Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (ร่าง) คู่มือหลักสูตรสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษระยะแรกเริ่ม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๕๘

(ร่าง) คู่มือหลักสูตรสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษระยะแรกเริ่ม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๕๘

Published by special_lp, 2018-06-13 02:35:31

Description: ๒.เล่มคู่มือหลักสูตรEI

Search

Read the Text Version

(ร่าง)ค่มู ือหลกั สูตรสาหรบั เดก็ ที่มีความต้องการจาเปน็ พิเศษระยะแรกเร่มิ ของศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ ฉบบั ปรับปรงุ พทุ ธศักราช ๒๕๕๘ สานักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

ก คำนำ (ร่าง) คู่มือหลักสูตรสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษระยะแรกเริ่มของศูนย์การศึกษาพิเศษ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๕๘ ฉบบั นี้ จัดทาขึน้ เพ่ือให้ครู และผปู้ กครองใช้เป็นแนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับเด็กพิการ ท่ีสอดคล้องกับระดับความสามารถ ประเภทความพิการ และบริบทของศูนย์การศึกษาพิเศษ ให้เด็กพิการทุกคนได้รับการพัฒนาเต็มศกั ยภาพ ดารงชวี ิตและสามารถอยู่ร่วมกับผ้อู น่ื ได้อยา่ งมีความสุข (ร่าง) คู่มือหลักสูตรสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษระยะแรกเร่ิมของศูนย์การศึกษาพิเศษ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๕๘ เป็นการปรับปรุงจากคู่มือหลักสูตรการให้บริการชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิมแก่เดก็ พิการ สาหรับเด็กพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ พุทธศักราช๒๕๕๖ แบ่งออกเป็น ๕ บท คือ บทที่ ๑ ความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสารับเด็กพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ บทท่ี ๒ หลักสูตรการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสาหรับเด็กพิการ ศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ บทท่ี ๓ การนาหลักสูตรสหู่ ลักปฏิบตั ิ บทที่ ๔ การประเมินผล บทท่ี ๕การรายงานผลและการส่งต่อ ซึ่งก่อนทีศ่ ูนย์การศึกษาพิเศษจะนาหลกั สูตรไปใช้ควรมีการวเิ คราะห์เพื่อจดั ทาเป็นหลกั สูตรสถานศึกษาก่อน (นายการณุ สกุลประดิษฐ์) เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พฤศจิกายน ๒๕๕๘

ข สารบญั หนา้คานา กสารบัญตาราง งสารบัญแผนภาพ จบทที่ ๑ ความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสาหรับเด็กพิการ ๑ศูนยก์ ารศึกษพเิ ศษ……………………………………………………………………………………………………………………..๑. หลักการแนวคิดการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับเด็กพิการ ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ…………………………………………………………………………………………………………….. ๑๒. การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสาหรับเด็กพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษและ การจัดการศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ…………………………………………… ๒บทท่ี ๒ ห ลั ก สู ต ร ก า ร ใ ห้ บ ริ ก า ร ช่ ว ย เ ห ลื อ ร ะ ย ะ แ ร ก เ ร่ิ ม ส า ห รั บ เ ด็ ก พิ ก า ร ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ…………………………………………………………………………………………………………………….. ๑๙๑. สาระสาคัญ……………………………………………………………………………………………………………………………….. ๑๙๒. ทกั ษะการเรยี นรู้…………………………………………………………………………………………………………………….. ๒๔บทที่ ๓ การนาหลักสูตรสกู่ ารปฏิบัติ……………………………………………………………………………………………………… ๔๕๑. การบริหารหลักสูตร………………………………………………………………………………………………………………. ๔๖๒. แนวการจดั การเรยี นรู้……………………………………………………………………………………………………………. ๔๙บทท่ี ๔ การประเมนิ ผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ๖๒๑. หลักการประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษระยะแรกเริ่ม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๖๒๒๕๕๘…………………………………...…………………………………………………………………...........................………..๒. องค์ประกอบการประเมนิ ผลการเรยี นรู้……………....………………………………………………....………… ๖๒๓. แนวทางการประเมนิ การเรยี นรู้………………………………...….………………………….....……………………… ๖๔บทที่ ๕ การรายงานผลและการส่งต่อ…………………………………………………………….…….…….....…….…………………. ๖๘๑. การรายงานผลการพัฒนาผ้เู รียน………………………..……………………………….....……………………………. ๖๘๒. การสง่ ตอ่ ………………………………………………………………………………………………………......………………………… ๖๘เอกสารอ้างองิ ………………………………………………………………………………………………………………………...………………………….... ๗๑ภาคผนวก……………………………………………………………………………………………………………………………………....……………………… ๗๒๑. แบบประเมนิ ความสามารถพน้ื ฐาน…………………………………………………………………….......…………… ๗๓๒. แบบประเมนิ ก่อน ระหว่างและหลงั การพฒั นาทักษะการดารงชีวติ สาหรบั เด็กทม่ี ีความต้องการจาเปน็ พิเศษระยะแรกเริ่ม………………………………..………………...................................... ๑๒๘๓. แบบประเมนิ ความก้าวหน้าการให้บริการช่วยเหลือครอบครัว…………………………………..... ๑๔๕๔. รายละเอียดตวั ชว้ี ัดและพฤตกิ รรมบง่ ชค้ี ุณลกั ษณะพงึ ประสงค์………………………………...... ๑๗๐

คสารบัญ (ตอ่ )๕. แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์…………………………………………......…..…........................... ๑๗๒๖. แบบสรปุ ผลการประเมนิ กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน…………………………………………......…..…............ ๑๘๗๗. สมดุ รายงานผลการพฒั นานกั เรียนตามแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP.) และมาตรฐานการศกึ ษาศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ………………………………………………………............. ๑๘๘๘. สมุดรายงานผลการพัฒนานักเรียนตามแผนให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครวั (IFSP.) และมาตรฐานการศึกษาศูนย์การศกึ ษาพิเศษ………………………………………..……....... ๒๐๘๙. คาสั่งสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการป รั บ ป รุ ง ห ลั ก สู ตร ก า รใ ห้ บ ริก า รช่ ว ย เห ลื อ ร ะ ย ะ แ ร ก เริ่ ม ส า ห รับ เ ด็ก พิ การ ๒๓๕ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ………………………......................................…………………………………………..………..รายช่อื คณะกรรมการผจู้ ัดทา…………………………………………………………………………………………………………………………… ๒๓๘

ง สารบัญตารางตารางท่ี ๑.๑ หน้า แสดงความเชื่อมโยงของหลักการการจัดการศึกษาปฐมวัยและหลักการตารางท่ี ๑.๒ การจัดใหบ้ รกิ ารช่วยเหลอื ระยะแรกเร่ิม……………………...................................................... ๗ตารางท่ี ๒.๑ แสดงสาระสาคญั และวิธีการเยยี่ มบ้าน……………………...........................……….................... ๑๖ตารางที่ ๒.๒ แสดงเนื้อหาและพฒั นาการท่ีคาดหวงั ของกลุ่มทักษะกล้ามเนื้อมดั ใหญ่............ ๒๕ตารางท่ี ๒.๓ แสดงเนอ้ื หาและพฒั นาการท่ีคาดหวงั ของกลุ่มทกั ษะกล้ามเนือ้ มัดเลก็ ............... ๒๘ แสดงเน้ือหาและพัฒนาการท่ีคาดหวังของกลุ่มทักษะการช่วยเหลือตนเองตารางท่ี ๒.๔ ในชวี ิตประจาวนั …………………..................................………………….................................................. ๓๐ แสดงเน้ือหาและพัฒนาการที่คาดหวังของกลุ่มทักษะการรับรู้และแสดงออกตารางที่ ๒.๕ ทางภาษา…………………..................................…………………................................................................ ๓๕ตารางท่ี ๒.๖ แสดงเนือ้ หาและพัฒนาการท่ีคาดหวังของกลมุ่ ทกั ษะทางสังคม…………………........ ๓๗ตารางที่ ๔.๑ แสดงเน้ือหาและพัฒนาการที่คาดหวังของกลุ่มทักษะทางสติปัญญาหรือการ เตรียมความพร้อมทางวชิ าการ…………………..................................…………………..................... ๔๐ แสดงระดับผลการเรยี นรู้…………………..................................…………………................................ ๖๕

จสารบัญแผนภาพแผนภาพท่ี ๑.๑ แสดงกระบวนการให้บรกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่ิมในศูนย์การศึกษาพิเศษ หนา้แผนภาพที่ ๑.๒ แสดงกระบวนการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมที่บา้ นและชมุ ชน………… ๑๐ ๑๖แผนภาพท่ี ๒.๑ โครงสรา้ งหลักสูตร………………………......................................………………………………………….. ๒๑แผนภาพท่ี ๓.๑ แผนภาพท่ีแสดงกระบวนการในการบริหารจัดการหลกั สตู รสาหรบั เด็กทีม่ ี ๔๖ ความต้องการจาเป็นพิเศษระยะแรกเร่ิมของศูนย์การศึกษาพิเศษ ฉบบั ปรบั ปรุง พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๘………………………......................................……………...

บทท่ี ๑ ความรู้พ้ืนฐานเกยี่ วกับการให้บรกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม สาหรับเดก็ ที่มคี วามต้องการจาเป็นพเิ ศษ ศนู ย์การศึกษาพิเศษ๑. หลักการแนวคิดการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ การบริการช่วยเหลือระยะแรกเรมิ่ เป็นระบบของการบริการ ที่ช่วยใหเ้ ด็กทม่ี ีพัฒนาการลา่ ช้าหรือมคี วามบกพรอ่ ง ไดเ้ รียนรู้ทักษะพื้นฐาน และทักษะใหม่ ที่มีผลต่อพฒั นาการในชว่ ง ๓ ขวบปีแรกของชีวิต เช่น ด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้านส่ือสาร ด้านสังคม การช่วยเหลือตนเอง เป็นต้นรวมถึงการบริการท่ีตอบสนองความต้องการจาเป็น เช่น การให้บริการเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวกการให้บริการคาปรึกษาและฝึกฝนการเล้ียงดูแก่ครอบครัว การให้บริการทางการแพทย์ การให้บริการทางโภชนาการ และการฟ้ืนฟูอ่ืนๆ เป็นต้น (Center for Parent Information andResources, 2014) สาหรับประเทศไทย พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพม่ิ เติม(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๐ วรรค ๓ ระบุว่า การศึกษาสาหรับคนพิการในวรรคสองให้จัดต้ังแต่แรกเกิด หรือพบความพิการ โดยไม่เสียคา่ ใชจ้ ่ายและบุคคลดงั กล่าวมีสทิ ธิได้รับส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในกฎกระทรวง และพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๕กาหนดใหค้ นพิการมสี ิทธิทางการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตงั้ แต่แรกเกดิ หรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมท้ังได้รับเทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษาโดยให้คานึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัด และความต้องการจาเป็นพิเศษของบุคคลน้ัน และให้ได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมท้ังการจัดหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้การทดสอบ ทางการศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบคุ คล จากกฎหมายข้างต้น จะเห็นว่าประเทศไทยให้ความสาคัญกับการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริม่ แม้จะไมไ่ ดก้ าหนดอายุชดั เจน แต่เน้นให้จัดบริการตงั้ แต่แรกเกดิ หรอื แรกพบความพกิ ารท้งั ในดา้ นการให้การศึกษา การได้รับเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก สื่อบริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา จึงกล่าวได้ว่าการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มเป็นระบบบริการท่ีมุ่งส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก การช่วยเหลือครอบครัวในการพัฒนาเด็ก ซึ่งการพัฒนาเด็กในช่วงวัยเริ่มต้นมีความสาคัญที่สุด เพราะช่วยให้เด็กได้รับการช่วยเหลือที่ตรงกับความต้องการ ในช่วงสาคัญของชีวิตที่จะเป็นตัวชี้ถึงความสาเร็จในอนาคต อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือเม่ือแรกพบความพิการ ซ่ึงอาจจะไม่ใช่ในวัยแรกเริ่มก็เป็นส่ิงท่ีจาเป็น เพ่ือป้องกันปัญหาการพัฒนาของวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นการบริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมคลอบคลุมในเร่ืองท่ีแตกต่างกัน ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพ

๒อาชญากรรม ที่จะอยู่ในรูปแบบของโปรแกรมพ่อแม่สาหรับแม่ท่ีต้ังครรภ์ และคู่ครอง หรือพฤติกรรมในช้ันเรียนของวัยรุ่นท่ีเป็นกลุ่มเสี่ยง ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องในอาชญากรรม เน่ืองจากเด็กและครอบครัวได้รับประสบการณ์ที่เป็นปัญหาทั้งมวล การบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มจาเป็นต้องใช้กลวิธีแบบองค์รวมในหลายระดับ ในลักษณะเป็นความร่วมมือกัน เพื่อจัดการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ(Early Intervention Foundation, 2015) นอกจากน้ีกระทรวงศึกษาธิการประเทศนิวซีแลนด์ได้นิยาม การบริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมด้านการศึกษาพิเศษว่า เป็นการให้การช่วยเหลือแก่บุคคลท่ีไม่ได้รับการตอบสนองในบริบทปกติซึ่งไม่มีการสนับสนุนเป็นพิเศษในวัยแรกเริ่ม จนถึงวัยเรียนท้ังที่บ้าน หรือครอบครัว ท่ีเป็นความต้องการจาเป็นในด้านความบกพร่องทางร่างกาย ประสาทสัมผัสการเรียนรู้ หรือการส่ือสารท่ีล่าช้า ความบกพร่องด้านสังคม อารมณ์ หรือพฤติกรรม หรือความบกพรอ่ งอ่ืนๆรว่ มกัน (Education Counts, 2007) กล่าวโดยสรุป การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม เป็นระบบการบริการที่จัดให้กับบุคคลที่มีความบกพร่อง หรือเป็นกลุ่มเสี่ยง ตั้งแต่แรกเกิดหรือแรกพบความพิการ รวมทั้งวัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ทั้งการช่วยเหลือและการป้องกัน ในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการแพทย์ ด้านการศึกษาด้านสังคม ตามความต้องการจาเป็นของแต่ละบุคคล โดยอาศัยความร่วมของผู้เก่ียวข้องในทุกระดับเพื่อใหผ้ ู้ทไี่ ด้รบั บริการมีการเปลย่ี นแปลงในทางที่ดีขึ้น ตรงตามเปา้ หมาย๒. การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษศูนย์การศึกษาพเิ ศษ และการจดั การศึกษาปฐมวยั สาหรับเด็กศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ ๒.๑ ปรัชญาและหลักการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพเิ ศษ ก า ร ให้ บ ริก าร ช ่ว ย เห ล ือ ระ ย ะ แ ร ก เ ร่ิ ม แ ก่เด็ก ที ่ม ีค ว าม ต้อ งก าร จ าเป ็น พ ิเศ ษ แล ะครอบครัวที่มีประสิทธิภาพ คือ ความร่วมมือและยอมรับความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน ระหว่างบุคคลท่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน และผู้ให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านต่างๆ เช่น แพทย์นักกายภาพบาบัด นักกิจกรรมบาบัด นักจิตวิทยา นักแก้ ไขการพูด นักโสตสัมผัสวิทยาและครูการศึกษาพิเศษ เป็นต้น ทั้งนี้ บุคลากรที่มีบทบาทในการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มจะต้องเป็น นักคิด ต้องตัดสิน ใจแล ะแก้ปัญ ห า ต้องมีวิสัยทัศน์ และมียุท ธศาส ต ร์(McWilliam, P. J., 1993) (อ้างถึงใน สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ๒๕๕๖:หน้า ๓) โดยนาทฤษฎีพัฒนาการ มาบูรณาการตามหลักการและแนวคิด มุ่งเน้นการกระตุ้นพัฒนาการเด็กและการเรียนรู้โดยยึดเด็กเป็นสาคัญ (สุวิมล อุดมพิริยะศักย์, ๒๕๔๘) (อ้างถึงใน สานักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ, ๒๕๕๖ หนา้ ๓) ตามหลักปรัชญา ๖ ประการ ดังนี้ ประการที่ ๑ ยึดพัฒนาการเด็ก “ทั่วไป” เป็นเกณฑ์ เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีอัตราความเรว็ ของพัฒนาการในแต่ละด้านหรอื ในแต่ละช่วงเวลาแตกต่างกันออกไป พัฒนาการตามปกติของเด็กนั้นจะดาเนินไปทีละขั้น และพัฒนาการขั้นต้นจึงเป็นพื้นฐานของพัฒนาการข้ันต่อไป ดังนั้นการใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ ตามระดบั พัฒนาการเป็นเรื่องสาคัญ ประการที่ ๒ ปรัชญาว่าด้วยพฤติกรรมมนุษย์ ปรัชญาในข้อน้ีมุ่งเน้นเร่ืองการปรับพฤติกรรมและการสอนส่ิงท่ีเหมาะสมกับตัวเด็ก มุ่งสอนทักษะต่างๆ ให้เด็กนาไปใช้เป็นไปตามลาดับข้ันตอน ใชว้ ธิ กี ารสอนและเทคนิคการสอนทห่ี ลากหลาย เพื่อใหเ้ ดก็ เปลยี่ นแปลงพฤติกรรมด้วยตนเอง

๓ ประการที่ ๓ ปรัชญาบูรณาการทฤษฎีต่างๆ คือ การนาเอาหลักการในหลายทฤษฎีมาผสมผสานกัน เพื่อนามาเป็นแนวทางในการกาหนดหลกั สูตรและเน้อื หาในการสอน การใช้วิธีการสอนและเทคนิคการสอนทเ่ี หมาะสมกับกิจกรรมท่ีจดั ใหเ้ ด็กแต่ละคน ประการท่ี ๔ การทางานพ้ืนฐานร่วมกับคณะสหวิชาชีพ ตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครองของเดก็ ประการที่ ๕ คณะทางาน จะต้องได้รับการฝึกในเร่ืองการสังเกต การแปลพฤติกรรมท่ีเด็กแสดงออก ตลอดจนวิธีการสนองตอบต่อพฤติกรรมของเด็กที่ถูกต้องเหมาะสม เน่ืองจากการใหบ้ รกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเริม่ เป็นทักษะละเอยี ดอ่อน ประการท่ี ๖ ยึดครอบครัวเป็นศูนย์กลางและมีส่วนร่วมในการวางแผนให้บริการชว่ ยเหลือเฉพาะครอบครวั โดยคานึงถงึ ความแตกตา่ งของแต่ละครอบครัว นอกจากนี้ (Louise Allistion, 2007) (อ้างถึงใน สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ,๒๕๕๖:หน้า ๔) ได้ทบทวนวรรณกรรม และได้เสนอการบริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมโดยครอบครัวเป็นฐานว่า หลักการสาคัญที่จะทาให้เกิดประโยชน์แก่เด็ก คือ การแบ่งปันความรับผิดชอบระหว่างครอบครัวและนักวิชาชีพ และการทางานแบบร่วมมือร่วมใจ ซึ่งความร่วมมือของผู้ปกครองในบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มจาเป็นต้องมีหลายระดบั เพ่อื สนับสนุนความต้องการจาเปน็ และสถานภาพของครอบครวั ท่แี ตกต่างกนั จากปรัชญาและหลักการของการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมข้างต้น ได้เน้นย้าให้เห็นความสาคัญของครอบครัว การมีส่วนร่วมของผู้เก่ียวข้อง โดยให้เด็กและครอบครัวได้รับการช่วยเหลือต่อเนอ่ื งและตรงกบั ความตอ้ งการ ดังน้ัน ศูนย์การศึกษาพิเศษจึงได้กาหนดหลักการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ตามหลักสูตรฉบับปรับปรุงพ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนี้ ๑) การสร้างหลักสูตรที่เหมาะสม การพัฒนาหลักสูตรพิจารณาจากระดับพัฒนาการของเด็ก “ทั่วไป” โดยเป็นหลักสูตรท่ีมุ่งส่งเสริมพัฒนาการ พัฒนาศักยภาพ และเตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสม เพ่ือให้เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษมีพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญาได้เต็มศักยภาพสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษเฉพาะบุคคลเพ่ือให้มรี ะดับพัฒนาเทา่ เทยี มหรอื ใกล้เคียงกบั เด็กทวั่ ไปที่อยใู่ นระดบั อายุเดียวกัน ๒) ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ต้งั แตแ่ รกเกิดโดยยึดหลักการใหบ้ ริการช่วยเหลอื ระยะแรกเริม่ แก่เด็กและครอบครัว ท้ังน้ีไดค้ านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชมุ ชน สังคม และวัฒนธรรมไทย มีการสร้างสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการพัฒนาศักยภาพของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษโดยเด็กท่มี ีความต้องการจาเป็นพิเศษจะต้องอยู่ในสภาพที่สนองความตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษ ความสนใจของเด็กทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน ผู้สอนจะต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้อยู่ในที่ที่สะอาดปลอดภัย อากาศสดช่ืน ผ่อนคลาย ไม่เครยี ด มีโอกาสออกกาลังกายและพักผ่อน มีส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใด ทางการศึกษาท่ีหลากหลายเหมาะสมกับความต้องการจาเป็นพิเศษ และระดบั พฒั นาการรวมถงึ การใหเ้ ดก็ มีโอกาสไดอ้ ยู่ร่วมกับคนอ่นื ในสังคม

