ปฏบิ ตั กิ ารทดลอง 1.1 เร่อื ง การวัดปรมิ าตรโดยใชอ้ ปุ กรณ์ชนิดต่างๆและการวัดมวลโดยใช้เครอ่ื งชงั่ จุดประสงคก์ ารทดลอง 1. ฝึกใช้เคร่อื งชง่ั และเครือ่ งแก้ววดั ปริมาตรบางชนิด 2. เปรยี บเทยี บความแมน่ ในการวดั ปริมาตรของกระบอกตวงและปิเปตต์ วสั ดุ อปุ กรณ์ และสารเคมี 1. นำ้ 2. เทอร์มอมเิ ตอร์ 3. บีกเกอรข์ นาด 100 mL 4. บกี เกอร์ขนาด 250 mL 5. ปิเปตตข์ นาด 25 mL 6. กระบอกตวงขนาด 25 mL 7. เครอ่ื งชงั่ วิธกี ารทดลอง 1. เทน้ำกลัน่ ปริมาตร 200 mL ลงในบกี เกอรข์ นาด 250 mL วดั อณุ หภูมขิ องนำ้ บนั ทกึ ผล 2. ช่ังมวลของบีกเกอร์ขนาด 100 mL บนั ทกึ ผล 3. หามวลของน้ำ 25 mL 3 คร้ัง ดังน้ี คร้งั ที่ 1 ปเิ ปตตน์ ำ้ 25 ml ลงในบกี เกอรข์ นาด 100 mL ชงั่ มวลรวมของนำ้ และบกี เกอร์ บันทกึ ผล และคำนวณมวลของนำ้ 25 mL บนั ทึกผล คร้ังท่ี 2 ปเิ ปตต์นำ้ 25 ml ลงในบกี เกอรเ์ ดิม ชง่ั มวลรวมของนำ้ 50 mL และบกี เกอร์ บันทกึ ผล และคำนวณมวลของนำ้ 25 mL ทีเ่ ตมิ คร้งั ท่ี 2 บันทกึ ผล ครงั้ ที่ 3 ปเิ ปตต์นำ้ 25 ml ลงในบกี เกอรเ์ ดิม ชัง่ มวลรวมของน้ำ 75 mL และบีกเกอร์ บันทกึ ผล และคำนวณมวลของนำ้ 25 mL ทเี่ ตมิ ครั้งที่ 3 บันทึกผล 4. คำนวณคา่ มวลเฉลี่ยของนำ้ ท่ไี ดจ้ ากการปิเปตต์ 3 คร้งั บนั ทกึ ผล 5. นำค่ามวลเฉลย่ี ของนำ้ ในขอ้ 4 มาคำนวณปริมาตรของน้ำดว้ ยสูตร d =������ เม่อื d เปน็ ความหนาแน่น ������ ของนำ้ (g/mL) m เป็นมวลของน้ำ (g) และ V เป็นปรมิ าตรของนำ้ (mL) 6. ทำการทดลองซำ้ ในขอ้ 1-5 โดยเปลย่ี นปิเปตตเ์ ป็นกระบอกตวงขนาด 25 mL 7. นำค่าปริมาตรของนำ้ ทีค่ ำนวณไดจ้ ากการใชป้ ิเปตตแ์ ละกระบอกตวง มาเปรียบเทยี บความแมน่ ของการวดั จาก การใชอ้ ุปกรณ์ต่างชนิดกนั
ตารางแสดงความหนาแน่นของนำ้ ณ อุณหภมู ติ า่ งๆ อุณหภมู ิ (C) ความหนาแน่น อณุ หภมู ิ ความหนาแนน่ 24.0 0.9973 20.0 0.9982 24.5 0.9972 25.0 0.9970 20.5 0.9981 25.5 0.9969 26.0 0.9968 21.0 0.9980 27.0 0.9965 28.0 0.9962 21.5 0.9979 29.0 0.9959 22.0 0.9978 22.5 0.9977 23.0 0.9975 23.5 0.9974 วางแผนการทดลอง
แบบบนั ทกึ ผลการทดลอง เรื่อง การวดั ปรมิ าตรโดยใชอ้ ปุ กรณช์ นดิ ต่างๆและการวดั มวลโดยใชเ้ ครอ่ื งชง่ั กลมุ่ …………………… สมาชกิ ของกลุ่ม 1……………………………………………..2……………………………………………… 3………………………………………… 4…………………………………………….. 5…………………………………………………….. วนั ท่ีทำการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ผลการทดลอง การวัดปริมาตรนำ้ ด้วยปเิ ปตต์ อุณหภมู ิของนำ้ ทที่ ำการทดลอง คือ ……………. C’ ความหนาแน่นของน้ำทอี่ ณุ หภมู นิ ้ี เท่ากับ ……………………… g/mL มวลท่ีชง่ั ได้ (g) มวลของน้ำทไี่ ด้ (g) บีกเกอรเ์ ปล่า เติมน้ำครั้งที่ 1 เตมิ นำ้ ครั้งที่ 2 เติมนำ้ ครัง้ ท่ี 3 เฉลยี่ คำนวณปริมาตรน้ำท่วี ัดไดจ้ ากค่ามวลน้ำเฉลีย่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... การวดั ปริมาตรนำ้ ด้วยกระบอกตวง อุณหภมู ขิ องน้ำทที่ ำการทดลอง คือ ……………. C’ ความหนาแนน่ ของนำ้ ทอ่ี ณุ หภูมินี้ เท่ากับ ……………………… g/mL มวลที่ชง่ั ได้ (g) มวลของนำ้ ที่ได้ (g) บีกเกอรเ์ ปลา่ เติมน้ำครงั้ ที่ 1 เตมิ น้ำครัง้ ท่ี 2 เตมิ น้ำคร้งั ที่ 3
เฉล่ีย คำนวณปริมาตรนำ้ ท่วี ัดได้จากคา่ มวลนำ้ เฉลีย่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... สรปุ และอภปิ รายผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….....
เฉลย แบบบนั ทกึ ผลการทดลอง เรอ่ื ง การวัดปริมาตรโดยใชอ้ ปุ กรณช์ นดิ ตา่ งๆและการวดั มวลโดยใช้เครอื่ งชงั่ กลมุ่ ท่ี ……….. สมาชกิ ของกลุม่ 1…………………………………………….. 2…………………………………………………… 3………………………………………… 4…………………………………………….. 5……………………………………………………. วนั ที่ทำการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ผลการทดลอง (ตวั อยา่ งผลการทดลอง) การวัดปริมาตรนำ้ ด้วยปเิ ปตต์ อุณหภมู ิของนำ้ ทีท่ ำการทดลอง คือ 20.0 C” ความหนาแนน่ ของน้ำทีอ่ ณุ หภมู นิ ี้ เทา่ กบั 0.998203 g/mL มวลท่ชี ง่ั ได้ (g) มวลของน้ำทไ่ี ด้ (g) บกี เกอรเ์ ปล่า 46.98 - เตมิ นำ้ ครง้ั ที่ 1 71.59 24.61 เติมนำ้ คร้งั ที่ 2 96.43 24.84 เตมิ นำ้ ครงั้ ท่ี 3 121.47 25.04 เฉล่ีย 24.83 คำนวณปริมาตรน้ำที่วัดไดจ้ ากค่ามวลน้ำเฉลย่ี จาก d = ������ จะได้ V = ������ ������ แทนคา่ ������ V = 24.83 ������ 0.998203 ������/������������ = 24.87 mL การวดั ปรมิ าตรนำ้ ดว้ ยกระบอกตวง อณุ หภูมิของนำ้ ทที่ ำการทดลอง คอื 20.0 C” ความหนาแนน่ ของน้ำทอ่ี ุณหภมู นิ ้ี เท่ากบั 0.998162 g/mL มวลทช่ี ่ังได้ (g) มวลของนำ้ ที่ได้ (g) บกี เกอรเ์ ปลา่ 50.72 - เติมนำ้ ครั้งที่ 1 74.92 24.20 เติมน้ำคร้งั ที่ 2 99.04 24.12
เติมน้ำครง้ั ท่ี 3 123.62 24.58 เฉล่ีย 24.30 คำนวณปรมิ าตรน้ำทีว่ ัดไดจ้ ากค่ามวลน้ำเฉล่ยี จาก d = ������ จะได้ V = ������ ������ แทนค่า ������ V = 24.30 ������ 0.998162 ������/������������ = 24.34 mL สรุปและอภปิ รายผลการทดลอง การวัดปรมิ าณของนำ้ ดว้ ยปิเปตตข์ นาด 25 มิลลลิ ิตร 3 ครัง้ พบวา่ มวลเฉลย่ี ของน้ำทว่ี ดั ได้เทา่ กบั 24.83 กร้ม เมอ่ื นำค่ามวลเฉล่ยี ทไ่ี ด้ไปคำนวณหาปรมิ าตรของนำ้ จากความหนาแน่น ณ อณุ หภมู ทิ ีท่ ำการวดั พบวา่ ปริมาตรของนำ้ เท่ากับ 24.87 มลิ ลิลติ ร การวัดปริมาณของนำ้ ดว้ ยกระบอกตวงขนาด 25 มิลลิลิตร 3 ครัง้ พบว่า มวลเฉลยี่ ของนำ้ ทว่ี ดั ไดเ้ ท่ากบั 24.30 กรม้ เมื่อนำคา่ มวลเฉลยี่ ทไ่ี ด้ไปคำนวณหาปรมิ าตรของน้ำจากความหนาแนน่ ณ อุณหภมู ทิ ่ที ำการวัด พบวา่ ปรมิ าตรของนำ้ เท่ากบั 24.34 มลิ ลลิ ิตร ดงั นั้น ปรมิ าตรของน้ำทวี่ ัดดว้ ยปิเปตต์ต่างจากค่าจริง 0.13 มิลลิลติ ร ส่วนกระบอกตวงตา่ งจากคา่ จรงิ 0.66 มลิ ลิลติ ร เมอื่ เปรยี บเทยี บการวัดปริมาตรน้ำโดยใชป้ เิ ปตตแ์ ละกระบอกตวง พบวา่ ปรมิ าตรนำ้ ท่ไี ดจ้ ากการใช้ปิ เปตต์ใกลเ้ คยี งค่าจริงมากกวา่ ค่าปริมาตรของน้ำทว่ี ดั ดว้ ยกระบอกตวงกล่าวคอื ปิเปตตม์ ีความแม่นมากกวา่ กระบอก ตวง
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานเปน็ กลุ่ม คำชีแ้ จง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งวา่ งที่ตรงกบั ระดบั คะแนน กล่มุ …………………… สมาชกิ ของกลมุ่ 1……………………………………………..2……………………………………………… 3………………………………………… 4…………………………………………….. คุณภาพการปฏิบตั ิ ลำดบั ที่ พฤติกรรม 432 1 1 มกี ารแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ และรบั ฟังกันภายในกลุ่ม 2 มคี วามกระตอื รือรน้ และตงั ใจในการทำงาน 3 มีการจดั การที่ดีภายในกลมุ่ มกี ารวางแผนอย่างเปน็ ระบบ 4 มกี ารช่วยเหลอื เก้อื กูลกันภายในกลุ่ม 5 มีความรบั ผิดชอบในการทำงาน 6 มีการทำงานได้อยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภัย รวม ลงชอื่ ……………………………………………………ผู้ประเมิน ….………/……………./………….. เกณฑ์การใหค้ ะแนน ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ = 4 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยคร้ัง = 3 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง = 2 คะแนน ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยครั้ง = 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั 21-24 ดมี าก 16-20 ดี 11-15 พอใช้ 6-10 ปรับปรุง
แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล ลำดบั ชื่อ-นามสกุล ผถู้ ูกประเมิน พฤตกิ รรม รวม ต้ังใจในการ การตอบ มีความ ตรงตอ่ ทำงาน คำถาม รบั ผดิ ชอบ เวลา 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 12 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ = 3 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง = 2 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้ัง = 1 คะแนน เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ช่วงคะแนน ระดับ 10-12 ดมี าก 8-9 ดี 6-7 พอใช้ 4-5 ปรับปรงุ
บันทึกหลังสอน ๑. ผลการสอน/ผลการเรียนรู้ ดา้ นความรู้ นักเรยี นบอกวิธีการใชเ้ คร่อื งมอื ในหอ้ งปฏบิ ัติการได้อย่างถกู ตอ้ ง ดา้ นทักษะ นกั เรียนสามารถอา่ นคา่ การวดั ปรมิ าณจากเครอ่ื งมอื ไดอ้ ยา่ งถูกต้องและสามารถเลอื กใช้เครอื่ งมมอื ได้ อยา่ งเหมาะสม ด้านคุณธรรม นักเรยี นมีความใฝเ่ รียนรู้ และแสวงหาความรู้ ด้านทักษะชวี ิตเพอื่ การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 : 5 – 8 – 4 - ๒. ปญั หา/อปุ สรรค และข้อคน้ พบ ไมส่ ามารถใหน้ ักเรยี นอ่านค่าจากการวดั ปรมิ าณจากเครอื่ งมอื จรงิ ได้ เนอ่ื งจากเปน็ การเรียนการสอนแบบ ออนไลน์ ๓. ข้อเสนอแนะแนวทางแกไ้ ข และผลการแกไ้ ข ให้นกั เรยี นอ่านค่าการวัดปริมาณจากรปู ภาพ ลงชอื่ .....................................................ผ้สู อน (................................................)
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 3 หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 1 ความปลอดภยั เร่อื ง หนว่ ยวดั เวลา 2 ชว่ั โมง และทักษะในปฏบิ ตั ิการเคมี รหัสวชิ า ว 31221 วิชา เคมี 1 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 1 จำนวน 1.5 หนว่ ยกจิ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... สาระเคมี เข้าใจหลักการทำปฏิบตั ิการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วย การคํานวณปรมิ าณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรูแ้ ละทักษะในการอธิบายปรากฏการณใ์ นชีวิตประจำวันและการ แกป้ ัญหาทางเคมี สาระ/ผลการเรยี นรู้ ม.4/4 ระบหุ น่วยวัดปรมิ าณตา่ ง ๆ ของสาร และเปล่ียนหน่วยวดั ใหเ้ ป็นหนว่ ยในระบบเอสไอดว้ ยการใช้ แฟก เตอร์เปลีย่ นหนว่ ย สาระการเรยี นรู้ การทำปฏิบัติการเคมีต้องมกี ารวัดปรมิ าณต่าง ๆ ของสาร การบอกปริมาณของสารอาจระบุ อยู่ในหน่วย ต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน จึงมีการกำหนดหน่วยในระบบเอสไอให้เป็นหน่วยสากล ซึ่งการเปลี่ยน หนว่ ยเพื่อใหเ้ ปน็ หนว่ ยสากล สามารถทำไดด้ ้วยการใชแ้ ฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย สาระสำคัญ หน่วยวัดคือขนาดที่แนน่ อนของปริมาณซึง่ กำหนดและนำมาใช้โดยอนุสัญญาหรือตามกฎหมายซึ่งใช้เปน็ มาตรฐานสำหรับการวัดปริมาณชนิดเดียวกนั ปรมิ าณอื่น ๆ ของชนิดน้นั สามารถแสดงเป็นผลคณู ของหนว่ ยวดั ได้ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ระบุหน่วยวัดปริมาณต่าง ๆ ของสาร และเปลี่ยนหน่วยวัดให้เป็นหน่วยในระบบเอสไอด้วยการใช้ แฟกเตอร์เปลยี่ นหนว่ ย (K) 2. คำนวณการเปลีย่ นหน่วยวดั โดยใชว้ ธิ แี ฟกเตอรเ์ ปลีย่ นหน่วย (P) 3. แสดงความเปน็ คนชา่ งสงั เกต ชา่ งคดิ ชา่ งสงสยั ใฝ่เรยี นรู้ และมุง่ มั่นในการเสาะแสวงหาความรู้ (A)
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ✓ 2. ซื่อสัตย์ สุจรติ ✓ 3. มวี ินัย ✓ 4. ใฝ่เรยี นรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง ✓ 6. ม่งุ ม่นั ในการทำงาน 7. รกั ความเปน็ ไทย ✓ 8. มีจติ สาธารณะ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น ✓ 1. มคี วามสามารถในการสอื่ สาร ✓ 2. มีความสามารถในการคิด ✓ 3. มคี วามสามารถในการแกป้ ัญหา ✓ 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ ✓ 5. มคี วามสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ✓ 1. สาระวชิ าหลกั (Core Subjects) ✓ 2. ทกั ษะการเรียนรู้ และนวตั กรรม ✓ 3. ทักษะด้านสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยี ✓ 4. ทกั ษะดา้ นชวี ิต และอาชพี
กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ขนั้ สร้างความสนใจ (engagement) 1. ครูให้นักเรยี นดูภาพการแตง่ ตัว 2 แบบคือ หนา้ ร้อน และ หนา้ หนาว แลว้ ตั้งคำถามว่า ถ้าอากาศ 293 เคลวนิ ควรแต่งตวั อยา่ งไร 2. จากน้ันกระตุ้นความสนใจนักเรียนดว้ ยการตั้งคำถามวา่ ปกติอณุ หภูมิ จะใช้หนว่ ยอะไรในการวดั (แนวทาง คำตอบ : องศาเซลเซยี ส) 3. จากนน้ั ใหน้ ักเรยี นยกตวั อยา่ งอ่ืน ๆ เพ่มิ เติม เช่น การระบุปรมิ าตรในหนว่ ยลติ ร ลูกบาศก์เซนตเิ มตร ลกู บาศก์เดซิเมตร ถว้ ยตวง แกลลอน การระบอุ ณุ หภูมใิ นหน่วยองศาเซลเซียส ฟาเรนไฮต์ แลว้ อภิปรายรว่ มกนั เพ่ือให้ไดข้ ้อสรปุ ว่าหน่วยท่วี ดั ได้จากปรมิ าณทตี่ า่ งกัน กจ็ ะมีหนว่ ยที่แตกต่างกัน และแตล่ ะปรมิ าณกม็ ีไดห้ ลายหน่วย ขน้ั สำรวจและคน้ หา (exploration) 1. ครูใหน้ กั เรียนดภู าพในตารางท่ี 1.1 หนว่ ยเอสไอพนื้ ฐาน ตารางท่ี 1.2 ตัวอย่างหนว่ ยเอสไออนุพันธ์ และตารางท่ี 1.3 ตวั อยา่ งหนว่ ยนอกระบบเอสไอที่ใช้ในทางเคมี 2. ครใู หน้ ักเรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน โดยการจบั ฉลาก นกั เรียนทีจ่ ับได้ฉลากไดใ้ นหนว่ ยเดยี วกนั จะ ไดอ้ ยู่กลมุ่ เดียวกนั ซงึ่ ฉลากจะมี หน่วยเอสไอพ้นื ฐาน หนว่ ยเอสไออนพุ ันธ์ และหนว่ ยนอกระบบเอสไอ ตัวอย่างฉลาก เชน่ เวลา วนิ าที s ปรมิ าตร ลกู บาศกเ์ มตร m3 3. ครูอธิบายเรอื่ งหนว่ ยในระบบเอสไอ มีทั้งหมด 3 หน่วยคือ หนว่ ยเอสไอพ้นื ฐานมีอะไรบา้ ง หนว่ ยเอสไอ อนุพันธ์มีอะไรบ้าง และหนว่ ยนอกระบบเอสไอมอี ะไรบา้ ง 4.จากนนั้ ครูใหน้ กั เรยี นเลน่ เกมสใ์ นเรอ่ื งหนว่ ยวัด
