ลักษณะท่ัวไป เชํน อายุ ระดับความร๎ู สงั คม เศรษฐกิจและ วัฒนธรรมของผเู๎ รยี นแตํละคน ลกั ษณะเฉพาะ เชํน o ทกั ษะที่มีมากํอน ( prerequitsite skills) o ทกั ษะเปูาหมาย ( targer skills) o ทกั ษะในการเรียน ( study skills) ทัศนคติ ( attitude) การกาหนดวัตถุประสงค์ ( State Objective) เพอ่ื o สะดวกในการเลอื กสื่อและวิธีการท่ีถูกต๎องตลอดจนการจดั ลําดบั กิจกรรมการเรียนและ สร๎างสิง่ แวดลอ๎ ม หรือประสบการณ์การเรียนรู๎ o การประเมนิ ผู๎เรยี นได๎อยาํ งถูกตอ๎ ง ชํวยให๎ผเ๎ู รยี นทราบถึงผลแหงํ การเรียนร๎แู ละผลแหํงการกระทําหลังจากเสร็จสิน้ บทเรยี นแลว๎ ซึง่ การกําหนดวัตถปุ ระสงค์ ควรประกอบด๎วย 1. การกระทาํ ( performance) เป็นสิง่ ท่ีคาดหวังวําผู๎เรยี นจะสามารถกระทาํ ไดภ๎ ายหลังจบ บทเรยี นแล๎ว 2. เง่ือนไข ( conditions) เปน็ ข๎อจาํ กัดหรือเงื่อนไขทีต่ ้ังขึน้ โดยรวมอยํูภายใตก๎ ารกระทํา 3. เกณฑ์ (criteria) เพอื่ การตัดสนิ การกระทํานัน้ วาํ เปน็ ไปตามทก่ี าํ หนดไว๎หรอื ไมํ การกําหนดวัตถุประสงค์เป็น \" วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม\" แบํงออกเป็น 1. พทุ ธิพสิ ยั เป็นวตั ถปุ ระสงค์ทต่ี ง้ั ไว๎เพื่อวดั การเรยี นรขู๎ องผ๎ูเรียนเกี่ยวกับความร๎ู ความเข๎าใจ สตปิ ัญญา และการพัฒนา 2. จติ ตพิสัย เป็นวัตถุประสงค์ทางดา๎ นความคิด ทัศนคติ ความร๎สู กึ คาํ นิยมและการเสรมิ สร๎าง ทางปัญญา 3. ทักษะพสิ ัย เปน็ วตั ถปุ ระสงค์ทีเ่ ก่ยี วกับการกระทาํ การแสดงออกหรือการปฏบิ ตั ิ การเลอื ก ดัดแปลงหรือออกแบบสื่อ (Select , Modify or Design Materials) เลอื กจากสื่อท่ีมีอยํูแล๎ว ดัดแปลงสอ่ื ท่ีมอี ยูํแล๎ว การออกแบบสอ่ื ใหมํ การใช๎สอ่ื (Ulilize Materials) 98
ดูหรอื อาํ นเน้ือหาในส่ือเหลํานั้นกํอนเปน็ การเตรยี มตัว จัดเตรยี มสถานที่ เตรียมตัวผเ๎ู รยี น ควบคมุ ช้นั เรยี น การกําหนดการตอบสนองของผู๎เรียน (Require Learner Response) o การตอบสนองโดยเปดิ เผย (overt response) โดยการพูดหรอื เขียน o การตอบสนองภายในตวั ผูเ๎ รียน (covert response) โดยการทํองจาํ หรอื คิดในใจ เม่ือมีการตอบสนองแลว๎ ผ๎สู อนควรใหก๎ ารเสรมิ แรงทันที เพื่อใหผ๎ ๎เู รียนทราบวาํ ตนมีความ เขา๎ ใจและเกดิ การเรียนร๎ทู ถี่ ูกต๎องหรือไมํ การประเมนิ (Evaluation) o การประเมนิ กระบวนการสอน ซึ่งสามารถกระทาํ ไดท๎ ้ังในระยะกํอน ระหวาํ งและหลังการสอน o การประเมนิ ความสาํ เรจ็ ของผ๎ูเรียน ซึ่งข้ึนอยํูกบั วตั ถุประสงคแ์ ละ เกณฑ์ท่ีต้ังไว๎ การประเมนิ ส่อื และวิธกี ารสอน โดยให๎ผ๎เู รียนมกี ารอภปิ ราย และวิจารณก์ ารใชส๎ อ่ื และเทคนคิ การสอนวาํ มคี วามเหมาะสมมากน๎อยเพยี งใด ข้ันตอนการใชส้ อื่ การสอน 1. ขนั้ นําเขา๎ สบํู ทเรยี น เพ่อื กระตน๎ุ ให๎นกั เรยี นเกดิ ความสนใจในเน้อื หาทกี่ าํ ลงั จะเรยี น สอื่ ที่ใช๎ ในขัน้ นจ้ี งึ เป็นสือ่ ทีแ่ สดงเนื้อหากว๎าง ๆ หรอื เนื้อหาท่เี กยี่ วข๎องกับการเรยี นในครงั้ กํอน ยังมิใชสํ อื่ ทีเ่ น๎น เนอ้ื หาเจาะลึกอยํางแท๎จริง อาจเปน็ สอื่ ท่ีเปน็ แนวปัญหาหรือเพ่ือผูเ๎ รยี นคดิ และควรเป็นส่อื ทง่ี าํ ยตํอการ นําเสนอในระยะเวลาอนั สั้น 2. ข้ันดาํ เนินการสอนหรือประกอบกิจกรรมการเรยี น เปน็ ขัน้ สําคัญในการเรยี น เพราะเป็นข้ันท่ี จะให๎ความรูเ๎ นื้อหาอยาํ งละเอียดเพ่ือสนองวัตถปุ ระสงค์ท่วี างไว๎ ผ๎ูสอนต๎องเลือกสื่อให๎ตรงกับเนื้อหาและ 99
วิธีการสอนหรอื อาจจะใชส๎ อ่ื หลายแบบก็ได๎ ต๎องมีการจดั ลาํ ดบั ขัน้ ตอนการใชส๎ ่อื ใหเ๎ หมาะสมและ สอดคล๎องกบั กจิ กรรมการเรียน การใช๎ส่อื ในขั้นนี้จะต๎องเป็นสอื่ ทเ่ี สนอความรอู๎ ยาํ งละเอียด ถกู ต๎องและ ชัดเจนแกํผเ๎ู รียน 3. ขน้ั วเิ คราะหแ์ ละฝึกปฏิบตั ิ เปน็ การเพ่ิมพูนประสบการณ์ตรงแกผํ ู๎เรยี นเพื่อใหผ๎ ๎เู รยี นได๎ ทดลองนาํ ความร๎ูดา๎ นทฤษฎี หรือหลักการทเี่ รยี นมาแล๎วไปใชแ๎ ก๎ปัญหาในข้ันฝึกหดั โดยการลงมอื ฝึก ปฏบิ ัตเิ อง ส่อื ในข้ันนจ้ี ึงเปน็ ส่ือท่ีเปน็ ประเด็นปัญหาใหผ๎ ูเ๎ รยี นได๎ขบคดิ โดยผูเ๎ รียนเป็นผ๎ใู ชส๎ ่อื เองมากท่สี ุด 4. ข้ันสรุปบทเรียน เปน็ ข้ันของการเรียนการสอน เพื่อการยํา้ เนื้อหาบทเรียนให๎ผ๎เู รียนมีความ เข๎าใจท่ีถกู ต๎องและตรงตามวัตถปุ ระสงค์ท่ีตั้งไว๎ดว๎ ย ข้นั สรปุ นคี้ วรใช๎เพียงระยะส้นั ๆ เชนํ เดยี วกบั ข้ัน นําเข๎าสบํู ทเรียน สือ่ ใช๎สรุปนจี้ งึ ควรครอบคลุมเน้อื หาสําคัญท้ังหมดโดยยํอและใช๎เวลาน๎อย 5. ข้ันประเมินผ๎ูเรยี น เปน็ การทดสอบวําผเู๎ รยี นสามารถเรียนรห๎ู รือเข๎าใจในสิ่งทเ่ี รยี นไปถูกตอ๎ ง มากน๎อยเพียงได และบรรลตุ ามวัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรมทตี่ ัง้ ไวห๎ รือไมํ ส่อื ในข้นั การประเมนิ น้มี ักจะเป็น คําถามจากเนื้อหาบทเรยี นโดยจะมีภาพประกอบดว๎ ยก็ได๎ หรืออาจนําส่ือที่ใชใ๎ นขั้นกจิ กรรมการเรียนมา ถามอีกครั้ง และอาจเปน็ การทดสอบโดยการปฏิบตั จิ ากสื่อหรอื การกระทาํ ของผเู๎ รยี น เพื่อทดสอบดวู ํา ผู๎เรยี นสามารถมีทักษะจากการฝกึ ปฏบิ ัติอยาํ งถูกต๎องครบถ๎วนหรือไมํ การประเมนิ การใชส้ ื่อการสอน 1.การประเมินการวางแผนการใช๎ส่ือ เพ่ือดูวําสิ่งตําง ๆ ทีว่ างไว๎สามารถดาํ เนินไปตามแผน หรอื ไมํ หรือเป็นไปเพยี งตามหลักทฤษฎีแตํไมสํ ามารถปฏบิ ัตจิ รงิ ได๎ จงึ ต๎องเก็บรวบรวมข๎อมลู ไว๎เพ่อื แก๎ไข ปรบั ปรงุ ในการวางแผนในการวางแผนครั้งตํอไป 2. ประเมนิ กระบวนการการใช๎สอื่ เพื่อดูวาํ การใช๎สอื่ ในแตํละขนั้ ตอนประสบปัญหาหรืออุปสรรค อยาํ งไรบ๎าง มีสาเหตุมาจากอะไร และมกี ารเตรยี มการปอู งกันไวห๎ รือไมํ 3. ประเมนิ ผลทีไ่ ด๎จากการใช๎ส่ือ เปน็ ผลทเ่ี กิดขึน้ กับผ๎เู รยี นโดยตรงวํา เม่ือเรียนแลว๎ ผูเ๎ รียน สามารถบรรลตุ ามวัตถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมท่ีต้ังไว๎หรือไมํ และผลทีไ่ ด๎นนั้ เป็นไปตามเกณฑห์ รอื ตํ่ากวาํ เกณฑ์ ชนิดของสือ่ การสอน สื่อท่ใี ช๎ชํวยในการสอนมหี ลายชนิด ซ่งึ อาจกลําวได๎วาํ สิ่งใดก็ตามที่เปน็ เคร่ืองชวํ ยใหเ๎ ด็กวยั นมี้ ี พฒั นาการดังกลาํ ว นับวําเปน็ สื่อได๎ท้ังสิน้ ได๎แกํ 1. ครู ครูเป็นส่ือนบั ได๎วําความสําคัญ เพราะเป็นผู๎กํอให๎เกิดความเคลื่อนไหวตําง ๆ ในการ เรยี นรู๎ และเปน็ สอื่ ทจี่ ะนาํ สือ่ อ่ืนให๎เกิดประสิทธิภาพในการเรียนการสอน หากปราศจากครู การเรยี นการ สอนก็จะไมํมีผลแกเํ ด็กในวยั นี้อยาํ งแนํนอน 100
2. สงิ่ แวดลอ๎ มตามธรรมชาติ สอื่ ชนดิ น้คี รูหรอื ผู๎ใชไ๎ มํจําเป็นต๎องจดั หาหรือทําข้นึ เพราะมีอยูํ แลว๎ ตามธรรมชาติ เพียงแตผํ ใู๎ ช๎จะตอ๎ งเลือกให๎ถูกตามความมงํุ หมาย เชนํ การสอนเรื่องวงจรชีวิตกบ กค็ วร เลอื กฤดูกาลท่ีเหมาะสม คอื ฤดฝู น เพ่ือจะไดน๎ าํ สง่ิ ที่เปน็ ไปตามธรรมชาตมิ าศึกษาได๎ แทนทจี่ ะใชว๎ ธิ ีวาด ภาพ ไขํกบ ลกู อ๏อด และลูกกบ ประกอบคาํ อธบิ าย เป็นตน๎ 3. สอ่ื ทตี่ อ๎ งจัดทาํ ขน้ึ สื่อชนิดน้ีมีมากมายหลายชนิด สดุ แตํผทู๎ ่สี นใจจะจัดซ้ือ จัดหาหรอื จัดทาํ ขน้ึ ได๎แกํ ของจรงิ ของจาํ ลอง ภาพถําย ภาพวาด บตั รคาํ เกม กิจกรรม เครื่องฉายภาพนิง่ เครื่อง ฉายภาพยนตร์ เป็นต๎น สอ่ื ดังกลําวอาจแบํงออกตามลักษณะของการใช๎ได๎ 3 ประเภท คอื 1. สอ่ื การสอนประเภทวัสดุ เชนํ สี กระดาน ชอล์ค ภาพ เปลือกหอย หนังสือพิมพ์ เปน็ ตน๎ 2. สือ่ การสอนประเภทอปุ กรณ์ คอื สงิ่ ทเี่ ปน็ เครื่องมือ วิทยุ เครอ่ื งฉายภาพวดี โี อ กระดานดาํ ปูายนเิ ทศ เป็นต๎น 3. สอื่ การสอนประเภทวิธกี าร กระบวนการจัดกจิ กรรม ไดแ๎ กํ การสาธติ การทดลอง เลํน เกม เลํนบทบาทสมมตุ ิ จดั สถานการณ์จาํ ลอง เชํน การจดั มุมตําง ๆ ในหอ๎ งเรียน ในชน้ั เดก็ เล็ก ไมํได๎สอนเป็นรายวิชา เปน็ การเตรียมความพร๎อมโดยนาํ เอาวชิ าตําง ๆ มาบูรณา การเปน็ หนวํ ย และสอดแทรกวิธสี อนแบบเรยี นปนเลนํ ดว๎ ยกิจกรรมตาํ ง ๆ ดังกลําวมาจากบทกํอน ๆ แล๎ว หากลองจดั สื่อการสอนโดยยึดตามชอื่ หมวดวชิ า จะมรี ายละเอียดดงั นี้ 1. หมวดภาษา วัสดุและอปุ กรณส์ าํ หรับภาษาไทยมจี ดุ มํุงหมายให๎เด็กค๎นุ เคยกับเสน๎ ประเภท ตําง ๆ ทีจ่ ะประกอบเปน็ ตัวอักษร ซ่ึงมีผ๎วู จิ ยั ไว๎แลว๎ วาํ เสน๎ ตาํ ง ๆ ทจ่ี ะประกอบเป็นตวั อักษรซึ่งมผี ๎วู ิจยั ไว๎ แลว๎ วาํ เสน๎ ตาํ ง ๆ ทป่ี ระกอบเป็นอกั ษรไทยมี 13 ชนดิ จับคูํกับภาพตําง ๆ ได๎ถูกต๎อง การฝกึ การสนทนา เลํานทิ าน แสดงละคร และกิจกรรมทางภาษาอ่ืน ๆ ทจี่ ะเสริมใหเ๎ ดก็ สามารถใชภ๎ าษาให๎ถกู ต๎องตาม วัฒนธรรม วสั ดใุ นหมวดภาษา ได๎แกํ แบบเรียน บัตรคํา ภาพ แผนภูมิ ตรายาง อักษรตรายาง ภาพคํานาม แทงํ อักษร ตวั อักษรฉลุไม๎ ตัวอกั ษรพลาสติก ภาพชดุ ประกอบนทิ าน หนํุ จาํ ลอง หนํุ กระบอก สเี ทยี น ชดุ สนทนา ฯลฯ 2. หมวดสงั คมศกึ ษา เปน็ วสั ดุอุปกรณ์ท่มี งํุ ฝึกฝนการอยํูรวํ มกันในชมุ ชน ฝกึ ให๎เปน็ สมาชิกท่ี ดี ร๎ูจักบทบาทของตน รํวมเลํน แบงํ ปันส่งิ ของกับคนอ่ืน รูจ๎ ักหน๎าทีต่ ามวัยของตน ฝกึ การเสยี สละ ฯลฯ วสั ดอุ ุปกรณส์ ําหรับหมวดสังคมศกึ ษา ได๎แกํ ภาพชุด แผนภูมิ ของจริง (เชํน ธงชาติ ภาพชดุ นทิ าน หุํนกระบอก เครื่องแตํงกาย นทิ าน ชุดครวั มีถ๎วย ชาม หม๎อ เตา) ฯลฯ บ๎านตุ๏กตา (บา๎ นหํุนคนและ สัตวข์ นาดเล็ก) กะบะทราย ฯลฯ 3. หมวดวทิ ยาศาสตร์ (ธรรมชาติศกึ ษา) เปน็ วสั ดุอุปกรณ์ที่ชํวยฝกึ ใหเ๎ รยี นรธ๎ู รรมชาติ ส่ิงแวดลอ๎ ม ทง้ั คน พชื สตั ว์ และปรากฎการณ์ตามธรรมชาติอยํางงําย ๆ ประกอบด๎วยรูปภาพ แผนภูมิ 101
ของจรงิ (สัตว์ พชื สิ่งของ) ต๎ูสตั ว์ กรงเล้ยี งสตั ว์ ตสู๎ ะสมแมลง กะบะเพาะพืช กะบะทราย อาํ งนํา้ เครื่อง เลนํ ทราย เลนส์แวนํ ขยาย ชดุ แบตเตอร่ีอยํางงําย ๆ ชดุ แมํเหล็ก ฯลฯ 4. คณติ ศาสตร์ เปน็ วัสดุอุปกรณฝ์ ึกมโนทัศน์ทางการนบั คาํ นวณประกอบดว๎ ยบัตรตวั เลข ภาพชุดเกย่ี วกับตวั เลขของจริง ลูกคิด ลูกปดั กระดานปักหมุน บนั ไดเลข แทํงไมค๎ ณิตศาสตร์ แหํงไม๎ เรขาคณติ เคร่ืองชัง่ นํ้าหนัก เครอื่ งตวง ฯลฯ 5. หมวดขบั ร๎องและดนตรี เป็นวัสดอุ ุปกรณ์สาํ หรับฝึกการขับร๎อง และดนตรีเพ่ือสรา๎ งความ ช่ืนชอบศลิ ปดนตรี และฝึกโสตประสาทตํอเสียงดนตรตี าํ ง ๆ ประกอบดว๎ ย เครอ่ื งเลํนแผํนเสียง เครื่อง บันทกึ เสยี ง ออร์แกน เปียโน กลอง ฉ่ิง ฉาบ ระฆัง เหล็กสามเหลีย่ ม กรบั พวง กรับกรง๏ุ กริ๊ง ลูกซดั เกราะ กาํ ไลลูกพรวน ระนาด ใช๎อุปกรณท์ ่ีครูทําข้ึนเองจากวัสดุเหลือใชห๎ รอื ผักพืชตําง ๆ ก็ได๎ เชํน ฝักราชพฤกษ์ ไมเ๎ คาะจงั หวะ หรืออปุ กรณจ์ ากกระป๋องแปงู ฯลฯ 6. หมวดศลิ ปศึกษา เปน็ วสั ดุอุปกรณ์ทฝ่ี ึกความชนื่ ชมทางศิลปกรรม และทกั ษะทางการใช๎ มอื ประกอบดว๎ ยกระดาษ ขาหยั่งเขยี นภาพ ดนิ สอสีตาํ ง ๆ ดินนา้ํ มนั ดนิ เหนยี ว เขียง ลกู กลิง้ คลงึ นํ้ามนั กระดาษสี (งานพบั ตัดปะ) กรรไกรปลายทํู เศษวัสดุ ชดุ งานไม๎ (คอ๎ น เล่อื ย ไขควง ทําจากพลาสติก) ฯลฯ 7. หมวดพลานามยั สํวนมากเป็นเครือ่ งสนามทจ่ี ะพัฒนาการทางกาย แขน ขา กล๎ามเน้อื ฯลฯ ประกอบด๎วย รถจักรยาน รถเขน็ รถลากมา๎ โยก เรือโยก ลูกบอล หํวงยาง ลูกชวํ ง ชิงช๎า มา๎ ลอด มา๎ หมนุ กระดานอ่นื ฯลฯ หากจะกลาํ วถงึ การเลือกสื่อเพื่อสํงเสริมพฒั นาการด๎านตาํ ง ๆ แล๎ว เราอาจเลือกส่ือเพ่ือการ สงํ เสรมิ พฒั นาการแตํละดา๎ นดังน้ี 1. สอ่ื เพื่อพัฒนาสตปิ ญั ญาและความคดิ ริเริ่มสร๎างสรรค์ อาจแบงํ ได๎ดังนี้ 1.1 ส่อื เพ่ือฝึกการรบั รู๎ 1.1.1 สอ่ื ฝกึ การรบั รู๎เกีย่ วกบั ขนาด ได๎แกํ การจัดหาวสั ดุสง่ิ ของ กลํอง บล็อก วางใหเ๎ ด็ก จับตอ๎ ง วางซ๎อนกัน นาํ ของสองสง่ิ สามสิง่ มาเปรียบเทยี บขนาด เล็กใหญํ เลก็ ทีส่ ุด ใหญํทีส่ ุด 1.1.2 สอื่ ฝึกการรบั รเ๎ู กีย่ วกบั รูปรําง ครูให๎เด็กเลนํ ภาพตดั ตํอ ลองวางชิน้ สวํ นให๎พอดกี บั ชํอง เชํน ชอํ งวงกลม เดก็ ต๎องหยบิ รปู วงกลมวางลงในชํองส่ีเหลย่ี ม เดก็ ต๎องหยบิ รูปส่เี หลี่ยมวางไดถ๎ ูกต๎อง นอกจากน้ใี หเ๎ ด็กแยกรูปราํ ง ส่เี หลย่ี ม สามเหลี่ยม วงรี ได๎ 1.1.3 ส่อื ฝึกการรับร๎เู กี่ยวกับเรอ่ื งสี แนะนาํ ใหเ๎ ดก็ รจ๎ู ักสี เลํนสิ่งของเคร่อื งใช๎ บลอ็ ก แผํนกระดาษรูปทรงเรขาคณิตทม่ี ีสตี ําง ๆ โดยเฉพาะเด็กชอบสสี ดใส ให๎เดก็ แยกสิ่งของ วัตถุ รปู ภาพ ท่มี สี ี เหมอื นกัน 1.1.4 สอ่ื ฝึกการรับรู๎เก่ยี วกับเนอ้ื ผวิ ของวตั ถุ ใหเ๎ ด็กไดส๎ าํ รวจสง่ิ ของใกลต๎ ัว ได๎รับได๎ สมั ผสั สงิ่ ของท่ีมีความอํอน นุํม แขง็ หยาบ และบอกไดว๎ าํ ของแตํละชนิ้ มีลกั ษณะอยํางไร เชํน กระดาษ ทราบหยาบ สาํ ลีนํุม กอ๎ นหินแขง็ ฯลฯ 102
1.2 สอ่ื เพื่อฝกึ ความคดิ รวบยอด อาจใชว๎ สั ดุ อุปกรณ์ และวิธีการจัดสงิ่ แวดล๎อม เชํน เรียนรู๎ เก่ียวกับชีวติ ของสตั ว์ ครูควรจัดสวนสตั วจ์ ําลอง เลาํ นทิ าน เชดิ หํุนเกี่ยวกบั สตั ว์ สนทนาซกั ถามเกีย่ วกบั สตั วท์ เี่ ดก็ รจ๎ู ัก เปรียบเทยี บลักษณะของสตั วแ์ ตํละชนดิ วาด ป้นั ฉกี แปะ รูปรํางสัตว์ การจัดกิจกรรมความคดิ รวบยอดเกี่ยวกับอาชพี เก่ยี วกบั ส่งิ ของ เครื่องใช๎และบุคคลในสงั คม ครู ควรใชส๎ อ่ื สถานการณจาํ ลอง เสรมิ ให๎เดก็ เข๎าใจได๎ถูกต๎องรวดเร็วขึ้น การรู๎จักตัวเลขมีความคดิ รวบยอดทางคณิตศาสตร์ ด๎วยการใช๎วธิ ีการใหเ๎ ดก็ คน๎ พบด๎วยตนเอง จัดวัสดอุ ปุ กรณ์ เชํน กระดุมสีตาํ ง ๆ ฝาเบยี ร์ ดอกไม๎ ใบไม๎ ขวด บลอ็ ก ให๎เด็กจับต๎อง นบั สอนให๎เขา๎ ใจ เลขค่เี ลขคูํ 2. ส่อื เพอื่ พัฒนาทางดา๎ นภาษา การใชส๎ ื่อพัฒนาการทางภาษาจะตอ๎ งคํานงึ ถึงพัฒนาการที่สาํ คัญของเด็กเล็กและตอ๎ งศกึ ษา วําการรบั ฟังและการเข๎าใจภาษาของเด็กวาํ อยรํู ะดบั ท่ีสามารถฟังและแยกเสียงตําง ๆ ได๎ เชํน เสียงสตั ว์ เสียงดนตรีบางชนดิ ฟังประโยคและข๎อความสน้ั และยาวพอสมควร เขา๎ ใจคําจาํ กัดความ เขา๎ ใจหน๎าทีข่ อง สง่ิ ตําง ๆ แยกภาพตามหนา๎ ที่ได๎ เชนํ ส่งิ ทใี่ ชก๎ นิ นอน หรือสงิ่ ท่ีอยใูํ นบ๎าน ในครวั เปรยี บเทยี บภาพเหมือน ไมเํ หมือนได๎ อํานรปู ภาพ จําช่ือตวั เองและเพื่อนได๎ เป็นต๎น ดงั นัน้ ครูเด็กเล็กจะต๎องใช๎ส่ือประเภทวิธกี าร สือ่ ประเภทวัสดอุ ปุ กรณ์มาจดั กิจกรรมเสรมิ ความพร๎อมทางด๎านภาษาให๎เดก็ ได๎พฒั นาตามเกณฑด์ ังกลําว ข๎างตน๎ สอื่ ท่ีครูควรจดั เพื่อเสรมิ พฒั นาการทางภาษา ได๎แกํ หนังสือภาพ แผนํ ภาพ ภาพประกอบคําคลอ๎ ง จอง หนํุ มือ หนุํ น้วิ มือ หุํนเชิด หํนุ ถงุ กระดาษ เกมเลยี นเสยี งสัตว์ เกมสมั พันธ์ภาพกบั คํา เกมเรียนร๎ูด๎าน การฟงั เกมทายเร่ือง เกมจบั คูภํ าพเหมือนและแยกภาพตําง ๆ การเลนํ น้ิวมอื ประกอบคําร๎องหรือเรื่องราว วิธกี ารเลํนบทบาทสมมุติ มุมบล็อคตําง ๆ ให๎เลนํ เป็นกลํมุ ในมมุ บ๎าน เทป วิทยุ เคร่ืองเสียง 3. ส่อื เพื่อพัฒนาความพร๎อมกล๎ามเนื้อเลก็ ใหญํ และประสาทสัมพันธ์ ครจู ะต๎องศกึ ษาพฒั นา เกีย่ วกบั การทรงตัว ความมั่นคงของการใชก๎ ล๎ามเนื้อตามวัย เพอื่ จะเลอื กใช๎สอ่ื ไดเ๎ หมาะ ส่อื ประเภทวสั ดุ อปุ กรณ์และวธิ กี ารที่ครสู ามารถเลอื กใชไ๎ ด๎มีดังนี้ ลูกบอล ดนตรี กลอง ฉิ่ง ฉาบ กรับ ตขี ณะทใ่ี หเ๎ ด็กยนื ทรงตัว เพ่ือให๎เกิดความวอํ งไวในการ บงั คับกลา๎ มเนอ้ื ลกู บอล ตุก๏ ตาผา๎ ลูกตุ๎มทาํ ดว๎ ยฟางขา๎ ว หรือผ๎าสาํ หรบั แขงํ ขวา๎ งไกล ๆ รองเทา๎ เชือกผูกรองเทา๎ กระดมุ ซิป สาํ หรบั ฝึกการบังคบั กล๎ามเน้ือมือและฝกึ สายตา แผํนภาพ รูปภาพ ส่ิงของ นาํ มาแขวนจัดเรียงกันใหเ๎ ด็กมองกรอกสายตาตามภาพหรือของที่วางไว๎ ขีดเส๎นใตเ๎ ตมิ ตามเส๎นคดเคีย้ ว แผํนภาพขีดเป็นชอํ งสําหรบั ใช๎นิ้วลากตามเสน๎ ทางท่ีครูกาํ หนด ดินเหนยี วใหเ๎ ด็กใช๎ปั้นเปน็ รปู ตาํ ง ๆ อุปกรณว์ าดภาพ สไี ม๎ สีเทียน สีดนิ สอ สีจากพชื ฉีกกระดาษปะเป็นรูปตําง ๆ ขยํากระดาษหนงั สือพิมพ์ ร๎อยดอกไม๎ เลนํ ตัดเมลด็ พืช เปาุ สดี ว๎ ย หลอดกาแฟ ตํอภาพแบบโยนโบวล์ ่ิง ตวงทราย กรอกน้าํ ใสํขวด เรียงลกู คิดลงหลกั วางแผํนรูปทรงลงใน 103
ชํองท่กี ําหนด เดินกระดานแผํนเดยี ว เลนํ ภาพตัดตอํ เลํนเคร่อื งเลํนสนาม ยิงปืนก๎านกล๎วย รอ๎ ยเชอื กรอบ แผํนภาพ ฝึกประสาทสัมพันธ์ เลํนเกมจาํ แนกหมวดหมูํ สอ่ื ดังกลาํ วน้มี ักจะถูกเลือกมาใชต๎ ามความเหมาะสม ซ่ึงอาจมกี ารใชค๎ ร้งั ละชนดิ หรือใช๎พร๎อมกนั เกินกวําหนง่ึ ชนิด หรอื ใชต๎ ามลําดบั กํอนหลังก็ได๎ การผลิตสื่อการสอน 1. สาํ รวจความต๎องการ การผลติ ส่ือเพ่ือการใช๎ประโยชนอ์ ยํางแท๎จรงิ จะต๎องสํารวจความ ต๎องการของผูใ๎ ช๎ ความต๎องการของผู๎ใชอ๎ าจจะไดม๎ าจากการแสดงความต๎องการของผใู๎ ชโ๎ ดยตรง หรือจาก การเก็บรวบรวมข๎อมูลจากแบบสาํ รวจ 2. กาํ หนดเปูาหมายการผลิต เมือ่ ทราบความต๎องการของผ๎ูใช๎แลว๎ กจ็ ะนาํ เอาความต๎องการมา ประเมิน จดั ลาํ ดบั ความสําคัญ แล๎วกําหนดเปาู หมายการผลติ 3. วเิ คราะหก์ ลุํมเปาู หมาย กลมุํ เปาู หมายยอํ มมีความแตกตาํ งกนั ในดา๎ นคุณลักษณะบาง ประการ ผผ๎ู ลิตจะต๎องศึกษาแนวโน๎มความแตกตํางของกลุํมในดา๎ นตาํ ง ๆ 4. กาํ หนดจุดมงํุ หมายเชงิ พฤติกรรม การกาํ หนดจดุ มงํุ หมายการผลิตส่อื ควรกาํ หนดเป็น จดุ มุงํ หมายเชงิ พฤติกรรมเพ่ือให๎สามารถตรวจสอบผลได๎ 5. วิเคราะหแ์ ละจดั ทาํ เน้อื หา โดยนาํ เนื้อหาทจ่ี ะผลติ สอื่ มาวเิ คราะห์หาความเหมาะสมในการ จดั รปู แบบการนําเสนอและจัดลาํ ดับเร่อื งราว 6. เลือกประเภทสื่อท่ีจะผลิต เน้ือหาหนึง่ ๆ อาจผลติ สื่อได๎หลายประเภท ในการตัดสนิ ใจวาํ จะ ผลติ เป็นส่ือประเภทใดนั้น จะต๎องนํามาพิจารณาหาความเหมาะสมอยํางรอบคอบ โดยพจิ ารณา องคป์ ระกอบเกีย่ วกับจุดมุงํ หมายของการผลิต ลักษณะของเนือ้ หา ขีดความสามารถในการผลิตของ หนํวยงานผลิตหรอื ผูผ๎ ลติ เป็นต๎น 7. ผลติ สือ่ กระบวนการผลติ สอื่ จะต๎องแตกตาํ งกันไปตามประเภทของสื่อ เชํน ส่ือประเภท เรอ่ื งราวตอํ เน่ือง ก็จะต๎องจดั ทําบตั รเรื่อง เขียนบท ถํายทาํ บันทกึ เสียง ถา๎ เปน็ สื่อประเภทวัสดุสามติ ิ ก็ ต๎องเขียนโครงราํ งการออกแบบ ทาํ พิมพ์เขยี วกํอน เปน็ ตน๎ 8. ทดลองเบ้อื งตน๎ เปน็ การทดลองเพ่ือแก๎ไขข๎อบกพรอํ งเบ้ืองตน๎ เชํน ภาษา ขนาด สัดสํวน และคณุ ภาพทางเทคนิคอ่ืน ๆ เป็นตน๎ อาจทาํ เป็นขั้นตอนยํอย ๆ เปน็ ตน๎ วํา ทดลอง 1 คน 3 คน 6 คน 9. ทดลองภาคสนาม เป็นการนําสื่อไปทดลองกบั กลุํมผู๎เรยี นจรงิ แล๎วเก็บรวบรวมขอ๎ มลู ประสิทธภิ าพของส่อื นัน้ ๆ เพื่อแก๎ไขปรับปรุงใหด๎ ี กํอนการนาํ ออกไปใช๎จริง 10. การนาํ ไปใชแ๎ ละปรับปรงุ การนําส่อื ทีผ่ ํานการทดลองภาคสนามแลว๎ ไปใช๎อาจจะยังมีข๎อบกพรํองอยูํ บา๎ ง เมอ่ื นาํ ไปใชใ๎ นสถานการณ์ที่แตกตาํ งกัน จงึ ควรแก๎ไขปรับปรงุ เป็นระยะ 104
ระบบการใชส้ ื่อการสอน ที่มา : https://images.app.goo.gl/ASCTjq21xnEtC1bn9 การใชส๎ อ่ื การสอนน้ัน ผ๎สู อนควรจะได๎มีการวางแผนอยํางเป็นระบบในการใชเ๎ พื่อให๎บรรลุถงึ วัตถปุ ระสงค์การเรียนรู๎ตามจุดประสงค์ทว่ี างไว๎ ขัน้ ตอนดังน้ี การวเิ คราะห์ผูเ้ รยี น เปน็ การวเิ คราะหล์ ักษณะผูเ๎ รียนเพ่ือทีผ่ ู๎สอนจะไดท๎ ราบวํา ผ๎เู รยี นมีความพร๎อมในการเรียนมาก นอ๎ ยเพียงใดทั้งน้ีเพราะการที่จะใช๎สอื่ ให๎ไดผ๎ ลดี ยํอมจะต๎องเลอื กสื่อให๎มคี วามสัมพันธ์กับลกั ษณะผูเ๎ รยี น ดังนน้ั ผูส๎ อนจะต๎องคํานงึ ถึงลักษณะท่วั ไปและลกั ษณะเฉพาะของผเู๎ รียน เชํน การกําหนดลกั ษณะทวั่ ไป ซึ่ง ไดแ๎ กํ อายุ ระดับความร๎ู สงั คม เศรษฐกิจและวฒั นธรรมของผ๎ูเรยี นแตลํ ะคน ถึงแมว๎ ําลักษณะทว่ั ไปของ ผู๎เรียนจะไมํมีความเกี่ยวข๎องกับเนอ้ื หาบทเรยี นก็ตามแตกํ เ็ ป็น สง่ิ ทีช่ วํ ยให๎ผู๎สอนสามารถตัดสินระดับของ บทเรียนและเพือ่ เลือกตวั อยํางของเนื้อหาให๎เหมาะสมกับผูเ๎ รียนได๎ สํวนลกั ษณะเฉพาะของผเู๎ รียนแตํละ คนนัน้ นบั วาํ มสี วํ นสาํ คัญโดยตรงกับเน้อื หาบทเรียนตลอดจนส่ือการสอนและวธิ กี ารทีจ่ ะนํามาใชใ๎ นการ สอน ส่งิ ที่ตอ๎ งนํามาใช๎ในการวิเคราะห์ ประกอบด๎วย 1. ทกั ษะท่มี ีมากํอน (prerequisite skill) เพื่อใหท๎ ราบวําผ๎ูเรียนมคี วามรูพ๎ น้ื ฐาน หรือทกั ษะที่ เก่ยี วขอ๎ งกบั บทเรยี นน้นั วํามีอะไรบา๎ ง กํอนทจ่ี ะเรยี น 2. ทกั ษะเปูาหมาย (target skill) ผเ๎ู รียนมคี วามชํานาญในทักษะทีจ่ ะสอนนัน้ มากํอนหรือไมํ เพื่อจะไดส๎ อนให๎ตรงกับทวี่ างจุดมํงุ หมายไว๎ 3. ทกั ษะในการเรียน (study skill) ผเู๎ รยี นมคี วามสามารถข้ันต๎นทางด๎านภาษา การอํานเขียน การคํานวณ ฯลฯ ซงึ่ เปน็ สงิ่ จาํ เป็นทจ่ี ะชํวยในการเรยี นรู๎นั้นในระดับมากน๎อยเพยี งไร 4. เจตคติ (attitudes) ผเู๎ รยี นมีเจตคติอยาํ งไรตอํ วชิ าทจี่ ะเรียนนน้ั การวเิ คราะหล์ ักษณะผ๎ูเรยี น นั้นถงึ แมว๎ าํ จะเปน็ การกระทําเพยี งผิวเผินกต็ าม แตกํ ็สามารถนําไปใช๎ในการเลือก สือ่ ที่เหมาะสมได๎ เชํน หากผู๎เรยี นมีทักษะในการอํานต่ํากวาํ เกณฑก์ ็สามารถชํวยได๎ดว๎ ยการใชส๎ อ่ื ประเภทท่มี ใิ ชสํ ่ือส่งิ พิมพ์ หรือ ถ๎าหากผู๎เรยี นในกลํมุ นัน้ มีความแตกตาํ งกนั มาก ก็สามารถให๎เรยี นด๎วยชุดการเรียนรายบุคคลได๎ การวิเคราะหล์ ักษณะผู๎เรียนอาจจะทาํ ใดย๎ ากเปน็ บางคร้ัง ทั้งนเ้ี พราะผูส๎ อนอาจมเี วลาน๎อยทีจ่ ะสังเกต 105
หรอื ผ๎ูเรียน อาจเปน็ ผูม๎ าจากท่ีอ่ืนท่เี ขา๎ มาเรยี นหรือรบั การอบรม แตกํ ส็ ามารถกระทาํ ได๎ดว๎ ยการสนทนา กับผู๎เรยี นหรอื ผ๎รู วํ มช้ันอื่นๆ หรอื อาจมีการทดสอบกํอนเรียนเพอ่ื ดูพ้ืนฐานของผเ๎ู รียนก็ได๎ การกาหนดจุดประสงค์ วตั ถปุ ระสงคเ์ ปน็ ส่ิงท่ตี ัง้ ขึน้ เพื่อคาดหวงั วาํ ผเ๎ู รยี นจะสามารถบรรลใุ นส่งิ ตาํ งๆ ที่ต้ังหรือกําหนด ไว๎ การตั้งหรือ กาํ หนดวัตถุประสงค์ในการเรยี นการสอนนัน้ ก็เพ่ือ 1. ผู๎สอนจะได๎ทราบวําการเรียนการสอนน้ันมีวตั ถปุ ระสงค์อะไร เพ่ือสะดวกในการเลือกสื่อ และวิธีการใหถ๎ ูกต๎อง วัตถปุ ระสงค์น้ีจะชํวยในการจดั ลาํ ดบั กจิ กรรมการเรยี นและสร๎างสงิ่ แวดล๎อม หรือ ประสบการณ์การเรียนรู๎เพื่อให๎บรรลุตามวัตถปุ ระสงค์นน้ั 2. ชํวยในการประเมินผเู๎ รยี นไดอ๎ ยาํ งถูกต๎อง เพราะผ๎ูสอนจะไมํทราบเลยวาํ ผ๎ูเรียนไดบ๎ รรลุ ตามวัตถปุ ระสงค์ท่ีต้ังไวห๎ รือไมํถ๎าไมมํ ีการกําหนดวัตถปุ ระสงค์ไว๎กํอนลํวงหนา๎ 3. ชวํ ยให๎ผเู๎ รยี นทราบวาํ เมือ่ เรียนบทเรียนนน้ั แลว๎ จะสามารถเรียนรหู๎ รือกระทําอะไรได๎บ๎าง การกาหนดวัตถุประสงค์ ควรประกอบด้วย 1. การกระทาํ (performance) เปน็ ส่ิงท่ีคาดหวงั วาํ ผ๎เู รยี นจะสามารถกระทําอะไรไดบ๎ า๎ ง ภายหลังจากการเรยี นแลว๎ ซ่งึ การกระทํานั้นต๎องเปน็ ส่งิ ที่สังเกตเห็นได๎ 2. เงื่อนไข (Conditions) เป็นข๎อจํากัดหรอื เงื่อนไขที่ตั้งขึน้ โดยรวมอยูํภายใตก๎ ารกระทํานน้ั 3. เกณฑ์ (Criteria) เพอื่ เป็นการตดั สนิ การกระทาํ น้ันวําเป็นไปตามท่กี ําหนดไวห๎ รือไมํ เมอ่ื กําหนดวตั ถุประสงคแ์ ลว๎ ควรมีการแบํงประเภท หรือระดบั ของขอบเขตการเรียนร๎ู ทงั้ นเี้ พื่อเปน็ ประโยชนห์ รือแนวทางในการตัดสนิ วํา การเรียนร๎ูนั้นจะครอบคลมุ แนวของทกั ษะหรือพฤตกิ รรมอะไรบา๎ ง จึงตอ๎ งมีการกําหนดเปน็ \"วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม\" ซง่ึ ควรจะประกอบด๎วยองคป์ ระกอบตํางๆ ดงั นี้ - พทุ ธิพิสัย เปน็ วตั ถุประสงค์ทีต่ ้ังไว๎เพ่อื วัดการเรียนรขู๎ องผู๎เรยี นเก่ียวกับความร๎ู ความเข๎าใจ สติปญั ญาและการพัฒนา เปน็ ต๎น - จติ ตพิสยั เป็นวัตถุประสงค์ทางด๎านความคิด ทศั นคติ ความรู๎สึก คาํ นยิ ม และการเสริมสร๎าง ทางปัญญา - ทกั ษะพิสยั เป็นวตั ถปุ ระสงค์เก่ียวกับการกระทํา การแสดงออก หรอื การปฏบิ ตั ิ การเลือก ดดั แปลง หรือออกแบบส่ือ การทีจ่ ะมีสอ่ื วัสดุทเ่ี หมาะสมในการเรยี นการสอน สามารถทําได๎ 3 วธิ ี คอื 1. เลอื กจากส่ือทีม่ ีอยแูํ ลว๎ สวํ นใหญํในสถาบันการศึกษามักจะมที รัพยากรทีส่ ามารถใชเ๎ ปน็ สอื่ ได๎อยแูํ ลว๎ ดังนั้น สง่ิ ทีผ่ ๎ูสอนต๎องกระทาํ คือ ตรวจสอบดวู าํ มีสิง่ ใดท่จี ะใช๎เป็นส่ือไดบ๎ า๎ ง โดยเลอื กให๎ตรง 106
กับลกั ษณะผเ๎ู รียนและวตั ถุประสงค์ของการเรยี น เชํน สอ่ื ที่มีอยํูมีเน้ือหาข๎อมลู และกิจกรรมทีต่ รงกับ วัตถุประสงค์ทีต่ ั้งไวห๎ รือไมํ และการเลือกส่ือนั้นยํอมขนึ้ อยูํกับวธิ ีการสอนในบทเรยี นและข๎อจํากดั ของ สถานการณ์การเรียนการสอนด๎วย 2. ดัดแปลงส่อื ทมี่ ีอยํแู ล๎ว ใหใ๎ ช๎ไดด๎ แี ละเหมาะสมมากย่ิงขน้ึ ทัง้ นยี้ อํ มขึน้ กบั เวลาและ งบประมาณในการดัดแปลงส่ือนน้ั ด๎วย เชนํ มภี าพยนตร์เสยี งในฟลิ ์มเป็นภาษาอังกฤษ ถ๎ามกี ารแปลเป็น ภาษาไทยแลว๎ บันทึกเสยี งลงใหมํ เพอ่ื ใหผ๎ ู๎เรยี นชมและฟงั เข๎าใจงํายขนึ้ จะคุม๎ กับเวลาและการลงทนุ หรือไมํ เหลํานเี้ ป็นต๎น 3. การออกแบบส่ือใหมํ กรณีทไ่ี มํมีสื่อเดมิ อยํู หรอื ส่ือทม่ี ีอยํแู ล๎วไมสํ ามารถนํามาดดั แปลงให๎ ใช๎ได๎ตามท่ตี อ๎ งการผูส๎ อนยํอมต๎องมีการออกแบบและจดั ทําสอื่ ใหมํ ซึ่งต๎องคํานึงถึงองค์ประกอบตําง ๆ หลายอยาํ ง เชนํ ตอ๎ งให๎ตรงกับวัตถุประสงค์ของการเรยี นและลกั ษณะของผู๎เรียน มีงบประมาณในการ จัดทําเพียงพอหรอื ไมํ มเี ครือ่ งมือและผช๎ู ํานาญในการจดั ทาํ ส่ือหรือไมํ เหลาํ นีเ้ ปน็ ตน๎ การใช๎สือ่ เป็นขัน้ ของการกระทําจริง ซ่งึ ผ๎สู อนจะต๎องดาํ เนินการดังน้ี 1. ดหู รอื อาํ นเน้ือหาในสอื่ เหลํานั้นกอํ นเป็นการเตรียมตวั ลํวงหนา๎ เชนํ ดูสไลดห์ รือวีดิ ทศั น์เพ่ือศึกษาเนื้อหาให๎แมํนยํากํอนนําไปสอน หรอื อํานบทวิจารณ์เก่ียวกบั เร่ืองนั้นรวํ มด๎วย 2. จัดเตรียมสถานท่ี ทนี่ ัง่ เรยี น อปุ กรณเ์ คร่อื งมอื และสงิ่ ตํางๆ เพ่ือความสะดวก เรียบร๎อยกํอนการสอนและควรตอ๎ งทดลองอปุ กรณ์ทจ่ี ะใช๎กํอนวาํ ใชไ๎ ดด๎ หี รือไมํ 3. เตรียมตัวผเู๎ รยี น โดยการใช๎สื่อนาํ เข๎าสบํู ทเรียน ถา๎ มกี ารฉายวีดทิ ศั นห์ รือภาพยนตใ์ ห๎ ชม กค็ วรจะต๎องสรปุ เน้ือหาเร่ืองที่จะชมน้ันใหผ๎ ูเ๎ รยี นทราบเสียกอํ นวําเกีย่ วข๎องกบั ทบเรยี นอยํางไรบ๎าง เปน็ การแนะนํากํอนลวํ งหนา๎ และเพื่อสร๎างแรงจูงใจแกํผู๎เรียน 4. ควบคุมชัน้ เรียน เพ่อื ให๎ผเู๎ รยี นมีความสนใจในส่ือทีน่ ําเสนอนนั้ การกาหนดการตอบสนองของผูเ้ รยี น การใหผ๎ เ๎ู รยี นมีสํวนรวํ มในการเรยี น และเปดิ โอกาสใหม๎ ีการตอบสนองนน้ั เป็นสง่ิ สําคญั ยง่ิ ซง่ึ ผ๎เู รยี นจะมกี ารตอบสนองหรือไมแํ ละมากน๎อยเพียงใดกข็ ้ึนอยํูกบั สื่อทนี่ าํ มาใช๎ ส่อื บางชนดิ เมอ่ื ใชแ๎ ล๎วจะ เปิดโอกาสให๎ผ๎ูเรียนมสี วํ นรวํ มมากกวาํ สื่อชนดิ อน่ื ๆ เชํน การใหอ๎ ํานข๎อความในหนังสอื หรือดภู าพ จะทาํ ให๎ผเ๎ู รยี นมกี ารอภปิ รายจากส่ิงทอี่ าํ นหรือเห็น ผู๎เรียนยํอมมีการตอบสนองเกิดขน้ึ ได๎ทนั ทีและงาํ ยกวําการ ใหด๎ ูภาพยนตร์ ท้งั น้เี พราะการดภู าพยนตรถ์ ๎าจะใหด๎ รู เ๎ู รื่องจรงิ ๆ แล๎วควรจะต๎องดูใหจ๎ บเร่อื งเสียกํอนแลว๎ จงึ อภปิ รายกัน ซึง่ จะดีกวําหยุดดูทีละตอนแล๎วอภิปราย เพราะจะทําให๎มีการขัดจงั หวะเกดิ ความไมํ ตํอเนือ่ งในการดู อาจทําให๎ไมํเขา๎ ใจหรอื จับความสาํ คญั ของเรื่องไมไํ ด๎ นอกจากน้ผี เู๎ รียนสามารถมีการ ตอบสนองโดยเปิดเผย (overt response) โดยการพูดออกมา หรือเขียน และ การตอบสนองภายในตัว 107
ผูเ๎ รียน (convert response) โดยการทอํ งจาํ หรือคิดในใจ เมื่อผู๎เรียนมีการตอบสนองแล๎วผ๎สู อนควรให๎ การเสริมแรงทันทเี พ่ือให๎ผเู๎ รียนทราบวําตนมคี วามเข๎าใจและเกิดการเรียนรูท๎ ่ีถกู ต๎องหรือไมํ การเรยี นการ สอนโดยการให๎ทาํ แบบฝึกหัด การตอบคาํ ถาม การอภิปราย หรอื การใชบ๎ ทเรียนแบบโปรแกรม จะเปน็ การเปดิ โอกาสให๎ ผูเ๎ รยี นมกี ารตอบสนองและได๎รบั การเสรมิ แรงระหวาํ งการเรียน การประเมนิ ผล การประเมินสามารกระทาํ ได๎ 3 ลักษณะ คือ 1. การประเมนิ กระบวนการสอน เพื่อเป็นการประเมนิ วาํ สามารถบรรลไุ ดต๎ ามวัตถุประสงค์ ท่ตี ้ังไว๎หรือไมํท้ังในด๎านผู๎สอน สอื่ การสอน และวิธีการสอน โดยในการประเมนิ สามารถทําได๎ทัง้ ในระยะ กอํ น ระหวาํ ง และหลงั การสอน 2. การประเมนิ ความสาํ เร็จของผเู๎ รยี น ขึ้นอยูํกับวตั ถุประสงค์ที่ตง้ั ไว๎วาํ มีเกณฑ์เทําใด การ วดั ผลอาจทําได๎ดว๎ ยการทดสอบ การสอบปากเปลํา หรือดูจากผลงานของผ๎เู รียน สง่ิ สําคัญทีส่ ุดท่ีจะทราบ วําผเ๎ู รยี นสัมฤทธิผลทางการเรียนมากน๎อยเทําใด คือ สงั เกตจากการปฏบิ ัตแิ ละการแสดงออกของผ๎เู รียน น้ัน ๆ 3. การประเมนิ สื่อและวิธกี ารสอน โดยการใหผ๎ ๎ูเรยี นมกี ารอภปิ รายและวิจารณก์ ารใชส๎ ่อื และเทคนิควธิ กี ารสอนวําเหมาะสมมากนอ๎ ยเพยี งใด 4.3 การวดั และประเมนิ ผลการจดั การเรยี นรโู้ ดยเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ ทวิ ัตถ์ มณีโชติ (2549) ได๎กลําวถงึ การวดั และประเมินผลการเรียนร๎ขู องผู๎เรียนไว๎ดงั รายละเอยี ดตํอไปน้ี การวัด เป็นกระบวนการกําหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของ คณุ ลกั ษณะหรอื คณุ สมบตั ิของสง่ิ ที่ต๎องการวดั การวัดผล เป็นกระบวนการกําหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของ คณุ ลักษณะหรือคุณสมบัติของส่ิงท่ีต๎องการวัด โดยส่ิงที่ต๎องการวัดนั้นเป็นผลมาจากการกระทําหรือ กิจกรรมอยํางใดอยํางหน่ึงหรือหลายอยํางรํวมกัน เชํน การวัดผลการเรียนร๎ู สิ่งท่ีวัดคือ ผลท่ีเกิด จากการเรียนร๎ูของผเ๎ู รียน องคป์ ระกอบของการวดั องค์ประกอบของการวัดประกอบด๎วย ส่ิงที่ต๎องการวัด เคร่ืองมือวัด และผลของการวัด ท่สี าํ คัญทส่ี ุด คือ เคร่ืองมือวดั เครอื่ งมือที่มีคณุ ภาพจะใหผ๎ ลการวดั ที่เท่ียงตรงและแมํนยํา ประเภทของสง่ิ ท่ีตอ้ งการวดั สิ่งทีต่ อ๎ งการวัดแบํงได๎ 2 ประเภทใหญํๆ คือ 108
1. ส่ิงที่เป็นรูปธรรม คือ คน สัตว์ หรือส่ิงของ ท่ีจับต๎องได๎ มีรูปทรง การวัดส่ิงท่ีเป็นรูปธรรมน้ี เปน็ การวัดทางกายภาพ (physical) คุณลักษณะท่ีจะวัดสามารถกําหนดได๎ชัดเจน เชํน นํ้าหนัก ความสูง ความยาว เครื่องมือวัดคุณลักษณะเหลําน้ีให๎ผลการวัดที่เท่ียงตรงและแมํนยําสูง วัดได๎ครบถ๎วน สมบูรณ์ และเอยี ดถถ่ี ว๎ น ตัวอยํางเครอ่ื งมอื วัด เชํน เคร่ืองชั่ง ไม๎บรรทัด สายวัด เป็นต๎น การวัดลักษณะน้ีเป็นการ วัดทางตรง ตัวเลขท่ีได๎จากการวัดแทนปริมาณคุณลักษณะที่ต๎องการวัดท้ังหมด เชํน หนัก 10 กิโลกรัม สูง 172 เซนติเมตร ยาว 3.5 เมตร ตัวเลข 10 172 และ 3.5 แทนน้ําหนัก ความสูง และความยาว ทัง้ หมด เชํน 10 แทนน้ําหนักทั้งหมด ถ๎าไมํมีคุณลักษณะดังกลําว เชํนหนัก 0 หนํวย ก็คือ ไมํมีนําหนัก เลย ตัวเลข 0 นเ้ี ปน็ ศนู ยแ์ ท้ (absolute zero) 2. ส่ิงท่ีเป็นนามธรรม คือส่ิงที่ไมํมีตัวตน จับต๎องไมํได๎ เป็นการวัดพฤติกรรมและสังคมศาสตร์ (behavioral and social science) คุณลักษณะที่จะวัดกําหนดได๎ไมํชัดเจน เชํน การวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน (achievement) วัดเจตคติ (attitude) วัดความถนัด (aptitude) วัดบุคลิกภาพ (personality) เป็นต๎น เครื่องมือวัดด๎านน้ีมีคุณภาพด๎อยกวําเครื่องมือวัดสิ่งที่เป็นรูปธรรม คือ ให๎ผลการ วดั ทีเ่ ท่ยี งตรงและแมํนยํานอ๎ ยกวํา ลกั ษณะการวัด เปน็ การวัดทางออ๎ ม วัดได๎ไมํสมบูรณ์ ไมํละเอียดถี่ถ๎วน และมีความผิดพลาด ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได๎จากการวัดเป็นคําโดยประมาณ ไมํสามารถแทนปริมาณ หรือคุณภาพของคุณลักษณะท่ีต๎องการวัดได๎ทั้งหมด เชํน การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนกั เรียนคนหนึง่ ได๎ 15 คะแนน ตัวเลข 15 ไมํได๎แทนปริมาณความรู๎ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนคนนี้ท้ังหมด แม๎แตํนักเรียนที่สอบได๎คะแนนเต็ม ไมํได๎หมายความวํานักเรียนผู๎นั้นมีความร๎ู ความสามารถในเรอื่ งดงั กลําวสมบรู ณ์เต็มตามกรอบของหลกั สูตร ในทางตรงกันข๎ามนักเรียนท่ีได๎ 0 คะแนน กไ็ มไํ ดห๎ มายความวํานักเรียนผ๎ูน้ันไมํมีความรู๎ความสามารถในคุณลักษณะดังกลําว เพียงแตํตอบคําถามผิด หรอื เครือ่ งมอื วดั ไมตํ รงกับความรค๎ู วามสามารถท่ีนักเรียนคนน้ันมี เลข 0 น้ี เปน็ ศูนย์เทยี ม ลักษณะการวัดทางการศึกษา การวดั ทางการศกึ ษาเป็นการวดั คุณลกั ษณะทเี่ ป็นนามธรรม มลี ักษณะการวดั ดังน้ี 1. เป็นการวัดทางอ้อม คือ ไมํสามารถวัดคุณลักษณะที่ต๎องการวัดได๎โดยตรง ต๎องนิยาม คุณลักษณะดังกลําวไห๎เป็นพฤติกรรมที่วัดได๎กํอน จากน้ันจึงวัดตามพฤติกรรมท่ีนิยาม เชํน การวัดความ รับผิดชอบของนักเรียน ต๎องให๎นิยามคุณลักษณะความรับผิดชอบเป็นพฤติกรรมท่ีวัดได๎ โดยอาจจะแยก เปน็ พฤติกรรมยํอย เชํน ไมํมาโรงเรียนสาย ทํางานทุกงานท่ีได๎รับมอบหมาย นําวัสดุอุปกรณ์การเรียนที่ ครสู ง่ั มาครบทกุ คร้งั สงํ งานหรือการบ๎านตามเวลาทีก่ ําหนด เปน็ ตน๎ 2. วัดได้ไม่สมบูรณ์ การวัดทางการศึกษาไมํสามารถทําการวัดคุณลักษณะท่ีต๎องการวัดได๎ ครบถ๎วนสมบูรณ์ วัดได๎เพียงบางสํวน หรือวัดได๎เฉพาะตัวแทนของคุณลักษณะท้ังหมด เชํนการวัด 109
ความสามารถการอํานคําของนักเรียน ผ๎ูวัดไมํสามารถนําคําทุกคํามาทําการทดสอบนักเรียน ทําได๎เพียง นําคําสํวนหนึง่ ท่คี ดิ วําเปน็ ตวั แทนของคาํ ท้งั หมดมาทําการวดั เป็นต๎น 3. มคี วามผิดพลาด สืบเนอ่ื งจากการที่ไมสํ ามารถวัดได๎โดยตรง และการนิยามสิ่งท่ีต๎องการวัดก็ ไมํสามารถนิยามให๎เป็นพฤติกรรมท่ีวัดได๎ได๎ทั้งหมด จึงวัดได๎ไมํสมบูรณ์ ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได๎จาก การวัดเป็นการประมาณคุณลักษณะที่ต๎องการวัด ซึ่งในความเป็นจริงคุณลักษณะดังกลําวอาจจะมีมาก หรือน๎อยกวํา ผลการวัดจึงมีความผิดพลาดของการวัด หรือคลาดเคล่ือนจากความเป็นจริง การวัดที่ดี จะต๎องใหเ๎ กิดการผิดพลาดหรอื คลาดเคลือ่ นน๎อยทสี่ ุด 4. อยู่ในรูปความสัมพันธ์ การที่จะร๎ูความหมายของตัวเลขที่วัดได๎ ต๎องนําตัวเลขดังกลําวไป เทียบกับเกณฑ์หรือเทียบกับคนอ่ืน เชํน นําคะแนนท่ีนักเรียนสอบได๎เทียบกับคะแนนเฉล่ียของกลุํม เทียบกับคะแนนของเพื่อนท่ีสอบพร๎อมกัน หรือเทียบกับคะแนนของนักเรียนเองกับการสอบครั้งกํอนๆ ถ๎าคะแนนสูงกวําเพื่อน แสดงวํามีความสามารถในเร่ืองท่ีวัดมากกวําเพ่ือนคนน้ัน หรือถ๎ามีคะแนนสูงกวํา คะแนนทตี่ นเองเคยสอบผาํ นมา แสดงวาํ มพี ัฒนาการขึ้น เปน็ ตน๎ หลักการวัดทางการศกึ ษา การวัดทางการศึกษา มีหลกั การเบอ้ื งตน๎ ดงั นี้ 1. นิยามสิ่งท่ีต้องการวัดให้ชัดเจน ดังที่กลําวไว๎ในลักษณะการวัดวํา การวัดทางการศึกษาเป็น การวัดทางออ๎ ม การทจี่ ะวัดให๎มีคุณภาพตอ๎ งนยิ ามคุณลักษณะท่ีต๎องการวัดให๎ตรงและชัดเจน การนิยาม นี้ มคี วามสาํ คัญมาก ถ๎านิยามไมํตรงหรือไมํถูกต๎อง เคร่ืองมือวัดท่ีสร๎างตามนิยามก็ไมํมีคุณภาพ ผลการ วัดกผ็ ดิ พลาด คือ วัดไดไ๎ มตํ รงกับคณุ ลักษณะที่ต๎องการวัด 2. ใช้เครอื่ งมอื วัดทีม่ ีคุณภาพ หวั ใจสาํ คัญของการวัด คือ สามารถวัดคุณลักษณะได๎ตรงตามกับ ทีต่ อ๎ งการวัดและวัดได๎แมํนยํา โดยใช๎เคร่ืองมือวัดท่ีมีคุณภาพ คุณภาพของเคร่ืองมือมีหลายประการ ที่ สําคัญคือ มีความตรง (validity) คือวัดได๎ตรงกับคุณลักษณะท่ีต๎องการวัด และมีความเท่ียง (reliability) คอื วัดไดค๎ งที่ คือวดั ได๎กคี่ ร้ังก็ใหผ๎ ลการวัดทีไ่ มํเปล่ยี นแปลง 3. กาหนดเงื่อนไขของการวัดใหช้ ดั เจน คอื กําหนดให๎แนํนอนวาํ จะทาํ การวัดอะไร วดั อยํางไร กาํ หนดตัวเลขและสญั ลักษณ์อยาํ งไร ขน้ั ตอนการวัดทางการศึกษา 1. ระบุจดุ ประสงค์และขอบเขตของการวัด วาํ วดั อะไร วดั ใคร 2. นยิ ามคุณลักษณะทีต่ ๎องการวดั ให๎เปน็ พฤติกรรมท่วี ัดได๎ 3. กาํ หนดวธิ ีการวัดและเคร่ืองมอื วดั 4. จดั หาหรือสร๎างเครื่องมือวัด กรณีสร๎างเครื่องมือใหมํดําเนนิ การตามขั้นตอน ดงั น้ี 110
4.1 สร๎างข๎อคําถาม เงื่อนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร๎า ท่ีจะกระตุ๎นให๎ผ๎ูถูกวัดแสดง พฤติกรรมตอบสนองออกมาเพื่อทําการวัด โดยข๎อคําถามเง่ือนไข สถานการณ์ หรือส่ิงเร๎าดังกลําวต๎อง ตรงและครอบคลมุ คุณลักษณะท่นี ยิ ามไว๎ 4.2 พิจารณาข๎อคําถาม เง่ือนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร๎า โดยอาจให๎ผู๎เชี่ยวชาญทางด๎าน เนอื้ หาและทางดา๎ นวัดผลชวํ ยพจิ ารณา 4.3 ทดลองใชเ๎ คร่ืองมอื กบั กลมุํ ท่ีเทยี บเคียงกับกลุํมที่ตอ๎ งการวดั 4.4 หาคุณภาพของเครอ่ื งมอื มคี ณุ ภาพรายข๎อและคณุ ภาพ เครื่องมือท้ังฉบบั 4.5 จดั ทําคูํมือวัดและการแปลความหมาย 4.6 จัดทําเครอ่ื งมือฉบบั สมบูรณ์ 5. ดําเนนิ การวดั ตามวธิ ีการท่กี าํ หนด 6. ตรวจสอบและวิเคราะห์ผลการวัด 7. แปลความหมายผลการวัดและนาํ ผลการวัดไปใช๎ การประเมนิ (Evaluation or Assessment or Appraisal) การประเมิน เป็นกระบวนการตํอเน่ืองจากการวัด คือ นําตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได๎จากการวัด มาตีคําอยํางมีเหตุผล โดยเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานท่ีกําหนดไว๎ เชํน โรงเรียนกําหนดคะแนนที่นํา พอใจของวิชาคณิตศาสตร์ไว๎ที่ร๎อยละ 60 นักเรียนท่ีสอบได๎คะแนนตั้งแตํ 60 % ขึ้นไป ถือวําผํานเกณฑ์ที่ นําพอใจ หรืออาจจะกําหนดเกณฑ์ไว๎หลายระดับ เชํน ได๎คะแนนไมํถึงร๎อยละ 40 อยูํในเกณฑ์ควร ปรับปรุง ร๎อยละ 40-59 อยูํในเกณฑ์พอใช๎ ร๎อยละ 60-79 อยูํในเกณฑ์ดี และร๎อยละ 80 ขึ้นไป อยูํใน เกณฑ์ดมี าก เปน็ ต๎น ลักษณะเชํนน้เี รยี กวาํ เป็นการประเมนิ การประเมินผล มีความหมายเชํนเดียวกับการประเมิน แตํเป็นกระบวนการตํอเนื่องจากการ วดั ผล สาํ หรับภาษาอังกฤษมีหลายคํา ท่ีใช๎มากมี 2 คํา คือ evaluation และ assessment 2 คํา น้มี ีความหมายตํางกนั คอื evaluation เป็นการประเมินตัดสิน มีการกําหนดเกณฑ์ชัดเจน (absolute criteria) เชํน ได๎ คะแนนร๎อยละ 80 ข้ึนไป ตัดสินวําอยํูในระดับดี ได๎คะแนนร๎อยละ 60 – 79 ตัดสินวําอยํูในระดับพอใช๎ ได๎คะแนนไมํถึงร๎อยละ 60 ตัดสินวําอยูํในระดับควรปรับปรุง evaluation จะใช๎กับการประเมินการ ดําเนินงานท่ัวๆ ไป เชํน การประเมินโครงการ (Project Evaluation) การประเมินหลักสูตร (Curriculum Evaluation) 111
assessment เป็นการประเมินเชิงเปรียบเทียบ ใช๎เกณฑ์เชิงสัมพันธ์ (relative criteria) เชํน เทียบกับผลการประเมินคร้ังกํอน เทียบกับเพ่ือนหรือกลุํมใกล๎เคียงกัน assessment มักใช๎ในการ ประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ เชํน ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน การประเมินตนเอง (Self Assessment) ลกั ษณะการประเมนิ ทางการศึกษา การประเมนิ ทางการศึกษามลี ักษณะ ดงั นี้ 1. เป็นสํวนหน่ึงของกระบวนการเรียนการสอนหรือกระบวนการจัดการเรียนร๎ู ซึ่งควรทําการ ประเมินอยํางตํอเนื่อง เพ่ือนําผลการประเมินไปปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนให๎มีประสิทธิภาพ ย่งิ ขึน้ 2. เป็นการประเมินคุณลักษณะหรือพัฒนาการการเรียนรู๎ของผู๎เรียนวําบรรลุตามจุดประสงค์ หรือไมํ 3. เป็นการประเมินในภาพรวมทั้งหมดของผู๎เรียน โดยการรวบรวมข๎อมูลและประมวลจากตัวเลข จากการวดั หลายวิธแี ละหลายแหลํง 4. เป็นกระบวนการเกี่ยวข๎องกับบุคลหลายกลํุม ทั้งครู นักเรียน ผู๎ปกครองนักเรียน ผู๎บริหาร โรงเรยี น และอาจรวมถึงคณะกรรมการตาํ งๆ ของโรงเรียน หลักการประเมินทางการศกึ ษา หลักการประเมนิ ทางการศกึ ษาโดยทว่ั ไปมดี งั นี้ 1. ขอบเขตการประเมนิ ตอ๎ งตรงและครอบคลมุ หลกั สตู ร 2. ใช๎ข๎อมลู จากผลการวดั ทคี่ รอบคลุม จากการวัดหลายแหลํง หลายวิธี 3. เกณฑ์ท่ีใช๎ตัดสินผลการประเมินมีความชัดเจน เป็นไปได๎ มีความยุติธรรม ตรงตาม วัตถุประสงค์ของหลกั สตู ร ขัน้ ตอนในการประเมนิ ทางการศกึ ษา การประเมินทางการศกึ ษามขี ้ันตอนท่ีสาํ คญั ดังน้ี 1. กาํ หนดจุดประสงคก์ ารประเมนิ โดยให๎สอดคลอ๎ งและครอบคลุมจุดประสงค์ของหลกั สตู ร 2. กาํ หนดเกณฑ์เพ่ือตคี าํ ข๎อมลู ที่ได๎จาการวดั 3. รวบรวมขอ๎ มลู จากการวัดหลายๆ แหลํง 4. ประมวลและผสมผสานขอ๎ มูลตํางๆ ของทุกรายการทว่ี ัดได๎ 5. วินิจฉัยช้บี ํงและตัดสินโดยเทยี บกบั เกณฑ์ที่ตั้งไว๎ 112
ประเภทของการประเมินทางการศึกษา การประเมนิ แบํงได๎หลายประเภท ขน้ึ อยกํู บั เกณฑท์ ใี่ ช๎ในการแบงํ ดังน้ี 1. แบ่งตามจดุ ประสงค์ของการประเมนิ การแบํงตามจดุ ประสงค์ของการประเมิน แบํงไดด๎ งั น้ี 1.1 การประเมินกํอนเรียน หรือกํอนการจัดการเรียนร๎ู หรือการประเมินพ้ืนฐาน (Basic Evaluation) เปน็ การประเมนิ กอํ นเรมิ่ ตน๎ การเรียนการสอนของแตํละบทเรียนหรือแตํละหนํวย แบํงได๎ 2 ประเภท คือ 1.1.1 การประเมินเพื่อจัดตําแหนํง (Placement Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อ พิจารณาดูวําผู๎เรียนมีความร๎ูความสามารถในสาระที่จะเรียนอย๎ูในระดับใดของกลุํม ประโยชน์ของการ ประเมินประเภทนี้ คือ ครูใช๎ผลการประเมินเพื่อกําหนดรูปแบบการจัดการเรียนรู๎ให๎เหมาะสมกับกลํุม ผ๎ูเรียน ผ๎ูเรียนที่มีความร๎ูความสามารถในสาระที่จะเรียนน๎อยคืออยํูในตําแหนํงท๎ายๆ ควรได๎รับการ เพม่ิ พูนเนอื้ หาสาระนัน้ มากกวํากลํมุ ทอ่ี ยูํในลําดับต๎นๆ คือ กลํุมที่มีความรู๎ความสามารถในสาระที่จะเรียน มากกวํา หรือกลุํมที่มีความร๎ูพื้นฐานในสาระท่ีจะเรียนดีกวํา และแตํละกลุํมควรใช๎รูปแบบการเรียนร๎ูท่ี แตกตํางกนั 1.1.2 การประเมินเพ่ือวินิจฉัย (Diagnostic Evaluation) เป็นการประเมินกํอนการเรียน การสอนอีกเชนํ กนั แตํเป็นการประเมินเพือ่ พจิ ารณาแยกแยะวาํ ผ๎เู รียนมคี วามรูค๎ วามสามารถในสาระท่ีจะ เรียนรู๎มากนอ๎ ยเพยี งใด มีพ้ืนฐานเพียงพอท่ีจะเรียนในเร่ืองท่ีจะสอนหรือไมํ จุดใดสมบูรณ์แล๎ว จุดใดยัง บกพรํองอยํู จําเป็นต๎องได๎รับการสอนเสริมให๎มีพ้ืนฐานที่เพียงพอเสียกํอนจึงจะเริ่มต๎นสอนเนื้อหาใน หนวํ ยการเรียนตํอไป และจากพื้นฐานทีผ่ ู๎เรียนมีอยคํู วรใช๎รูปแบบการเรียนการสอนอยํางไร ทั้งการประเมินเพ่ือจัดตําแหนํงและการประเมินเพ่ือวินิจฉัยมีจุดประสงค์เหมือนกันคือ เพื่อทราบพื้นฐานความร๎ูความสามารถของผ๎ูเรียนกํอนที่จะจัดการเรียนรู๎หรือการเรียนการสอนในสาระ การเรียนร๎ูนั้นๆ แตํการประเมิน 2 ประเภทดังกลําวมีความแตกตํางกัน คือ การประเมินเพื่อจัดตําแหนํง เป็นการประเมินเพื่อพิจารณาในภาพรวม ใช๎เครื่องมือไมํละเอียดหรือจํานวนข๎อคําถามไมํมาก แตํการ ประเมนิ เพ่อื วินจิ ฉยั เปน็ การประเมินเพื่อพัฒนาอยํางละเอียด แยกแยะเน้ือหาเป็นตอนๆ เพื่อพิจารณาวํา ผูเ๎ รียนมีความรพ๎ู ืน้ ฐานของเนื้อหาแตํละตอนมากนอ๎ ยเพียงใด จดุ ใดบกพรอํ งบา๎ ง ดงั นน้ั จํานวนข๎อคําถาม มีมากกวาํ 1.2 การประเมินเพ่ือพัฒนา หรือการประเมินยํอย (Formative Evaluation) เป็นการประเมิน เพ่ือใช๎ผลการประเมนิ เพือ่ ปรบั ปรงุ กระบวนการจัดการเรียนร๎ู การประเมินประเภทนี้ใช๎ระหวํางการจัดการ เรียนการสอน เพื่อตรวจสอบวําผ๎ูเรียนมีความรู๎ความสามารถตามจุดประสงค์ที่กําหนดไว๎ในระหวํางการ จัดการเรียนการสอนหรือไมํ หากผ๎ูเรียนไมํผํานจุดประสงค์ท่ีตั้งไว๎ ผู๎สอนก็จะหาวิธีการท่ีจะชํวยให๎ผู๎เรียน 113
เกิดการเรยี นรูต๎ ามเกณฑ์ที่ต้ังไว๎ ผลการประเมินยังเป็นการตรวจสอบครูผ๎ูสอนเองวําเป็นอยํางไร แผนการ เรียนร๎ูรายครั้งท่ีเตรียมมาดีหรือไมํ ควรปรับปรุงอยํางไร กระบวนการจัดการเรียนร๎ูเป็นอยํางไร มีจุดใด บกพรํองท่ตี ๎องปรบั ปรุงแกไ๎ ขตํอไป การประเมินประเภทนี้ นอกจากจะใช๎ผลการประเมินเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน แลว๎ ผลการประเมินยงั ใช๎ในการปรบั ปรุงหลักสตู รของสถานศึกษาดว๎ ย กลําวคือ หากพบวําเนื้อหาสาระใด ท่ีผู๎เรียนมีผลสัมฤทธิ์ไมํเป็นไปตามผลการเรียนรู๎ที่คาดหวัง โดยที่ผู๎สอนได๎พยายามปรับปรุงการจัดการ เรียนการสอนอยํางเต็มท่ีกับผู๎เรียนหลายกลํุมแล๎วยังได๎ผลเป็นอยํางเดิม แสดงวําผลการเรียนร๎ูท่ีคาดหวัง นั้นสูงเกินไปหรือไมํเหมาะกับผู๎เรียนในชั้นเรียนระดับน้ี หรือเนื้อหาอาจจะยากหรือซับซ๎อนเกินไปท่ีจะ บรรจุในหลักสูตรระดับนี้ ควรบรรจุในชั้นเรียนที่สูงข้ึน จะเห็นวําผลจากการประเมินจะเป็นประโยชน์ตํอ การพฒั นาหลักสตู รสถานศกึ ษาดว๎ ย 1.3 การประเมินเพ่ือตัดสินหรือการประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เป็นการ ประเมินเพื่อตัดสินผลการจัดการเรียนรู๎ เป็นการประเมินหลังจากผู๎เรียนได๎เรียนไปแล๎ว อาจเป็นการ ประเมินหลังจบหนํวยการเรียนรู๎หนํวยใดหนํวยหนึ่ง หรือหลายหนํวย รวมทั้งการประเมินปลายภาค เรยี นหรือปลายปี ผลจากการประเมินประเภทนี้ใช๎ในการตัดสินผลการจัดการเรียนการสอน หรือตัดสินใจ วาํ ผเู๎ รียนคนใดควรจะไดร๎ บั ระดับคะแนนใด 2. แบ่งตามการอา้ งองิ การแบํงประเภทของการประเมนิ ตามการอา๎ งอิงหรือตามระบบของการวัด แบงํ ออกเปน็ 2.1 การประเมินแบบอิงตน (Self-referenced Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อนําผลจาก การเรียนรู๎มาเปรียบเทียบกับความสามารถของตนเอง เป็นการประเมินเพื่อปรับปรุงตนเอง ( Self Assessment) เชนํ ประเมนิ โดยการเปรยี บเทียบผลการทดสอบกํอนเรียนกับทดสอบหลังเรียนของตนเอง การประเมินแบบนี้ ควรจะใช๎แบบทดสอบคูํขนานหรือแบบทดสอบเทียบเคียง (Equivalence Test) เพ่ือ เปรียบเทียบกนั ได๎ 2.2 การประเมินแบบอิงกลุํม (Norm-referenced Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อ พจิ ารณาวาํ ผ๎ไู ด๎รับการประเมินแตํละคนมีความสามารถมากน๎อยเพียงใด เม่ือเปรียบเทียบกับกลุํมท่ีถูกวัด ด๎วยแบบทดสอบฉบับเดียวกัน การประเมินประเภทนี้ข้ึนอยูํกับความรู๎ ความสามารถของกลํุมเป็นสําคัญ นิยมใชใ๎ นการจดั ตาํ แหนํงผถู๎ กู ประเมิน หรอื ใช๎เพือ่ คัดเลือกผเ๎ู ข๎าศึกษาตํอ 2.3 การประเมินแบบอิงเกณฑ์ (Criterion-referenced Evaluation) เป็นการนําผลการสอบ ที่ได๎ไปเทียบกับเกณฑ์ที่กําหนดไว๎ ความสําคัญอยูํที่เกณฑ์ โดยไมํจําเป็นต๎องคํานึงถึงความสามารถของ กลุมํ ซึ่งเกณฑ์ทีใ่ ชใ๎ นการประเมินผลการเรยี นร๎ูไดแ๎ กํ ผลการเรียนรทู๎ ค่ี าดหวังและมาตรฐานการเรียนรู๎ 114
3. แบ่งตามผปู้ ระเมนิ การแบงํ ประเภทของการประเมินตามกลมุํ ผปู๎ ระเมนิ (Evaluator) แบงํ ออกเปน็ 3.1 การประเมินตนเอง (Self Assessment) หรือการประเมินภายใน (Internal Evaluation) เปน็ การประเมนิ ลักษณะเดียวกับการประเมนิ แบบองิ ตน คือ เพอ่ื นาํ ผลการประเมินมาพัฒนาหรือปรับปรุง ตนเอง การประเมินประเภทนี้สามารถประเมินได๎ทุกกลุํม ผ๎ูเรียนประเมินตนเองเพื่อปรับปรุงการเรียนร๎ู ของตนเอง ครูประเมินเพื่อปรับปรุงการสอนของตนเอง นอกจากประเมินเพื่อพัฒนาปรับปรุงการเรียน การสอนแล๎ว สามารถประเมินเพ่ือพัฒนาปรับปรุงได๎ทุกเรื่อง ผ๎ูบริหารสถานศึกษาประเมินเพ่ือปรับปรุง การบริหารจัดการศึกษาของสถานศึกษาโดยอาจจะประเมินด๎วยตนเอง หรือมีคณะประเมินของ สถานศึกษา เรยี กวํา การประเมนิ ภายใน (Internal Evaluation) หรอื การศกึ ษาตนเอง (Self Study) โดย อาจจะประเมนิ โดยรวม หรอื แบงํ ประเมนิ เป็นสํวนๆ เป็นด๎านๆ ลักษณะการประเมินอาจจะมีคณะเดียว ประเมินทกุ สวํ น หรือจะให๎แตํละสํวนประเมินตนเองหรือภายในสํวนของตนเอง เชํน แตํละระดับชั้นเรียน แตลํ ะหมวดวิชาหรอื กลุํมสาระการเรยี นร๎ู แตํละฝาุ ย อาทิ ฝุายปกครอง ฝุายวิชาการ ฝุายอาคารสถานท่ี เป็นต๎น เพ่ือให๎แตํละสํวนมีการพัฒนาปรับปรุงการดําเนินงานของตนเอง และอาจจะรวบรวมผลการ ประเมินแตํละสํวนเพ่ือจัดทําเป็นรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา (Self Study Report : SSR หรือ Self Assessment Report : SAR) 3.2 การประเมินโดยผอ๎ู ่นื หรอื การประเมนิ ภายนอก (External Evaluation) สืบเนื่องจากการ ประเมินตนเองหรือการประเมนิ ภายในซง่ึ มีความสําคัญมากในการพัฒนาปรับปรุง แตํการประเมินภายใน มีจุดอํอนคือความนําเช่ือถือ โดยบุคคลภายนอกมักคิดวําการประเมินภายในน้ัน มีความลําเอียง ผ๎ู ประเมินตนเองมักจะเข๎าข๎างตนเอง ดังนั้นจึงมีการประเมินโดยผู๎อื่นหรือประเมินโดยผู๎ประเมินภายนอก เพ่ือยืนยันการประเมินภายใน และอาจจะมีจุดอํอนหรือจุดท่ีควรได๎รับการพัฒนาย่ิงข้ึนในทรรศนะของผู๎ ประเมินในฐานะท่ีมีประสบการณ์ท่ีแตกตํางกัน อยํางไรก็ดี การประเมินภายนอกก็มีจุดบกพรํองในเร่ือง การร๎ูรายละเอียดและถูกต๎องของสิงที่จะประเมิน และจุดบกพรํองอีกประการหน่ึงคือเจตคติของผ๎ูถูก ประเมิน ถา๎ ร๎สู ึกวาํ ถกู จับผิดก็จะตํอตา๎ น ไมใํ ห๎ความรํวมมือ ไมยํ อมรบั ผลการประเมนิ ทําให๎การประเมิน ดําเนินไปด๎วยความยากลําบาก ดังนั้นการประเมินภายนอกควรมาจากความต๎องการของผ๎ูถูกประเมิน เชํน ครูผู๎สอนให๎ผ๎ูเรียน ผ๎ูปกครอง หรือเพื่อนครูประเมินการสอนของตนเอง สถานศึกษาให๎ผู๎ปกครอง หรอื นกั ประเมนิ มืออาชีพ (ภายนอก) ประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศกึ ษา 115
ความสาคญั ของการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนร๎ูของผู๎เรียน เป็นองค์ประกอบสําคัญในการพัฒนาคุณภาพ การศึกษา ทําให๎ได๎ข๎อมูลสารสนเทศท่ีจําเป็นในการพิจารณาวําผู๎เรียนเกิดคุณภาพการเรียนรู๎ตามผลการ เรียนรท๎ู ่ีคาดหวังและมาตรฐานการเรียนร๎ู จากประเภทของการประเมินโดยเฉพาะการแบํงประเภทโดยใช๎จุดประสงค์ของการประเมินเป็น เกณฑ์ในการแบํงประเภท จะเห็นวํา การวัดและประเมินผลการเรียนนอกจากจะมีประโยชน์โดยตรงตํอ ผู๎เรียนแล๎ว ยังสะท๎อนถึงประสิทธิภาพการการสอนของครู และเป็นข๎อมูลสําคัญท่ีสะท๎อนคุณภาพการ ดาํ เนินงานการจัดการศึกษาของสถานศึกษาด๎วย ดังนั้นครูและสถานศึกษาต๎องมีข๎อมูลผลการเรียนรู๎ของ ผ๎ูเรียน ท้ังจากการประเมินในระดับช้ันเรียน ระดับสถานศึกษา และระดับอื่นท่ีสูงขึ้น ประโยชน์ของ การวัดและการประเมนิ ผลการเรียนรูจ๎ ําแนกเป็นดา๎ นๆ ดังนี้ 1. ดา้ นการจัดการเรยี นรู้ การวดั และประเมินผลการเรยี นร๎ขู องผ๎ูเรยี นมีประโยชน์ตํอการจัดการเรียนร๎ูหรือการจัดการเรียน การสอนดงั นี้ 1.1 เพ่อื จัดตาแหนง่ (Placement) ผลจากการวัดบอกไดว๎ าํ ผู๎เรยี นมีความร๎ูความสามารถอยํูใน ระดับใดของกลํุมหรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์แล๎วอยํูในระดับใด การวัดและประเมินเพ่ือจัดตําแหนํงนี้ มัก ใชใ๎ นวัตถปุ ระสงค์ 2 ประการคือ 1.1.1 เพื่อคัดเลือก (Selection) เป็นการใช๎ผลการวัดเพ่ือคัดเลือกเพ่ือเข๎าเรียน เข๎า รํวมกิจกรรม-โครงการ หรือเปน็ ตวั แทน(เชํนของชน้ั เรยี นหรอื สถานศึกษา) เพอื่ การทาํ กิจกรรม หรือการ ใหท๎ นุ ผล การวดั และประเมนิ ผลลกั ษณะนี้คาํ นึงถงึ การจดั อนั ดบั ทีเ่ ป็นสําคัญ 1.1.2 เพื่อแยกประเภท (Classification) เปน็ การใช๎ผลการวดั และประเมนิ เพ่ือแบํงกลุํม ผ๎เู รียน เชํน แบงํ เป็นกลุํมออํ น ปานกลาง และเกํง แบงํ กลมุํ ผาํ น-ไมํผํานเกณฑ์ หรือตดั สนิ ได-๎ ตก เป็นต๎น เปน็ การวดั และประเมนิ ท่ียึดเกณฑท์ ใี่ ชใ๎ นการแบํงกลํมุ เป็นสําคญั 1.2 เพื่อวินิจฉัย (Diagnostic) เป็นการใช๎ผลการวัดและประเมินเพื่อค๎นหาจุดเดํน-จุดด๎อยของ ผู๎เรียนวํามีปัญหาในเรื่องใด จุดใด มากน๎อยแคํไหน เพื่อนําไปสูํการตัดสินใจการวางแผนการจัดการ เรยี นรแู๎ ละการปรบั ปรงุ การเรียนการสอนใหม๎ ีประสิทธิภาพยิง่ ข้ึน เครื่องมือทใ่ี ชว๎ ดั เพอ่ื การวินิจฉับ เรียกวํา แบบทดสอบวินิจฉัย (Diagnostic Test) หรือแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียน ประโยชน์ของการวัดและ ประเมนิ ประเภทน้นี ําไปใชใ๎ นวัตถุประสงค์ 2 ประการดังนี้ 1.2.1 เพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ของผู้เรียน ผลการวัดผ๎ูเรียนด๎วยแบบทดสอบวินิจฉัยการ เรียนจะทําให๎ทราบวําผู๎เรียนมีจุดบกพรํองจุดใด มากน๎อยเพียงใด ซึ่งครูผู๎สอนสามารถแก๎ไขปรับปรุงโดย การสอนซํอมเสริม (Remedial Teaching) ได๎ตรงจุด เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนร๎ูตามมาตรฐานการเรียนร๎ู ทีค่ าดหวงั ไว๎ 116
1.2.2 เพ่ือปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ ผลการวัดด๎วยแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียน นอกจากจะชํวยให๎เห็นวําผู๎เรียนมีจุดบกพรํองเรื่องใดแล๎ว ยังชํวยให๎เห็นจุดบกพรํองของกระบวนการ จัดการเรียนร๎ูอีกด๎วย เชํน ผ๎ูเรียนสํวนใหญํมีจุดบกพรํองจุดเดียวกัน ครูผู๎สอนต๎องทบทวนวําอาจจะเป็น เพราะวิธีการจดั การเรยี นร๎ูไมเํ หมาะสมตอ๎ งปรัปรุงแก๎ไขให๎เหมาะสม 1.3 เพื่อตรวจสอบและปรับปรุง การประเมินเพ่ือพัฒนา (Formative Evaluation) เป็นการ ประเมนิ เพ่อื ตรวจสอบผลการเรยี นรู๎เทียบกับจดุ ประสงค์หรอื ผลการเรียนร๎ูท่ีคาดหวัง ผลจากการประเมิน ใช๎พัฒนาการจัดการเรียนร๎ูให๎มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอาจจะปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนวิธีการสอน (Teaching Method) ปรับเปล่ียนสื่อการสอน (Teaching Media) ใช๎นวัตกรรมการจัดการเรียนร๎ู (Teaching Innovation) เพอ่ื นาํ ไปสํกู ารพัฒนาการจัดการเรยี นรท๎ู ่ีมีประสิทธิภาพ 1.4 เพื่อการเปรียบเทียบ (Assessment) เป็นการใช๎ผลการวัดและประเมินเปรียบเทียบวํา ผู๎เรยี นมพี ฒั นาการจากเดิมเพยี งใด และอยใูํ นระดับที่พึงพอใจหรือไมํ 1.5 เพื่อการตัดสิน การประเมินเพ่ือการตัดสินผลการเรียนของผู๎เรียนเป็นการประเมินรวม (Summative Evaluation) คือใช๎ข๎อมูลที่ได๎จากการวัดเทียบกับเกณฑ์เพ่ือตัดสินผลการเรียนวําผําน-ไมํ ผาํ น หรือใหร๎ ะดบั คะแนน 2 ดา้ นการแนะแนว ผลจากการวัดและประเมินผู๎เรียน ชํวยให๎ทราบวําผู๎เรียนมีปัญหาและข๎อบกพรํองในเรื่องใด มาก น๎อยเพียงใด ซ่ึงสามารถแนะนําและชํวยเหลือผู๎เรียนให๎แก๎ปัญหา มีการปรับตัวได๎ถูกต๎องตรงประเด็น นอกจากนีผ้ ลการวัดและประเมนิ ยงั บํงบอกความรคู๎ วามสามารถ ความถนดั และความสนใจของผ๎ูเรียน ซ่ึง สามารถนาํ ไปใช๎แนะแนวการศกึ ษาตอํ และแนะแนวการเลือกอาชีพให๎แกผํ เ๎ู รยี นได๎ 3. ด้านการบริหาร ข๎อมลู จากการวัดและประเมนิ ผเ๎ู รียน ชวํ ยใหผ๎ ูบ๎ ริหารเห็นข๎อบกพรํองตํางๆ ของการจัดการเรียนร๎ู เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานของครู และบํงบอกถึงคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ผู๎บริหารสถานศึกษามักใช๎ข๎อมูลได๎จากการวัดและประเมินใช๎ในการตัดสินใจหลายอยําง เชํน การพัฒนา บคุ ลากร การจัดครเู ขา๎ สอน การจดั โครงการ การเปลี่ยนแปลงโปรแกรมการเรียน นอกจากน้ีการวัดและ ประเมนิ ผลยงั ใหข๎ ๎อมลู ที่สําคญั ใน การจัดทํารายงานการประเมินตนเอง (SSR) เพ่ือรายงานผลการจัดการศึกษาสูํผู๎ปกครอง สาธารณชน หนํวยงานต๎นสังกัด และนําไปสํูการรองรับการประเมินภายนอก จะเห็นวําการวัดและประเมินผล การศกึ ษาเปน็ หวั ใจสําคญั ของระบบการประกันคุณภาพทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา 117
4. ดา้ นการวจิ ยั การวัดและประเมนิ ผลมีประโยชน์ตํอการวจิ ัยหลายประการดังนี้ 4.1 ข๎อมูลจาการวัดและประเมินผลนําไปสํูปัญหาการวิจัย เชํน ผลจากการวัดและประเมิน พบวําผ๎ูเรียนมีจุดบกพรํองหรือมีจุดที่ควรพัฒนาการแก๎ไขจุดบกพรํองหรือการพัฒนาดังกลําวโดยการ ปรับเปลี่ยนเทคนิควธิ สี อนหรือทดลองใช๎นวัตกรรมโดยใช๎กระบวนการวิจัย การวิจัยดังกลําวเรียกวํา การ วิจยั ในชนั้ เรยี น (Classroom Research) นอกจากนี้ผลจากการวัดและประเมินยังนําไปสูํการวิจัยในด๎าน อื่น ระดับอ่ืน เชํน การวิจัยของสถานศึกษาเก่ียวกับการทดลองใช๎รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะของ ผเ๎ู รยี น เป็นต๎น 4.2 การวัดและประเมินเป็นเคร่ืองมือของการวิจัย การวิจัยใช๎การวัดในการรวบรวมข๎อมูลเพ่ือ ศกึ ษาผลการวจิ ยั ข้ันตอนนเ้ี ริม่ จากการหาหรือสร๎างเคร่อื งมอื วัด การทดลองใชเ๎ ครื่องมือ การหาคุณภาพ เครื่องมือ จนถึงการใช๎เครื่องมือที่มีคุณภาพแล๎วรวบรวมข๎อมูลการวัดตัวแปรท่ีศึกษา หรืออาจต๎องตีคํา ขอ๎ มลู จะเห็นวําการวดั และประเมินผลมบี ทบาทสําคัญมากในการวิจัย เพราะการวัดไมํดี ใช๎เครื่องมือไมํ มคี ุณภาพ ผลของการวิจัยกข็ าดความนําเช่ือถือ การวดั และประเมินก่อนเรยี น ระหวา่ งเรยี น และหลงั เรียน กํอนเรียน ระหวํางเรียน และหลังเรียน 3 คํานี้มีความเก่ียวเนื่องกัน แตํตํางกันท่ีระยะเวลาและ จุดประสงคข์ องการวดั และประเมนิ 3 คํานม้ี คี วามหมายท้งั ในมติ ทิ ก่ี ว๎างและแคบ ดังนี้ 1. ก่อนเรียน การวัดและประเมินกํอนเรียนมีจุดประสงค์เพื่อมทราบสภาพของผ๎ูเรียน ณ เวลากํอนที่จะเรียน เชํน ความรู๎พื้นฐานในกลํุมสาระการเรียนรตู๎ ํางๆ กํอนเรยี นอาจจะหมายถึง 1.1 กํอนเข๎าเรียน ซ่ึงอาจจะตั้งแตํกํอนเรียนระดับปฐมวัย หรือกํอนจะเร่ิมเรียนหลักสูตร สถานศึกษาน้ัน เชํน สถานศึกษาที่เปิดสอนในชํวงชั้นท่ี 1 และ 2 กํอนเรียนในที่นี้อาจจะหมายถึงกํอน เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 เป็นต๎น 1.2 กํอนเรียนชํวงชั้น หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานให๎ความสําคัญกับชํวงช้ัน ให๎มีการ ประเมินผลการเรยี นรขู๎ องผ๎ูเรียนเมื่อจบแตํละชํวงช้ัน กํอนเรียนในท่ีน้ีจึงหมายถึงกํอนจะเริ่มเรียนชํวงชั้น ใดชวํ งช้ันหนึ่ง เชํน กํอนเรยี นชวํ งช้นั ท่ี 2 คอื กอํ นเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4 เปน็ ตน๎ 1.3 กํอนเรยี นแตํละชนั้ ถงึ แมจ๎ ะมกี ารกําหนดเป็นชํวงช้นั แตชํ น้ั เรยี นหรือการเรียนแตํละปีก็ยัง มีความสําคญั โดยเฉพาะในระดบั ประถมศกึ ษา การเรียนแตํละช้ัน/ปี อาจจะหมายถึงการเรียนกับครูคน ใดคนหนง่ึ (กรณที ่คี รคู นเดียวสอนนักเรียนทั้งช้ันทุกวิชาหรือเกือบทุกวิชา โดยท่ัวไปจะเป็นครูประจําช้ัน) 118
หรือเรียนครูกลํุมหนึ่ง (สอนแยกรายวิชา) การวัดและประเมินกํอนเรียนแตํละช้ันจะเป็นประโยชน์ตํอ ครูผส๎ู อนในการวางแผนการจัดการเรียนรูใ๎ ห๎เหมาะสมกบั ผ๎เู รยี นตลอดทัง้ ปี 1.4 กํอนเรียนแตํละรายวิชา มีลักษณะเชํนเดียวกับกํอนเรียนแตํละชั้น การวัดและประเมิน กอํ นเรยี นแตํละชัน้ อาจจะวัดและประเมินในภาพรวมหลายๆ วิชา แตํการวัดและประเมินนี้ แยกวัดและ ประเมินแตํละรายวิชา โดยทั่วไปจะสอนโดยครูแตํละคน สําหรับระดับมัธยมศึกษา รายวิชาสํวนใหญํ จดั การเรยี นร๎เู ปน็ รายภาคเรยี น 1.5 กํอนเรียนแตํละหนํวยการเรียนร๎ู หนํวยการเรียนรู๎เป็นการจัดหมวดหมํูเนื้อหาในสาระการ เรียนรู๎เดียวกัน โดยจัดเนื้อหาเร่ืองเดียวกันหรือสัมพันธ์กันไว๎ในหนํวยเดียวกัน การวัดและประเมินกํอน เรียนแตํละหนํวย เพื่อให๎ได๎ข๎อมูลความร๎ูพ้ืนฐานของผู๎เรียนในเร่ืองหรือหนํวยนั้น ซึ่งท้ังผู๎เรียนและ ครูผ๎ูสอนสามารถนําไปใช๎ในการวางแผนการเรียนรู๎และจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูในหนํวยน้ันได๎อยําง เหมาะสม 1.6 กํอนเรียนแตํละแผนจัดการเรียนรู๎ คือ การวัดและประเมินกํอนเรียนแตํละคร้ัง ในหน่ึง หนวํ ยการเรียนร๎มู ักจะมีสาระทจี่ ะเรยี นรูแ๎ ยกยอํ ยสําหรับการสอนมากกวํา 1 ครั้ง แตํละคร้ังจะมีแผนการ จดั การเรียนรู๎ 2. ระหว่างเรยี น จดุ ประสงค์ของการวดั และประเมินระหวาํ งเรยี น เพื่อตรวจสอบความก๎าวหน๎าหรือพัฒนาการของ ผ๎ูเรียนด๎านความรู๎ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ จากการเรียนรู๎และการรํวม กิจกรรมของผู๎เรียน โดยเทียบกบั ผลการวดั และประเมินกอํ นเรียน การวัดและประเมินระหวํางเรียนจะทํา ใหไ๎ ดข๎ ๎อมลู ท่บี ํงบอกถึงพัฒนาการการเรียนรู๎ของผ๎ูเรียน ในขณะเดียวกันยังสะท๎อนให๎เห็นถึงคุณภาพการ จดั การเรยี นการสอนของครดู ว๎ ย ข๎อมูลจากการวัดและประเมินระหวํางเรียนจะเป็นประโยชน์แกํทุกฝุาย ที่เก่ียวข๎อง ทั้งผู๎เรียน ครูผู๎สอน สถานศึกษา และผ๎ูปกครอง สามารถนําข๎อมูลดังกลําวไปพัฒนาผู๎เรียน ใหบ๎ รรลผุ ลการเรยี นรท๎ู ่คี าดหวงั ท่แี ตกยํอยมาจากมาตรฐานการเรยี นรู๎ และเป็นข๎อมูลที่ใช๎ในการปรับปรุง กจิ กรรมการเรยี นการสอนให๎เหมาะสมกับผเ๎ู รียน 3. หลงั เรียน จดุ ประสงคข์ องการวดั และประเมินหลังเรียน เพ่ือตรวจสอบผลการเรยี นของผ๎ูเรียนดา๎ นความรู๎ ทักษะ กระบวนการ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ จากการเรยี นรแ๎ู ละการรํวมกจิ กรรมของผเ๎ู รียน โดยเทยี บกบั ผลการวัดและประเมินกํอนเรียนและระหวํางเรียน การวดั และประเมินหลงั เรยี นจะทําใหไ๎ ดข๎ ๎อมลู ท่บี งํ บอกถึงพฒั นาการการเรยี นรข๎ู องผูเ๎ รยี น ในขณะเดียวกันยงั สะท๎อนใหเ๎ ห็นถึงคณุ ภาพการจัดการเรยี นการ สอนของครูด๎วย ขอ๎ มลู จากการวัดและประเมนิ หลังเรียนมีจุดประสงคห์ ลักคือใชใ๎ นการตัดสนิ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นของผ๎เู รียน นอกจากน้ี การวัดและประเมนิ ผลหลงั เรียนอาจจะเปน็ ข๎อมูลกํอนการเรียนใน ระดับตอํ ไป จึงเปน็ ประโยชนท์ งั้ ผ๎ูเรยี น และครูผสู๎ อน สามารถนาํ ข๎อมลู ดงั กลําวไปพัฒนาและปรบั ปรุง 119
การเรียนร๎แู ละการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนหรือกิจกรรมการเรยี นรใ๎ู ห๎เหมาะสมกับผูเ๎ รียนและ สถานการณ์ 4.4 การบันทึกและรายงานผลการจัดการเรยี นรู้ การบนั ทึกหลงั สอนมีความสําคญั สําหรบั การปรับปรุงกระบวนการจดั การเรียนรูเ๎ พอื่ ให๎ เกดิ ประโยชนก์ ับผ๎เู รียนมากยิ่งขนึ้ การบันทึกหลังการสอนเปน็ สํวนสาํ คญั ที่ทาํ ใหค๎ รผู ๎สู อนทราบวํากิจกรรมตํางๆ ท่ีทําในทํา ในช้ันเรียนมีข๎อดี ข๎อเสีย จุดเดํน และจุดท่ีต๎องปรับปรุงแก๎ไข เพื่อการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ตํอไปอยํางไร ซ่ึงขอ๎ มูลตาํ งๆ เหลํานจี้ ะเป็นประโยชน์มากตํอการปรับปรุงการจัดการเรยี นรใ๎ู นอนาคต การบนั ทกึ หลงั การสอนทาได้ ดังน้ี 1. จดั ทําแบบฟอร์มเพ่อื การบันทึกทช่ี ัดเจน ใหค๎ รอบคลุมหวั ขอ๎ ตํอไปนี้ 1) ผลการเรยี นร๎ู 2) สาระ/เนื้อหา 3) กจิ กรรม 4) ส่ือการเรียนร๎ู 5) การวัดและประเมนิ ผล 2. ใช๎การประเมนิ เชิงตวั เลขเข๎ามาชวํ ย เพอื่ ความชดั เจน อาทิเชนํ 1) มผี ๎เู รียนเข๎าเรียนสายจํานวน 3 คน คิดเป็นรอ๎ ยละ 12 2) มผี เ๎ู รียนผาํ นตามผลการเรียนรู๎ 38 คน คดิ เป็นร๎อยละ 90 3) มีผเ๎ู รยี นทไี่ มํผํานผลการเรียนร๎ู จํานวน 2 คน คิดเป็นรอ๎ ยละ 10 4) มนี ักเรียนสงํ งานตรงเวลาตามกําหนดจํานวน 35 คน คิดเป็นร๎อยละ 80 5) มนี ักเรยี นไมสํ งํ งานจํานวน 6 คน คดิ เป็นรอ๎ ยละ 20 6) มนี ักเรียนคัดลอกงานจาํ นวน 12 คน คดิ เป็นร๎อยละ 25 7) มีนกั เรียนเขียนคาํ ผิด/ใชภ๎ าษาไมํถกู ต๎องจํานวน 17 คน คิดเป็นร๎อยละ 38 เป็นต๎น 3. บนั ทึกข๎อมลู เชิงคณุ ภาพในรายละเอียดที่เปน็ พฤตกิ รรมของผเู๎ รยี น อาทิเชํน 1) พฤติกรรมของผเ๎ู รียน 2) ปัญหาทเี่ กิดขึ้นในชั้นเรียน 4. นาํ เสนอแนวทางในการแก๎ไขปัญหาทีช่ ดั เจน 5. สรุปผลการแกไ๎ ขปัญหาตามทีไ่ ดเ๎ สนอไว๎วําประสบความสําเรจ็ มากน๎อยเพียงใด 120
4.5 การวิจัยเพ่อื แกป้ ัญหาผเู้ รียน เทียมจันทร์ พานชิ ผลนิ ไชย ไดก๎ ลําวถึง การวิจยั เพื่อพัฒนาคุณภาพผูเ๎ รียน วําเป็นการ วิจยั ที่ทาํ โดยครูผ๎สู อนในชัน้ เรียน เพ่อื แก๎ไขปญั หาที่เกดิ ขนึ้ ในชั้นเรียนและนาํ ผลมาใชใ๎ นการปรบั ปรุงการ เรยี นการสอนหรอื สํงเสรมิ พฒั นาการเรยี นร๎ูของผ๎เู รียนใหด๎ ยี ิ่งข้ึน เปน็ การวิจัยทีต่ ๎องทําอยาํ งรวดเร็วนาํ ผล ไปใชท๎ นั ทีและมีการสะทอ๎ นข๎อมลู เกี่ยวกับการแกไ๎ ขปัญหาตาํ งๆกบั กลมํุ เพื่อนรวํ มงานในโรงเรยี นวพิ ากษ์ อภปิ ราย แลกเปลยี่ นเรยี นรู๎ในแนวทางท่ีไดป๎ ฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นเพ่อื พัฒนาการเรยี นรู๎ท้ังครแู ละผเู๎ รียน การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพผูเ๎ รยี นสามารถท าไดใ๎ นลกั ษณะการวจิ ัยเชิงปฏิบัติการ การวจิ ัยเชิงปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการศึกษาคน๎ ควา๎ เพื่อแก๎ปัญหาทเ่ี กดิ ข้ึนจากการ ปฏบิ ตั ิงานหรอื เพื่อปรับปรงุ และพัฒนาการปฏบิ ตั งิ านใหบ๎ รรลุผลตามทีต่ ๎องการโดยผู๎ปฏิบตั งิ านเป็น ผด๎ู าํ เนินการวิจัยในสถานท่ีท่ตี นเองปฏิบัตอิ ยํภู ายใตส๎ ภาพแวดล๎อมและบรรยากาศที่แท๎จรงิ เมือ่ นําการวิจัย เชงิ ปฏิบตั มิ าใช๎กับการเรียนการสอนจึงเรยี กการวิจยั เชงิ ปฏิบตั วิ ํา การวจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชน้ั เรียน หรอื การ วิจยั เพ่อื พฒั นาการเรียนการสอนซ่งึ เป็นการศึกษาคน๎ คว๎าเพ่ือแก๎ปัญหาที่เกดิ ขึ้นจากการปฏิบัติการสอน ของครหู รือเพอื่ ปรบั ปรุงและพฒั นาการปฏิบตั ิการสอนให๎บรรลุผลตามทต่ี อ๎ งการ โดยครูผู๎สอนเปน็ ผู๎ดาํ เนนิ การวจิ ยั ในชน้ั เรยี นท่ีตนเองปฏบิ ัติการสอนอยูํ การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั ิเกิดขึน้ ตามแนวคิดของ Kurt Lewin นักจติ วิทยาสงั คม ชาวอเมริกันเมื่อประมาณปีค.ศ. 1946 ไดร๎ ับการยอมรับและนําไปใชอ๎ ยําง กวา๎ งขวางในการพัฒนาและปรับปรงุ กาปฏิบตั ิงานในองคก์ รและชุมชนตําง ๆ โดยเฉพาะในวงการศกึ ษาได๎ มีการนาํ การวิจัยเชิงปฏบิ ตั ไิ ปใช๎ไดผ๎ ลเปน็ ที่นาํ พอใจในเรอื่ งของการพัฒนาหลักสตู รท๎องถ่ิน การพัฒนา วิชาชีพครกู ารพฒั นาและเสริมสร๎างคณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงคข์ องนักเรยี นและครู ลกั ษณะสาคัญของการวิจยั ปฏบิ ตั ิการในช้ันเรียน การปฏบิ ัตกิ ารในชน้ั เรียน คือ การวจิ ัยทีม่ ีลกั ษณะดังนี้ (สวุ มิ ล วอํ งวาณชิ , 2547 : 22 อา๎ งถึงใน เทียม จันทร์ พานชิ ผลินไชย) ใคร? = ครูผ๎ูสอนในห๎องเรยี น ทาํ อะไร? = ทําการแสวงหาวธิ ีการแก๎ไขปัญหา ทไ่ี หน? = ที่เกดิ ข้ึนในหอ๎ งเรยี น เมอ่ื ไร? = ในขณะท่ีการเรียนการสอนกําลงั เกิดขึ้น อยํางไร? = ดว๎ ยวธิ ีการวจิ ยั ทม่ี วี งจรการทํางานตอํ เน่ืองและสะท๎อนกลับ การทํางานของ ตนเอง(self-refection) โดยขั้นตอนหลัก คือ การทํางานตามวงจร PAOR (Plan, Act, Observe, Reflect &Revise) เพอ่ื จดุ มุงํ หมายใด? = มีจุดมงุํ หมายเพื่อพัฒนาการเรยี นการสอนให๎เกิดประโยชน์สูงสดุ ตอํ ผ๎ูเรยี น 121
ลักษณะเดํนการวิจยั = เป็นกระบวนการวจิ ัยทที่ ําอยํางรวดเร็ว โดยครูผ๎ูสอนนําวิธีการ แกป๎ ญั หาท่ีตนเองคดิ ข้นึ ไปทดลองใชก๎ ับผ๎ูเรียนทันทแี ละสงั เกตผลการแกป๎ ญั หานน้ั มีการสะทอ๎ นผลและ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพ่อื นครูในโรงเรยี น เปน็ การวิจยั แบบรวํ มมอื (collaborative research) ข้นั ตอนท่วั ไปของการวิจัยเชิงปฏิบตั ิ การวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั ิมีขนั้ ตอนสําคัญ 4 ขัน้ ตอน ได๎แกํ ข้ันวางแผน (plan) ข้ันปฏิบตั ิตามแผน (act) ขั้นสังเกตผล (observe) และข้นั สะท๎อนผล วงจรการปฏิบตั ิการในช้ันเรียน (สวุ มิ ล วอํ งวาณิช, 2550) ความสาคัญและความจาเป็นของการวจิ ัยปฏิบัติการในช้ันเรยี น 1. ใหโ๎ อกาสครใู นการสร๎างองคค์ วามร๎ู ทกั ษะการท าวิจัย การประยุกต์ใช๎ การตระหนักถึง ทางเลือกทเ่ี ปน็ ไปได๎ที่จะเปล่ียนแปลงการเรียนการสอนให๎ดขี ึน้ 2. เปน็ การสร๎างชุมชนแหงํ การเรียนร๎ขู องครู (Community of practice) 3. เป็นประโยชนต์ ํอผป๎ู ฏิบัติโดยตรง เนอื่ งจากชวํ ยพฒั นาตนเองดา๎ นวชิ าชีพ 4. ชํวยทไใหเ๎ กดิ การพฒั นาที่ตอํ เนอ่ื งและเกิดการเปล่ยี นแปลงผํานกระบวนการวจิ ัยในโรงเรยี น ซึง่ เป็นประโยชนต์ ํอองค์การ เนื่องจากนําไปสกํู ารปรับปรงุ เปล่ียนแปลงการปฏบิ ัตแิ ละการแก๎ปัญหา 5. เป็นการวิจัยที่เก่ียวข๎องกับการมีสํวนรํวมของผ๎ูปฏิบัติในการวิจัย ทําให๎เกิดการยอมรับ ในความรข๎ู องผูป๎ ฏบิ ัติ 6. เปน็ การตรวจสอบวิธกี ารท างานของครูท่มี ีประสทิ ธิผล 7. ครมู กี ารเรียนรูจ๎ ากงานของตนและท าใหค๎ รูเป็นผ๎ูน าการเปลย่ี นแปลง ประโยชน์ของการปฏิบัตกิ ารในชนั้ เรียน 1. การวิจยั ปฏิบัตกิ ารในช้ันเรียนเป็นเคร่อื งมือสําคญั ทีช่ วํ ยในการพัฒนาวชิ าชีพครู 2. ผเ๎ู รยี นมกี ารพัฒนาการเรยี นร๎ู และครูมีการพฒั นาการจัดการเรยี นการสอน 3. ทาํ ใหเ๎ กดิ การพฒั นาชุมชนแหํงการเรียนร๎ขู องผูป๎ ฏิบตั ิ(Community of practice) 4. สํงเสริมบรรยากาศของการท างานแบบประชาธปิ ไตยที่ทุกฝุายเกิดการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์และยอมรบั ในการขอ๎ ค๎นพบรํวมกนั 122
ความสอดคล้องของวงจรเชงิ ปฏิบัติการในชั้นเรยี นกบั วงจรพฒั นาคณุ ภาพงาน นงลกั ษณ์ วริ ัชชยั (2545) และ พมิ พันธ์ เดชะคุปต์ (2545) (อา๎ งถึงใน เทียมจนั ทร์ พานิชผลนิ ไชย) ไดก๎ ลําวถึงขั้นตอนของ การวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการในชนั้ เรยี น โดยนําเอาขนั้ ตอนของการวิจัย ปฏบิ ัตกิ าร (Action Research) ไปเปรยี บเทยี บกบั วงจรพัฒนาคณุ ภาพงานพบวาํ มีความสอดคล๎องกนั ดังน้ี PDCA เปน็ วงจรพฒั นาคุณภาพงาน เป็นวงจรพัฒนาพน้ื ฐานหลักของการพัฒนาคณุ ภาพท้งั ระบบ (Total Quality Management : TQM) ผท๎ู คี่ ิดค๎นกระบวนการหรือวงจรพัฒนาคุณภาพ (PDCA) คอื Shewhart นกั วิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน แตํ Deming ได๎เผยแพรํท่ปี ระเทศญ่ีปุนจนประสบผลส าเรจ็ จนผลกั ดันให๎ ญี่ปุนเปน็ ประเทศมหาอํานาจโลก คนทว่ั ไปจึงรจู๎ ักวงจร PDCA จากการเผยแพรขํ อง Deming จงึ เรียกวาํ วงจร(Deming) วงจร PDCA ประกอบด๎วย ขัน้ ตอนดังตํอไปน้ี 1. วางแผน (Plan-P) คอื การทํางานใด ๆ ต๎องมีข้นั การวางแผน เพราะทําใหม๎ ีความ ม่ันใจวาํ ทาํ งานไดส๎ ําเรจ็ เชํน วางแผนการสอน วางแผนการวิจัย หัวขอ๎ ท่ใี ชใ๎ นการวางแผนคอื วางแผนใน หวั ข๎อตอํ ไปน้ี 1) ทาํ ทาํ ไม 2) ทาํ อะไร 3) ใครทาํ ทํากับกลุํมเปาู หมายใด 4) ทําเวลาใด 5) ทําที่ไหน 6) ทําอยํางไร 7) ใช๎งบประมาณเทําไร การวางแผนในชั้นเรียนเป็นการ วางแผนตามคําถามตํอไปน้ี Why, What และ How 2. การปฏิบตั ิ (Do-D) เปน็ ข้นั ตอนการลงมือปฏิบตั ติ ามแผนทว่ี างไว๎ การวจิ ัยในชนั้ เรียน ตามแผนการวิจยั คือ การลงมือเก็บรวบรวมขอ๎ มลู เพื่อตอบปัญหาการวจิ ัยในแผน 3. ตรวจสอบ (Check-C) เป็นขั้นตอนของการประเมินการทํางานวําเป็นไปตามท่ีวางไว๎ หรือไมํมีเ่รื่องอะไร ปฏิบัติได๎ตามแผน มีเร่ืองอะไรท่ีไมํสามารถปฏิบัติได๎ตามหรือปฏิบัติแล๎วไมํได๎ผล การตรวจสอบน้จี ะไดส๎ ิ่งที่สําเร็จตามแผน และสง่ิ ท่ีเป็นข๎อบกพรํองที่ตอ๎ งแก๎ไข 4. การปรับปรุงแก๎ไข (Action-A) เป็นขั้นของการนําข๎อบกพรํองมาวางแผนการ ปฏิบัติการแก๎ไขข๎อบกพรํองแล๎วลงมือแก๎ไข ซ่ึงในขั้นน้ีอาจพบวําประสบความสําเร็จหรืออาจพบวํา มีข๎อบกพรํองอีก ผ๎ูวิจัยหรือผ๎ูทํางานก็ต๎องตรวจสอบเน้ือหาเพ่ือแก๎ไข แล๎วไปแก๎ไขอีกตํอไป งานของการ วิจัยในช้ันเรียนจึงเป็นการทําไปเร่ือย ๆ ไมํมีการหยุดวิจัยไปเร่ือย ๆ เป็นการพัฒนาให๎ดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็น การพฒั นาอยาํ งย่งั ยืน ดังน้นั อาจกลําวได๎วาํ วงจร PDCA ก็เป็นกระบวนการพฒั นางานวจิ ยั ในชน้ั เรยี น หรือการ พัฒนาการเรียนการสอนที่เรมิ่ ทีละข้ัน P-D-C-A และเคล่ือนหมุนไปเร่ือย ๆ โดยในแตลํ ะขั้นหรอื แตํละตัว ของวงจร กจ็ ะตอ๎ งมวี งจรของ PDCA ดว๎ ย ดงั ภาพ 2 123
124
การเผยแพร่ - การเขียนรายงานการวิจยั - การนาํ ไปใช๎และเผยแพรํผลงานวจิ ัย (ดัดแปลงจาก : สาํ นกั นิเทศและพฒั นามาตรฐานการศึกษา สปช. 2544 หนา๎ 13 อ๎าง ถงึ ใน เทียมจันทร์ พานิชผลินไชย) 1. การรู๎จักผ๎ูเรียน เป็นจุดเร่ิมต๎น ของการพัฒนาการเรียนรู๎ด๎วยการวิจัย ประกอบด๎วย การศึกษาข๎อมูลพ้ืนฐานของผู๎เรียน การวิเคราะห์สภาพปัญหาของผู๎เรียนและการเลือกปัญหาท่ีต๎องการ แกไ๎ ขหรือพฒั นา 1.1 การศึกษาข๎อมูลพ้นื ฐานของผเู๎ รยี น เพราะจะท าใหค๎ รูทราบวาํ ผ๎เู รียน แตํละคนมสี ่งิ ท่คี วรแก๎ไขปรบั ปรุงหรือพัฒนาในด๎านในบ๎าง โดยครอู าจจะทราบจาก ระเบียนสะสม แบบบันทกึ พฤตกิ รรม การพดู คุยกบั ครู เพือ่ น หรือผป๎ู กครอง บันทกึ ผล หลงั สอน หรอื การทดสอบ ฯลฯ 1.2 การวเิ คราะหส์ ภาพปญั หา เม่อื ศึกษาข๎อมลู พ้นื ฐานของผ๎ูเรียนแล๎ว ครูอาจ พบปัญหามากมายท้งั ที่เปน็ ปัญหารายบคุ คล เปน็ กลุํม หรือท้งั ช้ันเรยี น การวิเคราะห์ สภาพปัญหาคือการหาสาเหตุของปัญหาทเ่ี กิดขึ้น โดยครอู าจใชว๎ ธิ เี ขียนผงั ความคดิ (Mind Mapping) เพื่อชวํ ยจดั ระบบรวบรวมความคิดของครใู หเ๎ ห็นสภาพของปัญหาท่ี ชดั เจนยง่ิ ข้นึ ดงั ตัวอยําง 125
1.3 การเลือกและสํารวจปญั หาท่ตี ๎องการแก๎ไขหรือพฒั นา ในข้ันน้คี รตู อ๎ ง ตัดสนิ ใจเลือกปัญหาทตี่ ๎องการแกไ๎ ขปญั หาพัฒนา จัดลาํ ดับความจําเปน็ และความสําคญั ของปญั หา โดยพจิ ารณาจากความรุนแรงของปญั หาวาํ ปัญหาใดควรได๎รับการแก๎ไขหรือ พัฒนากํอน เปน็ ปญั หาที่ชัดเจน มีขอ๎ มลู หลกั ฐานชชี้ ัดวาํ จําเป็นต๎องหาคาํ ตอบท่ีจะเกดิ ประโยชนต์ ํอการนําไปพฒั นาผเ๎ู รยี น 2. การออกแบบการเรยี นร๎/ู การออกแบบการวิจยั ประกอบด๎วย การกาํ หนดเปาู หมายใน การพฒั นาการเรียนรู๎ การสาํ รวจและเลอื กนวตั กรรมทส่ี อดคล๎องกับปญั หาที่ต๎องการแก๎ไข การสร๎างและ พัฒนาวิธีการหรือนวัตกรรม และการจัดทาํ แผนการเรยี นร๎ู 2.1 การกําหนดเปูาหมายในการพฒั นาการเรยี นร๎ู เปน็ การกําหนดเปูาหมาย ของการพฒั นาท่ีต๎องการหรือกําหนดสภาวะท่ีเรียกวาํ พฒั นาแลว๎ ใหช๎ ัดเจน 2.2 การสํารวจและเลอื กนวตั กรรม เพือ่ ทีจ่ ะใหไ๎ ด๎แนวทางในการแก๎ปัญหา ใน ขั้นน้ี ครตู อ๎ งศึกษาเอกสารทีเ่ ก่ียวขอ๎ ง เชนํ วารสาร บทความ หลกั สตู ร ผลงานวิจยั หนงั สือ ตํารา คํมู อื แนวคิดทฤษฎีตาํ ง ๆ ตลอดจนประสบการณข์ องครูเอง ทําใหค๎ รทู ราบวาํ ปัญหาท่คี ลา๎ ย กับปญั หาของเราเองมีผ๎ูใดศกึ ษาไวบ๎ า๎ ง ใช๎วิธใี ดในการแก๎ปัญหา ผลการแก๎ปัญหาเปน็ อยํางไร จะทาํ ใหค๎ รเู หน็ แนวทางในการแก๎ปัญหาไดช๎ ดั เจนข้ึน เชนํ บทเรียนสาํ เรจ็ รปู ชดุ การสอน ชุด กจิ กรรม คํมู อื การสอน บทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ํวยสอน (CAI) การเรยี นแบบรวํ มมือ การเรยี น แบบ jigsaw การเรียนแบบ CIPPA การเรยี นแบบ e- learning เปน็ ตน๎ 2.3 การสร๎างและพัฒนาวธิ ีการหรือนวัตกรรม หลงั จากครูจะได๎ทางเลอื กในการ แก๎ปญั หาหรือพัฒนา ซ่ึงอาจเป็นวธิ กี ารหรอื นวัตกรรมท่ีเป็นไปได๎ ในขน้ั นค้ี รตู ๎องกาํ หนด วธิ กี ารหรือสร๎างนวัตกรรมท่ีใช๎ในการแกป๎ ญั หาหรือพัฒนา แล๎วดําเนินการหาคุณภาพ ของวิธีการหรือนวัตกรรม นําไปใหเ๎ พ่ือนครู ศึกษานิเทศกห์ รือ นักวิชาการทเ่ี กย่ี วขอ๎ งกับ เรอื่ งท่ีศกึ ษา ให๎ความคิดเห็น พจิ ารณาความเหมาะสมเพอ่ื นําข๎อคดิ เห็นท่ีได๎มาปรับปรงุ แกไ๎ ขเตรียมนาํ ไปใช๎แก๎ปญั หาหรือพัฒนาตํอไป 2.4 การจัดทาํ แผนจัดการเรียนรู๎ ครูจะตอ๎ งมีการวางแผนและเขยี นแผนการ เรียนรู๎ท่ีสอดคล๎องกับปัญหาและนวตั กรรม สิ่งทค่ี รูควรคํานึงในการเขียนแผนการเรยี นรู๎ 3. การจดั กระบวนการเรียนรู๎เปน็ การจัดกจิ กรรมตามแผนการจัดการเรยี นรู๎ โดยครู นาํ เอานวตั กรรมทไ่ี ด๎สร๎างหรอื พัฒนาขึน้ มาสูกํ ารปฏบิ ัติการ เกบ็ รวบรวมขอ๎ มูลไปดว๎ ยหรอื เกบ็ หลังจากจัด กิจกรรม ซงึ่ ขอ๎ มลู ทีเ่ กี่ยวข๎องกับการเรยี นการสอน อาจจัดเป็น 4 กลมํุ ใหญํๆ คือ 1) ความรค๎ู วามสามารถได๎แกํ ขอ๎ มูลด๎านความรู๎ ความคิด และข๎อมูลด๎านทักษะ การปฏิบตั ิงาน และผลงาน 2) ความรู๎สึก ไดแ๎ กํ ความคดิ เห็น อารมณ์ เจตคติ บุคลกิ ภาพและคํานิยม 126
3) พฤตกิ รรม ไดแ๎ กํ พฤติกรรมขณะเรยี น นสิ ยั ในการเรยี น พฤติกรรมการ ทาํ งาน และกจิ นิสัยในการทาํ งาน 4) ปฏสิ มั พนั ธ์ในชั้นเรยี น ได๎แกํ ปฏิสมั พันธ์ระหวาํ งผเู๎ รยี นกับผ๎เู รยี น และ ปฏิสมั พนั ธ์ระหวํางครกู ับผเ๎ู รยี น ในการเกบ็ รวมรวมผลการใชน๎ วัตกรรมน้ัน นอกจากจะเก็บรวมรวมผลในขน้ั ตอนสุดท๎าย หลังจากใชน๎ วตั กรรมจบส้นิ ลงแลว๎ ครูควรจะเกบ็ ข๎อมูลในระหวาํ งการใชน๎ วัตกรรมด๎วย ข๎อมูลนคี้ วรจะเป็น ขอ๎ มลู ด๎านพฤติกรรมของผ๎ูเรยี น ซ่งึ ไดจ๎ ากการสังเกตในขณะท่คี รูนาํ นวตั กรรมท่ีพัฒนาขึ้นมาใชก๎ บั ผ๎ูเรียน โดยครูควรทาํ การบันทึกผลระหวาํ งหรอื หลังการเรยี นการสอนในแตํละครง้ั เชนํ ผเู๎ รยี นแสดงความสนใจใน การเรยี น ผเ๎ู รียนแสดงความกระตอื รือร๎นในการเรยี น หรือ ผ๎ูเรยี นแสดงสีหนา๎ เบ่ือหนําย ไมชํ อบ เป็นต๎น ในการบันทึกผลระหวาํ งหรอื หลังจากเรียนรใ๎ู นแตลํ ะครงั้ จะท าให๎ครูไดข๎ ๎อมลู มาพจิ ารณาประกอบ การ ตดั สนิ ใจ แก๎ไข ปรับปรุง หรือพฒั นานวตั กรรมนน้ั เพ่ือพัฒนาการเรยี นร๎ู มีคุณคํา และเปน็ ประโยชนต์ อํ ผู๎เรียนอยาํ งแท๎จรงิ 127
4. การไตรํตรองและปรับปรุง เป็นการนําเอาข๎อมูลที่รวบรวมได๎มาวิเคราะห์เพื่อจะได๎ ทราบวําครูสามารถแก๎ไขปัญหา/พัฒนาการเรียนได๎ตามเปูาหมายท่ีวางไว๎หรือไมํ เพียงใด ซ่ึงข๎อมูลท่ี เก่ยี วกับการเรยี นการสอนอาจจดั เปน็ 2 ประเภทใหญํ ๆ คือ ข๎อมูลเชิงปริมาณและข๎อมลู เชิงคณุ ภาพ การวเิ คราะห์ข้อมลู เชงิ ปริมาณ การวิเคราะห์ขอ๎ มูลเชงิ ปรมิ าณในการวจิ ยั ในชัน้ เรยี นน้ัน การวิเคราะห์ขอ๎ มูลทไ่ี ดน๎ ้ี จะต๎องสอดคล๎อง กบั จดุ ประสงค์ หรือ จุดมุงํ หมายของคาํ ถามวิจัย ซงึ่ การวิจัยในชั้นเรยี น สํวนใหญจํ ะมี จดุ ประสงค์ของการวจิ ยั ทต่ี ๎องการคาํ ตอบในลักษณะตํอไปนี้ คือ 1. เพื่อการบรรยายข๎อมลู เบ้อื งตน๎ 2. เพ่ือเปรยี บเทยี บความแตกตาํ ง 3. เพื่อหาความสมั พนั ธ์ ดังน้ันเมื่อครูเก็บรวบรวมข๎อมูลได๎แล๎ว ครูจะต๎องดําเนินการกับข๎อมูลในเบ้ืองต๎นกํอน เชํน จัดกลํุมข๎อมูล ลดทอนข๎อมูล และสรุปข๎อมูล ด๎วยวิธีการตําง ๆ จากน้ันจึงทําการวิเคราะห์ โดย เลือกใช๎คําสถิติที่เหมาะสมกับลักษณะของข๎อมูลน้ัน ๆ ซึ่งการวิจัยในช้ันเรียนนี้ครูยังไมํจําเป็นต๎องใช๎ คาํ สถติ ิท่ีซับซ๎อน เพราะคําสถิติทใ่ี ชใ๎ น การวิจัยในชั้นเรียนนั้น ควรจะใช๎ในการสรุป และให๎ความหมายตํอ ข๎อมูล โดยมุํงเน๎นให๎ครูได๎ นําไปใช๎ในการพัฒนา การเรียนการสอนของครูได๎โดยตรงคําสถิติท่ีครูสามารถ นาํ มาใช๎ในการวเิ คราะห์ให๎เหมาะสมกับชนิดของข๎อมูลและจุดประสงค์ของการวิเคราะห์แสดงได๎ดังตาราง ตอํ ไปน้ี 128
การวิเคราะห์ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพ โดยธรรมชาติลกั ษณะของขอ๎ มลู เชิงคุณภาพทวี่ ิเคราะห์แล๎ว จะอยใูํ นลกั ษณะคําบรรยาย จากข๎อมูลที่ครรู วบรวมมาในรูปของคําบอกเลํา การสมั ภาษณ์ บนั ทึกจากการสงั เกตของครู หรือบนั ทึก ของผเู๎ รยี น เปน็ ตน๎ การใชข๎ ๎อมูลเชงิ คณุ ภาพเปน็ ขอ๎ มลู ประกอบในงานวิจยั ของครู โดยปกตจิ ะเปน็ การนาํ าข๎อมูลที่ครูเก็บรวบรวมได๎มาใชเ๎ สรมิ และยืนยันข๎อมลู การวเิ คราะห์ขอ๎ มลู กระทําได๎ไมยํ ํุงยาก ซับซอ๎ นมากนกั ทงั้ นี้ครูอาจจะเลือกข๎อมูล ในสํวนที่เก่ยี วข๎องมาบรรยาย ซ่ึงอาจจะใช๎คาํ พดู (quotes) ของผ๎เู รยี น หรือผู๎ให๎ข๎อมลู จากแหลํงข๎อมูลอืน่ ๆ มาเสรมิ การบรรยายผลการวจิ ยั ของครูเพิม่ เติม การนาํ เสนอและการแปลผลการวเิ คราะหข์ ๎อมูล คือการนําผลการวิเคราะห์ข๎อมูลทไี่ ด๎มานําเสนอใน รปู แบบท่ีทาํ ให๎เขา๎ ใจงําย เชํน นาํ เสนอในรปู ของการบรรยายความเป็นร๎อยแกว๎ ธรรมดาหรือนาํ เสนอในรูป ของตาราง ถ๎าหากข๎อมลู นนั้ มีตัวเลขมากหรอื นําเสนอในรูปแบบของแผนภูมแิ ทํง วงกลม หรือเสน๎ ตรง จะเลอื กใช๎แบบไหนก็ข้นึ อยูกํ ับข๎อมูลนน้ั ๆ 5. การเผยแพร่ผลงาน รูปแบบการรายงานผลการวิจัยเพอ่ื น าเสนอผลการพฒั นามี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบการ รายงานผลการวิจัยอยาํ งไมํเป็นทางการ และรูปแบบการรายงานผลการวิจัยอยํางเป็นทางการ 5.1 การรายงานผลการวจิ ัยอยา่ งไม่เป็นทางการ การเขียนรายงานแบบไมเํ ป็นทางการมกั จะน าเสนออยํางสั้น ๆ แตํมี สาระสาํ คญั แสดงถึงความเป็นเหตุเป็นผลของกระบวนการวิจยั ให๎ผอ๎ู าํ นเขา๎ ใจถงึ ส่ิงท่ีครศู ึกษา และสิ่งที่ คน๎ พบ โดยอาจจะนาํ เสนอเป็นความเรยี งหรือกาํ หนดประเดน็ การเขยี น และควรแสดงถึงหลักฐานเกยี่ วกบั กระบวนการดําเนนิ งานและผลการศกึ ษาประกอบ เพื่อยืนยันข๎อสรุปตาํ ง ๆ ท่ีไดจ๎ ากการวิจัย ดังน้ี - เสนอให๎เหน็ วาํ ปญั หาทต่ี ๎องการแก๎ไขคืออะไรหรือคณุ ภาพที่ต๎องการเพม่ิ พูนคืออะไร - สาํ คัญเพียงใด - แนวทางที่คาดวาํ จะไดผ๎ ลดีหรอื นวัตกรรมคืออะไร - ทาํ ไมจึงคิดวาํ จะไดผ๎ ลดี - ลงมอื ปฏิบัตจิ ริงเมื่อไร กบั เดก็ กลมํุ ใด - ปฏบิ ัติไดอ๎ ยํางไรบ๎าง - มีอะไรเกิดข้นึ ในระหวาํ งการปฏิบัติจริงบา๎ ง ดีหรอื ไมดํ อี ยํางไร - เมอ่ื ปฏบิ ตั สิ ้ินสดุ แล๎ว ผลปลายทางทเ่ี กิดขึ้นคอื อะไร เป็นจ านวนเทาํ ใด มีคุณภาพ อยํางไร ตรงกบั ท่ีคาดหวังไว๎มากเพียงใด - ครูรส๎ู กึ อยํางไรตํอผลงาน คิดวาํ นําจะปรับปรุงเพ่ิมเติมอยํางไรอีก 129
5.2 การเขียนรายงานการวจิ ัยแบบเปน็ ทางการ รูปแบบการรายงานการวิจยั แบบเป็นทางการนี้ มโี ครงสร๎างของเน้ือหาสาระที่นําเสนอ ในลักษณะของการวิจัยเชิงวิชาการทสี่ ํวนใหญมํ ักมีการนาํ เสนอท่ีมีรปู แบบตายตัว ดังตวั อยํางรายงานวิจัย แบบเปน็ ทางการมีลักษณะเหมือนรายงานวจิ ัยเชิงวชิ าการทัว่ ๆ ไปทใ่ี ชก๎ นั ในหมํูนักวิจัย มักนําเสนอในรปู 5 บท คอื บทที่ 1 บทนํา - ความเปน็ มาและความสําคัญของปัญหาวิจัย - วตั ถุประสงคก์ ารวิจัย - ขอบเขตการวจิ ยั - กลมุํ ประชากร/กลุํมตัวอยาํ ง - เนื้อหา - ตัวแปร - ระยะเวลา - ประโยชนท์ ไ่ี ด๎รบั จากการวิจัย บทท่ี 2 เอกสารท่เี กย่ี วขอ๎ งกับการวจิ ัย - แนวคดิ ทฤษฎีทเี่ ก่ยี วขอ๎ ง - กรอบแนวคิดในการวิจยั บทท่ี 3 วิธดี าํ เนนิ การวิจยั - รปู แบบการวิจัย - ขนั้ ตอนการดําเนินการ - เครื่องมือการวิจัย - การเกบ็ รวบรวมข๎อมลู - วิธีวเิ คราะห์ข๎อมลู บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข๎อมูล บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข๎อเสนอแนะ - สรปุ ผลการวจิ ยั - อภปิ รายผลการวจิ ัย - ขอ๎ เสนอแนะ - บรรณานุกรม - ภาคผนวก 130
สรปุ การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั เิ ปน็ การวจิ ยั ทีเ่ หมาะสมกับการพัฒนาการเรียนการสอนของครู หรือพฒั นาผู๎เรยี นในทุกระดับ ครผู สู๎ อนสามารถดําเนินการวิจัยไดพ๎ ร๎อมๆ กบั การปฏิบตั ิหนา๎ ท่ใี นชั้นเรยี น ไมํต๎องใชเ๎ งินงบประมาณมากมาย ไมํต๎องเสียเวลามากนัก แตํประโยชนท์ ่ีได๎คม๎ุ คํา เป็นการพัฒนาครูไปสํู ครูวชิ าชพี ช้นั สูงอยาํ งแทจ๎ รงิ การวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารในชน้ั เรียนกค็ อื การแกป๎ ัญหาและปรบั ปรงุ พัฒนาการ เรียนการสอนในชั้นเรียนนั่นเอง และมีความยืดหยุํนสูงมากนช้ันเรียนนัน่ เอง และมีความยืดหยํนุ สูงมาก คาถามและกิจกรรมประจาบท 1. การจดั ทําแผนการสอนมีความสําคัญและจําเป็นหรอื ไมํอยํางไรตํอการจดั การเรียนการ สอน 2. การผลติ เลอื กใชส๎ อ่ื การเรียนการสอนมีความสําคัญกบั การเรียนการสอนหรอื ไมํอยํางไร 3. แบํงกลํมุ ทําพจิ ารณาประเด็นปัญหาการเรยี นการสอน และทาํ การศึกษาตาม กระบวนการวิจยั เพ่ือแกป๎ ญั หาผเู๎ รยี น เอกสารอา้ งอิง กิดานันท มลิทอง. (2543). เทคโนโลยกี ารศกึ ษาและนวัตกรรม. พิมพครัง้ ที่ 2 ปรับปรงุ . กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลัย จิตนุวฒั น สนุ ทรนนท. (2545). สภาพ ปญหา และความตองการการใชสอื่ การสอนของผูสอนใน มหาวิทยาลยั กรงุ เทพ วทิ ยาเขตรงั สติ . กรงุ เทพมหานคร: วิทยานิพนธปริญญาโทมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร. จริยา เหนียนเฉลย. (2546). เทคโนโลยีการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: ศนู ยส่ือเสริมกรงุ เทพ. นองนชุ บญุ ชนื่ . (2546). สภาพ ปญหา และความตองการใชสื่อการเรยี นรูของครูในโรงเรียนนํารอง การใชหลกั สตู รการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกดั กรมสามญั ศึกษา. วิทยานิพนธปริญญาศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร. พชร แกวดี. (2550). การศึกษาสภาพปจจุบนั การใชสอ่ื การเรียนรูของครูผูสอนในสถาบันการ อาชีวศกึ ษา จงั หวัดยโสธร. วทิ ยานิพนธปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาเทคโนโลยี การศกึ ษาบัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน. รจุ ริ ์ ภํสู าระ. (2545). การเขียนแผนการเรียนร.๎ู กรุงเทพฯ: บ๏ุค พอยท.์ ทิวัตถ์ มณีโชต.ิ การวดั และประเมินผลการเรยี นร้ตู ามหลกั สูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พมิ พศ์ นู ย์สํงเสริมวิชาการ. 2549 พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์. (2544). วิจัยในชนั้ เรยี น:หลกั การสู่ปฎิบตั ิ. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท เดอะมาสเตอร์กรป๏ุ เเมเนจเม๎นท์ จํากัด 131
ลกั ษณะอยํางไรจะเปน็ แผนการจดั การเรียนรู๎ทีด่ ี สบื คน๎ เม่ือ 6 กันยายน 2560 จาก : https://goo.gl/9Hgf49 การเขียนแผนการสอน คือภารกจิ ของครู สืบค๎นเมื่อ 6 กันยายน 2560 จาก : http://202.29.87.101/artilces/PlanBU_Khean.asp วรกติ วัดเขาหลาม. (2 5 3 0) . ก า รผ ลิ ต แล ะกา ร ใช วั ส ดกุ า รส อ น. ค ณะ ศึ กษ า ศา สต ร มหาวทิ ยาลัยขอนแกน. สุวิมล วองวานชิ .(2550). การวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชั,นเรยี น = Classroom action research. พมิ พ์คร้ังที่ 10. กรงุ เทพฯ : สํานักพมิ พ์แหํงจุฬาลงกรมหาวทิ ยาลยั . Brown, J.W., D.K. Norberg and K.S. Srygley.(1973). Adminidtering Education Media: Instruction Technology and Library Services. New York: McGraw-Hill Book Dale, Edgar. (1969). Audio-Visual Methods in Teaching. 3 Ed. New York: The Dryden Press Holt, Rineheart and Winston. Inc. Ger;ach, V.S. And D.P. Ely. (1980). Teaching and Media: A Systematic Approach. New Jersey: Prentice-Hal Inc. Gudmundsson, Reynir. (1985). Media Education in the city of Reykjavik, Iceland. Dissertation Abstracts International. 46 (5): 1256-A Heinich, Robert and others. (1985).Instructional Media and the New Technologies instruction. New York: John Wiley&Son. L, Shores. (1960). Instructional Meterials: An instruction for Teacher. New York: The Ronald Press Company. 132
บทท่ี 5 วธิ ีการสอน และเทคนคิ การสอนต่างๆ หัวเรอ่ื ง 1. วิธีการและเทคนิคการสอนตาํ งๆ วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ให๎ผ๎เู รียนมีความร๎ูความเข๎าใจและวเิ คราะห์องคค์ วามรู๎ที่เรยี นได๎ 2. เพือ่ ใหผ๎ ๎ูเรยี นสามารถใช๎วธิ กี ารสอนและเทคนคิ การสอนเพ่ือการเรียนการสอนไดอ๎ ยํางมี ประสิทธิภาพ กจิ กรรมระหว่างเรยี น ผ๎ูสอนใชว๎ ิธกี ารสอนแบบผสมผสาน เพือ่ ให๎ผ๎เู รยี นเกดิ การเรยี นร๎ู ทกั ษะและการคดิ วิเคราะห์ ดงั นี้ 1. บรรยาย อภิปราย ซกั ถาม กระต๎นุ ใหเ๎ กดิ การแลกเปลี่ยนเรียนร๎ูเกี่ยวกับประสบการณ์ในเรื่อง ท่สี อนระหวํางผู๎สอนกับผูเ๎ รียนและระหวํางผเู๎ รียนเอง 2. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและเอกสารท้ังในลักษณะรูปเลํมและข๎อความรู๎จาก อินเทอร์เน็ต 3. ทาํ การศกึ ษาจากกรณีศกึ ษาทั้งในรปู แบบเอกสารและวิดโี อ 4. การทํางานกลุํมเพ่ือวิเคราะห์กรณีศึกษาและค๎นคว๎าความร๎ู นําเสนอในรูปแบบรายงาน ลักษณะเอกสารรูปเลํมรายงานและการนําเสนอในชั้นเรียน เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ ระหวํางผ๎ูเรียนในชั้นเรียน รวมถึงการจัดทําคลิปวิดีโอนําเสนอในสาระที่เก่ียวข๎องกับหัวข๎อ การเรยี น 5. การลงมือปฏิบัติการทดลองสอนในช้ันเรียนและการสอนในสถานการณ์จริง (การฝึกปฏิบัติ ในสถานศกึ ษา) 6. ผเ๎ู รยี นและผูส๎ อนรํวมสรุปประเดน็ การเรยี นรู๎ สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน หนงั สอื ตาํ รา งานวิจัยที่เกีย่ วข๎อง 2. สือ่ ดิจิทลั จากอนิ เทอร์เน็ตและสไลด์นาํ เสนอ การประเมนิ ผล 1. การสํวนรํวมกบั กิจกรรมในชั้นเรยี นของผูเ๎ รียน ความสามารถในการวิเคราะหป์ ระเด็นท่ีศกึ ษา 2. จากรายงานการค๎นควา๎ ตามประเดน็ ของเน้ือหา 3. ผลการสอบของรายวิชา 133
วธิ กี ารสอน และเทคนคิ การสอนตา่ งๆ 5.1 การบรรยาย วธิ ีสอนโดยใช้การบรรยาย (Lecture Method) แมว๎ าํ การสอนโดยใช๎บรรยายจะไมํได๎เนน๎ ผ๎เู รียนเป็นศนู ยก์ ลาง แตํกน็ บั วาํ เป็นวธิ ีการหน่ึงที่ มคี วามสําคญั ตํอผูเ๎ รียนมากเชํนกนั เพราะเป็นการสอนท่ที ําให๎ผู๎เรียนไดม๎ คี วามเขา๎ ใจในการเรยี น โดย ผส๎ู อนจะต๎องมีการบอก เลาํ อธิบายเน้ือหาในการเรียนการสอนอยํางละเอยี ด และผู๎เรียนจะตอ๎ งจดจาํ และเกบ็ รายละเอยี ดทง้ั หมดใหไ๎ ด๎ จงึ เป็นการฝึกใหผ๎ ูเ๎ รียนได๎ใชก๎ ระบวนการฟงั การคิด วางแผน เพื่อ บันทกึ และจดจาํ เนอ้ื หาในบทเรยี นใหไ๎ ดม๎ ากท่สี ุด ในบทนก้ี ลาํ วถงึ ความหมาย ลกั ษณะสาํ คญั จุดมงํุ หมาย องค์ประกอบ ขั้นตอนการสอน เทคนิค และข๎อดแี ละข๎อจํากัดของการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย พรอ๎ มด๎วยการสรปุ ใจความสาํ คัญท้ังหมด และกจิ กรรมและคาํ ถามทา๎ ยบทอีกด๎วย วธิ ีการสอนโดยการบรรยายนับวาํ เป็นวิธกี ารสอนทผี่ ูส๎ อนได๎ใชก๎ ันมาเป็นเวลานานแลว๎ ซ่งึ กน็ ับวาํ เป็นวธิ กี ารสอนท่ีดีมปี ระสิทธภิ าพ ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ของคาํ วํา “บรรยาย” หมายถึง ชแ้ี จงหรอื อธบิ ายเรื่องให๎ฟัง สําหรบั ความหมายของวธิ สี อนโดยใช๎ การบรรยาย ได๎มีนักวชิ าการใหค๎ วามหมายไว๎คล๎ายคลงึ กนั ดงั นี้ ทศิ นา แขมมณี (2550 : 327) กลาํ ววาํ วธิ ีสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย คือกระบวนการที่ ผส๎ู อนใช๎ในการชํวยใหผ๎ ๎เู รียนเกดิ การเรยี นร๎ูตามวัตถุประสงคท์ ่ีกําหนด โดยการเตรยี มเนื้อหาสาระ แลว๎ บรรยายคือ พูด บอก เลํา อธิบาย เนอ้ื หาสาระหรือส่งิ ท่ตี ๎องการสอนแกผํ เ๎ู รียน และประเมินผลการเรยี นรู๎ ของผู๎เรยี นด๎วยวิธีใดวิธหี น่ึง อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2550 : 138) กลาํ ววาํ วธิ ีสอนแบบบรรยาย หมายถงึ วธิ สี อนท่ีผูส๎ อน พดู บอกเลํา อธบิ าย เน้ือหาหรอื เร่ืองราวตําง ๆ ให๎แกผํ เ๎ู รียน โดยทผี่ ู๎สอนเป็นฝุายเตรยี มการศึกษาคน๎ ควา๎ เนอ้ื เร่ืองมาแลว๎ เปน็ อยํางดี ผู๎เรียนเป็นฝาุ ยมารับผลการศึกษาคน๎ คว๎าน้ัน โดยทว่ั ไปมกั จะเปน็ การสือ่ ความหมายทางเดยี ว คือ จากผสู๎ อนไปสํผู เ๎ู รียนโดยผูเ๎ รียนจะมสี วํ นรวํ มในกจิ กรรมการเรียนการสอนน๎อย เพยี งแตํฟงั จดบนั ทกึ หรอื ซักถามบางคร้งั วิธสี อนแบบน้จี ะยึดบทบาทของผ๎ูสอนเปน็ หลกั สําคญั จากความหมายท่นี ักวิชาการได๎อธบิ ายมา สรุปได๎วาํ การสอนแบบบรรยาย หมายถึง วิธกี าร สอนท่ผี ๎สู อนเป็นฝาุ ยบอกเลาํ อธิบาย หรือถํายทอดความรใ๎ู ห๎กบั ผู๎เรียนในรปู ของคําพดู โดยผ๎สู อนจะเป็นผ๎ู คน๎ คว๎าหาความร๎ูมาเพื่ออธบิ ายให๎ผูเ๎ รยี นฟงั โดยเฉพาะ ผู๎เรียนจงึ เป็นฝุายทจ่ี ะได๎รับข๎อมลู จากเนอ้ื หาใน บทเรียนเพยี งอยํางเดียว โดยผู๎เรยี นจะต๎องใชก๎ ารฟัง การวิเคราะห์ การจดจําเน้ือหาสาระ หรือจดบันทกึ จากสิ่งท่ผี ส๎ู อนได๎อธิบายไว๎ ทําให๎ผู๎เรียนไมมํ ีโอกาสศึกษาค๎นคว๎าเปน็ เพยี งผ๎รู ับ วิธกี ารสอนนจี้ ึงเนน๎ ผ๎ูสอน เปน็ สําคัญ 134
ลกั ษณะสาคญั ของวิธีสอนโดยใชก้ ารบรรยาย วธิ สี อนโดยใช๎การบรรยายมลี กั ษณะสําคัญคือ ผสู๎ อนพดู อธบิ ายใหผ๎ ู๎เรียนฟงั ซึ่งนักวิชาการ ไดอ๎ ธบิ ายเพิม่ เติมเก่ยี วกบั วิธีสอนน้ไี ว๎อยํางนาํ สนใจ ดังน้ี สริ วิ รรณ ศรพี หล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 56) กลาํ วถงึ คุณสมบัตเิ บ้ืองต๎นของการสอน แบบบรรยาย ไว๎ดงั นี้ 1. เปน็ การสอนทเี่ ปน็ การส่ือความหมายทางเดียว กลําวคือ ผ๎ูสอนเปน็ ฝาุ ยให๎ความร๎ูแกํผ๎ูเรียน โดยมีผู๎เรยี นเป็นฝุายรบั คือ ฟัง และอาจจดบันทกึ สาระสาํ คัญของเน้ือหาที่ครบู อกหรืออธิบายน้นั ตามไป ด๎วย 2. เปน็ การสอนที่ใหค๎ รเู ป็นศนู ย์กลางการเรียนการสอน ผูส๎ อนจะมพี ฤติกรรมในระหวาํ งการ เรยี นการสอนมากกวําผูเ๎ รียน บญุ ชม ศรีสะอาด (2541 : 50-51) อธิบายถึงการสอนแบบบรรยายวาํ เปน็ วิธีสอนทีเ่ กําแกํท่ีสดุ โดยมลี ักษณะสําคญั ดังนี้ 1. ผสู๎ อนเปน็ ผ๎ูถาํ ยทอดความร๎แู กผํ เู๎ รียนในรูปของการบอก เลาํ หรอื อธบิ าย 2. ผูเ๎ รียนเป็นฝาุ ยฟังอาจจดบันทึกสาระสําคัญ ถ๎าเป็นการสอนแบบบรรยายล๎วนใน ระหวํางการบรรยายผเ๎ู รยี นจะไมํมีโอกาสถามคาํ ถามหรือวพิ ากษว์ จิ ารณ์ 3. มงุํ ถํายทอดความรู๎ (Didactic or Instructional) และ/หรอื มงํุ ใหเ๎ รา๎ ใจ (Inspirational) วไลพร คโุ ณทยั (2530 : 19) กลําววํา การบรรยายของผู๎สอนเป็นลักษณะของการให๎ความรู๎ ความจาํ ซึ่งถ๎าผ๎ูเรยี นมคี วามสนใจในสิง่ ท่ผี ส๎ู อนสอนให๎ การสอนและการเรยี นก็จะตรงตามวตั ถุประสงคท์ ่ี วางไว๎ ถ๎าผ๎เู รยี นขาดความสนใจ การสอนในลกั ษณะนีก้ ็จะไมทํ าํ ให๎ผ๎เู รยี นเกดิ การเรียนรู๎ เพราะผ๎ูเรียนไมํ เกดิ การรบั รท๎ู ี่จะนําไปปฏิบตั ใิ ห๎มกี ารเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมได๎ สรุปไดว๎ ํา ลักษณะสาํ คญั ของวธิ สี อนโดยใช๎การบรรยาย ได๎แกํ การท่ีผ๎ูสอนถํายทอดความรู๎ แกผํ ๎ูเรียนโดยการ พูด อธิบาย บอก เลาํ ให๎ผเ๎ู รียนได๎ฟงั และอาจจดบนั ทึกสาระสําคญั ไว๎สาํ หรับการ ทบทวนความร๎ู อยํางไรกต็ าม ผู๎เขยี นมีความคดิ เหน็ วาํ การบรรยายเพียงอยํางเดยี ว ไมํสามารถทําให๎ ผเู๎ รียนตน่ื ตัวหรือกระตือรือร๎นในการเรยี นรู๎ได๎ ดังนน้ั วิธสี อนโดยใชก๎ ารบรรยายต๎องมวี ธิ ีการสอนแบบอืน่ ๆ เข๎าไปผสมผสานด๎วย หรอื อยํางนอ๎ ยทส่ี ดุ ต๎องมสี ่อื ประกอบ ซ่งึ อาจเปน็ การนําเสนอโดยใช๎โปรแกรม คอมพิวเตอร์ มวี ีดที ัศน์ ภาพน่ิง สไลด์ ส่ือของจริงประกอบ กจ็ ะทาํ ให๎การบรรยายนําสนใจขน้ึ อยํางมาก นอกจากน้ีการมีอารมณ์ขันของผ๎สู อน และการถามคําถามจะชวํ ยใหผ๎ ๎เู รียนสนุกกบั การเรียน แลว๎ ไดฝ๎ ึก การคิดวิเคราะห์ ซ่ึงเป็นทักษะที่สําคัญย่ิงในการเรยี นร๎ูของนักเรยี น รายละเอยี ดของส่ิงตํางๆ ทกี่ ลาํ วมา จะได๎ศกึ ษารายละเอียดในบทนี้ 135
