Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ

การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ

Published by yaowaluck590, 2022-05-26 01:54:06

Description: การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ

Search

Read the Text Version

การพัฒนากจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รียน โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน เพ่อื ส่งเสรมิ ทกั ษะอาชพี และคุณลักษณะใน การประกอบอาชพี สาหรบั นักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษา โดย นายสรเดช เลศิ วฒั นาวณชิ วทิ ยานพิ นธ์น้เี ป็นสว่ นหน่งึ ของการศึกษาตามหลักสตู รศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สตู รและการนิเทศ แผน ก แบบ ก 2 ระดบั ปริญญามหาบัณฑติ ภาควิชาหลักสตู รและวิธีสอน บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ปกี ารศกึ ษา 2560 ลิขสิทธ์ิของบัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศิลปากร

การพฒั นากิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพือ่ สง่ เสรมิ ทกั ษะอาชพี และ คุณลกั ษณะในการประกอบอาชีพ สาหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษา โดย นายสรเดช เลศิ วัฒนาวณชิ วิทยานิพนธ์นเ้ี ป็นสว่ นหนึ่งของการศึกษาตามหลกั สูตรศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาหลักสูตรและการนเิ ทศ แผน ก แบบ ก 2 ระดบั ปริญญามหาบณั ฑิต ภาควชิ าหลักสตู รและวิธีสอน บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร ปีการศึกษา 2560 ลิขสทิ ธิ์ของบัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร

THE DEVELOPMENT OF ACTIVITIES FOR LEARNER’S DEVELOPMENT BY PROJECT BASED LEARNING TO ENHANCE CAREER SKILLS AND CAREER ATTITUDES FOR HIGH SCHOOL STUDENTS By MR. Soradet LERTWATHANAWANIT A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for Master of Education (CURRICULUM AND SUPERVISION) Department of Curriculum and Instruction Graduate School, Silpakorn University Academic Year 2017 Copyright of Graduate School, Silpakorn University

หัวขอ้ การพัฒนากจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน เพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะอาชพี และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรบั โดย นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษา สาขาวิชา สรเดช เลศิ วฒั นาวณิช อาจารย์ท่ีปรึกษาหลกั หลักสูตรและการนเิ ทศ แผน ก แบบ ก 2 ระดบั ปริญญา มหาบณั ฑติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชนสทิ ธิ์ สทิ ธิ์สูงเนิน บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศิลปากร ได้รบั พิจารณาอนุมัตใิ หเ้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของการศึกษา ตามหลักสตู รศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต คณบดบี ณั ฑิตวทิ ยาลัย (รองศาสตราจารย์ ดร.จุไรรัตน์ นันทานิช) พจิ ารณาเห็นชอบโดย (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มาเรยี ม นลิ พันธุ์ ) ประธานกรรมการ (ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ชนสทิ ธ์ิ สิทธ์ิสงู เนิน ) อาจารย์ทีป่ รึกษาหลกั (ดร. ศรีวรรณ ฉตั รสุรยิ วงศ์ ) อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม (อาจารย์ ดร. พนดิ า จารย์อปุ การะ ) ผู้ทรงคุณวฒุ ิภายนอก

ง บทคั ดยอ่ ภาษาไทย 59253410 : หลกั สตู รและการนเิ ทศ แผน ก แบบ ก 2 ระดับปรญิ ญามหาบณั ฑติ คาสาคญั : การพัฒนากิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี น, โครงงาน, ทกั ษะอาชพี , คุณลกั ษณะในการประกอบอาชีพ นาย สรเดช เลิศวัฒนาวณิช: การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริม ทักษะอาชพี และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ : ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ชนสทิ ธิ์ สทิ ธ์ิสูงเนนิ การวจิ ัยคร้ังนม้ี ีวตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัย คือ 1) เพ่ือศึกษาข้อมลู พืน้ ฐานและความต้องการในการพัฒนา กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษา 2) เพ่ือพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3) เพ่ือทดลองใช้กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และ 4) เพื่อประเมินผล และปรบั ปรุงกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น เก่ยี วกบั ทกั ษะอาชพี คณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชีพ และความพึงพอใจของ นักเรยี นท่มี ีต่อกิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น การวิจัยนีเ้ ป็นการวิจัยและพฒั นา (R&D) ใชแ้ บบแผนการวิจัยแบบ The One- Shot Case Study โดยทดลองกบั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ จานวน 30 คน จากการอาสาสมัคร ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) กิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน 2) แบบประเมินทกั ษะอาชีพ 3) แบบประเมนิ คณุ ลักษณะในการประกอบอาชีพ และ 4) แบบสอบถามความ พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน และการวิเคราะห์เชงิ เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ของนักเรียนและผู้ท่ีเกี่ยวข้อง ต้องการให้การ จัดการเรียนรู้เกี่ยวกับมะพร้าว ของดีประจาอาเภอบ้านแพ้ว มาสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับนักเรียน โดยมี การศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ในท้องถ่ิน มีการนาผู้รู้ท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้านมามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ ด้วย กระบวนการกล่มุ การแลกเปล่ียนเรียนรรู้ ่วมกนั การอภิปราย โดยมีครู นกั เรียน เพอ่ื นนกั เรยี น และปราชญช์ าวบา้ น เป็นผวู้ ัดและประเมนิ ผล 2. ผลการพฒั นากจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน เร่ือง ของดีบ้านแพ้ว ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) เปูาหมาย 3) แนวการจัดกิจกรรม 4) รูปแบบการจัดกิจกรรม 5) คาอธิบายรายวิชา 6) จุดประสงค์การเรียนรู้ 7) โครงสร้างการจัดกิจกรรม 8) สื่อ 9) การวัดและประเมินผล และ 10) แผนการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จานวน 5 แผน แต่ละแผนจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงาน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ 3. ผล การทดลองจดั กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน เรอื่ ง ของดบี า้ นแพว้ จัดการเรียนรดู้ ว้ ยโครงงาน 6 ขัน้ ตอน ได้แก่ 1) ให้ความรู้ พ้นื ฐาน 2) เลือกหัวข้อทีส่ นใจ 3) วางแผน 4) ลงมือปฏิบตั ิ 5) นาเสนอและอภปิ ราย และ 6) การวัดและประเมินผล พบว่า นักเรียนสนใจ และต้ังใจในการสร้างสรรค์เป็นผลงานโครงงานอาชีพ และ 4. ผลการประเมินและปรับปรุง กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น เรื่อง ของดีบ้านแพว้ พบวา่ 1) นักเรียนมีทักษะอาชีพ โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี 2) นักเรียน มีคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม พฒั นาผ้เู รยี น เรอื่ ง ของดีบ้านแพว้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด เห็นควรให้มีการปรับปรุงกิจกรรมให้มีการจัด กิจกรรมท่ีส่งเสริมใหน้ ักเรยี นได้ศึกษา คน้ คว้าหาความรดู้ ว้ ยตนเอง

จ บทคั ดย่อ ภาษาอังกฤษ 59253410 : Major (CURRICULUM AND SUPERVISION) Keyword : THE DEVELOPMENT OF ACTIVITIES FOR LEARNING, PROJECT BASE LEARNING, CAREER SKILL, CAREER ATTITUDE MR. SORADET LERTWATHANAWANIT : THE DEVELOPMENT OF ACTIVITIES FOR LEARNER’S DEVELOPMENT BY PROJECT BASED LEARNING TO ENHANCE CAREER SKILLS AND CAREER ATTITUDES FOR HIGH SCHOOL STUDENTS THESIS ADVISOR : ASSISTANT PROFESSOR CHANASITH SITHSUNGNOEN, Ph.D. The purposes of this research were to 1) study the fundamental data and needs for the development of learner development activities to enhance the career skill and career attitude for high school students. 2) develop learner development activities. 3) implement learner development activities and 4) evaluate and improve learner development activities about career skills, career attitude and the students’ opinion toward the learner development activities. This research was Research and Development using The One-Shot Case Study. The learner development activities were conducted with 30 high school students at Watlaksipipatratuphatum School in the second semester of the academic year 2017 through the Volunteer Sampling. The instruments of this research were 1) The learner development activities 2) The student’s career skills evaluation form 3) The students’ career attitude evaluation form and 4) the student’s opinion toward the activities for learner’s development. The data was analyze by percentage, mean, standard deviation and Content Analysis. The research results were: 1.The studying of fundamental information found that the students and participants need to study about coconut which is considered the local products of BAN PAWEO to create a career and income for the students. By learn from local learning resources, Local knowledge participate in learning. 2.The results of developing the learner development activities found that the learner development activities consisted of 1) principles 2) goals 3) guidelines of activity 4) patterns of activity 5) description of learning course 6) objectives 7) framework of activities 8) materials/resources 9) measurement and evaluation and 10) 5 lesson plans of learner development activities 3.The implementation of leaner development activities by project base learning 6 steps; 1) Basically Knowledge 2) Define 3) Plan 4) Do 5) Presentation and Discussion and 6) Evaluation. The students had interest and intended in their career project and 4.The evaluation and improvement of the learner development activities found that 1) Career skills were at a good level. 2) Career attitudes were at a good level and 3) The student’s opinion towards the learner development activities were at the highest level. They thought that to improve the activity that encourage self-study.

ฉ กติ ตกิ รรมประกาศ กิตตกิ รรมประกาศ วิทยานพิ นธ์ฉบับน้สี าเรจ็ ลลุ ว่ งได้ดว้ ยความอนุเคราะห์จากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนะสิทธ์ิ สิทธิ์สูง เนิน และ ดร.ศรีวรรณ ฉัตรสุริยวงศ์ ที่กรุณาให้ความอนุเคราะห์ เป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ คอยให้คาปรึกษา คาแนะนา และให้ความช่วยเหลือแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ทาให้วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งข้ึน ตลอดจนใหก้ าลังใจตลอดระยะเวลาที่ทาการวิจัยเปน็ อยา่ งดี ผู้วิจยั จงึ ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านเป็น อยา่ งสงู ขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาเรียม นิลพันธุ์ ท่ีกรุณาเป็นประธานในการพิจารณา วิทยานพิ นธ์ และ อาจารย์ ดร.พนดิ า จารยอ์ ปุ การะ ผทู้ รงคุณวฒุ ิ ที่กรุณาให้คาแนะนาในการแก้ไข ขอ้ บกพร่อง ตลอดจนคณาจารย์ในสาขาวิชาหลักสูตรและการนิเทศ และคณาจารย์ทุกท่านท่ีให้ความรู้และประสบการณ์ อันมีคา่ ยง่ิ แก่ผูว้ ิจัยตลอดเวลาท่ศี ึกษาอยู่ในคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศิลปากรใหป้ ระสบความสาเรจ็ ได้ ขอบพระคุณผู้เชย่ี วชาญ อาจารย์ ดร.บญุ รอด ชาติยานนท์ ดร.จันทรเ์ พญ็ สวุ รรณคร ดร.สาลินี อุดม ผล ดร.วิจิตรา ตะโกพร ดร.พีชญาณ์ พานะกิจ อาจารย์ ดร.ดวงหทัย โฮมไชยะวงศ์ ดร.ศิรินทิพย์ เด่นดวง ดร. กิตติมา ปัทมาวิไล ดร.อรนุช ม่ังมีสุขศิริ และนางสาวอุมาภรณ์ วงศ์วิสิฐศักด์ิ ท่ีกรุณาให้คาแนะนา ปรับปรุง เครื่องมือ และกรุณาเป็นผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ในการตรวจเคร่ืองมือประกอบการวิจัย เพือ่ ใหเ้ คร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ให้มคี ณุ ภาพ ขอบพระคุณผู้อานวยการโรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ นางสาววรรณา ปุจฉาการ ตลอดจนครูโรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ และผู้ที่ไม่ได้กล่าวนาม ณ ท่ีนี้ทุกท่าน ท่ีกรุณาให้ข้อมูลที่ เป็นประโยชน์ต่อการทาวิทยานิพนธ์ในครั้งนี้ นอกจากน้ันยังให้ความช่วยเหลือ อุปการะ สนับสนุน เป็นท้ัง แรงใจ แรงทรัพย์ และใหก้ าลงั ใจเสมอมา ตลอดจนความหว่ งใยและปรารถนาดีแก่ผู้วิจยั มาโดยตลอด ขอบพระคุณบิดา มารดา และครอบครัว รวมถึง พี่ๆ เพ่ือนๆ และน้องๆ รุ่นรหัส 59 สาขาวิชา หลักสูตรและการนิเทศ ทุกท่านท่ีได้ให้ความช่วยเหลือ อุปการะ การสนับสนุน และเป็นท้ังแรงใจ แรงทรัพย์ สนับสนนุ และใหก้ าลังใจ ตลอดจนความหว่ งใยและปรารถนาดีแกผ่ วู้ จิ ยั มาโดยตลอด ขอบพระคณุ บณั ฑติ วทิ ยาลยั ทไ่ี ดก้ รุณามอบทนุ อดุ หนนุ การทาวิทยานพิ นธ์ จากเงินรับฝากโครงการ บริการวชิ าการ (โครงการอบรมภาษาองั กฤษเข้ม) ของบณั ฑติ วทิ ยาลัย ประจาปีงบประมาณ 2561 หากวิทยานิพนธ์ฉบับน้ีก่อให้เกิดประโยชน์และคุณค่า ผู้วิจัยขอมอบคุณความดีท้ังมวลแก่ผู้ท่ี เกี่ยวข้องทง้ั หมดทท่ี าใหว้ ทิ ยานิพนธ์นป้ี ระสบความสาเรจ็ ลุลว่ งไปได้ด้วยดี สรเดช เลิศวฒั นาวณชิ

สารบญั หน้า บทคัดย่อภาษาไทย.............................................................................................................................ง บทคัดย่อภาษาอังกฤษ....................................................................................................................... จ กิตติกรรมประกาศ............................................................................................................................. ฉ สารบัญ.............................................................................................................................................. ช สารบัญตาราง................................................................................................................................... ญ สารบัญแผนภมู ิ..................................................................................................................................ฏ สารบัญภาพ ...................................................................................................................................... ฐ บทท่ี 1 .............................................................................................................................................. 1 บทนา................................................................................................................................................ 1 ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ....................................................................................... 1 กรอบแนวคิดที่ใชใ้ นการวิจยั ......................................................................................................... 7 คาถามวิจยั ................................................................................................................................. 12 วัตถปุ ระสงค์การวิจัย .................................................................................................................. 12 สมมตฐิ านการวจิ ยั ...................................................................................................................... 13 ขอบเขตของการวิจยั ................................................................................................................... 13 ระยะเวลาในการทดลอง ............................................................................................................. 14 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ........................................................................................................................ 14 ประโยชนท์ ่ไี ด้รบั ......................................................................................................................... 15 บทท่ี 2 ............................................................................................................................................ 16 วรรณกรรมท่เี กย่ี วขอ้ ง..................................................................................................................... 16 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 : กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น .................. 16

ซ หลักสูตรโรงเรยี นวัดหลักส่ีพพิ ัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ ....................................................................... 18 กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน................................................................................................................. 20 ความหมายของกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น ................................................................................. 20 ความสาคญั ของกิจกรรมพฒั นาผู้เรียน................................................................................. 21 ลกั ษณะของกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น....................................................................................... 22 กจิ กรรมชมุ นุม............................................................................................................................ 23 ประเภทของกิจกรรมชมุ นุม ................................................................................................. 23 หลกั การของกจิ กรรมชมุ นุม................................................................................................. 24 วตั ถุประสงค์ของกิจกรรมชมุ นุม .......................................................................................... 24 ขอบข่ายของกิจกรรมชมุ นมุ ................................................................................................. 24 แนวการจดั กิจกรรมชุมนมุ ................................................................................................... 25 เง่อื นไขของกิจกรรมชมุ นุม................................................................................................... 25 การประเมนิ กจิ กรรมชุมนมุ .................................................................................................. 25 ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ............................................................................................................... 26 กระบวนการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 .................................................................................... 30 การจัดการเรยี นรูแ้ บบโครงงาน (Project Base Learning)........................................................ 31 การจดั การศกึ ษากบั การประกอบอาชีพ ...................................................................................... 37 ทกั ษะอาชพี (Career Skills) ...................................................................................................... 47 แนวคิดเกีย่ วกบั คณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชพี ....................................................................... 58 ขอ้ มลู ทว่ั ไปของจงั หวัดสมุทรสาคร.............................................................................................. 62 ขอ้ มลู ทั่วไปของอาเภอบ้านแพว้ .................................................................................................. 67 ข้อมลู ท่ัวไปของชมุ ชนบ้านแพ้ว................................................................................................... 68 งานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง ..................................................................................................................... 70 งานวจิ ยั ในประเทศ.............................................................................................................. 70