๔ ๓) พัฒนาเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษตั้งแต่แรกเกิดเป็นองค์รวม โดยผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยโดยการบูรณาการการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอนสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษให้ยึดหลักการบูรณาการที่ว่าหนึ่งแนวคิดเด็กสามารถเรียนรู้ได้หลายกิจกรรม หน่ึงกิจกรรมเด็กสามารถเรียนรู้ได้หลายทักษะและหลายประสบการณ์สาคัญ ดังนั้นเป็นหน้าท่ีของผู้สอนจะต้องวางแผนการจัดประสบการณ์ในแต่ละวันให้เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่นท่ีหลากหลายกิจกรรม หลากหลายทักษะ หลากหลายประสบการณ์สาคัญ อย่างเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ เพื่อให้บรรลุจุดหมายของการจัดการศึกษาสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษต้ังแต่แรกเกดิ ถึง ๖ ปี ทีก่ าหนดไว้ ๔) จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษต้ังแต่แรกเกิดสามารถพัฒนาทักษะ ทุกด้าน ได้เต็มศักยภาพอย่างมีความสุข การจัดกิจกรรมท่ีส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของ เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ผู้สอนมีความสาคัญต่อการจัดกิจกรรมพัฒนาเด็กอย่างมาก จึงจาเป็นต้องยอมรับ เห็นคุณค่า รู้จักและเข้าใจเด็กแต่ละบุคคลท่ีตนดูแลรับผิดชอบเพื่อจะได้วางแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลหรือแผนให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัวสร้างสภาพแวดล้อม และจัดกิจกรรมท่ีจะส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างเหมาะสมนอกจากน้ีต้องรู้จักพัฒนาตนเอง ปรับปรุงใช้เทคนิคการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะกับเด็กเป็นเฉพาะบุคคล ๕) ประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน สถานศึกษา และผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง ในการพัฒนาเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษต้ังแต่แรกเกิด เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งน้ี เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เด็กเจริญเติบโต ผู้สอน พ่อแม่ และผู้ปกครองของเด็กจะต้องมีการแลกเปล่ียนข้อมูล ทาความเข้าใจพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กต้องยอมรับและร่วมมือกันรับผิดชอบ หรือ ถือเป็นหุ้นส่วนที่จะต้องช่วยกันพัฒนาเด็กให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการรว่ มกนั ดงั น้นั ผ้สู อนจึงมิใช่ จะแลกเปล่ียนความรกู้ ับพ่อแม่ ผู้ปกครองเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กเท่านั้นแตจ่ ะต้องใหพ้ อ่ แม่ ผู้ปกครองมสี ว่ นรว่ มในการพัฒนาด้วย ๖) การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก การประเมินเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษยึดวิธีการ ท่ีหลากหลายได้แก่ การสังเกต การให้เด็กทากิจกรรม การประเมินเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน การบันทึกข้อมูล ฯลฯ ผู้สอนจะต้องสังเกตและประเมินพัฒนาการของเด็กว่าได้บรรลุตามจุดประสงค์และเป้าหมายท่ีวางไว้หรือไม่ ผลท่ีได้จากการสังเกต จากข้อมูลเชิงบรรยายจากการรวบรวมผลงาน การแสดงออกในสภาพท่ีเป็นจริง ข้อมูลจากครอบครัวของเด็กสามารถบอกได้ว่าเด็กเกดิ การเรียนร้แู ละมีความก้าวหน้าเพยี งใด ข้อมูลจากการประเมนิ พัฒนาการจะช่วยผู้สอนในการวางแผนการสอนเฉพาะบุคคล ชี้ให้เห็นความต้องการจาเป็นพิเศษของเด็กแต่ละบุคคล ใช้เป็นข้อมูลในการสื่อสารกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง เด็ก และขณะเดียวกันยังใช้ในการประเมินประสทิ ธภิ าพการจดั การศกึ ษาใหก้ บั เด็กได้อกี ด้วย

๕ ๒.๒ การจัดการศึกษาปฐมวัยและการจัดบริการช่วยเหลือสาหรับเด็กท่ีมีความตอ้ งการจาเปน็ พิเศษ ศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ ประเทศไทยได้กาหนดลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๔๖ โดยมีแนวคิดในการจัดการศึกษาปฐมวัย (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๖) (อ้างถึงใน ประวัติความเป็นมาของหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัยกบั ววิ ัฒนาการการศึกษาทางตะวนั ตก, (ม.ป.ป.)) ดงั นี้ ๑) แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก พัฒนาการของมนุษย์เป็นการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นในตัวมนุษย์ เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิต่อเน่ืองไปจนตลอดชีวิต ซึ่งครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ พัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาจะมีความสัมพันธ์ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นลาดับข้ันตอนไปพร้อมกันทุกด้าน เด็กแต่ละคนจะเติบโตและมีลักษณะพัฒนาการแตกต่างกันไปตามวัย โดยท่ีพัฒนาการเด็กปฐมวัยบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงท่เี กดิ ขึ้นในตวั เด็กอย่างต่อเนือ่ งในแตล่ ะวยั เร่มิ ตง้ั แตป่ ฏิสนธิจนถึงอายุ ๕ ปี พัฒนาการแต่ละด้านมีทฤษฎีเฉพาะอธิบายไว้ และสามารถนามาใช้ในการพัฒนาเด็กอาทิ ทฤษฎีพัฒนาการทางร่างกายที่อธิบายการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กว่ามีลักษณะต่อเนื่องเป็นลาดับขั้น เด็กจะพัฒนาถึงข้ันใดจะต้องเกิดวุฒิภาวะของความสามารถข้ันนั้นก่อน หรือทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาท่ีอธิบายว่าเด็กเกิดมาพร้อมวุฒิภาวะ ซึ่งจะพัฒนาข้ึนตามอายุประสบการณ์ ค่านิยมทางสังคม และสิ่งแวดลอ้ ม หรอื ทฤษฎพี ัฒนาการทางบคุ ลิกภาพ ท่ีอธิบายวา่ เด็กจะพัฒนาได้ดีถ้าในแต่ละช่วงอายุเด็กได้รับการตอบสนองในส่ิงที่ตนพอใจ ได้รับความรัก ความอบอุ่นอยา่ งเพียงพอจากผู้ใกล้ชิด มโี อกาสช่วยตนเอง ทางานทเ่ี หมาะสมกบั วัยและมีอิสระท่ีจะเรียนรใู้ นสงิ่ ท่ีตนอยากรรู้ อบ ๆ ตนเอง ๒) แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ การเรียนรู้ของมนุษย์เรามีผลสืบเนื่องมาจากประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับ ก า รเป ลี่ย น แ ป ล ง พฤติกรรมเกิดข้ึนจากกระบวนการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว โดยผู้เรียนจะต้องเป็นผู้กระทาให้เกิดขึ้นด้วยตนเอง และการเรียนรู้จะเป็นไปได้ดี ถ้าผู้เรียนได้ใช้ประสาทสัมผัสท้ังห้าได้เคลื่อนไหว มีโอกาสคิดริเร่ิมตามความต้องการและความสนใจของตนเอง รวมท้ังอยู่ในบรรยากาศท่ีเป็นอิสระ อบอุ่นและปลอดภัย ดังน้ันการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ จึงเป็นสิ่งสาคัญท่ีจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กและเนื่องจากการเรียนรู้นั้น เป็นพ้ืนฐานของพัฒนาการในระดับที่สูงขึ้น ท้ังคนเราเรียนรู้มาต้ังแต่เกิดตามธรรมชาติก่อนท่ีจะมาเข้าสถานศึกษา การจัดทาหลักสูตรจึงยึดแนวคิดท่ีจะให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงด้วยตัวเด็กเอง ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอิสระ เอื้อต่อการเรียนรู้ และจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกบั ระดบั พัฒนาการของผ้เู รยี นแตล่ ะคน ๓) แนวคดิ เก่ียวกบั การเล่นของเด็ก การเลน่ ถือเป็นกจิ กรรมท่สี าคัญในชวี ิตเด็กทุกคนเด็กจะรู้สึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน ได้สังเกต มีโอกาสทาการทดลอง สร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหาและค้นพบด้วยตนเอง การเล่นจะมีอิทธิพลและมีผลดีต่อการเจริญเติบโต ช่วยพัฒนาร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญา จากการเล่นเด็กมีโอกาสเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย ได้ใช้ประสาท

๖สัมผัสและการรับรู้ ผ่อนคลายอารมณ์ และแสดงออกถึงตนเอง เรียนรู้ความรู้สึกของผู้อื่น การเล่นจึงเป็นทางท่เี ดก็ จะสร้างประสบการณ์เรียนรสู้ ่ิงแวดล้อม เรียนรคู้ วามเป็นอย่ขู องผอู้ ื่น สรา้ งความสัมพันธ์อยูร่ ่วมกับผอู้ ่นื กับธรรมชาตริ อบตัว ๔) แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคม บริบททางสังคมและวัฒนธรรมท่ีเด็กอาศัยอยู่หรือแวดล้อมตัวเด็ก ทาให้เด็กแต่ละคนแตกต่างกันไป ผู้สอนจาเป็นต้องเข้าใจและยอมรับว่าวัฒนธรรมและสังคมที่แวดล้อมตัวเด็กมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ การพัฒนาศักยภาพและพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ผู้สอนควรต้องเรียนรู้บริบททางสังคมและวัฒนธรรมของเด็กท่ีตนรับผดิ ชอบ เพื่อช่วยให้เด็กได้พัฒนา เกิดการเรียนรู้ และอยู่ในกลุ่มคนที่มาจากพ้ืนฐานเหมือนหรือต่างจากตนได้อย่างราบร่ืนมคี วามสุข จากแนวคิดของหลักสูตรดังกล่าว ช้ีให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้สาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ควรนาแนวคิดเหล่านี้ ไ ด้แ ก่ พัฒ น า ก า ร เ ด็กการเรียนรู้ การเล่นของเด็ก วัฒนธรรมและสังคมท่ีเป็นบรบิ ทของเด็กและครอบครัว มาเป็นหลักคิดในการจัดหลักสูตร จัดการเรียนรู้ จัดสภาพแวดล้อม สื่อ สิ่งอานวยความสะดวก และบริการต่างๆที่สัมพันธ์กับสังคมและวัฒนธรรมของเด็กและครอบครัว ในการทางานร่วมกันระหว่างครอบครัวและนกั วิชาชีพ

๗ตารางที่ ๑.๑ แสดงความเช่ือมโยงของหลักการการจัดการศึกษาปฐมวัยและหลักการการจัดให้บริการช่วยเหลอื ระยะแรกเริม่ หลักการการจดั การศกึ ษาปฐมวัย หลักการการจดั ให้บริการช่วยเหลอื ระยะแรกเริม่๑. การสร้างหลักสูตรท่ีเหมาะสม ๑. การสร้างหลกั สูตรท่เี หมาะสม๒. การสร้างสภาพแวดล้อมทเี่ ออ้ื ต่อการเรยี นร้ขู อง ๒. ส่งเสรมิ กระบวนการเรียนรแู้ ละพัฒนาการเด็ก๓. การจดั กจิ กรรมที่สง่ เสรมิ พัฒนาการและการ ๓. จัดประสบการณก์ ารเรียนรใู้ ห้เดก็ ที่มีความเรยี นรขู้ องเด็ก ต้องการจาเป็นพเิ ศษตั้งแต่แรกเกิด๔. การบูรณาการการเรยี นรู้ ๔. พฒั นาเด็กทม่ี ีความต้องการจาเป็นพิเศษ ตั้งแต่ แรกเกดิ๕. การประเมินพัฒนาการและการเรียนรขู้ องเด็ก ๕. การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ พฒั นาการของเด็ก๖. ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผูส้ อนกบั ครอบครัวของ ๖. ประสานความรว่ มมือระหว่างครอบครัว ชุมชนเด็ก สถานศกึ ษา และผู้ท่ีมสี ว่ นเกีย่ วขอ้ ง จากตารางที่แสดงความเชื่อมโยงของหลักการการจัดการศึกษาปฐมวัยและหลักการการจัดให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม จะเห็นว่าหลักการการจัดการศึกษาปฐมวัยได้กาหนดให้สถานศึกษาทุกแห่ง ได้พัฒนา/สร้างหลักสูตรท่ีเหมาะสม ซึ่งหลักการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มได้ให้ความสาคัญและกาหนดให้สร้างหลักสูตรที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเด็กทุกด้าน ทั้งด้านรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สตปิ ัญญา รวมถึงการพึ่งพาตนเองได้และมีคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึน โดยอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับวัฒนธรรมและบริบทของครอบครัว ในรูปของแผนการให้บรกิ ารชว่ ยเหลอื เฉพาะครอบครวั แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรยี นรู้ของเด็ก และการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการ มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งหลักการท้ังสองให้ความสนใจกับความต้องการจาเป็นของเด็กแต่ในเด็กพิเศษ มุ่งไปท่ีความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากเด็กมีสภาพความพิการและความต้องการจาเป็นที่แตกต่างกันมาก การจัดสภาพแวดล้อมท่ียึดหลักให้เอ้ือต่อการเรียนรู้ จึงต้องคานึงถึงความตอ้ งการจาเป็นเฉพาะบคุ คล การจัดกิจกรรมท่ีส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก มุ่งให้ครูเป็นผู้อานวยความสะดวกและรู้จักเด็ก เพ่ือเป็นผู้เรียนรู้ร่วมกับเด็ก ซ่ึงหลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษตั้งแต่แรกเกิด ของหลักสูตรสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษระยะแรกเริ่มของศูนย์การศกึ ษาพิเศษ ก็มุ่งให้ครูรูจ้ ักเดก็ เปน็ รายบุคคล และต้องทาหน้าที่ทัง้ ผู้ฝึกและผู้เรยี นรู้ รว่ มกับเดก็ และครอบครัว เพ่ือให้เด็กที่มีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษและครอบครัวได้รบั ประสบการณ์ทห่ี ลากหลายท่ีสัมพนั ธก์ ับชวี ติ จริง การบูรณาการการเรียนรู้ของหลกั สูตรปฐมวยั และการพฒั นาเด็กท่ีมีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษต้ังแต่แรกเกิดของหลักสูตรการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสาหรับ เด็กท่ีมีความต้องการ

๘จาเป็นพิเศษ ศูนย์การศกึ ษาพิเศษ เป็นเรื่องเดยี วกันทีม่ ุ่งเน้นให้เด็กที่มีความต้องการจาเปน็ พิเศษไดร้ ับประสบการณ์หลากหลายผา่ นกิจกรรมต่างๆ เหมาะสมกับวัยและความตอ้ งการจาเปน็ การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กตามหลักสูตรปฐมวัย จะใช้วิธีการสังเกตเป็นส่วนใหญ่ และใช้วิธีการอื่นๆร่วมด้วย ส่วนการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ก็ใช้แนวทางเดียวกัน แต่มุ่งให้ผู้สอนหรือผู้ดูแลได้สังเกตในสถานการณ์ทเ่ี ป็นสภาพจรงิ ในบริบทที่แตกตา่ งเพื่อนามาเป็นขอ้ มูลในการประเมินรปู แบบอ่ืนๆ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับครอบครัวของเด็กตามหลักสูตรปฐมวัย และการประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน สถานศึกษา และผทู้ ่ีมีส่วนเก่ียวข้องของหลักสูตรการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ใช้หลักการเดยี วกันในการใหค้ วามสาคญั กับครอบครัวเปน็ อันดบั แรก เพราะครอบครัวมีบทบาทในการพฒั นาบตุ รหลานของตน แต่เด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษจาเป็นต้องมีระบบสนับสนุนในสถานศึกษาและชุมชน เพ่ือใหน้ ักวิชาชีพและผ้เู กีย่ วขอ้ งได้ใหค้ วามร่วมมือในการพัฒนาเดก็ และช่วยเหลอื ครอบครัว๓. กระบวนการการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม กระทรวงศึกษาธิการได้พัฒนากระบวนการมาอย่างต่อเน่ือง โดยกาหนดบทบาทหน้าท่ีของผู้เกี่ยวข้อง และจัดทาคู่มือใหส้ ถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องนาไปใช้ สาหรับการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของสถานศึกษาสังกัดสานักบริหารการศึกษาพิเศษ ท้ังภายในศูนย์การศึกษาพิเศษและการจัดบริการท่ีบ้าน มีผลการวิจัย ท่ีแสดงกระบ ว น การก ารให้ บ ริการช่ ว ยเห ลื อระยะแรกเร่ิม จาก รายงาน การวิจั ยแล ะพั ฒ น ารูป แบ บ การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มแก่เด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ อายุระหว่าง ๐-๕ ปีของโรงเรียนการศึกษาพิเศษและศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (พวงมณี ชัยเสรี, ๒๕๕๗) ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิด หลักการที่ได้กล่าวมาข้างต้น โดยเสนอกระบวนการใหบ้ ริการช่วยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ เป็น ๓ ระยะ ดังน้ี ระยะท่ี ๑ ก่อนเข้าสู่โปรแกรม คือ ระยะท่ีเด็กก่อนเข้ารับบริการ ได้แก่ การส่งต่อการค้นหาและการคัดแยก ระยะท่ี ๒ การรับบริการ คือ ระยะท่ีเด็กเริ่มเข้ารับบริการ ได้แก่ การตรวจสอบการพัฒนาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลหรือแผนบริการครอบครัวการปฏิบัติการสอนและการประเมินผล ระยะที่ ๓ การส้ินสุดการรับบริการ ได้แก่ การส่งตอ่ ไปสู่โปรแกรมใหม่และการจัดทเี่ รียนท่ีเหมาะสมให้เด็กได้เรียนรว่ มในโรงเรียนปกติทั่วไป หรือเรียนในโรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะความพิการ

๙ เม่ือพิจารณารูปแบบน้ีแล้ว พบว่ามคี วามสอดคล้องกบั วธิ ีปฏบิ ัติของศนู ย์การศกึ ษาพิเศษซึ่งปรับเป็นขั้นตอนและกิจกรรม เพ่ืออานวยความสะดวกแก่ครู ผู้ปกครองได้นาไปใช้และส่ือสารให้ตรงกนั จงึ ไดแ้ ยกรูปแบบการให้บริการเปน็ ๒ รปู แบบ โดยใช้พื้นทีเ่ ป็นฐาน คือ รปู แบบท่ี ๑ กระบวนการให้บริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่ิมในศนู ย์การศึกษาพิเศษ รปู แบบท่ี ๒ กระบวนการใหบ้ ริการชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่มท่ีบา้ นและชมุ ชน ๓.๑ กระบวนการใหบ้ ริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ ในศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษ เป็ น ก า ร ใ ห้ บ ริ ก า ร ช่ ว ย เห ลื อ ร ะ ย ะ แ ร ก เริ่ ม แ ก่ ผู้ เรี ย น ท่ี ป ร ะ ส ง ค์ ม า รั บ บ ริ ก า ร ท่ีศูนย์การศึกษาพิเศษ โดยศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษแตล่ ะแห่งจะมรี ะบบการให้บริการ ดังน้ี