จุดมํุงหมายของวิธีสอนโดยใช๎การบรรยาย วธิ ีสอนใดๆ กม็ จี ุดมุํงหมายเพ่ือใหผ๎ ๎เู รยี นเกิดการเรยี นร๎ูตามวัตถปุ ระสงคข์ องบทเรยี นตามที่ กาํ หนดไว๎ นกั วชิ าการได๎อธบิ ายเพ่ิมเติมถึงจดุ มงํุ หมายเฉพาะของวิธีสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย ดังน้ี ทศิ นา แขมมณี (2550 : 327) อธบิ ายถงึ จดุ มุงํ หมายของวธิ สี อนโดยใช๎การบรรยายวํา เป็น วิธกี ารท่ีมุํงชํวยให๎ผ๎เู รยี นจาํ นวนมากไดเ๎ รยี นร๎ูเน้ือหาสาระหรอื ข๎อความรู๎จํานวนมากพร๎อม ๆ กันไดใ๎ นเวลา ทจ่ี าํ กัด อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 138) กลําวถงึ ความมํุงหมายของการสอนโดยใช๎การบรรยายไวด๎ ังนี้ 1. เพือ่ ให๎ความรู๎หรือประสบการณใ์ หมํแกผํ ๎ูเรียน เป็นความร๎ทู ค่ี น๎ ควา๎ หาได๎ยาก หรือเป็น ประสบการณ์เฉพาะของผสู๎ อนเอง 2. เพือ่ ชวํ ยนําทางในการอํานหนังสอื ของผ๎เู รียน และชํวยสรุปประเด็นสําคัญในกรณีทผ่ี สู๎ อน มอบหมายให๎ไปอาํ นมาลวํ งหนา๎ แล๎ว 3. เพอ่ื มุงํ ถาํ ยทอดความรูใ๎ ห๎ผูเ๎ รียนได๎อยํางเต็มเม็ดเตม็ หนวํ ยในเวลาอันจํากัด จากจุดมงุํ หมายทงั้ หมดที่นักวิชาการได๎กลาํ วมา สรุปได๎วาํ การสอนโดยใช๎การบรรยายมี จุดมํงุ หมายสาํ คัญ คอื 1. มงุํ ชํวยให๎ผเ๎ู รยี นจํานวนมากไดเ๎ รยี นรู๎ในเวลาที่จาํ กดั 2. เพือ่ ให๎ความรู๎หรือประสบการณใ์ หมํแกผํ เู๎ รียน เปน็ ความรท๎ู ค่ี น๎ ควา๎ หาได๎ยาก หรือเป็น ประสบการณ์เฉพาะของผ๎ูสอนเอง 3. เพ่อื ให๎ผ๎เู รยี นได๎มคี วามรไ๎ู ปในทิศทางเดียวกันและได๎เนื้อหาอยํางเทําเทียมกนั 4. เพอื่ ชํวยนําทางในการอาํ นหนงั สอื ของผู๎เรยี น และชวํ ยสรุปประเด็นสาํ คัญในกรณีที่ผส๎ู อน มอบหมายใหไ๎ ปอํานมาลํวงหนา๎ แล๎ว องคป์ ระกอบของวธิ ีสอนโดยใชก้ ารบรรยาย ในการสอนโดยการใช๎การบรรยายมีองค์ประกอบหลกั 4 ประการ ดังท่ี ทิศนา แขมมณี (2550 : 327) ได๎กลําวไวด๎ งั นี้ 1. มีผู๎สอนและผู๎เรียน 2. มเี นื้อหาสาระ หรือขอ๎ ความร๎ูที่ต๎องการใหผ๎ เ๎ู รียนได๎เรียนร๎ู 3. มกี ารบรรยาย (พดู บอก เลาํ อธิบาย) โดยผ๎ูสอน 4. มผี ลการเรยี นรูข๎ องผเ๎ู รียนทเ่ี กิดจากการบรรยาย องคป์ ระกอบแรกคือ ผสู๎ อนและผ๎ูเรียน หรือมผี บู๎ รรยายและผ๎ูฟังการบรรยาย ผ๎สู อนมหี น๎าท่ี บรรยายให๎ผ๎ูเรียนไดร๎ ับความรู๎ ซงึ่ ความร๎ูจะเกิดขึ้นได๎กเ็ มอื่ ผสู๎ อนเตรยี มองค์ประกอบทส่ี องมาเปน็ อยํางดี องค์ประกอบที่สองนก้ี ็คือ เนื้อหาสาระ หรอื ข๎อความรท๎ู ต่ี ๎องการใหผ๎ ู๎เรยี นเกดิ การเรยี นร๎ู เม่ือมีการเตรยี ม เนอื้ หาสาระแล๎ว ก็เปน็ วธิ กี ารทจ่ี ะถาํ ยทอดความรูน๎ ัน้ ซึง่ ไดแ๎ กํ องคป์ ระกอบทีส่ าม คือ การบรรยายโดย 136
ผ๎สู อน สํวนองคป์ ระกอบสดุ ท๎ายสําคญั มาก นัน่ คือ ผลการเรยี นร๎ูของผเู๎ รียนท่เี กดิ จากการบรรยาย ซึ่ง หากองค์ประกอบทส่ี ไี่ มํเกิดขึ้นการสอนโดยการบรรยายในคร้งั นั้นกส็ ญู เปลาํ ขัน้ ตอนของวิธสี อนโดยใชก้ ารบรรยาย อยํางท่ีกลาํ วมาแลว๎ วําวิธสี อนโดยใชก๎ ารบรรยายนน้ั มีองคป์ ระกอบหลกั อยํู 4 องคป์ ระกอบ ได๎แกํ ผู๎สอนและผ๎เู รียน เน้ือหาสาระ การบรรยายโดยผู๎สอน และผลการเรียนรข๎ู องผู๎เรยี นท่เี กิดจากการ บรรยาย ซึ่งหากผ๎สู อนไมไํ ด๎เตรยี มองค์ประกอบทีห่ น่ึงถึงสามไว๎ องคป์ ระกอบทสี่ ี่คือ ผลของการ เรยี นรู๎ท่เี กดิ ขึ้นกบั ผเ๎ู รียนกจ็ ะไมเํ กิดประสทิ ธผิ ลอยาํ งเต็มที่ การที่จะให๎การสอนโดยวิธกี ารบรรยายเกดิ ประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ลสูงสดุ ก็ต๎องมขี ้นั ตอนในการสอน ซ่ึงนกั วชิ าการหลายทํานไดแ๎ นะนําดงั น้ี อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 138 -140) เสนอขั้นตอนการสอนแบบบรรยายมี 3 ขน้ั ตอนดงั น้ี 1. ขั้นเตรยี มการสอน 2. ขั้นสอน ประกอบดว๎ ย 2.1 ข้ันนํา 2.2 ขนั้ อธิบาย เป็นขน้ั สําคญั ทจี่ ะทําให๎ผ๎ูเรียนเกดิ ความร๎ูความเขา๎ ใจในเน้อื หาทเ่ี รยี น 2.3 ขนั้ สรปุ เปน็ การปิดทา๎ ยช่วั โมงการบรรยาย 3. ขั้นติดตามผล ประกอบด๎วย 3.1 วดั ผลประเมนิ ผลผู๎เรียน 3.2 วัดผลประเมนิ ผลผ๎ูสอน ทิศนา แขมมณี (2550 : 327) ได๎กลําววาํ ข้ันตอนสาํ คัญ (ท่ขี าดไมํได)๎ ของการสอนแบบ บรรยาย ควรมดี ังนี้ 1. ผสู๎ อนเตรียมเนอ้ื หาสาระทีจ่ ะบรรยาย 2. ผู๎สอนบรรยาย (พดู บอก เลาํ อธบิ าย) เนื้อหาสาระทีต่ ๎องการใหผ๎ ๎ูเรียนได๎เรียนรู๎ 3. ผ๎สู อนประเมินผลการเรียนร๎ขู องผเู๎ รยี น บญุ ชม ศรสี ะอาด (2541 : 51-53) กลําววํา เพื่อให๎การสอนแบบบรรยายมีประสทิ ธภิ าพ ควร ดาํ เนินตามข้นั ตอน 3 ข้นั คอื 1. ขัน้ เตรยี ม 2. ขน้ั บรรยาย 3. ขน้ั สรปุ และประเมนิ ผล จากที่นักวิชาการได๎กําหนดขน้ั ตอนของวิธสี อนโดยใชก๎ ารบรรยาย สรุปข้นั ตอนทีส่ ําคญั ไวด๎ งั น้ี 1. ขั้นเตรียมการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย 137
2. ขน้ั สอนโดยใชก๎ ารบรรยาย 2.1 ขน้ั นํา 2.2 ขนั้ อธิบาย 2.3 ขัน้ สรปุ 3. ข้นั ประเมินผลการสอนโดยใช๎การบรรยาย 1. ขน้ั เตรยี มการสอนโดยใช้การบรรยาย ขน้ั เตรยี มการสอนเปน็ ขัน้ ท่สี าํ คญั ย่งิ หากปราศจากการเตรียมการสอนแลว๎ การจัด กจิ กรรมการเรียนการสอนกจ็ ะไมรํ าบรน่ื ไมเํ ป็นระบบ สงํ ผลใหผ๎ เู๎ รียนเกดิ การเรยี นรู๎ไดน๎ ๎อย รายละเอยี ด ของขัน้ ตอนการเตรยี มการสอนโดยใชก๎ ารบรรยายมีผเ๎ู สนอไว๎ ดังน้ี อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550 : 138 -139) เสนอการเตรยี มการสอนแบบบรรยายไวว๎ ํา 1. วนิ ิจฉยั ผูเ๎ รียน โดยพิจารณาถึงพื้นความรู๎ ประสบการณเ์ ดิม ความสามารถของผ๎ูเรียน อาจ ใช๎วธิ พี ูดคุย ซกั ถาม สมั ภาษณ์ หรือใช๎แบบทดสอบกํอนเรียนเพ่อื ประโยชน์ในการเตรยี มเนอ้ื หาและวธิ กี าร สอน 2. เตรียมเนอื้ หา โดยพจิ ารณาถงึ ความละเอียด ลึกซึง้ มากน๎อย และลาํ ดับของเนือ้ หาให๎ เหมาะสมกับเวลาและลกั ษณะของผ๎ูเรียน 3. เตรียมคําถาม เพื่อใช๎ถามผ๎เู รียนระหวํางการบรรยาย จะชวํ ยให๎ผู๎เรียนตืน่ ตัวและสนใจไดด๎ ีข้นึ 4. เตรียมส่ือการเรียนการสอน โดยเตรียมส่ือให๎พร๎อมอยํูในสภาพใช๎การไดด๎ ี อาจเป็น สไลด์ แผํนใส ภาพ ของจาํ ลอง ของจริง ฯลฯ จะชวํ ยใหผ๎ ๎ูเรียนเข๎าใจบทเรยี นไดด๎ ีขนึ้ 5. เตรยี มการวัดผลประเมินผล อาจจดั ทําเปน็ แบบทดสอบหลังการเรียน เป็นแบบฝึกหัด หรือ การถามคาํ ถามเพ่ือวดั ดวู ําผเู๎ รียนเกิดการเรียนรตู๎ ามจดุ ประสงคท์ ีก่ ําหนดไวห๎ รือไมํ และมากนอ๎ ยเพียงใด ทศิ นา แขมมณี (2550 : 327) กลาํ วถึง การเตรียมการบรรยายทดี่ ีวาํ ผ๎สู อนจาํ เป็นตอ๎ ง ศึกษาเนื้อหาสาระที่จะบรรยายให๎เขา๎ ใจแจํมแจง๎ ตํอจากนนั้ ควรคดั เลือกวําเนื้อหาสาระใดมคี วามจาํ เป็น หรือมปี ระโยชนต์ ํอผเู๎ รียนเพยี งใด เนือ้ หาใดไมจํ ําเป็นอาจตัดออก ตอํ ไปควรจัดลาํ ดับเนื้อหาสาระวํา สิ่งใด ควรพดู กํอน พูดหลัง และจะเชื่อมโยงกันอยํางไร เนื้อหาสาระแตํละสวํ นมีสํวนใดทย่ี ังคลุมเครอื ซงึ่ ควรหา ตัวอยาํ งประกอบหรือควรใชส๎ ื่อใดชํวย และควรแสวงหาเทคนิคในการนาํ เสนอสาระแตลํ ะสวํ นให๎นาํ สนใจ ทา๎ ทายความคิดและเขา๎ ใจได๎งําย ซ่งึ อาจจะเป็นการใชค๎ ําถามกระต๎นุ หรือการเลาํ ประสบการณ์ท่ีแปลก ใหมํ หรอื นําเสนอปญั หาท่ีท๎าทายความคิดกํอนการบรรยาย รวมทัง้ ผ๎สู อนควรจะมีโครงราํ ง (outline) สาํ หรบั การบรรยาย และมีเอกสารประกอบการบรรยาย สามารถ คงสะอาด (2535 : 20-21) ได๎อธบิ ายขั้นตอนการเตรยี มของการสอนโดยใช๎การ บรรยายไว๎ ดงั นี้ 138
1. กําหนดจดุ มงํุ หมายของการสอนให๎ชดั เจนวําเมอ่ื เสรจ็ สนิ้ การเรียนการสอนแลว๎ ตอ๎ งการให๎ ผเ๎ู รยี นเกิดการเรยี นรู๎ หรอื เปลยี่ นแปลงพฤติกรรมทางดา๎ นใดบ๎าง เชนํ เมอ่ื เรียนภมู ิประเทศของประเทศ ไทยแลว๎ ผ๎เู รยี นสามารถบอกท่ีต้ังของประเทศไทยได๎ถูกตอ๎ ง 2. เตรยี มเน้ือหา โดยผสู๎ อนต๎องทาํ ความเข๎าใจเกีย่ วกบั เนอ้ื เร่ืองในบทเรยี นน้ันใหแ๎ จํมแจง๎ เพือ่ จดั ประสบการณ์การเรยี นการสอนให๎แกผํ ๎ูเรียนจากเรื่องทีง่ ํายไปหาเรื่องท่ียาก 3. เตรียมกิจกรรมใหผ๎ เู๎ รียนทาํ เพ่ือใหผ๎ ูเ๎ รยี นมีสวํ นรํวมในการเรยี นการสอน 4. เตรียมสอ่ื การเรียนการสอน เปน็ การเตรยี มสงิ่ ที่จะให๎ประกอบการเรยี นการสอน เอกสาร ประกอบการบรรยายของจรงิ หรอื ของจําลองรูปภาพ เป็นต๎น 5. เตรยี มการวัดผล โดยใชว๎ ธิ ีการหรอื เครอื่ งมือท่เี หมาะสม เชํน การให๎ทาํ แบบฝกึ หัด ทาํ แบบทดสอบ การรายงานเพือ่ ใหท๎ ราบผลการเรียนการสอน บุญชม ศรีสะอาด (2541 : 51) ได๎อธบิ ายไวว๎ าํ ขัน้ เตรยี มจะต๎องวางแผนการและ เตรยี มการสอนอยาํ งดี ดังนี้ 1. พิจารณาและกาํ หนดจุดประสงคข์ องการเรียนการสอนให๎แจํมชดั 2. ศกึ ษาผเู๎ รยี นในดา๎ นภูมหิ ลัง ความร๎ู ความสามารถ ความต๎องการและความสนใจ นาํ ขอ๎ สนเทศเหลํานีม้ าพจิ ารณาวางแผนการสอนใหเ๎ หมาะสมและมีประสิทธผิ ลมากท่สี ดุ 3. ศึกษา ค๎นคว๎าในเรื่องนัน้ ๆ ใหก๎ วา๎ งขวางจากตํารา วารสาร แหลงํ สนเทศท่ีเชือ่ ถือได๎ อ่นื ๆ รวมท้ังพจิ ารณาประสบการณข์ องตนเอง 4. พิจารณาถงึ การทบทวนหรอื เช่ือมโยงความรู๎พนื้ ฐานที่จําเป็นสําหรับการเรียนเรื่องนน้ั 5. กําหนดเค๎าโครง จัดลาํ ดับขัน้ ตอนของเน้ือหาเพือ่ ให๎ผ๎เู รียนสามารถเรียนร๎ูได๎ดีท่สี ุด 6. เตรียมภาษาท่จี ะใช๎ในการบรรยาย ซึ่งจะต๎องมเี หตผุ ล ผ๎ูเรยี นเขา๎ ใจได๎งําย 7.พจิ ารณาสิ่งทจี่ ะชํวยให๎การบรรยายมรี สชาติ เชนํ เกร็ดความรู๎เกยี่ วข๎องการอุปมาอปุ ไมย สถิติท่ีสาํ คญั ผลการวจิ ยั หรือการค๎นควา๎ ใหมํ ๆ ตวั อยํางคําถามตําง ๆ ฯลฯ 8. พิจารณาและตระเตรียมการใช๎สอ่ื ตําง ๆ ที่จะชวํ ยดงึ ดูดความสนใจและเพิ่มความเขา๎ ใจ เชนํ รปู ภาพ ของจรงิ หํนุ จาํ ลอง ภาพยนตร์ สไลด์ แผนํ โปรงํ ใส ฯลฯ 9. ในการวางแผนจะต๎องคํานึงถงึ ความเหมาะสมในด๎านเวลาเป็นสาํ คญั 10. การทดลองหรอื ซกั ซ๎อมสอนจะให๎ประโยชนใ์ นการปรับปรุงการเตรียมการสอนใหด๎ ีย่งิ ขึ้น กํอนทําการสอนจริง 11. เตรยี มวิธกี ารประเมนิ ผลวาํ จะใชว๎ ิธใี ดบา๎ ง เชํน การสังเกต การใชค๎ ําถาม การใช๎ แบบทดสอบ ซึ่งจะต๎องเตรียมให๎พร๎อมไว๎ลํวงหน๎า 12. กํอนเวลาบรรยายควรเตรียมสถานท่ี อปุ กรณต์ าํ งๆ ให๎เรียบร๎อย ตรวจสอบการใชส๎ ่ือ ตํางๆ วําพรอ๎ มที่จะใช๎ได๎ตามความตอ๎ งการ 139
จากคําแนะนําของนกั วิชาการเกี่ยวกับการเตรียมการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย ผ๎ูเขียนเหน็ วํา ครคู วรจัดทําแผนการสอนหรือแผนการจดั การเรียนร๎ู โดยคํานึงถึงพ้นื ความรู๎ ความสามารถ และ ประสบการณเ์ ดมิ ของผเ๎ู รยี น ซึง่ ในแผนการสอนน้นั ครูกต็ อ๎ งเตรียมในสวํ นของวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรู๎ กจิ กรรมการเรยี นการสอน ส่ือ การวดั ผลการเรียนร๎ขู องผ๎ูเรียนเปน็ ตน๎ แตํท่พี เิ ศษและท๎าทาย ความสามารถของคุณครกู ็คือ จะจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใช๎การบรรยายอยํางไรใหผ๎ ูเ๎ รยี นไมรํ ส๎ู กึ เบ่ือ ซึ่งครูอาจทาํ ได๎โดยใชส๎ อื่ ใชค๎ าํ ถาม เร่ืองเลาํ สถิติที่สําคัญ คํากลอน คําอุปมาอปุ มัย รวมท้งั ใชอ๎ ารมณ์ ขันหรอื กิจกรรมอนื่ ๆ ทีเ่ หมาะสม และเชนํ เดียวกับการสอนในทุกครั้ง กํอนเวลาสอน ครคู วรเตรียมสถานท่ี และอปุ กรณต์ ํางๆ ใหเ๎ รยี บร๎อย และพร๎อมสําหรับการใชง๎ าน และหากเนื้อหาทีจ่ ะบรรยายน้นั ใหมสํ ําหรบั คณุ ครู คุณครูก็ควรซกั ซ๎อมการสอน ซงึ่ จะทาํ ให๎ครูมคี วามชํานาญในการสอนโดยใช๎การบรรยายมาก ย่ิงขน้ึ 2. ขน้ั บรรยาย ขน้ั ตอนท่ีสอง คือ ขน้ั บรรยายหรืออธิบาย ซ่งึ ในขน้ั ตอนนี้ มนี ักวิชาการได๎กลําวไว๎ คลา๎ ยคลงึ กัน ดงั น้ี อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2550 : 139) กลําววาํ ขั้นสอน ซึ่งเป็นขน้ั ท่สี องของวิธีสอนโดยใชก๎ าร บรรยายวํา ประกอบด๎วยรายละเอียด ดังนี้ 1. ขน้ั นาํ อาจใชว๎ ิธี 1) ซกั ถามพูดคยุ กับผ๎ูเรยี นเพอ่ื เตรียมความพร๎อมกํอนเรมิ่ เรยี น 2) ทบทวนการบรรยายในคร้งั กํอนเพื่อเชื่อมโยงกบั เรื่องใหมํ 2. ขน้ั อธิบาย เปน็ ขั้นสําคัญท่ีจะทําให๎ผ๎เู รยี นเกดิ ความรู๎ความเขา๎ ใจในเนอื้ หาทเี่ รียน ผส๎ู อน ควรได๎ดําเนินการ ดงั นี้ 1) บอกโครงเร่ือง ขอบขาํ ยของเนอื้ หา และแจง๎ จดุ ประสงคข์ องบทเรียน 2) อธิบายใหช๎ ัดเจนตามลาํ ดบั เน้ือหาอยาํ งตอํ เนื่องกนั 3) สงั เกตปฏกิ ริ ยิ าของผเ๎ู รยี นตลอดเวลาเพื่อการย้ําซาํ้ หรือหยดุ ทบทวนใหมํ 4) ถามคาํ ถามในบางตอนเพื่อกระตนุ๎ ความสนใจของผ๎ูเรยี น และทดสอบความ เข๎าใจ 5) ยกตัวอยํางประกอบ เพอื่ เพิม่ ความแจํมแจง๎ ในบทเรยี น 6) ใชน๎ ้าํ เสยี ง บุคลิกภาพทําทาง ทําทีการพดู อธบิ าย การใช๎ภาษา และอารมณ์ขันที่ เหมาะสม 3. ขั้นสรปุ เปน็ การปิดท๎ายช่วั โมงการบรรยาย อาจใช๎วิธี 1) สรปุ โยงเนอ้ื เรื่องตงั้ แตตํ ๎นจนจบ 2) ต้งั ปัญหาให๎ผ๎เู รียนไดค๎ ดิ วเิ คราะห์วจิ ารณ์ 140
3) ฝากปญั หาใหผ๎ เู๎ รียนไปคดิ ตํอ 4) เปดิ โอกาสใหผ๎ เ๎ู รียนได๎ซักถามปญั หา 5) มอบหมายงานใหผ๎ ู๎เรยี นไปคน๎ คว๎าเพ่ิมเตมิ 6) ควรไดบ๎ อกลํวงหนา๎ ถงึ เนื้อหาท่จี ะเรยี นในคร้ังตํอไป อินทิรา บณุ ยาทร (2542 : 85) ได๎อธบิ ายขั้นตอนทสี่ องของการสอนโดยการบรรยาย ซ่ึงเป็น ขน้ั บรรยายวําประกอบด๎วยรายละเอียด ดังตํอไปนี้ 1. แสดงความจริงจังมีความเชื่อมัน่ ในเรื่องทีจ่ ะบรรยาย 2. ควบคมุ อารมณ์ ไมตํ ืน่ เตน๎ ไมํประหมํา หรือเครียด แสดงความเปน็ กันเอง ย้มิ แยม๎ แจมํ ใส 3. พดู ดว๎ ยเสียงทเี่ ปน็ ธรรมชาติ ชัดถ๎อยชัดคํา ไมํเร็วหรือชา๎ เกินไป 4. ใชส๎ ายตามองผเ๎ู รียน เพอ่ื แสดงวําผูส๎ อนเห็นความสําคญั ของผเ๎ู รยี น เป็นการเช่ือม ความสัมพันธ์ 5. ควรเรม่ิ ต๎นดว๎ ยการโยงประสบการณ์เดมิ ใช๎เทคนิคนําเข๎าสํูบทเรียน เชํน ยกเร่ืองราวที่ เกีย่ วขอ๎ ง ต้ังคําถาม ฯลฯ 6. การบรรยายควรมคี าํ ถามแทรกระหวาํ งการบรรยาย 7. ใหโ๎ อกาสผูเ๎ รยี นได๎ตัง้ คําถามถามในเรอื่ งทีเ่ รียน 8. ควรมีการสลบั ดว๎ ยกิจกรรมกลมุํ ยํอย เชํน การระดมความคิด การอภปิ ราย 9. เมื่อบรรยายจบผูเ๎ รียนควรได๎ทําแบบฝึกหัด ผ๎บู รรยายคดิ ทบทวนหาวธิ ีการปรับปรุงให๎ การบรรยายครัง้ ตํอไปดียิ่งขน้ึ สริ วิ รรณ ศรพี หล และ พนั ทิพา อุทยั สขุ (2540 : 59) ไดเ๎ สนอแนะพฤติกรรมและบุคลกิ ของครใู นการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย ดงั น้ี 1. พฤตกิ รรมการสอนของครู ควรเปน็ ดังนี้ 1) บอกหัวขอ๎ หรือเนอื้ เร่ืองโดยสงั เขป และวตั ถุประสงค์ของบทเรยี นกอํ นทําการบรรยาย เพื่อใหผ๎ ๎เู รยี นสามารถติดตามเน้อื หาด๎วยความเขา๎ ใจและดว๎ ยความสนใจ 2) ผู๎สอนควรจดหวั ขอ๎ ยํอย ๆ ลงบนกระดานดําเพื่อให๎ผ๎เู รียนสามารถติดตามบทเรยี น และจดเนอื้ หาสาระสาํ คัญลงในสมดุ จดของตนได๎ 3) ขณะที่ทําการบรรยาย อาจถามคาํ ถามผเ๎ู รียนไปดว๎ ยก็ได๎ เพ่อื ทดสอบความเข๎าใจของ ผู๎เรียน รวมท้ังเปน็ การดึงความสนใจของผเู๎ รียนกลบั มายงั บทเรยี นอกี ดว๎ ยในกรณีทผ่ี ๎เู รยี นเรม่ิ เบอื่ หนาํ ย การเรียนการสอน 4) ถ๎าผู๎เรียนไมเํ ขา๎ ใจบทเรียน หรอื การส่ือความหมายของผู๎สอนไมํดีพอ ต๎องคอยกระต๎ุน ใหผ๎ ๎เู รียนถามปญั หา หรือถามข๎อข๎องใจได๎ 141