(วธิ กี ารเลน่ : 1.ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม นั่งเป็นวงกลม 2. ให้นกั เรียนคว่ำการ์ดทัง้ หมด กระจายการ์ดทว่ั 3.จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นทีละคนเปิดการด์ ทลี ะใบ เมอ่ื เจอการด์ ที่เปน็ หนว่ ยเดยี วกัน ใหพ้ ดู ชอ่ื ของหนว่ ย นั้น เช่น 3.1 เมอ่ื เปดิ การด์ เจอ การด์ เวลา, วินาที, s พร้อมกัน ให้นักเรยี นแย่งกันจับการ์ด แลว้ พดู ว่า พ้ืนฐาน 3.2 เมือ่ เปดิ การด์ เจอ การด์ ปรมิ าตร, ลูกบาศกเ์ มตร, m3 พรอ้ มกันใหน้ ักเรียนแย่งกันจบั การ์ด แล้วพูดวา่ อนพุ ันธ์ 3.3 เม่ือเปิดการด์ เจอ การ์ด พลงั งาน, แคลอรี, Cal พรอ้ มกนั ให้นักเรียนแยง่ กนั จับการด์ แลว้ พดู ว่า นอกระบบ 4) เลน่ ไปเร่อื ย ๆ จนกระทง่ั การ์ดหมด โดยทสี่ มาชกิ ภายในกลุ่มคนใดมกี ารด์ มากทสี่ ดุ ถอื เปน็ ผู้ชนะ) จากนัน้ อธิบายเพมิ่ เติมว่า ในทางวทิ ยาศาสตรก์ ารคำนวณเกี่ยวกับปรมิ าณตา่ งๆ จำเปน็ จะตอ้ งมกี ารเปลย่ี นหนว่ ย ให้อยู่ในนหว่ ยทเ่ี หมาะสมโดยไมท่ ำให้คา่ ของปริมาณเปลย่ี นแปลง 4. ครูนำอภิปรายในประเดน็ วา่ ในการคำนวณเพอ่ื เปลีย่ นหนว่ ยสามารถใชว้ ธิ ใี ดในการคำนวณไดบ้ ้าง เพ่อื นำเขา้ สกู่ ารอธิบายเร่อื งแฟกเตอรเ์ ปลย่ี นหนว่ ยและวธิ กี ารเทียบหน่วย 5.ครอู ธบิ ายเก่ียวกับวธิ ีการเปลีย่ นหน่วยโดยใชว้ ิธแี ฟกเตอรเ์ ปลยี่ นหนว่ ย และให้นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ช่วยกนั ทำใบงานเรอื่ ง การใชแ้ ฟกเตอรเ์ ปลีย่ นหน่วย และใหน้ ักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ส่งตวั แทนออกมาเฉลย ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (explanation) 1. ครูและนักเรียนอภิปรายรว่ มกันเพ่ือให้ไดข้ อ้ สรปุ วา่ หนว่ ยทวี่ ัดได้จากปริมาณทีต่ ่างกัน ก็จะมีหนว่ ยที่ แตกต่างกัน และแต่ละปริมาณกม็ หี ลายหน่วย 2. ครูใหค้ วามรู้เกยี่ วกบั แฟกเตอร์เปลยี่ นหนว่ ยและวธิ ีการเทยี บหนว่ ย ขน้ั ขยายความรู้ (elaboration) 1. ครใู หน้ กั เรยี นเขยี นแผนผังมโนทศั น์ (mind mapping) เร่อื งหน่วยการวดั 2. ครเู ฉลยกิจกรรมแรกในการแตง่ ตวั ท่อี ากาศอณุ หภมู ิ 293 เคลวนิ คอื เสอื้ แขนยาว ขายาว เนอื่ งจาก อากาศอุณหภูมิ 293 เคลวนิ เมื่อแปลงหนว่ ยเปน็ องศสาเซลเซยี สดว้ ยการ +273 จะเปน็ 20 องศาเซลเซียส ซึง่ เป็น อากาศหนาว ข้ันประเมนิ (evaluation) 1. ครปู ระเมนิ ผลของนกั เรียน ดงั นี้ สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียน สังเกตจากการรายงานหรือจากผลที่ได้ทำ กิจกรรมของนักเรยี น การตอบคำถามในช้นั เรียน การตอบคำถามในใบงาน และประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์โดย ใชแ้ บบประเมนิ ตามสภาพจรงิ 2. ครูวัดความรเู้ ก่ยี วกบั หนว่ ยวัดปรมิ าณตา่ ง ๆ ทางเคมีในระบบเอสไอ และการเปลย่ี นหนว่ ยวดั โดยใช้ แฟกเตอรเ์ ปล่ียนหนว่ ย จากใบงานเรอ่ื ง หน่วยวดั และการเลน่ เกมสเ์ รอ่ื งหนว่ ยวดั
การจดั บรรยากาศเชิงบวก ครูกระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น โดยไม่ต้องกังวลว่าถูกหรือผิด และช่วยกันปรับปรุงแก้ไขได้ ควรใหโ้ อกาสนักเรยี นได้นำเสนอผลการทำกจิ กรรมในชั้นเรยี น เพ่อื เปน็ การแบ่งปนั ความรู้ต่อนักเรียนกลุ่มอื่น ๆ และ เกดิ การอภปิ รายระหวา่ งกล่มุ สอื่ /แหลง่ การเรยี นรู้ 1. หนังสือแบบเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ 2. สอ่ื จากอนิ เทอร์เนต็ เพื่อใชใ้ นการสืบคน้ ขอ้ มลู เพม่ิ เติม 3. การ์ดเกมส์เรอ่ื งหนว่ ยวดั การวดั ผลประเมินผล วธิ กี ารวดั เครือ่ งมือวัด เกณฑก์ ารวดั การผลประเมนิ ผลดา้ น -คำถามในใบงานเร่ือง หน่วยวดั -คำตอบในใบงานเรือ่ ง 80% ขนึ้ ไป ผ่านเกณฑ์ 1. ด้านความรู้ความเขา้ ใจ หนว่ ยวัด 2. ด้านทกั ษะกระบวนการ -สงั เกตพฤตกิ รรมการ แบบประเมินพฤตกิ รรม คณุ ภาพพอใชข้ น้ึ ไป ผา่ น รว่ มทำกิจกรรมใน การรว่ มทำกิจกรรมใน เกณฑ์ หอ้ งเรยี น ห้องเรยี น -กจิ กรรมเกมส์เรอื่ ง หน่วยวดั 3. ด้านลักษณะทีพ่ งึ สังเกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ คณุ ภาพพอใช้ขึ้นไป ผ่าน ประสงค์ เกณฑ์ การเข้าเรยี น การปฏิบตั ิ คุณลกั ษณะอนั พึง กจิ กรรมและการสง่ งาน ประสงค์ ของนักเรียน
กจิ กรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชอื่ .....................................................ผเู้ ขียนแผนการจดั การเรียนรู้ ................/.................../................ ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ.....................................................ผูต้ รวจ(ครพู เ่ี ลี้ยง) ................/.................../................
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานเปน็ กลุ่ม คำชีแ้ จง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งวา่ งที่ตรงกบั ระดบั คะแนน กล่มุ …………………… สมาชกิ ของกลมุ่ 1……………………………………………..2……………………………………………… 3………………………………………… 4…………………………………………….. คุณภาพการปฏิบตั ิ ลำดบั ที่ พฤติกรรม 432 1 1 มกี ารแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ และรบั ฟังกันภายในกลุ่ม 2 มคี วามกระตอื รือรน้ และตงั ใจในการทำงาน 3 มีการจดั การที่ดีภายในกลมุ่ มกี ารวางแผนอย่างเปน็ ระบบ 4 มกี ารช่วยเหลอื เก้อื กูลกันภายในกลุ่ม 5 มีความรบั ผิดชอบในการทำงาน 6 มีการทำงานได้อยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภัย รวม ลงชอื่ ……………………………………………………ผู้ประเมิน ….………/……………./………….. เกณฑ์การใหค้ ะแนน ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ = 4 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยคร้ัง = 3 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง = 2 คะแนน ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยครั้ง = 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั 21-24 ดมี าก 16-20 ดี 11-15 พอใช้ 6-10 ปรับปรุง
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ลำดบั ชอ่ื -นามสกุล ผูถ้ กู ประเมนิ พฤติกรรม รวม ตัง้ ใจในการ การตอบ มีความ ตรงตอ่ ทำงาน คำถาม รบั ผดิ ชอบ เวลา 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 12 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมอยา่ งสมำ่ เสมอ = 3 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ = 2 คะแนนปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมน้อยครง้ั = 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับ 10-12 ดีมาก 8-9 ดี 6-7 พอใช้ 4-5 ปรับปรงุ
ใบงาน เรอื่ ง หน่วยวัด 1.จงแสดงวธิ กี ารเปล่ียนหนว่ ยไปเปน็ หน่วยใหม่ท่ีต้องการในแตล่ ะขอ้ ตอ่ ไปน้ี หน่วยใหม่ทต่ี ้องการ dm ข้อท่ี ปริมาณและหนว่ ยเร่ิมตน้ mg 1.1 59.2 cm dm3 1.2 1.8 kg 1.3 2800 mL Kg/dm3 1.4 3.2 g/mL 1.1 .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 1.2 .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 1.3 .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 1.4 .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................
