98 6. แหล่งเรยี นรูป้ ระเภทกจิ กรรม หมายถงึ การปฏิบตั กิ ารดา้ นวฒั นธรรม ประเพณตี ่าง ๆ การ ปฏิบัตงิ านของหนว่ ยราชการ ตลอดจนความเคล่ือนไหวเพือ่ แกป้ ัญหาและปรบั ปรงุ พัฒนาสภาพต่าง ๆ ในท้องถิ่น การเข้าไปมีส่วนรว่ มในกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดการเรยี นรู้ที่เป็นรูปธรรม อาทิ ประเพณีงานทอดกฐิน งานบุญ การรณรงค์ป้องกันยาเสพติด การส่งเสริมการเลือกตั้งตามระบอบ ประชาธปิ ไตยการรณรงค์ความปลอดภัยของเด็กและสตรีในทอ้ งถ่นิ
99 ใบงาน บทเรยี นออนไลนท์ ี่ 2 เรอื่ งการใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ใหผ้ ู้เรยี นอธิบายความหมายของการใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ 1. แหลง่ เรยี นรู้ หมายถึง ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. ความสำคัญของแหลง่ เรยี นรูค้ อื อะไร จงอธบิ าย ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. ประเภทของแหลง่ เรยี นรูม้ กี ่ีประเภท อะไรบ้าง จงอธิบาย ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 4. บอกวตั ถปุ ระสงค์ของการจดั แหลง่ เรียนรู้ในโรงเรียน และวตั ถุประสงค์ของการจัดแหล่งเรียนรู้ใน ทอ้ งถ่ิน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................
100 เฉลย ใบงาน บทเรียนออนไลน์ที่ 2 เรอ่ื งการใช้แหลง่ เรยี นรู้ ใหผ้ ้เู รยี นอธบิ ายความหมายของการใชแ้ หลง่ เรียนรู้ 1.แหลง่ เรียนรู้ หมายถึง ตอบ ถิน่ ทอี่ ยู่ บรเิ วณ ศนู ย์รวม บ่อเกดิ แหง่ ท่ี ทมี่ สี าระเนื้อหาทเี่ ป็นขอ้ มูล ความรู้หรือองค์ ความรู้ 2.ความสำคัญของแหลง่ เรียนรคู้ อื อะไร จงอธิบาย ตอบ 1. แหลง่ การศกึ ษาตามอัธยาศยั 2. แหลง่ การเรยี นรตู้ ลอดชีวิต 3. แหล่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน การศึกษาค้นคว้า แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 4. แหล่งสรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ภาคปฏิบัติ 5. แหล่งสร้างเสรมิ ความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์ 3.ประเภทของแหลง่ เรยี นรมู้ ีกี่ประเภท อะไรบา้ ง จงอธิบาย ตอบ 1. แหลง่ เรียนรปู้ ระเภทบุคคล หมายถงึ บคุ คลท่ีมคี วามรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่ สามารถถา่ ยทอดความรู้ท่ีตนมีอยู่ให้ผู้สนใจหรือผตู้ ้องการเรยี นรูไ้ ด้แก่ บคุ คลที่มีทักษะความสามารถ ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ รวมทั้งผูอ้ าวุโส ที่มีประสบการณ์พัฒนาเป็นภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมปิ ญั ญาชาวบา้ น และภูมิปญั ญาไทย 2. แหล่งเรียนรู้ประเภทธรรมชาติ หมายถึง ส่งิ ตา่ ง ๆท่ีเกิดขึน้ โดยธรรมชาติและให้ประโยชน์ ต่อมนษุ ย์เชน่ ดนิ น้ำอากาศ พืช สัตว์ ปา่ ไม้ แร่ธาตุ เป็นต้น แหล่งเรยี นรู้ประเภทนี้ เช่น อุทยาน วนอทุ ยาน เขตรักษาพันธุ์สตั วป์ า่ สวนพฤกษศาสตร์ ศูนยศ์ ึกษาธรรมชาติ 3. แหล่งเรียนรู้ประเภทวัตถุและสถานที่ หมายถึงอาคาร สิง่ ก่อสร้างวัสดุอุปกรณ์และส่ิงต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด ศาสนสถาน ศูนยก์ ารเรียน พิพิธภัณฑ์ สถานประกอบการ ตลาด นทิ รรศการ สถานท่ี ทางประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ตน้ 4. แหล่งเรียนรู้ประเภทสื่อ หมายถึง สิ่งที่ติดต่อให้ถึงกันหรือชักนำให้รู้จักกัน ทำหน้าที่เป็น สื่อกลางในการถ่ายทอดเนื้อหาความรู้ทกั ษะและเจตคติไปสู่ทุกพื้นที่ของโลกอย่างทั่วถึงและต่อเนือ่ ง ทงั้ สื่อสงิ่ พิมพแ์ ละส่อื อเิ ล็กทรอนกิ สท์ ี่มที ัง้ ภาพและเสียง 5. แหล่งเรียนรู้ประเภทเทคนิคสิ่งประดิษฐ์คิดค้น หมายถึง สิ่งที่แสดงถึงความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์คิดค้น หรือทำการพัฒนาปรับปรุง ช่วยให้ มนุษย์เรียนรู้ถึงความก้าวหน้า เกิดจินตนาการแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ทั้งความคิดและ สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ
101 6. แหลง่ เรยี นรปู้ ระเภทกิจกรรม หมายถงึ การปฏบิ ตั กิ ารด้านวัฒนธรรม ประเพณตี า่ ง ๆ การ ปฏบิ ตั งิ านของหน่วยราชการ ตลอดจนความเคลือ่ นไหวเพ่อื แกป้ ญั หาและปรบั ปรุงพัฒนาสภาพต่าง ๆ ในท้องถิ่น การเข้าไปมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดการเรียนรูท้ ี่เปน็ รูปธรรม อาทิ ประเพณีงานทอดกฐิน งานบุญ การรณรงค์ป้องกันยาเสพติด การส่งเสริมการเลือกตั้งตามระบอบ ประชาธิปไตยการรณรงคค์ วามปลอดภยั ของเด็กและสตรีในท้องถิ่น 4.บอกวัตถุประสงค์ของการจัดแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน และวัตถุประสงค์ของการจัดแหล่งเรียนรู้ ในทอ้ งถ่ิน ตอบ วตั ถปุ ระสงค์ของการจัดแหล่งเรียนรูใ้ นโรงเรียน 1. เพอ่ื เสรมิ สรา้ งบรรยากาศการเรียนรใู้ นโรงเรยี น โดยเนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคัญ 2. เพื่อจดั ระบบและพัฒนาเครือขา่ ยสารสนเทศ และแหล่งการเรียนร้ใู นโรงเรยี น 3. เพ่ือสง่ เสริมให้ผู้เรยี นมีทกั ษะการเรียนรู้ เปน็ ผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรยี น และเรียนรดู้ ้วยตนเองอยา่ ง ต่อเนื่อง แหลง่ เรยี นรู้ในท้องถิน่ วัตถุประสงคข์ องการจดั แหลง่ เรียนรใู้ นท้องถ่นิ 1 .เพอ่ื สง่ เสริมให้ชุมชนและสงั คม มีแหล่งการเรยี นรู้เพ่อื การศึกษาท่ีหลากหลาย สามารถ เรยี นรู้ได้ตามอธั ยาศัย 2. เปน็ เคร่อื งมอื ทีส่ ำคญั ของบุคคลแห่งการเรยี นรู้ ในการแสวงหาความรเู้ พ่ือพฒั นาตนเอง แหลง่ เรยี นรใู้ นท้องถน่ิ ได้แก่ ห้องสมดุ ประชาชน พพิ ิธภณั ฑ์ พิพธิ ภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬา สถานประกอบการ วัด ครอบครวั ชมุ ชน องคก์ ารภาครฐั และภาคเอกชน แหล่งขอ้ มูล ภมู ิปญั ญาทอ้ งถน่ิ แหล่งการเรยี นรู้ อ่นื ๆ เป็นตน้
102 แบบทดสอบหลงั เรียน บทเรียนออนไลนท์ ี่ 2 เรื่องการใช้แหลง่ เรียนรู้ 1. แหล่งเรยี นรมู้ ีความสำคญั ตอ่ ผู้เรียนในข้อใดมากท่ีสดุ ก. การศึกษาตามอธั ยาศยั ข. ช่วยสร้างเสรมิ ประสบการณภ์ าคปฏิบัติ ค. แหล่งสร้างเสรมิ ความรู้ความคิด วิทยาการ ง. เป็นแหลง่ ปลูกฝงั นสิ ยั รักการอ่าน การศกึ ษาค้นคว้าแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 2. ขอ้ ใดใหค้ วามหมายของ \"แหลง่ เรยี นร\"ู้ ได้สมบูรณท์ สี่ ดุ ก. เป็นแหลง่ ความร้ทู างวิชาการ ข. เปน็ แหลง่ สารสนเทศให้ความรู้อย่างกว้างขวาง ค. เป็นแหลง่ รวมภมู ิปญั ญาชาวบ้านใหศ้ ึกษาค้นคว้า ง. เปน็ แหลง่ ขอ้ มูลข่าวสารและประสบการณ์ท่สี ่งเสริมใหผู้เรยี นแสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง ตามอธั ยาศัยอย่างตอ่ เนอื่ ง 3. ขอ้ ใดเปน็ แหลง่ เรียนร้กู ล่มุ ข้อมลู ท้องถ่นิ ก. สถานประกอบการ ข. ภมู ิปญั ญาชาวบ้านและปราชญ์ชาวบ้าน ค. แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรยี นและหอกระจายข่าว ง. แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนและแหลง่ เรียนรใู้ นท้องถิ่น 4. ขอ้ ใดคือการแสวงหาความร้ดู ้วยตนเองจากแหลง่ เรยี นรู้ในท้องถน่ิ ก. เรยี นทำอาหารไทยจากโรงเรยี นสอนอาหารไทย ข. ไปทหี่ ้องคอมพวิ เตอร์เพื่อสืบคน้ ขอ้ มูลมาทำรายงาน ค. อ่านหนังสอื ค่มู อื ฟสิ กิ สท์ ี่ศนู ย์วิทยาศาสตร์ท้องฟ้าจำลอง ง. ไปศกึ ษาคน้ ควา้ เรือ่ งประโยชน์ของพชื สมนุ ไพรทส่ี วนสมนุ ไพร 5. ข้อใด คอื แหล่งเรยี นรูใ้ นชมุ ชนท่มี ที รพั ยากรสารสนเทศหลากหลายมากท่ีสุด ก. ห้องสมดุ ประชาชน ข. ศูนยน์ ันทนาการ ค. สวนพฤกษศาสตร์ ง. อุทยานวทิ ยาศาสตร์
103 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น บทเรียนออนไลนท์ ่ี 2 เรอ่ื งการใช้แหล่งเรียนรู้ 1. ง 2. ง 3. ข 4. ง 5. ก
104 แบบทดสอบก่อนเรียน บทเรยี นออนไลน์ที่ 2 เรื่องการเลือกใชแ้ หล่งเรยี นรู้ 1. ถ้าจะศึกษาค้นควา้ เรอ่ื งความเปน็ มาของประวัติเขาพระวิหารควรจะศกึ ษาจากแหลง่ ใดทม่ี ขี อ้ มลู มากท่สี ุด ก. อุทยานประวัติศาสตร์ ข. พิพธิ ภณั ฑแ์ หง่ ชาติ ค. อินเทอรเ์ น็ต ง. เขาพระวิหาร 2. จำนง ตอ้ งการปลกู ขา้ วใหไ้ ด้ผลดีมากท่ีสดุ จำนงควรเรียนรจู้ ากแหล่งใดมากทส่ี ดุ ก. ภมู ิปญั ญา ข. หอกระจายข่าว ค. สวนสมนุ ไพร ง. สวนสาธารณะ 3. ขอ้ ใดเป็นแหล่งเรยี นรกู้ ลุ่มศลิ ปวัฒนธรรม ก. ศาสนสถาน ข. อนุสาวรีย์ ค. หอศิลป์ ง. ถกู ทุกข้อ 4. วัตถุประสงคข์ องการจดั แหล่งเรียนรู้ในท้องถน่ิ คือขอใ้ ด ก. เปน็ ข้อมูลเพ่ือการพัฒนาประเทศชาติ ข. เป็นแหล่งคน้ คว้าสนบั สนุนการเรยี นการสอน ค. เพือ่ เป็นการพฒั นาชุมชนให้เจริญก้าวหน้าทันเทคโนโลยี ง. เป็นแหลง่ การศกึ ษาตลอดชวี ิตทป่ี ระชาชนสามารถหาความรตู้ ่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง 5. ข้อใดควรปฏบิ ตั ิในหอ้ งสมดุ ประชาชน ก. ติวเข้มเพ่อื เตรียมตวั สอบ ข. เตรยี มอาหารและเครื่องด่มื ไปเอง ค. ตอ้ งยมื หนงั สือดว้ ยบัตรสมาชิกของตนเอง ง. ทุกคร้ังทหี่ ยิบหนังสือมาอ่านให้นำ ไปเก็บท่ชี ัน้ หนังสอื ด้วย
105 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน บทเรียนออนไลนท์ ่ี 2 เร่อื งการเลอื กใชแ้ หล่งเรยี นรู้ 1. ค 2. ก 3. ง 4. ง 5. ค
