………………………….. คณุ ภาพการปฏบิ ัติ ลำดบั ท่ี พฤติกรรม 432 1 1 มีการแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ และรับฟังกนั ภายในกลุม่ 2 มคี วามกระตือรือร้น และตังใจในการทำงาน 3 มีการจดั การทดี่ ภี ายในกลุ่มมกี ารวางแผนอย่างเปน็ ระบบ 4 มีการชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู กนั ภายในกลุ่ม 5 มีความรับผดิ ชอบในการทำงาน 6 มีการทำงานไดอ้ ย่างถูกต้องและปลอดภัย รวม ลงชอื่ ……………………………………………………ผู้ประเมิน ….………/……………./………….. เกณฑ์การให้คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ = 4 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบอ่ ยคร้งั = 3 คะแนน ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครง้ั = 2 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยคร้งั = 1 คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั 21-24 ดีมาก 16-20 ดี 11-15 พอใช้ 6-10 ปรบั ปรงุ

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ลำดบั ชือ่ -นามสกุล ผูถ้ ูกประเมนิ พฤตกิ รรม รวม ต้งั ใจในการ การตอบ มคี วาม ตรงตอ่ ทำงาน คำถาม รบั ผิดชอบ เวลา 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 12 เกณฑก์ ารให้คะแนน ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่ำเสมอ = 3 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง = 2 คะแนน ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยครั้ง = 1 คะแนน เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ช่วงคะแนน ระดบั 10-12 ดีมาก 8-9 ดี 6-7 พอใช้ 4-5 ปรบั ปรงุ

บนั ทกึ หลังสอน ๑. ผลการสอน/ผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ นักเรียนวิเคราะห์และเปรยี บเทยี บความยาวพันธะและพลงั งานพันธะในสารโคเวเลนต์ ดา้ นทกั ษะ นักเรยี นคำนวนพลังงานที่เก่ียวข้องกบั ปฏิกิริยาของสารโคเวเลนตจ์ ากพลงั งานพนั ธะ ด้านคณุ ธรรม นกั เรยี นมคี วามกระตอื รอื ร้นในการเรยี นการสอนและเขา้ เรยี นอย่างสม่ำเสมอ ดา้ นทกั ษะชวี ิตเพือ่ การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 : 5 – 8 – 4 - ๒. ปญั หา/อปุ สรรค และขอ้ คน้ พบ ไมม่ ี ๓. ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข และผลการแก้ไข ไมม่ ี ลงชอ่ื .....................................................ผูส้ อน (................................................)



แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 10 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 พนั ธะเคมี เรื่องรูปรา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ เวลา 1 ชว่ั โมง รหัสวชิ า ว 31221 วิชา เคมี 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 1 จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต ………………………………………………………………………………………………………………………………………………. สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุพันธะเคมีและสมบัติของสาร แกส๊ และสมบตั ขิ องแกส๊ ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอนิ ทรยี แ์ ละพอลเิ มอร์ รวมท้ังการนําความรู้ไปใช้ ประโยชน์ สาระ/ผลการเรยี นรู้ ม.4/17 คาดคะเนรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ โดยใช้ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และระบุสภาพขวั้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ สาระการเรียนรู้ รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์ อาจพิจารณาโดยใข้ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ (VSEPR) ซง่ึ ขนึ้ อย่กู บั จำนวนพนั ธะและจำนวนอเิ ล็กตรอนคโู่ ดดเดยี่ วรอบอะตอมกลาง สาระสำคัญ พันธะโคเวเลนต์เป็นพันธะทม่ี ที ศิ ทางและมมุ ระหว่างพันธะทแี่ นน่ อน เนือ่ งจากการสร้างพนั ธะเกิดจาก การใช้อิเล็กตรอนร่วมกันระหว่างอะตอมที่สร้างพันธะกัน โดยอาจมีอิเล็กตรอนที่ไม่ได้ใช้ในการสร้างพันธะ หรือที่เรียกว่าอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเหลืออยู่ด้วยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กตรอนที่สร้างพันธะหรืออิเล็กตรอนคู่ โดดเดี่ยว ต่างก็มีประจุลบเหมือนกัน จึงมีแรงผลักซึ่งกันและกัน ผลของแรงผลักจะทำให้พันธะแยกตัวอยู่ใน ตำแหน่งที่สมดุลระหว่างแรงผลักที่มีต่อกัน ทำให้เกิดขนาดของมุมระหว่างพันธะที่เหมาะสมและเกิดเป็น รูปทรงเรขาคณิตของโมเลกลุ ข้นึ มาได้ รปู ทรงเรขาคณติ ของโมเลกุลจะเปน็ อยา่ งไร ขนึ้ อยู่กับโครงสร้างโมเลกุล ของสารแต่ละชนิด วา่ ประกอบดว้ ยอะตอมจำนวนเทา่ ไร มีการสร้างพันธะอย่างไร และมีอเิ ล็กตรอนคูโ่ ดดเดี่ยว หรือไม่ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. สามารถทำนายรูปร่างของโมเลกลุ โคเวเลนตเ์ ม่ือทราบจำนวนอเิ ล็กตรอนครู่ ว่ มพันธะและอเิ ล็กตรอนคู่โดด เด่ยี วรอบอะตอมกลางไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง (K) 2. สามารถทำการทดลองและอธบิ ายรปู ร่างของโมเลกุลโคเวเลนตไ์ ด้อย่างถูกตอ้ ง (P)