2.น้ำบรสิ ทุ ธิ์ปริมาตร 50.0 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร ทอ่ี ุณหภมู ิ 20.5 องศาเซลเซยี สมีมวลเท่าใด เมอื่ ความหนาแนน่ ของน้ำ ทอ่ี ณุ หภูมิ 20.5 องศาเซลเซยี ส เทา่ กบั 0.998099 กรมั ต่อลูกบาศก์เซนตเิ มตร .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 3.สารละลายกรดซลั ฟวิ รกิ เขม้ ข้นร้อยละ 24 โดยมวล มคี วามหนาแน่น 1.2 กรมั ตอ่ ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร ถ้า สารละลายกรดซลั ฟวิ รกิ 200 ลกู บาศก์เซนติเมตร จะมกี รดซลั ฟิวรกิ กี่กรมั .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 4.ถ้าทองเหลอื ง 12 กรัม ต้องใช้ทองแดง 9.0 กรมั มีตน้ ทุนราคาของทองแดงกโิ ลกรัมละ 200 บาท หากตอ้ งการ ทองเหลอื ง 300 กรัม ตอ้ งซ้ือทองแดงก่ีบาท .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................
เฉลย ใบงานเรอ่ื ง หน่วยวดั
ตวั อยา่ งการด์ เกมส์ เวลา วินาที s ปริมาตร ลูกบาศก์ m3 เมตร
บนั ทกึ หลงั สอน ๑. ผลการสอน/ผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ นักเรียนระบุหนว่ ยวดั ปรมิ าณของสารได้ และเปลี่ยนหนว่ ยโดยใชแ้ ฟคเตอรเ์ ปลี่ยนหนว่ ยได้ ดา้ นทักษะ นักเรียนคำนวณการใช้แฟคเตอรเ์ ปลย่ี นหนว่ ยได้ ดา้ นคณุ ธรรม นกั เรยี นมคี วามใฝเ่ รยี นรู้ ด้านทกั ษะชวี ติ เพือ่ การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 : 5 – 8 – 4 - ๒. ปญั หา/อปุ สรรค และขอ้ คน้ พบ ไมม่ ี ๓. ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข และผลการแกไ้ ข ไมม่ ี ลงชอ่ื .....................................................ผ้สู อน (................................................)
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 4 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 ความปลอดภยั เร่อื ง วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชว่ั โมง และทักษะในปฏบิ ตั กิ ารเคมี รหสั วชิ า ว 31221 วชิ า เคมี 1 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ภาคเรียนท่ี 1 จำนวน 1.5 หนว่ ยกิจ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... สาระเคมี เข้าใจหลักการทำปฏิบัติการเคมีการวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและ การเปลี่ยนหน่วย การคำนวณปริมาณ ของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบายปรากฏการณ์ใน ชวี ติ ประจำวันและการแกป้ ญั หาทางเคมี สาระ/ผลการเรยี นรู้ ม.4/3 นำเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขยี นรายงานการทดลอง สาระการเรียนรู้ การทำปฏบิ ัติการเคมีตอ้ งมกี ารวางแผนการทดลอง การทำการทดลอง การบนั ทึกขอ้ มูลสรปุ และวเิ คราะห์ นำเสนอข้อมูล และการเขียนรายงานการทดลองที่ถูกต้อง โดยการทำปฏิบัติการเคมีต้องคำนึงถึงวิธีการทาง วทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และจติ วิทยาศาสตร์ สาระสำคญั วิธีการทางวิทยาศาสตร์คือ คือ การแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างมกี ระบวนการที่เปน็ แบบแผนมี ขั้นตอนที่สามารถปฏิบตั ิตามได้ โดยขั้นตอนวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่เป็นเครื่องมือสำคัญของนักวิทยาศาสตร์ มี ทั้งหมด 5 ขั้นตอน 1.ขั้นกำหนดปัญหา 2.ขั้นตั้งสมมติฐาน 3.ขั้นตรวจสอบสมมติฐาน 4.ขั้นวิเคราะห์ ข้อมูล 5.ขั้น สรุปผล กระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในโลกยุคใหม่ จะต้องสนับสนุนให้นักศึกษาได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์ที่ได้ปฏิบัติจริง สัมผัสจริง มีกระบวนการสำรวจ ทดลอง ตรวจสอบด้วยเครื่องมือ แลกเปลี่ยน ความเห็น ทำงานร่วมกัน มีความรับผิดชอบ กล้าคิด กล้าแสดงออก ใช้วิธีการและทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์
กระบวนการจัดการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 4.1 นักเรียนสามารถอธบิ ายความหมายของวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ (K) 4.2 นักเรยี นสามารถอภปิ รายผลการทดลองได้ (K) 4.3 นักเรียนสามารถออกแบบ เขยี นรายงานการทดลองและนำเสนอผลการทดลองไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง (P) 4.4 นกั เรยี นสามารถนำทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใชไ้ ด้ (P) 4.5 นกั เรยี นมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ หน้าท่ี และการทำงานเป็นทีม มีการชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั ละกนั มคี วามมุ่งมน่ั ต้งั ใจในการเรยี นรู้ (A) คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ✓ 2. ซ่อื สตั ย์ สจุ ริต ✓ 3. มวี นิ ัย ✓ 4. ใฝเ่ รยี นรู้ 5. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง ✓ 6. ม่งุ ม่ันในการทำงาน 7. รักความเปน็ ไทย ✓ 8. มีจติ สาธารณะ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน ✓ 1. มีความสามารถในการสอื่ สาร ✓ 2. มีความสามารถในการคิด ✓ 3. มีความสามารถในการแกป้ ญั หา ✓ 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต ✓ 5. มคี วามสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ✓ 1. สาระวชิ าหลกั (Core Subjects) ✓ 2. ทักษะการเรยี นรู้ และนวัตกรรม ✓ 3. ทกั ษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ✓ 4. ทกั ษะด้านชวี ติ และอาชพี
ขน้ั สรา้ งความสนใจ (engagement) ครูเปดิ คลิปขา่ วเรื่อง โควดิ -19 ให้นักเรียนดู ครูอธิบายวา่ ตอนนม้ี ีข่าวเรอื่ งโควิด-19 ทีก่ ำลงั มีการพบการติดเช้อื ข้นึ เร่ือย ๆ จากขา่ วโควดิ -19 การเริม่ แรก จะมอี าการเหมอื นเปน็ ไขห้ วดั ธรรมดา จะรู้ไดอ้ ย่างไรว่าเขาจะมวี ิธกี ารยงั ไง ท่ีจะแยกวา่ เปน็ แคไ่ ข้หวดั ธรรมดาหรอื วา่ เปน็ โควดิ -19 -ครอู ธิบายวา่ พวกเขาสามารถใชว้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือยนื ยนั ได้ว่าเปน็ โควิด-19หรือเป็นไขห้ วดั ธรรมดา ซึ่งวันนี้ครจู ะพานักเรียนมาดกู ันว่า วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตรค์ ืออะไร มันเป็นอย่างไร ทำไมถึงใชห้ าโควิด-19 ขั้นสำรวจและคน้ หา (exploration) ครทู บทวนเนือ้ หาเรือ่ งวิธีการทางวิทยาศาสตรใ์ หน้ กั เรียน และทำการแบ่งกลุ่มนักเรยี นออกเปน็ กลมุ่ ละ 3-4 คน และให้นักเรียนออกแบบและทำการทดลองเรื่องการเปรียบเทียบความแม่นในการวัดปริมาตรน้ำด้วย กระบอกตวงทม่ี ขี นาดต่างกนั โดยครูจะมีอปุ กรณ์ใหน้ ักเรียน แลว้ ให้นักเรยี นออกแบบการทดลอง (อุปกรณ์ : เทอร์โมมิเตอร์ , กระบอกตวงขนาด 25 mL และ 50 mL , บีกเกอร์ขนาด 100 mL กับ 250 mL, เคร่อื งช่ัง , ปเิ ปตต์ 25 mL ) -ครูอธิบายว่าวันนี้ครูมีอุปกรณ์มาให้ แต่ครูมีข้อสงสัยว่า กระบวงตวงขนาดต่างกัน มีการวัดปริมาตร เทา่ กนั หรอื ไม่ -ครูให้นักเรียน ออกแบบการทดลอง ว่าเราจะสามารถรู้ได้อย่างไร ว่ากระบวงตวงขนาด 25 mL กับ 50 mL เนยี่ จะมกี ารวัดที่เทา่ กนั หรือกระบอกตวงขนาดเท่าใด จะมกี ารวัดทแี่ ม่นยำมากกว่ากัน แนวการออกแบบที่ 1 : ชั่งบีกเกอร์ขนาด 100 mL และบันทึกผล หามวลน้ำที่ 25 mL จากการตวงน้ำ ด้วย กระบอกตวงขนาด 25 มิลลิลิตร ลงในบีกเกอร์ 100 มิลลิลิตร ชั่งมวลรวมของน้ำและบีกเกอร์ บันทึกผล และ คำนวณมวลของน้ำ 25 มิลลิลิตร บันทึกผล และตวงน้ำ 25 mL อีก 2 ครั้งแต่ ชั่งมวลรวมของน้ำที่ 50 mL และ 75 mL ตามลำดับ และคำนวณมวลของน้ำและบกี เกอร์ ครัง้ ท่ี 2 และ 3 และคำนวณค่ามวลเฉลีย่ ของน้ำ ที่ได้จาก การตวงน้ำดว้ ยกระบอกตวง 3 ครั้ง นำค่ามวลเฉลี่ยของน้ำ มาคำนวณหาปริมาตรของน้ำ จากนั้น เปลี่ยนการตวง จาก 25 mL เปน็ 50 mL และนำผลมาเปรยี บเทยี บกัน แนวการออกแบบที่ 2 : ทำการปิเปตต์น้ำ 25 mL ลงในหระบอกตวง 25 mL อ่านปริมาตรและบันทึกผล จากนั้นทำซ้ำอีก 2 ครั้ง แต่เปลี่ยนกระบอกตวง และคำนวณค่าปริมาตรเฉล่ียของน้ำที่วัดได้ ทำการทดลองซ้ำ แต่ เปลี่ยนเป็นการปิเปตต์น้ำ 25 mL ลงกระบอกตวง 50 mL และนำค่าปริมาตรนำ้ ท่ีได้มาเปรียบเทียบความแม่นของ การวัดปริมาตร หลังจากนักเรียนออกแบบการทดลองเสร็จแล้ว จะให้นักเรียนคาดคะเนคำตอบว่ากระบอกตวงขนาด เทา่ ใด จะมกี ารวัดปรมิ าตรที่แม่นยำกว่ากนั หรอื ว่าจะมกี ารวดั ปริมาตรที่เทา่ กัน ทำการทดลองท่นี กั เรียนออกแบบ มา เมอื่ นกั เรยี นทำการทดลองเสรจ็ แลว้ ครจู ะสอนเขียนรายงานการทดลอง