106 ใบความรู้ บทเรียนออนไลน์ที่ 2 เรื่องการเลือกใชแ้ หล่งเรยี นรู้ แหลง่ เรียนรู้ ในโรงเรียน วัตถุประสงค์ของการจดั แหลง่ เรยี นรู้ในโรงเรยี น 1. เพอ่ื เสริมสรา้ งบรรยากาศการเรยี นร้ใู นโรงเรยี น โดยเนน้ ผ้เู รียนเปน็ สำคญั 2. เพอ่ื จดั ระบบและพฒั นาเครอื ข่ายสารสนเทศ และแหลง่ การเรียนรู้ในโรงเรียน 3. เพื่อส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนมีทักษะการเรยี นรู้ เปน็ ผใู้ ฝ่รู้ ใฝ่เรียน และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่าง ตอ่ เน่ือง แหลง่ เรียนร้ใู นทอ้ งถ่นิ วัตถปุ ระสงคข์ องการจัดแหล่งเรยี นรู้ในท้องถิ่น 1 .เพอ่ื ส่งเสรมิ ให้ชมุ ชนและสังคม มีแหลง่ การเรียนรเู้ พอื่ การศกึ ษาทหี่ ลากหลาย สามารถ เรยี นร้ไู ด้ตามอัธยาศัย 2. เป็นเครื่องมือที่สำคัญของบุคคลแห่งการเรียนรู้ ในการแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬา สถานประกอบการ วดั ครอบครัว ชมุ ชน องคก์ ารภาครัฐและภาคเอกชน แหล่งข้อมลู ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ แหลง่ การเรียนรู้ อื่น ๆ เปน็ ต้น บทบาทหนา้ ทข่ี องแหลง่ เรียนรู้ บทบาทของแหล่งเรียนรู้ในการให้การศึกษา ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้เรียน ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย คอื 1. แหล่งเรียนรู้ตอ้ งสามารถตอบสนองการเรยี นรู้ที่เป็นกระบวนการได้การเรยี นรู้โดยปฏิบัติ จริง และการเรยี นรู้ของคนอืน่ ๆ ท้ังในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย 2. เปน็ แหลง่ ทำกจิ กรรม แหลง่ ทัศนศึกษา 3. เปน็ แหลง่ สร้างกระบวนการเรียนรูใ้ ห้เกดิ ขึน้ โดยตนเอง 4. เป็นห้องเรียนทางธรรมชาติ เป็นแหลง่ ศึกษา คน้ ควา้ และฝกึ อบรม 5. สามารถเผยแพรข่ อ้ มูลแก่ผเู้ รียนในเชงิ รกุ เขา้ สทู่ ุกกลมุ่ เป้าหมาย ประหยดั และสะดวก 7. มีการเช่ือมโยงและแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างกนั 8. มสี ือ่ ประเภทต่าง ๆ ประกอบด้วย ส่ืออิเลคทรอนกิ ส์และสือ่ ต่างๆ เพอ่ื เสรมิ กจิ กรรมการ เรยี นการสอน
107 การจัดการเรียนรจู้ ากแหล่งการเรียนรู้ จากการศึกษาความหมายที่ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการต่างๆ ซึ่งครอบคลุมคำว่า ภูมิปัญญา พืน้ บ้าน ภูมิปัญญาชาวบา้ น ภูมิปัญญาท้องถนิ่ ภมู ปิ ญั ญาไทย ไดใ้ หค้ วามหมายพอสรปุ ได้ ดังน้ี ภูมิปัญญาพื้นบ้านหรือภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและ ประสบการณ์ที่สั่งสมและสืบทอดกันมา อันเป็นความสามารถและศักยภาพในเชิงแก้ปัญหา การ ปรับตวั เรยี นรู้และสืบทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ เพอื่ การดำรงอยู่รอดของเผ่าพันธ์ุจึงตกทอดเป็นมรดก ทาง วัฒนธรรมของธรรมชาติ เผ่าพนั ธุ์ หรือเป็นวิธีของชาวบ้าน (ยงิ่ ยง เทาประเสรฐิ ) ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง กระบวนทัศน์ของบุคคลที่มีต่อตนเอง ต่อโลกและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระบวนการดงั กลา่ ว จะมีรากฐานคำสอนทางศาสนา คติ จารีต ประเพณี ที่ได้รับการถ่ายทอดส่ัง สอนและปฏิบัติสบื เน่ืองกนั มา ปรับปรงุ เขา้ กบั บรบิ ททางสังคมท่ีเปล่ยี นแปลงไปแตล่ ะสมยั ทั้งน้ีโดยมี เป้าหมายเพื่อความสงบสุขในส่วนที่เป็นชุมชน และปัจเจกบุคคล ซึ่งกระบวนทัศน์ที่เป็นภูมิปัญญา ท้องถิ่น จำแนกได้ 3 ลักษณะ คอื 1. ภูมปิ ญั ญาเกยี่ วกับการจัดการความสัมพันธร์ ะหว่างมนุษย์กบั ธรรมชาตแิ วดลอ้ ม 2. ภูมปิ ญั ญาเกย่ี วกบั สงั คมหรอื การจดั ความสมั พนั ธ์ระหว่างมนุษย์กบั มนษุ ย์ 3. ภูมิปัญญาเกี่ยวกับระบบการผลิตหรือประกอบอาชีพที่มีลักษณะมุ่งเนน้ ระบบการผลิต เพอ่ื ตนเอง ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ในด้านต่างๆ ของการดำรงชีวิตของคนไทยที่เกิดจาก การสะสมประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบกับแนวความคดิ วเิ คราะห์ในการแก้ปญั หา ต่างๆ ของตนเอง จนเกิดหลอมตัวเป็นแนวคิดในการแก้ไขปัญหาที่เปน็ ลักษณะของตนเอง ที่สามารถ พฒั นาความรู้ดังกล่าวมาประยกุ ต์ใชใ้ หเ้ หมาะสมกับกาลสมัย ในการแก้ปัญหาของการดำรงชีวติ ( เสรี พงศ์พิศ)
108 การใชแ้ หล่งเรยี นรู้ทส่ี ำคญั แหลง่ เรียนร้ใู นที่น่าจะกล่าวถงึ เฉพาะแหลง่ เรียนรใู้ นชุมชนที่ใกล้ตวั ผู้เรยี นมากที่สดุ 3 ประเภท คือ 1.แหลง่ เรียนรู้ประเภทบคุ คล 2. ศนู ยก์ ารเรยี นรู้ชุมชน (สงั กดั สำนักงาน กศน.) 3. หอ้ งสมุดประชาชน แหล่งเรยี นรู้ประเภทบคุ คล ภมู ิปญั ญาไทยเกดิ ขนึ้ จากความสัมพันธ์ ระหว่างคน กบั ธรรมชาติคนกับ บคุ คลอื่น และคนกบั สิ่งเหนอื ธรรมชาติทำใหเ้ กิดความคิดความเช่ือศิลปวฒั นธรรม ประเพณีและพิธกี รรมท่ีสืบทอดต่อ ๆ กัน คนไทยควรคำนงึ ถึงคุณค่าของภมู ิปญั ญาไทย ยกย่องสง่ เสรมิ ผูท้ รงภูมิปัญญา สามารถเผยแพร่ความรู้ และดำรงรักษาเอกลกั ษณศ์ กั ดิ์ศรีของชาติไทยไว้ จากการศกึ ษาความหมายทีผ่ ้เู ช่ยี วชาญ นักวิชาการตา่ ง ๆ ภูมปิ ญั ญาไทย ครอบคลุมคำวา่ ภมู ปิ ัญญาพน้ื บ้าน ภูมิปญั ญาชาวบา้ น ภมู ิปัญญาท้องถิน่ พอสรุปได้ ดังน้ี ภูมิปัญญาพื้นบ้านหรือภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและ ประสบการณ์ที่สั่งสมและสบื ทอดกนั มา อนั เป็นความสามารถและศักยภาพในเชงิ แก้ปญั หา การปรบั ตวั เรยี นรู้ และสบื ทอดไปสู่คนรนุ่ ใหม่ เพอื่ การดำรงอยู่รอดของเผา่ พนั ธุ์จงึ ตกทอดเปน็ มรดก ทางวฒั นธรรมของ ธรรมชาติ เผ่าพันธ์ุ หรอื เป็นวธิ ีของชาวบา้ น (ย่ิงยง เทาประเสริฐ) ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง กระบวนทัศน์ของบุคคลที่มีต่อตนเอง ต่อโลกและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระบวนการดงั กล่าว จะมีรากฐานคำสอนทางศาสนา คติ จารีต ประเพณี ที่ได้รับการถา่ ยทอดสงั่ สอนและปฏิบตั ิสืบเน่อื งกันมา ปรับปรงุ เข้ากบั บรบิ ททางสงั คมท่เี ปลี่ยนแปลงไปแต่ละสมยั ทั้งนี้โดยมี เป้าหมายเพื่อความสงบสุขในส่วนที่เป็นชุมชน และปัจเจกบุคคล ซึ่งกระบวนทัศน์ที่เป็นภูมิปัญญา ทอ้ งถิ่น จำแนกได้ 3 ลกั ษณะ คอื 1. ภูมิปัญญาเก่ียวกับการจดั การความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมนษุ ยก์ ับธรรมชาติแวดลอ้ ม 2. ภูมิปญั ญาเก่ียวกับสังคมหรือการจดั ความสมั พันธ์ระหว่างมนษุ ยก์ ับมนษุ ย์ 3. ภูมิปัญญาเกี่ยวกับระบบการผลิตหรือประกอบอาชีพที่มีลักษณะมุ่งเน้นระบบการผลิต เพ่ือตนเอง ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ ของการดำรงชีวิตของคนไทยที่เกิดจาก การสะสมประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบกับแนวความคดิ วิเคราะห์ในการแก้ปัญหา ต่าง ๆ ของตนเอง จนเกิดหลอมตวั เป็นแนวคิดในการแกไ้ ขปญั หาทเ่ี ปน็ ลักษณะของตนเอง ทส่ี ามารถ พฒั นาความรดู้ ังกล่าวมาประยุกตใ์ ชใ้ ห้เหมาะสมกบั กาลสมยั ในการแก้ปญั หาของการดำรงชีวติ ( เสรี พงศ์พศิ )
109 ศนู ย์การเรยี นชมุ ชน (สำนกั งาน กศน.) ศูนย์การเรียนชุมชน สำนักงาน กศน. เป็นแหล่งการเรียนรู้สำคัญแห่งหนึ่ง ที่สำนักงาน ส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั ไดด้ ำเนินการจัดต้งั ขนึ้ ในพืน้ ทต่ี ำบลทั่วประเทศ และเป็นแหล่งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน เน้นการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของ ชุมชน มุ่งสร้างโอกาสและให้บริการการเรียนรู้อย่างหลากหลายวิธี สนองความต้องการและเสนอ ทางเลือกในการพัฒนาตนเองนำไปส่กู ารพฒั นาคุณภาพชวี ิต โดยยดึ หลกั ชมุ ชนเปน็ ฐานในการเรียนรู้ วตั ถุประสงค์ของศูนย์การเรยี นชมุ ชน 1. เพ่ือเปน็ ศนู ย์กลางการเรียนรู้และจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพ่อื ใหป้ ระชาชนได้รับการส่งเสริมให้การเรียนรอู้ ย่างต่อเน่อื งตลอดชวี ติ 2. เพอ่ื สรา้ งเสรมิ กระบวนการเรียนรู้ของชมุ ชน 3. เพอ่ื สร้างโอกาสการเรียนรู้สำหรับประชาชนในชุมชน 4. เพ่ือให้ชมุ ชนมีส่วนรว่ มในการบริหารจดั การ และจดั การศกึ ษาให้กับชุมชนเอง บทบาทหน้าทข่ี องศูนยก์ ารเรยี นชุมชน 1. สง่ เสรมิ และจดั การศึกษาพืน้ ฐาน ระดับประถม มธั ยมศกึ ษาตอนต้น มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 2. ส่งเสริมและจัดกิจกรรมการศึกษาต่อเนื่อง ทั้งการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต การศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมชุมชน การศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ การศึกษากระบวนการเรียนรู้ ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3. สง่ เสริมการเรียนรูต้ ามอธั ยาศยั 4. ส่งเสริมกิจกรรมและกระบวนการเรยี นรูข้ องชุมชน หอ้ งสมุดประชาชน ความหมายของหอ้ งสมุดประชาชน ห้องสมุดประชาชน หมายถึง สถานที่จัดหารวบรวมทรัพยากรสารสนเทศเพื่อการอ่าน การศึกษาค้นคว้าทกุ ชนิด มีการจัดระบบหมวดหมูต่ ามหลักสากลเพือ่ การบรกิ ารและจัดบริการอยา่ ง กว้างขวางแก่ประชาชนในชุมชน สังคม ในประเทศและต่างประเทศ โดยไม่กำหนดเพศ วัย ความรู้ เชื้อชาติ ศาสนา รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน โดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน และมี บคุ ลากรท่มี ีความรทู้ างบรรณารักษศ์ าสตร์ เป็นผูด้ ำเนนิ การ ประเภทของหอ้ งสมดุ ประชาชน แบ่งเปน็ 3 ประเภท 1. หอ้ งสมดุ ประชาชนขนาดใหญ่ เชน่ ห้องสมดุ ประชาชนจงั หวดั หอสมุดรัชมงั คลาภเิ ษก พระราชวังไกลกังวล หัวหนิ 2. ห้องสมดุ ประชาชนขนาดกลาง เช่น ห้องสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกมุ ารี” 3. ห้องสมดุ ประชาชนขนาดเล็ก เชน่ ห้องสมดุ ประชาชนอำเภอทวั่ ไป
110 กฎ ขอ้ กำหนด ข้อบงั คบั ระเบยี บ เก่ยี วกับการใช้ห้องสมดุ ประชาชน ห้องสมุดเป็นสถานที่บริการสาธารณะที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าใช้บริการ ดังน้ัน หอ้ งสมดุ ประชาชนแตล่ ะแหง่ จะมีกฎ ข้อกำหนด ขอ้ บงั คับ ข้อปฏิบัติระเบียบ เกย่ี วกบั การใช้หอ้ งสมุด ประชาชน ในการเขา้ รับบริการสาธารณะร่วมกันของคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งผ่านความเห็นชอบของ คณะกรรมการ หอ้ งสมุดและหรอื คณะกรรมการสถานศกึ ษาขน้ึ อย่กู ับความเหมาะสมของแตล่ ะแต่ละ หอ้ งสมุดดังนี้ 1. เวลาทำการ วนั เปิด-ปิด บรกิ ารเชน่ เปิดบรกิ ารทุกวนั จันทร์-วันศุกร์ เวลา 07.30 -21.00 น. วันเสาร์ -วนั อาทติ ย์ เปิดเวลา 09.00 -21.00 น. หยุดวันนกั ขัตฤกษ์ เปน็ ต้น 2. การใชบ้ รกิ ารห้องสมดุ 2.1 การทำบัตรเพือ่ การยืม -คืน ทรพั ยากรสารสนเทศ ให้นำ รปู ถ่ายขนาด1 - 2 นว้ิ จำนวน 2 รปู และสำเนาบตั รประชาชนหรอื สำเนาทะเบียนบา้ น มาประกอบการขอทำบตั ร พร้อมเงิน คา่ สมาชกิ หอ้ งสมุด 2.2 สิทธิในการยืม - คืน ทรัพยากรสารสนเทศ 2.3 การใช้บริการอินเตอร์เน็ต 3. มารยาทการใชบ้ ริการ