5) ในการบรรยาย อาจมีเน้ือหาสาระหรือประเด็นบางประการทสี่ ําคัญ ผสู๎ อนควรเนน๎ ให๎ มากเพื่อให๎ผู๎เรียนเข๎าใจเน้ือหาดียง่ิ ข้นึ 6) ถ๎าผ๎เู รยี นแสดงความเบื่อหนาํ ย เชํน การแสดงออกทางสีหนา๎ หรอื การพูดคยุ กับเพอ่ื น ในชั้น ผ๎สู อนตอ๎ งคอยสังเกตและพยายามดงึ ความสนใจของผ๎เู รยี นกลบั มาสบํู ทเรียนให๎ได๎ โดยอาจใช๎ วธิ กี ารถามคําถาม หรือการยกตวั อยาํ งทนี่ ําสนใจ หรือเปล่ียนกจิ กรรมการเรียนการสอนท่ใี หผ๎ เ๎ู รียนมสี วํ น รวํ มด๎วยกไ็ ด๎ ท้ังนี้ข้นึ อยูํกบั วินิจฉัยของผ๎ูสอนในการแก๎ปญั หาเฉพาะหน๎า 7) ขณะทที่ ําการบรรยาย ผู๎สอนควรให๎ผู๎เรยี นมกี ิจกรรมการเรียนการสอนไปด๎วย เชํน การให๎จดเนื้อหาสาระสาํ คัญของบทเรียน จะทาํ ให๎การเรียนในชวั่ โมงนั้น ๆ มีความหมายยิ่งข้ึน 2. สาํ หรบั ในดา๎ นบุคลกิ ภาพนั้น เน่ืองจากการเรยี นการสอนด๎วยวิธีการบรรยาย เป็นการสอน ทค่ี รเู ป็นศนู ย์กลางของห๎องเรียน เปน็ จุดสนใจของห๎องเรียน ดงั น้ัน บคุ ลิกภาพของครูจงึ เปน็ เรอ่ื งสาํ คัญ เป็นตน๎ สีหน๎าทําทางของครูต๎องแสดงความเปน็ กันเอง เพ่ือใหบ๎ รรยากาศของห๎องเรยี นเกิดความ หวาดกลัวและไมํอยากเรียนในชั่วโมงน้ัน ๆ การแตงํ กายกเ็ ชนํ กัน ควรแตงํ ตวั ดี สภุ าพ และเหมาะกับ กาลเทศะด๎วย นาํ้ เสียงควรให๎ชัดเจน แทรกอารมณข์ ันในบางคร้งั เพื่อผอํ นคลายความตึงเครียดของ บทเรียน ทศิ นา แขมมณี (2550 : 327) ได๎ใหข๎ อ๎ เสนอแนะของขั้นตอนการบรรยายไว๎วาํ การบรรยาย เมอ่ื เริ่มการบรรยาย ผ๎บู รรยายควรเร๎าความสนใจของผู๎เรียนและพยายามรักษาความสนใจนั้นให๎คงอยํู ตลอดการบรรยายดว๎ ยเทคนิคตาํ ง ๆ เชนํ 1. การใช๎ปญั หาเป็นส่ิงเรา๎ เชนํ ใชข๎ าํ ว เหตกุ ารณ์สําคญั และกรณีตวั อยํางตาํ ง ๆ 2. การใช๎การทดสอบกํอนเรยี นและหลงั เรยี นเพอื่ ชํวยใหผ๎ ูเ๎ รยี นไดเ๎ หน็ ความ สามารถของตนในเร่ืองนน้ั 3.การใชส๎ ่อื ประกอบ เชนํ ใชแ๎ ผํนใส ภาพ สไลด์ เทปเสียง วดี ีทัศน์ ภาพยนตร์ คอมพวิ เตอร์ เป็นตน๎ 4. การใช๎การซกั ถามประกอบกับการบรรยาย 5. การใชก๎ จิ กรรมประกอบการบรรยาย เชํน การอภิปรายกลํุมยํอย การสาธติ การแสดง บทบาทสมมติ การเลนํ เกม การทดลองปฏิบตั ิ เป็นตน๎ 6. การยกตัวอยาํ งประกอบการอธิบาย 7. การใช๎อารมณ์ขัน 8. การเปิดโอกาสให๎ผู๎ฟงั ซักถาม และแสดงความคดิ เหน็ สิรวิ รรณ ศรพี หล และ พันทิพา อุทยั สขุ (2540 : 64) ไดก๎ ลําวถึงข๎อเสนอแนะของไพฑรู ย์ สนิ ลารัตน์ ทีเ่ กย่ี วกบั การบรรยายตอนหนึง่ วํา ผูส๎ อนควรจะได๎เขา๎ ใจวาํ ความนําสนใจหรือความสนุกสนาน ในการเรยี นนัน้ ไมจํ าํ เป็นตอ๎ งขนึ้ อยูํกับความสนุกสนานทางอารมณ์ ดว๎ ยการตลกโปกฮาเสมอไป แตคํ วาม 142
สนกุ สนานในทางปญั ญาก็เป็นสง่ิ ทผ่ี ู๎เรยี นมคี วามต๎องการเป็นอยาํ งมากเชนํ กนั อารมณ์ขันนนั้ อาจเป็นเร่อื ง เฉพาะบคุ คล แตํความสนุกกับวชิ านั้นเปน็ เรื่องท่ที ุกคนควรมไี ด๎ ดังนน้ั กํอนท่จี ะสอนวิชาอะไร ผส๎ู อนควร จะได๎สาํ รวจตัวเองเสยี กํอนวาํ เราสนใจหรอื สนกุ กับวิชาทีเ่ ราจะสอนเพียงใด ถา๎ เราเองยงั ไมสํ นกุ และไมํ สนใจวิชาทส่ี อนหรอื สอนพอใหเ๎ สร็จ ๆ ไปแล๎ว กย็ ากทจี่ ะสอนให๎ผู๎เรยี นสนกุ สนานได๎ แตํถ๎าเราร๎ูสึกสนุก และสนใจแลว๎ โอกาสทจี่ ะสอนให๎สนุกและนาํ สนใจกท็ าํ ได๎ไมยํ ากนกั จากท่กี ลาํ วมา สรุปไดว๎ าํ ข้ันสอนโดยใชก๎ ารบรรยายน้นั ครคู วรเร่มิ ต๎นดว๎ ยขน้ั นําโดยการ ซักถามพูดคุยกับผ๎เู รียน จากนน้ั จงึ ทบทวนการบรรยายในครง้ั กํอนเพ่ือเชอ่ื มโยงกับเร่ืองใหมํ จากนนั้ ถึงข้ันอธิบายครผู ู๎สอนควร 1) บอกโครงเรอื่ ง ขอบขํายของเน้อื หา และแจ๎งจุดประสงค์ ของบทเรยี น 2) อธิบายให๎ชัดเจนตามลาํ ดับเนอื้ หาอยํางตํอเน่ืองกัน 3) สังเกตปฏิกิรยิ าของผ๎ูเรยี น ตลอดเวลาเพ่ือการยาํ้ ซ้าํ หรอื หยดุ ทบทวนใหมํ 4) ถามคําถามในบางตอนเพอ่ื กระต๎ุนความสนใจของ ผ๎ูเรียน และทดสอบความเขา๎ ใจ 5) ยกตัวอยาํ งประกอบ เพ่ือเพ่ิมความแจํมแจง๎ ในบทเรียน 6) ใช๎น้าํ เสียง บคุ ลกิ ภาพทําทาง ทําทีการพูดอธบิ าย การใชภ๎ าษา และอารมณ์ขันทีเ่ หมาะสม และ 7) ผ๎ูสอนควรจด หัวขอ๎ ยํอย ๆ ลงบนกระดานดําเพอ่ื ใหผ๎ เ๎ู รียนสามารถตดิ ตามบทเรยี นและจดเนือ้ หาสาระสาํ คญั ลงในสมดุ จดของตนได๎ ขั้นตอํ มา ขัน้ สรุป ผู๎สอนอาจใชว๎ ธิ ี 1) สรุปโยงเนื้อเรือ่ งตัง้ แตตํ ๎นจนจบ 2) ตั้งปญั หาใหผ๎ ู๎เรียน ไดค๎ ิดวิเคราะห์วิจารณ์ 3) ฝากปญั หาใหผ๎ เ๎ู รยี นไปคดิ ตํอ 4) เปิดโอกาสใหผ๎ ูเ๎ รยี นไดซ๎ ักถามปัญหา 5) มอบหมายงานใหผ๎ ๎ูเรยี นไปคน๎ ควา๎ เพิ่มเติม และ 6) ควรไดบ๎ อกลวํ งหนา๎ ถงึ เนื้อหาที่จะเรยี นในคร้ังตํอไป นอกจากน้ี ผสู๎ อนควรจะได๎เขา๎ ใจวาํ ความนําสนใจหรอื ความสนุกสนานในการเรียนนน้ั ไมํ จาํ เป็นตอ๎ งขึน้ อยูํกับความสนุกสนานทางอารมณอ์ ยํางเดยี ว แตํอาจจะสนุกสนานในทางปัญญา กบั วิชาท่ี เรียนก็ได๎ ดงั นนั้ ผสู๎ อนควรจะสํารวจตัวเองวําเราสนกุ กับวชิ าทส่ี อนเพียงใด ถ๎าเราเองยงั ไมํสนุกกย็ ากทีจ่ ะ สอนให๎ผู๎เรยี นสนกุ สนานได๎ 3. ข้ันสรุปและประเมินผล ข้ันตอนสดุ ท๎ายของวธิ ีการสอนโดยใชก๎ ารบรรยายน้ัน คือ ข้นั สรุป และประเมินผล ซ่ึงได๎มี นักวชิ าการอธิบายไว๎หลายทาํ น ดังนี้ อนิ ทิรา บุณยาทร (2542 : 85) ได๎อธิบายขนั้ สรปุ ของการสอนโดยวิธกี ารบรรยาย วํา ประกอบด๎วย 1. สรุปโยงเน้อื เรอ่ื งต้งั แตํต๎นจนจบ 2. ตั้งปญั หาให๎ผู๎เรยี นไดค๎ ิดวเิ คราะห์วจิ ารณ์ 3. มอบหมายงานให๎ผูเ๎ รยี นไปคน๎ ควา๎ เพ่มิ เติม 143
สามารถ คงสะอาด (2535 : 21) อธิบายวํา ขนั้ สรปุ เป็นข้ันที่ผู๎สอนและผ๎ูเรยี นรํวมกัน อภปิ ราย และแสดงความคดิ เหน็ เพ่ือเปน็ การสรปุ เน้ือหาทส่ี ําคญั ของบทเรยี นท่ไี ดบ๎ รรยายตงั้ แตตํ น๎ จนจบ โดยสรปุ เป็นกฎเกณฑ์และข๎อเทจ็ จริงเพ่ือใหผ๎ เู๎ รยี นจดบันทึกไว๎ทบทวน สิรวิ รรณ ศรพี หล และ พนั ทิพา อุทยั สุข (2540 : 61) การปรับปรงุ การสอนแบบบรรยาย การ ปรับปรงุ การเรยี นการสอนของครู จะทาํ ให๎การสอนแบบบรรยายมีคุณคํามากขึ้น การปรับปรุงการสอน ของครูสามารถกระทําได๎หลายวิถีทาง แตํทั้งนข้ี ้นึ อยํูกับความใจกว๎างของผูส๎ อนเอง เป็นต๎นวาํ จัดทาํ แบบสอบถามให๎ผูเ๎ รยี นประเมินการสอนในหัวข๎อตําง ๆ เชํน เนอื้ หา ลาํ ดบั การเสนอเนื้อหา วธิ ีการเสนอ เน้ือหา ระยะเวลาบคุ ลกิ ภาพของครู การใชค๎ าํ ถาม ฯลฯ ซ่ึงการประเมินของผู๎เรียนดังกลําว จะทาํ ใหผ๎ ูส๎ อน ทราบขอ๎ บกพรํองของตน อนั จะนาํ ไปสํูการปรับปรงุ วธิ สี อนให๎ดขี ึน้ การให๎เพือ่ นครดู ว๎ ยกนั เขา๎ สังเกตการณ์สอนก็เปน็ วิธหี น่ึงที่จะชวํ ยใหก๎ ารปรับปรุงการเรยี นการ สอนไดเ๎ ชํนกนั การเข๎าสังเกตพฤติกรรมการสอนของครูจะทําให๎ได๎ขอ๎ มลู มาทําการปรบั ปรุงการเรยี นการ สอนอยาํ งมาก นอกจากนนั้ อาจใช๎เทคโนโลยกี ารศึกษาเขา๎ ชํวย เชํน การบนั ทกึ เสียงหรือการถํายวดี ีโอเทปเพื่อ นาํ มาปรับปรงุ การสอนของตนได๎ สิริวรรณ ศรีพหล และ พนั ทิพา อุทยั สขุ (2540 : 61) กลําววํา ขนั้ ติดตามผล ผู๎สอนควรควรมี การติดตามผลวําผ๎ูเรียนมคี วามเข๎าใจในเน้ือหามากน๎อยเพยี งใดหลังจากที่ได๎เรยี นไปแล๎วเพราะการสอน แบบบรรยายผเู๎ รยี นมักเปน็ ฝุายที่รบั ฟังเทําน้นั ไมํคํอยมีสวํ นรํวมกิจกรรมหรือมีปฏิกิรยิ าโต๎ตอบมากนกั จงึ เปน็ การเดาได๎ยากวําผเ๎ู รียนเข๎าใจเนอื้ หามากน๎อยเพียงใด ดังนั้นการตดิ ตามผลจึงเปน็ สง่ิ สําคัญของผูส๎ อน ในการติดตามผลนั้นกระทําได๎หลายวธิ ี เชํน การตรวจดสู มดุ บันทกึ ที่ผเ๎ู รยี นจดสรุปคาํ บรรยาย การถาม คาํ ถามที่เก่ียวข๎องกบั เน้อื หาท่ีบรรยายไปแลว๎ การให๎ผูเ๎ รียนอภิปรายปญั หาทผี่ ๎ูสอนหยิบยกขึน้ มาภายหลัง การบรรยายส้ินสุดลงแลว๎ เพราะนอกจากจะไดต๎ ิดตามผลในเร่อื งความร๎ูความเขา๎ ใจของเนอื้ หาบทเรยี น แลว๎ ยงั เปน็ การตรวจสอบปฏิกิริยาหรือเจตคตขิ องผ๎ูเรยี นที่มตี อํ บทเรียนน้นั ๆ ดว๎ ย การทดสอบดว๎ ย แบบทดสอบปรนยั สน้ั ๆ ก็เป็นวิธีประเมนิ ผลความเขา๎ ใจอีกวิธีหน่งึ การติดตามผลนัน้ จะรวมการ มอบหมายงานให๎ไปศกึ ษาตํอหรือค๎นคว๎าด๎วย สรุปได๎วํา ขนั้ สรุปและประเมนิ ผลของการสอนโดยใช๎การบรรยายนนั้ เปน็ ขัน้ ตอนท่คี รูผ๎ูสอน สรปุ โยงเนอ้ื เรอื่ งตัง้ แตตํ น๎ จนจบ หรือใหผ๎ เู๎ รยี นไดร๎ ํวมกนั สรุปก็เป็นวธิ ีการทีเ่ หมาะสม เพราะใหผ๎ เ๎ู รียนได๎ ฝึกคิด และเปน็ การวดั ผลการเรียนรข๎ู องผู๎เรียนไปในตวั โดยครูมีบทบาทในการแนะนําการสรปุ จากนนั้ ครูสามารถตดิ ตามการบรรยายโดยการตรวจดสู มดุ บนั ทึก การถามคาํ ถาม หรือแบบทดสอบปรนยั สัน้ ๆ เป็นต๎น นอกจากนี้ผ๎ูสอนสามารถติดตามผลของผเู๎ รียนโดยการมอบหมายงานให๎ไปศึกษาคน๎ ควา๎ ตํอพร๎อม นาํ เสนอการรายงาน การศึกษาคน๎ ควา๎ ตอํ ไป 144
สาํ หรบั การตดิ ตามผลการสอนของครูก็เป็นสิ่งท่คี วรกระทํา ซง่ึ สามารถทําได๎โดยใช๎ แบบสอบถามผ๎ูเรียนเกย่ี วกับความพึงพอใจในกิจกรรมการเรียนการสอน หรอื ความคิดเหน็ เก่ียวกบั เทคนคิ วธิ กี ารสอนของครู นอกจากน้ผี ู๎สอนอาจให๎เพ่ือนครูเข๎าสังเกตการณส์ อนและให๎คาํ ตชิ ม หรอื อาจ ใช๎การบันทกึ วดี ีทัศนแ์ ลว๎ นาํ มาชมทีหลังกไ็ ด๎ จดุ เด่นของวิธสี อนโดยใช้การบรรยาย การสอนโดยใช๎การบรรยายมีจดุ เดนํ ทีน่ าํ สนใจหลายประการดังที่นกั วชิ าการเสนอไวใ๎ กลเ๎ คยี ง กนั ดงั ข๎างลํางน้ี อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2550 : 140) กลาํ ววํา จดุ เดนํ ของการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย มดี ังน้ี 1. สามารถสอนกับผเู๎ รียนจาํ นวนมากได๎ เปน็ การประหยัดพลังงานและเวลาของผสู๎ อน 2. สะดวกในการใหเ๎ น้ือหาทางทฤษฎีแกผํ ๎เู รียน 3. ผ๎สู อนสามารถดําเนินคนเดียวได๎ 4. โอกาสทจ่ี ะปรับปรุงเน้อื หาและวธิ กี ารให๎เหมาะสมกบั ผู๎ฟงั เวลา และองคป์ ระกอบอ่นื ๆ ได๎ดีกวาํ วธิ อี ่ืน 5. สามารถสรปุ เนอื้ หาจากทีต่ ําง ๆ เขา๎ เป็นกลุํมก๎อนได๎งําย 6. ผเ๎ู รยี นไมํตอ๎ งทาํ งานมากและรับรเ๎ู ร่ืองท่เี รียนตรงกนั และพร๎อมกนั 7. ให๎ความร๎แู กํผ๎เู รยี นได๎อยํางเต็มเม็ดเตม็ หนํวย ได๎เน้อื หามาก กว๎างขวาง และเทยี่ งตรง เสริมศรี ลกั ษณศิริ (2540 : 230) กลําววาํ การสอนโดยใช๎การบรรยายมขี ๎อดี คอื 1. สามารถใชว๎ ธิ ีสอนบรรยายในการสอนให๎เกิดความสามารถด๎านพุทธพิ ิสัยได๎ 2. การสอนแบบบรรยายไมจํ าํ เป็นต๎องใชเ๎ คร่ืองมืออปุ กรณม์ าก 3. การสอนแบบบรรยายสามารถปรับปรุงใชส๎ อนได๎กับกลมุํ ผ๎ูเรยี นทุกขนาด ต้งั แตํกลมํุ ยํอย จนถึงกลุํมใหญํมาก 4. การสอนแบบบรรยายสามารถจะทาํ ได๎ในทุกสถานท่ี เชนํ ภายในอาคาร นอกอาคาร ใน หอ๎ งเรยี น หรือในสนามกต็ าม 5. สามารถสอนให๎ได๎เน้ือหามากในชํวงเวลาอนั จํากัด 6. ผ๎ูบรรยายอาจยดื หยนํุ การบรรยายของตนใหเ๎ รว็ หรือชา๎ ได๎ และอาจเพ่ิมเตมิ หรอื ตัดทอน เน้อื หาไดร๎ ะหวาํ งการบรรยายทง้ั นข้ี นึ้ อยูํกับปฏกิ ิรยิ าของผฟ๎ู ัง ทศิ นา แขมมณี (2550 : 329) กลาํ วถึงข๎อดขี องวธิ สี อนโดยใช๎การบรรยาย มีดงั นี้ 1. เปน็ วธิ สี อนทใ่ี ชเ๎ วลานอ๎ ย เมือ่ เทยี บกบั วิธีสอนแบบอื่น ๆ 2. เป็นวิธีสอนท่ีใช๎กับผ๎เู รียนจํานวนมากได๎ 145
3. เป็นวิธีสอนท่สี ะดวก ไมํยํุงยาก 4. เป็นวธิ ีสอนทถี่ าํ ยทอดเนอ้ื หาสาระไดม๎ าก จากทน่ี กั วชิ าการหลายทํานได๎กลาํ วถึงจดุ เดนํ ของวธิ สี อนโดยใชก๎ ารบรรยายสรปุ เปน็ จุดเดนํ ที่ นําสนใจของการสอนไดเ๎ ป็นข๎อๆ ดังน้ี 1. เป็นวธิ สี อนท่ใี ชเ๎ วลาน๎อย เม่อื เทียบกับวธิ ีสอนแบบอืน่ ๆ 2. เปน็ วธิ ีสอนที่ใช๎กบั ผ๎ูเรยี นจํานวนมากได๎ 3. เปน็ วธิ สี อนที่สะดวก ไมยํ ุํงยาก 4. เปน็ วิธสี อนที่ถาํ ยทอดเนื้อหาสาระได๎มาก 5. โอกาสทจี่ ะปรับปรงุ เนื้อหาและวธิ กี ารให๎เหมาะสมกบั ผู๎ฟงั เวลา และองค์ประกอบอืน่ ๆ ไดด๎ กี วาํ วธิ อี ่นื 6. การสอนแบบบรรยายสามารถจะทาํ ไดใ๎ นทุกสถานท่ี เชํน ภายในอาคาร นอกอาคาร ใน ห๎องเรียน หรือในสนามก็ตาม ข้อจากดั ของวธิ ีสอนโดยใชบ้ รรยาย นักวิชาการได๎กลาํ วถึงขอ๎ จาํ กัดที่ใชใ๎ นการสอนโดยใช๎การบรรยาย ซง่ึ มีรายละเอียด ดังน้ี อาภรณ์ ใจเท่ยี ง (2550 : 140-141) กลาํ ววาํ ข๎อจาํ กดั ของการสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย มี ดงั น้ี 1. การบรรยายไมํคาํ นงึ ถึงความแตกตํางของผู๎เรยี น เพราะต๎องรับและรเู๎ รอื่ งเดียวกนั เวลา เดยี วกนั 2. ผู๎เรียนไมมํ โี อกาสแสดงความคิดเหน็ (บางคร้งั มีได๎บ๎างแตํน๎อย) ทําให๎ขาดโอกาสในการฝึก ความคดิ วิเคราะห์ 3. การบรรยายที่ดีต๎องอาศัยทกั ษะและเทคนิคการพูดทเี่ รา๎ ความสนใจ ซ่ึงไมสํ ามารถทําได๎ ทกุ ๆ คน 4. สงํ เสรมิ ให๎ผเู๎ รยี นจด ทอํ งจาํ มากกวาํ การศึกษาด๎วยตนเอง 5. ผเู๎ รียนมสี ํวนรวํ มในการเรียนนอ๎ ย ทําให๎เกิดความเบอื่ หนาํ ย หมดความสนใจได๎งาํ ย 6. ใช๎ไดเ๎ หมาะสมดเี ฉพาะผเ๎ู รียนระดบั อดุ มศึกษา ซึง่ มชี วํ งความสนใจยาวในการฟัง บรรยาย เสริมศรี ลกั ษณศริ ิ (2540 : 230-231) กลําววํา การสอนแบบบรรยายมีข๎อด๎อย ดงั น้ี 1. ผเู๎ รยี นมสี วํ นรวํ มในกจิ กรรมการเรียนการสอนนอ๎ ยมากหรือไมมํ ีเลย ทําให๎มลี ักษณะเปน็ การเรียนร๎ูแบบเฉ่ือยชา (Passive Learning) 2. เป็นการเรียนการสอนที่ไมสํ งํ เสรมิ ความสามารถในการคดิ ของผ๎ูเรียน 146
3. การสอนแบบบรรยายจะไดผ๎ ลดตี ๎องอาศยั ผ๎ูบรรยายท่มี คี วามสามารถในการบรรยายและมี ความร๎ูดี มฉิ ะนน้ั ไมํไดผ๎ ล 4. ชํวงความสนใจของผ๎เู รียนไมํอาจคงอยไูํ ด๎ตลอดการบรรยาย ดงั น้ัน ถ๎าสอนไปนาน ๆ จะ ไมไํ ด๎ผล 5. การสอนแบบบรรยายไมคํ าํ นึงถึงความแตกตํางของผ๎ูเรยี น เพราะทกุ คนต๎องเรียนเรื่อง เดียวกัน ในเวลาเดยี วกนั ทศิ นา แขมมณี (2550 : 329) กลาํ วถงึ ข๎อจาํ กัดของวธิ ีสอนโดยใชก๎ ารบรรยาย มีดงั น้ี 1. เป็นวธิ ีสอนท่ีผูเ๎ รยี นมีบทบาทน๎อยจงึ อาจทําใหผ๎ เ๎ู รียนขาดความสนใจในการบรรยาย 2. เปน็ วิธีสอนทีอ่ าศยั ความสามารถของผู๎บรรยาย ถา๎ ผูบ๎ รรยายไมํมศี ิลปะในการบรรยายท่ี ดึงดูดใจผ๎ูเรยี น ผ๎เู รียนอาจขาดความสนใจ และถ๎าผูส๎ อนขาดการเรยี บเรียงเน้ือหาสาระอยาํ งเหมาะสม ผู๎เรียนอาจไมํเขา๎ ใจ และไมํสามารถซกั ถามได๎ (ถา๎ ผ๎ูบรรยายไมเํ ปดิ โอกาส) 3. เป็นวิธสี อนทไี่ มํสามารถสนองตอบความต๎องการและความแตกตาํ งระหวํางบุคคล จากทน่ี ักวิชาการหลายทาํ นไดก๎ ลาํ วถงึ ข๎อจาํ กดั มาทงั้ หมดพอจะสรุปข๎อจาํ กัดได๎ดงั นี้คือ 1. ผ๎สู อนต๎องใชท๎ ักษะการเร๎าความสนใจของนักเรยี นเพ่ือใหน๎ ักเรียนมีสวํ นรํวมมากยิ่งขนึ้ 2. ใชไ๎ ด๎เหมาะสมดเี ฉพาะผเู๎ รียนที่มีชํวงความสนใจในการฟังการบรรยายได๎ยาว 3. ผู๎เรียนต๎องใชค๎ วามสามารถทักษะดา๎ นการฟังและการคิด 4. เป็นการสอนท่ีไมํคํานึงถงึ ความแตกตํางระหวํางบคุ คล 5. ผู๎เรยี นมสี ํวนรวํ มและแสดงความคิดเห็นในการเรยี นไดน๎ อ๎ ย 6. ผู๎เรียนเกิดความเบ่อื หนาํ ยและขาดความสนใจไดง๎ ําย 7. ไมํเอื้อตํอการเรียนร๎ูระดับการวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ซึ่งเปน็ ความสามารถขนั้ สูง เว๎นแตมํ ี กิจกรรมอน่ื ๆ เสริมระหวาํ งการบรรยาย กลําวโดยสรุปได๎วํา การสอนแบบบรรยาย หมายถึง วิธีการสอนที่ผู๎สอนเป็นฝุายบอกเลํา อธิบาย หรือถํายทอดความรู๎ให๎กับผ๎ูเรียนในรูปของคําพูด โดยผ๎ูสอนจะเป็นผู๎ค๎นคว๎าหาความร๎ูมาเพื่อ อธิบายให๎ผ๎ูเรียนฟังโดยเฉพาะ ผ๎ูเรียนจึงเป็นฝุายที่จะได๎รับข๎อมูลจากเน้ือหาในบทเรียนเพียงอยํางเดียว โดยผ๎เู รยี นจะต๎องใช๎การฟัง การวิเคราะห์ การจดจําเนื้อหาสาระ หรือจดบันทึกจากส่ิงที่ผ๎ูสอนได๎อธิบายไว๎ ทําให๎ผเู๎ รียนไมมํ ีโอกาสศกึ ษาค๎นคว๎าเป็นเพยี งผรู๎ บั วธิ กี ารสอนน้ีจงึ เน๎นผส๎ู อนเป็นสาํ คญั ลักษณะสําคัญของวิธีสอนโดยใช๎การบรรยาย ได๎แกํ การที่ผู๎สอนถํายทอดความรู๎แกํผ๎ูเรียนโดย การ พดู อธิบาย บอก เลํา ให๎ผเ๎ู รียนไดฟ๎ ัง และอาจจดบันทึกสาระสําคญั ไว๎สําหรบั การทบทวนความรู๎ การสอนโดยใช๎การบรรยายมีจุดมํุงหมายสําคัญ คือ 1) มุํงชํวยให๎ผ๎ูเรียนจํานวนมากได๎เรียนร๎ูใน เวลาท่ีจํากัด 2) เพ่ือให๎ความรู๎หรือประสบการณ์ใหมํแกํผู๎เรียน เป็นความร๎ูท่ีค๎นคว๎าหาได๎ยาก หรือเป็น 147
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315