-หลังจากที่นักเรียนทำการทดลองเสร็จแล้ว ครูจะสอนเขียนรายงานการทดลอง โดยอธิบายว่ารายงาน ทดลอง จะต้องมี ชื่อเรื่อง จุดประสงค์ สมมติฐานและการกำหนดตัวแปร อุปกรณ์และสารเคมี วิธีการทดลอง ผล การทดลอง อภปิ รายและสรปุ ผลการทดลอง ช่อื เร่อื งวา่ วนั นีน้ กั เรยี นทำการทดลองเรอื่ งอะไร จุดประสงค์การทดลอง ว่าวนั นน้ี ักเรียนทำการทดลองเพอ่ื หาอะไร สมมติฐานและการกำหนดตัวแปร ก่อนนักเรียนจะทำการทดลองนักเรียนคาดคะเนคำตอบไว้ว่าอย่างไร อุปกรณ์และสารเคมี นักเรียนใช้อุปกรณ์อะไรในการทำการทดลองบ้าง วิธีการทดลอง นักเรียนมีวิธีการทดลอง อย่างไร ตามที่นักเรียนได้ออกแบบการทดลองไว้ ผลการทดลอง นักเรียนได้ผลการทดลองเป็นอย่างไร อภิปราย สรุปผลการทดลอง จากผลท่ีนักเรียนไดส้ ามารถสรปุ ได้ว่าอยา่ งไร เมื่อครูสอนการการเขียนรายงานการทดลองเสร็จ จะให้นักเรียนลองเขียนรายงานการทดลอง โดยจะให้ นกั เรยี นเขยี นรายงานการทดลองเปน็ รายกลุ่ม ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป (explanation) หลงั จากทน่ี กั เรยี นเขียนรายงานการทดลองเสร็จแล้ว ครูจะใหน้ กั เรยี นนำเสนอผลการทดลอง และครูจะ รว่ มอภปิ รายผลการทดลองกับนักเรียน และอธบิ ายวา่ วันน้นี ักเรยี นทุกคนไดฝ้ กึ ใช้วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ลว้ -จากน้ันครสู รุปว่าวนั นนี้ กั เรยี นทุกคนได้ใชว้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ในการหาคำตอบว่ากระบอกตวงขนาด ตา่ งกนั กระบอกตวงขนาดเท่าใด จะมีการวัดปริมาตรทแ่ี มน่ ยำกว่ากัน แนวคำตอบ : อย่างไร -ครอู ธิบายวา่ เร่มิ แรกทีก่ ารมีปัญหาวา่ กระบอกตวงขนาดต่างกัน จะมกี ารการวดั ปริมาตรทีแ่ มน่ ยำกว่ากนั เปน็ ข้ันตอนการเจอปัญหาและกำหนดปัญหาของวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ จากนัน้ ที่ครูให้นักเรียนคาดคะเนคำตอบ ไว้ว่ากระบอกตวงขนาดเท่าได้ จะวัดได้แม่นกวา่ กัน เปน็ การตั้งสมมติฐาน -เมื่อต้ังสมมตฐิ านเสร็จแล้ว ครูก็ได้ให้นักเรียนทำการทดลอง และก็เอาผลที่ไดจ้ ากการทดลองมาสรุปผล ซ่งึ เปน็ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น เหมอื นกับโควิด-19 ทคี่ รูบอกไปเม่อื ข้างต้น วา่ เราจะรูไ้ ด้อยา่ งไร ว่าผู้ป่วยคน นั้นเป็นไข้วัดธรรมดา หรือติดโควิด-19 ขั้นแรกเป็นการกำหนดปัญหาวา่ โควิด-19 มาจากอะไร ซึ่งไวรัสน้ีส่วนใหญ่ มาจากสถานทีท่ ี่คนเยอะ หรือพื้นที่ที่มีคนติดเชือ้ โควิด-19 ไปร่วม จึงตั้งสมมติฐานวา่ ระหว่างที่เชื้อไวรัสกำลังแพร่ ระบาด ผู้ป่วยคนนี้ได้เดินทางไปในพื้นที่นั้นๆ จากนั้นก็จะทำการตรวจสอบว่าได้มีการเดินทางหรือป่าว และถ้า พบวา่ มีการเดินทางไปสถานท่ีนนั้ ก็จะทำการตรวจ RNA เพราะเชอื้ ไวรัสตัวนเี้ ปน็ ไวรสั ประเภท RNA ไวรัสทีม่ กี าร แปลรหัสพนั ธุกรรมเพ่อื ใหเ้ ข้ากับสิง่ มีชีวติ ชนิดใหม่จงึ เป็นทมี่ าของการติดตอ่ จากสัตวส์ ู่คน และคนสคู่ น จากน้นั กจ็ ะ สรปุ ได้วา่ เป็นผปู้ ว่ ยท่ีติดโควดิ -19 หรอื ป่าว ข้นั ขยายความรู้ (elaboration)
1.ครูเสริมความรูเ้ รอ่ื งวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ โดยครูยกตวั อยา่ งสถานการณข์ ึน้ มา 1 สถานการณ์ แล้วให้ นักเรยี นตอบคำถามครู ซ่งึ ครูจะใหค้ ะแนน 5 คะแนน ครูยกสถานการณ์ว่า นักเรียนคนหนึ่งดื่มน้ำอัดลมแล้วพบว่า น้ำอัดลมที่แช่เย็นมีความซ่ามากกว่า น้ำอัดลมที่ไม่แช่เย็น จึงเกิดความสงสัยว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น โดยนักเรียนคิดว่า ความเข้มข้นของกรดคาร์บอนกิ ในน้ำอัดลมเป็นสาเหตุให้น้ำอัดลมมีความซ่า จึงตั้งสมมติฐานว่าน้ำอัดลมที่แช่เย็นจะมีความเข้มข้นของกรดคาร์ บอนิกมากกว่า และวางแผนการทดลองโดยวัดค่า pH ของน้ำอัดลม ที่แช่เย็นและไมแ่ ช่เย็นน้ำอัดลมที่แช่เย็นมีค่า pH เทา่ กบั 2 และน้ำอดั ลมทอ่ี ุณหภูมิหอ้ งมีคา่ pH เทา่ กบั 3 ซึ่งสอดคลอ้ งกับสมมตฐิ านทีต่ ัง้ ไว้ นกั เรียนจึงสรุปผล การทดลองว่า น้ำอัดลมท่ีแช่เย็นมีความเข้มข้นของกรดคาร์บอนิกมากกว่าจึงมีความซ่ามากกว่าน้ำอัดลมที่ไม่แช่ เยน็ เมอ่ื ยกตวั อยา่ งสถานการณ์เสรจ็ จะถามคำถามนกั เรยี นว่า แนวคำถาม 1 : นักเรียนคิดว่าจากสถานการณ์ข้างต้นการออกแบบการทดลองมีความสอดคล้องกับการ ตัง้ สมมตฐิ านไวห้ รือไม่ อย่างไร แนวคำตอบ 1 : สอดคล้อง เนื่องจาก ค่า pH สามารถบอกค่าความเป็นกรดได้ จึงสามารถบอกค่าความ เขม้ ข้นของกรดคารบ์ อนกิ ท่ีอยูใ่ นน้ำอดั ลมได้ แนวคำถาม 2 : ถ้าตอ้ งการออกแบบการทดลองเพอ่ื ตอบคำถามวา่ เพราะเหตุใดเม่ือด่มื น้ำอัดลมทแี่ ช่เยน็ จะรสู้ กึ ว่ามีความซา่ มากกว่าน้ำอดั ลมทไ่ี ม่แชเ่ ย็น ควรมีข้อมลู ใดเพ่มิ เตมิ บา้ ง แนวคำตอบ 2 : องค์ประกอบในน้ำอดั ลม ปจั จยั ที่ทำใหเ้ กดิ ความซ่า 2.ครูให้นักเรียนเขียนแผนผังมโนทัศน์ (mind mapping) เรื่องขั้นตอนของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรท์ ั้ง 14 ทักษะ และจิตวทิ ยาศาสตร์ ข้นั ประเมิน (evaluation) 1.ครูประเมินนักเรียนจากการเขียนรายงานการทดลองเปน็ รายบคุ คล 2.ครูประเมินนกั เรยี นโดยการสังเกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ ของนักเรียน 3.ครูประเมินนักเรียนจากการตอบคำถามในหอ้ งเรยี น 4.ครปู ระเมนิ นักเรยี นจากแบบทดสอบหลงั เรียน เร่อื ง วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ทาง Quizziz ขน้ั ขยายความร้เู พมิ่ เติม (elaboration) 1.ครูใหน้ กั เรยี นแบง่ กลุ่มๆ ละ 6-8 คน จากนั้นใหน้ กั เรียนปรึกษากัน โดยครูกำหนดหวั ข้อ ดงั น้ี “ให้ นักเรยี นศึกษาหรือสบื ค้นขอ้ มูลทกี่ ลุ่มของตนเองสนใจในชมุ ชนของตนเอง เพื่อทจ่ี ะจดั ทำโครงงาน” 2.นกั เรยี นนำเรือ่ งท่ีตนเองสนใจ นำเสนอกบั ครู 3.ครูใหค้ ำปรกึ ษา พร้อมแนะนำแนวทางในการทำโครงงานตลอดการจดั ทำ พร้อมทั้งให้คมู่ อื การเขียน โครงงาน
4.นักเรียนรว่ มกนั วางแผน และจดั ทำโครงงาน ในกรณีที่นักเรยี นลงพ้นื ท่ีข้อมูล ครูควรรว่ มลงพ้นื ท่ีไป กับนกั เรยี น 5.นักเรียนนำเสนอเนอ้ื หาเปน็ ระยะๆ เพอ่ื รับการพัฒนาและแก้ไขปรบั ปรุง 6.นกั เรียนจดั ทำเล่มโครงงาน ข้นั ประเมินเพิม่ เตมิ (evaluation) 1. นักเรียนนำเสนอโครงงาน พรอ้ มจดั นิทรรศการโครงงานของกลมุ่ ตนเอง 2. ครูและนักเรียนร่วมกันรับฟงั พรอ้ มท้ังรว่ มอภิปรายผลการทดลองของแตล่ ะกลุ่ม ส่อื การเรียนรแู้ ละแหล่งการเรยี นรู้ 1. หนังสือแบบเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ 2. แบบทดสอบหลงั เรียน เรอ่ื ง วิธีการทางวิทยาศาสตร์ 3. Power point 4. ใบกิจกรรม 5. สื่อจากอนิ เทอรเ์ น็ตเพื่อใช้ในการสบื คน้ ข้อมลู เพิม่ เติม 6. โปรแกรม Quizziz (https://quizizz.com/admin/quiz/60c033a2eef2e2001b1e076d) การวัดผลประเมินผล การผลประเมินผลดา้ น วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมอื วัด เกณฑก์ ารวดั 1. ดา้ นความรู้ความเขา้ ใจ -อภิปรายความร้เู กี่ยวกบั -กิจกรรมการเรยี นรู้ 80% ขึน้ ไป ผา่ นเกณฑ์ วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ -แบบทดสอบหลงั เรยี น -อภปิ รายผลการทดลอง เร่อื ง วิธกี ารทาง วิทยาศาสตร์ 2. ด้านทกั ษะกระบวนการ -การออกแบบการ -การสงั เกตพฤติกรรม ทดลอง รายกลุ่มในการทำการ -การทำการทดลอง ทดลอง คณุ ภาพพอใช้ผ่านเกณฑ์ -การเขียนรายงานการ -รายงานการทดลอง ทดลอง -การนำเสนอผลการ ทดลอง