111 ใบงาน บทเรียนออนไลนท์ ่ี 2 เรอ่ื งการเลอื กใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ ผู้เรียนดภู าพแล้วเลือกประเภทของแหล่งเรยี นรู้ และการแบ่งตามลกั ษณะท่ีตั้ง โดยกาเครือ่ งหมาย ขอ้ 1 ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหล่งเรยี นรูแ้ บ่งตามลักษณะที่ตง้ั ประเภทบุคคล ประเภทสงิ่ ที่มนุษย์สรา้ งข้นึ แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรียน ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหลง่ เรยี นรนู้ อกโรงเรียน ประเภทกจิ กรรมทางสงั คม ประเพณี และ ความเช่ือ ข้อ 2 ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรูแ้ บ่งตามลกั ษณะทต่ี ั้ง ประเภทบุคคล ประเภทส่ิงทมี่ นุษย์สร้างขึน้ แหลง่ เรยี นรใู้ นโรงเรยี น ประเภททรัพยากรธรรมชาติ แหลง่ เรยี นรู้นอกโรงเรียน ประเภทกิจกรรมทางสงั คม ประเพณี และ ความเช่อื ข้อ 3 ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหล่งเรียนรู้แบง่ ตามลักษณะที่ตั้ง ประเภทบุคคล ประเภทสง่ิ ทม่ี นุษย์สร้างขน้ึ แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหลง่ เรียนรนู้ อกโรงเรียน ประเภทกจิ กรรมทางสังคม ประเพณี และ ความเชอ่ื ขอ้ 4 ประเภทของแหล่งเรียนรู้ แหล่งเรยี นรู้แบง่ ตามลักษณะที่ตั้ง ประเภทบคุ คล ประเภทสิง่ ที่มนุษยส์ ร้างข้นึ แหลง่ เรยี นรใู้ นโรงเรยี น ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหล่งเรยี นร้นู อกโรงเรยี น ประเภทกจิ กรรมทางสงั คม ประเพณี และ ความเช่อื
112 ข้อ 5 ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหลง่ เรยี นรู้แบง่ ตามลักษณะที่ตง้ั ประเภทบคุ คล ประเภทส่ิงที่มนษุ ยส์ รา้ งขึน้ แหลง่ เรียนรู้ในโรงเรียน ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหลง่ เรยี นรนู้ อกโรงเรียน ประเภทกจิ กรรมทางสังคม ประเพณี และความเชือ่ ข้อ 6 ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหล่งเรยี นรแู้ บง่ ตามลกั ษณะทต่ี ัง้ ประเภทบุคคล ประเภทส่ิงที่มนษุ ย์สรา้ งขนึ้ แหลง่ เรียนรู้ในโรงเรียน ประเภททรัพยากรธรรมชาติ แหลง่ เรยี นรู้นอกโรงเรียน ประเภทกิจกรรมทางสงั คม ประเพณี และความเช่ือ ข้อ 7 ประเภทของแหล่งเรียนรู้ แหลง่ เรียนรแู้ บ่งตามลักษณะทต่ี ง้ั ประเภทบคุ คล ประเภทสิ่งทมี่ นษุ ยส์ ร้างขึ้น แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรยี น ประเภททรัพยากรธรรมชาติ แหล่งเรยี นรนู้ อกโรงเรยี น ประเภทกจิ กรรมทางสงั คม ประเพณี และความเชื่อ ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรู้แบ่งตามลักษณะทีต่ ั้ง ขอ้ 8 ประเภทบุคคล ประเภทสง่ิ ทมี่ นุษยส์ รา้ งขน้ึ แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรียน ประเภททรัพยากรธรรมชาติ แหล่งเรียนรนู้ อกโรงเรยี น ประเภทกจิ กรรมทางสังคม ประเพณี และความเชอื่
113 ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ แหล่งเรยี นรู้แบง่ ตามลกั ษณะทีต่ ง้ั ขอ้ 9 ประเภทบคุ คล ประเภทสงิ่ ทีม่ นษุ ย์สรา้ งขน้ึ แหลง่ เรยี นรู้ในโรงเรยี น ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหลง่ เรียนรู้นอกโรงเรียน ประเภทกิจกรรมทางสงั คม ประเพณี และความเชื่อ ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหลง่ เรยี นร้แู บ่งตามลกั ษณะท่ีตั้ง ข้อ10 ประเภทบุคคล แหลง่ เรยี นรใู้ นโรงเรยี น ประเภทส่งิ ที่มนุษยส์ ร้างข้ึน ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหล่งเรยี นร้นู อกโรงเรยี น ประเภทกิจกรรมทางสังคม ประเพณี และความเชื่อ
114 เฉลยใบงาน บทเรยี นออนไลนท์ ี่ 2 เร่ืองการเลอื กใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ผู้เรยี นดภู าพแลว้ เลอื กประเภทของแหล่งเรียนรู้ และการแบ่งตามลกั ษณะท่ีตงั้ โดยกาเครอ่ื งหมาย ตอบเฉลย แหล่งเรยี นรใู้ นโรงเรยี น แหล่งเรยี นร้ใู นโรงเรยี น ขอ้ 1 ประเภทบุคคล แหล่งเรยี นร้นู อกโรงเรยี น ข้อ 2 ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหล่งเรียนรนู้ อกโรงเรยี น ข้อ 3 ประเภทกิจกรรมทางสังคม ประเพณี และความเชื่อ แหลง่ เรยี นรู้นอกโรงเรยี น ขอ้ 4 ประเภทสิ่งท่ีมนษุ ย์สรา้ งขน้ึ แหลง่ เรยี นรนู้ อกโรงเรยี น ขอ้ 5 ประเภทกิจกรรมทางสังคม ประเพณี และความเชือ่ แหล่งเรยี นรนู้ อกโรงเรียน ข้อ 6 ประเภทกิจกรรมทางสงั คม ประเพณี และความเช่ือ แหล่งเรยี นรนู้ อกโรงเรียน ขอ้ 7 ประเภทกิจกรรมทางสังคม ประเพณี และความเชอ่ื แหลง่ เรียนรู้นอกโรงเรียน ข้อ 8 ประเภทสง่ิ ทม่ี นษุ ยส์ รา้ งขึ้น แหลง่ เรยี นรู้นอกโรงเรียน ขอ้ 9 ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ ข้อ 10 ประเภททรัพยากรธรรมชาติ
115 แบบทดสอบหลงั เรยี น บทเรยี นออนไลน์ที่ 2 เรื่องการเลอื กใชแ้ หล่งเรยี นรู้ 1. ถ้าจะศึกษาค้นควา้ เรอ่ื งความเปน็ มาของประวตั ิเขาพระวิหารควรจะศกึ ษาจากแหลง่ ใดทม่ี ขี อ้ มลู มากท่สี ุด ก. อุทยานประวัติศาสตร์ ข. พิพธิ ภณั ฑแ์ หง่ ชาติ ค. อินเทอรเ์ น็ต ง. เขาพระวิหาร 2. จำนง ตอ้ งการปลกู ขา้ วใหไ้ ด้ผลดีมากที่สดุ จำนงควรเรียนรู้จากแหล่งใดมากทส่ี ดุ ก. ภมู ิปญั ญา ข. หอกระจายข่าว ค. สวนสมนุ ไพร ง. สวนสาธารณะ 3. ขอ้ ใดเป็นแหล่งเรยี นรกู้ ลุ่มศลิ ปวัฒนธรรม ก. ศาสนสถาน ข. อนุสาวรีย์ ค. หอศิลป์ ง. ถกู ทุกข้อ 4. วัตถุประสงคข์ องการจดั แหล่งเรียนรู้ในท้องถ่ิน คือข้อใด ก. เปน็ ข้อมูลเพ่ือการพัฒนาประเทศชาติ ข. เป็นแหล่งคน้ คว้าสนบั สนุนการเรยี นการสอน ค. เพือ่ เป็นการพฒั นาชุมชนให้เจริญกา้ วหน้าทนั เทคโนโลยี ง. เป็นแหลง่ การศกึ ษาตลอดชวี ิตทป่ี ระชาชนสามารถหาความรตู้ ่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง 5. ข้อใดควรปฏบิ ตั ิในหอ้ งสมดุ ประชาชน ก. ติวเข้มเพ่อื เตรียมตวั สอบ ข. เตรยี มอาหารและเครื่องด่มื ไปเอง ค. ตอ้ งยมื หนงั สือดว้ ยบัตรสมาชิกของตนเอง ง. ทุกคร้ังทหี่ ยิบหนังสือมาอ่านให้นำ ไปเก็บที่ชั้นหนังสือด้วย
116 เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น บทเรียนออนไลนท์ ่ี 2 เร่อื งการเลอื กใชแ้ หล่งเรยี นรู้ 1. ค 2. ก 3. ง 4. ง 5. ค
117 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น บทเรยี นออนไลนท์ ่ี 3 เรอื่ งการจดั การความร(ู้ Knowledge Management ) คำชีแ้ จง จงเลือกขอ้ ท่ถี ูกตอ้ งที่สดุ 1. การจัดการความรเู้ รียกสน้ั ๆ วา่ อะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 2. เปา้ หมายของการจัดการความรู้ คืออะไร ก. พฒั นาคน ข. พฒั นางาน ค. พฒั นาองคก์ ร ง. ถูกทุกข้อ 3. ขอ้ ใดถูกตอ้ งมากท่สี ดุ ก. การจดั การความร\"ู้ ไมท่ ำ -ไม่รู้\" ข. การจดั การความรู้นัน้ จะต้องให้คนท่มี ีพน้ื ฐานคลา้ ย ๆ กัน มารว่ มกนั คิดเปน็ กล่มุ ค. การจัดการความรู้เปน็ เปา้ หมายของการทำงาน ง. การจดั การความรู้ไม่มีการลองผิดลองถกู 4. ขัน้ สงู สดุ ของการเรียนรคู้ ืออะไร ก. ปัญญา ข. สารสนเทศ ค. ขอ้ มลู ง. ความรู้ 5. ชมุ ชนนักปฏิบัต(ิ CoP) คืออะไร ก. การจดั การความรู้ ข. เปา้ หมายของการจัดการความรู้ ค. วิธีการหนงึ่ ของการจดั การความรู้ ง. แนวปฏบิ ตั ิของการจดั การ
118 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น บทเรียนออนไลนท์ ี่ 3 เรือ่ งการจดั การความรู้( Knowledge Management ) 1. ข 2. ง 3. ก 4. ก 5. ค
119 ใบกิจกรรม บทเรียนออนไลนท์ ี่3 เรอื่ งการจัดการความรู้ ใหผ้ ู้เรียนศกึ ษาเรยี นรู้จากหนงั สอื แบบเรยี น หรอื อินเทอร์เน็ต และดคู ลิปวดี ีโอจาก Youtube เรอ่ื งการจดั การความรู้ วีดีโอชี้แจ้งการเรียนรู้ โดย ครผู สู้ อน https://youtu.be/m8GLH2dsS9U แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนเรอ่ื งการจัดการความรู้ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeFwGPs3EjAB10dkDgFLNopswC mAVXff2e9CQ16tsN888E66A/viewform?usp=sf_link วีดีโอเร่ืองแนวคดิ การจดั การความรู้ https://youtu.be/-TEcms1XnSg ใบความรูเ้ รือ่ ง การจัดการความรู้ https://drive.google.com/open?id=1UasVC4yGP1kN2uNsODpl7C4xMF8HQirvR 1j15UNGPro ใบงานเรือ่ งการจดั การความรู้ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSexOyJnE0R2ku4veAp5txtBgLz9 k1LJ7n8bDV61uJVROCiNjQ/viewform?usp=sf_link วดี ีโอเรอื่ งชมุ ชนนักปฏบิ ตั ิ https://youtu.be/qOJjqMQxUig ใบความรู้เร่ือง ชมุ ชนนกั ปฏบิ ัติ https://drive.google.com/open?id=13rUTvFKVbbBIU32hxs2cQguOTvDVH0f2p HASeX0jv4E ใบงานเรือ่ งชมุ ชนนกั ปฏิบตั ิ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSehAfiZFxUBCPIs6aAZX7aUKXW nrIN-8GtyK0uyW_MD_JehkQ/viewform?usp=sf_link วีดีโอสรปุ การเรียนรู้ โดยครูผสู้ อน https://youtu.be/RneobNvG_80
