ก วารสารรตั นปัญญา I JOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) I Vol.5 No.1 (January-June 2020) ISSN: 2730-1710 (online) เจา้ ของ The Owner รตั นะ อคาเดมี 149/16 หมู่ 6 ตาบลขามใหญ่ อาเภอเมอื งอบุ ลราชธานี จงั หวดั อบุ ลราชธานี 34000 Rattana Academy, 149/16 Moo 6, Kham Yai Sub-District, Meaung Ubon Ratchathani District, Ubon Ratchathani Province, 34000 Thailand วัตถุประสงค์และขอบเขต The aims and scopes เพือ่ ตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิชาการ บทความวจิ ัย และบท The objectives and scopes are mainly for publishing วิจารณ์หนังสือ ดา้ นมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยเน้น academic articles, research articles, and book review ปรัชญา ศาสนา ภาษา ภูมิปัญญา และวฒั นธรรม รวมทั้งสห articles about language, religion, philosophy, culture, วิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ intellect, and interdisciplinary about humanities and social sciences. สาขาของวารสาร : มนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ Type of Journal : Humanities and Social Sciences วาระการตพี ิมพ์เผยแพร่ Publication frequency: ตีพมิ พ์เผยแพร่ ปลี ะ 2 ฉบบั ไดแ้ ก่ 2 issues of publication per year; ฉบับที่ 1 (เดือนมกราคม - มถิ นุ ายน) Issue 1 (January - June) ฉบบั ที่ 2 (เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม) Issue 2 (July - December) ท่ปี รึกษาบรรณาธกิ าร Editorial Advisor รองศาสตราจารยน์ พดล จนั ทรเ์ พญ็ Associate Professor Noppadon Janpen (มหาวิทยาลัยราชภฏั อุบลราชธาน)ี (Ubon Ratchathani Rajabhat University, Thailand) บรรณาธิการ Editor in Chief รองศาสตราจารย์ ดร.รัตนะ ปัญญาภา Associate Professor Dr.Rattana Panyapa (มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธาน)ี (Ubon Ratchathani Rajabhat University, Thailand) Editorial Team กองบรรณาธกิ าร Professor Dr. Watchara Ngamchitcharoen ศาสตราจารย์ ดร.วชั ระ งามจิตรเจรญิ (Thammasat University) (มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร)์ Associate Professor Dr.Widya Sakyabhinand รองศาสตราจารย์ ดร.วทิ ยา ศักยาภินันท์ (Kasetsart University) (มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร)์ Associate Professor Dr.Wilaisak Kingkham รองศาสตราจารย์ ดร.วิไลศักด์ิ กงิ่ คา (Kasetsart University) (มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร)์ Associate Professor Dr.Phuttarak Prabnok รองศาสตราจารย์ ดร.พทุ ธรกั ษ์ ปราบนอก (Khon Kaen University) (มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ) Associate Professor Dr.Worakrit Thuenchang รองศาสตราจารย์ ดร.วรกฤต เถอื่ นชา้ ง (Mahachulalongkornrajavidyalaya University) (มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) Associate Professor Dr.Sanya Kenaphoom รองศาสตราจารย์ ดร.สัญญา เคณาภูมิ (Maha Sarakham Rajabhat University) (มหาวทิ ยาลัยราชภัฏมหาสารคาม)
ข ข้อเขียนหรือบทความใด ๆ ท่ีได้ตพี มิ พเ์ ผยแพร่ในวารสารนถ้ี ือเปน็ Any article written or published in this journal is ความคดิ เหน็ สว่ นตวั ของผู้นพิ นธ์บทความ กองบรรณาธกิ ารไม่ personal opinion of an author of a particular article. The editorial team doesn't have to agree and without จาเป็นตอ้ งเหน็ ด้วย และไมม่ ขี ้อผกู พนั โดยประการทง้ั ปวง any obligation. สานักงานกองบรรณาธกิ าร The Editorial Office สานกั งานรตั นะ อคาเดมี 149/16 หมู่ 6 ตาบลขามใหญ่ The Office of Rattana Academy, 149/16 Moo 6, อาเภอเมืองอุบลราชธานี จงั หวัดอบุ ลราชธานี 34000 Kham Yai Sub-District, Meaung Ubon Ratchathani District, โทร.0986591665, E-mail: rattana.aca@gmail.com Ubon Ratchathani Province, 34000 Thailand Tel.+88986591665, E-mail: rattana.aca@gmail.com วันทต่ี พี มิ พเ์ ผยแพร:่ 19 มิถุนายน 2563 Date of Publication: 19 June 2020 สถานท่พี ิมพ์ วิทยาการพมิ พ์ 336-338 ถนนผาแดง ตาบลในเมอื ง Place of Publication อาเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวดั อบุ ลราชธานี 34000 Vidya Publishing, 336-338 Pha Daeng Road, Nai Mueang Sub-District, Mueang Ubon Ratchathani District, Ubon Ratchathani Province 34000, Thailand
ค รายชอ่ื ผู้ทรงคุณวฒุ วิ จิ ารณบ์ ทความประจาฉบบั The article reviewers of the issue ศาสตราจารยช์ ะภพิ ร เกยี รติคชาธาร Professor Chaphiporn Kiatkachatharn (มหาวทิ ยาลัยเฉนิ ตู สาธารณรฐั ประชาชนจนี ) (Chengdu University, People's Republic of China) รองศาสตราจารย์ ดร.เมชฌ สอดส่องกฤษ Associate Professor Dr.Metcha Samrongkrit (มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธาน)ี (Ubon Ratchathani University) รองศาสตราจารย์ ดร.สญั ญา เคณาภูมิ Associate Professor Dr.Sanya Kenaphoom รองศาสตราจารย์ ดร.ธนัณชยั สิงห์มาตย์ Associate Professor Dr.Tananchai Singmat (มหาวทิ ยาลัยราชภฏั มหาสารคม) (Maha Sarakham Rajabhat University) รองศาสตราจารย์ ดร.อาพล บดุ ดาสาร Associate Professor Dr.Ampon Buddhasarn (มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนคร) (Phranakhon Rajabhat University) ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.คัมภรี ภาพ อนิ ทะนู Assistant Professor Dr.Kampeeraphab Intanu (มหาวิทยาลยั ราชภฏั บุรีรัมย์) (Buriram Rajabhat University) ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ชมพนู ุท โมราชาติ Assistant Professor Dr.Chompoonut Morachat (นกั วชิ าการอสิ ระ) (Independent academic) ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ประสทิ ธิ์ กลุ บุญญา Assistant Professor Dr.Prasit Kunbunya ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ดิฐพงษ์ อเุ ทศธารง Assistant Professor Dr.Ditthapong Uthetthamrong ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ ศรพรหม Assistant Professor Dr.Thanet Sonprom ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ธรชญา ภูมิจิโรจ Assistant Professor Dr.Thornchaya Phoomjiroj ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.นศิ านาจ โสภาพล Assistant Professor Dr.Nisanat Sopapol ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รังสรรค์ นัยพรม Assistant Professor Dr.Rangsan Naiprom ผู้ช่วยศาสตราจารย์นิสิต ภาคบุบผา Assistant Professor Nisit Phakbubpha อาจารย์ ดร.จารุณี อนุพันธ์ Dr.Jarunee Anupan (มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอบุ ลราชธานี) (Ubon Ratchathani Rajabhat University) ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ธรี ะพงษ์ มไี ธสง Assistant Professor Dr.Theerapong Meethaisong ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมัย วรรณอุดร Assistant Professor Dr.Samai Wannaudon (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) (Maha Sarakham University) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บญุ เลศิ ววิ รรณ์ Assistant Professor Dr.Bunlert Wiwan (มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร)์ (Kasetsart University) ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ประทปี พชื ทองหลาง Assistant Professor Dr.Prateep Phuetthonglang (มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา) (Rajamangala University of Technology Lanna) ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พจิ ติ รา ธงพานิช Assistant Professor Dr.Pichittra Tongpanit (มหาวิทยาลยั นครพนม) (Nakhon Phanom University) ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.เรืองเดช เขจรศาสตร์ Assistant Professor (Special) Dr.Ruangdet Kejornsart (สานักงานศกึ ษาธิการ ภาค 9) (Office of Regional Education 9) ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.นเรศ สรุ สิทธ์ิ Assistant Professor Dr.Nares Surasit ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ศิรเิ พ็ญ อตั ไพบูลย์ Assistant Professor Dr.Siripen Auttapaibun (นักวิชาการอสิ ระ) (Independent Academic) ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อสิ ริยาภรณ์ ชัยกุหลาบ Assistant Professor Dr.Itsariyaphon Chaikulap (มหาวิทยาลยั ราชภัฏเลย) (Loei Rajabhat University)
ง
จ บทบรรณาธกิ าร Editorial วารสารรัตนปัญญา มีจุดเริ่มต้นจากช่ือเดิม คือ The original of the editorial JOURNAL OF RATTANA วารสารใบลาน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เดิมที PAÑÑĀ is from Bailan Journal, Ubon Ratchathani ดาเนินการโดยศูนย์ศึกษาภาษาและวรรณกรรมใบลาน Rajabhat University. At first, it was proceeded by สาขาวชิ าภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ ตง้ั แต่ language and “Bailan” literature study center, ฉบับแรก พ.ศ.2559 โดยมีรองศาสตราจารย์นพดล จันทร์ department of Thai language, Faculty of Humanities and เพ็ญ และผู้ช่วยศาสตราจารย์กิติราช พงษ์เฉลียว เป็น Social Sciences since the first paper in 2016 by บรรณาธิการมาตามลาดับ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและ Associate Professor Noppadon Junpen and Assistant สนับสนุนให้มีการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัย Professor Kitirach Pongchaliew respectively. The ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ อันเป็นประโยชน์ในการ purpose is to support and encourage the distribution of สร้างและอนุรักษ์ภูมิปัญญาต่อสังคม กระท่ังในปี 2561 academic works and research papers about humanities สาขาวิชาภาษาไทย ได้มอบโอนหน้าที่รับผิดชอบให้สาขาวิชา and social sciences which are beneficial for the creation ปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ and preservation of social intellect. Until 2018, the ด า เ นิ น ก า ร ตั้ ง แ ต่ ฉ บั บ แ ร ก ข อ ง ปี 2561 โ ด ย มี ร อ ง department of Thai language has transferred the ศาสตราจารย์ ดร.รัตนะ ปัญญาภา เป็นบรรณาธิการ แต่ยัง responsibilities to the department of philosophy and เนน้ หลักการเดิม คือ รบั ตีพิมพบ์ ทความวจิ ยั บทความวิชาการ religion, Faculty of Humanities and Social Sciences, and บทความปริทรรศน์ และบทวิจารณ์หนังสือ ด้านภาษา ศาสนา has been proceeding since the first paper in 2018 by ปรัชญา วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และสหวิทยาการด้าน Associate Professor Doctor Rattana Panyapa as an มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เป็นหลัก และดาเนินการตาม editor. Adhere to original principles, the main aim is มาตรฐานของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) กระทั่ง mainly for publishing research articles, academic ในปี 2563 ศูนย์ดชั นกี ารอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ได้รับรอง articles, conspectus articles, and criticism papers about มาตรฐานวารสารใบลานให้อยใู่ นฐาน 2 สาขาวิชาปรัชญาและ language, religion, philosophy, culture, intellect, and ศาสนาโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ บุษย์ชญานนท์ interdisciplinary about humanities and social sciences, ประธานสาขาวิชา ได้มอบอานาจให้รองศาสตราจารย์ ดร. as well as proceeding based on the standard from Thai รัตนะ ปญั ญาภา ดาเนินการภายใต้หนว่ ยงานเอกชน ช่ือ รัตนะ journal citation index center (TCI). Until 2020, the Thai อคาเดมี จงึ ไดม้ ีการใช้ช่ือใหม่ คือ วารสารรัตนปัญญา สังกัด journal citation index center has certified the standard หนว่ ยงาน สานกั งานรัตนะอคาเดมี (Rattana Academy) โดย of “Bailan” literature to be in tier 2 base. The department จดแจ้ง ISSN 2730-1575 (Print) ใหม่ คือ และ ISSN of philosophy and religion by Assistant Professor Doctor 2730-1710 (online) ใหม่ คือ ตามลาดับ โดยปัจจุบัน จะ Suchat Budjayanon, Head of the department, has ดาเนินการตีพิมพ์เผยแพร่ด้วยระบบวารสารออนไลน์เพียง authorized Associate Professor Doctor Rattana Panyapa อย่างเดียว จึงจะใช้ ISSN 2730-1710 (online) เท่านน้ั ท้ังนี้ to work under the private sector, named “Rattana ตง้ั แต่ฉบับ ปที ่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2563 ดงั กล่าว Academy”. Then, it has been renamed as JOURNAL OF น้ี ,RATTANA PAÑÑĀ under Rattana Academy by re- ในวารสารรัตนปัญญาฉบับนี้ มีบทความหลากหลาย notification with 2730-1575 for the new ISSN (print) ประเด็นจากหลากหลายหน่วยงานส่งมารับการพิจารณา and 2730-1710 for the new ISSN (online) respectively. ตีพิมพ์จานวน 18 บทความ ประกอบด้วยบทความวิจัย 12 At this moment, it is only proceeding with online journal บทความ และ บทความวิชาการ 6 บทความ ตามท่ีปรากฏใน publishing which only ISSN 2730-1710 (online) is used. สารบัญ ซ่ึงแต่ละบทความได้ให้มุมมองและองค์ความรู้ท่ี Therefore, from the paper from the 5th year, the first แตกต่างกันไปตามธรรมชาตขิ องศาสตร์ เป็นบทความคุณภาพ paper from 1st January 2020 – June 2020 onwards, ที่ผ่านการกล่ันกรองจากผู้เขียนและผู้ทรงคุณวุฒิมาเป็นอย่าง in this JOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ, there are various ดี กองบรรณาธิการต้องขอขอบพระคุณผู้นิพนธ์บทความทุก articles from many sectors which have sent 18 articles
ฉ ท่านที่สละเวลาในการนิพนธ์บทความและให้ความไว้วางใจส่ง to be considered for publication. These compose of 12 บทความมาเพ่ือรับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารรัตนปัญญา research articles, and 6 academic articles as appeared และขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านท่ีสละเวลาวิจารณ์ in the table of content. Each article presents different บทความพร้อมให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้ผู้นิพนธ์ปรับแก้ไขบทความ types of aspects and knowledge based on the nature of ใหส้ มบรู ณ์ทส่ี ุด science. All the articles are good qualities that are กองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกบทความจะมี efficiently filtrated by authors and experts. The editorial คุณค่าทางวิชาการแก่ผู้เสพงานวิชาการไม่มากก็น้อย และจะ team would be pleased to say “Thank you” for all พฒั นาวารสารให้มมี าตรฐานมากย่ิงขึน้ เพ่ือก้าวส่ฐู าน 1 ต่อไป authors’ time and effort for compiling papers and your trust for submitting them for publication with JOURNAL รองศาสตราจารย์ ดร.รตั นะ ปญั ญาภา OF RATTANA PAÑÑĀ and thank you for all experts who บรรณาธกิ ารวารสารรตั นปญั ญา devote their time for providing critical comments on those articles, along with some recommendations (if any) for the authors to develop their articles with their fullest potential. The editorial team strongly hopes that all articles will contain the academic value for every academic user, either more or less, and to develop journal to be at a higher standard to reach tier 1 base soon. Assoc. Prof. Dr.Rattana Panyapa Editor of JOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ
ช สารบญั Contents หนา้ /pages บทความวจิ ยั / Research Article การพฒั นาแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1 Development of English Learning Activity ภาษาอังกฤษ ด้านทกั ษะการอ่านออกเสยี งสัทอักษร Plan on International Phonetic Alphabet ระดับอดุ มศกึ ษาปที ี่ 1 สาขาภาษาอังกฤษ Reading Skill for the First Year ทววี ฒั น์ คนั ทา Undergraduate Students Major in English Taweewat Kanta การพัฒนาชดุ กิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา 12 The Development of Activity Package for Social Studies, Religion and Culture Subject on และวัฒนธรรมเร่ือง พุทธประวัติ โดยใช้แนวคิดการ Buddhism History By Using Problem-Based จดั การเรียนรแู้ บบใชป้ ัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3 Learning Management of Prathom Suksa 3 Level วิรัตน์ สรุ ิเย Wirat Suriye สาวิตรี เถาวโ์ ท Savitree Thaotho กองทุนสวสั ดิการชุมชนกับการจัดการตนเองของ 25 The fund of community welfare and Self-management of community: A case study of ชมุ ชน กรณีศึกษากองบญุ สัจจะสวัสดิการไทบ้าน Kongboonsusjasawathdikantiban Fund in Tambon ตาบลเปือย อาเภอลอื อานาจ จังหวัดอานาจเจรญิ Pueai, Amphoe Lue Amnat, Amnatcharoen สชุ าดา แมน้ พยคั ฆ์ Suchada Manpayak อนันต์ แม้นพยัคฆ์ Anan Manpayak ละครร้องแม่ชม้อย คังฆะรัตน์ เร่ืองสามก๊ก 35 The Lakhon Rong (Singing Dance-Drama) in the Sam Kok Epic by Mae Chamoi Kangkarat's Troupe อทิตยา ศรปี ระเสริฐ Atittaya Sriprasert สุรัตน์ จงดา Surat Jongda Chulachart Aranyanak จลุ ชาติ อรัณยะนาค การรบั รขู้ องนักทอ่ งเทยี่ วท่ีมีตอ่ สอื่ โฆษณาดิจทิ ัล 51 The Perception of Tourists towards Digital Advertising Promoting KUI Cultural Tourism in ส่งเสรมิ การทอ่ งเท่ียวเชงิ วฒั นธรรมชาวกยู Sisaket Province จังหวัดศรีสะเกษ Kittipong Prachachit กจิ ติพงษ์ ประชาชิต การศึกษาความหมายของคามงคลและวฒั นธรรมจนี 67 A Study of Auspicious Word Meanings ทป่ี รากฏในเทศกาลตรษุ จนี Used in Chinese New Year Festival อาจารยี ์ ศรหี ลา้ Achari Srila เนตรนา้ ทพิ ย์ บดุ ดาวงศ์ Nednamthip Buddawong การศึกษาวฒั นธรรมความเปน็ ไทย 77 The Study Thainess culture ในภาพยนตรต์ ะวันตก within Western movies นวพล กรรณมณเี ลศิ Nawaphon Kunmaneelert
ซ สารบัญ Contents หน้า/pages คุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาเรื่องต่อกลอน 97 The Characteristics of The Male Protagonist of “Mor lam Raung Toh Klon” in Khon Kaen ทานองขอนแก่น Style สันติ ยศสมบตั ิ Sunti Yotsombut สรุ ตั น์ จงดา Surat Jongda จนิ ตนา สายทองคา Jintana Saitongkum การแสดงในขบวนแหเ่ ทียนพรรษา 107 Performance in Buddhist Lent Procession of จงั หวัดอบุ ลราชธานี Ubon Ratchathani Province ธญั ลักษณ์ จันทบั Tunyaluck Juntub สวภา เวชสรุ กั ษ์ Savaparr Vechsurak ลกั ษณะการเชื่อมโยงความในอนทุ ินเรไรรายวัน : 133 The Cohesion of Anuthinrerairaiwan: the ความสร้างสรรค์ในความเรยี งของเดก็ ปฐมวัย Creativity in the Essays of the Preschool บุญเลิศ ววิ รรณ์ Children สายรัก จนั ทรเ์ พญ็ อาภานชุ กล่ินบรรยงค์ Boonlert Wiwan Sairak Janphen Aphanut Klinbanyong การแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา 149 Performance in Higher Education Art and Culture Festival อรอทุ ยั นลิ นาม มาลินี อาชายุทธการ On-Uthai Ninlanam Malinee Achayutthakan การสอื่ สารความหมายผ่านพิธีกรรม “ราผีฟ้า” 177 The Communication of Meaning through อุมาพร ประชาชติ “Ram Phi Fha Ritual” Umaporn Prachachit บทความวชิ าการ / Academic Article การสอ่ื ความหมายจากเร่ืองเล่าของต้นไมส้ าคัญใน 191 Famous Tree in Narrative with Communication in Community in Sisaket Province ชมุ ชนพ้นื ที่จังหวดั ศรีสะเกษ ชานนท์ ไชยทองดี Chanont Chaithongdee ฟ้อนละครภูไทของชาวบ้านหนองหา้ ง อาเภอกฉุ ิ 209 Phu Tai Dance of Ban Nong Hang, Kuchinarai District, Kalasin Province นารายณ์ จังหวดั กาฬสินธ์ุ ธญั ญะ สายหมี Thanya Saimee พระพุทธชนิ ราช : สญั ลักษณส์ ่ือความหมายทาง 221 Buddhachinaraj : The Conveying Symbol of สังคมและวฒั นธรรม Social and Cultural Meaning พระปลัดเมธี เขมปญโฺ ญ (สอนวดี) PhrapaladMathee Khemapanyo (Sornwadee) หลักการบรรจุเพลงในงาน 231 The Principle of Songs Selection in the ประเพณีเทศนม์ หาชาติ Mahachat Sermon Tradition วชั ระ แตงเทศ Watchara Tangted
ฌ สารบญั Contents หน้า/pages การสอนภาษาอังกฤษโดยใชเ้ น้ือหาเปน็ สื่อในการ 249 Content-Based Instructions and Effects in จดั การเรียนการสอนนักศึกษาครุศาสตร์ Teacher Training Classroom ลาไย สงิ หส์ ุข Lamyai Singsook บทเพลงพ้นื ฐานสาหรับผู้ฝึกหดั ปใ่ี น 259 Fundamental Compositions for Pi-Nai learner สรุ เชษฐ์ พรมรักษ์ Surachet Promrak หลักเกณฑแ์ ละคาแนะนาสาหรบั ผ้นู ิพนธ์ 271 หลักเกณฑ์และคาแนะนาสาหรบั ผูน้ ิพนธ์ จริยธรรมการตีพมิ พว์ ารสารรตั นปญั ญา 277 Publication Ethics, JOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ แบบฟอร์มส่งบทความเพือ่ พิจารณาตีพมิ พ์ 279 แบบฟอร์มสง่ บทความเพ่อื พจิ ารณาตีพิมพ์
ญ
บทความวจิ ยั / Research Article วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 1 การพฒั นาแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรูภ้ าษาอังกฤษ ดา้ นทกั ษะการอา่ น ออกเสยี งสทั อกั ษร ระดบั อดุ มศกึ ษาปที ี่ 1 สาขาภาษาอังกฤษ Development of English Learning Activity Plan on International Phonetic Alphabet Reading Skill for the First Year Undergraduate Students Major in English ทวีวัฒน์ คนั ทา I Taweewat Kanta อาจารยป์ ระจาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑติ สาขาวชิ าภาษาองั กฤษ คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏศรสี ะเกษ The Lecturer of Bachelor of Education in English, Faculty of Education, Sisaket Rajabhat University Corresponding author, email: taweewat2002@yahoo.com (Received: 26 February 2020, Revised: 6 April 2020, Accepted: 14 April 2020) บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ ด้านทักษะการอ่านออกเสียงสัทอักษรสากล ระดับอุดมศึกษาปีท่ี 1 สาขาวิชา ภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ โดยศึกษาเปรียบเทียบกับนักศึกษา จานวน 80 คน กลุ่มประชากรท่ีใช้ในการวิจัยเป็นนักศึกษาระดับอุดมศึกษาปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จานวน 80 คน เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัย เป็นแบบทดสอบภาษาองั กฤษ ซ่ึงมี 4 ทักษะ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยนาไปทดสอบกับนกั ศึกษาช้ันปีท่ี 1 คณะครุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ศรีสะเกษ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู วิเคราะห์ข้อมูลดว้ ย เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ตาม โปรแกรมสาเร็จรูปทางสงั คมศาสตร์ (SPSS: Statistics Program for Social Science) เพ่ือหาค่าร้อย ละ ค่าเฉล่ีย (Means) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าสถิติ T-Test วิเคราะห์ความ แปรปรวน (ANOVA: Analysis of Variance) และการทดสอบรายคู่โดยวิธีการของ Scheffe’s Methodology ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธ์ิในการเรียนของนักศึกษาสาขาภาษาอังกฤษแตกต่าง กัน โดยที่นักศึกษา ได้ผลสัมฤทธิ์ในการฟัง การพูด เขียน สูงสุด คิดเป็นร้อยละ 79.52, 77.02 และ 76.53 ตามลาดับ แต่ในทักษะการอ่าน นักศึกษาสาขาภาษาอังกฤษได้ผลสัมฤทธ์ิสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 83.33 และ 2) ผลสัมฤทธ์ิในการเรียนของนกั ศกึ ษาเพศหญงิ และเพศชายไม่แตกต่างกันท่ีระดบั ความมี นยั สาคัญ 0.05 คำสำคญั : สทั อักษรสากล; คาศัพท์ภาษาอังกฤษ; ประโยคภาษาองั กฤษ
2 ปที ี่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ABSTRACT The purpose of this study was to compare the abilities in listening, speaking, reading and writing English of the undergraduate the first year year students of English program in Faculty of Education, Sisaket Rajabhat University. The population of this study consisted of 80 first year undergraduate students in Faculty of Education, Sisaket Rajabhat University. Four achievement tests- a listening test, a speaking test, a reading test and a writing test- were conducted by the researcher to measure the abilities in these four skills. The tests were administered to undergraduate first year students in Faculty of Education, Sisaket Rajabhat University, Sisaket Rajabhat University students. The data were computed by the Statistical Package for Social Sciences (SPSS) using percentage, Means, Standard Deviation, T-Test, One-Way Analysis of Variance (One-Way ANOVA) and Scheffe Procedure. The results of this study revealed that 1) The students’ achievement in English programs was significantly different. Students in first year English program, Faculty of Education, Sisaket Rajabhat University had the highest achievement in Listening, Speaking and Writing of about 79.52, 77.02 and 76.53 respectively in percentage and in reading skill, students in English program first year had the highest achievement. 2) There was no significant relationship existing between sexes of students at the 0.05 level. Keywords: International Phonetics Alphabet (IPA); English Vocabulary; Sentence of English Language บทนำ ในการเรยี นภาษาอังกฤษนั้นผเู้ รียนจะประสบผลสาเรจ็ ไดก้ ค็ วรจะต้องเรยี นเนน้ หนักในทักษะท้ัง 4 คือ ทักษะการฟัง การพูด การอ่านและ การเขียน เมื่อเริ่มเรียนภาษานั้นผู้เรียนทุกคนควรเร่ิมจาก ทักษะแรกคือ ทกั ษะการฟงั และต่อไปกเ็ ป็นการพูด การอา่ นและการเขียนเรยี งกันตามลาดับ ฮัลลิเดย์ (M.A.K. Halliday, 1978: 217) ไดใ้ ห้ความหมายการอา่ นออกเสียงสัทอักษรสากล (IPA: International Phonetics Alphabet) ว่าเป็นการฟังคาพูดหรือฟังเสียงซ่ึงมิใช่มุ่งเฉพาะความหมายอย่างเดียว การท่ี ผฟู้ ังฟงั คาพดู หรือเสยี งและเข้าใจความหมายในส่ิงทีผ่ ู้พูดพูด ทาใหเ้ ปน็ ผฟู้ ังทีด่ ี คอื เขา้ ใจว่าผ้พู ดู พดู อะไร และพดู เก่ยี วกับอะไร จุดประสงค์หลักในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษคือการส่ือสาร ซ่ึงมีความสาคัญต่อผู้เรียนทุกคน ผเู้ รียนต้องการบรรลุวัตถปุ ระสงค์การเรียนดว้ ยการสอื่ สารผา่ นการเขยี นและการพูด โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง การพดู เป็นส่วนสาคัญสาหรบั ผู้เรียนภาษาองั กฤษในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การส่ือสารทางภาษา ต้องมีวัฒนธรรมมีความเข้าใจแหล่งเรียนรู้ภาษาของตนเองเป็นอย่างดีแล้วนาไปสู่การถ่ายทอดไปยัง ผู้อื่นด้วย (สิริภัทร เช้ือกุล, 2556) ในการพูด เสียงและอวัยวะท่ีใช้ในการออกเสียง ระบบคา วลี และ ประโยค ระบบเสียงในภาษาอังกฤษ ในวิชาภาษาศาสตร์มีวชิ าท่ีศึกษาเก่ียวกับเสียงในลกั ษณะดงั กล่าว รวมถึงการศึกษาเร่ืองเก่ียวกับระเบียบวิธีเรียบเรียงเสียงอย่างเป็นระบบ (Patterns) หรือเป็นระบบ (System) ของเสียงในภาษา เรยี กวา่ วชิ าสรวิทยา (Phonology) (นภพร สงิ ห์พนั ธ์: 2542)
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 3 ระบบเสียงตามหลักภาษาศาสตร์ในภาษาอังกฤษเป็นไปตามหลักการออกเสียง สัทอักษรสากล (IPA: International Phonetics Alphabets) นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น เทคนิคการออกเสียง การออกเสียงสระพยัญชนะ การเน้นเสยี ง ระดับเสียงสูงต่า รวมทั้งองค์ประกอบอ่ืน ๆ ที่ช่วยให้สนทนา ได้อย่างคล่องแคล่วและต่อเนื่อง จะทาให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Gerald Kelleyh, 2001) อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ (2547) กล่าวว่า ว่าด้วยวิธีการท่ีนักภาษาศาสตร์ใช้กันท่ัวไปก็ คือ การออกสัมภาษณ์เจ้าของภาษาหรือการเผชิญหน้ากับเจ้าของภาษาโดยการให้เจ้าของภาษาออก เสียงคาท่ีต้องการให้ฟังและจดเอาไว้ด้วยสัทอักษร อย่างไรก็ตาม ผู้เรียนในห้องเรียนจาเป็นต้องมี ความรู้ตามหลัก สัทอักษรสากล (IPA: International Phonetics Alphabets) ซ่ึงเป็นความรู้พ้ืนฐาน ในการเรียนรู้การออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง แต่จากประสบการของผู้ทาวิจัยพบว่า หลักของ ภาษาศาสตรเ์ ป็นส่งิ ยากสาหรับนกั ศึกษาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผูท้ ี่เรยี นสายครุศาสตร์ ซึง่ ตอ้ งมคี วามรู้ ความเข้าใจในการออกเสียงตามหลัก สัทอักษรสากล และนาไปต่อยอดในการสอนในอนาคต (Derwing & Munro, 2005) ผู้วิจยั จึงเห็นว่าควรมกี ารพัฒนากจิ กรรมการสอนเพอื่ พฒั นาความรู้ความเขา้ ใจสัทอกั ษรสากลให้ นกั ศึกษาตัง้ แต่เร่มิ แรกของการเรยี นระดับมหาวิทยาลัย ของนักศกึ ษาปที ี่ 1 ของมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏศรี สะเกษ เพ่ือฝึกทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษและรู้หลักการออกเสียงภาษาให้ถูกต้องในการส่ือสาร เพ่ือให้มีความรู้ทักษะ ภาษาด้านการออกเสียง การสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษในชีวิตประจาวัน และ เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้แก้ไขการออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้องสามารถนามาสื่อสารกันแลกเปลี่ยน เรียนรู้ภาษาอังกฤษซ่ึงกันและกัน โดยธรรมชาติด้วยวธิ ีการต่าง ๆ ซ่ึงนาไปสกู่ ารใช้ภาษาอังกฤษสื่อสาร ทม่ี ีประสทิ ธิภาพ ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิในการเรียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนท่ีเรียน โปรแกรมต่างกันและเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิระหว่างนักเรียนชายและนักเรียนหญิงอีกด้วย เพื่อจะได้ เป็นแนวทางในการปรับปรุงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของนักเรียนให้สัมฤทธ์ิผลย่ิงขึ้นไป โดยมี คาถามการวิจยั ดังน้ี 1.นกั ศกึ ษาท่ีเรียนโปรแกรมภาษาองั กฤษจะมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาอังกฤษใน ทักษะ การอา่ นออกเสียงสทั อักษรสากลแตกต่างกนั หรือไม่ 2.นักศึกษาชายหญงิ จะมผี ลสัมฤทธ์ิในการเรียนภาษาองั กฤษ ในทกั ษะการอ่านออกเสยี งสทั อกั ษรสากลแตกตา่ งกนั หรอื ไม่ วธิ ีดำเนนิ กำรวจิ ยั การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงปริมาณเนน้ การมีส่วนร่วมของนักศึกษาออกเสยี งตามแบบสัท อักษร โดยมีการทดสอบเพื่อหาผลสัมฤทธิใ์ นการเรียนภาษาอังกฤษใน 4 ทักษะ คือ ทักษะการฟัง การ พดู การอา่ น และการเขยี น ทักษะการอา่ นสัทอักษรสากล (IPA: International Phonetics Alphabet) ของนักศึกษาสาขาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ชั้นปีท่ี 1 ปีการศึกษา 2558 เพอื่ เป็นแนวทางในการปรบั ปรุงการเรียนการสอนภาษาองั กฤษให้มปี ระสทิ ธิภาพสงู ขึ้น
4 ปที ี่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ระเบียบวธิ ีวิจยั (Research Methodology) มรี ายละเอยี ดในการดาเนินงานวิจยั ดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาวิจัย (Research Sample) กลุ่มประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาวจิ ยั ครั้งน้ี เป็นนักศึกษาช้นั ปที ี่ 1 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั ศรสี ะเกษ ใน ปกี ารศึกษาที่ 1/2558 ของ มหาวิทยาลยั ราชภัฏศรสี ะเกษ รวมท้งั ส้นิ 80 คน มาจาก 6 สาขาวชิ า ไดแ้ ก่ ภาษาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษธุรกิจ การสอนภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศ และสาขา ท่ัวไป 2. เครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เคร่ืองมือวิจัยเชิงปริมาณที่ใช้ในการเก็บข้อมูลได้แก่ 1) แบบสอบถาม (Questionnaire) 2) แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) 3) แบบประเมินความสามารถด้านการฟัง และการพูด (English Listening and Speaking Assessment) 2.1 แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสอบถามมี 2 ชุดคือ ชุดที่ 1 เป็นแบบสอบถามสาหรับนักเรียนภาษาอังกฤษ จานวน 80 คนและชุดท่ี 2 เป็นแบบสอบถามการออกเสียงตามหลัก IPA จานวน 80 คน ซ่ึง แบบสอบถามทั้ง 2 ชุดในส่วนที่ 2-6 ใช้คาถามเหมือนกันเฉพาะในส่วนท่ี 1 ท่ีเก่ียวกับข้อมูลท่ัวไปของ ผ้ตู อบแบบสอบถามเท่านน้ั แบบสอบถามทัง้ 2 ชุดประกอบด้วย 6 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 ข้อมลู ทั่วไปเกยี่ วกบั ผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนที่ 2 ความคดิ เห็นเกย่ี วกับความตอ้ งการใชภ้ าษาอังกฤษของนักเรยี นภาษาอังกฤษ สว่ นที่ 3 ความคิดเห็นเก่ียวกับเนื้อหาเพื่อการฝึกทักษะภาษาอังกฤษสาหรับนักเรียน ภาษาอังกฤษ สว่ นท่ี 4 ความคิดเหน็ เกย่ี วกบั การออกเสยี งภาษาองั กฤษท่มี คี วามเหมาะสมสาหรบั นักเรยี น สว่ นท่ี 5 ความคิดเห็นเกยี่ วกับความตอ้ งการหวั ข้อเพ่อื ฝกึ ภาษาองั กฤษสาหรบั เรียน สว่ นที่ 6 ความคดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะทว่ั ไป 2.2 แบบสนทนากลมุ่ (Focus Group Discussion) แบบสนทนากลมุ่ ประกอบด้วย 3 ส่วนคอื ส่วนที่ 1 ขอ้ มลู ทว่ั ไปของผรู้ ว่ มสนทนา ส่วนท่ี 2 ความคิดเหน็ ของการออกเสียงภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอื่ สาร ส่วนท่ี 3 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเก่ียวกับการพัฒนา การออกเสียง ภาษาอังกฤษและการส่อื สารภาษาองั กฤษ 2.3 แบบประเมินความสามารถดา้ นการฟังและการพดู แบบประเมินนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนสาหรับวัด 2 ทักษะคือ ทักษะการฟัง และ ทักษะการพูด โดยท้ัง 2 ทักษะมีเกณฑ์การประเมิน 4 ระดับคือ ดีมาก ดี พอใช้ และ ปรับปรุง ความสามารถดา้ นทักษะการพดู ทาการประเมินใน 5 ดา้ นคือ ความคล่องแคลว่ การออกเสียง ไวยากรณ์