3. ดา้ นลักษณะทพ่ี งึ -จากการสงั เกต -การสังเกตพฤติกรรม คุณภาพพอใชผ้ า่ นเกณฑ์ ประสงค์ พฤติกรรมในการทำการ -แบบประเมิน ทดลอง -สงั เกตพฤติกรรมการ ทำงานเปน็ กลุ่ม
กจิ กรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชอื่ .....................................................ผเู้ ขียนแผนการจดั การเรียนรู้ ................/.................../................ ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ.....................................................ผูต้ รวจ(ครพู เ่ี ลี้ยง) ................/.................../................
ออกแบบการทดลอง
รายงานการทดลอง ช่ือการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… จุดประสงค์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สมมตฐิ านและการกำหนดตวั แปร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… อปุ กรณแ์ ละสารเคมี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… วิธีการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… อภปิ รายและสรปุ ผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบบทดสอบหลงั เรยี น 1.ขอ้ ใดไม่ใช่ขั้นตอนของวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ 1.การสงั เกต 2.การตั้งสมมติฐาน 3.การจดั เตรยี มอุปกรณ์ 4.การสรุปผล 2.การต้ังสมมตฐิ าน เป็นการคาดคะเนคำตอบของคำถามหรือปญั หา ถูกหรอื ผิด ถกู ผดิ 3.ข้อใดต่อไปน้จี ำเปน็ ตอ้ งมใี นรายงานการทดลอง 1.อปุ กรณ์และสารเคมี 2.สัญลกั ษณ์ 3.ภาคผนวก 4.บทคดั ยอ่ 4.ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรม์ ที งั้ หมดกี่ทักษะ 1. 13 2. 14 3. 15 4. 16 5.การศกึ ษาความรู้ทางวิทยาศาสตรต์ ้องอาศัยอะไรบา้ ง 1.ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2.คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 3.ทกั ษะศตวรรษที่ 21 4.จติ วิทยาศาสตร์ 6.น้ำอัดลมท่แี ชเ่ ย็นมีความซ่ามากกวา่ น้ำอดั ลมที่ไมแ่ ชเ่ ยน็ หรือไม่ ข้อความดังตอ่ ไปน้ี หมายถึง วิธีการทาง วทิ ยาศาสตร์ในขั้นตอนใด 1.การสงั เกต 2.การตง้ั สมมติฐาน 3.การตรวจสอบสมมติฐาน 4.การสรปุ ผล 7.การใช้วจิ ารณญาณ คอื จิตวิทยาศาสตร์ ถกู หรือผดิ ถกู ผิด 8.การตัง้ สมมตฐิ านจำเปน็ ต้องมีผลตรงกบั ผลลพั ธ์ทไ่ี ดเ้ สมอ ถูก ผิด 9.ข้อใดไมใ่ ช่ 14 ทักษะของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1.การจำแนกประเภท 2.การพยากรณ์ 3.การวดั 4.การตดั สนิ ใจ 10.การเขยี นรายงานการทดลองไม่จำเป็นตอ้ งเขียนผลการทดลองที่ได้ ถูก ผดิ
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน 1.ขอ้ ใดไมใ่ ชข่ น้ั ตอนของวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ 1.การสงั เกต 2.การตั้งสมมตฐิ าน 3.การจดั เตรยี มอุปกรณ์ 4.การสรปุ ผล 2.การตั้งสมมติฐาน เปน็ การคาดคะเนคำตอบของคำถามหรอื ปญั หา ถกู หรือผิด ถกู ผิด 3.ข้อใดตอ่ ไปนจี้ ำเปน็ ตอ้ งมใี นรายงานการทดลอง 1.อปุ กรณแ์ ละสารเคมี 2.สญั ลกั ษณ์ 3.ภาคผนวก 4.บทคัดย่อ 4.ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มที ้ังหมดก่ที ักษะ 1. 13 2. 14 3. 15 4. 16 5.การศึกษาความรูท้ างวิทยาศาสตรต์ อ้ งอาศยั อะไรบ้าง 1.ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2.คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 3.ทักษะศตวรรษที่ 21 4.จิตวิทยาศาสตร์ 6.น้ำอดั ลมท่แี ช่เยน็ มีความซา่ มากกวา่ นำ้ อดั ลมทีไ่ มแ่ ช่เย็นหรอื ไม่ ขอ้ ความดังตอ่ ไปน้ี หมายถึง วธิ กี ารทาง วิทยาศาสตร์ในข้ันตอนใด 1.การสงั เกต 2.การตัง้ สมมติฐาน 3.การตรวจสอบสมมติฐาน 4.การสรุปผล 7.การใชว้ จิ ารณญาณ คือ จติ วทิ ยาศาสตร์ ถูกหรือผดิ ถกู ผดิ 8.การตง้ั สมมตฐิ านจำเป็นตอ้ งมีผลตรงกับผลลพั ธ์ที่ไดเ้ สมอ ถกู ผิด 9.ข้อใดไมใ่ ช่ 14 ทกั ษะของกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.การจำแนกประเภท 2.การพยากรณ์ 3.การวัด 4.การตดั สินใจ 10.การเขียนรายงานการทดลองไมจ่ ำเปน็ ต้องเขียนผลการทดลองท่ีได้ ถูก ผิด
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานเปน็ กลุ่ม คำชีแ้ จง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งวา่ งที่ตรงกบั ระดบั คะแนน กล่มุ …………………… สมาชกิ ของกลมุ่ 1……………………………………………..2……………………………………………… 3………………………………………… 4…………………………………………….. คุณภาพการปฏิบตั ิ ลำดบั ที่ พฤติกรรม 432 1 1 มกี ารแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ และรบั ฟังกันภายในกลุ่ม 2 มคี วามกระตอื รือรน้ และตงั ใจในการทำงาน 3 มีการจดั การที่ดีภายในกลมุ่ มกี ารวางแผนอย่างเปน็ ระบบ 4 มกี ารช่วยเหลอื เก้อื กูลกันภายในกลุ่ม 5 มีความรบั ผิดชอบในการทำงาน 6 มีการทำงานได้อยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภัย รวม ลงชอื่ ……………………………………………………ผู้ประเมิน ….………/……………./………….. เกณฑ์การใหค้ ะแนน ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ = 4 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยคร้ัง = 3 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง = 2 คะแนน ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยครั้ง = 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั 21-24 ดมี าก 16-20 ดี 11-15 พอใช้ 6-10 ปรับปรุง
แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล ลำดบั ชื่อ-นามสกุล ผถู้ ูกประเมิน พฤตกิ รรม รวม ต้ังใจในการ การตอบ มีความ ตรงตอ่ ทำงาน คำถาม รบั ผดิ ชอบ เวลา 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 12 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ = 3 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง = 2 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้ัง = 1 คะแนน เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ช่วงคะแนน ระดับ 10-12 ดมี าก 8-9 ดี 6-7 พอใช้ 4-5 ปรับปรงุ
บนั ทกึ หลังสอน ๑. ผลการสอน/ผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ นักเรียนอธิบายความหมายของวธิ กี ารทางวิทยาศาสตรแ์ ละอภปิ รายผลการทดลองได้ ด้านทักษะ นักเรียนออกแบบการทดลองและทำการทดลองไดอ้ ย่างถกู ต้อง ด้านคณุ ธรรม นกั เรียนมคี วามใฝเ่ รียนรู้ ด้านทักษะชวี ิตเพื่อการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 : 5 – 8 – 4 - ๒. ปัญหา/อปุ สรรค และข้อคน้ พบ ไมส่ ามารถใหน้ กั เรยี นทำการทดลองได้ ตามวธิ ีการขนั้ ตอนวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ๓. ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข และผลการแก้ไข ใหน้ กั เรยี นดูคลิปวิดโี อการทดลองใน youtube ลงชอื่ .....................................................ผู้สอน (................................................)