120 ใบความรู้ บทเรียนออนไลน์ที่ 3 เรอ่ื งการจดั การความรู้ การจดั การความรู้ (Knowledge Management : KM) การจดั การความรู้ คอื การรวบรวมองคค์ วามรู้ที่มอี ยใู่ นสว่ นราชการซ่ึงกระจัดกระจายอยู่ใน ตวั บุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เปน็ ระบบ เพ่ือให้ทุกคนในองค์กรสามารถเขา้ ถึงความรู้ และพัฒนา ตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทัง้ ปฏบิ ัติงานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ อันจะสง่ ผลใหอ้ งค์กรมีความสามารถในเชิง แข่งขันสงู สดุ โดยทคี่ วามรู้มี 2 ประเภท คือ 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์ หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเขา้ ใจในสิ่งต่าง ๆ เปน็ ความร้ทู ไ่ี ม่สามารถถ่ายทอด ออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรไดโ้ ดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมอื หรือการคิดเชิง วเิ คราะห์ บางคร้งั จึงเรียกวา่ เป็นความรแู้ บบนามธรรม 2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดย ผา่ นวิธีต่าง ๆ เชน่ การบนั ทึกเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร ทฤษฎี คมู่ ือต่าง ๆ และบางคร้งั เรยี กว่าเปน็ ความรู้ แบบรปู ธรรม ความรู้ ๒ ประเภทนี้จะเปลี่ยนสถานภาพ สลับปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา บางครั้ง Tacit ก็ ออกมาเป็น Explicit และบางครงั้ Explicit ก็เปลีย่ นไปเปน็ Tacit นพ.วจิ ารณ์ พานชิ ไดใ้ ห้ความหมายของคำว่า “การจดั การความร”ู้ ไว้ คอื สำหรับนักปฏิบัติ การจดั การความรู้คือ เครื่องมือ เพ่ือการบรรลเุ ปา้ หมายอยา่ งนอ้ ย 4 ประการ ไปพรอ้ ม ๆ กนั ไดแ้ ก่ บรรลุเปา้ หมายของงาน บรรลเุ ป้าหมายการพัฒนาคน บรรลเุ ป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองคก์ รเรยี นรู้ และ บรรลคุ วามเป็นชมุ ชน เปน็ หมู่คณะ ความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน การจัดการความรเู้ ป็นการดำเนนิ การอย่างนอ้ ย 6 ประการต่อความรู้ ได้แก่ การกำหนดความรหู้ ลักที่จำเป็นหรอื สำคญั ต่องานหรือกิจกรรมของกลุม่ หรือองค์กร การเสาะหาความร้ทู ่ตี อ้ งการ การปรบั ปรุง ดัดแปลง หรือสรา้ งความร้บู างส่วน ให้เหมาะตอ่ การใช้งานของตน การประยกุ ต์ใช้ความรู้ในกจิ การงานของตน การนำประสบการณ์จากการทำงาน และการประยุกต์ใช้ความรู้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ สกดั “ขุมความร”ู้ ออกมาบันทกึ ไว้
121 การจดบนั ทึก “ขมุ ความรู้” และ “แก่นความร”ู้ สำหรับไว้ใช้งาน และปรบั ปรงุ เป็นชดุ ความรู้ ทค่ี รบถ้วน ลุ่มลึกและเชือ่ มโยงมากข้ึน เหมาะตอ่ การใช้งานมากยง่ิ ขึน้ โดยที่การดำเนินการ 6 ประการนบ้ี รู ณาการเป็นเน้ือเดียวกัน ความรทู้ ่ีเกย่ี วขอ้ งเปน็ ท้ังความรู้ ที่ชัดแจ้ง อยู่ในรูปของตัวหนังสือหรือรหัสอย่างอื่นที่เข้าใจได้ทั่วไป (Explicit Knowledge) และ ความรู้ฝังลึกอยู่ในสมอง (Tacit Knowledge) ที่อยู่ในคน ทั้งที่อยู่ในใจ (ความเชื่อ ค่านิยม) อยู่ใน สมอง (เหตุผล) และอย่ใู นมอื และส่วนอ่นื ๆ ของร่างกาย (ทกั ษะในการปฏบิ ตั ิ) การจดั การความรู้เป็น กิจกรรมที่คนจำนวนหนึ่งทำร่วมกันไม่ใช่กิจกรรมที่ทำโดยคนคนเดียว เนื่องจากเชื่อว่า “จัดการ ความรู”้ จงึ มคี นเขา้ ใจผิด เร่มิ ดำเนนิ การโดยรี่เข้าไปที่ความรู้ คอื เริ่มทีค่ วามรู้ น่ีคือความผิดพลาดท่ี พบบ่อยมาก การจัดการความรูท้ ี่ถูกต้องจะต้องเริม่ ที่งานหรือเปา้ หมายของงาน เป้าหมายของงานที่ สำคัญ คือ การบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการตามที่กำหนดไว้ ที่เรียกว่า Operation Effectiveness และนิยามผลสัมฤทธ์ิ ออกเป็น 4 ส่วน คอื การสนองตอบ (Responsiveness) ซึ่งรวมทั้งการสนองตอบความต้องการของลูกค้า สนองตอบความต้องการของเจ้าของกจิ การหรือผู้ถอื หุน้ สนองตอบความต้องการของพนักงาน และ สนองตอบความต้องการของสังคมสว่ นรวม การมีนวัตกรรม (Innovation) ทั้งที่เป็นนวัตกรรมในการทำงาน และนวัตกรรมด้าน ผลิตภัณฑ์หรอื บริการ ขีดความสามารถ (Competency) ขององค์กร และของบุคลากรที่พัฒนาขึ้น ซึ่งสะท้อน สภาพการเรยี นรขู้ ององค์กร และ ประสทิ ธิภาพ (Efficiency) ซ่งึ หมายถงึ สัดส่วนระหวา่ งผลลพั ธ์ กับต้นทนุ ทีล่ งไป การทำงาน ที่ประสิทธิภาพสูง หมายถึง การทำงานที่ลงทุนลงแรงน้อย แต่ได้ผลมากหรือคุณภาพสูง เป้าหมาย สุดท้ายของการจัดการความรู้ คือ การที่กลุ่มคนที่ดำเนินการจัดการความรู้ร่วมกนั มีชุดความรู้ของ ตนเอง ท่รี ่วมกันสร้างเอง สำหรบั ใชง้ านของตน คนเหล่านจ้ี ะสร้างความรู้ข้ึนใช้เองอยูต่ ลอดเวลา โดย ที่การสร้างนั้นเป็นการสร้างเพียงบางส่วน เป็นการสร้างผ่านการทดลองเอาความรู้จากภายนอกมา ปรบั ปรงุ ใหเ้ หมาะต่อสภาพของตน และทดลองใช้งาน จดั การความรู้ไมใ่ ชก่ ิจกรรมทีด่ ำเนินการเฉพาะ หรือเกยี่ วกบั เร่อื งความรู้ แตเ่ ปน็ กิจกรรมท่ีแทรก/แฝง หรือในภาษาวชิ าการเรยี กว่า บูรณาการอยู่กับ ทกุ กิจกรรมของการทำงาน และทส่ี ำคัญตัวการจดั การความร้เู องกต็ อ้ งการการจดั การด้วย ตงั้ เป้าหมายการจัดการความรเู้ พอื่ พฒั นา งาน พฒั นางาน คน พฒั นาคน องค์กร เป็นองคก์ รการเรยี นรู้
122 ความเป็นชุมชนในที่ทำงาน การจัดการความรู้จึงไม่ใช่เป้าหมายในตัวของมันเอง นี่คือ หลุมพรางข้อที่ 1 ของการจัดการความรู้ เมื่อไรก็ตามที่มีการเข้าใจผิด เอาการจัดการความรู้เป็น เป้าหมาย ความผิดพลาดก็เริ่มเดินเข้ามา อันตรายที่จะเกิดตามมาคือ การจัดการความรู้เทียม หรือ ปลอม เป็นการดำเนินการเพยี งเพือ่ ใหไ้ ด้ช่อื ว่ามีการจัดการความรู้ การริเร่ิมดำเนนิ การจัดการความรู้ แรงจูงใจ การรเิ ร่มิ ดำเนินการจัดการความรู้เป็นก้าวแรก ถา้ กา้ วถูกทศิ ทาง ถูกวธิ ี ก็มีโอกาสสำเร็จสูง แตถ่ า้ กา้ วผิด กจ็ ะเดินไปสคู่ วามล้มเหลว ตัวกำหนดทีส่ ำคัญคือแรงจูงใจในการริเร่ิมดำเนินการจัดการ ความรู้ การจัดการความรู้ที่ดีเร่มิ ด้วย สัมมาทฐิ ิ : ใช้การจัดการความรเู้ ปน็ เคร่ืองมือเพ่ือบรรลุความสำเร็จและความมั่นคงในระยะยาว การจัดทมี ริเรม่ิ ดำเนินการ การฝกึ อบรมโดยการปฏบิ ัติจริง และดำเนินการต่อเนอื่ ง การจดั การระบบการจดั การความรู้ แรงจูงใจในการรเิ ริ่มดำเนินการจัดการความรู้ แรงจูงใจแท้ต่อการดำเนนิ การจัดการความรู้ คือ เป้าหมายที่งาน คน องค์กร และความเป็นชุมชนในที่ทำงานดังกล่าวแล้ว เป็นเงื่อนไขสำคัญ ใน ระดับที่เป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการจัดการความรู้ แรงจูงใจเทียมจะนำไปสู่การดำเนินการจัดการ ความรู้แบบเทียม และไปสู่ความล้มเหลวของการจัดการความรู้ในที่สุด แรงจูงใจเทียมต่อการ ดำเนินการจัดการความรู้ในสังคมไทย มีมากมายหลายแบบ ที่พบบ่อยทีส่ ุด คือ ทำเพียงเพือ่ ให้ได้ชื่อ ว่าทำ ทำเพราะถกู บงั คับตามข้อกำหนด ทำตามแฟช่นั แตไ่ ม่เข้าใจความหมาย และวธิ กี ารดำเนินการ จัดการความรอู้ ย่างแทจ้ ริง องคป์ ระกอบสำคัญของการจดั การความรู้ (Knowledge Process) “คน” ถอื วา่ เปน็ องค์ประกอบท่ีสำคัญท่ีสุดเพราะเปน็ แหล่งความรู้ และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ ให้เกิดประโยชน์ “เทคโนโลย”ี เปน็ เครอ่ื งมือเพ่อื ใหค้ นสามารถค้นหา จดั เก็บ แลกเปลยี่ น รวมท้ังนำความรู้ไป ใชอ้ ย่างง่าย และรวดเร็วขน้ึ “กระบวนการความรู้” นั้น เป็นการบริหารจัดการ เพื่อนำความรู้จากแหลง่ ความรู้ไปให้ผ้ใู ช้ เพื่อทำให้เกดิ การปรบั ปรุง และนวตั กรรม องคป์ ระกอบท้งั 3 ส่วนน้ี จะตอ้ งเชือ่ มโยงและบูรณาการอย่างสมดุล การจดั การความรู้ของ กรมการปกครอง จากพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี พ.ศ.2546 กำหนดให้ส่วนราชการมีหน้าทีพ่ ัฒนาความรูใ้ นส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์กร แห่งการเรียนรู้อยา่ งสม่ำเสมอ โดยตอ้ งรับรู้ขอ้ มลู ขา่ วสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่าง ๆ เพือ่ นำมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปฏิบตั ิราชการได้อย่างถกู ตอ้ ง รวดเรว็ และเหมะสมต่อสถานการณ์ รวมท้ัง
123 ตอ้ งสง่ เสริมและพฒั นาความรู้ ความสามารถ สร้างวสิ ัยทัศน์ และปรบั เปล่ียนทัศนคติของข้าราชการ ในสงั กัดใหเ้ ป็นบุคลากรท่มี ปี ระสิทธิภาพและมีการเรยี นรู้รว่ มกัน ขอบเขต KM ที่ไดม้ กี ารพจิ ารณาแล้ว เห็นว่ามีความสำคัญเร่งด่วนในขณะนี้ คือ การจัดการองค์ความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเชิง บรู ณาการ และได้กำหนดเป้าหมาย (Desired State) ของ KM ที่จะดำเนนิ การในปี 2549 คือมุ่งเน้น ให้อำเภอ/ก่ิงอำเภอ เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการในพ้ืนที่ท่ี เปน็ ประโยชนแ์ ก่ทกุ ฝา่ ยท่ีเกยี่ วข้อง โดยมีหนว่ ยท่วี ดั ผลไดเ้ ปน็ รูปธรรม คอื อำเภอ/ก่งิ อำเภอ มีข้อมูล ผลสำเร็จ การแกไ้ ขปัญหาความยากจนเชิงบรู ณาการในศูนย์ปฏบิ ัตกิ ารฯ ไม่น้อยกวา่ ศนู ย์ละ 1 เร่ือง และเพื่อให้เป้าหมายบรรลุผล ได้จัดให้มีกิจกรรมกระบวนการจัดการความรู้ (KM Process) และ กิจกรรมกระบวนการเปลี่ยนแปลง (Change Management Process) ควบคู่กันไป โดยมีความ คาดหวังว่าแผนการจัดการความรู้นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสู่การปฏิบัติราชการในขอบเขต KM และ เป้าหมาย KM ในเรอ่ื งอน่ื ๆ และนำไปสคู่ วามเป็นองคก์ รแหง่ การเรียนรู้ท่ยี ง่ั ยืน ตอ่ ไป
124 ใบงาน บทเรยี นออนไลน์ท่ี 3 เรื่องการจดั การความรู้ ใหผ้ เู้ รียนอธิบายข้อความต่อไปนี้ 1. การจดั การความรู้ (Knowledge Management : KM) หมายถงึ ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 2. การจดั การความรมู้ กี ปี่ ระเภท อะไรบา้ ง จงอธิบาย ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 3. การจัดการความรู้ท่ดี ตี ้องเริม่ ตน้ ด้วย จงอธิบาย ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 4. องคป์ ระกอบสำคญั ของการจัดการความรู้ (Knowledge Process) ............................................................................................................................. ............ ....................................................................................................................... ............................... ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .........................