3. สามารถทำงานได้อย่างเปน็ ระเบียบ และเกดิ ความแสวงหาความรู้ (A) คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ✓ 2. ซอ่ื สตั ย์ สุจริต ✓ 3. มวี นิ ัย ✓ 4. ใฝเ่ รียนรู้ 5. อยอู่ ย่างพอเพยี ง ✓ 6. มุ่งมัน่ ในการทำงาน 7. รกั ความเปน็ ไทย ✓ 8. มจี ิตสาธารณะ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น ✓ 1. มคี วามสามารถในการสอื่ สาร ✓ 2. มีความสามารถในการคิด ✓ 3. มคี วามสามารถในการแก้ปญั หา ✓ 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต ✓ 5. มคี วามสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ✓ 1. สาระวชิ าหลัก (Core Subjects) ✓ 2. ทักษะการเรียนรู้ และนวตั กรรม ✓ 3. ทกั ษะดา้ นสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยี ✓ 4. ทักษะดา้ นชวี ติ และอาชพี ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) 1. ครูนำแบบจำลองโครงสร้างสามมติ ขิ องนำ้ มาให้นักเรยี นดู แล้วถามนกั เรียนวา่ นักเรียนทราบไหมว่า ส่งิ ทคี่ รถู อื อย่คู อื อะไร (แนวคำตอบ : โครงสร้างสามมติ ขิ องโมเลกุลนำ้ ) 2. จากน้ันใหน้ กั เรียนศึกษารูปร่างโมเลกุลของโมเลกุลโคเวเลนต์ทีม่ ีรปู ร่างโมเลกลุ ต่างกนั เช่น โมเลกุล น้ำ (H2O) คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) แอมโมเนีย (NH3) โบรอนไตรฟลูออไรด์ (BF3) 3. และตั้งคำถามหลังจากที่เราศึกษาโครงสร้างของโมเลกุลกันไปแล้ว นักเรียนทราบไหมว่า รูปร่าง โมเลกุลของสารเหล่านี้เหมือนหรือต่างกันหรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : รูปร่างโมเลกุลของสารต่างกนั ขน้ึ อยู่กบั จำนวนอะตอมและจำนวนอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง)

ขนั้ สำรวจและคน้ หา (Exploretion) 4. ครูให้นักเรียนศึกษาภาพรูปทรงเรขาคณิตแบบต่าง ๆ เช่น พีระมิดฐานสามเหลี่ยม พีระมิดฐาน สี่เหลย่ี ม พรี ะมิดค่ฐู านสามเหลยี่ ม เพ่อื ใช้ในส่วนของการทำกจิ กรรมตอ่ ไป 5. ครูแบ่งกลุ่มให้นักเรียนกลุ่มละ 3 คน โดยใช้โปรแกรมสุ่ม หลังจากนั้นครูจะให้นักเรียนแต่ละกล่มุ ทำกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอื่ ง การจัดตวั ของลูกโปง่ กับรูปร่างของโคเวเลนต์ ในตอนท่ี 1 และตอนท่ี 2 เพื่อศึกษา รปู รา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ท่ีอะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียว และทีม่ อี เิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดีย่ ว โดยใช้ลูกโป่ง แทนแบบจำลองโมเลกุล 6. ครูให้นักเรียนเล่นเกมเกี่ยวกับรูปรา่ งโมเลกุล โดยมีชื่อเกมวา่ “รู้ชื่อไม่รู้หนา้ ” ซึ่งจะให้นักเรียนแต่ ละกลุ่มช่วยกันคิดและส่งตัวแทนออกมาเขียนชื่อสารโคเวเลนต์ตา่ ง ๆ หน้าชั้นเรียนกลุ่มละ 2 ชื่อ หลังจากนั้น จะให้นักเรียนกลุ่มอื่นแข่งกันตอบคำถามว่าสารโคเวเลนต์ที่เขียนหน้าชั้นเรียนมีรูปร่างโมเลกุลเป็นแบบใด (ตัวอย่างเชน่ มีกลุ่ม A B และกลมุ่ C ซ่ึงเมื่อกลุม่ A ออกไปเขยี นหนา้ ช้นั เรียน 2 ช่อื แล้ว กลุม่ B และกลมุ่ C ก็ ต้องแข่งกันเพื่อตอบคำถาม ส่วนกลุ่ม A ไม่มีสิทธิ์แข่งขันตอบคำถามด้วย เป็นต้น) ซึ่งกลุ่มไหนสามารถทีต่ อบ ถูก ก็จะได้รับคะแนนสะสมเป็นรูปสารโคเวเลนต์ 1 รูป (1 รูป จะเท่ากับ 1 คะแนน ซึ่งคะแนนที่ได้จะนำไป สะสมรวมกบั คะแนนในการทำกิจกรรมในบทเรียนเรื่องพันธะเคมี) ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explaination) 7. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการจัดตัวของลูกโป่งกับรูปร่างโมเลกุลโคเว เลนต์ เมื่อใช้ลูกโป่งแทนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวและอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ เมื่อนำามาผูกขั้วติดกัน พบว่า ลูกโป่งแต่ละลูกผลักกันเกิดการจัดตัวเป็นรูปร่างต่าง ๆ ที่มีสมมาตร โดยเมื่อจำนวนอะตอมล้อมรอม หรือ จำนวนอิเล็กตรอนคูโ่ ดดเดย่ี วมากขน้ึ จะมีจำนวนพนั ธะมากข้ึน ซึ่งอิเลก็ ตรอนในพนั ธะจะผลกั กนั ทำให้รูปร่าง โมเลกุลมีทิศทางของพันธะอยู่ห่างกันมากที่สุด ดังนั้นรูปร่างโมเลกุลขึ้นอยู่กับจำนวนพันธะและจำนวน อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง

8. จากนั้นครูอธิบายเกีย่ วกับรปู ร่างโมเลกลุ และมุมระหวา่ งพันธะของโมเลกุลโคเวเลนต์ท่อี ะตอมกลาง ไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวและที่อะตอมกลางมีอเิ ล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว โดยให้นักเรียนพิจารณาตัวอย่างรูปร่าง โมเลกลุ โคเวเลนตใ์ นตาราง 3.13 ประกอบการอธิบาย ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) 9. ครูอธิบายเกี่ยวกบั ทฤษฎีการผลักระหว่างคอู่ เิ ลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์ (VSEPR theory) เพือ่ เชื่อมโยง ไปส่กู ารคาดคะเนรูปร่างโมเลกลุ ซงึ่ มหี ลักการวา่ อเิ ล็กตรอนคูโ่ ดดเด่ยี วอย่ใู กล้นวิ เคลียสมากกว่าอิเล็กตรอนคู่ ร่วมพันธะ ดังนั้นแรงผลักระหว่างอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวด้วยกันจึงมีค่ามากกว่าแรงผลักระหว่างอิเล็กตรอนคู่ ร่วมพันธะกบั อเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ยี ว และมากกว่าแรงผลักระหวา่ งอเิ ล็กตรอนคู่ร่วมพันธะด้วยกัน ขัน้ ประเมนิ (Evaluation) 10. ประเมินจากการรว่ มกนั คดิ ภายในกลุ่มขณะทำกจิ กรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง “การจดั ตัวของลูกโปง่ กับ รูปร่างของโคเวเลนต”์ และเกม “รชู้ อ่ื ไม่รู้หนา้ ” การมคี วามรับผิดชอบ การชว่ ยเหลอื กนั ภายในกลมุ่ 11. ประเมินเป็นรายบุคคลจากการเล่นเกม Quizizz และประเมินจากพฤติกรรมในชั้นเรียนการต้งั ใจ เรยี น การพูดคุยตอบคำถาม การจดั บรรยากาศเชิงบวก ครูกระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ โดยไม่ตอ้ งกงั วลว่าถูกหรอื ผดิ และชว่ ยกนั ปรบั ปรงุ แก้ไขได้ ควรให้โอกาสนกั เรยี นไดน้ ำเสนอผลการทำกิจกรรมในชน้ั เรยี น เพอ่ื เปน็ การแบ่งปนั ความร้ตู อ่ นักเรยี นกล่มุ อื่น ๆ และเกดิ การอภปิ รายระหวา่ งกล่มุ สอ่ื /แหล่ง การเรียนรู้ 1. หนังสือแบบเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการ

เรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ 2. คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบันส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ 3. PowerPoint เร่ือง รปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ 4. แบบจำลองโครงสร้างงสามมิติ การวดั ผลประเมินผล วิธีการวดั เครอ่ื งมอื วดั เกณฑ์การวดั การผลประเมนิ ผล ด้าน - การทำแบบฝึกหัดหลงั - แบบฝึกหัด เรือ่ ง 80% ขน้ึ ไป ผ่านเกณฑ์ เรยี น รปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ 1. ด้านความรคู้ วาม - การทำกิจกรรมการ - กิจกรรมการเรียนรู้ 80% ขนึ้ ไป ผา่ นเกณฑ์ เข้าใจ เรียนรู้ เรอื่ ง “การจดั ตัว เร่ือง “การจัดตวั ของ 2. ดา้ นทกั ษะ ของลกู โป่งกับรปู ร่างของ ลกู โป่งกับรปู รา่ งของ กระบวนการ โคเวเลนต์” โคเวเลนต์” - การเล่นเกม “ร้ชู ื่อไม่รู้ - เกม “รู้ชือ่ ไมร่ ู้หนา้ ” 3. ดา้ นลักษณะทพี่ งึ หนา้ ” ประสงค์ สงั เกตพฤติกรรมผเู้ รยี น -แบบสังเกตพฤตกิ รรม คุณภาพ พอใช้ ขึ้นไป แบบกล่มุ ผา่ นเกณฑ์ -สังเกตพฤติกรรมแบบ รายบุคคล

กจิ กรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงช่ือ.....................................................ผเู้ ขียนแผนการจดั การเรยี นรู้ ................/.................../................ ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชือ่ .....................................................ผตู้ รวจ(ครพู เ่ี ลย้ี ง) ................/.................../................

กจิ กรรม รู้ชอื่ ไม่รหู้ นา้ ชื่อ-นามสกุล ................................................................... เลขท่.ี ........................................ช้นั .................. กลุ่ม ชื่อสารโคเวเลนซ์ รูปรา่ ง

แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานเปน็ กลมุ่ คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในชอ่ งว่างที่ตรงกับระดับคะแนน กลุ่ม …………………… สมาชกิ ของกล่มุ 1……………………………………………..2……………………………………………… 3………………………………………… 4…………………………………………….. คณุ ภาพการปฏบิ ัติ ลำดบั ท่ี พฤติกรรม 432 1 1 มีการแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ และรับฟังกนั ภายในกลุม่ 2 มคี วามกระตือรือร้น และตังใจในการทำงาน 3 มีการจดั การทดี่ ภี ายในกลุ่มมกี ารวางแผนอย่างเปน็ ระบบ 4 มีการชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู กนั ภายในกลุ่ม 5 มีความรับผดิ ชอบในการทำงาน 6 มีการทำงานไดอ้ ย่างถูกต้องและปลอดภัย รวม ลงชอื่ ……………………………………………………ผู้ประเมิน ….………/……………./………….. เกณฑ์การให้คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ = 4 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบอ่ ยคร้งั = 3 คะแนน ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครง้ั = 2 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยคร้งั = 1 คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั 21-24 ดีมาก 16-20 ดี 11-15 พอใช้ 6-10 ปรบั ปรงุ

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ลำดบั ชือ่ -นามสกุล ผูถ้ ูกประเมนิ พฤตกิ รรม รวม ต้งั ใจในการ การตอบ มคี วาม ตรงตอ่ ทำงาน คำถาม รบั ผิดชอบ เวลา 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 12 เกณฑก์ ารให้คะแนน ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่ำเสมอ = 3 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง = 2 คะแนน ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยครั้ง = 1 คะแนน เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ช่วงคะแนน ระดบั 10-12 ดีมาก 8-9 ดี 6-7 พอใช้ 4-5 ปรบั ปรงุ

บันทึกหลังสอน ๑. ผลการสอน/ผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ นักเรียนทำนายรูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์เมื่อทราบจำนวนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะและอิเล็กตรอนคู่ โดดเดีย่ วรอบอะตอมกลางไดอ้ ย่างถกู ต้อง ดา้ นทกั ษะ นกั เรียนทำการทดลองและอธบิ ายรปู รา่ งของโมเลกลุ โคเวเลนต์ไดอ้ ย่างถูกต้อง ดา้ นคณุ ธรรม นักเรยี นมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการเรยี นการสอนและเข้าเรยี นอย่างสมำ่ เสมอ ดา้ นทกั ษะชวี ิตเพ่อื การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 : 5 – 8 – 4 - ๒. ปญั หา/อปุ สรรค และข้อคน้ พบ นักเรียนไม่สามารถทำการทดลองเร่ืองรูปร่างโมเลกลุ ได้ ๓. ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข และผลการแก้ไข เปดิ ภาพ หรืออนเิ มชนั ใหน้ กั เรียนดู ลงชอ่ื .....................................................ผสู้ อน (................................................)



แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 11 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 3 พนั ธะเคมี เรือ่ งสภาพขวั้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ เวลา 1 ชวั่ โมง รหสั วิชา ว 31221 วชิ า เคมี 1 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นท่ี 1 จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต ………………………………………………………………………………………………………………………………………………. สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุพันธะเคมีและสมบัติของสาร แก๊สและสมบัตขิ องแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรียแ์ ละพอลเิ มอร์ รวมทั้งการนําความรู้ไปใช้ ประโยชน์ สาระ/ผลการเรยี นรู้ ม.4/17 คาดคะเนรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ โดยใช้ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และระบสุ ภาพขั้วของโมเลกลุ โคเวเลนต์ สาระการเรยี นรู้ รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์อาจพิจารณาโดยใช้ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ (VSEPR) ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนพันธะและจำนวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวรอบอะตอมกลางโมเลกุลโคเวเลนต์มีท้ัง โมเลกุลมีขั้วและไม่มีขั้วสภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์เป็นผล รวมปริมาณเวกเตอร์สภาพขั้วของแต่ละพันธะ ตามรปู รา่ งโมเลกุล สาระสำคัญ พนั ธะโคเวเลนต์เปน็ พนั ธะท่มี ีทศิ ทางและมมุ ระหว่างพนั ธะทแ่ี นน่ อน เน่อื งจากการสรา้ งพันธะเกดิ จาก การใช้อิเล็กตรอนร่วมกันระหว่างอะตอมที่สร้างพันธะกัน โดยอาจมีอิเล็กตรอนที่ไม่ได้ใช้ในการสร้างพันธะ หรือที่เรียกว่าอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเหลืออยู่ด้วยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กตรอนท่ีสร้างพันธะหรืออิเล็กตรอนคู่ โดดเดี่ยว ต่างก็มีประจุลบเหมือนกัน จึงมีแรงผลักซึ่งกันและกัน ผลของแรงผลักจะทำให้พันธะแยกตัวอยู่ใน ตำแหน่งที่สมดุลระหว่างแรงผลักที่มีต่อกัน ทำให้เกิดขนาดของมุมระหว่างพันธะที่เหมาะสมและเกิดเป็น รูปทรงเรขาคณิตของโมเลกุลขนึ้ มาได้ รูปทรงเรขาคณิตของโมเลกุลจะเป็นอยา่ งไร ขึ้นอยูก่ บั โครงสร้างโมเลกุล ของสารแตล่ ะชนิด วา่ ประกอบดว้ ยอะตอมจำนวนเทา่ ไร มีการสรา้ งพนั ธะอย่างไร และมอี ิเล็กตรอนค่โู ดดเดีย่ ว หรือไม่

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. สามารถอธบิ ายสภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์ได้อยา่ งถูกตอ้ ง (K) 2. สามารถเขียนแผนภาพแสดงทศิ ทางข้วั พันธะและทิศทางข้ัวของโมเลกุลไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง (P) 3. สามารถทำงานไดอ้ ยา่ งเปน็ ระเบียบ และเกดิ ความแสวงหาความรู้ (A) คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ✓ 2. ซอ่ื สัตย์ สจุ ริต ✓ 3. มีวินยั ✓ 4. ใฝ่เรยี นรู้ 5. อย่อู ย่างพอเพียง ✓ 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. รักความเปน็ ไทย ✓ 8. มีจิตสาธารณะ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น ✓ 1. มีความสามารถในการสอื่ สาร ✓ 2. มคี วามสามารถในการคดิ ✓ 3. มีความสามารถในการแก้ปญั หา ✓ 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ ✓ 5. มคี วามสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ✓ 1. สาระวชิ าหลกั (Core Subjects) ✓ 2. ทกั ษะการเรยี นรู้ และนวัตกรรม ✓ 3. ทกั ษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ✓ 4. ทักษะด้านชวี ติ และอาชีพ ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูเปดิ รูปโมเลกุลของแก็สไฮโดรเจน (H2) และโมเลกุลของไฮโดรเจนคลอไรด์ (HCl) 2. จากนั้นถามนักเรียนว่า “นักเรียนคิดว่าระหว่างโมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจน และโมเลกุลของ ไฮโดรเจนคลอไรด์ที่พวกเราเห็นกัน โมเลกุลไหนเป็นพันธะโคเวเลนต์ที่มขี ั้ว และโมเลกุลไหนเป็นพันธะโคเวเลนต์ท่ี ไมม่ ีขัว้ ” (แนวคำตอบ : แกส๊ ไฮโดรเจนเป็นโมเลกลุ ทีไ่ ม่มขี ้ัว สว่ นไฮโดรคลอไรดเ์ ป็นโมเลกลุ ที่มีข้ัว) 3. ครูอธบิ ายว่าพันธะโคเวเลนต์ไมม่ ีข้วั เปน็ พนั ธะทเี่ กิดจากอะตอมชนิดเดยี วกนั มกี ารกระจายของกลุ่ม หมอกอเิ ล็กตรอนคู่รว่ มพนั ธะระหวา่ งอะตอมท้ังสองเท่ากนั เช่น แกส๊ ไฮโดรเจน (H2) และพนั ธะ โคเวเลนต์ท่ีมี

ข้ัว เป็นพันธะที่เกดิ จากอะตอมต่างชนดิ กันและมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตตี า่ งกนั จะมีการกระจายของกลุ่มหมอก อิเล็กตรอนค่รู ว่ มพนั ธะระหว่างอะตอมไมเ่ ทา่ กนั เช่น ไฮโดรเจนคลอไรด์ (HCl) ขน้ั สำรวจและค้นหา (Exploretion) 4. ครูให้นักเรียนพิจารณารูป 3.11 และอธิบายเกี่ยวกับการแสดงขั้วของพันธะของอะตอมที่แสดง ประจไุ ฟฟา้ คอ่ นข้างบวกและอะตอมท่ีแสดงประจุไฟฟ้าคอ่ นข้างลบ และการเขยี นแสดงสัญลักษณ์และทิศทาง ของขว้ั ของโมเลกุลโคเวเลนต์ รูปที่ 3.11 การแสดงขั้วของพันธะ 5. จากนั้นครูถามนักเรียนว่า “นักเรียนคิดว่าโมเลกุลโคเวเลนต์ที่ประกอบด้วยอะตอมมากกว่า 2 อะตอม และพนั ธะระหว่างคูอ่ ะตอมเป็นพนั ธะมีขว้ั จะเปน็ โมเลกุลมีขั้วหรอื ไม่” (แนวคำตอบ : จะมีขวั้ หรอื ไมม่ ี ขัว้ ก็ได)้ 6. ครใู ห้นกั เรียนพิจารณาตาราง 3.14 และรปู 3.12 เพ่ือศึกษาการเขยี นทิศทางของขั้วของพนั ธะ และ การรวมเวกเตอร์สภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนตไ์ ม่มีขัว้ และโมเลกลุ มีข้วั ตาราง 3.14 ตัวอยา่ งรปู ร่างโมเลกุลโคเวนต์ไมม่ ีข้ัว

7. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม โดยแบ่งโดยการให้นักเรียนที่มีเลขประจำตัวนักเรยี นเป็น เลขคี่คือกลุม่ A และนักเรยี นทีม่ ีเลขประจำตัวนักเรียนเป็นเลขคู่ใหเ้ ป็นกลุม่ B จากนั้นจะให้ท้ัง 2 กลุ่มนั่งแยก ฝงั่ กนั ซ่ึงครูจะมีเกมให้เลน่ ช่อื ว่า “กลอ่ งปริศนา” ซง่ึ เกมกลอ่ งปรศิ นาจะเปน็ Power Point โดยกตกิ าของเกม นี้คือ เราจะมีคำถามมาให้นักเรียนทั้งสองกลุ่มเลือก และตอบคำถามให้ถูกเพื่อเก็บสะสมคะแนนให้มากที่สุด (ตัวอยา่ งเชน่ ถ้ากลุ่ม A เลือกคำถามมา 1 ข้อ จากนนั้ เม่อื ตอบคำถามถูกแลว้ จะให้เลอื กว่าจะเก็บกล่องไว้เอง หรือจะให้กลุ่ม B ซึ่งทำไมต้องให้อีกกลุ่ม เพราะว่าหลังกล่องจะมีจำนวนของคะแนนอยู่ ซึ่งจะมีทั้งคะแนนท่ี เป็นบวก และคะแนนที่เปน็ ลบ โดยเมือ่ จบเกมแลว้ กลมุ่ ใดมคี ะแนนมากทส่ี ุดกจ็ ะเปน็ ผ้ชู นะไป) ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explaination) 8. ครูอธิบายเกี่ยวกับสภาพขั้ว ซึ่งสภาพขั้วของพันธะเป็นปริมาณเวกเตอร์ การรวมกันของเวกเตอร์ ของแต่ละพันธะจะได้เป็นสภาพขั้วของโมเลกุล ดังนั้นถ้าเวกเตอร์หักล้างกันหมดจะเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว แต่ถ้า หักล้างกันไม่หมดจะเป็นโมเลกุลมีขั้ว และโมเลกุลที่อะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวและอะตอม ล้อมรอบเหมือนกนั ทุกอะตอมจะเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว แม้ว่าพันธะภายในโมเลกุลจะเป็นพันธะที่มีขั้ว เนื่องจาก รูปรา่ งโมเลกลุ มสี มมาตรทที่ ำใหเ้ วกเตอร์สภาพขว้ั ของพันธะหกั ลา้ งกันหมด 9. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อสรุปความรู้เกี่ยวกับรูปร่างโมเลกุลและสภาพขั้วของโมเลกุล โคเวเลนต์ ดังนี้ - รูปร่างโมเลกุลสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์(VSEPR) ซ่ึง พจิ ารณาจากจำานวนพนั ธะและจำานวนอิเลก็ ตรอนคู่โดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง - สภาพขั้วของโมเลกุลเป็นการรวมเวกเตอร์สภาพขั้วของแต่ละพันธะในรูปร่างโมเลกุล ซึ่งทำให้ โมเลกลุ โคเวเลนตม์ ีทง้ั โมเลกุลมีขั้วและโมเลกลุ ไมม่ ีขว้ั ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) 10. ครูใหค้ วามรูเ้ พิม่ เติมเกยี่ วกับโมเลกุลอะตอมคทู่ ป่ี ระกอบดว้ ยธาตชุ นิดเดยี วกัน พันธะท่ีเกิดขึน้ เป็น พันธะโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว เช่น O2 Cl2 และเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว แต่ถ้าโมเลกุลอะตอมคู่ที่ประกอบด้วยธาตุต่าง ชนดิ กนั พนั ธะท่ีเกดิ ขึน้ เปน็ พันธะโคเวเลนตม์ ขี ัว้ เชน่ HF CO และเปน็ โมเลกลุ มขี วั้ 11. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่า สภาพขั้วของโมเลกุลสามารถใช้ทำานายการละลายเป็นเนื้อเดียวกัน ระหว่างสารโคเวเลนต์ 2 ชนิดได้สารที่มีสภาพขั้วใกลเ้ คียงกนั จะละลายเป็นเน้ือเดียวกัน ส่วนสารที่มสี ภาพขัว้ ต่างกันมากจะไมล่ ะลายเป็นเนือ้ เดียวกัน ขนั้ ประเมนิ (Evaluation) 12. ประเมินจากการร่วมกันคิดภายในกลุ่มขณะเล่นเกม “กล่องปริศนา” การมีความรับผิดชอบ การ ช่วยเหลือกันภายในกลุ่ม

13. ประเมนิ เปน็ รายบุคคลจากการทำแบบฝึกหดั ท้ายบท และประเมินจากพฤติกรรมในชั้นเรียน การ ตั้งใจเรียน การพดู คุยตอบคำถาม การจัดบรรยากาศเชงิ บวก ครกู ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นแสดงความคิดเห็น โดยไม่ตอ้ งกังวลวา่ ถกู หรือผดิ และช่วยกันปรบั ปรงุ แกไ้ ขได้ ควรใหโ้ อกาสนกั เรยี นไดน้ ำเสนอผลการทำกจิ กรรมในชัน้ เรยี น เพื่อเปน็ การแบง่ ปนั ความรู้ต่อนกั เรยี นกลุ่มอ่ืน ๆ และเกดิ การอภิปรายระหวา่ งกลมุ่ สือ่ /แหล่ง การเรยี นรู้ 1. หนังสือแบบเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ 2. คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบันส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ 3. PowerPoint เร่ือง สภาพขว้ั ของโมเลกุลโคเวเลนต์ 4. เกมกล่องปรศิ นา การวดั ผลประเมนิ ผล วิธกี ารวดั เคร่ืองมอื วดั เกณฑก์ ารวดั การผลประเมนิ ผล ดา้ น - การทำแบบฝึกหัดหลงั - แบบฝกึ หัด เรอ่ื ง สภาพ 80% ขึ้นไป ผา่ นเกณฑ์ เรยี น ข้วั ของโมเลกุลโคเวเลนต์ 1. ด้านความรู้ความ - การทำแบบฝกึ หัดท้าย - แบบฝึกหดั ทา้ ยบท 80% ข้นึ ไป ผา่ นเกณฑ์ เข้าใจ บท 2. ด้านทักษะ สงั เกตพฤติกรรมผเู้ รยี น -แบบสังเกตพฤตกิ รรม คณุ ภาพ พอใช้ ขึ้นไป กระบวนการ แบบกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์ 3. ดา้ นลักษณะท่ีพงึ -สงั เกตพฤติกรรมแบบ ประสงค์ รายบุคคล

กจิ กรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงช่ือ.....................................................ผเู้ ขียนแผนการจดั การเรยี นรู้ ................/.................../................ ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชือ่ .....................................................ผตู้ รวจ(ครพู เ่ี ลย้ี ง) ................/.................../................