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 1 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 อะตอมและ เรอื่ งแบบจำลองอะตอมของดอล เวลา 2 ชว่ั โมง สมบัติของธาตุ ตันและทอมสัน รหสั วิชา ว 31221 วิชา เคมี 1 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... สาระเคมี เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุพันธะเคมีและสมบัติของสาร แก๊ส และสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์ รวมทั้งการนําความรู้ไปใช้ ประโยชน์ สาระ/ผลการเรยี นรู้ ม.4/1 สืบค้นข้อมลู สมมตฐิ าน การทดลอง หรือ ผลการทดลองที่เปน็ ประจักษ์พยานในการเสนอ แบบจาํ ลองอะตอมของนกั วทิ ยาศาสตรแ์ ละอธบิ ายวิวัฒนาการของแบบจําลองอะตอม สาระการเรียนรู้ นกั วิทยาศาสตรศ์ กึ ษาโครงสรา้ งของอะตอมและเสนอแบบจําลองอะตอมแบบต่าง ๆ จากการศึกษาข้อมูล การสังเกต การต้งั สมมตฐิ านและ ผลการทดลอง แบบจําลองอะตอมมีวิวัฒนาการ โดยเริ่มจาก ดอลตันเสนอว่าธาตุประกอบด้วยอะตอมซึ่งเป็นอนุภาค ขนาดเล็กไม่สามารถแบ่งแยกได้ต่อมาทอมสันเสนอว่าอะตอมประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบ เรียกว่า อิเล็กตรอน และอนุภาคประจุบวก รัทเทอร์ฟอร์ดเสนอว่าประจุบวกที่เรยี กว่า โปรตอน รวมตัวกันอยู่ตรงกึ่งกลาง อะตอม เรียกว่า นิวเคลียส ซึ่งมีขนาดเล็กมากและมีอิเล็กตรอนอยู่รอบนิวเคลียส โบร์เสนอว่าอิเลก็ ตรอนเคลื่อนท่ี เป็นวงรอบนิวเคลียสโดยแตล่ ะวงมีระดับพลังงานเฉพาะตัว ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าอิเล็กตรอนมีการ เคลื่อนทร่ี วดเร็วรอบนิวเคลียส และไมส่ ามารถระบุตำแหน่งท่แี นน่ อนได้จงึ เสนอแบบจาํ ลองอะตอมแบบกลุม่ หมอก ซงึ่ แสดงโอกาสการพบอเิ ลก็ ตรอนรอบนวิ เคลียส
สาระสำคัญ จอหน์ ดอลตัน เสนอทฤษฎอี ะตอมของดอลตัน ว่า 1.อะตอมเป็นอนภุ าคท่เี ลก็ ท่ีสุด แบง่ แยกอกี ไมไ่ ด้ 2.อะตอมของธาตุชนดิ เดยี วกนั มีสมบัตเิ หมอื นกนั 3.อะตอมต้องเกดิ จากสารประกอบเกดิ จากอะตอมของธาตตุ ้ังแต่ 2 ชนดิ ขึน้ ไปมารวมตวั กันทางเคมี ลักษณะแบบจำลองอะตอมของดอลตนั ทรงกลมตันมขี นาดเล็กทสี่ ดุ ซ้งึ แบง่ แยก อีกไมไ่ ด้ เซอร์โจเซฟ จอห์น ทอมสัน การศึกษาและทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าของกา๊ ซโดยใชห้ ลอดรังสีแคโทด พบว่า ไม่ว่าจะใช้ก๊าซใดบรรจุในหลอดหรือใช้โลหะใดเป็นแคโทด จะได้ผลการทดลองเหมือนเดิม จึงสรุปได้ว่า อะตอมทุกชนิดมีอนุภาคที่มีประจุลบเป็นองค์ประกอบ เรียกว่า \"อิเล็กตรอน\" ดังน้ี อะตอมมีลักษณะเปน็ ทรงกลม ประกอบดว้ ยอนภุ าคโปรตอนท่ีมปี ระจุไฟฟ้าเปน็ บวกและอนภุ าคอเิ ลก็ ตรอนทม่ี ปี ระจไุ ฟฟา้ เป็นลบ กระจดั กระจาย อยา่ งสม่ำเสมอในอะตอมอะตอมท่มี สี ภาพเป็นกลางทางไฟฟา้ จะมจี ำนวนประจุบวกเทา่ กบั จำนวนประจลุ บ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.อธบิ ายแบบจำลองอะตอมของดอลตนั และทอมสัน (K) 2.สืบคน้ ข้อมูลความหมายของแบบจำลองอะตอม (P) 3.สรา้ งแบบจำลองอะตอมจากสง่ิ ทม่ี องไม่เหน็ (P) 4.แสดงความเปน็ คนช่างสังเกต ชา่ งคิด ช่างสงสัย ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ มนั่ ในการเสาะแสวงหาความรู้ (A) คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ✓ 2. ซื่อสัตย์ สจุ รติ ✓ 3. มีวินยั ✓ 4. ใฝเ่ รยี นรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง ✓ 6. ม่งุ มัน่ ในการทำงาน 7. รักความเปน็ ไทย ✓ 8. มีจิตสาธารณะ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น ✓ 1. มคี วามสามารถในการสอ่ื สาร ✓ 2. มีความสามารถในการคิด ✓ 3. มีความสามารถในการแกป้ ญั หา
✓ 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ ✓ 5. มคี วามสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ✓ 1. สาระวชิ าหลกั (Core Subjects) ✓ 2. ทกั ษะการเรียนรู้ และนวัตกรรม ✓ 3. ทักษะดา้ นสารสนเทศ สือ่ และเทคโนโลยี ✓ 4. ทกั ษะดา้ นชวี ติ และอาชีพ กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ขน้ั สร้างความสนใจ (engagement) 1.ครกู ล่าวทกั ทายนักเรยี น และใหน้ กั เรียนสังเกตกลอ่ งของขวญั ทม่ี ขี องอยูข่ ้างใน โดยการเขยา่ หรือพลิก กล่องไปมาเพื่อเดารูปร่างของในกล่องของขวัญ โดยไม่มีการเปิด และตั้งคำถามกับนักเรียน นักเรียนคิดว่าของใน กลอ่ งมีลกั ษณะอย่างไร 2.จากนนั้ ถามนกั เรยี นวา่ นักเรยี นร้ไู หมว่าเรามวี ิธกี ารคาดการณ์ลกั ษณะของทอ่ี ยู่ภายในกล่องนี้ไดอ้ ยา่ งไร ข้ันสำรวจและคน้ หา (exploration) 3.ครูแบง่ กลุ่มนกั เรียนออกเปน็ กล่มุ กลุ่มละ 5-6 คน โดยส่มุ จากการใช้แอพพลเิ คชนั สุ่มจากเวบ็ ออนไลน์ 4.ครใู ห้นกั เรียนทำกจิ กรรม เรอ่ื ง กระป๋องปรศิ นา โดยเทยี บใหเ้ หน็ อะตอมมีขนาดเลก็ และมองไมเ่ หน็ ด้วย ตาเปล่า มวี ธิ กี ารทำกจิ กรรม ดงั น้ี -สงั เกตกระปอ๋ งปรศิ นาดว้ ยตาเปล่า อาจจับและเขยา่ กระป๋องได้แต่ห้ามดงึ เชือก อภปิ รายกับเพือ่ นใน กล่มุ สรุปและวาดรปู แบบจำลองสงิ่ ทอ่ี ย่ขู า้ งในกระปอ๋ ง พรอ้ มข้อสรปุ -ดึงเชือกหนึ่งเสน้ เบา ๆ ระวงั อย่าให้เชอื กขาด อภิปรายกบั เพือ่ นในกลุ่ม และวาดรูปแบบจำลองสิ่ง ที่อยขู่ ้างในกระปอ๋ ง พร้อมสรุป ทำซำ้ จนครบ 4 เส้น -ดึงเว้นเชอื กพรอ้ มกนั ทลี ะ 2 เส้น และวาดรปู แบบจำลองสิ่งทอ่ี ย่ขู ้างในกระป๋อง -แต่ละกลุ่มนำเสนอรูปวาดแบบจำลอง พร้อมอภิปรายเหตุผลประกอบ
5.จากน้ันครอู ธิบายเกีย่ วกบั แบบจำลองอะตอมของดอลตนั และทอมสันวา่ ดอลตนั เสนอ ทฤษฎอี ะตอม เพื่อใชอ้ ธิบายเกี่ยวกบั การเปล่ยี นแปลงมวลของสารกอ่ นและหลงั ทำปฏกิ ิรยิ าเคมี รวมทง้ั อตั ราสว่ นโดยมวลของธาตุ ที่รวมกันเป็นสารประกอบหนง่ึ ๆ มีสาระสำคัญดงั นี้ 1.ธาตปุ ระกอบดว้ ยอนภุ าคเล็ก ๆ อนุภาคเหลา่ น้เี รียกว่า อะตอม ซึง่ แบ่งแยกและทำให้สญู หายไมไ่ ด้ 2.อะตอมของธาตชุ ดิ เดยี วกนั มีสมบัตเิ หมือนกนั เชน่ มมี วลเท่ากนั แต่ จะมสี มบัติแตกตา่ งกันจากอะตอมของธาตุอ่นื 3.สารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตมุ ากกวา่ หนึ่งชนดิ ทำปฏิกิรยิ า เคมีกันในอัตราสว่ นทีเ่ ป็นตวั เลขนอ้ ย ๆ และแบบจำลองอะตอมของทอมสนั ศกึ ษาไดจ้ ากการนำ ไฟฟ้าของแก๊ส โดย การผา่ นไฟฟา้ กระแสตรงเขา้ ไปหลอดแก้วบรรจแุ กส๊ ความดนั ตำ่ ซงึ่ เรียกหลอดแก้วนวี้ า่ หลอดรังสีแคโทด 6.