ฌ งานวิจัยต่างประเทศ............................................................................................................ 75 บทท่ี 3 ............................................................................................................................................ 77 วธิ ดี าเนินการวจิ ยั ............................................................................................................................ 77 ขั้นตอนที่ 1 การวิจยั (R1 : Research) : การศกึ ษาข้อมลู พื้นฐานและความต้องการเกี่ยวกับการ พัฒนากจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี น ............................................................................................... 79 ขน้ั ตอนที่ 2 การพัฒนา (D1 : Development) : การพฒั นากจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น.................... 89 ขั้นตอนท่ี 3 การวจิ ยั (R2 : Research) : การทดลองใช้กิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี น..........................107 ขน้ั ตอนท่ี 4 การพฒั นา (D2 : Development) : การประเมนิ และปรับปรุงกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน .......................................................................................................................................... 109 บทที่ 4 ..........................................................................................................................................125 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ...................................................................................................................125 ตอนที่ 1 ผลการศึกษาข้อมูลพ้นื ฐาน.........................................................................................125 ตอนท่ี 2 ผลการพัฒนากจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น ...........................................................................134 ตอนท่ี 3 ผลการทดลองจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน .....................................................................140 ตอนท่ี 4 ผลการประเมนิ และปรบั ปรุงกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น...................................................147 บทที่ 5 ..........................................................................................................................................154 สรปุ ผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ ..........................................................................................154 สรปุ ผลการวิจยั .........................................................................................................................154 อภปิ รายผลการวิจัย..................................................................................................................158 ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................. 163 รายการอ้างองิ ...............................................................................................................................165 ประวัตผิ เู้ ขยี น................................................................................................................................252

ญ สารบัญตาราง หน้า 1 แสดงโครงสร้างหลกั สูตรโรงเรยี นวดั หลักสีพ่ ิพัฒน์ราษฎรอ์ ุปถมั ภ.์ ......................... 19 2 การสงั เคราะหข์ ั้นตอนการจดั การเรยี นรูโ้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน................................. 35 3 ความคดิ รวบยอดเก่ียวกบั การพฒั นาเสน้ ทางอาชพี จาแนกตามลาดับน้าหนัก การให้ความรู้และระดับชัน้ ........................................................................................... 37 4 การสังเคราะห์ทกั ษะอาชีพ........................................................................................... 53 5 การสังเคราะหค์ ณุ ลักษณะในการประกอบอาชพี ......................................................... 61 6 แสดงขอ้ มูลสภาพภมู อิ ากาศในพน้ื ทลี่ ุ่มน้าทา่ จนี .......................................................... 65 7 แสดงจานวนอาเภอ ตาบล เทศบาล อบต. ในจังหวดั สมุทรสาคร................................ 65 8 สรปุ วธิ ดี าเนินการวจิ ยั ขนั้ ตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพืน้ ฐาน......................................... 87 9 สรุปหนว่ ยการเรียนร้.ู ................................................................................................... 96 10 หน่วยการเรียนรู้ เร่อื ง ของดีบ้านแพ้ว......................................................................... 97 11 สรุปวิธดี าเนนิ การวจิ ยั ขัน้ ตอนที่ 2 การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เรือ่ ง ของดีบา้ นแพ้ว สาหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาตอนต้น โรงเรยี นวัดหลักส่พี ิพัฒน์ ราษฎรอ์ ปุ ถมั ภ์ ฉบับรา่ ง............................................................................................... 105 12 แบบแผนการวิจัย......................................................................................................... 107 13 สรปุ วิธดี าเนินการวจิ ยั ข้นั ตอนที่ 3 การทดลองใช้กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน เร่ือง ของดีบ้านแพว้ สาหรับนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาตอนตน้ โรงเรยี นวัดหลกั ส่ีพิพฒั น์ ราษฎรอ์ ุปถัมภ์.............................................................................................................. 109 14 เกณฑ์การประเมินทักษะอาชีพ..................................................................................... 111 15 เกณฑ์การประเมนิ คุณลกั ษณะในการประกอบอาชพี ................................................... 115 16 สรุปวธิ ดี าเนินการวิจัยขั้นตอนท่ี 4 การประเมินผลและปรับปรุงกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน เรอื่ ง ของดีบา้ นแพว้ สาหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาตอนต้น...................................... 123 17 แสดงจานวนและรอ้ ยละเกี่ยวกบั สภาพและข้อมลู ทั่วไปของนักเรยี น........................... 127

ฎ 18 แสดงจานวนและรอ้ ยละของความต้องการเก่ยี วกบั เน้อื หากิจกรรม การจัดกิจกรรมการ เรยี นรู้ ส่อื การเรยี นรู้ การวดั และการประเมินผลกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รยี น…….................. 128 19 แสดงจานวนและรอ้ ยละเกีย่ วกบั สถานภาพและข้อมูลทว่ั ไปของผใู้ ห้สมั ภาษณ.์ ............ 131 20 โครงสรา้ งการจดั กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน เร่อื ง ของดบี ้านแพ้ว………………………............. 138 21 ผลการประเมินทกั ษะอาชพี หลงั การจดั กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น เรอ่ื ง ของดบี ้านแพ้ว.... 147 22 ผลการประเมินคณุ ลักษณะในการประกอบอาชีพ หลงั การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น เรื่อง ของดบี ้านแพว้ ...............................................................................…….................. 148 23 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ีต่อกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียน เรอื่ ง ของดีบ้านแพ้ว...............................................................................…….................. 149 24 รายชื่อผูเ้ ชี่ยวชาญตรวจคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวจิ ยั ............................................. 168 25 รายชอื่ ผูเ้ ข้าร่วมสนทนากลุ่ม (Focus Group).............................................................. 173 26 ผลการวิเคราะห์ความสอดคล้องแบบประเมินความเหมาะสมของแบบสอบถามความ ต้องการการพัฒนากจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น สาหรบั นกั เรียน........................................... 233 27 ผลการวเิ คราะหค์ วามสอดคล้องแบบประเมินความเหมาะสมของแบบสมั ภาษณ์ ความคดิ เหน็ การพัฒนากจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น สาหรบั ผอู้ านวยการโรงเรยี น และ หวั หนา้ ฝุายวชิ าการ...................................................................................................... 236 28 คา่ ดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ของประเด็นสนทนากลุม่ (Focus Group Discussion) 238 29 ค่าดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ของแบบสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรียนท่ีมตี ่อ กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียน เรอื่ ง ของดบี า้ นแพว้ สาหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษา……….……. 240

ฏ สารบัญแผนภูมิ หนา้ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย..................................................................................................... 11 2 ขอบข่ายกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี นตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551........................................................................................................... 22 3 แนวทางการจดั การศึกษาอาชีพ...................................................................................... 42 4 กระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การฝึกทักษะอาชีพ.................................................. 43 5 กรอบการดาเนินการวิจัย................................................................................................. 78 6 แสดงขน้ั ตอนการสรา้ งแบบสัมภาษณค์ วามคิดเหน็ ในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน.. 83 7 แสดงขั้นตอนการสรา้ งแบบสอบถามความต้องการในการพัฒนากิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น.. 86 8 แสดงขัน้ ตอนการสรา้ งประเด็นสนทนากลุ่ม..................................................................... 94 9 แสดงขน้ั ตอนการสร้างแผนการจัดกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน................................................ 104 10 แสดงขัน้ ตอนการสร้างแบบประเมนิ ทักษะอาชีพ............................................................. 114 11 แสดงขั้นตอนการสรา้ งแบบประเมนิ คุณลกั ษณะในการประกอบอาชีพ............................ 119 12 แสดงขน้ั ตอนการสร้างแบบสอบถาม............................................................................... 122 13 การจัดสถานท่ีในการสนทนากลุ่ม (Focus Group)…………….......................................... 174

ฐ สารบญั ภาพ หนา้ 1 การสนทนากลมุ่ (Focus Group)................................................................................... 91 2 การพานักเรยี นไปศึกษานอกสถานท่ี ณ บ้านสวนแช่มชนื่ ............................................... 141 3 การพานักเรยี นไปศึกษายงั สถานประกอบการ………………………………….......................... 141 4 กจิ กรรมตลาดจาลอง....................................................................................................... 142 5 การเลือกหัวข้อท่ีสนใจ และร่วมกนั วางแผนโครงงานอาชีพ............................................ 143 6 การสรา้ งผลงานโครงงานอาชีพ กระถางตน้ ไม้ธรรมชาติจากขุยมะพร้าว......................... 143 7 การสร้างผลงานโครงงานอาชพี ถ่านดับกลิน่ ................................................................... 144 8 การสรา้ งผลงานโครงงานอาชีพ นา้ มันมะพรา้ ว............................................................... 144 9 การสรา้ งผลงานโครงงานอาชีพ พวงกุญแจกะลา............................................................. 145 10 การสรา้ งผลงานโครงงานอาชพี วุ้นมะพรา้ ว..................................................................... 145 11 การสรา้ งผลงานโครงงานอาชีพ มะพรา้ วแก้ว................................................................... 145 12 กิจกรรมการนาผลติ ภณั ฑ์มาจาหนา่ ยเน่อื งในงานเปิดบา้ น พ.ร........................................ 146

1 บทที่ 1 บทนา ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา สังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ท้ังทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง บริบทสังคม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การศึกษาก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าประเทศไทยมีการปฏิรูป การศึกษามาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2542 อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และรัฐบาลได้มีการจัดสรร งบประมาณเพื่อการศึกษาเพิ่มข้ึนทุกปี ซึ่งสวนทางกับผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของประเทศ ไทย ดังนั้นการศึกษาจึงไม่ใช่แค่เพียงการเรียนรู้ในระดับข้ันพ้ืนฐาน แต่เป็นการเรียนรู้เพ่ือส่งเสริม ทักษะพื้นฐานในการดารงชีวิต มีการพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงในสังคม เพ่ือพัฒนามนุษย์ให้เป็นพลโลก สามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมโลกได้อย่างมีความสุข ดังทัศนะของ วิจารณ์ พานิช ที่ได้กล่าวไว้ว่า “โลกสมัยใหม่ทุกอย่างเปล่ียนตลอดเวลา เด็กต้องมีชีวิตอีก 50-60-70 ปี โลกมันจะเปลี่ยนไปอย่างนึกไม่ถึงเลยว่า จะเปล่ียนไปอย่างไร เขาต้องเป็นส่วนหนึ่งของการ เปล่ียนแปลง เขาต้องเป็นผู้หนึ่งท่ีมีส่วนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง หากเขาไม่ทาอย่างน้ัน เขาจะถูก เปลี่ยนแปลง ชีวติ เขาจะยากลาบากมาก เพราะเขาจะเป็นผู้ถูกกระทา...” (วิจารณ์ พานิช, 2556: 15) ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั แผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) และ แผนการศกึ ษาแห่งชาติ (พ.ศ.2560-2579) ได้กลา่ วว่า การทีจ่ ะพัฒนาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่ง คงั่ และยง่ั ยนื ใหเ้ กดิ ขึน้ ในอนาคตนนั้ จะตอ้ งมกี ารพฒั นาคน ให้เตรียมพร้อมสาหรับการเปล่ียนแปลง ของโลกในศตวรรษท่ี 21 มีคุณภาพชีวิตท่ีดี มีอาชีพ มีความมั่นคง มั่งค่ัง ยั่งยืนในการดารงชีวิต เป็น การเตรียมนักเรียนให้สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ในสังคม และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 มาตรา 6 ที่กล่าวว่า การจัดการศึกษาต้องเป็นไป เพื่อ พัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม จริยธรรม วฒั นธรรมในการดารงชวี ติ สามารถอยรู่ ่วมกบั ผ้อู ื่นได้อย่างมคี วามสุข ทักษะเพ่ือการดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ถือเป็นส่ิงสาคัญท่ามกลางการเปล่ียนแปลงทาง สังคมท่ีเกิดขึ้น เพื่อใช้ในการดารงชีวิตในสังคมแห่งความเปล่ียนแปลงในปัจจุบัน อันประกอบด้วย ทักษะสาคัญ 3 กลุ่ม ดังน้ี 1) ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 2) ทักษะสารสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี และ 3) ทักษะชีวิตและอาชีพ (สานักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย, มปป : 12-16) นอกจากนนั้ วิจารณ์ พานิช (2555, 16-21) ได้กลา่ วถึงทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 โดยแจกแจงออกเป็น 3Rs + 8Cs + 2Ls โดยมีรายละเอียด 3Rs คือ Reading, (W) Riting, (A) Rithmetics และทักษะ ย่อย 8Cs มีทักษะย่อยๆ ดังน้ี 1) ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา

2 2) ทักษะด้านการสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม 3) ทกั ษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะ ผู้นา 4) ทักษะดา้ นความเข้าใจต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ 5) ทกั ษะด้านการส่ือสารสนเทศ และ รู้เท่าทันสื่อ 6) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 7) ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ และ 8) ทักษะการเปลี่ยนแปลง และท่ีเพิ่มเติมมา 2Ls คือ ทักษะการเรียนรู้ และ ภาวะผู้นา ซ่ึงเป็นทักษะพื้นฐานในการท่ีจะพัฒนานักเรียนให้นาไปสู่ศตวรรษท่ี 21 เพื่อ เสรมิ สร้างความรู้ ทักษะในการรบั มือกบั การเปลย่ี นแปลงทางสังคมทีเ่ กิดข้นึ อยา่ งตอ่ เนื่องและสามารถ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ อันนาไปสู่การส่งเสริมเรียนรู้และปรับตัวได้ และสามารถ ดารงชวี ิตในยคุ ปจั จุบนั และเปน็ การเตรียมความพร้อมผเู้ รยี นไปสู่ศตวรรษที่ 21 ได้ (เอกชัย พุทธสอน , 2556 : 95) อันเป็นจุดเร่ิมต้นที่สาคัญในการจะนาพาประเทศเข้าสู่ Thailand 4.0 โดยกลไกการ ขับเคล่ือน “ความมั่งคั่ง ความม่ันคง ความยั่งยืน” ไปสู่ผู้เรียน ซ่ึงเป็นคนท่ีสาคัญท่ีสุด และหลังจาก นั้นคนเหล่านั้นก็จะไปสร้างนวัตกรรม เพ่ือขับเคล่ือนประเทศไปสู่ Thailand 4.0 (สุวิทย์ เมษินทรีย์, 2560 : 28-32) ทกั ษะอาชพี (Career Skills) เป็นทกั ษะหน่ึงท่ีมคี วามสาคญั ในการดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 จะเห็นได้จากจุดเน้นของนโยบายสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ที่มุ่งเน้นให้โรงเรียน สร้างค่านิยมในเร่ืองของการเรียนในสายอาชีพ และลดสัดส่วนการเรียนสายสามัญ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 26) ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) ที่มีแผนในการพัฒนาการศึกษา โดยกาหนดแนวโน้มการศึกษาต่อ มัธยมศึกษาตอนปลายประเภทสายอาชีวศึกษา : สายสามัญ ในปี 2560 – 2564 จากจานวนสัดส่วน นักเรยี นท่ศี ึกษาตอ่ มัธยมศึกษาตอนปลายประเภทสายอาชีวศึกษา : สายสามัญ 40 : 60 ปรับสัดส่วน นักเรยี นทีศ่ ึกษาต่อมธั ยมศึกษาตอนปลายประเภทสายอาชีวศกึ ษาเพ่ิมข้ึนเป็น 50 : 50 และมีแนวโน้ม ท่ีจะสูงขึ้น ดังแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 (2560 : 21) ที่ได้กล่าวถึง เปูาหมายของ สัดสว่ นนกั เรียนทศ่ี ึกษาต่อสายอาชีวศึกษา : สายสามัญ 70 : 30 จากแนวโน้มการศึกษา จะเห็นได้ว่า มีการให้ความสาคัญต่อการศึกษาประเภทสายอาชีวศกึ ษา สายอาชีพ ค่อนข้างมีความสาคัญมากขึ้นใน ศตวรรษท่ี 21 นอกจากน้ียังมีการกาหนดแนวทางการดาเนินงานในการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์ในการ พัฒนาการศึกษา ด้านการพัฒนาหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน และการวัดประเมินผล ได้ กาหนดมาตรฐานหลักสูตรตามระดับช่วงชั้น และมาตรฐานสมรรถนะวิชาชีพ ท่ีสอดคล้องกับความ ต้องการของสถานศึกษา และสถานประกอบการ เพ่ือจัดกระบวนการเรียนการสอนให้นักเรียนเกิด ทักษะอาชีพ ในการดารงชีวิตในสังคมโลก ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 มาตรา 7 ท่ีให้นักเรียนมีความสามารถในการประกอบ อาชีพ รู้จกั พง่ึ ตนเอง มคี วามคิดสร้างสรรค์ ใฝุรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเน่ือง และมาตรา 23 ท่ี

