Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการ "วารสารศาสตร์" คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วารสารวิชาการ "วารสารศาสตร์" คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Description: วารสารศาสตร์ ฉบับ "รักก็คือรัก หลงก็คือหลง ถ้าถามประชาสังคม...ก็คงไม่เข้าใจ"
ปีที่ 23 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2563

Keywords: การโกหก

Search

Read the Text Version

JOURTNhaAmL mOaFsJaOtUURnNivAeLrISsiMty, วารสารวชิ าการ “วารสารศาสตร์” คณะวารสารศาสตรแ์ ละส่อื สารมวลชน มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์

วารสารศาสตร์ ฉบับ “รกั กค็ อื รัก หลงกค็ อื หลง ถ้าถามประชาสงั คม...ก็คงไม่เข้าใจ” ปีท่ี 13 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธนั วาคม 2563 วารสารศาสตร์ เป็นวารสารวิชาการรายสี่เดือน ด้านวารสารศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และสาขาวิชาอ่ืนที่เก่ียวข้อง กับแวดวงการสื่อสาร อันได้แก่ สาขาส่ือสารมวลชน สาขาโฆษณาและประชาสัมพันธ์ สาขาส่ือสารองค์กร และ สาขาสื่อสารศึกษาในมุมมองต่างๆ ทั้งน้ี บทความวิชาการและบทความวิจัยท่ีตีพิมพ์ในเล่มได้ผ่านการพิจารณา จากผทู้ รงคุณวุฒิตา่ งสถาบนั จำ� นวนอย่างน้อย 2 ทา่ น วางจ�ำหน่ายปีละ 3 ฉบับ คือ ฉบับเดอื นมกราคม–เมษายน ฉบับเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม และฉบับเดือนกันยายน–ธันวาคม กองบรรณาธกิ าร ประกอบดว้ ย ทป่ี รึกษา รศ.อรทัย ศรีสนั ตสิ ุข อดตี คณบดคี ณะวารสารศาสตรแ์ ละสอื่ สารมวลชน มธ. ศ.ดร.สรุ พงษ์ โสธนะเสถียร อดตี อาจารยค์ ณะวารสารศาสตรแ์ ละสอื่ สารมวลชน มธ. รศ.กติ ิมา สรุ สนธ ิ อดตี อาจารยค์ ณะวารสารศาสตรแ์ ละสอื่ สารมวลชน มธ. บรรณาธิการบรหิ าร รศ.ปทั มา สุวรรณภักดี ผรู้ กั ษาการแทนในต�ำแหนง่ คณบดคี ณะวารสารศาสตร์ และสื่อสารมวลชน มธ. บรรณาธิการเล่ม รศ.ดร.สมสุข หินวมิ าน คณะวารสารศาสตรแ์ ละส่ือสารมวลชน มธ. ผชู้ ว่ ยบรรณาธิการ ผศ.วารี ฉัตรอดุ มผล คณะวารสารศาสตร์และสอ่ื สารมวลชน มธ. กองบรรณาธิการบริหาร รศ.ดร.พีระ จริ ะโสภณ อดตี คณบดคี ณะนเิ ทศศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั รศ.ดร.ก�ำจร หลุยยะพงศ์ สาขาวชิ านเิ ทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช รศ.ดร.กลุ ทพิ ย์ ศาสตระรุจิ คณะนิเทศศาสตรแ์ ละนวตั กรรมการจดั การ สถาบันบัณฑิตพฒั นบรหิ ารศาสตร์ (นดิ า้ ) รศ.ดร.ไพโรจน์ วไิ ลนชุ คณะนเิ ทศศาสตร์ ม.หอการค้าไทย รศ.ดร.สราวุธ อนนั ตชาติ คณะนิเทศศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั รศ.ดวงพร ค�ำนณู วฒั น ์ สถาบนั วิจัยภาษาและวัฒนธรรมแห่งเอเชีย ม.มหดิ ล รศ.ดร.นันทยิ า ดวงภุมเมศ สถาบนั วิจัยภาษาและวัฒนธรรมแหง่ เอเชีย ม.มหิดล รศ.ดร.ธาตรี ใตฟ้ ้าพลู คณะนเิ ทศศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผผศศ..ดดรร..ววรนัชาญวลั ์ ยค์ รดุจาติ ตี้ คคณณะะบนรเิ หิทาศรศธรุากสจิตรเศแ์ รลษะฐนศวาตัสกตรร์รแมลกะการาจรสดั อ่ืกสาารร ม.นเรศวร สถาบันบณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ (นิด้า) ผศ.ดร.อริชยั อรรคอดุ ม คณะนิเทศศาสตร์ ม.กรงุ เทพ ผศ.ดร.ขวัญฟา้ ศรปี ระพนั ธ์ คณะการส่ือสารมวลชน ม.เชยี งใหม่ กองบรรณาธิการบริหาร มีหน้าที่ก�ำหนดรูปแบบวารสารให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ อำ� นวยการใหก้ ารจดั ทำ� วารสารดำ� เนนิ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ยและมปี ระสทิ ธภิ าพ ควบคมุ ดแู ลกิจกรรมการด�ำเนินงานให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงคต์ ามท่ีกำ� หนดไว้ กองบรรณาธกิ ารจัดการ รศ.รุจน์ โกมลบุตร คณะวารสารศาสตร์และสือ่ สารมวลชน มธ. รศ.กลั ยกร วรกุลลฎั ฐานีย ์ คณะวารสารศาสตร์และส่อื สารมวลชน มธ. ผศ.ดร.วกิ านดา พรสกลุ วานิช คณะวารสารศาสตรแ์ ละสอื่ สารมวลชน มธ. รศ.ดร.นิธิดา แสงสิงแกว้ คณะวารสารศาสตรแ์ ละสอ่ื สารมวลชน มธ. รศ.อารดา ครุจติ คณะวารสารศาสตรแ์ ละสอ่ื สารมวลชน มธ. กองบรรณาธิการจัดการ มีหน้าท่ีประสานงานสถาบันและหน่วยงานภายนอกในการ สง่ บทความ กำ� หนดรปู แบบการจดั ทำ� บทความ ตติ ตามการจดั สง่ บทความ ประสานงาน ผู้ทรงคณุ วฒุ ภิ ายนอก และพจิ ารณาคัดกรองบทความในเบ้อื งตน้ เจา้ หน้าท่กี องบรรณาธกิ าร น.ส.สุมล สร้อยสมุ าลี คณะวารสารศาสตร์และส่ือสารมวลชน มธ. น.ส.จารณุ ี สุขสม คณะวารสารศาสตร์และส่ือสารมวลชน มธ. คณะวารสารศาสตร์และสอ่ื สารมวลชน มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ เลขท่ี 99 ถ.พหลโยธนิ ต.คลองหน่ึง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12121 โทรศพั ท์ 0-2696-6220 โทรสาร 0-2696-6218 อเี มล [email protected] เว็บไซต์ www.jc.ac.th ปก: Ryo Yamashita <ryoyamashita.com> ISSN: 0125-8192 ราคา: 120 บาท

JINsoosu.u1re3n:aVl“Qoolfu.3eJsoStiueorpnntineagmlisbMmeer,-dDTiaehcaaemnmdmbeCarisva2ilt0S2Uo0nciievteyr”sity STsJtoheueupdrtineJeamoslubaorennfrdaJ-lDooupetrhucneebamrlilsirsbhemeelars,.teTedhvafeimreylmdfsao,suia.ret.mU, mnoinavtsehsrsscitwoymitishmautnhnarieccaaedtievomonl,iucamjdoevusernrptaielsirinnvgyoe,lvapirnu:gbJljiocaunrruenalaarlitysio-mAnpsstr,uiln,deiMewsa,myco-eAmdumigauusnstituc,adatiienosnd. A P ATT rhhssosseefoo.ccAES..dd uPPivrtarroisooproffio..arnylOK gTisrtBaieemotaaaSamirod SSt ariuninsrcaaalsunsoadtinteshtushie:ki n, Ph.D. AA sdsmocin. isPtrroaft.ivP eatEtadmit aorSuwunpukdee ffTTFToohhharrcaaammummmeeltrrmmmyldaaaeoessscaaaaftuntttJr,eUUUorFu,nnnariiiFcnvvvauaeeeclltrrriuyssssliiimttttyoyyyfoaJfnodJuorMnuraanlisasslmismCaonamdnmdMuMansaiscsasCtioComonm,mm unuinciac taiotinon, , FThacaumltmyaosaf tJUounrinvaelrissimty and Mass Communication, JA osusornca. lPErodfi.toS romsuk Hinviman, Ph.D. FThacaumltmyaosaf tJUounrinvaelrissimty and Mass Communication, VA sicset.-EP driotfo.rVa ree Ch atudompol FThacaumltmyaosaf tJUounrinvaelrissimty and Mass Communication, TA A A A AA A AA A AAhsssssssssssssssssssssssseoottoootooot....ccccccccA........PPPPd rrrrPPPPPPPPmoooorrrrrrrrffffooooooooi....nffffffff........AKWWisNwrDTKPKPS taairusaaaiuauanrrahntarimalnaarltraatatoinfiwivjviyatCjogKTiueaapAhhpWada SnniokirrDhErSpauirrilDpodaahnLascAuurtaoioiohnatannKdphpuiouprtagooeaoia,rchynpmomrirnhaaaPtuthney,anp,nlhju,,i,c,oo,.mPPBDhPPnoPPhhPoma.hgnhh.h. harDD.,w.e.t.D.DDrD,Ds..Pda ...,. .P t h aPh.Dnh.Da.. D . . RDSfFOUFUFGUIGUFIoSRonnacfaaaceeerrnnnnprnncaahcccsshmpiiiieCuvvvveeooodduuuoanleeeeaeaoovvuullltortttrryrrrrrlmtaaaayyylccUssssmtttthohdiiiimooiieenttttoooooefeyyyyffiIIennfffnvaCnSSnBr,,tCenssCMCcccourNNto,teohhmoosiistatmaafooFiiummumtnsttooatytmsCeiiemmeuoocllsoununnCuusooffmniloaao,cnntffoirllyramciiEmccCCtIIaLLciuaaonnomootaoattnifssnnmmoniinuioottgcgnoCiinmmnnAttuaumuuoiatrcaAuuttmtiiAAggaoceesnnreestrr,nmtiistticcssooossUua,aaffAn,,aannnttnB,rDDiindiCCiootvdcadsCeennhheanC,vvhCuurtCgsoieeAASilluoauaaikmlltlunoorrltnllyotoottukmppugsskrnnhArommeueggofaasrMUnseettkknnihstncnnoooahddo,aaifttrrivefitnnCeiAAAMMUoATThrsUUnddnshsaahuisammiiiannnnalvat,a,ymiiiaa,eiivvlnnNMoggrCMeemiisnaeessahrriaragssttmmthaerrhytiikimaattsdhieeoyyduttoinnbrriioaoolanettlnnnt r administrateTshetheAdpmubinlicisattriaotniveproEcdeidtourrieasl aBcocaorrddinsgettso uitps gtohaels.objectives of the Journal as well as TA A A A A hsssssssssseootoo.ccccM....P arPPPPonrrrrfaoooo.gffff....VeiANRKr kiaaauritalnjliydddaKEaaakodoS KmiPrtaanooonrrrnugnWibacssuhloiantikrBt ga uokklveauaorlldna, itcPtahhn,.DePe.h .D. FTTTFFFTFThhhhhaaaaacccccaaaaauuuuummmmmllllltttttmmmmmyyyyyaaaaaooooosssssaaaaafffff tttttJJJJJUUUUUooooouuuuunnnnnrrrrriiiiinnnnnvvvvvaaaaaeeeeelllllrrrrriiiiissssssssssiiiiimmmmmtttttyyyyy and Mass Communication, and Mass Communication, and Mass Communication, and Mass Communication, and Mass Communication, aedsituinbgmiosfsiotThnehoeafrMatiractnliecaslge,sea,risaalwpEerdelliltimoarsiinaaal rBypousabcrlrdisehecinoniognrgdoifonfaettaehcsehtahvreotilcumlmeasen,aaogfermethveeienwtJooouffrnJtaohlu.ernaarlticpluebsl,icpartoiodnucitnicolnudainndg ES J audrmiutonoerl ie aSloSySostouakmf sfoalmee FFTThhaaccaauummllttmmyyaaoossaaff ttJJUUoouunnrriinnvvaaeellrriissssiimmttyy aanndd Mass Communication, Mass Communication, F9Temae9cl:auMi+llt:o6yoo6iol1s(f8u0mJ)[email protected] Rodmd.M, KahslsonCgolumanmgu, WFnPaiacextabh:tsui+oimt6net6,:haTw(n0hwia)1wm22.1mj6c29.a1a6,sca.Tt6thh2aU1il8nanivdersity PICSroiScveeN:r::10R210y2o5B-Ya8ah1mt92ashita <ryoyamashita.com>

วารสารศาสตร์ ฉบับ “รกั ก็คอื รัก หลงก็คอื หลง ถา้ ถามประชาสังคม...ก็คงไมเ่ ขา้ ใจ” ปที ่ี 13 ฉบบั ท่ี 3 เดือน กันยายน–ธนั วาคม 2563 สารบญั บทบรรณาธิการ 6 “รกั กค็ ือรกั หลงก็คอื หลง ถา้ ถามประชาสงั คม...กค็ งไม่เข้าใจ” ดนิ แดนของการโกหก: มีท้งั หลมุ เล็กๆ และสว่ นท่ลี าดลึก 9 นฤมล ปิ่นโต ผลลัพธก์ ารสร้างนกั สือ่ สารชุมชนท้องถิ่นเพอื่ เสรมิ สรา้ งจิตส�ำนกึ 40 ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรปา่ ชายเลน ตำ� บลหัวเขา อ�ำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เจรญิ เนตร แสงดวงแข การน�ำเสนอเน้อื หาเก่ยี วกับผสู้ มคั รเลือกตัง้ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร 84 ในการเลอื กต้งั ทวั่ ไป พ.ศ. 2562 ของหนงั สือพมิ พท์ ้องถิ่นลำ� ปางและสงขลา รจุ น์ โกมลบุตร และคณะ พลวตั ของสอื่ ทางเลือกในยคุ ดิจิทัลกับการเป็นสื่อสันติภาพในจงั หวัดชายแดนใต ้ 128 นันท์วิสทิ ธ์ิ ต้งั แสงประทปี มาโนช ชมุ่ เมอื งปัก และวไิ ลวรรณ จงวไิ ลเกษม การเวน้ ระยะห่างทางเพศสถานะ: นวนยิ ายยาโออิของไทยในการเมอื ง 160 เรื่องขนบวรรณกรรมกับการตีความ นทั ธนัย ประสานนาม แนวคดิ การศึกษาเสียงบรรยายภาพส�ำหรับสือ่ โทรทศั น ์ 188 กลุ นารี เสอื โรจน์

หนงั นักวง่ิ ในบริบทของภาพยนตร์กฬี า 229 วโิ รจน์ สทุ ธิสีมา 257 บรรณนิทัศน์: เลกิ นสิ ัยทำ� อะไรไม่เสรจ็ สกั อย่าง: อยากไดผ้ ลลพั ธ์ท่ดี ี ตอ้ งแกท้ ี่ “วธิ กี าร” อญั รินทร์ อมรอิสริยาชัย   ทัศนะหรือข้อคิดเห็นในบทความท่ีตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ วารสารศาสตร์ ฉบับนี้ เป็นของผู้เขียน แตล่ ะทา่ น มใิ ชท่ ศั นะหรอื ขอ้ คดิ เหน็ ของกองบรรณาธกิ าร หรอื ของคณะวารสารศาสตรแ์ ละสอ่ื สารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ประสงค์จะขอน�ำข้อความใดจากวารสารฉบับน้ีไปเผยแพร่จะต้องได้รับ อนญุ าตจากผู้เขยี นตามกฎหมายว่าด้วยลขิ สิทธเิ์ สยี กอ่ น

บทบรรณาธิการ “รักกค็ อื รกั หลงก็คือหลง ถา้ ถามประชาสงั คม...ก็คงไม่เขา้ ใจ” “ประชาสังคม” หรือ “สังคมพลเมือง” ท่ีแปลคำ� มาจากภาษาอังกฤษ ว่า “civil society” นนั้ เปน็ อีกคำ� หนึ่งทดี่ จู ะมีหลากหลายนิยามและหลายหลาก ความเขา้ ใจ อย่างไรก็ดี ความหมายชดุ หนึ่งทีเ่ ปน็ ขอ้ ตกลงร่วมกนั กค็ อื ประชา สงั คมถอื เปน็ อาณาบรเิ วณนอกอำ� นาจรฐั และการเมอื ง แตก่ ระนน้ั กลบั เปน็ พน้ื ที่ แหง่ ชวี ติ ประจำ� วนั ทคี่ กุ รนุ่ ไปดว้ ยสมรภมู ทิ างการเมอื งและการตอ่ สชู้ ว่ งชงิ อำ� นาจ และผลประโยชน์ ไมย่ งิ่ หยอ่ นไปกวา่ ในปรมิ ณฑลแหง่ รฐั เอาเสยี เลย และทส่ี �ำคญั ส่ือและการส่ือสารได้กลายเป็น “ตัวแสดงหลัก” (actors) ที่เล่นบทบาทอยู่ใน สนามรบแห่งประชาสังคมนน่ั เอง เพราะประชาสงั คมเปน็ สนามประลองยทุ ธท์ เ่ี ตม็ เปย่ี มไปดว้ ยอำ� นาจและ ผลประโยชน์เย่ียงนี้ วารสารวิชาการ วารสารศาสตร์ ฉบบั “รกั กค็ อื รกั หลงก็ คือหลง ถา้ ถามประชาสงั คม…กค็ งไม่เข้าใจ” จงึ เลือกจะเปิดพรมแดนวชิ าการ ทฉี่ ายภาพใหเ้ หน็ มมุ มองตา่ งๆ ในการตง้ั คำ� ถามและพบคำ� ตอบตอ่ วถิ กี ารสอื่ สาร ในเวทีต่อสู้แห่งสงั คมพลเมือง หากทุกวันนี้ ข่าวลวง ขา่ วลอื ข่าวปล่อย และภาษาแหง่ การหลอกลวง ตม้ ตุ๋น เปน็ ประเด็นทีถ่ กเถยี งกันถ้วนทั่วท้ังในโลกวิชาการและโลกความเป็นจริง นฤมล ป่นิ โต ก็ขานรบั กับความสนใจดังกล่าว และชี้ให้เห็นว่า แม้การหลอกลวง เป็นเครื่องมือส่ือสารเพื่อสร้างความชอบธรรมแห่งวาทกรรมใหญ่น้อยในชีวิต ประจำ� วนั แตท่ วา่ ใน “ดินแดนของการโกหก” กก็ ลับมีท้งั “หลมุ เลก็ ๆ” อนั ยาก ต่อการควบคุม และส่วนที่ “ลาดลกึ ” ของผลเสยี ตอ่ พลเมือง ทั้งในเชิงจติ วิทยา และเชงิ สงั คม ในขณะท่ีประชาสงั คมเปน็ พ้นื ที่นอกอาณาบริเวณแห่งรฐั แตท่ ่ีนา่ สนใจ กค็ อื การสอื่ สารในสนามสงั คมพลเมอื งแหง่ น้ี กลบั ตอบโตแ้ ละวพิ ากษว์ จิ ารณร์ ฐั และการเมอื งไดอ้ ยา่ งเขม้ ขน้ ดงั ตวั อยา่ งของบทความอกี สามเรอ่ื งทพ่ี งุ่ โฟกสั มาที่ การเมืองของสือ่ ทอ้ งถ่นิ ท่ีแตกต่างกัน และเป็นรูปธรรมทช่ี ่วยขานไขความเข้าใจ เร่ืองนไี้ ด้อยา่ งเด่นชัด