ครูอธิบายเปรียบเทียบของในกล่องของขวัญหรือกลไกภายในกระป๋องปริศนาเปรียบเสมือนอะตอ ม ขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าซึ่งการที่จะทราบว่าภายในอะตอมนั้นประกอบด้วยอะไรซึ่งต้ออาศัยกระบวน การสืบเสาะหาความรู้และทักษะทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสังเกต การตั้งสมมติฐาน การทดลอง การลงความเหน็ จากข้อมูล จากนั้นจึงนำองค์ความรู้เหล่านั้นมาผสมกับจินตนาการ เพื่อสร้างเป็นแนวคิดหรือแบบจำลอง โดย แบบจำลองทสี่ ร้างขึน้ มาต้องมขี ้อมลู สนับสนุน เพอื่ ใหเ้ กดิ ความน่าเช่ือถือและไดร้ บั การยอมรับ 7.จากข้อมูลการทดลองร่วมกับทฤษฎีทางแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้ทอมสันนำมาใช้คำนวณอัตราส่วนของ ประจุต่อมวลของรังสีแคโทดได้ เมื่อทำการทดลองซ้ำหลายครั้ง ปรากฏว่า อัตราส่วนของประจุต่อมวลของรังสี แคโทดมีค่าโดยประมาณ 1.76x10⁸ คูลอมบ์ต่อกรัม ทอมสันเสนอแบบจำลองอะตอม ว่า อะตอมเป็นรูปทรงกลม ประกอบดว้ ยเนื้ออะตอมซ่งึ มีประจบุ วกและอิเล็กตรอนซงึ่ มปี ระจลุ บกระจายอยทู่ ั่วไป ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (explanation) 8.ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย เรื่องแบบจำลองอะตอมของดอลตันและทอมสัน ว่าเหมือนหรือ แตกต่างกันอย่างไร และอธิบายเปรียบเทียบของในกล่องของขวัญหรือกลไกภายในกระป๋องปรศิ นาเปรียบเสมือน อะตอมขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าซึ่งการที่จะทราบว่าภายในอะตอมนั้นประกอบด้วยอะไรซึ่งต้ออาศัย กระบวน การสืบเสาะหาความรู้และทักษะทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสังเกต การตั้งสมมติฐาน การทดลอง การลง ความเหน็ จากขอ้ มลู จากนน้ั จงึ นำองค์ความรูเ้ หล่านน้ั มาผสมกับจินตนาการ เพ่อื สร้างเปน็ แนวคิดหรือแบบจำลอง โดยแบบจำลองท่สี รา้ งขึน้ มาต้องมขี อ้ มูลสนบั สนุน เพอื่ ให้เกดิ ความนา่ เช่ือถือและได้รบั การยอมรับ ข้ันขยายความรู้ (elaboration) 9.ครูใหค้ วามรู้เพ่มิ เตมิ เรื่อง ออยเกน โกลด์ชไตน์ ได้ศกึ ษาหลอดรงั สีแคโทด และได้ค้นพบรังสีแอโนดหรอื รังสแี คแนล ซ่ึงมีประจุเป็นบวกแต่ยังลงรายละเอยี ดไดใ้ นยคุ นั้น จึงทำการศกึ ษาเพม่ิ เตมิ จนไดข้ ้อสรปุ วา่ ในอะตอม นอกจากมีอิเล็กตรอนแลว้ ยงั มอี นภุ าคทเี่ ป็นประจบุ วกดว้ ยทำให้อะตอมเป็นกลางทางไฟฟ้า
ขนั้ ประเมนิ (evaluation) 10.จากนัน้ ครใู ห้นักเรียนเลน่ Kahoot ทค่ี รสู ร้างไว้ เพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี น 11.ครูประเมนิ โดยสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ และแบบรายบุคคล การจดั บรรยากาศเชงิ บวก ครูกระตนุ้ ให้นกั เรียนแสดงความคดิ เห็น โดยไมต่ อ้ งกงั วลวา่ ถูกหรอื ผดิ และชว่ ยกนั ปรบั ปรุงแกไ้ ขได้ ควรให้โอกาสนกั เรียนได้นำเสนอผลการทำกจิ กรรมในช้นั เรยี น เพือ่ เป็นการแบง่ ปนั ความร้ตู ่อนกั เรยี นกลุ่มอนื่ ๆ และเกดิ การอภปิ รายระหวา่ งกล่มุ สือ่ /แหล่ง การเรียนรู้ 1. หนังสือแบบเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ 2. คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมีเล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ของสถาบันส่งเสริมการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามมาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวชวี้ ดั กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับ ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖o) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ 3. ส่ือจากอนิ เทอร์เน็ตเพือ่ ใช้ในการสืบค้นข้อมูลเพมิ่ เติม 4. แอพพลเิ คชัน kahoot
การวดั ผลประเมนิ ผล วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมือวัด เกณฑ์การวดั การผลประเมินผลดา้ น คำตอบในอบบทดสอบ แบบทดสอบเรอื่ ง เรื่องแบบจำลองอะตอม แบบจำลองอะตอมขอ 80% ขน้ึ ไป ผ่านเกณฑ์ 1. ดา้ นความรูค้ วามเขา้ ใจ ของดอลตันและทอมสัน งดอลตันและทอมสัน ใน kahoot คุณภาพ พอใช้ ขึน้ ไป 2. ด้านทักษะกระบวนการ สืบคน้ และสรา้ ง แบบจำลองอะตอมใน ผ่านเกณฑ์ แบบจำลองไดอ้ ย่าง ใบงาน 3. ด้านลักษณะท่ีพงึ ถูกต้อง คณุ ภาพ พอใช้ ขึ้นไป ประสงค์ สงั เกตพฤติกรรมผเู้ รียน -แบบสังเกตพฤตกิ รรม ผ่านเกณฑ์ แบบกลุ่ม -สงั เกตพฤตกิ รรมแบบ รายบคุ คล
กจิ กรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. ..... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.....................................................ผเู้ ขียนแผนการจดั การเรยี นรู้ ................/.................../................ ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. ..... ......................................................................................................................................................................... ลงชอื่ .....................................................ผตู้ รวจ(ครพู เ่ี ลย้ี ง) ................/.................../................
ใบงาน เรอื่ งแบบจำลองอะตอม สังเกตกระปอ๋ งปรศิ นาดว้ ยตาเปล่า อาจจับและเขยา่ กระปอ๋ งได้แต่หา้ มดงึ เชอื ก ดึงเชอื กหนง่ึ เสน้ เบา ๆ ระวังอยา่ ใหเ้ ชอื กขาด ดงึ เว้นเชอื กพรอ้ มกันทลี ะ 2 เสน้
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานเปน็ กลุ่ม คำชีแ้ จง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งวา่ งที่ตรงกบั ระดบั คะแนน กล่มุ …………………… สมาชกิ ของกลมุ่ 1……………………………………………..2……………………………………………… 3………………………………………… 4…………………………………………….. คุณภาพการปฏิบตั ิ ลำดบั ที่ พฤติกรรม 432 1 1 มกี ารแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ และรบั ฟังกันภายในกลุ่ม 2 มคี วามกระตอื รือรน้ และตงั ใจในการทำงาน 3 มีการจดั การที่ดีภายในกลมุ่ มกี ารวางแผนอย่างเปน็ ระบบ 4 มกี ารช่วยเหลอื เก้อื กูลกันภายในกลุ่ม 5 มีความรบั ผิดชอบในการทำงาน 6 มีการทำงานได้อยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภัย รวม ลงชอื่ ……………………………………………………ผู้ประเมิน ….………/……………./………….. เกณฑ์การใหค้ ะแนน ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ = 4 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยคร้ัง = 3 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง = 2 คะแนน ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยครั้ง = 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั 21-24 ดมี าก 16-20 ดี 11-15 พอใช้ 6-10 ปรับปรุง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 497
Pages: