เรียนรูไ๎ มทํ ันเพ่อื น หรอื สอบไมผํ าํ น ผสู๎ อนอาจให๎บทเรยี นแบบโปรแกรมแกํผ๎ูเรียน เพ่ือไปศึกษาเพ่ิมเติม ดว๎ ยตนเอง การสอนดว๎ ยวธิ ีน้ี ผูส๎ อนจําเปน็ ตอ๎ งมีบทเรยี นสาํ เร็จรูป ซ่ึงมีลกั ษณะที่ชํวยใหผ๎ เู๎ รยี น สามารถเรียนร๎ูได๎ด๎วยตนเอง ซ่ึงเรียกวํา บทเรียนแบบโปรแกรม บทเรียนนี้จะเสนอเน้ือหาไปทีละน๎อย ในรูปของ “กรอบ” หรือ “เฟรม” (Frame) หลังจากนําเสนอเน้ือหา/มโนทัศน์ไปแล๎ว จะมีคําถาม ทดสอบการเรียนรข๎ู องผ๎ูเรียน ซ่งึ ผู๎เรียนสามารถตรวจคําตอบของตนได๎จากคําเฉลยท่ีให๎ไว๎ บทเรียนแบบ โปรแกรมโดยท่ัวไปมี 3 ลักษณะ คือ (1) บทเรียนแบบเส๎นตรง หรือที่เรียกวํา “linear program” บทเรียนแบบนมี้ กี ารนําเสนอกรอบเนื้อหาไปตามลําดบั ผเู๎ รียนจาํ เป็นต๎องศึกษาเน้ือหาและตอบคําถามไป ตามลําดับท่ีให๎ไว๎ (2) บทเรียนแบบสาขา หรือที่เรียกวํา “branching program” บทเรียนแบบนี้ตําง จากแบบเส๎นตรง ตรงท่ีการตอบสนองของผู๎เรียนจะมีผลตํอลําดับการศึกษาบทเรียนของผู๎เรียน ผู๎เรียน เลอื กคําตอบ ก ข หรอื ค จะต๎องพลกิ ไปศึกษาขอ๎ คาํ ตอบท่ตี ํางกนั เชํน คําตอบ ก. เป็นคําตอบท่ีผิด คําเฉลยจะให๎เหตุผลและช้ีแจงวําเหตุใดจึงผิดและให๎กลับไปเลือกคําตอบใหมํ เม่ือเลือกคําตอบ ข. เป็น คําตอบใหมํ ก็ต๎องเปิดไปอํานเฉลยและเหตุผล หลังจากตอบถูกแล๎วจึงจะเรียนกรอบตํอไปได๎ ดังน้ัน ลําดับในการศึกษาบทเรียนของผ๎ูเรียนแตํละคนจึงอาจไมํเหมือนกัน (3) บทเรียนแบบไมํแยกกรอบ บทเรียนนี้เหมือนกับบทเรียนแบบเส๎นตรง เพียงแตํไมํเสนอเน้ือหาในรูปของกรอบ แตํจะเสนอสาระ ตอํ เนื่องกนั เป็นความเรียงตํอกนั ไปเรอื่ ย ๆ บทเรียนแบบโปรแกรมที่ใช๎สอนอาจเป็นบทเรียนที่มีผ๎ูได๎จัดทําไว๎แล๎ว ซ่ึงปกติมักเป็น เรื่องที่เป็นปัญหาในการเรียนร๎ูของเด็กจํานวนมาก บทเรียนในกรณีนี้ มักเป็นบทเรียนท่ีนิสิต นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือนักวิชาการ ไดจ๎ ดั ทําเป็นวทิ ยานิพนธ์หรือผลงานวิชาการเผยแพรํออกไป อยํางไรก็ตาม ผลงานในลักษณะนยี้ ังมีไมมํ ากนกั และเรื่องท่มี ีอยอูํ าจไมตํ รงกับความต๎องการของครูผ๎ูสอนซ่ึงมีจํานวนมาก ดังน้ันการสร๎างบทเรียนแบบโปรแกรมข้ึนใช๎เอง จึงเป็นเร่ืองที่ครูผ๎ูสอนควรจะดําเนินการ เพ่ือจะได๎ ตอบสนองตอํ ความต๎องการเฉพาะเร่ืองของตน ในการสร๎างบทเรยี นแบบโปรแกรม ผ๎ูสรา๎ งจะตอ๎ งวเิ คราะหเ์ น้อื หาทจ่ี ะสอนและนํา เน้ือหาสาระมาแตกยํอยและเรียงลําดับให๎เหมาะสม เพ่ือให๎งํายตํอการเรียนรู๎ หลังจากน้ันจึงนําเสนอ เนื้อหาสาระนัน้ ทลี ะน๎อยไปตามลําดับ และมีข๎อคําถามที่ท๎าทายความคิดของผู๎เรียนและมีคําตอบเฉลยให๎ ไว๎ด๎วย หลังจากน้ันควรมีการทดลองนําบทเรียนไปใช๎กับกลุํมยํอยแล๎วปรับปรุง จากนั้นจึงนําไปใช๎กับ กลํุมใหญํ เพ่อื หาประสทิ ธภิ าพของบทเรยี น 2. การดาเนินการ ผู๎สอนให๎ผ๎ูเรียนทําแบบสอบกํอนเรียน และชี้แจงวิธีการเรียนจาก บทเรียนแบบโปรแกรม ให๎ผู๎เรียนซักถามจนเป็นที่เข๎าใจ แล๎วจึงให๎ผู๎เรียนศึกษาบทเรียน โดยผู๎เรียนแตํ ละคนใชเ๎ วลามากนอ๎ ยแตกตํางกนั ไปได๎ 298
3. การประเมินผล หลังจากที่ผู๎เรียนศึกษาบทเรียนจบแล๎ว ผ๎ูสอนจึงให๎ทําแบบสอบ หลงั เรียน และตรวจใหค๎ ะแนน ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของวธิ สี อนโดยใชบ้ ทเรียนแบบโปรแกรม ถ๎ากลําวถึงข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรมนั้น ได๎มีนักวิชาการ กลําวถงึ ขอ๎ ดแี ละขอ๎ จาํ กัด ไวด๎ ังนี้ ทิศนา แขมมณี (2550 : 380) กลําวถึงข๎อดีและข๎อจํากัดของการสอนโดยใช๎บทเรียน โปรแกรม คอื ข้อดี 1. เปน็ วธิ สี อนทส่ี ํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนศึกษาดว๎ ยตนเอง 2. เปน็ วธิ สี อนท่ชี วํ ยให๎ผเู๎ รยี นเปน็ รายบคุ คลสามารถเรยี นรไู๎ ดต๎ ามความสามารถของตน เปน็ การตอบสนองความแตกตํางระหวํางบคุ คล 3. เปน็ วิธีสอนทชี่ วํ ยลดภาระครู และชํวยแกป๎ ัญหาการขาดแคลนครู ขอ้ จากัด 1. เป็นวิธีสอนท่ีพึ่งบทเรียนแบบโปรแกรม หากไมํมีบทเรียนหรือบทเรียนไมํมีคุณภาพดีพอ ก็ยอํ มสํงผลตอํ การเรยี นรูข๎ องผเ๎ู รียน 2. การสร๎างบทเรียนให๎มีคุณภาพท่ีดี เป็นเร่ืองที่ต๎องใช๎เวลาและมีความยุํงยากในการจัดทํา