เร่มิ ต้นจากบทความของ เจรญิ เนตร แสงดวงแข ทีอ่ ธบิ ายว่า กลเม็ด เคลด็ ลบั ในการขบั เคลอ่ื นเพอ่ื เสรมิ สรา้ งจติ ส�ำนกึ ดา้ นการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรปา่ ชายเลน ที่จังหวัดสงขลาน้ัน ก็ต้องอาศัยการประสานพลังของส่ือบุคคลท่ีเคลื่อนไหวใน พื้นที่ประชาสังคม บทความวิจัยเรื่องน้ีจึงเผยให้เห็นกระบวนการ ความสำ� คัญ และผลลพั ธแ์ หง่ การสรา้ งนกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ทเี่ ขา้ มาเปน็ กลไกอนรุ กั ษฟ์ น้ื ฟู ผนื ปา่ ชายเลนในฐานะทรัพยากรสาธารณะของชมุ ชน ตามดว้ ยบทความของ รจุ น์ โกมลบตุ ร และคณะ ทสี่ อ่ งซมู เขา้ ไปวเิ คราะห์ เนื้อหาของพ้ืนที่สาธารณะอย่างหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในจังหวัดล�ำปางและสงขลา ท่ีแม้จะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ในระดับท้องถ่ิน แต่ก็น�ำเสนอสารว่าด้วยการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นการเมืองมหภาคในระดับชาติ ในขณะที่ นันทว์ สิ ทิ ธ์ิ ตง้ั แสงประทีป มาโนช ชุ่มเมอื งปกั และวิไลวรรณ จงวิไลเกษม ก็ได้ ขยายความเขา้ ใจไปทอ่ี งคก์ รสอื่ ทางเลอื กกบั การสถาปนาเวทภี าคประชาสงั คมของ ส่ือสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องอาศัยทั้งทุนและความรู้เป็นปัจจัย แห่งการขบั เคล่ือนทา่ มกลางสภาวะความขัดแย้ง นอกจากประชาสังคมจะเป็นสนามแห่งการถกเถียงและตั้งค�ำถามต่อ การเมอื งระดบั ชมุ ชน ระดบั ทอ้ งถน่ิ และระดบั ชาติ หรอื ทเี่ รยี กวา่ เปน็ “การเมอื ง ระดับมหภาค” (macro-politics) ในการรับรขู้ องคนท่ัวไปแล้ว แม้แต่ “การเมือง ระดบั จลุ ภาค” (micro-politics) หรอื การตอ่ สเู้ ชงิ อำ� นาจและผลประโยชนใ์ นซอก มมุ เลก็ ๆ ของชวี ติ ประจำ� วนั สอื่ และการสอื่ สารกเ็ ปน็ กลไกสำ� คญั ในการเมอื งทาง วฒั นธรรม (cultural politics) ดงั กลา่ ว ดงั รปู ธรรมในกรณขี องการเมอื งเรอ่ื งเพศ สถานะ เร่ืองคนพกิ าร และเร่อื งการเคลอ่ื นไหวทางสงั คมแบบใหมใ่ นสอ่ื บันเทงิ ตา่ งๆ ส�ำหรับการเมืองเรื่องเพศสถานะน้ัน นัทธนัย ประสานนาม ได้เลือก วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชายรักชายผ่านสื่อโรมานซ์ร่วมสมัยที่รู้จักในชื่อ “ยาโออิ” ทั้งน้ี ปฏิบัติการทางภาษาแห่งนวนิยายยาโออิมีท้ังด้านที่ยอมรับและ ท้าทายต่อบรรทัดฐานรักต่างเพศ แต่ในทางกลับกัน ก็ยังย้อนยอกมาวิพากษ์ บรรทดั ฐานแบบรกั เพศเดยี วกนั สว่ นการเมอื งเรอื่ งความพกิ ารของสรรี ะรา่ งกาย

นนั้ กลุ นารี เสือโรจน์ ได้ทบทวนวรรณกรรมทว่ี ่าดว้ ยเสียงบรรยายภาพ (audio description) ส�ำหรับส่ือโทรทัศน์ และพบว่า แมจ้ ะเป็นพนื้ ที่สอื่ สาธารณะที่เกิด ขนึ้ ใหม่เพื่อเอ้อื ตอ่ ผ้พู ิการทางสายตา แต่ทว่า แนวคดิ หลักในการศกึ ษาสอ่ื เสยี ง บรรยายภาพนั้น ก็แตกกลุ่มแตกแขนง และถกเถียงกันท้ังภายในและระหว่าง ส�ำนักคิดมุ้งย่อยต่างๆ อย่างเข้มข้นทีเดยี ว กอ่ นจะมาปดิ ทา้ ยทบี่ ทความของ วโิ รจน์ สทุ ธสิ มี า ทเี่ ลอื กพนิ จิ พเิ คราะห์ เวทีสอ่ื สารทีด่ ูจะปกั ป้ายเปน็ “เขตปลอดการเมือง” อยา่ งโลกแห่งภาพยนตร์ แม้ ดา้ นหนง่ึ โลกเซลลลู อยด์ดจู ะเป็นสนามบันเทิงที่ “ไรพ้ ิษภัย” หรือ “ไรส้ าระ” แต่ ผเู้ ขยี นกช็ ใ้ี หเ้ หน็ วา่ แมแ้ ตใ่ นตระกลู เนอ้ื หาสารของ “ภาพยนตรก์ ฬี า” นนั้ ทกุ ครงั้ ที่แกนหนามเตยหมนุ วนเคลื่อนไป ตวั ละครและเรอื่ งเล่าใน “หนังนกั ว่งิ ” กเ็ ป็น ประหนึ่งขบวนการเคล่ือนไหวทางสงั คมแบบใหม่ๆ (new social movements) และส่อื สารความหมายในขอบขา่ ยการเมืองแห่งชีวติ ประจำ� วนั พ้ืนที่การสื่อสารที่หลากหลาย จากสื่อขนาดเล็กสุดอย่างสื่อบุคคลไป จนถงึ สอื่ มวลชนขนาดใหญ่ จากสอ่ื อกั ขระทขี่ ดี เขยี นความหมายผา่ นตวั อกั ษรและ สง่ิ ตพี มิ พส์ สู่ อื่ เสยี งและสอ่ื ภาพทเ่ี รอ่ื งเลา่ โลดแลน่ อยใู่ นนนั้ จากการน�ำเสนอเรอ่ื ง จรงิ ส่เู รอื่ งลวงเรอื่ งโกหก และจากมุมเลก็ ๆ ของชีวิตประจ�ำวนั สูก่ ารเมอื งระดับ ท้องถนิ่ และระดับชาติ บทความคดั สรรทัง้ เจด็ เรื่องที่อยู่ใน วารสารศาสตร์ ฉบับ “รกั กค็ อื รกั หลงกค็ อื หลง ถา้ ถามประชาสงั คม...กค็ งไมเ่ ขา้ ใจ” ตา่ งพอ้ งพากนั ยนื ยนั วา่ การเมอื งแหง่ ภาคประชาสงั คมกย็ งั คงวนวา่ ยผา่ นสอื่ และสารทอี่ ยรู่ อบตวั เรา และทแ่ี นๆ่ คงถงึ เวลาทสี่ นามรบของการสอ่ื สารแบบนไี้ มว่ เิ คราะหไ์ มศ่ กึ ษา... ไมไ่ ดแ้ ลว้ กระมัง สมสขุ หินวิมาน บรรณาธกิ าร

ดินแดนของการโกหก: มที ้ังหลุมเล็กๆ และสว่ นที่ลาดลึก นฤมล ปน่ิ โต1 บทคดั ยอ่ บทความนี้มงุ่ ศึกษาวา่ มนษุ ยม์ คี วามรู้ ความเชือ่ และท่าทีต่อการโกหก อยา่ งไร ทง้ั ในมมุ มองทางมนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ และ ในโลกความเป็นจริง พฤตกิ รรมการโกหกของมนษุ ย์สอดคล้องกับความรู้ ความ เชือ่ และมุมมองเหลา่ นนั้ หรือไม่ เพราะอะไร จากการทบทวนแนวคดิ และงาน วิจยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั การโกหก พบว่า มนุษยใ์ ห้คณุ ค่า “เชงิ ลบ” กับการโกหกมา โดยตลอด และมีบทลงโทษทางศาสนา และกฎหมายอย่างชัดเจน ขณะท่ี นกั จติ วทิ ยาพบวา่ การโกหกสง่ ผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพ การโกหกเพยี งเลก็ นอ้ ยน�ำไปสู่ การโกหกทใ่ี หญข่ น้ึ จนสง่ ผลกระทบทร่ี า้ ยแรงได้ ผทู้ โี่ กหกมที ง้ั โกหกเปน็ ครงั้ คราว เป็นนิสัย โกหกแบบหลีกหนีความจริง และแบบหลอกลวง ต้มตุ๋น โดยมีแรง จูงใจต่างกนั ไป ขณะเดยี วกนั มีงานวจิ ยั หลายชิ้นท่แี สดงใหเ้ ห็นว่า คนส่วนใหญ่ ยงั คงโกหกกนั เปน็ ประจำ� โดยนกั วชิ าการอธบิ ายวา่ การโกหกเปน็ ความจำ� เปน็ ท่ี ทำ� ให้สงั คมมนษุ ย์ดำ� รงอย่ตู อ่ ไปได้ ขอบเขตของการโกหกที่คนส่วนใหญ่ยอมรบั จงึ หมายถงึ การโกหกทสี่ รา้ งความเสยี หายไมม่ าก ไดแ้ ก่ การโกหกเพอื่ ชว่ ยเหลอื ผอู้ นื่ และเพอื่ สรา้ งสมั พนั ธภาพทด่ี ใี นสงั คม ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั แนวทางการพจิ ารณา ของศาสนาและกฎหมาย ในทัศนะของผเู้ ขียน การโกหกทส่ี รา้ งข้ึนเป็นดินแดน ใหญ่น้อยตามแรงจงู ใจของแตล่ ะคนนัน้ ล้วนมคี วามเสย่ี ง มีทงั้ “หลุมเล็กๆ” ท่ี จ�ำเป็นตอ่ การดำ� รงอยทู่ างสังคมซ่งึ ควบคมุ ไดย้ าก และสว่ นที่ “ลาดลึก” ซึง่ มผี ล เสียร้ายแรง และควรมีการควบคุมอย่างเข้มงวด การโกหกแต่ละครั้งจึงจำ� เป็น ตอ้ งมีการบรหิ ารจัดการความเสีย่ งทดี่ ี คำ� ส�ำคญั : การโกหก ความเชือ่ ขา่ วลวง * วนั ที่รับบทความ 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2563; วนั ทีแ่ ก้ไขบทความ 24 เมษายน 2563; วนั ทตี่ อบรบั บทความ 15 มิถนุ ายน 2563. 1 รองศาสตราจารย์ ประจำ� กล่มุ วิชาวทิ ยุและโทรทัศน์ คณะวารสารศาสตร์และส่ือสารมวลชน มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   9

A Space of Lying: Between a Small Hole and a Deep Slope Narumon Pinto2 Abstract This article aims to explore human’s knowledge, belief and attitude on lying from humanities, social sciences and science perspectives; and to study whether, in reality, our lying behaviors are consistent with those knowledge, belief and attitude. From a conceptual and related research review, it is clear that human beings have always given “negative” values to lying and had a certain set of clear penalty, both religiously and legally. At the same time, psychologists have found that lying has a negative effect on health while small lies could lead to bigger lies that might cause severe consequences. For those who lie, there are several types: occasional liar, compulsive liar, pathological liar and sociopathic liar, with different motivations. Besides, many studies have found that most people lie regularly, which could be academically explained that telling a lie is a necessity to sustain human society. The acceptable area of lying for most people is limited to no-major-damage lies, i.e., well-intended lies to help others and to build good relations in the society, which are in line with religious and legal considerations. For the author, weaving lies into large or small deceptive realms, for each one of us, no matter from what motivations, is all at risk. There would be a small, 2 Associate Professor, Department of Radio and Television, Faculty of Journalism and Mass Communication, Thammasat University. 10 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

difficult-to-control hole-needed for the existence of our society-and a deep, impactful slope-that needs some strict control measures. Each lie definitely requires a good risk management. Keywords: lying, belief, fake news กนั ยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   11

บทนำ� เมื่อไปถามเด็กอนุบาลว่า “การโกหกเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่” คาดว่าเด็กๆ จะตอบอย่างมั่นอกมั่นใจและภูมิใจในความรู้ของตัวเองว่า “การโกหกเป็นสิ่งที่ ไมด่ ”ี และเรากค็ งจะไดค้ ำ� ตอบเดียวกนั น้ีจากปากของผู้ใหญด่ ว้ ยเช่นกัน แตเ่ มอ่ื ถามตอ่ วา่ “ในแตล่ ะวนั โกหกกนั บา้ งหรอื ไม่ บอ่ ยแคไ่ หน” งานวจิ ยั หลายชน้ิ กลบั พบคำ� ตอบทสี่ วนทางวา่ คนสว่ นใหญโ่ กหกกนั เปน็ เรอื่ งธรรมดาในชวี ติ ประจำ� วนั ” (DePaulo et al., 1996) ท�ำไมจึงเปน็ เชน่ นน้ั หากการโกหกเปน็ ดนิ แดนท่ถี ูก บอกเลา่ กนั มานานวา่ ไมค่ วรเขา้ ไปขอ้ งแวะ แลว้ ทำ� ไมหลายคนจงึ ขยนั สรา้ งพน้ื ทนี่ ี้ กันอยู่ทุกวัน บ้างเอาความคิด การกระท�ำบางอย่างซ่อนเอาไว้ช่ัวคราว บ้าง ก็ซ่อนเอาไว้ชั่วชีวิต ดินแดนน้ีมีลักษณะอย่างไร มีพื้นท่ีท่ียอมรับได้ และพื้นที่ เสีย่ งใช่หรือไม่ เสน้ แบง่ อยตู่ รงไหน อะไรคอื แรงจงู ใจท่ที �ำใหม้ นษุ ย์เราสร้างมัน ขน้ึ มา สิ่งทค่ี าดว่าจะไดร้ ับเมอ่ื เทียบกับผลเสียคมุ้ ค่าแค่ไหน การรวบรวมความรู้ เก่ียวกับการโกหก และขบคิดไปกับมันจะช่วยคล่ีคลายข้อสงสัยเหล่าน้ีให้ ชดั เจนขนึ้ ซงึ่ นา่ จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การตดั สนิ ใจวา่ เราจะอนญุ าตใหต้ วั เองสรา้ ง ดนิ แดนแหง่ การโกหกนไี้ ดห้ รอื ไม่ ถา้ ได้ มนั ควรมขี อบเขตแคไ่ หน และจะเกดิ ขน้ึ ในสถานการณ์ใดไดบ้ า้ ง ความเช่ือและท่าทใี นนทิ าน ศาสนา และกฎหมาย ในชว่ งเวลาทเ่ี ปน็ เดก็ เลก็ เรามกั จะเรยี นรเู้ รอื่ ง “การโกหก” ผา่ นการเลา่ นทิ านสอนใจสนกุ ๆ จากพอ่ แม่ และคณุ ครู เมอ่ื โตขน้ึ อกี นดิ กจ็ ะเรม่ิ ไดย้ นิ เรอื่ งนี้ ในรปู แบบทจ่ี รงิ จงั มากขน้ึ จากพธิ กี รรมทางศาสนา และจากแบบเรยี นในหอ้ งเรยี น กระทงั่ เมือ่ โตเปน็ ผู้ใหญ่ เราก็รวู้ า่ มกี ารบัญญตั เิ รอ่ื งการโกหกไวใ้ นกฎหมายให้ พลเมอื งไทยทกุ คนไดป้ ฏบิ ตั ติ าม เรอ่ื งราวและบทบญั ญตั เิ หลา่ นเ้ี ปน็ การสง่ ตอ่ ชดุ ความเชอื่ และทา่ ทีต่อการโกหกของเราอยา่ งเป็นรปู ธรรมท่ีชัดเจนมาก จากน้ไี ป เราจะได้เรียนรู้รว่ มกันวา่ “การโกหก” ถกู พดู ถงึ ไวอ้ ย่างไรบา้ ง ในนทิ าน ศาสนา และกฎหมาย 12 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

1. นิทานสอนใจ: คนโกหกจะไม่มใี ครเช่ือ เปน็ เดก็ ดีต้องไม่โกหก นทิ านเกยี่ วกบั การโกหกทม่ี ชี อ่ื เสยี งมาตง้ั แตส่ มยั 620 ปี กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช และยงั คงไดร้ บั ความนยิ มเรอ่ื ยมาจนถงึ ปจั จบุ นั คอื นทิ านอสี ป (ศลิ ปวฒั นธรรม, 2563) เรอ่ื ง “เดก็ เลย้ี งแกะ” ทใี่ หค้ ตสิ อนใจเรอ่ื งการโกหกอยา่ งสนกุ สนาน เขา้ ใจ งา่ ยและตรงประเดน็ เนอ้ื เรอ่ื งเลา่ ถงึ เดก็ เลยี้ งแกะคนหนง่ึ ทชี่ อบโกหกชาวบา้ นอยู่ เนืองๆ วา่ มหี มาป่ามากนิ แกะทต่ี นเล้ียง ท�ำใหช้ าวบ้านหลงเชื่อ ว่งิ หน้าตาตื่น มาชว่ ยไล่หมาปา่ หลายครัง้ หลายหน แล้วกไ็ ด้พบวา่ พวกเขาถกู หลอกเพอื่ ความ สนุกสนานของเดก็ เลยี้ งแกะเทา่ นนั้ ต่อมาเดก็ เลีย้ งแกะร้องให้คนช่วย เพราะมี หมาปา่ มากินแกะทต่ี วั เองเลย้ี งจริงๆ แต่ชาวบ้านกลบั คดิ ว่า เดก็ เล้ยี งแกะคงจะ โกหกอีกเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จึงไม่มีใครมาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว ในที่สุด หมาป่าก็กินแกะของเดก็ เลี้ยงแกะไปทีละตัว ทลี ะตวั จนหมด นทิ านเร่อื งนส้ี อน ใหร้ ู้ว่า “คนทีช่ อบโกหก แม้พดู ความจริง กไ็ ม่มใี ครเชอ่ื ” (ชาคร รจุ ิระชาคร และ พทุ ธชาติ คงลายทอง, 2550) นทิ านอกี เรอ่ื งทท่ี ำ� ใหผ้ คู้ นนกึ ถงึ การโกหก กค็ อื “พนิ อ็ คคโิ อ” (Pinocchio) ผลงานของ การ์โล กอลโลดี (Collodi, 1880) นักประพันธ์ชาวอิตาเลียน ตพี มิ พใ์ นปี 1880 ไดร้ บั การแปลเปน็ ภาษาตา่ งๆ ไปทว่ั โลก และถกู นำ� ไปสรา้ งเปน็ ภาพยนตรม์ ากกวา่ 20 ครง้ั ตุ๊กตาไม้ “พิน็อคคโิ อ” ไดร้ บั พรจากนางฟา้ ใหเ้ ป็น เด็กผชู้ ายทมี่ ีชีวิต จมกู ยาว รอ้ งไห้ หัวเราะ และพูดได้ แต่ถา้ โกหกเมือ่ ไร จมกู ก็จะยาวขนึ้ (รม่ ฉัตร, 2557) แมแ้ กน่ ของเร่ืองตอ้ งการส่ือว่า “คนเราสามารถ เปล่ียนแปลงให้ดีข้นึ ได”้ แต่ “การโกหก” กลับเป็นสง่ิ แรกท่ีทกุ คนนกึ ถึงเมื่อพดู ถึงตัวละครตวั น้ี โดยลกั ษณะจมูกยาวของ “พนิ อ็ คคิโอ” ไดก้ ลายเปน็ สัญลกั ษณ์ ของการโกหกท่ใี ช้กันอยา่ งแพรห่ ลายไปท่ัวโลก กนั ยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   13

ภาพท่ี 1 ตวั การต์ นู “พนิ ็อคคิโอ” หุ่นไม้จมูกยาว ทมี่ า: https://fr.freepik.com/vecteurs-premium/illustration-vectorielle-conte- pinocchio_5205743.htm 2. ศาสนา: การโกหกกบั บทลงโทษหลังความตาย ศาสนาพทุ ธ อสิ ลาม และครสิ ต์ ซง่ึ เปน็ ศาสนาทคี่ นทวั่ โลกนบั ถอื จ�ำนวน มาก ล้วนมบี ทบัญญตั เิ ร่ือง “การโกหก” ไวท้ ้ังสน้ิ ดังน้ี ศาสนาพทุ ธ บัญญตั เิ ร่อื งการโกหกไวใ้ นหลกั “เบญจศีล” หรือศีล 5 วา่ เปน็ เครอื่ งรกั ษาเจตนาทจ่ี ะควบคมุ กาย และวาจาใหเ้ ปน็ ปกติ ดว้ ยการไมท่ ำ� บาป 5 ประการ ศลี หน่ึงใน 5 ข้อน้นั คอื ศีลข้อท่ี 4 พงึ ละเวน้ จาก “การพูดเท็จ” อนั ไดแ้ ก่ การพดู ปด โกหก หลอกลวง มารยา สับปลบั ผิดสัญญา เสียสตั ย์ รวมไปถึงพูดส่อเสียด ขณะเดียวกัน ก็ระบุไว้ว่า ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ พูดความ จริงด้วยความจริงใจและปรารถนาดีซึ่งเป็นหนึ่งใน “เบญจธรรม” จะท�ำให้ ผปู้ ระพฤตไิ มผ่ ดิ ศลี ขอ้ นไ้ี ปโดยปรยิ าย (คณู โทขนั ธ,์ 2537: 107-108) เบญจศลี และเบญจธรรมน้ี ถือเป็นธรรมะข้นั พ้ืนฐานของพทุ ธศาสนกิ ชน ท่ีถูกพูดถึงอย่าง สมำ�่ เสมอผา่ นระบบการศกึ ษา สอ่ื มวลชน และเปน็ วตั รปฏบิ ตั ติ ามปกตทิ เี่ หน็ อยู่ เนืองๆ ในพิธีสงฆ์ นอกจากน้ี การโกหก หรือ “มุสาวาท” ยังถกู ระบใุ หเ้ ปน็ หนึ่ง ใน “อกศุ ลกรรมบถ 10” อันหมายถงึ การกระทำ� อนั เปน็ ทางนำ� ไปสทู่ ุคติ 10 อยา่ งดว้ ย (สุจิตรา รณร่ืน, 2538: 76) โดยมกี ารกลา่ วถึงโทษภัยทชี่ ัดเจนดงั น้ี 14 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

“ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท้ังหลาย ก็ความประพฤติไม่เรียบร้อยคือ ความไม่ประพฤติธรรมทางวาจา 4 อยา่ ง เป็นไฉน? บุคคลบางคนใน โลกน้ี เปน็ ผู้กลา่ วเทจ็ คอื ไปในท่ีประชมุ หรือไปในหมู่ชน หรือไปใน ทา่ มกลางญาติ หรอื ไปในทา่ มกลางขนุ นาง หรอื ไปในทา่ มกลางราชสกลุ หรอื ถกู นำ� ไปเปน็ พยาน ถกู ถามวา่ แนะ่ บรุ ษุ ผเู้ จรญิ เชญิ เถดิ ทา่ นรเู้ รอื่ ง ใด กจ็ งบอกเรือ่ งนั้น เขาเม่ือไมร่ ู้กบ็ อกว่า รบู้ ้าง เม่ือรูบ้ อกวา่ ไมร่ ้บู ้าง เมื่อไมเ่ ห็น กบ็ อกวา่ เห็นบ้างเม่อื เหน็ กบ็ อกว่า ไมเ่ หน็ บา้ ง เป็นผูก้ ล่าว คำ� เท็จท้งั รอู้ ยู่ เพราะเหตุตนบ้าง เพราะเหตุผอู้ ่ืนบ้างเพราะเหตเุ ห็นแก่ ส่ิงเล็กน้อยบ้าง...ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกใน โลกน้ี เข้าถงึ อบายทุคติ วินิบาต และนรก เบือ้ งหน้าแต่ตายเพราะกาย แตก เพราะเหตปุ ระพฤติไมเ่ รยี บรอ้ ย คอื ไมป่ ระพฤติธรรมอย่างนแี้ ล” (พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ , อ้างถึงใน 84000.org, 2559) อย่างไรกต็ าม การโกหก จะเข้าข่าย “มุสาวาท” ตามทรี่ ะบไุ ว้ขา้ งต้น จะต้องประกอบไปดว้ ยองค์ประกอบของมุสาวาท 4 ประการ ได้แก่ (1) มสี ่งิ ของ หรอื เร่ืองราวทไ่ี มเ่ ป็นจรงิ (2) มีจติ คดิ หรอื เจตนาจะมุสา (3) ท�ำความเพยี รเพ่อื มสุ า ทงั้ ทางกาย วาจา หรอื ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื มสุ า เขยี นเรอ่ื งราวทไี่ มจ่ รงิ สง่ ใหผ้ อู้ นื่ เขยี น เรอื่ งทไี่ มจ่ รงิ ประกาศไว้ พมิ พเ์ ปน็ หนงั สอื หรอื อดั เสยี งไว้ เปน็ ตน้ และ (4) ผอู้ น่ื เชื่อตามความที่มุสา ทัง้ น้ี มุสาวาททค่ี รบองคป์ ระกอบทง้ั 4 มี 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ มสุ าวาทชนิดท่ไี มน่ ำ� ไปสู่อบาย คือ มสุ าวาทท่ีมิไดท้ ำ� ความเสยี หายใหเ้ กิดขนึ้ แก่ ผหู้ ลงเชื่อ และมุสาวาทชนดิ ทีน่ �ำไปสู่อบาย คือ มสุ าวาททท่ี �ำความเสียหายให้ แก่ผู้หลงเช่ือ มุสาวาทที่ท�ำให้ผู้หลงเช่ือเกิดความเสียหายนั้น ถ้าได้รับความ เสยี หายมาก มสุ าวาทนน้ั กม็ โี ทษมาก ถา้ เสยี หายนอ้ ยกม็ โี ทษนอ้ ย (Deedi, อา้ ง ถึงใน ประตสู ู่ธรรม, 2544) กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   15

ภาพที่ 2 รูปปั้นแสดงการลงโทษในนรกต่อผู้ผิดศีล “มุสาวาท” ณ วัดไก่ จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=WEPON01-lAE พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ (อา้ งถงึ ใน สชุ พี ปญุ ญานภุ าพ, 2547) ยงั ตรสั ถงึ ความไม่น่าเชื่อถือในความดีงามด้านอื่นของผู้ท่ีพูดโกหกด้วยว่า “ดูก่อนภิกษุ ทง้ั หลาย เม่ือบุคคลยงั ไมล่ ะธรรมข้อหนึง่ คอื การพูดปดทั้งๆ รู้ เรายอ่ มไม่กล่าว วา่ มบี าปกรรมอะไรบ้างท่ผี ้นู ้ันจะท�ำไม่ได”้ ดา้ น ศาสนาอสิ ลาม มีคำ� สอนท่เี ก่ยี วกบั ความสะอาด โดยผู้ทม่ี คี วาม สะอาดทางวาจานนั้ ตอ้ งมาจากจติ ใจท่ดี งี าม ไม่พูดเท็จ ไม่พูดเสริมความทำ� เรือ่ ง เลก็ เปน็ เรอื่ งใหญ่ ไมย่ ยุ งใหบ้ คุ คลแตกสามคั คกี นั (วนดิ า ข�ำเขยี ว, 2543: 368) การพูดปดมดเท็จเป็นความผิดร้ายแรง เป็นบาปใหญ่ และถือว่าคนพูดปดเป็น คนทีไ่ ม่มศี าสนา ซึง่ พวกเขาต้องได้รบั โทษทณั ฑอ์ นั แสนสาหสั จากพระผ้เู ปน็ เจา้ การพดู ปดมดเทจ็ เปน็ การกระทำ� ท่ีขัดตอ่ บัญญตั อิ สิ ลามและจรยิ ธรรม โดยทา่ น ศาสดามูฮัมหมัด กล่าวว่า “มีคนอยู่สามกลุ่มท่ีถึงแม้ว่าเขาจะด�ำรงนมาซและ ถอื ศลี อด แตย่ งั ถอื วา่ เปน็ พวกกลบั กลอก (มนุ าฟกิ นี ) อยดู่ ี ไดแ้ ก่ ผพู้ ดู ปดมดเทจ็ ผบู้ ดิ พลวิ้ สญั ญา และผทู้ ไ่ี มร่ กั ษาอะมานะฮ (ทจุ รติ )” และทา่ นนบมี ฮุ มั มดั (ซล.) 16 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ยงั ไดก้ ลา่ วอกี วา่ “แทจ้ รงิ การพดู เทจ็ นนั้ คอื ประตหู นง่ึ จากบรรดาประตแู หง่ นฟิ าก กลับกลอก) การโกหก เป็นคิยานัต (การทรยศ) ที่ยิ่งใหญ่ เป็นการทำ� ลาย มิตรภาพ ความเป็นพ่ีน้อง เพื่อนสหาย เป็นการล้อเล่นกับความไว้ใจของผู้อื่น ก่อใหเ้ กิดความเสียหายอยา่ งมากมายทง้ั โลกนแ้ี ละโลกหน้า” (Ansarian, n.d.) ฟานุส (2553) ไดอ้ า้ งถงึ การโกหกในทศั นะ “กุรอาน” สรปุ ความได้ ดังน้ี 1. ผทู้ โ่ี กหกเทยี บเทา่ พวกบชู าเจวด็ ดงั นนั้ พวกเจา้ จงหา่ งไกลสง่ิ โสโครก ส่ิงนนั้ คอื บรรดาวตั ถุทัง้ ปวง และพวกเจา้ จงหา่ งไกลค�ำพดู เทจ็ 2. สาเหตกุ ารโกหกเกดิ จากการไรศ้ รทั ธา ความจรงิ แลว้ ทที่ ำ� การเสกสรร ความเทจ็ ขนึ้ นน้ั มเี ฉพาะแตจ่ �ำพวกทไี่ มศ่ รทั ธาในโองการของอลั ลอฮเ์ ทา่ นน้ั และ บทเหลา่ นัน้ เปน็ พวกมุสาทงั้ สิ้น 3. ผทู้ โี่ กหกไมส่ มควรไดร้ บั การชน้ี �ำจากอลั ลอฮ์ (ซ.บ.) และแนน่ อนผทู้ ี่ มไิ ด้รบั การชนี้ ำ� จากพระองค์ เขาจะพบกบั ความหลงทาง และสุดท้ายเขาต้องพบ กบั ความเลวรา้ ยแทจ้ รงิ อลั ลอฮ์ไมท่ รงชี้นำ� แกผ่ ทู้ ม่ี ุสาอกี ทัง้ ไร้ศรทั ธา 4. ถูกสาปแช่งจากพระองค์ แท้จริงการสาปแช่งของอัลลอฮ์จะต้อง ประสบแกเ่ ขา หากเขาเป็นผูห้ นึ่งจากกลมุ่ ผูพ้ ดู เทจ็ อย่างไรก็ตาม ศาสนาอิสลามอนุโลมให้โกหกได้ใน 3 กรณี ต่อไปนี้ (อาลี กองเป็ง, อ้างถึงใน MP-MUSLIM, 2560) 1. โกหกในภาวะสงครามหรือสมรภูมิป้องกันศาสนา เพราะการท�ำ สงครามตอ้ งมเี ลห่ ์ มกี ล ถา้ แมน้ วา่ โกหกเพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ อนั ตรายอยา่ งนใ้ี นสงคราม หรือสมรภูมริ บ ศาสนาอนโุ ลมให้มกี ารโกหกได้ เช่น ออกสมรภมู เิ พือ่ ศาสนาท่มี ี กำ� ลงั พลไม่มาก ก็สามารถพดู ไดว้ า่ มีก�ำลังพลจ�ำนวนมากได้ 2. โกหกให้ผูท้ โี่ กรธกันคืนดีกนั เช่น สองคนทะเลาะกนั แลว้ ไปโกหก ให้พวกเขาคืนดีกนั ได้ 3. โกหกระหว่างสามีภรรยา เพื่อให้เกิดความสบายใจ เกิดความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกนั กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   17

ศาสนาครสิ ต์ กม็ มี มุ มองวา่ การโกหกเปน็ สงิ่ ทคี่ วรหลกี เลยี่ ง พระครสิ ตเจา้ ทรงไม่ยอมรับด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดจากการระบุถึงไว้ในบัญญัติข้อท่ี 8 ใน พระบญั ญัติ 10 ประการ (The Ten Commandments) ซง่ึ ถอื เป็นกฎท้ังหมด ท่ีใช้ในชีวิตประจ�ำวันของคริสต์ศาสนิกชน ไม่ว่าจะเป็นนิกายโรมันคาทอลิก (Catholic) หรือนิกายโปรเตสแตนท์ (Protestant) ผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ 10 ประการ ยอ่ มไดช้ ือ่ วา่ เปน็ ผู้รักในพระเจ้า โดยบทบัญญัติข้อที่ 8 นี้ ได้ระบุ ถงึ หนา้ ทที่ ่ีมนษุ ย์พงึ กระท�ำตอ่ กัน คือ “อย่าพูดเทจ็ ใส่ร้ายผู้อื่น” และควรเปน็ คน ซื่อสตั ย์ เปน็ พยานให้กบั ความจริง พดู ตรงไปตรงมา ไม่ติดสินบน เพราะการพูด โกหก การพดู ใหผ้ อู้ ืน่ เส่อื มเสยี การเปน็ พยานเท็จ การพูดเลน่ ไม่เป็นจรงิ ซุบซบิ ส่อเสียด ยกยอ ล้วนท�ำลายความรักท่ีเป็นตัวเชื่อมสังคมมนุษย์ และเป็นการ ละเมิดบทบัญญัตปิ ระการนี้ (วฒุ ิเลศิ แหล่ อ้ ม, 2560) ทางศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย (2560) ได้ รวบรวมค�ำสอนเก่ียวกับการกล่าวค�ำเท็จจากพระคัมภีร์ไบเบิลไว้ ดังตัวอย่าง ต่อไปน้ี “เจ้าอยา่ ลักทรพั ย,์ หรือโกง, หรือมสุ าต่อกนั ” “ขา้ พระองค์เกลยี ดและสะอิดสะเอยี นตอ่ ความเทจ็ ” “ริมฝปี ากทพ่ี ูดมสุ าเปน็ ท่ีน่าเกลียดนา่ ชังแก่พระเจา้ ” “เจา้ มไิ ดม้ ุสาต่อมนุษย,์ แตไ่ ด้มุสาต่อพระเจา้ ” “วิบตั แิ ก่คนกล่าวค�ำเทจ็ , เพราะเขาจะถกู โยนลงนรก” “คนที่กล่าวเท็จและจะไม่กลบั ใจพงึ ถกู ขบั ออกไป” นอกจากน้ี พระองค์ยังต้องการสอนให้บุคคลยึดถือสัจจะความจริงใจ อยา่ งมน่ั คง โดยไม่จำ� เปน็ ตอ้ งไปสาบาน อ้างสิง่ ศักดส์ิ ทิ ธห์ิ รือสงิ่ อน่ื ๆ เพ่อื เปน็ หลกั ประกนั ค�ำพดู ของตนเอง เพราะคนทม่ี จี ติ ใจมนั่ คงในค�ำสอนของศาสนายอ่ ม ไมก่ ลา่ วค�ำเทจ็ และมคี วามเชอื่ มนั่ ในตนเองทจี่ ะพดู คดิ และกระท�ำทกุ อยา่ งดว้ ย ความซอ่ื สตั ย์ (วนดิ า ขำ� เขยี ว, 2543: 315) 18 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

3. กฎหมาย: การโกหกกับโทษทณั ฑใ์ นวันท่ยี ังมชี วี ิต กฎหมายไทยมบี ทลงโทษผทู้ โ่ี กหกโดยเจตนา จนกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หาย ตอ่ ผ้อู ืน่ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ทวีเกยี รติ มนี ะกนษิ ฐ, 2562: 370-371, 567 & 647) ดังน้ี (1) ความผดิ ทางอาญาฐานฟอ้ งเทจ็ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 และมาตรา 176 มาตรา 175 “ผู้ใดเอาความอนั เปน็ เทจ็ ฟ้องผูอ้ ื่นต่อศาลว่า กระท�ำความ ผิดอาญา หรือว่ากระท�ำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษ จำ� คุกไม่เกินหา้ ปี และปรบั ไม่เกินหนง่ึ หมน่ื บาท” มาตรา 176 “ผใู้ ดกระท�ำความผดิ ตามมาตรา 175 แลว้ ลแุ กโ่ ทษตอ่ ศาล และขอถอนฟอ้ งหรอื แกฟ้ อ้ งกอ่ นมคี �ำพพิ ากษา ใหศ้ าลลงโทษนอ้ ยกวา่ ทก่ี ฎหมาย ก�ำหนดไวห้ รอื ศาลจะไมล่ งโทษเลยกไ็ ด้” (2) ความผดิ ทางอาญาฐานเบกิ ความอนั เปน็ เท็จในศาล มาตรา 177 มาตรา 177 “ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้า ความเทจ็ นน้ั เปน็ ขอ้ สำ� คญั ในคดี ตอ้ งระวางโทษจำ� คกุ ไมเ่ กนิ หา้ ปี หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ หนง่ึ หมน่ื บาทหรอื ทง้ั จำ� ทง้ั ปรบั ถา้ ความผดิ ดงั กลา่ วในวรรคแรก ไดก้ ระทำ� ในการ พิจารณา คดอี าญา ผู้กระทำ� ตอ้ งระวางโทษจ�ำคกุ ไม่เกนิ เจด็ ปี และปรบั ไม่เกิน หนึ่งหมื่นสพ่ี นั บาท” (3) ความผดิ ทางอาญาฐานฉอ้ โกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทจุ รติ หลอกลวงผอู้ น่ื ด้วยการแสดงขอ้ ความอัน เปน็ เทจ็ หรือปกปิดขอ้ ความจรงิ ซง่ึ ควรบอกใหแ้ จ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่า นัน้ ไดไ้ ปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถกู หลอกลวงหรอื บุคคลทีส่ าม หรือทำ� ให้ผูถ้ ูกหลอก ลวงหรอื บคุ คลทสี่ าม ทำ� ถอน หรอื ทำ� ลายเอกสารสทิ ธิ ผนู้ น้ั กระทำ� ความผดิ ฐาน ฉอ้ โกง ตอ้ งระวางโทษจำ� คกุ ไมเ่ กนิ สามปี หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ หกหมน่ื บาท หรอื ทงั้ จำ� ทงั้ ปรบั ทม่ี ีหลกั เกณฑ์ว่า ผูก้ ระท�ำการฉอ้ โกงโดยเจตนาหลอกลวงดว้ ยการแสดง ขอ้ ความอนั เปน็ เทจ็ หรอื ปกปดิ ขอ้ ความจรงิ ซง่ึ ควรบอกใหแ้ จง้ โดยการทจุ รติ และ กนั ยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   19

การหลอกลวงนน้ั ได้ไปซึ่งทรพั ย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงดว้ ยแลว้ ” จะเหน็ ไดว้ า่ มนษุ ยเ์ ราสง่ั สอนกนั มานานแลว้ วา่ การโกหกเปน็ นสิ ยั ทไี่ มด่ ี ท�ำให้ขาดความน่าเชื่อถือ เป็นตัวสนับสนุนให้ท�ำความผิดในรูปแบบอื่นต่อไปได้ เรื่อยๆ นี่คือชุดความคิดท่ีส่งต่อกันอย่างกว้างขวางผ่านนิทานสอนใจ และเม่ือ พจิ ารณาคำ� สอนทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นศาสนา รวมถงึ บทบญั ญตั ทิ รี่ ะบไุ วใ้ นกฎหมายแลว้ พบวา่ มมุ มองและทา่ ทตี อ่ การโกหกเปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั กลา่ วคอื ลว้ นมอง วา่ การโกหกเปน็ เรอื่ งทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง กอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หาย จงึ ควรละเวน้ ไมเ่ ชน่ นนั้ ก็จะได้รับการลงโทษ หากแต่ศาสนามีค�ำสอนที่ละเอียด ลึกซ้ึงกว่านิทานมาก นิทานจะกล่าวถึงบทลงโทษทางสังคม ขณะท่ีศาสนาก�ำหนดให้มีบทลงโทษที่ นา่ กลวั ในชว่ งชวี ติ หลงั ความตาย แตก่ ม็ กี ารกลา่ วถงึ “การโกหก” ในระดบั เบาเอา ไว้ด้วย ส่วนกฎหมายมีการระบุลักษณะของการโกหกที่เป็นความผิด และมี บทลงโทษทชี่ ัดเจน ด้วยการจำ� คุก และปรบั เปน็ เงนิ บันทกึ การเรยี นรู้ของนกั จิตวทิ ยา จากการใหม้ ุมมองด้านจริยธรรม และสรา้ งกลไกควบคมุ “การโกหก” ผ่านทางนิทาน ศาสนา และกฎหมาย มนษุ ย์ไดพ้ ยายามศกึ ษาพฤตกิ รรม การ ทำ� งานของจิตใจดว้ ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มากข้ึน ในปี ค.ศ. 1879 มี การเปิดห้องทดลองทางจิตวิทยาเป็นแห่งแรกที่มหาวิทยาลัยไลป์ซิก (Leipzig) ประเทศเยอรมนี จิตวทิ ยาจงึ แยกออกมาจากปรัชญาและถูกผนวกเปน็ ส่วนหนง่ึ ของวิทยาศาสตร์นับแต่นั้น (เติมศักดิ์ คทวณิช, 2546: 14) การศึกษาเร่ือง “การโกหก” ของนกั จิตวิทยาในยคุ หลงั พบว่า “การโกหก” ของมนุษยม์ คี วาม สัมพันธก์ ับสมองและระบบประสาทอยา่ งมาก ดงั นี้ 1. การสรา้ งดนิ แดนทตี่ อ้ งใชพ้ ลงั งานสงู : การโกหกท�ำใหส้ มอง ระบบ ประสาทท�ำงานหนกั เกิดภาวะเครยี ด การสรา้ งดนิ แดนของการโกหกนนั้ ตอ้ งสรา้ งดว้ ยจนิ ตนาการทใ่ี ชพ้ ลงั งาน สูงมาก สินธเุ สน เขจรบุตร (2559) นกั จิตวิทยาอสิ ระ กลา่ วว่า โดยทัว่ ไปเราจะ 20 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