3 เนน้ กระบวนการเรยี นรูแ้ ละบรู ณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับในเรือ่ งความรู้ ทักษะในการ ประกอบอาชีพ และการดารงชีวิตอย่างมีความสุข และในทางเดียวกันสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานได้กาหนดนโยบายสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานด้านการศึกษา โดยมจี ดุ เน้นให้นกั เรยี นมีแรงจูงใจสู่อาชีพ ได้รับการศึกษาความรู้ ทักษะท่ีเหมาะสม เพื่อการมีงานทา ในอนาคต เป็นกาลังคนที่สาคัญในการพัฒนาประเทศชาติ ดังพระบรมราโชวาท ในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ ในหนังสือ “วันเด็ก ประจาปี 2535” ไดม้ ีพระราชดารัสถงึ การศึกษาไว้ว่า “คนทุกคนมีหน้าที่ต้องทา แม้เป็นเด็กก็มีหน้าที่อย่างเด็ก คือศึกษาเล่าเรียน หมายความว่า จะต้องเรียนให้รู้วิชา ฝึกหัดทาการงานต่างๆให้เป็น อบรมขัดเกลา ความประพฤติและความคิดจิตใจให้ประณีต ให้สุจริต แจ่มใส และเฉลียวฉลาดมีเหตุผล เพ่ือจะได้ เติบโตขึ้นเป็นคนท่ีมคี วามรู้ความสามารถ และมีประโยชนต์ ่อชาติบา้ นเมือง” จากผลการวิจัยการเปรียบเทียบการจัดการศึกษาข้ันพื้นฐานเพ่ือการประกอบอาชีพของ ต่างประเทศกับประเทศไทย สิริพันธุ์ สุวรรณมรรคา และคณะ (2554 : 1) ได้กล่าวถึง ความสาคัญ ของการจัดการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน เพ่ือพฒั นาคนของประเทศให้เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะ ในการประกอบอาชีพ มีคุณธรรมและจริยธรรม ได้ “กาลังคน” สาหรับการพัฒนาประเทศท่ีมี ประสิทธิภาพ แต่จากข้อมูลแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (2560 : 37) ปรากฏ วา่ ในชว่ งระหวา่ งปี 2555-2558 ชว่ งอายขุ องเดก็ ไทยทไ่ี ด้รับการศึกษาในโรงเรียนเพ่ิมขึ้น จาก 8.8 ปี เป็น 8.9 ปี เปน็ 9.0 ปี และ เป็น 9.3 ปี ตามลาดับ ในขณะที่การศึกษาข้ันพื้นฐานมีระยะเวลาในการ เรียน 12 ปี นั่นหมายความว่ามีนักเรียนส่วนหนึ่งท่ีต้องออกจากโรงเรียนขณะเรียนระดับช้ัน มธั ยมศึกษาตอนต้น หรอื การศกึ ษาภาคบงั คับ เน่ืองจากมีความจาเป็นต้องออกไปทางาน เพื่อหาเล้ียง ชีพ แต่ในขณะเดียวกัน นักเรียนท่ีตัดสินใจศึกษาต่อสายสามัญหรือสายอาชีพ พบว่า มีนักเรียน บางส่วนท่ีเรียนไปด้วย ทางานหาเลี้ยงชีพไปด้วย ซึ่งจากสถานการณ์ท่ีได้กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็น ถึงความสาคัญของการส่งเสริมทักษะอาชีพให้กับนักเรียน กล่าวคือ นักเรียนท่ีไม่ได้จบการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน จะขาดโอกาสในด้านความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ รวมถึงทักษะในการประกอบอาชีพ ซ่ึงสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ SWOT ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พบว่า นกั เรียนขาดทกั ษะการเรียนรูใ้ นศตวรรษที่ 21 ซ่งึ สามารถส่งเสริมการดาเนินการศึกษาด้านอาชีพของ นักเรียนให้มากขึ้น และจากข้อเสนอแนะพบว่า ควรมีการปรับปรุงหลักสูตร ส่งเสริมระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียน จัดกิจกรรมให้นักเรียนเกิดทักษะอาชีพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 43) ซ่ึง สอดคล้องกับสานักงานแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร (2560 : 10) ท่ีได้กล่าวถึง ทักษะของแรงงานท่ี สถานประกอบการมีความคาดหวัง คือ ทักษะความสามารถเฉพาะในวิชาชีพ ทักษะในการสื่อสาร ทักษะในการบริหารจดั การ และคณุ ลักษณะของแรงงานท่ีสถานประกอบการมีความต้องการ ไม่ว่า

4 จะเป็น ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ สุจริต ความอดทน การตรงต่อเวลา ความขยัน หม่ันเพียร ความมรี ะเบียบวนิ ัย ความใฝุเรยี นรู้ การมีจิตสาธารณะ จากปัญหาดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการศึกษา ไทยทข่ี าดการใหค้ วามสาคญั ของการเตรยี มความพรอ้ มในการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ได้กล่าวถึง เรื่องการประกอบอาชีพไว้ใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ว่าเป็นการจัดการศึกษาท่ีสอดคล้องกับ หลักการและแนวทางการดาเนินการของ Career education ท่ีมีการปรับมาจากอาชีวศึกษามาเป็น การศึกษาเพ่ือการประกอบอาชีพในโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยมีเปูาหมายเพ่ือใช้เป็นรูปแบบการเรียน การสอนสาหรับบุคคลท่ีจบการศึกษาระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน แล้วไม่ได้ศึกษาต่อ เพราะต้องการ ทางาน เพ่ือเลี้ยงชีพ จึงจัดระบบการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับหลักสูตรเตรียม อาชีวศึกษาท่มี ีอยู่ในปัจจุบัน โดยคานึงถึงความต้องการของสังคม (สิริพันธุ์ สุวรรณมรรคา และคณะ, 2554 : 2) จากความสาคัญของทักษะอาชีพข้างต้น และนโยบายการศึกษาที่เก่ียวข้องกับทักษะอาชีพ การจัดการศึกษาในสถานศึกษาจึงต้องมีการจัดการศึกษาท่ีส่งเสริมทักษะอาชีพ โดยมีเปูาหมายที่จะ พฒั นาครูผ้สู อน และนักเรียนให้เกิดความตระหนกั ในความสาคัญ และเห็นคุณค่าการศึกษาด้านอาชีพ โดยบุคคลท่ีสาคัญท่ีสุดในกระบวนการส่งเสริมทักษะอาชีพ ก็คือ “ครู” ท่ีมีความสาคัญต่อคุณภาพ การศึกษา และ “หลกั สูตร” ท่ตี อบสนองความตอ้ งการ ความถนัดและความสนใจของนกั เรยี น “หลักสูตร” ถือเป็นหัวใจสาคัญในการขับเคล่ือนนโยบายการศึกษา เพื่อพัฒนานักเรียนให้ นาไปสู่การดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เพราะหลักสูตรมีความสาคัญต่อการส่งเสริมของบุคคล ในการ ปลูกฝังพฤติกรรม คุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้นักเรียนค้นพบความสามารถ ความสนใจ ความถนัดท่ี แท้จริงของตนเอง นอกจากน้ียงั เป็นเครื่องมอื ในการจดั การศึกษาเพอ่ื ให้บรรลวุ ัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ อย่างเปน็ ระบบ และมปี ระสทิ ธิภาพ (ฆนัท ธาตุทอง, 2551: 4-5) โดยจัดกระบวนการเรียนการสอนให้ สอดคล้องกับความต้องการ ความถนัด และความสนใจของนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ท่ีให้จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับหลักสูตรตามความ จาเป็น และความต้องการของนักเรียน ชุมชน ท้องถิ่น และสังคม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560: 18- 19) การนาหลักสูตรมาใช้จะประสบความสาเร็จ หากได้รับความร่วมมือ จากโรงเรียน ท่ีให้ ความสาคัญในการจัดหลักสูตรที่เน้นให้นักเรียนเกิดทักษะอาชีพ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ท่ีให้จัดหลักสูตรทักษะอาชีพ ควบคู่กับวิชาสามัญ ไม่เพียงจัด หลักสูตรสายสามัญให้กับนักเรียนเท่านั้น แต่โรงเรียนจะต้องปรับทัศนคติ และมุมมองในการจัด การศึกษา ให้ความสาคัญในการจัดการศึกษาสายอาชีพ และส่งเสริมให้โรงเรียนที่จัดการศึกษา มัธยมศกึ ษาตอนปลาย จดั การศกึ ษาวชิ าชีพทีห่ ลากหลาย มคี ุณภาพมาตรฐาน และเหมาะสมกับความ

5 ต้องการของแต่ละบุคคล (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560: 18-19) จากการศึกษาวิสัยทัศน์ของหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่มุ่งพัฒนาให้นักเรียนมีความรู้และทักษะในการ ประกอบอาชีพ บนพื้นฐานความเช่ือว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ และ จุดมุ่งหมาย ที่มุ่งพัฒนานักเรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาประกอบ อาชพี ในการพัฒนาให้นักเรียนได้พัฒนาตนเองเต็มตามศักยภาพ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ไดม้ ีการกาหนดใหม้ ีกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้และ ยังมี การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนท่ีไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา เพ่ือส่งเสริมการพัฒนาอย่างรอบด้านท้ัง ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม เพ่ือให้นักเรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ อันส่งผลให้นักเรียนมี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และค้นพบความสามารถ ความถนัดของตนเอง สามารถเรียนรู้ในการใช้ ชีวิต และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ด้วยรูปแบบวิธีการท่ีหลากหลาย การจัดกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียนซึ่งมีเปูาหมายหลักของกิจกรรมที่มุ่งเสริมและพัฒนานักเรียนในด้านความรู้ ทักษะ และประสบการณ์การเรียนรู้ อันนาไปสู่การเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ ได้แก่ ความสามารถใน การสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี อันส่งผลให้นักเรียนเกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2553: 7) ในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในสถานศึกษามีหลายลักษณะ หน่ึงในนั้นคือ กิจกรรมชุมนุม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สถานศึกษาจัดตั้งข้ึน เพ่ือตอบสนองความสนใจ ความถนัดและความสามารถของ นักเรียน ตามเจตนารมณ์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เพ่ือให้ นักเรียนได้พัฒนาความรู้ ความสามารถด้านการวิเคราะห์ ท้ังด้านวิชาการและวิชาชีพตามศักยภาพ และสง่ เสริมให้นกั เรียนทางานร่วมกบั ผู้อนื่ เป็นการสร้างสัมพันธภาพท่ีดีต่อกัน และใช้เวลาว่างให้เกิด ประโยชน์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553: 51-52) ซ่ึงสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 3) ในหมวดที่ 4 มาตรา 23 เกี่ยวกับการจัดการศึกษาท่ีส่งเสริมให้ นกั เรียนรู้จักตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม มีความรู้ และทักษะในการประกอบอาชีพ และการดารงชีวิตอย่างมีความสุข จากผลการวิจัยการเปรียบเทียบการจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐานเพื่อ การประกอบอาชีพของต่างประเทศกับประเทศไทย สิริพันธุ์ สุวรรณมรรคา และคณะ (2554 : 2) ได้ ให้ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสาหรับสถานศึกษาเก่ียวกับการจัดการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพ ไว้ว่า ควรมีการพัฒนาหลักสูตรที่เน้นการปฏิบัติงานในสถานประกอบการ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และฝึก ทักษะทางวิชาชีพจากผู้เชย่ี วชาญ เพ่ือสง่ เสริมใหน้ ักเรียนเกดิ ทักษะอาชพี

6 โรงเรยี นวัดหลักสพ่ี ิพัฒน์ราษฎรอ์ ุปถมั ภ์ อาเภอบา้ นแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร สังกัดสานักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 10 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เปน็ โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก มีการจัดการศึกษาต้ังแต่ระดับมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 – 6 โดยทางโรงเรียนไดต้ ระหนักถงึ นโยบายการจัดการศึกษาที่เน้นจัดการศึกษาสายสามัญควบคู่ การศึกษาสายอาชีพ การใหค้ วามสาคญั กับการศึกษาสายอาชพี โดยมงุ่ เน้นให้ยักเรียนเกิดทักษะอาชีพ สามารถนาความรู้ทไ่ี ด้มาประยุกต์ใช้ในการดารงชีวิต สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุข เนื่องจาก อัตราการศึกษาต่อในระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย ของนักเรียน มีจานวนลดลง จาก ข้อมูลอัตราการศึกษาต่อของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ ในปีการศึกษา 2558 มีจานวนนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นที่ตัดสินใจศึกษาต่อ จานวน 53 คน จากจานวนนกั เรียนท้งั หมด 78 คน คิดเป็น ร้อยละ 67.91 น่ันหมายถึง มีนักเรียนจานวน 25 คน คิด เปน็ รอ้ ยละ 32.09 ไม่ได้ศึกษาต่อ และในปี 2559 มีจานวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นท่ีตัดสินใจ ศึกษาต่อ จานวน 50 คน จากจานวนนักเรียนท้ังหมด 88 คน คิดเป็น ร้อยละ 56.81 น่ันหมายความ ว่ามีจานวนนักเรียนจานวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 43.19 ไม่ได้ศึกษาต่อ ด้วยบริบทของสภาพ ครอบครัว สิ่งแวดล้อม ทาให้นักเรียนต้องทางานเพ่ือหาเลี้ยงชีพสาหรับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น นักเรียนที่ไม่ได้ศึกษาต่อ นักเรียนที่ศึกษาต่อ หรือนักเรียนท่ีอยู่ในช่วงกาลังศึกษา ดังน้ัน จึงควร ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ เก่ียวกับการประกอบอาชีพที่ถูกต้อง ทักษะพื้นฐานในการประกอบอาชีพ รวมถึงคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา เพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะ อาชีพ สามารถนาความรู้ ความสามารถ ทักษะ กระบวนการไปประยุกต์ใช้ในการดารงชีวิตอย่างมี ความสุข จากการสารวจ รายวิชาตามหลักสูตรโรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ พบว่ามี รายวิชาท่ีจัดการเรียนรู้เก่ียวกับความรู้ด้านอาชีพ การประกอบอาชีพ แต่ยังไม่พบกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียนท่ีส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพให้กับนักเรียนที่สามารถนาไปใช้ ในชีวติ การทางานได้ จากความสาคัญและความจาเป็นดังกล่าว ผู้วิจัยในฐานะครูผู้สอนโรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ ราษฎร์อปุ ถมั ภ์ สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 10 อาเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร สงั กดั สานกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 10 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ได้เล็งเห็นถึงความสาคัญและความจาเป็นในการส่งเสริมทักษะอาชีพให้กับ นักเรยี น ผูว้ ิจัยจงึ ดาเนนิ การพฒั นากจิ กรรมใหม่ ทสี่ ามารถส่งเสรมิ นักเรียนให้มีทักษะพื้นฐานที่จาเป็น สาหรับการประกอบอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะพัฒนา กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรับ นกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษา โดยมุ่งเน้นให้นกั เรียนเห็นถึงความสาคญั ของวิชาชีพ การประกอบอาชีพ และ

7 รู้จักการวางแผนในการประกอบอาชีพ อันเป็นการสร้างอาชีพให้กับนักเรียน เพื่อเป็นการส่งเสริม ทกั ษะชีวิตและทกั ษะอาชีพ อันเป็นหนึ่งในทักษะทจ่ี าเป็นสาหรบั นกั เรียนในศตวรรษท่ี 21 และรองรับ การเข้าสไู่ ทยแลนด์ 4.0 กรอบแนวคดิ ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบ อาชีพสาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ผู้วิจัยได้ทาการศึกษา ค้นคว้าแนวคิด หลักการ ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยกาหนดกรอบ แนวคดิ การวจิ ยั สาหรับการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะใน การประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนมัธยมศึกษา ไว้ดงั น้ี แนวคดิ เกย่ี วกบั การพัฒนากจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น จากการศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎีจากผลงานวิจัยเก่ียวกับการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยได้ ระบุขั้นตอนการพัฒนากิจกรรมผู้เรียนท่ีสอดคล้องกับแนวความคิดของนักการศึกษาหลายท่าน เช่น งานวิจัยเก่ียวกับการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เรื่อง นาฏศิลป์สร้างสรรค์ไทย-พม่า สัมพันธ์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษา ของ ธีราภรณ์ ชูชื่น (2557 : 15), ได้ทาการพัฒนากิจกรรมพัฒนา ผเู้ รียน โดยมีกระบวนการพฒั นา 4 ขัน้ ตอน คือ 1) การศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการ 2) การ พัฒนากจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น 3) การทดลองจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และ4) การประเมินผลและการ ปรบั ปรุงกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี น ซึ่งสอดคลอ้ งกบั สุภทั รา จาปาเงิน (2548: 11-12), อันธิกา วงษ์จาปา (2549: 14), สาลิกา สาเภาทอง (2553: 8-9) และ กิ่งกมล ปิยมาดากุล (2557: 12-13) ท่ีได้ทาการ วิจัยการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยมีกระบวนการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 4 ข้ันตอน คือ 1) การศกึ ษาข้อมลู พ้นื ฐานและความต้องการ 2) การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3) การทดลอง จัดกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น และ 4) การประเมนิ ผลและการปรบั ปรุงกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน จากการศึกษาการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของ ธีราภรณ์ ชูชื่น (2557 : 16), ผู้วิจัยได้ทา การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) หลักการ 2) เปูาหมาย 3) แนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4) คาอธิบายรายวิชา 5) จุดประสงค์การเรียนรู้ 6) โครงสร้างการ จัดกิจกรรม 7) ส่ือ 8) การวัดและประเมินผล 9) หน่วยการเรียนรู้ ในขณะท่ีก่ิงกมล ปิยมาดากุล (2557: 14) ได้ทาการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ประกอบด้วย 12 องค์ประกอบ โดยมีความ แตกตา่ งขององค์ประกอบของกิจกรรมพัฒนาผ้เู รียนมีความแตกต่างกัน 3 ประการ ดังน้ี 1) คุณสมบัติ