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 5 คาศัพท์ และ ปฎิสมั พันธท์ างภาษา ส่วนความสามารถดา้ นทกั ษะการฟังทาการประเมนิ ใน 4 ด้านคอื คอื ความเข้าใจการตีความการโต้ตอบและการสื่อสาร 3. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล (Data Collection) ผวู้ จิ ยั ได้ทาการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ตามขัน้ ตอนต่อไปนี้ 3.1 ผวู้ ิจัยไดด้ าเนนิ การทดสอบกบั นักศกึ ษาชนั้ ปีที่ 1 ทเ่ี รียนสาขาภาษาอังกฤษ จานวน 80 คน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ปีการศึกษาท่ี 1/2558 และผู้วิจัยเป็นผู้ทาการ ทดสอบด้วยตนเอง โดยแยกการทดสอบเป็น 2 อาทิตย์ อาทิตย์ละ 1 คร้ัง สาหรับนักศึกษาแต่ละสาขา คร้ังแรกจะเป็นการทดสอบผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการฟังและการพูด อีกอาทิตย์ต่อไปเป็นการทดสอบ ผลสมั ฤทธิ์ด้านทักษะการเขยี นและการอา่ น สาเหตทุ ต่ี อ้ งแบ่งการทดสอบเปน็ 2 ครัง้ เพราะถา้ สอบครง้ั เดียวท้ัง 4 ทักษะ จะกินเวลานานซึ่งทาให้นักศึกษาเกิดความเหน่ือยล้าและเบื่อหน่ายท่ีจะทา แบบทดสอบ 3.2 เมื่อทาการวัดผลสมั ฤทธิ์ในทักษะด้านการฟังและการพดู ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลของ 2 ทักษะนี้ในห้องปฏิบัติการทางภาษาอังกฤษ (Language Laboratory) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะ เกษ คณะครุศาสตร์ ก่อนที่นักศึกษาจะเร่ิมลงมือทาข้อสอบ ผู้วิจัยได้อธิบายวัตถุประสงค์ของการ ทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการฟัง หลังจากน้ันผู้วิจัยได้เปิดเครื่องบันทกึ เสียงข้อสอบการฟังให้นักศึกษาฟงั เพ่ือทาการทดสอบ โดยใช้เวลา 40 นาที สาหรับแบบทดสอบการฟัง อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ชาว อเมริกัน ประจาแผนกภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เป็นผู้อ่านให้ ส่วน ในด้านการทดสอบผลสมั ฤทธ์ทิ างการพดู ผูว้ ิจัยไดใ้ หน้ ักเรียนทุกคนบนั ทกึ เสียงของตนเองลงในมว้ นเทป โดยให้เวลาทาข้อสอบประมาณ 30 นาที 3.3 ในการทาแบบทดสอบหาผลสัมฤทธิ์ทางการอา่ นและการเขียน ผ้วู ิจยั ใหน้ กั เรียนทา ลงในกระดาษคาตอบท่ีแจกให้ หลังจากเก็บรวบรวมข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยได้นากระดาษคาตอบ ของการทดสอบหาผลสัมฤทธิ์ของการเรียนในทักษะการฟัง การอา่ นและ การเขยี น พรอ้ มทั้งม้วนเทปที่ นักเรยี นทาแบบทดสอบในทกั ษะการพูดมาตรวจใหค้ ะแนนต่อไป 4. การวเิ คราะหข์ ้อมูล (Data Manipulation & Analysis) 4.1 นาคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 4 ทักษะ คือ ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และทักษะการเขียนของนักศึกษาทั้ง สาขาภาษาอังกฤษ มาวิเคราะห์หาความแปรปรวนเพ่ือดูความ แตกตา่ งของคา่ เฉลยี่ และทดสอบความมนี ัยสาคญั ของผลสัมฤทธิท์ างการเรียน 4.2 นามาหาคา่ สถติ ิดงั น้ี 4.2.1 หาคา่ เฉลยี่ (Mean) และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) 4.2.2 ทดสอบความแตกต่างระหว่างคา่ เฉลยี่ รวมของคะแนนนกั เรยี นเพศชายและ เพศหญิงด้วยการใช้ T-Test
6 ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ผลกำรวิจยั การศึกษาวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาอังกฤษด้านการออกเสียงสัทอักษร สากล (IPA: International Phonetics Alphabet) ด้านการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ภาษาอังกฤษของนักศึกษาช้ันปีท่ี 1 เอกสาขาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรสี ะ เกษ จานวน 80 คน เป็นนกั ศึกษาชาย 10 คน ประมาณร้อยละ 12.5 และเปน็ นกั ศกึ ษาหญิงจานวน 70 คน ร้อยละ 87.5 ท่ีเรียนโปรแกรมต่างกัน ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ปี การศึกษาที่ 1/2558 จากการศึกษาผู้วิจัยได้ทาการรายงานผลตามคาถามการวจิ ัยดงั นี้ 1. นักศึกษาที่เรียนโปรแกรมภาษาอังกฤษจะมีผลสัมฤทธใ์ิ นการเรยี นภาษาอังกฤษใน ทักษะการ อ่านออกเสียงสทั อักษรสากล (IPA: International Phonetics Alphabet) แตกต่างกัน หรือไม่ ตำรำงท่ี 1 : ค่าเฉลี่ย และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนนผลสมั ฤทธ์จิ ากแบบทดสอบการฟงั ของ นักศกึ ษาโปรแกรม 1-6 โปรแกรม N (80) ค่าคะแนนเฉล่ีย สว่ นเบยี่ งเบน Mean มาตรฐาน S.D. โปรแกรม 1ภาษาศาสตร์ 17 31.81 2.31 โปรแกรม 2 อังกฤษ 21 30.09 2.09 โปรแกรม 3 องั กฤษธุรกจิ 11 31.00 2.90 โปรแกรม 4 การสอนภาษาองั กฤษ 16 31.20 2.52 โปรแกรม 5 ภาษาตา่ งประเทศ 10 25.27 2.96 โปรแกรม 6 หอ้ งทว่ั ไป 5 27.08 4.64 รวม 80 29.31 4.14 จากตารางท่ี 1 แสดงว่านักศึกษาทั้ง 6 โปรแกรมมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาอังกฤษด้าน ทักษะการฟงั ต่างกนั กลมุ่ ตัวอย่างประชากรท้งั หมดได้คะแนนเฉล่ยี 29.31 และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 4.14 โดยท่ีโปรแกรมท่ี 1 ได้คะแนนสูงสุด รองลงมาคือ โปรแกรมท่ี 4 ส่วนโปรแกรมท่ีได้คะแนนน้อย ท่ีสุดคือ โปรแกรมท่ี 5 ในเรื่องการกระจายน้นั โปรแกรมท่ี 6 มีค่าการกระจายของคะแนนสูงท่ีสุด ส่วน โปรแกรมอน่ื ๆ มคี ่าการกระจายใกล้เคียงกนั
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 7 ตำรำงที่ 2 : เปรียบเทียบคะแนนของโปรแกรม 1-6 ตามทกั ษะทงั้ 4 แสดงด้วยค่าร้อยละของคะแนน เต็ม โปรแกรม ฟงั ทกั ษะ เขียน (40) พูด อา่ น (45) โปรแกรม 1 79.52 (40) (30) 76.53 โปรแกรม 2 70.01 77.02 78.53 79.99 โปรแกรม 3 77.50 74.04 75.51 72.71 โปรแกรม 4 78.00 75.12 74.76 70.44 โปรแกรม 5 63.17 67.25 83.33 40.80 โปรแกรม 6 67.70 56.35 43.03 47.35 73.27 65.70 44.80 61.75 รวม 69.82 63.33 จากตารางท่ี 2 แสดงว่านักศึกษาทกุ โปรแกรมได้คะแนนสูงสุดในทักษะการฟัง ตามด้วยการพูด การอา่ น และการเขียน เมือ่ พจิ ารณาเป็นรายโปรแกรมพบว่า โปรแกรมที่ 1 ไดค้ ะแนนสงู สดุ ในเรื่องการ ฟัง ตามด้วยการอ่าน การพูด และการเขียน โปรแกรมท่ี 3 ได้คะแนนสงู ในเร่อื งการฟงั ตามด้วยการพดู การอ่าน และการเขียน โปรแกรมที่ 4 ได้คะแนนสงู ในเร่ืองการอ่านตามด้วยการฟัง การเขียน และการ พูด โปรแกรมที่ 5 ไดค้ ะแนนสงู สดุ ในเรอื่ งการฟงั ตามด้วยการพดู การอ่าน และการเขยี น โปรแกรมท่ี 6 ได้คะแนนสงู ในเร่อื งการฟังตามด้วยการพดู การเขยี น และการอ่าน 2. นักศึกษาชายหญิงจะมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ ในทักษะการอ่านออกเสียงสัท อักษรสากล (IPA: International Phonetics Alphabet) แตกตา่ งกันหรอื ไม่ ผู้วิจัยได้นาคะแนนเฉลี่ยรวมของคะแนนนักศึกษาชายและนักศึกษาหญิงท่ีได้จากการทา แบบทดสอบฉบับท่ี 1 และ ฉบับท่ี 2 ฉบับที่ 3 ฉบบั ที่ 4 มาทดสอบความมนี ยั สาคญั โดยการหาคา่ t ดัง รายละเอยี ดท่ีแสดงไวใ้ นตารางท่ี 3
8 ปที ่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) เพศ นกั ศกึ ษาหญิง 70 นักศึกษาชาย 10 T การฟัง คะแนนเฉล่ยี X 29.69 28.81 -1.12 3.76 4.58 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน S.D. 28.44 27.26 -1.55 การพูด คะแนนเฉลยี่ X 3.98 3.99 19.22 18.77 -1.55 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. 5.94 6.79 การอา่ น คะแนนเฉล่ีย X 28.33 27.10 -0.82 8.06 8.19 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. การเขียน คะแนนเฉลี่ย X ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน S.D. ตารางที่ 3 แสดงว่าคะแนนเฉลยี่ ของผลสัมฤทธ์ิทง้ั 4 ด้านได้แก่ ดา้ นการฟัง การพูด การอา่ น และการ เขียน ระหว่างนกั ศึกษาชายและนักศึกษาหญงิ ไม่แตกตา่ งกันที่ระดับความมนี ยั สาคญั 0.05 อภปิ รำยผลกำรวจิ ัย การอภปิ รายผลการวจิ ยั เรือ่ ง การพัฒนาแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรภู้ าษาองั กฤษ ด้านทกั ษะ การอ่านออกเสียงสัทอักษรสากล (International Phonetics Alphabets: IPA) ระดับอุดมศึกษาชั้นปี ที่ 1 คณะครุศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษท่ี เรียนโปรแกรมแตกต่างกัน ผู้วิจัยจะอภิปรายผลเป็นตอนๆ ดังต่อไปนี้ 1. จากการวิจัยปรากฏว่า นักศึกษาในโปรแกรมที่ 1-6 มีผลการเรียนแตกต่างกันคือ นักศึกษา โปรแกรมท่ี 1 (ซ่ึงเรียนเน้นหนักทางด้านภาษา) จะมีผลสัมฤทธ์ิในการเรียนภาษาอังกฤษ ด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนสูงกว่านักศึกษาในโปรแกรมอ่ืน ๆ ทั้งน้ีอาจเนื่องมาจากเน้ือเรื่องเป็น ข้อความท่ีนักเรียนอาจนาเอาประสบการณ์ ที่ได้จากการเรียนหรือ การอ่านตาราในสาขาของตนมา ประยุกต์กับเนื้อเรื่องท่ีอ่าน นักเรียนจึงสามารถทาแบบทดสอบการอ่านได้ และเกิดความเข้าใจในการ อ่านได้มากกว่านักเรียนในโปรแกรมอ่ืน ๆ ฮาฟเฟอร์และจอยล่ี (Hafner and Jolly, 1972) ได้อ้างถึง โครงสร้างการอ่านของ Gray ในระดับการนาความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ (Applying Meaning) กล่าวคือ เม่ือผู้อ่านได้นาประสบการณ์เดิมผสมกับความรู้ท่ีอ่านใหม่ ผู้อ่านจึงสามารถตีความและมี ปฏิกริ ิยาต่อสงิ่ ทีอ่ า่ นได้ ส่วนนักศึกษาโปรแกรมที่ 5 (ซ่งึ เรยี นเน้นหนักทางด้านพาณิชยกรรม) จะมผี ลสัมฤทธิใ์ นการเรียน ภาษาอังกฤษด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี นต่าสดุ ซ่ึงสอดคล้องกับงานวจิ ยั ของอาไพพรรณ สรรพช่าง (2517) ท่ีพบว่า สัมฤทธ์ิผลในการเขียนโครงสร้างไวยากรณ์อังกฤษ (ทักษะการเขียน) ของ นักศึกษานักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 สายอาชีพ แผนกพาณิชยกรรมในโรงเรียนราษฎร์อยู่ในระดับต่า
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 9 กว่านักเรียนสายอ่ืน ๆ ผลการวิจัยดังกล่าวเป็นไปตามสมมุติฐานข้อท่ี 1 ที่ว่านักเรียนที่เรียนแตกต่าง โปรแกรมกัน ย่อมมีผลสมั ฤทธิ์ในการเรยี นภาษาองั กฤษใน 4 ทักษะตา่ งกัน จากการวิจัยปรากฏว่า ผลสัมฤทธิด์ ้านการฟังของนกั ศึกษาทุกโปรแกรมจะสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ด้าน การพูด การอ่านและ การเขียน ซ่ึงสอดคลอ้ งกับงานวิจัยของ ดาวรัตน์ ว่องวิทย์การ (2515) ที่พบว่า นิ สิติช้นั ปที ี่ 3 วทิ ยาลัยวิชาการศึกษาประสานมติ รและปทุมวนั กม็ ผี ลสัมฤทธ์ดิ ้านการฟงั สงู กวา่ ดา้ นอืน่ ๆ 2.จากการวิจัย ปรากฏว่านักศึกษาหญิงและนักศึกษาชายมีผลสัมฤทธใิ์ นการเรียนภาษาอังกฤษ ท้ัง 4 ทักษะ คือการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมุตฐิ านข้อท่ี 2 ทว่ี า่ นกั ศึกษาต่างเพศกันจะมีผลสมั ฤทธ์ใิ นการเรยี นแตกตา่ งกัน แต่สอดคลอ้ งกับงานวจิ ยั ของคารเ์ วย์ (Calway, 1963) ที่พบว่า นักศึกษาชายและนักศึกษาหญิงจะมีความสามารถในการฟังไม่แตกต่างกัน และไวเซนคราฟ (Wozencraft, 1963) ก็พบว่าความแตกต่างระหว่างเพศไม่มนี ัยสาคัญสาหรับกลมุ่ ท่ีมี ความสามารถสงู และตา่ องคค์ วำมร้ใู หม่ ผลของการวิจัยคร้ังนี้ทาให้ทราบถึงทัศนคติของผู้เรียนตอ่ การออกเสียงภาษาอังกฤษ และความ แม่นยาในการออกเสียงภาษาอังกฤษ ซ่ึงนักศึกษาหลากหลายภาควิชามีข้อจากัดและแนวคิดต่างกนั อัน ส่งผลต่อความมนั่ ใจในการออกเสียง การสะกดคาในการออกเสยี งคาศัพท์ภาษาอังกฤษ ความกลวั ท่จี ะ ออกเสียงผิด การขาดประสบการณ์ต่อคาศัพท์ใหม่ท่ีไม่เคยเจอมาก่อน ตลอดจนการได้รับอิทธิพลจาก ภาษาถ่ิน ซึ่งมีความน่าสนใจเป็นอย่างย่ิงตอ่ การศึกษาในแง่มุมอ่ืนๆท่ีเก่ียวข้องสมั พันธก์ ับการออกเสียง ภาษาอังกฤษในเชิงพฤติกรรมเพื่อเป็นเป็นแนวทางในการวางแผนเพื่อ จัดการเรียนการสอนที่มี ประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้การศึกษาในการออกเสียงภาษาอังกฤษครั้งน้ี ทาให้เห็นความเป็นไปได้ ในการนาไปใช้เพื่อการสื่อสารในแต่ละบริบทโดยควรเน้นการออกเสียงภาษาอังกฤษแบบท่ีส่ือสารได้ (intelligible English pronunciation) มากกว่า การออกเสียงภาษาอังกฤษที่เหมือนกับเจ้าของภาษา มากท่ีสุด (native-like pronunciation) ขอ้ เสนอแนะกำรวิจยั 1. จากผลการวิจัยครั้งน้ี ปรากฏว่านักศึกษาทุกโปรแกรมมีปญั หาในการเรียนภาษาอังกฤษ กล่าวคอื - ด้านการฟัง นักศึกษาขาดทักษะด้านน้ีในระดับประโยคและเร่ือง นักศึกษาจะจาแนก เสียงไดด้ ีกว่าเมื่อเสยี งนนั้ ปรากฏเปน็ คา ๆ - ดา้ นการพดู นกั ศึกษาส่วนใหญ่ใชเ้ สยี งหนัก เบา ไมค่ ่อยถกู หรอื บางคนไมใ่ ชเ้ ลยก็มี - ด้านการอา่ น นักศกึ ษามปี ัญหาทางดา้ นการอ่านในระดับตีความและระดบั วิจารณ์ - ด้านการเขียน นักศึกษามีปัญหาในด้านไวยากรณ์ ลีลาภาษา การเลือกใช้คาและการ เรียบเรยี ง ขอ้ ความ จากปัญหาต่าง ๆ น้ี แสดงให้เห็นว่าการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ นั้นได้กาหนดให้ นักศึกษาเรียนทุกคนเรียนภาษาอังกฤษ 101-102 ซึ่งเป็นวิชาหลักและจุดมุ่งหมายของวชิ าน้มี ีการสอน
10 ปที ่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ทักษะทงั้ 4 คือ การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน อย่างกว้างๆ ซ่ึงอาจจะไมเ่ พียงพอ ผู้วิจัยเหน็ ควร ท่ีจะนาผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงการเรียนการสอนและจัดเพิ่มหรือเลือกวิชา ภาษาอังกฤษท่ีจะใหน้ กั ศึกษาโปรแกรมต่าง ๆ เรยี นได้ ดงั นี้ 1.1 ในการสอนทักษะการฟงั ผู้สอนควรเนน้ การฝึกฟังเพอ่ื ความเขา้ ใจ เพ่ือให้นักศึกษา สามารถใชภ้ าษาอังกฤษสือ่ สารได้ และนาความรู้ทไี่ ดจ้ ากการฟังไปใชป้ ระโยชนก์ ับการเรียนในระดับสงู ต่อไป (Alghazo, 2015) 1.2 ในการสอนทักษะการพูด นักศึกษาควรได้มีโอกาสฝึกพูดท้ังในรูปประโยคง่าย ๆ หรือฝกึ รูปโครงสรา้ งในประโยค ซง่ึ จะชว่ ยให้นกั ศกึ ษาจาโครงสรา้ งไวยากรณไ์ ดใ้ นทางออ้ มดว้ ย 1.3 ในการสอนทักษะการอ่าน ผู้สอนควรฝึกให้นักศึกษารู้จักการอ่านข้อความหลาย ประเภทและต้ังคาถามเพื่อถามความเข้าใจในระดับตีความและระดับวิจารณ์ให้มาก เพราะความเข้าใจ ในสองระดับนี้จะมีความสาคญั ตอ่ การอ่านมาก จะช่วยให้นักศกึ ษาสามารถอ่านข้อความตา่ ง ๆ ได้เข้าใจ ด้วยตนเอง 1.4 ในการสอนทักษะการเขียน นักศึกษาจาเป็นต้องได้รับการฝึกฝนการเขียนมากขึ้น โดยให้ทาแบบทดสอบทั้งแบบปรนยั และแบบเรียงความ เพื่อให้เกิดความแม่นยาในหลักไวยากรณ์ลลี า ภาษา ตลอดจนการเรียบเรียงข้อความซึง่ เป็นหลักสาคัญในการเขียน ดงั นั้นอาจารยค์ วรหาแบบฝกึ หดั ท่ี เห็นว่ายากหรือตัวอย่างที่ควรใช้ เน้ือความและศัพท์ที่สัมพันธ์กับวิชาชีพ เช่น การโฆษณาสินค้า การ กรอบใบสมัคร เป็นต้น นอกจากน้ีควรสัมพันธ์กับชีวิตประจาวัน เช่น การเดินทาง การซื้อของ การพูด โทรศัพทต์ ดิ ตอ่ กัน เป็นต้น 2. จากผลการวิจัย พบว่า ปรากฏว่านักศกึ ษาโปรแกรม 5 ที่เรียนเนน้ หนักทางด้านพาณชิ ยก รรม และนักศึกษาโปรแกรม 6 (1) ที่เรียนทั่วไป ค่อนข้างจะมีผลสัมฤทธ์ิในการเรียนภาษาอังกฤษ ทางด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนต่ากว่านักศึกษาในโปรแกรมอ่ืน ๆ สาเหตุหน่ึงอาจมา จากการท่ีนักศึกษาทั้งสองโปรแกรมนี้ไม่เห็นคุณค่าของภาษาอังกฤษ อาจารย์ควรหาวิธีการดึงดูดให้ นักศึกษาสนใจและเห็นความสาคัญของภาษาอังกฤษ มากขึ้นโดยชี้แนะให้เห็นคุณค่าของภาษาอังกฤษ ในการติดต่อธุรกิจการงานท้ังในและนอกประเทศไทย ในการเข้าทางานอาเซียน หรือในการศึกษาต่อ ระดับชั้นสูง นอกจากน้ีทางสถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยอาจจะพิจารณาเปิดวิชาภาษาอังกฤษท่ี เหมาะสมกับโปรแกรมน้ัน เช่น โปรแกรมพาณิชยกรรมควรให้เรียนภาษาอังกฤษธุรกิจ (Business English Program) เป็นต้น 3. ควรมีการสร้างข้อสอบมาตรฐานเพ่ือจัดพ้ืนฐานของนักศึกษา ต้ังแต่ชั้นอุดมศึกษาปีท่ี 1 และนาคะแนนทไ่ี ดม้ าเป็นเกณฑใ์ นการพจิ ารณาการแบง่ กลมุ่ โปรแกรม และพิจารณาวชิ าเลอื กท่ีจะสอน ซ่อมเสรมิ ให้เหมาะสมแตล่ ะโปรแกรม
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 11 เอกสำรอ้ำงองิ ดาวรันต์ ว่องวิทย์การ.(2515). ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการเข้าใจภาษาอังกฤษกับ ความสามารถในการแสดงออกทางภาษาอังกฤษของนิสติ ชั้นปีที่ 3 ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษ เป็นวิชาเอก. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมติ ร). นภพร สิงหพันธ.์ (2542). แนวคดิ เบอื้ งต้นทางภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ: สถาบนั ราชภัฏพระนคร. สริ ิภทั ร เชอ้ื กุล. (2556). ภาษาศาสตรเ์ บือ้ งตน้ . กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภฏั วไลยอลงกรณ์. อุดม วโรตมสกิ ขดติ ถ์. (2547). ภาษาศาสตรเ์ บอ้ื งต้น. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. อาไพพรรณ สรรพช่าง. (2517). สมั ฤทธิผลในการเรียนโครงสร้างไวยากรณอ์ ังกฤษของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 สายอาชีพ แผนกพาณชิ ยกรรม ในโรงเรยี นราษฎร์. (วิทยานพิ นธ์ปริญญา ครศุ าสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย). Alghazo, S. M. (2015). Advanced EFL Learners' Beliefs about Pronunciation Teaching. International Education Studies, 8(11), 63-76. Calway, MirainFladstol. (1963). The Relative Effects of Instruction and Narrative Factional Materials on Listening Skills. Dissertation Abstracts. 23(February), 2748. Derwing, T. M., & Munro, M. J. (2005). Second language accent and pronunciation teaching: A research‐based approach. TESOL quarterly, 39(3), 379-397. Halliday, M.A.K. Language as Social Scuriotic. (1978). The Social Interpretation of Language and Meaning. London: Edward Arnold Ltd. Hafner , Lawrence E. and Hayden B. Jolly. (1972). Pattern of Teaching Reading: in the Elementary School. New York: The Macmillian Company. Wozencraft, Marian. (1963). Sex Comparison of Certain Abilities. The Journal of Educational Research, (September), 21-27
12 ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020)
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 13 การพฒั นาชุดกจิ กรรมรายวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรมเร่ือง พุทธประวตั ิ โดยใชแ้ นวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 The Development of Activity Package for Social Studies, Religion and Culture Subject on Buddhism History By Using Problem-Based Learning Management of Prathom Suksa 3 Level วริ ัตน์ สรุ เิ ย1* สาวติ รี เถาวโ์ ท2 Wirat Suriye1 Savitree Thaotho2 1นักศึกษาหลกั สตู รครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาการพฒั นาหลักสูตรและการเรยี นการสอน คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อบุ ลราชธานี M.Ed. Candidate in in Curriculum and Instruction Development Program, Faculty of Education, Ubon Ratchathani Rajabhat University 2อาจารย์ประจาหลกั สตู รครศุ าสตรมหาบัณฑติ สาขาการพัฒนาหลกั สูตรและการเรยี นการสอน คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี The Lecturer of Curriculum and Instruction Development Program, Faculty of Education, Ubon Ratchathani Rajabhat University * Corresponding author, e-mail: sakunboor@gmail.com (Received: 26 February 2020, Revised: 17 March 2020, Accepted: 22 March 2020) บทคัดย่อ วัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งน้ีมีดังนี้ 1) เพ่ือพัฒนาชุดกิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม เร่ือง พทุ ธประวัติ โดยใชแ้ นวคดิ การจัดการเรียนร้แู บบใชป้ ญั หาเปน็ ฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรยี น ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใชช้ ดุ กิจกรรม 3) เพ่ือศกึ ษาความพึงพอใจตอ่ การจดั การเรยี นรู้ของนักเรียน การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นนักเรียนท่ีกาลงั ศึกษาอยู่ในระดับชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 ในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2562 โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุบลราชธานี สังกดั สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จานวน 1 ห้องเรียน จานวน 31 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เร่ือง พุทธประวัติ โดยใช้ แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน จานวน 6 ชุด ระยะเวลา 12 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เร่ือง พุทธประวัติ เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 30 ข้อ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้เป็นแบบมาตราส่วน ประมาณคา่ 5 ระดบั จานวน 10 ข้อ การวิเคราะหข์ ้อมลู วเิ คราะห์โดยการคานวณหาคา่ เฉลี่ย รอ้ ยละ ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้ แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ให้มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 83.63/82.80 2) ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี น ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 3 โดยใช้ ชุดกจิ กรรมรายวชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม เร่ือง พุทธประวัติ โดยใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจต่อการจัดการ เรียนรดู้ ้วยชุดกิจกรรมโดยรวมอยใู่ นระดบั มาก คำสำคญั : ชดุ กจิ กรรม; การจดั การเรยี นรู้; ปญั หาเป็นฐาน
14 ปีที่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ABSTRACT The purposes of this research were 1) to develop a set of social studies course activities Religion and culture on Buddhism history by using problem-based learning management concepts of Prathom Suksa 3 level to be effective according to the 80/80 standard criteria. 2) compare the academic achievement Before and after the student's studies Grade 3, by using activity package. 3) study the satisfaction of the student with learning management. The sample group used in this research is 31 students who were studying at the stuying in Prathom Suksa 3 level in the first semester of the academic year 2019 in the Demonstration School of Ubon Ratchathani Rajabhat University. Under the Office of the Higher Education Commission, 1 classroom, selected by purposive sampling. The tools used in the research are as follows: 1) A set of social studies course activities Religion and culture on Buddhism history by using problem-based learning management concepts, amount 6 sets, duration 12 hours. 2) Achievement tests Social Studies, Religion and Culture subject on Buddhist Biology, Prathom Suksa 3 level is a test of 4 types with 4 choices. 3) Questionnaire about students satisfaction with, activity package. Data analysis were the average percentage, standard deviation. The research findings were as follows : 1. Activity set for social studies Religion and culture on Buddhism history by using problem-based learning management concepts of Prathom Suksa 3 level to be equal to 83.63/82.80 which exceeded the criteria 80/80. 2. Academic achievement of Prathom Suksa 3 students, by studying with a set of social studies course activities Religion and culture on Buddhism history by using problem-based learning management concepts of Prathom Suksa 3 level after learning significantly higher than before learning at the .05 level. 3. The student’s satisfaction with learning management through activity set of Prathom Suksa 3 level at a high level. Keywords: Activity set; Learning management; Problem -based. บทนำ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 5 มาตรา 54 ได้ให้ความสาคัญ กับการศึกษา โดยรัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่าง ๆ รวมทง้ั สง่ เสริม ให้มกี ารเรียนรตู้ ลอดชวี ิต การศึกษาท้ังปวงต้องมุ่งพฒั นาผเู้ รียนให้เปน็ คนดี มวี นิ ัย ภูมิใจ ในชาติ สามารถเช่ียวชาญได้ ตามความถนัดของตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับท่ี 12 พุทธศักราช 2560 - 2564 เป็นแผนระยะยาวภายใต้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ หลักการสาคัญคือ ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีสาหรับคนไทย พัฒนา คนใหม้ ีความเป็นคนท่สี มบูรณ์มวี ินยั ใฝร่ ู้มคี วามรู้ มที กั ษะมคี วามคิดสร้างสรรค์มีทศั นคติทดี่ ี รบั ผิดชอบ ต่อสังคม มีคุณธรรมและจริยธรรมซ่ึงกระทรวงศึกษาธิการในฐานะหน่วยงานหลักในภาคการจัด การศึกษาเพ่ือพฒั นาคุณภาพคนของประเทศได้ตระหนักถึงความสาคัญดังกล่าวดังน้ัน ภายใต้วิสยั ทัศน์ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้คู่คุณธรรม มีคุณภาพชีวิตท่ีดี มีความสุขในสังคม (สานักงานปลัดกระทรวง ศกึ ษาธกิ าร, 2559: ก) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 6 บัญญัติไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนไทย ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 15 ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมในการดารงชวี ิตให้สามารถอยู่ ร่วมกับผ้อู ่นื ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ” และวิสัยทัศน์หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน ม่งุ พัฒนาผ้เู รียน ทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มี ความสมดุลทั้งทางด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มี จิตสานึกในความเปน็ พลเมอื งไทย และเป็นพลเมืองโลก ยึดม่นั ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ มีความรูแ้ ละทกั ษะข้ันพน้ื ฐานรวมทง้ั เจตคตทิ ่ีจาเปน็ ต่อการศึกษา ต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐาน ความเช่ือว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้ และพฒั นาตนเองได้เตม็ ตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2553) จากนโยบาย ของกระทรวงศึกษาธิการ ในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่ยุคศตวรรษ 21 ที่มุ่งส่งเสริมผู้เรียนให้มี คุณธรรม ทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยีสามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ซ่ึงสอดคล้องกับการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 มาตราท่ี 66 จึงได้กาหนดจุดมุ่งหมายของการจัด การศึกษาท่ีมีใจความสาคัญว่า ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพ่ือ การศึกษา เพื่อให้มีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยี เพื่อการศึกษาในการแสวงหาความรู้ ด้วยตนเองไดอ้ ย่างต่อเนื่องตลอดชวี ิต พระพทุ ธศาสนาเข้ามามีบทบาทสาคัญต่อการดาเนนิ ชีวิตของคน ไทยในทุก ๆ ด้าน จึงมีลักษณะท่ีเป็นสภาพท่ีกว้างขวางและครอบคลุมสังคมไทย ความสาคัญของ พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นศาสนาประจาชาติ ท้ังน้ีเพราะ การที่พระพุทธศาสนากับชนชาติไทยได้มี ความสัมพันธ์แนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งในทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ในทาง ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชนชาติไทย เนื่องมาด้วยกันกับความเป็นมาของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะนับตั้งแต่สมัยท่ีชนชาติไทยมีประวัติศาสตร์อันชัดเจน ชาวไทยก็ได้นับถือพระพุทธศาสนา ต่อเนื่องตลอดมา จนกล่าวไดว้ ่า ประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เป็นประวตั ิศาสตร์ของชนชาตทิ ี่นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา (พระวชริ ญาณ์ เต็งวราภรภัทร, 2558) ชุดกิจกรรมจัดเป็นนวัตกรรมทางการศึกษารูปแบบหนึ่งที่ผู้วิจัยสนใจที่จะนามาใช้ในการ จัดการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อฝึกให้ผู้เรียนมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เพราะ เป็นการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าด้วยตัวเองตามความสามารถและความสนใจ มีอิสระในการคิด ทุกคนมีโอกาสใช้ความคิดอย่างเต็มท่ี โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลจากบริบทของโรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ท่ีมีการจัดการเรียนรู้โดยมีเน้ือหาหลักสูตรที่ผู้เรียนต้องเรียนมี จานวนมาก ผู้สอนจึงตองจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนได้รับเน้ือหาสาระวิชาตามท่ีหลักสูตรได้ กาหนดไว การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ( Problem-based Learning หรือ PBL ) เป็น รูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ใี ห้ผู้เรียนได้สร้างองคค์ วามรู้ใหม่จากการใช้ปัญหาทเี่ กิดข้ึนในโลกแห่งความ เป็นจริงเป็นบริบท (Context) ของการเรียนรู้ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา (สุริยา สาแก้ว, 2560) เพ่ือแก้ปัญหาหรอื สถานการณเ์ ก่ยี วกับชวี ิตประจาวันท่ีมีความสาคัญตอ่ ผ้เู รยี นม่งุ พฒั นาผู้เรียน จากปัญหาทางการเรียนดงั กล่าว ผวู้ ิจยั จึงสนใจที่จะนาแนวคิดการจดั การเรยี นรแู้ บบใช้ปัญหา เป็นฐานมาใช้ในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการที่มุ่งเน้นให้นักเรียนสามารถคิดแก้ปัญหาจาก
16 ปีท่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 สถานการณ์จริงได้ และสามารถเชอื่ มโยงความรู้ในหลากหลายวิชา เพือ่ นาไปสู่การแกป้ ญั หาในชวี ิตจริง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมที ักษะการคิดแก้ปัญหา ทาเป็น วิเคราะห์เป็น และสร้างนวัตกรรมท่ใี ช้ความรู้ในวชิ า สงั คมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ผ้เู รยี นเข้าใจสาระและกระบวนการในการแก้ปัญหาโดยใช้ปัญหาเป็น ฐานมากข้ึน ทาให้ผู้เรียนเกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง ความคิดรวบยอดในศาสตร์ต่าง ๆ ทาให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อผู้เรียน ผู้เรียนเห็น ความสัมพันธ์และคุณค่าของสิ่งที่เรียนกับนักเรียน และในการศึกษาคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้ทดลองกับนักเรียน ระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ในสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรือ่ ง พุทธประวตั ิ กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม โดยใช้ แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคญั มีความมุ่งหวังวา่ ผู้เรียนจะมี พื้นฐานทางการเรยี นท่ีดแี ละสามารถพฒั นาได้ตอ่ เนื่องในระดบั ช้นั ท่ีสูงข้ึนและเพ่ือเป็นการเตรียมพร้อม นักเรยี นเพื่อกา้ วสู่เสน้ ทางอาชีพต่อไป วัตถปุ ระสงค์ของกำรวจิ ยั 1. เพ่ือพัฒนาชดุ กจิ กรรมรายวชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม เร่อื ง พทุ ธประวตั ิ โดยใช้ แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โดยใช้ชดุ กจิ กรรมรายวชิ าสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรอื่ ง พุทธประวัติ โดย ใช้แนวคิดการจดั การเรยี นรแู้ บบใชป้ ัญหาเป็นฐานของนกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชดุ กิจกรรมรายวชิ าสงั คม ศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม เร่ือง พทุ ธประวัติ โดยใชแ้ นวคดิ การจัดการเรียนรแู้ บบใช้ปญั หาเป็นฐาน ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3 ขอบเขตของกำรวจิ ัย ประชำกรทใี่ ชใ้ นกำรวจิ ยั ประชากรทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัยครั้งน้ี เป็นนักเรียนทก่ี าลงั ศกึ ษาอยใู่ นระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 3 ท่ี กาลังเรียน ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนในสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อบุ ลราชธานี เขต 1 และโรงเรยี นสาธิตมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอบุ ลราชธานี สังกดั สานักงานคณะกรรมการ การอดุ มศกึ ษา มีจานวน 20 ห้องเรยี น มนี ักเรียนจานวน 250 คน ตวั อยำ่ งที่ใชใ้ นกำรวจิ ัย ตัวอยา่ งทีใ่ ชใ้ นการวิจยั คร้งั น้ี เปน็ นกั เรยี นทกี่ าลงั ศึกษาอยู่ในระดับชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 ใน ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี สังกัดสานักงาน คณะกรรมการการอุดมศกึ ษา จานวน 1 หอ้ งเรยี น จานวน 31 คน ได้มาโดยวิธีการสมุ่ แบบกล่มุ
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 17 กรอบแนวคดิ ในกำรวิจยั ผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัยโดยการพัฒนาชดุ กิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรือ่ ง พุทธประวตั ิ โดยใชแ้ นวคดิ การจัดการเรียนรู้แบบใชป้ ญั หาเป็นฐานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 สรปุ กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ไดด้ ังน้ี ตวั แปรต้น ตวั แปรตำม การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ 2. ความพงึ พอใจของนกั เรยี น วัฒนธรรม เร่ือง พุทธประวัติ โดยใช้ แ น ว คิ ด ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แ บ บ ใ ช้ ปัญหาเป็นฐานของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 3 ภำพท่ี 1: กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั วิธีกำรดำเนินกำรวิจยั ประชำกรและกลมุ่ ตัวอยำ่ ง ประชากรท่ีใชใ้ นการวิจัยคร้ังนี้ เป็นนักเรียนที่กาลังศึกษาอยู่ในระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 ที่ กาลงั เรยี น ในภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562 สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาอบุ ลราชธานี เขต 1 และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี สังกัดสานักงานคณะกรรมการการ อดุ มศกึ ษา มจี านวน 20 ห้องเรยี น มีนกั เรยี นจานวน 250 คน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนที่กาลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ใน ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี สังกัด สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จานวน 1 ห้องเรียน จานวน 31 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบ กลุม่ เครอื่ งมือท่ใี ช้ในงำนวจิ ยั 1. ชุดกิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้แนวคิด การจัดการเรยี นรแู้ บบใชป้ ญั หาเป็นฐานของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 จานวน 6 ชดุ ระยะเวลา 12 ชว่ั โมง ดังต่อไปนี้ ชุดที่ 1 เรื่องการประสูติของพระพทุ ธเจ้า ชุดที่ 2 เรื่องการออกผนวช ชุดที่ 3 เร่อื งบาเพญ็ เพียร