๑๐กระบวนการใหบ้ รกิ าร ผู้รับผิดชอบ๑. การรวบรวมข้อมลู ทั่วไปของเด็กพกิ าร  ครูผู้รับผดิ ชอบ  การสังเกต  ครทู ี่เก่ียวขอ้ ง  การสัมภาษณ์  ผู้ปกครอง  การซกั ประวตั ิ  การใช้สงั คมมติ ิ  ผูเ้ กย่ี วขอ้ ง เช่น ชุมชน นักวิชาชีพ  การเยีย่ มบ้าน๒. การคัดกรองประเภทความพิการทางการศึกษา /สง่ ต่อ  ครูผรู้ ับผิดชอบ  แบบทดสอบ  ครทู เี่ กีย่ วขอ้ ง  แบบคัดกรอง  แพทย์  นกั วชิ าชพี  พ่อแม่/ผูป้ กครอง๓. การประเมินความสามารถพ้ืนฐาน แบบประเมิน / แบบทดสอบ  ครูผ้รู ับผิดชอบ  พ่อแม่/ผปู้ กครอง  ครทู ่ีเกย่ี วขอ้ ง๔. การจัดทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคล  นักวชิ าชีพ  คณะกรรมการจดั ทาแผนการจัด การศึกษาเฉพาะบคุ คล๕. การให้บริการด้วยการจัดกิจกรรมท่ีเหมาะสมในการ  ครูผรู้ บั ผิดชอบ  ครทู ่เี กย่ี วขอ้ งสง่ เสริม  พ่อแม่/ผปู้ กครอง ทักษะกลา้ มเนื้อมัดใหญ่ ทกั ษะกล้ามเนอ้ื มัดเลก็  นกั วชิ าชพี ทักษะการชว่ ยเหลอื ตนเองในชวี ิตประจาวัน ทักษะการรบั รู้และแสดงออกทางภาษา ทกั ษะทางสงั คม ทกั ษะทางสตปิ ัญญาหรือการเตรียมความพร้อมทางวชิ าการ ทกั ษะจาเปน็ เฉพาะความพกิ ารหรอื ทกั ษะจาเป็นอื่นๆ๖. การประเมินความกา้ วหน้า  ครูผูร้ ับผดิ ชอบ การสังเกตพฤตกิ รรมเด็ก  ครูท่เี ก่ยี วขอ้ ง การสัมภาษณ์  พอ่ แม/่ ผปู้ กครอง การเขียนบนั ทกึ เกยี่ วกับตวั เดก็  นกั วชิ าชพี แฟ้มผลงานเดก็ การใช้แบบประเมนิ ผลพฒั นาการ  ครผู ้รู บั ผดิ ชอบ การเขยี นบันทึก  ครผู เู้ กี่ยวขอ้ ง การทาสงั คมมติ ิ  นกั วิชาชีพ  พอ่ แม่/ผปู้ กครอง แบบทดสอบ๗. การนิเทศ ติดตาม ประเมนิ ผล และการสง่ ตอ่ บ แบบประเมนิ แบบทดสอบ รายงานผลการพฒั นาแผนภาพที่ ๑.๑ แสดงกระบวนการใหบ้ รกิ ารช่วยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ ในศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ

๑๑ ขนั้ ตอนการดาเนินงานการให้บรกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเร่มิ สาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเปน็ พเิ ศษในศนู ย์การศึกษาพิเศษ มีข้นั ตอนในการดาเนินการ ดงั น้ี ๑) การเก็บรวบรวมขอ้ มูลท่ัวไปของเดก็ ท่ีมคี วามต้องการจาเป็นพิเศษ การเก็บรวบรวมข้อมูลทั่วไปของเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ เป็นข้ันตอนแรกของกระบวนการให้บริการ เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ และตัดสินใจในการวางแผนการให้บริการ ซึ่งมีวิธีการเก็บรวบรวมหลายวิธี ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การซักประวัติ สังคมมิติและการเย่ียมบา้ นซง่ึ แต่ละวธิ มี รี ายละเอียด ดงั น้ี ๑.๑) การสังเกต คือ การเฝ้าดูส่ิงที่เกิดข้ึนอยา่ งใส่ใจและมีระเบียบวิธี เพื่อวิเคราะห์หรือหาความสัมพันธ์ของสิ่งท่ีเกิดขึ้นน้ันกับส่ิงอื่น ซึ่งเหมาะกับการศึกษาพฤติกรรมท่ีค่อนข้างลึกซึ้งในเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษและครอบครัว เพ่ือสนับสนุนหรือขัดแย้งกับข้อมูลท่ีได้มาจากการบอกเล่า หรือเป็นข้อมูลท่ีเสริมความเข้าใจให้ชัดเจนถูกต้องยิ่งข้ึน แต่มีข้อจากัดของวิธีการสังเกต คืออาจมีอารมณ์ร่วมมีอคติหรือเข้าข้างกลุ่มท่ีศึกษา จะส่งผลต่อความเที่ยงตรงและความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้ การบันทึกผลการสังเกตมักมีลกั ษณะเป็นการพรรณนา สิ่งทคี่ วรต้องสังเกต ไดแ้ ก่ การกระทาของ แตล่ ะบคุ คล แบบแผนการกระทา ความสมั พนั ธ์ การมีสว่ นร่วม และองคป์ ระกอบของสง่ิ แวดล้อม ๑.๒) การสัมภาษณ์ คือ การรวบรวมข้อมูลโดยการพบปะ พูดคุย สนทนากับผู้ให้ข้อมูลโดยตรง ซึ่งอาจใช้การสัมภาษณ์ใน ๒ ลักษณะ คือ การสัมภาษณ์แบบเป็นมาตรฐานStandardized interview หรือ Structured interview) หรือการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นมาตรฐาน(Unstandardized interview หรือ Unstructured interview) การสัมภาษณ์ทุกลักษณะจะต้องมีการบนั ทกึ ข้อมูลทุกคร้งั จงึ จะถือวา่ ไดด้ าเนินการโดยสมบรณู ์ ๑.๓) การซักประวัติ คือ การได้ข้อมูลเบื้องต้นจากการสอบถามร่วมกับแบบสอบประวัติของเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษด้านต่างๆ ซ่ึงผู้ซักประวัติจะสอบถามข้อมูลอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากแบบสอบประวัติเพ่ือให้ได้ข้อมูลที่มคี วามสมบูรณ์และเที่ยงตรงยิ่งข้ึน ท้ังในดา้ นทัศนคติความรู้สึก ความคิดเห็นของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษและครอบครัวในปัญหาความต้องการด้านการศึกษาและด้านอื่นท่ีเขากาลังประสบอยู่ การซักประวัติเป็นการติดต่อส่ือสารโดยตรงระหว่างเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษและครอบครัวกับครูการศึกษาพิเศษครูผู้รับผิดชอบหรือผู้เกี่ยวข้องด้านต่างๆ เช่น นักกายภาพบาบัด นักกิจกรรมบาบัด ซึ่งต้องอาศัยการมีมนุษยสัมพันธ์ การใช้ภาษาพูด ภาษากาย สีหน้า ความกระตือรือร้น การมีส่วนร่วมและการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษและครอบครัว ดังนั้นผู้ซักประวัติต้องจัดสภาพบรรยากาศส่ิงแวดล้อมให้มีความเป็นเอกเทศ มีความเป็นมิตร หลีกเล่ียงการแทรกแซง หรือการถูกขัดจังหวะระหว่างดาเนินการมีความสาคัญในการซักประวัติ รวมถึงกระบวนการตอบสนองความต่อเน่ืองขณะตอบคาถาม รูปแบบของคาถามควรหลีกเล่ียงคาถามท่ีมีหลายตัวเลือก หลายคาถาม หลายคาตอบในประโยคเดียวกันควรเป็นคาถามเปิดเพื่อให้เกิดความหลากหลายและ หลีกเล่ียงการถามนาผู้ซักประวัติท่ีดีควรเงียบฟังคาตอบ สังเกตอาการหรืออารมณ์ผู้ตอบ โดยมีการกระตุ้นให้เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษและครอบครัวตอบคาถามอยา่ งต่อเน่ือง ๑.๔) สังคมมิติ คือ การรวบรวมข้อมลู ดว้ ยการใช้เทคนิคสังคมมิติ เปน็ วิธีการท่ีใช้ในการศึกษาหาความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างสมาชิกในครอบครัว บุคคลท่ีเก่ียวข้อง และชุมชนที่อยู่รอบตัวเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ข้อมูลท่ีได้จะเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการ

๑๒ปรับตัวทางสังคมของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพเิ ศษและการประสานส่งตอ่ ให้เด็กท่ีมีความต้องการจาเปน็ พเิ ศษไดร้ ับบริการช่วยเหลือระยะแรกเรมิ่ จากบุคคลท่เี กย่ี วขอ้ งและชมุ ชนต่อไป ๑.๕) การเยี่ยมบ้าน การเยี่ยมบ้านเดก็ ท่ีมีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษจะช่วยให้ทราบถึงสภาพปัญหาและความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัว เพ่ือเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมหรือบริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัวให้สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ สภาพครอบครัว และบริบทชุมชน ซ่ึงควรมีการวางแผนและกาหนดแนวทางในการเย่ียมบ้าน ดงั น้ี ๑.๕.๑) เตรียมแบบบันทึกข้อมูล เช่น แบบสัมภาษณ์ผู้ปกครอง แฟ้มหรือข้อมูลเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ ข้อมูลเดิมและข้อมูลท่ีเกี่ยวข้อง นัดหมายคณะทางานและครอบครัวล่วงหนา้ ๑.๕.๒) ประสานงานอาสาสมัครในชุมชน และกาหนดปฏิทินปฏิบัติงานที่ชัดเจนการไปเย่ียมบ้าน ควรคานึงถงึ ผู้เก่ยี วข้อง สาระสาคญั และวธิ กี าร ดงั ตอ่ ไปนี้ตารางท่ี ๑.๒ แสดงสาระสาคัญและวิธกี ารเย่ียมบ้านผู้เก่ยี วข้อง สาระสาคญั วธิ กี ารพอ่ แม่ พ่ี  การดูแลเด็กทม่ี ีความต้องการจาเป็นพิเศษ ให้  แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการนอ้ ง ปู่ ย่า ตา เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษช่วยเหลือ เลี้ยงดูและการช่วยเหลือเด็กท่ีมียาย และญาติ ต น เอ งใน กิ จวัต รป ระจ าวัน เช่ น ก าร ความต้องการจาเป็นพิเศษและ รับประทานอาหาร การทาความสะอาด ครอบครวั รา่ งกาย การสวมเสอ้ื ผ้า  สังเกตสภาพของเด็กท่ีมีความ  การให้การยอมรับ ให้เด็กท่ีมีความต้องการ ต้องการจาเป็นพิเศษ ท่าทีของ จาเป็นพิเศษมีส่วนร่วมในกิจกรรมของ บุคคลในสภาพแวดล้อมในบ้าน ครอบครัว ให้แสดงความสามารถด้วยตนเอง ของเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็น โ ด ย ผู้ เก่ี ย ว ข้ อ ง ให้ ค ว า ม ช่ ว ย เห ลื อ พิ เ ศ ษ แ ล ะ ค ร อ บ ค รั ว เมื่อเด็กที่ มีความต้องการจาเป็นพิ เศษ สภาพแวดล้อมในบ้าน นอกบ้าน ต้องการให้ความสาคัญความรักความอบอุ่น ชมุ ชนใกล้บ้าน เอาใจใสเ่ หมือนกับเดก็ ทวั่ ไปเพ่อื นบา้ นและ  ทัศนคติ ความรู้สึก และความคิดเห็นต่อ  สังเกตบุคคลในชมุ ชน เด็ก ที่ มี ค วาม ต้อ งการจาเป็ น พิ เศ ษ แล ะ  สัมภาษณ์ ครอบครัว  การยอมรบั  การใหค้ วามชว่ ยเหลอื ๒) การคดั กรองประเภทความพิการทางการศกึ ษาหรือการส่งตอ่ การคัดกรองประเภทความพิการ เป็นการคัดกรองโดยใช้แบบคัดกรองคนพิการทางการศึกษา ตามแบบกระทรวงศึกษาธกิ าร และแบบประเมินอ่ืนๆของนักวชิ าชพี ซึง่ เครื่องมือแตล่ ะชนิดจะกาหนดประเด็นการตรวจสอบ และเครื่องมือท่ีครู นักวิชาชีพ ต้องปฏิบัติพร้อมท้ังประมวลผลการคัดกรอง นอกจากน้ี จะต้องศึกษาเอกสารอ่ืนทไี่ ด้มาจากการวินจิ ฉัยของนกั วชิ าชีพท่ีเก่ยี วข้อง

๑๓เช่น แพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก เป็นต้น เพ่ือยืนยันผลการคัดกรอง ในกรณีผลการคัดกรองมีข้อสงสัยและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจากหน่วยงานหรือนักวิชาชีพอ่ืน จะต้องมีการส่งต่อ เพ่ือให้ได้รับการวินิจฉัยอย่างละเอียดเพิ่มเติมจากผู้เช่ียวชาญเฉพาะด้าน เช่น การตรวจวัดระดับการได้ยินการตรวจวดั ระดับสตปิ ญั ญา เป็นตน้ ๓) การประเมินความสามารถพ้ืนฐาน การประเมินความสามารถพ้ืนฐาน เป็นการประเมินใหท้ ราบถึงพัฒนาการด้านต่างๆของเด็กเพ่ือค้นหาจุดเด่น จุดด้อย โดยเปรียบเทียบกับพัฒนาการตามวัยของเด็กทั่วไป ซ่ึงจะเป็นข้อมูลในการวางแผนการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มให้สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษและพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ตลอดจนให้คานึงถึงทักษะพื้นฐานท้ัง ๖ ทักษะ ซึ่งมีหลักการและกระบวนการประเมินความสามารถพ้ืนฐานที่สาคัญ ๗ ประการ สานักคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๑)(อ้างถึงใน หลักสูตรการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสาหรับเด็กพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษพทุ ธศักราช ๒๕๕๖) ดงั นี้ ๓.๑) นักการศึกษาและนักวิชาชีพควรคานึงถึงกระบวนการประเมิน ๕ ประการนี้เปน็ สาคัญ ๓.๑.๑) การสงั เกตพฤติกรรมเด็กอย่างเปน็ ระบบ ๓.๑.๒) การจดบันทกึ ผลการประเมินในหลายสถานการณ์ ๓.๑.๓) การวเิ คราะห์งานและจัดกระทากบั ขอ้ มูลพฤติกรรมเด็ก ๓.๑.๔) การแยกแยะความแตกต่างของพฤติกรรมเด็ก ๓.๑.๕) ระบุวัตถปุ ระสงค์ของการสอนตามสงิ่ ประเมินได้ ๓.๒) พฤติกรรมท่ีได้จากการสังเกตนั้น อาจมิใช่สาเหตุของปัญหาก็ได้ อย่าด่วนตดั สินใจ จากสถานการณเ์ ดียว ๓.๓) การสังเกตพฤติกรรม ต้องประเมินทุกด้านท้ังด้านร่างกาย ด้านสังคมดา้ นอารมณ์ ดา้ นสติปัญญา และดา้ นการปรับตน ไม่ควรแยกประเมินเฉพาะดา้ นใดดา้ นหนึ่ง ๓.๔) ในการเปรียบเทียบระดับพัฒนาการที่เบ่ียงเบนไป ต้องใช้เกณฑ์มาตรฐานเดก็ ปกติในวยั เดียวกนั ๓.๕) การประเมินเด็กและการวัดผลเด็ก ควรได้จากการรวบรวมจากการสังเกตเดก็ ท่ีบ้านทค่ี ลนิ กิ ในโครงการบริการชว่ ยเหลือระยะแรกเริม่ หรอื ทโี่ รงเรยี น ๓.๖) ความแตกต่างเร่ืองเช้ือชาติและวัฒนธรรม สภาพของความจริง ควรนามาเป็นข้อพิจารณาด้วย นอกจากน้ีบทสัมภาษณข์ องผปู้ กครองกเ็ ปน็ สว่ นหนง่ึ ในการประเมนิ เด็กดว้ ย ๓.๗) ควรประเมินหลายคร้ังก่อนทจี่ ะสรปุ ผล สาหรับหลกั สตู รการใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่ิมสาหรับเด็กท่ีมีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ได้จัดแบบประเมินความสามารถพ้ืนฐานที่ครอบคลุมทักษะต่างๆท้งั จานวน ๖ ทักษะ ตั้งแต่อายุ ๐-๖ ปี และกาหนดเกณฑ์ความระดับความสามารถ ๕ ระดับ ซึ่งเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษทุกคนท่ีจะรับบริการจะต้องได้รับการประเมินความสามารถพื้นฐานด้วยแบบประเมนิ น้ี

๑๔ ๔) การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized EducationProgram : IEP) กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการเร่ือง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ.๒๕๕๒ โดยได้กาหนดองค์ประกอบของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ให้ผู้เกย่ี วข้องได้นาไปใช้วางแผนในการจัดบรกิ ารตามองค์ประกอบ ซึ่งประกอบด้วย ๑) ข้อมูลทั่วไป ๒) ข้อมูลทางด้านการแพทย์หรือด้านสุขภาพ๓) ข้อมูลด้านการศึกษา ๔) ข้อมูลอื่นๆ ท่ีจาเป็น ๕) การกาหนดแนวทางการศึกษาและการวางแผนการจัดการศึกษาพิเศษ ๖) ความต้องการส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา ๗) คณะกรรมการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล และ๘) ความเห็นของบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือผู้เรยี น การจัดทาแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบคุ คลต้องมีความละเอียด รอบคอบ ซ่ึงผู้เก่ียวข้องจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ เพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ สาหรับรายละเอียดให้ศึกษาจากคู่มือการจัดทาแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล ๕) การให้บรกิ ารด้วยกจิ กรรมท่เี หมาะสม เมื่อกาหนดเป้าหมายและจุดประสงค์ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลแล้วเดก็ ท่ีมีความต้องการจาเปน็ พิเศษแต่ละบุคคลจะได้รับการจัดการเรียนการสอนและบรกิ ารอน่ื ๆ ตามท่ีกาหนด โดยครูและนักวิชาชีพจะจัดกิจกรรมท่ีครอบคลุมทักษะการเรียนรู้ สาหรับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้จัดตามความต้องการจาเป็นของเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษและบริบทของศูนย์การศึกษาพิเศษ ซึ่งในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสม ควรคานึงถึงอายุจริงของเด็ก สภาพแวดล้อมของครอบครวั ชุมชน และเปา้ หมายของช่วงเช่ือมตอ่ ที่ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษและพ่อแม่ได้ร่วมกนั กาหนด ๖) การประเมินความกา้ วหนา้ ในระหว่างการจัดการเรียนการสอนหรือให้บริการ ต้องมีการประเมินผลการจัดกิจกรรม โดยใช้เกณฑ์ที่กาหนดสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษแต่ละคน วิธีการประเมินข้ึนอยู่กับข้อกาหนดของกิจกรรม เช่น หากกิจกรรมกาหนดให้เด็กปฏิบัติ แสดงว่าการประเมินจะเน้นการปฏิบัติของเด็กซึ่งผู้สอนจะใช้การสังเกตหรือการทดสอบก็ได้ ในการประเมินแต่ละครั้งจะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อนามาสรุปความก้าวหน้าของเด็กและการใช้แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ตลอดจนมีการรายงานความก้าวหน้าโดยมีพ่อแม่หรือผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินผล และร่วมตัดสินใจในการทบทวนและปรับแผนให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษเป็นเฉพาะบุคคล ซึ่งควรประเมินเพื่อทบทวนและปรบั แผนอย่างนอ้ ยปีละ ๒ ครัง้ ๗) การนเิ ทศ ตดิ ตาม ประเมินผลและการสง่ ตอ่ การนิเทศ เป็นการให้ความช่วยเหลือ แนะนาครู นักวิชาชีพ ในการจัดการเรียนการสอนและให้บริการ เพ่ือให้เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษได้รับการพัฒนาและบรรลุตามวัตถุประสงค์ ส่วนการกากับติดตาม เป็นการตรวจสอบการจัดบริการให้เป็นไปตามระยะเวลาเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ เช่น การจัดโปรแกรม การได้รบั และใช้ ส่ือ สง่ิ อานวยความสะดวก บริการ และความช่วยเหลอื อ่นื ใดทางการศึกษา รวมทั้งกิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี นอน่ื ๆ เปน็ ต้น