125 เฉลยใบงาน บทเรียนออนไลนท์ ่ี 3 เรื่องการจดั การความรู้ จงอธิบายข้อความตอ่ ไปน้ี 1.การจดั การความรู้ (Knowledge Management : KM) หมายถงึ ตอบ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือ เอกสาร มาพฒั นาใหเ้ ป็นระบบ เพอื่ ให้ทกุ คนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็น ผรู้ ู้ รวมท้งั ปฏบิ ัติงานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ อันจะสง่ ผลใหอ้ งคก์ รมีความสามารถในเชงิ แข่งขันสงู สุด 2.การจัดการความรู้มกี ่ปี ระเภท อะไรบา้ ง จงอธิบาย ตอบ มี 2 ประเภท คือ 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือ สัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในส่ิงต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอด ออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทกั ษะในการทำงาน งานฝมี ือ หรือการคิดเชิง วเิ คราะห์ บางคร้งั จึงเรยี กว่าเปน็ ความรู้แบบนามธรรม 2. ความร้ทู ่ีชดั แจง้ (Explicit Knowledge) เปน็ ความรูท้ ่ีสามารถรวบรวม ถา่ ยทอดได้ โดยผ่านวิธี ตา่ ง ๆ เชน่ การบนั ทึกเป็นลายลักษณอ์ ักษร ทฤษฎี ค่มู อื ต่าง ๆ และบางคร้งั เรียกว่าเป็นความรู้แบบ รูปธรรม 3.การจดั การความรูท้ ่ดี ตี ้องเรมิ่ ตน้ ดว้ ย จงอธิบาย ตอบ สัมมาทฐิ ิ : ใชก้ ารจดั การความรูเ้ ป็นเคร่ืองมือเพอ่ื บรรลุความสำเร็จและความมน่ั คงในระยะยาว การจดั ทมี รเิ รมิ่ ดำเนนิ การ การฝึกอบรมโดยการปฏิบัติจรงิ และดำเนนิ การต่อเนอื่ ง การจัดการระบบ การจดั การความรู้ แรงจูงใจในการริเริม่ ดำเนินการจัดการความรู้ แรงจูงใจแท้ต่อการดำเนินการจัดการความรู้ คือ เป้าหมายที่งาน คน องค์กร และความเป็นชุมชนในที่ทำงานดังกล่าวแล้ว เป็นเงื่อนไขสำคัญ ใน ระดับที่เป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการจัดการความรู้ แรงจูงใจเทียมจะนำไปสู่การดำเนินการจัดการ ความรู้แบบเทียม และไปสู่ความล้มเหลวของการจัดการความรู้ในที่สุด แรงจูงใจเทียมต่อการ ดำเนินการจดั การความรู้ในสังคมไทย มีมากมายหลายแบบ ที่พบบ่อยที่สดุ คือ ทำเพียงเพือ่ ใหไ้ ด้ชือ่ วา่ ทำ ทำเพราะถูกบงั คับตามข้อกำหนด ทำตามแฟชั่นแตไ่ ม่เข้าใจความหมาย และวธิ ีการดำเนินการ จดั การความรอู้ ย่างแทจ้ ริง
126 4.องค์ประกอบสำคญั ของการจดั การความรู้ (Knowledge Process) ตอบ “คน” ถือวา่ เปน็ องคป์ ระกอบที่สำคัญท่สี ุดเพราะเปน็ แหล่งความรู้ และเปน็ ผู้นำความรู้ ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ “เทคโนโลยี” เป็นเครอื่ งมือเพอื่ ใหค้ นสามารถคน้ หา จัดเกบ็ แลกเปล่ยี น รวมท้งั นำความรู้ไป ใช้อย่างงา่ ย และรวดเร็วขน้ึ “กระบวนการความร”ู้ น้นั เป็นการบริหารจดั การ เพ่อื นำความรจู้ ากแหลง่ ความรไู้ ปให้ผู้ใช้ เพ่อื ทำให้เกิดการปรับปรงุ และนวตั กรรม
127 แบบทดสอบหลังเรยี น บทเรยี นออนไลนท์ ่ี 3 เรอื่ งการจดั การความรู้( Knowledge Management ) คำชีแ้ จง จงเลือกขอ้ ท่ถี ูกตอ้ งที่สดุ 1. การจัดการความรเู้ รียกสน้ั ๆ วา่ อะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 2. เปา้ หมายของการจัดการความรู้ คืออะไร ก. พฒั นาคน ข. พฒั นางาน ค. พฒั นาองคก์ ร ง. ถูกทุกข้อ 3. ขอ้ ใดถูกตอ้ งมากท่สี ดุ ก. การจดั การความร\"ู้ ไมท่ ำ -ไม่ร\"ู้ ข. การจดั การความรู้นัน้ จะต้องใหค้ นทมี่ พี น้ื ฐานคล้าย ๆ กัน มารว่ มกนั คดิ เป็นกล่มุ ค. การจัดการความรู้เปน็ เปา้ หมายของการทำงาน ง. การจดั การความรู้ไม่มีการลองผิดลองถกู 4. ขัน้ สงู สดุ ของการเรียนรคู้ ืออะไร ก. ปัญญา ข. สารสนเทศ ค. ขอ้ มูล ง. ความรู้ 5. ชมุ ชนนักปฏิบัต(ิ CoP) คืออะไร ก. การจดั การความรู้ ข. เป้าหมายของการจัดการความรู้ ค. วิธีการหนงึ่ ของการจดั การความรู้ ง. แนวปฏบิ ตั ิของการจดั การ
128 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น บทเรยี นออนไลน์ที่ 3 เรอื่ งการจดั การความร(ู้ Knowledge Management ) 1. ข 2. ง 3. ก 4. ก 5. ค
129 แบบทดสอบก่อนเรียน บทเรียนออนไลน์ที่ 3 เร่ืองชมุ ชนนักปฏบิ ตั ิ (CoP) 1. กจิ กรรมแลกเปลย่ี นเรียนรูร้ ปู แบบใดทไี่ มเ่ หมาะสมกับความรู้ประเภท Tacit Knowledge ก. ชมุ ชนนักปฏบิ ัติ (CoP) ข. ฐานความรู้ (Knowledge Bases) ค. ระบบพ่ีเลย้ี ง (Mentoring System) ง. เวทีสำหรบั แลกเปลยี่ นความรู้ (Knowledge Forum) 2. ข้อใดลักษณะที่สำคญั ของชุมชนนักปฏิบัติ (Communities of Practice : CoP) ก. กลุ่มคนทีร่ วมตัวกนั โดยมีความสนใจและความปรารถนารว่ มกันในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง ข. ปฏิสัมพนั ธ์และสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม ค. แลกเปลย่ี นและพฒั นาความรู้ร่วมกนั ง. ถกู ทุกขอ้ 3. บทบาทของ Facilitator (คณุ อำนวย) ในกลมุ่ ชุมชนนกั ปฏิบัติ (CoP) ไม่มหี น้าทต่ี ามข้อใด ก. เปน็ สมาชิก วางแผนและจดั การ ชว่ ยเหลือด้านเทคนคิ ข. อำนวยความสะดวก การแลกเปลยี่ นความร้ใู นชุมชนนกั ปฏิบัติ (CoP) ค. ใหท้ ิศทาง แนวคดิ สนับสนนุ ทรพั ยากร สรา้ งแรงจูงใจ ง. ประเมินผลและสอื่ สารความสำเร็จของชมุ ชนนกั ปฏิบัติ (CoP) 4. บทบาทของผบู้ รหิ ารระดบั กลาง-สงู ในกลมุ่ ชุมชนนกั ปฏบิ ัติ (CoP) คอื ใคร ก. Sponsor หรอื Leader (คุณเอือ้ ) ข. Facilitator (คณุ อำนวย) ค. Community historain หรอื Knowledge baker หรือ Secretory (คุณลิขิต) ง. Member (คุณกจิ ) 5. การทำ ARR (After Action Review) คอื อะไร ก. เป็นกจิ กรรมทใี่ ช้ทบทวนหรอื ประเมินผลของกจิ กรรมชมุ ชนนักปฏบิ ัติ (CoP) ข. หาจดุ ดี จุดด้อย โอกาสและอุปสรรค์ในการทำ (CoP) เพอ่ื ปรับปรงุ ในครงั้ ต่อไปใหด้ ีข้นึ ค. เปดิ โอกาสให้สมาชกิ ไดแ้ สดงความคดิ เหน็ ต่าง ๆ เพอื่ การปรบั ปรุงให้สอดคล้องกบั กล่มุ และเป้าหมาย ง. ถกู ทกุ ขอ้
130 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น บทเรียนออนไลนท์ ่ี 3 เรื่องชมุ ชนนกั ปฏิบตั ิ (CoP) 1. ข 2. ง 3. ค 4. ก 5. ง
131 ใบความรู้ บทเรียนออนไลนท์ ี่ 3 เรอ่ื ง ชมุ ชนนักปฏบิ ัติ ในชมุ ชนมปี ญั หาซับซอ้ นทคี่ นในชุมชนต้องร่วมกันแก้ไขการจัดการความร้จู งึ เป็นเรื่องทท่ี กุ คน ตอ้ งใหค้ วามร่วมมอื และให้ขอ้ เสนอแนะในเชิงสรา้ งสรรคก์ ารรวมกลุ่ม เพ่อื แก้ไขปญั หาหรอื ร่วมมือกัน พัฒนา โดยการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้รว่ มกัน เรยี กว่า “กลุ่มปฏบิ ตั ิการ” บุคคลในกลมุ่ จึงต้องมีเจตคติท่ีดี ใน การแบ่งปันความรู้ นำความรู้ทีม่ อี ยู่มาพัฒนากลุม่ จากการลงมอื ปฏิบัติและเคารพในความคิดเห็น ของผู้อน่ื กระบวนการจัดการความรู้ด้วยการปฏิบัติการกลุ่มจะทำ ให้บุคคลในกลุ่มเกิดการเรียนรู้ซ่ึง กันและกัน โดยเฉพาะการเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานร่วมกัน เป็นความรูท้ ี่บุคคลเคยประสบ ผลสำเร็จมาแล้ว และเมื่อนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันจะเป็นการยกระดับความรู้ให้กับคนที่ไม่รู้ และคนท่รี ู้บางส่วน แล้วจะเกดิ การต่อยอดความรู้และสามารถนา ความรูท้ ีไ่ ด้รับไปปฏบิ ัติได้อย่างเป็น รูปธรรม บุคคลและเครื่องมือท่ีเกยี่ วข้องกับการจดั การความรู้ บุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ ในการจัดการความรู้ด้วยวิธีการรวมกลุ่มปฏิบัติการ เพื่อต่อยอดความรู้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อดึงความรู้ที่ฝังลึกในตัวบุคคลออกมาแล้วสกัดเป็นขุมความรู้ หรือองค์ความรู้เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน นั้นต้องมีบุคคลที่ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน บรรยากาศของการมใี จในการแบง่ ปันความรู้ รวมทงั้ ผู้ท่ที ำหน้าท่ีกระตุ้น ใหค้ นอยากทีจ่ ะแลกเปลี่ยน เรยี นรูซ้ ่ึงกนั และกัน บคุ คลท่ีสำคัญ และเกยี่ วขอ้ งกบั การจัดการความร้มู ดี งั ตอ่ ไปนี้ “คุณเอื้อ ” ชื่อเตม็ คอื “คุณเอื้อระบบ ” เปน็ ผนู้ ำระดบั สูงขององคก์ ร ทำหน้าท่สี ำคญั คือ 1) ทำให้การจัดการความรูเ้ ป็นส่วนหน่ึงของการปฏบิ ตั งิ านตามปกติขององค์กร 2) เปดิ โอกาสใหท้ กุ คนในองค์กรเปน็ “ผ้นู ำ” ในการพฒั นาวธิ กี ารทำงานทตี่ นรับผิดชอบ และ นำประสบการณม์ าแลกเปล่ียนเรยี นร้กู บั เพอ่ื นร่วมงาน สรา้ งวัฒนธรรมเอ้อื อาทรและ แบง่ ปันความรู้ 3) หากุศโลบายทำให้ความสำเรจ็ ของการใชเ้ ครอื่ งมอื การจัดการความรมู้ ีการนำ ไปใช้มากข้นึ “คุณอำนวย” หรือผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้เป็นผู้กระตุ้น ส่งเสริมให้เกิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และอำนวยความสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นำคนมาแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ ทำงานร่วมกันชว่ ยให้คนเหล่านั้น สือ่ สารกัน ใหเ้ กิดความเข้าใจ เหน็ ความสามารถของ กนั และกันเป็นผู้เชอื่ มโยงคนหรือหน่วยงานเข้าหากัน โดยเฉพาะอย่างยิง่ เช่ือมระหว่างคนท่ีมีความรู้ หรือประสบการณ์กับ ผู้ต้องการเรียนรู้และนำ ความรู้นั้น ไปใช้ประโยชน์คุณอำนวยต้องมีทักษะท่ี สำคัญคือ ทักษะการสื่อสาร กับคนที่แตกต่างหลากหลาย รวมทั้งต้องเห็นคุณค่าของความแตกต่าง หลากหลาย และรู้จักประสานความแตกต่างเหล่าน้ัน ให้เห็นคุณค่าในทางปฏิบัติผลักดันให้เกิดการ พัฒนางาน และ ติดตามประเมนิ ผลการดำเนินงาน คน้ หาความสำเร็จหรอื การเปล่ียนแปลงทต่ี ้องการ
132 “คุณกิจ” คือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน คนทำงานที่รับผิดชอบงานตามหน้าที่ของคนในองค์กร ถือเป็นผู้จัดการความรู้ตัวจริงเพราะเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมจัดการความรู้มีประมาณร้อยละ 90 ของ ท้ังหมดเป็นผู้ร่วมกำหนดเป้าหมายการใช้การจัดการความรูข้ องกลุม่ ตน เป็นผู้ค้นหาและแลกเปลีย่ น เรียนรู้ ภายในกลุ่ม และดำเนินการเสาะหาและดูดซับความรู้จากภายนอกเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้ บรรลุเป้าหมาย ร่วมกำหนดไว้เป็นผู้ดำเนินการ จดบันทึกและจัดเก็บความรู้ให้หมุนเวียนต่อยอด ความรู้ไปไมร่ ูจ้ บ “คุณลิขิต” คือคนที่ทำหน้าที่จดบันทึกกิจกรรมจัดการความรู้ต่าง ๆ เพื่อจัดทำเป็นคลัง ความรู้ ขององค์กร ชุมชนนักปฏบิ ตั ิหรอื ชุมชนแหง่ การเรียน (CoP) ในชมุ ชนมปี ญั หาซับซอ้ น ท่ีคนในชุมชนต้องร่วมกันแก้ไขการจัดการความรู้จงึ เปน็ เรื่องท่ี ทุก คนต้องใหค้ วามรว่ มมอื และให้ขอ้ เสนอแนะในเชงิ สร้างสรรคก์ ารรวมกลุ่มเพือ่ แก้ปัญหาหรอื ร่วมมือกัน พัฒนาโดยการแลกเปล่ียนเรียนร้รู ่วมกัน เรยี กวา่ “ชมุ ชนนกั ปฏิบัต”ิ บคุ คลในกลมุ่ จึงต้องมีเจตคติท่ีดี ในการแบ่งปันความรู้นำความรู้ที่มีอยู่มาพัฒนากลุ่มจากการลงมือปฏิบัติและเคารพในความคิดเหน็ ของผู้อน่ื ชุมชนนกั ปฏิบัติคืออะไร ชุมชนนักปฏิบัติคือ คนกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งทำงานด้วยกัน มาระยะหนึ่ง มีเป้าหมายร่วมกัน และ ต้องการที่จะแบง่ ปันแลกเปล่ียนความรู้ประสบการณ์จากการทำงานกลุม่ ดังกล่าวมักจะไมไ่ ด้เกิดจาก การ จดั ต้งั โดยองค์การหรือชุมชน เปน็ กลุ่มที่เกดิ จากความต้องการแก้ปญั หา พฒั นาตนเอง เป็นความ พยายาม ท่จี ะทำให้ความฝันของตนเองบรรลุผลสำเรจ็ กลมุ่ ท่เี กิดขน้ึ ไมม่ ีอำนาจใด ๆ ไม่มีการกำหนด ไว้ใน แผนภูมิโครงสร้างองค์กร ชุมชนเป้าหมายของการเรียนรู้ของคนมีหลายอย่าง ดังนั้น ชุมชนนัก ปฏบิ ัติ จงึ มไิ ด้มีเพียงกลมุ่ เดยี ว แต่เกิดขนึ้ เปน็ จำนวนมาก ทัง้ นอี้ ย่ทู ี่ประเดน็ เน้ือหาทต่ี ้องการจะเรียนรู้ รว่ มกันนั่นเองและคนคนหนึง่ จะเป็นสมาชิกในหลายชมุ ชนก็ได้ ชุมชนนักปฏิบตั มิ คี วามสำคญั อยา่ งไร ชมุ ชนนักปฏิบตั ิเกดิ จากกล่มุ คนทีม่ ีเครือข่ายความสมั พันธ์ทไ่ี ม่เปน็ ทางการรวมตัวกันเกิดจาก ความใกล้ชิด ความพอใจจากการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน การรวมตัวกัน ในลักษณะที่ไม่เป็นทางการจะ เอื้อต่อการเรียนรู้และการสร้างความรู้ใหม่ ๆ มากกว่าการรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ มีจุดเน้นคือ ต้องการ เรียนรู้ร่วมกันจากประสบการณ์ทำงานเป็นหลักการทำงานในเชิงปฏิบัติหรือจากปัญหาใน ชีวิตประจำวัน หรือเรียนรู้เครือ่ งมือใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนางาน หรือวิธิีการทำงานที่ได้ผล และไม่ได้ผลการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก สร้าง ความรู้และความเขา้ ใจได้ มากกวา่ การเรียนรู้จากหนังสือ หรือการฝึกอบรมตามปกติเครอื ข่ายที่ไม่เป็น
133 ทางการในเวทชี ุมชนนักปฏิบัตซิ ึ่งมีสมาชิกจากต่างหน่วยงาน ต่างชุมชน จะช่วยให้องค์กรหรอื ชุมชน ประสบความสำเร็จได้ดกี วา่ การส่อื สาร ตามโครงสรา้ งที่เปน็ ทางการ การเลา่ เร่ือง การถอดความรู้ฝังลึก ด้วยกจิ กรรมเรือ่ งเล่าเร้าพลงั การเลา่ เรือ่ งเป็นเทคนคิ ของการใช้เร่ืองเล่าในกลุ่มเพอื่ นแบ่งปัน ความรู้หรือสรา้ งแรงบันดาลใจ ในการพัฒนาการปฏิบัตงิ าน โดยใช้ภาษาง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เล่า เฉพาะ เหตุการณ์บรรยากาศตัวละคร ที่เกย่ี วขอ้ งกับผู้เล่าในขณะท่ีเกิดเหตุการณ์ตามจริง เล่าให้เห็น บุคคล พฤติกรรม การปฏิบัติ การคิด ความสัมพันธ์ ข้อ สำคัญ ผู้เล่าต้องไม่ตีความระหว่างเล่า ไม่ใส่ ความคดิ เหน็ ของผู้เลา่ ในเร่ืองขณะที่เล่า เม่อื เลา่ จบแล้วผฟู้ งั สามารถซักถามผเู้ ลา่ ได้ การเลา่ เรือ่ งท่ดี คี วรมลี ักษณะดงั นี้ 1. เรื่องท่ีเลา่ ต้องเป็นเร่ืองจริงท่เี กดิ ขึ้น อยา่ แต่งเรอื่ งขน้ึ มาเอง 2. เร่ืองเลา่ สอดคล้องกับ หวั ปลาหรอื ประเดน็ ของกล่มุ 3. มชี อื่ เรอื่ งทบี่ อกถึงความสำเร็จ 4. ผู้เลา่ เปน็ เจ้าของเร่ือง 5. ลลี าการเล่า เรา้ พลังผู้ฟังใหเ้ กิดแนวคิดทจี่ ะนำไปปฏบิ ัตหิ รือคิดต่อ 6. เรอื่ งท่เี ล่าควรจบภายในเวลาไมเ่ กิน 5 นาที 7. ทา่ ทางขณะเล่า เลา่ อย่างมชี วี ตชิ วี าจะทำใหเ้ กดิ พลังขับเคล่อื น 8. การเล่าเรื่อง ต้องให้ครบทั้ง 3 ส่วน คือเป็นมาอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไรและได้ผลเป็น อย่างไร สกดั ขุมความรูแ้ ละแกน่ ความรู้ 1. ขุมความรูใ้ นการฟงั เรอื่ งเล่านั้น ผฟู้ ังจะต้องฟังอย่างตัง้ ใจ ฟังอย่างลึกซึ้ง หากไมเ่ ข้าใจหรือ ได้ยินไม่ชัดเจน สามารถซักถามเมื่อผู้เล่า (คุณกิจ) เล่าจบแล้ว ในบางช่วง บางตอน ที่ไม่ชัดเจนได้ซงึ่ จะมี ผูบ้ ันทกึ (คณุ ลขิ ิต) ช่วยบันทกึ เร่ืองเล่าและอ่านบันทึกใหท้ ่ีประชุมฟัง อีกครั้งหน่ึงเพ่ือสอบทานการ จดบนั ทกึ กับการเล่าเร่อื งของผู้เล่า (คุณกิจ) ให้สอดคลอ้ งตรงกัน ผอู้ ำนวยการประชุม (คณุ อำนวย) จะช่วย ให้ผู้ฟังสกัดเอาวิธีการปฏิบัติของผู้เล่า (คุณกิจ) ที่ทำให้งานสำเร็จออกมา วิธีการกระทำ ที่สกัดออกได้ เรียกว่าขมุ ความรู้ผู้ฟงั แตล่ ะคนจะเขียนขุมความรู้ออกโดยใชก้ ระดาษแผน่ น้อยเขียน 1 ขุมความร้ตู ่อ กระดาษ 1 แผ่น ไม่จำกัดจำนวนว่าแต่ละคนจะเขียนได้กี่ขุม กี่แผ่น ขึ้นอยู่กับทักษะการฟังและ ความสามารถในการจับประเดน็ ของแต่ละคน ลกั ษณะของขมุ ความรคู้ วรมลี กัษณะดังนี้ 1) เปน็ ประโยคท่ขี ึ้นด้วยคำกรยิ า 2) เป็นวธิ ีการปฏบิ ตั ิ( How to ) 3) เป็นประโยคหรอื ข้อความที่สอ่ื ความเขา้ ใจได้โดยทั่วไป
134 2. แกน่ ความรู้ แกน่ ความรู้จะมาจากขุมความรู้ท่ีสกัดได้จากเรอื่ งเล่า ซึ่งจะมเี ป็นจำนวนมาก และเมื่อวิเคราะห์และพิจารณาอย่างจริงจังจะเห็นว่าขุมความรู้เหล่าน้ัน สามารถจัดกลุ่มได้ การจัด กลุ่มขุมความรู้ประเภทเดียวกันไว้ด้วยกัน แล้วต้ังชื่อให้กับ ขุมความรู้ใหม่น้ัน โดยให้ครอบคลุมขุมความรู้ ท้งั หมดที่อยู่ในกลุ่มเดยี วกัน
135 ใบงาน บทเรียนออนไลนท์ ี่ 3 เร่อื งชมุ ชนนกั ปฏบิ ตั ิ 1. การจดั การความรใู้ นการปฏิบัตกิ ารคืออะไร มีความสำคญั อย่างไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. บุคคลทเี่ ก่ียวขอ้ งกับการจัดการความรใู้ นการปฏบิ ัติการกลุ่มมีใครบ้าง ทำหน้าทอ่ี ะไรบา้ ง ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. ใหผ้ ู้เรียนเขียนเรือ่ งเล่าแห่งความสำเรจ็ และรวมกลมุ่ กับเพือ่ นที่มเี ร่อื งเลา่ ลักษณะ คล้ายกันผลัดกนั เล่าเรื่อง สกัดความร้จู ากเร่ืองเล่าของเพ่อื น ตามแบบฟอรม์ นี้ แบบฟอร์มการบันทึกขุมความร้จู ากเรอื่ งเลา่ ชื่อเร่อื ง ………………………………………………………… ช่ือผู้เล่า ………………………………………………………… 1. เนื้อเร่อื งย่อ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................
136 2. การบันทึกขุมความรู้จากเร่อื งเล่า 2.1 ปญั หา ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2.2 วิธีแกป้ ัญหา (ขมุ ความร)ู้ …………………………………………………………............................................................................................... ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2.3 ผลทเี่ กดิ ขน้ึ ………………………………………………………… ………………………………………………………… ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2.4 ความร้สู ึกของผู้เลา่ / ผู้เล่าได้เรยี นรูอ้ ะไรบ้างจากการทำงานน้ี ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. แกน่ ความรู้ …………………………………………………………............................................................................................... ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................