สามารถสอ่ื สารขอ้ เทจ็ จรงิ ทบี่ นั ทกึ ไวอ้ อกมาไดท้ นั ที เพยี งแคด่ งึ เอาขอ้ มลู ออกมา จากสมองสว่ นทใี่ ชบ้ นั ทกึ ความทรงจำ� ทเี่ รยี กวา่ ฮปิ โปแคมปสั (hippocampus) ใน ทางตรงกันขา้ ม เม่อื พูดโกหก เราต้องใชส้ มองส่วนจนิ ตนาการทเี่ รยี กวา่ สมอง สว่ นหนา้ (frontal lobe) ในการสรา้ งเรอื่ งใหมม่ าชว่ ยดว้ ย เมอื่ โกหก สมองทงั้ สอง สว่ นน้ีจะถกู ใช้งานพรอ้ มกนั เพอ่ื แยกแยะวา่ ข้อมูลไหนเปน็ ความจริงที่ต้องการ ปกปดิ ข้อมลู ไหนเปน็ เรอ่ื งที่สร้างขึ้นมา ซง่ึ เป็นกจิ กรรมทต่ี ้องใช้พลงั งานสูงมาก ดังน้นั ผทู้ ีส่ มองสว่ นหนา้ ไดร้ บั ความเสียหายกจ็ ะไมส่ ามารถโกหกได้ ภาพท่ี 3 สมองสว่ น ฮปิ โปแคมปัส (hippocampus) และสมองส่วนหนา้ (frontal lobe) ทมี่ า: https://www.econotimes.com/Why-people-with-dementia- dont-all-behave- the-same-1440106 นอกจากน้ี ยงั มงี านวจิ ัยทพ่ี บวา่ การโกหกก่อใหเ้ กิดปญั หาสขุ ภาพด้วย โดยในชว่ งแรกทโี่ กหก สมองจะรบั รวู้ า่ นีค่ อื ภาวะท่ไี มป่ กติ รา่ งกายจะปรับตวั ให้ พรอ้ มสหู้ รอื ปอ้ งกนั ตวั ดว้ ยการหลง่ั สารคอรต์ ซิ อล (cortisol) และสารอะดรนี าลนี (adrenaline) ซ่ึงเป็นฮอร์โมนความเครียดออกมาทันที หัวใจจะเต้นเร็วข้ึน รมู า่ นตาขยาย และเหงอ่ื ออก จากนน้ั คนโกหกจะเรม่ิ กงั วล กลวั จะถกู จบั ได้ สมอง จะต้องใช้พื้นท่ีความจ�ำมาก เพื่อติดตามทั้งข้อมูลที่เป็นจริงและข้อมูลท่ีโกหก กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   21

บางคนอาจโกรธเพอ่ื เบยี่ งประเดน็ หรอื เพราะถกู บงั คบั ใหอ้ ธบิ ายการกระท�ำทเี่ กดิ ขึน้ หรือทำ� ตัวออ่ นโยนกับคนทีโ่ กหกดว้ ยมากกวา่ ปกติ หลังจากการโกหกผ่าน ไปหน่ึงวนั คนท่คี ุน้ เคยกบั การโกหก จะเร่มิ เชอื่ การโกหก แตค่ นทไ่ี ม่คนุ้ เคยกบั การโกหกจะรูส้ ึกไมด่ ี และพยายามหลกี เล่ยี งท่จี ะพบกับคนที่ตวั เองพดู โกหกเอา ไวด้ ้วย การแบกภาระการโกหกไวน้ านๆ จะทำ� ใหว้ ติ กกังวลเรื้อรัง การไหลเวยี น ของฮอรโ์ มนความเครยี ดอยา่ งตอ่ เนอื่ งในสมองจะสง่ ผลกระทบตอ่ ความสามารถ ในการคดิ อยา่ งชดั เจน ทำ� ให้ระบบภมู ิคมุ้ กันไมด่ ี ปว่ ยง่าย มปี ัญหาในการนอน ตามมา ตามปกตกิ ารตอบสนองต่อการโกหกทเ่ี ปน็ อนั ตรายเหลา่ น้ีจะค่อยๆ จาง หายไป แต่หากมีบางสิ่งที่ท�ำให้รู้สึกว่า การโกหกอาจถูกเปิดเผย ภาวะเหล่าน้ี ก็จะเกิดขน้ึ อีก (Markman cited in Pariona, 2018) สัญญาณความเครียดทาง ร่างกายที่ว่าน้ี ได้ถูกน�ำไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการไต่สวนผู้ต้องสงสัยใน คดคี วามต่างๆ ด้วยเคร่อื งจบั เทจ็ (polygraph machine) ในเวลาตอ่ มา ในทางตรงกันข้าม เมอ่ื เราพูดความจริง หรอื โกหกนอ้ ยลง สขุ ภาพจะดี ขนึ้ อยา่ งมีนัยสำ� คญั ดว้ ย แอนนติ ้า เคลลี และลีเจียง หวาง (Kelly and Wang, 2012) แหง่ มหาวิทยาลัยนอทรด์ มั (Notre Dame) ไดศ้ ึกษาผลกระทบของการ โกหกตอ่ ลักษณะทางพยาธิวิทยา เรอื่ ง “ชีวิตท่ปี ราศจากการโกหก: การใชช้ ีวติ อย่างซื่อสัตยส์ ามารถส่งผลต่อสขุ ภาพได้อย่างไร” กับอาสาสมคั ร 110 คน อายุ 18-71 ปี เปน็ เวลา 10 สัปดาห์ ผลการศกึ ษาพบว่า กลมุ่ ท่ถี กู ขอให้โกหกน้อยลง สามารถโกหกน้อยลงได้ และส่งผลให้เขาเหล่านั้นมีความวิตกกังวลน้อยลง ร้อยละ 54 มอี าการเจบ็ ปว่ ยทางร่างกายนอ้ ยลงรอ้ ยละ 56 บันทึกการเรียนรู้จากนักจิตวิทยาข้างต้นบอกเราว่า การพูดความ จริงท�ำได้ง่ายกว่าการโกหก เพราะการโกหกต้องการทรัพยากรทางปัญญามาก เรมิ่ จากการตระหนกั ถงึ ความจรงิ วางแผนสรา้ งเรอ่ื งโกหกทเี่ ปน็ ไปได้ และตอ้ งไม่ ขดั แยง้ กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเี่ กดิ ขน้ึ ทง้ั ยงั ตอ้ งควบคมุ อารมณ์ และพฤตกิ รรมไมใ่ หเ้ กดิ พริ ธุ ยง่ิ ไปกวา่ นนั้ ตอ้ งสามารถประเมนิ ปฏกิ ริ ยิ าของผอู้ นื่ ไดอ้ ยา่ งแมน่ ย�ำ เพอ่ื จะ ไดด้ ัดแปลงค�ำโกหกใหเ้ ข้ากบั เน้อื เร่อื งเดิมของเราได้ และตอ้ งจำ� เร่อื งทโ่ี กหกนั้น ไปตลอดชวี ติ อีกดว้ ย ส่ิงเหลา่ น้ีทำ� ใหส้ มอง ระบบประสาทเกิดความเครียด จน เกิดเปน็ ปญั หาสุขภาพตามมาได้ 22 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

2. ทางลาดท่ลี อ่ แหลม: การโกหกเลก็ ๆ ท�ำใหส้ มองชนิ ชา น�ำไปสกู่ าร โกหกที่รา้ ยแรงได้ ผู้ท่ีคิดว่าการโกหกเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจ�ำวันไม่น่าจะเป็นอะไร เหมือนกับการเดินผ่านหลุมเล็กๆ ในดินแดนของการโกหกที่ยังควบคุมการเดิน ไดส้ บายนนั้ อาจต้องทบทวนความคดิ น้ีใหม่ เพราะการศกึ ษาต่อไปนี้บอกเราวา่ ถงึ จดุ หนึ่งเราจะพบกบั ทางลาดทลี่ อ่ แหลม และนำ� ไปส่อู ันตรายอนั ใหญ่หลวงได้ ภาพที่ 4 ภาพสแกนสมองของผู้ทก่ี �ำลงั พดู โกหก ทมี่ า: https://neurosciencenews.com/big-brother-brain-scan-6105/ ทาลิ ชาร็อต (Sharot, 2016) ผู้เช่ียวชาญทางประสาทวิทยา ภาค วชิ าจิตวทิ ยาการทดลอง มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (University College London) ได้วิจัยการท�ำงานของสมองของคนท่ีก�ำลังโกหกด้วยวิธีภาพวินิจฉัย (FMRI: functional magnetic resonance imaging) โดยสแกนสมองกลุ่ม ตัวอย่าง 80 คน ขณะด�ำเนินการทดลอง ผลการศึกษาพบว่า สมองส่วน อะมกิ ดาลา (amygdala) ซงึ่ เปน็ สว่ นทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั อารมณข์ องมนษุ ยจ์ ะมกี ารตนื่ ตวั หรอื ตนื่ เต้นมากทีส่ ุด เมอ่ื กลุ่มตวั อยา่ ง “โกหกเพอ่ื ผลประโยชน์ของตวั เอง” ใน ครง้ั แรก ทั้งนี้ สมองพยายามแสดงความร้สู กึ ด้านลบ ให้เรารูส้ ึกผดิ เพ่ือควบคมุ กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   23

ไม่ให้เราโกหกอีก แต่เม่ือยังมีการโกหกซ้�ำต่อไปเรื่อยๆ ปฏิกิริยาตอบสนอง ของอะมกิ ดาลาต่อการโกหกจะลดลง ขณะทก่ี ารโกหกกลับเพิม่ มากขึ้น นกั วิจัย กล่าวว่า การตอบสนองของอะมิกดาลาที่ลดลงอย่างมากนี้ สามารถทำ� นายได้ ว่าการโกหกจะง่ายขึ้น และบ่อยขึ้นอีกในอนาคต ถือว่าเป็นภาวะเส่ียงที่จะก้าว พลาดไปสู่ความหายนะ (slippery slope) เพราะการไมซ่ ื่อสตั ย์ตอ่ เร่อื งเลก็ น้อย จะน�ำไปสู่การโกหกที่บานปลายร้ายแรงได้อย่างมีนัยสำ� คัญ เหมือนในกรณีของ เจนเิ ฟอร์ แพน (Jenifer Pan) สาวนอ้ ยที่เร่ิมโกหกจากเรื่องเลก็ ๆ แตท่ �ำบอ่ ย จนบานปลาย ดงั ต่อไปนี้ เจนิเฟอร์เป็นเด็กสาวเชื้อสายเวียดนามในแคนาดาที่เรียนดีมาตลอด แตร่ ูส้ ึกกดดันทพ่ี อ่ แม่บังคับและเข้มงวดกับเธอมาก เพราะหวังจะใหเ้ จนเิ ฟอร์ได้ เป็นเภสชั กร เป็นทเ่ี ชดิ หนา้ ชูตาของพอ่ แม่ ขณะทเ่ี ธอสนใจและถนัดดา้ นดนตรี มากกวา่ เมอ่ื เธอสอบไมไ่ ด้ A ทกุ วชิ าตามทถี่ กู คาดหวงั เธอจงึ เรมิ่ ตน้ โกหกพอ่ แม่ ด้วยการปลอมใบแสดงผลการเรียนว่า ได้ A ทุกวิชาเหมือนเดิม แต่โชคร้าย ท่ีสอบตกวิชาแคลคูลัสในเทอมสุดท้าย ทำ� ให้ไม่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย เจนเิ ฟอร์จึงโกหกพอ่ แม่ต่อไปในทุกเรื่อง ทำ� ทีวา่ ไปปฐมนิเทศ หอบ หนงั สอื ไปเรยี นมหาวทิ ยาลยั ปลอมเอกสารการไดร้ บั ทนุ เรยี นดจี ากมหาวทิ ยาลยั แต่งตวั ไปทำ� งานทโี่ รงพยาบาล และอกี สารพัดเร่ือง แต่ในที่สุดกถ็ ูกพอ่ แมจ่ ับได้ และสงั่ ห้ามไม่ให้เธอคบกบั แฟนหนมุ่ เธอจงึ วางแผน และดำ� เนินการจ้างวานฆ่า พ่อและแม่ของเธอ ผลการจ้างวานฆ่า ท�ำให้แม่ของเธอเสียชีวิต ขณะท่ีพ่อ บาดเจ็บสาหัส รอดออกมาใหก้ ารกบั ตำ� รวจได้ นำ� ไปส่กู ารจับกมุ เธอจนเปน็ ข่าว ดงั ไปทัว่ โลก (Kapook, 2561) 3. นกั สรา้ งดนิ แดนของการโกหก: พวกโกหกเปน็ คร้งั คราว เป็นนิสยั หนคี วามจริง และพวกหลอกลวง การโกหก มีเจตนาเป็นองค์ประกอบส�ำคัญ ดังน้ัน กลุ่มคนที่อยู่ใน ดนิ แดนของการโกหกจงึ ไมไ่ ดห้ มายรวมถงึ ผทู้ ม่ี คี วามผดิ ปกตทิ างสมอง และทาง ร่างกายบางชนดิ ทท่ี �ำให้พวกเขาเกิดอาการหลอน หลงผิดไปจากความเป็นจริง 24 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

(delusional disorder) พูดไม่ตรงกับความจริงโดยไม่ได้ต้ังใจ ในท่ีน้ีจึงขอแบ่ง กลมุ่ คนทชี่ อบโกหกไว้ 4 กลุ่ม ดังนี้ 3.1 กลุ่มที่โกหกเป็นครั้งคราว (occasional liars) คือ กลุ่มคนท่ี โกหกด้วยความจำ� เปน็ บางอย่าง เป็นบางคร้ัง เช่น เพอ่ื รักษานำ�้ ใจผ้อู ่นื เพ่ือเขา้ สังคม หรือเอาตวั รอดในบางสถานการณ์ แตก่ ็มักรูส้ กึ ผดิ เพราะยังมคี วามรสู้ กึ ผดิ ชอบช่ัวดีอยู่ (Soleil, 2018) 3.2 กลมุ่ ทโ่ี กหกเปน็ นสิ ยั (compulsive liar) คอื กลมุ่ คนทช่ี อบโกหก ไปเสยี ทกุ เรอ่ื ง ไม่ว่าจะเป็นเรอ่ื งเล็ก เรอื่ งใหญ่ จริงจงั หรอื เล่นๆ หรอื แมว้ า่ เรอื่ ง ท่ีโกหกนั้นจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อตัวเองเลยก็ตาม นิสัยน้ีมักเป็นมาตั้งแต่ เดก็ สว่ นใหญเ่ กดิ กบั ผทู้ อ่ี ยใู่ นสภาพแวดลอ้ มทก่ี ารโกหกเปน็ เพยี งทางเลอื กเดยี ว เท่านั้น คนกลุ่มน้ีโกหกเพราะเป็นนิสัย ไม่ใช่เพราะความร้ายกาจเหมือนพวก ต้มตุ๋น ฉอ้ โกง (Soleil, 2018) 3.3 กลมุ่ ทมี่ ีอาการหลอกตวั เอง (pathological liar) คือ กลมุ่ คนที่ เจตนาโกหกจากความคิดเพ้อฝัน บิดเบือนความจริงในทุกๆ เรื่องเพื่อหลีกหนี ความจริง ท�ำให้ตัวเองรู้สึกดี เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม หรือต้องการหลีก เลีย่ งความล�ำบากใจบางอย่าง ซึง่ มอี าการรุนแรงและซับซ้อน อาการน้สี ามารถ คงอยไู่ ดน้ านนบั ปหี รอื ตลอดชวี ติ สาเหตมุ กั เกดิ จากประสบการณท์ ไ่ี มด่ ใี นวยั เดก็ ทท่ี �ำใหร้ ้สู กึ ไม่มีคุณคา่ ไมม่ ีความภูมิใจในตวั เอง เมอื่ เตบิ โตขึน้ ก็หวาดระแวงวา่ คนอื่นจะล่วงรู้ความมืดด�ำของชีวิตที่มีปัญหา จึงพยายามแต่งเรื่องราวอ่ืนๆ มา สรา้ งความสนใจแทนท่ี เพยี งแคต่ อ้ งการหลบหนคี วามจรงิ อนั โหดรา้ ยทแี่ มแ้ ตต่ วั เอง กไ็ ม่อยากรับรู้อกี ตอ่ ไป (ตนุภัทร โลหะพงศธร, 2562) 3.4 กลุ่มตม้ ต๋นุ หลอกลวง (sociopathic liars) คอื กลมุ่ คนทเ่ี จตนา โกหกเพราะตอ้ งการแสวงหาผลประโยชน์ เหน็ แกต่ วั ใสร่ า้ ย สรา้ งความเดอื ดรอ้ น ให้คนอื่นอยู่เป็นประจ�ำโดยไม่รู้สึกผิด ไม่สนใจความรู้สึก หรือชีวิตของคนอื่น เขา้ ข่ายมจิ ฉาชพี ที่จอ้ งหลอกลวง ต้มตนุ๋ คดโกง ซง่ึ เปน็ พฤตกิ รรมตอ่ ตา้ นสงั คม (sociopath) อย่างหน่งึ (Soleil, 2018) กันยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   25

เหตแุ ละผลของคนในดินแดนน้ี 1. หลุมเล็ก ทางลาด และส่วนท่ีลึกดิ่ง: ระดับของแรงจูงใจในการ โกหก และการต่อสู้ของผูท้ ี่มีอ�ำนาจนอ้ ย ผเู้ ขยี นไดน้ �ำรปู แบบการโกหกของ รัตนาภรณ์ ปตั ลา (2557) และของ ลินคอลดแ์ ละวอลเตอร์ (Lindgkold and Walters, 1983 cited in Psychology CU, 2560) ท่ีสัมพันธ์กับแรงจูงใจ มาสรุปรวมกันเป็นแรงจูงใจในการโกหก 4 กลุม่ โดยเรียงลำ� ดับตามความเสยี หายที่จะเกิดขึ้นจากการโกหก ดงั น้ี 1.1 ตอ้ งการชว่ ยเหลือ ปกปอ้ งผู้อ่ืนจากความเจบ็ ปวด ความอับอาย หรอื ความละอาย รวมถงึ การถนอมนำ้� ใจของผอู้ นื่ (save others shame/ altruistic) บางคร้ังเรียกการโกหกลักษณะนี้ว่าเป็น “การโกหกสีขาว” (white lie) เช่น เมอ่ื เด็กอนบุ าลประสบอบุ ตั เิ หตุใบหนา้ เสียโฉม ถามไปรอ้ งไห้ไปว่า “หนหู นา้ ตา น่าเกลียดไหม” เราตอบว่า “ไม่เลยจะ้ หนยู งั นา่ รักอยู่นะ” เพอ่ื ไม่ให้หนนู ้อยตอ้ ง เสยี ใจ หรอื กรณที ผี่ ปู้ ว่ ยสมองเสอ่ื มถามซำ้� ๆ วา่ พอ่ แมข่ องทา่ นอยทู่ ไ่ี หน ในความ จรงิ ทา่ นเหล่านั้นเสียชวี ติ ไปนานแล้ว แต่เราตอบวา่ “ไปทำ� บญุ ทวี่ ัดค่ะ” เพ่อื ให้ ผปู้ ว่ ยลดความวติ กกงั วล ไมต่ อ้ งถามซ้ำ� ๆ อกี 1.2 ต้องการหลีกเล่ียงสถานการณ์ท่ีอาจจะมีความขัดแย้งกับผู้อ่ืน (conflict avoidance) หรอื เพอื่ ใหเ้ กดิ การยอมรบั ทางสงั คม (social acceptance) การโกหกรูปแบบนี้ท�ำให้จัดการกับปัญหา ความยุ่งยากวุ่นวายได้ง่ายขึ้น เช่น เม่ือเพื่อนถามว่า “มีธนบัตรให้แลกไหม” ในความเป็นจริงเรามี แต่ตอบแบบ ตดั บทไปว่า “ไมม่ ี” เพอื่ ท่ีจะได้ไมต่ ้องเสียเวลา และไมต่ อ้ งรับภาระแลกธนบัตร ย่อยไว้ใช้ต่ออีก หรือกรณีที่มองเห็นเด็กวัยรุ่นเกเรว่ิงหนีแม่มาแอบหลบอยู่หลัง ถงั ขยะใกล้ๆ พอแมว่ ่ิงตามมาถามวา่ เหน็ ลูกวิง่ มาแถวนีห้ รือไม่ เราก็ตอบไปว่า “ไมเ่ ห็น” เพราะไม่ต้องการขดั แย้งกับวยั ร่นุ คนนน้ั หรอื ในหอ้ งประชุม เพื่อนที่ ท�ำงานทุกคนแสดงความไม่พอใจพรรคการเมืองที่เราสนับสนุน เราก็แสดงท่าที พยกั หน้าหวั เราะรว่ มวงด้วย เพอื่ ใหท้ ุกคนเข้าใจว่าเราเป็นพวกเดยี วกัน เขา้ กบั พวกเขาได้ เป็นการหลีกเล่ียงความขดั แยง้ ไปในตัวดว้ ย 26 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