8 ของผ้เู รียน 2) รูปแบบการจัดกิจกรรม 3) คาช้ีแจง ที่เพ่ิมข้ึนมา นอกจากน้ันยังมีแผนการจัดกิจกรรม พฒั นาผูเ้ รยี น แทนหน่วยการเรยี นรู้อกี ด้วย แนวคิดเกย่ี วกับการจัดการเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (Project Base Learning) ผู้วิจยั ได้ศึกษาถงึ ขน้ั ตอนกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project Base Learning) วัชรา เล่าเรียนดี (2548: 101) สุวิทย์และอรทัย มูลคา (2545:86) กระทรวงศึกษาธิการ (2550: 4-5) วัชรินทร์ โพธ์ิเงิน พรจิต ประทุมสุวรรณ และสันติ หุตะมาน (2557: 10) ดุษฎี โยเหลา และคณะ (2557: 20-23) และไพฑูรย์ นันตะสุคนธ์ และวัลภา อยู่ทอง (2557: 55-59) ได้กล่าวถึงการจัดการ เรียนรู้แบบโครงงานว่าเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง จากการลงมือ ปฏิบัติจริง โดยมีการศึกษาค้นคว้าความรู้ตามความสนใจของนักเรียนอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอน กระบวนการที่ต่อเน่ือง โดยมีขั้นตอนหลักสาคัญ 4 ขั้นตอน ดังน้ี 1) ข้ันนาเสนอเร่ืองที่สนใจจะศึกษา 2) ข้นั การวางแผน 3) ข้ันการปฏบิ ตั ิ และ 4) ขนั้ ประเมินผล ในขณะท่ี วัชรา เล่าเรียนดี (2548: 101), วัชรินทร์ โพธิ์เงิน พรจิต ประทุมสุวรรณ และสันติ หุตะมาน (2557: 10) ดุษฎี โยเหลา และคณะ (2557: 20-23) และไพฑูรย์ นันตะสุคนธ์ และวัลภา อยู่ทอง (2557: 55-59) ได้มีข้ันตอนในการ เตรียมความพร้อม ให้ความรู้ท่ัวไป ก่อนที่จะทาการเลือกหัวข้อเร่ืองที่สนใจ โดยผู้วิจัยได้สังเคราะห์ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ไว้ 6 ขั้นตอน ดังน้ี 1) ให้ความรู้พ้ืนฐาน 2) เลือกหัวข้อที่สนใจ 3) วางแผน 4) ลงมอื ปฏบิ ตั ิ 5) นาเสนอและอภิปราย และ 6) การวดั และประเมินผล แนวคิดเก่ยี วกับทกั ษะอาชพี ผู้วิจัยยังได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีจากผลงานวิจัยเก่ียวกับทักษะอาชีพ วิจารณ์ พานิช (2555: 48-58) ได้กล่าวถึงทักษะอาชีพไว้ดังนี้ 1) ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Flexibility and Adaptability) ประกอบด้วย 1.1 การปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลง 1.2 มีความยืดหยุ่น เป็นการนา ผลลัพธ์ท่ีเกิดข้ึน มาใช้ประโยชน์อย่างได้ผล มีการจัดการเชิงบวกต่อคาชม คาตาหนิ และความ ผิดพลาดท่ีเกิดขึ้น สามารถนาเอาความเห็นและความเช่ือที่แตกต่างหลากหลายของทีมงานจาก หลากหลายวัฒนธรรม มาทาความเขา้ ใจ ทาใหง้ านลุล่วง 2) การริเร่ิมสร้างสรรคแ์ ละเป็นตัวของตัวเอง (Initiative and Self-Direction) ประกอบด้วย 2.1 การจัดการเปูาหมายและเวลา 2.2 การทางานได้ ด้วยตนเอง และ 2.3 สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง (Self-directed learner) 3) ทักษะสังคมและ สังคมข้ามวัฒนธรรม (Social and Cross-Cultural Skills) ประกอบด้วย 3.1 การมีปฏิสัมพันธ์กับ ผอู้ น่ื อย่างเกดิ ผลดี 3.2 การทางานในทมี ทแ่ี ตกตา่ งหลากหลายอย่างได้ผลดี 4) การมีผลงานและความ รับผิดชอบตรวจสอบได้ (Productivity and Accountability) ประกอบด้วย 4.1 การจัดการ โครงการ 4.2 การผลิตผลงาน และ 5) ภาวะผู้นาและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility) ประกอบด้วย 5.1 สามารถชี้แนะและเป็นผู้นาแก้ผู้อ่ืน 5.2 มีความรับผิดชอบต่อ

9 ผู้อ่ืน ซ่ึงสอดคล้องกับจันทร์เพ็ญ สุวรรณคร (2558 : 135), กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 56) และ รัตนศรี พรหมใจรักษ์ (2555: 78) ได้กล่าวถึงทักษะอาชีพว่าเป็นความสามารถพ้ืนฐานที่ผู้ ประกอบอาชีพต้องมี ซึ่งประกอบด้วย 5 ทักษะ ดังน้ี 1) ทักษะกระบวนการทางาน 2) ทักษะ กระบวนการแก้ปัญหา 3) ทักษะการทางานร่วมกัน 4) ทักษะแสวงหาความรู้ 5) ทักษะการจัดการ ในขณะทส่ี านักงานแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร (2560 : 32) ได้กล่าวถึงทักษะอาชีพ ไว้ 6 ทักษะ ดังน้ี 1) ทักษะการใชภ้ าษาตา่ งประเทศ 2) ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ 3) ทักษะการใช้คณิตศาสตร์และการ คานวณ 4) ทกั ษะในการสอ่ื สาร 5) ทกั ษะในการบริหารจัดการ และ 6) ทักษะความสามารถเฉพาะใน วชิ าชีพ โดยผวู้ จิ ยั ไดส้ งั เคราะห์ทกั ษะอาชีพไว้ 5 ทกั ษะ ดังน้ี 1) ทกั ษะการสื่อสารและมนุษยสัมพันธ์ 2) ทักษะกระบวนการทางาน 3) ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา 4) ทักษะแสวงหาความรู้ และ 5) ทกั ษะการจัดการ แนวคดิ เก่ียวกับคณุ ลักษณะในการประกอบอาชีพ สานักงานบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน ศูนย์ส่งเสริมการศึกษาตามอัธยาศัย อ้างถึงใน วรรณวรี ์ บญุ คุ้ม และคณะ (2558 : 30), กรมวชิ าการ (2544), สาลนิ ี อุดมผล (2558: 147-148) และ จนั ทร์เพญ็ สุวรรณนคร (2558: 134) ไดก้ ลา่ วถึงคุณลักษณะในการประกอบอาชีพในทานองเดียวกัน ว่าเป็นพฤติกรรมอันพึงประสงค์สาหรับการประกอบอาชีพท่ีผู้ประกอบอาชีพต้องมีซ่ึงประกอบด้วย หลายคุณลักษณะ โดยได้เสนอคุณลักษณะในการประกอบอาชีพที่เหมือนกัน ดังน้ี 1) ความซ่ือสัตย์ 2) ความขยัน 3) ความอดทน และ 4) ความรับผดิ ชอบ ในขณะท่ี สานักงานบริหารงานการศึกษานอก โรงเรียน ศูนย์ส่งเสริมการศึกษาตามอัธยาศัย อ้างถึงใน วรรณวีร์ บุญคุ้ม และคณะ (2558 : 30), กรมวิชาการ (2544) และ จันทร์เพ็ญ สุวรรณนคร (2558: 134) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะในการ ประกอบอาชีพเพ่ิมเติมท่ีเหมือนกัน ดังนี้ 1) ตรงต่อเวลา 2) มีความสามารถและความถนัดในงาน อาชีพ และ 3) ทัศนคติที่ดีต่ออาชีพที่ทา รักในงานอาชีพ ในขณะที่สานักงานแรงงานจังหวัด สมุทรสาคร (2560 : 32) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ ไว้ 8 คุณลักษณะ ดังนี้ 1) มีความซ่ือสัตย์ สุจริต 2) ความอดทน 3) ความขยัน หมั่นเพียร 4) การตรงต่อเวลา 5) ความ รับผิดชอบหน้าที่ 6) ความมีระเบียบวินัย 7) ความใฝุเรียนรู้ และ 8) การมีจิตสาธารณะ โดยผู้วิจัยได้ สังเคราะห์คุณลักษณะสาคัญในการประกอบอาชีพ 6 คุณลักษณะ ดังน้ี 1) มีความซ่ือสัตย์ 2) มีความ ขยันและความอดทน 3) มีความรับผิดชอบ 4) มีความเสียสละ 5) มีระเบียบวินัย และ 6) ทัศนคติที่ดี ต่ออาชีพทที่ า จากการศึกษากระบวนการพัฒนาหลักสูตรจาก แนวคิด หลักการ ทฤษฎี และงานวิจัยท่ี เก่ียวข้อง ผู้วิจัยได้สังเคราะห์กระบวนการพัฒนาหลักสูตรมาเป็นกรอบแนวคิดท่ีใช้การวิจัยครั้งนี้ใน

10 การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษา โดยมีข้นั ตอนและองค์ประกอบของกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี น ดังน้ี ข้ันตอนท่ี 1 การวจิ ัย (Research: R1) ในข้ันตอนน้ีจะเป็นการศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานและความ ต้องการเก่ียวกับการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ ประกอบอาชพี โดย 1) วิเคราะห์หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กิจกรรม พัฒนาผ้เู รียนและหลักสตู รสถานศึกษา โรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ 2) ศึกษาแนวการจัด กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3) ศึกษาความต้องการเก่ียวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รูปแบบ เน้ือหา สื่อ และการวัดการ ประเมินผลจากนักเรียน 4) ศึกษาความคิดเห็นเก่ียวกับการพัฒนาหลักสูตรกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จากบุคคลท่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ (ผู้อานวยการโรงเรียน หัวหน้าฝุายวิชาการ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ปราชญ์ชาวบ้าน และสถานประกอบการ) และ 5) ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง กับการส่งเสริมทกั ษะอาชพี และคณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชพี ข้ันตอนท่ี 2 การพัฒนา (Development: D1) เป็นการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ ซ่ึงประกอบด้วย 1) หลักการ 2) เปูาหมาย 3) แนวการจัดกิจกรรม 4) รูปแบบการจดั กิจกรรม 5) คาอธิบายรายวิชา 6) จุดประสงค์ การเรียนรู้ 7) โครงสร้างการจัดกิจกรรม 8) สื่อ 9) การวัดและประเมินผล และ 10) แผนการจัด กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จากนั้นทาการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนโดย ผู้เช่ียวชาญจานวน 9 คน ด้วยวิธีการสนทนากลุ่ม (Focus Group) และนาหลักสูตรกิจกรรมพัฒนา ผเู้ รียนมาทาการปรบั ปรุงแกไ้ ขหลักสูตร ให้มีความสมบรู ณ์ ข้ันตอนท่ี 3 การวิจัย (Research: R2) เป็นการทดลองใช้กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริม ทกั ษะอาชพี และคณุ ลักษณะในการประกอบอาชีพ โดยนากิจกรรมพฒั นาผู้เรียนที่พัฒนาแล้วไปใช้กับ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จานวน 30 คน ข้ันตอนท่ี 4 การพัฒนา (Development: D2) เป็นการประเมินผลและปรับปรุงกิจกรรม พฒั นาผเู้ รียน ในด้านพัฒนาการทักษะอาชีพของนักเรียน และพัฒนาการคุณลักษณะในการประกอบ อาชพี และความคดิ เหน็ ของนกั เรียนทมี่ ีหลักสูตรกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และ คุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์ อุปถมั ภ์ อาเภอบ้านแพ้ว จงั หวัดสมุทรสาคร จากแนวคดิ ดงั กล่าวข้างต้น ผู้วจิ ยั ไดก้ าหนดเป็นกรอบแนวคิดในการทาวิจัยดัง แผนภูมทิ ี่ 1 ดงั ต่อไปนี้

ศกึ ษาแนวคิดและงานวจิ ยั ทเี่ ก่ยี วข้อง กิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี น 11 เพื่อสง่ เสริมทักษะอาชีพ และ แนวคิดเก่ียวกับการพฒั นากจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน คุณลักษณะในการประกอบอาชพี ประเมินกิจกรรม สุภัทรา จาปาเงิน (2548: 11-12), อันธิกา วงษ์ พฒั นาผเู้ รยี น จาปา (2549: 14), กระทรวงศึกษาธิการ (2553: 1. หลักการ 51-54), สาลิกา สาเภาทอง (2553: 8-9), กิ่งกมล 2. เปา้ หมาย ทกั ษะอาชีพ ปิยมาดากุล (2557: 12-13) และ ธีราภรณ์ ชูชื่น 3. แนวการจดั กจิ กรรม 1. ทกั ษะการสอื่ สารและ (2557: 9) 4. รปู แบบการจดั กจิ กรรม มนุษยสัมพนั ธ์ กจิ กรรมการเรยี นรู้โครงงาน 6 ข้นั 2. ทักษะกระบวนการ แนวคดิ เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน ทางาน เปน็ ฐาน 4.1 ใหค้ วามรูพ้ ้ืนฐาน 3. ทกั ษะกระบวนการ สุวทิ ยแ์ ละอรทยั มูลคา (2545:86), วัชรา เล่าเรียน 4.2 เลือกหวั ข้อทสี่ นใจ แกป้ ัญหา ดี (2548: 101), กระทรวงศึกษาธิการ (2550: 4-5), 4.3 วางแผน 4. ทกั ษะแสวงหาความรู้ ดุษฎี โยเหลา และคณะ (2557: 20-23), ไพฑูรย์ 4.4 ลงมือปฏบิ ัติ 5. ทักษะการจัดการ นันตะสุคนธ์ และวัลภา อยู่ทอง (2557: 55-59) 4.5 นาเสนอและอภิปราย และ วัชรินทร์ โพธิ์เงิน พรจิต ประทุมสุวรรณ และ 4.6 การวดั และประเมนิ ผล คณุ ลักษณะในการ สนั ติ หตุ ะมาน (2557: 10) 5. คาอธบิ ายรายวชิ า ประกอบอาชีพ 6. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. มีความซอ่ื สตั ย์ แนวคิดเกย่ี วกับทกั ษะอาชีพ 7. โครงสร้างการจดั กจิ กรรม 2. มคี วามขยันและความ กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 56), วิจารณ์ พานิช 8. ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ อดทน (2555: 48-58), รัตนศรี พรหมใจรักษ์ (2555: 78), 9. การวดั และประเมินผล 3. มีความรับผดิ ชอบ มาเรียม นิลพันธุ์ และคณะ (2556 : บทคัดย่อ), 10. แผนการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 4. มีความเสียสละ Manpower Group (2556) อ้างถึงใน จันทร์เพ็ญ จานวน 5 แผน ได้แก่ 5. มรี ะเบยี บวินยั สุวรรณคร (2558: 138), วรางคนา ชูเชิดรัตน 10.1 ของดีบา้ นแพ้ว 6. มที ัศนคตทิ ดี่ ตี ่ออาชพี (2557: 18), จันทร์เพ็ญ สุวรรณคร (2558: 126- 10.2 เลอื กแลว้ งานฉัน ทท่ี า 148), สาลินี อุดมผล (2558: 18), และ สานักงาน 10.3 รว่ มดว้ ยช่วยกัน แรงงานจังหวัดสมุทรสาคร (2560 : 32) 10.4 งานฉนั มดี ี ความพงึ พอใจของ 10.5 หลกั สต่ี ลาดบา้ นแพว้ นักเรยี นทม่ี ตี ่อกจิ กรรม แนวคิดเกย่ี วกับคณุ ลักษณะในการประกอบอาชีพ กระทรวงศึกษาธกิ าร (2544), สานักงานบริหารงาน พัฒนาผเู้ รียน การศกึ ษานอกโรงเรยี น ศูนย์ส่งเสริมการศึกษาตาม อัธยาศัย อ้างถึงใน วรรณวีร์ บุญคุ้ม และคณะ (2558 : 30), จันทรเ์ พ็ญ สวุ รรณนคร (2558: 134), สาลินี อุดมผล (2558: 147-148) และ สานักงาน แรงงานจงั หวัดสมุทรสาคร (2560 : 32) แผนภมู ิที่ 1 กรอบแนวคดิ การวจิ ัย