137 เฉลยใบงาน บทเรียนออนไลนท์ ี่ 3 เรือ่ งชมุ ชนนกั ปฏิบตั ิ 1. การจัดการความรู้ในการปฏิบัตกิ ารคอื อะไร มคี วามสำคัญอย่างไร ตอบ กระบวนการจัดการความร้ดู ว้ ยการปฏบิ ตั กิ ารกล่มุ จะทำ ใหบ้ คุ คลในกลุ่มเกิดการเรียนรู้ ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานร่วมกัน เป็นความรู้ที่บุคคลเคย ประสบผลสำเรจ็ มาแล้ว และเมื่อนำมาแลกเปลยี่ นเรยี นร้รู ่วมกันจะเปน็ การยกระดับความรู้ให้กับคนที่ ไม่รู้และคนที่รูบ้ างส่วน แล้วจะเกดิ การตอ่ ยอดความรูแ้ ละสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปปฏิบัติได้อยา่ ง เป็นรปู ธรรม 2. บคุ คลทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับการจัดการความรู้ในการปฏิบัตกิ ารกลุม่ มีใครบ้าง ทำหนา้ ที่อะไรบา้ ง ตอบ “คณุ เอ้ือ ” ช่อื เตม็ คอื “คณุ เอื้อระบบ ” เปน็ ผูน้ ำระดบั สงู ขององคก์ ร ทำหนา้ ทีส่ ำคญั คอื 1) ทำใหก้ ารจัดการความรูเ้ ป็นส่วนหนึ่งของการปฏบิ ัติงานตามปกติขององค์กร 2) เปิดโอกาสให้ทุกคนในองคก์ รเป็น “ผู้นำ” ในการพัฒนาวิธีการทำงานที่ตนรับผิดชอบ และ นำประสบการณม์ าแลกเปลย่ี นเรยี นร้กู ับเพ่อื นรว่ มงาน สร้างวัฒนธรรมเอื้ออาทรและ แบ่งปันความรู้ 3) หากุศโลบายทำให้ความสำเร็จของการใช้เคร่ืองมือการจัดการความรูม้ ีการนำ ไปใช้มากขึน้ “คุณอำนวย” หรือผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้เป็นผู้กระตุ้น ส่งเสริมให้เกิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และอำนวยความสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นำคนมาแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ ทำงานรว่ มกันชว่ ยให้คนเหล่านั้น ส่ือสารกัน ใหเ้ กิดความเข้าใจ เหน็ ความสามารถของ กนั และกันเป็นผู้เชอื่ มโยงคนหรือหน่วยงานเข้าหากัน โดยเฉพาะอย่างย่ิง เชื่อมระหว่างคนท่ีมีความรู้ หรือประสบการณ์กับ ผู้ต้องการเรียนรู้และนำ ความรู้น้ัน ไปใช้ประโยชน์คุณอำนวยต้องมีทักษะท่ี สำคัญคือ ทักษะการสื่อสาร กับคนที่แตกต่างหลากหลาย รวมทั้งต้องเห็นคุณค่าของความแตกต่าง หลากหลาย และรู้จักประสานความแตกต่างเหล่านั้น ให้เห็นคุณค่าในทางปฏิบัติผลักดันให้เกิดการ พัฒนางาน และ ตดิ ตามประเมนิ ผลการดำเนินงาน ค้นหาความสำเร็จหรอื การเปลีย่ นแปลงที่ต้องการ “คุณกิจ” คือเจ้าหน้าท่ีผูป้ ฏิบัติงาน คนทำงานทีร่ บั ผิดชอบงานตามหน้าที่ของคนในองคก์ ร ถือเป็นผู้จัดการความรู้ตัวจริงเพราะเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมจัดการความรู้มีประมาณร้อยละ 90 ของ ทั้งหมดเป็นผู้ร่วมกำหนดเป้าหมายการใช้การจัดการความรู้ของกลุ่มตน เป็นผู้ค้นหาและแลกเปลีย่ น เรียนรู้ ภายในกลุ่ม และดำเนินการเสาะหาและดูดซับความรู้จากภายนอกเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้ บรรลุเป้าหมาย ร่วมกำหนดไว้เป็นผู้ดำเนินการ จดบันทึกและจัดเก็บความรู้ให้หมุนเวียนต่อยอด ความรไู้ ปไม่รจู้ บ “คุณลิขิต” คือคนที่ทำหน้าที่จดบันทึกกิจกรรมจัดการความรู้ต่าง ๆ เพื่อจัดทำเป็นคลัง ความรู้ ขององคก์ ร
138 3. ใหผ้ เู้ รียนเขยี นเรื่องเล่าแห่งความสำเรจ็ และรวมกลุ่มกับเพื่อนทมี่ ีเร่อื งเลา่ ลักษณะ คล้ายกันผลัดกนั เล่าเร่อื ง สกัดความรจู้ ากเร่ืองเล่าของเพือ่ น ตามแบบฟอรม์ น้ี (คำตอบอยใู่ นดลุ ยพินจิ ของครู)
139 แบบทดสอบหลังเรยี น บทเรียนออนไลน์ท่ี 3 เรอ่ื งชมุ ชนนักปฏบิ ตั ิ (CoP) 1. กิจกรรมแลกเปลีย่ นเรยี นรู้รปู แบบใดท่ไี มเ่ หมาะสมกับความรปู้ ระเภท Tacit Knowledge ก. ชุมชนนักปฏบิ ัติ (CoP) ข. ฐานความรู้ (Knowledge Bases) ค. ระบบพ่ีเลยี้ ง (Mentoring System) ง. เวทีสำหรับแลกเปลยี่ นความรู้ (Knowledge Forum) 2. ขอ้ ใดลักษณะที่สำคัญของชมุ ชนนักปฏบิ ัติ (Communities of Practice : CoP) ก. กลมุ่ คนทร่ี วมตัวกัน โดยมีความสนใจและความปรารถนารว่ มกันในเรือ่ งใดเรอื่ งหน่งึ ข. ปฏิสมั พนั ธ์และสร้างความสมั พันธใ์ นกลุ่ม ค. แลกเปลี่ยนและพฒั นาความร้รู ่วมกัน ง. ถูกทกุ ข้อ 3. บทบาทของ Facilitator (คณุ อำนวย) ในกล่มุ ชุมชนนกั ปฏบิ ัติ (CoP) ไมม่ หี นา้ ท่ีตามขอ้ ใด ก. เป็นสมาชิก วางแผนและจดั การ ช่วยเหลือด้านเทคนิค ข. อำนวยความสะดวก การแลกเปลี่ยนความรู้ในชมุ ชนนักปฏบิ ตั ิ (CoP) ค. ให้ทิศทาง แนวคิด สนบั สนุนทรพั ยากร สร้างแรงจงู ใจ ง. ประเมินผลและส่ือสารความสำเร็จของชุมชนนกั ปฏิบตั ิ (CoP) 4. บทบาทของผู้บริหารระดบั กลาง-สูง ในกลมุ่ ชุมชนนักปฏิบตั ิ (CoP) คือใคร ก. Sponsor หรือ Leader (คุณเอื้อ) ข. Facilitator (คณุ อำนวย) ค. Community historain หรือ Knowledge baker หรอื Secretory (คุณลขิ ติ ) ง. Member (คุณกิจ) 5. การทำ ARR (After Action Review) คืออะไร ก. เปน็ กจิ กรรมท่ีใชท้ บทวนหรือประเมินผลของกิจกรรมชมุ ชนนักปฏิบัติ (CoP) ข. หาจดุ ดี จดุ ด้อย โอกาสและอุปสรรค์ในการทำ (CoP) เพอ่ื ปรับปรุงในคร้งั ต่อไปใหด้ ีข้ึน ค. เปดิ โอกาสให้สมาชิกได้แสดงความคิดเหน็ ต่างๆ เพอื่ การปรบั ปรงุ ใหส้ อดคล้องกบั กลุม่ และเป้าหมาย ง. ถกู ทกุ ข้อ
140 เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น บทเรยี นออนไลนท์ ่ี 3 เรื่องชมุ ชนนักปฏิบตั ิ (CoP) 1. ข 2. ง 3. ค 4. ก 5. ง
141 แบบทดสอบก่อนเรียน บทเรยี นออนไลนท์ ี่ 4 เรื่องการคดิ เปน็ คำชแ้ี จง ผู้เรยี นอา่ นคำถามที่ละข้อ แล้วตอบคำถามโดยกาเคร่ืองหมาย X ทับตัวอักษร ก ข ค ง 1. ดร.โกวทิ วรพิพัฒน์ มคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั ขอ้ ใด ก. ปรชั ญา ข. คิดเป็น ค. การปรบั ตัว ง. ความเชอื่ พน้ื ฐาน 2. ปรัชญาพน้ื ฐานของการศกึ ษานอกโรงเรียน คอื ขอ้ ใด ก. ทำเปน็ ข. ทำได้ ค. คดิ เปน็ ง. คิดได้ 3. ความเชอ่ื ตามปรัชญาพื้นฐานของการศกึ ษานอกโรงเรียน คอื ขอ้ ใด ก. มนษุ ยท์ กุ คนตอ้ งการความสบาย ข. มนษุ ย์ทุกคนตอ้ งการความอสิ ระ ค. มนษุ ยท์ ุกคนตอ้ งการความสะดวก ง. มนุษยท์ ุกคนต้องการความสขุ 4. ขอ้ มูลตนเอง ขอ้ มูลสังคมและส่ิงแวดล้อม และขอ้ มูลวชิ าการ มีความเกย่ี วขอ้ งกับข้อใด ก. กระบวนการคดิ เปน็ ข. กระบวนการตดั สินใจ ค. กระบวนการคดิ วเิ คราะห์ ง. กระบวนการแสวงหาความรู้ 5. ความหมายของ “คดิ เป็น” คอื ขอ้ ใด ก. การคดิ อย่างรอบคอบเพ่ือการแก้ปัญหา โดยอาศยั ขอ้ มลู ตนเอง ขอ้ มูลสังคมสิ่งแวดล้อมและข้อมูลวชิ าการ ข. การคิดอย่างอย่างมสี ติ และใช้เหตผุ ลเพือ่ การปรับตนเองและการตัดสนิ ใจอยง่ ถกู ต้อง ค. การคิดวเิ คราะห์ และแก้ปญั หาที่เกดิ ขน้ึ เพ่อื ให้ตนเองเกดิ ความสุขและความพงึ พอใจ ง. การคดิ อย่างใครค่ รวญ ไตร่ตรอง เพ่ือเลือกปฏบิ ัตอิ ย่างมีคุณธรรม จริยธรรม
142 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น บทเรยี นออนไลน์ท่ี 4 เรือ่ งการคดิ เป็น 1. ข 2. ค 3. ง 4. ก 5. ก
143 ใบกิจกรรม บทเรียนออนไลนท์ ี่4 เร่ือง การคดิ เปน็ ให้ผู้เรียนศกึ ษาเรยี นร้จู ากหนังสือ แบบเรยี น หรอื อนิ เทอรเ์ น็ต และดคู ลิปวีดีโอจาก Youtube เรอ่ื งการคดิ เป็น วีดีโอช้ีแจง้ การเรยี นรู้ โดยครูผูส้ อน https://youtu.be/xsEFWrmwQ5s แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน เรอ่ื งความเชอ่ื พืน้ ฐานทางการศึกษาผ้ใู หญ่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSc8WtOASWrkTvxCCtj_Bk4aXJ7kYR3QYi_E BG0ywMY3FxCzCA/viewform?usp=sf_link เร่อื งการ\"คิดเป็น\"เพ่อื การพฒั นาคุณภาพชีวติ และสงั คมไทย https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeZEGcN-MrbWo6M7ygM- QKFxD3R3dMDy6t_yKUXtppFKhUyOg/viewform?usp=sf_link ใบความรู้เรื่อง ความเชอื่ พนื้ ฐานทางการศึกษาผ้ใู หญ่ https://drive.google.com/open?id=1xTTAPuCUGDVPYve3OgJ471- 9wC_ZW_cmIISCDdcK0Zc ใบงานเรื่องความเช่ือพืน้ ฐานทางการศกึ ษาผู้ใหญ่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScsQWq1xqhpeGheEwAts8Dqz0VgQa1Wq zG2Y6mL8HJWLAl6PA/viewform?usp=sf_link ใบความรเู้ ร่ือง \"คิดเปน็ \"เพอื่ การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตและสังคมไทย https://drive.google.com/open?id=1Jx9C5T2qOMx_JEB8WfkpTjVCk_W63E23fHxNHujYe sA วดี ีโอเร่ืองการคดิ เป็น https://youtu.be/LxjHCPq8qg0 ใบงานเรื่อง \"คดิ เปน็ \"เพ่อื การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตและสังคมไทย https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScpQbb3KlL93y9j- JEUbqRUw4V37W0u5bA-x2mgFATCDJ-SyQ/viewform?usp=sf_link วีดีโอสรปุ การเรยี นรโู้ ดยครผู ูส้ อน https://youtu.be/qhCxmDaOgOs