1.3 ต้องการปกป้องตนเองหรือบุคคลอื่นจากการถูกลงโทษหรือจาก ความไม่พอใจ ในเร่ืองท่ีผิดพลาดอันก่อให้เกิดความเสียหาย (protect from punishment) หนบี ทลงโทษจากความผดิ ของตวั เองเพราะความกลวั ไมว่ า่ จะเปน็ กลวั เสยี ผลประโยชน์ กลวั เสยี เกยี รติ เงนิ ทอง อสิ รภาพ ความนา่ เชอื่ ถอื ถกู ทอด ท้ิง ถูกด่า เผชิญหน้า ปกปิดท่ีทำ� ผดิ ค�ำส่งั จารตี ประเพณี จริยธรรม ระเบียบ กฎหมาย เชน่ ลกู ชายท�ำเครอ่ื งลายครามราคาแพงของพอ่ ตกแตก แตไ่ มย่ อมรบั เพราะกลวั จะถกู ตี ผกู้ อ่ คดปี ลน้ รา้ นทอง เมอื่ กอ่ เหตแุ ลว้ กลบั ไปใชช้ วี ติ ประจำ� วนั ตามปกติทกุ อยา่ ง เพือ่ ไม่ให้คนสงสยั เพราะกลัวความผิด หากถูกจบั ได้ก็จะตอ้ ง สญู เสยี ทกุ อย่าง ท้ังชอื่ เสียง เงินทอง อิสรภาพ และอาจรวมไปถึงชีวติ ด้วย หาก ถูกตัดสนิ ใหร้ ับโทษประหารชวี ติ 1.4 ต้องการไดป้ ระโยชน์ตอ่ ตนเอง (self-gain/exploitative persua- sion) ทง้ั หลอกเอาเงนิ ทรพั ยส์ นิ เชน่ ขายสนิ คา้ ปลอม คอลเซน็ เตอรจ์ ากองคก์ ร ทางการเงนิ ใหโ้ อนเงนิ หลอกเอาความรกั ความจรงิ ใจ หรอื เพอื่ มเี พศสมั พนั ธด์ ว้ ย ท้งั ๆ ท่ีแต่งงานหรือมแี ฟนแล้ว หลอกเพอ่ื ได้สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม เชน่ ปลอมวฒุ กิ ารศกึ ษา สรา้ งภาพวา่ รำ�่ รวย นา่ เชอ่ื ถอื รวมถงึ การใหร้ า้ ย ทำ� ลาย โจมตบี ุคคลอ่นื ใหไ้ ด้รบั ความเสียหาย เดอื ดร้อน ไมว่ ่าจะเปน็ คู่ตอ่ สู้ทางความคดิ อดุ มการณ์ทางการเมือง ศาสนา เช้ือชาติ เผ่าพันธุ์ คตู่ อ่ สทู้ างการค้า ความรกั ความสมั พนั ธ์ เชน่ ใหข้ อ้ มลู ใสร่ า้ ยปา้ ยสผี สู้ มคั ร ส.ส. ฝา่ ยตรงขา้ ม ปลอ่ ยขา่ วลอื ดา้ นลบเพ่ือทำ� ลายช่อื เสียงของผลิตภัณฑท์ เี่ ป็นค่แู ขง่ จะเห็นได้ว่า แรงจูงใจของผู้ท่ีโกหกมีหลายระดับ บางระดับเป็นไป เพ่ือประโยชน์ของคนอื่น หรือเพ่ือสัมพันธภาพท่ีดีในสังคมซึ่งมีผลเสียไม่มาก นกั เหมอื นกับทางราบที่มีหลมุ เล็กๆ กระจายตวั อยู่ มโี อกาสสะดดุ ล้มได้ แต่ กไ็ มน่ า่ จะเจบ็ ตวั นกั และแรงจงู ใจอนื่ อกี หลายระดบั ทเี่ ปน็ ไปเพอ่ื ผลประโยชนข์ อง ตัวเองลดหลนั่ ลงไปเร่ือยๆ ตามความเสยี หายทีจ่ ะเกดิ ข้ึน เหมอื นทางลาดชันลง ต�่ำท่ที รงตัวเดินต่อไปไดย้ าก ดงั ท่ไี ดก้ ล่าวมาแล้ว และเม่ือพิจารณาจากมุมมองทางสังคมท่ีมองว่าสังคมประกอบด้วย กลุ่มต่างๆ ที่ถูกจ�ำแนกแยกแยะเป็นชนชั้น แต่ละชนช้ันจะมีความไม่เท่าเทียม กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   27

กันในหลายด้าน ได้แก่ ความมั่นคงของทรัพย์สินเงินทอง อ�ำนาจ เกียรติยศ ชอ่ื เสยี ง ความสามารถในการเข้าถงึ ทรพั ยากร และโอกาสในสงั คม ก็จะพบว่า ขณะทกี่ ารโกหกถกู กำ� หนดวา่ เปน็ สงิ่ ทไ่ี มด่ ใี นสายตาของสถาบนั ทางศาสนา กฎหมาย และสถาบันทางการแพทย์ ซ่ึงถอื เปน็ สถาบนั ของชนชัน้ สงู แต่สำ� หรับชนชัน้ ล่าง ผมู้ อี ำ� นาจนอ้ ยนนั้ การโกหกกลบั กลายเปน็ เครอ่ื งมอื จำ� เปน็ ทพี่ วกเขาตอ้ งใชต้ อ่ สู้ กับผู้กดทับท่ีมีอ�ำนาจเหนือกว่า ท�ำให้พวกเขาเอาตัวรอดไม่ถูกเล่นงานได้ เช่น พนกั งานโกหกหวั หนา้ วา่ ไมส่ บาย ตอ้ งรบี กลบั บา้ น เพอ่ื หลกี เลยี่ งการท�ำงานเกนิ เวลาโดยไม่ได้เงนิ พเิ ศษจากบริษทั ลกู สาวโกหกพอ่ แมว่ ่ารกั เพศเดียวกัน เพ่อื จะ ได้หลดุ จากการถกู คลุมถงุ ชนใหแ้ ต่งงานกบั คนที่ตนไม่รู้จัก 2. คนทถี่ กู จงู ใหเ้ ขา้ ไปดว้ ย: ความไวใ้ จ ขาดขอ้ มลู และไมก่ ลา้ ยอมรบั ความจริง แม้ว่าไม่มีใครอยากถูกหลอก แต่ข่าวการล่อลวง ฉ้อโกงจนเกิดความ เสยี หายตอ่ ชอ่ื เสยี ง ทรพั ยส์ นิ และแมก้ ระทงั่ ชวี ติ กม็ ใี หเ้ หน็ กนั อยา่ งดาษดนื่ เปน็ ประจำ� เหตใุ ดคนจ�ำนวนไมน่ อ้ ยยงั คงตกเปน็ เหยอื่ ของการโกหก ท�ำไมเขาเหลา่ นน้ั จงึ ถกู ชกั จงู ใหเ้ ดินเข้าไปในดินแดนของการโกหกน้ดี ้วย ทิม เลวนี (Levine, 2008) นักจติ วิทยาจากมหาวิทยาลยั อาละบามา วิทยาเขตเบอรม์ งิ แฮม กลา่ วว่า มนุษยเ์ ราถกู ต้ัง “โปรแกรม” ให้ไว้ใจคนอืน่ ง่าย อยู่แล้วโดยธรรมชาติ ความรู้ส่วนใหญ่ท่ีมนุษย์ใช้ด�ำเนินชีวิตในโลกล้วนมาจาก คำ� บอกเลา่ ของผอู้ น่ื ซงึ่ ตอ้ งอาศยั ความไวเ้ นอ้ื เชอื่ ใจกนั มเิ ชน่ นน้ั เราตอ้ งแสวงหา ความรู้ด้วยประสบการณ์ตรงเอาเอง หรือไม่ก็ไม่รู้อะไรเลย อันถือเป็นเรื่องท่ี เสยี หายตอ่ มนษุ ยชาตมิ าก เมอื่ เทยี บกบั ความเสยี หายทอี่ าจเกดิ ขนึ้ จากการถกู หลอก นานๆ ครงั้ ดงั นนั้ พวกเราสว่ นใหญจ่ งึ ไมค่ าดคดิ วา่ จะเจอเรอ่ื งโกหกกนั งา่ ยๆ ใน ชีวิตประจำ� วัน นอกจากนี้ เรายงั มีแนวโนม้ จะเชื่อค�ำลวงทตี่ รงกับทัศนะการมอง โลกของเราทมี่ อี ยู่เดิมมากเปน็ พิเศษอย่แู ลว้ จอรจ์ เลคอฟฟ์ (Lakoff, อ้างถึง ใน ยธุ ิจิต ภตั ตาจาร์จ,ิ 2560) นักภาษาศาสตรจ์ ากมหาวิทยาลัยแคลิฟอรเ์ นีย วทิ ยาเขตเบริ ก์ ลยี ์ บอกวา่ หากขอ้ เทจ็ จรงิ ทเี่ ขา้ มาไมส่ อดคลอ้ งกบั กรอบความคดิ 28 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ของเรา เราจะไม่สนใจมัน หรือไม่ก็เล่นงานมันถ้ามันคุกคามเรา สอดคล้อง กบั ท่ี โรเบริ ต์ เฟลดแ์ มน (Feldman, อา้ งถงึ ใน ยุธิจิต ภัตตาจารจ์ ,ิ 2560) นกั จติ วทิ ยาจากมหาวทิ ยาลยั แมสซาชเู ซตส์ กลา่ ววา่ คนสว่ นใหญพ่ รอ้ มจะเชอื่ เรอื่ ง โกหกทฟ่ี งั แลว้ ทำ� ใหส้ บายใจ ภมู ใิ จ โดยเฉพาะค�ำเยนิ ยอ คำ� ยนื ยนั ถงึ ผลตอบแทน ทส่ี งู เกินจรงิ นอกจากน้ี ผู้ท่ีตกเป็นเหยื่อจ�ำนวนไม่น้อย ถูกหลอกเพราะไม่มีข้อมูล ประกอบการตดั สนิ ใจในเรอ่ื งนน้ั มากพอ แตก่ ลบั ตดั สนิ ใจจากความไวใ้ จและความ ชนื่ ชอบสว่ นตวั เปน็ หลกั พจิ ารณาจากแคค่ ำ� พดู ทา่ ทาง บคุ ลกิ ภาพทแี่ สดงถงึ ฐานะ ทางเศรษฐกิจและสังคม แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ความเชื่อใจจะเพิ่มข้ึนไปอีก กับคนท่เี คยรู้จกั มักคนุ้ กันดี จึงไม่แปลกใจทเ่ี ราจะได้ยนิ ขา่ วถกู หลอกใหแ้ ตง่ งาน ทงั้ ๆ ทเี่ พงิ่ รจู้ กั กนั แคว่ นั เดยี ว หรอื ถกู เพอ่ื นของเพอ่ื นหลอกไปลว่ งละเมดิ ทางเพศ และไม่น่าเชื่อว่า คนบางคนยอมถูกหลอกต่อไป ทั้งที่มีหลักฐานหรือพยานมา ช่วยยนื ยัน เชน่ พ่อแมท่ เี่ ช่อื วา่ ลูกชายไม่เสพยาเสพติดแม้จะพบยาท่ซี ุกซ่อนไว้ คนรกั ท่ียืนยันว่าคู่ของพวกเขาซอื่ สัตย์ แมว้ า่ จะไดก้ ลิน่ นำ�้ หอมท่ีไมค่ ุน้ เคยบนชุด ทำ� งาน ทเี่ ปน็ เชน่ นเ้ี พราะพวกเขาออ่ นแอเกนิ กวา่ จะยอมรบั ความจรงิ อนั เจบ็ ปวด ไมส่ ามารถยอมเชอื่ ไดว้ า่ บคุ คลทมี่ คี วามส�ำคญั ในดา้ นอารมณห์ รอื จติ ใจจะโกหก เพราะมันทำ� ให้เขารู้สกึ ถูกทรยศ ไมส่ ามารถไว้วางใจได้อีกต่อไป (Barth, 2019) 3. เมื่อลงลึก ก็ด�ำดง่ิ : ผลร้ายของการโกหก เพยี งแคย่ า่ งกรายเขา้ ไปในดนิ แดนของการโกหก ผทู้ โ่ี กหกกไ็ ดร้ บั ผลกระทบ ในด้านสุขภาพแล้วในทันที จากฮอร์โมนความเครียดที่ร่างกายหล่ังออกมาเพื่อ ปรับตวั ใหพ้ รอ้ มรบั การต่อสู้หรอื ถอยหนี หากยงั คงเดินหน้าตอ่ ไปเรือ่ ยๆ โกหก บ่อยขนึ้ ความตืน่ เตน้ และความเครยี ดอาจหายไป และจะกลา้ โกหกมากข้นึ จน เคยชินติดเป็นนสิ ยั บุคลิกภาพและตวั ตนที่แท้จรงิ ของตัวเองถูกท�ำลายลง และ ถูกแทนทด่ี ว้ ยการเป็น “คนข้โี กหก” เหมือนกับเดินไปเจอทางลาดทป่ี ระคองตัว ยาก พรอ้ มพลดั ลนื่ ตกลงไปในเหวลกึ ไดท้ กุ เมอื่ และเมอ่ื ถกู จบั ได้ กจ็ ะทำ� ใหเ้ สยี ชอื่ เสยี ง ความภาคภมู ใิ จในตวั เองลดลง ความสมั พนั ธก์ บั คนอน่ื แยล่ งเพราะไมม่ ใี คร กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   29

เชือ่ ถือ หรือไว้วางใจ ส่วนผทู้ ่ถี ูกหลอกให้เช่อื ก็เกดิ ความเสียหายมากมายหลาย ดา้ น ทง้ั ความรสู้ กึ ทางใจ ทผี่ ดิ หวงั เสยี ใจ เสียความไวว้ างใจ สญู เสยี ทรัพยส์ นิ ชอื่ เสยี ง หรือแมก้ ระทั่งเสยี ชีวติ มีคนจ�ำนวนไม่น้อยที่ถล�ำลึกเข้าไปในดินแดนของการโกหก ปล่อยให้ ตวั เองยนื อยบู่ นทางลาดเนนิ่ นาน จนพลาดด�ำดง่ิ ลกึ ลงไปสหู่ ายนะ ดงั กรณศี กึ ษา ตอ่ ไปนี้ 3.1 แฟรงก์ อบาเนล, จเู นยี ร์ นักต้มตนุ๋ ขั้นเทพ อดีตนักต้มตุ๋นท่ีใช้อัจฉริยภาพของเขาไปในท่ีผิด ด้วยการปลอมตัว เป็นนักวิชาชีพท่ีต้องอาศัยความรู้และทักษะเฉพาะทางอย่างมาก อาทิ ผู้ช่วย นักบิน หมอ ทนายความ อาจารย์มหาวิทยาลัย และอีกหลายอาชีพ ทั้งทไี่ ม่เคย ผ่านการศึกษาจากสถาบันที่เก่ียวข้องกับวิชาชีพเหล่านี้เลย อบาเนลเร่ิมเป็น นักต้มตนุ๋ ต้ังแต่อายุ 16 ปี และถูกจับได้ขณะอายุ 21 ปี เป็น 5 ปแี ห่งการหลอก ลวงทท่ี ำ� ให้คนไข้ ลกู ความ นกั ศกึ ษา และคนอืน่ ๆ ใน 26 ประเทศท่วั โลกท่ีถกู เขาหลอก ต้องเสียโอกาสท่ีควรจะได้รับไปมากมาย ศาลสหรัฐฯ ตัดสินจำ� คุก 12 ปี แตเ่ มอื่ ถกู คมุ ขงั เพยี ง 5 ปี กไ็ ดร้ บั การปลอ่ ยตวั เพอื่ มาเปน็ ทป่ี รกึ ษาดา้ นการ ปอ้ งกนั การฉอ้ โกงใหห้ นว่ ยงานของรฐั โดยไมร่ บั คา่ ตอบแทน จากนน้ั เขาเสนอตวั เปน็ ผใู้ หค้ ำ� ปรกึ ษาแกธ่ นาคารแหง่ หนงึ่ เพอื่ ปอ้ งกนั กลโกงจากเหลา่ มจิ ฉาชพี และ ไดท้ ำ� งานดา้ นนเ้ี รอ่ื ยมาจนถงึ ปจั จบุ นั อนาเบลเคยใหส้ มั ภาษณว์ า่ เขาจำ� เปน็ ตอ้ ง โกหกเพื่อเอาตัวรอด และจะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปตลอดชีวิต (Workpoint News, 2561) 3.2 เทด็ บนั ดี (Ted Bundy) หนมุ่ หล่อท่ลี วงเพ่ือฆ่าอย่างต่อเน่ือง เทด็ บันดี คอื นักเรียนตวั อย่าง หน้าตาดี สภุ าพ ฉลาด และการ ศึกษาสูง เขาถกู จบั ในคดฆี าตกรรม และใหก้ ารรบั สารภาพวา่ ลงมอื ฆ่าหญิงสาว ไป 30 ราย ใน 7 รฐั ของสหรัฐอเมริกา ต้ังแตป่ ี 1974 ถึง 1978 เจา้ หนา้ ทตี่ ำ� รวจเผยวา่ เขาใชร้ อยยม้ิ คำ� พดู ทส่ี ภุ าพหวา่ นลอ้ มผหู้ ญงิ และมักจะปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าท่ีตำ� รวจหรือพนักงานดับเพลิง เพื่อให้หญิงสาว รู้สึกปลอดภัยที่จะไปกับเขา บางคร้ังก็แกล้งบาดเจ็บ เพื่อให้ได้รับความเห็นใจ 30 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

จากเหย่ือ แล้วเสแสร้งว่าไม่สามารถยกหนังสือหรือกล่องหนักๆ ได้ เพื่อให้ หญงิ สาวยกของขนึ้ รถให้ หลงั จากลอ่ ลวงพวกเธอจากทสี่ าธารณะแลว้ เทด็ กจ็ ะทบุ ตี ใสก่ ญุ แจมอื และขบั รถออกไปยังพ้ืนทที่ ี่เงยี บสงบ เพือ่ ข่มขืน รัดคอ แทง ทุบตี ตัดศีรษะ และเกบ็ ศีรษะของบางรายซอ่ นไวใ้ นทพี่ กั เพือ่ ใหร้ สู้ กึ ว่าไดค้ รอบครอง พวกเธออย่างแท้จริง (Moodymuay, 2562) ตลอดเวลาทไี่ ต่สวนคดีความ เทด็ ไม่เคยรู้สึกผิด เขาจะซัดทอดความรับผิดชอบในการกระท�ำของตนไปท่ีคนอ่ืน ตงั้ แตป่ ทู่ ใี่ จรา้ ย รายการโทรทศั น์ หนงั สอื โป๊ ไปจนถงึ สหี นา้ ตน่ื ตระหนกของเหยอ่ื ที่ “เยา้ ยวน” ดงึ ดูดใหเ้ ขาลงมือกระท�ำ (The momentum, 2559) เทด็ ถกู จับ แล้วปลอ่ ยตัวไปหลายครัง้ เนอ่ื งจากเจ้าหน้าที่ต�ำรวจไมเ่ ชอื่ วา่ คนหนมุ่ หนา้ ตาดี อนาคตไกล ประวตั ิขาวสะอาดรายนี้จะฆ่าใครได้ แตใ่ นทสี่ ดุ เขากถ็ กู น�ำตัวไป ประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าในรัฐฟลอริดา เมื่อวันท่ี 24 มกราคม 1989 ภาพที่ 5 เท็ด บนั ดี ฆาตกรต่อเนื่อง และสว่ นหน่ึงของเหยือ่ ผเู้ สียชวี ิต ทม่ี า: https://allthatsinteresting.com/ted-bundy 3.3 ข่าวลวง (fake news): การหลอกลวงทก่ี ระเทอื นไปท้ังโลก ในยคุ ทที่ กุ คนสามารถแลกเปลยี่ นขอ้ มลู ขา่ วสารไปในวงกวา้ งไดอ้ ยา่ ง เสรี สะดวก รวดเรว็ ผา่ นทางระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรค์ วามเรว็ สงู โดยผสู้ ง่ สาร สามารถเปดิ เผยหรอื ปกปดิ ตวั ตนได้ ท�ำใหเ้ กดิ ขอ้ มลู จำ� นวนมหาศาลในระบบการ กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   31