18 ปที ่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ชุดท่ี 4 เรื่องการการตรัสรู้ ชดุ ที่ 5 เรอ่ื งการปฐมเทศนา ชุดท่ี 6 เร่ืองการดับขันธ์ปรนิ พิ พาน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง พทุ ธประวตั ิชน้ั ประถมศกึ ษาป่ที ่ี 3 เป็นแบบทดสอบชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 30 ขอ้ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เร่ือง พุทธประวัติ โดยใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 ซ่ึงเป็นแบบวัดชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จานวน 10 ข้อ กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจัยดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามลาดับขั้นต่อไปนี้ เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวม ขอ้ มลู ได้แก่ 1. การเก็บข้อมูลจากการประเมินคุณภาพของบทเรียนจากแบบประเมินคุณภาพโดย ผูเ้ ชย่ี วชาญ นาขอ้ มลู ทไี่ ด้มาหาคา่ เฉล่ยี 2. การเก็บคะแนนจากการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการ เรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้ แบบใชป้ ญั หาเป็นฐานของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 3 3. การเก็บคะแนนจากการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างเรียนในแต่ละหน่วยการ เรียนรู้หลังจากที่เรียนจบในแต่ละหน่วยการเรียน โดยให้นักเรียนทากิจกรรมระหว่างการเรียนในแต่ละ หนว่ ยการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรือ่ ง พทุ ธประวตั ิ โดยใชแ้ นวคดิ การ จดั การเรยี นรแู้ บบใชป้ ัญหาเปน็ ฐานของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 4. การเก็บข้อมูลความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมรายวชิ า สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม เร่ือง พุทธประวตั ิ โดยใชแ้ นวคดิ การจดั การเรยี นรแู้ บบใชป้ ญั หาเป็น ฐานของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 3 จากนักเรยี นหลงั เสร็จสิ้นการเรียนการสอนในคาบสุดทา้ ย กำรวิเครำะหข์ ้อมูล การพัฒนาชุดกิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้ แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โดยดาเนินการ วเิ คราะห์ข้อมลู ดังน้ี 4.1 วิเคราะหข์ อ้ มูลเกีย่ วกบั ประสทิ ธิภาพของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ โดยนาคะแนนท่ไี ด้ จาก การทาแบบฝึกหัดในชุดกิจกรรมการเรียนรู้และแบบทดสอบย่อยหลังเรียนในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จานวน 6 ชุดรวมกันแล้วหาค่าเฉล่ีย เทียบกับคะแนนจากการทาแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียน ท้ังหมด จานวน 31 คน แล้วหาค่าเฉลย่ี ค่ารอ้ ยละตามเกณฑ์ 80/80
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 19 4.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้วยชุดกิจกรรมระหว่างก่อนและหลังเรียน โดยใช้ t-test Dependent Sample 4.3 ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน กาหนดเกณฑ์การใหค้ ะแนน สรุปผล การวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พุทธ ประวตั ิ โดยใชแ้ นวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใชป้ ญั หาเป็นฐานของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 สรปุ ผลการวิจัยไดด้ ังน้ี 1.ชุดกิจกรรมรายวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรอื่ ง พทุ ธประวัติ โดยใชแ้ นวคดิ การ จัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 83.63/82.80 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ ชุดกิจกรรมรายวิชา สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรอ่ื ง พุทธประวตั ิ โดยใชแ้ นวคดิ การจัดการเรียนรแู้ บบใช้ปัญหาเป็น ฐานของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 3 หลงั เรยี นสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05 3.ความพึงพอใจต่อการจดั การเรยี นรูด้ ้วยชดุ กจิ กรรมรายวชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนาและ วัฒนธรรม เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้แนวคิดการจดั การเรียนรู้แบบใชป้ ญั หาเปน็ ฐานของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 3 โดยรวมอยูใ่ นระดับ มาก (������̅= 4.43) อภปิ รำยผล การวจิ ยั เรอื่ ง การพฒั นาชดุ กจิ กรรมรายวชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรื่อง พุทธ ประวตั ิ โดยใช้แนวคิดการจัดการเรยี นรู้แบบใช้ปัญหาเปน็ ฐานของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 สามารถอภิรายผลได้ดังน้ี 1. ชุดกิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เร่ือง พุทธประวัติ โดยใช้แนวคิด การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพ เท่ากับ เทา่ กับ 83.63/82.80 ซึง่ ตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้ 80/80 ทง้ั นี้ เนอื่ งจากผู้วิจยั ได้สร้างชดุ กจิ กรรมรายวิชา สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เร่ือง พทุ ธประวัติ โดยใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเปน็ ฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ท่ีมีกระบวนการออกแบบและการพัฒนาอย่างเป็นระบบตาม วิธีการทเ่ี หมาะสมโดยเร่ิมจากศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ ง เพือ่ เป็นแนวทางใน การสร้าง ชุดกิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เร่ือง พุทธประวัติ โดยใช้แนวคิดการ จัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากน้ันวิเคราะห์เน้ือหาใน หลกั สตู รแลว้ ศกึ ษาคน้ คว้าเนือ้ หาจากชดุ กิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พทุ ธ ประวัติ โดยใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โดย
20 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 เรียงลาดับกิจกรรมในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ให้มีความเหมาะสมกับระดับช้ันของ ผู้เรียน เนื้อหาชัดเจนเข้าใจง่ายมีจุดประสงค์การเรียนท่ีสอดคล้องกับเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้มี ภาพประกอบที่สวยงามและนา่ สนใจ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของลาวรรณ โฮมแพน (2550) ได้ศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้ชุดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์กลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนและ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .01ดัชนีประสทิ ธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้เร่ือง อาหารและสารอาหารทจ่ี ัดการเรยี นรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นหลักประกอบแผนผังความคิดแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ันตอน เท่ากับ 0.6962 และ 0.6125 แสดงว่าผู้เรียนมีค่าคะแนนทางการเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 69.62 และ 61.25 ตามลาดับและ นกั เรยี นท่ีเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การคิดวิเคราะห์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ้ัน พ้ืนฐานก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ซ่ึงเป็นไปตาม สมมติฐานที่ตง้ั ไว้และนกั เรยี นมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ซึ่งเป็นไป ตามสมมติฐานที่ ตงั้ ไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ ชุดกิจกรรมรายวิชา สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรื่อง พทุ ธประวตั ิ โดยใชแ้ นวคดิ การจดั การเรยี นรแู้ บบใช้ปญั หาเป็น ฐานของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 หลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ เนื่องจากชุดกิจกรรม ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้เรียนได้ พัฒนาการคิดอยา่ งเปน็ ระบบ ชดุ กิจกรรมจะชว่ ยเสริมให้นกั เรียนเปน็ ผ้ลู งมือปฏบิ ัติกจิ กรรมเอง ชว่ ยให้ นักเรียนมีพัฒนาการในการเรียนรู้ มีทักษะเพ่ิมข้ึน นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนตั้งแตเ่ รมิ่ ต้น ตลอดจนขั้นตรวจผลงานด้วยตนเอง นักเรียนเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ สามารถทางานร่วมกับผู้อื่น และ เข้าใจการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงจากการได้ฝึกกิจกรรมซ้า ๆ บ่อย ๆ ซึ่งเป็นไปตามแนวคิด อมร เมยมงคล (2560) ได้ศึกษาเรื่อง ผลการพัฒนาชุดกิจกรรม เรื่อง วันสาคัญทางพระพุทธศาสนา โดยใช้ การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 มีจุดประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุด กิจกรรมเร่ืองวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT ของ นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมเรื่อง วันสาคัญทางพระพุทธศาสนา มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 84.48/82.17 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ทก่ี าหนดไว้ คือ 80/80 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมเร่ืองวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT หลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติทรี่ ะดับ .01 นอกจากนีย้ ังสอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของอาภาภรณ์ อินเสมียน (2554 : 86) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมประกอบภาพการ์ตูน เรื่อง อริยสัจ 4 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.66/89.40 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 นอกจากนี้ นวลจันทร์ วิเศษ (2554 : 112) ท่ีได้ศึกษาการพัฒนาชดุ กิจกรรมรปู การต์ นู ประกอบกิจกรรมการเรยี นการสอน เรือ่ ง การประหยัด
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 21 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระท่ี 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 4 พบวา่ ชุดกิจกรรมรูปการ์ตูนประกอบกิจกรรมการเรยี นการสอน เร่ือง การประหยัด กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมสาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ชั้น ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 มดี ัชนปี ระสิทธิผลเท่ากับ .71 ซง่ึ หมายความว่า นกั เรียนมคี วามรูเ้ พิ่มขึน้ ร้อยละ 71 ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะชุดกิจกรรมหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีเนื้อหาที่น่าสนใจ มี ภาพประกอบท่ีสวยงาม อักษรมีขนาดเหมาะสม และคาอธิบายเข้าใจง่าย จึงทาให้ผู้เรียนมีความสนใจ และตง้ั ใจเรยี น และปฏบิ ตั กิ ิจกรรมทมี่ อบหมายในระหว่างเรยี นไดเ้ ปน็ อย่างดี 3. ความพึงพอใจการจัดการเรียนรูด้ ว้ ยชุดกจิ กรรมรายวชิ าสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เร่อื ง พทุ ธประวัติ โดยใชแ้ นวคิดการจดั การเรียนรู้แบบใชป้ ัญหาเป็นฐานของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 3 โดยรวมอยู่ในระดับ มาก (������̅= 4.43) ท่ีเป็นเช่นนี้เพราะชุดกิจกรรมรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม เร่ือง พุทธประวัติ โดยใช้แนวคิดการจดั การเรยี นรู้แบบใชป้ ัญหาเปน็ ฐานของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนนักเรียนมีความพึงพอใจ และชื่นชอบเพราะ เมื่ออ่านแล้วได้รับ ความรู้ อีกท้ังส่งเสริมด้านคุณธรรม จริยธรรม ผู้อ่านแล้วสามารถนาแนวทางต่าง ๆ ไปปรับใช้ใน ชีวิตประจาวันได้เป็นอย่างดี ซึ่งสอดคล้องกับ อมร เมยมงคล (2560) ได้ศึกษาเร่ือง ผลการพัฒนาชุด กิจกรรม เรื่อง วันสาคัญทางพระพุทธศาสนา โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 6 มีจุดประสงค์เพ่ือ ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ที่มีต่อ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมเรื่อง วันสาคัญทางพระพุทธศาสนา โดยใช้การเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค LT ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง วัน สาคัญทางพระพุทธศาสนา โดยใช้ การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยรวมมีความพึงพอใจในระดบั มาก องคค์ วำมรู้ใหม่ งานวิจัยน้ีมีความคิดริเริ่มมาจากปัญหาที่ผู้เรียนเกิดความไม่เข้าใจในเนื้อหาสาระ รายวิชา สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม และขาดความร่วมมือในการเรียนการสอน ไม่กล้าแสดงออกซ่ึง ผู้วิจัยเห็นถึงปัญหาดงั กล่าว จึงได้มีการศึกษาค้นคว้าและเห็นวา่ แนวคิดทฤษฎกี ารจัดการเรียนการสอน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นรูปแบบสามารถนามาใช้ในการเรียนการสอนได้ดี เพราะเน้นการทางาน ร่วมกัน ร่วมคิดร่วมปฏิบัติ กล้าคิดกล้าทา และสามารถเข้าใจเน้ือหาสาระได้เป็นอย่างดี ประกอบกับ ความคดิ เหน็ ตา่ ง ๆ อย่างมเี หตุผลนาไปสคู่ าตอบต่าง ๆ ท่สี งสยั ได้ ผู้วิจัยได้นาแนวคิดทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ แบบบูรณาการที่มุ่งเน้นให้นักเรียนสามารถแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์จริงได้ และสามารถเช่ือมโยง ความรู้ในหลากหลายวิชาเพื่อนาไปสู่การแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง ส่งผลให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดแก้ไข ปัญหา ทาเป็น วิเคราะห์เป็น และสร้างนวตั กรรมที่ใช้ความรู้ในวิชาสังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม ผู้เรียนเข้าใจสาระและกระบวนการในการแก้ไขปัญหาโดยใช้ปัญหาเป็นฐานมากขึ้น ทาให้ผู้เรียนเกิด
22 ปีท่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 การถา่ ยโอนความรู้ ผเู้ รยี นสามารถเชอื่ มโยงความสมั พันธ์ระหว่างความคิดรวบยอดในศาสตร์ตา่ ง ๆ ทา ให้เกดิ การเรยี นรู้ทมี่ ีความหมายต่อผูเ้ รยี น เห็นความสมั พันธ์และคุณคา่ ของส่งิ ทเ่ี รยี น ข้อเสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะสำหรับนำผลวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชน์ 1.1 การใช้ชุดกจิ กรรมรายวชิ าสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรือ่ ง พุทธประวตั ิ โดยใชแ้ นวคิดการจัดการเรยี นรูแ้ บบใชป้ ัญหาเป็นฐานของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 ติดตอ่ กนั หลาย ๆ ครง้ั อาจทาใหน้ กั เรียนเกดิ ความเบอื่ หนา่ ยได้ ดังนน้ั ครูควรใชว้ ิธกี ารสอนแบบอน่ื ๆ สลบั กบั การสอน เช่น การสอนแบบบรู ณาการการเรียนร้โู ดยการปฏบิ ตั จิ ริง เป็นตน้ 1.2 การกิจกรรมเสรมิ เพื่อให้การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้แนวคดิ การจัดการเรียนรู้ แบบใชป้ ัญหาเป็นฐานทาใหน้ กั เรียนสนใจเนือ้ หาและเขา้ ใจบทเรยี นมากย่ิงขน้ึ 2. ขอ้ เสนอแนะสำหรบั กำรวิจยั ครงั้ ต่อไป 2.1 ควรมกี ารวจิ ยั เปรยี บเทยี บผลการเรียนระหวา่ งการเรยี นการสอนโดยใชช้ ดุ กิจกรรม กบั การสอนโดยใช้ส่อื ประเภทอน่ื 2.2 ครคู วรศึกษาปัญหาและหาวิธีการแก้ปญั หาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนต่าอย่เู สมอ เอกสำรอ้ำงองิ กระทรวงศกึ ษาธิการ.(2559). แผนปฏบิ ตั ิราชการ ประจาปงี บประมาณ พ.ศ.2560 ของ กระทรวงศึกษาธิการ(เพื่อประกอบการจัดทาคาของบประมาณรายจา่ ยประจาปี พ.ศ.2560. กรุงเทพฯ: สานกั นโยบายและยทุ ธศาสตร์ สานักปลดั กระทรวง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. นวลจนั ทร์ วเิ ศษ. (2546). การพัฒนาบทเรียนสาเร็จรปู การ์ตนู ประกอบกิจกรรมการเรยี นการสอนเรื่อง การประหยัดกลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษาศาสนาและวฒั นธรรม ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4. (การศกึ ษาคน้ ควา้ อสิ ระการศึกษามหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม). พระวชิรญาณ์ เต็งวราภรภทั ร. (2558). การพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นเร่ืองพุทธประวตั ิ สาหรับ นักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยใชช้ ดุ ส่อื ประสม. (วทิ ยานพิ นธ์ครุศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน, มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์). ลาวรรณ โฮมแพน. (2550). การศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และความสามารถในการ คิดวิเคราะหข์ องนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ท่ไี ดร้ บั การสอนโดยใช้ชดุ กจิ กรรม วิทยาศาสตร์ เพอ่ื ส่งเสรมิ การคิดวิเคราะห.์ (สารนพิ นธ์การศึกษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการ มธั ยมศกึ ษา, มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ). ศึกษาธกิ าร, กระทรวง. กรมวชิ าการ. (2551). คมู่ ือการจัดการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ุขศกึ ษาและ พลศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พอ์ งค์การรบั ส่งสนิ คา้ และพสั ดุภณั ฑ์. ________. (2553). แนวทางการจัดกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียนตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศึกษาราช 2551. พมิ พ์คร้ังที่ 2. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพช์ มุ นมุ สหกรณ์แหง่ ประเทศไทย.
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 23 สรุ ิยา สาแกว้ . (2560). เทคนิคการสอนแบบ PBL. (ออนไลน)์ (อา้ งเม่อื 26 มถิ นุ ายน 2560). จาก http://sss.esdc.go.th/thaksa-kar-ni-the,sk/thekhnikh-kar-sxn-baeb-pbl. อมร เมยมงคล. (2560). ผลการพฒั นาชดุ กิจกรรมเรอื่ งวันสาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา โดยใช้การเรยี นรู้ แบบร่วมมือเทคนิค LT ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6. (วิทยานพิ นธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน, มหาวิทยาลัยราชภฏั บุรีรมั ย)์ . อาภาภรณ์ อนิ เสมียน. (2545). การพฒั นาบทเรยี นสาเร็จรปู ประกอบภาพการ์ตูนเรื่องอริยสัจ 4 กล่มุ สรา้ งเสรมิ ประสบการณช์ ีวติ ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5. (การศกึ ษาคน้ ควา้ อสิ ระการศกึ ษา มหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม).