๑๕ ๓.๒ กระบวนการใหบ้ ริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่ิมท่บี ้านและชมุ ชน ผู้ปกครองและชุมชนที่ไม่สามารถส่งผู้เรียนเข้ารับบริการท่ีศูนย์การศึกษาพิเศษจะได้รับการสนับสนุนจากศูนย์การศึกษาพิเศษ ให้จัดบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มท่ีบ้านและชุมชนซึ่งผู้เรียนจะต้องได้รับการลงทะเบียนเป็นนักเรียนของศูนย์การศึกษาพิเศษ โดยศูนย์การศึกษาพิเศษไดจ้ ดั ผูร้ บั ผิดชอบกระจายอยู่ทกุ อาเภอในการทางานรว่ มกับผู้ปกครองและชุมชน การจัดบรกิ ารให้จัดดาเนนิ การตามแผนภูมิ ดังน้ี

๑๖กระบวนการให้บรกิ าร ผรู้ ับผดิ ชอบ๑. การรวบรวมขอ้ มลู ทวั่ ไปของเด็กพกิ าร  ครกู ารศกึ ษาพเิ ศษ  การสังเกต  พ่อแม่/ผปู้ กครอง  การสมั ภาษณ์  การศกึ ษาเอกสารท่เี กยี่ วขอ้ ง  ผูเ้ กี่ยวข้อง เช่น ชุมชน นกั วิชาชีพ๒. การคดั กรองประเภทความพกิ ารทางการศกึ ษา /สง่ ตอ่  ครูการศึกษาพิเศษ  พอ่ แม่/ผู้ปกครอง  แบบทดสอบ  แพทย์  แบบคดั กรอง  นักวิชาชีพ๓. การประเมินความสามารถพนื้ ฐาน  ครกู ารศึกษาพิเศษ  แบบประเมิน / แบบทดสอบ  นักวิชาชพี  พอ่ แม/่ ผูป้ กครอง๔. การจดั ทาแผน  คณะกรรมการจัดทาแผนใหบ้ รกิ าร๔.๑ การจดั ทาแผนให้บริการชว่ ยเหลอื เฉพาะครอบครวั ชว่ ยเหลือเฉพาะครอบครวั๔.๒ การจัดทาแผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบุคคล  คณะกรรมการจดั ทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบคุ คล๕. การให้บริการด้วยการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมในการสง่ เสรมิ  พ่อแม่/ผปู้ กครอง ทกั ษะกลา้ มเนอ้ื มดั ใหญ่ ทักษะกลา้ มเน้อื มัดเล็ก  ครูการศึกษาพเิ ศษ/ศนู ย์การศึกษาพิเศษ ทกั ษะการช่วยเหลือตนเองในชีวติ ประจาวนั  ชุมชน ทกั ษะการรบั ร้แู ละแสดงออกทางภาษา  นักวิชาชพี ทกั ษะทางสงั คม  องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน่ททกั กั ษษะะจทาาเปงสน็ ตเฉิปพัญาญะคาหวารมือพกากิ ราเรตหรรียือมทคักวษามะพจารเ้อปมน็ ทอาื่นงๆวิชาการ  ชมุ ชน กิจกรรมพฒั นาเดก็ การช่วยเหลือครอบครวั  พอ่ แม่/ผปู้ กครอง การปรับสภาพแวดล้อมในชมุ ชน  ครกู ารศกึ ษาพิเศษ การร่วมกจิ กรรมในชุมชน  นักสหวชิ าชพี๖. การประเมินความกา้ วหน้า การสังเกตพฤติกรรมเด็ก การสมั ภาษณ์ แฟม้ ผลงานเดก็ การเขยี นบันทึกเก่ยี วกบั ตัวเดก็ การทดสอบ การประเมนิ พัฒนาการ๗. การนิเทศ ติดตาม ประเมนิ ผล และการส่งตอ่  ครูการศกึ ษาพิเศษ แบบประเมิน แบบทดสอบ รายงานผลการพฒั นา  นกั วิชาชพี  พ่อแม/่ ผู้ปกครองแผนภาพท่ี ๑.๒ แสดงกระบวนการใหบ้ ริการชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่มทีบ่ ้านและชมุ ชน

๑๗ ข้ันตอนการดาเนินงานการให้บรกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเรม่ิ สาหรบั เด็กทม่ี ีความตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษที่บา้ นและชุมชน มขี ั้นตอนในการดาเนินการ ดงั นี้ ๑) การเก็บรวบรวมข้อมลู ท่ัวไปของเดก็ ที่มคี วามต้องการจาเป็นพิเศษ การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นการดาเนินการที่บ้านและชุมชนที่เด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษอาศัยอยู่ การเก็บข้อมูล ดาเนินการได้หลายวิธีเช่นเดียวกับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษที่มารับบริการท่ีศูนย์การศึกษาพิเศษ ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ปกครองและการสนับสนุนจากศูนย์การศึกษาพิเศษ อย่างไรก็ตามในขั้นตอนน้ีหากการทางานร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและศูนย์การศึกษาพิเศษได้ข้อมูลไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อการวางแผนการจัดบริการในขั้นต่อๆไป ฉะนั้นจึงต้องศึกษาวิธีการและรายละเอียดจากการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมในศูนย์และนามาประยุกต์ใช้ ๒) การคดั กรองประเภทความพกิ ารทางการศึกษาหรือการสง่ ต่อ การคัดกรองประเภทความพกิ าร ให้ดาเนนิ การเหมือนกับเด็กท่มี ีความต้องการจาเป็นพเิ ศษทม่ี ารับบริการชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่มในศูนย์การศึกษาพเิ ศษ ๓) การประเมนิ ความสามารถพ้ืนฐาน การประเมินความสามารถพ้ืนฐานของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษโดยครูให้ใช้หลักการและวิธีการเดียวกับการประเมินความสามารถพื้นฐานเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษมารับบริการในศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ แต่สาหรบั ผ้ปู กครองใหใ้ ช้วิธกี ารสังเกตตามสภาพจรงิ โดยใช้แบบประเมินความสามารถพืน้ ฐานสาหรบั ผปู้ กครอง การประเมินความต้องการของผู้ปกครองให้ใช้แบบสัมภาษณ์ ที่พัฒ นาขึ้นซึง่ ประกอบด้วย ๑) สภาพครอบครัว ๒) จุดเด่นของครอบครวั ท่ีเอ้ือต่อการพฒั นาคนพิการ ๓) จุดด้อยของครอบครัวทีเ่ ป็นอปุ สรรคต่อการพฒั นาคนพิการ ๔) ความต้องการสาหรบั ครอบครัว ข้อมูลทีได้จากการสัมภาษณ์จะนาไปใชใ้ นการจดั ทาแผนการให้บรกิ ารช่วยเหลอื เฉพาะครอบครัวต่อไป ๔) การจัดทาแผนให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว (Individualized FamilyService Plan : IFSP) คณะกรรมการจัดทาแผนให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัวจะร่วมดาเนินการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดท่ีได้มาตั้งแต่ ข้ันตอนท่ี ๑ จนถึง ขั้นตอนที่ ๓ หลังจากนั้นรว่ มกันวางแผนการให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวและเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ โดยนาความต้องการการช่วยเหลือของครอบครัวมาจัดลาดบั ความสาคัญ ท่ีจะทาให้ผู้ปกครองมีความรคู้ วามเข้าใจสามารถดูแลบุตรหลานของตนเอง เพื่อนามากาหนดเป้าหมาย และกิจกรรมการให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษอายุแรกเกิดถึง ๖ ปี ให้นาข้อมูลความต้องการจาเป็นมาจัดลาดับความสาคัญ โดยความเห็นชอบของผู้ปกครอง เพ่ือกาหนดเป้าหมายการพัฒนา ดังนั้น ความต้องการของครอบครัว และความต้องการจาเป็นของเด็กในแผนการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มจงึ ตอ้ งมคี วามสมั พันธ์ต่อเนื่องกัน ๕) การใหบ้ รกิ ารดว้ ยกจิ กรรมทเี่ หมาะสม ผู้ปกครองจะให้บริการด้วยกิจกรรมต่างๆแก่เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษโดยตรง ตามแผนการให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว ส่วนครูและศูนย์การศึกษาพิเศษจะให้บริการทั้งโดยอ้อมและโดยตรง ในการให้การช่วยเหลือโดยอ้อม ครูจะมีหน้าท่ีประสานงานกับผู้เก่ียวข้อง หน่วยงาน และชุมชน รวมถึงการส่งต่อในการให้การช่วยเหลือและสนับสนุนครอบครัวใน

๑๘การจัดบริการ ส่วนการใหบ้ ริการโดยตรง ได้แก่ การให้ความรู้ การสนับสนนุ ส่ือ ส่ิงอานวยความสะดวกทุนการศกึ ษา การปรบั สภาพแวดลอ้ มบ้าน เป็นตน้ ๖) การประเมินความกา้ วหน้า ครูและผู้ปกครอง จะช่วยกันประเมินความก้าวหน้า โดยครูใช้วิธีการเดียวกับการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มแก่เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษในศูนย์ โดยใช้แบบประเมินความก้าวหน้าการให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว ด้านเด็ก ด้านผู้ให้บริการ/ครอบครัว ด้านสง่ิ แวดล้อมและชุมชน แตผ่ ู้ปกครองสามารถใช้การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในกิจกรรมต่างๆที่ได้จดั ขึ้นท่ีบ้านและในชุมชน ๗) การนิเทศ ตดิ ตาม ประเมินผลและการสง่ ต่อ ศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษจะให้การชว่ ยเหลอื แนะนาแกพ่ ่อแม่ ผ้ปู กครองในการจดั บรกิ ารในด้านการจัดกิจกรรม การปรับสภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการพัฒนาและการใช้ส่ือ ส่ิงอานวยความสะดวก พร้อมท้ังติดตามการได้รับบริการต่างๆท่ีประสานงาน เพื่อให้ครอบครัวได้รับการช่วยเหลือสาหรับการประเมินผลให้ครูและผู้ปกครองร่วมกันประเมินผล โดยใช้แบบประเมินความก้าวหน้าการให้บรกิ ารชว่ ยเหลือเฉพาะครอบครัว เปรียบเทยี บก่อนและหลังการพัฒนา กล่าวโดยสรุปว่า การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มท่ีมีประสิทธิภาพและคุณภาพจะต้องมีการประเมินตามความต้องการจาเป็นพิเศษของเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษและความต้องการของครอบครัว เพ่ือให้เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษได้รับการดูแล และประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากพ่อ แม่ ครอบครัว ครู คณะสหวิชาชีพ และผู้เกี่ยวข้อง ภายใต้สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมทั้งทบ่ี า้ นและศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ

บทท่ี ๒ หลกั สตู รสำหรับเดก็ ทีม่ ีควำมตอ้ งกำรจำเป็นพเิ ศษระยะแรกเริ่ม ของศนู ยก์ ำรศึกษำพิเศษ๑. สำระสำคญั หลกั สูตรสำหรบั เด็กท่ีมีควำมตอ้ งกำรจำเป็นพเิ ศษระยะแรกเริม่ ของศนู ย์กำรศกึ ษำพิเศษฉบบั ปรับปรุง พุทธศักรำช ๒๕๕๘ มีองค์ประกอบทสี่ ำคญั ดังน้ี ๑.๑ หลักกำร หลักสูตรสำหรับเด็กท่ีมีควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษระยะแรกเริ่มของศูนย์กำรศึกษำพิเศษ ฉบบั ปรับปรงุ พทุ ธศักรำช ๒๕๕๘ มหี ลกั กำรสำคญั ดังนี้ ๑.๑.๑ จดั กำรศึกษำโดยยดึ ผู้เรยี นเป็นสำคญั ๑.๑.๒ พัฒนำเด็กที่มีควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษโดยองค์รวมด้วยรูปแบบและกระบวนกำรท่ีหลำกหลำยผ่ำนกิจกรรมที่เหมำะสมกับวัยและพัฒนำกำร โดยใช้แผนให้บริกำรช่วยเหลือเฉพำะครอบครัว แผนกำรจัดกำรศึกษำเฉพำะบุคคล กำหนดแนวทำงกำรจัดกำรศึกษำที่สอดคล้องกับควำมต้องกำรจำเปน็ พเิ ศษเฉพำะของเด็กพิกำรและครอบครวั ๑.๑.๓ จัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ให้เด็กพิกำรสำมำรถดำรงชีวิตได้เต็มศักยภำพอย่ำงมคี วำมสขุ และมีคณุ ภำพชวี ติ ท่ีดี ๑.๑.๔ เลือกใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยควำมสะดวก สื่อ บริกำร และควำมช่วยเหลืออนื่ ใดทำงกำรศกึ ษำ ใหต้ รงกับควำมตอ้ งกำรจำเป็นพิเศษเฉพำะบุคคล ๑.๑.๕ เน้นกำรมีส่วนร่วมกับครอบครัว คณะสหวิชำชีพ สถำนศึกษำ ชุมชน และผู้เกยี่ วขอ้ ง ในกำรพฒั นำเดก็ พิกำร ๑.๑.๖ ประเมินผลกำรเรียนรู้อย่ำงต่อเน่ืองและนำผลกำรประเมินมำใช้ในกำรปรับและทบทวนแผนเพื่อพฒั นำเดก็ พิกำร ๑.๒ จุดหมำย มุ่งพัฒนำเด็กพิกำรต้ังแต่แรกเกิดหรือพบควำมพิกำรให้สำมำรถพัฒนำได้เทียบเท่ำหรือใกล้เคียงกับเด็กท่ัวไปในวัยเดียวกัน และส่งเสริมครอบครัวให้สำมำรถเลี้ยงดูพัฒนำเด็กพิกำรเพ่อื ให้เด็กพิกำรไดร้ ับกำรพฒั นำตำมที่กำหนดในแผนกำรจัดกำรศกึ ษำเฉพำะบุคคลและแผนใหบ้ ริกำรชว่ ยเหลือเฉพำะครอบครัว ใหม้ ศี ักยภำพพ่ึงพำตนเองได้ และมีคณุ ภำพชีวิตท่ีดีเต็มศักยภำพของแต่ละบุคคล ๑.๓ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ หลักสูตรสำหรับเด็กท่ีมีควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษระยะแรกเริ่มของศูนย์กำรศึกษำพเิ ศษฉบับปรบั ปรงุ พทุ ธศักรำช ๒๕๕๘ ไดก้ ำหนดคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ดังนี้

๒๐ ๑.๓.๑ ร่ำงกำยเจริญเติมโตและมีสุขนสิ ยั ท่ีดี ๑.๓.๒ กลำ้ มเน้อื มดั ใหญแ่ ละกลำ้ มเน้อื มดั เล็กแข็งแรงและใช้ไดอ้ ยำ่ งสัมพันธก์ ัน ๑.๓.๓ ร่ำเรงิ แจ่มใส มคี วำมสขุ และมคี วำมรสู้ ึกท่ดี ตี ่อตนเองและผู้อืน่ ๑.๓.๔ มีคณุ ธรรม จริยธรรม มีวนิ ยั ในตนเอง และมีควำมรับผดิ ชอบ ๑.๓.๕ ชว่ ยเหลือตนเองได้เต็มศกั ยภำพ ๑.๓.๖ สนใจต่อกำรเรียนร้สู ง่ิ ตำ่ งๆ รอบตวั ๑.๓.๗ เล่นและทำกิจกรรมร่วมกับผอู้ ื่นได้ ๑.๓.๘ สื่อสำรดว้ ยภำษำหรือวิธกี ำรอื่นได้ ๑.๓.๙ มีควำมสำมำรถในกำรคดิ และแก้ปัญหำได้เต็มศักยภำพ ๑.๓.๑๐ มีควำมสำมำรถในกำรดำรงชวี ติ ประจำวนั ได้เตม็ ศักยภำพ ๑.๔ โครงสร้ำงหลกั สตู ร กำรพัฒนำศักยภำพเด็กพิกำร ตำมหลักสูตรสำหรับเด็กที่มีควำมต้องกำรจำเป็นพิเศษระยะแรกเริ่มของศูนย์กำรศึกษำพิเศษ ฉบับปรับปรุง พุทธศักรำช ๒๕๕๘ จำเป็นต้องคำนึงถึงโครงสรำ้ งหลกั สูตร ดังนี้

๒๑ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์๑. ร่างกายเจรญิ เติบโตและมสี ุขนสิ ยั ท่ดี ี ๖. สนใจต่อการเรยี นรสู้ ่งิ ต่างๆ รอบตวั๒. กล้ามเนอ้ื มดั ใหญ่และกล้ามเนอ้ื มัดเล็กแขง็ แรงและใชไ้ ด้ ๗. เล่นและทากิจกรรมรว่ มกบั ผอู้ น่ื ได้อยา่ งสมั พนั ธก์ ัน ๘. สื่อสารดว้ ยภาษาหรอื วิธีการอนื่ ได้๓. รา่ เริง แจ่มใส มคี วามสขุ และมคี วามรสู้ กึ ทดี่ ีตอ่ ตนเอง ๙. มคี วามสามารถในการคดิ และการแกป้ ญั หาไดเ้ ต็มและผอู้ ่ืน ศกั ยภาพ๔. มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม มวี นิ ัยในตนเองและมคี วามรับผดิ ชอบ ๑๐. มคี วามสามารถในการดารงชวี ิตประจาวนั ไดเ้ ตม็๕. ชว่ ยเหลอื ตนเองไดเ้ ตม็ ศกั ยภาพ ศกั ยภาพ ทกั ษะกำรเรียนรู้ กลมุ่ ทักษะพน้ื ฐำน กลุ่มทักษะจำเปน็ เฉพำะควำมพกิ ำรหรอื ทกั ษะจำเป็นอ่นื ๆ- กลุ่มทกั ษะกลำ้ มเน้ือมดั ใหญ่ - กล่มุ ทักษะจำเปน็ เฉพำะสำหรับเด็กที่มีควำมบกพร่องทำงกำรเหน็- กลมุ่ ทักษะกลำ้ มเนอ้ื มัดเล็ก - กลุม่ ทกั ษะจำเปน็ เฉพำะสำหรับเดก็ ทม่ี ีควำมบกพร่องทำงกำรได้- กลมุ่ ทักษะกำรช่วยเหลอื ตนเองใน ยนิ ชวี ิตประจำวนั - กลมุ่ ทกั ษะจำเป็นเฉพำะสำหรบั เด็กที่มีควำมบกพร่องทำง- กลุ่มทกั ษะกำรรบั รู้และแสดงออกทำง สตปิ ญั ญำ ภำษำ - กลุ่มทักษะจำเป็นเฉพำะสำหรบั เดก็ ทม่ี ีควำมบกพรอ่ งทำงร่ำงกำย- กลุ่มทักษะทำงสังคม หรือกำรเคลื่อนไหวหรอื สุขภำพ- กลมุ่ ทกั ษะทำงสตปิ ญั ญำหรอื กำรเตรียม - กลมุ่ ทกั ษะจำเปน็ เฉพำะสำหรับเดก็ ทีม่ ีควำมบกพรอ่ งทำงกำร ควำมพรอ้ มทำงวชิ ำกำร เรียนรู้ - กลมุ่ ทักษะจำเปน็ เฉพำะสำหรบั เด็กที่มคี วำมบกพรอ่ งทำงกำรพูด และภำษำ - กลมุ่ ทักษะจำเปน็ เฉพำะสำหรับเดก็ ทมี่ คี วำมบกพร่องทำง พฤติกรรมหรอื อำรมณ์ - กลุ่มทักษะจำเปน็ เฉพำะสำหรบั เด็กออทิสตกิ - กลุ่มทักษะจำเปน็ เฉพำะสำหรบั เดก็ พิกำรซอ้ นเวลำเรียน ตำมอำยจุ ริงตัง้ แตแ่ รกเกดิ ถงึ ๖ ปี และยดื หยุ่นตำมควำมพร้อม พฒั นำกำรและศักยภำพของเดก็ พกิ ำร ตำมประเภทและสภำพควำมพกิ ำรของแตล่ ะบคุ คล ถงึ ๘ ปี กิจกรรมพฒั นำผเู้ รยี น กจิ กรรมนันทนำกำร กิจกรรมคุณธรรม กจิ กรรมทศั นศึกษำ กิจกรรมบริกำรเทคโนโลยสี ำรสนเทศและกำรสือ่ สำร กิจกรรมเสรมิ ทักษะ กจิ กรรมอ่ืนๆตำมควำมเหมำะสม ฯลฯแผนภำพท่ี ๒.๑ โครงสร้ำงหลักสตู ร