ส่อื สาร ทัง้ ทีเ่ ปน็ ข้อเท็จจรงิ เปน็ ความเห็น และเป็นเทจ็ อยา่ งโฆษณาชวนเชื่อ เนื้อหาใส่ร้ายผู้อ่ืน จงึ ยากทจี่ ะกลน่ั กรอง และค้นหาต้นตอได้ ท่ีนา่ เป็นห่วงคือ หลายคนรบั ขอ้ มลู ทไี่ มจ่ รงิ มา แลว้ คดั ลอกสง่ ตอ่ ออกไปไมอ่ า้ งองิ แหลง่ ทมี่ า ถอื เปน็ การรว่ มกระจายคำ� หลอกลวงทตี่ รวจสอบไดย้ ากใหไ้ กลออกไปอกี เมอื่ คนรบั ขอ้ มลู ผดิ ๆ ไป จะมผี ลท�ำให้ตดั สนิ ใจผดิ พลาด เกดิ ความเสียหายตอ่ ทรัพย์สินและชีวติ ได้ เชน่ แชรข์ อ้ มลู วา่ ดม่ื นำ้� มะนาวชว่ ยรกั ษาโรคมะเรง็ ได้ ผปู้ ว่ ยอาจเลกิ ไปรกั ษา ด้วยวธิ เี คมีบ�ำบดั กับหมอ ทำ� ใหม้ ะเร็งลุกลามถงึ ขัน้ เสียชวี ิต ข้อมูลเทจ็ เกี่ยวกบั ภยั พบิ ตั ิ หรอื โรคระบาดตา่ งๆ อาจท�ำใหผ้ คู้ นแตกตนื่ แหก่ กั ตนุ ของกนิ ของใช้ ไป เขา้ ควิ ฉดี วคั ซนี ปอ้ งกนั โรคซงึ่ ไมเ่ กดิ ขนึ้ จรงิ ขา่ วการเมอื งทอ่ี าจท�ำใหห้ นุ้ ขนึ้ หรอื ลง นักลงทุนเทขายหุ้นหรือซ้ือเพ่ือเก็งก�ำไร ผู้ถูกแอบอ้างได้รับความเสียหาย เช่น ถกู ลอ้ เลยี น ดหู มนิ่ กลนั่ แกลง้ รงั แก (bully) เพราะขอ้ มลู เทจ็ ทเ่ี กดิ จากการตดั ตอ่ ให้ดูตลกขบขัน ถูกเกลียดชังจากข้อมูลเท็จเชิงใส่ร้ายป้ายสี ข้อมูลที่ท�ำให้เกิด ความขัดแย้งในสงั คม เชน่ ข้อมลู เทจ็ ทางดา้ นการเมือง ขา่ วสถานการณ์ระหว่าง ประเทศ อาจน�ำไปสู่ความไม่สงบสขุ ในสงั คม หรืออาจเป็นชนวนใหเ้ กิดสงคราม ในระดบั ตา่ งๆ ไปทว่ั โลกได้ (สำ� นกั งานพฒั นาธรุ กรรมทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส,์ 2562) ภาพท่ี 6 เทคโนโลยกี ารปลอมวิดโี อท่ีเหมือนจริงมาก ทมี่ า: https://deep-fakes.net/tag/fake-news/ 32 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

พ้ืนที่ท่ยี อมรับได้: ความจำ� เป็น และการยอมรบั การโกหก นิทาน ศาสนา กฎหมาย และความรูท้ างจิตวิทยา ลว้ นมมี มุ มองตอ่ การ โกหกไปในทศิ ทางเดียวกันวา่ การโกหกเป็นสงิ่ ที่ไม่ดี ควรหลกี เล่ยี ง เพราะสรา้ ง ความเสยี หายใหท้ ง้ั ตนเองและผอู้ นื่ ดว้ ยเหตนุ ้ี สงั คมมนษุ ยจ์ งึ นา่ จะโกหกกนั นอ้ ย มาก แตง่ านวจิ ัยกลับพบว่า มันไมไ่ ด้เป็นเช่นน้นั การโกหกยังคงเป็นพฤติกรรม แพร่หลายทีเ่ หน็ กันได้อยา่ งดาษดน่ื ทั่วไป ขณะท่ีเจลลสิ นั (Jellison, 1977 cited in Liespotting, 2010) นกั จติ วทิ ยาสงั คมแหง่ มหาวทิ ยาลยั เซาเธริ น์ แคลฟิ อรเ์ นยี ทำ� การศกึ ษาพบวา่ มนษุ ยถ์ กู โกหกมากถงึ 200 ครงั้ ตอ่ วนั ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู ของ เฟลแมน (Feldman, 2002 cited in Liespotting, 2010) จากมหาวทิ ยาลัย แมสซาชเู ซตสท์ ่ีพบวา่ โดยเฉลี่ยแลว้ ผคู้ นโกหก 2-3 ครั้ง ต่อการคุยกัน 10 นาที พฤตกิ รรมการโกหกเปน็ ปกตขิ องมนษุ ย์ ยงั คงไดร้ บั การตอกย้�ำจากงาน วิจัยช้นิ อืน่ ๆ ในเวลาต่อมา เดอเปาโล และคณะ (DePaulo et al., 1996) พบว่า การโกหกเป็นส่ิงที่เล่ียงได้ยากในชีวิตประจ�ำวัน ผู้คนส่วนใหญ่โกหกวันละ 2 ครั้ง เป็นการโกหกเพื่อตนเองมากกว่าโกหกเพ่ือคนอ่ืน โดยพวกเขาไม่ได้ใส่ใจ หรอื วางแผนเร่ืองการโกหกของตนอย่างจรงิ จงั และไมไ่ ดก้ ังวลเกี่ยวกับการถกู จบั ได้ ขณะทีโ่ อวเิ อร่าและลีวนิ (Oliveira and Levine, 2008) พบวา่ มีกลุ่มคนที่ มองวา่ การโกหกเปน็ เรอื่ งทย่ี อมรบั ได้ และกลมุ่ คนทไี่ มย่ อมรบั การโกหก โดยผทู้ ่ี มองการโกหกวา่ เปน็ เรอื่ งทยี่ อมรบั ได้ จะเหน็ การโกหกเปน็ เครอื่ งมอื ทจ่ี ะนำ� ความ สำ� เรจ็ ทางสงั คมหรอื ความสำ� เรจ็ สว่ นตนมาสตู่ นเอง พวกเขาจะฝกึ โกหกมากกวา่ ผอู้ ่นื ส�ำนกึ ผดิ น้อยกว่า จริงจังนอ้ ยกว่า ส่วนผ้ทู ีไ่ มย่ อมรับการโกหก จะโกหก นอ้ ยกว่า และรูส้ ึกโกรธมากกวา่ หากรูว้ ่าตนถูกโกหก และยังตัดสินคนทีโ่ กหก ในแงร่ า้ ยดว้ ย งานวจิ ยั ยงั พบอกี วา่ หากการโกหกเปน็ ไปเพอ่ื ผลประโยชนร์ ว่ มกนั หรือเพอ่ื ผลประโยชนข์ องผ้อู ่ืน การโกหกจะไดร้ ับการยอมรับมากขึ้น ในปี 1993 แพทย์ทโี่ รงพยาบาลมหาวิทยาลัยสตราสบูร์ก (University Hospitals of Strasbourg) ในฝร่งั เศส พบกรณผี ู้ปว่ ยท่เี กิดอาการชกั ทุกครั้งท่ี โกหก หรอื เรยี กกนั วา่ เปน็ อาการพนิ อ็ คคโิ อ (pinocchio syndrome) ชายผนู้ ท้ี กุ ข์ ทรมานจากภาวะที่ไม่สามารถโกหกของเขาได้ ส่งผลต่อหน้าที่การงานและชีวิต กันยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   33

ประจำ� วันของเขาอยา่ งมาก ตอ่ มาแพทย์พบว่า เนอื้ งอกในสมองเปน็ ตน้ เหตุของ อาการดงั กลา่ ว และเมอ่ื ไดร้ บั การผา่ ตดั น�ำเนอื้ งอกออกไป ผปู้ ว่ ยกก็ ลบั มาทำ� งาน ได้ และใชช้ วี ติ ไดต้ ามปกติ (Schaarschmidt, 2018) กรณนี แี้ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความ จ�ำเป็นในการโกหกเพ่ือด�ำรงชีวิตในสังคมได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับความคิด ของ ลูซี คุก (Cooke, 2019) นักสัตววิทยา และนกั เขียน ท่ีไดแ้ สดงทศั นะเรื่อง “พลงั แหง่ การหลอกลวง” ไวใ้ นรายการวทิ ยบุ บี ซี ี 4 วา่ พฤตกิ รรมการโกหกเกดิ ขนึ้ อย่างแพร่หลายในอาณาจักรสัตว์ และในหมู่มนุษย์ เพราะเราต่างต้องการเอา ตวั รอด และตอ้ งการรกั ษาความสงบ การโกหกมคี วามสำ� คัญอยา่ งย่งิ ในการอยู่ ในโลกท่ีต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคมท่ีซับซ้อน สัตว์ที่ฉลาดมากข้ึนเท่าไร กจ็ ะย่งิ มกี ารโกหกหลอกลวงกันมากข้นึ เทา่ นนั้ ด้วย งานวจิ ยั และทศั นะขา้ งตน้ สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ การโกหกเกดิ ขนึ้ เปน็ ปกตใิ น สงั คมมนษุ ย์ และพอจะยอมรบั ได้ หากการโกหกนน้ั เปน็ ไปเพอื่ ผลประโยชนข์ อง ผอู้ น่ื และเพอื่ สมั พนั ธภาพทางสงั คม พน้ื ทก่ี ารยอมรบั นย้ี งั สอดคลอ้ งกบั ทร่ี ะบไุ ว้ ในศาสนาอสิ ลามและศาสนาพุทธดว้ ย กล่าวคือ ศาสนาอิสลามอนุโลมใหโ้ กหก เพื่อความสมานฉันท์ระหว่างกันได้ ส่วนศาสนาพุทธระบุว่า มุสาวาทหรือการ โกหกที่ก่อให้เกดิ ความเสยี หายกับผ้หู ลงเช่ือจะน�ำไปสอู่ บายภูมิ แต่มสุ าวาทหรอื การโกหกที่ไม่กอ่ ความเสยี หายให้กับผู้หลงเช่อื จะไม่น�ำไปสอู่ บายภมู ิ ซึ่งตคี วาม ได้ว่า การโกหกในระดับเบาน้ันเปน็ ขอบเขตท่ีพอจะยอมรับได้ จึงไมต่ ้องรบั การ ลงโทษสถานหนกั จะเห็นได้ว่า พน้ื ที่การยอมรบั การโกหก มเี สน้ แบ่งอย่ทู ี่ “การชว่ ยเหลือ ผู้อ่ืน” “สัมพันธภาพทางสังคม” รวมถึง “ความเสียหายท่ีเกิดขึ้น” ซ่ึงเกณฑ์ ประการหลังนี้ เห็นได้ชัดเจนมากในบทบัญญัติทางกฎหมายท่ีระบุโทษของ ผกู้ ระทำ� ความผดิ เกย่ี วกบั การโกหกไว้ โดยทกุ มาตราจะมปี ระโยค “จนกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายต่อผู้อื่น” ก�ำกับอยเู่ สมอ ดังทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ในตอนตน้ ของบทความ (ทวเี กียรติ มนี ะกนิษฐ, 2562) เส้นแบ่งทแ่ี ตล่ ะหนว่ ยของสังคมคอ่ ยๆ ช่วยกันสร้างขน้ึ ดังกล่าวนี้ ทำ� ให้ เราเห็นพนื้ ที่การยอมรบั ในดนิ แดนของการโกหกได้ชดั เจนมากขึ้น จนอาจกลา่ ว 34 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ได้ว่า รูปแบบการโกหกท่ีคนในสังคมพอจะยอมรับได้มีอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ (1) การโกหกดว้ ยเจตนาดเี พ่อื รกั ษานำ้� ใจ หรือชว่ ยเหลือผู้อ่นื และเพอื่ ประโยชน์ ส่วนรวม (white lies) และ (2) การโกหกเพอ่ื ปฏสิ ัมพันธ์ทางสงั คม และหลกี เลี่ยงความขัดแย้ง (social acceptance) หากเดนิ เลยพื้นท่นี ี้ไป ก็จะเข้าส่พู น้ื ทท่ี ี่ ไมค่ วรยอมรบั ไมว่ า่ จะเปน็ สว่ นของการโกหกเพอ่ื ปกปดิ ความผดิ พลาดทตี่ นหรอื ผอู้ นื่ ท�ำขึ้นจนเกิดความเสียหาย การโกหกเพือ่ ประโยชนข์ องตนเอง และให้รา้ ย ผอู้ นื่ เพราะมีความเส่ยี งทีจ่ ะกอ่ ความเสียหายอันใหญ่หลวงตามมาได้ อาจไดร้ ับ การลงโทษทางกฎหมาย หรือบทลงโทษหลงั ความตาย บทสรปุ การหล่อหลอมทางสังคมต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ท�ำให้เราเรียนรู้ว่า การโกหกเปน็ สิง่ ท่ไี มถ่ ูกต้อง กอ่ ให้เกดิ ความเสยี หายต่อตัวเอง และต่อคนอ่นื ได้ ตง้ั แต่ระดับเลก็ นอ้ ย ไปจนถงึ ข้ันท่ีรุนแรงมาก ขึ้นอย่กู บั แรงจูงใจของการโกหก ทมี่ หี ลายระดบั ตง้ั แตต่ อ้ งการชว่ ยเหลอื ผอู้ น่ื ตอ้ งการการยอมรบั ตอ้ งการหลกี หนี ความผิด ต้องการผลประโยชน์ ขณะเดียวกัน นักวิชาการบางส่วนกลับพบว่า ในโลกความเปน็ จรงิ เปน็ เร่อื งยากมากทีม่ นุษยจ์ ะไมโ่ กหกเลย เพราะธรรมชาติ กำ� หนดใหม้ นุษยม์ สี ญั ชาตญาณการเอาตวั รอด และการอยู่รว่ มกันในสังคม ซึ่ง จ�ำเปน็ ต้องใชก้ ารโกหกเปน็ เครือ่ งมือสำ� คัญ ดเู หมือนว่าศาสนาและกฎหมายจะ เข้าใจมนษุ ย์ในสว่ นนี้ จึงแบง่ พืน้ ทกี่ ารโกหกท่ีพอจะยอมรบั ได้ หรือการโกหกที่ ไมต่ ้องรับโทษสถานหนกั เอาไวด้ ้วย โดยใช้ “ความเสียหาย” เปน็ เส้นแบง่ ดว้ ย เหตนุ ้ี สังคมสว่ นใหญ่จงึ ยอมรบั การโกหกได้ หากเปน็ ไปเพอ่ื ชว่ ยเหลือผอู้ ื่น และ เพือ่ สรา้ งสัมพนั ธภาพทด่ี ใี นสงั คม อยา่ งไรกต็ าม มผี ลการวจิ ยั 2 ประเดน็ ทท่ี ำ� ใหเ้ ราตอ้ งพจิ ารณาเรอ่ื งพนื้ ที่ การยอมรับการโกหกให้ถว้ นถี่ย่งิ ขึ้น ประเด็นแรก คอื ความเครยี ด และปญั หา สุขภาพทเี่ กดิ จากการโกหก ประเดน็ ตอ่ มา คือ การโกหกเล็กน้อยจะทำ� ให้สมอง ชนิ ชา ทำ� ใหโ้ กหกมากขน้ึ เกง่ ขนึ้ จนน�ำไปสหู่ ายนะอยา่ งมอิ าจคาดถงึ ได้ ดงั ทเี่ รา ไดเ้ รยี นรมู้ าแลว้ จากกรณศี กึ ษาทเ่ี กดิ ขนึ้ จรงิ ทงั้ ในอดตี และปจั จบุ นั ผเู้ ขยี นมองวา่ กนั ยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   35

หากไมใ่ ชก่ ารโกหกสขี าว (white lie) การโกหกแทบจะเกิดข้ึนพรอ้ มๆ กับความ ผิด โดยมนั เปน็ ไดท้ ั้งเหตุและผล กล่าวคอื เมือ่ ท�ำความผดิ เราจะสร้างดนิ แดน การโกหกขน้ึ มาเพอ่ื หลบซอ่ น และเมอ่ื มพี น้ื ทหี่ ลบซอ่ นมนั กเ็ ปน็ ความอนุ่ ใจใหเ้ รา ท�ำความผดิ ตอ่ ไปไดอ้ ีก ความผดิ ใหญ่ข้ึน ท่ีซ่อนก็ต้องใหญ่ขนึ้ และลกึ ตาม เมื่อ ท่ีซ่อนกว้างใหญ่ ลกึ ลงมากขนึ้ ความผดิ อะไรก็นา่ จะปกปดิ ได้ท้ังนน้ั เป็นลกู โซ่ ส่งเสริมกันไปเช่นนี้จนหาทางออกจากที่ซ่อนไม่เจอ และด่ิงลงสู่หายนะในที่สุด เราต้องรับรู้ถึงความเสี่ยงน้ี และพิจารณาบนเง่ือนไขชีวิตของแต่ละคนเอาเองว่า “พืน้ ทีข่ องการโกหก” ที่สรา้ งขึ้นแต่ละตารางนิ้ว “จำ� เปน็ ” แคไ่ หน เราควบคุม บริหารจดั การความเสีย่ งทว่ี ่านีไ้ ด้ดพี อหรือไม่ และตอ้ งไมล่ ืมว่า ดินแดนแหง่ นไี้ มไ่ ดอ้ ย่ขู า้ งนอก เราสร้างมันไวภ้ ายใน ใจของเราเอง ต่อเติม ขยายมนั ใหก้ ว้าง และลกึ ได้มากเทา่ ๆ กับความล้ำ� ลกึ ของ จติ ใจเรา ถา้ เราลดทอนมันไดเ้ อง ความโปร่งเบานา่ จะบงั เกดิ ขน้ึ อยภู่ ายใน แต่ถ้า มันโดนโจมตจี นพงั พินาศ ย่อยยบั มันก็ย่อยยบั อยใู่ นใจของเราเองด้วยเชน่ กนั บรรณานุกรม ภาษาไทย คณู โทขันธ์ (2537), ศาสนาเปรียบเทยี บ, กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร.์ ฉัตรดนัย ศรชัย และคณะ (2556), อทิ ธพิ ลของบุคลิกภาพแบบมองโลกในแงด่ ี บคุ ลิกภาพแบบ เปน็ มติ ร การเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง และความตอ้ งการเปน็ ทย่ี อมรบั ในสงั คมตอ่ การยอมรบั การโกหกและความเปน็ ไปได้ในการโกหก, ปรญิ ญานพิ นธว์ ทิ ยาศาสตรบณั ฑติ สาขาวชิ า จติ วิทยา คณะจิตวทิ ยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ชาคร รุจริ ะชาคร และพุทธชาติ คงลายทอง (2550), นิทานอิสปเด็กเลย้ี งแกะ, กรุงเทพฯ: ปั้นฝัน. เติมศักด์ิ คทวณิช (2546), จติ วทิ ยาท่ัวไป, กรงุ เทพฯ: ซีเอ็ดยเู คชนั่ . ทวีเกยี รติ มนี ะกนิษฐ (2562), ประมวลกฎหมายอาญาฉบับอ้างอิง, กรุงเทพฯ: วิญญชู น. รตั นาภรณ์ ปัตลา (2557), การท�ำนายความเปน็ ไปได้ในการโกหกและการยอมรับการโกหกด้วย ตัวแปรบุคลิกภาพ, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ร่มฉตั ร (ผู้แปล) (2557), พินอ็ คคโิ อ, กรุงเทพฯ: แอร์โรว์ คลาสสกิ บุ๊คส.์ วนดิ า ขำ� เขียว (2543), ศาสนาเปรยี บเทยี บ, กรุงเทพฯ: พรานนกการพมิ พ์. 36 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

สมชาย พงษพ์ ฒั นาศลิ ป์ (2563), ประมวลกฎหมายอาญา, กรุงเทพฯ: ส�ำนักพมิ พว์ รเมธ ธนา ภากรรัตนกุล. สจุ ติ รา รณรนื่ (2538), ศาสนาเปรยี บเทียบ, กรุงเทพฯ: สหธรรมิก. Darika (2561), “ข้ันตอนง่ายๆ ช่วยรักษาคนโกหก จากสมองป่วยและนิสัยสว่ นตัว”, ชีวจติ , 485. ภาษาองั กฤษ DePaulo, B. et al. (1996), “Lying in Everyday Life”, Journal of Personality and Social Psychology, 70(5): 979-95. Garrett, N. et al. (2016), “The Brain Adapts to Dishonesty”, Nature Neuroscience, 19(12): 1721-1732. Kelly, E. (2012), “A Life without Lies: How Living Honestly Can Affect Health”, Proceedings of the Annual Meeting of the American Psychological Association’s 120th, United States of America, 4 August 2012. Oliveira, C. and Levine, T. (2008), “Lie Acceptability: A Construct and Measure”, Communication Research Reports, 25(4): 282-288. ส่ือออนไลน์ ตนุภทั ร โลหะพงศธร (2562), “Pathological Lying: สรา้ งชวี ิตใหมด่ ้วยค�ำโกหก เพราะการยอมรับ ความจรงิ คอื ความเจบ็ ปวดยง่ิ กวา่ ”, a daybullatin. สบื ค้นเมือ่ 10 ธนั วาคม 2562, จาก https://adaybulletin.com/know-sideeffects-pathological-lying/29980 บุญโชค พานิชศลิ ป์ (2561), “ละครฉากสุดทา้ ยของฆาตกรตอ่ เน่อื ง เทด็ บันดี”, The momentum, สบื คน้ เม่ือ 12 ธนั วาคม 2562, จาก https://themomentum.co/something-between- ted-bundy/ พิษณุ ผาสกุ มโน (2561), “สาระนา่ รู้ กฎหมายรอบตัว: การพดู โกหก กบั การพูดค�ำว่า ตอแหล จะเหมอื นกันมั้ย”, กรมสรรพากร, สืบคน้ เม่ือ 20 ธันวาคม 2562, จาก http://www. rd.go.th/region1/fileadmin/pdf/59-56.pdf ยธุ จิ ิต ภัตตาจาร์จิ (2560), “เคยชนิ กับการโกหกรึเปล่า? ส่องพฤติกรรม ‘พูดปด’ ของมนษุ ยชาต”ิ , National Geographic, สบื คน้ เมอ่ื 8 มกราคม 2563, จาก https://www.thairath.co.th/ lifestyle/life/1018175 วินทิ รา แก้วพิลา (2560), “โรคหลอกตัวเอง”, Rama Square, สืบคน้ เมอื่ 15 ธนั วาคม 2562, จาก https://www.youtube.com/watch?v=ZBBlEHhgZdc วุฒเิ ลิศ แหล่ ้อม (2560), “พระบัญญตั ิ 10 ประการ”, แผนกครสิ ตศาสนธรรม อคั รสังฆมลฑล กรุงเทพ, สบื ค้นเม่ือ 15 ธนั วาคม 2562, จาก http://www.kamsonbkk.com/catholic- catechism/10-commandments/2652-0071957 กันยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   37