24 ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 25 กองทนุ สวัสดิการชุมชนกบั การจัดการตนเองของชมุ ชน กรณีศึกษากองบุญสัจจะสวัสดกิ ารไทบา้ น ตาบลเปอื ย อาเภอลอื อานาจ จังหวัดอานาจเจรญิ The fund of community welfare and Self-management of community: A case study of Kongboonsusjasawathdikantiban Fund in Tambon Pueai, Amphoe Lue Amnat, Amnatcharoen สุชาดา แมน้ พยัคฆ1์ * อนนั ต์ แม้นพยัคฆ์2 Suchada Manpayak1 Anan Manpayak 2 1อาจารยป์ ระจาคณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อบุ ลราชธานี Master of Art in Social Sciences for Development, Ubon Ratchathani Rajabhat University *Corresponding author e-mail: aey_suchada@yahoo.com 2อาจารยป์ ระจาคณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏอุบลราชธานี Lecturer of Faculty of Humanities and Social Sciences, Ubon Ratchathani Rajabhat University *Corresponding author e-mail: aod_anan@yahoo.com (Received: 27 February 2020, Revised: 13 March 2020, Accepted: 14 March 2020) บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการ ปัจจัยเกื้อหนุนให้กลุ่มคงอยู่และผลการทา กิจกรรมที่นาไปสู่การจัดการตนเองของชุมชน กลุ่มเป้าหมาย คือ คณะกรรมการและสมาชิก จานวน 144 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสัมภาษณ์ แบบสนทนากลุ่ม และแบบสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาความ ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการกล่มุ จดั ตง้ั โดยคนในชมุ ชนที่มอี ดุ มการณ์ รวมกล่มุ เพือ่ ชว่ ยเหลือกัน มีผูน้ า คือพระสงฆ์ ทางานโดยยึดม่ันหลกั อปริหานิยธรรม ความมีเมตตา ความซ่ือสัตย์ ความเสียสละ มีสัจจะต่อ กัน กฎกติกา จนนาไปสู่ความรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกัน 2) ปัจจัยเก้ือหนุนให้กลุ่มคงอยู่ พบว่า ทุกคนยึด ม่ันในเร่ืองช่วยเหลือกัน โปร่งใส ตรวจสอบได้ผ่านเวทีประชุมทุกเดือน เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมใน กิจกรรมต่าง ๆ มีการจัดสวัสดิการชดั เจน มีความอิ่มใจที่ได้ชว่ ยเหลือกัน มีการสรุปผลการดาเนินงานทุกปี ทาให้สมาชิกมีความเชื่อมั่น 3) ผลของการดาเนินกิจกรรมท่ีนาไปสู่การจัดการตนเองของชุมชน พบว่า 1) หลักการที่สาคัญคือการพัฒนาคุณภาพชีวิต การยึดม่ันในประโยชน์ส่วนรวม การสร้างความตระหนัก การสร้างความชัดเจนในอุดการณ์คือการเสียสละทาบุญช่วยเหลือกัน อปริหานิยธรรม และคุณธรรมท่ี สาคัญคือความซ่ือสัตย์ เสียสละ สามัคคี ยึดมั่นในกฎกติกา 2) กลไกของการขับเคล่ือนงาน คือ พระสงฆ์/ ผู้นาชุมชน มีความเสียสละ มีอุดมการณ์ในการพัฒนาชุมชน 3) วิธีการในการดาเนินงาน คือการประชุม การส่ือสาร การมีส่วนร่วม และการเรียนรู้ 4) กระบวนการดาเนินงาน คือ การสร้างความเข้าใจใน อดุ มการณ์ การประชุมร่วมกันและส่งเงินสวสั ดกิ ารทกุ เดือน การสรา้ งการมสี ่วนรว่ มในทุกกิจกรรมและการ ประชมุ สรปุ ผลการดาเนินงานประจาปี คำสำคญั : กองทุนสวัสดิการชุมชน; การจดั การตนเองของชมุ ชน
26 ปีที่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ABSTRACT The purpose of this research was to study management. Supporting factors for group retention and activity outcomes leading to self-management of the community The target group is Committee and 144 members. The tools used were interview, group discussion and observation. Descriptive information. The research findings were as follows. 1) The implementation by the local welfare organization was stable in terms of its membership and development guidance. It was found that it was essential to build more understanding in ideology of the local welfare, to accept more members to participate in various activities and to inform the committee and members of the information. 2) As for human funds, social institution funds and local wisdom and cultural funds, it was found that they were in decline thanks to the influence of globalization and consumerism. 3) As regards the process of building and restoring social funds to strengthen local welfare, the fourfold noble truths of Buddhism and a participatory meeting technique were used. It was found that the processes of building and restoring social funds are as follows: 1) studying the states of local welfare implementation, Making clear in the situation is the sacrifice to help each other. 2) exploring existing social funds in Tambon, 3) holding a meeting to plan a creative participation in order to launch an awareness in the local fund members, 4) implementing the planned activities based on a participatory meeting, Potential of locals was developed to drive the building process in a continuous manner. The present research had conducted a process of building and restoring social funds in light of human aspects, social institutions and wisdom and cultures. All these played an important contributing part in making the local welfare and communal development strong and self-reliant in a sustainable way. Keywords: The fund of community welfare; Self-management of community บทนำ การพัฒนาประเทศในช่วงห้าทศวรรษท่ผี า่ นมา สามารถยกระดับคุณภาพชวี ติ ของประชาชนให้ดขี น้ึ ประชาชนมีงานทาและมีความม่ันคงในอาชีพมากข้ึน รายได้เฉล่ียของประชาชนเพ่ิมสูงขึ้น ปัญหาความ ยากจนลดลง และประชาชนเข้าถึงบริการทางสังคมและสาธารณูปโภคอันเป็นปัจจัยจาเป็นพ้ืนฐานในการ ดารงชีวิตได้กว้างขวางมากขึ้น อย่างไรก็ดีความไม่เท่าเทียมกันในเร่ืองโอกาสของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ โอกาสของคนในเมืองกับชนบทในการเข้าถึงบริการสาธารณะหลักท่ีมีคุณภาพยังมีชอ่ งว่างมาก โดยเฉพาะ แรงงานนอกระบบ แรงงาน ภาคการเกษตรเกือบทั้งหมด ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคม และขาดความมนั่ คงในชวี ติ เพราะชวี ิตของคนโอกาสของแตล่ ะคนมคี วามแตกต่างกัน หากมองการพัฒนาประเทศผ่านแผนการพัฒนาที่ผ่านมา จะพบว่าการพัฒนาประเทศมีความ เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะท่ีแตกต่างกัน การพัฒนาประเทศในอดีตมุ่งการผลิตเพื่อส่งออก มุ่งการพัฒนา ทางเศรษฐกิจ เน้นการส่งออกมากกว่าท่ีจะพัฒนาในประเด็นอ่ืน ๆ หากแต่การพัฒนาในลักษณะดังกล่าว ขาดการพัฒนาท่ีเป็นองค์รวม เพราะมุ่งพัฒนาไปเพียงด้านใดดา้ นหนึ่ง จนเม่ือ ปี พ.ศ. 2540 ประเทศต้อง ประสบกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ผลกระทบเกิดข้ึนทุกระดับ การเกิดปัญหาดังกล่าว เป็นผลให้การ พัฒนาหันกลับมามองท่ีฐานรากมากข้ึน เพราะรากเหง้าของความย่ังยืนในการพัฒนาคือ เริ่มต้นท่ีชุมชน เริ่มต้นท่ีหมู่บา้ น เร่ิมต้นท่ีการพัฒนาคนให้มีชวี ติ ท่ีมีคุณภาพการพัฒนาในระดับประเทศเริ่มหันกลับมามอง
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 27 การพัฒนาท่ีชุมชนเป็นฐาน เห็นได้ชัดจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540- 2544) เป็นแผนพฒั นาท่ีมุ่งให้เกิดการพัฒนาท่ียั่งยืน เน้นการกินดีอยู่ดีมีสุขของคนในสังคม ซึ่งแผนพัฒนา ฉบับน้ีให้ความสาคัญท่ี “การให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” การพัฒนาทุกอย่างเริ่มต้นท่ีคน ให้คน ได้รับการพัฒนา เพื่อให้คนได้ไปพัฒนาชุมชน พัฒนาคุณภาพชีวิตของตนและพัฒนาชาติ เป็นการให้ ความสาคัญกับการพฒั นาท่ีเปน็ องค์รวม มีดุลยภาพ ท้ังทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม ซึ่ง ทศิ ทางและเปา้ หมายหลกั ของการพัฒนาใหส้ ังคมไทยมงุ่ พัฒนาไปสู่สังคมที่เขม้ แข็ง มดี ุลยภาพใน 3 ทศิ ทาง คือ สังคมคุณภาพ สังคมแห่งปัญญาและการเรียนรู้ สังคมสมานฉันท์และเอื้ออาทรต่อกันในสังคม สาหรับ แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 9 (พ.ศ.2545-2549) เป็นแผนทีม่ ุ่งเน้นการพัฒนาที่นาพระ ราชดารัสเศรษฐกิจพอเพียงมาเปน็ แนวทางในการพัฒนาประเทศ ให้คนได้มองตัวเองมากขึ้น มองถึงความ พอเพียง พออยู่พอกิน พ่ึงตนเองได้ และแนวทางการพัฒนาประเทศยังมุ่งเน้นยึดคนเป็นศูนย์กลางในการ พฒั นาประเทศเปน็ หลกั การสาคญั ของแผน การพัฒนาประเทศระยะหลังมาน้ี จะเห็นได้ว่าหลักการพัฒนาเน้นที่คน เน้นท่ีชุมชน เน้นท่ีการ เรียนรู้ เน้นการจัดการตนเอง เน้นการพ่ึงตนเองเป็นสาคัญ ซ่ึงปัจจุบันแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ.2560-2564) ได้กาหนดยุทธศาสตรก์ ารสรา้ งความเป็นธรรมและลดความเหลื่อม ลา้ ในสงั คมไวว้ า่ การแก้ปัญหาความเหล่ือมล้าและสรา้ งความเปน็ ธรรมนับว่ามีความคบื หนา้ ชา้ และยังเป็น ปัญหาท้าทายในหลายด้าน ท้ังความแตกต่างของรายได้ระหว่างกลุ่มประชากร ความแตกต่างของคุณภาพ การบริการภาครัฐ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลและในกลุ่มผู้ด้อยโอกาสที่ได้รับบริการที่คุณภาพต่ากว่า นอกจากนั้นยังมีเงื่อนไข/ปัจจัยเส่ียงหลายประการที่อาจจะส่งผลให้ความเหล่ือมล้าในสงั คมไทยรุนแรงขึ้น เพ่ือไม่ให้ปัญหาความเหลื่อมล้า เป็นข้อจากัดต่อการพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง สาหรับ ยุทธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหล่ือมล้าในช่วง 5 ปีต่อจากน้ี ได้ให้ความสาคัญกับการ ดาเนินการยกระดับคุณภาพบริการทางสังคมให้ท่ัวถึง ซึ่งในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาตฉิ บับที่ 12 ไดก้ าหนดแนวทางในการขับเคลอื่ นยทุ ธศาสตรก์ ารสรา้ งความเป็นธรรมและลดความเหล่อื มลา้ ในสังคม แนวทางหนึง่ ว่า ตอ้ งสนบั สนุนชุมชนให้มสี ่วนร่วมในการจัดสวัสดิการ บริการ และการจดั การทรัพยากร ใน ชุมชน ในลักษณะเป็นหุ้นส่วนกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการดูแลคุณภาพชีวิต ประชาชน โดยเปดิ รบั สมาชกิ ทุกคนในท้องถน่ิ โดยไมเ่ ลือกปฏิบตั ิ จากสถานการณข์ องประเทศในปัจจบุ ันและทิศทางการพฒั นาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที่ 12 ผู้วิจัยจึงให้ความสาคัญกับองค์ความรู้ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนสาคัญเพ่ือลดความเหล่ือม ล้าในสังคมไทย ซ่ึงองค์ความรู้หน่ึงคือ วิธีการจัดการตนเองของชุมชน โดยการบริหารจัดการกองทุน สวัสดิการชุมชน ท่ีเป็นการบริหารโดยชุมชน ท่ีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและนาไปสู่การพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของประชาชนในชุมชนให้ดีขึ้น ดังนั้นเพื่อให้ได้มาซ่ึงองค์ความรู้ดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจ ดาเนินการวิจัยเพื่อศึกษาการจดั การกองทนุ สวัสดิการชุมชนกับการจัดการตนเองของชมุ ชน โดยศึกษาการ บริหารจัดการกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้าน ตาบลเปือย อาเภอลืออานาจ จังหวัดอานาจเจริญ เพื่อ สังเคราะห์องค์ความรู้แล้วนาเสนอแนวทางขยายผลต่อสานักงานพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์
28 ปีที่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) และชุมชนอื่นท่ีสนใจซ่ึงจะเป็นส่วนหน่งึ ในการลดความเหลื่อมล้าและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ใหด้ ีขึ้น ชุมชนสามารถจัดการตนเองของชมุ ชนได้อย่างยั่งยนื วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการจัดการกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้านตาบลเปือย อาเภอลืออานาจ จังหวัด อานาจเจริญ 2. เพ่ือศึกษาปัจจัยเกื้อหนุน และการคงอยู่ของกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้านตาบลเปือย อาเภอลืออานาจ จังหวดั อานาจเจริญ 3. เพือ่ ศกึ ษาผลของการดาเนนิ กจิ กรรมทน่ี าไปสู่การจดั การตนเองของชุมชน ขอบเขตของวิจัย 1) ขอบเขตด้านเนื้อหา ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีท่ีเก่ียวกับกองทนุ สวัสดิการชุมชน พัฒนาการ การ บรหิ ารจัดการ ปัจจัยเกอ้ื หนุน ผลท่ีเกิดจากการดาเนนิ กจิ กรรมของกองทนุ สัจจะสวัสดกิ ารไทบา้ น 2) ขอบเขตด้านประชากร ไดแ้ ก่ ผบู้ รหิ ารกองบุญสัจจะสวสั ดกิ ารไทบ้าน จานวน 24 คน สมาชกิ ของกลุ่มกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้าน จานวน 100 คน ผู้นาในชุมชนที่มีส่วนให้การสนับสนุน ได้แก่ พระสงฆ์ กานนั ผูใ้ หญบ่ ้าน ผบู้ รหิ ารเทศบาล จานวน 20 คน รวม 144 คน 3) ขอบเขตด้านสถานท่ี กองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้าน ตาบลเปือย อาเภอลืออานาจ จังหวัด อานาจเจรญิ ขอบเขตด้านระยะเวลา 1 ตุลาคม 2559 ถงึ วนั ท่ี 30 กนั ยายน 2560 วิธดี ำเนนิ กำรวิจยั /ระเบยี บวธิ วี ิจัย 1) ศึกษาการจัดการกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้านตาบลเปือย อาเภอลืออานาจ จังหวัด อานาจเจริญ ผู้วิจัยทาการศึกษาแนวคดิ ทฤษฎี งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง และลงพ้ืนทส่ี ัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In depth Interview) ผู้บริหารและสมาชิกกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้าน จานวน 144 คน เพื่อรวบรวม พัฒนาการ หลักในการดาเนินงาน และการบริหารจัดการของกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้าน ใช้การ วิเคราะห์เอกสาร (Document Analysis) โดยกาหนดเร่ืองหรือหัวข้อที่จะทาการวิเคราะห์ กาหนด วัตถุประสงค์/จุดมุ่งหมายของการวิเคราะห์ กาหนดขอบเขตของการวิเคราะห์ รวบรวมเอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ ง กบั เรอ่ื งทศ่ี ึกษา คัดเลือกเอาเอกสารท่ีเช่อื ถือได้ ทม่ี ีความสมบรู ณ์ ศกึ ษา/วเิ คราะห์ ตามหลกั เกณฑ์ แนวคดิ ทฤษฎกี ารวเิ คราะห์ ทาการสรปุ ผลการศึกษา แลว้ เขียนขอ้ สรุปการวเิ คราะห์เชงิ พรรณนาความ 2) ศึกษาปัจจัยเกื้อหนนุ และการคงอยู่ของกองบุญสจั จะสวัสดิการไทบ้านตาบลเปอื ย อาเภอลือ อานาจ จังหวัดอานาจเจริญ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถาม (Questionnaire) และการสนทนา กลุ่มกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคือ ผู้บริหารและสมาชิกกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้าน จานวน 20 คน ใช้สถิติเชิงพรรณนาประกอบด้วยการแจกแจงความถ่ี (Frequency) โดยแสดงเป็นจานวนและค่าร้อยละ
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 29 (Percentage) ใช้อธิบายลักษณะข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่างและการวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางด้วย ค่าเฉลีย่ (Mean) เพ่อื วิเคราะห์ขอ้ มลู หาปัจจยั เกอื้ หนนุ และการคงอย่ขู องกองบญุ สจั จะสวสั ดิการไทบ้าน 3) ศึกษาผลของการดาเนินกิจกรรมที่นาไปสู่การจัดการตนเองของชุมชนผู้วิจัยเก็บรวบรวม ข้อมูลด้วยการเชิญที่ผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 5 คน ร่วมเวทีสนทนากล่มุ วิพากษ์และสังเคราะห์ข้อมูลเก่ียวกบั แนวคิด ทฤษฎีท่ีเกี่ยวกับกองทุนสวัสดิการชุมชน พัฒนาการ การบริหารจัดการ ปัจจัยเก้ือหนุน ผลท่ีเกิด จากการดาเนินกิจกรรมของกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้าน ท่ีผู้วิจัยได้ทาการรวบรวมวิเคราะห์และ สังเคราะห์อย่างเป็นระบบแล้ว เพ่ือร่วมกันสังเคราะห์การดาเนินกิจกรรมท่ีนาไปสู่การจัดการตนเองของ ชมุ ชน ผลกำรวิจัย 1. การจัดการกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้านตาบลเปือย อาเภอลืออานาจ จังหวัดอานาจเจรญิ ผลการวิจยั พบวา่ กองบญุ สัจจะสวสั ดกิ ารไทบา้ น ตาบลเปือย อาเภอลืออานาจ จังหวัดอานาจเจรญิ พบว่า กองบญุ สัจจะสวัสดกิ ารไทบา้ น เกดิ ขึ้นโดยคนในชุมชนเป็นผูร้ ิเร่ิมก่อต้ังและก่อต้งั ขน้ึ บนฐานการดาเนนิ งาน ของกลมุ่ สัจจะสะสมทรัพยเ์ พอ่ื พฒั นาคุณธรรมครบวงจรชวี ติ หลกั การจดั การคือ การสรา้ งให้สมาชิกมีความ เข้าใจในอุดมการณ์ ผู้นาเป็นที่ศรัทธาเพราะมีความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ ปฏิบัติตามหลักธรรมช่ืออปริ หานิยธรรม คือข้อปฏิบัติที่ไม่เป็นไปเพ่ือความเสื่อมมีแต่ความเจริญฝ่ายเดียว คือ 1) หม่ันประชุมกัน เนอื งนติ ย์ 2) เร่ิมประชมุ เลกิ ประชุมและทากิจกรรมโดยพร้อมเพียงกัน 3)ไม่บัญญัติ หรอื ลม้ เลิกข้อบัญญัติ ต่าง ๆ 4) ให้ความเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ 5) ไม่ข่มเหงสตรี 6) เคารพบูชาสักการะเจดีย์ หรือส่ิงที่เป็นทเี่ คารพของชุมชน 7) ให้การอารักขาพระภิกษุสงฆ์หรือผู้ทรงศีล และดาเนินงานกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมแก่สมาชิกนาไปสู่ความรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกัน โดยมีหลักในการบริหาร จัดการกองบุญ จานวน 9 ข้อ 1) การดาเนินงานประกอบด้วยคณะกรรมการจานวน 14 คน คือ ประธาน 1 คน รองประธาน 1 คนเหรัญญิก 2 คน กรรมการฝ่ายรับเงินสวัสดิการ 3 คน กรรมการฝ่ายจ่ายเงิน สวสั ดิการ 3 คน กรรมการฝ่ายตรวจสอบ 2 คน และคณะกรรมการฝ่ายประชาสมั พันธ์ 2 คน 2) การสง่ เงนิ สะสม เปิดรับเงินสะสมของสมาชิกทุกวันที่ 9 ของเดือน ต้ังแต่เวลา 08.00-12.00 น. ที่วัดโพธิศิลา 3) การ รับเงินสวัสดิการ ให้สมาชิกที่ประสงค์รับเงินสวัสดิการแจ้งความจานงพร้อมแนบเอกสารหลักฐาน ขอรับ สวัสดิการได้ในวันทาการคือในวันท่ี 9 ของทุกเดือน 4) มีการประชุมคณะกรรมการเพื่อสรุปผลการ ดาเนินงานทุกเดือน หลังจากท่ีคณะกรรมการทาหน้าที่รับเงินสะสมและจ่ายสวัสดิการให้แก่สมาชิกเสร็จ เรียบร้อยแล้ว 5) ดาเนินการตามอปริหานิยธรรม คือ ข้อปฏิบัติท่ีไม่เป็นไปเพ่ือความเสื่อม แต่เป็นไปเพ่ือ ความเจริญฝ่ายเดียว 7 ข้อ 6) ดาเนินงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต 7) ดาเนินงานด้วยยึดหลักเมตตาธรรม สงเคราะห์กัน ทาบุญร่วมกัน อันเป็นอุดมการณ์ที่สาคัญของกองบุญ 8) ความเสียสละ ทั้งคณะกรรมการ และสมาชิกตอ้ งยึดปฏบิ ตั ิ และ 9) ยดึ มั่นกฎกติกาของกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบา้ นทีส่ มาชิกมสี ว่ นร่วมใน การกาหนดขนึ้ 2. ปัจจัยเกื้อหนุนและการคงอยู่ของกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้านตาบลเปือย อาเภอลือ อานาจ จังหวัดอานาจเจริญ ผลการวิจยั พบวา่ .ปัจจยั เกอ้ื หนนุ และการคงอยู่ของกองบุญสัจจะสวสั ดกิ ารไท