12 คาถามวิจยั 1. ข้อมูลพ้ืนฐานและความต้องการในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะ อาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักส่ี พิพฒั นร์ าษฎร์อปุ ถมั ภ์ อาเภอบา้ นแพว้ จงั หวดั สมทุ รสาคร เปน็ อย่างไร 2. กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ อาเภอบ้านแพ้ว จังหวัด สมทุ รสาคร มีคณุ ภาพระดับใด 3. ผลการทดลองใช้กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ ประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ อาเภอบ้าน แพว้ จงั หวัดสมุทรสาคร เปน็ อยา่ งไร 4. ผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ ประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ อาเภอบ้าน แพ้ว จังหวัดสมทุ รสาคร ในประเด็นต่อไปนี้ 4.1 ทักษะอาชีพของนักเรียนหลังการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอยู่ในระดับใด และ เป็นอย่างไร 4.2 คุณลักษณะในการประกอบอาชีพของนกั เรียนหลังการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน อยู่ในระดับใด และเป็นอยา่ งไร 4.3 ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะ อาชพี และคณุ ลักษณะในการประกอบอาชพี สาหรบั นกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาอยู่ในระดบั ใด วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั การวจิ ยั คร้ังนเี้ ปน็ การพัฒนากจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียน เพอ่ื ส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะ ในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษา โรงเรียนวัดหลกั สพ่ี ิพฒั น์ราษฎร์อุปถัมภ์ อาเภอ บา้ นแพ้ว จังหวัดสมทุ รสาคร มวี ัตถปุ ระสงค์ดงั นี้ 1. เพ่อื ศกึ ษาข้อมูลพ้นื ฐานและความตอ้ งการในการพฒั นากจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน เพื่อส่งเสริม ทกั ษะอาชพี และคณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักสี่ พพิ ฒั นร์ าษฎรอ์ ปุ ถัมภ์ อาเภอบา้ นแพ้ว จังหวดั สมทุ รสาคร

13 2. เพื่อพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ ประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ อาเภอบ้าน แพ้ว จงั หวดั สมทุ รสาคร 3. เพื่อทดลองใช้กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ ประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ อาเภอบ้าน แพ้ว จงั หวดั สมทุ รสาคร 4. เพื่อประเมินผลและปรับปรุงกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และ คุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์ อุปถมั ภ์ อาเภอบา้ นแพว้ จังหวดั สมทุ รสาคร เกยี่ วกับ 4.1 ทกั ษะอาชีพของนกั เรียน 4.2 คุณลักษณะในการประกอบอาชพี ของนักเรียน 4.3 ความพงึ พอใจของนักเรยี นท่ีมีต่อกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน สมมติฐานการวจิ ัย หลงั จากการจัดกจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น เรื่อง ของดีบ้านแพ้ว พบว่า 1. ทักษะอาชีพของนกั เรยี นหลังการจัดกจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี นอยูใ่ นระดบั ดี 2. คณุ ลักษณะในการประกอบอาชีพของนักเรยี นอยูใ่ นระดบั ดี 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอ่ กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียนอยู่ในระดับมากท่ีสดุ ขอบเขตของการวจิ ยั 1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 โรงเรียนวัด หลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 10 ปีการศึกษา 2560 จานวน 11 ห้องเรียน จานวน 305 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 โรงเรียน วัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 10 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2560 จานวน 30 คน จากการอาสาสมัครเข้าเรียนชุมนุม เรอ่ื ง ของดบี ้านแพ้ว 2. ตัวแปรทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษา 2.1 ตัวแปรตน้ ได้แก่

14 2.1.1 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะใน การประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษา 2.2 ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ 2.2.1 ทักษะอาชีพ 2.2.2 คณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชพี 2.2.3 ความพึงพอใจของนักเรยี นที่มีต่อกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน ระยะเวลาในการทดลอง ระยะเวลาในการทดลองใช้กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะ ในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1-6 โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์ อุปถัมภ์ อาเภอบา้ นแพว้ จังหวัดสมุทรสาคร ผวู้ ิจัยได้กาหนดระยะเวลาในการดาเนินกิจกรรม ในภาค เรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2560 จานวน 20 ชว่ั โมง นยิ ามศพั ท์เฉพาะ เพ่ือใหเ้ กิดความเข้าใจทีต่ รงกนั ผวู้ ิจยั ได้ใหค้ วามหมายศัพท์เฉพาะสาหรับการวจิ ัย ดังน้ี 1. กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน หมายถึง กิจกรรมที่มุ่งพัฒนานักเรียนในด้านความรู้ ทักษะ และประสบการณ์การเรียนรู้ โดยจัดกิจกรรมในรูปแบบ ชุมนุม เรื่อง ของดีบ้านแพ้ว ของโรงเรียนวัด หลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ ท่ีจัดขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เพื่อตอบสนองความ ต้องการ ความถนัด ความสนใจ ของนักเรียน ด้วยความสมัครใจ ภายใต้การควบคุมของอาจารย์ที่ ปรึกษา 2. โครงงานเป็นฐาน หมายถงึ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่เี น้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง จากการลงมือปฏิบัติจริง โดยมีการศึกษาค้นคว้าความรู้ตามความสนใจของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ มีข้นั ตอน กระบวนการทต่ี อ่ เน่อื ง เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นไดร้ ับความรู้และประสบการณ์ในการเรียนรู้ผ่านการลง มือปฏิบัติด้วยตนเอง ผ่านขั้นตอนและกระบวนการอย่างเป็นระบบ โดยมีข้ันตอนการจัดการเรียนรู้ 6 ข้ันตอน ดังน้ี 1) ให้ความรู้พื้นฐาน 2) เลือกหัวข้อท่ีสนใจ 3) วางแผน 4) ลงมือปฏิบัติ 5) นาเสนอ และอภปิ ราย และ 6) การวดั และประเมนิ ผล 3. ทักษะอาชีพ หมายถึง ความสามารถพ้ืนฐานท่ีจาเป็นสาหรับการประกอบอาชีพ ซึ่งบ่งบอกว่าผู้เรียนเป็นผู้ที่มีลักษณะโดยประเมินจาก 5 ทักษะย่อย ดังน้ี 1) ทักษะการสื่อสารและ มนุษยสัมพันธ์ 2) ทักษะกระบวนการทางาน 3) ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา 4) ทักษะแสวงหา ความรู้ และ 5) ทักษะการจดั การ

15 4. คุณลักษณะในการประกอบอาชีพ หมายถึง นิสัย หรือพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์สาหรับ การประกอบอาชีพที่ผู้ประกอบอาชีพต้องมี ซ่ึงบ่งบอกว่าผู้เรียนเป็นผู้ท่ีมีลักษณะโดยประเมินจาก 6 คุณลักษณะ ดังน้ี 1) มีความซ่ือสัตย์ 2) มีความขยันและความอดทน 3) มีความรับผิดชอบในการ ทางาน 4) มคี วามเสยี สละ 5) มีระเบียบวนิ ยั และ 6) มที ศั นคติท่ดี ตี อ่ อาชพี ทท่ี า 5. ความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความรู้สึกในรูปแบบความช่ืนชม เห็นคุณค่าและ ความสาคัญของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบ อาชีพ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ ท่ีประเมินจาก แบบสอบถามความพึงพอใจทผ่ี ู้วิจยั ได้สร้างขน้ึ 6. นักเรียน หมายถึง ผู้เรียนท่ีกาลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักส่ี พพิ ัฒนร์ าษฎร์อปุ ถมั ภ์ ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2560 ประโยชน์ทีไ่ ดร้ ับ หลังจากการจัดกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น เร่อื ง ของดีบา้ นแพว้ ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับ มดี งั น้ี 1. นกั เรียนเกิดทักษะอาชพี และคุณลกั ษณะในการประกอบอาชีพ 2. เป็นแนวทางสาหรับครูในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและการเรียนรู้เพ่ือส่งเสริม ทักษะอาชพี และคุณลกั ษณะในการประกอบอาชีพ ผ่านกิจกรรมการเรยี นรู้ดว้ ยโครงงาน 3. เป็นแนวทางสาหรบั โรงเรยี น ในการพฒั นากิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชีพ สาหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษา

16 บทท่ี 2 วรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง การวจิ ัย เรื่อง การพฒั นากจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะใน การประกอบอาชีพ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ในคร้ังนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและ งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะใน การประกอบอาชีพ ซึ่งผู้วิจัยได้เรียบเรียงตามลาดับ ดังนี้ 1) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ : กิจกรรม พัฒนาผเู้ รียน 2) กจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น หลกั การและแนวคิดเก่ียวกับการจัดกิจกรรมชุมนุม 3) ทักษะ ในศตวรรษที่ 21 4) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน 5) การจัดการศึกษากับการประกอบอาชีพ 6) ทักษะอาชีพ 7) คุณลักษณะในการประกอบอาชีพ 8) ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดสมุทรสาคร และ 9) งานวิจัยท่ีเกยี่ วข้อง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 : กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น ความนา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้จัดทาข้ึนเพ่ือใช้เป็นกรอบ และทิศทางในการจดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษา และจัดการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในด้านความรู้ ด้านทักษะที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการ เปลี่ยนแปลง เพ่ือพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 นอกจากน้ันแผนพัฒนาการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) ได้แสดงให้เห็นถึงความสาคัญในการ เตรียมพร้อมผู้เรียน เพ่ือเข้าสู่ศตวรรษท่ี 21 สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลง เพื่อนาไปสู่การพัฒนา อย่างมั่นคงและต่อเน่ือง ทั้งด้านความรู้ การดารงชีวิต พร้อมทั้งมีสมรรถนะ และทักษะท่ีจาเป็น ในศตวรรษที่ 21 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560: 65) โดยมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะอาชีพ สามารถอยรู่ ว่ มกับผอู้ ่นื ในสงั คมโลกได้อย่างสงบสขุ วิสัยทศั น์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งเน้นในการพัฒนาผู้เรียน ใหม้ คี วามสมดลุ ทั้งดา้ นร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้ และทักษะพื้นฐาน รวมท้ังเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอด

17 ชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพ้ืนฐานความเช่ือว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ได้เต็มตามศกั ยภาพ หลกั การ หลกั การทีส่ าคญั ของหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน ทส่ี อดคลอ้ งกับงานวจิ ยั มดี งั นี้ 1. เป็นหลักสตู รการศกึ ษาเพ่อื ความเปน็ เอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเปูาหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพ้ืนฐาน ของความเป็นไทยควบคู่กบั ความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ ภาค และมคี ุณภาพ 3. เปน็ หลกั สูตรการศกึ ษาท่ีสนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้สอดคลอ้ งกบั สภาพและความต้องการของท้องถน่ิ 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีมีโครงสร้างยืดหยุ่นท้ังด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ เรยี นรู้ 5. เป็นหลกั สตู รการศกึ ษาท่เี นน้ ผู้เรียนเป็นสาคญั จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบ การศึกษาขัน้ พ้ืนฐานซ่งึ สอดคลอ้ งกับงานวิจัย ดังน้ี 1. มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติ ตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาทต่ี นนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และ มที กั ษะชีวติ 3. มจี ติ สานกึ ในการอนรุ กั ษว์ ัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาส่ิงแวดล้อม มจี ติ สาธารณะทีม่ งุ่ ทาประโยชนแ์ ละสร้างสิ่งท่ดี งี ามในสงั คม และอยูร่ ่วมกันในสังคมอยา่ งมคี วามสุข

18 หลกั สตู รโรงเรยี นวัดหลักส่ีพิพฒั น์ราษฎร์อุปถัมภ์ ขอ้ มูลทั่วไป โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ ตั้งอยู่ท่ี 17 หมู่ 2 ตาบลยกกระบัตร อาเภอบ้าน แพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร 74120 สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 10 สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันโรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์ อปุ ถัมภจ์ ดั การศึกษาระดับการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน ชว่ งชนั้ ท่ี 3 (ม.1 - ม.3) และ ช่วงช้ันท่ี 4 (ม.4 - ม.6) มีจานวนนักเรียนรวมทั้งหมด 305 คน โดยแบ่งเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น จานวน 181 คน และนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย จานวน 124 คน วิสยั ทัศน์ ภายในปี 2561 โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ มุ่งพัฒนาความรู้ควบคู่คุณธรรม ก้าวล้าเทคโนโลยี เสริมคนดี สร้างงาน สืบสานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาเทียบเคียงสู่ มาตรฐานสากล พนั ธกิจ 1. พัฒนาคุณภาพวชิ าการส่มู าตรฐานสากล 2. ส่งเสรมิ คณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยมอนั พึงประสงค์ และดาเนินชีวติ อยา่ งพอเพียง 3. พัฒนาคุณภาพบุคลากรให้มีความสามารถและใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ทันต่อการเปลีย่ นแปลง นาไปสู่การจดั การเรยี นรู้ และการประกอบอาชีพ 4. พฒั นาบคุ ลากรตามจรรยาบรรณและมาตรฐานวชิ าชีพ 5. จัดทาระบบประกนั คณุ ภาพการศึกษาและการบริหารจัดการศึกษาโดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐาน 6. เสริมสรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างสถานศกึ ษากับชมุ ชน เป้าหมาย ผูเ้ รียนเป็นคนดี คนเก่งและและอยูร่ ว่ มในสังคมได้อย่างมคี วามสุข

19 โครงสรา้ งหลักสตู รโรงเรยี นวดั หลักสี่พพิ ัฒนร์ าษฎร์อุปถัมภ์ ตารางที่ 1 โครงสรา้ งหลักสตู รโรงเรยี นวดั หลกั สพ่ี ิพฒั นร์ าษฎร์อุปถมั ภ์ เวลาเรียน กลมุ่ สาระการเรียนรู้/กจิ กรรม ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอน ปลาย กล่มุ สาระการเรียนรู้ ม1 ม2 ม3 ม 4-6 ภาษาไทย คณิตศาสตร์ 120/3 120/3 120/3 240/6 วทิ ยาศาสตร์ 120/3 120/3 120/3 240/6 สังคมศึกษา ศาสนาและ 120/3 120/3 120/3 240/6 วฒั นธรรม 160/4 160/4 160/4 320/8 สขุ ศึกษาและพลศึกษา ศลิ ปะ 80/2 80/2 80/2 120/3 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 80/2 80/2 80/2 120/3 ภาษาตา่ งประเทศ 80/2 80/2 80/2 120/3 รวมเวลาเรียน(พื้นฐาน) 120/3 120/3 120/3 240/6 กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น 880/22 880/22 880/22 1,640/41 รายวชิ า/กิจกรรมทสี่ ถานศกึ ษา 120 120 120 360 จดั เพ่ิมเตมิ ตามความพร้อมและ 200/5 200/5 200/5 ไมน่ ้อยกวา่ 1,600 จดุ เน้น ชว่ั โมง รวมเวลาเรียนทั้งหมด *ไม่นอ้ ยกวา่ 200 ชว่ั โมง ตอ่ ปี รวม 3 ปี ไมน่ ้อยกวา่ 1,200 1,200 1,200 3,600 ชั่วโมง *ไมน่ ้อยกวา่ 1,200 ชว่ั โมง จากตารางท่ี 1 โครงสรา้ งหลักสตู รโรงเรยี นวดั หลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ มีการจัดกิจกรรม พัฒนาผู้เรียน จานวน 120 ชั่วโมง โดยแบ่งออกเป็นกิจกรรมแนะแนว จานวน 40 ชั่วโมง กิจกรรม นกั เรยี น ซ่ึงประกอบดว้ ยลูกเสอื -เนตรนารี จานวน 40 ช่ัวโมง และกิจกรรมชุมนุม จานวน 40 ช่ัวโมง ตอ่ ปีการศึกษา จากการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 : กิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน และหลกั สตู รสถานศกึ ษา โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ ผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมพัฒนา

20 ผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพและมุ่งเน้นเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เน้นพัฒนาผู้เรียนความรู้และทักษะ พ้ืนฐาน รวมท้ังเจตคติท่ีจาเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพ สามารถสร้างงานและอยู่ร่วมใน สังคมได้อย่างมีความสุข โดยในการจัดกิจกรรมชุมนุมในครั้งน้ีจะเป็นชุมนุมส่งเสริมทักษะอาชีพ ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2560 จานวน 20 ชว่ั โมง กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนได้พัฒนา ตนเองเต็มตามศักยภาพ โดยกาหนดให้มีกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และกิจกรรม พัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมในการพัฒนาอย่างรอบด้านทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ อันส่งผลให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และค้นพบ ความสามารถ ความถนดั ของตนเอง สามารถจดั การตนเองได้ และอยรู่ ่วมกับผอู้ นื่ อย่างมีความสขุ ความหมายของกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน จากการให้ความหมายของกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน สุนนั ท์ ศิรวิ รรณ์ (2544 : 20) และกรรณิกา ภู่ระหงษ์ (2547 : 14) ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ เป็นกจิ กรรมผเู้ รียนเข้าร่วมกจิ กรรมด้วยความสมัครใจ ไม่มี หนว่ ยกิต ไมม่ คี ะแนนเข้ามาเกย่ี วข้อง ภายใต้การควบคุมของอาจารย์ที่ปรึกษา และสถาบันการศึกษา โดยเปน็ การจัดกิจกรรมทีต่ อบสนองความสนใจ และพัฒนาการของผู้เรียน ซึ่งสอดคล้องกับเสริมสร้าง ประสบการณ์ความรู้ และประสบการณ์ชีวิตให้กับผู้เรียน (ดารง ประเสริฐกุล, 2542 : 18) ซ่ึงสอดคล้องกับ Good (1973 : 9) และ Frederick (1959 : 6) เพ่ือเป็นการเพิ่มพูนความรู้ และ ตอบสนองความสนใจของผู้เรียน โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนอยากทาในสิ่งท่ีนอกเหนือจากในห้องเรียน หรือกิจกรรมนอกเหนือตามท่ีหลกั สตู รกาหนด เพื่อพัฒนาทักษะและส่งเสริมให้นักเรียนมีสัมพันธภาพ ที่ดีระหว่างผู้เรียนด้วยกัน และครูผู้สอน (Watson 2006 และ Smith 2006) นอกจากน้ันยังเป็นการ เสริมความถนัด ความสนใจ สมัครใจ โดยไม่ได้บังคับ และยังเป็นการส่งเสริมความเจริญเติบโตของ นกั เรยี น (จติ รารัตน์ โพธิมามกะ, 2523 : 3) นอกจากนั้นกระทรวงศึกษาธิการ (2546 ข : 2) ยังได้กล่าวในทานองเดียวกันกับสุขพัชรา ซิ้มเจริญ (2545 : 3) ว่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นการจัดกิจกรรมอย่างเป็นระบบ มีรูปแบบ กระบวนการวิธีที่หลากหลายให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ รู้จักและเข้าใจตนเอง มุ่งเสริมเจตคติ คุณค่าชีวติ คุณธรรม จริยธรรม และพฒั นาผู้เรยี นทงั้ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสติปัญญา ปฏิบตั ติ นใหเ้ ห็นประโยชนต์ อ่ สงั คม ประเทศชาติ และดารงชวี ติ ไดอ้ ยา่ งมีความสุข

21 กล่าวโดยสรุป กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน หมายถึง การจัดกิจกรรมท่ีจัดขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการ ความถนัด ความสนใจ ของผู้เรียน ด้วยความ สมัครใจ ส่งเสริมให้ผู้เรียนทาสิ่งท่ีนอกเหนือจากในห้องเรียน หรือนอกเหนือตามท่ีหลักสูตรกาหนด ภายใต้การควบคุมของอาจารย์ที่ปรึกษา และสถาบันการศึกษา เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ความรู้ และประสบการณ์ชีวิตให้กับผู้เรียน รู้จักและเข้าใจตนเอง และพัฒนาผู้เรียนทั้งร่างกาย จิตใจ สตปิ ญั ญา อารมณ์ และสตปิ ญั ญา ปฏิบัติตนให้เห็นประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ และดารงชีวิตได้ อยา่ งมคี วามสุข ความสาคัญของกิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น เพ่ือเป็นการพัฒนาผู้เรียนทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสติปัญญาของผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนในช้ันเรียน คงไม่เพียงพอสาหรับการพัฒนา ไพโรจน์ นาคะสุวรรณ และ วันนอร์ มะทา (2528 : 7) ได้กล่าวว่า ส่ิงท่ีสาคัญในการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร เพื่อดึงเอาความ สนใจและความกระตือรือร้น ไปสู่เปูาหมายท่ีสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับกระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 1) ท่ีกล่าวในเร่ืองของความสาคัญของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ท่ีมุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ เป็นคนดี และอยู่ร่วมกันในสังคม ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง ค้นพบความสามารถ ความถนัดของ ตนเอง เพ่ือม่งุ ให้ผ้เู รยี นพัฒนาตนเองให้เต็มตามศกั ยภาพอยา่ งรอบด้านเพื่อความเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ท้ังรา่ งกาย สติปัญญา อารมณ์ และสงั คม (วิชัย วงษใ์ หญ่ และมารุต พัฒผล, 2558 : 37) นอกจากน้ัน ใจจริง บุญเรืองรอด (2534 : 35-40) ได้กล่าวว่า กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นเคร่ืองมือ ท่ีส่งเสริมและ ขยายความสนใจของผู้เรียนแต่ละคนให้กว้างข้ึน เพ่ือเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ค้นหาความถนัด ความสามารถ และความสนใจของตัวผู้เรียนเอง อันส่งผลให้กระบวนการเรียนรู้น้ันมีคุณค่าและมี ความหมายมากข้ึน เน่ืองจากเป็นส่ิงที่ผู้เรียนมีความถนัด มีความสนใจ และตอบสนองความต้องการ ของผเู้ รียน นอกจากน้ัน แกลธอร์น และสเปนเซอร์ (Glatthorn and Spencer, 1986 : 98–100) ได้กล่าวว่า กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นการส่งเสริมวิชาการต่างๆ ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง ค้นพบ ความถนัดและความสนใจของตนเอง เห็นคุณค่าในการประกอบสัมมาชีพ นอกจากนั้นยังเป็นการ พฒั นาภาวะผ้นู า และความสามารถในการตัดสินใจของนักเรยี น พัฒนาการมีปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างเพ่ือน สมาชิกด้วยกัน ซึ่งถือว่ามีความสาคัญต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ไม่สามารถแยกออกจาก หลักสูตรได้ ในทานองเดียวกัน แม็คคาวน์ และสเปนเซอร์ (McKown and Spencer, 1954 : 2) ได้กล่าวถึงความสาคัญของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนไว้ว่า กิจกรรมการเรียนการสอน มีความสาคัญ

22 เท่ากับกิจกรรมพฒั นาผู้เรียน ซึง่ มีวธิ กี าร รูปแบบ กระบวนการ หรือเครอื่ งมอื ท่แี ตกตา่ งกนั ไป แต่ล้วน มจี ุดมุ่งหมายพน้ื ฐานของการศกึ ษาเดียวกัน จากความสาคัญที่นักการศึกษาได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียนเป็นสิ่งที่สาคัญและมีความจาเป็นท่ีจะต้องจัดในสถานศึกษา ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนในหลักสูตร เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ ค้นพบความสามารถ ความถนัดและ ความสนใจของตนเอง ได้รู้จักตนเองมากขึ้นผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ได้เห็นแนวทางในการ ดารงชวี ิตในอนาคต เหน็ คณุ คา่ ของตนเอง และยังส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดคุณธรรม จริยธรรม ต่อตนเอง สงั คม และประเทศชาติ ลักษณะของกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมีเปูาหมายเพื่อมุ่งเน้นในการส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนใน ด้าน ต่างๆ ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และประสบการณ์การเรียนรู้ไปสู่การเกิดสมรรถนะ อันนาไปสู่ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 อีกท้ังให้ผู้เรียนได้ค้นพบและใช้ศักยภาพท่ีมีในตนอย่างเต็มท่ี เลือก และตัดสินใจได้อย่างมี เหตุผลเหมาะสมกับตนเอง สามารถวางแผนชีวิตและอาชีพได้อย่างเหมาะสม เป็นการจัดกิจกรรม พฒั นาผเู้ รียนให้ครอบคลุม 3 ลกั ษณะ ดงั นี้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2553 : 19) กิจกรรมแนะแนว กจิ กรรมนกั เรียน - ด้านการศึกษา เป้าหมาย - กจิ กรรมลกู เสือ เนตร นารี ยวุ กาชาด ผู้ - ด้านอาชีพ กิจกรรมเพื่อสังคมและ บาเพ็ญประโยชน์ และ สาธารณประโยชน์ นกั ศกึ ษาวชิ าทหาร - ดา้ นสว่ นตวั และสังคม - กิจกรรมชุมนมุ ชมรม - กิจกรรมจิตอาสา แผนภมู ิที่ 2 ขอบข่ายกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียนตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

23 หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ได้แบง่ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนแบ่ง ออกเปน็ 3 กจิ กรรม ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2553 : 19) 1. กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้รู้จักตนเอง เข้าใจตนเอง ค้นพบความ ถนดั ความสามารถของตนเองตามศกั ยภาพ เสรมิ สรา้ งทักษะชีวิต และสัมพันธภาพท่ีดี ความสามารถ ในการคดิ ตดั สนิ ใจ แก้ปญั หา กาหนดและวางแผนชวี ิตทัง้ ด้านการเรียนและอาชีพ โดยผู้สอนมีบทบาท ในการให้คาปรกึ ษาแกผ่ ูเ้ รยี น เพอื่ การพัฒนาผเู้ รียนให้สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข 2. กจิ กรรมนักเรยี น เป็นกจิ กรรมทีเ่ กดิ จากความสนใจของผ้เู รยี น โดยมุ่งพฒั นาคุณลักษณะที่ นอกเหนอื จากกลุ่มสาระการเรียนรู้ ทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ หรือนอกเหนือจากที่หลักสูตรกาหนด เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนร่วมกันคิด ร่วมกันทา ร่วมกันพัฒนาอย่างเป็นระบบ คือมีการวางแผน ปฏิบัติ ตามแผนท่ีวางไว้ และมีการประเมินและปรับปรุง โดยจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความถนัด ความ สนใจและความสามารถของผ้เู รยี น ซึ่งประกอบด้วย 2.1 กิจกรรมลกู เสอื เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บาเพญ็ ประโยชน์ และรักษาดินแดง 2.2 กิจกรรมชมุ นุม ชมรม 3. กิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ เป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนแสดงถึงความ รับผิดชอบ ความดีงาม ความเสียสละต่อสังคม ชุมชน และท้องถิ่น ตามความสนใจในลักษณะ อาสาสมคั ร เช่น กิจกรรมอาสาพัฒนาตา่ งๆ กิจกรรมสรา้ งสรรคส์ งั คม กิจกรรมชุมนมุ กิจกรรมชุมนุม เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นกิจกรรมท่ีสถานศึกษาจัดต้ังข้ึน ตามความสนใจ ความถนัดของผู้เรียนท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือมีความสนใจร่วมกัน ด้วยความ สมัครใจโดยมอี าจารยท์ ่ปี รึกษาชุมนุม ชมรมเป็นผู้ดูแล ให้คาแนะนา คาปรึกษาในการปฏิบัติกิจกรรม เพื่อเติมเต็มศักยภาพการเรียนรู้ เพ่ิมพูนความรู้และเสริมประสบการณ์ให้กับผู้เรียน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553 : 51) ประเภทของกจิ กรรมชมุ นุม สุพจน์ วิทลัสวศินุ (2552 : 19-20) ได้กล่าวว่า ประเภทของกิจกรรมชุมนุมที่จัดขึ้นใน สถานศึกษา เพอื่ พฒั นาผ้เู รยี นนน้ั สามารถจดั ได้ โดยแบ่งออกเปน็ 2 ลกั ษณะ ดงั นี้ 1. กิจกรรมกลุ่มเสริมทักษะด้านวิชาการ เป็นกิจกรรมกิจกรรมที่เสริมในด้านความรู้ทาง วิชาการในกลุม่ สาระการเรียนรทู้ งั้ 8 กลมุ่ สาระ เชน่ ชุมนมุ วิทยาศาสตร์

24 2. กิจกรรมชุมนุมเลือกตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน เป็นกิจกรรมชุมนุมอ่ืนๆ ตามที่สถานศึกษาจดั ข้นึ เพอ่ื พัฒนาทักษะต่างๆ ท่ีนอกเหนือตามท่ีหลักสูตรกาหนด และไม่ใช่กิจกรรม ประเภทกลมุ่ เสริมทักษาด้านวชิ าการ เช่น ชมุ นมุ สง่ เสริมอาชีพ หลักการของกจิ กรรมชุมนุม กิจกรรมชมุ นุม มหี ลักการทส่ี าคญั ดงั น้ี 1. เปน็ กิจกรรมที่เกิดจากการสรา้ งสรรค์และออกแบบกจิ กรรมของผ้เู รยี นตามความสมัครใจ 2. เปน็ กิจกรรมทผี่ ู้เรยี นรว่ มกนั ทางานเป็นทีม ชว่ ยกันคดิ ช่วยกันทา และช่วยกนั แกป้ ัญหา 3. เปน็ กิจกรรมที่สง่ เสรมิ และพฒั นาศักยภาพของผู้เรียน 4. เป็นกจิ กรรมที่เหมาะสมกับวัยและวุฒภิ าวะของผู้เรียน รวมทั้งบริบทของสถานศึกษา และ ทอ้ งถิ่น วตั ถุประสงค์ของกจิ กรรมชมุ นุม กจิ กรรมชมุ นมุ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อพฒั นาผู้เรยี น ดังน้ี 1. เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รียนไดป้ ฏิบัตกิ จิ กรรมตามความสนใจ ความถนดั และความต้องการของตน 2. เพ่ือให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ ความสามารถด้านการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ให้เกิด ประสบการณ์ทัง้ ทางวชิ าการและวิชาชพี ตามศักยภาพ 3. เพื่อส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นใชเ้ วลาใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ ตนเองและสว่ นรวม 4. เพอ่ื ใหผ้ ้เู รยี นทางานร่วมกนั ผ้อู ืน่ ไดต้ ามวิถปี ระชาธิปไตย ทั้งน้ี วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมชุมนุมของสถานศึกษาในแต่ละแห่งสามารถ ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ตามสภาพแวดล้อมและบริบทของสถานศึกษา โดยผู้บริหาร ครู คณะกรรมการสถานศกึ ษา และนักเรยี นมีสว่ นร่วมในการจดั กิจกรรมชมุ นมุ ดว้ ย ขอบข่ายของกจิ กรรมชุมนุม กจิ กรรมชมุ นุม มีขอบข่ายทีส่ าคญั ดังน้ี 1. เป็นกิจกรรมที่เก้ือกลู สง่ เสริมการเรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ใหก้ ว้างขวางลึกซ้ึงยง่ิ ข้ึน 2. เปน็ กิจกรรมจัดตามความสนใจของผู้เรยี น 3. เป็นกจิ กรรมทส่ี ามารถจดั ได้ท้งั ในและนอกสถานศกึ ษา และทัง้ ในและนอกเวลาเรยี น

25 แนวการจัดกจิ กรรมชมุ นุม แนวทางในการจัดกิจกรรมชุมนุม ของสถานศึกษา สามารถปรับได้ตามความเหมาะสมของ สภาพแวดลอ้ มบริบทสถานศึกษา ดงั น้ี 1. สถานศึกษาสามารถบรหิ ารจัดการให้ผู้เรียนดาเนินกิจกรรมได้หลากหลายรูปแบบ มีความ ยืดหยุ่นทง้ั สถานท่ี รปู แบบของกิจกรรม และระยะเวลาในการจดั กจิ กรรม 2. หากสถานศึกษามีการจัดตั้งชุมนุมอยู่แล้ว ควรมีการสารวจความถนัด ความสนใจและ ความสามารถของผูเ้ รยี นในการเลือกเข้ารว่ มกจิ กรรมชุมนุม 3. หากสถานศึกษายงั ไม่มกี ารจัดตั้งชุมนุม ควรให้ผู้เรียนเป็นผู้ร่วมกันจัดต้ังชุมนุม ด้วยความ สมัครใจ โดยเชิญครูเป็นครูท่ีปรึกษาชุมนุม และร่วมกันดาเนินกิจกรรมชุมนุมตามระเบียบปฏิบัติการ ของสถานศึกษา 4. ครูที่ปรึกษาเป็นผู้คอยให้คาแนะนา คาปรึกษา กระตุ้น และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการ แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ที่ไดจ้ ากกจิ กรรมชมุ นุม และมกี ารเผยแพรก่ ิจกรรม เง่ือนไขของกิจกรรมชุมนุม กิจกรรมชมุ นมุ มเี ง่ือนไขทส่ี าคัญ ดังน้ี 1. การจัดกิจกรรมชุมนุม ในแต่ละระดับช้ัน สถานศึกษาควรจัดให้เป็นไปตามโครงสร้างของ หลกั สูตรสถานศกึ ษา 2. สมาชิกชุมนุม ต้องเข้าร่วมกิจกรรมและปฏิบัติตามระเบียบของชุมนุม และมีผลงาน/ ช้นิ งาน/คณุ ลักษณะตามทก่ี าหนดไวข้ องแตล่ ะกจิ กรรม 3. สถานศึกษามีระบบการกากับติดตาม และประเมินผลการดาเนินงานของชุมนุมอย่าง ตอ่ เนอ่ื ง การประเมินกิจกรรมชุมนุม การประเมินกิจกรรมชุมนุม เป็นการตรวจสอบความสามารถและพัฒนาการด้านต่างๆ ของ ผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ที่ได้กาหนดไว้ของแต่ละกิจกรรม ซ่ึงมีแนวทางการประเมินกิจกรรมชุมนุมท่ี หลากหลายวิธี และการประเมินตามสภาพจริง โดยกาหนดผลการประเมินเป็น “ผ่าน” และ ”ไม่ ผ่าน” ผ่าน หมายถึง ผเู้ รยี นมเี วลาเขา้ ร่วมกจิ กรรมครบตามเณฑ์ ปฏิบตั ิ กิจกรรมและมีผลงาน/ช้ินงาน/คุณลักษณะตามเกณฑ์ที่ สถานศกึ ษากาหนด