๒๒ ๑.๕ ทกั ษะกำรเรียนรู้ ประกอบด้วย ๒ สว่ น คือกลมุ่ ทกั ษะพนื้ ฐำนและกลุ่มทักษะจำเป็นเฉพำะควำมพิกำรหรือทกั ษะจำเป็นอนื่ ๆ (รำยละเอียดหน้ำ ๒๒) ๑.๖ กิจกรรมพัฒนำผู้เรียน เป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนำศักยภำพตำมประเภทและสภำพควำมพิกำร ตำมบริบทหรือควำมพร้อมของศูนย์กำรศึกษำพิเศษ ท้ังนี้สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพื้นฐำน กำหนดขอบข่ำยกิจกรรมพัฒนำผู้เรียน ซ่ึงศูนย์กำรศึกษำพิเศษสำมำรถนำมำปรับใช้และดำเนินกำรในรูปแบบกิจกรรม โครงกำร หรือกำรบูรณำกำรกจิ กรรม ดังสำระสำคญั ต่อไปน้ี ๑.๖.๑ กิจกรรมนันทนำกำร เป็นกิจกรรมที่ศูนย์กำรศึกษำพิเศษ จัดเพิ่มเติมจำกกิจกรรมกำรพฒั นำศักยภำพเด็กพิกำรตำมทีร่ ะบุไว้ในแผนกำรจดั กำรศึกษำเฉพำะบุคคล เชน่ กจิ กรรมดนตรี กิจกรรมศิลปะ กิจกรรมกีฬำ เป็นต้น ส่วนกำรให้บริกำรช่วยเหลือเฉพำะครอบครัว อำจจัดกิจกรรมตำมควำมสนใจของเด็กและสภำพควำมพิกำรภำยใต้บริบทของครอบครัว เช่น กำรฟังเพลงจำกวทิ ยุ จำกโทรทัศน์ ร่วมงำนนนั ทนำกำรในชมุ ชน เปน็ ต้น ๑.๖.๒ กิจกรรมคุณธรรม เป็นกิจกรรมส่งเสริมให้เด็กพิกำรมีคุณธรรม จริยธรรมค่ำนิยมที่ดีงำม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เช่น กิจกรรมทำงศำสนำวัฒนธรรมและประเพณี กิจกรรมทำงวชิ ำกำร กจิ กรรมทำงสังคม กิจกรรมกำรรกั ษำธรรมชำติและสิ่งแวดลอ้ ม กจิ กรรมสง่ เสรมิ คุณธรรมจริยธรรมและจิตสำธำรณะ เป็นต้น ส่วนกำรให้บริกำรช่วยเหลือเฉพำะครอบครัว อำจมีกำรจัดกิจกรรมตำมควำมสนใจของเด็กและสภำพควำมพิกำรภำยใต้บริบทของครอบครัว เช่น กำรสวดมนต์ฟงั หรือดนู ทิ ำนธรรมะ เปน็ ตน้ ๑.๖.๓ กิจกรรมทัศนศึกษำ เป็นกิจกรรมส่งเสริมกำรเรียนรู้สภำพแวดล้อมทำงภูมิศำสตร์และประวัติศำสตร์ของชุมชน ท้องถ่ิน ชำติและกลุ่มประเทศอำเซียน และทัศนศึกษำตำมแหล่งเรียนรู้ต่ำงๆ เพื่อเสริมสร้ำงประสบกำรณ์ตรงให้กับเด็กพิกำรเพ่ิมเติมจำกท่ีระบุไว้ในแผนกำรจัดกำรศึกษำเฉพำะบุคคล เช่น ทัศนศึกษำแหล่งเรียนรู้ในชุมชน กิจกรรมกระเตงน้องท่องสวนสัตว์เป็นต้น ส่วนกำรให้บริกำรช่วยเหลือเฉพำะครอบครัว อำจมีกำรจัดกิจกรรมตำมควำมสนใจของเด็กและสภำพควำมพิกำรภำยใต้บริบทของครอบครัว เช่น ดูภำพสถำนที่ท่องเท่ียวจำกหนังสือจำกรำยกำรโทรทัศน์ เปน็ ต้น ๑.๖.๔ กิจกรรมบริกำรเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรส่ือสำร เป็นกิจกรรมกำรให้บริกำรแก่เด็ก หรือผู้ปกครอง เช่น กำรให้บริกำรสืบค้นข้อมูลผ่ำนระบบอินเตอร์เน็ตกำรให้บริกำรคอมพิวเตอร์ในกำรจัดทำส่ือ กำรบริกำรสืบค้นผลงำนของศูนย์กำรศึกษำพิเศษผ่ำนคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ส่วนกำรให้บริกำรช่วยเหลือเฉพำะครอบครัว อำจมีกำรจัดกิจกรรมตำมควำมสนใจของเดก็ และสภำพควำมพิกำรภำยใตบ้ ริบทของครอบครัว ๑.๖.๕ กจิ กรรมเสรมิ ทักษะ เป็นกิจกรรมทีม่ ีเปำ้ หมำยเพื่อป้องกนั แก้ไข ฟน้ื ฟูควำมเส่ือมสภำพของร่ำงกำย จิตใจ อำรมณ์ สังคมและสติปัญญำ ส่งเสริมกำรมีปฏิสมั พันธ์ทำงบวก เพ่ือลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ได้แก่ บริกำรสอนเสริม กิจกรรมทำงวิชำกำร กิจกรรมบำบัด กำยภำพบำบัดอรรถบำบัด จิตวิทยำ ธำรำบำบัดอำชำบำบัด ช้ำงบำบัด กระบือบำบัด สัตว์เลี้ยงบำบัด(Pet Therapy) ได้แก่ กระตำ่ ยบำบดั ปลำบำบัด แมวบำบดั สุนขั บำบดั เป็นต้น ๑.๖.๖ กิจกรรมอ่นื ๆ ตำมควำมเหมำะสม

๒๓ ๑.๗ เวลำเรียน ให้ใช้เวลำเรียนท่ีสอดคล้องกับอำยจุ ริงของเดก็ พิกำร คืออำยุตั้งแต่แรกเกิดถึง ๖ ปี โดยกำรจัดโปรแกรมของเด็กพิกำรแต่ละบุคคลให้ข้ึนอยู่กับควำมพร้อม พัฒนำกำรและศักยภำพ ตำมประเภทและสภำพควำมพิกำรของแต่ละบุคคล ในกรณีเด็กพิกำรอำยุเกิน ๖ ปี และสถำนศึกษำพิจำรณำว่ำ ควรจะได้รับกำรพัฒนำด้ำนพัฒนำกำรต่อเนื่อง เพื่อให้มีควำมพร้อมสำหรับกำรจัดช่วงเชอ่ื มต่อ กส็ ำมำรถยืดหยุ่นเวลำเรียนไดจ้ นถงึ อำยจุ ริง ๘ ปี สำหรับเด็กพิกำรที่อำยเุ กิน ๘ ปีศูนย์กำรศึกษำพิเศษควรจะจัดหลักสูตรที่มุ่งพัฒนำ ให้ผู้เรียนสำมำรถดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนตำมเปำ้ หมำยทผี่ ้ปู กครองและผเู้ ก่ยี วขอ้ ง ได้ร่วมกนั วำงแผนเพอ่ื ให้ผู้เรยี นไดด้ ำรงชีวิตในสงั คมตอ่ ไป ๑.๘ กลุ่มเป้ำหมำย กลุ่มเป้ำหมำยตำมหลักสูตรกำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสำหรับเด็กพิกำรศูนย์กำรศึกษำพิเศษ ฉบับปรังปรุง พุทธศักรำช ๒๕๕๘ ตำมประกำศกระทรวงศึกษำธิกำร เรื่องกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพกิ ำรทำงกำรศกึ ษำ พ.ศ. ๒๕๕๒ ดงั ต่อไปนี้ ๑) บุคคลที่มีควำมบกพร่องทำงกำรเห็น ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียกำรเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงตำบอดสนทิ ซึง่ แบง่ เป็น ๒ ประเภทดงั นี้ ๑.๑) คนตำบอด หมำยถึง บุคคลที่สูญเสียกำรเห็นมำก จนต้องใช้ส่ือสัมผัสและส่ือเสียงหำกตรวจวัดควำมชัดของสำยตำข้ำงดีเม่ือแก้ไขแล้ว อยู่ในระดับ ๖ ส่วน ๖๐ (๖/๖๐) หรือ๒๐ สว่ น ๒๐๐(๒๐/๒๐๐) จนถงึ ไม่สำมำรถรบั รเู้ ร่อื งแสง ๑.๒) คนเห็นเลือนรำง หมำยถึง บุคคลท่ีสูญเสียกำรเห็น แต่ยังสำมำรถอ่ำนอกั ษรตวั พิมพข์ ยำยใหญด่ ว้ ยอปุ กรณเ์ คร่ืองช่วยควำมพิกำร หรือเทคโนโลยสี ่ิงอำนวยควำมสะดวก หำกวัดควำมชัดเจนของสำยตำข้ำงดีเม่ือแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ ๖ ส่วน ๑๘ (๖/๑๘) หรือ ๒๐ ส่วน ๗๐(๒๐/๗๐) ๒) บุคคลที่มีควำมบกพร่องทำงกำรได้ยิน ได้แก่ บุคคลท่ีสูญเสียกำรได้ยินตั้งแต่ระดบั หูตึงน้อยจนถึงหหู นวก ซ่งึ แบ่งเป็น ๒ ประเภท ดงั น้ี ๒.๑) คนหูหนวก หมำยถึง บุคคลท่ีสูญเสียกำรได้ยินมำกจนไม่สำมำรถเข้ำใจกำรพูดผ่ำนทำงกำรได้ยินไม่ว่ำจะใส่หรือไม่ใส่เคร่ืองช่วยฟัง ซ่ึงโดยทั่วไปหำกตรวจกำรได้ยินจะมีกำรสูญเสยี กำรไดย้ ิน ๙๐ เดซเิ บลข้นึ ไป ๒.๒) คนหูตึง หมำยถึง บุคคลที่มีกำรได้ยินเหลืออยู่เพียงพอท่ีจะได้ยินกำรพูดผ่ำนทำงกำรได้ยิน โดยท่ัวไปจะใส่เคร่ืองช่วยฟัง ซ่ึงหำกตรวจวัดกำรได้ยินจะมีกำรสูญเสียกำรไดย้ ินน้อยกว่ำ ๙๐ เดซิเบลลงมำถงึ ๒๖ เดซิเบล ๓) บคุ คลทมี่ ีควำมบกพรอ่ งทำงสตปิ ัญญำ ไดแ้ ก่ บคุ คลท่ีมีควำมจำกดั อยำ่ งชัดเจนในกำรปฏิบัติตนในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะเฉพำะ คือ ควำมสำมำรถทำงสติปัญญำต่ำกว่ำเกณฑ์เฉล่ียอยำ่ งมีนยั สำคญั ร่วมกับควำมจำกัดของทักษะกำรปรับตวั อีกอย่ำงนอ้ ย ๒ ทักษะจำก ๑๐ ทกั ษะ ได้แก่กำรส่อื ควำมหมำย กำรดูแลตนเอง กำรดำรงชีวิตภำยในบ้ำนทักษะทำงสงั คม/กำรมปี ฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นกำรรู้จักใช้ทรัพยำกรในชุมชน กำรรู้จักดูแลควบคุมตนเอง กำรนำควำมรู้มำใช้ในชีวิตประจำวันกำรทำงำน กำรใช้เวลำว่ำง กำรรักษำสุขภำพอนำมัยและควำมปลอดภัย ท้ังนี้ได้แสดงอำกำรดังกล่ำวก่อนอำยุ ๑๘ ปี

๒๔ ๔) บุคคลท่ีมีควำมบกพร่องทำงร่ำงกำยหรือกำรเคล่ือนไหวหรือสุขภำพซง่ึ แบง่ เปน็ ๒ ประเภทดงั น้ี ๔.๑) บุคคลท่มี คี วำมบกพร่องทำงร่ำงกำยหรือกำรเคลื่อนไหว ไดแ้ ก่ บุคคลที่มีอวัยวะไม่สมส่วนหรือขำดหำยไป กระดูกหรือกล้ำมเน้ือผิดปกติ มีอุปสรรคในกำรเคล่ือนไหวควำมบกพร่องดังกล่ำวอำจเกิดจำกโรคทำงระบบประสำท โรคของระบบกล้ำมเน้ือและกระดูก กำรไม่สมประกอบ มำแต่กำเนิด อุบัติเหตแุ ละโรคตดิ ตอ่ ๔.๒) บุคคลท่ีมคี วำมบกพร่องทำงสุขภำพ ได้แก่ บุคคลท่ีมคี วำมเจ็บปว่ ยเรอื้ รังหรือมีโรคประจำตัวซ่ึงจำเป็นตอ้ งได้รับกำรรกั ษำอย่ำงต่อเนื่อง และเป็นอุปสรรคต่อกำรศึกษำ ซึ่งมีผลทำใหเ้ กิดควำมจำเป็นตอ้ งไดร้ ับกำรศึกษำพิเศษ ๕) บุคคลที่มีควำมบกพร่องทำงกำรเรียนรู้ ได้แก่ บุคคลท่ีมีควำมผิดปกติในกำรทำงำนของสมองบำงส่วนที่แสดงถึงควำมบกพร่องในกระบวนกำรเรียนรู้ที่อำจเกิดข้ึนเฉพำะควำมสำมำรถด้ำนใดด้ำนหน่ึงหรือหลำยด้ำน คือ กำรอ่ำน กำรเขียน กำรคิดคำนวณ ซ่ึงไม่สำมำรถเรียนรู้ในดำ้ นท่ีบกพร่องได้ ทงั้ ที่มีระดบั สติปัญญำปกติ ๖) บุคคลท่ีมีควำมบกพร่องทำงกำรพูดและภำษำ ได้แก่ บุคคลที่มีควำมบกพร่องในกำรเปล่งเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตรำควำมเร็วและจังหวะกำรพูดผิดปกติ หรือบุคคลที่มีควำมบกพร่องในเรื่องควำมเข้ำใจหรือกำรใช้ภำษำพูด กำรเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในกำรตดิ ตอ่ ส่อื สำร ซึ่งอำจเก่ียวกบั รปู แบบ เน้ือหำและหนำ้ ทข่ี องภำษำ ๗) บุคคลที่มคี วำมบกพร่องทำงพฤติกรรมหรืออำรมณ์ ได้แก่ บุคคลท่ีมีพฤติกรรมเบ่ียงเบนไปจำกปกติเป็นอย่ำงมำก และปัญหำทำงพฤติกรรมน้ันเป็นไปอย่ำงต่อเน่ือง ซ่ึงเป็นผลจำกควำมบกพรอ่ งหรอื ควำมผดิ ปกติทำงจิตใจหรอื สมองในส่วนของกำรรับรู้ อำรมณ์หรอื ควำมคดิ เชน่ โรคจิตเภท โรคซึมเศร้ำ โรคสมองเส่ือม เปน็ ต้น ๘) บุคคลออทิสติก ได้แก่ บุคคลท่ีมีควำมผิดปกติของระบบกำรทำงำนของสมองบำงส่วนซ่ึงส่งผลต่อควำมบกพร่องทำงพัฒนำกำรด้ำนภำษำ ด้ำนสังคมและกำรปฏิสัมพันธ์ทำงสังคมและมีข้อจำกัดด้ำนพฤติกรรม หรือมีควำมสนใจจำกัดเฉพำะเร่ืองใดเรื่องหน่ึง โดยควำมผิดปกตินั้นค้นพบไดก้ ่อนอำยุ ๓๐ เดอื น ๙) บคุ คลพกิ ำรซอ้ น ไดแ้ ก่ บคุ คลท่ีมีสภำพควำมบกพรอ่ งหรือควำมพิกำรมำกกว่ำหนง่ึ ประเภทในบคุ คลเดียวกัน๒. ทักษะกำรเรียนรู้ ทักษะกำรเรียนรู้ตำมหลักสูตรกำรให้บริกำรช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม จำแนกเป็นกลุ่มทักษะพื้นฐำนและกลุ่มทกั ษะจำเป็นเฉพำะควำมพิกำร ดังมีรำยละเอียดต่อไปนี้ ๒.๑ กลุ่มทักษะพื้นฐำน เป็นทักษะท่ีจำเป็นท่ีครอบคลุมพัฒนำกำร ๔ ด้ำนและประสบกำรณส์ ำคัญในกำรพฒั นำเดก็ พิกำรจำแนกเปน็ ๖ กลมุ่ ทักษะ ได้แก่ ๑) กลุ่มทักษะกล้ำมเนื้อมัดใหญ่ เป็นพัฒนำกำรด้ำนกล้ำมเน้ือมัดใหญ่ที่สัมพันธ์กับช่วงอำยุจริงของบุคคลท่ีมุ่งพัฒนำควำมแข็งแรงของกล้ำมเน้ือและกำรใช้งำนตำมบทบำท หน้ำท่ี

๒๕ประกอบด้วย กำรเคล่ือนไหวในท่ำนอน กำรคืบ กำรคลำน กำรน่ัง กำรยืน กำรเดิน กำรว่ิง กำรกระโดด และกำรรับส่งลูกบอล ประกอบด้วยทักษะ ๑) กำรเคล่ือนไหวในท่ำนอน ๒) กำรคืบและกำรคลำน ๓) กำรนัง่ ๔) กำรยนื ๕) กำรเดนิ ๖) กำรวิ่ง ๗) กำรกระโดด ๘) กำรรบั สง่ ลกู บอลตำรำงที่ ๒.๑ แสดงเน้อื หำและพฒั นำกำรที่คำดหวงั ของกลุ่มทกั ษะกล้ำมเนื้อมดั ใหญ่ทกั ษะ ทักษะยอ่ ย พฒั นาการทีค่ าดหวัง๑.การ ๑.๑ การเคลอื่ นไหวใน ๑.๑.๑ สามารถควบคมุ ศรี ษะและลกู ตาตามเป้าหมายเคล่อื นไหวใน ท่านอนหงาย ได้ทา่ นอน ๑.๑.๒ สามารถควบคุมศรี ษะให้อยใู่ นแนวกึ่งกลางได้ ๑.๑.๓ สามารถควบคุมศีรษะเมอื่ ยกลาตวั ขึ้นจากท่า นอนหงายได้ ๑.๑.๔ สามารถเคล่อื นไหวแขนได้ ๑.๑.๕ สามารถเคลอ่ื นไหวขาได้๑.๒ การพลิกตะแคงตวั ๑.๒.๑ สามารถพลกิ ตะแคงซ้าย-ขวาได้ ๑.๒.๒ สามารถพลกิ ตะแคงตัวควา่ และหงายได้๑.๓ การเคลือ่ นไหวใน ๑.๓.๑ สามารถยกศรี ษะไปดา้ นใดด้านหน่ึงขณะนอนท่านอนคว่า ควา่ ได้ ๑.๓.๒ สามารถชนั คอได้๒. การคืบและ ๒.๑ การคบื ๒.๑.๑ สามารถคืบได้การคลาน ๒.๒ การคลาน ๒.๒.๑ สามารถคลานได้๓. การน่ัง ๓.๑ การเปลย่ี นท่านอน ๓.๑.๑ สามารถเปล่ยี นท่านอนตะแคงเป็นนงั่ ได้ตะแคงเป็นนง่ั๓.๒ การนัง่ ทรงตัวอยกู่ บั ๓.๒.๑ สามารถควบคุมศีรษะใหต้ ั้งตรง(ในทา่ นงั่ โดยทบ่ี นพ้ืน(Static ผู้อ่ืนช่วยเหลือ)ได้balance) ๓.๒.๒ สามารถนั่งโดยใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นได้ ๓.๒.๓ สามารถน่ังโดยใช้มอื 1ขา้ งยันพืน้ ได้ ๓.๒.๔ สามารถน่งั ได้อย่างอสิ ระ๓.๓ การนง่ั ทรงตัวบน ๓.๓.๑ สามารถเอื้อมมือหยบิ วัตถุทางด้านหน้าได้ในพนื้ โดยมีการถ่ายน้าหนัก ทา่ น่ัง(Dynamic balance) ๓.๓.๒ สามารถเอ้ือมมือหยิบวตั ถุทางด้านข้างได้ในท่า น่ัง ๓.๓.๓ สามารถเอื้อมมือหยบิ วัตถุจากที่สูงได้ในท่านัง่ ๓.๓.๔ สามารถเอี้ยวตวั ใช้มอื เลน่ อยา่ งอสิ ระในท่าน่ัง ได้