144 ใบความรู้ บทเรยี นออนไลน์ท่ี 4 เรื่องความเช่อื พนื้ ฐานทางการศกึ ษาผู้ใหญ่ ความเชอ่ื พื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ / ปฐมบทของ “คิดเป็น” คร้ังหน่ึง ดร.โกวทิ วรพพิ ัฒน์ อดตี ปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ซ่ึงเคยเป็นอธบิ ดกี รมการศึกษา นอกโรงเรียนมาก่อนเคยเลา่ ให้ฟงั ว่า มี เพื่อนฝรั่งถามท่านวา่ ทำไมคนไทยบางคนจนกจ็ น อยู่กระต๊อบเก่า ๆ ทำงานก็หนกั หาเช้ากินค่ำ แต่ เม่ือกลับบา้ นก็ยังมีแก่ใจนัง่ เป่าขลุ่ย ต้ังวงสนทนา สนกุ สนาน เฮฮากับ เพื่อนบา้ นหรอื โขกหมากรุกกับ เพ่อื นได้อยา่ งเบิกบานใจ ตกเย็นกน็ ั่ง กนิ ขา้ วคลุกน้ำพริกคลกุ น้ำปลากับ ลกู เมยี อยา่ งมีความสุขได้ท่าน อาจารย์ตอบไปว่า เพราะเขาคิดเป็น เขาจึงมีความสุข มีความพอเพียง ไม่ทกุ ข์ไมเ่ ดอื ดร้อนทุรนทุรายเหมอื น คนอื่น ๆ เทา่ นั้นแหละคำถามก็ตามมาเป็นหางว่าว เช่น กเ็ จ้า “คดิ เปน็ ” มันคืออะไรอยู่ท่ีไหนหน้าตา เป็นอย่างไร หาได้อย่างไร หายากไหม ทำอย่างไร จึงจะคิดเป็น ต้องไปเรียนจากพระอาจารย์ทิศา ปาโมกข์หรือเปล่าคา่ เรียนแพงไหม มีค่ายกครูไหม ใครเป็นครูอาจารย์ หรือศาสดา ฯลฯ ดูเหมือนว่า “คิดเปน็ ” ของท่านอาจารย์แมจ้ ะเปน็ คำไทยงา่ ย ๆ ธรรมดา ๆ แตก่ อ็ อกจะลึกลำ้ ชวนใหใ้ ฝ่หาคำตอบ ยิ่งนัก ประมาณปีพ.ศ. 2513 เป็นต้นมา ท่านอาจารย์ดร.โกวิท วรพิพัฒนแ์ ละคณะได้นำแนวคิดเรื่อง “คิดเป็น” มาเป็นเป้าหมายสำคัญ ในการจัดการศึกษาผู้ใหญ่หลายโครงการ เช่น โครงการการศกึ ษา ผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ โครงการรณรงค์เพื่อการรู้หนังสือแห่งชาติ โครงการการศึกษาประชาชนและ การศึกษาผู้ใหญข่ น้ั ตอ่ เนื่อง* เปน็ ต้น ตอ่ มาทา่ นย้ายไปเปน็ อธบิ ดกี รมวชิ าการ ทา่ นกน็ ำ “คดิ เป็น” ไป เป็นแนวทาง จัดการศึกษาสำหรับเด็กในโรงเรียนจนเป็นที่ยอมรับมากข้ึน เพื่อให้การทำความเข้าใจ กับการคิดเป็นง่ายข้ึน พอที่จะให้คนที่จะมามีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอนตามโครงการ ดงั กล่าวเขา้ ใจ และสามารถ ดำเนินการกจิ กรรมการเรียนรู้ให้สอดคลอ้ งกับ หลักการ “คดิ เป็น” ได้ จึง มีการนำเสนอแนวคิด * นับเป็นวิธีการทางการศึกษาที่สมัยใหม่มากยังไม่มีหน่วยงานไหนเคยทำมา ก่อน “คดิ เป็น” คืออะไรใครรู้บ้าง มที ิศทางมาจากไหนใครเคยเหน็ จะเรยี นวา่ ทำอยา่ งไรให้ “คิดเปน็ ” ไม่ล้อเล่นใครตอบได้ ขอบใจเอย เรื่องความเชื่อพ้ืนฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ข้ึนเป็นครั้งแรกโดยใช้ กระบวนการคิดเป็น ในการทำ ความเข้าใจกับความเชื่อพ้ืนฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ให้กับ ผู้ที่จะจัด กระบวนการเรียนการสอนตาม โครงการดังกล่าวในรูปแบบของการฝึกอบรม ** ด้วยการฝึกอบรมผู้ ร่วมโครงการการศึกษาผู้ใหญ่ แบบเบด็ เสรจ็ และโครงการการศึกษาผู้ใหญข่ น้ั ต่อเนอ่ื งระดบั 3 - 4 - 5 จนเป็นที่รู้จักฮือฮากันมาก ในสมัยนั้น ผู้เข้ารับการอบรมยังคงรำลึกถึงและนำมาใช้ประโยชน์จนทุกวันนี้ การเรียนรู้เร่ืองความเชื่อพ้ืนฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ให้เข้าใจได้ดีผู้เรียนต้องทำความเข้าใจด้วย การร่วมกิจกรรมการคิด การวิเคราะห์เรื่องราวตา่ ง ๆ เป็นข้ัน เป็นตอนตามลำดบั และสรุปความคดิ เปน็ ขน้ั เป็นตอนตามไปด้วยโดยไมต่ อ้ งกังวลวา่ คำตอบหรอื ความคดิ ท่ีได้จะผดิ หรอื ถูกเพียงใด เพราะไม่ มีคำ ตอบใดถูกทง้ั หมด และไมม่ คี ำตอบใดผิดท้ังหมด เมื่อได้รว่ มกิจกรรมครบตามกำหนดแล้วผู้เรียน จะร่วมกันสรุปแนวคิดเรอื่ งความเช่ือพ้ืนฐานทางการศกึ ษาผู้ใหญไ่ ด้ดว้ ยตนเอง
145 ความเชื่อพน้ื ฐานทางการศกึ ษาผูใ้ หญ่ เชอ่ื วา่ คนทกุ คนมีพ้ืนฐานทแี่ ตกตา่ งกัน ความตอ้ งการก็ ไม่เหมอื นกัน แต่ทกุ คนกม็ ีจดุ มุง่ หมายปลายทางของตนท่ีจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ซ่ึงถา้ บรรลุถึงสิ่งน้ัน ได้เขาก็จะมีความสุข ดังนั้น ความสุขเหล่าน้ีจึงเป็นเรื่องต่างจิตต่างใจที่กำหนดตามสภาวะ ของตน อย่างไรกต็ ามการจะมีความสขุ อยู่ได้ในสงั คม จำเปน็ ต้องปรบั ตัวเอง และสงั คมให้ผสมกลมกลนื กนั จน เกิดความพอดีแก่เอกัตภาพ และบางคร้ังหากเปน็ การตัดสินใจทไ่ี ด้กระทำ ดีท่สี ุดตามกำลังของตัวเอง แลว้ ก็จะมีความพอใจกับ การตดั สนิ ใจนั้น อีกประการหนึ่งในสงั คมที่มีการเปลยี่ นแปลงอยา่ ง รวดเร็ว น้ีการที่จะปรับตัวเองและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความพอดีน้ัน จำเป็นต้องรู้จักการคิด การแก้ปัญหา การ เรียนการสอนท่ีจะให้คนนรู้จักแก้ปัญหาไดน้ น้ั การสอนโดยการบอกอย่างเดียวคงไม่ได้ประโยชน์มาก นัก การสอนให้รู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์จึงเป็นวิธีที่ควรนำมาใช้กระบวนการคิด การแก้ปัญหามี หลากหลาย วิธีแตกต่างกันไป แต่กระบวนการคิด การแก้ปัญหาที่ต้องใช้ข้อมูลประกอบการคิด การ วิเคราะห์อย่าง น้อย 3 ประการ คอื ขอ้ มลู ทางวชิ าการ ข้อมูลเก่ยี วกับตัวเอง และขอ้ มลู เก่ยี วกับ สงั คม และสิง่ แวดล้อม ซ่ึงเม่อื นำผลการคดิ นไี้ ปปฏบิ ัติแล้วพอใจมีความสุขกจ็ ะเรียกการคิดเชน่ นั้นวา่ คิดเป็น บทสรุป เรื่องความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ เราได้เรียนรู้ถึงความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษา ผ้ใู หญโ่ ดยการทำกจิ กรรมร่วมกันทั้ง 5กจิ กรรม แล้วดงั สรปุ ทไี่ ด้รวมกนันเสนอไวแ้ ล้ว ความเชื่อพ้ืนฐาน ที่สรุปไว้น้ีคือความเชื่อพื้นฐานที่เป็นความจริง ในชีวิตของคนที่ กศน. นำมาเป็นหลักให้คนทำงาน กศน. ตลอดจนผู้เรียนได้ตระหนักและเข้าใจแล้ว นำไปใช้ในการดำรงชีวิตเพื่อการคิด การแก้ปัญหา การทำงานร่วมกับคนอื่น การบริหารจัดการในฐานะ เป็นนาย เป็นผู้นำหรือผู้ตาม ในฐานะผู้สอน ผเู้ รียนในฐานะเป็นสมาชกิ ในครอบครวั สมาชิกในชุมชน และสงั คม เพื่อให้ร้จู ัก ตัวเอง รูจ้ ักผอู้ ื่น รู้จัก สภาวะสง่ิ แวดลอ้ ม การคดิ การตัด สนิ ใจต่าง ๆ ทค่ี ำนึงถึง
146 ใบงาน บทเรยี นออนไลน์ท่ี 4 เรือ่ งความเชอ่ื พืน้ ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ 1. ให้ผู้เรียนอธบิ ายความเชอื่ พ้นื ฐานทางการศกึ ษาผู้ใหญ่ มาอย่างละเอียด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. ใหผ้ เู้ รยี นไปหาความหมายของคำวา่ คิดเป็นในแง่มุมตา่ ง ๆ ท้ังโดยการอ่านหนงั สอื สนทนาธรรม ฟังวิทยุคยุ กับ เพื่อน ฯลฯ แล้วบันทกึ การคิดดังกล่าว 2.1 คดิ เปน็ คอื ......................................................................................................................... ........................................................................................................................................... 2.2 คิดเป็น คือ ......................................................................................................................... ........................................................................................................................................... 2.3 คิดเป็น คือ ......................................................................................................................... ........................................................................................................................................... 2.4 คิดเปน็ คอื ......................................................................................................................... ........................................................................................................................................... 3. ขอใหผ้ ู้เรยี นลองให้ความเห็นของผู้เรียนเองบา้ งว่า คิดเป็นคืออะไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................
147 เฉลยใบงาน บทเรยี นออนไลน์ที่ 4 เรือ่ งความเชอื่ พน้ื ฐานทางการศกึ ษาผูใ้ หญ่ 1. ให้ผู้เรยี นอธบิ ายความเช่อื พ้นื ฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ มาอย่างละเอียด ตอบ ความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ เชื่อว่าคนทุกคนมีพ้ืนฐานที่แตกต่างกัน ความ ต้องการก็ไมเ่ หมอื นกัน แตท่ กุ คนกม็ จี ดุ มุ่งหมายปลายทางของตนท่ีจะก้าวไปสคู่ วามสำเร็จ ซ่ึงถา้ บรรลุ ถึงสิ่งน้ันได้เขาก็จะมีความสุข ดังนั้น ความสุขเหล่านี้จึงเป็นเรื่องต่างจิตต่างใจที่กำหนดตามสภาวะ ของตนอย่างไรกต็ ามการจะมีความสุขอยู่ได้ในสงั คม จำเปน็ ต้องปรบั ตัวเอง และสังคมใหผ้ สมกลมกลืน กัน จนเกดิ ความพอดีแก่เอกัตภาพ และบางครั้งหากเป็นการตัดสินใจทไี่ ด้กระทำ ดีทส่ี ุดตามกำลังของ ตัวเองแล้ว ก็จะมีความพอใจกับ การตัดสินใจนั้น อีกประการหนึ่งในสังคมที่มีการเปลีย่ นแปลงอย่าง รวดเร็วนี้การที่จะปรับตัวเองและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความพอดีนั้น จำเป็นต้องรู้จักการคิด การ แก้ปัญหา การเรยี นการสอนท่ีจะให้คนนรจู้ ักแก้ปญั หาได้นั้น การสอนโดยการบอกอย่างเดียวคงไม่ได้ ประโยชน์มากนัก การสอนให้รู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์จึงเป็นวิธีที่ควรนำมาใช้กระบวนการคิด การ แก้ปัญหามีหลากหลาย วิธีแตกต่างกันไป แต่กระบวนการคิด การแก้ปัญหาที่ต้องใช้ข้อมูล ประกอบการคิด การวิเคราะห์อยา่ ง น้อย 3 ประการ คอื ขอ้ มลู ทางวิชาการ ข้อมูลเก่ยี วกับตัวเอง และ ขอ้ มูลเกี่ยวกับ สังคมและส่ิงแวดล้อม ซึ่งเม่อื นำผลการคิดนี้ไปปฏบิ ัตแิ ล้วพอใจมคี วามสขุ ก็จะเรยี กการ คิดเช่นนั้นว่า คิดเป็น บทสรุป เรื่องความเชื่อพ้ืนฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ เราได้เรียนรู้ถึงความเช่ือ พื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญโ่ ดยการทำกจิ กรรมร่วมกันท้ัง 5กิจกรรม แลว้ ดงั สรปุ ท่ไี ด้รวมกนันเสนอไว้ แล้ว ความเชือ่ พน้ื ฐานที่สรปุ ไว้น้ีคอื ความเชือ่ พ้ืนฐานที่เปน็ ความจริง ในชีวิตของคนที่ กศน. นำมาเป็น หลักให้คนทำงาน กศน. ตลอดจนผู้เรียนได้ตระหนักและเข้าใจแล้ว นำไปใช้ในการดำรงชีวิตเพื่อการ คดิ การแก้ปัญหาการทำงานรว่ มกับคนอน่ื การบรหิ ารจัดการในฐานะ เปน็ นาย เปน็ ผนู้ ำหรือผตู้ าม ใน ฐานะผู้สอน ผู้เรียนในฐานะเป็นสมาชิกในครอบครัว สมาชิกในชุมชน และสังคม เพื่อให้รู้จัก ตัวเอง รจู้ ักผอู้ ื่น ร้จู ัก สภาวะสิ่งแวดลอ้ ม การคิดการตัด สนิ ใจตา่ ง ๆ ทคี่ ำนงึ ถึง 2. ใหผ้ ูเ้ รยี นไปหาความหมายของคำว่า คิดเปน็ ในแงม่ มุ ต่าง ๆ ทั้งโดยการอา่ นหนงั สอื สนทนาธรรม ฟังวิทยคุ ยุ กับ เพอ่ื น ฯลฯ แล้วบันทกึ การคิดดังกล่าว (อยใู่ นดลุ ยพนิ จิ ของครูผ้สู อน) 3. ขอใหผ้ ู้เรยี นลองให้ความเห็นของผู้เรยี นเองบา้ งว่า คดิ เปน็ คอื อะไร (อยใู่ นดลุ ยพนิ จิ ของครูผูส้ อน)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348