26 ไมผ่ า่ น หมายถึง ผเู้ รียนมีเวลาเขา้ รว่ มกจิ กรรมไม่ครบตามเณฑ์ ไม่ผ่านการ ปฏิบัติกิจกรรม หรือมี ผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะไม่ เป็นไปตามเกณฑ์ทีส่ ถานศึกษากาหนด จากการศึกษาเอกสารที่เก่ียวกับกิจกรรมชุมนุม สรุปได้ว่า กิจกรรมชุมนุมเป็นส่วนหนึ่งของ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งเป็นกิจกรรมท่ีจัดตั้งข้ึนตามความสนใจ ความถนัดของผู้เรียนท่ีมีลักษณะ คล้ายคลึงกันหรือมคี วามสนใจร่วมกัน ด้วยความสมัครใจ มาร่วมกนั ทางานเปน็ ทมี ช่วยกันคิด ช่วยกัน ทา และช่วยกันแก้ปัญหา โดยมีอาจารย์ท่ีปรึกษาชุมนุม ชมรมเป็นผู้ดูแล ให้คาแนะนา คาปรึกษาใน การปฏิบัตกิ ิจกรรม ซง่ึ กจิ กรรมมีรปู แบบที่หลากหลาย มีความยืดหยุน่ ท้ังสถานที่ รูปแบบของกิจกรรม และระยะเวลาในการจดั กิจกรรม โดยไม่มีคะแนนเข้ามาเก่ยี วข้อง แต่มีการประเมินผล โดยกาหนดผล การประเมินเป็น “ผา่ น” และ ”ไมผ่ า่ น” ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ทักษะที่สาคัญในการดารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21 เป็นส่ิงสาคัญในการดารงชีวิตในสังคมแห่ง ความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ซ่ึงสานักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย (มปป : 12-16) ได้ กลา่ วถึงทกั ษะสาคัญ 3 กลมุ่ ดังน้ี 1. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม เป็นการเตรียมความพร้อมในด้านการคิดอย่างมี วิจารณญาณและการแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร และการคิดเชิงวิเคราะห์และการ ทางานร่วมกัน 2. ทักษะสารสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการใช้ส่ืออย่างมีวิจารณญาณ และปฏิบตั งิ านได้หลากหลาย โดยอาศยั ความรู้ในดา้ นสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี 3. ทักษะชีวิตและอาชีพ เป็นความสามารถในการดารงชีวิตและทางานในยุคปัจจุบันให้ ประสบความสาเร็จ มีความเป็นผู้นาและผู้ตาม สามารถปรับตัวในสภาวะการเปลี่ยนแปลง และคิด สร้างสรรค์ ผลติ ภณั ฑใ์ หม่ เพอื่ ตอบเสนองความตอ้ งการดารงชวี ิตของแต่ละบริบท นอกจากนนั้ วิจารณ์ พานชิ (2556, 16-21) และสานักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย (มปป : 12-16) ไดก้ ล่าวถึงทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 โดยมีรายละเอยี ด ดังนี้ 1. องคค์ วามรสู้ าคญั ได้แก่ 1.1 ความรู้เก่ียวกับโลก (Global Awareness) เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจ และกาหนด ประเด็นสาคัญต่อการสร้างความเป็นโลก การขับเคลื่อนทางวัฒนธรรม ศาสนา และการดารงชีวิต รว่ มกนั อย่างเหมาะสมตามบรบิ ทตา่ งๆ เข้าใจความเป็นมนษุ ย์ เช้อื ชาตแิ ละวัฒนธรรม

27 1.2 ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics, Business and Entrepreneurial Literacy) เป็นการสร้างความรู้และ วิธีการเชิงเศรษฐกิจที่เหมาะสม และใช้ทักษะการเป็นผู้ประกอบการในการยกกระดับ และเพิ่ม ประสทิ ธผิ ลดา้ นอาชพี 1.3 ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี (Civic Literacy) เป็นการสร้างความเข้าใจใน การปฏบิ ัติตนต่อสังคม และความเปน็ พลเมอื งในระดับท้องถ่ินและสากล รวมถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วม ทางสังคม ผ่านกระบวนการทางการเมอื งการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไปสู่สงั คมในระดับต่างๆ 1.4 ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจข้อมูล ทางด้านสุขภาวะอนามัย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันท่ีดีต่อภาวะสุขอนามัยท่ีดีระดับชาติและสากล เพื่อ นาไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชวี ิต 1.5 ความรู้ด้านส่ิงแวดล้อม (Environmental Literacy) เป็นการสร้างความรู้ความ ตระหนักในการอนุรักษ์และปูองกันสภาพแวดล้อม สร้างความร่วมมือทางสังคมในการวิเคราะห์ กาหนดวธิ กี ารปูองกนั แกไ้ ข และอนุรกั ษแ์ ละพฒั นาสภาพแวดลอ้ ม 2. ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ไดแ้ ก่ 2.1 ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็นตัวกาหนดความพร้อมของนักเรียน เข้าสู่โลกการทางานที่มีความซับซ้อนมากข้ึนในปัจจุบัน โดยใช้กระบวนการ Project-Based Learning: PBL เรม่ิ จากการตั้งคาถามใหผ้ ้เู รียนสนใจ อยากรู้ ตามประสบการณ์พ้ืนฐานของผู้เรียนแต่ ละคน นาไปสู่การแลกเปล่ียนความคิดเห็นกับเพ่ือน เพื่อหาคาตอบที่มีความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด โดยมีการสืบคน้ รวบรวม ความรู้ จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ท่ีน่าเชื่อถือ มาสร้างกระบวนการและวิธีการ หาคาตอบหรือ สร้างผลงานใหม่ๆ ทส่ี รา้ งสรรค์ และเปน็ ประโยชนต์ อ่ สังคม หรือที่เรียกว่า\"นวัตกรรม\" ได้แก่ ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา และการ สื่อสารและการรว่ มมอื 2.2 ทักษะด้านสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารผ่านทางส่ือและเทคโนโลยีมาก มาย ผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและ ปฏิบัติงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน ดังนี้ ดา้ นความรดู้ ้านสารสนเทศ ดา้ นความรู้เก่ียวกับสื่อ และ ดา้ นความรู้ด้านเทคโนโลยี 2.3 ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ ในการดารงชีวิตและทางานในยุคปัจจุบันให้ประสบ ความสาเร็จ นกั เรยี นจะต้องพฒั นาทักษะชวี ติ ทีส่ าคัญดงั ต่อไปน้ี 2.3.1 ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Flexibility and Adaptability) เป็น การทางานให้บรรลุเปูาหมายแบบมีหลักการ และไม่เลื่อนลอยภายใต้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

28 และไม่คาดคิด ท้ังมีข้อจากัดด้านทรัพยากร เวลา และการมีคู่แข่ง โดยใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ในการ ปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลง ปรับตัวให้เข้ากับบทบาทท่ีแตกต่างไป กับงานท่ีมีกาหนดการที่เปลี่ยนไป และบริบทท่ีเปลี่ยนไป ในด้านความยืดหยุ่น เป็นการนาผลที่เกิดข้ึนมาใช้ประโยชน์เชิงบวกต่อคาชม คาตาหนิ และความผิดพลาด มาทาให้งานลุล่วง ดังนั้นความยืดหยุ่นจึงทาเพื่อให้งานบรรลุผลสาเร็จ ไมใ่ ชเ่ พ่อื ให้ทุกคนสบายใจ 2.3.2 การริเร่ิมสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง (Initiative and Self- Direction) เปน็ การกาหนดเปูาหมายทเ่ี ป็นรูปธรรม และนามธรรม มีการคานวณประสิทธิภาพการใช้ เวลากับการจัดการภาระงานการทางานต้องทางานสาเร็จได้ด้วยตนเอง โดยกาหนดตัวงาน ติดตาม ผลงาน นอกจากน้ันยังตอ้ งฝึกทักษะการเปน็ ผูเ้ รียนรู้ไดด้ ้วยตนเองท่ีมีการมองเห็นโอกาสเรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ มีการริเริ่มการพัฒนาทักษะ ทบทวนประสบการณ์ในอดีต เพื่อคิดหาทางพัฒนาในอนาคต อัน นาไปสรู่ ะดับอาชพี 2.3.3 ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม เป็นการดารงชีวิตอยู่ใน สภาพแวดล้อมและผู้คน ที่มีความแตกต่างหลากหลาย ทาให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น เกิดการ ทางานในทีมทแ่ี ตกตา่ งหลากหลาย มกี ารเคารพความแตกตา่ งทางวัฒนธรรม 2.3.4 การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต (Productivity) และความรับผิดชอบ เชื่อถือได้ (Accountability) เป็นการกาหนดขั้นตอนวิธีการทางานในการสร้างช้ินงาน ผลงาน หรือ ผลติ ภัณฑ์ อยา่ งมหี ลักการ มกี ารกาหนดเปูาหมาย และวิธีการบรรลุเปูาหมายภายใต้ของจากัดท่ีมีอยู่ โดยการกาหนดลาดับความสาคัญ วางแผน และการจัดการ ผลิตภัณฑ์ และผลงาน ที่ได้จาการผลิต ตอ้ งมคี ณุ ภาพเพือ่ แสดงถงึ ทักษะการทางานอย่างเปน็ ระบบและสามารถนาไปใช้ประโยชน์ โดยจะต้อง ยอมรับข้อบกพร่องท่ีอาจเกิดข้ึน อันนาไปสู่การปรับแก้ไข หรือยกเลิก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อ การกระทา 2.3.5 ภาวะผู้นาและความรับผิดชอบ (Responsibility) ผู้เรียนในศตวรรษ ที่ 21 ควรมีภาวะผู้นาและความรับผิดชอบแบบกระจายบทบาท จากการรับผิดชอบต่อตนเอง รับผิดชอบการทางานแบบประสานสอดคล้องเป็นคณะทางาน และรับผิดชอบแบบสร้างเครือข่าย ร่วมมือแบบพันธมิตรการทางาน อันนาไปสู่เปูาหมายร่วมกัน ซึ่งต้องพัฒนาทักษะมนุษยสัมพันธ์และ ทักษะการแก้ปัญหาในการชักนาผู้อื่นให้เห็นเปูาหมายร่วมกัน และทางานให้บรรลุผลสาเร็จร่วมกัน และไม่ใชอ้ านาจโดยขาดจรยิ ธรรม และคุณธรรม 3. ทกั ษะการเรยี นรตู้ ลอดชีวติ เป็นของคนในศตวรรษที่ 21 คือ การเรียนรู้ โดยสามารถแจก แจงออกเปน็ 3Rs + 8Cs + 2Ls ดงั นี้

29 3.1 3Rs ได้แก่ 1) Reading ทักษะการอ่าน 2) (W) Riting, ทักษะการเขียน และ 3) (A) Rithmetics ทักษะการคานวณ ซ่ึงเป็นทักษะขั้นพ้ืนฐานที่จาเป็นสาหรับการดารงชีวิตใน ศตวรรษที่ 21 3.2 8Cs มที กั ษะย่อยๆ ดังนี้ 3.2.1 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving ) 3.2.2 ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) 3.2.3 ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration Teamwork and Leadership) 2.3.4 ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross- cultural Understanding) 2.3.5 ทักษะด้านการสื่อสารสนเทศ และรู้เท่าทันส่ือ (Communication Information and Media Literacy) 2.3.6 ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and Media Literacy) 2.3.7 ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Self- reliance) 2.3.8 ทกั ษะการเปล่ยี นแปลง (Change) 3.3 2Ls ได้แก่ Learning Skills (ทักษะการเรยี นร้)ู และ Leadership (ภาวะผูน้ า) นอกจากนั้น กระทรวงศกึ ษา (2559) ไดม้ กี ารกล่าวถึงทักษะในศตวรรษที่ 21 8Cs ดงั นี้ 3.3.1 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving ) 3.3.2 ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) 3.3.3 ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration Teamwork and Leadership) 3.3.4 ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross- cultural Understanding)

30 3.3.5 ทักษะด้านการส่ือสารสนเทศ และรู้เท่าทันส่ือ (Communication Information and Media Literacy) 3.3.6 ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and Media Literacy) 3.3.7 ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Self- reliance) 3.3.8 มคี ณุ ธรรม มีเมตตา กรุณา มรี ะเบียบวนิ ยั (Compassion) จากการศึกษา ทักษะในศตวรรษที่ 21 ของวิจารณ์ พานิช (2556, 16-21) และ กระทรวงศึกษาธิการ (2559) ต่างกันตรง C ตัวที่ 8 ไม่ได้เป็น ทักษะการเปลี่ยนแปลง (Change) แต่ เป็น มีคุณธรรม มีเมตตา กรุณา มีระเบียบวินัย ซ่ึงเป็นคุณลักษณะพ้ืนฐานสาคัญของทักษะขั้นต้น ทั้งหมด และเป็นคุณลักษณะที่เด็กไทยจาเป็นต้องมี ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในงานวิจัย ฉบบั นี้ ผวู้ จิ ยั ไดเ้ ลอื กใช้ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ของกระทรวงศึกษาธิการ (2559) กระบวนการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 เยาวเรศ ภักดีจิตร (2557 : 1-8) ได้กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ว่าการ เรียนรู้ที่แท้จริงน้ันอยู่ในโลกของความเป็นจริง อยู่ในชีวิตจริง เป็นลักษณะรูปธรรม แต่การเรียนใน รายวชิ าต่างๆ ในหอ้ งเรียนนนั้ เป็นการเรียนแบบสมมติ เป็นการเรียนในลักษณะนามธรรม ดังนั้น การ ออกแบบการเรียนรู้ในชั้นเรียนจึงเป็นสิ่งสาคัญที่จะทาให้การเรียนในลักษณะนามธรรมน้ันสามารถ นาไปใช้ในสภาพที่ใกล้เคียงชีวิตจริงที่สุด เพ่ือให้เห็นในลักษณะรูปธรรม ครูต้องเปล่ียนเปูาหมายการ เรียนรู้จากเน้นเรียนวิชาเพื่อได้ความรู้ ไปสู่การพัฒนาทักษะท่ีสาคัญต่อชีวิตในยุคใหม่ โดยจะต้อง จัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดทักษะเพ่ือการดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 จากการลงมือปฏิบัติ (learning by doing) กระบวนการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ เป็นแนวคิดท่ีสนับสนุนให้ลงมือปฏิบัติสิ่งต่างๆ ด้วย ตนเองตามความสนใจ ตามความถนัดและศักยภาพ รวมถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองจากการลงมือปฏิบัติ เพราะจะทาให้เกิดความเชื่อม่ันเป็นแรงจูงใจให้เกิดการใฝุรู้ ใฝุเรียน เกิดความสนุกสนานและมี ความสุขในการเรียน ซึ่งสามารถจดั การเรยี นรใู้ นลกั ษณะดงั นี้ 1. การเรียนรู้ผ่านการทางาน (Work-based Learning) การจัดการเรียนรู้แบบน้ี เป็นการ ส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดพัฒนาการทุกด้าน ผ่านการฝึกปฏิบัติจริง ฝึกฝนทักษะทางสังคม ทักษะชีวิต ทักษะวิชาชีพการพัฒนาทักษะการคิดข้ันสูง โดยสถานศึกษาอาจจะการจัดการเรียนการสอนร่วมกัน

31 และสถานประกอบการในชุมชนต้ังแต่การกาหนดวัตถุประสงค์ กาหนดเน้ือหากิจกรรม และวิธีการวัด และประเมินผล 2. การเรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project-based Learning) เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ ที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง โดยการศึกษา สารวจ ค้นคว้า ทดลอง และสรุปผลจาก การศึกษา โดยมีครูเป็นผู้อานวยความสะดวก (facilitator) หรือผู้ให้คาแนะนา (guide) ทาหน้าที่ ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนทางานเป็นกลุ่ม และให้คาปรึกษา เพ่ือให้โครงการบรรลุตาม วัตถุประสงคข์ องแตล่ ะกลุ่มท่ีต้ังไว้ ดังน้ัน สิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ด้วย PBL จึงไม่ได้มีเพียง องค์ความรู้ (knowledge) เท่านั้น แต่เป็นทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (learning and innovation skills) ทักษะชีวิตและประกอบอาชีพ (Life and Career skills) ทักษะด้านข้อมูล ข่าวสาร การสื่อสารและเทคโนโลยี (Information Media and Technology Skills) การออกแบบ โครงงานทด่ี จี ะกระตุ้นใหเ้ กิดการค้นควา้ อย่างกระตือรือร้นและผู้เรียนจะได้ฝึกการใช้ทักษะการคิดเชิง วิพากษ์และแก้ปัญหา (critical thinking & problem solving) ทักษะการสื่อสาร (communicating) และทกั ษะการสรา้ งความร่วมมอื (collaboration) จากการศึกษา ทักษะในศตวรรษท่ี 21 จะเห็นได้ว่าเป็นทักษะสาคัญสาหรับผู้เรียนในการ นาพาผู้เรียนไปสู่ศตวรรษที่ 21 ซ่ึงผู้วิจัยได้เลือกใช้ทักษะในศตวรรษที่ 21 ของกระทรวงศึกษาธิการ (2559) โดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project-based Learning) โดยให้ผู้เรียนได้ได้ลงมือ ปฏิบัติจริง จากความสนใจของผู้เรียน โดยมีครูเป็นผู้อานวยความสะดวก (facilitator) หรือผู้ให้ คาแนะนา (guide) เพ่ือให้โครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ของแต่ละกลุ่มที่ต้ังไว้ ด้วยกระบวนการ สารวจ คน้ คว้า ทดลอง และสรุปผลเพอ่ื นามาใชใ้ นงานวิจยั ฉบบั น้ี การจดั การเรยี นรู้แบบโครงงาน (Project Base Learning) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง จากการลงมือปฏิบัติจริง โดยมีการศึกษาค้นคว้าความรู้ตามความสนใจของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอน กระบวนการท่ตี ่อเนอ่ื ง เพ่ือใหผ้ เู้ รียนได้รบั ความรู้และประสบการณใ์ นการเรียนรู้ผ่านการลง มือปฏิบัติด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 3) พ.ศ.2553 มาตรา 24 ท่ีกล่าวเก่ียวกับการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยให้สถานศึกษาจัด กระบวนการเรียนรู้ โดยจัดให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความ แตกตา่ งระหวา่ งบุคคล