๒๖ ทักษะ ทักษะยอ่ ย พฒั นาการท่คี าดหวงั๔.การยนื ๓.๔ การนง่ั ทรงตัวบน ๓.๔.๑ สามารถนงั่ เกา้ อ้โี ดยมีการชว่ ยเหลอื ได้๕.การเดิน เก้าอี้ (Static balance) ๓.๔.๒ สามารถน่ังเก้าอีไ้ ดอ้ ย่างอสิ ระ ๓.๕ การน่งั ทรงตวั บน ๓.๕.๑ สามารถนง่ั บนเก้าอี้แล้วเอ้อื มมือหยบิ วัตถุ เกา้ อโ้ี ดยมีการถา่ ย ทางดา้ นหน้าได้ น้าหนกั (Dynamic ๓.๕.๒ สามารถนงั่ บนเก้าอแ้ี ล้วเอ้ือมมือหยิบวตั ถุ balance) ทางดา้ นข้างได้ ๓.๕.๓ สามารถนง่ั บนเกา้ อี้แล้วเอื้อมมือหยบิ วตั ถจุ าก ที่สูงได้ ๓.๕.๔ สามารถนง่ั บนเก้าอี้แล้วเอ้ือมมอื หยบิ วตั ถุทอ่ี ยู่ ระดบั ต่าได้ ๓.๕.๕ สามารถนั่งบนเก้าอแี้ ลว้ เอือ้ มมือหยบิ วตั ถุ ทางด้านหลงั ได้ ๓.๕.๖ สามารถเอี้ยวตวั และใช้มือหยิบของเล่นอยา่ ง อิสระในท่าน่งั ได้ ๔.๑ การทรงตัวในทา่ ยนื ๔.๑.๑ สามารถยืนโดยอสิ ระด้วยขาสองขา้ งได้ ๒ ขา ๔.๑.๒ สามารถลกุ ขน้ึ ยนื จากเก้าอ้ีได้ ๔.๑.๓ สามารถลุกขนึ้ ยนื จากพน้ื ได้ ๔.๒ การทรงตัวในท่า ๔.๒.๑ สามารถยืนทรงตัวขาเดียวตามเวลาท่ีกาหนด ยืนขาเดียว ได้ ๕.๑ การเกาะเดิน ๕.๑.๑ สามารถเกาะเดินไปด้านข้างได้ ๕.๒ การเดนิ ด้วยตนเอง ๕.๑.๒ สามารถเกาะเดินไปด้านหน้าได้ ๕.๒.๑ สามารถเดนิ ได้ ๕.๓ การเดนิ ขึน้ -ลง ๕.๒.๒ สามารถเดินขา้ มส่ิงกดี ขวางได้ บันได ๕.๒.๓ สามารถเดนิ ตอ่ ส้นเทา้ ตามระยะทางทกี่ าหนด ได้ ๕.๒.๔ สามารถเดินบนเส้นตรงได้ ๕.๒.๕ สามารถเดินบนคานทรงตัวได้ ๕.๓.๑ สามารถเดินขน้ึ -ลงบนั ไดโดยจบั ราวบันได แบบพกั เท้าได้ ๕.๓.๒ สามารถเดินข้นึ -ลงบันไดโดยจับราวบันได แบบสลบั เท้าได้ ๕.๓.๓ สามารถเดนิ ขนึ้ -ลงบันไดโดยไมจ่ ับราวบันได แบบพักเท้าได้

๒๗ ทักษะ ทกั ษะย่อย พฒั นาการทค่ี าดหวงั๖. การว่ิง ๕.๓.๔ สามารถเดนิ ข้นึ -ลงบันไดโดยไม่จับราวบันได๗. การ แบบสลบั เท้าได้กระโดด ๖.๑ การว่ิงอยกู่ บั ท่ี ๖.๑.๑ สามารถว่งิ อยู่กับที่ได้๘. การรับสง่ลูกบอล ๖.๒ การวิ่งไปข้างหน้า ๖.๒.๑ สามารถวิ่งไปข้างหนา้ ได้ ๖.๓ ว่ิงข้ามส่ิงกดี ขวาง ๖.๓.๑ สามารถวิ่งข้ามสิ่งกีดขวางได้ ๖.๔ ว่ิงหลบหลีกสิง่ กีด ๖.๔.๑ สามารถว่ิงหลบหลกี สง่ิ กดี ขวางได้ ขวาง ๖.๕ วิง่ อย่างมจี ุดหมาย ๖.๕.๑ สามารถวง่ิ อย่างมีเปา้ หมายได้ ๗.๑ การกระโดด ๒ ขา ๗.๑.1 สามารถกระโดดโดยช่วยพยงุ ได้ อยกู่ บั ที่ ๗.๑.๒ สามารถกระโดดเองโดยเท้าทงั้ สองลอยจากพ้ืน ได้ ๗.๑.๓ สามารถกระโดดสองขาอยกู่ ับท่ีได้อย่าง ตอ่ เนอื่ ง ๗.๒ กระโดด ๒ ขาไปใน ๗.๒.๑ สามารถกระโดดไปด้านหนา้ โดยช่วยพยุงได้ ทิศทางตา่ ง ๆ ๗.๒.๒ สามารถกระโดดไปด้านหน้าได้ ๗.๒.๓ สามารถกระโดดไปด้านข้างได้ ๗.๒.๔ สามารถกระโดดถอยหลงั ได้ ๗.๒.๕ สามารถกระโดดจากที่สงู ลงพ้ืนท่ีตา่ กวา่ ได้ ๗.๒.๖ สามารถกระโดดจากท่ีต่าขน้ึ สู่ทส่ี ูงได้ ๗.๒.๗ สามารถกระโดดขา้ มส่ิงกีดขวางได้ ๗.๓ กระโดดขาเดียว ๗.๓.๑ สามารถกระโดดขาเดียวอยู่กบั ท่ีได้ ๗.๓.๒ สามารถกระโดดขาเดียวไปในทศิ ทางตา่ งๆ ได้ ตดิ ตอ่ กัน ๘.๑ การส่งลกู บอล ๘.๑.๑ สามารถกลิ้งลกู บอลขณะอย่ใู นท่านั่งได้ ๘.๑.๒ สามารถโยนลูกบอลได้ ๘.๒ การรับลูกบอล ๘.๒.๑ สามารถรบั ลูกบอลได้ ๒) กลุ่มทักษะกล้ำมเน้ือมัดเล็ก เป็นพัฒนำกำรด้ำนกล้ำมเน้ือมัดเล็กที่สัมพันธ์กับช่วงอำยุจริงของบุคคลที่มุ่งพัฒนำให้แข็งแรงและใช้งำนได้อย่ำงประสำนสัมพันธ์กัน ประกอบด้วยกำรมอง กำรใชม้ อื ในกำรทำกจิ กรรม กำรประสำนสมั พนั ธ์ระหว่ำงตำกบั มือ และกำรเคล่อื นไหวอวัยวะทใี่ ชใ้ นกำรพดู ประกอบดว้ ยทักษะ ๑) กำรมอง ๒) กำรใช้มือ ๓) กำรประสำนสัมพนั ธ์ระหว่ำงตำกับมือ๔) กำรเคลอ่ื นไหวอวยั วะท่ใี ช้ในกำรพูด

๒๘ตำรำงท่ี ๒.๒ แสดงเนอื้ หำและพัฒนำกำรท่ีคำดหวงั ของกลุ่มทกั ษะกล้ำมเนื้อมดั เลก็ ทักษะ ทักษะยอ่ ย พฒั นาการที่คาดหวงั๑.การมอง ๑.๑ การมองสบตา ๑.๑.๑ สามารถสบตากับผู้อื่นทอ่ี ยตู่ รงหนา้ ได้ตาม เวลาทก่ี าหนด ๑.๒ การจ้องมองวัตถุ ๑.๒.๑ สามารถจอ้ งมองสง่ิ ของที่อยูต่ รงหน้าไดต้ าม เวลาท่ีกาหนด๒. การใช้มือ ๑.๓ การมองตามวัตถุ ๑.๒.๒ สามารถจอ้ งมองวตั ถุที่อยทู่ างด้านซา้ ยและ หรอื สิง่ ของ ด้านขวาของผ้เู รยี นได้ ๒.๑ การเอ้อื มมอื ๑.๒.๓ สามารถจอ้ งมองวตั ถุที่อยดู่ า้ นบนและดา้ นล่าง ได้ ๒.๒ การใชม้ อื กาหรือ ๑.๓.๑ สามารถมองตามวัตถุหรือส่งิ ของทเี่ คล่ือนท่ีได้ จบั ๑.๓.๒ สามารถมองหาเมื่อส่ิงของหายไปจากสายตาได้ ๒.๑.๑ สามารถเอ้ือมมือออกไปในทศิ ทางต่าง ๆ ได้ วตั ถุ ๒.๑.๒ สามารถเอื้อมมือออกไปจับวัตถุได้ ๒.๒.๑ สามารถกาหรือจบั วัตถไุ ด้ ๒.๓ การใชน้ ว้ิ มอื ๒.๒.๒ สามารถกาและตอก หรอื ทบุ วตั ถุได้๓. การ ๓.๑ การใส่วตั ถุ ๒.๒.๓ สามารถกาและบดิ วัตถไุ ด้ประสาน ๓.๒ การต่อวัตถุ ๒.๓.๑ สามารถหยบิ วัตถโุ ดยใชน้ ้ิวหวั แม่มือรว่ มกบั นว้ิสมั พันธ์ อ่ืนๆ ได้ระหว่างตากับ ๓.๓ การรอ้ ยวตั ถุ ๒.๓.๒ สามารถหมุนเปดิ -ปิดวัตถุได้มอื ๒.๓.๓ สามารถจับและหมนุ วัตถทุ มี่ ีขนาดตา่ งๆ ได้ ๒.๓.๔ สามารถแกะหรอื ฉีกวัตถุโดยใช้นวิ้ มอื ได้ ๓.๔ การปั้น ๒.๓.๕ การนาและการปลอ่ ยหรอื วางวัตถุ ๓.๑.๑ สามารถใสว่ ัตถุลงในภาชนะหรอื อุปกรณ์ตา่ งๆ ได้ ๓.๒.๑ สามารถต่อวตั ถุในแนวนอนได้ ๓.๒.๒ สามารถตอ่ วัตถุในแนวต้ังได้ ๓.๒.๓ สามารถจดั เรยี งวัตถตุ ามแบบได้ ๓.๓.๑ สามารถร้อยวตั ถทุ ี่มีขนาดหรอื รปู ทรงตา่ ง ๆ ได้ ๓.๔.๑ สามารถปัน้ แล้วคลงึ เป็นเสน้ ยาวได้ ๓.๔.๒ สามารถปนั้ แล้วคลงึ เป็นก้อนกลมได้ ๓.๔.๓ สามารถปน้ั แลว้ คลงึ เป็นแผ่นแบนกลมได้ ๓.๔.๔ สามารถปัน้ ตามจินตนาการได้

๒๙ ทกั ษะ ทักษะยอ่ ย พัฒนาการท่คี าดหวัง๔. การ ๓.๕ การพับ ๓.๕.๑ สามารถพบั กระดาษเป็น ๒ สว่ นได้เคล่ือนไหวอวยั วะท่ีใช้ใน ๓.๕.๒ สามารถพบั กระดาษทีละครง่ึ ตามแนวเสน้ ทแยงการพดู มมุ ได้ ๓.๕.๓ สามารถพบั กระดาษเปน็ รปู ตา่ ง ๆ อยา่ งง่ายได้ ๓.๖ การตดั ดว้ ยกรรไกร ๓.๖.๑ สามารถตัดกระดาษให้ขาดออกจากกนั ได้ ๓.๖.๒. สามารถตดั กระดาษตามรอยได้ ๓.๖.๓ สามารถตดั กระดาษตามรปู เรขาคณิตได้ ๓.๗ การจัดภาพ ตดั ตอ่ ๓.๗.๑ สามารถปะติดรูปทรงเรขาคณติ ลงบนกระดาษ ได้ ๓.๗.๒ สามารถจัดภาพตดั ต่อลงในกรอบได้ ๓.๗.๓ สามารถจัดรปู เรขาคณิตท่มี ีขนาดต่างกัน ๓ ชน้ิ ลงในกรอบได้ ๓.๗.๔ สามารถประกอบภาพตัดตอ่ เข้าด้วยกันใน กรอบได้ ๓.๘ การขีดเขยี น ๓.๘.๑ สามารถจับดนิ สอ หรือสเี ทียน เพ่ือขดี เขยี นได้ วาดรูปภาพ ๓.๘.๒ สามารถเลียนแบบการลากเส้นได้ ๓.๘.๓ สามารถวาดรูปที่ประกอบดว้ ยเสน้ พื้นฐานได้ ๓.๘.๔ สามารถเตมิ แขนหรือขารูปคน ที่ยังไม่ สมบรู ณไ์ ด้ ๓.๘.๕ สามารถวาดรปู ใบหน้าคนทมี่ ี สว่ นประกอบ อย่างน้อย ๓ สว่ นได้ ๓.๘.๖สามารถวาดรูปคนท่ีมสี ่วนของ ร่างกาย ๔ ส่วนขึ้นไปได้ ๔.๑ การควบคมุ ๔.๑.๑ สามารถควบคุมกลา้ มเน้อื รมิ ฝปี าก ได้ กล้ามเนอ้ื ริมฝีปาก ๔.๒ การใชล้ ้ิน ๔.๒.๑ สามารถควบคมุ การใช้ล้นิ ได้ ๔.๓ การเป่าและการดดู ๔.๓.๑ สามารถเป่าลมออกจากปากได้ ๔.๓.๒ สามารถดดู ของเหลวโดย ใชห้ ลอดดูดได้ ๔.๔ การเคีย้ วและการ ๔.๔.๑ สามารถขยับขากรรไกรได้ กลนื ๔.๔.๒ สามารถเคย้ี วอาหารได้ ๔.๔.๓ สามารถกลนื น้าลายได้ ๓) กลุ่มทักษะกำรช่วยเหลือตนเอง เป็นกำรพัฒนำให้ผู้เรียนรู้จักบทบำทหน้ำท่ีของตนในกำรดูแลตนเอง กำรปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน กำรป้องกันตนเอง สำหรับเป็นพื้นฐำนในกำรดำรงชีวิตที่เป็นอิสระ ประกอบด้วยทักษะ (๑) กำรรับประทำนอำหำร ประกอบด้วย กำรดูด

๓๐กำรด่ืม กำรกลืนและกำรเค้ียว กำรหยิบอำหำรเข้ำปำก กำรใช้ช้อนตักอำหำร (๒) กำรแต่งกำยประกอบด้วย กำรถอด – สวมถุงเท้ำ รองเท้ำ กระโปรงกำงเกง เสื้อ กำรถอด และสวมใส่เครื่องแต่งกำย กำรเลือกเคร่ืองแต่งกำย (๓) กำรขับถ่ำย ประกอบด้วย กำรขับถ่ำย อุจจำระ -ปัสสำวะ(๔) กำรดูแลอนำมัยตนเอง กำรทำควำมสะอำดมือและเท้ำ กำรทำควำมสะอำดหน้ำ กำรแปรงฟันกำรอำบน้ำ กำรหวีผม กำรสระผม (๕) กำรรับผิดชอบ งำนบ้ำน ประกอบด้วยกำรช่วยเหลืองำนบ้ำนปูและเก็บท่ีนอน กำรจัดเก็บส่ิงของ เคร่ืองใช้ (๖) กำรใช้ห้องน้ำสำธำรณะ (๗) กำรเคลื่อนย้ำยตนเองในบ้ำน (Functional Mobility) (๘) กำรดูแลสุขภำพและควำมปลอดภัยในชีวิตประจำวัน(Health and Safety) ประกอบด้วย การดูแลและการป้องกันสุขภาพ ความปลอดภัยในชีวิตประจาวันตำรำงท่ี ๒.๓ แสดงเน้ือหำและพัฒนำกำรท่ีคำดหวังของกลุ่มทักษะกำรช่วยเหลือตนเองในชีวติ ประจำวนัทักษะ ทักษะย่อย พัฒนาการทค่ี าดหวัง พฤตกิ รรมทีค่ าดหวัง๑. การรับประทาน ๑.๑ การดดู ๑.๑.๑ สามารถดดู นมจากขวดนมได้อาหาร ๑.๑.๒ สามารถดูดของเหลวโดยใช้หลอด ได้ ๑.๒ การดื่ม ๑.๒.๑ สามารถดม่ื นา้ และนมจาก แก้ว ดว้ ยตนเองได้ ๑.๓ การกลนื และการเค้ยี ว ๑.๓.๑ สามารถกลนื อาหารได้ ๑.๓.๒ สามารถเค้ยี ว อาหารได้ ๑.๔ การหยิบอาหารเขา้ ปาก ๑.๔.๑ สามารถใชม้ อื หยิบอาหารเขา้ ปาก ได้ ๑.๕ การใชช้ ้อนตักอาหาร ๑.๕.๑สามารถใช้ช้อนตักอาหารเขา้ ปาก ได้๒. การแต่งกาย ๒.๑ การถอด - สวมถุงเทา้ ๒.๑.๑ สามารถถอดถุงเท้าได้ ๒.๑.๒ สามารถสวมถงุ เท้าได้ ๒.๒ การถอด – สวมรองเท้า ๒.๒.๑ สามารถถอดรองเทา้ แบบสอดได้ ๒.๒.๒ สามารถสวมรองเท้าแบบสอดได้ ๒.๒.๓ สามารถถอดรองเทา้ แตะแบบคีบ ได้ ๒.๒.๔ สามารถสวมรองเทา้ แตะแบบคีบ ได้ ๒.๒.๕ สามารถถอดรองเท้าแบบติดแถบ ได้ ๒.๒.๖ สามารถสวมรองเทา้ แบบติดแถบ ได้

๓๑ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พฒั นาการทค่ี าดหวัง พฤตกิ รรมทคี่ าดหวงั๒.๓ การถอด – สวมกระโปรง ๒.๓.๑ สามารถถอดกระโปรงเอวยืดได้ ๒.๓.๒ สามารถสวมกระโปรงเอวยืดได้ ๒.๒.๓ สามารถถอดกระโปรงตดิ ตะขอได้ ๒.๓.๔ สามารถสวมกระโปรงตดิ ตะขอได้๒.๔ การถอด – สวมกางเกง ๒.๔.๑ สามารถถอดกางเกงเอวยืดได้ ๒.๔.๒ สามารถสวมกางเกงเอวยืดได้ ๒.๔.๓ สามารถถอดกางเกงแบบมีตะขอ และซไิ้ ด้ ๒.๔.๔ สามารถสวมกางเกงแบบมตี ะขอ และซปิ ได้๒.๕ การถอด - สวมเสือ้ ๒.๕.๑สามารถถอดเสือ้ ยืดคอกลมได้ ๒.๕.๒ สามารถสวมเส้อื ยดื คอกลมได้ ๒.๕.๓ สามารถถอดเสอ้ื คอปก มีกระดมุ ได้ ๒.๕.๔ สามารถสวมเส้ือคอปกมีกระดุม ได้ ๒.๕.๕ สามารถถอดเสื้อผ่าหน้า มกี ระดุม ได้๒.๖ การถอดและสวมใส่เคร่อื ง ๒.๖.๑ สามารถถอดเครื่องแต่งกายแตง่ กาย* (กางเกงขาสัน้ เอวยืด/เสอื้ คอกลม) ได้ ๑ ช้นิ * ๒.๖.๒ สามารถสวมเครอื่ งแต่งกายง่าย ๆ (กางเกงขาส้นั เอวยดื /เส้ือคอกลม) ได*้ ๒.๖.๓ สามารถถอดเคร่ืองแต่งกายทม่ี ี กระดุมหรือซิบได้ (เสื้อสวมหัวท่มี ี กระดุม/กางเกงขาสน้ั มีซบิ ) * ๒.๖.๔ สามารถสวมเครือ่ งแต่งกายทีม่ ี กระดมุ ซิบ ผูก/มดั ได้ (เสอื้ ผ่าหน้า, กระโปรง,กางเกง,รองเทา้ ,เส้ือหรอื กางเกงทีม่ เี ชือกผกู ) * ๒.๖.๕ สามารถแตง่ ตวั ได้ตามลาดบั ทุก ขน้ั ตอน *๒.๗ การเลือกเคร่ืองแตง่ กาย* ๒.๗.๑ สามารถเลอื กเสื้อผ้าของตนจากตู้ เส้ือผ้า/ล้ินชัก/ชน้ั วางได*้