ศาสนจกั รของพระเยซคู รสิ ตแ์ หง่ วสิ ทุ ธชิ นยคุ สดุ ทา้ ย (2560), “การกลา่ วค�ำเทจ็ ”, พระคมั ภรี ไ์ บเบลิ ฉบบั โจเซฟ สมธิ , สบื คน้ เมอื่ 15 ธนั วาคม 2562, จาก https://www.churchofjesuschrist. org/study/scriptures/gs/lying?lang=tha ศลิ ปวัฒนธรรม (2563), “ย้อนประวัติ อีสป ผู้แตง่ นทิ านโดง่ ดงั กับคติสอนใจ ทรราชยอ่ มหาเหตุ แห่งการทรราชไดเ้ สมอ”, ศลิ ปวัฒนธรรม, สืบค้นเมือ่ 12 ธนั วาคม 2562, จาก https:// www.silpa-mag.com/history/article_34000 ส�ำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (2562), “Fake News ลวงให้เช่ือ หลอกให้แชร์”, สำ� นกั งานพฒั นาธรุ กรรมทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส,์ สบื คน้ เมอื่ 15 ธนั วาคม 2562, จาก https:// www.etda.or.th/content/living-in-the-fake-news-era.html สินธเุ สน เขจรบุตร (2559), “จบั โกหกอย่างผ้เู ชย่ี วชาญ”, กายใจ, สบื คน้ เม่อื 15 ธนั วาคม 2562, จาก https://www.youtube.com/watch?v=dGQWWiOifDc สชุ พี ปญุ ญานภุ าพ (2547), “ยงั พดู ปดทง้ั ๆ ทร่ี ู้ จะไมท่ �ำความชวั่ อยา่ งอนื่ เปน็ ไปไมไ่ ด”้ , พระไตรปฎิ ก ฉบบั ประชาชน, สืบค้นเมอ่ื 15 ธนั วาคม 2562, จาก http://www.larnbuddhism.com/ tripitaka/interest/part1.1.html Ansarian, H. (n.d.), “มนษุ ยเ์ รามีหน้าที่อะไรบา้ ง”, Erfan.ir, สืบค้นเม่อื 14 มกราคม 2563, จาก http://www.erfan.ir/thailand/81502.html Barth, F. (2019), “Why Do We Believe Liars?”, NBC News, retrieved 15 January 2020, from https://www.nbcnews.com/think/opinion/why-do-we-believe-liars-ncna993816 Cooke, L. (2019), “Power of Deceit”, BBC radio4, retrieved 1 February 2020, from https:// www.bbc.co.uk/programmes/p07k439v Deedi (2544), “อกุศลกรรมบถ 10”, ประตูสูธ่ รรม, สืบค้นเมือ่ 15 ธันวาคม 2562, จาก http:// www.dharma-gateway.com/dhamma/misc-sin_path_10_04.htm Grethexis (2561), “Why Do People Believe in Lies So Easily?”, Grethexis, retrieved 20 January 2020, from http://www.grethexis.com/people-believe-lies-easily/ Heid, M. (n.d.), “Your Brain On: Lying”, retrieved 20 January 2020, from https://www. shape.com/lifestyle/mind-and-body/your-brain-lying Kapook (2561), “เปดิ คดี เจนนิเฟอร์ แพน จากเดก็ เรียนดีผู้เป็นความหวงั สู่ฆาตกรผูจ้ ้างวาน ฆา่ พ่อแม่ตวั เอง”, สบื ค้นเมอ่ื 15 ธันวาคม 2562, จาก https://hilight.kapook.com/ view/124238 Liespotting (2010), “10 Research Findings about Deception that Will Blow Your Mind”, Liespotting, retrieved 16 January 2020, from https://liespotting.com/2010/06/10- research-findings-about-deception-that-will-blow-your-mind/ Moodymuay (2562), “10 สง่ิ ทที่ ำ� ใหเ้ ทด็ บนั ด้ี เปน็ ฆาตกรตอ่ เนอ่ื งทโ่ี ลกไมล่ มื ”. Crossboxs, สบื คน้ เมือ่ 12 ธันวาคม 2562, จาก http://www.crossboxs.com/posts/ted-bundy-facts 38 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

MP-MUSLIM (2560), “มสุ ลมิ สามารถโกหกไดห้ รือไม”่ , Thaimuslim. สืบค้นเม่ือ 10 ธนั วาคม 2562, จาก https://www.thaimuslim.com Pariona, A. (2018), “When You Lie, Your Brain Is Actually Suffering”, Lifehack, retrieved 14 January 2020, from https://www.lifehack.org/589959/how-harmful-lying-can- be-to-our-health. Psychology CU (2560), “การโกหก-Lying”, วิทยาลยั ชุมชน, สืบค้นเมื่อ 14 มกราคม 2563, จาก https://www.facebook.com/PsychologyChula/photos/a.897311197049961/14 20179684763107/?type=1&theater Schaarschmidt, T. (2018), “The Art of Lying”, Scientific American, retrieved 15 January 2020, from https://www.scientificamerican.com/article/the-art-of-lying/ Soleil, V. (2018), “5 Types of Liars and How to Recognize and Deal with Each”, Learning Mind, retrieved 15 January 2020, from https://www.learning-mind.com/types- of-liars/ Workpoint News (2561), “ชวี ติ สุดเหลือเชอื่ ของ แฟรงก์ อบาเนล อดตี นกั ตม้ ตุ๋น ผเู้ คยเปน็ ใคร ก็ไดท้ เ่ี ขาอยากเปน็ ”, Workpoint News, สบื คน้ เม่อื 12 ธนั วาคม 2562, จาก https:// workpointnews.com/2018/09/15/abagnale/ 84000.org (2559), “อกศุ ลกรรมบถ 10”, พระไตรปฎิ กฉบบั หลวง, สบื คน้ เมอื่ 15 ธนั วาคม 2562, จาก http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=12&item=484&ite ms=1&preline=0&pagebreak=0&mode=bracket กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   39

ผลลัพธ์การสร้างนักสื่อสารชุมชนท้องถิ่นเพ่ือเสริมสร้าง จิตสำ� นึกด้านการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรปา่ ชายเลน ต�ำบลหัวเขา อำ� เภอสงิ หนคร จงั หวัดสงขลา1 เจรญิ เนตร แสงดวงแข2 บทคดั ยอ่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือประเมินผลลัพธ์ของการสร้างนักสื่อสาร ชุมชนท้องถ่ิน ในการขับเคล่ือนแผนชุมชนพหุวัฒนธรรมในการบริหารจัดการ การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศบริการป่าชายเลน ต�ำบลหัวเขา จังหวัดสงขลา โดยการวิเคราะห์ศักยภาพทางการสื่อสารของนักสื่อสารชุมชนท้องถิ่นก่อนและ หลังกระบวนการฝึกอบรม การวิเคราะห์ความพึงพอใจของคนในชุมชนท่ีมีต่อ ส่ือและช่องทางการส่ือสารท่ีนักสื่อสารชุมชนท้องถ่ินเลือกใช้ และการวิเคราะห์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของนักสื่อสารชุมชนท้องถ่ิน ซ่ึงจะน�ำไปสู่ การเสริมสร้างจิตส�ำนึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนของชุมชนต�ำบล หวั เขา อ�ำเภอสิงหนคร จงั หวดั สงขลา ผู้วิจยั ใช้การวิจัยแบบผสานวธิ ี (mixed method) ประกอบดว้ ยการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ (qualitative research) และการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ (quantitative research) เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ การสัมภาษณ์ * วันทรี่ ับบทความ 15 ธนั วาคม 2562; วนั ทแี่ กไ้ ขบทความ 13 กมุ ภาพันธ์ 2563; วันทีต่ อบรบั บทความ 18 เมษายน 2563. 1 ผู้วิจัยขอขอบพระคณุ สำ� นักงานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ัย (สกว.) ท่ใี หก้ ารสนับสนุนงบประมาณภายใตช้ ดุ โครงการ การพฒั นานกั วจิ ยั และระบบสนบั สนนุ นกั วจิ ยั เพอื่ ชมุ ชนและสงั คม สญั ญาทนุ เลขที่ RDG5940004- 2L01 ซงึ่ เปน็ การประเมนิ ผลลพั ธข์ องการสรา้ งนกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ตำ� บลหวั เขา อำ� เภอสงิ หนคร จงั หวดั สงขลา ท่ีสามารถสะทอ้ นจดุ แขง็ และจดุ ทคี่ วรพฒั นาของการสรา้ งทนุ บคุ คล ซงึ่ เปน็ ทรพั ยากรส�ำคญั ในการ ขบั เคลือ่ นงานชมุ ชน โดยใชอ้ งค์ความรู้ด้านการสอื่ สารในการสรา้ งการมีส่วนร่วมและขับเคลอื่ นการด�ำเนนิ งานดา้ นตา่ งๆ ในรูปแบบทีส่ อดคล้องกบั บรบิ ทแวดล้อมของชุมชนพืน้ ท่ี น�ำไปสกู่ ารสื่อสารทมี่ ีประสิทธภิ าพ กอ่ ใหเ้ กดิ คณุ คา่ ทง้ั ตอ่ ตวั บคุ คล ชมุ ชน และสงั คม รวมทง้ั ผวู้ จิ ยั ขอขอบคณุ น�้ำใจจากนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ทกุ ทา่ น และขอบคณุ ทกุ ความรว่ มมอื ของคนในชมุ ชน ความอบอนุ่ ทสี่ รา้ งความประทบั ใจใหก้ บั ผวู้ จิ ยั ทกุ ครง้ั ท่ลี งพ้ืนที่ดำ� เนนิ กิจกรรม 2 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ประจำ� คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ 40 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

(interview) แบบสอบถาม (questionnaire) และการสงั เกตการณแ์ บบมสี ว่ นรว่ ม (participant observation) โดยมกี ลมุ่ ตวั อยา่ งคอื นกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ทเ่ี ปน็ ตัวแทนแบบพหุวัฒนธรรม ได้แก่ ตัวแทนคณะกรรมการป่าชายเลน ผู้น�ำทาง ศาสนา ตัวแทนเยาวชน ตวั แทนกลุ่มสตรี และกลมุ่ ผ้รู ับสารซึ่งเป็นคนท่เี ปดิ รบั และใช้สอื่ ในชุมชน ผลการวิจัยพบว่า ระดับศักยภาพทางการส่ือสารของนักสื่อสารชุมชน ทอ้ งถน่ิ กอ่ นเขา้ รบั การฝกึ อบรมโดยนกั วจิ ยั ในโครงการการสรา้ งนกั สอื่ สารชมุ ชน ทอ้ งถนิ่ ในการเผยแพรแ่ ผนชมุ ชน เพอื่ ธ�ำรงรกั ษาปา่ ชายเลน ตำ� บลหวั เขา จงั หวดั สงขลา ทกุ ดา้ น ทงั้ ดา้ นความร/ู้ ความสามารถในฐานะผรู้ บั สาร ดา้ นความร/ู้ ความ สามารถในฐานะผสู้ ง่ สาร ดา้ นความรเู้ รอ่ื งประเภทสอื่ และความสามารถในการใช้ สอ่ื ดา้ นความร/ู้ ความสามารถดา้ นการประชาสมั พนั ธ์ ดา้ นความร/ู้ ความสามารถ ดา้ นการวางแผนกจิ กรรม โครงการ และดา้ นความร/ู้ ความสามารถดา้ นการสรา้ ง การมสี ว่ นรว่ ม อยใู่ นระดบั ปานกลาง ในขณะทร่ี ะดบั ศกั ยภาพทางการสอื่ สารของ นักสื่อสารชุมชนท้องถ่นิ หลงั กระบวนการฝกึ อบรมทกุ ดา้ น อยใู่ นระดับมาก ระดบั ความพงึ พอใจของคนในชมุ ชนตอ่ การสอ่ื สารของนกั สอ่ื สารชมุ ชน ท้องถ่ินทุกข้ออยู่ในระดับมาก โดยข้อท่ีมีระดับความพึงพอใจมากที่สุด คือ นักส่ือสารชุมชนสามารถสื่อสารเพ่ือสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนได้ ในส่วนของความพงึ พอใจต่อการใช้สอ่ื ของนักสือ่ สารชมุ ชน พบวา่ คนในชุมชน มีความพึงพอใจต่อการใช้สื่อกิจกรรมของนักสื่อสารชุมชนส�ำหรับการ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร รองลงมาได้แก่ ส่ือบุคคลและสื่อพิธีกรรมทาง ศาสนา หอกระจายขา่ ว/เสยี งตามสาย สอ่ื ปา้ ย และสื่อใหม่ ตามล�ำดบั ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ การสรา้ งนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ประกอบดว้ ยทนุ เดมิ ของบคุ คล สถานภาพทางสงั คม และความถ่ีในการเข้ารับการอบรม ค�ำสำ� คัญ: การประเมินผล นักสื่อสารชุมชน ปา่ ชายเลน การสอื่ สาร กันยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   41

Output of Smart Communicators Training Process for The Mangrove Forest Reservation Awareness Raising in Hua Khao, Singhanakorn District, Songkhla Province Jarernnate Saengdoungkhae3 Abstract The purpose of this research is to assess the results of the smart communicators empowerment for driving the multicultural community plans in managing the utilization of mangrove forest ecosystem services at Hua Khao sub-district, Singhanakhon district, Songkhla province by an analyzing the communication potential of smart communicators before and after the training process, an analysis of the satisfaction of people in the community towards the media and communication channels chosen by the smart communicators and an analysis of factors affecting the potential development of smart communicators which will lead to raising awareness of mangrove forest resource conservation in Hua Khao community, Singhanakhon, Songkhla. The researcher uses a mixed method, both qualitative and quantitative, including interviews, questionnaires, and a participant observation. The samples consist of smart communicators of multicultural representatives, such as mangrove committee representatives, religious leaders, youth representatives, female group representatives, and media receivers who expose and use the local media. 3 Assistant Professor, Faculty of Communication Arts, Hatyai University 42 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

The research reveals the communication potential of smart communicators before the training process: knowledge and ability aspect as the recipient, knowledge and ability as a messenger, knowledge about media types and ability to use media, knowledge and ability in public relations and persuasive communication, knowledge and ability in planning activities and projects and knowledge and ability to create participation, all aspects are at the moderate level. For the communication potential of smart communicators after the training process, all aspects are at the high level. The satisfaction level of people in the community towards communication of all smart communicators is high level. The highest satisfaction level is the smart communicators able to communicate for creating community participation. In terms of satisfaction with the use of media for smart communicators, it was found that people in the community are satisfied with the use of media activities of smart communicators for publicizing information, followed by the personal media and religious media, broadcast towers/audio-based media, billboards and new media, respectively. Factors affecting the creation of smart communicators include the original capital of the person, social status and the frequency of training participation. Keywords: evaluation, smart communicator, mangrove forest, communication กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   43

บทนำ� ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หมายถึง สิ่งท่ีมีอยู่หรือเกิดขึ้นตาม ธรรมชาตใิ นบรเิ วณทะเล และชายฝง่ั รวมถงึ พรชุ ายฝง่ั พน้ื ทชี่ มุ่ นำ้� ชายฝง่ั คลอง คแู พรก ทะเลสาบ และบรเิ วณพนื้ ทป่ี ากแมน่ ำ�้ ทมี่ พี นื้ ทต่ี ดิ ตอ่ กบั ทะเลหรอื อทิ ธพิ ล ของนำ้� ทะเลเขา้ ถงึ เชน่ ปา่ ชายเลน ปา่ ชายหาด หาด ทช่ี ายทะเล เกาะ หญา้ ทะเล ปะการัง ดอนหอย พืชและสัตว์ทะเล หรอื สง่ิ ทีม่ นษุ ย์สร้างข้นึ เพอ่ื ประโยชน์แก่ ระบบนเิ วศ ทางทะเลและชายฝงั่ เชน่ ปะการงั เทียม แนวลดแรงคลืน่ และการ ปอ้ งกนั การกดั เซาะชายฝง่ั (พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ การบรหิ ารจดั การทรพั ยากร ทางทะเลและชายฝ่ัง, 2558) ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นับเป็นฐานทุนเศรษฐกิจที่ส�ำคัญ ของประเทศไทย รวมถึงระดับภูมิภาคและระดับโลก สถานภาพทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่งมีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา และมีความอ่อนไหวต่อ การเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ทั้งอิทธิพลของปัจจัยที่มาจากการใช้ประโยชน์ ของมนุษย์และจากปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ รวมทั้งผลกระทบจากการ เปล่ียนแปลงสภาพอากาศโลกส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล ได้แก่ ปา่ ชายเลน ปา่ ชายหาด แหลง่ หญา้ ทะเล แนวปะการงั สตั วแ์ ละพชื ทะเล และระบบ นเิ วศพน้ื ทะเลเสอ่ื มโทรมลง รวมทง้ั การเกดิ ภยั พบิ ตั ธิ รรมชาติ และปญั หาการกดั เซาะชายฝั่งท่ีมีผลกระทบต่อความสมดุลทางระบบนิเวศ และความหลากหลาย ทางชีวภาพของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (แผนแม่บทการบริหารจัดการ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2560-2579, 2562) ขอ้ มลู จากกรมทรพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั รายงานวา่ จากการพฒั นา ของประเทศในด้านต่างๆ ตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมา เช่น การท�ำการประมง อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การพัฒนาแหล่งชุมชน และอ่ืนๆ ทำ� ให้มีการใช้ ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั อยา่ งมาก กอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง และส่งผลกระทบต่อความเส่ือมโทรมของทรัพยากร บางพื้นท่ีเกิดปัญหาการ กัดเซาะชายฝ่ังทะเล เชน่ ตำ� บลแหลมกลดั อำ� เภอเมอื ง จังหวัดตราด ท่มี ปี ญั หา เรอ่ื งการกดั เซาะชายฝง่ั ซง่ึ เปน็ ภยั เงยี บทมี่ ผี ลตอ่ พน้ื ทอ่ี ยอู่ าศยั ของชมุ ชน และทวี 44 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ความรนุ แรงมากขน้ึ เนอื่ งจากภาวะโลกรอ้ น (สมนกึ หงสว์ เิ ศษ และคณะ, 2556) ปัญหาพื้นที่ป่าชายเลนลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการบุกรุกและเปล่ียนแปลง สภาพเพื่อประโยชน์ในด้านอ่ืนๆ เช่น จากการท่ีนายทุนบุกรุกพื้นท่ีเพื่อขุดบ่อ เลีย้ งก้งุ กลุ าดำ� ตามแนวชายฝ่งั มีการปล่อยน�้ำเสียลงสูแ่ หล่งน�ำ้ ขาดการบ�ำบัด นำ�้ เสยี จากนากงุ้ ปา่ ชายเลนถกู ทำ� ลายจากสารเคมี (ไพบลู ย์ เตมิ สมเกตุ และคณะ, 2560) แหล่งปะการังและหญ้าทะเลอยู่ในสภาพเส่ือมโทรม ปริมาณสัตว์น�้ำที่ จับได้ลดลงอย่างมากจากสภาพแวดล้อมของแหล่งนำ้� เสื่อมโทรม ซ่ึงเอ้ืออำ� นวย ตอ่ การดำ� รงชวี ิต และขยายพนั ธ์ุของสตั ว์นำ�้ ปญั หาขา้ งตน้ สง่ ผลกระทบในทางลบมากมายตอ่ ทรพั ยากรทางธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อมปัจจุบัน ทรัพยากรชายฝัง่ ทสี่ �ำคัญหลายชนิด เช่น ป่าชายเลน ทีด่ ินชายหาด แนวปะการัง หญา้ ทะเล และน�้ำทะเลใกล้ชายฝ่งั ได้ถูกทำ� ลายและ เสอื่ มโทรมลงไป จนอยใู่ นขนั้ ทต่ี อ้ งการการเอาใจใสแ่ ละจดั การอยา่ งเรง่ ดว่ น (กรม ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, 2562) รวมท้ังการขาดบูรณาการและการมี ส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ขาดองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ ขาดขอ้ มลู เทคโนโลยที ใี่ ช้ในการบรหิ ารจัดการและขาดบุคลากร ขอ้ มลู ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่งั จังหวดั สงขลา โดยกรมทรัพยากร ทางทะเลและชายฝง่ั กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม (2562) ระบุ วา่ ปญั หาทรพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั จังหวดั สงขลา ประกอบดว้ ย (1) ปญั หาดา้ นทรพั ยากรปา่ ชายเลน ทเี่ กดิ จากการบกุ รกุ พน้ื ทป่ี า่ ชายเลน เพ่ือท�ำการเกษตร การประมง การบกุ รกุ พืน้ ที่ปา่ ชายเลนเพอ่ื ขยายชุมชน/ทีอ่ ยู่ อาศัยจากการเพิ่มขึ้นของประชาชน การบุกรุกป่าชายเลนเพ่ือการท่องเท่ียว และการใชป้ ระโยชนจ์ ากทรัพยากรป่าชายเลน (2) ปัญหาด้านทรัพยากรปะการัง ซ่ึงเกิดจากการพัฒนาชายฝั่ง เช่น การก่อสร้างที่มีการเปิดหน้าดินชายฝ่ัง การขดุ ลอกพืน้ ที่ชายฝงั่ เพอื่ กจิ การตา่ งๆ กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาเรอื่ งตะกอนถกู ชะลงสทู่ ะเลทบั ถมแนวปะการงั ท�ำใหล้ ดปรมิ าณ แสงที่จะส่งถึงปะการงั รวมทง้ั นำ�้ ทิ้งจากชุมชนและแหลง่ ท่องเที่ยว ของเสยี และ คราบน้ำ� มันจากเรือจากห้องส้วมและการเททง้ิ ปรมิ าณขยะทีพ่ ดั พาลงสูท่ ะเล กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   45