ผ๎ูสรา๎ งจําเป็นต๎องมีความร๎ู ความเข๎าใจในการสรา๎ งบทเรียน 3. บทเรยี นแบบโปรแกรมท่ีดยี ังมปี รมิ าณน๎อย บทเรยี นแบบโปรแกรมที่มคี ณุ ภาพไมํดี 4. พอจะไมํนําสนใจ และไมสํ ามารถดงึ ดูดความสนใจของผูเ๎ รียนและทาํ ใหผ๎ เู๎ รยี นเบอื่ หนํายได๎ บุญชม ศรีสะอาด (2541: 83-84) ได๎เสนอแนะข๎อดีและข๎อที่เป็นปัญหาของบทเรียนโปรแกรม วาํ บทเรียนโปรแกรมมีทง้ั ข๎อดแี ละข๎อทีเ่ ป็นปญั หาดังนี้ ขอ๎ ดี 1. ผเู๎ รียนมโี อกาสเรยี นดว๎ ยตนเองตามความสามารถของตน เปน็ การตอบสนองความ แตกตาํ งระหวาํ งบคุ คล 2. ผ๎เู รยี นจะเรียนท่ีใดเม่อื ใดก็ได๎ 3. ผูเ๎ รียนไดร๎ บั การกระต๎ุนใหเ๎ กิดกาํ ลังใจในการเรียน เพราะเรยี นไปตามลาํ ดบั ความ ยากงํายและทราบคําตอบที่ทําไป ข๎อทีเ่ ป็นปญั หา 299
1. การใชบ๎ ทเรียนโปรแกรมอยาํ งเดยี วโดยตลอด จะทําให๎ผ๎ูเรียนขาดการติดตํอซึ่งกันและกัน ไมํสํงเสรมิ การเรยี นรู๎จากกนั และกัน 2. การใช๎บทเรียนโปรแกรมในช้ันเรียน จะมีลักษณะเป็นผู๎ชํวยครูมากกวําท่ีจะใช๎แทนครู ทง้ั นีเ้ พราะอาจมีนักเรยี นบางคนมีข๎อสงสัยต๎องการคําแนะนําแกํครู จึงจําเป็นต๎องคอยดูแลอยํูตลอดเวลา อนงึ่ ครูอาจต๎องเปน็ ผดู๎ ําเนินการสอบนกั เรยี นกํอนและหลงั บทเรียนโปรแกรมน้ัน 3. การใชบ๎ ทเรียนโปรแกรมในชัน้ เรยี นผูท๎ เ่ี รียนไดร๎ วดเร็วจะเสร็จกอํ นและมีเวลาเหลืออีก ถ๎า ไมํมีกิจกรรมให๎ทําก็อาจมีพฤติกรรมที่รบกวนคนอื่น จะต๎องวางแผนและกําหนดงานพิเศษให๎ สํวนผู๎ท่ี เรียนช๎าบางคนอาจทาํ ไมเํ สร็จ ตอ๎ งให๎ทํานอกเวลาหรอื ให๎ไปทาํ ทีบ่ ๎านตอํ 4. ความซ่ือสัตย์เป็นสิ่งสําคัญที่จะชํวยให๎บรรลุผลที่ปรารถนา ถ๎านักเรียนไมํปฏิบัติตามวิธี เรียนท่ีถูกต๎อง กลําวคือ ไมํได๎ใช๎ความคิดในการตอบแตํใช๎วิธีดูเฉลยคําตอบแล๎วนํามาตอบ นอกจากจะ ทาํ ใหเ๎ รยี นไมไํ ด๎ผลแล๎ว ยังปลูกฝังการโกงอีกด๎วย จึงควรช้ีแจงให๎เข๎าใจให๎ถูกต๎องวํา วิธีการดังกลําวนั้น ไมํมีประโยชน์ใด ๆ สาํ หรับผู๎เรียน จากท้ังหมดทก่ี ลาํ วมา สรุปไดว๎ าํ การสอนโดยใชบ๎ ทเรียนโปรแกรมมีท้ังข๎อดีและขอ๎ จาํ กดั ซงึ่ มขี อ๎ ดดี ังน้ี 1. สงํ เสรมิ ให๎ผเ๎ู รียนเกิดการเรยี นรด๎ู ว๎ ยตนเองตามความสามารถของผูเ๎ รยี น 2. ฝึกให๎ผ๎เู รยี นเป็นคนรบั ผิดชอบและซ่ือสัตยต์ ํอตนเอง 3. สามารถจดั การเรยี นการสอนทไี่ หน เวลาใดก็ได๎ 4. ชํวยลดภาระของผสู๎ อน แก๎ปัญหาการขาดแคลนครูได๎ 5. ผู๎เรียนเกิดกําลังใจในการเรยี น โดยจะเรียนไปตามความยากงาํ ย ในสํวนของข๎อจาํ กัดของการสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรม มีดงั น้ี 1. ผเ๎ู รียนเกิดความเบือ่ หนาํ ยไดง๎ าํ ยหากวาํ มีการใช๎บอํ ยๆ 2. จาํ กดั ความสามารถของผเ๎ู รยี นเพราะต๎องตอบคาํ ถามตามทผี่ ๎สู รา๎ งบทเรยี นได๎วางไว๎ 3. ใชไ๎ ด๎กบั เฉพาะบางวชิ าเทาํ น้นั สรุปไดว๎ าํ วิธีสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรม หมายถึง การสอนที่ผู๎ได๎สร๎างแบบเรียนเอาไว๎ ให๎ผู๎เรียนได๎ศึกษาเน้ือหาด๎วยตนเอง ตามวัตถุประสงค์ที่ผู๎สอนไว๎กําหนดไว๎ โดยมีการทําแบบทดสอบกํอน และหลัง ซ่ึงเป็นการสอนที่จํากัดความสามารถและความสนใจของผ๎ูเรียนแตํละคน โดยมีเปูาหมายให๎ ผเ๎ู รยี นเรยี นตามความสนใจของตนเอง ได๎มีความร๎ูในบทเรียนได๎กว๎างขึ้น พร๎อมทั้งรู๎จักคิดและควบคุมการ เรยี นของตนเองใหไ๎ ด๎ องคป์ ระกอบที่สาํ คญั ของการเรียนการสอนวธิ ีนป้ี ระกอบไปด๎วยผ๎ูเรียนและผ๎ูสอน มี บทเรยี นโปรแกรมในเรอ่ื งท่ีตรงกบั ความสนใจของผูเ๎ รียนและมผี ลการเรียนรจ๎ู ากบทเรยี นโปรแกรม 300
วิธีสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรมจึงเป็นการเรียนที่ยึดผู๎เรียนเป็นศูนย์ เน๎นความสามารถ ของผู๎เรียนเป็นสําคัญ สามารถแบํงเนื้อหาเป็นหนํวยเล็กๆ ได๎ แตํขั้นตอนการสอนและการสร๎างบทเรียน โปรแกรมคํอนข๎างจะละเอียดและเป็นงานหนักสําหรับผ๎ูสอน เพราะผ๎ูสอนต๎องเตรียมเนื้อหาตามวัตถุประ สงท่ีจะสอน วิเคราะห์เน้ือหาบทเรียนวําต๎องกับความสนใจของผู๎เรียนหรือไมํ และยังต๎องนําไปทดลองใช๎ กับผู๎เรียนอน่ื ๆ กอํ นทจ่ี ะนาํ มาทดลองใชจ๎ รงิ อกี ดว๎ ย เมื่อผ๎ูสอนเตรียมและสร๎างบทเรียนเสร็จสิ้นแล๎วก็ต๎องนําไปให๎ผู๎เรียนเรียนร๎ูโดยการ ทดสอบกํอนการเรียน ผู๎สอนให๎คําแนะนําบทเรียนอยํางละเอียด และเมื่อผู๎เรียนศึกษาเสร็จก็ให๎ทําการทํา แบบทดสอบหลงั เรียนเพราะประเมนิ วาํ ผ๎เู รยี นเกดิ การเรียนจากบทเรยี นโปรแกรมมากน๎อยเพียงใด แตวํ ิธีสอนโดยใช๎บทเรียนโปรแกรมกม็ ีทั้งข๎อดีและข๎อเสีย ข๎อดีของการสอนวิธีนี้คือ เป็น การสงํ เสรมิ ให๎ผู๎เรียนศึกษาดว๎ ยตนเอง มีความรับผดิ ชอบ อกี ท้งั ยังชํวยลดภาระการสอนของผ๎ูสอน หรือใน กรณีท่ขี าดแคลนผส๎ู อนได๎ แตํกย็ งั มีข๎อจํากดั อาจจะทาํ ให๎ผ๎เู รยี นเบ่ือหนํายถา๎ ใชบ๎ ํอยๆ และจํากัดความคิด ของผ๎ูเรยี นในการเขยี นตอบขอ๎ คาํ ถาม ซ่ึงจะใชก๎ ับการเรยี นการสอนได๎เฉพาะบางวชิ าเทํานัน้ คาถามทา้ ยบท 1. จงอธบิ ายความหมายและจดุ มุํงหมายของ “วิธีสอนโดยใช๎บทเรยี นโปแกรม” 2. องค์ประกอบสําคัญของวิธีสอนโดยใชบ๎ ทเรียนโปแกรมจาํ เปน็ ต๎องมีอะไรบา๎ ง 3. หากทํานต๎องใชว๎ ิธสี อนโดยใชบ๎ ทเรยี นโปรแกรม ทาํ นจะมขี น้ั ตอนในการสร๎างและใช๎ บทเรยี นโปรแกรมไดอ๎ ยํางไร 4. ทํานคดิ วาํ การสอนโดยใชบ๎ ทเรียนโปรแกรม มขี อ๎ ดแี ละข๎อจํากัดอะไรบา๎ ง จงอธิบาย 5.16 การสร้างผงั ความคดิ หรือแผนทีค่ วามคิด (Concept Mapping Mind Map) จริยา วไิ ลวรรณ (2560) ไดก๎ ลาํ วไวว๎ ํา การสรา๎ ง แผนทคี่ วามคิด หรอื Mind Map นั้น “ใช๎แสดงการเช่ือมโยงข๎อมูลเกี่ยวกับเร่ืองใดเรื่องหนึ่งระหวํางความคิดหลัก ความคิดรอง และ ความคดิ ยอํ ยท่เี กยี่ วขอ๎ งสมั พนั ธก์ ัน” ลกั ษณะการเขียนผังความคิด เทคนิคการคิดคือ นําประเด็นใหญํ ๆ มาเป็นหลัก แล๎วตํอด๎วยประเดน็ รองในช้นั ถัดไป ขนั้ ตอนการสร้าง Mind Map 1. เขียน/วาดมโนทศั น์หลักตรงก่ึงกลางหน๎ากระดาษ 2. เขยี น/วาดมโนทัศน์รองที่สัมพันธ์กบั มโนทัศนห์ ลักไปรอบ ๆ 3. เขียน/วาดมโนทัศนย์ อํ ยท่ีสัมพนั ธก์ บั มโนทัศน์รองแตกออกไปเรอ่ื ย ๆ 4. ใช๎ภาพหรือสญั ลกั ษณส์ ือ่ ความหมายเปน็ ตัวแทนความคิดใหม๎ ากทีส่ ุด 301
5. เขยี นคาํ สาํ คญั (Key word) บนเส๎นและเส๎นต๎องเช่อื มโยงกนั 6. กรณใี ช๎สี ทง้ั มโนทศั นร์ องและยอํ ยควรเปน็ สีเดยี วกัน 7. คิดอยํางอิสระมากที่สุดขณะทํา เขียนคําหลัก หรือข๎อความสําคัญของเร่ืองไว๎กลาง โยงไปยังประเด็นรอรอบ ๆ ตามแตํวาํ จะมกี ีป่ ระเด็น กฏการสรา้ ง Mind Map 1. เรม่ิ ด๎วยภาพสีตรงก่ึงกลางหน๎ากระดาษ 2. ใช๎ภาพให๎มากท่สี ดุ ใน Mind Map ของคุณ ตรงไหนที่ใช๎ภาพไดใ๎ ห๎ใช๎ กอํ นคํา หรอื รหัส เป็น การชํวยการทาํ งานของสมอง ดงึ ดูดสายตา และชวํ ยความจํา 3. ควรเขียนคําบรรจงตวั ใหญํๆ ถา๎ เปน็ ภาษาองั กฤษให๎ใช๎ตวั พิมพ์ใหญํ จะชํวยให๎เราสามารถ ประหยดั เวลาได๎ เม่ือย๎อนกลับไปอํานอกี ครั้ง 4. เขยี นคําเหนอื เส๎นใต๎ แตํละเส๎นต๎องเชือ่ มตอํ กบั เส๎นอน่ื ๆ เพ่ือให๎ Mind Map มีโครงสร๎างพ้นื ฐานรองรบั 5. คาํ ควรมีลักษณะเป็น \"หนํวย\" เปิดทางให๎ Mind Map คลอํ งตัวและ ยืดหยุํนได๎มากขึ้น 6. ใช๎ สี ทว่ั Mind Map เพราะสีชํวยยกระดบั ความคิด เพลนิ ตา กระต๎นุ สมองซีกขวา 7. เพ่ือใหเ๎ กิดความคดิ สรา๎ งสรรค์ใหมํ ควรปลํอยให๎สมองคิดมอี สิ ระมากท่ีสดุ เทาํ ท่จี ะเป็นไปได๎ วิธีการเขียน Mind Map โดยละเอียดอีกวิธหี นง่ึ 1.เตรยี มกระดาษเปลําท่ีไมํมีเสน๎ บรรทัดและวางกระดาษภาพแนวนอน 2.วาดภาพสหี รือเขยี นคําหรอื ขอ๎ ความท่สี อ่ื หรือแสดงถึงเร่อื งจะทํา Mind Map กลาง หนา๎ กระดาษ โดยใช๎สีอยํางน๎อย 3 สี และตอ๎ งไมํตกี รอบด๎วยรปู ทรงเรขาคณติ 3.คิดถึงหัวเรือ่ งสําคญั ทเ่ี ปน็ สํวนประกอบของเรือ่ งท่ีทํา Mind Map โดยให๎เขียนเปน็ คํา ท่มี ี ลกั ษณะเป็นหนวํ ย หรอื เป็นคําสําคญั (Key Word) สั้น ๆ ที่มคี วามหมาย บนเส๎น ซ่ึงเสน๎ แตลํ ะ เส๎นจะตอ๎ งแตกออกมาจากศูนย์กลางไมํควรเกิน 8 กิ่ง 4.แตกความคดิ ของหวั เร่อื งสาํ คญั แตํละเรื่องในข๎อ 3 ออกเป็นก่งิ ๆ หลายกง่ิ โดยเขยี นคําหรอื วลี บนเส๎นที่แตกออกไป ลักษณะของกง่ิ ควรเอนไมํเกนิ 60 องศา 5.แตกความคดิ รองลงไปที่เป็นสํวนประกอบของแตํละกิ่ง ในขอ๎ 4 โดยเขยี นคาํ หรอื วลเี ส๎นท่ีแตก ออกไป ซ่ึงสามารถแตกความคิดออกไปเรือ่ ยๆ 6.การเขียนคาํ ควรเขยี นด๎วยคาํ ท่ีเป็นคําสาํ คัญ (Key Word) หรือคาํ หลกั หรอื เปน็ วลที ่ีมี ความหมายชดั เจน 302