๓๒ ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พัฒนาการท่ีคาดหวัง พฤตกิ รรมทค่ี าดหวงั๓. การขบั ถา่ ย ๓.๑ การขับถา่ ย อุจจาระ - ๒.๗.๒ สามารถเลอื กเสื้อผา้ รองเท้าได้ ปสั สาวะ เหมาะสมกับกาลเทศะและโอกาสได้ เชน่ ไปทางาน ไปงานเล้ียง เปน็ ต้น*๔. การดูแลอนามัย ๔.๑ การทาความสะอาดมือ ๒.๗.๓ สามารถแสดงสง่ิ ท่เี ปน็ ความชอบ ส่วนตวั และรับรสู้ ิ่งทเี่ ปน็ แฟช่ันได้*ตนเอง* และเท้า ๓.๑.๑ สามารถรับรูเ้ มอื่ ใดท่จี ะตอ้ งเข้า ห้องส้วมได้* ๔.๒ การทาความสะอาดหน้า ๓.๑.๒ สามารถร้จู ักอปุ กรณ์ต่างๆ ใน ๔.๓. การแปรงฟัน ห้องน้าในบา้ นได*้ ๔.๔ การอาบน้า ๓.๑.๓ สามารถใช้อปุ กรณต์ า่ งๆ ใน ๔.๕ การหวผี ม ห้องน้าในบ้านไดด้ ้วยตนเอง* ๔.๖ การสระผม* ๓.๑.๔ สามารถกดชักโครก/ราดนา้ ได*้๕. การรบั ผดิ ชอบงาน ๕.๑ การช่วยเหลอื งานบา้ นบา้ น ๓.๑.๕ สามารถทาความสะอาดหลัง ขบั ถา่ ยได้ ๕.๒ ปแู ละเก็บทน่ี อน ๓.๑.๖ สามารถแต่งตัวใหเ้ รยี บร้อยหลัง การขบั ถ่ายได*้ ๕.๓ การจัดเกบ็ สิง่ ของ ๔.๑ สามารถล้างมือและเช็ดมือด้วย เครอื่ งใช*้ ตนเองได้ ๔.๑.๒ สามารถล้างเท้าและเช็ดเท้าด้วย ตนเองได้* ๔.๒.๑ สามารถล้างหน้าและเช็ดหน้าได้ ๔.๒.๒ สามารถส่งั และเช็ดน้ามกู ได้ ๔.๓.๑ สามารถแปรงฟนั ได้ ๔.๔.๑ สามารถอาบนา้ และเช็ดตัวได้ ๔.๕.๑ สามารถหวผี มได้ ๔.๖.๑ สามารถสระผมได้อยา่ งถูกต้อง ๕.๑.๑ สามารถเก็บสงิ่ ของเขา้ ที่ได้ ๕.๑.๒ สามารถกวาดบ้านได้ ๕.๑.๓ สามารถถบู า้ นโดยใช้ไมถ้ พู ื้นได้ ๕.๒.๑ สามารถปทู นี่ อนของตนเอง ๕.๒.๒ สามารถเกบ็ ท่นี อนของตนเองได้ ๕.๓.๑ สามารถจดั เก็บสิ่งของ เครื่องใช้ ของตนเอง ในห้องให้อย่ใู นท่ีเหมาะสม

๓๓ ทกั ษะ ทักษะย่อย พฒั นาการที่คาดหวงั๖. การใช้หอ้ งน้า ๖.๑ การใช้หอ้ งนา้ สาธารณะ* พฤตกิ รรมทีค่ าดหวงัสาธารณะ* ๗.๑ การเคล่ือนยา้ ยตนเองใน ๖.๑.๑ รบั รู้เมื่อใดทจ่ี ะต้องเข้าห้องนา้ ใน๗. การเคลือ่ นย้าย บ้าน* ท่ีสาธารณะ*ตนเองในบ้าน(Functional ๖.๑.๒รจู้ ักป้ายสัญลกั ษณ์ทเ่ี กี่ยวกบั การMobility)* ใช้ห้องน้าสาธารณะ* ๖.๑.๓ รบั รวู้ า่ ห้องน้าสาธารณะอยู่ บริเวณไหน ๖.๑.๔ รคู้ วามแตกต่างระหวา่ งหอ้ งนา้ สาธารณะ ชาย หรอื หญงิ * ๖.๑.๕ สามารถใช้ห้องนา้ สาธารณะได้ ด้วยตนเอง* ๖.๑.๖ สามารถกดชกั โครก/ราดน้าและ แต่งตวั ให้เรยี บรอ้ ยในห้องน้าสาธารณะ* ๖.๑.๗ เม่อื ใชห้ อ้ งน้าสาธารณะแล้ว สามารถทาให้สะอาดเพื่อผูอ้ ่ืนมาใชต้ ่อได้ (การล้าง การหอ่ ผา้ อนามยั การใช้ กระดาษชาระ) * ๖.๑.๘ สามารถใชอ้ ุปกรณ์ตา่ งๆ ใน ห้องนา้ สาธารณะได้ถูกต้อง * ๗.๑.๑. สามารถเคล่อื นยา้ ยตนเองจากท่ี หนง่ึ ไปยงั อีกทหี่ นึ่งได*้ ๗.๑.๒ สามารถรู้จกั สถานที่ ต่างๆ ภายในบา้ นได*้ ๗.๑.๓ สามารถรจู้ กั การใชป้ ระโยชนจ์ าก สถานท่ี หรืออปุ กรณ์ได้ ๗.๑.๔ สามารถเคลื่อนยา้ ยตนเองไปยังท่ี ตา่ ง ๆ ภายในบา้ นไดต้ ามความต้องการ*๘. ทกั ษะการดูแล ๘.๑ การดูแลและการป้องกนั ๘.๑.๑ สามารถดูแลรกั ษาและปอ้ งกันสขุ ภาพและความ สุขภาพ* สุขภาพ*ปลอดภยั ในชวี ิตประจาวัน ๘.๑.๒ สามารถรักษาความสะอาดของ ร่างกาย *(Health and Safety ๘.๑.๓ สามารถออกกาลงั กายได*้Skills)* ๘.๑.๔ สามารถรับประทานอาหารท่ีมี ประโยชน์

๓๔ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พัฒนาการท่ีคาดหวงั พฤติกรรมทคี่ าดหวงั ๘.๑.๕ สามารถเปล่ยี นเสอ้ื ผ้าทเ่ี ปียกช้ืน*๘.๒ การปฐมพยาบาล* ๘.๒.๑ สามารถแสดงการรับรู้คาเตอื นที่ บอกอนั ตรายและคาเตือนในการออก กาลังกาย * ๘.๒.๒ สามารถแสดงการรับรู้ สญั ลักษณ์ ที่บอกอนั ตรายและคาเตือนในการออก กาลงั กาย* ๘.๒.๓ สามารถรูว้ ิธกี ารขอความ ชว่ ยเหลือ อย่างเหมาะสมในเร่อื งฉุกเฉนิ จากหนว่ ยดบั เพลงิ ตารวจ รถพยาบาล ๘.๒.๔ สามารถรักษาแผลถลอก หรอื การ บาดเจ็บเลก็ นอ้ ย การเจ็บปว่ ยเลก็ น้อย มีดบาด ปวดหัวและน้าร้อนลวกได้ ๘.๒.๕ สามารถเสาะหาความชว่ ยเหลือ ทางการการแพทยเ์ มื่อต้องการ แยกแยะ ยากบั ขนมและใช้ยาท่เี ช่ือถือได*้๘.๓ การแพอ้ าหาร หรือแพ้ ๘.๓.๑ สามารถรับรู้ หลีกเลีย่ งอาหารท่ียา* ตนเองแพไ้ ด*้ ๘.๓.๒ รับรู้ หลีกเลี่ยงยาที่ตนเองแพไ้ ด้ สามารถบอกแพทย/์ เจ้าหนา้ ทีไ่ ด้ว่า ตนเองแพ้ยาอะไร เชน่ พกบตั รติดตัวไว้ เป็นต้น* ๘.๓.๓ ใหค้ วามรว่ มมือในการ รบั ประทานยาท่จี าเปน็ ต้องใช้ประจาวนั * ๘.๓.๔ หยิบยาทตี่ ้องใช้เป็นประจาจากที่ เกบ็ ได้ อยา่ งถูกต้องด้วยตนเอง* ๘.๓.๕ จัดเกบ็ ยาที่จาเป็นตอ้ งใช้ประจา ใหใ้ หอ้ ยู่ในทีเ่ ก็บท่ปี ลอดภยั และดูวนั หมดอายุได้*หมำยเหตุ * หมำยถึง เป็นกิจกรรมทักษะกำรดำรงชีวิตประจำวันท่ีผู้สอน และผู้ปกครอง หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง สำมำรถเลือกเนื้อหำกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน เพื่อให้เกิดพัฒนำกำรที่คำดหวังตำมศักยภำพของผู้เรียน โดยไมต่ ้องเรยี งตำมลำดับเนือ้ หำ

๓๕ ๔) กลุ่มทักษะกำรรับรู้และแสดงออกทำงภำษำ เป็นพัฒนำกำรทำงภำษำและกำรส่ือสำรที่มุ่งพัฒนำผู้เรียนในด้ำนกำรรับรู้ภำษำ กำรแสดงออกทำงภำษำ และกำรสื่อสำรได้อย่ำงเหมำะสม ประกอบด้วยทักษะ (๑) กำรรับรู้เสียงและคำ (๒) กำรส่ือสำร (๓) กำรออกเสียงพยัญชนะและสระ (๔) กำรสรำ้ งคำพดู และประโยค (๕) กำรบอกข้อมูลสว่ นตวัตำรำงที่ ๒.๔ แสดงเนอื้ หำและพฒั นำกำรที่คำดหวงั ของกลุ่มทกั ษะกำรรบั ร้แู ละแสดงออกทำงภำษำ ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนาการท่คี าดหวัง๑.การรับรเู้ สยี งและคา พฤตกิ รรมทค่ี าดหวงั๒. การส่ือสาร* ๑.๑ การรับรเู้ สียง ๑.๑.๑ สามารถหนั ตามแหล่งทีม่ าของ เสียงได้ ๑.๒ การรบั รคู้ าพูด ๑.๑.๒ สามารถตอบสนองต่อคาพูดของ ผอู้ ื่นได้ ๒.๑ การแสดงสีหนา้ ท่าทางต่อ ๒.๑.๑. สามารถแสดงสหี น้า ท่าทาง ต่อ สงิ่ เร้า สง่ิ เรา้ ภายในไดเ้ หมาะสม ๒.๑.๒. สามารถแสดงสหี นา้ ท่าทาง ต่อ สิ่งเร้าภายนอกไดเ้ หมาะสม ๒.๑.๓. สามารถพูดหรือสื่อสารด้วยวธิ อี น่ื เพ่ือแสดงการตอบรบั หรือการปฏิเสธได*้ ๒.๑.๔. สามารถแสดงความต้องการ พื้นฐาน เช่น หิวข้าว กระหายน้า ตอ้ งการเขา้ ห้องนา้ เปน็ ตน้ โดยใชท้ ่าทาง เสียง หรือภาษางา่ ยๆ และส่อื ตา่ ง ๆ ได*้ ๒.๑.๕. สามารถสือ่ สารด้วยเคร่ืองมือ ส่อื สารทางเลอื ก เชน่ สอ่ื สารดว้ ยรปู ภาพ กระดานส่ือสาร หนังสืออิเลคทรอนกิ ส์ โปรแกรมการส่ือสาร แอพลิเกชนั การ สื่อสาร เปน็ ต้น* ๒.๒ การออกเสียงคาและการ ๒.๒.๑. สามารถออกเสียงคาได้ถูกต้อง* ใช้คาพดู ๒.๒.๒. สามารถใช้คาสรรพนาม แทน ตนเองและผอู้ น่ื ได้* ๓.๒ คาท่มี พี ยญั ชนะตน้ (เสยี ง ๓.๒.๑. สามารถออกเสยี งคาท่ี นา) ม น ห ย ค อ ว บ ก ป ประกอบดว้ ยพยญั ชนะต้นท่ีกาหนดให้ ได้*

๓๖ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนาการทค่ี าดหวงั พฤติกรรมทีค่ าดหวงั ๓.๓ คาทีม่ ตี วั สะกด แมก่ ก แม่ ๓.๓.๑. สามารถออกเสียงคาที่มีตวั สะกด กง แม่กก แม่กง ได*้ ๓.๔ คาท่มี สี ระ อะ อิ อุ เอ ๓.๔.๑. สามารถออกเสียงคาท่ี เอา ประกอบดว้ ยสระ อะอิ อุ เอ เอา ได้* ๓.๕ คาที่มีพยัญชนะตน้ (เสยี ง ๓.๕.๑. สามารถออกเสียงคาทม่ี ี นา) ท ต ล จ พ ง ด พยัญชนะต้น (เสียงนา) ท ต ล จ พ ง ด ได้* ๓.๖ คาทมี่ ีตวั สะกด แมก่ บ แม่ ๓.๖.๑. สามารถออกเสยี งคาทม่ี ตี วั สะกด กด แม่กบ แมก่ ด ได้*๔. การสรา้ งคาพูด ๔.๑ คาและประโยค ๔.๑.๑.สามารถพูดเลยี นแบบเสยี งคาและและประโยค ระโยคได้* ๔.๒ คาพูดและประโยคอย่าง ๔.๒.๑. สามารถเลอื กใชค้ าในประโยค ง่าย ตา่ ง ๆ ได้อย่างเหมาะสม* ๔.๒.๒. สามารถใชค้ าบอกลกั ษณะ ส่ิง ต่าง ๆ ในประโยคที่พูดได้ ๔.๒.๓. สามารถพดู เป็นประโยคอยา่ ง ง่าย ได้*๕. การบอกข้อมูล ๕.๑ ชือ่ สกุลของตนเอง ๕.๑.๑.สามารถบอกช่ือเลน่ ของตนเองส่วนตวั และผอู้ ่นื ได้* ๕.๑.๒. สามารถบอกชอื่ และนามสกุลจรงิ ของตนเองได*้ ๕.๒ อายุและเพศของตนเอง ๕.๒.๑. สามารถบอกอายุและเพศของ ตนเองได้ ๕.๓ ชอ่ื สมาชกิ ในครอบครวั ๕.๓.๑. สามารถบอกช่อื พ่อ แมห่ รอื ผปู้ กครอง ของตนเองได้* ๕.๓.๒. สามารถบอกช่ือพน่ี ้องหรือบคุ คล ท่ใี กลช้ ิด ของตนเองได*้ ๕.๔ ทอ่ี ยู่ของตนเอง ๕.๔.๑. สามารถบอกท่ีอยู่ของตนเองได*้หมำยเหตุ * หมำยถึง กิจกรรมกลุม่ ทกั ษะกำรรบั รู้และแสดงออกทำงภำษำทีผ่ สู้ อน และผปู้ กครอง หรอื ผู้มีสว่ นเกีย่ วข้อง สำมำรถเลือกเนื้อหำกำรจัดกิจกรรมกำรเรยี นกำรสอน เพื่อใหเ้ กดิ พัฒนำกำรท่ีคำดหวังตำมศักยภำพของผู้เรียน โดยไมต่ ้องเรยี งตำมลำดับเนื้อหำ ๕) กลุ่มทักษะทำงสังคม เป็นพัฒนำกำรทำงด้ำนสังคมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่ำนกำรเล่น กำรมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม กำรปรับตัว ในกำรดำรงชีวิตร่วมกับผู้อ่ืน

๓๗ประกอบด้วยทักษะ (๑) กำรมีปฏิสัมพันธ์ (๒) กำรเล่น (๓) กำรปฏิบัติตนในสังคมและทักษะชีวิต(๔) กำรเหน็ คณุ ค่ำในตนเอง (Self - Esteem)ตำรำงที่ ๒.๕ แสดงเน้ือหำและพัฒนำกำรท่ีคำดหวังของกลุ่มทกั ษะทำงสังคม ทักษะ ทักษะยอ่ ย พัฒนาการที่คาดหวัง ๑.๑ การมีปฏสิ มั พนั ธ์ พฤตกิ รรมทคี่ าดหวงั๑. การมี ๑.๒ การรจู้ ักตนเองปฏิสมั พนั ธ์ ๑.๑.๑ สามารถตอบสนองต่อท่าทางและ ๑.๓ ความภาคภูมใิ จในตนเอง การสัมผัสได้ ๑.๔ การเห็นคณุ คา่ ในตนเอง ๑.๑.๒nสามารถตอบสนองต่อเสียงได้ ๑.๑.๓ สามารถสบตากบั ผูอ้ ืน่ ได้ ๑.๑.๔ สามารถรับรู้ และแสดงออกทาง อารมณไ์ ด้อย่างเหมาะสม ๑.๒.๑ สามารถบอกส่ิงทีต่ นเองชอบได้ เช่น สี อาหาร กีฬา สถานท่ี สัตว์ เป็นต้น สามารถบอกส่ิงที่ตนเองชอบได้ เช่น สี อาหาร กีฬา สถานที่ สัตว์ เปน็ ต้น* ๑.๒.๒ สามารถบอกอารมณ์ของตนเองได้ เชน่ ดีใจ เสียใจ โกรธ เปน็ ต้น* ๑.๒.๓ สามารถบอกชอ่ื ของตนเองได้* ๑.๒.๔ สามารถบอกอายุ วันเดือนปเี กิดของ ตนเองได้* ๑.๓.๑ สามารถบอกความดีที่ตนเองกระทา ได้ เช่น ความดีท่ีกระทาต่อ ครอบครัว ห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชน สังคม เป็น ต้น* ๑.๓.๒ สามารถบอกความซ่ือสัตย์ที่ตนเอง กระทาได้ เช่น ไม่ลักขโมย ไม่พูดโกหก เป็นตน้ * ๑.๓.๓ สามารถบอกความเสียสละท่ีตนเอง กระทาได้ เช่น แบ่งขนมหรือของเล่นให้ คนอ่ืน เป็นต้น ๑.๔.๑ บอกความสามารถของตนเองได้ โดยมีการตระหนัก ยอมรับ และเห็นคุณค่า ในตนเอง