(3) ปัญหาทรัพยากรหญ้าทะเล เกิดจากการเปล่ียนแปลงตามฤดูกาล ปัญหาคลื่นลมมรสุมที่รุนแรง การพัฒนาชายฝั่งทะเลทุกรูปแบบที่ทำ� ให้ตะกอน ในน้ำ� มมี ากข้นึ การปลอ่ ยน�ำ้ เสยี จากโรงงานอตุ สาหกรรม บ้านเรอื นชุมชน การ ท�ำประมงผิดกฎหมายในพ้ืนที่แหล่งหญ้าทะเล และขนาดพ้ืนที่แหล่งหญ้าทะเล ลดลงอยา่ งตอ่ เนอ่ื งจากการขดุ รอ่ งนำ้� (4) ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณชายฝั่งของจังหวัดสงขลา มีการ เปล่ียนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือน มกราคม ซ่ึงอยู่ในช่วงฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นช่วงที่มีกระแสคล่ืน และลมแรง บรเิ วณชายฝง่ั จงั หวดั สงขลาจงึ มพี นื้ ทปี่ ระสบปญั หาการเปลยี่ นแปลง ชายฝง่ั ตลอดแนวชายฝง่ั ทะเลอา่ วไทย ตง้ั แตอ่ าํ เภอระโนดถงึ อาํ เภอเทพา และหลงั ฤดมู รสมุ ชายฝ่งั จะปรบั ตัวเปน็ พืน้ ท่ีชายฝ่งั สะสมตัว (depositional coast) คือ ชายฝง่ั ทต่ี ะกอนถกู พดั พามาพอกตามแนวชายฝง่ั หรอื ยน่ื ลงไปในทะเล และพน้ื ท่ี ชายฝง่ั คงสภาพ (stable coast) คอื พน้ื ทชี่ ายฝง่ั ทม่ี กี ารปรบั สมดลุ ตะกอนชายฝง่ั ตามฤดกู าลธรรมชาติ โดยมตี ะกอนออกจากชายฝง่ั ในอตั ราทใี่ กลเ้ คยี งกบั ตะกอน ทีเ่ ข้าสะสมตวั ชายฝ่งั โดยสถานภาพการกดั เซาะชายฝัง่ นนั้ กรมทรพั ยากรทาง ทะเลและชายฝั่งได้วิเคราะห์ระดับความรุนแรงของพ้ืนท่ีท่ีประสบปัญหากัดเซาะ ชายฝั่งท้องท่ีจังหวัดสงขลา พบว่า พ้ืนท่ีท่ีมีระดับการกัดเซาะรุนแรงขั้นวิกฤติ เกดิ ข้ึนในทอ้ งทีอ่ ําเภอสงิ หนครและอาํ เภอระโนด รวม 8 หมู่บา้ น เนื้อท่ีที่ได้รบั ความเสยี หายรวม 97.57 ไร่ ระยะทางท้งั หมด 8.23 กโิ ลเมตร พืน้ ที่ดังกล่าว ติดอยใู่ นท้องที่อําเภอระโนด รวม 5 หมู่บา้ น 3 ตําบล ไดแ้ ก่ ตาํ บลปากแตระ ตําบลระวะ และตําบลบ่อตรุ และอําเภอสิงหนคร ระดับการกัดเซาะรุนแรง ขัน้ วิกฤตเิ กดิ ขน้ึ ในท้องที่ตาํ บลชงิ โค และตาํ บลหวั เขา (5) ปญั หาทรพั ยากรสตั วท์ ะเลหายาก เกดิ จากเครอ่ื งมอื ประมง มลพษิ ความเส่อื มโทรมของสภาพแวดล้อมและขยะในทะเล การเจบ็ ปว่ ยตามธรรมชาติ ของสตั วท์ ะเล รวมทงั้ บคุ ลากรและองคค์ วามรดู้ า้ นสตั วท์ ะเลหายากมไี มเ่ พยี งพอ และความรว่ มมอื การอนรุ ักษ์ไมแ่ พรห่ ลาย 46 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

โดยทผ่ี ่านมา มแี นวทางในการแกป้ ญั หาท่ีหลากหลาย ไดแ้ ก่ การจัดท�ำ แนวเขตปา่ ชายเลน การบงั คบั ใชก้ ฎหมายอยา่ งจรงิ จงั การดำ� เนนิ การปลกู ฟน้ื ฟู สภาพปา่ ทท่ี วงคนื ได้ การเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพเจา้ หนา้ ท่ี การจดั ระบบทอ่ งเทย่ี ว การ จดั อบรมใหค้ วามรู้ การศึกษาวจิ ัยในประเดน็ ที่เกี่ยวขอ้ ง การจัดกจิ กรรมรณรงค์ การติดตาม ตรวจสอบ เฝ้าระวังการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อมชายฝั่ง การกำ� หนดพ้ืนท่ีในการใช้ประโยชน์ การสร้างจิตสำ� นกึ ด้านการอนรุ กั ษ์ ตำ� บลหวั เขา อำ� เภอสงิ หนคร จงั หวดั สงขลา เปน็ พนื้ ทห่ี นงึ่ ทม่ี ที รพั ยากร ทางทะเลและชายฝง่ั เปน็ ทนุ ทางสง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี ปรยี บเสมอื นทรพั ยส์ นิ อนั มคี า่ เปน็ แหล่งส่งเสริมอาชีพของคนในชุมชน โดยเฉพาะการท�ำประมง การเพาะเล้ียง สตั วน์ ำ้� การผลติ อาหารทะเลแปรรปู การเปน็ แหลง่ เรยี นรใู้ หแ้ กห่ นว่ ยงานทงั้ ภายใน และภายนอกชุมชน และเป็นแหล่งหลอมใจภายใต้ความเป็นพหุวัฒนธรรมของ ชาวไทย-พุทธ และชาวไทย-มุสลิม ผ่านการใช้ประโยชน์จากทรพั ยากรทางทะเล และชายฝง่ั ในดา้ นการเปน็ แหลง่ ผลติ คอื เปน็ การนำ� ไมป้ า่ ชายเลนไปทำ� เครอ่ื งมอื ประมง ท�ำถ่าน/ฟืน ท�ำยารักษาโรค และใบไม้ที่ทับถมก็สามารถย่อยสลาย เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ และเป็นอาหารของแพลงก์ตอนหรือสัตวน้�ำเล็กๆ บริการด้าน การควบคุม คอื ปา่ ชายเลนชว่ ยควบคมุ คุณภาพอากาศชว่ ยบ�ำบดั นำ้� เสีย ชว่ ย ควบคุมการกัดเซาะชายฝง่ั และชว่ ยบรรเทาภยั พบิ ตั จิ ากธรรมชาติ บริการด้าน วัฒนธรรม คือ ปา่ ชายเลนให้คณุ ค่าทางจติ ใจ เปน็ สถานที่พักผอ่ นหย่อนใจ เปน็ สถานทที่ อ่ งเทยี่ ว เปน็ ศนู ยก์ ารเรยี นรขู้ องคนในชมุ ชนและนอกชมุ ชน และบรกิ าร ด้านการสนับสนุน คือ ป่าชายเลนช่วยให้เกิดวัฏจักรการหมุนเวียนสารอาหาร และแร่ธาตุ อีกท้ังยงั สามารถน�ำมาใช้เชื่อมโยงความผูกพนั ของคนในชมุ ชนผา่ น การทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ นบั เปน็ สงิ่ แวดลอ้ มและระบบนเิ วศทเี่ กย่ี วโยงกบั วถิ ชี วี ติ ของ คนในชุมชน เป็นสายใยเช่ือมโยงสะท้อนอัตลักษณ์ของบริบทพื้นที่ โดยเฉพาะ ภาพความเป็นพหุวฒั นธรรม จากสถานการณ์ที่ผ่านมา ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในเขตพื้นท่ี ต�ำบลหัวเขา อ�ำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา มีการเปล่ียนแปลงอย่างต่อเน่ือง ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ โดยเฉพาะการขยายตัวของชุมชนที่เกิดจาก กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   47

การเพิ่มขน้ึ ของประชากร การทำ� นากุ้ง อตุ สาหกรรมอู่ต่อเรอื และดว้ ยข้อจำ� กัด ในด้านพื้นท่ีชุมชน จึงท�ำให้มีการขยายปลูกสร้างบ้านเรือนออกไปยังพื้นที่ราบ ดนิ เลนรมิ ชายฝง่ั ทะเลสาบสงขลามากขนึ้ สภาพการตง้ั ถน่ิ ฐานของชมุ ชนมคี วาม หนาแน่นขึน้ ตามลำ� ดับ สภาพแวดล้อมชุมชนไดเ้ ปลีย่ นไปในลกั ษณะชมุ ชนเมือง มากขน้ึ และขยายตวั อยา่ งรวดเรว็ ทำ� ใหส้ ภาพสง่ิ แวดลอ้ มทางธรรมชาตเิ กดิ ความ เสอ่ื มโทรม โดยเฉพาะทรพั ยากรปา่ ชายเลนตอ้ งสญู เสยี เปน็ จำ� นวนมากจากความ พยายามทจ่ี ะครอบครองพนื้ ทแี่ นวชายฝง่ั เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ทสี่ �ำหรบั สรา้ งบา้ นเรอื น และ เป็นพ้นื ท่เี พอื่ การท�ำประมงมากขึน้ ปี พ.ศ. 2537 ไดม้ ีโครงการพัฒนาและฟนื้ ฟู ชายเลนขนึ้ ในพื้นที่ต�ำบลหวั เขา ซึง่ เป็นหนง่ึ ในโครงการป่าพระราชทาน เนอ่ื งใน วโรกาสทใี่ นหลวงรชั กาลที่ 9 ทรงครองราชยเ์ ปน็ ปที ี่ 50 โดยไดร้ บั การสนบั สนนุ จากมูลนธิ ชิ ยั พฒั นา มูลนธิ แิ มฟ่ า้ หลวง และมลู นิธิโททาล โดยมีสำ� นกั งานคณะ กรรมการพเิ ศษทำ� หนา้ ทปี่ ระสานงานโครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำ� ริ ในครงั้ นนั้ เกดิ การสรา้ งแกนนำ� ชมุ ชนเพอื่ ดำ� เนนิ งานดา้ นการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าชายเลน และในปี พ.ศ. 2557 เกิดการจัดท�ำแผนชุมชน พหุวัฒนธรรมในการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศบริการป่า ชายเลน ต�ำบลหวั เขา จังหวัดสงขลา (พไิ ลวรรณ ประพฤติ และคณะ, 2557) เพอื่ ใหเ้ กดิ การใชป้ ระโยชนจ์ ากระบบนเิ วศบรกิ ารของปา่ ชายเลนอยา่ งชาญฉลาด อันจะน�ำไปสูค่ วามยงั่ ยืนในอนาคต เมื่อพิจารณามิติของการขับเคล่ือนแผนชุมชนดังกล่าว พบว่า การ ด�ำเนินงานบางกิจกรรมท่ีปรากฏในแผนยังไม่เกิดเป็นรูปธรรมท่ีชัดเจน ยังขาด การระดมการมสี ว่ นรว่ มของคนในชมุ ชน เนอื่ งจากขาดบคุ ลากรทที่ ำ� หนา้ ทเ่ี ชอื่ มโยง การด�ำเนินงานจากแผนสู่ชุมชน ในปี พ.ศ. 2559 จงึ เกิดการสรา้ งนกั สอื่ สาร ชุมชนทอ้ งถิ่น (smart communicator) ภายใตง้ านวิจยั เรอื่ ง การสรา้ งนักสอ่ื สาร ชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ในการเผยแพรแ่ ผนชมุ ชน เพอื่ ธำ� รงรกั ษาปา่ ชายเลน ตำ� บลหวั เขา จังหวัดสงขลา (เจริญเนตร แสงดวงแข และสินี กิตติชนม์วรกุล, 2559) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแกนน�ำชุมชนให้มีศักยภาพด้านการส่ือสารที่มี ความรู้ความสามารถในการเผยแพร่แผนชุมชน และสร้างการมีส่วนร่วมในการ 48 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ด�ำเนนิ กิจกรรมตา่ งๆ ได้ การเพ่มิ ศกั ยภาพแกนน�ำใหม้ ีศกั ยภาพด้านการส่อื สาร จึงเป็นปัจจัยส�ำคัญที่จะน�ำไปสู่การขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ที่ปรากฏในแผน ชมุ ชน ทง้ั น้ี เนอื่ งจากนกั สอ่ื สารชมุ ชนเปน็ บคุ คลในชมุ ชนทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ ความคดิ และความคิดเหน็ ของบคุ คลรอบข้าง เป็นผู้เชื่อมโยง (connector) ในการชกั จูง เชิญชวนบุคคลอื่นให้ร่วมกันแบ่งปันความคิดเห็นและรวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน อีกท้ังความส�ำเร็จและการมีประสิทธิภาพของการสร้างความเชื่อม่ันและสร้าง ความเขา้ ใจระหวา่ งหนว่ ยงานในทอ้ งถนิ่ และชมุ ชน โดยใชก้ ารพดู คยุ (face-to-face) ผา่ นนกั สอ่ื สารชมุ ชนนน้ั กอ่ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจระหวา่ งกนั ไดด้ ี (Wood and Julie, 2013) โดยงานวจิ ยั ดงั กลา่ วใชก้ ระบวนการสรา้ งนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ภายใต้ การมสี ่วนรว่ มของชมุ ชน ผลลัพธ์จากงานวจิ ยั ข้างต้น น�ำไปสกู่ ารยกระดับคนในชุมชน ให้มีความ สามารถท่ีจะขยับขับเคลื่อนงานในแผนชุมชนอย่างเป็นระบบ ภายใต้การใช้ องคค์ วามรเู้ รอ่ื งการสอ่ื สาร คณุ ลกั ษณะของสอื่ ประเภทตา่ งๆ การประชาสมั พนั ธ์ แผนชุมชน และการผลิตส่ือ อีกทงั้ ยงั เกิดการจัดระบบโครงสร้างของบุคลากรที่ ขับเคล่ือนงานดา้ นการอนุรกั ษท์ รพั ยากรท่ีชัดเจนเปน็ รปู ธรรมมากข้นึ จากการสอบถามนกั สอื่ สารชุมชนทอ้ งถน่ิ ในเบ้ืองตน้ พบว่า นักสอื่ สาร ชุมชนทอ้ งถน่ิ ใช้ความรทู้ ่ไี ดร้ ับจากการอบรม จากนกั วจิ ัยไปถ่ายทอดให้กบั กลุ่ม ต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นการวิเคราะห์ส่ือท่ีสอดคล้องกับบริบทชุมชน และน�ำ ความรไู้ ปขยายผลกับการท�ำงานดา้ นอื่นๆ ในชุมชนรว่ มด้วย ทง้ั น้ี กระบวนการ สรา้ งนกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ขา้ งตน้ ยงั ไมไ่ ดม้ กี ารประเมนิ ผลลพั ธท์ แ่ี สดงถงึ การ สะท้อนศักยภาพของนักส่ือสารชุมชนและกระบวนการสร้างนักสื่อสารชุมชนให้ เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ไดร้ ับการยอมรับจากกลมุ่ ซึ่งต้องมกี ารประเมนิ ผลงานอย่างเปน็ ระบบ (Fiedler, 1967) จงึ น�ำไปส่กู ารหาค�ำตอบรว่ มกนั ระหว่าง ชุมชนและนักวิจัยผู้เขียนบทความ ในประเด็นศักยภาพทางการส่ือสาร ความ สามารถในการเลือกใช้ส่ือและช่องทางการสื่อสารของนักสื่อสารชุมชนท้องถ่ินท่ี เปลย่ี นแปลงไปภายหลงั กระบวนการฝกึ อบรม รวมทง้ั ปัจจยั ท่ีสง่ ผลต่อการสรา้ ง นักสือ่ สารชมุ ชนทอ้ งถ่นิ กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   49

วัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย 1. เพ่ือวิเคราะห์ศักยภาพทางการสื่อสารของนักส่ือสารชุมชนท้องถิ่น ก่อนและหลังกระบวนการฝึกอบรม 2. เพอื่ วเิ คราะหค์ วามพงึ พอใจของคนในชมุ ชนทม่ี ตี อ่ สอ่ื และชอ่ งทางการ สอื่ สารท่นี ักสือ่ สารชุมชนทอ้ งถ่ินเลอื กใช้ 3. เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของนักสื่อสาร ชมุ ชนท้องถ่ิน แนวคิด ทฤษฎีท่เี กย่ี วขอ้ ง การวจิ ยั ครงั้ นใี้ ชก้ รอบแนวคดิ ทฤษฎี เพอ่ื เปน็ แนวทางในการดำ� เนนิ การ วจิ ัยและการก�ำหนดขอ้ ค�ำถามส�ำหรบั ประเมินผลลัพธก์ ารสร้างนกั สื่อสารชุมชน ทอ้ งถิ่น ดังน้ี (1) แนวคิดเก่ียวกับการวเิ คราะหผ์ รู้ ับสาร การวเิ คราะห์ผ้รู บั สารเป็น เรอ่ื งทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมศาสตร์ ซง่ึ พฤตกิ รรมของผรู้ บั สารนนั้ ไดถ้ กู กำ� หนด โดยพน้ื ฐานจากประสบการณเ์ ดมิ ในอดตี (ศภุ ศลิ ป์ กลุ จติ ตเ์ จอื วงศ,์ 2560) การ วเิ คราะหผ์ รู้ บั สารจงึ มคี วามส�ำคญั ตอ่ กระบวนการสอ่ื สาร เนอื่ งจากจะน�ำไปสกู่ าร ออกแบบเน้ือหาและคัดเลือกรูปแบบวิธีการส่ือสาร ท่ีสอดคล้องกับคุณลักษณะ และความต้องการของผู้รับสาร เป็นแนวคิดที่สะท้อนศักยภาพของนักส่ือสาร ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ดา้ นความรคู้ วามสามารถในการวเิ คราะหผ์ รู้ บั สารในมติ ติ า่ งๆ ไดแ้ ก่ การวิเคราะห์ผู้รับสารตามกลุ่มเป้าหมายของการสื่อสาร การวิเคราะห์ผู้รับสาร ตามลกั ษณะทางประชากรศาสตร์ การวเิ คราะหผ์ รู้ บั สารตามลกั ษณะการดำ� เนนิ ชีวิต การวเิ คราะหผ์ ู้รับสารด้วยระบบวฒั นธรรม (ศศพิ รรณ บลิ มาโนช, มปป.) (2) แนวคดิ เกยี่ วกบั สอื่ ประชาสมั พนั ธ์ เนอ่ื งจากสอื่ ทใ่ี ชใ้ นกจิ กรรมเพอื่ การประชาสมั พนั ธม์ คี วามหลากหลาย ไดแ้ ก่ สอ่ื บคุ คล สอ่ื มวลชน (หนงั สอื พมิ พ์ โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง) ส่ือเฉพาะกิจ (วารสาร จุลสาร จดหมายข่าว แผน่ พับ ใบปลิว โปสเตอร์ ปา้ ยประกาศ) สอื่ กิจกรรม และสือ่ สมยั ใหม่ ดังนั้น นกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ จะตอ้ งมคี วามรู้ ความสามารถในการเลอื กใชส้ อ่ื เพอ่ื การ 50 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์