7.คาํ วลี สัญลักษณ์ หรอื รปู ภาพใดที่ต๎องการเนน๎ อาจใชว๎ ิธีการทาํ ให๎เดํน เชํน การล๎อมกรอบ หรอื ใสกํ ลอํ ง เปน็ ต๎น 8. ตกแตงํ Mind Map ทีเ่ ขียนด๎วยความสนกุ สนานทงั้ ภาพและแนวคดิ ที่เชื่อมโยงตํอกนั การนาไปใช้ 1. ใช๎ระดมพลังสมอง 2. ใช๎นําเสนอขอ๎ มลู 3. ใช๎จัดระบบความคิดและชํวยความจาํ 4. ใช๎วเิ คราะห์เน้ือหาหรืองานตําง ๆ 5. ใชส๎ รปุ หรือสร๎างองค์ความร๎ู ปัญหาที่มกั พบในการบนั ทกึ ความคดิ สรุปดว้ ย Mind Map ในการบนั ทึกความคิดสรุปดว๎ ย Mind Map หรือแผนท่ีความคดิ นัน้ ทง้ั จากประสบการณ์ ของตวั เขยี นเอง และคําถามจากผ๎ไู ดล๎ องปฏบิ ตั มิ กั คล๎ายคลึงกนั พอทีจ่ ะสรปุ ไดด๎ งั น้ี 1. ฟังไมํทนั 2. จบั ประเด็นไมํถูก แยกไมอํ อก ไมํรูว๎ าํ ควรเป็นหมวดใด กลํุมใด 3. ไมํรว๎ู ําจะวางเรือ่ งอยาํ งไร อันไหนควรเป็นเร่ืองหลกั เร่ืองรองหรือเร่ือง ยอํ ย ๆลงมา แนวทางแกไ้ ข จากประสบการณ์ทีเ่ คยทดลองใช๎ประกอบกบั ผเ๎ู ชี่ยวชาญหลายทาํ นเคยเสนอแนะเทคนิค ไว๎ พอสรปุ ทางออกของปัญหาเหลํานไี้ ด๎ดงั นี้ 1. การทาํ ความเข๎าใจภาพรวมใหญํทง้ั หมดของเร่ืองกํอน จะชวํ ยใหเ๎ ราเห็นโครงสร๎าง ตํางๆ ของเรอ่ื งนั้นชัดเจนขึน้ 2. ผ๎ูบนั ทึกความคิดต๎องมีสมาธิสูง มคี วามน่งิ มากพอทจี่ ะทําให๎จิตใจจดจํอตั้งม่ันอยกูํ บั เรือ่ งท่ีกาํ ลงั ฟัง พยายามจับประเด็นให๎ไดแ๎ กํนหรือหวั ใจสาํ คัญของเร่ืองน้นั ๆ แล๎วจึงถอดสรุปเป็นคําสัน้ ๆ 3. ใช๎วิธสี าํ รวจคราํ ว ๆ ในระหวํางท่ีสมาชกิ ผร๎ู วํ มเรียนรกู๎ าํ ลังระดมสมอง คิดดูวาํ ในแตลํ ะ กลุํมยอํ ยน้ัน เขามปี ระเด็นที่คุยกนั หลกั ๆ เรอ่ื งอะไรบ๎างแลว๎ บนั ทกึ หวั ขอ๎ ไวใ๎ นกระดาษ เพื่อใช๎เป็นข๎อมลู ใน การวางภาพรวมตํอไป 4. หมนั่ ฝกึ ฝนบํอย ๆ ผู๎เขยี นสังเกตเห็นเพ่ือนรํวมงานภาคประชาสังคมหลายทํานทีใ่ ช๎ วธิ กี ารบันทกึ แบบ Mind Map เป็นประจาํ ไมวํ ําประเดน็ ในการประชมุ อบรม สัมมนา แมก๎ ระทัง่ การ 303
ตงั้ วงคุยในเรอ่ื งจปิ าถะ ไปจนถึงป๊ิง แวบ อะไรขึน้ มาได๎ แล๎วต๎องบนั ทึกไวก๎ นั ลืม ก็ยงั เปน็ รูปแบบของแผนที่ ความคดิ การฝึกบํอย ๆ จะชวํ ยใหเ๎ กดิ ทักษะ มีความชํานาญข้นึ เร่ือย ๆ จากประสบการณ์ของผ๎ูเขียนในการจัดเวทีการเรียนร๎ูในประเด็นตําง ๆ ของกลุํมคนที่ หลากหลาย พบวํา Mind Map เป็นเครื่องมือท่ีชํวยพัฒนาคนให๎สามารถคิดได๎เกํงข้ึน สามารถคิดได๎กว๎าง เกิดการคิดที่ละเอียดถ่ีถ๎วน มีความเช่ือมโยง เกิดพลังสมอง คิดสร๎างสรรค์ได๎มาก ยิ่งถ๎าได๎เข๎ากลํุมรํวมกัน คิดด๎วยแล๎ว จะเห็นการตํอยอดความคิดของกันและกันหนุนเน่ืองไป ชํวยให๎เกิดการแตกแขนงความคิด ออกไปไมรํ ู๎จบ ย่งิ ในคนท่ไี ด๎มีโอกาสเขา๎ รวํ มเวทีซํา้ แล๎วซํ้าเลําจะยิง่ เห็นการพฒั นาความคิดของเขาย่ิงแหลม คมข้ึนเรื่อย ๆ Mind Map เป็นเรื่องราวของทักษะการฝึกคิดและฝึกเขียน ยิ่งฝึกฝนก็ย่ิงเกํง ในวันน้ี... ยามนี้คงไมํมีอะไรท่ีจะทําให๎ประเทศชาติของเราพัฒนาได๎มากไปกวําการพัฒนาการคิดหรือการพัฒนา สมองของคนในชาตอิ ีกแลว๎ รปู แบบการเรยี นการสอนทีเ่ น้นผูเ้ รยี นเป็นสาคญั (อ้างถึงใน เทคนิค/วิธกี ารสอน ทกั ษะ/พฤติกรรมที่มงุ่ เนน้ บทบาทผู้เรียน 1) กระบวนการสบื ค๎น - การศึกษาคน๎ ควา๎ ศึกษาคน๎ คว๎า เพื่อสบื คน๎ (Inquiry Process) - การเรียนรู๎กระบวนการ ข๎อความร๎ูดว๎ ยตนเอง - การตดั สินใจ - ความคิดสรา๎ งสรรค์ 2) การเรียนแบบค๎นพบ - การสังเกต การสืบค๎น ศกึ ษา คน๎ พบข๎อความรู๎และ (Discovery Learning) - การให๎เหตผุ ล การอ๎างอิง ข้นั ตอนการเรยี นรดู๎ ว๎ ยตนเอง - การสร๎างสมมติฐาน 3) การเรยี นแบบแก๎ปัญหา - การศกึ ษาคน๎ คว๎า ศึกษา แก๎ปญั หาอยํางเป็น (Problem-solving) - การวิเคราะห์ สงั เคราะห์ กระบวนการและฝกึ ทักษะการ ประเมินค๎าข๎อมลู เรียนรท๎ู สี่ ําคัญด๎วยตนเอง - การลงข๎อสรปุ - การแกป๎ ัญหา 4) การเรียนแบบสร๎างแผนผัง - การคิด จดั ระบบความคิดของตนให๎ ความคดิ (Concept Mapping) - การจดั ระบบความคิด ชดั เจน เหน็ ความสัมพันธ์ 5) การตัง้ คาํ ถาม (Questioning) - กระบวนการคดิ เรียนรูจ๎ ากคิดเพอ่ื สรา๎ งขอ๎ - การตีความ คาํ ถามและคําตอบดว๎ ยตนเอง 304