30 ปที ่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) บ้าน มีท้ังปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ซ่ึงปัจจัยภายใน ได้แก่ การมีศูนย์รวมใจคือพระสงฆ์ บริหาร จัดการกองทุนโดยมีหลักธรรม คืออปริหานิยธรรมเป็นแนวทาง มีระบบการบริหารจัดการบัญชีที่ดี มีการ เรียนรแู้ ละเพ่ิมพูนความร้ใู หก้ ับคณะกรรมการและสมาชิกอยู่เสมอ ทางานด้วยใจอาสา และให้โอกาสทกุ คน ได้เข้ามาทางานอย่างเท่าเทียม ให้สมาชิกได้เข้ามามีส่วนร่วมในการทางาน การประชุมร่วมกันทุกเดือน ความโปร่งใสในการดาเนินงาน และมีผลการดาเนินงานเร่ืองการจัดสวัสดิการท่ีชัดเจน จึงสามารถสร้าง ความเช่ือม่ันกับสมาชิกได้จึงทาให้กองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้านยังคงอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอก คือ การ ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายการพัฒนาจากหน่วยงานภายนอกเป็นอย่างดี นอกจากนี้แล้วปัจจัยที่ สาคัญท่ีทาให้กลุ่มคงอยู่อย่างยั่งยืนคือ การสร้างจิตสานึกของสมาชิก ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วม แรง ร่วมใจ ร่วมสร้างและร่วมรับผลประโยชน์ การทางานที่สาเร็จเกิดจากการศรัทธาผู้นาชุมชน ทาให้ ชมุ ชนมีความสขุ ในการทางาน 3. ผลของการดาเนินกิจกรรมที่นาไปสู่การจัดการตนเองของชุมชน ผลการวิจัยพบว่า กองบุญ สัจจะสวัสดิการไทบ้าน สามารถจัดการตนเองได้ในเร่ืองการจัดสวัสดิการชุมชน โดยมีความเป็นอิสระ สามารถกาหนดหรอื ปรับเปลีย่ นหลักเกณฑใ์ นการจัดสวสั ดิการได้ด้วยคนในชุมชนเอง ไม่ตอ้ งรอรับนโยบาย จากผู้นาหรือผู้ปกครองภายนอกชุมชน ซ่ึงเมื่อสังเคราะห์กิจกรรมที่นาไปสู่การจัดการตนเองได้ของชุมชน นั้น สามารถสรุปได้ใน 4 ประเด็นคือ ประเด็นท่ี 1 หลักการในการดาเนินงาน ในการดาเนินงานของกอง บุญสัจจะสวัสดิการไทบ้านน้ัน มีหลักการที่สาคัญในการดาเนินงานและสามารถนาไปสู่การจัดการตนเอง ของชุมชน คือ 1) การพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นหลักการที่สาคัญในการทางาน เพราะผู้นาและชุมชนมี ความคิดและตระหนักร่วมกันว่า ต้องช่วยกันพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและของคนในตาบลให้ดีข้ึน 2) ประโยชนส์ ว่ นรวม สมาชิกและคณะกรรมการลดความเห็นแกต่ วั ลง โดยสมาชิกตอ้ งสละเงนิ ตนเองมารวมไว้ ท่ีกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้าน เพื่อนาไปจัดสวัสดิการให้เพื่อนสมาชิก คณะกรรมการต้องสละเงินใน ฐานะสมาชกิ เช่นกันและต้องเสียสละเวลาบริหารจัดการกลุ่มให้ดาเนินไปไดด้ ้วยดี เพราะมีหลักคิดทสี่ าคญั คือเพอื่ ประโยชนส์ ว่ นรวม 3) การสร้างความตระหนกั แก่สมาชิก มคี วามสาคญั ตอ่ การสรา้ งการมีส่วนร่วมใน กิจกรรมต่าง ๆ 4) อุดมการณ์เร่ืองการช่วยเหลือกัน การเสียสละเงินกันวันละบาทเพื่อมาทาบุญด้วยการ สงเคราะหค์ นทงั้ ตาบลรว่ มกัน การสร้างความเข้าใจเร่ืองการเฉลยี่ ทกุ ขเ์ ฉล่ยี สขุ เป็นการนาไปส่กู ารสานกึ รัก เพ่ือนบ้าน รักสมาชกิ ในตาบลและรกั บ้านเกิด 5) อปริหานยิ ธรรม เป็นหลักการสาคญั ท่เี ป็นแนวทางปฏบิ ัติ เพอ่ื นาไปสู่ความเจริญ คอื การประชมุ ร่วมกันสมา่ เสมอ เม่อื ประชุมกพ็ ร้อมเพยี งกันประชุม เมื่อเลิกประชมุ กพ็ รอ้ มเพยี งกนั เลิก เป็นการสร้างระบบการสือ่ สาร การใหเ้ กยี รตกิ ัน ความเสมอภาคกันให้เกิดข้นึ ในใจของ ประชาชนทุกคน เม่ือเป็นดังน้ีแล้วประชาชนย่อมยินดีเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน เพราะตาม หลักการแล้วมนุษย์ทุกคนเป็นสัตว์สังคม ต้องการได้รับการยกย่องให้เกียรติจากสังคม และประการสาคัญ การพร้อมเพียงกันประชมุ ยอ่ มนามาซึ่งความเป็นเอกภาพในการดาเนนิ กิจกรรมตา่ ง ๆ 6) การดาเนินงานท่ี ยดึ หลกั คณุ ธรรมทส่ี าคัญ เชน่ ความซ่ือสตั ย์ ความเสียสละ และความสามคั คี และ 7) หลักการพฒั นาชมุ ชน ใหค้ วามสาคัญเรอ่ื งการเตรียมคนหรอื พฒั นาคนกอ่ น โดยมีความเชอื่ ทสี่ าคญั ว่า เมอื่ คนได้รับการพฒั นาแลว้ คนย่อมไปดาเนนิ การสิง่ ดตี า่ ง ๆ เพ่ือพัฒนาคุณภาพชวี ิตของตนเองและชุมชนได้ ประเด็นท่ี 2 กลไกในการ ดาเนินงาน ประกอบด้วย 1) ผู้นา เป็นกลไกสาคัญที่ทาให้การดาเนินงานไปสู่เป้าหมายได้ และ 2)
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 31 คณะกรรมการตัวแทนแต่ละหมู่บ้าน เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบา้ น เพ่ือสร้างการรับรู้ข้อมูลข่างสารอย่างท่ัวถึงและสามารถรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกหมู่บ้านได้ ประเด็นที่ 3 วิธีการในการดาเนินงาน ประกอบด้วย 1) การประชุมสม่าเสมอ การประชุมเป็นวิธีการที่นิยมใช้ในการ ดาเนินงานกิจกรรมตา่ ง ๆ อยเู่ ปน็ ประจา เพราะเป็นการส่ือสารสองทางสามารถสร้างความเข้าใจร่วมกันได้ เป็นอย่างดี เป็นการสร้างการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของคนที่ร่วมประชมุ ได้เป็นอย่างดี 2) การสื่อสาร อย่างท่ัวถึง เป็นวิธีการทางานทีม่ ีประสิทธิภาพ เช่น การประชมุ ประจาเดือน การประชาสัมพนั ธ์ในงานบุญ ประเพณีหรือวันพระ และการประชาสัมพันธ์ทางวิทยุชุมชน 3) การสร้างการมีส่วนร่วม เป็นวิธีการทางาน พัฒนาท่ีสาคัญ เพราะจะนาไปสู่ความรู้สึกเป็นเจ้าของแก่ประชาชนและนาไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และ 4) การสร้างการเรียนรู้ เพราะเม่ือคนเกิดการเรียนรู้แล้ว คนจะไปออกแบบพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองและ พัฒนาชมุ ชนได้เอง ประเด็นท่ี 4 กระบวนการในการดาเนินงาน ประกอบด้วย 1) การสร้างความชัดเจนใน อดุ มการณ์ จัดเปน็ ขัน้ ตอนแรกของการดาเนนิ งานกบั ประชาชนหมมู่ าก เพราะเมอื่ เข้าใจอุดมการณ์ในการ ทางานแลว้ จะเกิดความเป็นเอกภาพในการทางาน และจะเกดิ พลังในการขับเคลื่อนกจิ กรรมตา่ ง ๆ 2) การ ประชมุ ทุกเดอื น เป็นกระบวนการทส่ี าคัญ ที่สร้างการรบั รู้ขา่ วสาร การตรวจสอบความถกู ตอ้ ง โปรง่ ใส และ สามารถพัฒนาศักยภาพคนให้เกิดการเรียนรู้ได้ 3) การสร้างการมีส่วนร่วมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การ ประชุม การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ในการจัดสวัสดิการและกฎกติกา และ 4) กา รประชุม สรุปผลการดาเนนิ งานประจาปี เพอ่ื สร้างความโปร่งใส และสรา้ งความมน่ั ใจใหแ้ ก่สมาชกิ อภปิ รำยผลกำรวจิ ัย จากผลการวิจัยเร่ือง กองทุนสวัสดิการชุมชนกับการจัดการตนเองของชุมชน กรณีศึกษากองบุญ สัจจะสวสั ดกิ ารไทบ้านตาบลเปือย อาเภอลืออานาจ จังหวัดอานาจเจรญิ มีประเด็นท่ีนามาอภปิ ราย ดงั นี้ 1) การจัดการกองบุญสัจจะสวัสดิการไทบ้าน ตาบลเปือย อาเภอลืออานาจ จังหวัดอานาจเจริญ ดาเนินการด้วยการคานึงถึงวิถีชีวิตของชุมชนคือการเคารพศรัทธาในพระสงฆ์ มีพระสงฆ์เป็นผู้นาทางจิต วิญญาณ คอยกากับให้หลักคิดแก่คณะกรรมการและสมาชิก การสร้างความเข้าใจท่ีชัดเจนในเรื่อง อุดมการณ์ คือการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การทาบุญสงเคราะห์กัน นาจุดแข็งคือวัฒนธรรมการช่วยเหลือ เกื้อกูลกันของชุมชนมาหนุนเสริมการสร้างระบบสวัสดิการคือการช่วยเหลือกันเองในชุมชนอันเป็น วัฒนธรรมเดิมของคนในชุมชนอยู่แลว้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับ นริศรินทร พันธเพชร (2554) ได้อธิบาย ถงึ กระบวนการจัดสวสั ดิการชุมชนไว้ว่า เกิดจากคนในชมุ ชนร่วมกนั จัดให้มีระบบการดูแลชว่ ยเหลือ เก้ือกูล ซึ่งกันและกัน ซึ่งครอบคลุมถึงผู้ทุกข์ยาก และผู้ด้อยโอกาสในชุมชน ซ่ึงมีรูปแบบและวิธีการท่ีหลากหลาย ทั้งในรูปของส่ิงของ เงินทุน น้าใจ และการช่วยเหลือเกื้อกูลต้ังแต่เกิดจนตาย ซ่ึงหมายรวมถึงการสร้าง หลกั ประกนั และความมน่ั คงในชวี ิตร่วมกันของคนในชมุ ชน และการจดั การกองบุญสจั จะสวัสดกิ ารไทบ้าน ตาบลเปือยนั้น เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกาหนดหลักเกณฑ์หรือปรับเปล่ียนรูปแบบการ จัดสวัสดิการชุมชนได้ตามความต้องการ เพื่อตอบสนองความต้องการและเหมาะสมแก่สภาพความเป็นอยู่ ของสมาชกิ สอดคล้องกับ ระพีพรรณ คาหอม (2545) ได้กลา่ ววา่ ในการจดั สวัสดกิ าร ตอ้ งพิจารณาอย่าง ละเอียดรอบคอบว่า ความเหมาะสมอยู่ในระดับใด ตรงนี้ถือเป็นประเด็นสาคัญท่ีการจัดการบริหารกลุ่ม
32 ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ต้องพิจารณาถึงปัจจัยและเง่ือนไข ทาอย่างไรเม่ือสร้างกลุ่มข้ึนมาแล้ว กลุ่มจะคงอยู่และดารงอยู่กับชุมชน ไดอ้ ยา่ งย่งั ยืน และคงประโยชน์ให้กบั ชุมชนไดม้ ากที่สุด 2) ปัจจัยเง่ือนไขและการคงอยู่ของกลุ่ม พบว่า มีทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ซึ่งปัจจัย ภายใน ได้แก่ การมศี นู ยร์ วมจติ ใจอยู่ทีเ่ ดียวกนั มีหลักธรรมในการบรหิ ารจัดการกองทุน มีระบบการบรหิ าร จดั การบญั ชที ี่ดี มีการเรยี นรแู้ ละเพ่ิมพนู ความรู้ใหก้ ับกลุม่ อยู่เสมอ ทางานดว้ ยใจอาสา ให้สมาชกิ ได้เข้ามามี ส่วนร่วมในการทางาน ส่วนปัจจัยภายนอก คือ การได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายการพัฒนาจาก หนว่ ยงานภายนอกเปน็ อย่างดี นอกจากนแ้ี ล้วกล่มุ ยงั มีความคิดในเชิงบวกคือ คิดทาเพ่ือให้ชุมชนพ่งึ ตนเอง ได้แบบครบวงจรชีวิต ซ่ึงในการทางานกลมุ่ มีการบริหารจัดการกลุ่มอย่างชดั เจน โดยเปิดโอกาสให้สมาชกิ ของกล่มุ ไดเ้ ข้ามามสี ่วนรว่ มในการทางาน และสามารถตรวจสอบการทางานไดท้ ุกขน้ั ตอน โดยมหี ลกั ในการ บริหารจัดการกลุ่มเพื่อความยั่งยืน 5 ก คือ 1) กรรมการ ที่ได้มาจากการเลือกต้ังของสมาชิก เป็นผู้มี คุณธรรม มีความสามารถ เป็นที่ไว้วางใจของสมาชิก 2) กฎกติกา ระเบียบของกองบุญสัจจะสวัสดิการไท บ้าน ท่ีสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการกาหนดข้ึนมา และมีการปรับเปล่ียนหรือเพิ่มและลดได้ทุกปี 3) กิจกรรม คือ การส่งเงินสจั จะแก่กองบุญและการรับสวัสดิการ การประชุมร่วมกันทุกเดือน 4) กองทุน คือ เงินสัจจะของสมาชิกทุกคนท่ีมาส่งให้กับกองบุญฯ นาไปจัดสวัสดิการให้แก่สมาชิก และ 5) การประชุม มี การประชุมร่วมกันทกุ เดือน โดยยึดหลักอปริหานยิ ธรรม คือข้อปฏิบัติที่ไมเ่ ป็นไปเพื่อความเส่ือมมีแตค่ วาม เจริญฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ ทนงศักดิ์ คุ้มไข่น้า และคณะ (2534) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบและหลักการดาเนินงานของกลุ่มเพื่อนาไปสู่ความยั่งยืนประกอบด้วย 4 ก คือ 1) กรรมการ หมายถึง มคี ณะกรรมการซึง่ เลอื กมาจากสมาชิก เพ่ือทาหนา้ ที่เปน็ ตวั แทนบรหิ ารกิจการของกลมุ่ 2) กตกิ า หมายถึง ระเบียบข้อบังคับ หรือข้อตกลงต่าง ๆ ท่ีสมาชิกได้ช่วยกันกาหนดขึ้นมาเป็นแนวปฏิบัติ 3) กิจกรรม หมายถึง การเคล่ือนไหวในการดาเนินงานของกลุ่มตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้และ 4) กองทุน หมายถึง คา่ ใช้จา่ ยรวมทัง้ วัสดุอปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในการดาเนินงานของกลมุ่ 3. การดาเนินกจิ กรรมที่นาไปสู่การจัดการตนเองของชมุ ชน พบวา่ กองบุญสจั จะสวสั ดกิ ารไทบ้าน มวี ิธีการในการดาเนนิ งานทนี่ าไปสู่การจัดการตนเองของชมุ ชน คอื 1) การประชมุ สม่าเสมอ เพราะเป็นการ สื่อสารสองทางสามารถสร้างความเข้าใจร่วมกันได้เป็นอย่างดี และเป็นการสร้างการเรียนรู้และพัฒนา ศักยภาพของคนท่ีร่วมประชุมได้เป็นอย่างดี 2) การสื่อสารอย่างท่ัวถึง เป็นวิธีการทางานท่ีมีประสิทธิภาพ ในการดาเนินงานกองบญุ สจั จะสวัสดกิ ารไทบ้าน ให้ความสาคัญกับการสื่อสาร จึงมีการสื่อสารไปสูส่ มาชิก หลายช่องทาง เช่น การประชุมประจาเดือน การประชาสัมพันธ์ในงานบุญประเพณีหรือวันพระ และการ ประชาสัมพันธท์ างวทิ ยุชมุ ชน 3) การสร้างการมีส่วนร่วม เปน็ วธิ ีการทางานพฒั นาทส่ี าคญั เพราะจะนาไปสู่ ความรู้สึกเป็นเจ้าของแก่ประชาชนและนาไปสู่การพัฒนาท่ีย่ังยืน เป็นปัจจัยเง่ือนไขท่ีสาคัญในการจัดการ ตนเองของชมุ ชน เพราะการจดั การตนเองตอ้ งอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายทุกคน 4) การสรา้ งการเรียนรู้ การสร้างการเรยี นร้เู ป็นตัวชวี้ ัดที่สาคัญของการพฒั นาคน ถา้ สามารถสรา้ งการเรียนรูแ้ กป่ ระชาชนไดส้ าเร็จ จัดได้ว่าการดาเนินงานพัฒนาชุมชนประสบความสาเร็จแล้ว เพราะเม่ือคนเกิดการเรียนรู้แล้ว คนจะไป ออกแบบพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองและพัฒนาชุมชนได้เอง หลักการจัดการตนเองดังกล่าวสอดคล้องกับ โกวทิ ย์ พวงงาม (2553) กลา่ วถึงกระบวนการจัดการตนเองของชุมชนวา่ การจดั การตนเองของชมุ ชนและ
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 33 ท้องถน่ิ นน้ั มีหลักการและกระบวนการทส่ี าคัญคือ กระบวนการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน โดยเร่ิมจากการเปิดใจ กว้างที่จะรับฟัง การเปิดใจกว้างน้ันจะต้องมาจากฐานของความเข้าใจทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ อย่างแท้จริง เพราะการเปิดกว้างน้ันจะทาให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่จะทาให้เกิดแนวคิด แนวทางใหม่ ๆ การเปิดกว้างรับการมสี ่วนร่วมของชุมชนนั้น ต้องเหมาะสมกบั วถิ ีชีวิตของคนในชมุ ชนเองเป็นหลกั และการ สร้างกระบวนการเรียนรู้ เพ่ือให้มีการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนได้รับการพัฒนาทั้งตัวผู้ดาเนนิ การ สมาชิก รูปแบบ กระบวนการและวิธีการ ควรจะมีการสร้างกระบวนการแลกเปล่ยี นเรียนรู้ให้เกิดข้ึนในทกุ กิจกรรม อันจะเป็นการสร้างรูปแบบการพัฒนากิจกรรม การพัฒนาคนในชุมชน อีกท้ังยังเป็นการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเองในชุมชนหรือจะเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายนอก กระบวนการแลกเปล่ียน เรียนรู้จะเป็นการสร้างฐานความสัมพันธ์อันดีให้กับคนในชุมชนและเปน็ การพัฒนาองค์ความรู้ที่มีอยผู่ นวก กับประสบการณ์ส่วนบุคคลและการแลกเปล่ียนเรียนรู้กับชุมชนภายนอก จะนามาซ่ึงการสร้างองค์ความรู้ ใหมท่ ่ีเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ทีส่ มารถนาไปใช้กบั การจดั การตนเองของชมุ ชนได้ องค์ควำมรู้ใหม่จำกกำรวิจยั การจัดการกองบุญฯ ที่สาคัญได้แก่ การนาหลักอปริหานิยธรรม คือข้อปฏิบัติที่ไม่เป็นไปเพ่ือความ เส่ือมมาปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะข้อหม่ันประชุมกันสม่าเสมอ กองบุญฯ จัดให้มีการประชุม คณะกรรมการเพื่อสรุปผลการทางานทุกเดือน ด้านปัจจัยเก้ือหนุนให้กลุ่มมีความยั่งยืน คือการเปิดโอกาส ให้สมาชิกทุกคนมีสว่ นร่วมในการปรับเปล่ียนกฎกติกาทุกปี และมีการจากัดขอบเขตการรับสมาชิกท่ีต้องมี ภูมิลาเนาอยู่ในตาบลเดียวกัน เพ่ือการส่ือสารข้อมูลได้อย่างท่ัวถึง ในประเด็นเร่ืองผลการดาเนินงานที่ นาไปสู่การจัดการตนเองท่ีสาคัญนัน้ คือ การเตรียมความพร้อมของสมาชิก โดยก่อนต้ังกองบุญฯ ได้มีการ สร้างความเข้าใจแก่สมาชิกอย่างทว่ั ถึง และหลังจากเข้าเป็นสมาชกิ แลว้ มีการสร้างการเรียนรู้ต่อเนื่องผ่าน กิจกรรมต่าง ๆ เช่น งานบุญประเพณี งานประชุมหมู่บ้าน สถานีวิทยุชุมชน การเทศน์ในวันพระ การ ประชุมประจาปี ฯลฯ และ การให้สมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมในการกาหนดเง่ือนไขการจัดสวัสดิการให้กับ ตนเอง ซงึ่ ตอ้ งมกี ารอภิปราย ถกแถลง สรา้ งการเรยี นรู้จนยอมรับเป็นฉนั ทามตริ ว่ มกนั ข้อเสนอแนะกำรวิจยั 1. ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใชป้ ระโยชน์ หรอื ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ โดยกรม พัฒนาสังคมและสวัสดิการ และสถาบนั พัฒนาองค์กรชมุ ชน ควรนาผลการวิจัยไปใชเ้ ป็นข้อมูลเพื่อส่งเสรมิ และพฒั นาศักยภาพกลุ่มสวัสดิการชุมชน ให้สามารถดาเนินการจดั สวสั ดิการชมุ ชนให้เขม้ แขง็ อันจะนาไปสู่ การพง่ึ ตนเองได้อย่างยั่งยนื ของชมุ ชน 2. ข้อเสนอแนะในการทาวจิ ัยคร้งั ต่อไป ควรดาเนนิ การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัติการแบบมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ซ่งึ มภี ารกิจหลกั ในการพัฒนาคุณภาพชวี ิตของประชาชนในพ้นื ท่ีรับผิดชอบ ควรสนับสนุนให้ชุมชนจัดต้ังกองทุนสวัสดิการ ชุมชน และส่งเสริมชุมชนให้สามารถจัดการตนเองด้านสวัสดิการ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพ ชวี ิตของประชาชนทีย่ ั่งยนื
34 ปีที่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) กิตตกิ รรมประกำศ ผู้วิจัยขอขอบคุณสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ผู้สนับสนุนทุนการวิจัย ประจาปีงบประมาณ 2560 และผู้บริหารสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี กราบนมัสการ ขอบพระคุณพระครูอุดมโพธิกิจ เจ้าอาวาสวัดโพธ์ิศิลา เจ้าคณะตาบลเปือย ผู้นาในการก่อตั้งกองบญุ สัจจะ สวัสดิการไทบา้ น ผู้บริหารและสมาชกิ กองบุญสจั จะสวสั ดิการไทบ้าน ทุกท่าน ท่ีให้ความอนุเคราะห์ขอ้ มลู และมีส่วนรว่ มในการสงั เคราะห์ขอ้ มูล จนทาใหง้ านวิจยั ในคร้งั นีส้ าเรจ็ ลุลว่ งด้วยดี เอกสำรอ้ำงองิ โกวิทย์ พวงงาม. (2553). การจัดการตนเองของชุมชน. กรงุ เทพฯ: เอ็กเปอเน็ต ทนงศักดิ์ คมุ้ ไข่นา้ และคณะ. (2534). การพัฒนาชุมชนเชิงปฏิบัต.ิ กรุงเทพฯ: บพธิ การพมิ พ์. นรศิ รินทร พันธเพชร. (2554). ความสาเร็จของกองทนุ สวัสดกิ ารชุมชน : กรณีศกึ ษากองทนุ สวัสดิการชมุ ชนของโรงสีชมรมรักษ์ธรรมชาตนิ าโส่ อาเภอกุดชมุ จังหวดั ยโสธร. รฐั ประศาสนศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. ระพพี รรณ คาหอม. (2545). สวสั ดกิ ารสงั คม. กรุงเทพฯ: อารยัน มีเดีย.