32 ดังนั้น การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานจะพัฒนาผู้เรียนให้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจาก ความสนใจ ผ่านขั้นตอนและกระบวนการอย่างเป็นระบบ โดยมีนักการศึกษาหลายท่านได้เสนอ ขน้ั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน ดังน้ี สวุ ทิ ย์ และอรทยั มลู คา (2545: 86) กลา่ วถงึ ข้นั ตอนการจัดการเรยี นรแู้ บบโครงงานดังน้ี การจัดการเรียนรูแ้ บบโครงงานมขี ั้นตอนสาคัญ ดงั ต่อไปนี้ 1.การเลอื กหัวข้อเรื่องหรอื ปัญหาทจี่ ะศึกษา 2. การวางแผน ประกอบดว้ ย 2.1 การกาหนดจดุ ประสงค์ 2.2 การต้งั สมมุติฐาน 2.3 การกาหนดวิธีการศึกษา 3. การลงมือปฏิบัติ 4. การเขยี นรายงาน 5. การนาเสนอผลงาน วชั รา เล่าเรยี นดี (2548: 101) ได้เสนอกระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานไว้ 7 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ครใู ห้ความร้ทู ่ัวๆ ไปท่ีจะให้ผ้เู รยี นได้ทาการศกึ ษาและค้นคว้า เพอ่ื ใช้ในการทาโครงงาน 2. ผู้เรียนเลือกหัวข้อท่ีสนใจจะศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติม จากน้ันจัดกลุ่มผู้เรียนท่ีสนใจในหัวข้อ เดยี วกนั ใหอ้ ยกู่ ลุ่มเดยี วกนั 3. ผเู้ รยี นแลกเปล่ยี นแนวคดิ และรว่ มกันวางแผนการดาเนินงาน กาหนดวธิ กี ารศึกษาค้นคว้า แหล่งขอ้ มลู ในการศึกษาค้นควา้ และแบง่ หนา้ ท่รี ับผิดชอบใหก้ บั สมาชกิ ในแตล่ ะคนในกลุ่ม 4. แต่ละกลุ่มดาเนินการตามแผนที่วางไว้ เก็บข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาค้นคว้า แล้วสรุปเพ่ือ เตรยี มนาเสนอหน้าชัน้ เรียน 5. ผเู้ รยี นร่วมกนั อภปิ รายโครงงานของแต่ละกลมุ่ ในชน้ั เรยี น 6. ผสู้ อนและผเู้ รยี นรว่ มกันสรปุ ส่ิงทีไ่ ด้เรยี นจากการทาโครงงาน 7. วัดและประเมินผลการเรียนรู้โครงงาน ประเมินผลการปฏิบัติงาน การร่วมมือกันปฏิบัติ และการนาเสนอรายงาน โดยผสู้ อนและผู้เรียนรว่ มกนั กาหนดเกณฑก์ ารประเมิน วิธีการประเมิน กระทรวงศึกษาธิการ (2550: 4-5) ได้กล่าวถึง ข้ันตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบ โครงงานไว้ 4 ข้นั ตอน ดังน้ี 1. ข้นั นาเสนอ เปน็ ขน้ั ทผ่ี สู้ อนเสนอประเด็นหรอื หวั ขอ้ ตา่ งๆ ให้ผู้เรียนศึกษา เล่นเกม หรือใช้ เทคนคิ การตัง้ คาถาม เพ่อื นาไปสแู่ นวทางในการวางแผน

33 2. ขัน้ วางแผน เปน็ ขน้ั ท่ีผู้เรยี นรว่ มกนั วางแผน โยการระดมความคิด อภิปรายร่วมกัน เพ่ือใช้ เปน็ แนวทางในการปฏิบัติในข้นั ต่อไป 3. ขน้ั ปฏบิ ัติ เปน็ การปฏบิ ัติของผเู้ รยี นและสรุปรายงานผลทเี่ กิดขน้ึ จากการวางแผนรว่ มกัน 4. ขั้นประเมินผล เป็นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดยมีผู้สอน ผู้เรียน และเพื่อน ร่วมกนั ประเมิน ไพฑูรย์ นันตะสุคนธ์ และวัลภา อยู่ทอง (2557: 55-59) ได้กล่าวถึงข้ันตอนในการจัดการ เรยี นรูแ้ บบโครงงานเปน็ ฐานไว้ 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 1. การเตรียมความพร้อม โดยผู้สอนเป็นผู้จัดเตรียมขอบเขตของโครงงานแหล่งข้อมูล และ คาถามนา 2. การกาหนดและเลือกหัวข้อ โดยกลุ่มผู้เรียนเป็นผู้กาหนดหัวข้อท่ีจะทาโครงงานร่วมกัน รวมถึงศึกษาความเป็นไปไดข้ องหวั ข้อที่จะทาโครงงาน จากน้นั นาเสนอผู้สอน 3. การเขียนเค้าโครงของโครงงาน โดยผู้เรียนศึกษาขอบเขตโครงงาน แหล่งข้อมูล แล้ว ร่วมกันวางแผนการดาเนินโครงงาน รวมถึงแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้กับสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม และ กาหนดระยะเวลาในการดาเนนิ โครงงาน 4. การปฏิบัติโครงงาน โดยสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มดาเนินการปฏิบัติโครงงานตามแผนและ หนา้ ที่รบั ผดิ ชอบที่ไดว้ างไว้ โดยมีผูส้ อนคอยใหค้ าปรึกษาและรว่ มกนั แก้ปัญหาไปพร้อมกบั ผู้เรยี น 5. การนาเสนอผลงาน ผู้เขียนสรุปผลการดาเนินงาน จัดทารายงานและนาเสนอผลงาน โครงงาน เพอื่ แลกเปล่ียนเรียนรรู้ ะหว่างกลุม่ 6. การประเมินผล โดยผสู้ อนเป็นผูป้ ระเมินโครงงานอย่างตอ่ เน่ือง ดว้ ยวิธีการและเคร่ืองมือท่ี หลากหลาย และประเมนิ ตามสภาพจรงิ ดษุ ฎี โยเหลา และคณะ (2557: 20-23) ไดก้ ลา่ วถงึ ข้นั ตอนในการจดั การเรยี นรู้แบบโครงงาน เป็นฐานไว้ 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขน้ั ให้ความรู้พ้ืนฐาน โดยผู้สอนให้ความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับการทาโครงงานเบื้องต้น เพื่อให้ ผ้เู รียนใช้ในการทาโครงงาน ในขั้นแสวงหาความรู้ 2. ข้ันกระตนุ้ ความสนใจ เป็นการเตรยี มกจิ กรรมของผสู้ อนท่ีจะกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน ดงึ ดูดผ้เู รยี นให้เกดิ ความสนุกสนานในการทาโครงงาน 3. ข้ันจัดกลุ่มร่วมมือ เป็นข้ันท่ีผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มเพื่อแสวงหาความรู้ โดยใช้ กระบวนการกลุ่มในการวางแผน แบง่ หนา้ ทร่ี ับผิดชอบ เพือ่ เปน็ แนวทางปฏบิ ตั ิรว่ มกนั

34 4. ข้นั แสวงหาความรู้ เป็นการดาเนินการแสวงหาความรู้ และลงมือทาโครงงาน ตามหัวข้อที่ กลุ่มสนใจ หรือตามหัวข้อที่ตกลงร่วมกันกับผู้สอน โดยขอคาปรึกษาจากผู้สอนเป็นระยะ เมื่อเกิด ปญั หา แล้วรว่ มกันเขยี นรูปเลม่ สรปุ รายงานจากการทาโครงงาน 5. ขัน้ สรุปส่ิงทเ่ี รียนรู้ โดยผ้เู รยี นสรุปสง่ิ ทเี่ รยี นรูจ้ ากการทาโครงงาน 6. ข้ันนาเสนอผลงานและประเมินผล ให้ผู้เรียนนาเสนอผลงานการเรียนรู้จากการทา โครงงาน นาเสนอผลงานใหเ้ พอ่ื นร่วมชน้ั และผเู้ รียนอนื่ ๆ ได้ชม และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ นอกจากน้ัน วัชรินทร์ โพธ์ิเงิน พรจิต ประทุมสุวรรณ และสันติ หุตะมาน (2557: 10) ยังได้ นาหลักการของโครงงานเปน็ ฐานไปใชก้ บั ผูเ้ รียนสายอาชีวศึกษา (V-Project Based Learning) โดยมี ขั้นตอน ทัง้ หมด 5 ข้นั ตอน ดังน้ี 1. การเตรียมความพร้อม โดยผู้สอนเตรียมแหล่งข้อมูล คาถามนา รวมถึงข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อความ คลปิ วดิ ีโอ และสือ่ ออนไลน์ 2. ศกึ ษาความเปน็ ไปได้ ผเู้ รยี นจะได้ศึกษาข้อมูลต่างๆ จากการเตรียมความพร้อมของผู้สอน และแลกเปล่ียนขอ้ มูลกับสมาชกิ ในกลุ่มเพือ่ ศึกษาความเปน็ ไปได้ในการจดั ทาโครงงาน 3. กาหนดหวั ขอ้ โดยสมาชกิ ในกล่มุ ร่วมกันกาหนดหัวข้อที่จะนามาทาเป็นโครงงาน จากน้ัน วางแผนการจดั ทาโครงงาน กาหนดข้นั ตอนการดาเนินงาน แบง่ หนา้ ทรี่ ับผดิ ชอบ 4. การดาเนินงานสร้างช้ินงานและทดสอบ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มดาเนินตามหน้าท่ีท่ีได้ รับผิดชอบ ดาเนินการสร้าง โดยมีผู้สอนให้คาปรึกษา และมีการทดสอบผลงาน เพ่ือวัดประสิทธิภาพ ของผลงานที่สร้างขน้ึ 5. นาเสนอผลงาน ผเู้ รยี นจดั ทารายงานและเตรยี มนาเสนอผลงาน จากการศึกษาแนวคิดเก่ียวกบั การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐานท่ีนักการศึกษาหลาย ท่านได้กล่าวไว้ ผวู้ ิจัยได้ทาการสงั เคราะห์ขนั้ ตอนการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพือ่ ใช้ใน การวจิ ัยในครงั้ น้ี ดังตารางที่ 2 การสังเคราะห์ขั้นตอนการจดั การเรียนรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน

35 ตารางที่ 2 การสงั เคราะหข์ ้นั ตอนการจดั การเรียนรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน สวุ ทิ ย์ และ วชั รา เลา่ เรยี นดี กระทรวงศกึ ษา วชั รนิ ทร์ โพธ์ิเงิน พร ดุษฎี โยเหลา และ ไพฑูรย์ นนั ตะสุคนธ์ ผลจากการสังเคราะห์ อรทัย มลู คา (2548: 101) ธิการ (2550: จิต ประทุมสุวรรณ คณะ (2557: 20- และวลั ภา อยู่ทอง (2545: 86) 4-5) และสันติ หุตะมาน 23) (2557: 55-59) 1. ใหค้ วามรพู้ ้ืนฐาน 1. ครใู ห้ความรทู้ ว่ั ๆ ไป (2557: 10) (Basically Knowledge) 1. การเลอื ก 2. ผเู้ รียนเลือกหวั ขอ้ ที่ 1. ขั้นนาเสนอ 1. การเตรียมความ 1. ขนั้ ใหค้ วามรู้ 1. การเตรียมความ 2. เลือกหวั ข้อทสี่ นใจ หวั ข้อเรอื่ งหรือ สนใจ 2. ขน้ั วางแผน พร้อม พื้นฐาน พรอ้ ม (Define) ปญั หาท่จี ะ 3. ผ้เู รยี นแลกเปลี่ยน 3. ขน้ั ปฏบิ ตั ิ 2. ศึกษาความเปน็ ไป 2. ขน้ั กระตนุ้ ความ 2. การกาหนดและ 3. วางแผน (Plan) ศึกษา แนวคดิ และร่วมกนั 4. ขัน้ ได้ สนใจ เลือกหวั ข้อ 4. ลงมือปฏิบตั ิ (Do) 2. การวางแผน วางแผน ประเมินผล 3. กาหนดหวั ข้อ 3. ขั้นจัดกลุ่ม 3. การเขยี นเคา้ โครง 5. นาเสนอและอภิปราย 3. การลงมอื 4. แตล่ ะกล่มุ ดาเนนิ การ 4. การดาเนนิ งานสรา้ ง ร่วมมอื ของโครงงาน (Presentation and ปฏิบัติ ตามแผนทว่ี างไว้ ชนิ้ งานและทดสอบ 4. ข้ันแสวงหา 4. การปฏิบตั ิ Discussion) 4. การเขยี น 5. ผ้เู รียนรว่ มกนั 5. นาเสนอผลงาน ความรู้ โครงงาน 6. การวดั และประเมินผล รายงาน อภปิ ราย 5. ขน้ั สรปุ ส่ิงที่ 5. การนาเสนอ (Evaluation) 5. การนาเสนอ 6. ผู้สอนและผูเ้ รียนสรุป เรียนรู้ ผลงาน ผลงาน 7. วดั และประเมินผล 6. ขน้ั นาเสนอ 6. การประเมินผล ผลงานและ ประเมินผล 35

36 จากตารางที่ 2 การสังเคราะห์ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ผู้วิจัยได้ทา การสังเคราะห์ข้ันตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เรื่อง ของดีบ้านแพ้ว เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ ประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6 ข้ันตอน ดังนี้ 1. ให้ความรู้พ้ืนฐาน (Basically Knowledge) โดยครูผู้สอนเตรียมแหล่งข้อมูล เตรียม ส่ือข้อมูล เกี่ยวกับข้อมูลพ้ืนฐานที่ต้องการให้นักเรียนรู้ในเบื้องต้น เพ่ือให้ผู้เรียนเห็นขอบเขตของ การศึกษาในครัง้ นี้ รวมถึงกระตนุ้ ความสนใจของผเู้ รียน ดึงดดู ผเู้ รยี นใหเ้ กิดความสนใจ 2. เลือกหวั ข้อทส่ี นใจ (Define) ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาถึงความเป็นไปได้ของหัวข้อท่ี ผเู้ รียนสนใจจะศึกษา คน้ คว้า จากนน้ั นาเสนอหวั ขอ้ ทีส่ นใจ เพื่อรว่ มกนั อภปิ รายและทาขอ้ สรุป 3. วางแผน (Plan) สมาชิกแต่ละกลุ่มร่วมกันกาหนดข้ันตอนการดาเนินงาน กาหนด ระยะเวลาในการดาเนนิ โครงงาน และแบ่งหนา้ ทีร่ ับผิดชอบให้กับสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม โดยมีผู้สอน คอยให้คาปรึกษา 4. ลงมือปฏิบตั ิ (Do) โดยการดาเนินการตามแผนที่แต่ละกลุ่มได้วางไว้ และร่วมกันแก้ปัญหา ทเี่ กดิ ขึ้น เพ่ือใหบ้ รรลเุ ปูาหมายของแตล่ ะกลุ่ม โดยมีผู้สอนคอยอานวยความสะดวกในการลงมอื ปฏิบตั ิ 5. นาเสนอและอภิปราย (Presentation and Discussion) ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอ ผลงาน โดยการนาเสนอผลงานให้เพือ่ นร่วมชน้ั และผ้เู รียนอื่นๆ ได้ชม เพอ่ื แลกเปล่ียนเรยี นรู้รว่ มกนั 6. การวัดและประเมินผล (Evaluation) เปน็ การประเมินผลงาน โดยการประเมินตามสภาพ จรงิ โดยการประเมนิ ตนเอง เพ่ือน และผู้สอน และมกี ารให้ขอ้ คิดเหน็ สาหรับผลงาน เพ่ือนาข้อคิดเห็น กลบั มาปรับปรุง แก้ไขผลงานใหม้ ีประสิทธิภาพมากขนึ้ สรุปแนวคิดเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน (Project Base Learning) เป็นการ จดั การเรยี นรูท้ พี่ ัฒนาผูเ้ รียนให้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจากความสนใจ ผ่านขั้นตอน กระบวนการ ทตี่ ่อเน่ืองอยา่ งเป็นระบบ โดยเนน้ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง โดยจัดให้สอดคล้องกับ ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ซ่ึงในการวิจัยครั้งน้ี ได้พิจารณาขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน 6 ข้ันตอน ประกอบด้วย 1) ให้ความรู้ พื้นฐาน 2) เลือกหัวข้อที่สนใจ 3) วางแผน 4) ลงมือปฏิบัติ 5) นาเสนอและอภิปราย และ 6) การวัด และประเมินผล