รูปแบบการเรียนการสอนท่เี น้นผู้เรียนเป็นสาคัญ (อ้างถึงใน เทคนคิ /วธิ กี ารสอน ทกั ษะ/พฤตกิ รรมที่มงุ่ เนน้ บทบาทผเู้ รียน - การไตรํตรอง - การถํายทอดความคิด ความ เข๎าใจ 6) การศึกษาเป็นรายบุคคล - การศกึ ษาคน๎ คว๎าข๎อความร๎ู เรยี นร๎ูอยาํ งเปน็ อิสระดว๎ ย (Individual Study) - การนาํ ความร๎ูไปใช๎ประโยชน์ ตนเอง - ความรบั ผิดชอบ 7) การจดั การเรยี นการสอนท่ีใช๎ - การตอบคาํ ถาม เรยี นรด๎ู ๎วยตนเองตามระดับ เทคโนโลยี (Technology - - การแก๎ปัญหา ความร๎ูความสามารถของตน มี Related Instruction) - การนําความรู๎ไปใช๎ประโยชน์ การแก๎ไขฝึกซา้ํ เพื่อสร๎างความรู๎ ประกอบด๎วย - การเรียนร๎ูทต่ี ๎องการผลการ ความเข๎าใจและความเช่ียวชาญ - ศูนย์การเรียน เรียนรทู๎ นั ที - ชดุ การสอน - การเรยี นร๎ตู ามลาํ ดับขน้ั - บทเรยี นสําเร็จรปู - คอมพิวเตอร์ชํวยสอน - e-learning 8) การอภปิ รายกลมํุ ใหญํ - การแสดงความคดิ เหน็ มอี ิสระในการแสดงความ (Whole - Class Discussion) - การวิเคราะห์ คดิ เห็น มีบทบาทมสี ํวนรํวมใน - การตีความ การสร๎างข๎อความรู๎ - การสอื่ ความหมาย - ความคิดรเิ ร่ิมสร๎างสรรค์ - การสรปุ ความ 9) การอภปิ รายกลมุํ ยํอย (Small - กระบวนการกลมุํ รับผิดชอบตํอบทบาทหน๎าที่ - Group Discussion) - การวางแผน ของตนเองในฐานะผนู๎ ํากลํุม - การแกป๎ ัญหา หรือสมาชิกกลุํมทัง้ ในบทบาท - การตดั สนิ ใจ การทํางานและบทบาท - ความคิดระดับสงู เก่ยี วกบั การรวมกลมํุ ในการ - ความคิดสรา๎ งสรรค์ สร๎างขอ๎ ความร๎ูหรอื ผลงานกลุํม - การแก๎ไขข๎อขดั แยง๎ 305
รูปแบบการเรียนการสอนท่เี น้นผ้เู รยี นเปน็ สาคัญ (อ้างถึงใน เทคนิค/วิธกี ารสอน ทักษะ/พฤติกรรมที่มงุ่ เนน้ บทบาทผ้เู รียน - การส่ือสาร - การประเมนิ ผลงาน - การสร๎างบรรยากาศการเรียนรู๎ - 9.1 เทคนิคคูํคิด (Think- - การค๎นคว๎าหาคําตอบ รับผิดชอบการเรยี นรวํ มกับ Pair-Share) - การแลกเปลีย่ นความคิดเห็น เพอ่ื น - 9.2 เทคนิคการระดมพลัง - การมสี วํ นรํวม แสดงความคดิ เหน็ อยําง สมอง (Brainstorming) - การแสดงความคดิ เห็น หลากหลายในเวลาอันรวดเรว็ - ความคดิ สรา๎ งสรรค์ - การแกป๎ ัญหา - 9.3 เทคนิค Buzzing - การคน๎ ควา๎ หาคําตอบด๎วยเวลา แสดงความคดิ เหน็ เพื่อหา จาํ กดั ข๎อสรุปในเวลาอนั จํากัด - 9.4 การอภปิ รายกลํมุ แบบ - การสอ่ื สาร รบั ฟังข๎อมูลความคิดเหน็ เพอ่ื ตาํ ง ๆ (Panel, Forum, - การแลกเปลี่ยนความคดิ เห็น หาข๎อสรปุ ในเวลาอันจํากดั Symposium, Seminar - การสรปุ ข๎อความร๎ู - การฝึกซ้ํา ทบทวนจากกลํุมหรอื เพื่อ - 9.5 กลมํุ ติว - การสอ่ื สาร หรือเรยี นเพมิ่ เตมิ - การค๎นคว๎าหาความรู๎ 10) การฝกึ ปฏบิ ตั ิการ - การรวบรวมขอ๎ มลู ศึกษาคน๎ ควา๎ ข๎อความรใ๎ู น - การแก๎ปัญหา ลักษณะกลมุํ ปฏิบัติการ 11) เกม (Games) - การคดิ วเิ คราะห์ - การตดั สนิ ใจ ไดเ๎ ลํมเกมด๎วยตนเองภายใต๎ - การแกป๎ ัญหา กฎหรอื กติกาที่กําหนด ได๎คิด วเิ คราะหพ์ ฤตกิ รรมและเกิด 12) กรณีศึกษา (Case Studies) - การค๎นคว๎าหาความร๎ู ความสนกุ สนานในการเรียน - การอภิปราย - การวเิ คราะห์ ไดฝ๎ กึ คิดวเิ คราะห์อภปิ ราย - การแก๎ปัญหา เพื่อสร๎างความเข๎าใจแลว๎ ตัดสินใจเลอื กแนวทาง แกป๎ ัญหา 306
รปู แบบการเรยี นการสอนทเี่ น้นผูเ้ รยี นเปน็ สาคญั (อา้ งถงึ ใน เทคนิค/วิธีการสอน ทักษะ/พฤตกิ รรมท่ีมุ่งเน้น บทบาทผู้เรียน 13) สถานการณ์จําลอง - การแสดงความคดิ เห็น ได๎ทดลองแสดงพฤติกรรม (Simulation) - ความรส๎ู ึก ตาํ ง ๆ ในสถานการณท์ ่จี าํ ลอง - การวิเคราะห์ ใกล๎เคียงสถานการณ์จรงิ 14) ละคร (Dramatization) - ความรบั ผิดชอบในบทบาท ได๎ทดลองแสดงบทบาท - การทํางานรํวมกนั ตามท่ีกําหนดเกิดประสบการณ์ - การวิเคราะห์ เข๎าใจความรู๎สึก เหตผุ ล และ พฤติกรรมผ๎ูอ่นื 15) บทบาทสมมติ - มนุษยสมั พนั ธ์ ได๎ลองสวมบทบาทตาํ ง ๆ - การแกป๎ ัญหา และศึกษาวิเคราะห์ความรสู๎ ึก - การวเิ คราะห์ และพฤติกรรมตน 16) การเรียนแบบรํวมมือ - กระบวนการกลมํุ ไ ด๎ เ รี ย น รู๎ บ ท บ า ท ส ม า ชิ ก (Cooperative Learning) - การสอ่ื สาร กลํุมมีบทบาทหน๎าท่ี