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 35 ละครร้องแมช่ มอ้ ย คังฆะรตั น์ เรือ่ งสามกก๊ The Lakhon Rong (Singing Dance-Drama) in the Sam Kok Epic by Mae Chamoi Kangkarat's Troupe อทิตยา ศรปี ระเสริฐ1 สุรัตน์ จงดา2 จุลชาติ อรัณยะนาค3 Atittaya Sriprasert1 Surat Jongda2 Chulachart Aranyanak3 1นกั ศึกษาหลักสูตรศิลปมหาบณั ฑิต สาขาวชิ านาฏศลิ ปไ์ ทย คณะศิลปนาฏดุรยิ างค์ สถาบันบณั ฑติ พัฒนศลิ ป์ Master of Art in Deparment of Thai Performing Arts, Faculty of Music and Drama, Bunditpattanasilpa Institute 2อาจารย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศลิ ป์ / The instructor, Bunditpattanasilpa Institute 3ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ สถาบันบณั ฑิตพัฒนศลิ ป์ / Assistant Professor, Bunditpattanasilpa Institute Corresponding author, e-mail: saiy_22@hotmail.com (Received: 27 February 2020, Revised: 10 March 2020, Accepted: 13 March 2020) บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาประวัติความเป็นมา รูปแบบ และองค์ประกอบการแสดงละคร ร้องแม่ชมอ้ ย คงั ฆะรัตน์ เรือ่ งสามกก๊ ตอนตั๋งโตะ๊ หลงกลนางเตียวเสีย้ น และวิเคราะห์กระบวนท่าของลโิ ปใ้ น การแสดงละครร้อง โดยใช้วิธีการดาเนินงานวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาจากเอกสาร ตารา วรรณกรรม งานวิจัยท่ี เก่ียวข้อง การสัมภาษณ์ และการศึกษาจากวีดีทัศน์ แล้วนาข้อมูลที่ได้มาสรุป และเรียบเรียง ผลการศึกษา พบว่า ละครร้องเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ได้ นารูปแบบการแสดงจากตะวันตกมาผสมผสานกับละครไทยในหลากหลายรูปแบบ จนเกิดการพัฒนาเป็น ละครร้องของไทย สาหรบั การแสดงละครรอ้ งแมช่ มอ้ ย คงั ฆะรตั น์ เรือ่ งสามก๊ก ตอนตัง๋ โตะ๊ หลงกลนางเตียว เสยี้ นถงึ แมว้ า่ จะแสดงรูปแบบละครร้อง แตเ่ ป็นทานองงิว้ กล่าวคอื ใชเ้ ร่อื งอยา่ งจีน แต่งตัวจีน รา่ ยราอยา่ ง จนี แต่รอ้ งเพลงไทยหรือไทยสากลสาเนยี งจนี หรอื ท่ีเรียกว่า “งิ้วไทย” ซึ่งบทบาททแ่ี มช่ มอ้ ยมีชื่อเสียงมาก ทสี่ ดุ คอื บทบาทลโิ ป้ การแสดงบทบาทลิโป้ผู้แสดงตอ้ งมคี ุณสมบัติทเี่ หมาะสมกบั การแสดงละครรอ้ ง และ ตอ้ งมีความสามารถพเิ ศษดา้ นการออกท่าทางอย่างง้ิว และมฝี ีมอื การแสดงด้านการต่อสู้ เพราะบทบาทลโิ ป้ นั้นเป็นพระเอกที่เป็นนักรบ อีกทั้งยังต้องมีกลวิธีการถ่ายทอดอารมณ์ และการแสดงท่าทางแบบอย่างง้ิว ผสมผสานกับองค์ประกอบการแสดงท่ีเลียนแบบการแสดงงิ้วของจีนน่ันเอง สิ่งเหล่าน้ีล้วนมสี ่วนทาให้การ แสดงละครร้องเร่ืองนี้มีความโดดเด่นและแตกต่างจากการแสดงละครร้องเร่ืองอื่น ๆ และเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะของการแสดงละครรอ้ งของแม่ชมอ้ ย คังฆะรัตน์ คำสำคัญ: ละครร้อง; แม่ชมอ้ ย คังฆะรตั น;์ สามกก๊ ; งิว้ ไทย
36 ปที ี่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ABSTRACT The purposes of this research are as follows: studying the history, theatrical formation and elements of the lakhon rong (singing dance-drama) in the Sam Kok epic (the Three Kingdoms) in the episode of Dong Zhou lured by Diao Chan (Sable Cicada) as well as analyzing the Lu Bu role's dance figures performed by Mrs. Chamoi Kangkarat leading the troupe known as lakhon rong Mae Chamoi Kangakarat. This research was conducted based on qualitative research methods in which data are collected by studying related literature and relevant research, interview, and observing the video recording of the performance. The results showed that the lakhon rong was originated in King Rama V's reign by HRH Prince Narathip Praphanphong who had integrated the elements of Western performing arts into various types of classical Thai theatres and one of those was the lakhon rong. Regarding the lakhon rong performed by Mae Chamoi Kangkarat (Mrs. Chamoi Kangkarat)'s troupe in the Sam Kok epic in the episode of Dong Zhou lured by Diao Chan (Sable Cicada), it is performed as the lakhon rong formation but the prominent theatrical style is influenced by thamnong ngiw (the Chinese opera's style) affecting the following theatrical features: use of the Chinese epic, costume, and dance style. However, the music used is the contemporary Thai music blended with Chinese musical style called 'ngiw Thai' (Thai-Chinese opera). The most famous role of Mrs. Chamoi Kangkarat in the lakhon rong is Lu Bu, which requires the following performer's attributes: the appropriate characters for the lakhon rong, a talent of acting like Chinese opera dance style, and ability to perform martial dance skills because Lu Bu is the warrior in the Sam Kok epic. Moreover, the performer acting as Lu Bu should be able to express the emotional manner imitated from the Chinese opera's dance style in the performance. All theatrical constitutions mentioned have created distinguishable theatrical features into the lakhon rong in the Sam Kok epic and this has made Mae Chamoi Kangkarat's lakhon rong troupe unique. Keywords: The lakhon rong (singing dance-drama), Mae Chamoi Kangkarat, Sam Kok, Ngiw Thai บทนำ ละครร้องเป็นละครที่เกิดข้ึนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว โดยพระเจ้าบรมวงศ์ เธอกรมพระนราธปิ ประพันธ์พงศ์ สนั นษิ ฐานวา่ พระองคน์ าแนวคิดมาจากการแสดงหลายอยา่ งดว้ ยกนั อาทิ ละครบังสะวันของมลายู อุปรากร และละครดึกดาบรรพ์ และละครรา ซึ่งเกิดขน้ึ มาก่อนละครร้อง ในคร้ัง แรกละครร้องของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ จะมีลักษณะการแสดงเป็นการร้อง สลับพูดโดยใช้ท่าราอย่างไทยอยู่บ้าง แสดงเรื่องราวจากประวัติศาสตรแ์ ละวรรณคดี เมื่อได้นามาจัดแสดง ถวายทอดพระเนตรต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ให้เป็นคณะ “ละครหลวงนฤมิตร” ต่อมาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ได้ปรับปรุง รูปแบบการแสดงใหม่โดยไม่มีการร่ายรา แต่จะใช้กิริยาท่าทางอย่างสามัญชน ให้ผู้แสดงร้องเองมีลูกคู่รับ เฉพาะทานองเอ้ือน ใชผ้ ู้หญิงแสดงทงั้ หมด ยกเวน้ ตัวตลกเท่าน้นั ทใี่ ช้ผ้ชู ายแสดง การแตง่ กายจะเป็นไปตาม เนือ้ เร่ือง เรยี กละครร้องน้ีว่า “ละครปรดี าลยั ” ทรงนิพนธ์บทละครโดยอาศัยเค้าโครงเร่ืองจากชวี ิตจริงบ้าง เรื่องจากพงศาวดารบ้าง หรือจากเค้าโครงเร่ืองจากนิยายฝรั่งบ้าง แต่เป็นเร่ืองธรรมดาที่สามัญชนคน ธรรมดาท่ัว ๆ ไปสามารถเข้าใจเร่ืองราวท่ีสะท้อนออกมาได้ อาทิ ตุ๊กตายอดรัก ขวดแก้วเจียระไน เครือ
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 37 ณรงค์ กากี ภารตะ สีป๊อมินทร์ (กษัตริย์ธีบอของพม่า) พระยาสีหราชเดโช โคตรบอง สาวเครือฟ้า ซ่ึง ดัดแปลงจากเรื่องมาดามบัตเตอร์พลาย (Madame Butterfly) จึงทาให้ละครของพระองค์เป็นที่นิยม กันทั่วทุกชนชั้น เม่ือละครร้องของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธพ์ งศ์ได้นามาจัดแสดงท่ี โรงละครปรีดาลัย ผู้ชมจึงต่างพากันเรียกช่ือละครร้องตามช่ือโรงละครว่า “ละครร้องปรีดาลัย” หรือ “ละครปรดี าลยั ” ต้งั แตน่ ้ันมา นอกจากนี้ด้วยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงนา การแสดงงิ้วมาเล่นอย่างละครร้อง เป็นบทพระนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง ซ่ึงทรงใช้นามปากกาว่า “เหม็งกุ่ยบุ้นรจนา” เรื่องสามก๊ก ตอนต๋ังโต๊ะหลงกลนางเตียวเส้ียน โดยผู้แสดงแต่งตัวเป็นงิ้ว รวมทั้งลีลา ท่าทางเป็นงิ้ว แต่ขับร้องเพลงทานองจีนเป็นภาษาไทย ประกอบกับฉากและกระบวนการด้านเทคนิค ตระการตา หลังจากนั้นมานานพอสมควร “แม่ชม้อย” พระเอกละคร ที่มีลีลากระบวนท่าที่งามสง่าได้นา บทง้ิวของเสด็จในกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ไปแสดงโดยตัวเองเล่นเป็น “ลิโป้” นักรบหนุ่มเลือดร้อน ด้วยท่าทที เ่ี ก๋และโก้ และรอ้ งเพลงไทยทานองจนี เปน็ ทต่ี ิดอกติดใจของผชู้ ม (อารยี ์ นักดนตร,ี 2545) แม่ชม้อย คังฆะรัตน์ เป็นศิษย์รุ่นเล็กสุดของละครปรีดาลัยท่ีเคยร่วมแสดงละครร้องปรีดาลัยของ วังแพร่งนรามาตั้งแต่เด็ก จนเม่ือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ส้ินพระชนม์ พ.ศ. 2474 แม่ชม้อยจึงแยกตัวออกมาต้ังคณะละครของตนเองชื่อว่า “คณะเทพบันเทิง” ต่อมาจึงใช้ช่ือของ ทา่ นเปน็ คณะละครร้องว่า “แม่ชมอ้ ย” นาเรื่องสามกก๊ และเรื่องอ่นื ๆ ที่เปน็ จีนมาแสดงเป็นละครร้อง อาทิ เรอ่ื งสามก๊ก เร่ืองฮวนลิฮวย เรอ่ื งนางพญางูขาว เปน็ ตน้ เรียกการแสดงของท่านว่า “งิ้วไทย” โดยแต่งกาย เป็นง้ิวของชาวจีน เม่ือแม่ชม้อยต้ังคณะแล้วได้ไปฝึกหัดการแสดงง้ิวจากครูชาวจีนที่เป็นจีนแท้ ๆ จาก แผ่นดินใหญ่มาสอนการแสดง “ง้ิว” จนมีความสามารถแสดงละครร้องในเร่ืองจีน เช่น สามก๊ก ทาให้แม่ ชมอ้ ยมชี ื่อเสียงมาก จนผูช้ มตัง้ ฉายาว่า “แม่ชมอ้ ย ลโิ ป้” เพราะว่าบทบาทของลิโป้นัน้ เฉยี บขาดสามารถรบั คู่ต่อส้ดู ว้ ยอาวุธ หกคะเมนตีลังกาเทยี บเทา่ นักแสดงของง้ิวของจีนแท้ ๆ (สถาบันบณั ฑิตพัฒนศิลป,์ 2558) ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2499 สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม ได้เชิญแม่ชมอ้ ย มาสอนละคร ร้อง โดยใช้บทประพันธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เร่ืองสามก๊ก ตอน ตั๋งโต๊ะ หลงกลนางเตียวเส้ยี น ถ่ายทอดให้กับบคุ ลากรในสถานีโทรทัศน์ โดยมีการวางตัวละคร อาทินางอารีย์ นัก ดนตรี รับบท นางเตียวเส้ียน หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ รับบท ตั๋งโต๊ะ นายราฆพ โพธิเวส รับบท ลิโป้ นายเท่ิง สติเฟ่ือง รับบท วั่งยุ้น ออกเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์เมื่อต้นเดือนมกราคม หลังจากเปิด สถานีได้ 6 เดือน นับว่าเป็นการแสดงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสมัยน้ัน จึงไดม้ ีการจัดแสดงข้นึ อีก ครั้งหนึ่ง ในปีพ.ศ. 2503 โดยคงตัวแสดงชุดเดิมแต่เปลี่ยนตัวพระเอกจาก นายราฆพ โพธิเวส มาเป็น นาย ประกอบ ไชยพิพฒั น์ ปัจจุบนั ระยะเวลาที่ผ่านมายาวนานประกอบกับความทันสมัยของเทคโนโลยีในสมัยน้นั ยังเจรญิ ไม่ เต็มท่ี จึงทาให้การแสดงละครร้องของแม่ชม้อย คังฆะรตั น์ ไม่มกี ารบันทกึ วีดโี อไว้เปน็ หลกั ฐาน และหาชม ได้ยาก จึงอาจทาให้การแสดงน้ีสูญหายไป นักแสดงรุ่นแรกจากช่อง 4 บางขุนพรหมก็จากไปตามอายุขัย เหลือเพียงแค่ นางอารีย์ นักดนตรี และ หมอ่ มราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดวิ ตั น์ แต่เนื่องจากระยะเวลาที่ผา่ นมา นาน ทาให้ความจาในเรอ่ื งของกระบวนทา่ ราไดเ้ ลือนหายไปตามกาลเวลา เหลอื ไวเ้ พียงภาพถ่าย และความ
38 ปที ่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ทรงจาทีค่ ร้ังหนง่ึ ไดเ้ คยร่วมงานกบั แมช่ มอ้ ย คังฆะรัตน์ แต่อย่างไรกต็ าม รองศาสตราจารยอ์ รวรรณ บรรจง ศิลป์ และรองศาสตราจารย์โกวิทย์ ขันธศิริ ก็ยังคงได้สืบทอดแนวเพลงละครร้องของแม่ชม้อย คังฆะรัตน์ มาจนถึงทุกวันนี้ เน่ืองจากท้ังสองคนเคยมีโอกาสเห็นแม่ชม้อยจัดการแสดงและถ่ายทอด ทาให้มี ประสบการณ์เกย่ี วกับละครเรื่องน้อี ยา่ งดี และตอ้ งการทีจ่ ะอนรุ ักษ์เพลง และบทละครไว้ จงึ ไดน้ าบทพระนพิ นธ์ ของพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระนราธิปประพันธพ์ งศ์ เรอื่ งสามก๊ก ตอน ตั๋งโตะ๊ หลงกลนางเตียวเสีย้ น ทเ่ี ป็น บทละครร้องมาจดั การแสดงโดยใชช้ ือ่ ว่า “ง้ิวไทย” จดั แสดงท่ีโรงเรียนสาธติ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ตาม หลักฐานจากสจู ิบัตรการแสดง ปรากฏจานวน 2 คร้ัง ครั้งแรกจัดแสดงในปี พ.ศ. 2523 ขณะนั้นแม่ชม้อย คงั ฆะรัตน์ ได้มาเป็นท่ปี รึกษา แนะนาบทการแสดง เพลงร้อง และกากับการแสดงให้ โดยมีครูชาวจีนเป็น ผู้สอนท่าทาง และครั้งท่ี 2 จัดแสดงข้ึนในปี พ.ศ. 2546 โดยรองศาสตราจารย์อรวรรณ บรรจงศิลป์ และ รองศาสตราจารย์โกวทิ ย์ ขนั ธศริ ิ เปน็ ผ้จู ัดการแสดงด้วยตนเอง เน่อื งจากในขณะนั้นแม่ชม้อย คงั ฆะรตั นไ์ ด้ เสียชีวิตแล้ว จึงได้เชิญอาจารย์อาพัน เจริญสุขลาภ ผู้เช่ียวชาญในเรื่องของงิ้วเข้ามาร่วมดาเนินงานในคร้ังน้ี ด้วย (อรวรรณ บรรจงศลิ ป,์ 2560,สัมภาษณ์) ปจั จุบนั การแสดงละครร้องของแมช่ ม้อย คังฆะรัตน์ ไม่มีหลักฐานการแสดงปรากฏให้เหน็ หรือไม่ มีการนาออกมาแสดงเผยแพร่ต่อสาธารณชน จะมีก็แต่เพียงวีดีโอการแสดงที่ปรากฏเป็นหลักฐาน ของรองศาสตราจารย์อรวรรณ บรรจงศิลป์ และรองศาสตราจารย์โกวิทย์ ขันธศิริ ได้ดาเนินการจัดการ แสดงที่โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพ่ืออนุรักษ์ให้การแสดงละครร้องแนวทางของแม่ชม้อย คังฆะรัตน์ ยังคงอยู่สบื ไป ด้วยเหตนุ ี้ผู้วิจัยจึงได้เลอื กทีจ่ ะศึกษาเก่ียวกับรูปแบบ และองค์ประกอบของการ แสดงละครร้องของแม่ชม้อย คงั ฆะรัตน์ โดยศกึ ษาต้งั แต่ความเปน็ มาของละครรอ้ ง รวมถึงรูปแบบของการ แสดง ดนตรี เพลงร้อง กลวิธกี ระบวนท่ารา รวมถึงองค์ประกอบอ่ืน ๆ โดยการศึกษาจากเอกสารตารา ส่ือ อิเล็กทรอนิกส์ และการสัมภาษณ์ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดในเรื่องของเพลง และกระบวนท่ารา เพ่ือเป็นการ เก็บรวบรวมข้อมูลไว้เป็นแนวทางในการต่อยอดงานวิจัยในข้ันต่อ ๆ ไป รวมไปถึงการอนุรักษ์ไว้ไม่ให้สูญ หายตามกาลเวลา วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาประวตั คิ วามเป็นมาของละครร้อง 2. เพื่อศึกษารูปแบบ และองค์ประกอบการแสดงละครร้องแมช่ ม้อย คังฆะรัตน์ เรื่องสามกก๊ ตอนต๋ัง โต๊ะหลงกลนาง เตยี วเสีย้ น 3. วเิ คราะหก์ ระบวนท่าของลโิ ปใ้ นการแสดงละครรอ้ ง เร่อื งสามกก๊ ตอนตั๋งโตะ๊ หลงกลนางเตยี ว เส้ียน ขอบเขตของวิจัย ผู้วิจัยมุ่งวิเคราะห์กลวิธีการราของตัวละครลิโป้ ในการแสดงละครร้องเรื่องสามก๊ก ตอน ต๋ัง โต๊ะหลงกลนางเตยี วเส้ยี น ตามแนวทางของแมช่ ม้อย คังฆะรัตน์ โดยศกึ ษาจากวีดีทศั นบ์ ันทึกการแสดงสด การแสดงละครร้อง เรื่องสามก๊ก ตอนต๋ังโต๊ะหลงกลนางเตียวเสี้ยน ในงานเฉลิมฉลอง 45 ปี แห่งการ
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 39 สถาปนาโรงเรยี นสาธิตจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ณ หอประชุมใหญ่ ศนู ย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เม่ือ วันที่ 21 และ 22 มิถนุ ายน 2546 วธิ ีดำเนนิ กำรวิจัย การดาเนินงานวิจัยครัง้ นใี้ ชว้ ธิ ีการดาเนนิ การวจิ ยั เชงิ คุณภาพ ซ่งึ มวี ิธีดาเนนิ การวิจัย ดังนี้ 1. ศกึ ษาขอ้ มูลจากเอกสาร 1.1 จากหนังสอื ตาราและงานวิจัยทเี่ กี่ยวขอ้ ง 1.2 จากสือ่ พิมพ์และบทความตลอดจนสื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์ 2. การสัมภาษณ์ ผู้วิจัยได้ดาเนินการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้แสดงท่ีมีความรู้ เก่ียวกับละครร้องแม่ชม้อย คังฆะรัตน์ เรื่องสามก๊ก โดยมีประเด็นคาถามท่ีเก่ียวข้องกับวัตถุประสงค์ของ การวิจัย ไปสมั ภาษณผ์ ู้ทรงคณุ วฒุ ิ ประกอบดว้ ย 2.1 ศาสตราจารย์เกยี รตคิ ณุ นพ.พนู พศิ อมาตยกุล นักวิชาการสาขาดนตรวี ิทยา 2.2 อาจารย์อาพัน เจริญสขุ ลาภ ผเู้ ชี่ยวชาญทางดา้ นอปุ รากรจีน 2.3 นางอารยี ์ นกั ดนตรี นกั แสดง รับบทบาทเตียวเสี้ยน ปี พ.ศ. 2499 2.4 นายนนั ทวฒั น์ อาศริ พจนกุล นกั แสดงรบั บทบาทลโิ ป้ ปี พ.ศ. 2546 2.5 รองศาสตราจารย์อรวรรณ บรรจงศลิ ป์ ผูเ้ ชยี่ วชาญดา้ นดนตรี 3. การศกึ ษาภาคสนาม ผู้วิจัยได้ศึกษาจากวีดีทัศน์บันทึกการแสดงสดการแสดงละครร้อง เรื่องสามก๊ก ตอนต๋ังโต๊ะหลง กลนางเตียวเสี้ยน ในงานเฉลิมฉลอง 45 ปี แห่งการสถาปนาโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ หอประชุมใหญ่ ศูนยว์ ัฒนธรรมแหง่ ประเทศไทย เมือ่ วันท่ี 21 และ 22 มิถนุ ายน 2546 4. ผู้วิจัยนาข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาเอกสาร ตารา การสัมภาษณ์ และการศึกษาภาคสนาม มา สรปุ และเรยี บเรยี ง แล้วรายงานผลการวิจยั 3 บทตอ่ คณะกรรมการ 5. นาข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการมาดาเนินการปรับปรงุ แกไ้ ข 6. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ และการศึกษาภาคสนามมาสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อสรุป และเรียบเรยี งเปน็ รายงานผลการวจิ ยั 5 บทตอ่ คณะกรรมการ 7. ดาเนนิ การแกไ้ ขผลการวจิ ยั ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ 8. ดาเนินการเขียนรายงานผลการวิจัยในรูปแบบบทความวิจัย เพ่ือตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานใน วารสารทางวิชาการ ผลกำรวิจยั 1. ประวัตคิ วำมเปน็ มำของละครร้อง ละครรอ้ งกาเนดิ ข้ึนในปลายสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว (รชั กาลท่ี 5) ช่วง ปี พ.ศ. 2448 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปพันธ์พงศ์ได้ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี 5) เมื่อคร้ังประพาสยุโรปปี พ.ศ.2433 และได้ทรงเห็นการแสดงละครบัง สาวันของมลายู และการแสดงอุปรากร (Opera) ของตะวันตก ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294