๓๘ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนาการท่ีคาดหวัง พฤติกรรมทค่ี าดหวัง ๑.๕ รจู้ กั สิทธิ หน้าท่ีและบทบาท ๑.๕.๑ รู้จักสิทธิ หน้าท่ี บทบาทของตนเอง ตนเอง และมีความรับผิดชอบในการกระทาตาม บทบาทหน้าท่ีของตนเองท่ีมีต่อครอบครัว ห้องเรียน เช่น การยืนตรงเคารพธงชาติ ปฏิบัติตามกฎกติกาของห้องเรียน ช่วยงาน บา้ น เป็นต้น ๑.๕.๒ รู้จักสิทธิ หน้าท่ี บทบาทของตนเอง และมีความรับผิดชอบในการกระทาตาม บทบาทหน้าท่ีของตนเองที่มีต่อชุมชน และ สังคม เช่น ไม่ทาลายทรัพย์สินของชุมชน เข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนตามโอกาสท่ี เหมาะสม เปน็ ต้น ๑.๖ สรา้ งและรักษาปฏิสัมพันธ์ ๑.๖.๑ สามารถใช้ภาษา ท่าทาง การ กับผู้อน่ื ตอบสนองต่อการมีปฏสิ ัมพันธ์กบั ผู้อ่ืน ตาม ประเพณี วัฒนธรรมและมารยาททางสังคม เช่น การยิ้ม การไหว้ การทักทาย และการ รักษาปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น รู้จักเอาใจ เขามาใส่ใจเรา รู้จักสังเกตพฤติกรรมของ เพื่อน ปรับตนเอง เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ท่ีดี กับผู้อืน่ ได้ เปน็ ตน้๒. การเล่น ๒.๑ การเล่นคนเดยี ว ๒.๑.๑ สามารถเล่นแบบสารวจได้อย่าง เหมาะสม ๒.๑.๒ สามารถใช้จนิ ตนาการในการเลน่ ได้ ๒.๒ การเลน่ เปน็ กลุม่ ๒.๒.๑ การเล่นอิสระอยใู่ นกลมุ่ ได้ ๒.๒.๒ สามารถเลน่ กับเพือ่ นหนง่ึ ตอ่ หนง่ึ ได้ ๒.๒.๓ สามารถเล่นกับเพ่ือนเป็นกลุ่ม ๒-๓ คน โดยมกี ฎกตกิ าได้๓. การปฏิบตั ิตน ๓.๑ การปฏบิ ตั ิตนในสังคม ๓.๑.๑ สามารถแสดงการทักทายกับผู้อื่นได้ในสังคมและ อยา่ งเหมาะสมทักษะชวี ิต ๓.๑.๒ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่าง เหมาะสม ๓.๑.๓ สามารถปฏิบัติตามกติกาหรือ มารยาททางสังคมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

๓๙ทักษะ ทักษะยอ่ ย พัฒนาการท่ีคาดหวัง พฤตกิ รรมที่คาดหวงั๓ . ๒ ก า ร ป ฏิ บั ติ ต น ใ น ก า ร ๓.๒.๑ สามารถใช้ช้อนส้อมได้เหมาะสมในรบั ประทานอาหารรว่ มกับผู้อ่ืน* การรบั ประทานอาหารร่วมกบั ผู้อน่ื * ๓.๒.๒ สามารถตักอาหาร สาหรับตนเองใน ปรมิ าณท่ีเหมาะสมได้* ๓.๒.๓ สามารถเทน้าหรือเคร่ืองด่ืมอ่ืนโดย ไมห่ กเลอะเทอะได้ ๓.๒.๔ สามารถดูแลให้ความช่วยเหลือ บุคคลอื่นในการส่งต่ออาหาร เช่น ซอส นา้ ปลา ได้ ๓.๒.๕ มมี ารยาทในการรับประทานอาหาร๓.๓ การซ้ือของ ๓.๓.๑ สามารถซื้อของ ในร้านขายของชา ใกลบ้ า้ น ๓.๓.๒ สามารถซ้ือของในรา้ นสะดวกซ้อื ๓.๓.๓ สามารถซื้อของในร้านสรรพสินค้า ๓.๓.๔ รู้ตาแหน่งของสิ่งของหรือขอความ ช่วยเหลอื ๓.๓.๕ รู้ความแตกต่างระหว่างการบริการ ดว้ ยตนเองและการซือ้ ของแบบอืน่ แ ส ด ง พ ฤ ติ ก ร ร ม แ ล ะ จ่ า ย เ งิ น ไ ด้ อ ย่ า ง เหมาะสม๓.๔ การเขา้ ควิ * ๓.๔.๑ รู้จักการรอคอยโดยการเข้าคิวเพื่อ รับบริการในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชน และสังคม เช่น การรบั ของ การสง่ งาน การ รับอาหารและสิ่งของต่างๆ การซื้อสินค้า หรือรับบริการการชาระค่าสินค้าการเข้าคิว รับบริการโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรือเลน่ ของเล่นสาธารณะ เปน็ ตน้๓.๕ การบาเพญ็ ประโยชน*์ ๓.๕.๑ รู้จักช่วยเหลือครอบครัว ชุมชนและ สังคม เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน กิจกรรมพัฒนาหมู่บ้าน บริจาคส่ิงของเม่ือ เกิดภยั พบิ ตั ติ า่ งๆ เป็นตน้๓.๔ การเดนิ ทางไปสถานท่ีต่าง ๆ ๓.๔.๑ รู้จักตาแหน่งท่ีตั้ง เส้นทางที่ต่าง ๆในชุมชน* ในชุมชน เช่น โรงเรียน วัด โรงพยาบาล เป็นต้น และใช้เคร่ืองมือช่วยในการเดนิ ทาง

๔๐ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พฒั นาการท่ีคาดหวัง พฤติกรรมทีค่ าดหวงั เช่น โทรศัพท์ การถามทาง ป้าย สญั ลักษณ์ ต่าง ๆ เป็นต้น* ๓.๕ การโดยสารรถประจาทาง* ๓.๕.๑ สามารถเลือกใช้บริการรถโดยสาร ประจาทาง รู้จักจุดขึ้นรถ การชาระเงิน วิธีโดยสารรถเพื่อให้ไปถึงจุดหมายได้อย่าง ถูกต้องและปลอดภยั ๓.๕ การปรบั ตวั ในสงั คม ๓.๕.๑ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมและปฏิบัติ ตนตามศาสนาทต่ี นนบั ถอื ได้ ๓.๕.๒ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมและปฏิบัติ ตามประเพณีวัฒนธรรมที่ชุมชนปฏิบัติได้ อย่างถูกต้องและเหมาะสม๔. การเหน็ ๔.๑ การรูจ้ กั ตนเอง* - ๔.๑.๑ สามารถบอกสิ่งที่ตนเองชอบได้ เชน่คณุ คา่ ในตนเอง* สี อาหาร กฬี า สถานท่ี สัตว์ เป็นต้น*(Self - ๔.๒ ความภาคภมู ใิ จในตนเอง - ๔.๒.๑ สามารถบอกความดีที่ตนเองกระทาEsteem) ได้ เช่น ความดีที่กระทาต่อ ครอบครัว ห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชน สังคม เปน็ ตน้ *หมำยเหตุ * หมำยถึง กิจกรรมกลุ่มทักษะทำงสังคมท่ีผู้สอน และผู้ปกครอง หรือผู้มีส่วนเก่ียวข้องสำมำรถเลือกเน้ือหำกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน เพื่อให้เกิดพัฒนำกำรที่คำดหวังตำมศักยภำพของผ้เู รยี น โดยไม่ตอ้ งเรียงตำมลำดับเน้อื หำ ๖) กลุ่มทักษะทำงสติปัญญำหรือกำรเตรียมควำมพร้อมทำงวิชำกำร เป็นพัฒนำกำรทำงด้ำนสติปัญญำและประสบกำรณ์สำคัญในควำมคิดรวบยอดของส่ิงต่ำงๆ กำรจำแนกแยกแยะ กำรแก้ปัญหำในชีวิตประจำวันและกำรเตรียมควำมพร้อมสำหรับกำรเรียนรู้ในขั้นต่อไปประกอบด้วยทักษะ ๑) กำรรับรู้ ๒) กำรจำแนก ๓) จัดหมวดหมู่ ๔) กำรจับคู่ ๕) กำรเปรียบเทียบ๖) กำรเตรียมควำมพร้อมพื้นฐำนภำษำไทย ๗) กำรเตรียมควำมพร้อมด้ำนกำรอ่ำน ๘) กำรอ่ำน๙) กำรเตรียมควำมพร้อมด้ำนกำรเขียน ๑๐) กำรเขียน ๑๑) กำรนับ ๑๒) กำรอ่ำนสัญลักษณ์ตัวเลข๑๓) กำรเขยี นตัวเลข ๑๒) ควำมเขำ้ ใจและกำรแก้ปัญหำตำรำงที่ ๒.๖ แสดงเนื้อหำและพัฒนำกำรท่ีคำดหวังของกลุ่มทักษะทำงสติปัญญำหรือกำรเตรียมควำมพรอ้ มทำงวิชำกำรทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พฒั นาการทค่ี าดหวงั๑. การรับรู้ ๑.๑ ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ๑.๑.๑ สามารถบอกส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายและหนา้ ท่ีของ สว่ นต่าง ๆได้ ๑ . ๑ . ๒ ส า ม า ร ถ ดู แ ล ส่ ว น ต่ า ง ๆ ของรา่ งกายได้

๔๑ ทกั ษะ ทักษะยอ่ ย พัฒนาการทีค่ าดหวัง๒. การจาแนก ๑.๒ การรู้จกั ตนเอง ๑.๒.๑ สามารถบอกชื่อ และเพศตนเอง ได้ ๑.๓ อาหารประเภท ตา่ ง ๆ ๑.๓.๑ สามารถบอกช่อื ผัก และผลไม้ได้ ๑.๔ รสชาติอาหาร ๑.๔.๑ สามารถบอกรสชาติต่าง ๆ ของ อาหารได้ ๑.๕ การรบั รกู้ ลิ่น ๑.๕.๑ สามารถบอกกลิ่นตา่ ง ๆ ได้ ๑.๖ การรบั รู้เร่ืองเสยี ง ๑.๖.๑ สามารถบอกเสียงท่ีคุน้ เคยได้ ๑.๗ ที่ต้งั ของสงิ่ ต่าง ๆรอบตวั ๑.๗.๑ สามารถชี้หรือบอกท่ีต้ังของ สง่ิ ของได้ ๑.๗.๒ สามารถช้ีหรอื บอกชอื่ สถานทตี่ า่ ง ๆ ท่ีคุ้นเคยได้ ๑.๘ การรับรเู้ รอ่ื งสี ๑.๘.๑ สามารถช้หี รือบอกชือ่ สตี า่ งๆ ได้ ๑.๙ การรับรู้พ้ืนผิว ๑.๙.๑ สามารถช้ีหรือบอกลักษณะของ พื้นผวิ ได้ ๑.๑๐ การรับรู้ตาแหน่งและ ๑.๑๐.๑ สามารถชีห้ รือบอกตาแหน่งและ ทิศทาง ทิศทางบน-ล่าง ซ้าย-ขวา ข้างหน้า-ข้าง หลงั ได้ ๑.๑๑ การรบั รู้รูปเรขาคณิต ๑.๑๑.๑ สามารถชหี้ รือบอกรปู เรขาคณิต ได้ ๑.๑๒ การรบั รู้เวลา ๑.๑๒.๑ สามารถบอกเวลา เช้า กลางวัน เยน็ และกลางคืนได้ ๑.๑๓ การรับรู้อุณหภูมิ ๑.๓.๑ สามารถบอกอุณหภูมิร้อน หรือ เยน็ ได้ ๒.๑ การจาแนกบุคคล ๒.๑.๑ สามารถจาแนกบุคคลทีค่ นุ้ เคยได้ ๒.๑.๒ สามารถแยกเพศของบคุ คลได้ ๒.๒ การจาแนกเสยี ง ๒.๒.๑ สามารถบอกหรือแยกแยะเสียง บคุ คลทค่ี ุ้นเคยได้ ๒.๒.๒ สามารถบอกหรือแยกแยะเสียง ตา่ งๆ ได้ ๒.๓ การจาแนกสง่ิ ของ ๒.๓.๑ สามารถจาแนกสิ่งของได้ ๒.๔ การจาแนกสัตว์ ๒.๔.๑ สามารถจาแนกสตั ว์ได้ ๒.๕ การจาแนกผัก ผลไม้ ๒.๕.๑ สามารถจาแนกผัก ผลไม้ได้ ๒.๖ การจาแนกสี ๒.๖.๑ สามารถจาแนกสตี ่างๆ ได้

๔๒ทักษะ ทักษะย่อย พัฒนาการทคี่ าดหวงั ๒.๗ การจาแนกรปู เรขาคณติ ๒.๗.๑ สามารถจาแนกรูปเรขาคณิต วงกลม สามเหลีย่ ม สีเ่ หล่ียมได้ ๒.๘ การจาแนกขนาด ๒.๘.๑ สามารถจาแนกขนาดของวัตถุ ตา่ ง ๆ ได้ ๒ . ๙ ก า ร จ า แ น ก กิ จ วั ต ร ๒.๙.๑ สามารถบอกกิจวัตรประจาวนั ได้ ประจาวันได้ ๒ . ๑ ๐ ก า ร จ า แ น ก ค ว า ม ๒.๑๐.๑ สามารถบอกความแตกต่างของ แตกตา่ งของอุณหภูมิ อุณหภมู ิ รอ้ น หรอื เยน็ ได้๓. จัดหมวดหมู่ ๓.๑ การจัดหมวดหมูบ่ ุคคล ๓.๑.๑ สามารถจดั หมวดหมู่บคุ คล ได้ ๓.๒ การจัดหมวดหมู่สตั ว์ ๓.๒.๑ สามารถจัดหมวดหมสู่ ัตว์ ได้ ๓.๓ การจดั หมวดหมู่ สง่ิ ของ ๓.๓.๑ สามารถจัดหมวดหม่สู ง่ิ ของ ได้ ๓.๔ การจัดหมวดหมผู่ กั ผลไม้ ๓.๔.๑ สามารถจดั หมวดหมู่พืชได้๔. การจับคู่ ๔.๑ การจับคู่สิ่งของ หรือ ๔.๑.๑ สามารถจับคู่สิ่งของ หรือรูปภาพ รูปภาพ ที่เหมือนกันได้ ๔.๑.๒ สามารถจับคู่ สิ่งของ รูปภาพ ท่ี สัมพันธ์กันได้๕. การเปรยี บเทยี บ ๕.๑ การเปรยี บเทียบจานวน ๕.๑.๑ สามารถเปรยี บเทยี บจานวนได้ ๕.๒ การเปรยี บเทยี บน้าหนกั ๕.๒.๑ สามารถเปรียบเทียบน้าหนักของ สงิ่ ของได้ ๕.๓ การเปรียบเทียบขนาด ๕.๓.๑ สามารถเปรียบเทียบขนาดของ วัตถุที่มีความส้ัน ยาว เล็ก- ใหญ่ กว้าง- แคบ ได้ ๕.๔ การเปรยี บเทยี บระยะทาง ๕.๔.๑ สามารถบอกและเปรียบเทียบ ระยะทางใกล้-ไกล ได้ ๕.๕ การเปรยี บเทยี บความสงู ๕.๕.๑ สามารถบอกและเปรียบเทียบความ สงู ได้ ๕.๖ การเปรียบเทียบพืน้ ผิว ๕.๖.๑ สามารถเปรยี บเทียบพ้นื ผิวได้๖. การเตรียมความ ๖.๑ การรู้จกั พยัญชนะสระและ ๖.๑.๑ สามารถบอกพยัญชนะได้พรอ้ มพนื้ ฐาน วรรณยุกต์ ๖.๑.๒ สามารถบอกสระได้ภาษาไทย ๖.๑.๓ สามารถบอกวรรณยุกต์ไทยได้๗. การเตรียมความ ๗.๑ การเตรียมความพร้อมด้าน ๗.๑.๑ สามารถกวาดสายตาจากซ้ายไปขวาพร้อมดา้ นการอ่าน การอ่าน และบนลงลา่ งได้๘ การอา่ น ๘.๑ การอ่านออกเสียง ๘.๑.๑ สามารถอา่ นออกเสียงพยัญชนะได้ พยญั ชนะ สระและวรรณยกุ ต์ ๘.๑.๒ สามารถอ่านออกเสยี งสระได้ ๘.๑.๓ สามารถอา่ นออกเสียงวรรณยุกต์ได้๙. การเตรยี มความ ๙.๑ การเตรียมความพรอ้ มการ ๙.๑.๑ สามารถจับดนิ สอได้ถกู ตอ้ ง

๔๓ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนาการทค่ี าดหวังพรอ้ มด้านการเขยี น เขียน ๙.๑.๒ สามารถลากเสน้ อิสระได้ ๙.๑.๓ สามารถลากเส้นพนื้ ฐาน ๑๓ เส้น ได้ ๙.๑.๔ สามารถลากเสน้ รปู เรขาคณิตได้๑๐. การเขยี น ๑๐.๑ การเขียนพยญั ชนะ สระ ๑๐.๑.๑ สามารถเขยี นพยัญชนะไทยได้ และวรรณยกุ ต์ ๑๐.๑.๒ สามารถเขียนสระ ได้ ๑๐.๑.๓ สามารถเขียนวรรณยกุ ตไ์ ด้๑๑. การนบั ๑๑.๑ การนบั ๑๑.๑.๑ สามารถนับจานวน ๑-๓ ได้ ๑๑.๑.๒ สามารถนับจานวน ๑-๕ ได้ ๑๑.๑.๓ สามารถนบั จานวน ๑-๑๐ ได้ ๑๑.๒ คา่ ของจานวนนบั ๑๑.๒.๑ สามารถบอกค่าของจานวนนับ ๑- ๑๐ ได้ ๑๑.๓ การนบั เพม่ิ และการนบั ลด ๑๑.๓.๑ สามารถนับเพ่ิมทีละ 1 ไม่เกิน ๑๐ ได้ ๑๑.๓.๒ สามารถนับลดทีละ ๑ ต้ังแต่ ๑๐ ลงมาได้๑๒. การอ่าน ๑๒.๑ อา่ นสัญลักษณ์ตวั เลข ๑๒.๑.๑ สามารถอ่านสัญลักษณ์ตัวเลข ๑-สัญลกั ษณ์ตัวเลข ๑๐ ได้๑๓. การเขียนตวั เลข ๑๓.๑ การเขียนตัวเลข ๑๓.๑.๑ สามารถเขียนตวั เลข ๑-๑๐ ได้๑๔. ความเข้าใจและ ๑๔.๑ การเข้าใจ และแก้ไข ๑ ๔ . ๑ . ๑ ส า ม า ร ถ แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า ใ นการแก้ปัญหา ปญั หา ชวี ติ ประจาวันอยา่ งง่ายๆได้ ๑๔.๑.๒ สามารถใชเ้ งนิ ในการซอ้ื ขายได้ ๒.๒ กลุ่มทักษะจำเป็นเฉพำะควำมพิกำรหรือทักษะจำเป็นอื่นๆ เป็นควำมต้องกำรจำเป็นเฉพำะบุคคลตำมประเภทและควำมบกพร่อง โดยมุ่งพัฒนำให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะเฉพำะตนในกำรเรียนรู้ กำรปฏิบัติกิจกรรมต่ำงๆ เพื่อส่งเสริมควำมสำมำรถ ลดอุปสรรคในกำรเข้ำถึงสื่อแหล่งเรยี นรตู้ ำ่ งๆ จำแนกเปน็ ทักษะสำหรับแต่ละกลุม่ ดงั นี้ ๑) กลุ่มทักษะจำเป็นเฉพำะสำหรับเด็กที่มีควำมบกพร่องทำงกำรเห็น เป็นกำรพัฒนำทักษะครอบคลุม กำรใช้ประสำทสัมผัสทำงกำรเห็นที่เหลืออยู่ กำรสร้ำงควำมคุ้นเคยกับสภำพแวดลอ้ มและกำรเคลื่อนไหว กำรเดินทำงของคนตำบอด กำรฝกึ ประสำทสัมผสั กำรเคลอ่ื นทข่ี องมือ กำรอ่ำนอักษรเบรลล์ กำรเตรียมควำมพร้อมกำรเขียนอักษรเบรลล์ กำรเขียนอักษรเบรลล์กำรใช้ลูกคดิ ๒) กลุ่มทักษะจำเป็นเฉพำะสำหรับเด็กที่มีควำมบกพร่องทำงกำรได้ยิน เป็นกำรพฒั นำทักษะกำรฟงั กำรพูด กำรใชเ้ ครือ่ งชว่ ยฟงั และกำรใชภ้ ำษำมอื ๓) กลุ่มทักษะจำเป็นเฉพำะสำหรับเด็กท่ีมีควำมบกพร่องทำงสติปัญญำ เป็นกำรพัฒนำพฤติกรรมกำรปรับตัวในกำรดำรงชีวิตในสังคม ซึ่งผู้เรียนอำจได้รับกำรพัฒนำทักษะใดทักษะหน่ึงหรือใน ๑๐ พฤติกรรมนี้ ประกอบด้วย (๑) กำรสื่อควำมหมำย (Communication) (๒) กำรดูแล