รู๎จักการ ประกอบดว๎ ยเทคนิค JIGSAW, - ความรบั ผิดชอบรํวมกนั ไว๎วางใจให๎เกียรติและรับผัง JIGSAW II, TGT, STAD,LT,GI, - ทักษะทางสงั คม ความคิดเห็นของเพ่ือนสมาชิก NHT, Co-op Co-op - การแก๎ปัญหา กลุํม และรับผิดชอบการเรียนร๎ู - การคิดแบบหลากหลาย ของตนและเพอ่ื น ๆ ในกลมุํ 17) การเรียนรแู๎ บบมสี วํ นรวํ ม - การสร๎างบรรยากาศการ (Participatory Learning) มีสํวนรํวมในการอภิปราย ทํางานรํวมกนั แสดงความคิดเห็นหรือปฏิบัติ 18) การเรียนการสอนแบบ - การนาํ เสนอความคิด จนไดข๎ ๎อสรปุ บูรณาการ แบบ Shoreline Method ประสบการณ์ มี สํ ว น รํ ว ม ใ น ก า ร เ รี ย น ท้ั ง - การส่ือสารและปฏสิ มั พนั ธ์ ทางด๎านรํางกาย จิตใจและ - กระบวนการกลมุํ การคิด ดําเนินการเรียนด๎วย - การค๎นคว๎าหาความร๎ู ต น เ อ ง ทั้ ง ใ น ห๎ อ ง เ รี ย น แ ล ะ - การสร๎างองคค์ วามรูด๎ ๎วย ตนเอง - ทกั ษะทางสงั คม 307
รูปแบบการเรยี นการสอนท่เี น้นผูเ้ รียนเป็นสาคัญ (อา้ งถงึ ใน เทคนิค/วธิ กี ารสอน ทักษะ/พฤตกิ รรมท่ีมุ่งเนน้ บทบาทผเู้ รียน - กระบวนการกลมุํ สถานการณ์จริง ศึกษา ปฏิบัติ - การสอื่ สาร ด๎วยตนเองทุกเร่ือง รํวมแรง - การแกป๎ ัญหา รวํ มใจดว๎ ยความเต็มใจ เอกสารอ้างองิ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. กรมวิชาการ. (2539) คํูมือการพฒั นาโรงเรยี นเขา๎ สูํมาตรฐานการศึกษา : การจดั ส่ิงแวดล๎อมในการเรียนการสอน. กรุงเทพมหานคร : สํานกั ทดสอบทางการศึกษา กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. จําเริญ ชชู วํ ยสวุ รรณ. (2544). เอกสารประกอบการสอนวิชาหลักและวิธีการสอน. นครศรธี รรมราช : ภาควิชาเกษตรศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ สถาบนั เทคโนโลยีราช-มงคล. ชาตรี เกดิ ธรรม. (2542). การเรยี นการสอนวิทยาศาสตรเ์ น๎นนกั เรียนเปน็ ศูนย์กลาง. กรงุ เทพฯ. เซน็ เตอรด์ สิ คัพเวอรี. ชาญชัย ยมดษิ ฐ.์ (2548) เทคนคิ และวิธกี ารสอนรวํ มสมัย. กรงุ เทพมหานคร : หลักพิมพ์. ดวงเดอื น เทศวานิช. (2533) หลักการสอนท่วั ไป. กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าหลักสตู รและการสอน คณะวชิ าครุศาสตร์ วทิ ยาลยั พระครนู คร. ดารกิ า วรรณวนชิ . (2549). ยทุ ธศาสตรก์ ารสอน. กรงุ เทพฯ : โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัย ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝุายมัธยม). ทองเพชร เกริกชยั . (2555). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูแบบสืบเสาะหาความร๎ู 7 ขัน้ กลํุมสาระการ เรียนรู๎วทิ ยาศาสตร์ เร่อื งสารในชีวิตประจาํ วนั ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6. การศกึ ษา ค๎นคว๎าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ทิศนา แขมมณี. (2546). รปู แบบการเรยี นการสอน : ทางเลอื กท่หี ลากหลาย. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แหงํ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ______________. (2550). ศาสตรก์ ารสอน : องค์ความรูเ๎ พื่อการจัดกระบวนการเรยี นรทู๎ มี่ ี ประสิทธิภาพ. พิมพ์ครง้ั ที่ 6. กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ______________. (2555). ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามร้เู พ่ือการจดั กระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสทิ ธภิ าพ. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . บุญชม ศรสี ะอาด. (2537) การพฒั นาการสอน. กรงุ เทพมหานคร : สุวรี ิยาสาสน์. ______________. (2541). การพฒั นาการสอน. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2. กรุงเทพมหานคร : ชมรมเด็ก , 308
ประดินันท์ อุปรนัย. พืน้ ฐานการศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช , 2540. ประสาท เนืองเฉลิม. (2550). การออกแบบการเรียนรแ๎ู บบย๎อนกลบั (Backward Design). วารสาร มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร.์ 26(2): 82-88. ______________. (2550). การเรยี นรว๎ู ิทยาศาสตรแ์ บบสืบเสาะ 7 ขน้ั . วารสารวชิ าการ. 10(4): 25-30. ______________. (2550). มิตวิ ิทยาศาสตรพ์ ้ืนบ๎านสูํการเรียนการสอน. วารสารวชิ าการ.10(2): 24-28. ปรีชา คมั ภรี ปกรณ์. (2540). หลักการสอน. ใน เอกสารการสอน ชุด วชิ าวทิ ยาการสอน หนํวยที่ 8-15. พิมพค์ ร้งั ที่ 15. นนทบุรี : มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. พมิ พันธ์ เดชะคุปต์. (2544). การเรียนการสอนทเ่ี น๎นผ๎เู รียนเปน็ สาํ คญั แนวคิด วิธีและเทคนิคการสอน. พิมพ์ครง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร : บริษัทพฒั นาคุณภาพวชิ าการ (พว.). พูลสุข กจิ รัตนี. การสอน : หลักการและแนวปฏิบตั ิ. กรงุ เทพมหานคร : ภาควิชาหลกั สูตรและการสอน คณะวิชาครุศาสตร์ วทิ ยาลยั ครูพระนคร, 2531. ไพฑรู ย์ สุขศรีงาม. (2545). ความรเู๎ กยี่ วกับการสอนแบบสบื เสาะ. วารสารมหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทร วโิ รฒ มหาสารคาม. ไพฑรู ย์ สขุ ศรงี าม. (2546).การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ กบั การพฒั นานักเรียนใหเ๎ ป็ นคนเกงํ คนดี และมคี วามสขุ . มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. ภพ เลาหไพบูลย์. (2542). การสอนวิทยาศาสตร์ ในโรงเรยี น. ภาควิชามัธยมศึกษา: มหาวิทยาลัยเชียงใหมํ. ระววี รรณ วฒุ ปิ ระสทิ ธ.ิ์ (2530). บทเรยี นวิชาชดุ ครทู างวทิ ยุไปรษณีย์ชดุ วิชาครู ระดบั พ.ม. วชิ า หลกั การสอน. นครสวรรค์ : ศนู ยก์ ารศึกษาสําหรบั ครูทางวทิ ยไุ ปรษณีย์. วีระยุทธ วิเชยี รโชต.ิ (2521). “จิตวิทยาการเรยี นการสอนแบบสืบสวนสอบสวน” มิตรครู. 15(กนั ยายน), 11-16. รํุงทิวา จักร์กร. (2523). วิธสี อนท่วั ไป. กรุงเทพฯ : ภาควิชาหลักสตู รและการสอน คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ลาํ พอง บญุ ชํวย. การสอนเชิงระบบ. ปทมุ ธานี. วิทยาลยั ครเู พชรบุรีวทิ ยาลงกรณ์ , 2530. วารี ถริ ะจิตร. การพฒั นาการสอนสังคมศึกษาระดับประถมศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร : วฒั นาพานิช , 2526. วไลพร คุโณทยั . บทเรียนวชิ าชุดครูทางวิทยไุ ปรษณีย์ชดุ วิชาครู ระดบั พ.ม. วชิ า หลักการสอน. นครสวรรค์ : ศูนยก์ ารศึกษาสาํ หรับครูทางวิทยุไปรษณีย์ , 2530. วันเพ็ญ จันทรเ์ จริญ. (2542). การเรยี นการสอนปจั จุบนั . สกลนคร : สถาบนั ราชภัฏสกลนคร. วฒั นาพร ระงบั ทุกข์ (2545) เทคนิคและกิจกรรมการเรยี นรทู๎ เ่ี น๎นผ๎ูเรยี นเป็นสาํ คญั . กรุงเทพฯ: สํานกั พมิ พ์พริกหวานกราฟฟิค. 309
ศักด์ชิ ยั นิรัญทวี และไพเราะ พุํมม่ัน. (2542). วัฏจักรการเรยี นรู้ 4 MAT การจดั กระบวนการ เรยี นรเู้ พอ่ื ส่งเสริมคณุ ลกั ษณะเก่ง ดี มีสขุ . นนทบุรี: SSR Printing. ไสว ฟักขาว. (2544). หลักการสอนสาํ หรับการเป็นครมู ืออาชีพ. กรงุ เทพมหานคร : สถาบนั ราชภฎั จันทรเกษม. สามารถ คงสะอาด. หลักการสอน. สงขลา : วทิ ยาลัยสงขลา , 2535. สิริวรรณ ศรีพหล และพันทิพา อุทยั สุข “หลกั การสอน” ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าวทิ ยาการสอน หนํวยที่ 8-15. พิมพ์ครงั้ ที่ 15. นนทบรุ ี : มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช , 2540. เสริมศรี ลักษณศิริ. (2530). การประถมศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน คณะวชิ าครศุ าสตร์ วทิ ยาลยั ครพู ระนคร. เสริมศรี ลักษณศิริ. หลกั การสอน. กรงุ เทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ วิทยาลยั ครสู วนดสุ ิต, 2540. สมศกั ด์ิ ภวูํ ภิ าดาวรรธน์. (2544). การสอนโดยยึดผเู๎ รยี นเป็นศูนยก์ ลางและการประเมินตามสภาพจริง. กรงุ เทพมหานคร : Kownlege of Center. สถาบันสงํ เสริมการสอนวทยิ าศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2545). คํูมอื การจดั การเรยี นรู๎ กลุํมสาระการเรยี นรู๎ คณิตศาสตร์.กรุงเทพฯ: สถาบนั สงํ เสริมการสอนวทิยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สุคนธ์ สนิ ธพานนทแ์ ละคณะ. (2545). การจดั กระบวนการเรียนรู๎ : เนน๎ ผ๎เู รยี นเป็นสาํ คญั ตามหลกั สตู รการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. สชุ าติ วงคส์ ุวรรณ. (2542). การเรียนร๎สู าํ หรับศตวรรษที่ 21 การเรียนรทู๎ ผี่ เู๎ รียนเปน็ ผสู๎ รา๎ งความร๎ดู ๎วย ตนเอง โครงงาน.: ม.ป.ท. สพุ นิ บญุ ชูวงค์. (2544). หลกั การสอน. กรงุ เทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ วิทยาลัยครูสวนดุสิต. สุภรณ์ สภาพงค.์ (2540). โครงงานทางเลอื กหน่ึงของการจัดการเรยี นรใู๎ ห๎ผ๎ูเรียนให๎ผ๎เู รียน เกดิ การ เรียนรท๎ู ่ีแท๎จรงิ . กรุงเทพมหานคร : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. สุวัฒน์ มทุ ธเมธา. การเรียนการสอนปจั จบุ ัน. กรงุ เทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์ , 2523. สวุ ทิ ย์ มลู คาํ , อรทยั มูลคาํ . (2545). 19 วิธีการจดั การเรยี นรเ๎ู พ่ือพัฒนาความรแู๎ ละทักษะ. กรุงเทพฯ : ดวงกมลสมยั . สุปรยี า ตันสกลุ . (2540). ผลของการใช้รปู แบบการจดั ข้อมูลด้วยแผนภาพที่มีต่อสัมฤทธผิ์ ลทางการ เรยี นและความสามารถทางการแกป้ ัญหาของนกั ศึกษาระดบั ปรญิ ญาตรี ชั้นปที ี่ 2. (ปริญญา นิพนธป์ ริญญาดุษฎบี ัณฑติ ) กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สวุ มิ ล เขี้ยวแกว๎ . (2540). การสอนวิทยาศาสตรร์ ะดับมธั ยมศึกษา. ปตั ตาน:ี ภาควิชาการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปัตตาน.ี 310
อรทยั มลู คํา, สวุ ิทย์ มูลคาํ , นุกูล คชฤทธิ์ และนภดล เจนอักษร. (2542). Child Center Storyline Method : การบรู ณาการหลักสูตรและการเรยี นการสอนโดยเน้นผ้เู รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง. กรุงเทพฯ: ที.พี.พรนิ้ ท์ จํากดั . อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2546). หลักการสอน. พิมพ์ครงั้ ท่ี 3. กรุงเทพมหานคร : สาํ นักพิมพ์หลักพมิ พ์. อนิ ทิรา บุญยาทร. (2542). หลกั การสอน. กรุงเทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภัฎบ๎าน สมเด็จเจ๎ายาพระยา. อรภัทร สิทธิรักษ.์ (2540). หลักการสอน. นครศรธี รรมราช : สถาบนั ราชภฎั นครศรีธรรมราช. Massialas, Byron G. and Cox, Benjamin. (1966). Inquiry in Social Studies. New York : McGraw – Hil., Bloom, B.S. (1956). Taxonomy of educational objectives. Handbook II : Affective domain. New York : Mckay. Barman,C.R. and Kotar,M. 1989. “Teaching Teachers : The Learning Cycle”,Science and. Children. 7 (April 1989),30-32. Bruner, J. , Goodnow, J.J. , & Austin, G.A. (1967). A study of thinking. New York : Science Editions Clarke, J.H. (1991). Using visual organizers to fous on thinking. Journal of Reading, 34(7), 526-534 Dave, R. (1967). Psychomotor domain. Berlin : International Conference of Educational Testing. Gagné, R.M. (1985). The Conditions of Learning. New York : Holt, Rinchart & Winston. Jones, B.F., Pierce, J. & Hunter, B. (1989). Teaching students to construct graphic organizers. Educational Leadership, 46(4); 20-25. Joyce, B. & Weil, M.& Showers, B. (1992). Models of teaching. Boston : Allyn and Bacon. Joyce, B. & Weil,M. (1996). Models of teaching (sthed). London : Allyn and Bacon. Karplus. (1977). primarily for teaching concepts of elementary school Renner, J. W. & Marek, E.A. (1990). An Educational Theory Base for Sciences Teaching Journal of Reseach in Science Teaching, 27, 241-246. Science Teaching. Portsmouth, NH: Heinemann Educational Books. 311
Shaftel, F. & shaftel. (1967). Role playing for social values : Decision making in the social studies. Englewood Cliffs, N.J. : Prentice – ltall. Simpson, D. (1972). Teaching physical education : A system approach. Boston : Houghton Mufflin Co. Slavin, R.E. (1995). Cooperative Learning. (2 nd ed.) London : Allyn and Bacon. Taba, Hilda. (1967). Teacher’s handbook for elementary Social Studies. Mass : Addison – Wesley. 312
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315