แบบฝกึ หัดทา้ ยบท 1. ระบุรูปร่างโมเลกุล และแสดงทิศทางขั้วของพันธะและทิศทางขั้วของโมเลกุล พร้อมระบุว่าเป็นโมเลกุล โคเวเลนตม์ ีขวั้ หรือไม่ ลงในตารางให้ถูกตอ้ ง 2. กำหนดให้ธาตุ X และ Y มีเลขอะตอม 32 และ 51 ตามลำาดับ ถ้า X และ Y เกิดสารประกอบกับคลอรีน ตามกฎออกเตต จะมีสูตรโมเลกลุ รปู รา่ งโมเลกลุ และสภาพขัว้ ของโมเลกลุ เป็นอยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

เฉลยแบบฝกึ หดั ท้ายบท 1. ระบุรูปร่างโมเลกุล และแสดงทิศทางขั้วของพันธะและทิศทางขั้วของโมเลกุล พร้อมระบุว่าเป็นโมเลกุล โคเวเลนตม์ ีขั้วหรือไม่ ลงในตารางใหถ้ ูกต้อง 2. กำหนดให้ธาตุ X และ Y มีเลขอะตอม 32 และ 51 ตามลำาดับ ถ้า X และ Y เกิดสารประกอบกับคลอรีน ตามกฎออกเตต จะมสี ตู รโมเลกุล รปู ร่างโมเลกุล และสภาพข้วั ของโมเลกลุ เปน็ อยา่ งไร X มกี ารจัดเรยี งอเิ ลก็ ตรอนเป็น 2 8 18 4 จดั เป็นธาตุหมู่ IVA Y มกี ารจัดเรียงอเิ ล็กตรอนเปน็ 2 8 18 18 5 จัดเป็นธาตุหมู่ VA ดังนั้น X และ Y เกิดสารประกอบกับคลอรีน มีสูตรโมเลกุลเป็น XCl4 มีรูปร่างโมเลกุล เป็นทรงสี่หน้า (tetrahedral) เป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว และ YCl3 มีรูปร่างโมเลกุลเป็นพีระมิดฐานสามเหลี่ยม (trigonal pyramidal) เป็นโมเลกุลมีข้ัว

แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานเปน็ กลมุ่ คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในชอ่ งว่างที่ตรงกับระดับคะแนน กลุ่ม …………………… สมาชกิ ของกล่มุ 1……………………………………………..2……………………………………………… 3………………………………………… 4…………………………………………….. คณุ ภาพการปฏบิ ัติ ลำดบั ท่ี พฤติกรรม 432 1 1 มีการแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ และรับฟังกนั ภายในกลุม่ 2 มคี วามกระตือรือร้น และตังใจในการทำงาน 3 มีการจดั การทดี่ ภี ายในกลุ่มมกี ารวางแผนอย่างเปน็ ระบบ 4 มีการชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู กนั ภายในกลุ่ม 5 มีความรับผดิ ชอบในการทำงาน 6 มีการทำงานไดอ้ ย่างถูกต้องและปลอดภัย รวม ลงชอื่ ……………………………………………………ผู้ประเมิน ….………/……………./………….. เกณฑ์การให้คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ = 4 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบอ่ ยคร้งั = 3 คะแนน ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครง้ั = 2 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยคร้งั = 1 คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั 21-24 ดีมาก 16-20 ดี 11-15 พอใช้ 6-10 ปรบั ปรงุ

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ลำดบั ชือ่ -นามสกุล ผูถ้ ูกประเมนิ พฤตกิ รรม รวม ต้งั ใจในการ การตอบ มคี วาม ตรงตอ่ ทำงาน คำถาม รบั ผิดชอบ เวลา 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 12 เกณฑก์ ารให้คะแนน ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่ำเสมอ = 3 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง = 2 คะแนน ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยครั้ง = 1 คะแนน เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ช่วงคะแนน ระดบั 10-12 ดีมาก 8-9 ดี 6-7 พอใช้ 4-5 ปรบั ปรงุ

บนั ทกึ หลังสอน ๑. ผลการสอน/ผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ นักเรยี นอธิบายสภาพขั้วของโมเลกลุ โคเวเลนต์ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง ด้านทกั ษะ นกั เรยี นเขียนแผนภาพแสดงทศิ ทางขวั้ พันธะและทิศทางข้ัวของโมเลกลุ ไดอ้ ย่างถกู ต้อง ดา้ นคณุ ธรรม นกั เรียนทำงานไดอ้ ย่างเปน็ ระเบยี บ และเกิดความแสวงหาความรู้ ด้านทกั ษะชวี ิตเพอื่ การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 : 5 – 8 – 4 - ๒. ปัญหา/อปุ สรรค และข้อคน้ พบ ไมม่ ี ๓. ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข และผลการแกไ้ ข ไมม่ ี ลงชอ่ื .....................................................ผู้สอน (................................................)



แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 12 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 พนั ธะ เร่ืองแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล เวลา 2 ชว่ั โมง เคมี และสมบัติของสารโคเวเลนต์ รหสั วิชา ว 31221 วชิ า เคมี 1 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………. สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุพันธะเคมีและสมบัติของสาร แกส๊ และสมบตั ขิ องแกส๊ ประเภทและสมบตั ขิ องสารประกอบอนิ ทรยี แ์ ละพอลิเมอร์ รวมทงั้ การนําความรู้ไปใช้ ประโยชน์ สาระ/ผลการเรียนรู้ ม.4/18 ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ และเปรียบเทียบจุดหลอมเหลว จุด เดือด และการละลายน้ำของสารโคเวเลนต์ สาระการเรียนรู้ แรงยดึ เหน่ียวระหว่างโมเลกลุ ซึ่งอาจเปน็ แรงแผก่ ระจายลอนดอน แรงระหว่างข้วั และพันธะไฮโดรเจน มีผลต่อจดุ หลอมเหลว จุดเดอื ด และการละลายนำ้ ของสาร นอกจากนสี้ ารโคเวเลนตส์ ว้ นใหญ่ยังมีจุหลอมเหลว และจดุ เดอื ดตำ่ กว่าสารประกอบไอออนิก เน่อื งจากแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุลมคี ่านอ้ ยกว่าพันธะไอออนกิ สารโคเวเลนต์ส่วนใหญ่มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำ และไม่ละลายในน้ำ สำหรับสารโคเวเลนต์ท่ี ละลายน้ำมีทั้งแตกตัวและไม่แตกตัวเป็นไอออน สารละลายที่ได้จากสารที่แตกตัวเป็นไอออนจะนำไฟฟ้า เรียกวา่ สารละลายอิเล็กโทรไลต์ สารละลายของสารประกอบคลอไรดแ์ ละออกไซดจ์ ะมีสมบัติเปน็ กรด สาระสำคัญ การเปลี่ยนสถานะของสารต้องมีการให้ความร้อนแก่สาร เพื่อให้อนุภาคของสารมีพลังงานจลน์สูง พอที่จะหลุดออกจากกัน แสดงว่าสารแต่ละสถานะมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ซึ่งเรียงลำดับจากมากไป น้อยดงั นี้ ของแข็ง > ของเหลว > กา๊ ซ การเปลี่ยนสถานะของสารโคเวเลนต์ มีการทำลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเท่านั้น ไม่มีการ ทำลายพันธะเคมี ดงั นน้ั สารที่มีจดุ เดือดจดุ หลอมเหลวสงู แสดงว่าแรงยึดเหนยี่ วระหวา่ งโมเลกุลสูงของสารแต่ ละชนิด ว่าประกอบด้วยอะตอมจำนวนเทา่ ไร มกี ารสรา้ งพนั ธะอยา่ งไร และมีอิเล็กตรอนค่โู ดดเด่ยี วหรอื ไม่

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. สามารถระบชุ นิดของแรงยดึ เหนย่ี วระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ได้อย่างถูกตอ้ ง (K) 2. สามารถเปรียบเทยี บจดุ หลอมเหลวจุดเดือด และการละลายน้ำของสารโคเวเลนตไ์ ด้ (P) 3. สามารถทำงานได้อยา่ งเปน็ ระเบียบ และเกิดความแสวงหาความรู้ (A) คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ ✓ 2. ซ่ือสัตย์ สุจรติ ✓ 3. มีวนิ ยั ✓ 4. ใฝเ่ รียนรู้ 5. อยู่อยา่ งพอเพียง ✓ 6. มุ่งมัน่ ในการทำงาน 7. รกั ความเป็นไทย ✓ 8. มจี ติ สาธารณะ สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น ✓ 1. มคี วามสามารถในการสอ่ื สาร ✓ 2. มคี วามสามารถในการคิด ✓ 3. มีความสามารถในการแกป้ ญั หา ✓ 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต ✓ 5. มคี วามสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ✓ 1. สาระวชิ าหลกั (Core Subjects) ✓ 2. ทกั ษะการเรียนรู้ และนวตั กรรม ✓ 3. ทกั ษะด้านสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยี ✓ 4. ทักษะด้านชวี ติ และอาชพี ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) 1. ครูหยิบขวดน้ำที่มีน้ำอยู่ข้างใน ขึ้นมาให้นักเรียนทุกคนสังเกต และถามนักเรียนว่า นักเรียนคิดว่า น้ำที่อยู่ภายในขวดนี้มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวเท่าไหร่ (แนวคำตอบ : จุดเดือดอยู่ที่ 100 องศาเซลเซียส และจุดหลอมเหลวอยู่ที่ 0 องศาเซลเซยี ส) 2. จากนัน้ ต้งั คำถามตอ่ ว่าแลว้ นกั เรยี นคิดวา่ สารแตล่ ะชนดิ มจี ุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่างกนั หรือมี สถานะที่อุณหภูมหิ ้องตา่ งกันข้นึ อยู่กับปจั จัยใดบ้าง (แนวคำตอบ ขึ้นอย่กู ับแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุล)

ขนั้ สำรวจและค้นหา (Exploretion) 3. ครูอธบิ ายเกี่ยวกับแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ ชนิดต่าง ๆ โดยเริม่ จากแรงแผก่ ระจายลอนดอนซง่ึ เป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลไม่มีขั้วหรืออะตอมแกส๊ มีสกลุ ซึ่งเป็นแรงอย่างอ่อน ๆจากนั้นครูอธิบายแรง ระหว่างขั้วโดยใช้รูป 3.13 ประกอบการอธิบายว่าเป็นแรงดึงดูดที่เกิดจากสภาพขั้วของโมเลกุล โดยโมเลกุลที่ อยูใ่ กล้กันจะหันสว่ นของโมเลกลุ ท่มี ขี ว้ั ตรงขา้ มกนั เข้าหากนั เกิดเปน็ แรงดึงดดู ทางไฟฟา้ จากสภาพข้วั นี้ 4. ครูให้นกั เรียนพจิ ารณารปู 3.14 แล้วต้งั คำถามวา่ แนวโน้มจดุ เดือดของสารประกอบของไฮโดรเจน กับธาตุหมู่ IVA VA VIA และ VIIA เป็นอย่างไร (แนวคำตอบ : แนวโน้มจุดเดือดจะเพิ่มขึ้นตามขนาดโมเลกุล เนอ่ื งจากแรงแผ่กระจายลอนดอน ยกเว้น NH3 HF และ H2O ท่ีไมเ่ ปน็ ไปตามแนวโนม้ ) 5. ครูให้นักเรียนพิจารณารูป 3.15 แล้วตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใด H2O จึงมีจุดเดือดสูงกว่าHF และ NH3 ท่ีเกิดพนั ธะไฮโดรเจนเหมอื นกัน (แนวคำตอบ : โมเลกลุ H2O มีอิเล็กตรอนคโู่ ดดเด่ยี ว 2 คู่ บน O ทำาให้ H2O แต่ละโมเลกุลสามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนกับโมเลกุลข้างเคียง 4 โมเลกุล อย่างต่อเนื่องเป็นโครงร่างตา ขา่ ย หรือคดิ เป็น 2 พันธะไฮโดรเจนตอ่ H2O 1 โมเลกลุ จงึ ทำาให้นำ้ มจี ดุ เดือดสูงกวา่ HF ซ่งึ มีพันธะไฮโดรเจน 1 พันธะต่อ HF 1 โมเลกุล ทั้งที่พันธะ H−O มีสภาพขัว้ นอ้ ยกว่าพันธะ H−F จึงทำาใหน้ ้ำมีจุดเดอื ดสงู กว่า HF และ NH3) 6. ครตู ้ังคำถามวา่ แรงยดึ เหน่ยี วระหว่างโมเลกุลนอกจากมผี ลต่อจดุ หลอมเหลวและจดุ เดอื ด แลว้ ยงั มี ผลต่อการละลายน้ำาของสารโคเวเลนต์หรือไม่ อย่างไร? (แนวคำตอบ : แรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุลมผี ลต่อ การละลายน้ำของสาร โดยสารโคเวเลนต์ที่ไม่มีข้ัวส่วนใหญ่ไม่ละลายหรือละลายน้ำไดน้ อ้ ย ส่วนสารโคเวเลนต์ ท่มี ีขัว้ บางชนิดอาจละลายนำ้ ได้ขน้ึ อยู่กบั สภาพขวั้ และการเกดิ พนั ธะไฮโดรเจนกับน้ำ)

7. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน เพื่อเล่นเกมตอบคำถามใน Kahoot เพื่อตรวจสอบความ เขา้ ใจ ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explaination) 8. ครูให้นักเรียนพิจารณาจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารโคเวเลนต์บางชนิดในตาราง 3.15 และ อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจดุ หลอมเหลว และจุดเดือดกับสภาพขั้วและขนาดของโมเลกลุ ซึ่งสรุปได้ว่า สารโคเวเลนต์ไม่มีขั้วมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำากว่าสารโคเวเลนต์มีขั้ว และจุดเดือดของ สารจะเพ่ิมข้นึ ตามขนาดโมเลกุล 9. ครูอธิบายว่าการที่ NH3 HF และ H2O ไม่เป็นไปตามแนวโน้ม เนื่องจากสารเหล่านี้เกิดพันธะ ไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุล โดยพันธะไฮโดรเจนเป็นแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลที่เกิดจากอะตอมไฮโดรเจนของ โมเลกุลหนึ่งกับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวบนอะตอมของธาตุที่มีขนาดเล็ก และมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงของอีก โมเลกลุ หนึ่ง 10. ครแู ละนักเรยี นอภิปรายรว่ มกันเก่ยี วกับสมบตั ขิ องสารโคเวเลนต์ ซึง่ ควรสรปุ ได้วา่ สาร โคเวเลนต์ ส่วนใหญ่มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำากวา่ สารประกอบไอออนิก เนื่องจากแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมี ค่าน้อยกว่าพนั ธะไอออนิก และสารละลายของสารโคเวเลนต์ในนำ้ ส่วนใหญม่ สี มบัติเปน็ กรด 11. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อสรุปความรู้เกี่ยวกับแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของสาร โคเวเลนต์ดังนี้ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์มีหลายชนิด ซึ่งอาจเป็นแรงแผ่กระจายลอนดอน แรง ระหว่างข้ัว หรือพันธะไฮโดรเจน ซงึ่ มผี ลตอ่ จุดหลอมเหลว จดุ เดือด และการละลายน้ำของสาร ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) 12. ครูใหค้ วามรูเ้ พม่ิ เตมิ เกย่ี วกับสมบตั ิความเปน็ กรด-เบสของสารละลายท่เี กดิ จากสาร โคเวเลนต์ ประเภทคลอไรดแ์ ละออกไซด์ ซึ่งสารโคเวเลนต์บางชนิดเมอ่ื เกดิ ปฏิกริ ิยากับนำ้ จะไดส้ ารละลายทีเ่ ป็นกรด เช่น CO2 SO2 PCl5 ข้ันประเมนิ (Evaluation) 13. ประเมินจากการร่วมกันคิดภายในกลุ่มขณะเล่นเกม “Kahoot” การมีความรับผิดชอบการ ชว่ ยเหลือกนั ภายในกลมุ่ 14. ประเมินเป็นรายบคุ คลจากการทำแบบฝึกหดั ทา้ ยบท และประเมนิ จากพฤตกิ รรมในชั้นเรยี น การ ตงั้ ใจเรยี น การพูดคยุ ตอบคำถาม

การจัดบรรยากาศเชิงบวก ครูกระตุ้นใหน้ ักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ โดยไมต่ ้องกังวลว่าถูกหรือผิด และช่วยกนั ปรบั ปรงุ แก้ไขได้ ควรใหโ้ อกาสนักเรียนไดน้ ำเสนอผลการทำกิจกรรมในชั้นเรยี น เพื่อเปน็ การแบง่ ปันความรูต้ อ่ นกั เรยี นกล่มุ อื่น ๆ และเกดิ การอภปิ รายระหวา่ งกลุ่ม สอื่ /แหล่ง การเรียนรู้ 1. หนังสือแบบเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ 2. คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบันส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ 3. PowerPoint เร่อื ง แรงยดึ เหนีย่ วระหว่างโมเลกลุ และสมบัติของสารโคเวเลนต์ 4. Kahoot เร่อื ง แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ และสมบัตขิ องสารโคเวเลนต์ การวดั ผลประเมินผล วิธีการวัด เครือ่ งมือวดั เกณฑ์การวดั การผลประเมนิ ผล ดา้ น - การทำแบบฝึกหัดหลงั - แบบฝกึ หัด เร่ือง แรงยดึ 80% ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ เรยี น เหน่ียวระหว่างโมเลกุล 1. ดา้ นความร้คู วาม และสมบตั ขิ องสารโคเว 80% ข้นึ ไป ผ่านเกณฑ์ เขา้ ใจ - การทำแบบฝึกหัดท้าย เลนต์ บท - แบบฝึกหัด เรือ่ ง แรงยึด คณุ ภาพ พอใช้ ข้นึ ไป 2. ดา้ นทกั ษะ ผา่ นเกณฑ์ กระบวนการ สังเกตพฤตกิ รรมผเู้ รียน เหนยี่ วระหว่างโมเลกุล 3. ด้านลักษณะทีพ่ งึ และสมบัตขิ องสารโคเว ประสงค์ เลนต์ -แบบสงั เกตพฤติกรรม แบบกลุม่ -สงั เกตพฤติกรรมแบบ รายบคุ คล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook